|
Post by greatbritian on Dec 10, 2017 13:23:10 GMT
Episode 6 : Assault on Hollands อ่าว Amsterdam , Kingdom of Hollands 4 มีนาคม ค.ศ.1806ณ กรุง Amsterdam เมืองหลวงของ ราชอาณาจักรฮอลแลนด์ .... 1 ในเมืองท่าที่พลุกพล่านและคึกคักสุดเมืองหนึ่งของยุโรป เหล่าพ่อค้าวาณิชจากทั่วสารทิศต่างแวะเวียนมายังที่นี่ ท่าเรือที่นี่เต็มไปด้วยเรือมากมายหลายร้อยลำ ทั้งเรือสินค้า เรือประมง หรือแม้แต่เรือรบ กองทัพเรือฮอลแลนด์นั้นนับว่าเป็น 1 ในกองทัพเรือที่แข็งแกร่งสุดในยุโรปเช่นกัน ถึงแม้ทุกวันนี้กองทัพเรือฮอลแลนด์จะไม่ได้ยิ่งใหญ่แบบวันวาน แต่พวกเขายังคงมีเขี้ยวเล็บเสมอ เหล่าชาวนาวีฮอลแลนด์นั้นยังมีจิตใจรักในทะเล ไม่ต่างจากแต่ก่อน พวกเขายังคอยหวนหาโอกาสที่จะกลับมายิ่งใหญ่ทางทะเลเมื่ออังกฤษทอแสงลง......พูดถึงแสงสว่างในเช้าตรู่ของวันนี้นั้นกับไร้แสงตะวันอันเนื่องด้วยหมอกที่ลงจัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาจจะเป็นเพราะฝนที่ตกหนักเมื่อวานก็เป็นได้ หรือด้วยเหตุใดก็ตาม ทำให้วันนี้รอบนอกอ่าว Amsterdam นั้นตลบอบอวนไปด้วยกลุ่มหมอก..........“เห็นเรือรบพวกมันไหม…..”“เห็นแล้วครับ ทาง 6 นาฬิกา ของท่าเรือ!!”ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ภายใต้หมอกอันหนาทึบ........พวกมันเฝ้ารอจนกว่าจะได้จังหวะเหมาะที่จะเข้าโจมตี... พวกมันคือ กองเรือยิบรอลต้าร์แห่งราชนาวีอังกฤษ...“ 25 – 30 ลำ ครับ....ตอนนี้กำลังจอดทอสมออยู่ที่อ่าวไร้การป้องกันแต่อย่างใด”“เคี๊ยกๆ ไอ้พวกดอกทิวลิป คงไม่นึกสิน่ะว่าพวกกูจะมาถึงนี่ได้ ฝนก็ตกหมอกก็ลง...การตรวจการณ์ก็ไม่มี แบบนี้ก็แสร็จโจรล่ะสิ” เสียงคุยกันของชายกลุ่มหนึ่งดังมาจากเรือรบขนามหึมาซึ่งในตอนนี้ลดใบลงและจอดนิ่งเงียบอยู่บนผืนน้ำเพื่อให้ไม่มีใครทันสังเกต........ ซึ่งรอบๆผืนน้ำบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยเรือรบจำนวนมากร่วม 30 กว่าลำจอดเรียงกันเป็นแถวอยู่....... แต่ในตอนนี้ยังไม่มีใครทันสังเกตเห็นพวกเขา ตัดกลับมาที่เรือรบลำใหญ่ลำนั้น มันถูกทาด้วยสีเขียวสลับกับสีเหลืองชัดเจน ที่กราบขวาของเรือนั้นถูกปะด้วยไม้กระดานเป็นจำนวนมากบ่งบอกถึงการเร่งรุดซ่อมเรืออย่างลวกๆ ที้ท้ายเรือมีอักษรภาษาอังกฤษเขียนคำว่า “Victory” อยู่ แน่นอนเจ้าเรือลำนี้คือเรือหลวง Victory เรือธงของกองเรือยิบรอลต้าร์ที่หนีรอดมาจาก Hamburg เมื่อ 2 วันก่อนอย่างหวุดหวิด...แต่ในวันนี้ เหล่าราชนาวีอังกฤษที่โกธรแค้นและถูกย่ำยีกำลังรอการแก้แค้นการเอาคืนพวก Dutch อย่างสาสม.... ชายที่ยืนอยู่บนสะพานเดินเรือนั้นสวมใส่เครื่องแบบสีแดงชั้นยศนายพลเรือ เขากำลังรับฟังคำพูดจากการกัปตันเรือเพื่อประมวลสถานการณ์และออกคำสั่งดำเนินการขั้นต่อไป แน่นอนชายคนนี้คือ พลเรือเอก Henry Lawrence แห่งกองเรือยิบรอลต้าร์...... เขาทำหน้ากระหยิ่มอย่างพอใจ......ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ“เมื่อสัก 100 ปีก่อนพวก ดอกทิวลิปมันเคยมาเผาเรือของเราคาปากแม่น้ำเทมส์........และเมื่อ 2 วันก่อนพวกมัน ก็บังอาจกระตุกเคราๆงามของ Henry Lawrence ผู้นี้!!!!!! มันทำให้เรือหลวง Victory อันงดงามของฉันเป็นรู!!”“ขอประทานอภัยครับ ท่านเป็นคนสั่งให้ระเบิดเรือเองไม่ใช่เหรอครับ”“เออออออ กูสั่งเองงงงงงง เพื่อความอยู่รอดของพวกเราไง ไอ้กร๊วก จะสงสัยอะไรมากมายว่ะ ไปสั่งให้เริ่มยิงไป!!”“เรือทุกลำเปิดฉากยิงได้!!!!”เฟี้ยวววววววววววววววววว ตูมมมมมมมมมมมมมมมม เฟี้ยวววววววววว เฟี้ยววววววววววววววว เฟี้ยววววววววววววว
เสียงกัปนาทจากปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอ่าว แสงสีส้มแดงของไฟจากปากกระบอกแหวกหวายม่านหมอกออกมาราวกับไฟจากนรก!! เรือรบของฮอลแลนด์ที่จอดอยู่เรียงรายตามท่านั้นโดนโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว.... เรือหลายถูกทำลายด้ายพลานุภาพของปืนใหญ่อังกฤษ.......เศษไม้ชิ้นส่วนกระเด็นกระดอนไปทั่ว....ลูกประดู่ชาวดัตช์นั้นไม่ทันตั้งตัว โดนลูกเหล็กปลิวมาฉีกร่างเป็นชิ้นๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่กระทบไม้จนแหลกลาญ........บ้างกระแทกเสากระโดงเรือจนหัก....บ้างพุ่งเข้าตัดลำตัวของลูกประดู่ดัตซ์ที่ไม่ทันแม้แต่จะหนี ความระส่ำระส่ายเกิดกับกองทัพเรือของดัตซ์...“เฮ้ย นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!!”แม่ทัพเรือของฮอลแลนด์เพิ่งตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่....เขาเดินออกมาจากห้องกัปตันในสภาพงัวเงียๆและยังใส่ชุดนอนอยู่ด้วยซ้ำ.....เขาแบกร่างอันอุ้ยอ้ายเดินขึ้นไปบนสะพานเดินเรือเพื่อเข้าไปถามสถานการณ์ของลูกเรือ“เกิดอะไรขึ้นฮ่ะ กัปตัน!!”“ไม่ทราบครับ!! กระสุนพวกนี้มันพุ่งออกมาจากหมอก!!.....”“ไหน!!!!”ว่าแล้วเขาหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดู...........ฟุบ“ผู้การ!!!!!!!!!!”ลูกเรือนายนั้นร้องเสียงหลงเมื่อกระสุนปืนใหญ่นัดหนึ่งโฉบเอาหัวแม่ทัพเรือฮอลแลนด์กระเด็นหลุดจากบ่า..... ร่างอ้วนเทอะทะของเขาหงายหลังล้มลงขณะที่กล้องส่องทางไกลยังคาอยู่ที่มือด้วยซ้ำ...การระดมยิงจากเรือของอังกฤษนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไร้ปราณี....นี่คือกลยุทธที่ Lawrence ถนัดสุดการโจมตีอย่างฉับไวและรุนแรงโดยไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทันรู้ตัว....แสงและเสียงแหวกอากาศของปืนใหญ่กว่าพันกระบอกจากเรือ 40 กว่าลำยังคงดังกระหึ่มอย่างต่อเนื่อง ไฟและกลุ่มควันที่เกิดจากแรงระเบิดนั้นเริ่มโชยขึ้น...เรือของลำของฮอลแลนด์เริ่มพลิกคว่ำ...บางลำตัวเรือไฟไหม้โหมกระหน่ำจนลูกเรือกระโดดน้ำหนีตาย............ ในขณะที่ตึกรามบ้านช่องที่อยู่รอบๆก็ได้รับลูกหลงโดนกระสุนปืนใหญ่จนพุพังไปหลายแห่ง ชาวบ้าน ชาวช่อง พ่อค้าวาณิช ต่างวิ่งหนีกันเกรียวกราวด้วยความกลัว แม้แต่ทหารเรือฮอลแลนด์ก็ยังทำอะไรไม่ถูก.... ทางด้าน Lawrence ใช้กล้องส่องทางไกลมองดูด้วยความพอใจ ได้เอาคืนพวกดัตซ์จนสมใจแล้ว!! และพระอาทิตย์ก็กำลังทอแสงลงมาม่านหมอกที่กำลังกำบังกองเรืออังกฤษก็พลอยหายไปตาม“เอาล่ะหนุ่มๆพอหอมปากหอมคอ......กลับกันได้”หลังการระดมผ่านไปราวๆ 30 นาที Lawrence สั่งถอนตัวกลับ ทิ้งความเสียหายอย่างใหญ่หลวงไว้ให้กับฮอลแลนด์ ตึกรามบ้านช่องหลายหลังนั้นเริ่มไฟไหม้ ผู้ได้รับบาดเจ็บหลายพัน เรือของฮอลแลนด์นั้นเสียหายกว่าหลายสิบลำ เสียหายหนักจนไม่สามารถใช้การได้อีก 6 และจมลง 3 ลำ เหมือนเมื่อ 100 กว่าปี่ไม่มีผิดเมื่อเรือรบของ ฮอลแลนด์นั้นมาจมเรือรบของอังกฤษคาท่า แต่ในวันนี้กาลกลับตาลปัตรกระแสโลกได้เปลี่ยนไป ......เหล่านาวีอังกฤษได้เอาคืนของอังกฤษอย่างสาสมและพวกเขาหายไปราวกับผีเมื่อหมอกเริ่มจางลง.........ราชนาวีอังกฤษนั้นช่างน่ากลัวจริงๆ
ท้องถนนกลางกรุง Paris , French Empire 18 มีนาคม ค.ศ. 1806ณ กรุงปารีสเมืองหลวงอัน ศิวิไลซ์ของฝรั่งเศส......อันเป็นศูนย์ความเจริญของโลกในขณะนั้น.....ซึ่งในวันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกวันที่ชาวปารีสมากมายต่างแหนกันมารอรับขบวนของใครสักคน..... ทหารราบเดินเท้า Fusilier ของฝรั่งเศสเดินมาแถวเป็นแนวตามถนนอย่างเต็มภาคภูมิ พวกเขาเพิ่งผ่านสมรภูมิมาและนำชัยชนะหลับมาสู่มาตุภูมิสร้างความภูมิใจให้กับฝรั่งเศส ถัดมานั้นคือหน่วยทหารม้าหนักหุ้มเกราะ Cuirassier ที่แต่ละคนนั้นต่างหน้าดุดันและตัวใหญ่ พวกเขาควบม้าช้าๆไปตามถนน. และที่ตรงกลางของขบวนทหารม้านั้น ดูเหมือนจะเป็นชายวัยกลางคน 2 คนบนหลังม้าสีขาว.... คนแรกนั้นผมหยิกเล็กน้อยสวมใส่หมวก Bicorne สีดำและเครื่องแบบสีน้ำเงินสด...ส่วนอีกคนนั้นผมสีดำสั้นเหยียดตรง จมูกงุ้มเล็กน้อย เขานั้นสวมเครื่องแบบสีแดงสดและดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่บริเวณแขน เพราะเข้าใช้ผ้านั้นคล้องไว้ที่คอและพยุงแขนเอาไว้“เนย์.....!! เนย์!!”“เนย์ ผู้พิชิตอังกฤษ!!”“ไอ้พวกเสื้อแดงไปตายไป ชิ่วๆ!!”เสียงของชาวบ้านตะโกนกู่ร้องด้วยความดีใจ...เมื่อกองทัพฝรั่งเศสพาชัยชนะออกมาอีกใครในขณะที่ จอมพล เนย์ นั้นโบกหมวกของเขาไปมาๆต้อนรับประชาชน แต่เจ้าชายจอร์จนั้น มีสีหน้าอมทุกข์...เขาคอตกและมีสีหน้าอันเศร้าส้อนที่ต้องตกมาเป็น ข้าต่างเมือง!! “อย่าเป็นกังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายจักรพรรดิของข้าพเจ้านั้นแค่ต้องการเสวยกายาหารค่ำร่วมกับท่านเท่านั้น”“เชิญมาดีๆก็ได้มั้งท่านนายพล...”เจ้าชายจอร์จตอบด้วน้ำเสียงอ่อยแต่ยังคงความกวนบทาไว้ ในขณะที่เนย์นั้นยิ้มออกมาและพูดต่อ“ดูสิองค์ชาย.......ฝูงชนกำลังดีใจที่นายพลของเขาชนะศึกกลับมา..เหมือนสมัยโรมันไม่มีผิด..ถนนใน London นั้นคงยังไม่เคยเหตุการณ์นี้ขึ้นสิน่ะฝ่าบาท”“….เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย...”ทางเจ้าชายจอร์จรีบตัดบทสนทนาลงทันที เขานั้นไม่มีอารมณ์อยากจะเสวนากลับใครทั้งนั้นในตอนนี้ ทำให้เนย์นั้นเงียบลงและตอบกลับองค์ชาย“น่าจะพ้นถนนนี่หล่ะครับ”
ขบวนพาเรดแห่งชัยชนะของเนย์นั้นเดินทางจนมาถึงหน้าพระราชวัง ตุยเลอร์รี พระราชวังกลางเมืองปารีส อันเป็นสถานที่ ที่นโปเลียนนั้นนัดพบกับ เนย์ และเจ้าชายจอร์จ.......พอขบวนมาถึงหน้าประตูวัง เนย์ เจ้าชายจอร์จและทหารม้าองครักษ์อีก 3 – 4 นายก็ควบมายังหน้าประตู.....ซึ่งมีเหล่าองครักษ์ Old Guard นั้นยืนตั้งแถวรอรับเป็นหน้ากระดานไกลร้อยเมตร เจ้าชายจอร์จนั้นมองไปรอบๆบริเวณ และก็เห็นได้ชัดว่า นโปเลียนกำลังวางอำนาจให้เขาเห็น ทั้งจัดขบวน Guard มารอรับซะหลาย 100 นาย ทั้งๆที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ..จอมพลเนย์ และเจ้าชายจอร์จรวมถึงทหารม้าอีก 3 นายลงจากหลังม้าและเดินไปตามทางจนถึงประตูในตัวปราสาท เนย์ผลักประตูเข้าไปและเดินนำเจ้าชายไปยังห้องจัดเลี้ยง......พวกเขาเดินมาตามทางของปราสาทและพบเข้ากับ องครักษ์ Old Guard หญิงของนโปเลียน ดิออน เลอแคล..... เธอนั้นรูปร่างสง่างามดุจเจ้าหญิง แต่ท่ายืนและหน้าตานั้นขึงขังประดุจ ทหารเอกคนหนึ่งเลยทีเดียว….เมื่อเธอพบกับ จอมพลแห่งกองทัพบกฝรั่งเศสเดินตรงแน่วมา เธอก็ชิดเท้าเสียงดังพร้อมทำความเคารพทันที!!“จักรพรรดิทรงรออยู่ในห้อง บูร์บอง ค่ะ ท่านจอมพล”เนย์พยักหน้าเป็นเชิงๆสั่งให้ ดิออน พักได้ และเขาก็เดินนำเจ้าชายจอร์จและนายทหารม้าอีก 3 นายตามมาติดๆ....เขาเปิดประตูเข้าไปในห้อง บูร์บอง ที่องครักษ์สาวได้กล่าวเอาไว้“แอ๊ดดดดดดดดดดด.........”เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปก็พบกับ โต๊ะอาหารใหญ่โตโต๊ะหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ซึ่งมีอาหารมากมายหลายอย่างทั้ง ตับห่าน หอยทากทอดกระเทียม ฟิเลมิยอง มัฟฟิน และที่เด็ดสุด ฟิชแอนชิป ปลาทอดพร้อมมันฝรั่งอาหารอังกฤษซึ่งทางฝรั่งเศสคงจะจัดไว้ให้เจ้าชายโดยเฉพาะ...... เนย์พา เจ้าชายจอร์จและองค์รักษ์ทหารม้าอีก 3 นายเดินเข้ามาในห้อง.... ก็พบชายร่างเล็กผู้หนึ่ง ผมสั้นสีดำ สวมใส่เสื้อคลุมสีเทาและกางเกง 3 ส่วนสีขาวยาว..ยืนไพล่หลังและมองออกไปนอกหน้าต่าง....แต่ดูเหมือนว่าเขารู้แล้วว่ามีคนเข้ามาในห้อง“ได้พาอาคันตุกะมาร่วมรับประทานอาหารด้วยหรือเปล่า ท่านจอมพล...”ชายคนนั้นหันหน้ามาจ้องกับผู้มาเยื่อน ไม่ผิดแน่นอนเขาคือ นโปเลียน จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสซึ่งชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วโลก... เจ้าชายจอร์จนั้นจ้องมองชายผู้นี้อย่างไม่กะพริบตา แม้จะตัวเตี้ยแต่ก็ดูน่าเกรงขามราวกับมีออร่าบางอย่างมากดดันเขาอย่างบอกไม่ถูก.......“ข้าพเจ้านั้นทำตามสัญญาที่ได้รับปากไว้แล้ว พ่ะย่ะค่ะ”จอมพลเนย์นั้น โค้งคำนับจักรพรรดิและถอดหมวกออก นโปเลียนนั้นยิ้มอย่างพอใจ.พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย เขาชวนบุรุษทั้ง 2 นั้นร่วมนั่งบนโต๊ะรับประทานอาหาร โดยนโปเลียนนั้น นั่งบริเวณหัวโต๊ะ และเนย์นั่งทางซ้าย และทางขวานั้นเป็นเจ้าชายจอร์จ .......ทางเนย์กับ นโปเลียนนั้นเริ่มเปิดประเด็นสนทนากันอย่างออกรสด้วยความที่ทั้งคู่สนิทสนมกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในขณะที่เจ้าชายจอร์จนั้นกินอะไรไม่ลงนั่งเงียบกริบ...ไม่พูดอะไร ก็ไม่น่าแปลกนักหรอกเพราะในตอนนี้เขานั้นตกอยู่ในฐานะเชลยที่สูงศักดิ์เท่านั้นเอง“ไม่นึกว่า ว่าคนบ้าเลือดอย่างคุณจะมีหัวคิด 55+ ในตอนแรกผมนึกว่าคุณจะเข้าตีตะลุมบอนอย่างรวดเร็วให้แตกหักตามสไตล์ทหารม้าซะอีก...แต่คุณกับดึงเวลาถ่วงทัพอังกฤษให้อ่อนแอลงเรื่อยๆแล้วค่อยเข้าตี.....นับว่าเป็นการตัดสินใจที่สุดยอดมาก ท่านจอมพล”“มิบังอาจ พ่ะย่ะค่ะ ข้าพเจ้านั้นแค่เรียนรู้จากฝ่าบาทและทำตามเท่านั้น อย่างที่ฝ่าบาทเคยกล่าวไว้นั้น หลักการทำสงครามนั้นไม่ตายตัวและดิ้นได้ตลอดเวลา”“เยี่ยมยอด!! เดี๋ยวผมจะมอบตำแหน่ง Duke of Luneburg ให้คุณพร้อมที่ดินใน Saxony อีกเพื่อเป็นรางวัลในชัยชนะครั้งนี้!!”“ขอบพระทัยอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ....แต่หากมอบบำเหน็จให้ข้าพเจ้าผู้เดียวมันก็กะไรอยู่ 1 ในขุนพลที่ชำนาญศึกเรานั้นมีหลายคน และ 1 ในนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าท่าน”เนย์ผายมือไปทางด้านหลังชี้ให้ นโปเลียนเห็นชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งสวมเสื้อเกราะอ่อนสีขาวและผมยาวหยักศกสีขาว หน้าตาดูดุดันใช่ย่อย นโปเลียนนั้นจึงถามเนย์ด้วยความสงสัย“นายทหารม้า Dragoon ผู้นี้เป็นใครล่ะ??”“เขาคือ มาควิส เดอ ลาแฟย์ ผู้บังคับกองร้อยทหารม้า Falcon แห่งกองทัพที่ 8 พ่ะย่ะค่ะ ชายผู้นี้แหละที่เป็นคนนำพาเจ้าชายจอร์จมาให้กับเรา”“อืม......มาควิส........ ผมจะโปรโมทให้คุณขึ้นเป็นผู้พัน”“ขอบพระทัย พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”มาควิสนั้นก้มหัวลงรับคำอวยพรจากนโปเลียน.....เขาก็ทำสีหน้าอย่างมีความสุขนี่แหละเหวยโอกาสที่กูจะได้พบกับ จักรพรรดิ...... ในตอนนี้ นโปเลียนและ เนย์ก็หันมาทางเจ้าชายจอร์จด้วยสายตาอันเพ่งเล็ง ส่วนเจ้าชายจอจ์จนั้นยังคงนั่งเงียบไม่ปริปากใดๆเลยแม้แต่น้อย เขาแต่นั่งจ้องมอง เจ้าฟิชแอนชิฟที่อยู่ในจานสีทอง......อาหารอังกฤษชนิดเดียวบนโต๊ะอาหาร..“อาหารทรงเลอรสถูกปากองค์ชายหรือเปล่า”นโปเลียนหันมาถามเจ้าชายจอร์จด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม พลางจิ้มหอยทากทอดกระเทียมตัวเขื่องเข้าไปปากของตน...“เขายังไม่ได้แตะอาหารเลย พ่ะย่ะค่ะ”เนย์นั้นกระซิบข้างหูจักรพรรดิของเขา...นโปเลียนก็ยังคงยิ้มอย่างเกษมสำราญและพูดต่อ...“จะมัวทุกข์ไปใยองค์ชาย ในวันนี้เรามาร่วมรับประทานกันเพื่อกระชับมิตรระหว่างเรา เจ้าชายและจักรพรรดิฝรั่งเศส”“กระชับมิตรงั้นเหรอ........ในตอนนี้ข้าตกเป็นเชลยของท่านอยู่ฝ่าบาท ถึงแม้อาหารจะรสเลิศแต่มันก็เป็นอาหารของเชลยอยู่ดี”ทางเจ้าชายจอร์จตอบมาด้วยสีหน้าอันหมดอาลัยตายอยาก....เขารู้สึกถ้อแท้ในชีวิตยิ่งนัก จักรพรรดิฝรั่งเศสนั้นทราบดีถึงอัปกริยาของเจ้าชายและได้พูดต่อ“องค์ชาย..........ท่านนั้นคือ มกุฎราชกุมารแห่งราชบังลังก์อังกฤษ และถึงอยู่ที่นี้หรือที่ไหนท่านก็ยังคงจะเป็น..... และข้ายินดีอย่างยิ่งนักที่จะต้อนรับท่านอย่างสมเกียรติ”“โดยการยึดแดนดินอันเป็นบ้านเกิดของข้า และทำลายกองทัพของข้างั้นรึ จักรพรรดิ”“กองทัพของท่านยังอยู่ดีองค์ชาย...พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี มีที่นอน อาหารให้กินอิ่มท้อง อยู่ที่ มาเซย์ ข้าแค่ต้องการใช้งานพวกเขานิดหน่อยเท่านั้นเอง”“……..พวกเขายังอยู่ก็ดีแล้ว....แต่ว่าท่านต้องการทำประการใดต่อไปล่ะองค์จักรพรรดิ”“ข้าคิดว่าตัวท่านนั้นคงมีค่ามากสำหรับอังกฤษ......หากได้เรือรบสัก 50 ลำและอาณานิคมในหมู่เกาะแถบอเมริกานั้นจะเป็นการดีมากเลยทีเดียว”“………สุดท้ายข้าก็ยังคงเป็นตัวประกันของท่านอยู่ดีสิ ท่านจักรพรรดิ”“ไม่องค์ชายท่านคือสหายของข้าต่างหาก..สหายชาวอังกฤษที่จะได้เป็นกษัตริย์อังกฤษสืบต่อไปในอนาคต”“ข้าจะเป็นกษัตริย์ได้อย่างไรตราบใดที่ข้ายังนั่งอยู่ที่นี่ ฝ่าบาท”นโปเลียนนั้นนำมาเอื้อมไปหยิบแก้วไวน์ที่อยู่ข้างๆก่อนจะจิบมัน.............เขาวางมันลงอย่างช้าๆและพูดต่อ“….ท่านคิดไหมว่า การที่ท่านมาอยู่ที่นี่ได้นั้นไม่ใช่เพราะข้า....”เจ้าชายจอร์จนั้นเริ่มงงเขาสงสัยในคำพูดของนโปเลียนมันหมายความว่ายังไง“ในรัฐสภาอังกฤษ หรือ ที่ตอนนี้มีสภาแห่งสงครามอะไรนั้นน่ะ ..ข้าได้ข่าวมาแว่วๆว่าคนพวกนั้น เขาได้ทำการอะไรแปลกๆทั้งสั่งย้ายกองทัพไปมา..โดยมีสาเหตุเพราะว่า ต้องการทำสงครามกับข้า...แต่ก็ยังไม่เห็นกองเรือหรือกองทัพสักกองของอังกฤษมาย่างกรายแผ่นดินของข้าเลย....มีแต่กองทัพเท่านั้นกองทัพเดียวที่เข้ามาใน เยอรมัน”“…….ใช่…..”“และถ้ามันเป็นสภาสงครามจริงๆมันคงจะเป็นสภาที่เน่าเฟะและปัญญาอ่อนที่สุด ที่ส่งกองทัพรักษาพระองค์ทั้งหมดรวมถึงเชื้อพระวงศ์เข้ามาใจกลางเยอรมัน เพราะมันคือกับดักชัดๆท่านก็รู้ว่า Hannover มันคือชิ้นเนื้อกลางฝูงหมาหิวโซ”“ข้าอาสามาเองต่างหาก จักรพรรดิ....”“แล้วกองทัพของท่านล่ะอาสามารึเปล่า ข้าหมายถึงกองทัพรักษาพระองค์ที่จงรักภักดีต่อกษัตริย์...”คำพูดของนโปเลียนนั้นทำให้เจ้าชายจอร์จฉุกคิดได้ จริงอยู่ที่เขาอาสามาปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนอย่าง Hannover…..แต่กองทัพรักษาพระองค์นั้น ทางสภาแห่งสงครามได้ออกคำสั่งมาเอง ทั้งๆที่ความจริงจะใช้กำลังทหารจากตรงอื่นก็ได้!! แต่ไหนกลับต้องใช้กองทัพรักษาพระองค์ด้วยล่ะ เจ้าชายจอร์จนั้นก้มหน้าลงและเริ่มคร่ำคิด.... เขานั้นไม่เชื่อใจพวกขุนนางนักการเมืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว .หรือว่าท้ายสุดแล้วเขาจะเป็นฝ่ายโดดดัดหลังโดยพวกเดียวกันเอง!! ทางจักรพรรดิฝรั่งเศสนั้นสังเกตได้ถึงความไขว้เขวในจิตใจของ เจ้าชายจอร์จ เขาพูดต่อ“องค์ชายหากข้าได้เรือรบมาสัก 50 – 60 ลำ พร้อมแม่ทัพเรือมากฝีมือล่ะก็.......ไม่เกินเอื้อมนักหรอกท่าน ข้าจะพาท่านและกองทัพของท่านกลับไปยังอังกฤษในฐานะกษัตริย์ผู้มีสิทธิเที่ยงธรรมในพระราชบังลังก์”“ท่านรู้ได้ยังไงว่าพวกสภานั้นมันคิดจะกบฎ!!....... เป็น ฝรั่งเศสแท้ๆอย่ามาแส่เรื่องกิจการบ้านเมืองของข้า!!”“สามหาว!!”เนย์ลุกขึ้นมาพร้อมชักดาบออกจากฝัก!!!! เขานั้นโกธราอย่างมากที่ จักรพรรดิของเขาโดนไอ้เชลยผู้นี่กล่าวว่า!!“ข้าอุตส่าห์ปฎิบัติกับท่านอย่างมีเกียรติ พาท่านมาเข้าพบจักรพรรดิอย่างสมศักดิ์ศรี แต่ท่านกลับตอบแทนด้วยการว่าร้ายจักรพรรดิของข้า”“เย็นไว้ เนย์!!”“ข้าพเจ้าขอตัวก่อน พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นดาบข้าได้ดื่มเลือดพวกเสื้อแดงแน่!!”นโปเลียนพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เนย์ไปได้ เนย์เก็บดาบเข้าฝักก่อนจะก้มหัวทำความเคารพจักรพรรดิอีกครั้งและเดินออกจากห้องไปพร้อมองครักษ์ทหารม้าติดตามด้วยความหัวร้อน ถ้าช้ากว่านี้ดาบของเขาคงได้จ้วงแทงไอ้ อังกฤษ ตรงหน้า ให้หายแค้น“อย่าไปถือสาเขาเลยน่ะ องค์ชาย พวกทหารม้าก็เงี้ยแหละเลือดร้อน บ้าระห่ำ เหมือนกันหมด”“ไม่หรอกฝ่าบาท ข้าเข้าใจดี”“พูดถึงเรื่อง สภา………….ไม่เชื่อก็คอยดูล่ะกันองค์ชาย.....ว่าข้อเสนอที่ข้าบอกไปนั้นทางสภาอังกฤษจะยอมทำตามรึเปล่า......”นโปเลียน ยกแก้วไวน์ขึ้นมาและใช้จมูกของเขาดมกลิ่นอันหอมหวนของมันก่อนจะมองไปรอบๆห้อง“..ในระหว่างรอพวกสภาอังกฤษดำเนินการ ท่านก็พักอยู่นี้ไปพลางๆล่ะกัน พระราชวังอันใหญ่โตและโอ่อ่านี้น่ะจะเหมาะกับท่าน ที่สำคัญมันเป็นที่พำนักสุดท้ายของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วย.....ตอนดึกๆยามค่ำคืนท่านอาจจะโชคดีได้เจอกับเขา”นโปเลียนยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมจิบไวน์ในแก้วนั้นอีกรอบ....เจ้าชายจอร์จนั้นเริ่มเกิดความสับสนในจิตใจ พ่อของเขานั้นอยู่ดีๆก็สติแตก พวกสภานั้นก็เริ่มเข้ามากุมอำนาจ บางทีในตอนนี้อังกฤษอาจจะไม่ใช่ที่ของเขาแล้วก็เป็นได้.....และการร่วมมือกับนโปเลียนนั้นอาจจะทำให้เขาได้มีโอกาสได้กลับไปครอบครองบัลลังก์อังกฤษอีกครั้ง!!พระราชวัง Schönbrunn Palace , Vienna , Austrian Empire 24 มีนาคม ค.ศ. 1806
พระราชวัง เชินบรุนส์แห่งออสเตรีย พระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ Husburg ยังเรืองอำนาจยังมีมนต์ขลังของยุคเรเนซองส์ และศิลปะหลายๆอย่างปะปนกันตามสไตล์ของ ออสเตรีย ที่มีหลากหลายเชื้อชาติ.......ในตัวปราสาทนั้นก็มีหลายห้องหับ......แต่มีห้องๆหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องสำอางและกระจกคริสตัลเล็กใหญ่มากมายหลายบาน และเต็มไปด้วยตู้เสื้อผ้าที่มีเสื้อมากมายหลายพันตัว ทั้งเสื้อผ้าไหม เสื้อรัดรูป วิกผมบอลนด์ยาว....ถูกตั้งไว้มากมายหลายสิบอัน แน่นอนผู้ที่อาศัยในห้องนี้คงเป็นสตรีแน่แท้......ข้างๆเตียงบรรทมที่มีตุ๊กตุ่นตุ๊กตารูปสัตว์มากมาย นั้นมีโต๊ะทรงงานอยู่ ซึ่งมี สตรีนางหนึ่งนั่งเขียนข้อความบางอย่างอยู่ลงบนกระดาษ.......นางนั้นทรวดทรงที่ดูงดงาม ผิวสีขาวผ่องและผมบลอนด์ยาวสลวยประดุจเทพธิดา นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และรำพึงรำพันกับตนเองในขณะที่เขียนข้อความนั้น“หวังว่าท่าน ............จะคิดถึงข้าบ้าง......เอ๊ย ไม่ดีกว่า สุดท้ายนี้ จักรพรรดินีแห่งออสเตรียจะยังคงอ้าขารอรับท่านอยู่หน้า Vienna คิกคิกๆ เขาต้องชอบแน่.....”เมื่อนางเขียนข้อความนั้นเสร็จแล้ว...นางก็เอื้อมลงไปหยิบกรอบรูปใบเขื่องใบหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ข้างๆโต๊ะทรงงาน นางบรรจงหยิบมันขึ้นพร้อมกับแขวนมันไว้บนฝาหนัง นางมองรูปนั้นด้วยความเสน่ต์หาราวกับนางตกหลุมรักมัน..ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอกก็เพราะว่า
มันคือรูป ของนโปเลียน โบนาร์บาร์ต จักรพรรดิฝรั่งเศส หรือ แฟนหนุ่มของนางนั้นเอง....“หวังว่าอีกไม่นาน.......ท่านจะกลับมาน่ะ ทูลหัว”แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.......เสียงเปิดประตูห้องของนางดังขึ้นทำเอานางหันไปด้านหลัง!! และก็พบกับ จักรพรรดิฟรานซิสที่ 2!! พี่ชายของนาง!!!“Marie!!!”“เสด็จพี่!!”ทั้ง 2 ต่างตกใจที่พบเห็นอีกฝ่ายในเวลานี้ Francis ก็ตกใจที่น้องสาวตนนั้น รูปคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าอย่างรุนแรงมาตั้งไว้ในบ้าน!! ในขณะที่ดัสเชสแห่ง ปามา นั้นก็ตกใจที่ พี่ชายของนางเข้ามาในห้องตอนนี้!!“Marie นี้เจ้า..................... ข้ารู้ว่าเจ้าน่ะนิยมชมชอบใน นโปเลียน!! แต่ไม่นึกว่าเจ้าจะคลั่งไคล้มันถึงเพียงนี้!!”“มัน!! นี่ท่านพี่เรียก จักรพรรดิฝรั่งเศส ว่ามันหรือเพค่ะ! เขาคือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษและจะไม่มีใครเทียบเขาได้!!”“Marie!!! มันไม่ได้รักเจ้าจริงหรอก มันแค่ต้องการลูกเท่านั้น เลือดเนื้อเชื้อไขที่จะมีสิทธิครองบัลลังก์ทั้ง ฝรั่งเศสและออสเตรีย!!! นี่แหละแผนร้ายของมัน!! ข้าขอร้องล่ะ Marie เลิกยุ่งกับมันซะน่ะ พี่ขอร้อง”“หึหึ ท่านพี่ ท่านต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย ตลอดเวลาที่เขาอยู่กับข้านั้น ข้านั้นมีความสุขมาก เข้านั้นได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับข้า ได้สอนให้ข้ารู้อะไรหลายๆอย่างๆเกี่ยวกับโลกใบนี้ ไม่ได้อุดอู้ยู่แต่ในวังทำตัวเป็นคุณหญิงจัดปาร์ตี้ แต่งหน้าเสริมสวย ไปวันๆจนแก่ตายเหมือนที่ท่านอยากให้ข้าเป็น!!”“บ้าเอ๊ย นี่มันไปพูดอะไรให้เจ้าฟัง”“ทุกอย่างบนโลกเพค่ะ ท่านพี่ ทั้งวิชาคณิตศาสตร์ ความป่าเถื่อนของชาวสยาม หรือ แม้แต่ความโป้ปดของพระเจ้า เขานั้นช่างฉลาดและเข้มแข็ง เหมาะอย่างยิ่งกับการได้เป็นจักรพรรดิของโลก ไม่เหมือนกับท่านที่ทั้งอ่อนแอ และไร้ซึ่งความสามารถท่านไม่มีอะไรเทียบกับเขาได้แม้แต่น้อยเลยท่านพี่”“Marie น้องข้า...........เจ้าฝรั่งเศสนั้นมันล้างสมองเจ้าเข้าให้แล้วไง โธ่เอ๊ย!!”“พี่ต่างหากที่มุดหัวอยู่แต่ในกระดองแห่งนี้!!... พี่ต่างหากที่ล้าหลัง และไม่ทันโลก พี่ถึงได้แพ้เขายังไงล่ะ!!”“โธ่ เว้ยข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดแล้ว”พระเจ้าฟรานซิสนั้นเดินหนีออกมาจากห้อง...ด้วยความเสียใจจากเบื้องลึกน้องสาวเขานั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว....น้องสาวของเขานั้นโดนครอบงำด้วยแนวคิดของนโปเลียน!! “ไง ฝ่าบาท......เสียงเอะอะโวยวายอะไรกัน ช่างหนวกหูเสียจริง”น้ำเสียงอันกวนโอ๊ยดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของพระองค์ แน่นอนเป็นชายที่เขารู้จักดี ..รูปร่างสูงสง่าง่า ผมสั้นสีบลอนด์นัยน์ตาสีฟ้าพร้อมหน้าตาอันหล่อเหลา....เครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มพร้อมเครื่องราชอิสรยศชั้นนายพลของฝรั่งเศส เขาคือ ฌอง ปิแอร์ อองรี.........จอมพลของกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งนโปเลียนั้นได้มอบหมายให้เขานั้นดูแลกิจการกองทัพออสเตรียและการยังดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของออสเตรียด้วย เมื่อเขาเห็นสีหน้าอันเศร้าส้อยของพระเจ้า Francis ก็รู้ทันทีว่า เขาทะเลาะกับน้องสาวมา.....“ทะเลาะกับน้องสาวมาอีกแล้วสิน่ะ ฝ่าบาทหึหึ”“อย่ามาแส่ น่าท่านนายพล”“เอ้า .....ไม่ให้ยุ่งได้ยังไงกัน ตอนนี้ข้ามีหน้าที่ดูแลออสเตรียให้กลับมาเข้มแข็งและเจริญรุ่งเรื่อง ถ้าจักรพรรดิออสเตรีย มีความทุกข์ นั้นก็เป็นความทุกข์ของข้าเช่นกัน”พระเจ้า Francis ยังไม่อยากจะเสวนากับใครทั้งนั้นตอนนี้จึงหันหลังให้และเดินหนีอองรีไปอีกทาง แต่จอมพลแห่งฝรั่งเศสนั้นก็บังอาจเอื้อมมือมาแตะไหล่...และคว้าตัวของพระเจ้า Francis ไว้ไม่ให้ไปไหน..... พระเจ้า Francis นั้นกริ้วมากที่ไอ้คนที่ไม้จักที่สูงที่ต่ำมาแตะไหล่เขา หันปัดมือของ อองรี ออกและหันหน้ากลับมองเขาด้วยสายตาอันเกรี้ยวกราด!!“มันจะมากไปแล้วน่ะ ไอ้จิ้งจอก!!”“…………. งั้นข้าก็ขอประทานอภัยด้วย ที่ทำกริยาอันไม่เหมาะสม.....ข้าขอตัวล่ะ....แต่ก่อนจะไปข้าขอบอกทิ้งทายไว้อย่างหนึ่ง...........หลานสาวของท่าน Isabella…นางร้องเสียงดังน่ารำคาญเสียจริง หึหึ”“Isabella!!!!!!! ไอ้โรคจิตเอ๊ย!”ปั้ก!!!!!ด้วยความโมโหสุดขีด พระเจ้า Francis นั้นต่อยเข้าไปเต็มหน้าอันหล่อเหลาของ จอมพล อองรี จนล้มลงไปกับพื้น.......ทาง อองรีนั้นยังคงยิ้มอย่างกวนโอ๊ย เขาใช้มือของเขาลูบเข้าที่ริมฝีปากก็พบว่ามีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย .....เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าพระเจ้า Francis……“..โอ๊ะ หมัดท่านทรงหนักแน่นยิ่งนักฝ่าบาท ....แต่ท่าพระทัยท่านนั้นหนักแน่นเหมือนหมัด ท่านคงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอก.....หึหึ”พูดจบแล้วท่านจอมพลแห่งฝรั่งเศสก็ลุกขึ้นมายืนช้าๆพร้อมปัดเผ้าผมเสื้อผ้าให้ดูดีก่อนจะเดินหันหลังกลับไปเช่นกัน พระเจ้า Francis ในตอนนี้ได้เแต่เจ็บใจยืนกัดฟันกรอดๆแต่กับทำอะไรไม่ได้.. ในตอนนี้อิทธิพลของฝรั่งเศสนั้นเข้าครอบงำไปทั่วทั้งราชสำนัก ทั้งการเมือง และกองทัพ แม้แต่น้องสาวและหลานสาวของเขาเองเขายังปกป้องไม่ได้ด้วยซ้ำ.......จักรพรรดิที่เคยมีในสมัยก่อนนั้นคงมีแต่เพียงในนามเท่านั้น!!ห้องใต้ดินของคฤหาสน์ Ludendorff , Berlin , Kingdom of Prussia 26 มีนาคม ค.ศ. 1806ณ ห้องใต้ดินของท่านจอมพล Ludendorff จอมพลใหญ่แห่งกองทัพบกปรัสเซีย “Landwehr” ห้องใต้ดินนี่นั้นทั้งมืดสลัว และเหม็นอับราวกับคุกในยุคกลางก็มิป่าน มีแสงไฟจากคบเพลิงเป็นระยะๆเท่านั้นซึ่งช่วยให้มองเห็นภายได้ นอกจากนี้ ในห้องใต้ดินนั้น ยังมีหลายห้องๆที่ถูกปิดกั้นด้วยกรงเหล็ก......แต่ละห้องนั้นมี นักโทษทั้งชายหญิงอยู่ในสภาพอันซูบผอมและอิดโทรย หน้าแต่แต่ละคนดูหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต.... ราวก็มีชายร่างใหญ่ในหน้ากากหนัง 2 คน เดินตรงมายังโซนที่ขังนักโทษ เขาเดินมาหยุดตรงหน้าห้องๆหนึ่งซึ่งมีนักโทษชายคนหนึ่ง รูปร่างยังดูกำยำ และไว้หนวดแบบโง้งแบบทหารม้า Cuirassier ของฝรั่งเศส......ชายคนนั้นถูกชายร่างใหญ่สวมหน้ากาก หิ้วปีกและลากออกมายังข้างนอก ด้วยความอ่อนล้าทำให้ชายผู้นี้ไม่คิดจะขัดขืน เขาปล่อยให้ชายหน้ากากลากไปตามทางเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง ห้องๆหนึ่ง
ห้องๆนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทารุณยกรรมมากมายหลายอย่าง ดูราวกับที่นี่คือที่ตัดสินคดีในยุคกลาง.... ภายในห้องมีร่างสันทันอีกคนยืนอยู่ เขาน่าจะราวๆ 40 ผมรองทรงสีน้ำตาลอ่อนพร้อมนัยน์ตาสีฟ้า สวมชุดลำลองสีขาวบางๆพร้อมเกงเกงน้ำตาลขายาว... ชายหน้ากาก 2 คน จับหนุ่มนักโทษเคราะห์ร้ายคนนั้นมากลางห้อง ก่อนจะใช้โซ่พันธการแขนทั้ง 2 ข้างของนักโทษหนุ่มนั้นไว้แน่น...โซ่นั้นถูกตรึงอยู่กับรอกซึ่งติดอยู่บนเพดานห้อง......... 1 ในชายหน้ากากนั้นเดินไปหมุนรอกที่ติดตั้งอยู่ ทำให้นักโทษชายนั้นถูกลากให้ลุกขึ้นยืนตามแรงลอก...และห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศในที่สุด จากที่นิ่งๆนักโทษชายคนนั้นเริ่มร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด..... ชายในเชิ้ตขาวนั้นดูมีสีหน้าพึงพอใจอย่างยิ่งที่เห็นนักโทษได้รับความเจ็บปวด... เขาเดินวนรอบๆร่างของนักโทษชายที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้า...“ผู้กอง มาครง มานูเอล..........ผู้บังคับกองร้อยทหารม้าหนัก Cuirassier ที่ 2 แห่งฝรั่งเศส นั้นคือชื่อของแกสิน่ะ ไอ้เศษสวะ!!”“ช่ายยยยยยย ... นั้นชื่อของข้า........หึหึหึ แกคงเป็น Ludendorff สิถ้า ไอ้โรคจิตแห่งปรัสเซีย”“.....ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆยังจะขำออกอีกน่ะ พ่อทหารม้า....”Ludendorff นั้นทำน่าสงสัยเล็กน้อยเมื่อ ไอ้ทหารฝรั่งเศสที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่มีทีท่าจะดีดดิ้นร้องขอชีวิตเลยแม้แต่น้อยแต่กับขำออกมาซะงั้น“ข้าขำ...ขำที่ได้ฆ่าพวกปรัสเซียไปตั้งมากมายหลายสิบ ที่ Dresden พวกมันต่างวิ่งหนีหางจุกตูดเมื่อ กองทัพม้าเคลื่อนเข้ามาบดขยี้พวกมันจนราบ หึหึหึหึ … ฮะฮ่า...ข้าเสียดายเหลือเกิน.....เสียดายที่พลัดตกลงจากหลังม้าเสียก่อน........ไม่งั้นข้าคงฆ่าพวกมันได้มากกว่านี้”Ludendorff นั้นชักหัวเสียเมื่อคนพูดถึงศึกที่ Dresden.. แน่นอนเข้าเสียทีแพ้กองทัพของฝรั่งเศสที่มีน้อยกว่าอย่างหมดรูปจนต้องถอยร่นกลับ......Ludendorff เดินไปหยิบคีมคีบถ่านอันหนึ่งซึ่งกำลังอยู่บนเตาไฟ.......ที่ปลายคีมมีสัญลักษณ์ กากบาทเหมือนไม้เกงขานที่กำลังลุกไหม้ด้วยเปลิวเพลิง เขาเดินมาอย่างช้าๆ พร้อมจ้องมองมันด้วยสายตาอันพิสมัย
“รู้ไหม ผู้กองว่านี้คืออะไร..........“รู้สิ.....มันคือเหล็กร้อนๆที่เจ้ากำลังจะใช้มันทรมาณข้ายังไงล่ะ!!”“ผิด......มันคืออนาคตต่างหาก ผู้กอง ต้องขอบใจฝรั่งเศสที่ทำให้ข้าลิ้มรสความพ่ายแพ้ ข้าได้รู้ว่า กองทัพของปรัสเซียนั้นเริ่มล้าสมัยเสียแล้ว จะต้องมีการปรับปรุงใหม่ทุกอย่าง ปฎิรูปใหม่ทุกอย่าง.....กองทัพสมัยใหม่ของข้านั้นจะใช้ สัญลักษณ์นี้ “กางเขนเหล็กอันศักสิทธิ์” เป็นเครื่องนำทาง!! นำไปสู่ชัยชนะเหนืออิริราชศัตรูทั้งปวง..........”“ต่อให้เปลี่ยนเป็นรูปอีแร้ง ปีกหัก แกก็ไม่มีวันเอาชนะ Grande Armee ได้หรอก หึหึ”“งั้นแก ก็เป็นคนลิ้มลองฤทธิ์เดชของมันคนแรกล่ะกัน”Ludendorff นั้นถกเกงเกงอันขาดวิ่นของผู้กอง มาครง ลง!! เผยให้เห็น ไอ้จ้อน อันเปลือยเปล่าไร้การปกป้อง.........และในที่สุด“ไม่ๆๆๆ อย่าๆๆๆๆๆ ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”ชานเมือง Smolensk , Russian Empire 30 มีนาคม ค.ศ. 1806
“ฆ่าพวกมันนนนนน”
“ย้ากกกกกกกกกก”
“ฉับบบบบบบ ฉัวววววะ อ๊ากกกกก”
“ทหารของพระเจ้าซาร์มา หนีเร็ว!!!”
