Video Placeholder
Chapter 1 : Library of Lies
นิวยอร์ก , สหรัฐอเมริกา
.
.
.
เรือนจำ ริคเกอร์ส ไอส์แลนด์ – 10.37 น.
เรือนจำ ริคเกอร์ส ไอส์แลนด์ คือหนึ่งในคุกที่มีชื่อเสียงและนับว่าโหดมที่สุดในโลก เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยอาชญากรระดับหัวแถวของอเมริกา และปัจจุบัน มันถูกปรับให้ทันสมัยขึ้นเพื่อรองรับการเข้ามาของเหล่าอาชญากรที่มี “ความสามารถพิเศษ” แน่นอน เราไม่ได้พูดถึงอาชญากรที่มีฝีมือในการเล่นพันด้าย เย็บปักถักร้อย เรากำลังพูดถึงอาชญากรที่เป็นภัยต่อโลกนี้ และมีความสามารถมากพอที่จะก่อคดีสะเทือนขวัญโลกทั้งใบ
และในชั้นใต้ดินสุดของเรือนจำแห่งนี้ คือสถานที่พิเศษสำหรับตัวชูโรงที่ถือเป็นพระเอกคนใหม่ประจำเรือนจำแห่งนี้ มันคือคุกควบคุมแรงโน้มถ่วงขนาดใหญ่ ทั้งห้องทำด้วยวัสดุพิเศษที่ไม่นำไฟฟ้าแบะปราศจากโลหะ มันคือห้องที่ถูกออกแบบมาเพื่อต้อนรับอาชญากรป้ายแดง “อลัน อาร์เมอร์” โดยเฉพาะ
ชายเคราดำเจ้าของทรงผมสกินเฮดใช้ชีวิตในห้องขังที่ว่างเปล่า และยากที่จะเคลื่อนไหวตัวได้เนื่องด้ยแรงโน้มถ่วงที่แตกต่างจากโลกภายนอก สิทธิในการเข้าห้องน้ำ 1 ครั้งต่อวัน อาหารหลักและอาหารว่างครั้งละ 1 มื้อต่อวันเช่นกัน สิ่งเดียวที่ทำให้อลันยังมีกำลังใจอยู่ในนรกอันว่างเปล่านี้คือรูปถ่ายครอบครัว ที่เขาใช้เวลาวันละเกือบ 10 ชั่วโมงในการจ้องมองมัน
--------------------------------------------------------
1 เดือนเศษก่อนหน้านี้
“พี่ไปเอาเงินมากขนาดนี้มาจากไหน” หญิงสาวผมบลอนด์กล่าวกับอลัน เธอคนนี้คือ “อเล็กซา คอฟแมน” น้องสาวแท้ๆ ของอลัน สายตาของเธอมองไปยังกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ที่อลันถืออยู่ ข้างในนั้นเต็มไปด้วยธนบัตรสกุลดอลล่าร์สหรัฐมากมาย
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก อเล็กซา เก็บเงินนี้ไว้ ไม่ต้องบอกพ่อแม่ว่าได้มาจากฉัน เดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องใหญ่ บอกพวกเขาว่าเป็นเงินที่เธอหามาได้” อลันกำชับน้องสาวของเขา
“คราวนี้จากใครล่ะ ธนาคาร เศรษฐี หรือ ประชาชนธรรมดา ต้องมีอีกกี่คนที่ต้องเดือดร้อนเพื่อพวกเรา” ท่าทีประชดประชันจากน้องสาว
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรือพ่อแม่ อเล็กซ์! ฉันเป็นคนทำ เป็นคนเอามา เดิมทีเงินพวกนี้มันก็ไม่ใช่ของพวกเขาอยู่แล้ว” อลันกล่าวพลางตบบ่าของอเล็กซาอย่างแรงก่อนจะกล่าวต่อ
“โลกมันก็แบบนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีชีวิตสุขสบายได้ หากไม่ยอมเสียสละอะไรบางอย่าง”
“แบบที่พี่ยอมเปลี่ยนนามสกุล ไปทำเรื่องพวกนี้เพื่อให้พวกเราปลอดภัยงั้นเหรอ?” อเล็กซาขัดขึ้น
“รับมันไปเถอะได้โปรด ลืมมันซะ ฉันจะแบกรับทุกอย่างไว้เอง พวกเขาจะตราหน้าฉันว่าอะไรก็ได้ แต่ฉันจะทำหน้าที่พี่ชายของเธอ และลูกของพ่อกับแม่เอง ฉันต้องไปแล้ว” ผู้เป็นพี่กล่าวก่อนจะหันหลังและกำลังจะเดินจากไป
“ฉันอยากมีเรื่องจะขอร้องพี่…ในฐานะน้องสาว” น้องสาวของอลันพูดขึ้น ทำให้ชายหัวโล้นหันกลับมามอง
