Post by Saito on Jul 22, 2018 11:04:43 GMT
Mobile Suit Gundam: Missing History
หลังจากการปฏิวัติเทคโนโลยีนิวเคลียร์และอวกาศ ก็มีการยกเลิกการใช้ปีคริสต์ศักราชเป็นปีสากลและ
ตั้งศักราชใหม่ขึ้นมาซึ่งก็ผ่านมา 77 ปีแล้ว ในศักราชอวกาศที่ 77 เทคโนโลยีต่างๆมีความก้าวล้ำไปมาก
จนถึงขั้นมีเครื่องยนต์เทอโมนิวเคลียร์ขนาดจิ๋วเพียงแค่ขนาดเท่ากำปั้นสำหรับใช้งานในเครื่องจักรต่างๆ
และมีการแข่งขันทางด้านอวกาศจนสามารถเดินทางออกจากโลกสำรวจอวกาศ และความเจริญทางด้าน
วัตถุของมนุษย์นั้นมาพร้อมกับการเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล ทั้งป่าไม้ สินแร่ น้ำมัน
และอาหารต่างถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว หลายประเทศในโลกเกิดความขาดแคลนทั้งอาหารและทรัพยากร
จึงเกิดการทำสงครามกันรวมไปถึงประเทศมหาอำนาจทั่วโลกที่ต้องการจะเอาชีวิตรอดไปจากช่วงวิกฤตนี้ให้ได้
ปีศักราชอวกาศที่ 87 หลังจากวิกฤตการณ์ผ่านไป 10 ปีทั้งโลกก็เหลือเพียงมหาอำนาจได้แก่ สหรัฐอเมริกา
ที่ได้ทำการบุกยึดแคนาดาและผนวกเป็นดินแดนของตนเอง ปล่อยให้อเมริกาใต้ล่มสลายจากไฟสงคราม
กลางเมือง สหภาพยุโรป(รวมรัสเซีย)ที่ระส่ำระส่ายจากการรบเพื่อยึดครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางและ
แหล่งอาหารในแอฟริกา โดยทั้งสองทวีปนั้นปัจจุบันเหลือเพียงแต่ผืนดินทรายหรือทุ่งหญ้าขนาดเล็กที่เต็มไป
ด้วยซากจากสงครามซึ่งในทางเอเชียนั้นประเทศจีนได้ทำการยึดครองประเทศเล็กๆในเอเชียทั้งหมด ซึ่งมี
ประเทศญี่ปุ่นที่รอดจากการยึดครองเพราะมีอเมริกาให้การคุ้มครองอยู่ นอกจากนี้ยังขู่ด้วยว่าถ้าหากมีประเทศใด
บุกรุกพวกเขาจะทำการจุดหัวรบนิวเคลียร์ที่เก็บไว้ใต้ประเทศซึ่งแรงระเบิดนั้นมีมากพอจะทำให้รอยแยกทวีป
เกิดการสั่นและเคลื่อนตัว ส่งผลให้เกาะนั้นพังทลายทันทีและอาจจะนำไปสู่การระเบิดของแมกม่าใต้ผืนโลก
ซึ่งอาจก่อให้เกิดฤดูหนาวอันยาวนานซึ่งอาจจะฆ่าคนทั้งโลกได้ด้วย โดยประชากรนั้นเหลือเพียงราวๆ
4000 ล้านคนจากตอนก่อนเกิดสงครามที่โลกมีประชากรมนุษย์อยู่ถึง 12000 ล้านคน
และแล้วในปีเดียวกัน ในเดือนตุลาคม ทั้งสามมหาอำนาจได้ทำข้อตกลงสงบศึกและเริ่มโครงการย้ายถิ่นฐาน
ของมนุษย์ออกจากโลกเพื่อหนีวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นโดยทรัพยากรที่หลงเหลือทั้งหมดของทั้งสามมหาอำนาจ
และโครงการก็ได้สำเร็จลุล่วงอย่างปาฏิหารย์ในปีศักราชอวกาศที่ 96 ยานอวกาศสำหรับย้ายถิ่นฐานมนุษย์และ
เครื่องมือสำหรับการปรับสภาพระบบนิเวศของดวงดาวสำหรับให้มนุษย์อยู่อาศัยได้ก็เสร็จสมบูรณ์และ
เพียงพอสำหรับมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ยอมย้ายถิ่นฐานด้วยหลายๆเหตุผล
ซึ่งนั้นก้ทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกหลังสงครามนี้ต่อไปโดยจำนวนหนึ่งนั้นคือเหล่านักวิจัยและ
นายทหารผู้ได้รับมอบหมายให้ทำการฟื้นฟูโลกเพื่อเป็นที่อยู่สำหรับผู้คนเหล่านั้นหรือในกรณีที่การย้าย
ถิ่นฐานล้มเหลวมนุษยชาติก็อาจจะมีโอกาสอยู่รอดสืบไป ซึ่งหลังจากมนุษยชาติได้ออกเดินทางไปจาก
โลกแล้วเหล่าผู้ที่ยังอยู่บนโลกที่เหลือเพียงน้อยนิดก็ได้ทำการร่วมมือร่วมแรงกันฟื้นฟูโลกขึ้นมาด้วยกัน