เสียงหนีตายของเหล่าชาวบ้านในชานเมือง Smolensk ดังขึ้นแต่เช้ามืด พวกเขานั้นสับสน....งุนงง ที่ถูกโจมตีโดยฉับพลันจากกองทหารม้า Cossack ของกองทัพ... พวกทหารม้านั้นไม่ปราณีใช้ดาบและทวนในมือของเขาปลิดชีพชาวบ้านทุกคนที่ขวางทาง แม้แต่เด็กและผู้หญิงคนหนึ่งก็ตาม....... มีแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งวิ่งหนีทหารม้านายหนึ่งที่ ควบตามม้าติดๆ..แต่ก็หาพ้นคมดาบของเขาไม่.......เพียงฉับเดียวสตรีนางนั้นล้มลง....ปล่อยให้ลูกน้องวัยทารกกลิ้งไปตามถนน....เหล่าทหารม้าอีกหลายสิบนั้นควบตรงมาเรื่อยๆโดยไม่ได้สนเด็กที่อยู่บนพื้น.....แน่นอนว่าเจ้าหนูน้อยนั้นแหลกลาญไส้แตกกะโหลกบี้คากีบเหล็กหนักๆของม้าศึก....... ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เหล่า Cossack ยังได้โยนคบเพลิง เข้าไปเผาทำลายบ้านช่อง โรงนาของชาวบ้านจนวอดวาย.............. หมู่บ้านแห่งนั้นเต็มไปด้วยกองเพลิง...ส่วนพวกชาวบ้านที่เหลือกว่าหลายร้อยนั้นต่างวิ่งไปรวมกันที่ศูนย์รวมจิตใจของพวกเขานั้นคือ โบสถ์นั้นเองชาวบ้านจำนวนมากนั้นมารวมกันหน้า โบสถ์ และต่างอ้อนวอนร้องคราวญครางให้บาทหลวงนั้นช่วย........ บาทหลวงเคราดกในชุดคลุมสีดำนั้นเดินออกมาพร้อมไม้เท้ารูปไม้กางเขน...... สร้างกำลังให้พวกชาวบ้านยิ่งนัก“หลวงพ่อ!! กองทัพปีศาจพวกนั้นมาถึงหน้าบ้านเราแล้ว หลวงพ่อได้โปรดช่วยเราด้วย!!”“หลวงพ่อ นำจงนำพวกเราสู่ชัยชนะเถอะหลวงพ่อ !!!”“หลวงพ่อ!!”“หลวงพ่อ!”เมื่อบาทหลวงเห็นสภาพการณ์ข้างหน้านั้นก็รู้แล้วว่าไม่มีทางรอดแหงมๆ ทหารม้า Cossack ของรัสเซียกว่า 50 นายนั้น ปาคบเพลิงใส่หมู่บ้านอย่างเมามัน และหลายส่วนกำลังมุ่งตรงมายังตรงนี้!!!.... เขานั้นเริ่มเหงื่อแตกและเลิกลั่กๆทำอะไรไม่ถูก...... “หลวงพ่อ!!!”อยู่ดีๆมีนายทหารนายหนึ่งตะโกนเรียกบาทหลวงผู้นั้น ด้วยน้ำเสียงอันดุดัน... หลวงพ่อยังช๊อคอยู่จนตั่วสั่นเทาไปหมด กระนั้นชาวบ้านก็ยังคงยืนรายล้อมบาทหลวงของพวกเขาเพื่อปกป้องผู้นำ!!“ใครกันเป็นผู้นำการกบฏครั้งนี้!!”“Lord Dimitry Yanozky แห่ง Smolensk ครับ ท่านนายทัพ!! มันจ่ายเงินให้ผมเพื่อผมปลุกปั่นชาวบ้านพวกนี้เองคร๊าบบบบ”หลวงพ่อตอบไปทันควันด้วยความกลัว .. ส่วนพวกชาวบ้าน นั้นเริ่มหันกลับมามอง หลวงพ่อด้วยสีหน้าอันผิดหวังแต่ยังไม่ต้องทันทำอะไรนักหรอก“ฆ่าให้หมด!!”เสียงของนายทหารม้าผู้นั้นตะโกนสั่งเหล่า Cossack ให้เข้าโจมตีเหล่ากลุ่มชนทันที!! ไม่มีจับเป็น ไม่มีปราณี ทหารม้ารัสเซียโจมตีใส่ชาวบ้านที่เหลืออย่างโหดเหี้ยม.....ดาบในมือของพวกเขาฟาดฟันเหล่าพลเมืองที่ไร้ทางสู้...... เสียงของผู้หญิงกรีดร้องเมื่อพวกหล่อนถูกแทงทะลุหน้าอก ชายหลายคนพยายามจะหาอาวุธสู้แต่มิอาจต้านทานกำลังทหารม้า การสังหารโหดดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่เหลือสิ่งมีชีวิตอยู่บนหมู่บ้านนี้“เฮ้อออ............หมดไปอีกหมู่บ้านสิน่ะ”เสียงของชายคนสีบลอนด์ยาวประบ่าคนหนึ่งพูดออกมาในขณะที่กำลังดูภาพการสังหารหมู่ผ่านกล้องส่องทางไกล... เขาละกล้องส่องทางไกลลงพร้อม ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา......ชายวัยกลางในชุดเครื่องแบบนายพลสีเขียวเข้มเก็บกล้องส่องทางไกลของเขาลง....เบื้องหลังเขาคือ ค่ายทหารของกองทัพพระเจ้าซาร์....ซึ่งมีกองทัพทหารผ่านศึกราว 40000 นายอยู่ในนั้น.... ในขณะเดียวกันก็มี ชายหนุ่มเคราดกอีกคนสวมหมวกขนหมีและเสื้อคลุมขนหมีสีน้ำตาล หน้าตาดูเหมือนชาวมองโกล.... เขาคนนี้ดูท่าทางจะเป็นคนสนิทของ นายพลรัสเซียคนนั้น ซึ่งนายพลรัสเซียก็พูดกับชายหนุ่มมองโกลคนนั้นด้วยน้ำเสียงอันดูตัดพ้อ“กว่าเดือนครึ่งที่ผ่านมานี้ เราล่าสังหารชาวบ้านตามรายทางไปมากมาย ทุกหมู่บ้านถูกทำลาย...... ประชาชนชาวรัสเซียล้มตายลงราวกับใบไม้ร่วง”“ใช่ครับ......เกือบ 150 หมู่บ้านได้มั้งที่เราทำลายนั้นเท่ากับ เราฆ่าประชากรของเราไปเกือบ 150000 คน!! ทีเดียวครับ”“ฆ่าไม่เห็นด้วยกับ Kutozov เท่าไหร่เลย เราฆ่าแค่พวกบาทหลวงก็พอนิ... เราบังคับให้พวกนั้นพูดชื่อคนก่อการมาและมันก็ตรงกันทุกหมู่บ้านเลย…”“Dimitry Yanozky แห่ง Smolensk ..หึหึ ผมก็ว่างั้นแหละ ไอ้หมอนี้มันเจ้าเล่ต์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ค้าขายกับพวกอังกฤษจนร่ำรวย มีอิทธิพลมากมายในแถบภาคใต้”“ใช้ เจ้านั้นแหละ...ความจริงก็ควบม้าไปฆ่ามันถึงที่ก็จบแล้ว... แต่ Kutozov กลัวการต่อต้านจากชาวบ้านเลยสั่งให้ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าตามทาง. นี่เรายังใช่คนอยู่รึเปล่า อูกุย”“ผมว่าเขาคิดถูกน่ะครับ ถ้าไม่ทำพวกเขาก็จะไม่กลัวและลุกขึ้นมาสู้กับเราอีก....”“อืม................. เจ้าหมู่บ้านนี้ก็เป็นอีก 1 หมู่บ้านที่ตกเป็นเหยื่อของเรา.... เดี๋ยวไม่นานนักหรอกพวกเหล่าทหารม้าของผมคงจะกลับมาพร้อมกับบอกด้วยถ้อยคำเดิมๆว่า Dimirtry Yanozky อยู่เบื้องหลังครับ!! เออ ใช่ รู้ตั้งนานแล้ว เผาไป 150 หมู่บ้านพูดชื่อเดียวกันทุกหมู่บ้าน... มันจะไม่ใช่ได้ยังไง”“อีกไม่นานเรื่องแบบนี้ก็จะจบแล้วครับท่านนายพล อีก 3 วันเท่านั้นเราจะถึง Smolensk และก็จะลากเจ้าจิ้งจอกนั้นมาลงโทษอย่างสาสม”“ขอให้เป็นเช่นนั้นล่ะกันจะได้ยุติเรื่องบ้าๆพรรค์นี้สักที......นั้นไงมาแล้ว”พูดไม่ทันขาดคำ ทหารม้า Cossack หมู่ 1 ควบกลับมายังค่าย และเขาก็รีบแจ้งข้อความให้กับนายพลรัสเซียได้ทราบทันที“Dimitry Yanozky อีกแล้วครับท่าน Tomarsov!!”“เออ กูรู้แล้ว!! และกูจะไม่ปล่อยให้ชาวบ้านต้องตายอีกแล้ว!!......ไป อูกุย ไปล่าหัวมันกัน!!”ว่าแล้ว Tomarsov ตรงไปขึ้นหลังม้าทันที เขาจะไม่ฟังคำสั่งของ Kutozov แล้ว เขาจะพากองทหารม้า Cossack ตรงไปจัดการไอ้ Lord โฉด เพื่อจะได้จบเรื่องราวนี้สักที!!! พอกันทีกับการฆ่าประชาชน!! Tormasov กำลังจะไปหา!
|
|
|
Post by greatbritian on Dec 22, 2017 15:53:37 GMT
Battle of Smolensk : สงครามปราบกบฎ อีก 3 ไมล์ถึงคฤหาสน์ Yanozky , Smolensk , Russian Empire 31 มีนาคม ค.ศ. 1806
ครึ่กๆๆๆๆ กุบกับๆๆๆๆๆๆ ครึ่กกกกกก
แผ่นดินสั่นสะเทือนไปด้วยเกือกเหล็กของอาชาศึกกว่า 500 นายดังไปทั่วทุ่งหญ้าอันโล่งกว้างของ Smolensk …… พวกเขาคือ เหล่าทหารม้า Dragoon ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพล Tomarsov ซึ่งเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วมาเพื่อสังหาร Lord Dimitry โดยเฉพาะ…… อีกไม่กี่อึดใจนั้นพวกเขาก็จะถึง คฤหาสน์ Yanozky อันเป็นที่อยู่ของ Lord จอมโฉด…ผู้อยู่เบื้องหลังการกบฎทั้งหมด แต่ทันใดนั้น……
“หยุดดดดดดดดดดดดด!!!”
Tomarsov นั้นสั่งทหารม้านั้นหยุดทันที เมื่อเห็นว่าภายรอบบริเวณ คฤหาสน์ Yanozky นั้น เต็มไปด้วย เหล่ากองทัพมวลชนกว่าแสนนาย….!!! เหล่าชาวบ้านนั้นพร้อมใจกันมารวมตัวหน้าบ้านของผู้นำกบฎซึ่ง พวกเขาต่างตั้งกระโจมกันอยู่ชุ่ยๆ สะเปะสะปะไปเต็มทุ่งหญ้า มีทั้ง เด็ก พระ คนชรา สาวท้องแก่…… แต่ด้วยจำนวนที่มีเพียง 500 นายของ Tomarsov นั้นยากต่อกรกับประชาชนเรือนแสนในตอนนี้….
“ถอยก่อน กลับไปรายงานความคืบหน้าของพวกกบฎให้จอมพล Kutozov ดีกว่า”
Tomarsov สั่งทหารม้าควบกลับค่ายที่พักซึ่งห่างออกไปทางตะวันออก 50 ไมล์…… ในวันรุ่งพรุ่งนี้เขาจะกลับมาใหม่พร้อมกับกองทัพของพระเจ้าซาร์
.
.
.
.
ในตัว คฤหาสน์ Yanozky ในห้องพักผ่อนชั้นบน…… Lord Dimitry นั้น เปิดผ้าม่านแหวกมองเหล่ากองทัพมวลชนที่อยู่ภายนอก ด้วยความหนักอกหนักใจ
“Laurente เจ้ารู้ไหมมันเป็นความคิดที่แย่ที่สุด ที่เจ้าเคยมี!!”
เขาหันกลับมาพูดกับเพื่อนของเขาท่าน Court Laurente Yaroslav ขุนนางที่พระเจ้าซาร์ไล่ออกจาก มอสโก ชายหนวดเคราสีน้ำตาลในชุดคลุมกำมะหยี่สีแดง กำลังนั่งวุ่นเขียนกองเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานไม้สนโดยไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนเขานัก
“นี้เจ้าฟังข้าอยู่รึเปล่าเนี่ย….”
“ฟังอยู่…...”
Laurente…… ละมือจากปากกาขนนกเขาวางมันลงและจ้องมายังเพื่อนของเขา…
“เจ้าคิดยังไงให้ชาวบ้านมารวมตัวกันหน้าบ้านของข้า!!....ทำแบบนี้ได้ตายหมู่แน่ กองทัพของพระเจ้าซาร์กำลังเคลื่อนเข้ามา!! สู้เราหนีไปตั้งหลักที่ อังกฤษ ยังจะง่ายกว่าอีก!!”
“หนีไปตั้งหลักทำไมล่ะเพื่อน เอ่ย…….. อีกไม่นานพระเจ้าซาร์ก็จะสิ้นชื่อแล้ว”
“เจ้าหมายความว่ายังไง”
“ที่ Smolensk นี่แหละ จะเป็นสภรภูมิสุดท้ายของ Alexander I และกองทัพของเขา!!”
“เหอะๆ เจ้าฝันหวานไปหรือเปล่า Laurente ที่อยู่ข้างนอกบ้านข้าไม่ใช่กองทัพ!!....ข้าเห็นแต่คนแก่ เด็กน้อย แล้วก็พวกคลั่งศาสนาเท่านั้น!!”
“ไม่ข้าหมายถึง กองทัพพิทักษ์มาตุภูมิของจอมพล Pyotr Bagration ที่ประจำอยู่ที่ มอสโก ต่างหาก”
“ทำไมล่ะ??”
“ตัวข้านั้นช่วงที่ทำงานใกล้ชิดพระเจ้าซาร์ ข้าได้พบกับ Bagration บ่อยครั้ง พวกเรามีความสนิทสนมกันพอสมควร และที่สำคัญเขาไม่ค่อยชอบหน้าพระเจ้าซาร์เท่าไหร่…..เขานั้นรอจังหวะที่จัดการกับพระเจ้าซาร์ตลอดถ้ามีโอกาส…..มาบัดนี้กองทัพของพระเจ้าซาร์นั้นโดน นโปเลียนถล่มซะสะบักสะบอมกลับมาอำนาจทางการทหารของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด….ในช่วงที่พระเจ้าซาร์นั้นเคลื่อนพลถอยกลับเข้ามาในรัสเซีย ข้าได้ลอบติดต่อกับ Bagration ให้เขาส่งกองทัพมาร่วมกับเรา!! เข้าโจมตีพระเจ้าซาร์ให้แหลกราญ แล้วล้มเข้าซะ!!!”
“นี่แกพูดจริงเหรอว่ะ!!”
“ข้าจะโกหกเจ้าเพื่อประการใดล่ะ”
“สุดยอดไปเลยไอ้เพื่อนรัก เท่านี้แหละอำนาจของรัสเซียก็อยู่ในกำมือเรา!!”
Dimitry นั้นยิ้มอย่างสะใจและหัวเราะฮาๆ ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีกองทัพมาเข้าร่วมมากมายขนาดนี้!!! …… ทาง Laurente นั้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ต์ ดูเหมือนเจ้าจิ้งจอกแห่งรัสเซียตนนี้จะมีแผนการณ์อะไรบางอย่างในหัว
ค่ายกองทัพพระเจ้าซาร์ 50 ไมล์ทางตะวันออกของ Smolensk , Russian Empire ตกดึก 31 มีนาคม ค.ศ. 1806
ณ ค่ายกองทัพพระเจ้าซาร์…. กองทัพที่รอนแรมเดินทางมาแสนไกลกว่าพันไมล์….พวกเขาไล่กวาดล้าง เหล่าชาวบ้านชาวช่องทุกคนที่ขวางทาง เพื่อจะได้ไม่เหลือใครต่อต้าน… ณ กระโจมผู้บัญชาการ…พระเจ้าซาร์ Alexander I แห่งรัสเซีย ได้เรียกประชุมเหล่านายพล เพื่อหารือแผนการณ์ขั้นต่อไปที่จะจัดการกับกบฎ ใน กระโจมนั้นประกอบด้วย จอมพลใหญ่ Mikhail Kutozov นายพล Alexander Tomarsov และนายพลน้อยใหญ่คนอิ่นๆอีก 4 – 5 คน พระเจ้าซาร์นั้นยืนอยู่ที่หัวโต๊ะพร้อมจ้องมองไปที่แผนที่ของ Smolensk ด้วยสีหน้าจริงจัง….. เขาเอยออกมา
“ในตลอดรัชสมัยที่ราชวงศ์ โรมานอฟ ปกครอง รัสเซีย ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น!! ไม่เคยมีพวกรากหญ้าคนไหนคิดลุกขึ้นต่อต้านอำนาจของกษัตริย์…..แต่มันดันเกิดขึ้นในสมัยของข้า!! ของข้า!!......ทำไมกัน เป็นเพราะข้าอ่อนแอหรือไง!! เป็นเพราะข้าประสบแต่ความพ่ายแพ้หรือไง!!! หรือ เพราะ นโปเลียนมันแอบเอาแนวคิดเสรีนิยมมาเผยแพร่ในจักรวรรดิของข้า ทำไมกัน”
“ทรงสงบสติอารมณ์ก่อนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ในตอนนี้สิ่งที่เราต้องตัดสินใจให้เร็วที่สุดนั้นคือ การปราบพวกกบฎนั้นให้สิ้นซากพ่ะย่ะค่ะ”
จอมพลร่างอ้วนใหญ่ Kutozov พูดทัดทานพระเจ้าซาร์พลางกัดแอปเปิ้ลลูกโตในกำมือ…… ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่อารมณ์เย็นที่สุดในที่ประชุม
“ใช่ท่านพูดถูก!! ข้าต้องจัดการพวกมันให้เร็วที่สุด ก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้!! แค่นี้พวกมันก็ท้าทายอำนาจข้าพอแล้ว!!”
“ลองว่าสถานการณ์มาสิท่าน Tomarsov”
Kutozov พูดพลางหันหน้าไปทาง นายพล Tomarsov ที่ยินอยู่ริมสุดของโต๊ะ สีหน้าของเขาดูกดดันเล็กน้อย….
“สิ่งที่ข้าเห็นเมื่อช่วงเช้านั้นช่างน่าตกใจยิ่งนัก….. ที่ปราสาท Yanozky ไม่ได้มีแค่ชาวบ้านไม่กี่พัน แต่เป็นกองทัพมวลชนราวๆ 300000 คน!!! รวมตัวกันอยู่ที่ทุ่ง Smolensk!! … ถ้าพวกมันรวมตัวกันอยู่ที่นั้นแปลว่า ผู้ก่อการกบฎยังต้องอยู่ที่นั้นเป็นแน่!!”
“300000 เลยงั้นเหรอ!!! อะไรดลใจไอ้พวกมันทำแบบนั้นกัน!!!”
พระเจ้าซาร์นั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจ จากชาวบ้านตามรายทางกลายเป็นกองทัพมวลชนจำนวนมหาศาลที่ดูแล้วยากที่จะปราบ!!! แต่ทาง Kutozov ได้ยินดังนั้นกลับชอบใจแทนส่ะนี่
“ฝ่าบาทอย่าทรงกังวลพ่ะย่ะค่ะ พวกมันรวมตัวกันดีแล้วแปลว่า นอกจากเราจะจัดการกับหัวหน้ากบฎได้แล้ว เรายังจะเหล่ากบฎที่เหลือให้สิ้นไปในคราวเดียวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“คนที่ท่านบอกจะกำจัดให้สิ้นนั้นคือ ประชาชนของเราน่ะท่านจอมพล ….”
ทาง Tomarsov นั้นพูดขัดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ เขาไม่พอใจ Kutozov ตั้งแต่สั่งให้ฆ่าชาวบ้านตามรายทางทั้งหมดที่เห็น!!! ทางจอมพลอ้วนหันหน้ามาทาง Tomarsov ด้วยสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน
“คนพวกนี้เป็นกบฎท่านนายพล กบฎที่สมควรจะจกำจัดสิ้นให้หมดจากแผ่นดิน!!”
“พวกเขาแค่ถูกปั่นหัว เหมือนลูกแกะโดนหมาป่าไล่ต้อน แค่ฆ่าหมาป่าลูกแกะมันก็เตลิดแล้ว”
“แต่ไอ้ลูกแกะที่ว่านี่มัน จะโค่นล้มพระเจ้าซาร์ด้วยนี่สิท่าน…ใยเราต้องปล่อยมันไว้ล่ะ”
“พอแล้วทั้งคู่เลย!!!!! พรุ่งนี้เราจะเคลื่อนพลไปที่ Smolensk!! Kutozov หวังว่าสติปัญญาของท่านจะช่วยให้เราชนะ….แก้มือจากการรบครั้งก่อนหน่อย!!!”
“รับบัญชาพ่ะยะค่ะ….”
“เอาล่ะเลิกประชุมแยกย้ายไปพักผ่อนได้ทุกท่าน!!”
พระเจ้าซาร์สั่งนายพลทั้งหลายแยกย้ายพวกเขาต่างทำท่าเคารพ พระเจ้าซาร์ก่อนจะออกจากกระโจมไป ทาง Kutozov นั้นทำหน้ายิ้มเย้ยใส่ Tomarsov ที่พระเจ้าซาร์นั้นเห็นด้วยกับเขา…..;ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากกระโจมไป….Tomarsov นั้นทำสีหน้าหดหู่!! ในวันพรุ่งนี้คงจะเป็นอีกวันแน่ที่เลือดรัสเซียจะชโลมแผ่นดิน
ทุ่ง Smolensk , Russian Empire 1 เมษายน ค.ศ. 1806 เวลา 0800 น.
เช้าตรู่วันที่ …. อากาศในวันนี้สดใส ผิดกับบรรยากาศรอบๆที่ดูตรึงเครียดสุดๆ ท้องทุ่งอันสวยงามแห่งนี้กำลังจะกลายเป็น สมรภูมิหฤโหดในอีกไม่นาน……เหล่ากองทัพชาวบ้านที่นำโดย Lord Dimitry แห่ง Smolensk นั้น ยืนเต็มท้องทุ่ง หมู่มวลชนเฉียด 300000 มีจำนวนมากมายนัก ใหญ่โตยิ่งกว่ากองทัพหลวงของพระเจ้าซาร์หลายเท่านัก….. แต่พวกเขาก็เป็นแค่ชาวบ้าน ซึ่งดูไม่พร้อมรบเอาเสียเลย มีทั้งชายและหญิงทั้งแก่ทั้งเด็ก ……กองทัพของพวกเขายืนกันเปะปะไม่เป็นแถวเป็นแนว หลายนายถือคราดและจอบมาเป็นอาวุธ มีที่ถือปืนเพียงไม่ถึงครึ่งเท่านั้น ขาดการฝึกอาวุธที่ดี ขาดการบังคับบัญชาที่ดี เหล่าผู้อาวุโสและพระประจำหมู่บ้านต้องมาทำหน้าที่คุมผู้คน ทั้งๆที่พวกเขาหามีประสบการณ์รบไม่ …. …..ทหารม้านั้นคือเหล่าชาวบ้านที่เลี้ยงม้าต้องมาขึ้นขี่มันพร้อม กับถือมีดหรือ จอม แทน หอกและดาบ ปืนใหญ่ก็ไม่มี……. ดูยังไงก็ไม่ใช่กองทัพ……… เพียงไม่กี่อึดใจ เสียงฝีเท้านับหมื่นกำลังเคลื่อนตรงมา แผ่นดินท้องทุ่งแห่ง Smolensk สั่นสะเทือน เหล่ากองทัพชาวบ้านต่างหันมองไปยังต้นเสียง
“นั้น กองทัพของพระเจ้าซาร์”
เสียงของชายชราผู้หนึ่งซึ่งถือคราดเก่าๆเป็นอาวุธชี้ไปยังอีกด้านของท้องทุ่ง ………..ทหารในชุดเครื่องแบบสีเขียว หลายหมื่นนายเดินมาแต่ไกล ห่างจากพวกเขาไปราวๆ 3 ไมล์ พวกเขาช่างดูน่าเกรงขามและน่าเกรงกลัวแล้วกับปีศาจที่กำลังเดินมาจากขุมนรก ในแนวหน้าของกองทัพพระเจ้าซาร์นั้นเป็นทหารราบเดินเท้า 25000 นาย ตามด้วย Grenadier และ Tsar’s Guard ที่คอยสนับสนุนด้านหลังอีก 15000 ที่ปีกซ้ายและขวา มีทหารม้ารัสเซียน้อยใหญ่กว่า 6000 นาย และที่แนวหลังนั้นมีปืนใหญ่ 9lb และ 12 lb อีก ราวๆ 150 กระบอก ถึงแม้จะมีจำนวนแค่ราวๆ 40000 กว่า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือกองทัพที่แท้จริง…….ทาง นายพล Tomarsov ที่คุมกองกำลังทหารม้าทางปีกซ้ายนั้น ใช้กล้องส่องทางไกลดูการเคลื่อนไหวของกองทัพชาวบ้านตรงหน้า……………
“นี่มัน สังหารหมู่ชัดๆ……..”
เขาพูดออกมาอย่างเวทนาเหล่าพลเมืองรัสเซียที่ต้องมาสังเวยชีวิตในวันนี้
กองทัพมวลชน เวลา 0810 น.
ตอนนี้ เหล่ากองทัพประชาชนต่างเริ่มส่งเสียงจอแจ ถกเกียงกันต่างๆนานา ว่าจะเอาไงต่อ…..กว่าครึ่งนั้นเริ่มออกอาการกลัวอย่างเห็นได้ชัดพวกเขามือไม้สั่นและเหงื่อแตกพลั่ก หลายคนทำท่าจะเลิกกลับ ตอนนี้ขุนนางโฉดทั้ง 2 ต่างกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดเช่นกัน ถึงแม้จะพูดดูง่าย แต่ถึงเวลาจริงนั้นไม่ง่ายเลยที่จะบัญชาการรบ ทั้ง Dimitry และ Laurente ต่างถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้
“กองทัพของ Bagration จะมาจริงใช่ไหม ถ้ามันไม่มาเราตายแน่…!!”
“มาสิ ข้ารับประกัน สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือตรึงกำลังไว้ให้ได้นานที่สุดสัก ชั่วโมง 2 ชั่วโมง ไม่ให้พวกมันต้องแตกพ่ายก่อน Bagration จะมาถึง”
“งั้นทำไงดีล่ะ ทำไง ทำไง ข้าไม่เคยบัญชาการรบเลย ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสงครามเลย!!”
Dimitry พูดด้วยน้ำเสียงอันดูเป็นกังวลมากเหลือเกิน ทาง Laurente ตอบกลับมา
“กำลังใจนั้นสำคัญที่สุด!! ลองไปปลุกใจให้เหล่าชาวบ้านเหล่านี้ รบเหมือนเสือ!! ไม่ใช่นั้นพวกมันก็เป็นแค่ไก่ธรรมดา”
“ปลุกใจ….ปลุกใจ งั้นเหรอออ…...บ้าที่สุด”
Dimitry ควบม้าวนไปวนมาอยู่กับที่ราวกับกำลังคิดคำพูด เขานั้นบ่นพึมพำในใจก่อนจะตัดสินใจควบม้าออกไปแนวหน้าของเหล่ามวลชน ม้าสีขาวของเขานั้นช่างองอาจ เขาสวมหมวก Bicorne แนวตรงและสวมชุดคลุมสีเทา ดูแล้วเหมือนกำลังจะเลียนแบบ นโปเลียน ยังไงงั้น ท่าทีของเขาดูตื่นคนแต่เขาก็รวมรวบความกล้าพูดออกมา
“เหล่าประชาชนชาวรัสเซีย !! นานมาแล้วนับร้อยปีพวกท่านทั้หลายต่างถูกกดขี่ โดยเหล่าชนชั้นสูง เหล่าพระเจ้าซาร์ซึ่ง โหดเหี้ยม พวกเขาไม่เคยให้สิ่งตอบแทนพวกท่านเลย….สิ่งเดียวที่เขาตอบแทนคือ คมดาบ และลูกกระสุนจากปากประบอกปืนยามที่เราคิดต่อต้าน!!”
“ใช่!”
พระรูปหนึ่งชูไม้เท้าขึ้นมาพร้อมตะโกน ตอบรับ ท่าน Lord Dimitry
“แต่มันจะไม่มีอีกแล้ว!! หากเราทุกคนร่วมมือกัน รวมพลังกัน โค่นล้มไอ้ทรราชย์ ไอ้หล่นจากบัลลังก์…. “
“แล้วถ้าเราตายล่ะ…..”
“เราสู้มันไม่ได้หรอก!! …..”
ชาวบ้านหลายคนเริ่มตะโกนประท้วงขึ้นมา ความกลัวเริ่มบดบังอุดมการณ์ ประชาชนหลายส่วนเริ่มไม่เห็นด้วย….
“พวกเราไม่ได้สู้เพียงลำพังเหล่ามวลชน ทหารหาญชาวรัสเซียนั้นส่วนใหญ่คือชนชั้นล่างเฉกเช่นพวกท่าน ในตอนนี้พวกเขาหลายนายนั้นคิดต่อต้านกษัตริย์ของตน และพวกเขานับแสนกำลังร่วมรบกับเรา”!!
เหล่าฝูงชนต่าง ฮือฮา ในตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังได้กองหนุนกว่า 1 กองทัพมาช่วย!! นั้นทำให้โอกาสชนะของพวกเขาสูงสิบขึ้นทันตา!! มวลชนแห่งรัสเซียน้อยใหญ่เริ่มกลับมามีกำลังใจอีกครั้ง Dimitry นั้นมองแววตาของพวกเขาออก เขานั้นยิ้มออกมา ดีใจที่การพูดของเขานั้นประสบความสำเร็จ!!
“เราเหล่ากองทัพประชาชนรัสเซีย จะช่วยกันปลดแอกชนรัสเซียทั้งชาติให้เป็นเอกราช!!! ทำให้พวกมันนั้นเห็นเลยว่า เราจะไม่ตกเป็นทาสของพวกมันอีกแล้ว!!!!! ที่นี่รัสเซียมีแต่คำว่าประชาชน!!!”
พอพูดจบ Dimitry ก็บังคับม้าของเขาให้ยกขาขึ้น 2 ข้าง พลางชี้นิ้วไปด้านหน้า เลียนแบบ ท่าทางของ นโปเลียนตอนพาทหารข้ามเทือกเข้าแอลป์ นั้นยิ่งสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชนรัสเซียยิ่งนัก….. จากฝูงแกะกลายเป็น พญาราชสีห์ภายในพริบตา…. พวกเขาตะโกนกู่ร้องด้วยความฮึกเหิมพลางชูอาวุธของพวกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง…. ในขณะที่ Dimitry ในตอนนี้ ก็ดูเหมือนกำลังอินกับบท นโปเลียน เขาควบม้าไปตามแนวหน้าของเรา มวลทัพประชาชน สร้างขวัญกำลังใจให้พวกเขาในขณะที่กองทัพของพระเจ้าซาร์เคลื่อนเข้ามาใกล้เต็มทน
กองทัพพระเจ้าซาร์ เวลา 0825 น.
เหล่ากองทัพอันโชกโชนของพระเจ้าซาร์นั้นเคลื่อนพลมาอยู่ห่างจากเหล่ากองทัพมวลชนเป็นระยะ 1.2 ไมล์ นั้นคือระยะปืนใหญ่พอดิบพอดี…..เหล่าทหารปืนใหญ่ของรัสเซียนั้นเคลื่อนมาอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมยิง พวกเขาต่างปักเสาหลักยึดปืนใหญ่ลงกับดิน รถม้าต่างลำเลียงกระสุนจำนวนมากมาเตรียมพร้อมรอคำสั่ง…ในขณะที่เหล่าทหารราบเดินเท้ากว้าหมื่นนายกำลังเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆหมายบดขยี้ทุกอย่างที่ขวางทาง ในขณะเดียว พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 และ จอมพล Mikhail Kutozov นั้นอยู่บนหลังม้าเคียงข้างกัน พวกเขานั้นอยู่ตรงกึ่งกลางทัพเพื่อง่ายต่อการบังคับบัญชา ทางด้านจอมพลร่างใหญ่ได้ใช้กล้องส่องทางไกล ส่องไปด้านหน้าเพื่อตรวจตราดูความเคลื่อนไหวของเหล่าทัพมวลชน
“เฮ้ย……….นโปเลียน!!”
Mikhail อุทานออกด้วยความตกใจราวกับเห็นผี ทำเอาพระเจ้าซาร์ รวมถึงเหล่าทหารม้าองครักษ์ในละแวกนั้นตกใจกันหมด!!
“ไหน!!!”
พระเจ้าซาร์ รีบแย่งกล้องส่องทางไกลจากจอมพล Kutozov มาดู……และสิ่งที่เขาพบนั้นคือ ชายผู้หนึ่งอยู่บนหลังม้าสีขาว สวมใส่หมวก Bicorne และเสื้อคลุมสีเทา กำลังควบม้าปลุกระดมคน เขาแลดูคล้าย นโปเลียนไม่มีผิด
“นั้นไม่ใช่ นโปเลียน ท่านจอมพล!!.....และอย่าพูดชื่อนี่มาพล่อยๆอีก ทหารเราจะเสียขวัญกันหมด”
“พ่ะย่ะค่ะ………...”
“สั่งกองทหารปืนใหญ่เปิดฉากระดมยิงได้ พวกชาวบ้านมันคงแตกตื่นราวกับแกะเมื่อเจออำนาจการยิงของเรา…… หลังจากนั้นใช้ทหารราบบดขยี้ส่วนที่เหลือของมันให้หมด ไม่ให้พวกมันรวมตัวกันติด!!”
“พะย่ะค่ะ……….เริ่มยิงได้”
“ยิง!!!!!!!!!!!!”
ฟุบๆๆๆ เฟี้ยวววววว เฟี้ยววววววววววว เสียงกัมปนาทจากปืนใหญ่นับร้อยกระบอกแผดดังไปทั่วทุ่ง!!!!! เสียงของมันช่างน่ากลัวราวกับมัจจุราชทำให้ ชาวบ้านหลายต่างเอามืออุดหู บางคนก็หมอบลบโดยพลัน ห่าลูกเหล็กนับร้อยกำลังพุ่งตรงมา
ตูมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมมมม ฟุบบบบบบ อ๊ากกกกกกก ตูมมมมมมมมมม
ลูกกระสุนเหล็กกระดอนไปทะลุลำตัวเหล่าประชาชนหลายสิบจนแหลกราญ บ้างกระเด็นเฉี่ยวหัวไปจนขาด บ้างกระดอนลงต่ำตัดขาของเราประชาชน!! จนล้มลงไปนอนกองกับพื้น เสียงร้องโอดโอยของชาวบ้านที่น่าสงสารดังเต็มทุ่ง……. ห่าปืนใหญ่ของรัสเซียยังคงระดมยิงนัก!! ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายหลายร้อยภายในไม่กี่นาทีทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรศัตรูเลยด้วยซ้ำ!!.......
“จงอย่ากลัวตามข้าพเจ้ามา!!!”
Lord Dimitry ก็ชักดาบเลี่ยมทองของเขาออกจากฝัก พร้อมชี้ไปข้างหน้า!!! แล้วเขาควบออกไป!! พาเอาเหล่าชาวบ้านรัสเซียนั้นยังฮึดต่อและวิ่งไปข้างหน้าด้วยความบ้าคลั่ง!!........
“เฮ!!! ฆ่าพวกมัน!!!”
“ฆ่าพระเจ้าซาร์!!”
ชาวบ้านที่แม้จะโดนระดมยิงอย่างหนักจากปืนใหญ่ ยังมิได้เสียขวัญ ด้วยจำนวนและมากกว่าและยังเชื่อมั่นในชัยชนะ ทำให้พวกเขาวิ่งออกไปโดยหากลัวตาย ทั้งชายชราถือไม้เท้า คนหนุ่มที่ปืน หรือเด็กที่ถือหนังสติ๊ก!! ทุกคนต่างมีใจมุ่งมั่น กองทัพมวลชนหลายแสนโถมคลื่นเข้าใส่ แถวทหารของพระเจ้าซาร์!!!
กองกลางกองทัพพระเจ้าซาร์ เวลา 0832 น.
จอมพล Kutozov ใช้กล้องส่องทางไกลมองดูการเคลื่อนพลของเหล่ากองทัพมวลชนด้วยความประหลาดใจ…….
“ทำไมไอ้พวกรากหญ้าเหล่านี้มันถึงไม่กลัวตาย!!....วิ่งโถมใส่ทหารของเรา ราวกับ ปีศาจ!! ผิดคาดจริงๆ”
“จำนวนขอพวกเราน้อยกว่าด้วย ถ้าพวกมันสู้ตายจริงๆเรามีสิทธิ์โดนล้อมน่ะ ท่านจอมพล กองทัพของเราพึ่งแพ้ ฝรั่งเศสมาด้วย กำลังใจของพวกเขายังไม่ดีนัก เราควรจะทำประการใดดีล่ะ”
พระเจ้าซาร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูวิตกไม่ใช่น้อย เมื่อเหล่าชาวบ้านนั้นดูไม่ใช่ลูกแกะอย่างที่พวกเขาคิด!!
“สั่งให้ Tomarsov นำทหารม้า เข้าบดขยี้ปีกขวา และ ปีกซ้ายของพวกมัน โอบมันให้เป็นรูปคีม!!!! เจอการโจมตีจากทั้ง 3 ทิศแบบนี้พวกมันแตกพ่ายแน่ พ่ะย่ะค่ะ”
“รีบดำเนินการให้ให้ไว!!”
“พ่ะย่ะค่ะ……รีบนำความไปบอก Tomarsov เดี๋ยวนี้ให้เขาเข้าโจมตีเลย!!”
“ครับ”
พลนำสาส์นรีบควบม้าไปอย่างไวเพื่อส่งต่อคำสั่งให้กับ นายพล Tomarsov ก่อนสถานการณ์จะเลวร้ายวก่านี้
กองทัพมวลชน เวลา 0845 น.
เฟี้ยววววววว ตูมมมมมมมมมมม ว้ากกกกกกกกกกกกกกก ฆ่ามานนนนน ตูมมมมมมมมม
ท่ามกลางการระดมยิงอย่างหนักหน่วง…… เราชาวบ้านต่างล้มตายเกือบร่วมพัน ร่างอันแหลกเลว แขนขา เครื่องในต่างกระจายเกลื่อนทุ่ง แต่ส่วนใหญ่นั้นพวกเขายังคงมุ่งมั่น วิ่งชาร์จเข้าใส่แนวทหารราบของพระเจ้าซาร์ที่เดินมา!!......... เลือดของความคลั่งชาติอยากล้มล้างระบอบกษัตริย์นั้นแรงกล้ากว่าความกลัว แม้จะวิ่งอยู่ท่ามกลางมุ่งสังหาร….. แม้เพื่อนข้างๆจะต้องกระสุนปืนใหญ่จนอันตรธานหายไปเป็นซาก แม้แขนจะขาดวิ่นจนเลือดไหลโซม……แต่ความกลัวนั้นยังไม่ปรากฎบนจิตใจของพวกเขา!! ในขณะเดียวกันท่าน Lord Dimitry นั้นได้ชะลอม้าของเขาลงและปล่อยให้เหล่าฝูงชนวิ่งเลยผ่าน……..เขาเตรียมควบม้ากลับไปแนวหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ….!!! ในขณะเดียวกัน ทหารราบในแถวของพระเจ้าซาร์ ก็เดินตรงมาอย่างสง่างาม แถวของพวกเขานั้น เรียงเป็นหน้ากระดานยาวเหยียด เพื่อให้อำนาจการยิงของพวกเขานั้นสูงสุด….. ในตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างกันในระยะประมาณ 800 หลาเท่านั้น….
ปีกซ้ายกองทัพพระเจ้าซาร์ เวลา 0900 น.
“ท่านนายพล”
พลส่งสาส์นนายนั้นได้มาถึงปีกซ้ายของกองทัพรัสเซีย ซึ่ง Tomarsov นั้นได้คุมกองทหารม้า กว่า 4000 เมื่อ นายพล Tomarsov ได้เห็นพลส่งสาส์นควบม้าแต่ไกลจึงเร่งรุดควบม้าเข้าไปหา…เพื่อที่จะได้ทราบความ..
“ท่าน Kutozov สั่งให้ท่านเข้าตีปีกขวาของพวกกบฎทันทีครับ!!”
“ที่ปีกขวาของเราก็ได้รับคำสั่งเช่นนี้เหมือนกันใช่ไหม”
“ครับ…..
“ดีมาก……..เข้าโอบเป็นรูปคีม วิธีนี้เหมาะกับการรบระยะประชิด โดยเฉพาะ…..”
Tomarsov พูดสเร็จก็สวมหมวก Bicorne เต็มยศพร้อมชักดาบออกมา!!
“เอาล่ะกองทหารม้าแห่งรัสเซีย!!!! โจมตี!!”
Tomarsov นั้นควบม้าออกนำเหล่าทหารม้าอันห้าวหาญของรัสเซีย นำโดย ทหารม้าหนัก Cuirassier…และ Dragoon ซึ่งเหมาะกับการทะลวงแนวทหารราบโดยเฉพาะ ส่วนทหารม้า Cossack นั้นตามหลังม้าคอยเก็บกวาดส่วนที่เหลือ………. กีบเหล็กของเหล่าอาชาศึกสะเทือนไปทั่วทุ่งอีกครั้ง
แนวหน้ากองทัพพระเจ้าซาร์ และ กองทัพมวลชน เวลา 0910 น.
ในตอนนี้เหล่าเคลื่อนมวลชน นับแสนกำลังเคลื่อนเข้า ถาโถม กองทัพของพระเจ้าซาร์……… ท่ามกลางฝุ่นและควันอันตลบอบอ่วน เสียงระเบิดกัมปนาทดังไปทั่วทุ่ง...... เหล่าประชาชนนับพัน ต่างล้มตายมากมาย….แต่ส่วนใหญ่นั้นยังคงวิ่งเข้าโถมต่ออย่างบ้าคลั่ง!!! ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่าง แนวหน้าของทหารราบในแถวเพียง 150 หลานั้น!!!
“แถวหยุด!!”
นายทหารสัญญาบัตรในแต่ละหมวดออกคำสั่งเสียงดังฟังชัด เหล่าทหารราบในแถวต่างยืนนิ่งหยุดการเคลื่อนไหว..ไม่สะทกสะท้านต่อ เหล่ามวลชนนับแสนข้างหน้า!!
“พร้อม!!”
ทหาร 2 แถวแรกยกปืนขึ้นมาประทับบ่าในท่าพร้อมยิง!! เหล่ามวลชนที่บ้าคลั่งนั้นวิ่งเข้ามาในระยะ 120 หลาเข้าใกล้ระยะยิงเต็มทน!!