“เป็นพี่ชายของฉันและคนดีของสังคม…อลัน ตอนนี้ยังไม่สาย มันยังพอมีเวลา ฉันอยากให้พี่คนเดิมกลับมา อลัน คอฟแมน”
--------------------------------------------------------
“แบบนี้มันดีแล้วจริงๆ งั้นเหรอ? อเล็กซา” อลันมองรูปของครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งเขา น้องสาว และพ่อแม่
เหนือหัวของอลันขึ้นไป บนพื้นดิน ป้อมปราการขนาดใหญ่ ที่สูงที่สุดใน เรือนจำ ริคเกอร์ส ไอส์แลนด์ บนชั้นบนสุดของป้อมปราการ คือระเบียงสำหรับทหารยามที่ใช้เข้าเวร ปกติจะมีการพลัดเปลี่ยนทุกๆ 3 ชั่วโมง แต่วันนี้แปลกไปจากทุกที
คราบเลือดที่นองอยู่บนพื้นถูกทับด้วยร่างไร้วิญญาณของทหารยามทั้ง 3 นาย เหนือร่างของพวกเขาปรากฏชาย 3 คนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ก่อเหตุที่น่าสยดสยองนี้ คือ 3 นักฆ่าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในระดับ Top 3 ของโลก ที่มักจะสลับอันดับกันอยู่เป็นประจำในลิสต์ของแต่ละประเทศทั่วโลก เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่พวกเขาปรากฏตัวพร้อมกัน เพราะในอดีต พวกเขาไม่เคยมีประวัติการทำงานร่วมกันมาก่อน
ชายคนแรกสวมหน้ากากสีแดง เขาอยู่ในชุดรัดรูปสีดำสวมเสื้อทับสีน้ำตาลด้านนอกคล้ายพวกทหาร รู้จักกันดีในชื่อ “เฮล ไรเดอร์” นักฆ่าคู่บุญของ The Myth องค์กรก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก เขาถือเป็นอาชญากรประสบการณ์สูงที่โลกต้องการตัวมานานกว่าสองทศวรรษ
ข้างเขาคือ “จาไมส์ วู” สัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์ นักฆ่าในชุดเกราะทรงประหลาดผู้นี้ ถูกเรียกว่า “นักล่า” มากกว่า “นักฆ่า” เนื่องจากเหยื่อของเขามักมาจากการสนองความต้องการของตัวเองมากกว่า บนโลกมีชื่อเรียกเขาที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละทวีป ไม่ว่าจะเป็น เบอร์เซอร์เกอร์ , ฮันเตอร์ หรือ พรีเดเตอร์
คนสุดท้ายคือนักฆ่าที่เพิ่งจะมาสั่นคลอนโลกในช่วงหลัง แต่ความสามารถที่โดดเด่น ทำให้เขาก้าวกระโดดมาเป็นแนวหน้าของวงการได้ไม่ยาก ความลับมากมายที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดเกราะสีเขียวของเขา โลกเรียกเขาว่า “โครนัส”
“เริ่มกันได้หรือยัง” เฮล ไรเดอร์ พูดขึ้น
“ฉันจะอยู่ที่นี่” เสียงของโครนัสดังขึ้น ทำเอาเบอร์เซอร์เกอร์หันมามอง
“พนันได้ว่าพวกนายต้องการคนช่วยสังเกตการณ์ข้างนอก” โครนัสยังกล่าวต่อ
“ฉันไม่เคยคิดว่าจะเจอคนที่คิดว่าตัวเองอยู่เฉยๆ แล้วจะได้เงิน” เบอร์เซอร์เกอร์ พูดขึ้นเชิงประชดประชัน
“ถูกของแก เพราะปกติพวกที่อยู่เฉยๆ มักจะตาย ส่วนคนที่ขยับตัว ก็ได้เงิน” โครนัสยังกล่าวต่อ เขาไม่ได้ดูรู้สึกผิดอะไรกับคำพูดของตัวเอง พลางมองมือของตัวเองราวกับเช็คความสะอาดเรียบร้อย
“เก็บกวาดข้างนอกให้ด้วย มีพวกเวรยามเต็มไปหมด ส่วนเรา ไปกันได้แล้ว เบอร์เซอร์เกอร์” เฮล ไรเดอร์ กล่าว ก่อนจะเดินลงจากยอดหอคอย เบอร์เซอร์เกอร์ มองหน้าโครนัสเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไป
ทั้ง 2 เดินไปยังอาคารเรือนจำ เบอร์เซอร์เกอร์หันหน้ากล่าวกับ เฮล ไรเดอร์
