|
Post by wildrose on Sept 4, 2019 15:38:08 GMT
พวกคุณเคยได้ยินเรื่องราวนี้กันบ้างหรือเปล่า เรื่องราวของเมืองๆนึง แต่ก่อนมันก็เคยเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนและมีชีวิตชีวาอยู่หรอกนะ แต่ว่าตอนนี้มันกลายเป็นเมืองร้างไปแล้วล่ะ มีหลายคนเคยเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้มันกลายเป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่มีใครรู้จริงๆหรอกว่าทำไมมันถึงได้กลายเป็นแบบนั้น
เมืองแห่งนั้นมีชื่อว่า Moonlight City
สิ่งก่อสร้างภายในเมืองนี้เริ่มจะผุพังเนื่องจากไม่มีมนุษย์อยู่อาศัยเป็นระยะเวลานานซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกนะ แต่เพราะความผุพังและความมีเสน่ห์ของมันนี่แหละ ทำให้มีคนมาเยือนเมืองแห่งนี้ในฐานะของนักท่องเที่ยวที่ชอบความตื่นเต้นและเรื่องลึกลับ แม้จะมีจำนวนน้อยนิดก็ตาม
เอี๊ยดดดด
เสียงผ้าเบรกของรถบัสขนส่งนักท่องเที่ยวดังขึ้น ก่อนที่รถบัสคันใหญ่จะหยุดลงบริเวณใจกลางเมือง moonlight City นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งลงมาจากรถบัสคันนั้น
“ยินดีต้อนรับเหล่าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่านสู่ moonlight City ทริปของพวกเราในวันนี้จะเป็นการท่องเที่ยวแบบฟรีสไตล์พวกท่านสามารถที่จะเดินอิสระภายในเมืองร้างแห่งนี้ ถ่ายรูปได้ตามต้องการ แต่โปรดอย่าหยิบฉวยหรือว่าทำลายสิ่งก่อสร้างมากเกินไปเพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวท่านเอง พวกเราจะกลับมารับพวกท่านตอนเวลา 16:00 น. ของวันนี้ ขอให้มารวมตัวกันที่จุดเดิมด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่ของรถบัสขนส่งนักท่องเที่ยวกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร
การท่องเที่ยวภายใน Moonlight City แห่งนี้ไม่ต้องการไกด์ เพราะว่านักท่องเที่ยวทุกคนที่มาที่นี่ล้วนเป็นพวกที่ชอบการท่องเที่ยวแบบแปลกประหลาดและ Extreme พวกเขาคือนักผจญภัยตัวยง แสงแดดยามเที่ยงที่ร้อนแรงในยามนี้จึงทำให้เลือดนักผจญภัยของพวกเขาเดือดพล่าน และแน่นอนว่าพวกเขาจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงนี้ให้คุ้มค่าที่สุด
|
|
|
Post by wildrose on Sept 4, 2019 15:47:39 GMT
พี่ป้อม
มีดทำครัวสั้น X1 อาหารกระป๋อง X2 ปืนลูกโม่สภาพเก่า X 1 เหรียญทองแดงประหลาด X1
สร
กุญแจโบราณสีทอง X1 น้ำอัดลมกระป๋อง X7 ขวัญ
ตะเกียงเจ้าพายุ X1 ไฟแช๊ก Zippo X1
พัสสร
ขวดวอดก้าเปล่า X1
นานะ
กล้องถ่ายดิจิตอลรูปประจำตัว X1
|
|
|
Post by wildrose on Sept 4, 2019 17:40:46 GMT
Character Info
พี่ป้อม HP 11/11 BP 10/10
Skill Brave Heart : หัวใจที่แข็งกล้าและรักการผจญภัย ไม่เกรงกลัวในสิ่งใดและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอันตราย นั่นคือสิ่งที่คุณภูมิใจและมันสามารถช่วยเหลือคุณได้ในยามที่คุณได้พบกับวิกฤต แต่ในบางครั้งความกล้าหาญที่เกินพอดีก็มักจะทำให้คุณได้เจอกับอันตรายบ่อยๆ
Eagle Eye : ดวงตาของคุณเป็นมิตรแท้ มันสามารถที่จะช่วยคุณในการสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อคุณเห็นมันก่อนคุณย่อมได้เปรียบ ไม่ว่าจะกับอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบางครั้งความช่างสังเกตและช่างสงสัยจะนำหายนะมาให้กับคุณได้ก็ตาม เคยได้ยินสุภาษิตนี้ไหมล่ะ “แมวมักจะตายเพราะความขี้สงสัย”
Siamese Common Sense : อะไรกันนะเรื่องภูตผีปีศาจอย่างนั้นหรอ ? ทำไมมันถึงจะไม่มีจริงล่ะ มันก็ต้องมีจริงแน่นอนอยู่แล้ว !! คุณเป็นคนไทยซึ่งเป็นประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีวัฒนธรรมในการเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้วมาแต่โบราณและคุณก็เชื่อแบบนั้นสุดหัวใจ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องดีนะเวลาตอนที่คุณได้เจอกับเหตุการณ์ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ อย่างน้อยคุณก็มีคำตอบในใจเอาไว้รองรับมันอยู่แล้วล่ะ อีกทั้งคุณยังสามารถปรับตัวได้เร็วกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมากกว่าคนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ความเชื่อแบบสุดหัวใจนี้บางครั้งก็อาจจะทำให้คุณทำอะไรที่ไร้สาระ หรือถูกหลอกได้ง่ายๆ
Treasure Hunter : สถานที่ลึกลับซึ่งยังไม่มีใครเคยเข้าไปสำรวจ ฟังดูน่าตื่นเต้นดีนะในนั้นน่าจะต้องมีสมบัติอยู่มากมายแน่ๆเลย ถึงมันจะไม่ใช่เงินทองของแวววาว แต่อย่างน้อยของเก่าบางอย่างก็มีค่ามากกว่าเงินทองซะอีก ในด้านของราคาที่จะขายให้กับนักสะสมนะ ดังนั้นขอเพียงแค่หามันให้เจอและนำมันไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินแค่นั้นก็พอแล้ว เอาล่ะ ! โชคของฉันในวันนี้จะเป็นยังไงกันนะ ? สร HP 9/9 BP 15/15Skill Slow Life : เฮ้ย ! พวกนายจะรีบไปไหนกัน บางครั้งคุณเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไมทุกคนดูเหมือนว่าจะรีบร้อนไปหมด ทั้งๆที่โลกใบนี้มันก็หมุนไปอย่างเชื่องช้า คุณเป็นคนที่ไม่แคร์ว่าอะไรรอบตัวจะผ่านไปรวดเร็วแค่ไหนขอเพียงแค่มันไม่ทำให้คุณเดือดร้อนก็พอจริงไหมล่ะ ความคิดแบบนี้ก็มีข้อดีเหมือนกันนะอย่างน้อยคุณก็ไม่ค่อยสนใจกับอะไร ถึงแม้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นร้ายแรงแค่ไหน ใครจะไปทางไหนคุณก็แค่ตามเข้าไปทางนั้น ทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาตินั่นแหละดีที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าทางข้างหน้าที่พรรคพวกคุณพาไปอาจจะเป็นหนทางที่ฉิบหายขนาดไหนก็ตาม แต่คุณก็สบายใจกับมันใช่ไหมล่ะ
I am Rich : เกิดมารวยให้ทำยังไงได้ล่ะ บางครั้งคุณเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลเหมือนกันนะว่าทำไมคุณถึงมีเงินในกระเป๋ามากกว่าคนอื่น แล้วทำไมคนอื่นที่จะต้องอิจฉาคุณ แต่ที่แน่ๆอย่างหนึ่งก็คือคุณสามารถใช้เงินในกระเป๋าของคุณทำอะไรได้มากมายหลายอย่างในขณะที่คนอื่นทำไม่ได้ และบางครั้งเงินในกระเป๋าของคุณก็มักจะชักนำอันตรายมาสู่ตัวคุณเช่นกัน
Lazy : ผมอยากที่จะนอนทั้งวัน การนอนมองดูเมฆที่ค่อยๆไหลไปบนท้องฟ้าสีคราม หรือกระทั่งการเขี่ยโทรศัพท์จนกว่าตะวันจะตกดิน หรือพระอาทิตย์จะขึ้นมาสำหรับวันใหม่ เป็นอะไรที่รู้สึกดีจริงๆเลยให้ตายสิ ทำไมเราจะต้องไปสนใจที่จะต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดหรืออะไรแบบนั้นด้วยล่ะ ไม่เห็นจำเป็นเลยนี่นา นอนอยู่เฉยๆเดี๋ยวยังไงหน่วยกู้ภัยก็มาช่วยเราอยู่แล้วล่ะ มันก็ดีเหมือนกันนะเพราะว่าตามคู่มือของผู้ประสบภัยแล้วคุณควรจะต้องอยู่กับที่และรอให้เจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลือ ถ้าหากว่าไม่มีอะไรจ้องจะมากินหัวคุณระหว่างที่คุณนั่งอยู่ตรงนั้น จริงไหมล่ะ ?