อีกครั้ง และขาดการติดต่อกับกองยานอพยพหลังจากกองยานออกนอกระบบสุริยจักรวาลไปแล้ว
200 ปีต่อมา ณ ปีศักราชอวกาศ 296 พื้นที่บางส่วนของโลกกลับมาปกคลุมด้วยป่าไม้ แหล่งน้ำที่สะอาด
ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆผู้คนเริ่มกลับมาอยู่รวมกันอีกครั้งและเกิดเป็นเครือข่ายผู้อาศัยบนโลกหรือที่เรียกว่า
“สหพันธ์โลก” (Earth Federation : EF) พลังงานที่ใช้เป็นพลังงานทดแทนจากธรรมชาติแต่ก็ยังมีการใช้
พลังงานนิวเคลียร์ในพื้นที่ๆต้องใช้พลังงานจำนวนมาก การเมืองและการทหารเริ่มกลับมาอีกครั้งเพื่อการ
ปกป้องพื้นที่จากสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์จากสงครามและเพื่อป้องกันเหล่ากองโจรที่ออกปล้นทรัพย์สิน
ตามเมืองต่างๆ และประกอบด้วยการที่โลหะจากดวงจันทร์ตกลงมาที่โลกจากการที่ดวงจันทร์โดนอุกกาบาต
ขนาดใหญ่พุ่งชนทำให้โลกได้ค้นพบแหล่งโลหะชนิดใหม่จึงตั้งชื่อว่า “ลูน่าไทเทเนี่ยม” ซึ่งแร่เหล่านี้ได้ตกลง
กระจายไปทั่วโลกซึ่งก็ได้มีการนำแร่เหล่านี้มาใช้ในอุตสาหกรรมเนื่องจากมันมีความแข็งแรงทนทานและ
น้ำหนักเบากว่าโลหะทั่วไปที่เคยใช้
เวลาที่สงบสุขที่มนุษย์บนโลกอาศัยอยู่ร่วมกันก็ได้ผ่านไปได้ไม่นาน ในปีศักราชอวกาศ 333 ก็ได้มีกองทัพ
เครื่องจักรปริศนาลงมาที่โลก พวกมันมีรุปร่างคล้ายกับมนุษย์และมีอาวุธครบมือ ซึ่งมนุษย์ได้เรียกพวกมันว่า
M.E (Mecha Enemy) พวกมันได้ทำการเข้าโจมตีแหล่งอุตสาหกรรมและเมืองต่างๆ
ซึ่งอาวุธของมนุษยชาตินั้นเมื่อเทียบกันแล้วถือว่าด้อยกว่าพวกมันทำให้ฝ่ายมนุษย์นั้นเสียเปรียบและ
ถูกยึดพื้นที่บางส่วนไปแต่มนุษย์นั้นก็ไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเขาได้พัฒนาหุ่นยนต์ยักษ์รูปร่างมนุษย์ขึ้นมา
และเรียกว่า โมบิลสูท (Mobile Suit) และใช้มันเข้าต่อสู้กับ M.Eจนทั้งสามารถทำลายพวกมันได้ทั้งหมด
และในโมบิลสูทจำนวนมากนั้นมีบางเครื่องที่มีการสร้างและปรับแต่งขึ้นมาแบบพิเศษซึ่งจะมีประสิทธิภาพ
สูงกว่าโมบิลสูทรุ่นทั่วไปเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้โมบิลสูทนั้นก็ได้กลายเป็นแสงแห่งความหวังของกองทัพ
สหพันธ์ในการเอาชนะศึกครั้งนี้
“หึ ก็เรียนๆกันมาอย่างงี้แหละ แล้วไงล่ะ ดูพวกเราสิ นั่งอยู่ในรถถังต๊อกต๋อยนี่ จะตายวันพรุ่งรึเปล่าก็ไม่รู้
และก็ต้องมาอยู่ในป่ารกๆพรรค์นี้ด้วย”ทหารคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถถังคันหนึ่งป้อมปืนซึ่งตอนนี้พวกเขากำลัง
เฝ้าฐานย่อยของสหพันธ์อยู่
“เอาเถอะน่า ในเมื่อส่วนกลางเขาปั๊มโมบิลสูทมาให้ไม่ทันเราก็ต้องพึ่งเจ้าเพื่อนยากนี่แหละ”ชายวัยกลางคน
อีกคนพูดขึ้นแล้วทุบผนังรถถังเบาๆเชิงเป็นการให้เกียรติ
“ซ่า…ซ่า…”เสียงขาดๆหายๆของวิทยุดังขึ้น
“นี่อัลเทอร์ทีม ทางนี้กำลังปะทะกับ M..E 3 เครื่อง ที่ตำแหน่ง x.72 y.96 รถถังฝ่ายเราถูกทำลายไปเกือบครึ่งแล้ว
โมบิลสูทกำลังทำการต่อสู้ ขอกำลังเสริมด้วยเปลี่ยน!!”เสียงจากวิทยุดังขึ้นสลับกับเสียงปืนกลและระเบิดที่ดังสนั่น
“….รับทราบ จะส่งกำลังเสริมไปภายใน 10 นาที ยันให้ถึงตอนนั้นหน่อยละกัน!! เฮ้ พวก ได้เวลาเสี่ยงตายอีกแล้ว
หน่วยคอนเวย์ตามฉันมาเราจะกระหนาบข้างแล้วถล่มพวกมันให้ปลิวกลับอวกาศไปเลย!!”