“เล็ง!!”
ปืนนับหลายพันกระบอกในแถวตับแรกเล็งไปยัง ฝูงชนที่วิ่งเข้ามา……สายตาทั้ง 2 ต่างจับจ้องเป้าหมายตรงหน้า…..แม้ตรงหน้าจะเป็นหญิงสาวรัสเซียที่เลือดโซมจากแผลอันเหวอะหวะที่หัว …..
“ยิง!!!!!”
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ๊าก โอ๊ยยยยยยยย ว้ากกกกกก ชาวบ้านนับพันล้มเกลือ่นระเนระนาดเมื่อเจอห่ากระสุนจากปืนคาบศิลา!!! …….. หญิงสาวรัสเซียนับร้อย ต่างพรุนไปด้วยกระสุน หัวของชายชราถูกเจาะจนเป็นนรูปโบ๋จนสมองไหล ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างสยดสยองยิ่งนัก…… เหล่าชาวบ้าน ที่อยู่ข้างหลังๆยังคงวิ่งเข้ามาต่ออย่างไม่ขาดสาย เหยียบย่ำชาวบ้านที่ต้องกระสุนจนมิดดินแม้พวกเขาเหล่านั้นจะบางคนจะยังไม่ตายก็ตาม….. บางคนมีปืนก็หยุดและยิงใส่ ทหาราบรัสเซีย ซึ่งโดนบ้างไม่โดนบ้าง ทหารราบในแถวบางครั้งโดนยิงเข้าที่ขาจนล้มลง…. แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายได้มากนัก…..
“ยิง!!!!!!!”
แถวที่ 3 และ 4 เปิดฉากยิงต่อ!!!! ส่วนแถวที่ 1 – 2 นั้นหลบไปด้านหลัง ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ปุกปังๆๆๆๆๆๆ ชาวบ้านที่วิ่งมามาใส่ ล้มลงกองระเนระนาดไปอีก หลายร้อย… บางคนที่ถือปืนอยู่และกำลังเล็งเจอกระสุนพุ่งเข้าใส่ลำตัวจนล้มลง…บางคนถือขวานในมือโดนยิงเขาที่แขนจนรุ่งริ่งแต่ยังคงวิ่งต่อในสภาพไร้อาวุธ ……. ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างไปเพียง 50 หลาเท่านั้นเข้าใกล้ระยะปะทะเต็มทน……!!
“ยิง!!!!!!!!!”
ป้งงงงงงงงงงงงงๆ…….. ชาวบ้านหลายพันต้องล้มตายจากห่ากระสุนปืนใหญ่และปืนเล็ก แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะชนะ ทำให้พวกเขายังคงไม่หยุดหย่อน!!..... ด้วยจำนวนมากมายมหาศาลเหลือเกินทำให้อำนาจการยิงจากปืนเล็กยาวเปล่าๆ มิอาจหยุดยั้งพวกเขาได้!!!...ตอนนี้เข้ามาในระยะ 10 หลา!!!!
“เตรียมเข้าปะทะ!!”
ทหารราบในแถวต่างชี้ปืนไปข้างหน้า ดาบปลายปืนอันแหลมคมยื่นไปข้างหน้านั้นประดุจหอกนับพันเล่มเตรียมเสียบแทงทุกอย่างที่เข้ามา ใกล้!!!
“ว้ากกกกกกกกกกก ฆ่าพวกมัน!!”
“ล้มล้างพวกมัน พวกลิ่วล้อพระเจ้าซาร์”
“ในนามของพระเจ้า ฆ่าพวกสัตว์นรกพวกนี้ซะ”
หลวงพ่อผู้หนึ่งพูดออกมา พร้อมวิ่งเข้าไปหาแถวทหารด้วยไม้ตะบองรูปไม้กางเขน พร้อมชาวบ้านรายอื่นๆ!!!! การรบแบบตะลุมบอนได้เกิดขึ้นแล้ว!!
ฉัวะ ฉัวะ ฉึกๆๆๆ ฉับบบ ปัง!!!! โครมมม ว้ากกกก โอ๊ย
เสียงการสู้กันแบบระยะปะชิดดังเต็มไปทั่วทุ่ง….ทหารในแถวแรกนั้นใช้ดาบอันปลายปืนเสียบเข้าร่างเหล่ามวลชนจนด้าวดิ้น ประชาชนนั้นสู้ขาดใจ ใช้อาวุธในมือของพวกเขาเข้าฟาดฟันทหารอย่างบ้าเลือด!!! ขวานผ่าไม้ถูกใช้ตัดแขนของทหารนายหนึ่งที่ถือปืนจน ขาดกระเด็น!!! ไม้ตะบองนั้นฟาดใส่ทหารที่กำลังสู้ติดพันอยู่……ปืนนั้นถูกใช้ยิงในระยะประชิด!! พระรูปหนึ่งวิ่งเข้ามาใส่ทหาร…..แต่โดนยิงสวนจนล้มลงไปคาคัมภีร์ไบเบิ้ลที่อยู่ในมือ….หญิงชาวบ้านใส่สามง่ามปักเข้ากลางหลังทหารนายหนึ่งที่ ใช้ดาบปลายปืนปักคาสามีของเธอจนด้าวดิ้น…… นางเข้าลงโผกอดสามีที่โดนดาบปลายปืนปักจนสิ้นใจกรีดร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาใช้พานท้ายปืนกระแทกเข้าหน้าเธอจังๆ…..กระแทกเข้าไม่ยั้งจนหน้าของเธอเละไม่มีชิ้นดี…. ไม่มีกฎเกณฑ์ไม่มีปราณีการสู้อย่างนองเลือดนั้นดำเนินต่อไป แต่กองทัพของพระเจ้าซาร์นั้นยังคงรบแบบมีแบบแผน พวกเขาใช้ทหารแค่ 6 กองแรกเท่านั้นในการต่อสู้ นั้นคือราวๆ 6000 นาย ในขณะที่ชาวบ้านที่บ้าคลั่งนั้นโถมกำลังมาหมดหน้าตักโดยไม่ออมกำลังไว้เลย….
แนวหลังกองทัพมวลชน เวล่า 0930 น
ห่างไปหลังแนวรบที่ทุ่ง Smolensk ประมาณ 1 ไมล์ Lord Dimitry ซึ่งชิ่งออกมาก่อนจะปะทะได้ปรึกษาหารือกับเพื่อนของเขา Laurente ซึ่งในตอนนี้รอบๆตัวพวกเขานั้นมีเพียงทหารราบรับจ้าง ไม่ถึง 100 นายคอยเฝ้าระวังรอบๆ
“Laurente …….ตอนนี้การรบกำลังดุเดือด แต่ข้าคาดว่าพวกมวลชนนั้นน่าจะถ่วงเวลาได้นานพอกว่า กองทัพของ Bagration จะมา”
“งั้นเหรอ ดูนั้นสิ”
Laurente ชี้ให้เห็นฝุ่นตลบอบอวลซึ่งอยู่ห่างจากแนวรบไปทั้งปีกซ้ายและขวา!!!
“นั้นมันอะไรน่ะ!!”
“ทหารม้าไงล่ะ ดูก็รู้ว่าพวกเขากำลังโอบล้อมกองทัพมวลชนของเจ้า!! งานนี้ได้ตายกันหมดแน่!!”
“ฮึ่ย….บ้าน่า!!! ถ้ากองทัพ Bagration มาไม่ทันเราตายแน่!!”
ทั้ง Dimitry และ Laurente ต่างพูดด้วยน้ำเสียงกดดัน สองขุนนางโฉดที่ไม่เคยสู้รบนั้นได้มาเจอของจริงเขาเสียแล้ว!!! ความหวังเดียวของพวกเขานั้นคือ กองทัพของ Bagration จะมาได้ตามกำหนดการณ์หรือไม่
กองทหารม้าทางปีกซ้าย เวลา 0935 น.
ทหารม้า Dragoon ราวๆ 1500 ของ Tormasov เคลื่อนเข้าใกล้ปีกขวาของกองทัพมวลชน!!! พวกเขาจัดขบวนเป็นรูปลิ่มหมายตอกแนวของเหล่ามวลชนให้ราบ!!...... Dragoon นั้นได้ชักปืนออกมาเตรียมเข้าปะทะ … เหล่ามวลชนที่กำลังกรูเข้าใส่ทหารราบของรัสเซียนั้นเหลือบไปทางด้านขวาของพวกเขาก็พบกับมวลม้ามหาศาลเตรียมชาร์จเข้าใส่!!
“ชิหายแล้วทำไงดี!!”
“ป้องกันไว้!!”
ด้วยความที่ไร้ผู้บังคับบัญชาไร้การฝึก พวกเขาไม่รู้จะรับมือกับการชาร์จของทหารม้ายังไง บางคนหมอบหลบกับหญ้า บางคนตั้งเสียมหรือคราดขึ้น 45 องศาหมายแทงม้า บางคนก็ทำท่าจะหนี!!! แต่โดยรวมแล้วนั้นดูเละทะไปหมด!! ความชิบหายกำลังมาเยือน กองทัพมวลชน!!
แนวหน้า เวลา 0937 น.
ในขณะนี้ทหารราบทั้ง 6 กองแรกในแถวนั้นเริ่มระส่ำระส่าย การสู้แบบระยะประชิดนั้นทำให้อำนาจการยิงนั้นไร้ผล!!! เหล่าทหารมวลชนที่มีมากกว่านั้น กำลังเข้ารุมล้อมกองทัพของพระเจ้าซาร์ นายพลคนหนึ่งในแนวหน้าจึงสั่งการณ์ถอยทันที เพื่อปรับกำลังใหม่….!!
“ถอย!!!”
เสียงแตรเป่าดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ทหารราบในแถวถอนตัว!!! พวกเขาต่างถอยอย่างว่องไว เหลือไว้เพียงทหารราบที่รบติดพันไม่กี 100 นายเท่านั้น…… พวกเขานั้นล้วนโดนรุมล้อมโดยเหล่ามวลชน!! ชาวบ้านผู้ชายช่วยกันล๊อคตัวของเหล่าทหารก่อนจะรุมกระหน่ำแทงฟาดฟันด้วยอาวุธอย่างโหเหี้ยม บางนายวิ่งหนีแต่ไม่ทันเจอรุมแทง!! บางคนสู้ขาดใจแต่ไม่ไหวเมื่อเจอจำนวนที่มากกว่า!!...ทหารหลายร้อยนั้นตายหมดอย่างรวดเร็ว…..เมื่อฝูงชนเห็นว่า ทหารทีเหลือนั้นกำลังถอยกลับจึงได้ใจวิ่งตามไปอย่างห้าวหาญ!!
“พวกมันถอยแล้ว!!”
“พวกมันแพ้แล้วตามมา!!”
เหล่ามวลชนที่เหลือวิ่งตามตูดทหารที่ถอยมาติดๆ!!! แต่แล้วเบื้องหลังของทหารแนวแรกนั้นคือ หน่วยทหารร่างยักษ์ของพระเจ้าซาร์ Grenadier!!! ทหารร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบสีเขียวกว่า 190 cm และยิ่งสวมหมวกทรงสูงสีเหลืองนั้นยิ่งทำให้พวกเขานั้นสูงใหญ่กว่า 2 เมตร เลยทีเดียว เหล่าชาวบ้านเริ่มชะงักเมื่อเห็นแถวทหารยักษ์นับพันกำลังเดินตรงมา!!....... พวกเขาอยู่ห่างออกไปราวๆ ประมาณ 50 หลาเท่านั้น
“ยิง!!!!!!”
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทหาร Grenadier เหนี่ยวไกปืนสังหารเหล่ามวลชนที่กำลังชะงักอยู่นั้น จนล้มด้าวดิ้น………กองทัพมวลชนนั้นในตอนนี้เริ่มล้มตายไปเกือบหมื่น!!! และต้องมาเจอทหารร่างยักษ์ตรงหน้านั้นทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาเริ่มลดลง!!
“ขว้างงงงง!!”
ทหาร Grenadier เขวี้ยงลูกระเบิดมือของพวกเขาไปข้างหน้า ลูกระเบิดนับพันลูกตกลงเข้ากลางใส่ฝูงชน
ตูมมมม!! ตูมมมมมมมม!! ตูมมมมมม ฉัวะ ฉึก อ้ากกกกกกกก ตูม
แนวรบด้านหน้ากลายเป็นสนามระเบิดกองทัพประชาชนบาดเจ็บล้มตายพับพันจากการปาระเบิดเพียงตับเดียว!! ร่างต่างโดนปักด้วยเศษสะเก็ดระเบิดจนเละ สะเก็ดระเบิดปลิวว่อนไปทั่ว ตัดแขน ขา ชาวบ้านหลายคนจนล้มลงไม่สามารถต่อสู้ได้อีก!!!
“บุก!!!”
นายทหารสัญญาบัตรชักดาบออกขึ้นสั่งให้ทหาร Grenadier เข้ารบประชิดทันที!! ทหารร่างยักษ์นับพันโถมเข้าใส่ฝูงชน!!!! ด้วยความมหึมานั้นทำให้ฝูงชนมิอาจต้านทานไหว!! ทหาร Grenadier ต่างใช้ร่างของพวกเขาเบียดฝูงชนจนล้ม!! บางใช้ดาบปลายปืนแทงประชาชนจนมิด!!....ตอนนี้เหล่ากองทัพประชาชนกำลังหันหลังกลับ……….
“เฮ้ย นั้นมัน……….”
“บ้าอะไรวะเนี่ย!!!!!!”
“ทหารม้า!!”
ที่ด้านซ้ายและขวาของพวกเขานั้นกำลังถูกชาร์จด้วยทหารม้าของพระเจ้าซาร์ !!! โดยเฉพาะปีกขวาที่นำการโจมตี ด้วยนายพล Tomarsov นั้นสามารถบุกทะลวงเข้าทำลายล้างกองทัพมวลชนได้จำนวนมาก ทหารม้าต่างเบียดชนกระแทกเหล่ามวลชนจนล้มลงมากมาย ดาบในมือถูกฟาดฟันมวลชนที่ขว้างหน้า!!! คนไหนที่หนีไม่ทันโดนกองทัพม้าเหยียบซ้ำจนเละคาดิน!!! การโจมตีนั้นมาจากทั้ง 3 ด้าน จนพวกเขามิอาจตั้งตัวในตอนนี้คำว่าพ่ายแพ้นั้นใกล้มาเยือนเต็มทน!! จากชาวบ้านที่ใจสู้ในตอนนี้กลับหันหลังและวิ่งหนี!!!
“หนีเร็ววววววววว “
“ถอยยยยย!!!”
กองกลางกองทัพพระเจ้าซาร์ เวลา 1000 น.
ณ กองกลางกองทัพพระเจ้าซาร์ ท่านจอมพล Mikhail Kutozov นั้นดูสถานการณ์การรบด้วยความได้ใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน กองทัพพระเจ้าซาร์นั้นได้ชัยชนะอย่างเต็มรูปแบบ
“หึหึ ไอ้พวกรากหญ้าเอ๊ย นี่เป็นบทเรียนที่พวกแกจะได้รับเมื่อ ต่อต้านอำนาจของ……นั้นอะไร”
Kutozov นั้นรู้สึกประหลาดใจ ที่เขาเห็นกลุ่มฝุ่นกลุ่มใหญ่ฝุ้งขึ้นไปบนอากาศห่างออกไปราวๆ 3 ไมล์……เขาจึงใช้กล้องส่องทางไกลส่องไปดู
.”กองทัพพิทักษ์มาตุภูมิของ ท่านจอมพล Bagration.”
ธงอินทรีย์ 2 หัว ตราสัญลักษณ์ของพระเจ้าซาร์นั้น ยืนยันชัดเจน สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือกองทัพรัสเซียจำนวนมหาศาลกำลังมุ่งหน้ามาจากทิศเหนือและกำลังตรงมายังที่นี่!!! นั้นยิ่งสร้างความงงให้กับ Kutozov ยิ่งนัก เขาจึงถามพระเจ้าซาร์ของเขาเพื่อไขข้อข้องใจ
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ท่านได้สั่งการณ์ให้ท่าน จอมพล เคลื่อนพลจาก Moscow ลงมาเสริมกำลังให้แก้กองทัพของเราหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ได้สั่งเช่นนั้นเลย ท่านจอมพล แล้วเขามาทำไม!!”
ทั้ง 2 จอมทัพของรัสเซียต่างงงงวยกันยกใหญ่เมื่อทหารของพวกเขานั้นเคลื่อนพลลงมาโดยทียังไม่ได้สั่งการณ์ออกไป!!
แนวหลังของกองทัพมวลชน เวลา 1005 น.
ในตอนนี้ทั้ง Lord Dimitry และ Laurente ต่างยินดีปรีดายิ่งนักที่กองทัพของ จอมพล ที่เขาได้ติดสินบนนั้นเดินทางมาถึง!!!! กองทัพของพระเจ้าซาร์นั้นน้อยกว่าของ จอมพล Bagration มาก!! ไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย!!
“เฮ้ย Laurente!!! เพื่อนยากแกนี่ช่างอัจฉริยะจังว่ะ!!! งานนี้พวกเราได้เป็น วีรบุรุษแห่งรัสเซียแน่!!”
“ใช่ Dimitry…..”
อยู่ดีๆ Laurente ชักปืนออกมาจากเสื่อคลุมและจ่อไปที่กบาลของ Dimitry!!!
“นี่….”
ปัง!!!!!!!!!!!
Dimitry นั้นล้มต้องโดนกระสุนปืนเจาะเข้ากลางกบาล!! เข้าร่วงตกลงจากหลังม้าและสิ้นใจไปพร้อมกับความสงสัยของเขา……. ทำไม Laurente ถึงได้หักหลังเพื่อนรักของตนเองเช่นนี้!!
“เอาล่ะ เหล่าพวกเจ้าจงจำไว้!! พวกที่คิดกบฎต่อพระเจ้าซาร์จะเป็นเช่นนี้!!! ในตอนนี้กองทัพของพระเจ้าซาร์นั้นได้รุมล้อมเหล่ากบฎชาวนาไว้หมดทุกด้านไร้ทางหนี!!!! ข้าท่าน Court Laurente Yaroslav ใครจะเข้าร่วมกับข้าต่อต้านพวกกบฎมั้ง!!”
ทหารร้บจ้าง กว่า 50 นายจะยังงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น….. แต่พวกเขาก็เลือกทำตาม Yaroslav เพราะยังเป็นคนเดียวที่จ่ายค้าจ้างให้พวกเขาอย่างแน่นอน……. ทำไมกาลมันถึงกลับเป็นเช่นนี้
กองทัพพิทักษ์มาตุภูมิ เวลา 1010 น.
ท่านจอมพล Bagration แห่งกองทัพพิทักษ์มาตุภูมินั้นคุมกำลังทหารไว้มากมายกว่า 100000 นาย ประกอบด้วย ทหารราบเดินเท้า 80000 ทหารม้าอีก 20000 และปืนใหญ่อีก 350 กระบอก.. ถ้ากองทัพนี้เขาร่วมกับฝ่ายประชาชนมีหวังกองทัพของพระเจ้าซาร์ได้ป่นปี้แน่…. จอมพล Bagration นั้นยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดูสถานการณ์การรบที่เกิดขึ้น
“ไอ้พวกไพร่ต่ำช้าเอ๊ย…….อะไรกันเนี่ย แค่เจอกับกองทัพของพระเจ้าซาร์กว่าวิ่งหนีหางจุกตูดซะแล้ว….. ไม่เห็นต้องถึงมือข้าผู้นี้เลย… ท่านนายพล ส่งทหารม้า Cuirassier สัก 5000 เข้าไปปิดล้อมพวกมันซิ เอาไม่ให้พวกมันรอดแม้แต่คนเดียว!!”
“ครับ!!!”
กลายเป็นว่า กองทัพพิทักษ์มาตุภูมิของ จอมพล ก็ได้มาสมทบกับพระเจ้าซาร์หาใช่ทรยศไม่!! ในตอนนี้เหล่าชาวบ้านเรือนแสน ถูกทิ้งให้เดียวดายกลางทุ่งสังหาร!!
บริเวณสมรภูมิ เวลา 1030 น.
เหล่าชาวบ้านในตอนนี้เหมือนฝูงแกะ พวกเขาต่างทิ้งอาวุธและวิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างชุลหุก… ทั้งด้านหน้าก็มีทหาร Grenadier ด้านซ้ายและขวาก็มีทหารม้ารัสเซียบีบเข้ามาทุกด้าน!!! เหลือเพียงด้านหลังเท่านั้น!! ชาวบ้านจึงวิ่งหนี ไปข้างหลังเพื่อหวังจะรอดชีวิตกลับไป
“นั้นมันทหารม้า…..พวกมันมาด้านหลัง!!!”
ปรากฎว่าทหารม้า Cuirassier ของจอมพล Bagration นั้นได้เคลื่อนเข้ามาปิดหลังเรากองทัพประชาชน ในตอนนี้พวกเขากำลังโดนรุมล้อมทั้ง 4 ด้าน!!! ไร้ทางหนี ไร้ทางรอด
“พอเหอะ พวกเรายอมแพ้เหอะ”
“ใช่ๆ พ่อเห็นด้วย!!”
เมื่อมีคนเปิดย่อมมีคนตาม ชาวบ้านหลายคนเลือกที่จะวางอาวุธและยอมจำนน!! พวกเขาทิ้งคราด ทิ้งเสียม ทิ้งอุดมการณ์ของตนเพื่อรักษาชีวิต… พอ Tomarsov เห็นดังนั้นจึงสั่งหยุดการฆ่าฟันของทหารทันที!!
“พอแล้วทหาร!!! พอแล้วพวกเขายอมแพ้แล้ว!!”
ถึงแม้ Tormasov สั่งหยุดก็จริงแต่กว่าการกระจายคำสั่งนั้นจะทั่วถึงทั้งกองทัพในส่วนที่รบอยู่นั้นก็ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง!!!! เหล่ากองทัพรัสเซียต่าง หยุดการกระทำของพวกเขา…..เมื่อหันไปยังเบื้องหลังก็พบว่าในตอนนี้ทุ่งหญ้าอันเขียวขจี…… นั้นเต็มไปด้วยศพของชาวบ้านนับแสน……..เลือดประชาชนรัสเซียไหลนองแผ่นดินด้วยฝีมือทหารของพวกเขาเอง… ศพของพระประจำโบสถ์นั้นยังคงนอนทั้งๆที่ตายังค้าง ศพของพ่อกอดลูกชายของเขาเพื่อปกป้องลูกชายเอาไว้จากคมดาบของทหาร…… ท่านนายพล Tomarsov นั้นลงจากหลังม้ามาและมองไปรอบๆก็พบว่า สิ่งที่ตนทำนั้นหาใช่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แต่มันคือการฆ่าล้างรากเหง้าของตน ทำลายล้างพื้นฐานของตนเอง…
“เอลีน่า………..”
อยู่ดีๆ ทหารม้านายหนึ่งของเขา ลงจากหลังม้าและรีบวิ่งเข้าไปกอดศพสาวชาวบ้านผู้หนึ่ง พร้อมเขย่าตัวเธอราวกับจะให้ฟื้นขึ้นมา…
“ข้า ขอโทษ…………ฟื้นสิยอดดวงใจของข้า ………ฮือ..ฮึก””
เขาร่ำไห้พร้อมกับลูบเข้าที่หัวของนางเบาๆ ภรรยาซึ่งอาจจะถูกเพื่อนของเขาหรือลูกน้องของเขาฆ่า!!...... สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนทำให้ Tomarsov สลดใจยิ่งนัก……และไม่นานพระเจ้าซาร์ กับ จอมพล Kutozov ก็ควบม้ามาหาเขา…… ทาง Kutozov นั้นมีสีหน้ายิ้มกริ่มภูมิใจในชัยชนะที่เขาได้รับ…. ในขณะที่พระเจ้าซาร์นั้นมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น…
“ท่านนายพล ในที่สุดกองทัพพระเจ้าซาร์ก็ได้กู้ศักดิ์ศรีคืนมาอีกครั้ง…หลังจากที่พ่ายแพ้ นโปเลียน”
“…..ด้วยชัยชนะเหนือเหล่าราษฏรเนี้ยน่ะท่าน จอมพล”
“เหนือพวกทรยศต่อชาติต่างหาก…..”
พระเจ้าซาร์พูดขัด Tomarsov ขึ้นมา……..
“ไอ้คนพวกนี้ไม่สมควรจะอยู่บนแผ่นดินของข้าตั้งแต่พวกมันคิดทรยศข้า!! พวกมันสมควรตกนรกหมกไหม้ไปชั่วนับพันปี”
“……………”
ในขณะที่ทั้ง 3 กำลังเสวนากันอยู่ดีๆ ก็มีทหารม้ากลุ่มหนึ่งควบตรงมายังพวกเขา…..2 คนที่นำหน้านั้น คนหนึ่งสวมเครื่องแบบชุดจอมพลสีเขียวพร้อมหมวก Bicorne…. หน้าตาดูเคร่งขรึม คิ้วเข้มขมวดติดกัน อีกคน สวมชุดคลุมสีแดง พร้อมผ้าโพกหัวขนหมี หนวดเคราสีน้ำตาล ดูแล้วน่าจะเป็นขุนนาง
“ท่านจอมพล Bagration ยินดีที่ได้เจอท่าน!!”
พระเจ้าซาร์พูดด้วยความดีใจ และยิ้มออกมา….. แต่เมื่อเขาเห็นหน้าชายอีกคนที่ควบม้ามาด้วย ก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน
“Laurente เจ้าจิ้งจอกใยเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
“ช้าก่อนฝ่าบาท ขุนนางผู้นี้คือ ผู้ภักดีต่อท่าน!! เขานั้นเป็นลอบติดต่อกับตัวข้าให้ส่งกองทัพลงมาสมทบกับท่าน!! มิหนำซ้ำยังทำตัวเป็นไส้ศึก ล่อกองทัพของกบฎโฉดให้มายังที่นี่…และยังเป็นคนกำจัดหัวหน้ากบฎโฉดด้วยตัวเองอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ทางจอมพล..รีบทูลความจริงกับพระเจ้าซาร์ทันที…… นั้นทำให้พระเจ้าซาร์ถึงบางอ้อ…
“ตัวข้าพเจ้านั้น แม้เคยถูกพระองค์ขับไสไล่ส่งไป แต่ยังงจงรักภักดีต่อพระองค์เสมอ ข้าพเจ้านั้นหาโอกาสตอบแทนพระคุณของพระองค์ตลอด จนกระทั่งไอ้เพื่อนชั่วของข้า Dimitry มันคิดคดทรยศท่าน ข้าพเจ้านั้นแกล้งร่วมมือกับมัน!!! เพื่อหาทางกำจัดมันและลิ่วล้อของมัน!! ซึ่งข้าพเจ้าเองนั้นเป็นคนล่อมันมีที่นี่เอง!! เพื่อทีท่านจะได้กำจัดขุมกำลังของมันให้หมดได้ในศึกเดียว!!! ต่อไปนี้จะไม่มีใครต่อท่านแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้าซาร์นั้นได้ยินความจาก Laurente ก็ยิ้มอย่างพอใจ!! แม้จะเจ้าเล่ต์แต่ก็ยังคงซื่อสัตย์กับกษัตริย์
“……ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ……ต่อไปนี้ข้าจะมอบตำแหน่ง Lord แห่ง Smolensk ให้เจ้าและแต่งตั้งเจ้าเป็น รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม!!”
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท!!”
Laurente ยิ้มเยาะอย่างพอใจ ที่แผนการณ์ของตนสำเร็จทุกประการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมาแรมปีนั้น ทั้งก่อกบฎร่วมรวมผู้คน หลอกใช้เพื่อนและพระ พาชาวบ้านมาตายนับแสน ก็เพียงเพื่อให้ตนเองนั้นเป็นที่ไว้ใจของพระเจ้าซาร์อีกครั้ง!!!!!!!!! ทาง Tomarsov นั้นแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่มีเหตุผลประการใดจะเอาผิดขุนนางโฉดนี้ได้
“ทำไงกับเหล่า ประชาชนที่ยอมจำนนพวกนี้ดี พ่ะย่ะค่ะ”
จอมพลอ้วนถามพระเจ้าซาร์ถึงการปฎิบัติต่อไป…
“ฆ่าพวกมันให้หมด… เอาศพของพวกมันตรึงกางเขน ตามถนนตั้งแต่ Smolensk ถึง Moscow!!! ให้ชาวบ้านที่อื่นดูเป็นเยี่ยงอย่าง…..”
“แต่การฆ่าประชาชนนับแสนนั้น จะทำให้ดุลยภาพด้านประชากรในภาคใต้นั้นลดต่ำลงพ่ะย่ะค่ะ เศรษฐกิจของภาคใต้อาจจะพังลงได้!!”
“ข้าเห็นด้วยกับท่าน Lord Laurente พ่ะย่ะค่ะ ถ้าท่านแสดงความเมตตาแล้วพวกเขาจะรักและจงรักภักดีมากยิ่งกว่าพระเจ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้ง Laurente และ Tomarsov ต่างทัดทานพระเจ้าซาร์ไม่ให้ฆ่าประชาชนที่เหลือรอด!! พระเจ้าซาร์นั้นหันไปเหลียวมอง เหล่าประชาชนนับแสนที่ ยอมจำนน แววตาของพวกดูน่าเวทนา น่าสงสานรยิ่งนัก หญิงชรานั้นร้องไห้ด้วยความกลัว หนุ่มฉกรรจ์ก็จ้องมองมายังพระองค์เหมือนจะขอความเมตตา
“รัสเซียยังมีประชากรอีกมาก……ท่าน Lord และถ้าข้าแสดงความอ่อนแอ พวกมันจะลุกขึ้นอีก!! ข้าจะไม่อ่อนแออีกต่อไป ต่อไปนี้ใครขัดขวางข้า มีแต่ตายเท่านั้น”
สิ้นเสียงของพระเจ้าซาร์ เขาก็จ้องหน้ามาที่ Kutozov เหมือนรู้ใจ จอมพลอ้วนสั่งให้ทหารสั่งหารโหดประชาชนทันที!!! Tomarsov นั้นเดินไปพ้นสายตาของพระเจ้าซาร์ เขานั่งลงข้างศพของชายชราผู้หนึ่งพร้อมร่ำไห้ออกมา ทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงโหยหวนดังไปทั่วทุ่ง Smolensk ในวันนั้น !! แม้จะเป็นชัยชนะทิ่ยิ่งใหญ่ทางการทหาร กองทัพพระเจ้าซาร์เสียชีวิตไม่ถึง 600 ในขณะที่ กองกัพประชาชนร่าม 300000 นั้นถูกสังหารสิ้น แต่นี้คือการทำลายรากฐานของตนเอง!! ทำลายพลังของตนเอง ณ ที่นี่ Smolensk คือที่ที่ รัสเซีย ฆ่า รัสเซีย!!!
. . . . . . . . To be Continue....
|
|
|
Post by greatbritian on Jan 12, 2018 16:48:33 GMT
Episode 8 : Excellent Wife คฤหาสน์ Wellington , London , England , British Empire 5 เมษายน ค.ศ. 1806
คฤหาสน์ Wellington อันเป็น คฤหาสน์ที่ใหญ่โตและสวยหรูของตระกูล Wellsey ตระกูลชนชั้นสูงของอังกฤษและกุมอำนาจในสภาถึง 20% มันถูกก่อสร้างด้วยอิฐสีแดงในราวคริศตวรรษที่ 18 และถูกใช้งานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยตอนนี้เจ้าของของมันคือ Archer Wellsey ซึ่งดำรงตำแหน่ง Duke of Wellington และยังเป็น 1 ในสมาชิกของรัฐสภาตัวเบ้ง ในวันนี้ดูเหมือนว่า Archer จะมีแขกมาเยี่ยมเยียนที่บ้านซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล นางคือ Rachel Duncan…..ศรีภรรยาของ Henry Graham นั้นเอง แม่สาวชั้นสูงพราวเสน่ต์ผู้นี้ ได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก ขุนนางผู้ใหญ่....Archer นั้นพานางไปนั่งยังห้องพักผ่อน ซึ่งตกแต่งไปด้วยเฟอร์นิเจอร์มากมายหลายชิ้น ทั้ง งาช้างจากอินเดีย พรมจากเปอร์เซีย ชุดเกราะอัศวินฝรั่งเศส ..... รวมถึงเก้าอี้ เลี่ยมทองที่พวกเขานั่งก็มาจาก ออสเตรีย.... ทาง Archer นั้นนั่งอยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับทาง Rachel ซึ่งทั้งคู่จะได้สนทนากันอย่างถนัด... ทั้งคู่นั้นสนาทนากันอย่างออกรส
“นี้มาดาม Duncan รู้ไหม ไอ้ นโปเลียนมันเรียกร้องอะไรจากเรา??”
“อะไรเหรอค่ะท่าน Duke”
“มันบอกว่าถ้าต้องการตัวเจ้าชายจอร์จคืนต้องแลกกับ จาไมก้า , เบอร์มิวดา ฐานทัพเรือในอเมริกา แล้วก็เรือรบ อีก 50 ลำ!!! มันบ้ารึไง!! ทำแบบนี้เท่ากับเพิ่มเขี้ยวเล็บให้ฝรั่งเศสชัดๆ”
“ความทะเยอทะยานของชายผู้นี้ช่างกว้างใหญ่ยิ่งกว่ามหาสมุทร ได้คืบก็จะเอาศอกมันเป็นเรื่องธรรมดาล่ะค่ะ”
“……. แต่เรื่องนี้มันสำคัญมากน่ะสิ องค์รัชทายาทโดนจับไปแบบนี้มันเป็นการเสื่อมเสียเกียรติภูมิของจักรวรรดิอังกฤษสุดๆ...”
ทางด้าน Archer นั้นส่ายหัวไปมาด้วยความเครียดในตอนนี้ทางอังกฤษนั้นอยู่ในสภาวะที่เรียกว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ แต่นาง Rachel นั้นกลับยิ้มหวานออกมาและส่งสายตาอันพราวเสน่ต์ไปให้กับท่าน Duke
“ราวทางนักการเมืองส่วนใหญ่คิดเห็นว่าไงกับเรื่องนี้ล่ะค่ะ”
“พวกเราคิดกันไม่ตกเหมือนกันว่าจะเอายังไง ถ้ายอมรับเท่ากับว่าเราเสียฐานทัพและขุมกำลังทางเรือไปกว่า 30% แต่ถ้าไม่ยอมก็เท่ากับว่าเราเสีย รัชทายาทให้กับฝรั่งเศสไป...ในอีกไม่นานนี้เราต้องมีการจัดประชุมสภาขึ้นเพื่อหารือในเรื่องนี้แน่”
“แต่เจ้าชายจอร์จ...ไม่ได้เป็น รัชทายาทเพียง 1 เดียวนี่ค่ะท่าน Duke”
“นี่คุณหมายความว่าไง.....มาดาม”
Archer หันมามองมาดาม Ducan ด้วยความสนใจ ซึ่งดูเหมือนจะเข้าทาง มาดาม Ducan นั้นได้ถกเสื้อของนางลง... ตั้งแต่บริเวณไหล่มาจนเกือบจะถึงหน้าอกเผยให้เห็นสรีระอันนวลขาวงดงามของนาง
“สามีของดิฉันไงค่ะ ท่าน Duke”
“….เดี๋ยวว...นั้นมาดามจะทำอะไรน่ะ!!”
Archer ในตอนแรกนั้นแทบจะตะโกนออกมาด้วยความตกใจ... แต่แล้ว Rachel นั้นลุกขึ้นมาพลางเดินมาหาท่าน Duke ช้าๆ....นางชั้นมืออันนวลขาวของนาง ลูบไล้เข้าที่ใบหน้าของท่า Duke….
“ท่าน Duke…… สามีของข้านั้นเป็น 1 ในผู้มีสิทธิที่จะได้ขึ้นครองราชย์แห่งบัลลังก์อังกฤษ”
“ข้า......ไม่รู้.........”
Rachel ขึ้นไปนั่งบนตักของท่าน Duke…..และใช้สายตาอันยั่วยานนั้นจ้องไปที่หน้าของเขา ซึ่งแม้ในตอนแรกๆท่าน Duke จะยังงงๆอยู่ แต่ว่าในตอนนี้มังกรของท่าน Duke นั้นได้ตื่นจากถ้ำเป็นการเรียบร้อยแล้ว!!
“…..เดี๋ยวท่าน...ก็จะได้รู้เองล่ะท่าน Duke…”
“ใช่.....เดี๋ยวรู้เลย .......
พระราชวัง Berlin , Berlin , Brandenburg , Kingdom of Prussia 10 เมษายน ค.ศ. 1806
ณ พระราชวัง Berlin พระราชวังอันตั้งอยู่กลางกรุง Berlin เมืองหลวงแห่ง ราชอาณาจักร ปรัสเซีย มันถูกสร้างขึ้นด้วย ศิลปะแบบโกธิคผสมเรเนซองส์... ภายนอกนั้นมีเสาโรมันหินอ่อนมากมายเรียงราย ทำให้รู้สึกว่า สถานที่นี้หลุดมาจากหลุดโรมันยังไงงั้น ที่ด้านหน้าประตูพระราชวังนั้น มีเหล่าทหาร Guards ซึ่งสวมหมวก Shako พร้อมประทับขนนกดูสูงเด่น ในเครื่องแบบสีดำสนิท ยืนเฝ้าอยู่.... ทันใดนั้นมี รถม้าสีดำสนิทเคลื่อนเข้ามาหยุดหน้าประตูของพระราชวัง และชายคนที่ขับรถม้านั้นก็ลงมาเปิดประตู เผยให้เห็น ชายในรถม้าซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทที่หน้าอกขวามีตรา กางเขนเหล็กสีดำสนิทปักอยู่ นัยน์ตาสีเขียวอ่อนที่แลดูอำหมิตกับผมรองทรงสั้นตัดเนี๊ยบ ในมือของเขานั้นถือตำราเล่มหนึ่งซึ่งมันหนาเอามากๆ เหมือนตำราวิชาการอะไรสักอย่าง เขาเดินลงมาจากรถม้าด้วยท่าทีองอาจ เขาเดินลงไปถามนายทหาร Guards ผู้หนึ่งซึ่งยืนเฝ้าอยู่ด้วยน้ำเสียงอันเลือดเย็น
“ท่าน ไกเซอร์ อยู่ไหน…..”
“อยู่ในสวนหย่อมของพระราชวังครับ ท่านจอมพล!!”
ทางท่านจอมพลจึงเดินจากไปพลางละมือให้นายทหารผู้นั้นพักได้ ตลอดทางที่ท่านจอมพล เดินผ่านเหล่าทหาร Guards ต่าง ยกอก ชิดเท้า พร้อมทำความเคารพกันยกใหญ่ …ท่านจอมพลนั้นเดินตามทางเดินเลียบพระราชวังมาเรื่อยๆจนมาถึงบริเวณ สวนหย่อม ซึ่ง มีทิวไม้พุ่มมากมาย พร้อมน้ำพุอันงดงาม…. เขาเดินเข้ามาจนถึงกลางสวนหย่อมซึ่งมี เก้าอี้และโต๊ะตั้งอยู่กลางแจ้ง….ซึ่งบนเก้าอี้และโต๊ะเหล่านั้นมีชายหญิงชนชั้นสูงคู่ 1 นั่งอยู่ ฝ่ายชายนั้นดูราววัย 30 กลางๆ ผมสีดำนัยต์ตาสีฟ้า พร้อมกับหนวดโง้งแบบเยอรมันเป็นเอกลักษณ์ เขาสวมเครื่องแบบอิสรยศเต็มยศ ในขณะที่ฝ่ายหญิงนั้นอายุราวๆ 20 ปลายๆ หน้าคมสวย ผมสีแดงยาว นัยน์ตากลมโตสีเขียว สวมเสื้อรัดรูปกระโปรงยาวสีแดง ตามแบบแฟชั่นในยุคนั้น ทั้งคู่กำลังสนทนากันเฮฮาตามภาษาคู่รัก……
“ฝ่าบาท เคยได้ข่าวแว่วๆมาว่าลูกพี่ลูกน้องของข้า ยัย Marie ดันไปหลงรักเจ้าเตี้ยนั้น….ไม่รู้ชอบไปได้ไง สงสัยอยากลองของแปลกกระมังเพค่ะ….”
“นั้นสิ สงสัยของปืนใหญ่ของมันคงจะฤทธิ์สิท่า 555”
“ฝ่าบาท…….”
“อ่าวท่าน Ludendorff”
Ludendorff เอ่ยขึ้นพร้อมโค้งคำนับพระราชาของเขาในขณะที่ ทางไกเซอร์แห่งปรัสเซียทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย ที่เห็นจอมพลของเขาเข้ามาในเวลานี้… แต่เขาก็ยังคงรับเคารพ…ในขณะที่ฝ่ายหญิงนั้นทำสีหน้าไม่ถูกจริตกับ Ludendorff เอาเสียเลย…
“มีเหตุเร่งด่วนประการใดล่ะท่านถึงได้รีบมาในการณ์นี้….”
“ฝ่าบาทได้ทราบถึงความปราชัยของกองทัพอังกฤษที่ Luneburg….หรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
“ทราบสิ….ปล่อยพวกมันให้หมดเขี้ยวเล็บนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีนักนิท่านจอมพล”
“แน่นอน แต่ข้าพเจ้าเคยเตือนไปแล้วว่าหลังจากนี้ ฝรั่งเศสจะเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแถบนั้นแทนและจะสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของอาณาจักรเราอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านนี่ก็ช่างระแวงฝรั่งเศสจริงๆน่ะ ท่านจอมพล…. อีกไม่นานนี่ทาง ราชินี Maria มเหสีของข้าก็จะเดินทางไปยัง ปารีส เพื่อเจรจากับ นโปเลียนในข้อตกลงแบ่งปันเยอรมันกันตามที่เขาได้สัญญาไว้”
“ใช่ค่ะ ท่านจอมพล และเรื่องๆนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งท่าน”
ทางราชีนี Maria Louise ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ Marie Louise นั้นตอบอย่างมันอกมั่นใจพลางจิกกัด Ludendorff เล็กน้อย ด้วยความสะใจ พระนางนั้นไม่ชื่นชอบในตัว Ludendorff เนื่องด้วย ชื่อเสียงด้านความโรคจิตของเขา….ทาง Ludendorff เองก็ไม่พอใจนัก แต่เขานั้นไม่ได้แสดงปฎิกริยาตอบโต้อะไรไป…เขาทูลกับไกเซอร์ต่อ
“แต่การที่มีกองทัพของนโปเลียนมาจ่อหน้าบ้านเช่นนี้…. ย่อมไม่เป็นการดีต่อปรัสเซีย ข้าพเจ้าจึงเห็นสมควรว่า กองทัพบก Landwehr ของเรานั้นควรจะมีการปฎิรูปขนานใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
พอพูดจบ Ludendorff ก็นั่งคุกเข่าลงพลางยื่นตำราที่เขานำมาด้วยให้กับ ไกเซอร์ ไปอ่าน ทางไกเซอร์นั้นหยิบมันขึ้นมา ซึ่งมันเป็นคู่มือหลักการทำสงครามซึ่งเขียนด้วยลายมือของ Ludendorff อย่างหวัตๆ หน้าปกมันเขียนไว้ว่า “Wehrmacht ขุมกำลังแห่งปรัสเซีย” เมื่อ ไกเซอร์พลิกเปิดอ่านมันดูคร่าวๆไปก็พบว่า มันเป็นหนังสือที่ว่าด้วย หลักการทำสงครามเคลื่อนที่เร็วยุคใหม่ การใช้วิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ในสงคราม การรบเคลื่อนที่เร็ว และ อื่นๆ อันดูเหมือนจะก็อปและดัดแปลงหลักการรบของ นโปเลียมา…..พระเจ้า ไกเซอร์ นั้น พยักหน้าหงึกๆราวกับว่าเห็นด้วยกับความคิดของ Ludendorff
“ความคิดของท่านนั้นเป็นความคิดที่ดีท่านจอมพล…เราเห็นด้วย”
ทางจอมพลนั้นยิ้มออกมาอย่างดีใจ ดูเหมือนไกเซอร์แห่งปรัสเซียจะเห็นด้วยกับเขา!!
“แต่ว่าการปรับปรุงกองทัพนั้นต้องใช้งบประมาณสูงลิบน่ะสิท่านจอมพล..”
“แต่…..”
“ท่าน Ludendorff ค่ะ ท่านจะกระหายการทำสงครามไปถึงไหน ท่านก็เห็นอยู่ในช่วงนี้บ้านเมืองของเรานั้นสงบสุข ร่มเย็น สังคม เศรษฐกิจกำลังเติบโต แต่ท่านกับชักศึกเข้าบ้าน!! เพื่อความคิดที่ว่า อยากแก้แค้นเพื่อบิดาของตน…แล้วมันคุ้มค่าไหมล่ะค่ะที่ต้องแลกกับชีวิตของทหารปรัสเซีย นับหมื่น…”
“พอน่า Maria….”