Sparkling Water Addict : คุณคงเคยดื่มน้ำอัดลมใช่ไหม ? มันเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยที่สุดในโลกเลยล่ะ คนที่คิดค้นมันขึ้นมาได้คงจะเป็นเหล่าทวยเทพที่อยู่บนสวรรค์และสูตรผสมนำมาบอกกับมนุษย์แน่นอนเลย คุณคงจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าหากว่าขาดมัน มันไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดื่ม แต่มันเป็นเหมือนเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของคุณ ถ้าหากว่าคุณได้ดื่มมันคุณจะอารมณ์ดีโลกนี้ดูเหมือนว่าจะสดใสแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าหากว่าคุณขาดมันถึงต่อให้โลกนี้จะสงบสุขแค่ไหนโลกใบนี้ก็เหมือนกับพังทลายลงไปแล้ว จริงไหมล่ะ ! พัสสร HP 8/8 BP 14/14Skill
Positive Thinking : คุณเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี แต่คุณก็ไม่ได้โลกสวยนะ เพียงแค่ว่าคุณจะมองโลกใบนี้ว่ามีทางออกเสมอไม่ว่าจะเป็นปัญหาหรือว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดนี้ก็ตาม เป็นเพราะระบบความคิดแบบนี้แหละที่ทำให้คุณมีความเครียดน้อยกว่าคนอื่นๆ จะเรียกว่ามีกำลังใจสูงก็ไม่ผิดหรอกนะ เพียงแต่ว่าบางทีคุณอาจจะไม่ได้ตระหนักเอาไว้ว่าโลกใบนี้บางครั้งก็มีปัญหาที่ไม่สามารถจะแก้ได้ด้วยความคิดในแง่บวก หรือสถานการณ์บางอย่างมันก็เลวร้ายเกินกว่าที่คุณจะรับมือ Mood Maker : ร่าเริงสดใส ยิ้มได้เมื่อภัยมาไม่โศกาเมื่อมีทุกข์ และคุณยังสามารถแบ่งปันกำลังใจของคุณให้กับคนรอบข้างได้ ความช่างเจรจาของคุณมันช่างมีประโยชน์เสียจริงๆ ยกเว้นว่าคนที่อยู่กับคนจะเป็นคนขี้รำคาญไม่ชอบคนที่พูดมากเท่านั้นแหละPatissier : โลกใบนี้อุดมไปด้วยของหวาน และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถจะรังสรรค์ของหวานขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน แต่บางครั้งหลายคนก็คิดว่าเขาอยากจะกินของคาวมากกว่านะ Siamese Common Sense : อะไรกันนะเรื่องภูตผีปีศาจอย่างนั้นหรอ ? ทำไมมันถึงจะไม่มีจริงล่ะ มันก็ต้องมีจริงแน่นอนอยู่แล้ว !! คุณเป็นคนไทยซึ่งเป็นประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีวัฒนธรรมในการเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้วมาแต่โบราณและคุณก็เชื่อแบบนั้นสุดหัวใจ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องดีนะเวลาตอนที่คุณได้เจอกับเหตุการณ์ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ อย่างน้อยคุณก็มีคำตอบในใจเอาไว้รองรับมันอยู่แล้วล่ะ อีกทั้งคุณยังสามารถปรับตัวได้เร็วกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมากกว่าคนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ความเชื่อแบบสุดหัวใจนี้บางครั้งก็อาจจะทำให้คุณทำอะไรที่ไร้สาระ หรือถูกหลอกได้ง่ายๆ สึคาสะ HP 10/10 BP 11/11Skill Eagle Eye : ดวงตาของคุณเป็นมิตรแท้ มันสามารถที่จะช่วยคุณในการสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อคุณเห็นมันก่อนคุณย่อมได้เปรียบ ไม่ว่าจะกับอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบางครั้งความช่างสังเกตและช่างสงสัยจะนำหายนะมาให้กับคุณได้ก็ตาม เคยได้ยินสุภาษิตนี้ไหมล่ะ “แมวมักจะตายเพราะความขี้สงสัย”
Mood Maker : ร่าเริงสดใส ยิ้มได้เมื่อภัยมาไม่โศกาเมื่อมีทุกข์ และคุณยังสามารถแบ่งปันกำลังใจของคุณให้กับคนรอบข้างได้ ความช่างเจรจาของคุณมันช่างมีประโยชน์เสียจริงๆ ยกเว้นว่าคนที่อยู่กับคนจะเป็นคนขี้รำคาญไม่ชอบคนที่พูดมากเท่านั้นแหละ
Serious Inner : ถึงแม้ว่าภายนอกคุณจะดูเป็นคนร่าเริงแจ่มใส แต่ความจริงแล้วคุณเป็นคนที่จริงจังนะ คนจริงจังเสมอกับทุกเรื่องถึงแม้ว่าคุณจะแสดงออกว่าคุณไม่ได้มีความกังวลอะไรขนาดนั้นก็ตาม แต่เพราะว่าการแสดงออกตรงหน้าและความคิดของคุณนั้นขัดกันไปคนละทางทำให้หลายคนมักจะเข้าใจผิดคนได้ง่าย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นะ
Fake Tourist : คุณเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในเมืองนี้เหรอ ผิดแล้วล่ะคุณไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหมล่ะ คุณมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างและคุณก็เตรียมตัวที่จะมาที่นี่เป็นอย่างดีกว่าคนอื่น และคนก็รู้ด้วยว่าตัวคุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวเหมือนกับคนอื่นอย่างแน่นอน ดังนั้นถึงต่อให้คุณจะพยายามทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวขนาดไหนคุณก็ยังรู้สึกแปลกแยกทั้งตัวคุณเองแล้วก็กับคนอื่นที่มองคุณด้วย เพียงแต่ว่าพวกเขาจะพูดหรือไม่พูดก็เท่านั้นแหละ
ขวัญHP 7/7BP 12/12Skill Sherlock Holmes Syndrome : คุณเป็นคนที่ชอบเรื่องลึกลับสืบสวนสอบสวนและการไขปริศนา และไม่ได้เป็นแค่ชอบธรรมดาทั่วไปแต่มันถึงขนาดเสพติดจนเหมือนจะเป็นอาการทางจิตไปแล้วด้วยซ้ำ ด้วยอุปนิสัยแบบนี้ทำให้คุณเป็นคนที่เก่งทางด้านการแก้ไขปริศนา แต่มันก็จะทำให้คุณได้เจอกับอันตรายมากขึ้นโดยเช่นกัน
Lone Wolf : การอยู่คนเดียวไม่ได้เป็นอะไรที่เป็นปัญหาสำหรับคุณ มนุษย์ไม่ใช่สัตว์สังคมขนาดนั้นในความคิดของคุณ ดังนั้นถึงต่อให้คุณไม่มีเพื่อน หรือว่าคุณไม่มีทีมงานอยู่ด้วย คุณก็ไม่ได้รู้สึกเป็นปัญหาในการทำสิ่งที่คุณตั้งใจ แต่ความคิดแบบนี้ก็ทำให้ความสามารถในการเข้าสังคมของคุณต่ำกว่าคนปกติเล็กน้อยเช่นกันนะ
Intractable : อะไรนะฉันเป็นคนหัวแข็งอย่างนั้นเหรอ ? ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ! คุณพยายามที่จะพูดแบบนั้นกับคนที่บอกว่าคุณเป็นคนหัวแข็งคุณไม่ยอมรับมันเลย แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องยอมรับความจริงว่าคุณเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยจะฟังความเห็นของคนอื่นเท่าไหร่นักหรอก มันก็ทำให้คุณเป็นคนที่ตรงไปตรงมาต่อความต้องการของตัวเองอยู่หรอกนะ แต่อย่างน้อยหัดฟังคนอื่นเขาซะบ้างเถอะ
Tomboy : สุภาพ เรียบร้อย น่ารัก นิสัยแบบเด็กผู้หญิงนั่นหรอ ไอ้แบบนั้นมันไม่ใช่ฉันหรอกนะ ถึงคุณจะเป็นผู้หญิงแต่ด้วยอุปนิสัยแบบนี้ทำให้คุณมีศักยภาพอย่างน้อยก็ในทางความคิดไม่แพ้ผู้ชายหรอก ซึ่งนั่นก็เป็นผลดีอยู่นะ เพราะว่ามันจะทำให้คุณมีความมั่นใจและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น แต่มันก็มีผลเสียคือทำให้คุณเจอกับอันตรายได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน
นานะ HP 7/7 BP 10/10 Skill Hyper Active : คุณเป็นคนที่อยู่เฉยไม่ได้ ถ้าหากว่าต้องให้นั่งรอสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นระยะเวลาเกิน 1 ชั่วโมงคุณคงจะต้องขาดใจตายอย่างแน่นอน อย่างน้อยคุณต้องลงมือทำอะไรสักอย่างและคุณก็ต้องทำมันให้ได้ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดีหรือไม่ดีก็ค่อยว่ากันทีหลังคุณเป็นคนแบบนั้นแหละ
Professional Camera Man : กล้องคืออาชีพของคุณ มันคือการงานที่สร้างรายได้ให้กับคุณได้ และแน่นอนคุณสามารถจะใช้มันได้ดีกว่าคนทั่วไปมากมายนัก อย่าคิดว่าเจ้าเพื่อนยากที่สามารถจะเก็บสิ่งต่างๆเอาไว้ได้อย่างชัดเจนของคุณเป็นเพียงแค่อุปกรณ์ล่ะ มันเป็นอะไรได้มากกว่านั้น อย่างน้อยก็สำหรับคุณ
Photography Mania : คุณรักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ ถึงแม้ว่าบางทีอาจจะไม่ใช่เวลาที่จะต้องถ่ายรูปแต่คุณก็ยังไม่วายที่จะกดชัตเตอร์ คุณรักมันการถ่ายรูปเป็นมากกว่ากิริยาการกระทำของคุณแต่มันคือลมหายใจเข้าออกของคุณเลยทีเดียว
Cheerful Personality : คุณเป็นคนที่ร่าเริงสดใส ถึงแม้ว่าบางครั้งจะดูน่ารำคาญไปหน่อย แต่ว่าเชื่อเถอะความร่าเริงสดใสคือข้อดีของคุณจริงๆ ยิ้มเข้าไว้ ! แล้วลุยไปข้างหน้า ! นั่นแหละตัวคุณล่ะ
|
|
|
Post by wildrose on Sept 5, 2019 3:19:49 GMT
Turn 1
เวลาในช่วงกลางวันของการท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดก็มาถึงเวลา 16:00 นตามที่คณะทัวร์นัดหมาย นักท่องเที่ยวบางคนยังคงเพลิดเพลินอยู่กับบรรยากาศอันแสนลึกลับของ Moonlight City จนพวกเขานั้นยังไม่มาถึงที่บริเวณจุดรับส่งตามกำหนดหมายในช่วงเย็นของวันนี้อากาศแปรปรวนท้องฟ้าที่สดใสเมื่อตอนกลางวันราวกับเป็นเรื่องโกหก เนื่องจากว่าในตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มและมีฝนตกลงมาอย่างหนักถึงมันจะไม่ใช่พายุที่โหมกระหน่ำจนถึงขนาดที่ออกไปเดินข้างนอกไม่ได้แต่ว่าก็คงไม่มีใครอยากจะออกไปเดินกลางฝนอย่างแน่นอน“อะไรกันเนี่ย ทำไมรถบัสยังไม่มารับเราสักที” เสียงของชายหนุ่มวัย 27 ปีคนหนึ่งดังขึ้น ด้วยท่าทางที่ดูสงสัย เขากำลังยืนหลบฝนอยู่ที่บริเวณใต้ชายคาของสิ่งก่อสร้างที่ผุพัง ท่าทางของเขานั้นดูร้อนรนใจเล็กน้อย คิดกับความเย็นยะเยือกของน้ำฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนไม่นานนักชายหนุ่มคนนี้ก็ยกแขนขึ้นมาเพื่อดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเรือนสวยของเขา นาฬิกาของเขาบอกว่าเวลาตอนนี้คือ 16:30 น ซึ่งมันเลยเวลานัดหมายของรถบัสมาแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง แต่เขาก็ยังไม่เห็นเงาของรถบัสและนักท่องเที่ยวคนอื่นซึ่งเคยมีอยู่มากมายในตอนลงเมื่อกลางวัน “เรื่องการดีเลย์ คงเป็นอะไรที่ปกติสำหรับการท่องเที่ยวสินะ ไม่เป็นไรรออีกสักหน่อยก็แล้วกัน…..” เวลาผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมงแล้วถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะคอยรถบัสที่จะมารับเขากลับนานขนาดไหนแต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะโผล่มาเวลา 2 ชั่วโมงที่เขาได้สูญเสียไปกับการรอคอยทำให้เขารู้สึกทรมานและกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก“ทำไมมันถึงไม่มาสักทีนะ ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย !” เขาบ่นออกมาด้วยความหัวเสียแต่ว่าทันใดนั้นเขาก็เห็นกลุ่มของนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาที่จุดนัดหมายเช่นเดียวกับเขาซึ่งกำลังคอยอยู่ ภายในกลุ่มนักท่องเที่ยวนั้นประกอบด้วยคน 3 คนซึ่งเป็นผู้ชาย 2 คนและเป็นผู้หญิง 1 คน ผู้ชายและผู้หญิงคู่หนึ่งเป็นชาวไทยและผู้ชายอีกคนนึงนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนต่างชาติ และดูเหมือนพวกเขาจะมาถึงที่นี่ด้วยท่าทางที่ดูกระวนกระวายพัสสร : ขอโทษนะคะไม่ทราบว่ารถบัสผ่านไปหรือยังคะ ? พวกเราติดฝนอยู่ก็เลยมาสายค่ะ ป้อม : มันยังไม่มาเลยครับผมเองก็คอยมันอยู่เหมือนกัน แต่นี่ก็เลยเวลานัดมาตั้ง 2 ชั่วโมงแล้ว ทั้งทั้งที่ผมมาก่อนถึงเวลานัดหมายด้วยซ้ำไปแต่ผมก็ยังไม่เห็นมันเลย สร : อ่าาาห์ มีเรื่องน่ารำคาญอีกแล้วสินะ แต่ก็ช่างมันเถอะแล้วพวกนายจะเอายังไงล่ะ ?