ภายในเขตเมืองแห่งหนึ่งซึ่งถูก M.E เข้าโจมตีและกองทัพสหพันธ์ได้ทำการเข้าป้องกันพื้นที่ซึ่งการต่อสู้นั้น
เป็นไปอย่างดุเดือด ณ จุดปะทะในค็อกพิทนักบินโมบิลสูทของสหพันธ์ในโมบิลสูท“จิมกราวไทป์” (GM Ground Type)
กำลังปะทะกับ M.E โดยอีกฝ่ายมีจำนวนถึง 3 เครื่อง ในขณะที่เขาขับโมบิลสูทสู้คนเดียวที่เหลือเป็นรถถังและทหารราบ
ที่ยิงสนับสนุนจิมกราวไทป์
“จะทำยังไงดีนะ ในเวลาแบบนี้ คิดสิ คิด!!”นักบินอยู่ในสภาพหอบจากการต้องต่อสู้แบบถูกรุมและ M..E
ตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาซึ่งเขาหลบการโจมตีจากหอกความร้อนไปได้ แต่ตัวที่สองก็พุ่งเข้ามา
“แบบนี้ตั้งโล่ไม่ทันแน่!! ถ้างั้น!!”เขาคิดและหยิบบีมเซเบอร์ที่เป็นดาบเลเซอร์พลังงานสูงออกมาปะทะ
กับการโจมตี M.E. ที่มีรูปร่างแตกต่างไปจากอีก 2 เครื่อง เหมือน่ามันจะเป็นหัวหน้าทีมเห็นดังนั้นจึงเข้า
จู่โจมจิมกราวไทป์แต่ถูกยิงสกัดโดยรถถังที่ยิงสนับสนุนและมันก็หันไปหารถถังคันนั้น
ปัง ปัง ปัง!!!!! มันกราดปืนกลใส่กลุ่มรถถังที่กำลังวิ่งและกระสุนก็พุ่งทะลุรถถังคันหนึ่งจำนวนหลายนัด
และรถถังคันนั้นก็ระเบิดกระจายออกเป็นชิ้นๆ
“ไม่!!!!! หนอยแก!!!”นักบินของจิมปัดหอกความร้อนของ M.E ที่เขากำลังปะทะอยู่ออกและใช้บีมเซเบอร์
แทงเข้ากลางอกของ M.E เครื่องนั้น มันล้มลงและแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหวและมันก็ระเบิดซึ่งแรงระเบิดนั้น
ทำให้จิมกราวไทป์นั้นกระเด็นไปกระแทกกับตึกหลังหนึ่งจนตึกนั้นพังถล่มลงมาซึ่งแรงกระแทกก็ทำให้นักบินสลบไป
...
...