คำพูดอันสุดแสนจะแดกดันของ ราชินี นั้นทำให้ Ludendorff นั้นเจ็บแค้นยิ่งนัก เขาสูดลมหายใจฝืดฝาด หน้าแดงก่ำ แต่มิสามารถตอบโต้ได้ เพราะนั้นอาจหมายถึงชีวิตการงานของเขาต้องดับวูบลง!! ทาง ไกเซอร์นั้น ทำท่าเหมือนจะดุ พระมเหสีที่ไปปากร้ายใส่ท่านจอมพล… และเขาหันกลับมาพูดกับ Ludendorff ต่อด้วยน้ำเสียงอันดูอัธยาศัยดี
“คือ ท่านต้องเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองของเราในช่วงนี้ด้วยล่ะท่านจอมพล ในตอนนี้ความสัมพันธระหว่างเรากับฝรั่งเศสกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น การจะมาขยายกองทัพในตอนนี้มันดูจะเป็นการทำให้ฝรั่งเศสนั้นระแวงเราเอาเสียอีก…นอกจากนี้นั้นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเขต East Prussia นั้นก็ยังสูง เพราะฉะนั้นโครงการพัฒนากองทัพของท่านนั้น ก็ควรจะชะลอไว้ก่อน รอให้เราเจรจากับฝรั่งเศสเสร็จเมื่อไหร่ เราจะกลับมาพิจารณาอีกทีถึงโครงการของท่านน่ะ”
ทางพระเจ้าไกเซอร์นั้นพูดอย่างละมุนละม่อน สุดๆ เพื่อรักษาน้ำใจของ Ludendorff ที่โดนพังครืนไปเมื่อสักครู่
“งั้นข้าก็ขอตัวก่อนพ่ะยะค่ะ”
“เชิญค่ะ พวกเราต้องการอยู่กัน 2 ต่อ 2”
“Maria!!!!”
ไกเซอร์หันไปดุมเหสีของเขาอีกครั้งที่แดกดันนายทหารของเขาอยู่นั้นแหละ ในขณะที่ Ludendorff นั้นก้มหัวโค้งคำนับและเดินหันหลังไปด้วยความผิดหวัง ในขณะที่พระนาง Maria นั้น ทำแววตาจิดกัดสะใจราวกับนางร้ายในละครเวทีไม่ปาน…..สะใจสุดๆที่ได้หักหน้าอีจอมพล…แต่นี้ก็อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดของ ไกเซอร์ ก็เป็นได้
พระราชวังแวร์ซายด์ , Paris , French Empire 10 เมษายน ค.ศ. 1806
ณ พระราชวังอันวิจิตรตระการงามตาของฝรั่งเศส ซึ่งในบัดนี้บริเวณประตูทางเข้าของพระราชวังนั้นมีเหล่าทหารองครักษ์ Old Guard กว่า 100 นายยืนเป็น Line Guard เพื่อรอต้อนรับใครบางคน และที่ตรงบริเวณประตูทองอร่ามของตัวพระราชวังนั้น จักรพรรดิร่างเล็กแห่งฝรั่งเศสก็ยื่นไพล่หลังอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอพบใครบางคน ข้างกายเขานั้นมี ชายชราชั้นสูงผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาสวมวิกยาวกว่า 1 เมตร และแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมสีขาวพร้อมผ้าคาดเอวสีน้ำเงินตัดกันอย่างดี แววตาดูเจ้าเล่ต์ เปี่ยมไปด้วยเพทุบาย เขาคือ ตันเลย์รอง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส และที่ปรึกษาคนสำคัญของ นโปเลียน…. ทาง ตันเลย์ลองนั้นได้ตรัสคุยกับ นโปเลียนเพื่อเป็นการฆ่าเวลา
“ในตอนนี้ดูเหมือนทาง สหรัฐอเมริกากำลังมีปัญหากับอังกฤษเช่นกัน เรือสินค้าของพวกเขาต่างกำลังแย่งกันตีตลาดในอเมริกาใต้กันอย่างยกใหญ่พ่ะย่ะค่ะ….”
“การดึงโลกใหม่มาเป็นพันธมิตรจึงนับว่าฉลาดอย่างยิ่งใช่ไหมล่ะ ท่านรัฐมนตรี...”
“…นั้นเป็นความจริงแน่แท้พ่ะย่ะค่ะ หากอเมริกามาเป็นพันธมิตรกับเราก็เท่ากับว่าเพิ่มภัยคุกคามให้อังกฤษในแอตแลนติกไปได้อีก นั้นยิ่งทำให้อังกฤษพันธมิตรน้อยลงทุกที ในขณะที่ท่านเข้มแข็งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เอ่อ แล้วเรื่องทูตปรัสเซียล่ะ พวกเขาจะมาถึงตอนไหน ….”
“ในประเด็นนี้กระหม่อมก็มิทราบ แต่ที่ข้าพเจ้ารู้นั้นคือ องค์ราชินี Marie Louise แห่งปรัสเซียจะเสด็จมาเจรจาด้วยพระนางเองเลย….”
“Maria….ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ Marie Louise แม่ยอดดวงในน้อยของข้ากระนั้นหรือ...”
“พ่ะย่ะค่ะ…..”
“ข้าชักคะยั้นคะยออยากจะเจรจรกับพวกเขาซะแล้วสิ ท่านรัฐมนตรี….แต่นึกไม่ออกว่าจะใช้คำพูดที่นิ่มนวลยังไงกับแม่สาวชนชั้นสูงไม่ให้นางรู้สึกเจ็บแค้น เมื่อเราบอกปัดจะไม่ยอมแบ่งดินแดนในเยอรมันตามที่ตกลง”
“นั้นขึ้นอยู่กับความปรีชาของพระองค์แล้วฝ่าบาท…นั้นเขาเดินทางมาถึงแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”
ทางท่านรัฐมนตรีเฒ่านั้นชี้ไปด้านหน้าประตูพระราชวังเผยให้เห็นรถม้าคันสีเทามาจอดหน้าประตูชัดเจน….รถม้านั้นมีธงชาติของสหรัฐอเมริกาปักอยู่….เมื่อประตูรถม้าเปิดออกเผยให้เห็น ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง วัยราวๆ 50 ผิวเขาคล้ำนัยน์ตาสีดำหน้าตาเหมือนลูกครึ่งชนพื้นเมืองอเมริกันกับอังกฤษ เขาสวมหมวก Tricorne เสื้อคลุมสีเทาและรองเท้าบูทยาว… หน้าตานั้นดูเคร่งขรึม เขาเดินเขามาตามทางของพระราชวัง โดยทั้ง 2 ข้างทางนั้นก็เป็นเหล่าองครักษ์ Old Guard รูปร่างสูงใหญ่ยืนรายล้อมอยู่ เบื้องหน้าเขาคือ จอมจักรพรรดิฝรั่งเศส ซึ่งดูพยายามยืดตัวให้สูงขึ้น ถึงแม้เขาจะดูเหมือนคนแคระกลางหมู่ยักษ์ก็ตาม…. นโปเลียนนั้นยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับผู้มาเยือน…..ทางผู้มาเยือนอเมริกันผู้นี้ก็เดินมาถึงบริเวณที่จักรพรรดินโปเลียนยืนในที่สุด….ทางฝ่าย นโปเลียนก็เป็นผู้เปิดบทสนทนาก่อน
“สวัสดีครับ ท่านวุฒิสมาชิก Connor Anderson ยินดีที่ได้รู้จัก”
ทางนโปเลียนนั้นเปิดหมวก Bicorne ของเขาขึ้นเป็นการทักทาย ในขณะที่ท่านวุฒิสมาชิก Anderson ก็เปิดหมวกและโค้งคำนับ นโปเลียน เช่นกัน
“ข้าพเจ้านั้นรู้สึกปรีดาอย่างยิ่งเช่นกันที่ได้เข้าพบท่าน จักรพรรดิ”
หลังจากทำความเคารพกันเสร็จทั้งคู่ต่างเดินเคียงข้างกัน ลัดเลาะเข้าไปในตัวพระราชวังเพื่อชมทํศนียภาพในขณะที่เจรจาไปด้วย โดยมี ตันเลย์รอง และเหล่าองครักษ์อีกราวๆ 5-6 คนเดินตามหลังมา การสนทนานั้นดำเนินไปอย่างดูราบรื่นและเป็นฉันมิตร
“ข้าเคยได้ยินว่า ท่านนั้นเคยเป็น นักล่าโจรสลัด มาก่อน และยังเคยต่อกรกับเหล่าทหารอังกฤษอย่างเหี้ยมหาญครั้งในสงครามปฎิวัติอเมริกาด้วย….นับว่าท่านนี่เป็นบุคคลที่ผ่านโลกมาอย่างยาวนานเหลือเกินน่ะท่าน วุฒิสมาชิก”
“กาลเวลาผ่านไปไวน่าใจหายนัก ท่านจักรพรรดิ ข้าแก่เกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนั้นแล้วกระมัง ในตอนนี้ข้าเพียงรับใช้อเมริกาด้วยสมองและ 2 นิ้ว มากกว่าพละกำลัง พ่ะย่ะค่ะ”
“เห็น ฌอง เพื่อนผมเขาเคยพูดถึงคุณบ่อยๆว่า คุณเหมือน คณอาของเขา….ผมเลยจดจำชื่อคุณได้อย่างแม่นยำยิ่งนัก”
“ออ เจ้าหนูน้อย ฌอง พ่อของผมรู้จักกับพ่อของเขาในสมัยสงครามปราบโจรสลัดชื่อ “มาคารอง” น่ะท่าน …..เออ….พ่ะย่ะค่ะ”
ทาง Connor นั้นมองสรีระและใบหน้าของนโปเลียน ซึ่งมันทำให้เขาจำความในอดีตได้ พระพักต์ขององค์จักรพรรดินั้นดูคล้ายคลึงกับโจรสลัดนามกระฉ่อนเมื่อราวๆ 30 กว่าปีก่อน ในวันนี้ดูเหมือนไอ้โจรผู้นั้นน่าจะกลับชาติมาเกิดใหม่เป็น จักรพรรดิ เสียแล้ว
“นี้ข้ามีอะไรผิดปกติไปงั้นรึท่าน วุฒิสมาชิก??”
“ไม่ พ่ะย่ะค่ะ….”
“ได้ข่าวว่า ในตอนนี้สินค้าส่งออกอย่างพวก น้ำตาล เกลือ ผ้าฝ้าย กำลังถูกทางอังกฤษตีตลาดอยู่นิท่าน วุฒิสมาชิก”
“ใช่ พ่ะย่ะค่ะ …ในตอนนี้เหล่าบริษัทค้าขายของเรานั้นกำลังประสบปัญหาหนักจากการแข่งขันกับพวกอังกฤษ….”
“ดูเหมือนในตอนนี้เราจะมีคู่แข่งคนเดียวกันน่ะ ตัวผมเองก็กำลังทำสงครามกับอังกฤษอยู่ แต่ตราบใดที่กองเรือของพวกเขายังอยู่”
“นั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ ด้วยกองเรือที่มากกว่าทั้งจำนวนและประสิทธิภาพของพวกเขาจึงทำให้ทางเรานั้นเสียเปรียบในแง่การค้ายิ่งนัก และการประกาศสงครามกับพวกเขายิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่”
“งั้น ถ้าข้าให้ หลุยเซียน่า กับท่านเป็นเพื่อใช้เป็นฐานในการทำสงครามกับอังกฤษทั้งด้านการค้าและการทหารล่ะท่านสนใจหรือไม่”
“หลุยเซียน่า”
ท่านวุฒิสมาชิกนั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจโดยไม่รักษากริยาแม้แต่น้อยเมื่อ นโปเลียนพูดถึง หลุยเซียน่า อันเป็นดินแดนของฝรั่งเศสในอเมริกาอันกว้างขวางกว่า 1 ล้าน 5 แสนตารางไมล์!!! ดินแดนนี้ต่างเป็นที่หมายปองของทั้งอังกฤษและอเมริกา เพราะมีแม่น้ำ มิสซิสซิปปี้ไหลผ่ากลางทวีปอันเป็นจุดที่จะทำให้เรือน้อยใหญ่ทั้งหลายเข้าออกทวีปอเมริกาได้สะดวกโยธิน โดยไม่ต้องลัดเลาะตามชายฝั่ง!! แต่มาในวันนี้ จักรพรรดิฝรั่งเศสกลับจะมอบดินแดนอันไพศาลของตนให้กับ อเมริกาซะงั้น!! ทาง Anderson นั้นตรัสถามนโปเลียนอีกครั้งให้แน่ใจว่าตนไม่ได้หูฝาด…
“ท่านหมายถึง หลุยเซียน่า ทั้งหมดเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามที่ท่านเข้าใจนั้นแหละ ท่านวุฒิสมาชิก!!”
“โดยไม่คิดค่าตอบแทนเลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ ฝ่าบาท??”
“สัก 3 ล้านดอลล่าร์สหรัฐก็เพียงพอแล้วท่านวุฒิสมาชิก”
“โอ้ ขอบพระทัยอย่างยิ่งสำหรับความใจกว้างของท่าน จักรพรรดิ!!”
เงินประมาณ 3 ล้านดอลล่าร์แลกกับที่ดินถึง ล้านกว่าตารางไมล์นั้นนับว่าคุ้มซะยิ่งกว่าเอาเรือแจวไปแลกเรือรบ!!! ทาง Connor นั้นโค้งคำนับขอบคุณในความใจกว้างของนโปเลียนเป็นยกใหญ่ในขณะที่ นโปเลียนนั้นก็ยิ้มกระหยิ่มอย่างได้ใจที่ ทางอเมริกานั้นรับข้อเสนอของตน
“เพื่อเป็นการตอบแทนคุณอันยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสในครั้งนี้ ข้าพเจ้าก็จะมีสินน้ำใจเล็กน้อยมามอบให้ท่านเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรกระนั้นหรือ ท่าน วุฒิสมาชิก”
ทาง Connor นั้นเดินนำ นโปเลียนริ่วๆออกมาภายนอกพระราชวังกลับมายังบริเวณที่รถม้านั้นจอดอยู่ ซึ่งนโปเลียน นั้นก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิดด้วยความสนใจ
“ท่านจอมพล ลาโทส!!!”
ทาง Connor นั้นตะโกนไปยังรถม้าของเขาซึ่งจอดอยู่หน้าประตูพระราชวัง ซึ่งภายในรถม้านั้นยังมีชายอีกคนหนึ่งนั่งรออยู่ เมื่อได้นามเรียกขานเขาก็เดินออกมาจากรถม้า…ชายผู้นี้เป็นชายวัยชราอายุราวๆ 70 ใบหน้าเหี่ยวยนและผมหงอกขาว แต่ท่าทางของเขานั้นยังดูองอาจไม่สมกับอายุ แววตาของเขานั้นยังดูร้อนรุ่ม และ เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน… เขาสวมชุดคลุมสีน้ำเงินแบบจอมพลเรือ ฝรั่งเศส พร้อมเครื่องราชอิสรยศชั้นจอมพลประดับเต็มอก บ่งบอกประสบการณ์ที่ผ่านมายาวนาน…..
“ท่านจอมพลเรือ ทรีวิว ลาโทส!!”
นโปเลียน นั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจปนดีใจเช่นกัน…. เมื่อพบกับ จอมพลผู้เฒ่า .. เพราะ เขาผู้นี้คือตำนานของกองทัพเรือฝรั่งเศสที่ยังมีชีวิตอยู่!! นโปเลียนนั้นเดินตรงรี่เข้าไปหาจอมพลเรือด้วยความกะตือรือล้น ราวกับเด็กเล็กได้ของเล่นใหม่ ท่านจอมพลนั้นก็ยิ้มรับด้วยความดีใจเพราะการกระทำนี้แสดงให้เห็นว่าเขามียังมีค่าแม้จะเลยวัยเกษียณมาเนิ่นนานก็ตาม
“ยินดีอย่างยิ่งที่กระผมได้ผมท่าน ท่านจอมพล ข้านึกว่าท่านจะไม่กลับมาเสียแล้ว!!”
“ข้าพเจ้านั้นรักฝรั่งเศสเยี่ยงชีพ และพร้อมจะรับใช้กองทัพไปจนตราบชีวิตหาไม่ ฝ่าบาท….”
“เพราะเหตุการณ์ปฎิวัติฝรั่งเศสแท้ๆทำให้ท่านต้องลี้ภัยจากบ้านเกิดเมืองนอนไป อเมริกา ข้ายังจำได้ว่าในวัย 16 ปีนั้น ข้าได้รับทราบข่าวว่าท่า สามารถเอาชนะ กองเรือของอังกฤษที่นำโดย เนลสัน ได้!!! เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของราชนาวีฝรั่งเศสที่มีเหนืออังกฤษ และยังเป็นครั้งแรกที่ไอ้ผีทะเลนั้น ปราชัย!!! ท่านนั้นคือ เทพสงครามทางเรืออย่างแท้จริง ท่านจอมพล”
“มิบังอาจพะย่ะค่ะ….. เทพเจ้าสงครามตัวจริงนั้นยืนอยู่ตรงหน้าข้าต่างหาก… ข้าได้ข่าวชัยชนะของท่านหลายครั้งหลายคราเหนือกองทัพพันธมิตรที่มากกว่าได้….ท่านบีบจักรวรรดิออสเตรียให้กลายเป็นพันธมิตรได้ ท่านสามารถทำให้ทั้งยุโรปนั้นเกรงในพระราชบารมีได้ นับว่าเป็นมหาราชในรอบพันปีกว่าว่าได้เลย พ่ะย่ะค่ะ”
“นั้นก็จริง….แต่ข้านั้นไม่สันทัดในการบัญชาการการรบทางทะเลเท่าไหร่นัก …ในเรื่องๆนี้ข้าต้องพึ่งความสามารถของท่าน ….ท่านจะตกลงไหม”
“พระเจ้าหลุยส์นั้นเป็นอดีตไปแล้ว ราชวงศ์บูบองถึงกาลอวสาน ในเวลานี้ พญาอินทรีย์ทองคำกำลังผงาด ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับใช้ ราชวงศ์โบนาร์บาร์ตและจักรวรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านจอมพล ข้าขอแต่งตั้งท่านเป็น รํฐมนตรีกระทรวงทหารเรือและผู้บัญชาการกองทัพเรือแอตแลนติก!!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!!”
ทางจอมพลเรือผู้เฒ่านั้นโค้งคำนับกล่าวขอบคุณในพระคุณของจักรพรรดิที่ให้โอกาสเขาอีกครั้ง ทางท่านวุฒิสมาชิกนั้นยืนดูอยู่ห่างๆด้วยรอยยิ้มอันมีความสุขดูเหมือนจักรพรรดิฝรั่งเศสนั้นจะพอใจกับของขวัญที่เขามอบให้ยิ่งกว่าที่ดินที่เสียไปซะอีก แต่คนที่ดียิ่งกว่านั้นซะอีกคือ นโปเลียน ซึ่งในตอนนี้เขาได้แม่ทัพเรือระดับตำนานของฝรั่งเศส กลับเข้ามาสู่อ้อมอก แม่ทัพเรือที่มีดีกรีระดับเดียว หรือ อาจจะเหนือกว่า เนลสัน เสียด้วยซ้ำ ดูเหมือนในตอนนี้ฝรั่งเศสจะกลายเป็นเสือที่กำลังว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่วเสียแล้ว และอาจจะกลายเป็นฝั่งอังกฤษที่ต้องตกที่นั่งลำบาก!!! เพราะนับวันก็ยิ่งขาดพันธมิตร แถมการเมืองภายในตอนนี้ก็ยังเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย แม้แต่ทัพเรือที่พวกเขาภูมิใจก็กำลังจะถูกสั่นคลอน!!
พระราชวัง Schönbrunn Palace , Vienna , Austrian Empire 15 เมษายน ค.ศ. 1806
“ตึกๆๆๆเอ้าล่ะทุกท่าน สรุปเห็นด้วยใช่ไหมที่จะขึ้นภาษีในเขต ฮังการี!!”
“เห็นด้วย!!”
“เห็นด้วย!!”
เสียงการประชุมกันของเหล่าขุนนางและนักการเมืองในโถงของพระราชวังนั้นดังกึกก้องไปทั่ว พระราชวัง ในโถงอันกว้างและโออ่านั้นเต็มไปด้วยนักการเมืองมากมายหลายคนและมาจากทั้งหลายเชื้อชาติ ทั้ง อิตาลี เยอรมัน ฮังการี และที่มีเยอะสุดคือฝรั่งเศส!! ทั้งๆที่พวกเขาไม่ใช่ชนกลุ่มใหญ่ของชาวออสเตรียแต่กลับมีชาวฝรั่งเศสมากถึง 60% แต่ในทางกลับกันนั้นกลับไม่มีนักการเมืองออสเตรียเลยแม้แต่คนเดียวในสภา!! มิหนำซ้ำประธานในการประชุมครั้งนี้ยังเป็น ท่านจอมพล ฌอง ปิแยร์ อองรี จอมพลหนุ่มฝรั่งเศสซึ่งควบตำแหน่งทั้ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของจักรวรรดิออสเตรีย และ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของออสเตรียไปในตัว เขานั่งบนโต๊ะตัวเขื่องซึ่งอยู่ในสุดของห้อง ดูท่าทีของเขานั้นมีความสุขและกระเหี้ยนกระหือรืออย่างยิ่งที่ได้ใช้อำนาจอย่างเต็มที่ ราวกับจักรพรรดิ…
“อีกเรื่องๆ การพัฒนากองทัพของออสเตรียซึ่งบอบช้ำลงมาจากสมรภูมิทั้ง 2 ครั้ง เราจำเป็นต้องเรียกเกณฑ์ทหารใหม่อย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมการทำสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต!!”
“สงครามไหน??”
“ก็สงครามไหนก็ได้ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน อนาคตไงล่ะ ท่าน Duke!!”
“แต่การสร้างกองทัพใหม่นั้นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก และยังต้องเสียเวลาและประชากรอีกมากด้วย ทางออสเตรียตอนนี้ยังไม่น่าจะพร้อมน่ะ ท่านจอมพล!!”
“ไม่ต้องห่วงท่าน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เรื่องนี้ฝรั่งเศสจะช่วยสนับสนุนเราเองจริงไหม ฝ่าบาท….”
ทาง ท่านจอมพลอองรี นั้นหันไปหา จักรพรรดิฟรานซิสที่ 2 ที่นั่งบนบังลังก์อินทรีย์ 2 หัวอันสง่างาม แต่ในตอนนี้พระองค์ช่างดูไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย … แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและห่อเหี่ยวพระทัย ปัญหามากมายต่างมารุมเร้าชีวิตตั้งแต่เรื่องการเมืองยันเรื่องครอบครัว!! ในตอนที่ อองรี นั้นหันมามองพระองค์ด้วยสายตาอันเจ้าเล่ต์และร้ายกาจ เหล่านักการเมืองฝรั่งเศสในที่ประชุมทั้งหลายต่างก็หันมามองพระองค์เป็นสายตาเดียวกัน อันเป็นสายตากดดัน ที่บังคับให้พระองค์ตอบตกลง!!
“ออ……..ได้สิ!!!”
“เห็นด้วย!!”
“เห็นด้วย!!”
“งั้นขอยุติการประชุมแต่เพียงเท่านี้ครับทุกท่าน!!!”
. ..
..
.
“ฮึก…..ฮืออ….ฮืออออ”
เสียงร่ำไห้ของจักรพรรดิแห่งออสเตรียดังออกมาจากภายในห้องบรรทมส่วนตัวของพระองค์…ในตอนนี้พระองค์นั้นถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวในจักรวรรดิของตนเอง เขาไร้ซึ่งอำนาจและบารมี และกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่งของฝรั่งเศสเท่านั้น!!!
“ก๊อกๆ ฝ่าบาท…….”
เสียงเคาะประตูหน้าห้องบรรทมดังขึ้น พร้อมกับเสียงของชายคนหนึ่งตะโกนเข้ามาภายในห้อง พระเจ้าฟรานซิส รีบซับน้ำตาของเขาก่อนจะกล่าวกับผู้มาเยือน
“เข้ามา…..”
ผู้มาเยือนนั้นไมใช่ใครที่ไหน แต่คือนายพลกองทหารม้าแห่งออสเตรีย เซบาสเตียน วิลเฮล์ม ชาวเยอรมันผู้จงรักต่อออสเตรีย!!
“ท่านนายพล!!”
พระเจ้าฟรานซิสนั้นโผกอดนายพลของเขาด้วยความดีใจราวกับเขาคือมนุษย์ผู้เดียวที่เข้าใจในตัวจักรพรรดิอาภัพผู้นี้ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับนายพลผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
“ท่านไปไหนมาท่านนายพล ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน!!”
“ตัวข้านั้นต้องดาบฝรั่งเศสเข้าที่ไหล่ขวาจนต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน พึ่งกลับเข้ากรมกองได้เมื่อไม่นานนี้เองพ่ะย่ะค่ะ”
ทางพระเจ้าฟรานซิสนั้นคลายกอดจากนายพล และนั่งคอตกด้วยความเศร้าส้อย….ทางนายพลแห่งออสเตรียนั้นมองออกทันทีว่านายเหนือหัวของเขานั้นหามีความสุขอีกต่อไปแล้ว เขาเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง ไร้ราศี ทางจักรพรรดิฟรานซิส จึงระบายความในใจให้กับนายพลของเขาฟัง
“ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานี่อะไรๆมันเปลี่ยนไปมาก เซบาสเตียน ทั้งอำนาจและอิทธิพลของฝรั่งเศสที่มีเหนือตัวข้าหรือแม้แต่น้องสาวของข้าเอง!! ในตอนนี้พวกมันนั้นมีอำนาจในการปกครองทั้งจักรวรรดิและกองทัพ ในตอนนี้รอบตัวข้าแทบไม่เหลือใครที่ไว้ใจได้แล้ว แทบไม่มีเลย!!”
“แต่ท่านยังมีข้าฝ่าบาท….”
คำพูดสั้นๆแต่ดูหวานซึ้งของ เซบาสเตียน นั้นทำให้พระเจ้าฟรานซิสนั้นยิ้มออก อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วในเวลานี้
“และยังมีเหล่านายพล และ จอมพล อีกหลายคนที่ยังจงรักภักดีต่อท่านฝ่าบาท กองทัพของท่านทางใต้ล้วนเป็นออสเตรียและยังไว้ใจได้!! ท่านไม่ได้อยู่ลำพัง พ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ ท่าน อาร์คดยุคชาร์ล ท่านจอมพล โฮเฮนโล พวกเขายังไว้ใจได้ เพียงแต่ไม่มีอิทธิพลในการเมืองเท่านั้น”
“ยังไงซะ สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือ เงียบๆและอดทนรอเท่านั้นฝ่าบาท ดีแล้วที่พวกฝรั่งเศสมันกำลังจะพัฒนากองทัพออสเตรีย นั้นเท่ากับว่าพวกมันเสริมเขี้ยวเล็บให้เราไปด้วยโดยปริยาย!!”
“แต่กองทัพที่สร้างใหม่นั้นจะอยู่ใต้การบัญชาขอ เจ้าบ้าหัวเหลืองนั้นนะสิ!!”
“…..ข้าเชื่อว่า……กองทัพเหล่านั้นคงไม่เชื่อใจคนฝรั่งเศสมากกว่าคนออสเตรียพ่ะย่ะค่ะ ต้องมีสักวัน สักวันที่เราเข้มแข็งพอจะลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง!!”
คำพูดของ นายพลหนุ่มทำให้จักรพรรดิออสเตรียนั้นกลับมามีกำลังใจที่ดีขึ้นพอสมควร สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คืออดทนและกัดฟันรอจนกว่าจะมีโอกาสเหมาะๆเท่านั้น!!!
|
|
|
Post by greatbritian on Jan 20, 2018 18:26:23 GMT
Episode 9 : The New Power
ปราสาท Westminster , London , England , British Empire 18 เมษายน ค.ศ. 1806
ณ ปราสาท Westminster ปราสาทอันเก่าแก่ของอังกฤษซึ่งตั้งอยู่ข้างๆปราสาท Windsor ที่พำนักของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ปราสาทนี้นั้นในปัจจุบันนั้นเป็นที่จัดประชุมสภาของอังกฤษซึ่งในวันนี้ ณ โถงใหญ่ของปราสาทในวันนี้นั้น ต่างอัดแน่นผู้คนที่ยืนกันเต็มบริเวณ พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็น ชนชั้นสูง เหล่านักการเมืองและผู้มีตำแหน่งอันสูงศักดิ์ทั้งหลาย ซึ่งกำลังคุยกันจอกแจกๆ ปรึกษาปัญหาต่างๆมากมายที่กำลังประชุม ซึ่งเหนือพวกเขาไปนั้น ก็มีที่นั่งสำหรับ เหล่าหัวหน้าสมาชิก ทั้งสภาล่าง สภาบน รวมถึงผู้แทนจากอาณานิคมต่างๆ และเหนือพวกเขาไปอีกนั้นยังมี แท่นเหมือนเป็นโพเดียมไม้ให้ท่านประธานรัฐสภา นั้นคือท่าน Earl Newton Bradley นักการเมืองผู้ใหญ่ของอังกฤษและหัวหน้าตระกูลฝั่ง Bradley… ชายชราวัย 60 กว่าๆผู้นี้แม้จะอายุมากแล้ว แต่ยังมากด้วยเล่ต์เพทุบาย… เขานั้นจ้องมองไปยังเบื้องบนของเขา….เพื่อดูชายซึ่งอยู่เหนือกว่าเขาด้วยประการทั้งปวง…ชายผู้นั่งบนบัลลังก์สิงโตทองคำ ชายผู้นี้คือ กษัตริย์จอร์จที่ 3 แห่ง สหราชอาณาจักรและอาณานิคมโพ้นทะเล ถ้าจะกล่าวว่า ชายผู้นี้เป็นผู้ครองอำนาจเหนือโลกาทั้งปวงก็อาจจะไม่ผิดพลาดนัก…… แต่ในตอนนี้ กษัริย์ชราวัย 70 นั้น จิตใจเหม่อลอย….แววตาของเขานั้นเหม่อมองขึ้นฟ้าราวกับคนไม่ได้สติ ทั้งผิวหนังและนิ้วมืออันห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงบ่งบอกถึงความโรยราของเขา….มงกุฏสีทองอร่ามบนหัว เสื้อคลุมอิสรยศสีแดงพร้อมไม้เท้าสิงโตทองคำ ก็ไม่ได้ทำให้เขาดูสูงสง่าขึ้นแต่อย่างใด ทาง Newton ประธานสภา ใช้ค้อนทุบโต๊ะ ดังปึงๆๆๆ เพื่อเรียกความสนใจจากเหล่า นักการเมืองทั้งหลาย….
“เงียบๆก่อนทุกท่าน!! ในวันนี้พวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่า เรื่องที่จะประชุมกันนั้นสำคัญ ต่อชะตากรรรมของ จักรวรรดิอังกฤษ!!!”
“ใช่ๆๆ!”
“ใช่ มาเริ่มเลย!!”
เหล่าสมาชิกสภาทั้งหลายต่างตอบรับคำของ Newton อย่างเป็นเสียงเดียวกัน!! เมื่อไม่มีใครขัดทาง ประธานสภาจึงได้ดำเนินการประชุมต่อ
“เนื่องด้วยตรากตรำการศึกและทรงงานมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี นั้นทำให้ กษัตริย์ของเรา พระเจ้าจอร์จที่ 3 ในตอนนี้ กลายเป็นคนสติวิปลาสไม่สามารถจะปกครองด้วยพระองค์เองอีกต่อไป”
“ใช่ๆ!!”
“ท่านบ้าไปแล้ว!!!!”
“ไม่!!!!!! ข้าไม่ได้บ้าเว้ย!!! เจ้าแหละบ้าไอ้อ้วน!!”
อยู่ดีๆชายชราซึ่งนั่งอยู่บนบังลังก์ก็ลุกขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราดพลางชี้หน้าไปยัง สมาชิกสภาร่างอ้วนผู้หนึ่งที่กำลังกล่าวดูหมิ่นเขานั้นทำให้ สมาชิกผู้นั้นเหวอไปเลยทีเดียว ทั้งห้องประชุมนั้นเงียบไปสักพักก่อน Newton จะเริ่มกล่าวต่อ
“ซึ่งในความจริงนั้น ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้นควรจะตกเป็นของ เจ้าชายจอร์จที่ 4 ซึ่งเป็น โอรสองค์โตของ กษัตริย์...”
ทาง Newton นั้นเว้นวรรคนิดหนึ่งพลางก้มหน้าและทำแววตาสิ้นหวัง
“แต่เจ้าชายนั้นพลาดท่าเสียทีต่อพวกโฉดฝรั่งเศษ พระองค์โดนพวกมันจับเป็นเชลย!! โดยพวกมันนั้นได้เรียกค่าไถ่พระองค์เป็นมูลค่ามหาศาล!! เรือรบชั้นยอดของเรา 50 ลำ รวมถึง หมู่เกาะบาฮามาส และ ฟลอริด้า!!! พวกเราจะยอมมอบให้มันกระนั้นหรือ!!”
เหล่าสมาชิกสภาต่างคุยกันจอกแจกๆถึงสิ่งที่ Newton พูดถึง แน่นอนว่ามันเป็นราคาที่แพงมาก
“ในตอนนี้เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตที่สุดนับตั้งแต่มีมา!! เรานั้นมีทางเลือกทั้ง 2 ทางซึ่งเลวร้ายทั้งคู่!!! พวกท่านย่อมรู้ดีว่าการเสียดุลยภาพทางทะเลให้กับฝรั่งเศสนั้นคือ หายนะ!! แต่การที่เราเสีย เจ้าชาย ให้กับฝรั่งเศสนั้นก็คือหายนะเช่นกัน!!! ความหวังของอังกฤษนั้นได้ดับวูบไปกระนั้นหรือ!! “
“ไม่!!!”
“ไม่!! อังกฤษจะไม่ยอมจำนน!”
“ถูกต้องเรา จะไม่ยอมจำนน!!!! เราก็ต้องการผู้สำเร็จราชการแทนที่เข้มแข็งนั้นคือ องค์ชายของเรา!! ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม เจ้าชายจอร์จที่ 4 ต้องกลับมาสู่อังกฤษ”
“แล้ววิธีไหนล่ะที่เราจะได้ตัวองค์ชายคืน…..”
อยู่ดีๆ 1 ในสมาชิกสภาผู้หนึ่งก็แย้งขึ้นมา เพราะเขาดูแล้วว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้องค์ชายกลับคืนมา!!.....
“ใช่!!!”
“เราจะเอาทหารของเราบุกเข้าไปใจกลางฝรั่งเศส แล้วพาตัวองค์ชายกลับมางั้นรึ เป็นไปไม่ได้!! ที่นั้นมีแต่ พวกทหารองครักษ์อันแข็งแกร่งของนโปเลียนทั้งนั้น!!”
“หรือจะใช้ จารชน ล่ะ น่าจะพอแทรกซึมเข้าไปในฝรั่งเศสได้….”
“ข้าว่า เราไม่จำเป็นต้องให้องค์ชายจอร์จที่ 4 เป็นผู้สำเร็จราชการแทนหรอก”
คำพูดนี้นั้นทำให้ทั้งสภาหันขวับตรงมาเขา เขานั้นคือชายผู้สูงศักดือีกคนท่าน Duke of Wellington …Archer Wellesly
“ทำไมล่ะท่าน!!!”
“ใช่ เราให้ พระเจ้า วิลเลี่ยมที่ 4 โอรสของ พระเจ้าจอร์จที่ 3 อีกคนก็ได้!!”
“แต่เขาเพิ่ง 8 ขวบเองน่ะ!!”
“หรือจะเป็นหลานชายของเขา ชาร์ล กีเตน”
“เขามีเชื้อสายฝรั่งเศส!!! ในตอนนี้เราไม่ไว้ใจฝรั่งเศสหน้าไหนทั้งนั้น!!”
ตอนนี้เหล่าสมาชิกสภาต่างเถียงกันเลอะเทอะไปหมดว่าใครกันจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทน จน Duke of Wellington นั้นต้องห้ามทัพไว้ก่อนจะเลยเถิด
“ไม่ๆพวกท่านยังลืมไปอีกท่านหนึ่ง เขาคือบุรุษผู้ถูกลืม ชายผู้นี้ทำงานรับใช้อังกฤษมานานกว่า 10 ปีต่างรู้การบริหารจัดการบ้านเมืองดี…และที่สำคัญเขามีสายโลหิตเดียวกับกษัตริย์!!”
“เขาผู้นั้นคือใครท่าน!!”
“ใช่ใครล่ะ!!”
“เขาผู้นี้ไงล่ะ…..”
Archer พูดจบก็ผายมือไปยังชายผู้หนึ่งซึ่งเป็น 1 ในสมาชิกสภามานานนม จนทุกคนนั้นรู้จักเขากันหมด ชายหนุ่มวัยราวๆ 30 ปลาย หน้าตมคมเข้มหล่อเหลา สวมชุดคลุมสีแดงลายสักหลาดผู้นี้คือ Court Henry Graham นั้นเอง! นั้นทำให้เหล่าสมาชิกทั้งหลายอึ้งกันเป็นแถบ
“เจ้าเองเหรอ ไอ้หนุ่ม!!”
“อยู่มาตั้งนานแล้วไม่เห็นบอก!!”
“จะรู้ได้ไงว่าเป็นจริง!!”
สมาชิกสภาบางส่วนก็ตกใจ บางส่วนก็ไม่เชื่อ อยู่ดีๆไอ้กะล่อนเนี้ยน่ะจะเป็นลูกของพระเจ้าจอร์จ!! ทาง Henry Graham นั้นสะทกสะท้านอะไรมากเขานั้นยังคงยืนนิ่งและกล่าวออกมาสั้นๆ
“งั้นเรามาโหวตกันดีกว่า”
พอพูดจบเท่านั้นแหละ Archer Wellesly นั้นแหละก็ยกมือเห็นด้วยกับ Henry ทันทีนั้นทำให้เหล่าคนในสังกัดของ Wellesly นั้นยกมือตามกันหมด!! ยังไม่พอ อยู่ดีๆไอ้หนุ่ม Will Bradley ก็ยกมือขึ้นตามซึ่งทำให้ สมาชิกของกลุ่ม Bradley ต้องพลอยเห็นด้วย ทำให้คะแนนในตอนนี้คือ 60%!!! แต่ยังไงก็ตามเหล่าสมาชิกสภาที่ไม่เห็นด้วยต่างเริ่มขึ้นเสียงและแสดงสัญญาณของความรุนแรง!!
“แบบนี้มันฮั๊วะกันนิหว่า!!”
“ไม่ยุติธรรรม!!! เจ้ามันคนโกหก!!”
“โธ่เว้ย ผลโหวตเป็นเอกฉันท์แล้วน่ะ!!”
“เสียงส่วนมากเห็นด้วยแล้ว!! Henry Graham ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน!!”
ในตอนนี้สมาชิกนั้นแบ่งเป็น 2 ฝั่งอย่างชัดเจนนั้นคือโปร Henry และ โปรเจ้าชายจอร์จ!! พวกเขานั้นต่างทุ่มเถียงกันอย่างบ้าคลั่งบ้างยกเก้าอี้มาจะฟาดใส่อีกฝั่ง บ้างกระชากคอเสื้ออีกฝั่ง….เหตุการณ์เริ่มวุ่นวายจนเหล่าทหาร Coldstream Guards ต่างวิ่งกรูกันมาแยกวงเหล่าผู้คนในสภา….
“เงียบบบบบบ!!!!!”
อยู่ดีๆ Henry ก็ตระโกนขึ้นมาเสียงดังทำให้ทุกคนผงะเล็กน้อย แต่นั้นสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นทำให้ผู้คนในสภาผงะยิ่งกว่า เมื่อ Henry เดินขึ้นไปข้างบน…เขาเดินตรงไปยังหน้าพระพักต์ของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ทำเอาคนทั้งสภาต่างตกใจยิ่งนัก ทหารองครักษ์ตั้งท่าจะยิง Henry อยู่แล้ว!!! แต่ทางเหล่าสมาชิกสภานั้นได้เขาขัดขวางไว้กลัวมันจะเลยเถิด..ทาง Henry นั้นได้ก้มลงไปจ้องหน้ายังชายชราผู้เหม่อเลยผู้นั้นด้วยสายตาอันดูเป็นมิตร…
“ท่านพ่อ……”
Henry พูดพลางแกว่ง สร้อยคอเพชรที่พระเจ้าจอร์จนั้นเคยมอบให้กับ Marry ชายาลับของเขาก่อนจะลาจาก จากสายตาที่เหม่อลอย… กลับจ้องมายังสร้อยนั้นด้วยความสนใจดูเหมือนมันจะปลุกจิตใต้สำนึกที่ยังคงเหลืออยู่ของพระเจ้าจอร์จให้เขาฉุกคิดอะไรบางอย่างได้….
“Marry…..Marry ….อเมริกัน….ลูกข้า…..ลูกข้างั้นรึ”
“ใช่ ข้าเอง!!”
“ลูกพ่อ……นโปเลียน ลูกพ่อ!!!”
แม้จะเลอะเลือนๆบ้างแต่พระเจ้าจอร์จนั้นกระโดดโผกอด Henry ด้วยความดีใจ!!! ทำเอาคนทั้งสภานั้นหยุดโต้แย่งกัน!! ทุกคนต่างจ้องมองไปยังภาพที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า!!
“Graham!! Graham!!”
“Graham พระราชโอรสของพระเจ้าจอร์จ!!”
อยู่ดีๆสมาชิกฝั่งของ Graham ก็ตะโกนสรรเสริญ Graham ออกมาทำเอาทหารองครักษ์ Coldstram นั้นโห่ร้อง ด้วยความดีใจ!! ดูเหมือนในตอนนี้ผู้คนส่วนมาก ผู้มีอิทธิพลและอำนาจในจักรวรรดิอังกฤษนั้นต่างเริ่มสนับสนุน Henry Graham มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ต่างไม่พอใจกับเหตุการณ์เช่นนี้อยู่ดี เหตุการณ์ที่กำลังจะเปลี่ยนดุลย์อำนาจของจักรวรรดิอังกฤษ!!
…
ย้อนกลับไปเมื่อ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1683 , Athens , Greek
ณ กรุงเอเธนส์เมืองหลวงของนครรัฐกรีกซึ่งเหลือรอดเพียงเมืองเดียวจากการรุกรานของเหล่า มุสลิม ออตโตมันเติร์ก กองทัพอิสลามนั้นแผ่ขยายอาณาเขตไปทั่วคาบสมุทรบอลข่านโดยไร้การต่อต้าน ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงมิอาจมีกองทัพ คริสเตียน กองทัพใดหยุดพวกเขาได้.... ในตอนนี้ กรุงเอเธนส์นั้นได้ถูกล้อมอย่างแน่นหนาด้วยกองกำลัง เติร์ก เรือนแสน พวกเขานั้นตั้งหอรบ ปืนใหญ่เรียงรายไปทั่วเมืองและรุมระดมยิงโจมตีเมืองจากทุกด้าน!! นี้จะถึงกาลอวสานของชาวคริสต์กระนั้นหรือ!! จะถึงคราวแล้วที่มุสลิมจะครองโลก!! เหล่าเติร์กนั้นได้พยายามบุกประชิดกำแพงเมือง Athens พวกเขา กำแพงบางส่วนของ Athens นั้นพังลงมาจากการระดมยิงของปืนใหญ่!!! กองทัพเติร์กที่มีมากกว่าทหารในเมืองนับ 10 เท่ากำลังทะลักเข้าไปในเมือง!! เหล่าทหาร Athens นั้นก็พยายามสู้ตายอย่างถวายหัวเพื่อไม่ให้พวกเติร์กนั้นย่างกรายเข้ามาในเมือง
“จะยันไม่ไหวแล้ว พวกมันมีเยอะเกิน!!”
“กองทัพพันธมิตรกำลังจะมา พวกเราอดทนไว้!!”
ห่างออกจากไปจากวงล้อมเมือง ณ ค่ายของพวกเติร์ก มีกระโจมมากมายหลายพันกระโจมตั้งเรียงรายไปทั่วบริเวณ มีเหล่ากองทัพมุสลิมที่สวมเกราะเหล็กและผ้าโผกหัว อาวุธครบมือเดินไปมาเต็มค่าย ตรงใจกลางค่ายนั้นมีเหล่าองครักษ์ janissaries ยืนรายล้อมกระโจมหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งมีสัญลักษณ์พระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่บนยอด ดูท่าทางน่าจะเป็นเต็นท์ของแม่ทัพ ภายในเต็นท์นั้นก็มีเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองเติร์กนั้นกำลังยืนรายล้อมโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งตรงกลางของเต็นท์ ซึ่งโต๊ะนั้น มีแผนที่ของทวีป ยุโรปกางอยู่ พร้อมตุ๊กตุ่นตุ๊กตาทหารอีกหลายสิบตัววางอยู่บนแผนที่ ที่หัวโต๊ะนั้นมี ชายผู้หนึ่งสวมเสื้อเกราะสสีทองคำ พร้อมผ้าโพกหัวสีทอง หนวดเคราดกดำตามสไตล์มุสลิม ดูท่าทางเขาน่าจะเป็นชายที่มีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพ!! ชายผู้นี้นั้นกำลังปรึกษากับเหล่าแม่ทัพนายกองของเขา
“ไม่เกินวันนี้ กรุงเอเธนส์ก็จะตกไปของเราแล้วพ่ะย่ะค่ะ สุลต่าน”
“เยี่ยมมาก...... ในที่สุดอำนาจของเราจะในบอลข่านก็จะได้มั่นคงเสียที จะไม่มีไอ้พวกเดรัจฉานตนไหนมาแข็งข้อกับข้าอีก”
“ท่านสุลต่าน ข้าน้อยนั้นได้ข่าวมาว่า กองกำลังพันธมิตรคริสเตียนกำลังระดมเรือนแสนมาเพื่อคลายวงล้อม เอเธนส์ และทำลายกองทัพของเราพ่ะย่ะค่ะ”
“555 อูไมยะ เจ้านี้ช่างไม่ทันโลกเสียจริง ในตอนนี้ หลุยส์ที่ 14 สหายของข้า กษัตริย์ชาวฟร๊อง นั้นได้ประกาศสงครามกับ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แองโกล และ ฮิสปาเนีย...... ฟร๊อง นั้นเป็นประเทศชาวคริสต์ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดและเป็นมิตรของเรา....พวกพันธมิตรต้องเจอกับศึก 2 ด้านแน่ พวกมันจะต้องเลือกว่าจะรบกับ หลุยส์ หรือ ข้า”
“คริสต์รบกันเองกระนั้นหรือ ท่านสุลต่าน”
“ถูกต้อง!! หลุยส์ เป็นคนทะเยอทะยาน ข้ารู้จักกับเขาตั้งแต่อายุ 15 แล้ว..... เขาไม่สนเรื่องศาสนาหรืออะไรทั้งนั้นนอกจากอำนาจของตน!! ไม่นานนักยุโรปฝั่งตะวันออกจะเป็นของเรา และฝั่งตะวันตกจะเป็นของ หลุยส์!!! เราจะครองโลกร่วมกัน!!”