สึคาสะ : ……แบบนี้แย่แล้วล่ะครับมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ (พูดเป็นภาษาญี่ปุ่น)ป้อม : อะไรนะ ? นี่นายพูดอะไรของนาย พูดภาษาไทยได้หรือเปล่า ? Speak Thai please สึคาสะ : …….(เขาเงียบไปพร้อมกับทำสีหน้าสงสัยเล็กน้อย)พัสสร : ฝนกำลังตกแบบนี้รู้สึกไม่ดีเลยค่ะ พวกเรามีทางที่จะติดต่อกับคณะทัวร์ได้บ้างหรือเปล่าคะ ? อย่างเช่นพวกโทรศัพท์หรือว่าอะไรแบบเนี้ย ป้อม : ภายในเมือง Moonlight City แห่งนี้ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เข้าถึงหรอกครับ แต่ก็ไม่แปลกหรอกนะมันเป็นเมืองร้างนี่นา ในระหว่างที่พวกเรา 4 คนนั้นกำลังสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องที่รถบัสไม่มารับพวกเขาตามกำหนดเวลา ท่ามกลางเสียงฝนตกที่ดังอย่างต่อเนื่องนั้นพวกเขาได้ยินเสียงเหมือนกับยางรถยนต์ ไถลไปกับพื้นอย่างรุนแรง เอี๊ยดดดดดดดด โครมมมมมมมม !เสียงดังเหมือนกับว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรบางอย่างขึ้นไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ ควันสีดำจางๆลอยขึ้นมาเป็นเส้นแนวตรงอย่างเชื่องช้าแต่ก็สามารถที่จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน สร : เสียงเมื่อกี้นี่มัน …… เหมือนกับรถคว่ำเลยนะ …….สึคาสะ : eburiiwan puriisu foroo mii ! ทันทีที่ได้ยินเสียงดังขึ้นคล้ายกับรถคว่ำ สึคาสะก็พูดประโยคบางอย่างขึ้นมาด้วยความรีบร้อน สีหน้าของเขานั้นดูแตกตื่นจนเห็นได้ชัด ป้อม : ไอ้บักหำนี่มันพูดอะไรของมันฟร่ะ ! พัสสร : เขาคงจะบอกว่าให้พวกเราตามเขาไปมั้งคะ ฉันเดาว่าแบบนั้นนะ พัสสรพูดขึ้น ในขณะที่เธอเห็นสึคาสะกำลังทำท่าทางพยายามเชิญชวนให้ทุกคนในกลุ่มตามเขาไปซึ่งทางที่เขาจะเดินไปนั้นเป็นทางเดียวกับที่ต้นเสียงที่คล้ายกับรถคว่ำซึ่งดังขึ้นมา สร : พวกนาย …… ผมว่าพวกเราคอยอยู่ตรงนี้จะดีกว่าไหม ถ้าหากว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของรถทัวร์ที่จะมารับพวกเราจริงๆ พวกเราไปที่นั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ออกห่างจากอุบัติเหตุเอาไว้จะดีกว่าไม่ใช่เหรอ อยากจะเป็นไทยมุงกันขนาดนั้นเลยหรือไง ?คำพูดของสรนั้นทำให้ทุกคนหยุดคิด และดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาจะต้องตัดสินใจร่วมกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป To Be Continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 5, 2019 16:58:01 GMT
Turn 2
ป้อม : เสียงที่ได้ยินฟังดูน่าสงสัยจังเลยบางทีรถบัสที่กำลังจะมารับพวกเราอาจจะเกิดอุบัติเหตุก็ได้ คนญี่ปุ่นคนนี้ดูเหมือนว่าจะอยากไปที่นั่นอยู่นะ ผมจะลองไปดูกับเขาก็แล้วกัน แล้วได้เรื่องยังไงผมจะกลับมาบอก ป้อมพูดขึ้นในขณะที่เขานั้นกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปตามต้นเสียงที่ดังขึ้นมาพร้อมกับสึคาสะ พัสสรเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็พยักหน้าเป็นการตอบรับเธอและสรจะคอยฟังสถานการณ์อยู่ที่นี่โดยที่เธอและสรนั้นจะหาอาคารที่ยังพอใช้งานได้หลบฝนไปก่อน หลังจากที่ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วพวกเขาทั้ง 4 คนก็แยกออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มละ 2 คนไปทำตามสิ่งที่ตนได้คิดเอาไว้สึคาสะและป้อม วิ่งมาตามถนนซึ่งเต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพังและรอยแยกจากการยุบตัวของพื้นถนน ด้วยสิ่งกีดขวางทั้งสองอย่างนี้ทำให้พวกเขานั้นมาถึงยังจุดหมายได้ไม่เร็วเท่าที่ควรนักทันทีที่พวกเขามาถึงเขาก็ได้พบกับ เบื้องหน้าของพวกเขาคือรถบัสที่ควรจะต้องมารับพวกเขาจริงๆอย่างที่พวกเขาคาดคะเนเอาไว้เลย เพียงแต่ว่ามันตอนนี้อยู่ในสภาพที่พลิกตะแคง ส่วนตัวทางของรถนั้นได้รับความเสียหายอย่างไม่น่าเชื่อมันดูเหมือนไม่ใช่ความเสียหายจากอุบัติเหตุ สึคาสะ : ดูตรงส่วนตัวถังนี่สิ รอยขีดยาวขนาดนี้เหมือนกับกรงเล็บของสัตว์มากกว่าที่จะเป็นรอยจากการเสียดสีกับถนน (พูดเป็นภาษาญี่ปุ่น)ป้อม : ถึงจะว่าอย่างนั้นอย่างนี้ก็เถอะแต่ว่าฉันฟังที่นายพูดไม่ออกหรอกนะช่วยพูดเป็นภาษาไทยสักทีได้ไหม ป้อมพูดขึ้นกับสึคาสะด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดเล็กน้อยเนื่องจากว่าเขานั้นไม่สามารถจะสื่อสารกับเพื่อนร่วมทางของเขาได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เดินเข้าไปสำรวจตัวรถที่ประสบอุบัติเหตุอยู่ดี แล้วสิ่งที่ทั้งสองคนนั้นเห็นพ้องต้องกันก็คือรถบัสที่ควรจะต้องมารับพวกเขานั้นเหมือนจะถูกโจมตีด้วยอะไรบางอย่างที่ยากเกินกว่าพวกเขาจะจินตนาการได้ ด้านข้างของตัวรถซึ่งทำจากเหล็กแข็งถูกฉีกออกเป็นริ้วทางยาวราวกับถูกกรงเล็บ บริเวณกระจกรถมีของเหลวที่มีสีดำและเหนียวข้นพร้อมทั้งส่งกลิ่นแปลกประหลาดออกมา บริเวณตัวรถบางส่วนนั้นลุกไหม้เนื่องจากเปลวเพลิงที่ติดมาจากถังน้ำมัน ภายในตัวรถนั้นคนขับรถและพนักงานประจำรถได้สูญหายไปทิ้งไว้เพียงรอยเลือดเล็กๆจำนวนหนึ่งซึ่งติดอยู่กับขอบกระจกดูเหมือนว่าพวกเขานั้นจะถูกอะไรบางอย่างนำตัวไป ป้อม : นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย น่าขนลุกชะมัดเลย เจ้าญี่ปุ่น พวกเรารีบกลับไปหา 2 คนนั่นกันเถอะ ชั้นรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ คำพูดของป้อมนั้นทำให้สึคาสะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยในมารยาทที่ไม่ค่อยจะดีของเขา สึคาสะจึงกล่าวขึ้นมาว่า สึคาสะ : มาย เนมุ อิสุ สึคาสะ ไดสุเกะ รีเมมเบอมี พลีสป้อม : อะไรนะ ! สึคาสะ คือชื่อของนายงั้นหรอ ก็ได้ ! ก็ได้ ! กว่าจะฟังกันรู้เรื่องยากชะมัด แต่ก็เอาเถอะยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ป้อมพยายามที่จะพูดกับสึคาสะอย่างเป็นมิตรถึงแม้ว่ากำแพงทางภาษามันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม จากนั้นทั้งสองคนก็เข้าไปสำรวจภายในรถบัสที่ประสบอุบัติเหตุนั้นอย่างระมัดระวัง พวกเขาสามารถที่จะหยิบสิ่งของซึ่งอยู่ภายในออกมาได้บางอย่างซึ่งประกอบด้วย แผนที่นำเที่ยวของ moonlight City ที่เหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งชิ้น และอีกครึ่งหนึ่งถูกไฟไหม้ไปแล้ว และไฟฉายขนาดเล็ก 1 กระบอก ป้อม : ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีอะไรแล้วล่ะแต่ว่านี่คงจะไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาแน่ ผมรู้สึกเป็นห่วง 2 คนที่คอยพวกเราอยู่จังเลยพวกเรารีบกลับไปที่นั่นกันเถอะ สึคาสะหลังจากที่ได้ยินป้อมพูดแบบนั้นเขาก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินกลับไปที่จุดนัดพบ โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าการกระทำของพวกเขาทั้งสองคนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจับจ้องพวกเขาอยู่มาจากในมุมที่พวกเขานั้นไม่สามารถจะรู้ตัวได้เลย ภายในสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดนัดพบ
สร : โซฟานี้นุ่มจังเลยนะ ถึงมันจะเก่าแล้วก็เถอะ
สรกำลังเอนตัวลงบนโซฟาที่เก่าและขาดแต่ว่าฟองน้ำข้างในของมันนั้นยังคงอยู่ในสภาพที่พอใช้การได้ เขาเองกายลงอย่างสบายและไม่มีท่าทางทุกข์ร้อนใดๆ
พัสสร : ดีจังเลยนะคะที่ยังมีอาคารที่ดูแข็งแรงและหลังคาไม่รั่วให้พวกเราหลบฝนไม่ไกลจากจุดนัดพบ
พัสสรพูดขึ้นในขณะที่เธอมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกบานใหญ่ของตัวอาคาร อาคารแห่งนี้เหมือนว่าจะเป็นร้านกาแฟซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสี่แยกซึ่งเป็นจุดนัดพบของพวกเขาถึงแม้ว่ามันจะทรุดโทรมไปตามกาลเวลาและกระจกก็มีรอยร้าวแต่ว่าหลังคาของอาคารแห่งนี้นั้นยังคงอยู่ในสภาพดีทำให้ฝนไม่รั่วลงมาและไม่มีละอองน้ำสาดเข้ามาภายใน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกตกแต่งอยู่ในร้านนั้นยังคงอยู่ในสภาพดีเหมือนยังเมื่อครั้งที่มีคนอาศัยอยู่เมื่อนานมาแล้ว
พัสสรลงมือสำรวจสิ่งของต่างๆที่อยู่ภายในร้านด้วยท่าทางที่ดูใจเย็น ถึงแม้ว่าในใจเธอจะรู้ดีว่าภายในร้านแห่งนี้คงจะไม่มีของอะไรที่มีประโยชน์มากนักเพราะถึงต่อให้มีมันก็คงจะถูกหยิบฉวยไปโดยคนที่มาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้ไปแล้ว
สร : อ่า…...สมุดโน๊ตเล่มนี้เก่าจังเลย แถมยังมีกลิ่นแปลกๆด้วย
สรหยิบสมุดโน๊ตเล่มหนึ่งซึ่งเขานั้นบังเอิญพบเจออยู่ไม่ไกลจากบริเวณโซฟาที่เขานั่งซึ่งอยู่ด้านหลังเคาเตอร์ ที่ด้านหน้าปกของสมุดเล่มนั้นมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนเอาไว้ซึ่งมันแปลใจความได้ว่า
“สมุดฝากข้อความของลูกค้า”
สภาพของมันดูเก่าและหมึกภายในก็จางมากแต่ว่าก็ยังคงสามารถที่จะอ่านใจความบางอย่างภายในได้ พัสสรเดินเข้าไปหาสรเพื่อที่จะขอดูสมุดเล่มนั้นทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอใช้มือของเธอปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ด้านหน้าของสมุดเล่มนั้นเบาๆก่อนที่จะใช้ปลายนิ้วพลิกเปิดสมุดหน้าแรกเข้าไปอย่างระมัดระวัง
สร : อ้าวๆ นี่เธอจะแอบอ่านข้อความที่ลูกค้าของร้านนี้เขียนเอาไว้งั้นเหรอ มารยาทไม่ดีเลยน๊า
สรกล่าวขึ้นด้วยท่าทางทีเล่นทีจริงแต่ว่าสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง คำพูดของเขานั้นทำให้พัสสรได้แต่ยิ้มออกมาเจือนๆ
พัสสร : แอบดูนิดเดียวคงไม่เป็นไรหรอกนะคะ ละมั้งนะ แหะๆๆๆ
เธอกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะเพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสมุดเล่มนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้กวาดสายตาอ่านข้อความในบรรทัดแรก ป้อมและสึคาสะก็กลับมายังบริเวณจุดนัดพบ พวกเขาตรงเข้ามาที่อาคารซึ่งพวกของพัสสรกำลังหลบฝนอยู่พอดี ชายหนุ่มทั้งสองคนเล่าเรื่องราวที่พวกเขาได้เจอเกี่ยวกับรถบัสซึ่งควรจะต้องมารับพวกเขาให้กับอีก 2 คนได้ฟัง
พัสสร : หมายความว่ารถบัสที่จะมารับพวกเราประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำไปแล้วสินะคะ แล้วแบบนี้พวกเราจะสามารถติดต่อกับคณะทัวร์ให้นำรถคันอื่นมารับพวกเราได้ยังไง
ป้อม : ตอนนี้ผมเองก็ยังไม่มีความคิดอะไรดีๆเลยครับ ทุกคนล่ะคิดว่าจะเอายังไงกันดีครับ ?