“อึ่ก”ชายหนุ่มที่เป็นนักบินของจิมลืมตาขึ้นและพบว่าเขานอนอยู่บนเตียงพยาบาลในเต้นท์หลังหนึ่ง
“ที่นี่มัน…”เขาลุกขึ้นมาและมองไปรอบๆ
“ตื่นแล้วเหรอ เธอสลบไปหลายชั่วโมงแต่ก็ยังดีที่ไม่มีศัตรูบุกเข้ามา เอาล่ะ นอนพักซะ แต่บ้าระห่ำดีแท้นะเอาจิม
เครื่องเดียวสู้กับ M.E 3 เครื่อง โชคดีที่หน่วยคอนเวย์ที่มาสนับสนุนทันเวลาพอดีไม่งั้นก็คงเป็นศพไปแล้วล่ะนะ”
ชายวัยกลางคนในเสื้อกาวน์ที่เปื้อนฝุ่นดูมอมแมมไปทั้งตัวพูดขึ้น
“งั้นเหรอครับ…ติดหนี้พวกเขาแล้วสิ”ชายหนุ่มพูดเบาๆแล้วก็ยิ้มขึ้น
“ไง ฟื้นแล้วเรอะ”ชายวัยกลางคนในชุดนายทหารเดินเข้ามาในเต้นท์ ที่บ่าของเขาประดับตรายศร้อยเอกของกองทัพ
สหพันธ์เขาเดินมาที่นักบินของจิมซึ่งนักบินของจิมก็ทำความเคารพทั้งๆที่อยู่บนเตียงเพราะเขาบาดเจ็บจนไม่สามารถ
ลุกขึ้นยืนได้นั่นเอง“ไม่ต้องพิธีการมากก็ได้ พักก่อนเถอะ ที่นี่พวกเราจะคุ้มกันเองไม่ต้องห่วง” เขาพูดซึ่งชายหนุ่มก็มอง
ไปรอบๆแล้วก็ถามขึ้นมาว่า“แล้วสมาชิกทีมของผมล่ะครับ เห็นบ้างหรือเปล่า”เขาถามซึ่งชายวัยกลางคนก็เงียบไปซักพัก
ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆซึ่งชายหนุ่มก็รู้ความหมายดีว่ามันคืออะไร
“งั้นเหรอครับ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมไว้ ไว้จะใช้หนี้ให้อย่างแน่นอนครับ”
“ฮะๆ นายนี่แปลกคนดีนะ ถ้างั้นหายดีแล้วแวะมาเลี้ยงเหล้าหน่วยฉันทั้งหน่วยละกันนะ ฉันไปก่อนล่ะมีงานลาดตระเวนต่อน่ะ”
ชายวัยกลางคนพูดแล้วก็เดินออกจากเต้นท์ไปซึ่งชายหนุ่มก็นั่งเงียบๆ
ด้วยสีหน้าเศร้าปนกับเจ็บใจก่อนจะมีการติดต่อมาจากโอเปอเรเตอร์ของทีมเขาเข้าทางเครื่องสื่อสารที่มีลักษณะคล้าย
นาฬิกาข้อมือที่มีจอภาพขนาดเล็กอยู่และเปิดข้อความที่ถูกส่งเป็นข้อความเสียงมาหลังจากที่เขาฟังข้อความนั้นจนจบ
เขาก็ถอนหายใจออกมา
“ทีมใหม่ งั้นเหรอ”
ในลานกว้างแห่งหนึ่งที่เหมือนเป็นห้องปิดล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็ก มีโมบิลสูทเครื่องหนึ่งความสูงประมาณ 18 เมตร
ยืนอยู่และตรงหน้าของมันมีซากของ M.E เครื่องหนึ่งที่ได้ทำการเก็บกู้มา
“เริ่มทำการทดสอบ X-78A ได้” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้น เขาแต่งกายด้วยชุดทหารติดตรายศชั้นสูงและมีสีหน้า
เคร่งขรึมมากเหมือนว่าเขาจะเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในโครงการนี้ และในขณะที่โมบิลสูทรุ่นทดสอบเครื่องนั้นเดินเข้า
ไปหาเป้าหมายและทำการชกซากของ M.E อย่างแรง
“แรงขับเคลื่อนเพิ่มขึ้นจากโปรโตไทป์ก่อนหน้า 16%!! อัตราการตอบสนองเร็วขึ้น 5%!!”เจ้าหน้าที่ที่ทำการเก็บข้อมูล
รายงานให้กับนายทหารคนนั้น เขามีสีหน้าพึงพอใจในข้อมูลที่ได้รับ
“ต่อไปเป็นการทดสอบความทนทานของเกราะ”เขาบอกกับเจ้าหน้าที่และไม่นานซากของ M.E ก็ถูกเก็บไปและมีอาวุธ
ทั้งของสหพันธ์และ M.E ที่ยึดมาได้มาทำการทดสอบยิงใส่หุ่นทดสอบตัวนั้น ซึ่งผลที่ออกมาก็ทำให้นายทหารคนนั้นยิ้ม
ขึ้นมาอย่างพึงพอใจ
“นี่ แหละ คือก้าวต่อไปของอาวุธสำหรับการปกป้องโลกของเราจากพวก M.E และชื่อของมันก็คือ”
หลังจากการปฏิวัติเทคโนโลยีนิวเคลียร์และอวกาศ ก็มีการยกเลิกการใช้ปีคริสต์ศักราชเป็นปีสากลและ