สุลต่านมาเหม็ดที่ 4 แห่ง ออตโตมันเติร์กนั้นหัวเราะเยาะด้วยความพอใจ ราวกับว่าอำนาจของทั้งโลกนั้นกำลังจะตกอยู่ในกำมือของเขา แต่ทันใดนั้นอยู่ดีๆก็มีทหาร janissaries ผู้หนึ่งวิ่งเขามาในเต็นท์โดยไม่ได้ขออนุญาตอะไรทั้งนั้น เขามีท่าทีเลิกลั่กและตกใจกับสถานการณืตรงหน้า!!
“ท่านสุลต่าน!! ท่านสุลต่าน กองทัพพันธมิตรชาวคริสต์เดินทางมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!!”
“หามันเป็นได้ไง!! พวกมันมีกำลังเหลือพอมารบกับข้าอีกหรือ!!”
“มันเป็นกองกำลังของพวก Fronterize ครับ!!”
“ไอ้รัฐชาวคริสต์เล็กๆนั้นอ่ะน่ะ!!”
สุลต่านแห่งออตโตมันวิ่งออกไปนอกเต็นท์ด้วยความตื่นตกใจ...และสิ่งเขาพบก็คือ
ธงมังกรสีดำโบกไสวไปทั่วเนินเขา เหล่ากองกำลังทหารอัศวินแห่งมังกรหลายหมื่นกำลังนั้นตั้งอยู่บนเนินเขาหลังพวกเขา!!! อัศวินแห่งมังกรหรือ Dragon Knight นั้นเป็นกองกำลังของท่าน Lord Luce I แห่ง Fronterize อันเป็นอาณาจักรของชาวคริสต์ที่อยู่เหนือบริเวณบอลข่านไป แม้จะเป็นอาณาจักรเล็กๆแต่ กองกำลังนี้ถือเก่งกาจจนได้รับการยกย่องว่า มังกรแห่งตะวันออก.... มีชายคนหนึ่งควบม้าศึกสีดำสนิทออกมาอยู่หน้าเหล่าอัศวิน เขาสวมเกราะสีดำที่มีสัญลักษณ์รูปมังกรอยู่ตรงหน้าอก พร้อมกับหมวกเหล็กที่มีรูปร่างเหมือนหัวมังกร... ท่าทางของเขานั้นดูดุดันขึงขังยิ่งนัก......เขากล่าวออกมาต่อหน้าเหล่า อัศวิน ของเขาก่อนออกศึก!!
“พวกท่านเหล่านักรบแห่ง Fronterize ดินแดนอันศักสิทธิ์ของเรากำลังถูกย่ำยี่โดยพวกนอกศาสนา!! เหล่าวีรชนทั้งหลายใน เอเธนส์ต่างกำลังปกป้องมาตุภูมิของเขาจะเลือดหยดสุดท้าย!! ปกป้องดินแดนของชาวคริสต์จากเงื้อมมือปีศาจ!! พวกเขากำลังจะพ่ายในอีกไม่นาน ....แต่ในวันนี้ พวกเราเหล่านักรบมังกรนั้นกำลังจะเดินทางไปบอกพวกเขาด้วยตัวเองว่า!! พวกเขาจะไม่อยู่ลำพังอีกต่อไป!!”
“เฮ!!!!! Luce I”
“ขับไล่พวกมุสลิมออกไป!!”
“ในนามของข้า Luce I แห่ง Fronterize ใครจะร่วมกับข้าขับไล่พวกปีศาจร้ายออกไปบ้าง!!”
“ข้า!!”
“ข้า!!”
“ข้า!”
เรากองกำลังอัศวินต่างขานรับกันอย่างฮึกเหิม ทาง Luce I นั้นก็ชักกม้ากลับหันหัวไปยังเบื้องหลังเนินเขาอันที่ตั้งกองทัพเติร์กเรือนแสน!! เขากำทวนยาว 4 เมตรในมือของเขาแน่นเตรียมบุกลงไปยังเบื้องล่าง
“ลุย!!”
“เฮ!!”
“เฮ!!”
“เฮ!!”
ครึ่กกๆๆๆๆ แผ่นดินสั่นสะเทือนไปด้วยเกือกเหล็กนับหมื่น เหล่ากองกำลังอัสวินกำลังชาร์จลงมาจากเนินด้วยความเร็วสูงหมายจะเข้าโจมตีค่ายของพวกเติร์กให้แตกกระจุย ถึงแม้กำลังจะน้อยกว่าเกือบ 4 ต่อ 1 แต่ กำลังใจของพวกเขานั้นฮึกเหิมยิ่งนัก!! กอปรกับโมเมนตัมของม้าที่ชาร์จลงจากเนินประดุจคลื่นยักษ์ที่กำลังถาโถมฝั่งราวกับไม่มีสิ่งใดหยุดยั้ง!! ทางกองทัพเติร์กที่อยู่เบื้องล่างนั้นรีบเตรียมการป้องกันเป็นการเร่งด่วน เหล่า Janissaries ต่างระดมพลที่อยู่ในค่ายได้ราวๆ 4 – 5 หมื่นออกมาตั้งรับนอกค่าย.......พวกเขานั้นใช้พลหอกยาวร่วม 3 เมตรออกมาตั้งแถวหน้ากระดานข้างหน้า และยื่นมันออกไปหมายจะเสียบเหล่าทหารม้าที่พุ่งลงมาจากเนินให้เละ!!
“มาเลยไอ้พวกปีศาจ ข้าจะเสียบพวกแกให้ทะลุ!!”
“ควบมาเลยไอ้พวกโง่!!!”
ตอนนี้เหล่าคลื่นกองทัพม้าแห่ง Fronterize ชาร์จลงมาจากเนินด้วยความเร็วสูงซึ่งดูท่าทางพวกเขาจะเบรกม้าไม่อยู่แล้ว.......เป็นเรื่องธรรมดาที่กองทหารม้านั้นแพ้หอกยาว พวกเขาอยู่ห่างออกไปเพียงระยะ 80 หลา ทาง Luce I ซึ่งควบม้านำหน้าอยู่นั้นหามีความกลัวในแววตาไม่ เขาพยักหน้าให้พลสัญญาณซึ่งอยู่ด้านหลังเขา!!
“ปู๊นๆๆๆ.... พลปืน!!!”
อยู่ดีๆพลแตรของ Fronterize ก็เป่าสัญญาณบางอย่างซึ่งทำให้เหล่าทหารม้าถือทวนซึ่งอยู่แนวหน้าชะลอความเร็วลง....แล้วทหารม้าถือปืนนั้นควบแซงขึ้นมาด้วยความเร็วสูง!!!....
“ยิง!!!!!”
ปังๆๆๆๆๆๆ........ ด้วยระยะประมาณ 50 หลาเหล่าทหารม้าปืนของ Fronterize ยิงพลหอกยาวของเติร์กจนล้มกันเกรียวกราวส่งผลให้กำแพงหอกยาวกว่า 3 เมตรของ เติร์กนั้นเบาบางลงในพริบตา!! ทหารเติร์กนั้นตกใจอย่างสุดขีดเมื่อพบว่าเกราะกำบังของพวกเขานั้นหายไปกับตา!! ทหารม้าที่ถือทวนก็ควบด้วยความเร็วสูงกลับมาอยู่แนวหน้าดังเดิม!! ทหารที่อยู่แนวหลังวิ่งไปหยิบหอกใหม่แต่ก็สายไปเสียแล้ว!!!!
อ๊ากกกกกก .ฉึกๆๆๆๆๆ ว้ากกกกกก กองทัพเติร์กนั้นโดนชาร์จอย่างรุนแรงจนล้มตายกันระเนระนาด ด้วยความเร็วของ้มาที่มิอาจหยุดยั้ง ทหารม้า Fronterize วิ่งกระแทกเติร์กจนล้มหงายหลังลงไป..บ้างโดนม้ารุมเหยียบจนตาย บ้างโดนหอกแทงจนทะลุร่าง!!! …. เหล่า มุสลิมที่กำลังฮึกเหิมในตอนแรกนั้นตกเบี้ยล่างในบัดดล ตอนนี้พวกเขาหันหลังและวิ่งหนีกองทหารม้ามังกรกันเจ้าละหวั่น กองทัพเติร์กที่ถูกส่งไปป้องกันค่ายนั้นแตกพ่ายอย่างรวดเร็ว!!!! ส่วนกองทัพอัศวินมังกรนั้นได้ใจไล่บุกตะบันฆ่าฟันพวกเติร์กไม่ยั้งมือจนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง สุลต่านมาเหม็ดที่ 4 นั้นเห็นท่าไม่ดีจึงขึ้นควบบนหลังม้าและตะบึงออกไปพร้อมเหล่าทหารม้าหนักหุ้มเกราะ Sipahi ราวๆ 6000 นายเพื่อเข้าแก้สถานการณ์!!!!
“ปัดโธ่เว้ย แค่พวกชนกลุ่มน้อยชาวคริสต์อย่าหวังจะมาหยุดความยิ่งใหญ่ของข้าได้!!”
เหล่า Sipahi นั้นจัดขบวนเป็นรูปเพชรหวังตีเหล่า อัศวินมังกรให้ถอยร่นกลับไป!! Sipahi นั้น คือกองทหารม้าที่แข็งแกร่งสุดของเติร์กโดยพวกเขานั้นคือความหวังเดียวจะผลักดันเหล่านักรบมังกรทั้งหลายให้ถอยกลับ!! ทาง Luce I นั้นนำเหล่าอัศวินควบม้าไล่เหยียบเหล่าเติร์กทั้งหลายที่กำลังวิ่งหนีหางจุกตูด!! ….และเมื่อเขาเห็นว่าข้างหน้าห่างไปประมาณเกือบ 1,000 หลานั้นกลุ่มทหารม้าเติร์กจำนวนมากกำลังมุ่งตรงมาทางเขา!!..... ทาง Luce I นั้นสั่งปรับกำลังใหม่ทันที!!..
“จัดขบวน!!!!”
พลสัญญาณของ Fronterize นั้นรีบเป่าแตรสัญญาณ ดังติดต่อกันเป็นทอดๆ ทำให้เหล่าอํศวินมังกรนั้นหยุดการเข้าโจมตี...และตั้งแถวหน้ากระดานอีกครั้ง พวกเขานั้นยืนหยุดนิ่งในขณะที่ทหารม้าเติร์กนั้นควบเข้ามาในระยะ 600 หลาเท่านั้นอีกเพียงไม่ถึง 5 นาทีต้องเข้าปะทะแน่นอน!!... Luce I นั้นยิ้มอย่างได้ใจพร้อมส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้ พลสัญญาณ!!
“ปีก!!!!!”
อัศวินมังกรดูเหมือนจะทำอะไรสักอย่างกับเกราะรูปปีกมังกรของพวกเขาซึ่งดูเหมือนว่าจะปลดล๊อคให้มันเคลื่อนไหวได้!!!
“โจมตี!!”
ในตอนนี้ทหารม้าเติร์กนั้นห่างเพียง 200 หลา!! ในขณะที่เหล่าทหารม้าหนักออตโตมันนั้นควบม้าด้วยความเร็วสูงเนื่องจากพวกเขาควบมาในระยะทางที่ไกล แต่เหล่าอัสวินมังกรนั้นดันเพิ่งควบม้าเพราะมัวแต่เสียเวลากับปีกบนหลังของพวกเขา แรงปะทะของพวกเขานั้นจึงน้อยกว่าเหล่าทหารม้าเติร์กอย่างเห็นได้ชัด!! แต่ Luce I นั้นยิ้มอย่างได้ใจราวกับมีแผน!! ทั้งคู่ห่างกันเพียง 50 หลาเท่านั้นกำลังจะเข้าปะทะกันในอีก 30 วินาที!!!
“ฟั่บๆๆๆ เอี๊ยดดด อ๊าดดดดด ฟั่บ ฮี้ๆๆๆๆ ฮี้ๆๆๆๆๆ!”
อยู่ดีทหารม้า Sipahi ของเติร์กนั้นหยุดเอาดื้อๆแล้วทำท่าตื่นกลัวและหันหลังกลับไม่ยอมควบต่อ มันเกิดอะไรขึ้น!!!!....เพราะตรงหน้าของพวกมันคือกองทัพม้าปีศาจที่มีปีกกำลังบินพั่บๆๆส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดๆดังไปทั่วสมรภูมิอยู่ตรงหน้า ถึงแม้ไอ้ปีกนี้จะไม่ได้ช่วยให้พวกเขาบินได้ แต่ม้านั้นโดยธรรมชาติเป็นสัตว์ที่ตื่นกลัวเอาง่ายๆหากเจอกับอะไรที่แปลกใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีกที่ขยับบนหลังของเหล่าอัศวินมังกรและเสียงเอี๊ยดอ๊าดๆของมัน!!! มันทำให้การบุกของเติร์กนั้นหยุดชะงักทันที!!
“ขยับสิเว้ย!!”
“วิ่งต่อไปสิไอ้ม้าโง่!!”
“ไม่ทันแล้วววววว!!”
สวบบบบบบบบบบบบบบบบบบ!!!
ฉึกกกกกก.......... อ๊ากกกกกกกกก ฉึกกกกก
ทวนเล่มแล้วเล่มเหล่าถูกปักเข้ากลางอกของเหล่าทหารม้าเติร์กอันหน้าเกรงขามซึ่งบัดนี้กลายเป็นเป้านิ่ง!! จนเหล่า Sipahi อันแข้งแกร่งล้มตายเป็นเบือ.... ในขณะเดียวกันนั้น สุลต่านมาเหม็ดที่ 4 นั้นก็กำลังตกอยู่กลางดงเหล่าอัสวินมังกรที่ชาร์จเข้ามาไม่หยุดยั้ง จนกระทั่ง Luce I พบเขาเข้า!!!
“อย่าอยู่เลย!!”
Luce I นั้นพุ่งตรงเข้าหา สุลต่านอย่างรวดเร็ว โดยที สุลต่านนั้นยังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ!!!
สวบ!!!!!
ทวนยาวกว่า 4 เมตรนั้นถูกเสียบกลางหน้าอกของผู้นำโลกอิสลาม!! เขาร่วงตกลงจากหลังม้าคาทวนเล่มนั้นพร้อมกระอักเลือดออกมา... แววตาของเขาเบิ่งค้างบ่งบอกถึงความแค้นและเสียดายที่ตนเองยังไม่ได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้!!....
“สุลต่าน ตายแล้ว!!!!”
Luce I นั้นตะโกนออกมาดังลั่นสนามรบ ทำเอาเหล่าอัสวินมังกรนั้นฮึกเหิมกันใหญ่
“เฮ ไอ้ปีศาจตายแล้ว!!!”
“มาเหม็ดตายแล้ว!!!”
เหล่าทหารเติร์กนั้นพอได้ยินว่าสุลต่านของพวกเขาตายนั้นก็ขวัญกำลังใจตกลงฮวบฮาบ...วิ่งหนีกันหางจุกตูดโดยมิคิดที่จะสู้แม้แต่น้อย!!...... จนเหล่า อัศวินมังกรบุกเข้ามาถึงค่ายของเหล่าเติร์ก แนวหลังของกองทัพเติร์กนั้นพังพินาศในที่สุด ส่วนกองทัพเติร์กที่กำลังตีกรุง Athens อยู่นั้นเมื่อเห็นค่ายของพวกเขานั้นกำลังวอดวายก็เริ่มใจเสีย
“เฮ้ย ทำไมค่ายเราโดนบุกยับเยินขนาดนั้นว่ะ!!”
“นั้นพวกเรากำลังวิ่งหนีอะไรกันอ่ะ!!”
ทางแม่ทัพเติร์กที่กำลังบัญชาการรบอยู่ในแนวหน้านั้นเห็นว่าสถานการณ์ท่าทางจะไม่ดีเลยสั่งกองกำลังเติร์กที่เหลือนั้นถอยกลับ!!! ทำให้ชาว Athens ซึ่งอยู่ในเมืองนั้นได้ใจยิ่งนัก พวกเขาต่างโห่ร้องด้วยความยินดี!!
“รอดแล้วเว้ย!!”
“Fronterize จงเจริญ!!”
“เราน่าจะให้เขามาเป็นกษัตริย์ของเราน่ะ ว่าไหม!!”
“ใช่ๆ Luce I กษัตริย์แห่ง Athens!!”
King Luce I of Fonterize . . .. . . ..
“และนั้นแหละคือ ประวัติศาสตร์อันหน้าภาคภูมิใจของเรา ท่านรัฐมนตรี”
ชายหนุ่มวัยราวๆ 30 ใบหน้าคมเข้ม ผมสีดำ ตาสีดำ สไตล์ละตินนั้นกำลังพูดกับ ตันเลย์รอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของฝรั่งเศส ชายผู้นี้ สวมเครื่องแบบสีดำสนิทพร้อมเครื่องราชอิสรยศเต็มหน้าอก แต่ที่เด่นชัดสุดคือ เข็มขัดรูปตราสัญลักษณ์ มังกรที่เอวของเขา เขาพูดออกมาด้วนยน้ำเสียงอันภาคภูมิใจพลางดูรูปวาดทวดของเขา Luce I .....ดูเหมือนสถานที่น่าจะเป็นท้องพระโรงของปราสาทสักแห่งในทวีปยุโรป.... ทาง ตันเลย์รองนั้น ปรบมือให้กับ ชายหนุ่มผู้นี้สำหรับเรื่องเล่าอันแสนจะสนุกสนานของเขาพลาง เจรจากับเขาต่อด้วน้ำเสียงอันดูเยินยอ
“ชาว Fronterize นับเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่โดยแท้จริง พ่ะย่ะค่ะ ประวัติศาสตร์ของพวกเขานั้นถูกสร้างจากสงครามและการพิชิต ซึ่งท่านนั้น Luce V แห่ง Fronterize ก็มีปรีชาด้านการรบไม่ต่างจากบรรพบุรุษเช่นกัน”
“ข้ายังเล่าไม่จบ ท่านรัฐมนตรี ความจริงทวดของข้านั้นกำลังจะรวบรวมกองทัพจากทั่วทั้งกรีกเพื่อไปพิชิต พวกเติร์กถึงที่ อิสตันบูล แต่เสียอย่างเดียวว่าในตอนนั้น เหล่ากองทัพพันธมิตรแห่งคริสเตียนดันเรียกตัวทวดของข้ากลับเพื่อไปทำสงครามกับ ฝรั่งเศส ต่อ.....”
“…..พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวฝรั่งเศสเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เพราะเขานั้นจึงทำให้ฝรั่งเศสนั้นกลายเป็น รัฐอันดับ 1 ของโลกอย่างไร้ข้อกังขา...”
“และยังทรยศต่อศาสนา เพื่ออำนาจของตนเอง…….”
คำพูดของ Luce V ทำเอา ตันเลย์รองสะดุดเล็กน้อย ดูท่าทางชาว Fronterize คงจะไม่ชอบหน้าชาวฝรั่งเศสสักเท่าไหร่ เพราะพวกเขานั้นทรยศต่อคริสตจักรและไปร่วมมือกับมุสลิมเมื่อราวๆ 200 ปีก่อน
“ในตอนนี้ราชวงศ์บูบองถึงกาลอวสาน ราชวงศ์โบนาร์บาร์ตนั้นกำลังรุ่งโรจน์ และ จักรพรรดิของข้านั้นหาเกี่ยวดองอะไรไม่กับ พวกเชื้อพระวงศ์ยุคเก่า”
“ใช่ แต่การกระทำของจักรพรรดิของท่านนี้ ก็ถือว่าหน้าจับตามองเช่นกัน ทั้งหักหน้าพระสันตะปาปาในพิธีราชาภิเษก ประกาศยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อลดอำนาจศาสนจักร และ ทำสงครามเพื่อความรุ่งโรจน์ของตน...”
“ถูกต้อง พ่ะย่ะค่ะ”
ตันเลย์รองหน้าหดเหลือ 2 นิ้วเมื่อทางกษัตริย์แห่ง Fronterize พูดออกมาเช่นนี้ก็เท่ากับว่า Luce V นั้นมองว่า นโปเลียน ไม่ต่างจาก หลุยส์ที่ 14 เท่าไหร่ ทาง Luce V นั้น พูดไปพลางยิ้มพลางเดินไปยังบัลลังก์รูปหัวมังกรของเขา เขานั่งลงบนบัลลังก์อย่างสบายอารมณ์
“…….555 แต่ข้ามองว่ามันก็ดีออก ศาสนาอ่ะเป็นเรื่องเก่าไปแล้ว บาทหลวงนั้นก็เห็นแก่เงิน รีดทรัพย์สินจากเหล่าราษฎร วิทยาศาสตร์สิที่ทำให้เรานั้นหลุดจากยุคแห่งความมืดมน!!”
“ถูกต้อง พ่ะย่ะค่ะ!!”
“ความจริงแนวคิดของพวกเราตรงกันน่ะ ทั้งของจักรพรรดิของท่านและข้า เราต้องการพัฒนาโลกใบนี้ให้มันหลุดจากวงจรอุบาทว์ของศาสนาสักทีเราจะนำพาโลกไปสู่ความรู้แจ้งอย่างแท้จริง”
“และนี้เป็นเหตุผลที่ดีอย่างยิ่งที่ Fronterize ควรจะเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส...”
“อืมก็ดี.....แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่โต ข้าต้องขอปรึกษากับเหล่าขุนนางและจัดประชุมสภาเสียก่อน อีกสักเดือน 2 เดือน ข้าจะให้คำตอบกับท่าน.... ท่านรัฐมนตรี”
“ขอบพระทัยในความมีวิสัยทัสน์อันกว้างไกลของท่านพ่ะย่ะค่ะ งั้นข้าขอตัวก่อน”
พูดจบ ตันเลย์ลอง นั้นก็ถอดหมวกของเขาและโค้งคำนับกษัตริย์แห่ง Fronterize ในขณะที่ Luce V นั้นยืนขึ้นเพื่อรับเคารพ ตันเลย์ลอง....รัฐมนตรีฝรั่งเศสนั้นเดินออกจากท้องพระโรงไปเมื่อจบการเจรจา เมื่อ ตันเลย์ลอง จากไปทาง Luce V นั้นก็ครุ่นคิดอย่างหนักถึงข้อเสนอที่ ตันเลย์ลองนั้นเอ่ยมานั้นคือ การสร้างพันธมิตร Franco – Fronterize ..ซึ่งถ้าเขาตัดสินใจผิดพลาดนั้นอาจจะหมายถึงอนาคตของอาณาจักรเลยทีเดียว
ห้องรับประทานอาหาร Louis XIV , พระราชวังแวร์ซายด์ , Paris , French Empire 23 เมษายน ค.ศ. 1806
..
.
.
.
.
.
“อ่า.....อ่ำ...”
“เป็นไงถูกปากเจ้าไหมล่ะ ยอดรัก”
“เลี่ยนไปนิสนึงเพค่ะ ฝ่าบาท”
ณ ห้องอาหารของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเป็นห้องเสวยพระกายาหารของเหล่าบรรดากษัตริย์และผู้นำชนชนชั้นสูงของฝรั่งเศส ซึ่งมีโต๊ะยาวกว่า 10 เมตรนั้นตั้งอยู่พร้อมกายาหารมากมาย...นานาชาติ ตั้งแต่เนื้อ แฮมเบิร์กจากเยอรมัน แซนด์วิชต์อังกฤษ ตับห่าน ครัวซอง ฟิเลมิยอง ฝรั่งเศส ยันปลาค้อทจากรัสเซีย ทั้ง แก้วไวน์ และ ไวน์ รวมถึงเบียร์ดำ...เรียกไดว่าครบรสจริงๆ ซึ่งผู้ที่ร่วมโต๊ะอาหารนั้นก็มีทั้ง จักรพรรดิ นโปเลียน , จักรพรรดินีโจเซฟิน , จอมพล เนย์ , จอมพลเรือลาโทซ , จอมพล ลานซ์ , จอมพล เบธิเยอร์ , จอมพล ดาวูต์.... เรียกได้ว่าดูเหมือนจะมี Dinner ใหญ่เกิดขึ้นเลยทีเดียว ในตอนนี้ นโปเลียนนั้นก็ได้ป้อนเนื้อ แฮมเบิร์ก ให้จักรพรรดินีของเขาได้ลิ้มลองรสชาติซึ่งดูเหมือนนางจะไม่ชอบมันนักถึงกับต้อง จิบไวน์ ล้างคอเลยทีเดียว
“ยี้แหว่ะ... พวกปรัสเซีย กินของพรรค์นี้ได้ไงกัน เลี่ยนก็เลี่ยน อ้วนก็อ้วน....”
“แต่ข้าว่ามันอร่อยออก..”
“ท่านถึงได้ลงพุงไงเพค่ะ”
“555++ คิกๆๆๆ”
นโปเลียนนั้นทำท่าเขินอายเล็กน้อย..ที่โดนภรรยาของเขาแซวต่อหน้านายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายซึ่งบรรดานายทหารนั้นก็แอบหัวเราะเบาๆในอารมณ์ขันของ จักรพรรดินี... ทาง นโปเลียนเลยพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“แล้วเจ้าคิดว่าวิธีนี้จะได้ผลจึงหรือ โจเซฟิน??”
“ได้สิเพค่ะ ท่านจักรพรรดิ กุลสตรีอย่างเราอ่ะชอบอะไรที่มันหรูๆเว่อๆวังๆ ท่านต้องปรนเปรอนางอย่างดีราวกับ นางเป็นเทพธิดา หลังจากนั้นก็มอบของที่ระลึกให้นางสักหน่อยจำพวก สร้อยคอไข่มุก หรือ แหวนทับทิมจากเมียนมาร์ แค่นี้นางก็จะลืมเรื่องที่เจรจาทุกอย่างและสิ่งที่อยู่ในสมองของนางเพียงสิ่งเดียวนั้นคือ ความอารีของท่าน นโปเลียน”
“อ่าๆ ...เอาเป็นว่าข้าเชื่อเจ้าน่ะ...เอาล่ะทุกท่านก็ทำตัวตามธรรมชาติเลยน่ะ กินดื่มให้เต็มที่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าจอมพลทั้งหลายของนโปเลียนั้นก็ ปรึกษาเฮฮาปาร์ตี้กันตามภาษาชายชาติทหาร ส่วนทางนโปเลียนนั้นก็หันมาปรึกษากับ จอมพลเรือเฒ่า ทรีวิว ลาโทซ
“ท่านจอมพล.... ท่านคิดว่าในตอนนี้ กองทัพเรือของฝรั่งเศสจะต้องดำเนินนโยบายไปทิศทางใดบ้าง”
“ข้าพูดด้วยความสัตย์จริงพ่ะย่ะค่ะ จากการที่สังเกตมา 10 กว่าวัน ข้าก็บอกได้ทันทีว่า ตอนนี้ฝรั่งเศสอาการหนักมาก”
“ถึงขั้นเลยหรือท่าน”
“ขั้นวิกฤตเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝรั่งเศสนั้นขาดนายทหารเรือฝีมือดีจำนวนมาก ขาดลูกเรือที่มีชั่วโมงเดินเรือ ขาดประสบการณ์ในการฝึกและการรบ และขาดเรือรบอีกเป็นจำนวนมากด้วยพ่ะย่ะค่ะ...ดูเหมือนว่าทหารเรือจะเป็นเหล่าทัพที่ถูกลืมไปเสียจริงๆ”
“......ใช่ ท่านจอมพลข้านั้นเน้นกำลังทางบกมากเกินไปจน ลืมเหลียวแลเหล่าราชนาวี....แต่สถานการณ์นี้ยังคงแก้ไขได้ใช่ไหมท่าน”
“ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้พ่ะย่ะค่ะ ...... ถึงแม้จะใช้เวลายาวนานก็ตาม...ท่านต้องตัดต้นสนจากป่าอาเดนส์มาจำนวนมากเพื่อสร้างกองเรือใหม่ นอกจากนี้ยังต้องว่าจ้างเหล่านักต่อเรือ อเมริกัน มาช่วยในการออกแบบเรือยุคใหม่ให้ทันสมัยทัดเทียมพวกอังกฤษ นอกจากนี้ยังต้องประกาศรับสมัครทหารเรือให้ได้อย่างต่ำ 30000 นาย ซึ่งกว่า กองเรือจะแข็งแกร่งดั่งเดิมก้ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 5 ปี พ่ะย่ะค่ะ”
“5 ปี!!....ช่างเป็นเวลาที่นานจริงๆ”
“…แต่ในระหว่าง 5 ปีนี้ใช้ว่าเราจะไม่ทำประการใดเลย...ท่านยังจำ เรือหลางชาร์ลมาร์ล เรือรบของท่านที่ทำให้เกิด วิกฤติการณ์เรือหลวง Cromwell ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“จำได้สิ....ทำไมล่ะ”
“พวกเขานั้นประพฤติตนเป็น โจรสลัดหลวง ออกไล่ล่าปล้นเรืออังกฤษภายใต้ธงฝรั่งเศส...และนั้นแหละคือสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“สงครามเรือสินค้า กระนั้นหรือ..”
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ สงครามเรือสินค้า วิธีนี้จะทำให้เรือรบของเหล่านั้นกระจายไปทั่วน่านน้ำ ทำให้อังกฤษนั้นต้องกระจายกำลังกันไล่ปราบเหล่าโจรสลัดภายใต้ธงฝรั่งเศส เหมาะกับการใช้กองเรือเล็กๆเพื่อปฎิบัติการ .. และยังทำความเสียหายให้เศรษฐกิจของมันอีกด้วย....”
“อืม เป็นวิธีที่น่าสนใจอย่างยิ่ง”
นโปเลียนนั้นจับคางพลางก้มหน้าลงใช้ความคิดอย่างหนักถึงปฎิบัติการ “สงครามเรือสินค้า” ซึ่งเป็นการทำให้ทหารเรือของฝรั่งเศสทั้งหมดนั้นประพฤติตตนเยี่ยงโจรสลัดซึ่งไร้เกียรติศักดิ์ศรี
“นั้นนางมาแล้ว!!!”
ทางจักรพรรดินี โจเซฟิน ตะโกนเสียงแหววออกมาทำเอาคนทั้งห้องหันไปมองยังประตูทางเข้า
สตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง นางนั้นนัยน์ตากลมโตสีเขียว ผมยาวสลวยสีแดง และด้วยรูปร่างอันงดงาม เมื่ออยู่ในชุดเดรสกระโปรงสีแดงอ่อนแล้วยิ่งดูสง่างามยิ่งนัก สะกดคนทั้งห้องนางคือพระราชินี Maria Louise แห่ง ปรัสเซียผู้ที่จะมาเจรจาเรื่องการแบ่งแยกที่ดินกันระหว่าง ปรัสเซีย และ ฝรั่งเศส
“องค์ราชินีข้าคือ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส”
นโปเลียนพูดพลางลุกขึ้นแนะนำตนเองให้กับราชินีแห่งปรัสเซียรู้จักตน ซึ่งความสูงของทั้งคู่นั้นดูต่างกันไม่มากนัก นโปเลียนนั้นยื่นมือไปจับมืออันเรียวสวยของนางพลางจุมพิตเข้าที่หลังมือเป็นการทักทายตามแบบสากล... ส่วนคนทั้งห้องนั้นก็ยืนขึ้นและโค้งคำนับองค์ราชินี มีเพียง จักรพรรดินีโจเซฟิน นั้นทำตัวเป็นเจ๊ใหญ่ยืนนิ่งเบ่งบารมีใส่ ราชินี Louise… นโปเลียนั้น เชิญองค์ราชินี ไปนั่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามของตน เพื่อที่จะได้เจรจาอย่างสะดวก...ทางราชีนีแห่งปรัสเซียนั้นก็ทำดึงหน้าเล็กน้อย...ตามสไตล์สตรีชั้นสูงก่อนจะเริ่มเจรจา
“อะแฮ่มๆ.........ท่านจอมจักรพรรดินโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ สวามีของข้า พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 3 ต้องการ ดินแดนบริเวน ฮันโนเวอร์ เวสฟาเลียต์ ฮัมบูกร์ และ บรันวิกส์….ส่วนที่เหลือเป็นของท่าน ท่านจะตกลงไหม??.”
ทาง ราชินี Maria นั้นพูดออกมาโพร่งๆตรงๆโดยไม่กลั่นกรองคำพูดของตนเลยมิแต่น้อย ทำให้ จักรพรรดินี โจเซฟิน หมั่นไส้ยิ่งนักอยากจะลุกไปตบหน้าสักฉาด 2 ฉาด..... แต่ ทางนโปเลียนนั้นก็ยังใจเย็น
“องค์ราชินี....ข้อเสนอของท่านนั้นข้าเห็นด้วยน่ะ ปรัสเซียนั้นควรได้ดินแดน ฮันโนเวอร์..ดังว่า ..แต่ในตอนนี้ดินดังกล่าวที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดนั้นยังอยู่ภายใต้การควมคุมดูแลของฝรั่งเศส”
“ท่านก็ถอนทหารออกไปสิเพค่ะ จะยากประการใด??”
“แต่มันจะง่ายกว่า ถ้าข้าจะสั่งสอนธิดาของข้าให้มีมารยาททางสังคมที่ดีกว่า หญิงปรัสเซีย!!”
คำพูดแดกดันของ องค์จักรพรรดินีทำให้ ราชินีแห่งปรัสเซียหันมามองด้วยสายตาอันจิกกัด ในขณะที่ทาง จักรพรรดินีนั้นทำหน้าแบบว่า ฉันสะใจอ่ะจะทำไม....ทางจอมพลทั้งหลายนั้นก็ทำเป็นหูทวนลมกินดื่มต่อไปโดยไม่สนใจกรณีพิพาทของ 2 สตรี ปล่อยให้ นโปเลียนรองรับ สตรีชั้นสูงทั้ง 2 เพียงลำพัง ดูเหมือนว่า ไอเดียของ โจเซฟินนั้นจะไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ...
“เชิญองค์ ราชินีลิ้มลองอาหารที่เราได้จัดเตรียมไว้ให้ก่อนล่ะก่อน....ดูสิว่าเชฟฝรั่งเศสนั้น จะถูกปากของท่านหรือไม่”
“งั้นข้าก็ไม่ขัดข้อง เพค่ะ”
ทางราชีนี Lousie รับประทานอาหารที่ได้จัดเตรียมไว้ให้อย่างดี รวมถึงนโปเลียนและองค์จักรพรรดินี..เพื่อเป็นการพักยกสักครู่...ซึ่งเมื่อราชีนี Louise ได้ลองชิมก็ดูเหมือนว่าจะถูกปากและทำให้นางอารมณ์เย็นลงอย่างเห้นได้ชัด.... นโปเลียนจึงดำเนินการเจรจาต่อ
“ในตอนนี้ทางปรัสเซียนั้น มีปัญหาอันใดขัดข้องกับทางเราไม่องค์ราชินี??”
“มีบ้างเพค่ะ สำหรับจอมพลบางคนที่ตั้งถ้าจะโจมตีท่านอย่างเดียว องค์จักรพรรดิ”
“ท่านหมายถึง Ludendorff สิน่ะ.....”
“เพคะ ฝ่าบาท..เขาเกลียดท่านและฝรั่งเศสยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก.”
“……..อืม...แล้วแว่แต่สวามีท่านนั้นต้องการดินแดน ส่วนไหนบางน่ะ ข้าต้องการทราบอีกครั้ง”
“ฮันโนเวอร์ เวสฟาเลียต์ ฮัมบูกร์ และ บรันวิกส์ เพค่ะ!!”
“คือ...ดินแดนพวกเนี้ยกว่าครึ่งผมนั้นเพิ่งยึดมาได้จากอังกฤษ ซึ่งการจัดระเบียบภายในดินแดนพวกเนี้ยยังไม่เรียบร้อยดี หากยกให้พวกท่านไปทั้งๆที่ยังวุ่นวายอยู่มันเป็น ภาระเปล่าๆ เอาเป็นว่ารอสัก 2 – 3 เดือนให้เราจัดระบบดินแดนดังกล่าวให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับมาเจรจาใหม่อีกรอบ...”
“ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพค่ะคำพูดของท่านนั้นดูมีเหตุผล....”
ดูเหมือนคำพูดของ นโปเลียน จะมีเหตุผลหนักแน่นพอที่จะให้ ราชีนีแห่งปรัสเซียนั้นเชื่อ... เมื่อ นโปเลียนนั้นเห็นว่าเข้าทางจึงดำเนินการต่อทันที...
“งั้นเพื่อความสัมพันธอันดี..ระหว่างอาณาจักรของเราทั้ง 2 ข้าจึงขอมอบสิ่งๆนี้เป็นของกำนัลแก่ท่าน”
พูดจบนโปเลียนกวักมือเรียกข้ารับใช้ให้นำของกำนัลมาให้กับ องค์ราชีนี ซึ่งมันดูเหมือนจะเป็น สร้อยไข่มุกสีนวลชมพูจากอันดามัน ดูเลอค่าและหายากยิ่งนักในหมู่ชาวยุโรป พระนางราชินี Louise นั้นตาลุกวาวด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง
“ขอบพระทัยอย่างยิ่งเพค่ะ จักรพรรดิผู้มีน้ำใจอันกว้างขวางประดุจมหาสมุทร!!”
ทาง นโปเลียนนั้นพยักหน้ารับคำขอบคุณ.... ในขณะที่ ราชีนี Louise นั้นดูจะติดกับดักของนโปเลียนอย่างสนิทใจ นางเชื่อสนิทว่า นโปเลียนนั้นยังไงก็จะมอบดินแดนให้ปรัสเซีย!! แต่หารู้ไม่ว่านี้เป็นแค่การประวิงเวลาเท่านั้น!!
ถนนริมชานเมือง Moscow , Russian Empire 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1806
“โอยยยยย...............”
“หิวน้ำ...........”
“ไม่น่ะ.....อย่าๆๆๆ ไม่!!!”
เสียงร้องครวญคราญของชายผู้สูบผอมผู้หนึ่งกำลังดิ้นทุรนทุรายเมื่อ ถูกทหารรัสเซียกำลังจับตรึงกับไม้กางเขน ..... ชายผู้นั้นกำลังถูกพันธนาการด้วยเชือดที่รัดแน่นทั้งบริเวณแขนและขาให้ตรึงกับไม้.....และทหารรัสเซียผู้หนึ่ง กำลังนำตะปูกับค้อนมาเพื่อตอกมือของเขาให้ติดกับไม้!!
“ไม่น่ะ อย่า.............ปึกๆๆๆ อ๊ากกกกกกกก”
เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังลั่นไปทั่วถนน แต่ไม่ใช่เสียงของเขาเสียงเดียวในตอนนี้ผู้คนอีกหลายพันนั้นมีชะตากรรมไม่ต่างจากเขา!! บ้างก็กำลังถูกตรึง บ้างก็ถูกตรึงมานานกว่า 3 วันทำให้ เริ่มขาดน้ำ และ สติเริ่มเลอะเลือน... หลังการปราบกบฏชาวนาอันทารุณ นั้นชาวรัสเซียกว่า 400000 นายนั้นได้สังเวยชีวิตให้กับคมดาบและลูกปืนของทหารพระเจ้าซาร์ แต่นั้นยังดูไม่สาแก่ใจ เมื่อเชลยที่เหลือรอดกว่า 100000 นายนั้นกำลังถูกตรึงกางเขนอย่างทารุณตามรายทาง ระหว่าง Smolensk ถึง Moscow เป็นระยะทางเกือบ 180 ไมล์ ระยะทางซึ่งมีผู้คนถูกตรึงกางเขนไม้เว้นแม้แต่ไมล์เดียว!! เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ชาวรัสเซียทั้งหลายนั้นไม่กล้าหือกับพระองค์อีก พระเจ้าซาร์จึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้..... ขบวนเสด็จพระเจ้าซาร์นั้นกำลังเคลื่อนกลับ Moscow โดยตามรายทางนั้นก็เจอแต่ศพของผู้คนสร้างความหดหู่ให้แก่ทหารของเขายิ่งนัก ในขณะเดียวกัน พระเจ้าซาร์นั้นก็ทำหน้าตายนิ่งเฉยกับการกระทำที่เขาได้สั่งการณ์ไป แต่ที่หนักกว่าคือท่าน Lord แห่ง Smolensk คนใหม่ Laurente Yoraslav ซึ้ง ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย กับสิ่งที่เขากระทำไป เขานั้นควบม้าอยู่เคียงข้างกับพระเจ้าซาร์พลางปรึกษาหารือกัน....
“การกระทำเช่นนี้จะทำให้ชาติอื่นมองเราว่าล้าหลังน่ะ พ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ถ้ามันทำให้บ้านเมืองสงบสุขข้าก็จะทำ ท่านรัฐมนตรี...”
“ข้าว่ามีอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ บ้านเมืองสงบสุขเรียบร้อยเช่นกัน พ่ะย่ะค่ะ”
“วิธีการใดรึ”
“ทำสงครามกับ นโปเลียน พ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของ Laurente ดูท่าทางจะทำให้พระเจ้าซาร์นั้นฉุนอีกครั้ง
“ท่านวิปลาสรึยังไง!! บ้านเมืองภายในยังวุ่นวาย คนตายเป็นแสน กองทัพของข้าก็เพิ่งแพ้มันมายังไม่ทันถึงปี นี้จะให้ข้ากลับไปรบกับมันใหม่อีกรอบงั้นหรือ!! ทหารของข้าในตอนนี้แค่ได้ยิน ชื่อมันก็วิ่งหนีแล้ว!! จะเอาอะไรไปสู้มันล่ะ!!”
“… ข้ากลับมองกลับกันพ่ะย่ะค่ะ....ที่บ้านเมืองท่านเกิดกบฎก็เพราะท่านพ่ายศึกบ่อยเกินไปพวกเขาจึงเห็นท่านอ่อนแอ แต่ถ้าท่านได้ชัยชนะเหนือ นโปเลียน นั้นจะทำให้ประชาชนนิยมชมชอบท่านยิ่งกว่าครั้งใดๆในประวัติศาสตร์อีกพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นข้าจะชนะมันยังไงล่ะ อย่าบอกน่ะว่าท่านนั้นเชี่ยวชาญในการทำศึกยิ่งกว่ามัน!!”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ตัวข้าอาจจะไม่ใช่จอมพล แต่ข้านั้นมองสถานการณ์บ้านเมืองอย่างแยบคาย..... ในตอนนี้ทั้งปรัสเซียและฝรั่งเศสต่างมีพื้นที่ทับซ้อนกันมากมายในเยอรมัน อีกไม่นานต้องเกิดสงครามกันแน่ ท่านนั้นแค่ยกกองทัพไปสนับสนุนปรัสเซียเพื่อให้พวกเขาได้รับชัยชนะ!!.....”