ป้อมเงยหน้าขึ้นและพูดกับทุกคนพร้อมกับทำความเห็นถึงสิ่งที่พวกเขานั้นคิดจะทำต่อไป
To Be Continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 6, 2019 16:11:14 GMT
Turn 3 ป้อม : ทุกคนคิดว่าจะเอายังไงกันดีครับ ?
ป้อมถามความเห็นของทุกคนขึ้นมาเนื่องจากว่าเขาในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี ฝนด้านนอกก็ตกลงมาอย่างหนักอีกครั้งตอนนี้พระอาทิตย์ก็รับขอบฟ้าไปแล้วภายในเมืองร้างที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าในยามราตรีทุกอย่างมืดสนิทจนมองไม่เห็นกระทั่งมือของตัวเองเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่จะช่วยทำให้พวกเขามองเห็นในตอนกลางคืนคือแสงจันทร์อันริบหรี่ที่ถูกบดบังด้วยเมฆฝนเท่านั้น
สร : อ่า…..ตอนนี้ก็มืดแล้วนะฝนก็ตกด้วย จะให้เดินไปไหนมาไหนอันตรายนะ หลบอยู่ในนี้ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ ?
พัสสร : นั่นสินะคะ ออกไปเดินตอนกลางคืนเวลาฝนตกค่อนข้างจะอันตรายมากด้วย แล้วอีกอย่างนึงฉันรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ
สึคาสะ : ……….
ป้อม : เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ บางทีคนจัดทัวร์อาจจะกำลังส่งคนออกมาตามหาเราอยู่ก็ได้ถ้าหากว่าเราเดินออกไปข้างนอกแล้วเกิดพลัดหลงกันอีกคงจะเป็นอะไรที่แย่แน่เลย
สร : อึก อึก อึก ฮร้าาาาา ชื่นจาย
หลังจากที่ตกลงกันได้ว่าจะปักหลักรอคอยอยู่ภายในตัวอาคารของร้านกาแฟร้างสรก็หยิบสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าเป้ของเขาขึ้นมา ภายในกระเป๋าเป้ของเขานั้นมีน้ำอัดลมจำนวนกว่า 10 กระป๋องบรรจุอยู่เอาไว้จนเต็ม เขาหยิบขึ้นมากระป๋อง 1 และเปิดดื่มอย่างชื่นใจ
สร : นี่แหละคือน้ำทิพย์ของทวยเทพที่แท้จริง ผมขาดมันไม่ได้เลยนะครับ อ๊ะ แล้วผมก็ไม่แบ่งให้ใครด้วยนะ
สรพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังก่อนที่จะเอามือกอดเป้ของเขาเอาไว้แน่น เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็ได้แต่ยิ้มเล็กๆให้กับท่าทางที่เหมือนเด็กของเขา
ป้อม : ถ้ายังไงผมขอลองเข้าไปดูข้างในหน่อยนะครับว่าภายในร้านกาแฟนี้ จะมีอะไรเหลือพอที่จะใช้ประโยชน์ได้บ้าง บางทีพวกเราอาจจะต้องคอยนานกว่าที่คิดก็ได้
สึคาสะ : ถ้าอย่างนั้นผมขอไปด้วยนะครับ (ภาษาญี่ปุ่น)
สึคาสะพยายามที่จะขอตามป้อมไปเพื่อสำรวจด้วยถึงแม้ว่าป้อมจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดก็ตามแต่ว่าท่าทางของเขาก็ทำให้ป้อมเข้าใจเขาบ้างไม่มากก็น้อย ทั้งสองคนจึงเดินหายเข้าไปด้านหลังของร้านกาแฟซึ่งเป็นอาคารที่เก่าทรุดโทรมและเหมือนว่าจะไม่ได้รับการใช้งานมานานแล้ว
สร : จะว่าไปแล้วเธออยากจะอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอ สมุดฝากข้อความของลูกค้า ไม่ลองอ่านต่อดูล่ะบางทีอาจจะมีอะไรที่น่าสนใจก็ได้นาา
พัสสร : นั่นสินะคะ…..
หลังจากที่ได้ยินสรพูดเช่นนั้นพัสสรก็หยิบสมาร์ทโฟนของตนเองขึ้นมาและเปิดไฟฉายเพื่อที่จะอ่านสมุดฝากข้อความของลูกค้าซึ่งเธอตั้งใจว่าจะอ่านมันตั้งแต่ตอนแรก เธอพยายามที่จะอ่านข้อความที่หมึกซึ่งถูกเขียนเอาไว้ยังไม่จางหายไป ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นข้อความธรรมดาทั่วไปที่ไม่ค่อยน่าสนใจอะไร จนกระทั่งเธอไปสะดุดกับเนื้อหาบางส่วนที่ดูแปลกประหลาดไปจากปกติ
เนื้อหาภายในสมุด 4 เมษายน XXXX
ลูคัส : Master วันนี้เป็นกลางฤดูร้อนที่ควรจะต้องร้อนอบอ้าว แต่ว่าฝนกลับตกลงมาอย่างหนัก ในตอนเช้ามืดที่ผมก็ตะเวนผมเห็นเงาประหลาดบางอย่างภายในป่าด้านหลังเมือง มันเหมือนกับสัตว์ขนาดใหญ่ แต่ว่าไม่น่าจะใช่หมี หรือว่าอะไรพวกนั้นหรอก ถ้าหากว่ามาสเตอร์เห็นพวกเด็กๆกำลังจะเข้าไปเล่นภายในป่าช่วยห้ามพวกเขาด้วยนะ ผมกลัวพวกเขาจะเป็นอันตราย
13 เมษายน XXXX
โมนิก้า : คุณเจ้าของร้านช่วงนี้ฉันเห็นหัวหน้าลูคัสพยายามจะเข้าไปภายในป่าที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองบ่อยมากเลยค่ะ ทั้งๆที่พวกเราก็ไม่ได้รับแจ้งเหตุร้ายอะไร ฉันไม่รู้ว่าหัวหน้าทำไปเพราะอะไร ฉันพยายามที่จะติดตามเขาไปนะ แต่ว่าเขากลับไล่ฉันกลับมา ฉันคิดว่าเขาคงจะทำอะไรที่มีเหตุผลอยู่อย่างแน่นอน
15 เมษายน XXXX
ลูคัส : Master ผมรู้ว่าผมไม่ควรที่จะต้องเอาเรื่องแบบนี้มาปรับทุกข์กับคุณหรอกนะ แต่ว่าช่วยรับฟังผมเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน โมนิก้า เป็นตำรวจหญิงหน้าใหม่และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผมเธอเป็นคนร่าเริงสดใสและกระตือรือร้นช่วยเหลืองานผมเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้เธอรู้ว่าผมกำลังต้องเจอกับอะไร ดังนั้นคุณจะช่วยบอกเขาหน่อยได้ไหมว่าอย่าสนใจเรื่องของผมมากนักเลย
พัสสรพยายามที่จะหาข้อความส่วนต่อของลูคัสและโมนิก้า แต่ดูเหมือนว่าสมุดเล่มนี้จะเก่าเกินไป อีกทั้งเธอยังรู้สึกว่ามันมีเรื่องอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับสองคนนี้เมื่อนานมากมาแล้ว บางทีในตอนนั้นพวกเขาอาจจะกำลังประสบปัญหาบางอย่างอยู่ก็ได้ แต่มันคงจะเป็นเรื่องที่ผ่านไปนานแล้วล่ะเธอไม่ควรจะต้องสนใจมัน บางครั้งความอยากรู้อยากเห็นของเธอก็ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่ชอบตัวเองเท่าไหร่เลย พัสสรนำหนังสือบันทึกฝากข้อความของลูกค้าเก็บเอาไว้ใต้ลิ้นชักที่เดิมของมัน ในขณะที่สรมองการกระทำของเธออยู่ห่างๆ
สร : เป็นยังไงบ้างล่ะครับสนุกดีหรือเปล่า ?
พัสสร : ฉันไม่น่าอ่านมันเลยนะคะ รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้กับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง
สร : เห…..อย่างนั้นเหรอ แล้วในนั้นมันเขียนว่าอะไรบ้างล่ะ ?
พัสสร : รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องของนายตำรวจคนหนึ่งที่ไปเจอเข้ากับเงาประหลาดบางอย่างที่อยู่ในป่า คล้ายกับสัตว์ขนาดใหญ่น่ะคะ
สร : หืมมมมม
ในขณะที่พัสสรกำลังเล่าเรื่องที่เธอได้อ่านเจอภายในสมุดบันทึกฝากข้อความของลูกค้าให้กับสรได้ฟัง ป้อมและสึคาสะพวกเขาได้เดินเข้าไปสำรวจด้านหลังร้าน พวกเขาใช้ไฟฉายกระบอกเล็กที่ได้มาจากรถบัสซึ่งประสบอุบัติเหตุในการให้แสงสว่างด้านหลังร้านกาแฟแห่งนี้เป็นห้องขนาดกลางซึ่งดูเหมือนน่าจะเป็นห้องพักพนักงานและห้องพักของเจ้าของร้าน ภายในพบเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ดูเก่าแก่และหนังสือจำนวนนึง แต่พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจหนังสือที่เรียงรายอยู่บนชั้นวางของเลยแม้แต่น้อย พวกเขาทั้งสองคนนั้นเดินสำรวจหาของที่ดูว่าจะใช้การได้มากกว่านั้น
ป้อม : ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะต้องมาค้างคืนในเมืองร้างแบบนี้ เป้และกระเป๋าสัมภาระก็เลยฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ของโรงแรม คงจะต้องหาอะไรที่พอใช้ได้บ้างแล้วล่ะ
ป้อมพูดขึ้นมาลอยๆ เพราะว่าเขาเองนั้นก็รู้ว่าเพื่อนร่วมทางของเขาอีกคนนึงคงจะไม่สามารถเข้าใจคำพูดของเขาได้แน่
สึคาสะ : คุณ พอที่จะ ฟังภาษาอังกฤษ เล็กน้อย ได้ไหมครับ ? (ภาษาอังกฤษ)
ป้อม : ใช่แล้วนิดหน่อย มีอะไรงั้นหรอ ? (ภาษาอังกฤษ)
สึคาสะ : รถบัส รอยข่วนยาว สัตว์ร้าย ไม่ปกติ (ภาษาอังกฤษ)
ป้อม : เหมือนกัน ไม่ปกติ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน รู้สึกไม่ดีเลย (ภาษาอังกฤษ)
สึคาสะ : พวกคุณ ต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่ (ภาษาอังกฤษ)
ป้อม : ใช่แล้วล่ะ (ภาษาอังกฤษ)
พวกเขาทั้งสองคนนั้นพยายามที่จะหาของที่ดูเหมือนจะใช้การได้จากบริเวณด้านหลังร้าน ป้อมพบกับมีดทำครัวขนาดเล็กเล่มหนึง มันทำจากสแตนเลสเนื้อดีจึงทำให้มันยังคงความคมเอาไว้และไม่มีร่องรอยของสนิมได้ทั้งๆที่เวลาผ่านมาหลายปีแล้วเขาหยิบมันขึ้นมาและเก็บไว้กับตัว
สึคาสะ : ดูนี่สิ มันยอดไปเลย (ภาษาอังกฤษ)
สึคาสะพูดขึ้นด้วยความยินดีหลังจากที่เขานั้นหยิบขวดวอดก้าซึ่งถูกเปิดใช้ไปแล้วมันเหลืออยู่ประมาณเศษ 1 ส่วน 3 ของขวด ซึ่งดูเหมือนว่าร้านกาแฟแห่งนี้จะขาย Cocktail ด้วยและมันก็น่าจะคือส่วนผสมของ Cocktail
ป้อม : นี่ไม่ใช่เวลา จะมาดื่มเหล้านะ (ภาษาอังกฤษ)
สึคาสะ : เข้าใจผิดแล้ว เราใช้มันจุดไฟ แสงสว่าง ใช้ฆ่าเชื้อแผลได้ (ภาษาอังกฤษ)
หลังจากที่ได้ยินสึคาสะอธิบายป้อมก็เข้าใจในเหตุผลของมัน หลังจากที่ตรวจดูว่าไม่มีอะไรที่พอจะใช้การได้อีกแล้วทั้งสองคนก็กลับเอามาจากด้านหลังของร้านโดยที่ป้อมนั้นหยิบหนังสือพิมพ์บางส่วนออกมาด้วยเพื่อที่เขาจะใช้เป็นตัวล่อประกายไฟในการจุดไฟ จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็กลับออกมาที่ด้านหน้าร้าน
ป้อม : เป็นยังไงบ้างครับมีใครมาตามหาเราไหม ?