ตั้งศักราชใหม่ขึ้นมาซึ่งก็ผ่านมา 77 ปีแล้ว ในศักราชอวกาศที่ 77 เทคโนโลยีต่างๆมีความก้าวล้ำไปมาก
จนถึงขั้นมีเครื่องยนต์เทอโมนิวเคลียร์ขนาดจิ๋วเพียงแค่ขนาดเท่ากำปั้นสำหรับใช้งานในเครื่องจักรต่างๆ
และมีการแข่งขันทางด้านอวกาศจนสามารถเดินทางออกจากโลกสำรวจอวกาศ และความเจริญทางด้าน
วัตถุของมนุษย์นั้นมาพร้อมกับการเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล ทั้งป่าไม้ สินแร่ น้ำมัน
และอาหารต่างถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว หลายประเทศในโลกเกิดความขาดแคลนทั้งอาหารและทรัพยากร
จึงเกิดการทำสงครามกันรวมไปถึงประเทศมหาอำนาจทั่วโลกที่ต้องการจะเอาชีวิตรอดไปจากช่วงวิกฤตนี้ให้ได้
ปีศักราชอวกาศที่ 87 หลังจากวิกฤตการณ์ผ่านไป 10 ปีทั้งโลกก็เหลือเพียงมหาอำนาจได้แก่ สหรัฐอเมริกา
ที่ได้ทำการบุกยึดแคนาดาและผนวกเป็นดินแดนของตนเอง ปล่อยให้อเมริกาใต้ล่มสลายจากไฟสงคราม
กลางเมือง สหภาพยุโรป(รวมรัสเซีย)ที่ระส่ำระส่ายจากการรบเพื่อยึดครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางและ
แหล่งอาหารในแอฟริกา โดยทั้งสองทวีปนั้นปัจจุบันเหลือเพียงแต่ผืนดินทรายหรือทุ่งหญ้าขนาดเล็กที่เต็มไป
ด้วยซากจากสงครามซึ่งในทางเอเชียนั้นประเทศจีนได้ทำการยึดครองประเทศเล็กๆในเอเชียทั้งหมด ซึ่งมี
ประเทศญี่ปุ่นที่รอดจากการยึดครองเพราะมีอเมริกาให้การคุ้มครองอยู่ นอกจากนี้ยังขู่ด้วยว่าถ้าหากมีประเทศใด
บุกรุกพวกเขาจะทำการจุดหัวรบนิวเคลียร์ที่เก็บไว้ใต้ประเทศซึ่งแรงระเบิดนั้นมีมากพอจะทำให้รอยแยกทวีป
เกิดการสั่นและเคลื่อนตัว ส่งผลให้เกาะนั้นพังทลายทันทีและอาจจะนำไปสู่การระเบิดของแมกม่าใต้ผืนโลก
ซึ่งอาจก่อให้เกิดฤดูหนาวอันยาวนานซึ่งอาจจะฆ่าคนทั้งโลกได้ด้วย โดยประชากรนั้นเหลือเพียงราวๆ
4000 ล้านคนจากตอนก่อนเกิดสงครามที่โลกมีประชากรมนุษย์อยู่ถึง 12000 ล้านคน
และแล้วในปีเดียวกัน ในเดือนตุลาคม ทั้งสามมหาอำนาจได้ทำข้อตกลงสงบศึกและเริ่มโครงการย้ายถิ่นฐาน
ของมนุษย์ออกจากโลกเพื่อหนีวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นโดยทรัพยากรที่หลงเหลือทั้งหมดของทั้งสามมหาอำนาจ
และโครงการก็ได้สำเร็จลุล่วงอย่างปาฏิหารย์ในปีศักราชอวกาศที่ 96 ยานอวกาศสำหรับย้ายถิ่นฐานมนุษย์และ
เครื่องมือสำหรับการปรับสภาพระบบนิเวศของดวงดาวสำหรับให้มนุษย์อยู่อาศัยได้ก็เสร็จสมบูรณ์และ
เพียงพอสำหรับมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ยอมย้ายถิ่นฐานด้วยหลายๆเหตุผล
ซึ่งนั้นก้ทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกหลังสงครามนี้ต่อไปโดยจำนวนหนึ่งนั้นคือเหล่านักวิจัยและ
นายทหารผู้ได้รับมอบหมายให้ทำการฟื้นฟูโลกเพื่อเป็นที่อยู่สำหรับผู้คนเหล่านั้นหรือในกรณีที่การย้าย
ถิ่นฐานล้มเหลวมนุษยชาติก็อาจจะมีโอกาสอยู่รอดสืบไป ซึ่งหลังจากมนุษยชาติได้ออกเดินทางไปจาก
โลกแล้วเหล่าผู้ที่ยังอยู่บนโลกที่เหลือเพียงน้อยนิดก็ได้ทำการร่วมมือร่วมแรงกันฟื้นฟูโลกขึ้นมาด้วยกัน
อีกครั้ง และขาดการติดต่อกับกองยานอพยพหลังจากกองยานออกนอกระบบสุริยจักรวาลไปแล้ว