“ข้าก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่ากำลังของปรัสเซียและของข้านั้นจะทัดทานกับนโปเลียนไม่ ขนาดกองทัพของข้าและออสเตรียยังเสร็จมันแล้ว ไอ้นโปเลียนผู้นี้มันไม่ได้กินง่ายๆเหมือนท่านว่าแน่”
“และมีอีกทางหนึ่ง ท่านส่งน้องสาวของท่านให้กับกษัตริย์ Luce V แห่ง Fronterzie แล้วชวนให้เขาทำสงครามกับ นโปเลียน ไหนจะยังมีอังกฤษอีกซึ่งรับรองว่าต้องเข้าร่วมสงครามแน่ไม่ว่าจะมากน้อยก้ตาม เปิดศึกหลายๆด้านพร้อมกัน นโปเลียนเอาไม่อยู่เป็นแน่แท้ พ่ะย่ะค่ะ”
“ไว้ข้าพิจราณาอีกทีล่ะกัน ในตอนนี้ข้ามีเรื่องให้กังวลใจพออยู่แล้ว”
ทางพระเจ้าซาร์นั้นเบือนหน้าหนีพร้อมส่ายหัวไปมาด้วยความกังวล....แต่ทาง Laurente นั้นยิ้มเยาะอย่างเจ้าเล่ต์ดูเหมือน จิ้งจอกแห่งรัสเซียผู้นี้จะมีแผนการอะไรบางอย่างผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง!!
|
|
|
Post by greatbritian on Feb 20, 2018 5:55:44 GMT
Episode 10 : Memory remians ท้องถนนในกรุงปารีส , จักรวรรดิฝรั่งเศส 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1806
ที่นี่คือ กรุงปารีสเมืองอันใหญ่โตและศิวิไลซ์สุดของโลกตะวันตก มันคือแหล่งศูนย์รวมวัฒนธรรมทุกอย่างบนโลก....ไม่ว่าจะ ศิลปะ สถาปัตยกรรม และ อื่นๆ ผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศต่างอยากแวะข้องมายัง ปารีส....... และดูเหมือนมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง 2 คนแรกนั้น ดูเหมือนเป็น สามีภรรยาที่กำลังเดินควงแขนกัน ฝ่ายชายนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำหมวกทรงสูง หุ่นสั้นๆป้อมๆ ฝ่ายหญิงนั้น สวมเครื่องอาภรณ์ดูสวยสง่า เหมือนคุณหญิงทรวดทรงงดงามราวกับนางฟ้า ถัดมา เป็นชายรูปร่างสัดทัน....จมูกงุ้มเล็กน้อย ผมหยักสีดำ สวมเสื้อคลุมสีแดงและหมวก Bicorne หน้าตาดูเหมือนถูกบังคับโดยกลุ่มชายฉกจรรจ์ร่างใหญ่ 7 – 8 คนที่สวมเสื้อคลุมสีดำและหมวก Bicorne ใบเขื่อง.... ทางฝ่ายชายร่างเตี้ยๆป้อมๆ คนนั้น พูดแนะนำสถานที่ไปมาให้คนทั้งกลุ่มฟัง “นั้น น้ำพุอีเดน น้ำพุใจกลางกรุงปารีส มันถูกสร้างเพื่อการเฉลิมฉลองการสถาปนาตนเป็น จักรพรรดิของ นโปเลียน ใช้หินอ่อนจาก อินเดีย และศิลปะแบบกรีก – จีน ผสมกันได้ลงตัวมาก.. ดูสิ มี รูปมังกร กับ พญาอินทรีย์ ด้วยช่างงดงามเสียจริงๆว่าไหม คุณ William” “ใช่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูปปั้นของท่าน เหนือยอดน้ำพุ” “แหม...ตอนนี้ผมไม่ใช่ นโปเลียน สักหน่อย ผมคือ มองซิเออร์ เดอฟรอง เศรษฐีฝรั่งเศส ต่างหาก นี่ผมกำลังพาคุณเที่ยมชมเมืองอยู่น่ะเนี่ย คุณ William ” ทางชายร่างเตี้ยอมยิ้มเล็กน้อยพลางพูดออกมา เมื่อถูกแดกดันจากชายอีกคน!! แน่นอนว่ารูปปั้นที่อยู่เหนือยอดน้ำพุนั้นเป็น รูปปั้นของ จอมจักรพรรดิฝรั่งเศสนโปเลียน ในชุดคลุมสีแดงผมมงกุฎสีทองเต็มยศ อันเป็นชุดตอนราชาภิเศก ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาซะแล้ว เพราะชายหญิงคู่หน้านั้นคือ นโปเลียนและดิออน องครักษ์หญิง ส่วน Mr. William นั้น คือ เจ้าชายจอร์จที่ 4 ของอังกฤษ พร้อมกับองรักษ์ Old Guards 7 – 8 คนนอกเครื่องแบบ ที่เดินตามหลังมา.. ทางนโปเลียนในคราบเศรษฐีฝรั่งเศสนั้น นำคณะเดินและพูดต่อ “การปลอมตัวเป็นสามัญชนเนี่ยทำให้ เรารู้ถึงความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ ความเป็นอยู่หลอกๆที่ข้าราชบริพารเตรียมจัดไว้ให้ก่อนเราจะไปที่นั้นๆ ท่านเคยลองทำแบบนี้ที่อังกฤษดูไหม??” “ไม่ .......” “งั้นถ้ามีโอกาสได้กลับอังกฤษ ไปลองทำดูน่ะ ข้าว่ามันเป็นวิธีที่ดีมาก” “ใช่ ถ้าท่านกรุณา...” “ออ แน่นอนอีกไม่นานหรอก ท่านจะได้กลับไปเหยียบอังกฤษพร้อมกองทหารของท่านแน่!!” “เอ้า นี่มาถึงแล้ว ร้านมาดาม ลูอิส นางขายนิตยสาร และหนังสือพิมพ์ถูกมากเลยล่ะ” ว่าแล้ว นโปเลียนก็นำคณะเดินไปยังร้านขายหนังสือพิมพ์ที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อ นโปเลียนมาถึงก็พบกับร้านของมาดาม ลูอิส อันมีหนังสือพิมพ์และหนังสือนิตยสารต่างๆขายมากมาย.....มาดาม ลูอิส นั้นเป็นหญิงม่ายฝรั่งเศส อายุราวๆ 35 ปี แต่หน้าตาของนางยังดูสวยสดตามสไตล์สาวฝรั่งเศส สามีของนางเป็นทหารใน Grande Armee ของนโปเลียนและตายในศึกที่ Ulm เมื่อ 2 ปีก่อน.....แต่นางก็ยังคงยิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าทุกวันเสมอ.. “สวัสดีครับ มาดาม ลูอิส...........” “สวัสดีค่ะ คุณ เดอฟรอง รูปหล่อ วันนี้ คุณจะมาวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองอะไรให้ฉันฟังอีกล่ะ” “ออ.. ไม่ล่ะ 555+ นี้ เพื่อนผม Mr. William เขาเป็น พ่อค้าอังกฤษล่ะ...... เขาเก่งมากเลยล่ะ.เขาพูดฝรั่งเศสได้ด้วยน่ะ” “สวัสดีค่ะ Mr. William…. หล่อจังคุณมีภรรยาหรือยังค่ะ “ “มีแล้วครับ...” “หว่า......” “วันนี้ Le Moniteur มีข่าวอะไรใหม่ๆมานำเสนอมั้งเนี้ย ขอดูหน่อย..” “ออนี้ค่ะ” ว่าแล้ว มาดามลูอิสก็หยิบหนังสือพิมพ์ Le Moniteur อันเป็นหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสให้กับ นโปเลียนดูซึ่งก็มีข่าวมากมาย ทั้ง ปรัสเซีย – ฝรั่งเศส พันธมิตรที่ยั้งยืน? มากี เดอซาส ข่มขืนผู้หญิงอีกแล้ว ไวน์ราคาถูกที่ มาเซย์ .......และที่สำคัญที่สุด “Mr.William ดูนี่......” นโปเลียนนั้นยื่นหนังสือพิมพ์ให้กับเจ้าชายจอร์จดูซึ่งเขาก็รับมาและหน้าที่นโปเลียนเปิดนั้นคือ.... อำนาจใหม่ผงาด.... “Henry Graham ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ทิศทางการเมืองของอังกฤษยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ในตอนนี้.... บรรดาเชื่อพระวงศ์ ...และอื่นๆ” แต่อ่านเพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าทาง รัฐสภานั้นกำลังทรยศต่อเขา!! เจ้าชายจอร์จ นั้นพยายามจะสกัดกั้นอารมณ์โกธรของตนมือเขานั้นกำแน่นจนหนังสือพิมพ์ในมือนั้นกำลังจะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย... ซึ่งนโปเลียนนั้นยิ้มอย่างได้ใจ เขาอ่านอารมณ์ของเจ้าชายจอร์จได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!! …….ในขณะเดียวกันเขาก็กระซิบกับองครักษ์หญิง.ดิออน ที่อยู่เคียงข้าง “คืนนี้ จัดผู้หญิงไปปลอบใจเขาหน่อยน่ะ.....เอา สวยระดับ แม่นาง วีนัส ในละครเวทีเลยน่ะ เข้าใจไหม” “เพค่ะ.....” “เออ...ตรงไปอีกหน่อยก็ถึง ถนนลูยอง...ทำให้นึกถึงความหลังเลยว่าไหม ดิออน “ “เพค่ะ.... ถนนลูยอง.............. ใช่ ความหลังอันแสนสุขของดิออน........ มันเริ่มต้นที่นี่ ถนนลูยอง!!! .. . . .. . . . .. . พระราชวังตุยร์เลอร์รี , ปารีส , ฝรั่งเศส 10 สิงหาคม ค.ศ.1792
“จับไอ้กษัตริย์ชั่วมาประหาร!!!” “ฆ่าพระเจ้าหลุยส์!!” “ฆ่านังผู้หญิงออสเตรีย!!” เสียงโห่ร้องด้วยความโกธรแค้นของประชาชนดังไปทั่วพระราชวังอันเป็นที่พำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กษัตริย์ฝรั่งเศส ประชาชนติดอาวุธมากมายรายล้อมพระราชวังด้วยความบ้าคลั่ง มีทั้งผู้หญิง เด็ก คนแก่ พนักงานบัญชี และ อื่นๆ แต่พวกเขาล้วนคือชนชั้นล่าง..... พวกเขาหาอาวุธทุกอย่างที่หามาได้ตั้งแต่ พลั่ว ไม้หน้าสาม. มีดทำครัว พวกเขาต่างโกธรแค้นและพร้อมพังกำแพงเข้าไปทุกเมื่อ!!!! นี่คือการปฎิวัติฝรั่งเศส!! ธงไตรรงค์ แห่งเสรีภาพ เสมอภาพ ภารดรภาพ โบกไหวไปทั่วในหมู่ชน การลุกฮือของเหล่าชนชั้นล่างที่มีต่อชนชั้นสูง!! มาบัดนี้พวกเขาได้ลุกขึ้นสู้แล้ว!! “เอ้ามาเลยๆๆ!!” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกวักมือเรียกเหล่าชายอีก 10 คนซึ่งช่วยกันลากเกวียนขนาดใหญ่ที่บรรทุกท่อนซุง!! ดูเหมือนพวกเขากำลังจะใช้มันพังประตูพระราชวังเข้าไป!! …… ถัดไปบนตัวพระราชวัง..ณ ตัวระเบียง มีกลุ่มคนซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นชนชั้นสูงเพราะเสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกเขานั้นดูหรูหราผิดจากชนชั้นล่าง พวกเขากำลังเฝ้ามองเหล่าฝูงชนที่บ้าคลั่งด้วยความหวาดกลัว...ทางฝ่ายหญิงที่ใบหน้าเรียวยาวสวยงามประดุจเจ้าหญิงในตอนนี้นางกำลังสั่นเทาไปด้วยความกลัว.....นางเขย่าแขนชายร่างอ้วนซึ่งสวมใส่วิกสีขาวม้วนไปลอนราวกับว่าเขาจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย!! “ฝ่าบาท...ฝ่าบาทเพค่ะ!! เราจะทำยังไงกันต่อดี!! พวกมันจะบุกเข้ามาแล้วน่ะ ฝ่าบาท!!” ชายร่างอ้วนนั้นก็อยู่ในสภาพตื่นกลัวและวิตกกังวลไม่แพ้ฝ่ายหญิง เขานั้นตัวสั่นงันงกและเหงื่อแตกพลั่ก... “ใจเย็นๆไว้ มารี....กองทัพของท่านนายพล ลาฟาแยต กำลังมาช่วยเรา!!........ผู้กอง วอลเลนสไตน์!!” “พ่ะย่ะค่ะ!!” ชายร่างอ้วนหันไปหา ชายคนหนึ่งซึ่งสวมเครื่องแบบทหารสีแดงสดห้อยกระบี่เล่มงามและสวมวิกขาวหยิกเป็นลอน ดูแล้วน่าจะเป็นทหารองครักษ์.... เขาตอบรับคำทักของชายร่างอ้วนพร้อมโค้งคำนับ!! “บอกให้องครักษ์สวิสของท่านยิงใส่ฝูงชนได้เลย!! ยันมันไว้จนกว่ากองทัพของข้าจะมา!!” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!!” ผู้กอง วอลเลนสไตน์ ตอบรับคำสั่งของกษัตริย์พร้อมเดินลงไปข้างล่าง.......... เขาเดินมาหากองทหารของเขาหลายร้อยนาย ซึ่งอยู่ยืนเรียงรายอยู่ตามระเบียงและถนนหน้าพระราชวัง!... ทุกคนดูขึงขังและมีระเบียบ พวกเขาแต่งกายด้วยเครื่องแบบสีแดงสดคล้ายทหารอังกฤษ...แต่เสื้อข้างในนั้นเป็นสีน้ำเงิน และขลิบสีขาว ต่างจากทหารอังกฤษ พวกเขาคือ เหล่าองครักษ์ชาวสวิส..... ผู้กอง วอลเลนสไตน์เดินมาหน้ากองทหารพร้อมชักกระบี่ของเขาออกมา!!! “ปกป้อง พระเจ้าหลุยส์และราชวงศ์บูบอง!!!!!! ยิงได้!!!” ปังๆๆๆๆๆๆ!! ปังๆๆๆๆๆๆๆ!!! องครักษ์สวิสเปิดฉากยิงใส่ชาวบ้านที่ยืนริมกำแพง!!! จนชาวบ้านหลายร้อยคนต้องกระสุนล้มตาย!!! …….. “โอ๊ยยย. อ๊ากกกก.......” “ไอ้พวกทหารชั่ว!!” “ดูสิ ไอ้อ้วนนั้นจ้างพวกต่างด้าวมาฆ่าเรา!!” “ปังๆๆๆ”” “ยิงมันเลยไม่ต้องไปปราณี!!” “เฮๆๆๆ ฆ่าพวกต่างด้าง ฆ่าพระเจ้าหลุยส์!!!” แต่ดูเหมือนฝูงชนจะไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย!! ตรงข้ามพวกเขากับโกธรแค้นหนักกว่าเดิมที่ กษัตริย์ของพวกเขาจ้างเหล่าคนต่างชาติมาฆ่าคนชาติเดียวกัน!! ฝูงชนต่างบ้าคลั่งหนักกว่าเดิม พวกเขาบ้างคนพยายามปีนรั้วเข้าไป!! บางคนก็ประจำท่อนซุงเตรียมใช้มันพังประตู!! แต่เหล่าทหารสวิสก็ยิงใส่ฝูงชนอย่างดุเดือด......เหล่าประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก ชายคนหนึ่งที่กำลังปีนรั้วขึ้นมา เจอปืนยิงใส่จนร่วงตกลงไปข้างล่าง!!.. เลือดของประชาชนฝรั่งเศสต่างไหลรินไปทั่วถนน....... ชายชราผู้หนึ่งใจกล้ากำลังปีนข้ามรั้วไปโดยที่มือข้างหนึ่งยังถือธงไตรรงค์แห่งฝรั่งเศสเอาไว้....... แต่เขาก็โดนองครักษ์สวิสยิงเข้ากลางกบาล!!........ ปัง!!! ร่างของชายงชราร่วงตกสู้พื้น เลือดไหลนองเต็มไปหมด...นัยน์ตาของเขายังค้างเติ่งไปด้วยความแค้น ในมือนั้นยังคงกำธงไตรรงค์ไว้แน่น!! ทันใดนั้นก็มีหญิงชรา และ สาวน้อยวัยรุ่นผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาดูหญิง ชรา ด้วยความตกใจ!! ดูแล้วน่าจะเป็น ภรรยากับลูกของนาง!! “จาค๊อบ....จาค๊อบ...มองหน้าฉันสิ!!” “คุณพ่อ!!! ไม่น่ะคุณพ่อ....คุณพ่อต้องไม่ตายน่ะ!!!” “ไอ้พวกเลวเอ๊ย!! โอ๊ยยย!.....” หญิงชรานางนั้นโดนกระสุนพุ่งเข้ามาใส่หน้าอกของหญิงชรา!!! นางกุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวดแล้วล้มลงไปนอนเคียงข้างสามีของนาง!!....... สาวน้อยวัยรุ่น ช๊อคหนักกว่าเดิมเมื่อ บุพการีทั้ง 2 มาตายต่อหน้าในเวลาอันสั้น!! นางคุกเข่าลงไปพลางลูบใบหน้าของแม่หวังให้นางตอบสนอง ซึ่งดูเหมือนว่านางจะไม่ตายทันที..... นางรวบรวมกำลังยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าของลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาของสาวน้อยไหลพรากออกมาด้วยความเสียใจอย่างเป็นที่สุด “แม่...................!!!!” “ดิออน..............อย่าลืมน่ะลูก.........เราต่อสู้เพื่ออะไร........เสรีภาพ...........เสมอภาพ.........ภารดรภาพ” พอพูดจบนางก็สิ้นใจ!! สาวน้อยนั้นร้องไห้ด้วยความบ้าคลั่งราวกับโลกได้พังทลายไป...เธอนั้นไม่ได้สนใจรอบข้างตัวเลยเมื่อทั้งเหล่าฝูงชนและทหารสวิสต่างหยุดสู้กันและมองไปยังมุมถนน ดูเหมือนมีอะไรเกิดขึ้น!! กองทัพของฝรั่งเศสได้เดินทางมาถึงแล้ว!! เหล่าทหารฝรั่งเศสในชุดสีน้ำเงิน ขลิบขาวพร้อมด้วยอาวุธครบมือเดินทางมาถึง พระราชวังตุยเลอร์รี!! ธงรูปดอกจิกสีทองพื้นหลังสีขาวอันเป็นธงสัญลักษณ์ของราชวงศ์บูบองโบกไสวนำทัพ เป็นอันว่ากองทัพนี้คือกองทัพหลวงของพระเจ้าหลุยส์... ทำเอา พระเจ้าหลุยส์และพระนางมารีอองตัวเนตต่างดีใจเป็นเจ้าเข้า!! “กองทัพของข้ามาแล้ว!! ฆ่าพวกมัน!! ฆ่าพวกมัน!” ในขณะเดียวกันเหล่าฝูงชนต่างเริ่มลังเล!!.....กองทัพมามากขนาดนี้ไม่มีทางที่ประชาชนธรรมดาจะสู้ได้แน่...... “เอาไงดี!!” “เราจะสู้ บอกให้พวกมันเข้ามาเลย!!” “มาเลยไอ้พวกสุนัขรับใช้บูบอง!!” เหล่าฝูงชนผู้รักชาติต่างยืนเรียงหน้ากระดานเข้าหากองทหารที่กำลังเคลื่อนเข้ามา!! พวกเขาถือ ไม้ ขวาน และ คราด มาสู้กับปืน!!........แต่แล้วทันใดนั้น นายทหารชั้นยศนายพลผู้หนึ่ง ก็ขี่ม้าออกมานำหน้าทหาร....เขาสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินสดพร้อมหมวก Tricorne อันเป็นเครื่องแบบมาตรฐาน หน้าตาดูกร้านโลกพอสมควร....... อยู่ดีๆเขาก็ตะโกนออกมา “ทหารจะอยู่ข้างประชาชน!!!!!!!” นายพลคนนั้นชักดาบขึ้นมา พร้อมกันนั้นทหารของเขาก็โยนธงบูบองทิ้งแล้วนำธงไตรรงค์ขึ้นมาโบกสะบัดแทน!!!!!!! ณ บัดนี้ กองทัพฝรั่งเศสได้เป็นของประชาชนแล้ว!!!!........... เหล่าประชาชนชาวฝรั่งเศสต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ และฮึกเหิมยิ่งนัก!! นั้นทำเอาพระเจ้าหลุยส์ตกใจเป็นที่สุดเขาล้มลงกับพื้นก้นจั้มเบ้า!!.. พร้อมส่ายหัวไปมาด้วยความไม่เชื่อสายตา!.... “บ้าเอ๊ยยยย ไอ้ ลาฟาแยต!! ไอ้คนทรยศ!!! ไอ้เลว!!” “ฝ่าบาทเพค่ะ รีบหนีไปเถอะ!!!!! เรายังมีเส้นทางลับในพระราชวังอีกตั้งมาก ถ้าหนีตอนนี้เรายังมีสิทธิ์รอด เพค่ะ!!” “ข้าไม่มีทางหมดอำนาจจจ!! คอยดูไอ้พวกรากหญ้าข้าจะกลับมาใหม่!! คอยดู!!” เหล่าทหารองครักษ์ต่างลากพระราชวรกายอันอ้วนถ้วนของพระองค์ออกไปยังจากระเบียง!! เหล่าเชื้อพระวงศ์กำลังจะหนี!! ในขณะเดียวกันเหล่าทหารก็เริ่มระดมยิงใส่ เหล่าองครักษ์สวิสที่ยืนอยู่ในตัวพระราชวัง!!....กลายเป็นการแลกยิงอย่างดุเดือด!!! แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ขนอาวุธหนักออกมา... “เฮ้ย บ้าไปแล้วจะเอาปืนใหญ่ยิงวังเลยรึไง!!!!” เหล่าองครักษ์สวิสตะโกนออกมาด้วยความตกใจ!!... แต่ไม่เป็นผลครับ!! ทหารฝรั่งเศสจัดการบรรจุกระสุนปืนใหญ่เรียบร้อยเตรียมยิง!!! ผู้กองร่างเล็กผู้หนึ่งเป็นคนออกคำสั่ง!! “ยิง!!!!!!!!!!!!!!” เฟี้ยวววววววววววว ตูมมมมมมมมมมมมม!!! กระสุนปืนใหญ่พุ่งทะลุประตูพระราชวังจนมันพังลง!! ณ บัดนี้มันเปิดโล่งรอให้เหล่าฝูงชนและทหารฝรั่งเศสผู้บ้าคลั่งทะลวงเข้าไป!!! “ประตูพังแล้ว......... ไปฆ่าพวกมัน!! !!” “เฮ!!!!!!!!” “เฮ้ย หยุดก่อนวิ่งเข้าไปแบบนั้นก็ตายพอดี!!” เหล่าฝูงชนฝรั่งเศสที่โกธรแค้นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พวกเขาต่างวิ่งกรูเบียดเข้าไปในประตูหวังจะเขาไปฆ่าล้างทำลายเชื้อพระวงศ์ให้เรียบ โดยไม่ฟังคำทัดทานของทหาร!!...... เหล่าองครักษ์สวิสตั้งแถวเป็นหน้ากระดาน 3 แถวรอรับการบุกของฝูงชนเรียบร้อย!!........ “แถวแรกยิง!!!” ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ๊ากกกก โอ๊ยยยย!!! ฝูงชนที่วิ่งเข้าไปเจอห่ากระสุนพุ่งเข้าใส่ล้มตายไปกันระเนระนาด!! “แถว 2 ยิง!!” ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ การยิงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและว่องไว ทำให้ไม่มีฝูงชนสามารถฝ่าเข้ามาได้ ถูกยิงเอายิงเอาจนล้มระเนระนาดศพกองสุมกันหน้าพระราชวัง!!! .”ปัดโธ่ เว้ยไม่ฟังกันเล๊ย....!! จ่า เตรียมกระสุนลูกปราย!! ” นายทหารปืนใหญ่ร่างเล็กนั้นส่ายหัวด้วยความสลดใจ เพราะถ้าเหล่าประชาชนฟังเขาสักนิดคงจะไม่ตายกันเยอะถึงเพียงนี้..... ทาง สาววัยรุ่น ที่พ่อแม่พึ่งโดนฆ่าตายไปมาดๆ ดูเหมือนเธอกำลังได้สติ......... ในตอนนี้จิตเธอเต็มไปด้วยความแค้น!! ความอยากเข่นฆ่าเหล่าทหารสวิส!! เธอหันกลับมองยังกลุ่มทหารสวิสด้วยนัยน์ตาที่ดุดัน.....และพอดีเธอก็เหลือบไปเห็น กระบี่ของนายทหารปืนใหญ่ร่างเล็กคนนั้น ซึ่งเขายืนอยู่ใกล้นางสุด!!! ยังไม่ทันที่เขาจะทำอะไรต่อ....สาววัยรุ่นก็แอบชักกระบี่ของนายทหารร่างเล็กผู้นั้นวิ่งตรงไปยังประตูพระราชวังที่กำลังมีฝูงชนหลายสิบกรูเข้าไป!!! “ไปตายซะ......ไอ้พวกต่างด้าว!!!!” นายทหารคนนั้นตกใจรีบวิ่งตามนางไป!!! “เฮ้ย จะบ้าเหรอกลับมา!! นายทหารร่างเล็กผู้นั้นกระโจนเข้าใส่หญิงสาวคนนั้นทันทำเอาล้มลงไปทั้งคู่...หญิงสาวนั้นดิ้นสุดฤทธิ์ให้พ้นจากแรงกดทับของ ทหาร!! “ปล่อยฉันน!! ปล่อยเดี๋ยวนี้น่ะ.....ฉันจะไปฆ่าพวกมัน!!” “อย่าโง่ไปหน่อยน่า ดูซะ......” นายทหารนั้นมองไปทางประตูพระราชวัง ซึ่งทำให้หญิงสาวคนนั้นมองตาม ภาพที่เธอเห็นคือชาวบ้านมากมายที่กรูกันเข้าไปถูกทหารองครักษ์สวิสยิงใส่เอาใส่เอาจนล้มระเนระนาด ดูแล้วถ้าเธอวิ่งเข้าไปคงเป็นเหยื่อคมกระสุมเช่นกัน!!........ ในขณะเดียวกัน ทาง นายพลลาฟาแยตผู้นำกองทัพฝรั่งเศส ก็สั่งให้ทหารกันชาวบ้านออกไป!!... “ต่อไปนี้กองทัพรับหน้าที่ต่อเอง!! ยิงปืนใหญ่อัดเลย!!” “ครับ!!” ยิง!!!!! ตูมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมม เฟี้ยวววววววววว ปืนใหญ่ ราวๆ 2 – 3 กระบอกพ่นกระสุนลูกปรายนับร้อยออกไป!! “อ๊ากกกกก......... โอ๊ยยยยยยยย!!” เหล่าทหารสวิสต้องกระสุนลูกปรายบาดเจ็บล้มตายนับสิบ ที่เหลือหาที่หลบกันเอาตามกำแพงและระเบียงพระราชวัง!!! “ยิงกดดันมันไปเรื่อยๆ อย่าให้มันตั้งตัวได้!!!........ผู้กอง เนย์ เอาทหารม้าบุกเข้าชาร์จเลย!!” “ครับ!!” ผู้กองเนย์ นำหมวดทหารม้าของเขาวิ่งเข้าไปบุกตะบัน เหล่าองครักษ์สวิสที่ตอนนี้ยังไม่ทันตั้งตัว เหล่าทหารสวิสมากมายเจอทหารม้าฝรั่งเศสไล่ฟันจนแตกกระเจิง เป็นจังหวะให้เหล่าทหารและประชาชนวิ่งกรูกันเข้าไปในพระราชวังอย่างกับน้ำหลากไม่มีอะไรมาหยุดกระแสปฎิวัติอันรุนแรงนี้ได้แล้ว ถึงคราวที่ราชวงศ์ฝรั่งเศสจะดับสูญ
....... ทาง นายทหารร่างเล็กลุกขึ้นมา... และยื่นมือลงไปให้ สาวน้อยจับ... “เอ้า ลุกขึ้นมา.....” สาวน้อยมองหน้าของนายทหารร่างเล็กด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก จะโกธรก็ไม่เชิง จะเศร้าก็ไม่ จะขอบคุณก็ไม่ ...... แต่นางก็จับมือของนายทหารผู้นั้นขึ้นมา...... “ขอของข้าคืนหน่อย......” “โอ๊ะ ขอโทษค่ะ....” แน่นอนว่าเขาหมายถึงกระบี่ .... สาวน้อยรีบคืนกระบี่ให้กับนายทหารผู้นั้น เขามองมันพลางพลิกไปพลิกมาเพื่อดูความเสียหายก่อนจะเก็บมันเข้าฝัก.... สาวน้อยยังยืนตัวทื่อด้วยความทำอะไรไม่ถูกในตอนนี้การปฎิวัติของประชาชนได้ฆ่าพ่อแม่ของเธอไปแล้ว มิหนำซ้ำเธอยังขโมยกระบี่ของนายทหารไปใช้อีก..... นายทหารร่างเล็กนั้น ดูจะสนใจในตัวแม่สาวน้อยผู้นี้ไม่น้อย.....เพราะเอาตรงๆเธอก็ถือว่าสวยใช้ได้เหมือนกัน.... .”เธอนี้ช่างกล้าหาญเสียจริงๆ....กล้าขโมยดาบของนายทหารไปต่อหน้าต่อตา....อะไรดลใจให้เธอทำอย่างนี้ฮะ แม่สาว!!” “……….คือ...................ฉันอยากจะฆ่าพวกมัน............ฉันอยากจะฆ่าพวกมัน!!............พวกมันฆ่าพ่อแม่ของฉัน!!” พูดจบนางก็ก้มหน้าลงและร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง!!! มันแค่ช่วงพริบตาเท่านั้นที่พ่อของแม่พวกเธอตายไปต่อหน้าต่อตา... ชั่ววูบที่เธอกล้าตัดสินใจทำอะไรบ้าๆแบบนั้น เพื่อแก้แค้น.... นายทหารนั้นได้คำตอบ ครบถ้วนโดยไม่ต้องถามต่อ สีหน้าอันดูจริงจังในตอนแรก เปลี่ยนเป็นสงสารแทน “............ข้าเข้าใจล่ะ...........” นายทหารคนนั้นตบไหล่นางเบาๆและกำลังจะเดินกลับ..... “เดี๋ยวก่อนค่ะ.......ผู้กอง” “มีอะไรเหรอจ๊ะ...แม่สาว…” “ฉันอยากจะเข้าร่วมกองทัพ!!” “เธอว่าไงน่ะ.....” ผู้กองนายนั้นตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนี้เข้าหูมา... เขาหันกลับมาหาหญิงสาวด้วยความสนใจ!! “ในตอนนี้พ่อกับแม่ฉันตายแล้ว ฉันยังไม่มีงานทำ......และๆๆๆ....ฉันอยากจะใช้อาวุธเป็น...........” “เออ คือว่า......” “ฉันอยากปกป้องชาวฝรั่งเศส!!!!! ปกป้องเหล่าประชาชนไอ้พ้นจากเงื้อมมือของอำนาจชั่ว!! ฉันไม่อยากให้ใครมาเจอเหตุการณ์แบบนี้!!!” คำพูดของเธอนั้นดุดัน และแฝงไปด้วยพลังแห่งความแค้น อุดมการณ์อันแรงกล้า........ทำให้นายทหารหนุ่มนายนั้นดูพออกพอใจ เขาเดินเข้าไปหานางใกล้และตบไหล่นางแรงๆ!! “งั้นก็ ยินดีต้อนรับสู่กองทัพ!!!.........ว่าแต่ เจ้าชื่ออะไรล่ะ” “ดิออน ค่ะ..... มาร์ควิส ดิออน เลอแคลค์” “ผู้กอง นโปเลียน โบนาร์บาร์ต ยินดีที่ได้รู้จัก” . . . . .
ค่ายทหารฝรั่งเศส , ถนน ลูยอง , ปารีส , ฝรั่งเศส คืนวันนั้น
เหล่ากองทัพฝรั่งเศสต่างพักแรมในเมืองด้วยค่ายลวกๆที่ตั้งขึ้นใจกลางถนน ทหารส่วนใหญ่นั้นกางเต็นท์และนอนกลางถนน ส่วนบรรดานายทหารนั้นก็นอนตามตึกซึ่งส่วนใหญ่ประชาชนก็อนุญาตอยู่แล้ว ก็เพราะพวกเขาพึ่งช่วยประชาชนมาหมาดๆ... ในตอนนี้เหล่าทหารของประชาชนต่างฉลองกันอย่างมีความสุขหลังขับไล่ทรราชย์ออกจากปารีสไปได้ ..... พวกเขาต่างขับร้องเพลงและดื่มด่ำกับสุราและสาวชาวบ้านฝรั่งเศสที่มาร่วมฉลองกับพวกเขา ณ ตึกหลังหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นโรงเตี๊ยม .....หน้าตึกนั้นมี ปืนใหญ่เรียงราย 4 – 5 กระบอก พร้อมทหารยามยืนเฝ้ามันอย่างขึงขัง ดูแล้วนายทหารปืนใหญ่น่าจะจองตึกๆนี้ไว้สำหรับพักแรม......ภายในห้องของโรงเตี๊ยมนั้นเป็นห้องนอนธรรมดาๆที่ชาวบ้านเอาไว้นอน..ไม่มีอะไรหรูหรา มีเพียงเตียง 2 เตียง ในห้องกว้างๆ แล้วก็มีตู้ ที่แขวนเสื้อ กระจก และตะเกียงไฟไว้ในห้องเท่านั้น..... ภายในห้องก็มีนายทหาร 2 คนกับ สาวน้อยอีก 1 คน นั่งอยู่บนเตียง ด้วยสีหน้าอันเงียบขรึมทำอะไรไม่ถูก.... ส่วนนายทหาร 2 คนนั้นก็คุยกันอย่างเมามัน “เฮ้ย นโปเลียน แกบ้าเปล่าว่ะ พาผู้หญิงเข้าค่ายมาด้วยเนี่ย!!...ถ้า ผู้พันมาเห็น แกโดนเล่นงานแน่” “เออ ไม่โดนหรอก ช่วงนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย กฎเกณฑ์มากมายกำลังถูกเปลี่ยน......... และบางทีมันอาจถึงเวลาที่ให้เหล่า สตรีมาเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพ” “แกชอบน้องเขาอ่ะสิ นโปเลียน ฉันรู้น่ะแกคิดอะไรอยู่.....” “ฉันไม่ได้หื่นแบบ แกน่ะ ฌอง!!.... ก็นางบอกอยากเข้ากองทัพ ข้าก็จัดให้ตามที่ขอ... “นั้นๆดูสินางเงียบเชียว ไปชวนนางคุยหน่อยดีกว่า.....” “นี้ ดิออน” นโปเลียน เรียก ดิออน ที่นั่งอยู่บนเตียงทำเอานางสะดุ้งและหันกลับมามองนายทหารทั้ง 2 ที่ในตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน....เผยให้เห็นสรีระอันดูแข็งแกร่งของชายชาติทหาร ทำให้เธอใจหวิวเล็กน้อย “เอ๋...เดี๋ยวนามสกุล เลอแคล นี่มันตระกูลขุนนางเก่านิน่า.....แกคุ้นๆไหม” “ใช่ ....... ตอนเด็กๆเคยได้ยินนิทานที่คุณตาเหล่า เรื่ององครักษ์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 อัศวินตระกูลเลอแคล อะไรสักอย่างเนี้ยล่ะ” “ใช่ค่ะ.....บรรพบุรุษของฉันแต่เดิมเป็น ตระกูลของอัศวินมาก่อน.....พวกเรารับใช้กษัตริย์ฝรั่งเศสมาหลายชั่วอายุคน!!” “ว้าวเรื่อง เล่าน่าสนจัง” ทั้ง 2 นายทหารหนุ่ม ต่างลงไปนอนบนเตียงที่ดิออนนั่งอยู่ พลางเงยหน้ามามองนางด้วยความสนใจ!!..... นางก็ตกใจเล็กน้อย แต่ก็เล่าต่อ “แต่เมื่อสัก 100 ปีก่อนได้ พอถึงสมัยของหลุยส์ที่ 14….. มันได้ลดอำนาจของเหล่าขุนนางลง... รวมถึงทวดของข้าด้วย..... ทวดของข้าโดนข้อหาฉ้อโกงทรัพย์และโดนปลดจากทุกฐานันดรกลายเป็นชนชั้นล่างในที่สุด......ตระกูลของข้าเลย อับจนมาตั้งแต่นอน ....... พวกบูบอง พวกราชวงศ์ชั่วพวกมันสมควรแล้วที่ต้องล่มสลาย!!” เมื่อพูดจบแล้วน้ำตานางก็ไหลพรากอีกครั้ง ....นางพูดด้วยความเจ็บปวดจากเบื้องหลัง ชีวิตของนางนั้นพังลงด้วยราชวงศ์อันชั่วร้ายของฝรั่งเศสมาถึง 2 ครั้ง ....... นโปเลียน ได้ยินเรื่องของนางแล้วก็สงสารยิ่งนัก เขามานั่งข้างนางพลางจ้องหน้านางด้วยแววตาอันดูเห็นใจ ในขณะที่เพื่อนของเขา ฌอง นั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “นี่ ดิออน.........” “คืนนี้ โบน์บาร์ต ได้แอ้มสาวแล้วเว้ยยยย!!....” “เงียบน่า มึงเดี๋ยวปั้ด.... “ไปก็ได้ ไม่กวนล่ะ จะแอบดูอยู่ห่างๆ อิอิ..” พูดจบ ฌอง ก็เดินออกจากห้องไป....ปล่อยให้ นโปเลียน กับ ดิออน อยู่กัน 2 ต่อ 2!! “ดิออน... เจ้าอย่างกลับมารับใช้ ฝรั่งเศสอย่างเต็ม ภาคภูมิไหม.... อยากกลับมาเป็น องครักษ์ของชาตินี่อีกครั้งไหม!!” “อยากค่ะ ผู้กอง!!” “……ได้ งั้นข้าจะให้เจ้ารับใช้กองกำลัง National Guards….. กองกำลังเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นใหม่!! รับหมดทุกคน ทุกเพศทุกวัยที่รักชาติ!! และข้านี่แหละเป็นผู้ควบคุมดูแลมันเอง!! ข้าขอถามอีกครั้งว่าเจ้าอยากเข้าร่วมมันไหม!!” “เพื่อฝรั่งเศส ฉันทำได้ทุกอย่าง!!” “ดีมาก!!....... นอนพักผ่อนให้เพียงพอ พรุ่งนี้ เวลา 0630!! ณ ถนนลูยอง ทราบ!!” “ทราบ ค่ะ!!” “ฝันดี ทหาร!!” พูดจบ นโปเลียน ก็ลุกขึ้นมาปล่อยให้ ดิออน นอนยิ้มหวานอยู่บนเตียง!!.... เธอกำลังจะได้เดินตามรอยบรรพบุรุษของเธออีกครั้ง เธอกำลังจะได้เป็นทหาร!! ในขณะที่ ผู้กอง นโปเลียน นั้นก็ดีใจเช่นกัน ที่เขากำลังจะได้กองกำลังเพิ่มมาอีกคน เขาเดินออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขแต่แฝงไปด้วยความทะเยอทะยาน.... ทาง ฌอง ที่ยืนรอหน้าห้องนั้น ทำสีหน้างงเล็กน้อย “เสร็จแล้วเหรอว่ะ” “เออ นางเสร็จแล้ว..” “เฮ้ย!!! เร็วเกิน!!” “กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ไอ้เงี่ยนนน..... . .. . .. เวลา 0630.....น. ถนน ลูยอง
ณ ใจกลางจัตุรัสถนนลูยอง ซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายทหารฝรั่งเศส .... ที่นี่ ต่างมีคนหนุ่ม เด็กวัยรุ่น ยันคนชรา มาชุมนุมมากมายหลายร้อย ซึ่งเบื้องหน้าเข้านั้นมีเวทีไม้ซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างลวกๆ เหล่าฝูงชนต่างจอแจๆกันอยู่ มีเพียง ดิออน เท่านั้นที่ยืนนิ่งอย่างใจจดใจจ่อ... ทันใดนั้นก็มีผู้กองคนหนึ่งขี้นมาบนเวที เขาสวมหมวก Bicorne ใบเขื่อง พร้อมด้วยเครื่องแบบสีน้ำเงินเสื้อในขลิบขาวเต็มยศห้อยกระบี่ฝักสีทองยาวงาม เขาจะดูสมาร์ทมากถ้าไม่ติดว่าตัวเตี้ยไปนิด ....ไม่ต้องสงสัยแน่นอนว่าชายคนนี้คือ ผู้กอง นโปเลียน........ เขานำมือทั้ง 2 ข้างไพล่หลังก่อนจะกล่าวพูดกับฝูงชน ที่จ้องมองมา.... “เหล่าประชาชนฝรั่งเศสทั้งหลาย ในยามนี้บ้านเมืองมีภัย!!! เหล่าราชวงศ์ฝรั่งเศสที่ชั่วร้ายนั้นได้เรียกพรรคพวกของมันมาช่วย ตอนนี้ อังกฤษ สเปน ออสเตรีย และ ปรัสเซีย ประกาศสงครามกับเราแล้ว และยังมี พวกนิยมกษัตริย์มากมายกำลังรวมตัวกันเพื่อขับไล่พวกเรากองทัพประชาชน!! เพื่อทำลายล้างระบอบเสรีภาพ...และนำมาระบอบกษัตริย์กลับมาอีกครั้ง!!” เราฝูงชนต่างซุบซิบ กันมากมายนอกจากชาติมหาอำนาจทั้ง 4 แล้ว ยังมีศึกภายในอีก!!.... นี้มันหายนะชัดๆกองทัพฝรั่งเศสจะไปสู้ไหวไหม!! “แต่พวกเรา........พวกเราคือฝรั่งเศส ฝรั่งเศสคือประชาชน พวกท่านจะยอมให้พวกชั่วช้านั้นกลับมามีอำนาจอีกหรือไม่!!” “ไม่!!” “ไม่!!” “พวกเราอยากเห็นบ้านเมืองลุกเป็นเพลิงด้วยฝีมือทหารต่างชาติและนองเลือดไปด้วยชาวฝรั่งเศสหรือไม่!!” “ไม่!!” “ไม่!!” “กษัตริยไปตายซะ!!” “ใช่เพราะฉะนั้น พวกเราทุกคน พวกเราทุกคนมีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินนี้ ปกป้องมันให้พ้นจากภยันตรายทั้งปวง ปกป้องมันจากทรราชย์บูบอง!! ………….. ภายใต้การนำของข้า นโปเลียน โบนาร์บาร์ต!! ข้าจะฝึกพวกท่านให้กลายเป็นนักรบ!! ฝึกพวกท่านให้เป็นทหารเต็มตัว!! ไม่มีแบ่งแยกชนชั้น!! เพศ หรือ การศึกษา เพราะพวกเราคือ ประชาชน!!” “ใช่!!!” “ฝรั่งเศสจงเจริญ”” “เสรีภาพจงเจริญ!!” “พวกต่างชาติออกไป!!” เหล่าฝูงชนนั้นโห่ร้องด้วยความคึกคะนอง!! พกวเขาพร้อมต่อสู้เพื่อกองทัพแล้วในตอนนี้..... รวมถึงตัว ดิออน ที่ยิ้มกริ่มอย่างดีใจ... ส่วน นโปเลียนนั้นก็ยิ้มอย่างดีอกดีใจที่การกล่าวสุนทรพจน์ของเขานั้นเป็นไปได้ด้วยดี... ในขณะที่ นายพล ลาฟาแยต และ นายทหารระดับสูงคนอื่นๆเฝ้ามองเขาอยู่ห่างๆ.. “ไอ้หนุ่มนี่เก่งน่ะ....” “ใช่ เหมาะไปเป็นนักการเมือง.....” . .. . การฝึกของเหล่า National Guards ก็เริ่มขึ้นนับแต่นั้น . .. . กันยายน ค.ศ. 1792
ยิง!!!!!!!!!!! ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ “เยี่ยมพลาดหมดเลยไม่ไปไรเอาใหม่!!” พฤศจิกายน ค.ศ. 1792
“วิ่งให้มันเร็วๆกว่านี้หน่อยสิ ดิออน เต่าออสเตรีย ยังวิ่งเร็วกว่าเธอเลย!!” “ค่ะ!!” มกราคม ค.ศ. 1793
“เฮ้ เหล่า National Guards ทุกนาย!! ข่าวด่วนจาก ปารีส พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 โดนประหารแล้ว!!” “เฮ้!!!!” “ไปตายซะ ไอ้ปีศาจ!!” เมษายน ค.ศ. 1793 “ดีมาก ดิออน ยิงถูกเป้า 7 เป้า จาก 10 เป้า ฝีมือพัฒนามากน่ะ” “ขอบคุณค่ะ ผู้กอง” มิถุนายน ค.ศ. 1793 “ดีมากเดินสวนสนามได้พร้อมเพรียง สง่างามยิ่งกว่ากองทัพปรัสเซียซะอีก... ในตอนนี้พวกท่านมีระเบียบวินัยยิ่งกว่าทหารอาชีพซะแล้วรู้ตัวไหม” “ขอบคุณครับ ผู้กอง!!” “เพราะ ผู้กอง นโปเลียนเราถึงได้แกร่งขึ้นเช่นนี้!!” จนกระทั่ง สิงหาคม ค.ศ. 1793 “ทุกท่าน.....เมื่อ อาทิตย์ก่อน ไอ้พวกนิยมกษัตริย์มันได้เปิดทางเรือรบอังกฤษให้เข้ามาใน อ่าวตูลอง!! ตอนนี้พวกมันยึดอ่าวตูลองไว้ได้!! พวกอังกฤษกำลังซ่องสุมกำลังพลใต้จมูกเรา และตัดเส้นทางการค้าขายของเรา!!....เพราะฉะนั้น กองทัพประชาชนของเรา จึงมีหน้าที่ที่จะขับไล่พวกมันให้ออกไปจากมาตุภูมิ!!! …” “พวกอังกฤษ!!” “ศัตรูตลอดกาลของเรา!!” “ในตอนนี้ท่านนายพล ลาฟาแยต ได้สั่งการณ์แล้วให้ทุกคนเก็บข้าวของภายใน 12 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้น พวกเราจะเดินไปยัง ตูลอง กันไปเตะพวกเสื้อแดงให้ตกทะเลไปเลย!!” “เฮ!!!” “เฮ!!!” …….