สร : ไม่มีแม้แต่เงาครับ แต่ก็ไม่แปลกหรอกนะบรรยากาศแบบนี้ใครจะออกมาเดินข้างนอกกัน ……
ในระหว่างที่สรนั้นกำลังพูดทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาที่บริเวณด้านหน้าร้านซึ่งพวกเขานั้นกำลังนั่งกันอยู่ เธอวิ่งผ่านสายฝนมาด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน แล้วตรงเข้ามาเคาะยังกระจกซึ่งกั้นระหว่างบริเวณด้านในร้านและภายนอก
ขวัญ : โชคดีจังเลย ! ที่ยังมีคนเหลืออยู่ ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมคะ !!
หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูยินดี พัสสรเดินออกไปเปิดประตูไม้ซึ่งเธอล็อคอยู่จะภายในให้หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามา ตัวของเธอนั้นมีบาดแผลเล็กน้อยอีกครั้งยังเปียกไปด้วยน้ำฝนดูท่าทางจะหนาวเย็น
ขวัญ : ขอบคุณมากนะคะ โชคดีจังเลยที่ยังมีคนเหลืออยู่ ฉันนึกว่าฉันจะเป็นคนสุดท้ายที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ซะแล้ว ตอนนี้รถบัสผ่านไปกี่คันแล้วคะ ?
ป้อม : รถบัสที่จะมารับพวกเรากลับเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ พวกเรากำลังรอความช่วยเหลือกันอยู่ เธอพูดแบบนั้นหมายความว่ามีคนที่ได้กลับไปก่อนหน้านี้แล้วอย่างนั้นหรือ ?
ขวัญ : อ้าว ? กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปกับกลุ่มเดียวกับฉันค่อยๆหายไปทีละคนสองคน ฉันนึกว่าพวกเขากลับกันไปก่อนแล้วซะอีก ไม่ใช่แบบนั้นหรอกหรือคะ ?
สร : ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ พวกเรารออยู่ที่จุดนัดพบตรงนี้มาตั้งแต่ตรงเวลาที่รถบัสจะมารับ พวกเรายังไม่เห็นใครเลย
คำตอบของสรทำให้ทุกคนเงียบนิ่งสนิท มันเป็นความเงียบที่ชวนขนลุก เสียงของเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบสิ่งก่อสร้างอันทรุดโทรมภายนอกดังจนได้ยินได้อย่างชัดเจน
ขวัญ : เอ่อ…..นี่มันหมายความว่ายังไงกันคะเนี่ย ?
ป้อม : ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ถ้ายังไงเธอลองช่วยเล่าเรื่องของเธอให้พวกเราฟังหน่อยจะได้ไหม เผื่อบางทีพวกเราอาจจะรู้เรื่องอะไรมากขึ้นก็ได้
เมื่อป้อมพูดอย่างนั้น ขวัญก็เริ่มเล่าเรื่องของเธอ ทันทีที่เธอมาถึง Moonlight City เธอก็ออกไปถ่ายรูปตามซากปรักหักพังซึ่งดูมีมนต์เสน่ห์ของเมือง เธอไปพร้อมกับคุณตัวใหญ่ที่มีสมาชิกเป็นนักท่องเที่ยวประมาณ 10 กว่าคน พวกเขานั้นเดินลึกเข้าไปในเมืองเรื่อยๆ ไปจนเลยสิ่งที่ทางคณะนำเที่ยวเรียกว่า โซนปลอดภัย พวกเขาเข้าไปในโซนที่ไม่ได้รับอนุญาตและขวัญก็ตามพวกเขาเข้าไป แต่หลังจากที่เดินไปได้ระยะหนึ่งขวัญก็รู้สึกว่าใกล้จะถึงเวลาที่จะกลับแล้วเธอจึงโบกมือให้กับนักท่องเที่ยวซึ่งเดินนำหน้าเธอว่าเธอนั้นจะขอตัวกลับก่อน
จากนั้นเธอนั้นจะหันหลังและเดินกลับ มีนักท่องเที่ยวบางคนที่รู้สึกแบบเดียวกับเธอว่าใกล้จะได้เวลาที่รถบัสจะมารับกลับแล้วและเดินตามกันมา แต่เมื่อเดินมาได้สักระยะหนึ่งฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างพากันหาที่หลบฝน จนกระทั่งเวลาผ่านไปฝนก็ยังไม่หยุดตกลงมาสักทีเธอจึงตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับมาที่จุดนัดพบโดยที่ระหว่างทางนั้นเธอไม่พบใครเลย
พัสสร : แล้วแผลถลอกตามตัวของเธอล่ะคะ
ขวัญ : ฝนตกพื้นก็เลยลื่นฉันมองไม่ค่อยเห็นทางข้างหน้าก็เลยหกล้มนิดหน่อยค่ะ
พัสสร : ถ้ายังไงก็นั่งพักก่อนก็แล้วกันนะคะ เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้ฉันมีผ้าเช็ดตัวแล้วก็ผ้าเช็ดหน้าติดตัวมาด้วยค่ะ
สึคาสะ : ใช้นี่ ฆ่าเชื้อ (ภาษาอังกฤษ)
พัสสร : ขอบคุณค่ะ (ภาษาอังกฤษ)
ขวัญ : พี่คนนี้เขาเป็นชาวญี่ปุ่นหรอคะ ? ฉันพอจะใช้ภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อยนะคะ
ขวัญ : สวัสดีค่ะยินดีที่ได้รู้จักนะคะฉันชื่อขวัญ แล้วคุณล่ะ (ภาษาญี่ปุ่น)
สึคาสะ : สึคาสะ ไดสุเกะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ (ภาษาญี่ปุ่น)
ป้อม : ค่อยยังชั่วหน่อยดูเหมือนว่าพวกเราจะได้ล่ามแล้วสินะ
หลังจากนั้นขวัญก็ได้รับการทำแผลจากพวกของพัสสร พวกเขานั้นตัดสินใจที่จะพักผ่อนกันภายในร้านกาแฟร้าง โดยที่มีการจัดเวรยามให้มีคนที่ตื่นอยู่อย่างน้อย 1 คน เพื่อที่จะคอยดูว่าจะมีคนมาช่วยพวกเขาหรือไม่
เวลา 01:30 น
ในตอนนี้เป็นตอนดึกสงัดแล้วฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มได้งีบหลับลงไปหมดแล้วยกเว้นเพียงแค่ป้อมซึ่งเขามีหน้าที่เฝ้ายามอยู่ในตอนนี้เท่านั้น เขายังคงนั่งสงบนิ่งสายตาของเขานั้นมองออกไปลอดผ่านกระจกของร้านไปยังเมืองร้างด้านนอก แสงจันทร์ที่เริ่มจากโผล่ออกมาพ้นเมฆ ฉายภาพบรรยากาศของเมืองร้างยามค่ำคืนที่ดูน่าขนลุกปรากฏตรงหน้า
ป้อม : รอยฉีกขาดที่ตัวถังของรถบัสไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติแน่ มีอะไรบางอย่างผิดปกติ อะไรบางอย่างที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน อะไรบางอย่างที่เราไม่รู้จัก …..
ป้อมคิดในใจถึงสิ่งที่เขาได้เจอเมื่อตอนกลางวัน หลังจากที่คิดทบทวนไปมาเขาก็ไม่สามารถที่จะหาคำตอบให้กับตัวเองได้ สิ่งที่เขามีปรากฏขึ้นในใจคือความกลัวที่เริ่มจะก่อตัวขึ้น เขาพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองนึกถึงมัน แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะลบภาพที่เห็นออกไปได้โดยสิ้นเชิง
ในระหว่างที่เขากำลังตกอยู่ในภวังค์ของห้วงความคิด โสดประสาทของเขาก็ได้ยินอะไรบางอย่าง มันเป็นเสียงที่ไม่ใช่เสียงของหยาดน้ำฝน และก็ไม่ใช่เสียงของลม เขาพยายามที่จะเงี่ยหูฟังเสียงที่แปลกประหลาดนั้น
ครืดดดดดดด ครืดดดดดดดดด แผละ………
เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกขนลุก มันเหมือนกับเสียงของอะไรบางอย่างที่ลากไปกับพื้นถนน และเสียงของอะไรบางอย่างที่โดนแบนอ่อนนุ่มและเต็มไปด้วยเมือกตบลงที่พื้นถนน เสียงของมันนั้นอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขานั่งอยู่ แต่ว่าทีศทางของเสียงก็ไม่ได้มุ่งหน้ามาทางที่พวกเขานั้นกำลังหลบอยู่เช่นกัน
ป้อม : นั่นมันเสียงอะไร ?! รู้สึกขยะแขยงชะมัดเลย ? เอาไงดีเนี่ย ?
เขาหันหน้าไปมองทางพรรคพวกของเขาซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ ทุกคนนั้นหลับลงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ภายในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยคำถามว่าเขาควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี
To Be Continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 7, 2019 15:54:17 GMT
Turn 4 ครืดดดดดดด ครืดดดดดดดดด แผละ………
เสียงประหลาดที่ป้อมได้ยินดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นที่เขาได้เห็นที่บริเวณรถบัสยิ่งทำให้ความกลัวก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าตอนนี้เขาหลุดเข้ามาอยู่ในหนังสยองขวัญอะไรบางอย่างที่เขาเคยดูเมื่อนานมาแล้ว
ป้อม : จะเอายังไงดี ? ทั้งชีวิตเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย ! รู้สึกอันตรายยังไงก็ไม่รู้ ดีล่ะ ! ถ้ายังไงเราปลุกคนอื่นก่อนจะดีกว่า แต่เราก็ไม่อยากให้อะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ว่าคืออะไรมันรู้ตัวว่าเราอยู่ตรงนี้ ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ….
ป้อมพยายามเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาที่สุดเขาตรงเข้าไปปลุกสรก่อนเป็นคนแรกสรตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราด้วยท่าทางที่ดูงัวเงีย
สร : มีอารายยยย เช้าแล้วหราาา…..