200 ปีต่อมา ณ ปีศักราชอวกาศ 296 พื้นที่บางส่วนของโลกกลับมาปกคลุมด้วยป่าไม้ แหล่งน้ำที่สะอาด
ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆผู้คนเริ่มกลับมาอยู่รวมกันอีกครั้งและเกิดเป็นเครือข่ายผู้อาศัยบนโลกหรือที่เรียกว่า
“สหพันธ์โลก” (Earth Federation : EF) พลังงานที่ใช้เป็นพลังงานทดแทนจากธรรมชาติแต่ก็ยังมีการใช้
พลังงานนิวเคลียร์ในพื้นที่ๆต้องใช้พลังงานจำนวนมาก การเมืองและการทหารเริ่มกลับมาอีกครั้งเพื่อการ
ปกป้องพื้นที่จากสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์จากสงครามและเพื่อป้องกันเหล่ากองโจรที่ออกปล้นทรัพย์สิน
ตามเมืองต่างๆ และประกอบด้วยการที่โลหะจากดวงจันทร์ตกลงมาที่โลกจากการที่ดวงจันทร์โดนอุกกาบาต
ขนาดใหญ่พุ่งชนทำให้โลกได้ค้นพบแหล่งโลหะชนิดใหม่จึงตั้งชื่อว่า “ลูน่าไทเทเนี่ยม” ซึ่งแร่เหล่านี้ได้ตกลง
กระจายไปทั่วโลกซึ่งก็ได้มีการนำแร่เหล่านี้มาใช้ในอุตสาหกรรมเนื่องจากมันมีความแข็งแรงทนทานและ
น้ำหนักเบากว่าโลหะทั่วไปที่เคยใช้
เวลาที่สงบสุขที่มนุษย์บนโลกอาศัยอยู่ร่วมกันก็ได้ผ่านไปได้ไม่นาน ในปีศักราชอวกาศ 333 ก็ได้มีกองทัพ
เครื่องจักรปริศนาลงมาที่โลก พวกมันมีรุปร่างคล้ายกับมนุษย์และมีอาวุธครบมือ ซึ่งมนุษย์ได้เรียกพวกมันว่า
M.E (Mecha Enemy) พวกมันได้ทำการเข้าโจมตีแหล่งอุตสาหกรรมและเมืองต่างๆ
ซึ่งอาวุธของมนุษยชาตินั้นเมื่อเทียบกันแล้วถือว่าด้อยกว่าพวกมันทำให้ฝ่ายมนุษย์นั้นเสียเปรียบและ
ถูกยึดพื้นที่บางส่วนไปแต่มนุษย์นั้นก็ไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเขาได้พัฒนาหุ่นยนต์ยักษ์รูปร่างมนุษย์ขึ้นมา
และเรียกว่า โมบิลสูท (Mobile Suit) และใช้มันเข้าต่อสู้กับ M.Eจนทั้งสามารถทำลายพวกมันได้ทั้งหมด
และในโมบิลสูทจำนวนมากนั้นมีบางเครื่องที่มีการสร้างและปรับแต่งขึ้นมาแบบพิเศษซึ่งจะมีประสิทธิภาพ
สูงกว่าโมบิลสูทรุ่นทั่วไปเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้โมบิลสูทนั้นก็ได้กลายเป็นแสงแห่งความหวังของกองทัพ
สหพันธ์ในการเอาชนะศึกครั้งนี้
“หึ ก็เรียนๆกันมาอย่างงี้แหละ แล้วไงล่ะ ดูพวกเราสิ นั่งอยู่ในรถถังต๊อกต๋อยนี่ จะตายวันพรุ่งรึเปล่าก็ไม่รู้
และก็ต้องมาอยู่ในป่ารกๆพรรค์นี้ด้วย”ทหารคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถถังคันหนึ่งป้อมปืนซึ่งตอนนี้พวกเขากำลัง
เฝ้าฐานย่อยของสหพันธ์อยู่
“เอาเถอะน่า ในเมื่อส่วนกลางเขาปั๊มโมบิลสูทมาให้ไม่ทันเราก็ต้องพึ่งเจ้าเพื่อนยากนี่แหละ”ชายวัยกลางคน
อีกคนพูดขึ้นแล้วทุบผนังรถถังเบาๆเชิงเป็นการให้เกียรติ
“ซ่า…ซ่า…”เสียงขาดๆหายๆของวิทยุดังขึ้น
“นี่อัลเทอร์ทีม ทางนี้กำลังปะทะกับ M..E 3 เครื่อง ที่ตำแหน่ง x.72 y.96 รถถังฝ่ายเราถูกทำลายไปเกือบครึ่งแล้ว
โมบิลสูทกำลังทำการต่อสู้ ขอกำลังเสริมด้วยเปลี่ยน!!”เสียงจากวิทยุดังขึ้นสลับกับเสียงปืนกลและระเบิดที่ดังสนั่น
“….รับทราบ จะส่งกำลังเสริมไปภายใน 10 นาที ยันให้ถึงตอนนั้นหน่อยละกัน!! เฮ้ พวก ได้เวลาเสี่ยงตายอีกแล้ว
หน่วยคอนเวย์ตามฉันมาเราจะกระหนาบข้างแล้วถล่มพวกมันให้ปลิวกลับอวกาศไปเลย!!”