ตูลอง , ฝรั่งเศส , 29 สิงหาคม ค.ศ. 1793
ในตอนนี้นายพล ลาฟาแยต ต่างเรียกประชุมเหล่านายทหารน้อยใหญ่ให้เข้ามาที่เต็นท์เพื่อวางแผนการรบ... ซึ่งดูเหมือนเหล่านายพลจะคิดหนักมาก เพราะพวกอังกฤษนั้นได้ชัยภูมิดีเหลือเกิน ทาง ลาฟาแยต นั้น นั่งกุมขมับพร้อมมองไปด้วยแผนที่อ่าว ตูลอง ด้วยความกังวล “ที่หน้า อ่าวตูลอง มีเนินเขา Faron ตั้งขวางอยู่ มันปิดเส้นทางทางตะวันออก และ เหนือไว้ไม่ให้เราเข้าไปได้ แถมบนเนินนั้นยิงมีค่ายอังกฤษที่ตั้งมั่นคงอีก.....” “ทางตะวันตกล่ะท่าน....” “เป็น เนินสูงๆต่ำๆมากมายหลายสิบเนิน บุกไปตรงนั้นเราจะล่าช้าและตกเป็นเป้าง่าย....” “ขออนุญาตทุกท่านน่ะครับ ขออนุญาตครับท่านนายพล..” อยู่ดีๆก็มีเสียงดังมากจากท้ายเต็นท์ ซึ่งเป็นที่ที่นายทหารยศผู้หมวด ผู้กองยืนอยู่ แน่นอนเหล่าผู้พันทั้งหลายรวมถึง นายพล ลาฟาแยต หันไปมองต้นเสียงนั้นเป็นสายตาเดียวกัน เจ้าของเสียงนั้นคือ ผู้กอง นโปเลียน นั้นเอง... “ว่าไง ผู้กอง โบนาร์บาร์ต คุณมีความเห็นอย่างไร” ทางนายพล ลาฟาแยต ถามเขาอย่างไม่ถือตัว ทาง นโปเลียนนั้น รีบแทรกตัวเข้ามาตรงกลางวงโต๊ะแผนที่..... ซึ่งอาจจะทำให้นายทหารระดับสูงบางคนหมั่นไส้บางแต่ก็ขัดไม่ได้ ..... ทาง นโปเลียนนั้นใช้เวลามองพิจารณาแผนที่นั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา “….งั้นเราก็บุกยึดเนินเขา Faron ตรงๆเลยครับ ถ้ายึดมันได้ ปืนใหญ่บนเนินจะระดมยิงใส่เรืออังกฤษที่ลอยคออยู่นอกอ่าวโดยไร้การตอบโต้... และพวกมันก็จะถอยไปเอง” “แล้วจะยึดยังไงล่ะ กองทัพมันตั้งอยู่ที่นั้นน่ะ” “…… ใช่กองร้อยปืนใหญ่สัก 2 กอง ไปตั้งทางทิศตะวันตกของ ตูลอง...... ระดมยิงใส่ท่าเรือจากจุดนั้นหันเหความสนใจให้พวกมันคิดว่าเราจะเข้ายึดท่าเรือมันทางตะวันตก...แต่แท้จริงแล้วเราจะบุกป้อม” “ป้อมมันสูงและแข็งแกร่งมากน่ะ ผู้กอง คิดว่าล่อทหารอังกฤษไปทางแล้วใช้กำลังเราทั้งหมดทุ่มเข้าตีป้อมแล้วมันจะแตกงั้นรึ!! มันต้องใช้เวลาอย่างต่ำสักอาทิตย์ในการเข้าตี แต่นี่ไม่ถึงวันหรอกทหารอังกฤษมันก็รู้แล้วว่าโดนหลอก มันได้ย้อนกลับมาขนาบข้างเราแน่!!” “แต่ปืนใหญ่ของเราจะทำลายมันลงได้ในเวลา 5 ชั่วโมง” “5 ชั่วโมง!!!! ปืนใหญ่ที่ไหนจะทำแบบนั้นได้!!” “ปืนใหญ่ของผมไงล่ะ ท่านนายพล ผมรับรองได้ว่าจะทำลายมันได้ภายใน 11 โมงเช้าของวันพรุ่งนี้!!” “…………….อะไรทำให้คุณมั่นใจขนาดนั้นฮ่ะ ผู้กอง” “คณิตศาสตร์ครับ.....” นายพล ลาฟาแยต ทำหน้าฉงนเมื่อได้ฟังคำของผู้กองหนุ่ม ในหัวเขาได้แต่สงสัยทำไมไอ้ผู้กองนี้มันถึงมั่นใจนักว่าจะทำลายป้อมได้!! “เออ..........เอาเป็นว่า ผมจะพิจารณาแผนของคุณอีกที่ ผู้กองโบนาร์บาร์ต .....” “ขอบคุณครับ ที่ให้โอกาสผม....” . . . . .. .”นโปเลียนนี่แกกำลังทำลายอนาคตของตัวเองอยู่ แกรู้ตัวไหม!!” “ข้าคิดว่าข้าทำได้!!!! และถ้ามันสำเร็จ!! ข้าดังแน่!!” หลังการประชุม ทาง นโปเลียน ได้มาเถียง เพื่อนรักของเขา ฌอง เมสซานา ภายในเต็นท์นายทหารปืนใหญ่.... แน่นอนว่า ฌอง เป็นห่วงการกระทำอันบุ่มบ่ามของนโปเลียน ในขณะที่ นโปเลียนนั้นก็กำลังไขว้คว้าวาสนาอย่างไม่ลืมหูลืมตา “รู้ไหมว่าจะทำยังไงถึงได้ดิบได้ดี ในกองทัพ...แกต้องหุบปาก และ ฟังผู้บังคับบัญชาของแก เข้าใจไหม!!” “ใช่ แต่ในตอนนั้นทุกคนเงียบหมด ฉันเลยพูดออกมาไงล่ะ ฉันทำผิดตรงไหน!!” “โธ่ เอ๊ย โบนาร์บาร์ต แกก็รู้ว่าจะโดนเขม่น!!....แกนี่มัน หัวดื้อจริงๆ....พูดอะไรไม่เคยฟังเลย!!” “โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ฌอง โลกนี้ต้องการคนที่กล้ามากกว่าคนที่อยู่ใน กะลา....” “ขอประทานอภัยน่ะค่ะ” อยู่ดีๆก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งแทรกเข้ามา......... นางคือ ดิออน นั้นเอง ซึ่งเพิ่งจะเดินเข้าเต็นท์มาได้เมื่อครู่..... “มีอะไร ดิออน....” “คือ ท่านนายพล อยากไปฟังรายละเอียดแผนของท่านตัวต่อตัวในเต็นท์ของท่านในเวลา บ่าย 3 โมง ค่ะ ..” “ ข้าบอกแล้วมันต้องได้ผลลลลลลล!!! ให้มันได้ยังงี้ดิ!!” นโปเลียนดีใจเป็นเจ้าเข้าเมื่อ ทราบว่านายพล ลาฟาแยต นั้นสนใจในแผนการรบของเขา เขานั้นกระโดดโลดเต้นไปมา..... พลางไปกอด ฌอง ที ดิออน ที.......ทาง ดิออน นั้นทำหน้าเขินเล็กน้อยก่อนนางจะพูดออกมา “ขออนุญาตถามคำถามค่ะ ผู้กอง” “มีอะไรว่ามา ดิออน...” “….คือ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ ฉันได้ออกรบ...ใช่ไหมค่ะ??” “เออ....ก็ใช่สิ.....แล้วเธอเคยรบที่อื่นด้วยหรือ” “คือ.........ฉันรู้สึกกลัว.......” ดิออน เหล่ตาลงพื้นราวกับมากล้าจ้องหน้านโปเลียนแม้ในตอนแรกเธอจะมีอุดมการณ์อันแรงกล้าอยากเป็นทหารแต่เมื่อถึงเวลาที่จะออกศึกจริงเธอกลับกลัวขึ้นมา.... นโปเลียนเชยคางของ ดิออน ขึ้นพลางจ้องเขาไปนัยน์ตาของนาง “จำคำข้าไว้ดิออน........ เมื่อไหร่ที่เจ้ารู้สึกกลัว...จงนึกไว้ว่ามันเคยทำอะไรไว้กับ ตระกูลของเธอ เมื่อนั้นเธอจะกล้าเอง” “ค่ะ..... ผู้กอง ขอบคุณค่ะ” ทาง ดิออน นั้นยิ้มอย่างมีกำลังใจ......และออกจากเต็นท์ไป.. เธอนั้นยิ้มกริ่มเดินขวักไขวไปมาหน้าเต็นท์ หัวใจของเธอนั้นเต็นท์แรงทุกครั้งเมื่อเข้าใกล้ นโปเลียน...หรือว่า ตอนนี้เธอจะแอบชอบผู้กองของเธอซะแล้ว!!..... กองบัญชาการทหารฝรั่งเศส อ่าวตูลอง เวลา 0555 น. มาบัดนี้กองทัพฝรั่งเศสประชาชนฝรั่งเศส เตรียมพร้อมทำศึก..... เหล่าทหารราบและ National Guards ราวๆ 20,000 นาย กำลังยืนแถวอย่างเป็นระเบียบเตรียมพร้อมบุกตะบันไปข้างหน้า.....ปืนใหญ่และทหารม้าก็พร้อมเช่นกัน ทาง นายพล ลาฟาแยต นั้น อยู่บนหลังม้าสีขาวพร้อมกับ ดูนาฬิกา ในขณะที่ผู้พันของเขานั้นบ่นออกมา “ท่านคิดได้ยังไง ไปฟังแผนไอ้ผู้กองจบใหม่ อายุพึ่ง 24 เนี่ยน่ะ!!” “แล้วเรามีแผนดีกว่านี้ไหมล่ะ.....” “ไม่มี...........” “เอาล่ะ เวลา 0600 เริ่มเปิดฉากยิงได้.........!!!!!!!! “ ทางนายพล ลาฟาแยต ส่งสัญญาณให้พลสัญญาณโบกธงสีแดงไปยัง เนินเขาทางตะวันตก ซึ่งมีกองร้อยปืนใหญ่ 2 กองร้อย พร้อมปืนใหญ่ราวๆ 30 กระบอกตั้งอยู่!! แน่นอนว่ามันเป็นการบอกให้พวกเขาเปิดฉากยิง!! “ยิงได้!!!” ตูมมมมมมมมมมมม!!! เฟี้ยววววววววววว ตูมมมมมม ตูมมมมมมมมมมม ปืนใหญ่กว่า 30 กระบอก เปิดฉากยิงใส่ท่าเรือ ตูลอง….ทำเอาเหล่าทหารอังกฤษนั้นตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ!! พวกเขาต่างงัวเงียและงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางนายพลอังกฤษ Sir William Hood ออกมา ดูสถานการณ์ด้วยตนเองทั้งๆที่ ยังใส่ชุดนอนอยู่......! “บ้า เอ๊ย!!!! พวกฝรั่งเศส” “พวกมันโจมตีจากทิศตะวันตกครับ!!” “ไหน..........!!!” ทาง นาย Hood ใช้กล้องส่องทางไกลมองไปยังเบื้องล่างทางทิศตะวันตก ก็เห็นแสงกัมปนาทจากปืนใหญ่ ยิงใส่เรือรบของอังกฤษที่ลอยลำอยู่ในอ่าว นอกจากนี้ยังเห็นทหารราบฝรั่งเศส...ไม่ทราบจำนวนกำลังมุ่งเดินมายังท่าเรือ ด้วยชัยภูมิที่เป็นเนินสูงๆต่ำๆ ทำให้ฝ่ายอังกฤษนั้นคาดเดาไม่ได้ว่า ฝรั่งเศสนั้นมีเท่าไหร่กันแน่!! ….. “พวกมันกำลังมุ่งหน้าที่ไปท่าเรือครับ!! ท่ามันยึดเรือเราได้ เราหมดทางหนีแน่!!” “ส่งทหาร 10,000 นายไปสกัดมันซะระดมยิงปืนใหญ่ใส่พวกมันทำให้พวกมันแตกกระเจิง” ทหารอังกฤษกว่าหมื่นนายเดินออกจากค่ายอย่างเป็นระเบียบพวกเขามุ่งหน้าไปทางตะวันตก เพื่อสกัดการบุกของฝรั่งเศส!!!! แต่หารู้ไม่ว่านั้นคือการตีลวง!
กองบัญชาการฝรั่งเศส เวลา 0700 น. นายพลลาฟาแยต นั้นใช้กล้องส่องทางไกลดู สถานการณ์ก็พบว่าทหารอังกฤษ ร่วมหมื่นนายเดินออกจากค่ายไปแล้ว.... แผนขั้นแรกสำเร็จ....เหลือแผนขั้น 2 เท่านั้น......ซึ่งขึ้นอยู่กับ นโปเลียน ว่าจะทำได้ตามที่โม้ไหม กองพลทหารปืนใหญ่ 0710 น. ปืนใหญ่ฝรั่งเศส 110 กระบอกกำลังเล็งไปยังป้อมปราการของอังกฤษบนเนิน.... ทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศสนั้นกำลังขะมักเขม้นพร้อมจะพ่นลูกเหล็กออกไปใส่อริราชที่อยู่ด้านบน...แต่ นโปเลียน กำลังทดสูตรคณิตศาสตร์อะไรบางอย่างบนกระดาษ.... “b2 = a2 + b2 sin , cos , tan …… ได้แล้ว!!” เขาเขวี้ยงปากกาลงพื้นพร้อมตะโกนสั่งออกมา!! “มุมเงย 45 องศา............. ยิงถล่มเข้าไปที่ ห้องระหว่างกำแพงตรงนั้นมันเป็นห้อง เก็บดินปืน!!!! ปฎิบัติได้!!” “รับทราบ!!” “ยิงได้!!” เฟี้ยวววววววววววววว ตูมมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมม เฟี้ยวววววววว บรึ้มมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมม ป้อมอังกฤษ เวลา 0720 น. เสียงกัมปนาทของปืนใหญ่นับร้อยกระบอกดังมาจากทางทิศเหนือของค่าย....!!! ลูกเหล็กร้อยต่างพุงเข้ากำแพงหินของป้อมอย่างแม่นยำราวจับวาง!!!!!! มีเพียงนัด 2 นัดเท่านั้นที่หลุดจากเป้า!!! กำแพงหินเริ่มทลายลงมา!! นายพล Hood ตกใจมากรีบมาดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง!! “เฮ้ย ปืนใหญ่มันยิงมาจากทางไหนอีกว่ะ!!” “ทางเหนือครับ!!! ให้เรียกกองทัพกลับมาไหมครับ!!” “ไม่ต้อง เรือสำคัญกว่า!!! ป้อมนี่มันไม่มีทางบุกได้ในวันเดียวหรอก.........เฟี้ยว ตูมมมมมมมมมมมมมม!!!” อยู่ดีๆลูกกระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่งปลิวเข้ามาทะลุห้องนอนของท่านนายพล Hood ทำเอาใจหายใจคว่ำหมด.... ถ้าท่านยังนอนอยู่ท่านน่าจะไปพบพระเจ้าแล้ว ......... กองพลปืนใหญ่ เวลา 0815 น. เวลาผ่านไปราวๆ 1 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าป้อมของอังกฤษนั้นพังทลายลงมาก!!!! กระสุนปืนใหญ่เข้าป้อมเกือบทุกนัด!! และอีกไม่นานคงจะมีกำแพงถล่มลงมา..... ทาง นโปเลียนนั้น มองกล้องส่องทางไกล ไปยังที่ตัวป้อมและก็พบว่าอีกไม่นานมันได้พังครืนลงมาแน่!!....... เขาวิ่งขึ้นไปบนหลังม้าเตรียมควบออกไป ทำให้ ฌอง นั้นสงสัยในการกระทำของเขานัก “เฮ้ย นโปเลียน แกจะไปไหน” “ไปหาความรุ่งโรจน์น่ะสิ..... ฝากดูแลตรงนี้ด้วยน่ะ!!” ว่าแล้วเขาก็ควบออกไป............ ทางทิศตะวันตกของ อ่าวตูลอง เวลา 0828 น. กองพลฝรั่งเศสซึ่งเป็นตัวลวงนี้มีทหารฝรั่งเศสแค่ 2,000 นายเท่านั้น พวกเขากำลังเดินไปอย่างไม่เป็นแถวเป็นแนวไปตามภูมิประเทศอันตะปุ่มตะป่ำ.. มิหนำซ้ำการระดมยิงจากปืนใหญ่อังกฤษบนป้อมทำให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก....... ตูมมมมมมมมมม อ๊ากกกกกกกกกก ตูมมมมมมมมมมมม...... เฟี้ยวววววววววว ตูมมมมมมม ทหารฝรั่งเศสหลายนายเจอลูกเหล็กพุ่งเข้าทะลุลำตัว บ้างเฉี่ยวหัวหลุด แขนขาขาด ศพต่างกองระเนระนาดไปทั่วเนิน พวกเขาก็ยังเดินต่อ จนกระทั่ง....... “พวกอังกฤษ ห่างออกไป 500 หลา!!!!” พลสังเกตการณ์มองเห็นธงชาติอังกฤษโบกไสวอยู่ไวๆข้างหน้ากองทัพของพวกอังกฤษกำลังเดินตรงมาหาพวกเขา!!!.... “ให้สัญญาณถอย!!” พลแตรเป่าสัญญาณถอย ทำให้ทหารฝรั่งเศสกว่า 2,000 นายต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างไม่เป็นระเบียบ!!.... แน่นอนว่าเมื่อทหารอังกฤษได้ยินสัญญาณถอยจากฝรั่งเศสพวกเขาก็ได้ใจ!! “ไล่ตามพวกมัน อย่าให้หนีไปได้!!” ทหารอังกฤษวิ่งไล่ตามล่าทหารฝรั่งเศสที่กำลังแตกทัพด้วยความได้ใจ!!!! โดยหารู้ไหมว่าพวกเขาถูกหลอกกองบัญชาการกองทัพฝรั่งเศส เวลา 0847 น.
นายพล ลาฟาแยต มองดูสถานการณ์ทางตะวันตกด้วยความหวาดเสียวทุกอย่างดูเป็นไปตามแผนแต่ก็ยังคงเสี่ยง นโปเลียน นั้นควบม้าตรงมาหาท่าน นายพล ลาฟาแยต และเข้าปรึกษากับ นายพล ทันที!! “ท่านนายพลครับ ผมขออนุญาตนำทหารทั้งหมดเข้าตีป้อมโดยพลัน!!!” “แต่ป้อมยังไม่แตกเลยน่ะ ผู้กอง!!” “อีกไม่นานเกิน 20 นาทีแน่ครับ!! ขออนุญาตนำกำลังทั้งหมดเข้าตีครับ!!” นโปเลียนพูดด้วยความมั่นใจอย่างเต็มอกไม่มีลดละ.. ทำเอา นายพล ลาฟาแยต ยอม เพราะตั้งแต่เริ่มแผนมามันก็เป็นไปตามที่ นโปเลียนคาดทุกอย่าง… “เออ ก็ได้!!” “ขอบคุณครับ!!!” พูดจบ นโปเลียนควบม้าไปนำหน้ากองกำลัง National Guards และทหารฝรั่งเศสกว่า 20,000 นาย ที่ รอเข้าตีป้อม เข้าถือ ธงชาติไตรรงค์ฝรั่งเศสขึ้นมาพลางโบกสะบัดไปมาด้วยความฮึกเหิม “เหล่ากองทัพประชาชนแห่งฝรั่งเศส ในบัดนี้ศัตรูของท่านใกล้แตกพ่ายแล้ว!!! จงตามข้าพเจ้ามา บุกไปข้างหน้า เพื่อชัยชนะ!!!” “เฮ!! เฮ!! เฮ!!!”
ว่าแล้วกองทัพฝรั่งเศสก็พุ่งทะยานออกไปข้างหน้าด้วยความบ้าคลั่งพวกเขากำลังบุกขึ้นเนินที่มีป้อมอังกฤษอันแข็งแกร่งตั้งอยู่ ป้อมอังกฤษ เวลา 0902 น.นายพล Hood กำลังกระหยิ่มยิ้มอย่างได้ใจเมื่อเห็นกองทัพอังกฤษกำลังไล่ตะเพิดกองทัพฝรั่งเศสที่กำลังหนีหางจุกตูด!!! ทางตะวันตก..... “หึหึ มันก็แค่นี้แหละ ไอ้พวกลูกหมา...” “ท่านนายพลครับ ดูนั้น…..” “ไหน..........” นายทหารของเขาคนหนึ่งชี้ไปยังทิศเหนือของค่าย และสิ่งที่ปรากฏคือ ทหารฝรั่งเศสนับหมื่นกำลังวิ่งกรูขึ้นมาบนเนินอย่างบ้าคลั่ง!!! “บ้าน่า พวกมันบ้าแล้ว!!! พวกมันจะวิ่งมาชนกำแพงหินรึไง!!” ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม อยู่ดีๆกำแพงหินของป้อมส่วนเหนือก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ!! ด้วยฤทธิ์ปืนใหญ่ฝรั่งเศส เศษหินกระเด็นไปมาปลิวว่อนไปทับทหารอังกฤษตายหลายนาย พวกที่อยู่บนกำแพงหลายสิบก็โดนแรงอัดระเบิดจนปลิวตกกำแพงไป.... ตามที่นโปเลียนคาดไว้ห้องเก็บดินปืนของอังกฤษโดนกระสุนปืนใหญ่ฝรั่งเศสจนระเบิดออกมา!!! และมันทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดมหึมาพอที่จะให้คนหลายร้อยทะลักเข้ามาได้!!! “ชิบหายแล้ว กำแพงระเบิด!!!!! รีบส่งพลส่งสาส์นไปตาม ทหารกลับมาเดี๋ยวนี้!!!” “ครับ!!!” “ป้องกันป้อมไว้ยันให้ได้นานที่สุดจนกว่ากองทัพเราจะกลับมา!!” นายพล Hood ทำหน้าเครียดทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองนั้นโดนฝรั่งเศสหลอกซะแล้วในป้อมนั้นเหลือทหารเพียง 4,000 นายเท่านั้น...แต่ป้อมปราการนั้นยังคงเหลือกำแพงสูงตระหง่านอยู่ เหล่าทหารอังกฤษหลายร้อยนายที่ยืนอยู่บนกำแพงได้ระดมยิงใส่เหล่าทหารฝรั่งเศสที่วิ่งขึ้นมา!! ปังๆๆๆๆๆๆ อ๊ากกกกก ปังๆๆๆๆๆๆ โอ๊ยยยยย ทหารฝรั่งเศสหลายร้อยโดนยิงล้มระเนระนาดแต่ด้วยใจรักชาติพวกเขายังคงวิ่งต่อไปข้างหน้าด้วยหามีความกลัวไม่ แม้แต่ นโปเลียนเองก็ยังคงวิ่งโบกธงฝรั่งเศสนำหน้ากองทัพของเขา “บุกเข้าไป!!!!!” “เฮ!!!!!!!!” “ตาม นโปเลียนไป!!” พวกเขาวิ่งฝ่าการระดมยิงอย่างหนัก ล้มตายเป็นเบือแต่ก็หาเกรงกลัว....จนกระทั่งมาถึงจุดที่กำแพงถล่ม เหล่าทหารอังกฤษต่างตั้งแถวพร้อม ยิงใส่ทหารฝรั่งเศสที่วิ่งเข้ามา!!.. ยิง!!! ปังๆๆๆๆๆ ทหารฝรั่งเศสต่างล้มตายระเนระนาดพยายามจะฝ่ากำแพงกระสุนของฝั่งอังกฤษเข้าไป!! แต่ก็ทำได้ยากเพราะการยิงอย่างนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง!!!........ “เอาเลย!!!” นโปเลียน สั่งให้เหล่า National Guards ทั้งหลายวิ่งกรูเข้าพร้อมระเบิดมือ!!! National Guards ขว้างระเบิดเข้าใส่แถวทหารอังกฤษบางคนโดนยิงจนล้มก่อนขว้างระเบิดข้างเพื่อน บางคนขว้างไปไม่ถึง แต่ระเบิดบางส่วนขว้างไปถึงแถวทหารอังกฤษ ตูมมมมๆๆๆ!! ตมมมมม!! ตูมมมม!! ฉัวะ ฉึก!! ฉัวะ! อ๊าก สะเก็ดระเบิดปลิวว่อนไปทั่วพุ่งทะลุแขนขาของทหารอังกฤษจนล้มระเนระนาด!!! แถวของทหารอังกฤษแตก เหล่าฝรั่งเศสวิ่งกรูเข้าไปในป้อมการต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดระยะประชิด!! ดาบต่อดาบ มีดต่อมีด หมัดต่อหมัด!! ทหารอังกฤษใช้ดาบปลายปืนแทงทหารฝรั่งเศส แต่โดนคว้าไว้ได้ทันแล้วสวนด้วยมีดสั้นในมือ!!! บ้างถึงขั้นกัดหูกันขาด.....ทาง นโปเลียนนั้นใช้ธงชาติฝรั่งเศสเป็นอาวุธ....เขาใช้ธงหวดเข้าหน้านายทหาร Grenadier ร่างยักษ์ผู้หนึ่งเต็มแรง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล Grenadier คนนั้นไม่รู้สึกอะไรเลย มิหนำยังถีบ นโปเลียนจนล้ม!! ด้วยขนาดตัวที่เล็กกว่ามากทำให้ นโปเลียน ลงไปนอนกองกับพื้น!! ทันใดนั้น Grenadier ผู้นั้นใช้ดาบปลายปืนแทงเข้าท้องของ นโปเลียน!!... นโปเลียนกลิ้งหลบทัน แล้วคลานหนี...... ฉึก!!!!!!! อ๊ากกกกกกกกกก Grenadier ใช้ดาบปลายปืนแทงเข้าที่ขา นโปเลียน ได้ทัน!! นโปเลียนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พลางกุมขา!!!! Grenadier ดึงดาบปลายปืนออกมาเตรียมจะแทงอีกรอบเข้ากลางลำตัว นโปเลียน!! นี้จะถึงกาลอวสานของ ผู้กอง นโปเลียนแล้วงั้นรึ!!! ปัง!!!!!!!!!! กระสุนแหวกอากาศนัดหนึ่งพุ่งเข้าใส่หัว Grenadier ผู้นั้น!!! เขาล้มลงขาดใจทันที!! นโปเลียนหันไปมองที่ต้นทาง ก็พบกับ แม่สาวดิออน ที่กำลังละปืนของนางลง....ว่าแล้ว นางก็รีบวิ่งไปหา นโปเลียนและนั่งคุกเข่า “ผู้กองค่ะ !! ผู้กอง บาดเจ็บตรงไหนค่ะ” “……….ขาฉันนน............” “รีบ พาผู้กองออกไปเร็ว!!!” ดิออน รีบกวักมือเรียก National Guards 2 คนที่อยู่แถวนั้นมาช่วยกันหามผู้กอง นโปเลียน ออกจากสนามรบ..... ถึงการต่อสู้ของนโปเลียนจะจบลงแต่ภายในป้อมนั้นการต่อสู้อย่างดุเดือด ทหารอังกฤษนั้นแม้จะสามารถแต่มีน้อยกว่ามากจึงมิอาจทานไว้ ทหารฝรั่งเศสต่างกระจายกันเข้ากวาดล้างตามกำแพง ตามตึกที่ ทหารอังกฤษ อยู่การต่อสู้นั้นเกิดขึ้นทุกที่และเป็นการต่อสู้กันในระยะประชิด!! ส่วนทางนายพล Hood นั้นกำลังทำหน้ากลุ้ม ทางผู้พันของเขานั้นรีบวิ่งมาหาเขา “ท่านนายพลครับ เรารีบหนีก่อนดีกว่าครับ ยังไงกำลังหนุนไม่น่าตามมาช่วยทัน!!” “เออ ถอย!!” “ถอยทัพ!!” พลสัญญาณรีบตีระฆังอันเป็นสัญญาณถอยทำให้ทหารอังกฤษที่เหลือรอดทั้งหลายต่างวิ่งหนีออกจากป้อมกลับไปยังท่าเรือ!!!!
ทางทิศตะวันตกของ ตูลอง เวลา 1021 น. พลส่งสาส์นของนายพล Hood เดินมาถึงกองทัพอังกฤษที่ในตอนนี้ยึดที่มั่นหลอกของกองทหารฝรั่งเศสได้ พวกเขายึดปืนใหญ่ได้ 30 กระบอก และกำลังไล่ตามทหารฝรั่งเศสที่เหลือ..... พลส่งสาส์น มาผู้พัน O’ Hara ซึ่งคุมกองทัพแยกของอังกฤษ “ผู้พันครับ ท่านนายพลสั่งให้ท่านกลับไปช่วยป้อมบนเนิน Faron เดี๋ยวนี้!!” “แต่เราเพิ่งจะไล่ตะเพิดมันไปได้เมื่อกี้นี้เองครับ!!” “ดูนั้นครับ!!” “ชิบหายล่ะ!!” สิ่งที่ผู้พันเห็นนั้นคือ เนิน Faron มีธงชาติไตรรงค์ของฝรั่งเศสโบกไสวอยู่มันถูก กองทัพประชาชน ฝรั่งเศส ยึดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!! ท่าเรือตูลอง เวลา 1700 น. เฟี้ยวววววว ตูมมมมมม ตูมมมมมมมม!! ปืนใหญ่จากป้อมปราการบนเกาะ ผสมโรงกับปืนใหญ่ของฝรั่งเศส 40 กระบอกที่ถูกเข็นขึ้นไปบนเนิน ระดมยิงใส่เรืออังกฤษที่ จอดอยู่ที่อ่าว!! ด้วยความแม่นยำของปืนใหญ่ทำให้เรืออังกฤษหลายลำได้ความเสียหายหนัก..... บางลำถึงขั้นเสากระโดงเรือหัก!! เรืออังกฤษนั้นไม่สามารถยิงปืนใหญ่ตอบโต้ขึ้นไปบนเนินได้ .............ทำให้เสียเปรียบมาก ลูกเรืออังกฤษหลายนายโดนปืนใหญ่ยิงใส่จนร่างแหลกกระจุย บางนายกับกระโดดน้ำหนีเลยเดียว ทางแม่ทัพเรืออังกฤษ พลเรือโท Horatio Nelson นี้ถึงกับเครียดเลยทีเดียว....เขากำลังปรึกษากับนายพล Hood ซึ่งตอนนี้ หนีมาอยู่บนเรือเรียบร้อย “คุณปล่อยให้มันยึดเนินไปได้ไง ท่านนายพล!! ดูสิว่าเราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากถูกระดมยิงใส่อย่างเดียว!” “ลองมาบัญชาการรบทางบกแบบผมดูไหมล่ะ ท่านนายพลเรือ!! แล้วคุณจะรู้ว่าพวกฝรั่งเศสมันร้ายกาจขนาดไหน...” “หึ..........แล้วจะเอาไงล่ะ” “งั้นเราคงต้องถอยกลับ…” “ทำแบบนี้พระเจ้าจอร์จกริ้วแน่....” “แล้วมีทางเลือกอื่นไหมล่ะ!!” “เออ ถอยก็ได้ ส่งสัญญาณให้เรือทุกลำเทียบท่าเตรียมลำทหารกลับให้เร็วที่สุด!! แล้วออกจากที่นี่!!” “ครับ!!!” เรืออังกฤษต่างชักธงสัญญาณขึ้นและรีบไปเทียบทีท่าเพื่อรอรับทหารบกที่เหลือเตรียมถอย!!......... ป้อมบนเนินเวลา 1730 น. ทาง นายพล ลาฟาแยต ซึ่งดูการเคลื่อนไหวกองทัพอังกฤษอยู่ถึงกับดีใจโห่ร้องออกมาเมื่อเห็นว่าอังกฤษกำลังถอย เขาป่าวประกาศกับทหารในกองทัพทุกคนด้วยความปิติยิ่งนัก..... “พวกเสื้อแดงถอยกลับไปแล้ว!! พวกมันกำลังหนีหางจุกตูดวิ่งกลับเรือ!!” “เฮ!!!” “เฮ!!” “เฮ!!!” “ออกไปไอ้พวกอังกฤษ” เหล่าทหารฝรั่งเศสต่างโห่ร้องยินดีสำหรับชัยชนะที่ได้รับ!! กองทัพประชาชนแห่งฝรั่งเศสเอาชนะกองทัพอังกฤษที่มีประสิทธิภาพดีกว่าลงได้ ด้วยแผนของ นโปเลียน..... “ผู้กอง นโปเลียนอยู่ไหน??” ในระหว่างที่เหล่าทหารกำลังดีใจ ....นายพล ลาฟาแยต ถามถึง ผู้กองหนุ่มซึ่งหยิบยื่นชัยชนะให้กับเขาในครั้งนี้.... “อยู่ที่ ข้างล่างครับ ตอนนี้กำลังปฐมพยาบาลเขาอยู่ ...เขาถูกแทงด้วยดาบปลายปืนที่ขา” “โอ๊ะ บ้าจริงหวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรมากน่ะ...” พูดจบทาง ลาฟาแยต ก็เดินลงไปข้างล่างของป้อม...ทาง นโปเลียนที่อยู่ข้างล่างของป้อมห่างจากบริเวณที่เขาโดนแทงไม่มาก เขานั่งอยู่บนกล่องไม้กล่องหนึ่ง และถกขากางเกงข้างที่โดนดาบแทงเข้า.... บาดแผลจากดาบปลายปืนนั้นลึกและดูน่ากลัวเลือดยังคงไหลซิบๆออกมาแม้จะเริ่มแห้งแล้วก็ตาม ในขณะที่ แพทย์สนามก็กำลังปฐมพยาบาลให้เขา โดยมี ฌอง เมสซานา ยืนบ่นอยู่ข้างๆ “นี่แกบ้าไปแล้วเหรอว่ะ นโปเลียน!!! แกตายแน่ถ้าขืนทำแบบนี้อีก!!” “…55++++ ข้าไม่ทำอะไรโง่แบบนี้อีกแล้วสัญญาเลย.....อู๊ย เจ็บบบ ว่า แต่ ดิออน อยู่ไหนเนี่ย??” “ไปช่วยงานพยาบาลฝั่งนู้นมั้ง......ทำไมทีเวลาแบบนี้มีอารมณ์หรือไง” “ไม่...ข้าแค่จะขอบคุณนางเฉยๆ” “ทั้งหมด ตรง!!!!!!!!!!” อยู่ดีพลทหารแถวนั้นก็ตะโกนออกมาทำเอาทุกคนในละแวกนั้นยืนตรง เพราะการบอกทั้งหมดตรงนั้นหมายถึงกำลังจะมีนายทหารระดับสูงเดินมา.....ไม่กี่อึดใจ นายพล ลาฟาแยต เดินลงมาจากตัวป้อม พร้อมผู้ติดตามอีก 2 – 3 คน “พักได้!!”.. ทหารทุกนายกลับไปทำกิจกรรมของตนเอง...ในขณะที่ นายพล ลาฟาแยต นั้น.... เดินมาหานโปเลียนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดูแล้วเขาคงพออกพอใจไม่ใช่น้อย ในขณะที่ นโปเลียนนั้นก็พยายามทำตัวขึงขัง แต่ในใจนั้นแฝงไปด้วยความดีใจฝุดๆ อาชีพการงานของเขากำลังจะรุ่งโรจน์.. “ด้วยแผนการอันล้ำเลิศ ไปด้วยสติปัญญาของ ผู้กอง นโปเลียน โบนาร์บาร์ต...ทำให้ กองทัพประชาชนฝรั่งเศส สามารถขับไล่ผู้รุกราน และ ยึดอ่าวตูลอง กลับขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น ข้าจึงเห็นสมควรว่า ตำแหน่งผู้กองนั้นเล็กเกินกว่าความสามารถอันยิ่งใหญ่ของ คุณ ดังนั้น ข้าพเจ้า นายพล ลาฟาแยต.. จึงข้อเสนอแต่งตั้งให้ ผู้กอง นโปเลียน โบนาร์บาร์ต เป็น พลจัตวา แห่ง กองทัพประชาชนฝรั่งเศส!!.....นี้คือ จดหมายที่ผมจะเขียนถึง คณะรัฐบาล ผู้กอง และมันต้องผ่านแน่นอน..........” นโปเลียนนั้นยังไม่ตอบอะไร แววตาของเขาลุกวาวไปด้วยสุขและไฟแห่งความทะเยอทะยาน เขาดีใจเกินกว่าจะพูดออกมาหรือ ตะโกนออกมา ราวกับ อยู่ดีๆมีคนมาโยนให้ 100 ล้านฟรังก์หน้าบ้าน... “ขอบใจน่ะ ผู้กอง” นายพล ลาฟาแยต นั้นตบไหล่ นโปเลียนเบาๆ แต่ทันใดนั้นเหล่าทหารฝรั่งเศส และ National Guards ทั้งหลายต่างโห่ร้องด้วยความยินดี... “นโปเลียนนน!!” “นโปเลียน ผู้พิชิตอังกฤษ” “ท่านนายพล นโปเลียน!” ในตอนนี้ดูเหมือนเหล่ากองทัพประชาชนฝรั่งเศสจะโห่ร้องสรรเสริญนโปเลียนกันยกใหญ่ .. ชื่อเสียงของนโปเลียนเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ทหารแล้ว!! เส้นทางอาชีพของเขากำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด....... นับเป็นการเลื่อนขั้นที่ไวสุดในประวัติศาสตร์ จาก ผู้กอง สู่ นายพล!! …ทาง ดิออน เมื่อ ได้ยินเสียง สรรเสริญ นโปเลียนดังขึ้นมา นางจึงเดินมาดูด้วยความสนใจ........ทาง นโปเลียนเมื่อเห็นทางนั้นจึงเอ่ยออกมา... “ขออนุญาตครับ ท่านนายพล.........” “มีอะไรว่ามา ผู้กอง” “ทหารนางนี้ ช่วยชีวิตของผมไว้จากดมดาบปลายปืนของทหารอังกฤษ.......ผมว่า นางก็สมควรได้รับการปูนบำเหน็จเช่นกัน..ไม่สิ ทหารฝรั่งเศสทุกคนในกองทัพควรได้รับรางวัลสำหรับชัยชนะนี้....” “ออได้ผมจะไปพิจารณาล่ะกัน ผมขอตัวน่ะ ท่านนายพล โบนาร์บาร์ต” พอพูดจบ นายพล ลาฟาแยต ก็เดินจากพร้อมกับรอยยิ้มอันมีความสุข และแน่นอนว่า เหล่าทหารนั้นดีใจกันยกใหญ่เมื่อ นโปเลียนนั้นทวง บุญคุณให้พวกเขา!!! ……. “เฮ!! นโปเลียน!!” “เรารัก นโปเลียน!!” ทาง นโปเลียนนั้นมองมาทาง ดิออน ด้วยสีหน้าที่มีความสุขเช่นกัน “ขอบใจน่ะ ...ดิออน” “ค่ะ.....” ทั้งคู่ต่างมองกันด้วยสีหน้าที่ดูยิ้มแย้มและชอบพอกัน ถ้าไม่มี ดิออน นโปเลียนอาจโดนดาบปลายปืนปักกลางพุงไปแล้ว “หลังจากที่ฉันได้เลื่อนยศ..ฉันจะแต่งตั้งให้เธอ เป็นหัวหน้าองครักษ์ของฉัน.......ดิออน ผู้พิทักษ์นโปเลียน ฟังดูเท่ไหม??” “ขอบคุณค่ะ!!” นับแต่นั้นมา ดิออน ก็ได้เป็น องครักษ์ของนโปเลียมาโดยตลอดและติดตามเข้าไปทุกที่ไม่ว่าจะเป็น
อิตาลี!!!
อียิปต์!! ซีเรีย!!
จนกระทั่ง วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1804 วันที่ นโปเลียนตั้งตนเป็น จักรพรรดิ.....
“ด้วยอำนาจแห่งพระบิดา พระบุตร พระจิต ข้าพเจ้าพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 ขอแต่งตั้งท่านกงศุล นโปเลียน โบร์นาบาร์ต ให้เป็น จักรพรรดิ!!! ” พระสันตะปาปารับมงกุฎมาจากบาทหลวงผู้น้อยและกำลังจะสวมที่หัวของ นโปเลียน..... แต่นโปเลียนกับทำในสิ่งที่ทำให้ทุกคนในวิหารทั้งหมดนั้นตะลึงนั้นคือ เขาไม่ยอมก้มหัวให้สันตะปาปาสวมมงกุฎให้!!! สันตะปาปาแสดงสีหน้างงงันเล็กน้อย และจ้องไปยัง นโปเลียน!! นัยน์ตาของนโปเลียนนั้นไม่ได้แสดงอาการยำเกรงต่อพระสันตะปาปาเลยแม้แต่น้อย!!! มิหนำซ้ำเขายังหยิบมงกุฎมาจากมือของสันตะปาปาและนำมาสวมที่หัวของตนเอง! ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา จักรพรรดิทุกคนจะต้องผ่านการสวมมงกุฎจากพระสันตะปาปาก่อนถึงจะเป็นจักรพรรดิที่ถูกต้องชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากคริสตจักร!!!!! ตอลดหลายพันปีมาในประวัติศาสตร์ยุโรปมิเคยมีใครกล้าทำแบบนี้! นี้คือครั้งแรกในรอบสหัสวรรษที่มีผู้กล้าแข็งขืนต่ออำนาจแห่งคริสตจักร อำนาจของพระเจ้า!! พระสันตะปาปาเองนั้นก็ตกพระทัยถึงการกระทำของ นโปเลียน! แต่นโปเลียนก็หาได้กังวลเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังหยิบมงกุฎอีกอันมาไว้ที่พระหัตถ์ของตน “ข้าพเจ้า นโปเลียน โบร์นาบาร์ต จักรพรรดิของฝรั่งเศส ขอแต่งตั้ง เจ้า โฌเซฟีน เดอ โบอาร์แน ให้เป็น จักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศส!!” แค่นั้นยังไม่พอ นโปเลียนยังแต่งตั้ง โฌเซฟิน ภรรยาของตนให้เป็นจักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศสโดยไม่เห็นหัวของพระสันตะปาปาเลย!! เหตุการณ์นี้แสดงให้ชนชั้นสูงทั้งหลายประจักษ์แล้ว ชายผู้นี้คือผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ชายผู้นี้จะสั่นคลอนโลกทั้งโลก ชายผู้นี้จะนำพาประเทศเขาสู่มหาสงคราม!! นโปเลียน ยืนตัวตรงยืดอกขึ้นมาอย่างสง่าผ่าเผยก่อนจะหันหลังให้พระสันตะปาปาที่นั่งอยู่!!!! “ข้าคือ นโปเลียน!!! ข้าคือ จักรพรรดิ!!!” เสียงตะโกนกึกก้องดังไปทั่ววิหาร ทั่วโลกหรือแม้แต่อาณาจักรของพระเจ้าต่างรับรู้ นโปเลียน โบนาร์บาร์ตคือจักรพรรดิของฝรั่งเศส จักรพรรดิที่ไม่ยอมก้มหัวให้อำนาจของใครแม้แต่พระเจ้า!!! ทันทีนโปเลียนประกาศกร้าวออกมา..... องครักษ์หญิง ดิออน ก็ตะโกนออกมาด้วยความปิติ “จักรพรรดิจงเจริญ!!! นโปเลียนจงเจริญ!!” “นโปเลียนจงเจริญ!!!” “นโปเลียน ผู้ยิ่งใหญ่!!” . .. . .
ห้องบรรทม พญาอินทรีย์ , พระราชวังแวร์ซาย 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1806 เวลา 2000 น.
ณ หน้าห้องนอนของ นโปเลียน ….. นโปเลียนกำลังยืนคุยกับ องครักษ์หญิงก่อนที่จะเข้าบรรทม.. “เป็นไง เพื่อนชาวอังกฤษ เขาคงมีความสุขกับ แม่นางวีนัสน่ะ” “นางบำเรอเขาจนถีงสรวงสรรค์ เพค่ะ” “ความปลอดภัยรอบตัวพระราชวังยังเหมือนเดิม” “เพค่ะ.....” “เออ......อีกไม่นานนี้จะมี ศึกกับปรัสเซีย .... เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทำสงครามด้วยล่ะ หน่วย Old Guards ของเจ้า คือหน่วยรบที่เยี่ยมยอดที่สุดของข้า..” “และจะเป็นหน่วยที่ขยี้ปรัสเซียให้สิ้นซากในสนามรบเพค่ะ” “ดีมาก ยังคงฮึกเหิมเหมือนเดิม วันนี้เหนื่อยมากแล้วไปพักเถอะ ดิออน....ขอบใจน่ะ” “นี่ นโปเลียนนน เก๊า มีเรื่องมาเล่าให้ตัวเองฟังทั้งคืนเลยละ!!” “เออรู้แล้วจะรีบไป!!!” นโปเลียนตะโกนตอบ จักรพรรดินี โจเซฟินที่นอนอยู่บนเตียงบรรทมในอิริยาบถที่ดูให้ท่าเสียเหลือเกิน.. นโปเลียนนั้นตบไหล่ ดิออน เบาๆเป็นการขอบใจ ก่อนจะปิดประตูห้อง แต่นางนั้นไม่เหมือนเดิม ด้วยความกร้านโลก และ ระเบียบวินัยที่มากขึ้นทำให้นางเก็บอารมณ์ไว้ได้หมด..ถึงแม้ในใจจะชอบนโปเลียนมากแค่ไหนก็ตาม แต่คงยังทำหน้าขึงขังและตบเท้าเดินจากไป.....แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นก็คือ ผู้บังคับบัญชา และ ผู้ใต้บังคับบัญชา.. แต่อย่างไรก็ตาม ดิออน ก็พร้อมจะยอมตายถวายชีวิตให้กับ จักรวรรดิฝรั่งเศสอันยิ่งใหญ่ทีชายที่เธอรักสร้างมันขึ้นมา
|
|
|
Post by greatbritian on Feb 24, 2018 16:32:28 GMT
Episode 11 : Against Napoleon พระราชวัง Berlin , Berlin , Brandenburg , Kingdom of Prussia 12 พฤษภาคม ค.ศ . 1806
ณ พระราชวัง Berlin อันเป็นที่พำนักของ องค์ไกเซอร์ของปรัสเซีย พระเจ้าเฟรเดอริก วิลเฮล์มที่ 3 แห่ง ปรัสเซีย มาในวันนี้ ณ ท้องพระโรงอันโอ่อ่าแต่ดูปล่าวเปลี่ยว เหล่าทหาร Guards ร่างยักษ์ Giant Potsdam ยืนเฝ้าประตูด้วยความขึงขัง… ไกเซอร์หนุ่มกำลังนั่งรอใครบางคนอย่างเหงาหงอย บนบัลลังก์อินทรีย์สีดำ เขากระดิกเท้าไปมา….นัยน์ตากรอกซ้ายทีขวาทีพลางดูนาฬิกาเรื่อนยักษ์ที่ตั้งไว้อยู่…
“องค์ราชินี เสด็จ!!!”