ป้อม : ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ตอนนี้มีอะไรบางอย่างแปลกๆ นายอย่าทำเสียงดังนะแล้วค่อยๆลุกขึ้นมา แล้วลองฟังเสียงข้างนอกดูสิ
สร ทำตามที่ป้อมพูดทุกอย่างและเขาก็ได้ยินเสียงแบบเดียวกันกับที่ป้อมได้ยินท่าทางของสรนั้นดูตึงเครียดขึ้นมาได้อย่างชัดเจนจากปกติแล้วเขาเป็นคนที่มีบุคลิกภาพเป็นคนที่ดูสบายๆ
ป้อม : ผมจะไปปลุกสึคาสะ ส่วนนายเป็นคนไปปลุกพัสสรนะ แล้วบอกพวกเขาว่าจะทำเสียงดังล่ะเราไม่รู้ว่าข้างนอกมันคืออะไรกันแน่ มันชวนให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่รถบัสประสบอุบัติเหตุยังไงก็ไม่รู้
ป้อมกล่าวย้ำในสิ่งที่เขาคิด สร พยักหน้าตอบรับก่อนที่เขานั้นจะลงมือทำตามที่ป้อมบอก ในที่สุดตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มก็ตื่นขึ้นมาหมดแล้วและคนที่ดูท่าทางอยากรู้อยากเห็นและอยากจะออกไปข้างนอกมากที่สุดก็คือขวัญ
ขวัญ : ทำไมกันคะ ? ทุกคนอยากจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอกคืออะไรทำไมพวกเราถึงไม่ออกไปดูมันกันให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยล่ะคะ
ขวัญกล่าวย้ำถึงสิ่งที่เธออยากจะทำ ทั้งๆที่ป้อมได้บอกกับเธอถึงสิ่งที่เขาได้เจอเมื่อตอนเย็นมาแล้วแต่ดูเหมือนว่าขวัญนั้นจะไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวหรือว่าระมัดระวังเลยแม้แต่น้อย
สึคาสะ : ขวัญ กรุณาใจเย็นด้วยครับ ภายในเมืองแห่งนี้มีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนภายนอก อันตรายนะ (ภาษาญี่ปุ่น)
สึคาสะออกปากห้ามขวัญด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง ขวัญจึงได้มีท่าทางที่ดูสงบลงถึงแม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ในขณะที่ทุกคนนั้นกำลังอยู่ในความเงียบและฟังเสียงที่อยู่ภายนอกอย่างระมัดระวังที่สุด
พัสสร : แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่จริงๆนะคะเสียงนั่น เราลองค่อยๆแอบออกไปดูสักนิดดีกว่าไหมคะ ?
ป้อม : ข้างนอกมืดมากเลยนะครับแล้วฝนก็ยังตกอยู่ด้วยถึงจะไม่หนักเหมือนกับเมื่อตอนช่วงหัวค่ำแต่ว่าตอนนี้ในเมืองเต็มไปด้วยหมอกจางๆจากไอน้ำที่เกิดจากฝน บางทีทัศนวิสัยของเราอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะก็ได้นะ สร : ใครอยากจะออกไปดูเขาไปเถอะผมขออยู่ตรงนี้แหละ
ขวัญ : ถ้าอย่างนั้นฉันขอออกไปเองนะคะ รับรองเลยค่ะว่าจะไปแอบดูให้เงียบที่สุดเลย
ขวัญรับอาสาที่จะออกไปตรวจดูต้นเสียงที่ผิดปกติภายนอกโดยที่เธอรับปากว่าจะระมัดระวังตัวและทำให้เงียบที่สุด ทุกคนย่อมใจอ่อนในความกระตือรือร้นของเธอขวัญค่อยๆก้าวเดินออกจากบริเวณด้านหน้าของร้านกาแฟไปอย่างระมัดระวังและเงียบเฉียบ
ต้นเสียงนั้นอยู่ไม่ไกลจากบริเวณจุดนัดพบของพวกเขาซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของร้านกาแฟห่างออกไปเพียงไม่ถึง 40 เมตร เพียงแต่ว่าในตอนนี้แสงสว่างยามค่ำคืนซึ่งมีเพียงแค่แสงจันทร์ทำให้บรรยากาศภายนอกมืดมากแล้วไม่สามารถจะมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขวัญสามารถเห็นได้ตัดกับความมืดขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
หญิงสาวอายุประมาณไม่เกิน 20 ปีเธอมีเส้นผมสีแดงราวกับเปลวเพลิง ใบหน้าของเธอมันดูสวยสดงดงามดวงตาของเธอดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูด เธอกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดและสายฝนด้านนอกอย่างเดียวดาย ขวัญรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นมากแต่เธอก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ทุกครั้งที่หญิงสาวคนนั้นก้าวเดินก็จะมีเสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างที่ลากไปกับพื้นซึ่งก็คือเสียงที่พวกเขาได้ยิน มันเป็นอะไรที่ประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเธอเห็นมา
ขวัญ : ต้องรีบกลับไปบอกทุกคนแล้วล่ะ
เธอคิดในใจและเดินกลับเข้าไปในบริเวณร้านกาแฟอย่างช้าๆและเงียบเชียบดูเหมือนว่าหญิงสาวผมสีแดงนั้นจะไม่รู้ถึงการมาของเธอเลยแม้แต่น้อยหรือบางทีหญิงสาวผมสีแดงอาจจะรู้เพียงแต่เธอนั้นไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา หลังจากที่ขวัญกลับเข้ามาด้านในเธอก็ได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับสมาชิกทุกคนได้รู้
พัสสร : บางทีเธอคนนั้นอาจจะเป็นนักท่องเที่ยวที่กำลังหลงทางอยู่ก็ได้นะคะ
สร : ถ้าเป็นแบบนั้นจริงแล้วทำไมถึงออกมาเดินตอนตี 1 กว่าแบบนี้ล่ะ ไม่แปลกบ้างหรือไง ?
ป้อม : บางทีเธออาจจะมารอรถบัสเหมือนกับพวกเราแต่ว่าเธอแค่มาแล้วไม่เจอใครก็เลยเดินตามหาหรือเปล่า ? แต่ว่าเสียงประหลาดนั่นชวนให้ขนลุกชะมัดเลย
สึคาสะ : แน่ใจนะครับ ว่ามันไม่ใช่ ภาพลวงตา ? (ภาษาอังกฤษ)
ขวัญ : ไม่ใช่แน่นอนค่ะ ฉันเห็นจริงๆนะคะ เธอเหมือนกับพวกเรานี่แหละ เอายังไงดีล่ะคะบางทีเธออาจจะเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาก็ได้เพียงแต่ว่าคือหาคนอื่นไม่เจอก็เลยเที่ยวเดินตามหาอยู่จนป่านนี้
ป้อม : แล้วพวกเราจะพิสูจน์ยังไงล่ะให้เดินเข้าไปถามเธองั้นหรอ ? ทำไมผมจะรู้สึกไม่ดีก็ไม่รู้ ?
สร : มัวแต่คุยกันแบบนี้ก็ไม่ได้เรื่องกันพอดี พวกนายจะเอายังไงล่ะ ? ลองว่ามาสิ ?
คำพูดของ สร นั้นทำให้ทุกคนหยุดนิ่งและใช้ความคิด ก่อนที่ทุกคนนั้นจะเสนอความคิดที่ดีที่สุดของทุกคนออกมา
To be continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 8, 2019 12:18:41 GMT
Turn 5 สร : มัวแต่คุยกันแบบนี้ก็ไม่ได้เรื่องกันพอดี พวกนายจะเอายังไงล่ะ ? ลองว่ามาสิ ?
สรพูดขึ้นเพื่อถามความเห็นของทุกคน ทันทีที่ได้ยินดังนั้นพัสสรก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่อยากรู้อยากเห็นว่า
พัสสร : มันแปลกมากอยู่นะคะที่ผู้หญิงคนเดียวจะมาเดินกลางสายฝนตอนเวลาประมาณนี้ ถ้ายังไงพวกเราลองสะกดรอยตามเธอไปดูไหมคะฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าเธอจะเดินไปที่ไหนเพราะดูเหมือนว่าจุดนัดพบนี้จะไม่ใช่เป้าหมายของเธอนะคะ
สึคาสะ : สะกดรอยตามนั้นเหรอ เหมือนพวกโรคจิตเลย พวกเรา เข้าไปคุยกับเธอตรงๆเลยไม่ดีกว่าเหรอ (ภาษาอังกฤษ)
ป้อม : แต่ไม่ว่ายังไงผมก็รู้สึกได้ถึงอันตรายจากเธออยู่ดี จะพูดยังไงดีล่ะผมเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันแต่ผมคิดว่าเราควรจะไม่สนใจเธอจะดีกว่านะครับ พอถึงตอนเช้าเราค่อยออกไปหาข้อมูลกันอีกที ออกไปตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไป
สร : ฉันเองก็เห็นด้วยกับพ่อหนุ่มหัวแดงนะ ออกไปข้างนอกตอนนี้ดูอันตรายนอนหลับอีกสักนิดนึงเดี๋ยวก็เช้าแล้วนา
ขวัญ : แต่ว่าฉันเห็นด้วยกับพี่พัสสรนะคะ พวกเราลองตามเธอไปห่างๆจะดีกว่าฉันรู้สึกสงสัยยังไงก็ไม่รู้ค่ะตั้งแต่เห็นเธอแล้ว
ความเห็นของทุกคนในกลุ่มต่างพากันกระจัดกระจายไปต่างๆนานา และดูเหมือนว่าทุกคนก็ไม่สามารถที่จะสรุปได้ว่าจะทำอย่างไร
ขวัญ : เอาอย่างนี้ไหมล่ะคะฉันกับพี่พัชสอนจะสะกดรอยตามเธอไปแต่พวกเราจะไปกันไม่ไกลหรอก อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าเธอกำลังจะเดินไปทางไหนก็ยังดีแล้วยังไงพวกเราจะรีบกลับมานะคะ
สร : เอาอย่างนั้นก็ได้แต่ก็ระวังตัวด้วยนะ แล้วก็ถ้าเกิดว่าเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นมาอย่าวิ่งกลับมาทางนี้เชียวล่ะ โชคดีน๊าาา
สร พูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูทีเล่นทีจริงแต่สายตาของเขาบอกอย่างแน่นอนเลยว่าเขาไม่อยากจะต้องเจอเรื่องเดือดร้อนตอนกลางคืนที่ฝนตกแบบนี้
สึคาสะ : ผม จะไป กับพวกเธอครับ (ภาษาอังกฤษ)
ป้อม : อย่างนั้นหรอ เข้าใจแล้วล่ะ ระวังตัวด้วยนะ 3 คน (ภาษาอังกฤษ)
ถึงแม้ว่าความคิดของพวกเขานั้นจะแยกกันออกไปคนละทางแต่ว่าในที่สุดพวกเขาก็สามารถที่จะหาข้อตกลงกันได้โดยที่กลุมของขวัญ ซึ่งประกอบด้วยตัวเธอ พัสสร และสึคาสะ จะสะกดรอยตามหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีแดงไปห่างๆ เพื่อที่จะดูว่าเธอนั้นจะเดินไปทางไหน ส่วนป้อมและ สร จะคอยอยู่ที่ร้านกาแฟ
หลังจากที่ตกลงกันได้แล้วพวกของพัสสรก็สะกดรอยตามหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีแดงไปอย่างห่างๆ แสงจันทร์ที่ถูกเมฆฝนบดบังทำให้ระยะการมองเห็นของพวกเธอนั้นค่อนข้างน้อย แต่เนื่องจากผู้หญิงผู้มีเส้นผมสีแดงนั้นเดินไปอย่างเชื่องช้าตามถนนที่มืดมิด ทำให้พวกเธอนั้นเดินตามไปห่างๆได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
พัสสร : เสียงเดินของเธอแปลกจังเลยนะคะ เหมือนกับว่าเธอกำลังลากอะไรไปด้วยอย่างนั้นแหละ แต่ว่าฉันมองไม่เห็นด้านล่างเลย มันมืดเกินไป
ขวัญ : ตรงนั้นแหละค่ะที่ทำให้ฉันสงสัย เสียงเหมือนกับเมือกและอะไรบางอย่างที่หนักลากไปตามพื้น
หญิงสาวทั้งสองคนนั้นพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาในขณะที่สึคาสะได้แต่นิ่งเงียบและจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีแดงซึ่งเดินเข้าไปด้านในตัวเมืองและออกนอกแผนที่ซึ่งนักท่องเที่ยวได้รับ เธอกำลังเดินเข้าไปสู่เขตเมืองที่เป็นเขตหวงห้ามสำหรับนักท่องเที่ยว
พัสสร : เธอกำลังเดินขึ้นไปทางทิศตะวันตกของเมือง …… ฉันสังเกตได้จากป้ายบอกทางที่พวกเราผ่านมา
พัสสรพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาในขณะที่เธอนั้นนึกถึงบันทึกซึ่งเธอได้อ่านภายในร้านกาแฟซึ่งเป็นเรื่องของลูคัสตำรวจประจำเมืองนี้และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาโมนิก้า
สึคาสะ : ฝน เริ่มเบาลงแล้ว (ภาษาอังกฤษ)
สึคาสะรู้สึกได้ถึงหยาดน้ำฝนที่ตกลงมาเริ่มมีปริมาณลดลงในขณะที่เมฆฝนซึ่งอยู่บนฟ้านั้นเริ่มที่จะคลายตัว และเนื่องจากเหตุการณ์นี้ทำให้แสงจันทร์ซึ่งเคยถูกเมฆฝนหนาบดบังเอาไว้สามารถที่จะสาดส่องลงมาด้านล่างได้มากขึ้น มันถูกส่องลงมาจนทั้ง 3 คนนั้น สามารถที่จะเห็นสิ่งที่อยู่ในความมืดทั้งหมดได้ลางๆ
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านั้นทำให้ทั้ง 3 คนนั้นตกใจจนแทบจะเสียสติ หญิงสาวผู้มีเส้นผมสีแดงนั้นดูเหมือนว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ รูปร่างของมันยาวและมีเมือกหล่อลื่นอยู่เต็มร่างของมันไปหมด ลักษณะของมันคล้ายกับไส้เดือนแต่ว่ามีเปลือกแข็งห่อหุ้มร่างกาย ความยาวของวันนั้นอยู่ที่ประมาณ 10 เมตร มันมีแขนทั้งหมด 6 คู่ และส่วนแขนของมันนั้นมีกระดูกแข็งที่คล้ายกับเล็บอยู่ที่ส่วนปลาย ลำตัวของมันมีสีแดงเข้มอมดำ ทั้งยังส่งกลิ่นแปลกๆออกมาตลอดเวลา มันเป็นกลิ่นที่คล้ายกับกลิ่นหอมแต่ในขณะเดียวกันก็ชวนให้ขนลุก
สึคาสะเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่ารอยฉีกขาดซึ่งอยู่บริเวณตัวถังของรถบัสที่เขาเห็นเมื่อตอนเย็นคืออะไรกันแน่ ถ้ามันจะเป็นฝีมือของเจ้าตัวที่ไม่สามารถจะเรียกชื่อได้ซึ่งอยู่ตรงหน้าของเขาก็คงจะไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก
ขวัญและพัสสร เหมือนจะกรีดร้องออกมาแต่พวกเธอทั้งสองคนก็พยายามใช้มือทั้งสองข้างนั้นอุดปากของเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้มีเสียง เพราะมันคงจะเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดอย่างแน่นอนถ้าหากว่าเจ้าตัวนี้สังเกตถึงการมีอยู่ของพวกเธอ
พัสสร : น่ากลัว พวกเรารีบกลับกันเถอะค่ะ เราต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ !
ขวัญ : ฮือ….. ไม่นะฉันไม่น่ามาที่เมืองนี้เลย ……
หญิงสาวทั้งสองคนนั้นมีอาการหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่ขาทั้งสองข้างของเธอนั้นเริ่มจะไม่มีแรง สึคาสะรู้สึกหวาดกลัวไม่ต่างอะไรจากพวกเธอทั้งสองคนเพียงแต่ว่าเขานั้นสามารถที่จะเก็บอาการเอาไว้ได้ไม่มากก็น้อย
สึคาสะ : ทั้งสองคน ยังพอเดินได้อยู่ใช่ไหม ออกไปจากที่นี่กันเถอะ เงียบๆนะ (ภาษาอังกฤษ)
ถึงต่อให้ไม่พูดทั้ง 3 คนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาควรจะต้องเลิกสะกดรอยตามสัตว์ประหลาดยิงสาวผมแดงและกลับไปที่ร้านกาแฟโดยเร็วทั้ง 3 คนจึงถอยห่างออกจากสัตว์ประหลาดตัวนั้นและเดินตรงกลับมาที่ร้านกาแฟด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุดเท่าที่พวกเธอจะทำได้ แต่ในขณะที่ทั้งสามคนนั้นไม่รู้ตัว เจ้าสัตว์ประหลาดหันหลังมามองมนุษย์ทั้ง 3 คนซึ่งกำลังเดินกลับไปอย่างเงียบเชียบแววตาของมันนั้นดูลึกลับและชวนน่าขนลุก แต่มันก็ปล่อยให้มนุษย์ทั้ง 3 คนเดินกลับไปโดยที่ไม่ทำอะไร
ร้านกาแฟ
ขวัญและพัสสร เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับป้อมและสรได้ฟัง ท่าทางของพวกเธอนั้นดูหวาดกลัวสุดขีด ป้อมที่ได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นรู้สึกหนาวขึ้นมาบริเวณสันหลังและสิ่งที่เขาคิดก็คือพวกเขาจะต้องหาทางออกจากเมืองนี้ให้ได้เร็วที่สุดในตอนเช้า
ดูเหมือนว่าโชคของพวกเขายังดีภายในคืนนี้ผ่านไปได้โดยสวัสดิภาพและไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นอีก ในที่สุดเวลาตอนเช้าตรู่เข้ามาถึงพวกเขาทุกคนนั้นไม่ได้นอนกันเลยและบางคนนั้นก็มีอาการอิดโรยเล็กน้อย ยกเว้นสรซึ่งดูเหมือนว่าเขานั้นจะไม่ได้มีความกังวลเทียบเท่ากับคนอื่น
ป้อม : พระอาทิตย์เริ่มจะโผล่พ้นขอบฟ้าแล้วครับ พวกเราไปกันเถอะ ยังไงก็ต้องหาทางออกจากเมืองนี้ไปให้ได้เร็วที่สุด !
To Be Continued
Status Report
สึคาสะ BP - 2 พัสสร BP - 2 ขวัญ BP - 2
|
|
|
Post by wildrose on Sept 10, 2019 16:41:54 GMT
Turn 6
ในที่สุดเวลาเช้าก็มาถึงแสงอาทิตย์สีทองกำลังจับขอบฟ้าถึงแม้ว่าจะเป็น ภายใน moonlight City ซึ่งเป็นเมืองร้างมานานแสนนานแต่แสงอาทิตย์สีทองก็ยังคงสวยงามไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลก เพียงแต่ว่าความรู้สึกของคนที่ได้เห็นแสงอาทิตย์ในตอนนี้มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่ายินดีจริงๆ
ป้อม : เช้าแล้วสินะ …..
ขวัญ : ฝนก็หยุดตกแล้วด้วยค่ะ แต่ว่าพื้นคงจะลื่นน่าดู ฝนเมื่อคืนตกหนักมากเลย แถมยัง ….
ขวัญในตอนนี้ชวนนึกถึงสัตว์ประหลาดที่เธอเห็นในตอนกลางคืนทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวและเย็นสันหลังขึ้นมา
สึคาสะ : จะเอายังไงกันต่อดีครับ (ภาษาอังกฤษ)
พัสสร : พวกเราลองออกไปสำรวจใกล้ๆนี้กันดูไหมคะ ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ฉันได้เห็นเมื่อคืนนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ว่า ……
พัสสรพูดขึ้นในขณะที่เธอนั้นนึกไปถึงบันทึกซึ่งเธอได้อ่านภายในร้านกาแฟ มีนายตำรวจคนหนึ่งได้เจอกับอะไรบางอย่างที่คล้ายกับสัตว์ขนาดใหญ่ภายในป่าบางทีอาจจะเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดนี่ก็ได้
สร : อะไรกันพวกนายตื่นกันแล้วหรอ นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะ ฉันยังง่วงอยู่เลย นั่นพวกนายจะไปไหนกัน ?
ป้อม : พวกเราว่าจะลองออกไปสำรวจใกล้ๆ บางทีอาจจะมีคนที่ออกตามหาพวกเราหรือไม่ก็ลูกทัวร์คนอื่นที่ยังหลงทางเหลืออยู่ก็ได้
สร : งั้นหรอ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญตามสบายเถอะผมยังอยากจะนอนต่ออีกสักหน่อย พยายามเข้านะทุกคน
สร พูดขึ้นพร้อมกับเอนหลังลงใส่กระเป๋าเป้ของเขาและนอนหลับต่อไปอย่างไม่มีท่าทางทุกข์ร้อนอะไร
ป้อม : ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเถอะ แล้วไว้กลับมาเจอกันที่นี่ตอนเที่ยงนะ
หลังจากที่ป้อมกล่าวแบบนั้นทุกคนก็พยักหน้าและแยกย้ายกันไปออกเป็น 2 กลุ่ม ป้อมออกไปสำรวจกับสึคาสะ ส่วนพัสสรและขวัญ ก็ออกไปสำรวจด้วยกันบริเวณใกล้ๆ
เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง
ในตอนนี้เป็นเวลาสายแล้วทุกคนออกไปสำรวจกันหมดเหลือเพียงแต่ สร ที่ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราด้วยท่าทางที่ดูง่วงเงีย เขาเปิดกระเป๋าเป้ของเขาและหยิบน้ำอัดลมขึ้นมา 1 กระป๋องก่อนที่จะกระดกมันเข้าไปด้วยท่าทางที่ดูยินดีปรีดา
สร : ฮร้าาาา ไม่มีอะไรสดชื่นเท่ากับได้ดื่มน้ำอัดลมตอนตื่นนอนอีกแล้ว
แกร๊ก….
เสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างกระทบกันดังออกมาจากด้านนอกร้านกาแฟ ในตอนนี้ทุกคนออกไปสำรวจกันหมดแล้วเหลือเพียงแต่ สร อยู่ภายในร้านเพียงลำพัง
สร : ยังไม่เที่ยงเลยนี่นาพวกนั้นกลับมากันแล้วเหรอ ? แปลกจังเลยนะ ?
สร พูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นมาจากโซฟาที่นั่ง เขาเดินไปทางต้นเสียงซึ่งอยู่บริเวณหน้าร้านกาแฟร้าง แต่เขาก็ไม่พบสิ่งใด เขาจึงเดินออกมาด้านนอกร้านและลองสำรวจดูบริเวณด้านนอก
ตึก ตึก ตึก….
เสียงเหมือนกับรองเท้าหนังกระทบกับพื้นคอนกรีตเก่าๆ ดังขึ้นมาด้านหลังของเขา เพราะเสียงนั้นทำให้เขาหันกลับไปด้านหลังแทบจะทันที
12:00 น
ในที่สุดเวลาเที่ยงก็มาถึงเป็นเวลานัดของพวกป้อมที่จะกลับมารวมกันที่ร้านกาแฟ และดูเหมือนว่าทุกคนก็จะมากันตรงเวลาเสียเหลือเกิน แต่ว่าทันทีที่เขากลับมาพวกเขาก็ต้องพบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจ
ป้อม : นี่มันอะไรกันเนี่ย ?
ป้อมพูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูประหลาดใจเนื่องจากว่าเขาเห็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ภายในร้านกาแฟกับสร เธอเป็นหญิงสาวผมสีแดงอมน้ำตาล วัย 21 ปี ท่าทางจริงจังและอยู้ไม่สุข ถ่ายในมือของเธอเธอกล้องดิจิตอลที่ดูท่าทางจะมีราคาแพงอยู่ด้วย
สร : โย่ ! กลับมากันแล้วหรอพวกนาย เป็นยังไงได้อะไรกันมาบ้าง ?