ภายในเขตเมืองแห่งหนึ่งซึ่งถูก M.E เข้าโจมตีและกองทัพสหพันธ์ได้ทำการเข้าป้องกันพื้นที่ซึ่งการต่อสู้นั้น
เป็นไปอย่างดุเดือด ณ จุดปะทะในค็อกพิทนักบินโมบิลสูทของสหพันธ์ในโมบิลสูท“จิมกราวไทป์” (GM Ground Type)
กำลังปะทะกับ M.E โดยอีกฝ่ายมีจำนวนถึง 3 เครื่อง ในขณะที่เขาขับโมบิลสูทสู้คนเดียวที่เหลือเป็นรถถังและทหารราบ
ที่ยิงสนับสนุนจิมกราวไทป์
“จะทำยังไงดีนะ ในเวลาแบบนี้ คิดสิ คิด!!”นักบินอยู่ในสภาพหอบจากการต้องต่อสู้แบบถูกรุมและ M..E
ตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาซึ่งเขาหลบการโจมตีจากหอกความร้อนไปได้ แต่ตัวที่สองก็พุ่งเข้ามา
“แบบนี้ตั้งโล่ไม่ทันแน่!! ถ้างั้น!!”เขาคิดและหยิบบีมเซเบอร์ที่เป็นดาบเลเซอร์พลังงานสูงออกมาปะทะ
กับการโจมตี M.E. ที่มีรูปร่างแตกต่างไปจากอีก 2 เครื่อง เหมือน่ามันจะเป็นหัวหน้าทีมเห็นดังนั้นจึงเข้า
จู่โจมจิมกราวไทป์แต่ถูกยิงสกัดโดยรถถังที่ยิงสนับสนุนและมันก็หันไปหารถถังคันนั้น
ปัง ปัง ปัง!!!!! มันกราดปืนกลใส่กลุ่มรถถังที่กำลังวิ่งและกระสุนก็พุ่งทะลุรถถังคันหนึ่งจำนวนหลายนัด
และรถถังคันนั้นก็ระเบิดกระจายออกเป็นชิ้นๆ
“ไม่!!!!! หนอยแก!!!”นักบินของจิมปัดหอกความร้อนของ M.E ที่เขากำลังปะทะอยู่ออกและใช้บีมเซเบอร์
แทงเข้ากลางอกของ M.E เครื่องนั้น มันล้มลงและแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหวและมันก็ระเบิดซึ่งแรงระเบิดนั้น
ทำให้จิมกราวไทป์นั้นกระเด็นไปกระแทกกับตึกหลังหนึ่งจนตึกนั้นพังถล่มลงมาซึ่งแรงกระแทกก็ทำให้นักบินสลบไป
...
...