ทหาร Guard ร่างยักษ์ทำท่าชิดเท้า และตะโกนเสียงดังบอกให้รับรู้ถึงการมาเยือนของ ราชินีแห่งปรัสเซีย…นั้นทำให้องค์ ไกเซอร์ นั้นรู้สึกยินดียิ่งนัก…. แอ๊ด……… ประตูท้องพระโรงเปิดออก เผยให้เห็นสตรีรูปร่างงดงาม ใบหน้าเกลี้ยงกลม นัยน์ตาสีเขียว ผมยาวสลวยสีแดงม้วนเป็นลอน ในชุดกระโปรงสีแดงยาว..นางคือ องค์ราชินีแห่งปรัสเซีย พระนาง Maria Louise of Prussia ทางไกเซอร์นั้นรีบลุกจากบังลังก์ด้วยความดีใจพลางเดินไปหานางด้วยความคิดถึงยิ่งนัก
“Maria เจ้า ไฉนเจ้าจึงจากไปนานเช่นนี้ …รู้ไหมว่าข้าคิดถึงเจ้าทุกเมื่อเชือวัน”
ไกเซอร์พูดจบก็จุบพิตกับมเหสีของตนอย่างดูดดื่มและโอบกอดอย่างเต็มรัก….ส่วนทางพระราชินีนั้นก็ยิ้มรับพระสวามีอย่างดีใจ
“ฝ่าบาทเพค่ะ ท่านก็ทราบนิว่าระยะทางมันช่างยาวไกล นอกจากนี้ตามรายทางยังมี เมืองสวยงามราวกับสรวงสวรรค์มากมาย ข้าเลยแวะเยี่ยมเมืองเหล่านั้นเพื่อเป็นขวัญตาเสียหน่อย….ข้าได้ซื้อของกลับมาเป็นกำนัลให้แก่ท่านมากมาย เลยเพค่ะ”
“กระนั้นหรือยอดรัก เจ้าลองยกตัวอย่างของกำนัลของเจ้ามาสิ ทูลหัว”
“ก็ น้ำหอมกลิ่นทิวลิปจากปารีส….พรหมหนังหมีจาก อัลซาล…… อ่า เสื้อผ้าข้าวของชุด มารี อองตัวเนต มีทั้งหญิงและชายเลยน่ะ แล้วก็ ช๊อกโกแลตแกะสลักเหมือนรูป นโปเลียน!!”
“ช็อกโกแลตรูป นโปเลียน!! นี้เจ้านั้นคิดยังไงเอาตัวเองมาเป็นแบบทำ ช็อกโกแลต พิลึกคนแฮะ 555 สงสัยอยากให้ประชาชนแทะหัวตัวเองเล่น 55”
“ข้าว่า เขาออกจะใจกว้างจะตายเพค่ะ”
“เออ งั้นการเจรจาระหว่าง เขา กับ เจ้า คงจะราบรื่นสิน่ะ”
“ยิ่งกว่าแน่นอน เพค่ะ……. เขารับปากว่าจะมอบดินแดนทั้งหมดให้เรา ภายใน 2 เดือน”
“2 เดือน!!!!”
ไกเซอร์ เปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นทันทีเมื่อได้ฝั่งมเหสีของตนพูดออกมาเช่นนั้น!! เขาถามอีกทีเพื่อความแน่ชัด
“ไหนลองบอกสิว่าเขาพูดคุยอะไรกับเจ้า…”
“…….ข้าจำเนื้อความไม่ได้ทครบถ้วนนักเนื่องจากมันนานมาแล้ว เพค่ะ แต่สำหรับสาระสำคัญทั้งหมดนั้นคือ จะส่งมอบดินแดนให้หลังจากจัดการปัญหาภายในเรียบร้อยแล้ว เพค่ะ”
“ปัด โธ่เอ๊ย………… Maria……..เจ้า!!!!”
ไกเซอร์นั้นรู้ทันทีว่า ว่าราชินีของตนนั้นเสียรู้นโปเลียนให้แล้ว!! การผลัดผ่อนในการมอบดินแดนให้นั้น มันหมายถึงฝรั่งเศสกำลังเตรียมการณ์ทำอะไรบางอย่างกับดินแดนเหล่านี้แน่นอน!!
“ใยท่านจึงแสดงกริยาเช่นนี้ ฝ่าบาท….ข้าทำสุดความสามารถแล้ว เพค่ะ!!”
Maria พูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นราวกับจะร้องไห้ยามนางโดนสามีตวาดเข้าใส่!!!
“ไม่มีอะไรจ๊ะ….ไม่มีอะไร…..เจ้าไปพักผ่อนดีกว่าไป …..เดี๋ยวคืนนี้เราจะได้ไปสวรรค์ด้วยกัน”
“จริงหรือเพค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทอย่างยิ่งที่ไม่โกธรเค๊า….. ไปล่ะน่ะ อิอิ”
พระนาง Maria Louise เดินออกจากท้องพระโรงไปด้วยทีท่ากระดี๊กระด๊า ดูมีความสุขซะเหลือเกินที่พระสวามีไม่กริ้วนาง เมื่อเดินออกจากประตูก็มีเหล่าข้าราชบริพารสาวปรัสเซียหลายนางก็เดินมารุมนางพลางหยิบเครื่องแต่งกายชุด มารีอองตัวเนต ให้นางลองสวมใส่….. ช่างมีความสุขกันเหลือเกินสำหรับ สาวชาววัง…. ทาง ไกเซอร์นั้น รอให้นางเดินห่างไปสักพัก ก่อนจะตะโกนออกมา!!!
“อัลเบิร์ต!!!!!!!! ไปตาม Duke of Brunwick , Blucher , Ludendorff มาพบ เดี๋ยวนี้!!!!”
“พ่ะย่ะค่ะ!!”
ตกดึกคืนนั้น...
พระเจ้าไกเซอร์ เฟรเดอริค นั้นนั่งอยู่บนบังลังก์พญาอินทรีย์สีดำทมิฬ ตอนนี้เบื้องหน้าของเขานั้นมี ชาย 3 คนยืนอยู่ คนแรกซ้ายสุด เป็นชายชราวัยราวๆ 70 กว่า หน้าตาเหี่ยวย่นแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ต์ สวมเสื้อมคลุมขนหมีและหมวก Tricorne สีเทาพร้อมถือไม้เท้า เขาคือ Duke of Brunswick ขุนนางเก่าแก่ที่ปรึกษาของ ไกเซอร์ คนกลางนั้นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่วัยราวๆ 50 ต้นๆในชุดจอมพลเต็มยศ หน้าตาดูดุดัน ไว้หนวดโง้งแบบปรัสเซีย เขาคือ เสนาธิการแห่งกองทัพปรัสเซีย จอมพล Gebhard von Blucher ส่วนคนสุดท้าย นั้นคือ จอมพล Ludendorff แห่งกองทัพบกปรัสเซีย ทั้ง 3 นั้นสัมผัสได้ถึงความตรึงเครียด สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดจริงจัง จนคิ้วขมวดแทบจะชนกัน…. เขานำมือมาประสานกันบริเวณหน้าอกก่อนจะพูดออกมา….
“ต้องขอโทษที่เรียกตัวพวกท่านมาพบอย่างเร่งด่วน............แต่ในตอนนี้นั้นเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า เข้าขั้นสุ่มเสี่ยงต่อสงคราม...”
“งั้นก็ให้มันเกิดไปเลย พ่ะย่ะค่ะ”
ทาง Ludendorff พูดออกมาด้วยความคะนึกคะนองอยากออกศึก...
“มีมารยาทหน่อย....นี่ต่อหน้าฝ่าบาทน่ะ ท่านจอมพล!!”
จอมพล Blucher หัวหน้าเสนาธิการทหารเตือน Ludendorff ด้วยน้ำเสียงอันดุดันจนทำให้เขายอมสงบปากลง...
“…..ไม่เป็นไรข้าเรียกพวกท่านมาในวันนี้ก็เพื่อฟังความคิดเห็นของพวกท่านอยู่แล้ว.....ก่อนอื่นเลยหลังจาก ฝรั่งเศสได้ยึดเมืองต่างๆของอังกฤษในเยอรมันเมื่อราวๆเดือนก่อน พวกเขาสัญญาว่าหากเราไม่แทรกแซง พวกเขาจะยอมแบ่งปันดินแดนในเยอรมันให้เป็นการตอบแทน.....แน่นอนว่าข้าก็ทวงดินแดนไปตามสัญญา แต่คำตอบที่ได้มานั้นคือ “ขอเวลาเตรียมตัวอีก 2 เดือน” ถึงจะยอมมอบดินแดนให้ ข้ารู้สึกว่าอ้ายเตี้ย ผู้นี้มันมีลับลมคมในอะไรบางอย่างแล้วล่ะ”
“ข้าพเจ้าเห็นด้วย พ่ะย่ะค่ะ”
ทาง Duke of brunwisck ดูเหมือนจะมีความคิดคล้ายคลึงกับของฝ่าบาท... ทำให้ท่าน ไกเซอร์นั้น ถามเขาต่อ
“ว่ามาท่าน Duke”
“ก่อนอื่นเลย ดินแดนตรงนั้นประชากรส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายเยอรมันอยู่แล้ว ซึ่งหากส่งมอบให้เราซึ่งเป็นชาวเยอรมันเหมือนกันดูแลมันย่อมไม่มีปัญหาอะไรมากมาย แต่ปัญหาที่ว่านั้นเป็นทางฝรั่งเศสซะมากกว่า .... เวลาถึง 2 เดือนนี้ ข้าพเจ้าว่า นโปเลียนไม่ได้เตรียมส่งมอบคืนดินแดนให้ท่านแน่ แต่กำลังเสริมกำลังและเรียกเกณฑ์ทหารให้กับกองทัพของเขามากกว่า”
“ใช่ พ่ะย่ะค่ะ ดินแดนตรงนั้นเป็น จุดยุทธศาตสตร์สำคัญมากทั้ง Hannover , Hamburg หากฝรั่งเศสตั้งทัพไว้ตรงนั้น มันสามารถเคลื่อนทัพมาถึง Berlin โดยใช้เวลาแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ!!”
“และที่เลวร้ายยิ่งกว่า ด้วยดินแดนพันธมิตรรอบข้างของฝรั่งเศส...ทั้ง ฮอลแลนด์ สหพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ และอาจรวมถึงออสเตรีย หากพวกเขาระดมพลทั้งหมดมารบกับเราคาดการณ์ได้เลยว่าอาจจะมีจำนวนมากถึง 3 แสนนายเลยพ่ะย่ะค่ะ มากกว่ากองทัพของเรา 2 เท่า!!”
ทั้ง 2 จอมพลต่างพูดเสริมทัพขึ้นมาอีกซึ่งฟังดูแล้วมันมีแต่เรื่องเลวร้ายทั้งนั้น.... ทำเอาไกเซอร์ปวดหัวหนักกว่าเดิม.
“เฮ้อ......ท่านทั้งหลาย ในความตั้งใจของข้านั้นอยากจะรักษาสันติและความเป็นกลางไว้อย่างที่ลุงของข้าทำ...ท่านทำสงครามก็ต่อเมื่อรู้ว่าจะชนะเท่านั้นและได้ผลประโยชน์จากมัน..ไม่ใช่สงครามที่สุ่มเสี่ยงถึงเพียงนี้....ข้าควรจะกระทำการใดดีล่ะ”
“ข้าเห็นควรว่าเราต้องใช้เชิงการทูตไม้แข็งไม้นวม พ่ะย่ะค่ะ”
“มันหมายความว่ายังไงท่าน Duke??”
“ในขั้นแรกเราต้องพยายามประนีประนอมกับฝรั่งเศส ทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา......นั้นคืออีก 2 เดือนเราต้องส่งทูตไปเจรจากับพวกเขาอีกรอบ และถ้าหากไม่พวกเขายังทำดื้อดึงประวิงเวลาไปเรื่อยเราจึงจะใช้ไม้แข็ง นั้นคือประกาศกร้าวกับเขาไปเลยว่าถ้าไม่ยอมทำตาม กองทัพของเราก็พร้อมบุกประชิดชายแดน..... ซึ่งความจริงก่อนหน้านี่ที่เราจะส่งทูตไปเราก็ควรจะเตรียมกองทัพให้พร้อมบุกทันที.. เพราะเมื่อเราประกาศสงครามเมื่อไหร่นั้นหมายความว่า กองทัพเราจะต้องยึดจุดยุทธศาสตร์ของพวกมันอย่างรวดเร็วเกินกว่าฝรั่งเศสจะตั้งตัว...มิเช่นนั้นหากมันตั้งตัวติดเราเองจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
“ท่าน Duke ขอประทานอภัยด้วย แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ท่านคิดหรอก..”
ทาง Ludendorff ทัดทานคำของท่าน Duke อาวุโสขึ้นมา ทำให้ท่าน Duke หันกลับไปตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“ท่านมีอะไรขัดข้องในคำเสนอแนะของข้า ท่านจอมพล”
“ตัวข้านั้นเคยรบทัพจับศึกกับกองทัพฝรั่งเศสมา พวกมันเคลื่อนทัพได้ไวกว่าที่เราคาดมาก....พวกมันสามารถเดินทัพ 200 ไมล์ ในเวลาเพียง 4 วันเท่านั้น.... หากท่านคิดจะใช้ไม้แข็ง ท่านต้องส่งกองทัพเข้ารุกรานมันก่อนจะประกาศสงครามซะอีก....”
“ทำเยี่ยงคนไม่มีเกียรติตามที่ท่านถนัดสิน่ะท่านจอมพล...”
“ข้าสนผลลัพธ์ แต่ไม่สนวิธีการท่าน Duke”
“โอเคๆ พอแล้ว.....ความเห็นของพวกท่านทั้ง 2 นั้นมีประโยชน์ยิ่งนัก”
ไกเซอร์รีบห้ามทัพไว้ก่อนทั้ง 2 จะเถียงกันเลยเถิดกว่านี้....
“แต่ดูท่าทางแล้ว ฝรั่งเศสคงไม่คิดจะคืนดินแดนให้เราเป็นแน่ เพราะการเตรียมการ 2 เดือนนั้นหมายถึง การที่พวกมัน เกณฑ์ไพร่พลพร้อมสรรพ ข้านั้นก็เห็นด้วยกับ Ludendorff เช่นกัน พ่ะย่ะค่ะ เราควรชิงเปิดศึกก่อนที่มันจะพร้อม...”
ทางเสนาธิการใหญ่ Blucher นั้นก็เห็นด้วยกับ Ludendorff เช่นกันทำเอา Ludendorff ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่.....
“ท่านจอมพล แต่ข้านั้นคิดว่าใช่การทหารสยบฝรั่งเศสอย่างเดียวคงจะยาก...ข้าไม่คิดว่าลำพัง ปรัสเซียจะโค่นฝรั่งเศสลงได้ เราควรเร่งหาพันธมิตรมาเสริมทัพให้เรา ทั้งรัสเซีย และ อังกฤษ ต่างยังคงระหองระแหงกับฝรั่งเศส.... ถ้าได้ 2 ชาตินี้มาช่วย โอกาสที่เราชนะจะยิ่งมากขึ้นตาม”
“งั้นท่าน Duke ท่านดูแลเรื่องการส่งทูตไปยัง ชาติทั้ง 2 พยายามดึงพวกเขาให้มาร่วมสงครามให้ได้ ส่วนท่านจอมพล Blucher และ Ludendorff พวกท่านดูแลเรื่องการทหารเตรียมกำลังให้พร้อมรบมากที่สุด ข้าจะส่งทูตไปหาฝรั่งเศสอีกรอบ ภายในเดือนหน้า ถ้าเกิดมันไม่ยอมมอบดินแดนให้ พวกท่านรุกเข้าดินแดนฝรั่งเศสได้เลย”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ทั้ง 3 คนต่างถวายบังคมน้อมรับบัญชา ไกเซอร์!! ซึ่งในตอนนี้เขาเห็นว่าสงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเกมส์นี้คือเกมส์ที่เดิมพันสูงสุดของพระองค์ก็ว่าได้ เพราะถ้าไม้อ่อนไม่ได้ผลนั้น หมายความว่าพระองค์จะต้องใช้ไม้แข็ง และนั้นคือการที่พระองค์ต้องสู้กับ นโปเลียน..
Rundale Palace , Courlands , Russian Empire 20 พฤษภาคม ค.ศ . 1806
ณ พระราชวัง Randale ในดินแดน Courland อันเป็นดินแดนชายแดนระหว่างปรัสเซีย – รัสเซีย... พระราชวังนี้นั้นไม่ใหญ่โต โอ่อ่าเท่ากับ เครมลิน เพราะเป็นของท่าน Duke of Courlands ขุนนางผู้น้อยแห่งรัสเซีย แต่ในวันนี้กับมีกองทหารองครักษ์ Tsar’s Guards จำนวนหลายร้อยนายนั้นยืนเรียงแถวไปตามทางเดินราวกับพระเจ้าซาร์จะเสด็จมากระนั้น ในบริเวณตัวพระราชวังนั้น มีชายชราชนชั้นสูงนั้นยืนอยู่ด้วยกัน 2 คน .....ดูแล้วน่าเป็นขุนนางเก่าแก่.....คนหนึ่งพูดรัสเซียด้วยน้ำเสียงแปล่งๆแบบเยอรมัน ให้ชายชราอีกคนหนึ่งฟัง
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่าน Duke of Courlands ต้อนรับข้าถึงเพียงนี้....ไม่นึกว่าจะลงทุนนำทหารองครักษ์มายืนรายล้อมทำอย่างกับข้าเป็นพระเจ้าซาร์ของรัสเซียกระนั้น”
“ออ ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกท่าน Duke of Brunswick ข้าไม่มีตังค์จ้างกองทหารมากมายขนาดนี้หรอก 55. แต่กองทหารเหล่านี้เป็นของพระเจ้าซาร์ต่างหาก และท่านคงเสด็จมาในอีกไม่นาน!!”
“เดี๋ยว นี้พระเจ้าซาร์จะมาเจรจากับข้าด้วยตัวเองงั้นรึ…..”
“เรื่องใหญ่ระดับนี้ทำไมพระเจ้าซาร์จะไม่มาเจรจาด้วยตนเองล่ะท่าน Duke…….”
“พระเจ้าซาร์เสด็จ!!!!!!”
เสียงองครักษ์คนหนึ่งตะโกนดังขึ้น ทันทีกับที่แตรสัญญาณเตรียมพร้อมเป่า!!! ทันใดนั้นเหล่าทหาร Tsar’s Guards ต่างทำท่าวันธยาวุธ เคารพกับพระเจ้าซาร์ซึ่งกำลังเสด็จมา ไม่กี่อึดใจก็มีกลุ่มทหารม้าหนัก Chevaliers Garde 10 กว่านายควบเข้ามาในอาณาบริเวณของพระราชวัง ในหมู่ของเหล่าทหารม้านั้น มีพระเจ้าซาร์ Alexander I ควบนำหน้า ส่วนที่อยู่ข้างๆเขานั้นคือท่าน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ Laurente Yaroslav…. ทางท่าน Duke ทั้ง 2 นั้นก็เปิดหมวกพร้อมโค้งคำนับ พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย
“ข้าพเจ้า Duke of Brunswick นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบปะกับฝ่าบาท พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ท่าน Duke..คนที่จัดการประสานการเจรจาในครั้งนี้คือท่าน Duke of Smolensk ต่างหาก”
Duke of Smolensk นั้นคือตำแหน่งปัจจุบันของ Laurente Yaroslav.. Laurente นั้นยิ้มอย่างได้หน้า...ในขณะที่ทั้ง 2 นั้นลงจากหลังม้าเพื่อมา เจรจากับ Duke of Brunswick ตัวแทนของพระเจ้าไกเซอร์แห่งปรัสเซีย
“ในตอนนี้ฝ่าบาทจัดการสถานการณ์บ้านเมืองภายในรัสเซีย เป็นที่เรียบร้อยแล้วกระนั้นหรือ...”
“ใช่ ก็เกือบเรียบร้อยแม้จะต้องแลกกับชีวิตคนจำนวนมากก็ตาม แล้วไกเซอร์ของท่านมีความเห็นใดกับการกระทำอันเด็ดขาดของข้าบ้างล่ะ”
“…….หมีที่อยู่ในถ้ำย่อมรู้จักวิธีจัดถ้ำของตน....พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม.....เข้าใจเปรียบเทียบด้าน Duke…แล้วประเด็นของเราในวันนี้คือ การทำสงครามกับฝรั่งเศสสิน่ะ”
“ถูกต้อง พ่ะย่ะค่ะ......”
“เฮ้ออ......ท่านลองคิดดูล่ะกัน ว่ามีชาติไหนบ้างในโลกที่เพิ่งเกิดสงครามกลางเมืองมาไม่ทันถึงปี แล้วระรานประเทศอื่นต่อได้.....”
“ฝรั่งเศส พ่ะย่ะค่ะ”
“เออ...ใช่ ....นั้นมันกรณียกเว้น”
ทางพระเจ้าซาร์อ้ำอึ้งๆเล็กน้อย ที่พูดผิดไปบ้าง ...
“ฝ่าบาท ถ้าท่านไม่ทำสงครามกับฝรั่งเศสในตอนนี้มันก็ไม่มีโอกาสอีกแล้วที่ท่านจะทำได้อีก ...ในตอนนี้มหาอำนาจเดียวที่เป็นพันธมิตรกับท่านได้บนภาคพื้นทวีป เห็นแต่จะมีปรัสเซีย ซึ่งอาจจะทำสงครามกับฝรั่งเศสในเร็ววัน...และถ้า ท่านปล่อยให้ปรัสเซียสู้อย่างเดียวดาย..กองทัพของปรัสเซียอาจจะพ่ายแพ้ได้ และก็จะไม่มีอำนาจใดในโลกมาคานอำนาจกับฝรั่งเศส..แต่ถ้ารวมพลังกันนั้นย่อมมีโอกาสชนะยิ่งกว่า และจะเป็นหนทางให้ท่านกลับมามีอำนาจเหนือยุโรปอีกครั้ง”
ทางพระเจ้าซาร์นั้นครุ่นคิดหนัก...ในตอนนี้มีคนพยายามชักจูงให้เขาทำสงครามกับนโปเลียนอีกครั้งถึง 2คน ทาง Laurente ก็รีบเสริมทัพใหญ่
“อย่างที่ข้าพเจ้าเคยบอกท่าน ฝ่าบาท การรบจะทำให้อำนาจของท่านมั่นคงยิ่งขึ้น ประชาชนชาวรัสเซียจะบูชาท่านประดุจเทพหากท่านเอาชนะสงครามนี้ได้!! มันจะเป็นเครื่องยืนยันความแข็งแกร่งของท่าน ฝ่าบาท”
“ใช่แล้ว ฝ่าบาทท่านรัฐมนตรีพูดถูก ด้วยความแข็งแกร่งของกองทัพพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราช กับ ความแข็งแกร่งของ กองทัพรัสเซีย ไม่มีอะไรจะมาหยุดเราได้!! ขอเพียงท่านร่วมมือกับปรัสเซียเท่านั้น...”
“ใช่ ฝ่าบาท ข้าก็ต้องการดินแดนเพิ่มเช่นกัน เอามาสร้างวังให้ข้าเพิ่ม”
คำพูดที่ดูไร้สาระของ Duke of Courlands ทำเอาทั้ง 3 หันมามองเป็นสายตาเดียวกัน ทำเอา Duke เฒ่าก้มหน้า.......
“ข้าแค่พูดตลกเท่านั้น บรรยากาศจะได้ไม่เครียด อิอิ”
“อ่า............เอาเป็นว่าข้าจะสนับสนุนปรัสเซียในสงครามครั้งนี้ แต่อาจจะทุ่มกำลังมาได้ไม่เยอะมากนักน่ะ”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ฝ่าบาทขอบพระทัยอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ทาง Duke แห่งปรัสเซียนั้นโค้งคำนับพระเจ้าซาร์และยิ้มอย่างดีใจ...ที่ในบัดนี้รัสเซียออกตัวว่าจะสนับสนุน ทาง พระเจ้าซาร์นั้นแม้จะรับปากแต่ใจของเขายังคงลังเลอยู่ดีที่จะเข้าร่วมสงครามทั้งๆที่ยังไม่พร้อม... แต่คนที่ดูยิ้มเยาะสะใจสุดๆดูเหมือนจะเป็น รัฐมนตรี Laurente แววตาเจ้าเล่ต์ของเขาบ่งบอกถึงแผนการณ์ชั่วร้ายบางอย่างที่ซ่อนอยู่
Fronterize Parliament , Athens , Kingdom of Fronterize 5 มิถุนายน ค.ศ . 1806
ณ ที่ประชุมรัฐสภาแห่ง Fronterize ในกรุง เอเธนส์ การปกครองของ Fronterize นั้นจะว่าไปก็กึ่งๆสาธารณรัฐเนื่องจากกษัตริย์นั้นไม่มีอำนาจเต็มที่..ทำอะไรก็ต้องผ่านการประชุมสภาซะก่อน ที่นั่งของสภานั้นคล้ายหลุดมาจากยุคกรีก มันถูกสร้างขึ้นโดยหินอ่อน...เป็นรูปครึ่งวงกลมพอจะจุคนพันคนได้ นอกจากนี้ยังมี เสาแบบหินแบบ คอร์ธิน ตั้งเรียงรายมากมาย ดูแล้วยังคงไม่ทิ้งลายความเป็นกรีกโบราณ ในตอนนี้ที่ประชุมต่างแน่นขนัดไปด้วยเหล่า สมาชิกสภากว่า 900 ซึ่งเป็น สภาด้านการเมือง 600 พวกเขาสวมใส่ชุดโทกาแบบโรมันโบราณสีขาว ในขณะที่ สภาทหารอีก 300 นายจะใส่ชุด โทกา โรมันสีดำ.....พวกเขานั้นนั่งแบ่งฝั่งชัดเจน...ทุกสายตาของเหล่านักการเมืองแห่ง Fronterize ต่างจับจ้องมายัง ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า เขาสวมชุดสีดำเข็มขัดตรามังกรพร้อมกับผ้าคลุมสีแดง แน่นอนเขาคือ กษัตริย์ของ Fronterize ……พระเจ้า Luce V….. ซึ่งทาง พระเจ้า Luce นั้นไม่รีรอให้เสียเวลา เขาเปิดการประชุมทันที
“ท่านสมาชิกสภาผู้มีเกียรติทุกท่าน...... สถานการณ์ในตอนนี้พวกท่านคงจะทราบดี... จักรพรรดิของฝรั่งเศส นโปเลียน โบน์บาร์ต ได้รุกรานชาติอื่นๆในยุโรปด้วยกองทัพอันเกรียงไกร แม้แต่ กองทัพพันธมิตร อังกฤษ ออสเตรีย รัสเซีย ก็ยังมิอาจหยุดยั้งความแข็งแกร่งของฝรั่งเศสได้.....และเมื่อไม่นานนี้ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งฝรั่งเศส ได้มาเข้าพบข้า เพื่อขอเจริญสัมพันธไมตรีกับ Fronterize…. .. ด้วยอำนาจของข้าเพียงคนเดียวนั้นมิอาจตัดสิน สนธิสัญญาอันใหญ่โตนี้ได้ ข้าจึงได้นำมติเข้าสภาเพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมตัดสินใจ”
หลังพูดจบพระเจ้า Luce ก็ยืนนิ่ง เพื่อสอดส่องมองไปรอบๆหอประชุมดูกริยาของเหล่าสมาชิกสภาทั้งหลาย ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้มันก็ใหญ่โตจริงๆ เหล่าสมาชิกสภานักการเมืองทั้งหลาย ต่างพูดคุยปรึกษากันจอแจๆ เสียงดังในขณะที่ทาง Luce นั้นนำมือไพล่หลังเดินไปเดินมา ในหัวของกษัตริย์ Fronterize ก็กำลังขบคิดเช่นกันว่าจะทำประการใดต่อไป.....เมื่อผ่านไปราวๆ 10 นาที ทั้ง 2 สภาก็เงียบลง ดูเหมือนพวกเขาได้ข้อสรุปแล้ว..... ทางฝั่งสภาการเมืองนั้น มีหญิงสาวชั้นสูงคนหนึ่งยืนขึ้นมาหน้าตาสวยคมผมสีบลอนด์ทองตามสไตล์ยุโรปตะวันตก ดูแล้วนางน่าจะไม่ใช่ชาวกรีก.... นางลุกขึ้นมาด้วยท่าทีที่ดูมั่นใจก่อนจะเอ่ยออกมา
“หม่อมฉันขอเรียนถามฝ่าบาท เพค่ะว่าฝรั่งเศสจะให้อะไรกับเราหากเราตกลงยอมเป็นพันธมิตร”
“ฝรั่งเศส จะสนับสนุนเราในการทำสงครามทุกสงคราม และสนับสนุนเราในด้านอาวุธและการค้าขายในแถบเมดิเตอร์เรเนียนอีกด้วย ดัชเชส เบิร์นเซนต์ไฮน์”
“……แต่ประเทศของเรานั้นไม่ได้จะทำสงครามกับใครในตอนนี้เพค่ะฝ่าบาท และเรื่องอาวุธกับการค้าขายนั้นก็ไม่จำเป็นแม้แต่น้อย เพค่ะ เราชาว Fronterize ยืนหยัดด้วยตัวเองมานาน 200 ปี โดยไร้ซึ่งศัตรู และเราไม่จำเป็นแม้แต่น้อยที่ต้องพึ่งพวกเขา”
“ใช่ๆๆ!!!.........”
“ไม่จำเป็นเลย!!”
“ใช่ๆๆ!!”
ทางเหล่าสภาการเมืองต่างสนับสนุน ดัชเชส เบิร์นเซนต์ไฮน์ เต็มที่.... ทางพระเจ้า Luce นั้นก็ฟังคำของนางและนำมาพิจารณาเช่นกัน แต่แล้ว
“พวกท่านไม่ลองมองในแง่มุมของการทหารบ้างล่ะ!!”
เสียงเข้มของชายหนุ่มดังมาจากสภาทหาร แน่นอนทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังที่ต้นเสียงนั้น.... ชายในชุดเครื่องแบบทหารสีดำสนิทเต็มยศลุกขึ้นยืน....เขาคือใน 1 จอมพลแห่งกองทัพ Fronterize… Richards Reymonds ลูกครึ่ง อังกฤษ – กรีก...ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็น 1 ในจอมพลที่ เจนจัดในการทำศึก เขาจ้องยัง ดัชเชส เบิร์นเซนต์ไฮน์...ด้วยสายตาที่ดูไม่เป็นมิตร
“การที่เราไม่ยอมเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสนั้นเป็น ข้ออ้างชั้นดีในการประกาศสงครามกับเราในอนาคต!!...ในตอนนี้ฝรั่งเศส มีฐานกำลังที่ออสเตรีย อยู่เหนือหัวเราไปไม่กี่ร้อยไมล์เอง พวกเขาสามารถโจมตีเราได้ทันทีหากคิดจะทำ และกองทัพของเรานั้น......ก็อาจพ่ายแพ้”
“ทำไมพูดแบบนี้ว่ะ!!!”
“ใช่ๆ Fronterize ยังไม่พร้อมกับสงคราม!!”
“ไม่เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสมันก็ประกาศสงครามกับเราอยู่ดี”
ดูเหมือนว่าจะเริ่มเกิด 2 เสียงขัดแย้งกันระหว่าง สนับสนุน องค์ดัชเชส และ สนับสนุน ท่านจอมพล ทางกษัตริย์ Luce นั้นก็ไม่ได้ห้ามอะไรเพราะอยากฟังว่าความเห็นของทั้ง 2 ฝั่งนั้นเป็นอย่างไร
“ท่านจอมพล...ฝรั่งเศสถ้าอยากจะเปิดศึกกับใคร มันก็หาข้ออ้างได้ตลอด!! ต่อให้เป็นพันธมิตรก็เถอะ ท่านดูอย่าง อังกฤษสิ เป็นมิตรได้ไม่ถึงก็กลับมาทำสงครามกันอีกแล้ว พวกมันเป็นชาติที่ไม่เคยไว้ใจได้มาแต่โบราณกาลแล้วค่ะ....”
“แล้วท่านอยากให้ข้าทำสงครามกับมันรึไง!!! องค์ดัชเชส....งั้นท่านลองมาบัญชาการกองทัพดูไหม จะได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่อง ที่สตรีที่วันๆเอาแต่นั่งขัดเล็บจะมาทำได้ง่ายๆ”
“………วิสัยทัศน์ของท่านช่างคับแคบยิ่งนัก..อาจจะถูกของท่านถ้ามองในแง่การทหาร แต่ประชาชน Fronterize นั้นไม่ได้นิยมชมชอบชาวฝรั่งเศสแม้แต่น้อย ....เนื่องด้วยสงครามศักดิ์สิทธิเมื่อ 200 ปีก่อน ฝรั่งเศสนั้นทรยศหมู่ชาวคริสต์ หันไปจับมือกับ ออตโตมันเติร์ก....อาณาจักร Fronterize ถือกำเนิดจากความศรัทธาในศาสนา ความศรัทธาที่ทำให้พวกเราแข็งแกร่ง แต่ในวันนี้พวกท่านกับอยากให้เราจับมือกับ ผู้ทรยศศาสนา..ไม่คิดบ้างรึประชาชนจะต่อต้านเรา!!”
“ใช่ๆ........!!”
“ใช่ๆ........ ฝรั่งเศสมันเป็นพวกเจ้าเล่ต์!!”
ทางจอมพล Richard นั้นพูดไม่ออกได้แต่ยืนอ้ำอึ้ง ก็จริงอยู่เพราะว่าเขาเป็นทหารเลยมองแต่มุมมองด้านเดียว หาได้มองเรื่องวัฒนธรรมและประชาชนไม่....
“ที่ท่านพูดดูมีเหตุผล ดัชเชส ..ข้าเห็นด้วยกับองค์ ดัชเชส
“ข้าๆ!!”
“ข้าๆ!!”
“ข้า!!”
แน่นอนว่าเสียงส่วนใหญ่นั้นเอนเอียงไปทาง “ไม่เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส” ต้องเรียกได้ว่าเกือบ 3 ใน 4 ของสภาก็ว่าได้ ในขณะที่คณะนายทหารบางส่วนในสภาทหารนั้นยังคงเข้าข้างท่านจอมพล Richards แต่เสียงส่วนน้อยนั้นย่อมแพ้เสียงส่วนมาก ทางพระเจ้า Luce เลยประกาศอย่างเป็นทางการ
“เป็นอันเอกฉันท์....Fronterize จะไม่เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส!!”
“เฮ!!!!!!”
“เราจะไม่เป็นมิตรกับพวกทรยศศาสนา!!”
เหล่านักการเมืองส่วนใหญ่ของ Fronterize ต่างปรบมือและโห่ร้องด้วยความยินดี...ในการตัดสินใจของ Fronterize ครั้งนี้ มีเพียงท่านจอมพล Richard และเหล่านายพลในคณะของเขาเท่านั้นที่หน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์กับผลการตัดสินนี้เท่าไหร่ เขาพร้อมกับคณะของเขาลุกขึ้นยืนและเดินเบียดเหล่าสมาชิกสภาทั้งหลายไปด้วยความหัวเสีย.....แน่นอนว่าเขากำลังจะกลับ..ทางพระเจ้า Luce เห็นกริยาของจอมพลของเขาแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ในขณะที่ องค์ดัชเชส นั้นยิ้มกริ้มอย่างได้ใจ.......แม้แต่อาณาจักรเล็กๆอย่าง Fronterize ก็ส่อแววปัญหาการเมืองในภายภาคหน้าเช่นกัน
พระราชวัง Buckingham , London , Englands , British Empire 12 มิถุนายน ค.ศ . 1806
ณ ลอนดอน เมืองหลวงของจักรวรรดิอังกฤษอันยิ่งใหญ่ ซึ่งในวันนี้เหล่าฝูงชนมากมายบหมื่นต่างมารายล้อมนับพระราชวัง Buckingham พวกเขานั้นต่างแหงนหน้าขึ้นไปมองบนระเบียงของพระราชวัง… เหมือนกำลังรอคอยใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ ……. นั้นก็มีรถม้าคันหนึ่งซึ่งดูเด่นเป็นสง่าเนื่องจากมีธงตราสัญลักษณ์กองทัพอังกฤษโบกไสวอยู่ด้านบน… แน่นอนว่าต้องเป็นคนในกองทัพอังกฤษแน่นอนที่อยู่บนนั้น กระจกของรถม้าแง้มลงเล็กน้อย เผยให้เห็น ชาย 2 คนในรถม้า พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีดำ หน้าตาทั้ง 2 นั้น ดูละม้ายคล้ายกัน ผมสีน้ำตาล คิวน้ำตาล นัยน์ตาสีเขียว อย่างคนไอริช ….. แต่คนหนึ่งดูสูงวัยกว่าอีกคนราวๆ 20 ปี……. ชายที่ดูสูงวัยกว่านั้นเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน
“Arthur พ่อคิดถึงลูกมากเลยรู้ไหม?? ไปอยู่ดินเดียมา ปีกว่า ได้อะไรมั้ง??”
“ก็ได้ ประสบการณ์รบล่ะมั้ง พ่อ… 555 แต่ตั้งแต่ผมกลับมา นี่บ้านเมืองก็เปลี่ยนไปเยอะน่ะ … การเมืองเอย ประชาชนเอย อะไรหลายๆแหล่มันดูน่าปวดหัวเหลือเกิน”
“ใช่ น่ะสิ ในตอนนี้ขั้วอำนาจแห่งอังกฤษกำลังเปลี่ยน แล้วเราต้องเลือกข้างให้ถูก ลูกรัก….”
“Henry Graham อะไรนั้นน่ะ…. รู้สึกว่าจะเป็น ชาวเวลส์ ใช่ไหมถ้าผมจำไม่ผิด”
“ใช่… เขาคนนี้เป็นเพื่อนของ Will Bradley เพื่อนสนิทของลูกเลยน่ะ พ่อว่าลูกน่าจะเข้าขากับเขาได้ดี”
“อืม……….. นั้นไงเขามาแล้ว”
“ไหน!!!!!!!”
ทางคนเป็นพ่อ นั้นได้แง้มกระจกมากขึ้นเพื่อจะได้ดูเหตุการณ์ภายนอกให้ชัดเจน แน่นอนเหล่าฝูงชนที่อยู่ภายนอกนั้นก็ฮือฮาเช่นกันเมื่อ มีคนกลุ่มหนึ่งออกมายืนบริเวณระเบียงของพระราชวัง Buckingham ในตอนนี้ ….. ชายชราภาพในผ้าคลุมสีแดงขนสัตว์กับมงกุฎของเขานั้น กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ติดล้อ… ส่วนชายที่ยืนอยู่ข้างเขานั้น เป็นชายหนุ่มวัยราวๆ 30 ต้นๆ หนวดเคราหรอมแหรม ผมสั้นสีน้ำตาล หน้าตาหล่อเหลาพอควร
“พระเจ้าจอร์จ จงเจริญ!!”
“ไอ้หนุ่มนั้นใคร!!!”
“พระเจ้าจอร์จ ทรงหายประชวรแล้วรึ!!”
“ข้ารักพวกเจ้าทุกคนชาวอังกฤษ!!”
อยู่ดีๆพระเจ้าจอร์จ ก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งของเขาทำเอาประชาชนนั้นเฮกันถ้วนหน้า พระเจ้าจอร์จ โบกมือไปมาตอบรับพสกนิกรช้าๆอย่างไร้เรี่ยวแรง รอยยิ้มของเขานั้นดูไร้เดียงสาราวกับเด็ก 5 ขวบซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย…. ชายที่ยืนข้างเขานั้น แสยะยิ้มเล็กน้อยดูมีเลศนัย...... เขาเมียงมองไปยังด้านล่างก็พบกับฝูงชนชาวอังกฤษมากมายกำลังจับจ้องมายังเขาด้วยความสงสัย ว่าไอ้บุรุษผู้นี้คือใคร แม้จะชนะคะแนนเสียงในสภา แต่ชาวอังกฤษส่วนใหญ่นั้นก็ยังหาได้สนับสนุนเขา.... เพราะยังไม่มีใครรู้จักเขาเลย!! Henry Graham เดินออกมาทำให้เหล่าฝูงชนเห็นเขาชัดเจนขึ้น...เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกล่าวปราศรัยต่อหน้าสาธารณชน
“สวัสดี ชาวอังกฤษ ทุกท่านกระผมท่าน Court Henry Graham แห่ง Lemmington 1 ในสมาชิกสภาแห่งเวลส์...และในตอนนี้ กระผมได้ดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนแผ่นดินแห่งจักรวรรดิอังกฤษ”
“หา....ผู้สำเร็จราชการแทน งั้นรึ!!”
“มันเป็นใครกัน!!!”
“……….อยู่ดีๆไปดำรงตำแหน่งนี้ได้ไง!!”
เหล่าฝูงชนเริ่ม ฮือฮากันเมื่อทราบถึงสถานะ Henry พวกเขาต่างยังสับสนและงงงวยกับกระแสการเมืองที่แปรปรวนไปมายิ่งกว่ากระแสน้ำ!! ทาง Henry นั้นยังคงพูดต่อด้วยความมั่นใจ
“มันไม่สำคัญว่าข้าจะเป็นใครมาจากไหน....แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งนักคือสิ่งที่ข้ากำลังจะกระทำต่างหาก!!”
เหล่าประชาชนต่างหยุดฮือฮาและหันไม่สนใจ Henry Graham อีกครั้ง แน่นอนพวกเขาอยากฟังไอ้ชายผู้นี้มันตั้งใจจะทำประการใด เมื่อเห็นว่าฝูงชนกลับมาสนใจตนหมดเขาก็พูดต่อ
“นี้คือศตวรรษที่ 19!! นี้ยุคใหม่ ยุคที่ต้องการคนกล้า ยุคที่ต้องการคนที่มีความสามารถมากกว่าคนที่มีตระกูลสูงส่ง!!... และข้าจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้าคือคนยุคใหม่!!....... เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมากองทัพของจักรวรรดิอังกฤษกว่า 40,000 นายได้ละลายหายไปทั้งกองในเยอรมัน!! ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก ที่กองทัพอันเกรียงไกรของเราต้องมาพ่ายแพ้เช่นนี้...”
“ใช่ๆ...”
“น่า อับอาย!!”
“เราต้องแก้มือ!!”
“แต่สงครามครั้งนี้ยังไม่จบ!!! ตราบใดที่เจ้าปีศาจร่างแคระยังอยู่ เราชาวอังกฤษก็ยังคงต้องยืนหยัดสู้กับมัน!!!! พวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันโค่นล้มจักรวรรดิปีศาจฝรั่งเศส เราต้องสร้างกองทัพใหม่!!....ผลิตอาวุธออกมาให้มากขึ้น!! เหล่าชายฉกรรจ์ต้องไปเป็นทหาร ในขณะที่ผู้หญิง และ เด็ก ช่วยในการผลิตยุทธปัจจัย!! ในขณะที่ ราชนาวีอันแข็งแกร่งของเราจะระรานการค้าขายของพวกมันในทุกทิศทาง!! นี้คือ สงครามเบ็ดเส็จ!!”
“ใช่ โค่นล้ม นโปเลียน!!”
“ทำลายไอ้พวกฝรั่งเศสซะ!!”
“ขยี้พวกมันให้เละเหมือนที่ Trafalgar เลย!!”
“เราและพันธมิตร ปรัสเซีย และ รัสเซีย จะร่วมมือกันขยี้ฝรั่งเศส 3 มหาอำนาจแห่งยุโรป จักรวมพลังกันขับไล่อิทธิพลอันชั่วร้ายของ นโปเลียน!!!”
“เฮ!!!!!!”
“ใช่ ขับไล่ นโปเลียน!!”
“สงครามครั้งนี้เราต้องชนะ!!”
“Rule Britannia!!”
“Rule Britannia!!”
เราฝูงชนอังกฤษต่างส่งเสียงเฮกันอย่างล้นหลามเมื่อได้ฟัง นโยบายอันแข็งกร้าวของ Henry ส่วน Henry นั้นยิ้มแย้มที่ตนนั้นประสบความสำเร็จในการปราศรัย บัดนี้ฝูงชนอังกฤษหนุนหลังเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกัน บนรถม้าของ 2 พ่อลูก......พวกเขาก็ได้ยินเสียงปราศรัยชัดเจนเช่นเดียวกัน และดูเหมือนคนพ่อจะถูกอกถูกใจกับคำปราศรัย ในขณะที่คนลูกชื่อ Arthur นั้นถอนหายใจอย่างหนักใจ
“เป็นไงล่ะ......คำปราศรัยของเขาร้อนแรงยิ่งกว่าไฟจากปากกระบอกปืนใหญ่ซะอีก.....ในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาหยุดไอ้หนุ่มไฟแรงผู้นี้ได้แล้วล่ะลูก..”
“พูดได้ก็พูดไป เพราะไอ้คนที่เหนื่อย มันพวกผมไงพ่อ....หางานมาให้ทำตลอดเลย ไอ้พวกรัฐสภา!!”
“มองโลกในแง่ดีสิ Arthur ในตอนนี้ทหารในกองทัพนั้นนิยมชมชอบลูกตั้งแต่ผลงานในอินเดีย และถ้าลูกเกิด ชนะฝรั่งเศส ขึ้นมา ลูกได้กลายเป็นวีรบุรุษในตำนานเหมือนท่าน Lord Nelson แน่..”
“ขอให้ผมโชคดีอย่างงั้นล่ะกัน.......ว่าแต่เรากลับได้ยัง ผมอยากไปเจอแม่แล้ว!!”
“เอาไปสิ รออะไรล่ะ คฤหาสน์ Wellesley ยินดีต้อนรับ ไอ้ลูกชาย!!........เอ้ากลับ!!”
หลังจากฟังการปราศรัยจบทาง หัวหน้าตระกูล Wellesley ก็สั่งให้รถม้าเคลื่อนกลับ คฤหาสน์ของพวกเขา...ในขณะที่ คนลูก Arthur Wellesley นั้นดูจะเหนื่อยหน่ายกับสงครามที่ไม่จบไม่สิ้นเหลือเกิน....แต่แน่นอนว่าเส้นทางอาชีพของเขายังไปได้สวยและไฟของสงครามก็ยังครุกครุ่น......อังกฤษยังคงต้องการฮีโร่ที่จะนำกองทัพไปสู่ชัยชนะ ฮีโร่ที่จะทำให้อังกฤษนั้นเจิดจรัสเหนือชาติอื่น!!
|
|