ป้อม : ผมกับสึคาสะไปที่ Supermarket พวกเราได้อาหารกระป๋องมาจำนวนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะยังกินได้ยังไม่เสียหรอก แต่สภาพที่นั่นน่าสยดสยองน่าดูเลยล่ะ
พัสสร : ฉันกับขวัญไปที่ร้านหนังสือมาค่ะ พวกเราได้หนังสือพิมพ์เก่าๆเกี่ยวกับเมืองนี้มาด้วย แต่ว่ายังไม่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมดนะคะ
ทั้ง 4 คนต่างวางสิ่งของที่พวกเขานั้นหามาได้ลงที่พื้นร้านกาแฟ
นานะ : ขอโทษนะคะที่เสียมารยาท ฉันมีชื่อว่านานาเอะ เอสเทียน่า เป็นช่างภาพอิสระยินดีที่ได้รู้จักนะคะทุกคน (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
หญิงสาวผมสีแดงกล่าวทักทายทุกคนขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูร่าเริงสดใส
ป้อม : ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนานะ คุณคือนักท่องเที่ยวที่มาที่เมืองนี้เหมือนกันใช่ไหมครับ (ภาษาอังกฤษ)
นานะ : ใช่แล้วล่ะค่ะ ฉันมาที่นี่เพื่อจะถ่ายรูปเอาไว้ประกอบนิตยสารที่เขาจ้างฉันมานะคะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
พัสสร : ขอโทษนะคะ แล้วเมื่อคืนนี้คนได้นอนค้างแรมอยู่ภายในเมืองนี้เหมือนกันใช่ไหม คุณได้เจออะไรที่มัน…...แปลกประหลาดบ้างหรือเปล่าคะ (ภาษาอังกฤษ)
นานะ : แปลกประหลาด หมายความว่ายังไงกันคะ เมื่อคืนนี้ฉันไปนอนค้างที่ร้านเฟอร์นิเจอร์ หลับสบายทั้งคืนเลยค่ะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
ทุกคน : ……
ทุกคนที่อยู่ภายในนั้นต่างมองหน้ากันด้วยท่าทางที่ดูประหลาดใจ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ว่ายังมีลูกทัวร์คนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ภายในเมืองนี้อย่างแน่นอน
ป้อม : คุณนานะ คือว่าเมื่อคืนนี้ผมได้เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนครับ ถ้ายังไงคุณลองรับฟังดูสักหน่อยไหมครับ ? (ภาษาอังกฤษ)
นานะ : ฟังดูน่าสนใจดีนะคะ ถ้าอย่างนั้นจะขอรับฟังเอาไว้ก็แล้วกันค่ะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
หลังจากนั้นพวกป้อมได้ทำการเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขาได้เจอเมื่อคืนนี้ให้กับนานะได้ฟัง ทั้งเรื่องเกี่ยวกับรถบัสโดยสารที่เอาไว้ใช้ขนส่งนักท่องเที่ยวประสบอุบัติเหตุอย่างน่าประหลาด และเรื่องของสัตว์ประหลาดที่พวกเขาได้เจอเมื่อคืนในช่วงเวลาฝนตกกลางดึก นานะฟังเรื่องราวเหล่านั้นด้วยท่าทางที่ดูสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
นานะ : SUGOI desu ne !! หมายความว่าในเมืองนี้มีสัตว์ประหลาดในตำนานอยู่สินะ น่าสนใจที่สุดเลยค่ะ มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆเลยนะคะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
ทุกคนนั้นรู้สึกประหลาดใจมากและได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับเธอเนื่องจากว่าสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเธอเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับทำให้เธอดู Active มากขึ้นเป็นเท่าตัว
นานะ : เพราะแบบนั้นสินะคะพวกคุณก็เลยออกไปหาเสบียงพวกนี้มา เข้าใจแล้วล่ะค่ะ พวกคุณกำลังจะออกไปสืบสวนสาเหตุและตามหาสัตว์ประหลาดนั่นสินะคะ ใช่ไหมคะ ขอให้ฉันตามพวกคุณไปด้วยนะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
สร : ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนาาา พวกเราแค่อยากจะกลับบ้านเท่านั้นเอง ที่นี่จะมีอะไรอยู่ก็ช่างหัวมันสิ เราก็แค่ต้องการกลับบ้านเท่านั้นแหละ จริงไหมทุกโคนนน
ป้อม : จริงสินะ จะว่าไปแบบนั้นแหละดีแล้วล่ะ อยากรู้มากกว่านี้ไปดูเหมือนว่าจะเป็นอันตรายเปล่าๆ สิ่งที่อยู่ในเมืองนี้มันอาจจะเกินกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้มากเลยก็ได้
พัสสร : ถึงฉันจะรู้สึกสนใจมันขึ้นมานิดหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าให้เลือกกลับบ้านตอนนี้ได้เลยฉันก็จะเลือกที่จะกลับบ้านนะคะ
ขวัญ : น่าเสียดายออกนะคะ บางทีเราอาจจะเป็นคนที่ได้เจอสิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็ได้นะ
สึคาสะ : …….
นานะ : อะไรกัน...ฉันเข้าใจผิดหรอคะเนี่ย (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
สร : เอาล่ะพวกนาย ตอนนี้พวกนายก็ออกไปหาสัมภาระกันมาแล้ว คราวนี้จะเอายังไงต่อดีล่ะ ตอนนี้เวลาเที่ยงวัน พวกนายกินอะไรกันก่อนไหม แล้วยังไงค่อยหาทางออกจากเมืองนี้ด้วยกัน แบบนั้นดีไหมล่ะ ?
ป้อม : นั่นสินะ เอายังไงกันดีล่ะครับทุกคน ?
To Be Continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 14, 2019 15:21:06 GMT
Turn 7 สร : จะว่าไปแล้วชักจะรู้สึกหิวขึ้นมาเหมือนกันนะเนี่ย พวกเราไม่ได้กินอะไรกันมาประมาณวันกว่าๆแล้วนาา
พัสสร : นั่นสินะคะ ฉันเองก็รู้สึกว่าเราควรจะต้องหาอะไรทานกันก่อนดีกว่า อาหารกระป๋องที่คุณป้อมเอามา บางทีอาจจะยังทานได้อยู่ก็ได้นะคะ
สร และพัสสรรู้สึกว่าพวกเขานั้นเริ่มจะมีอาการหิว เพราะว่าหลังจากที่ทางคณะทัวร์ไม่ได้มารับพวกเขากลับไปตอนนี้ก็ผ่านมาเกินกว่า 24 ชั่วโมงแล้ว พวกเขานั้นยังไม่ได้ทานอาหารเลย ความหิวและร่างกายที่อ่อนล้าเริ่มที่จะเรียกร้องให้พวกเขานั้นจำเป็นต้องหาอะไรใส่ท้อง
ป้อม : ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับแต่ว่า ถ้าหากว่าเจ้าสัตว์ประหลาดที่พวกเราเห็นเมื่อคืนนี้มันรู้แล้วว่าพวกเราอยู่ที่นี่ ผมว่าพวกเราควรจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดนะครับ
สึคาสะ : ที่นี่อันตราย ไปจากที่นี่กันเถอะ (ภาษาอังกฤษ)
ขวัญ : ใช่แล้วค่ะฉันคิดว่าเราก็ไม่ควรจะต้องอยู่ที่นี่นานนักเหมือนกัน จำได้ว่าพวกเรามีแผนที่ของเมืองนี้อยู่ที่นา ถึงมันจะไม่ใช่แผนที่ทั้งหมดก็เถอะ ถ้ายังไงเราลองไปหาที่พักใหม่หรือไม่ก็หาทางออกจากที่นี่ดูกันดีไหมคะ
นานะ : ออกสำรวจ ออกสำรวจ น่าตื่นเต้นจัง (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
ถึงแม้ว่าสรและพัสสรจะมีอาการหิวโหย แต่ว่าด้วยเสียงข้างมากพวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องออกไปหาที่พักที่อื่นก่อน หลังจากที่หาที่พักหรือว่าเส้นทางออกจากเมืองได้แล้วพวกเขาค่อยหาที่ปลอดภัยพักรับประทานอาหารกันอีกทีหนึ่ง
ทุกคนภายในกลุ่มต่างเก็บของ ของตนเองเข้าใส่ในกระเป๋าเป้ หรือถุงสัมภาระของแต่ละคน และเมื่อทุกคนเตรียมตัวกันพร้อมหมดแล้วพวกเขาก็ทำการกางแผนที่ซึ่งได้มาจากรถบัสที่ประสบอุบัติเหตุ เพื่อที่จะตรวจสอบดูว่าพวกเขาจะไปที่ไหนต่อได้บ้าง
สร : ทำไมพวกเราไม่ลองใช้ทางเดียวกันกับที่รถบัสมาดูล่ะ ยังไงทางนั้นก็เป็นทางออกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ?
ป้อม : ผมก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่หรอกนะ แต่ว่าดูจากสภาพของรถบัสที่ถูกโจมตี น่าจะเป็นฝีมือของสัตว์ประหลาดอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าเรากลับไปทางนั้นบางทีอาจจะมีอันตรายร้ายแรงรอพวกเราอยู่ก็ได้ ถ้าเราทำแบบนั้นอย่างกับว่าเรากำลังจะเดินกลับเข้าไปในถ้ำของเสือ ยังไงก็ไม่รู้สิครับ
พัสสร : แต่ว่าถ้าไม่ลองดูก็ไม่รู้นะคะ การที่เราจะมากังวลว่ามันจะมีอันตรายโดยที่เรายังไม่ทันจะได้รู้เลยว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า มันไม่ดูแปลกประหลาดเกินไปหน่อยหรือคะ ?
ขวัญ : แต่ว่าฉันไม่เห็นด้วยนะคะกับการที่จะกลับไปทางนั้น ดูยังไงก็มีอันตรายค่ะ เราน่าจะเลือกทางที่ปลอดภัยกว่าน่าจะดีกว่านะคะพี่
คำพูดของขวัญทำให้พัสสรนั้นมีท่าทางที่ดูใจเย็นลง แล้วเธอก็เลือกที่จะทำตามความเห็นของคนส่วนใหญ่ในกลุ่ม
ป้อม : ผมเข้าใจจุดนั้นนะครับ แต่ว่าไม่ว่าจะยังไงผมก็ไม่อยากจะไปเสี่ยงในทางนั้นอยู่ดี ขอบคุณมากนะครับที่ทุกคนเข้าใจ
หลังจากที่ทุกคนนั้นดูแผนที่พวกเขาก็รู้ว่าพวกเขานั้นอยู่ตรงบริเวณลานน้ำพุของเมือง ซึ่งแต่ก่อนมันเคยเป็นลานน้ำพุที่สวยงามและอยู่ใจกลางย่านการค้า ที่ถึงแม้ในตอนนี้มันจะกลายเป็นเศษซากปรักหักพังไปแล้วก็ตาม
นานะ : ขึ้นไปทางทิศเหนือจากตรงจุดที่เราอยู่ ตรงนั้นมีโรงเรียนอยู่ด้วยนะคะ โรงเรียนเก่าแก่ภายในเมืองร้าง ฟังดูแล้วน่าสนุกจังเลยค่ะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
ขวัญ : ทางทิศตะวันตกไม่ไกลจากตรงนี้มีสถานีตำรวจ….บางทีที่นั่นอาจจะมีแผนที่เต็มๆของเมืองนี้อยู่ก็ได้นะคะ
สร : ทิศตะวันออกอยู่ไม่ไกลจากจุดที่รถบัสประสบอุบัติเหตุ ตรงนั้นเป็นแถวที่อยู่อาศัย งั้นหรอ ?
สึคาสะ : ทิศใต้ไม่ไกลจากตรงนี้ เป็นโรงพยาบาล …… (ภาษาอังกฤษ)
ป้อม : ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ทางออกทั้งนั้นเลย แผนที่อันนี้เป็นแค่แผนที่นำเที่ยว มันคงบอกอะไรกับพวกเราไม่มากจริงๆนั่นแหละ
ป้อมพูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูผิดหวังเล็กๆ ในแผนที่ซึ่งเขานั้นสามารถเก็บได้จากรถบัสของคณะทัวร์ที่ประสบอุบัติเหตุ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็พอที่จะรู้ว่าภายในเมืองแห่งนี้อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เพราะเนื่องจากความเก่าแก่และความทรุดโทรมของมันทำให้บางครั้งก็ยากที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
พัสสร : โรงเรียน สถานีตำรวจ แถบที่อยู่อาศัย แล้วก็โรงพยาบาล พวกเราจะไปที่ไหนกันก่อนดีคะเนี่ย ?
To Be Continued
|
|