“อึ่ก”ชายหนุ่มที่เป็นนักบินของจิมลืมตาขึ้นและพบว่าเขานอนอยู่บนเตียงพยาบาลในเต้นท์หลังหนึ่ง
“ที่นี่มัน…”เขาลุกขึ้นมาและมองไปรอบๆ
“ตื่นแล้วเหรอ เธอสลบไปหลายชั่วโมงแต่ก็ยังดีที่ไม่มีศัตรูบุกเข้ามา เอาล่ะ นอนพักซะ แต่บ้าระห่ำดีแท้นะเอาจิม
เครื่องเดียวสู้กับ M.E 3 เครื่อง โชคดีที่หน่วยคอนเวย์ที่มาสนับสนุนทันเวลาพอดีไม่งั้นก็คงเป็นศพไปแล้วล่ะนะ”
ชายวัยกลางคนในเสื้อกาวน์ที่เปื้อนฝุ่นดูมอมแมมไปทั้งตัวพูดขึ้น
“งั้นเหรอครับ…ติดหนี้พวกเขาแล้วสิ”ชายหนุ่มพูดเบาๆแล้วก็ยิ้มขึ้น
“ไง ฟื้นแล้วเรอะ”ชายวัยกลางคนในชุดนายทหารเดินเข้ามาในเต้นท์ ที่บ่าของเขาประดับตรายศร้อยเอกของกองทัพ
สหพันธ์เขาเดินมาที่นักบินของจิมซึ่งนักบินของจิมก็ทำความเคารพทั้งๆที่อยู่บนเตียงเพราะเขาบาดเจ็บจนไม่สามารถ
ลุกขึ้นยืนได้นั่นเอง“ไม่ต้องพิธีการมากก็ได้ พักก่อนเถอะ ที่นี่พวกเราจะคุ้มกันเองไม่ต้องห่วง” เขาพูดซึ่งชายหนุ่มก็มอง
ไปรอบๆแล้วก็ถามขึ้นมาว่า“แล้วสมาชิกทีมของผมล่ะครับ เห็นบ้างหรือเปล่า”เขาถามซึ่งชายวัยกลางคนก็เงียบไปซักพัก
ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆซึ่งชายหนุ่มก็รู้ความหมายดีว่ามันคืออะไร
“งั้นเหรอครับ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมไว้ ไว้จะใช้หนี้ให้อย่างแน่นอนครับ”
“ฮะๆ นายนี่แปลกคนดีนะ ถ้างั้นหายดีแล้วแวะมาเลี้ยงเหล้าหน่วยฉันทั้งหน่วยละกันนะ ฉันไปก่อนล่ะมีงานลาดตระเวนต่อน่ะ”
ชายวัยกลางคนพูดแล้วก็เดินออกจากเต้นท์ไปซึ่งชายหนุ่มก็นั่งเงียบๆ
ด้วยสีหน้าเศร้าปนกับเจ็บใจก่อนจะมีการติดต่อมาจากโอเปอเรเตอร์ของทีมเขาเข้าทางเครื่องสื่อสารที่มีลักษณะคล้าย
นาฬิกาข้อมือที่มีจอภาพขนาดเล็กอยู่และเปิดข้อความที่ถูกส่งเป็นข้อความเสียงมาหลังจากที่เขาฟังข้อความนั้นจนจบ
เขาก็ถอนหายใจออกมา
“ทีมใหม่ งั้นเหรอ”
ในลานกว้างแห่งหนึ่งที่เหมือนเป็นห้องปิดล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็ก มีโมบิลสูทเครื่องหนึ่งความสูงประมาณ 18 เมตร
ยืนอยู่และตรงหน้าของมันมีซากของ M.E เครื่องหนึ่งที่ได้ทำการเก็บกู้มา
“เริ่มทำการทดสอบ X-78A ได้” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้น เขาแต่งกายด้วยชุดทหารติดตรายศชั้นสูงและมีสีหน้า
เคร่งขรึมมากเหมือนว่าเขาจะเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในโครงการนี้ และในขณะที่โมบิลสูทรุ่นทดสอบเครื่องนั้นเดินเข้า
ไปหาเป้าหมายและทำการชกซากของ M.E อย่างแรง
“แรงขับเคลื่อนเพิ่มขึ้นจากโปรโตไทป์ก่อนหน้า 16%!! อัตราการตอบสนองเร็วขึ้น 5%!!”เจ้าหน้าที่ที่ทำการเก็บข้อมูล
รายงานให้กับนายทหารคนนั้น เขามีสีหน้าพึงพอใจในข้อมูลที่ได้รับ
“ต่อไปเป็นการทดสอบความทนทานของเกราะ”เขาบอกกับเจ้าหน้าที่และไม่นานซากของ M.E ก็ถูกเก็บไปและมีอาวุธ
ทั้งของสหพันธ์และ M.E ที่ยึดมาได้มาทำการทดสอบยิงใส่หุ่นทดสอบตัวนั้น ซึ่งผลที่ออกมาก็ทำให้นายทหารคนนั้นยิ้ม
ขึ้นมาอย่างพึงพอใจ
“นี่ แหละ คือก้าวต่อไปของอาวุธสำหรับการปกป้องโลกของเราจากพวก M.E และชื่อของมันก็คือ”
“กันดั้ม”