“แผนว่าไง”
“เราไม่ใช่นักโทษ…ฉนั้นเดินเข้าไปเลย แบบสามัญชน” ชายหน้ากากแดงตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเรือนจำ
“หรือก็คือไม่มีแผน” เบอร์เซอร์เกอร์ประชดประชันเพื่อนร่วมทีม ก่อนจะเดินตามไป
“อัดให้แหลก ฆ่าให้เรียบ แล้วพาเขาออกมา นั่นแหละแผน” เฮล ไรเดอร์ กล่าวจบ ก่อนจะดึงปืนลูกซองด้านหลังของเขาออกมาจากซองปืน
“ฉึก!” เสียงชักปืนลูกซองของ เฮล ไรเดอร์ เหมือนเป็นสัญญาณให้เบอร์เซอร์เกอร์เตรียมพร้อม
“เกม ออน” ชายหน้ากากแดงถีบประตูเรือนจำเข้าไป เหล่าบรรดายามเฝ้าเวร และผู้คุมข้างในห้องโถงหันขวับมามองพร้อมกัน ใบหน้าพวกเขาตกใจกึ่งสับสนที่มีชายแต่งกายประหลาด 2 คนพร้อมอาวุธครบมือบุกมายังเรือนจำที่ขึ้นชื่อว่าเคี่ยวที่สุดในโลกแห่งหนึ่งกลางวันแสกๆ แบบนี้
หนึ่งในยามเฝ้าประตูลั่นขึ้นก่อนเตรียมจะหยิบปืนของเขาออกมาจากซอง
“นี่มันอะไรวะเนี่…”
“โพ่ง!” “ฉึกกก” เสียงปืนดังขึ้นจากปลายกระบอกลูกซองของ เฮล ไรเดอร์ เป่าสมองของยามคนนั้นแหลกกระจุย
เหล่าผู้คุมคนอื่นๆ ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ พวกเขาเตรียมรับมือกับสถานการณ์นี้ทันควัน แนวหน้าดึงกระบอกเหล็กหวังเข้าไปรวบตัวชายหน้ากากแดง ในขณะที่แนวหลังชักปืนออกมา เข้าหาที่กำบังของตัวเองเตรียมยิงสนับสนุน
“ฉึก!” “อั่กกกกก” เสียงดังมาจากแนวหลัง กรงเล็บปริศนาแทงทะลุอกของเหล่าผู้คุม 2 คนท้ายสุด เจ้าของผลงานคือเบอร์เซอร์เกอร์ ไม่มีใครรู้ว่าเข้าลอบมาข้างหลังได้อย่างไร และตั้งแต่เมื่อไหร่
“ซึบบบบ” เบอร์เซอร์เกอร์บรรจงดึงร่างไร้วิญญาณของผู้คุมทั้ง 2 ออก จากกรงเล็บของเขา ร่างของเหล่าผู้คุมร่วงไปนอนกองกับพื้น ผู้คุมรายอื่นๆ กำลังตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“โพ่งงงงงง” เสียงเปิดฉากยิงจาก เฮล ไรเดอร์ เริ่มขึ้นอีกครั้ง เขาเหนี่ยวไกถล่มใส่แนวหน้าที่หวังจะฟาดเขาด้วยกระบองเหล็กอย่างไม่มียั้ง เบอร์เซอร์เกอร์ใช้ กงจักรของเขาปาไปเด็ดชีวิตของเหล่าผู้คุมที่ยิงสนับสนุนอยู่วงนอก ก่อนจะใส่กรงเล็บทั้ง 2 ข้างของเขาพุ่งไปเก็บเหล่าผู้คุมรอบตัวเขา จากนั้นเหตุการณ์นองเลือดจากศิลปิน 2 คนก็เริ่มขึ้น เหล่ากำลังสนับสนุนจากผู้คุมคนอื่นๆ ก็ถูกสังหารเรียบ ภายในระยะเวลาอันสั้น เรียกได้ว่าเป็นการสังหารหมู่จากอาชญากรเพียงแค่ 2 ราย
อาคารเรือนจำที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ร่างไร้วิญญาณของเหล่าชายในเครื่องแบบที่เปรอะเปื้อนด้วยสีแดง สร้างความตะลึงให้เหล่านักโทษในห้องขัง บ้างก็ส่งเสียงกู่ร้องส่งเสียงเชียร์ยินดี บ้างก็หวาดกลัวกับ 2 สัตว์ประหลาดตรงหน้า
“เละเทะ เสียงดัง ไม่สมเป็นแกเลย ได้ยินมาว่าเป็นพวกใช้หัวกว่านี้นะ ไรเดอร์” เบอร์เซอร์เกอร์กล่าวกับ เฮล ไรเดอร์
“แกได้ยินมาไม่ผิดหรอกจาไมส์ เพียงแต่บางทีฉันก็ชอบเก็บงานแบบรวดเดียว มันช่วยประหยัดเวลา อีกอย่างงานของเราไม่ใช่การมาเสียเวลากับคนพวกนี้ ฉันจะลงไปด้านล่างเอง ส่วนแก…” ชายหน้ากากแดงยังพูดไม่ทันจบ เพื่อนร่วมงานในชุดเกราะก็กล่าวแทรกขึ้นมา
“ฉันจะอยู่ที่นี่…นักโทษพวกนี้โปรไฟล์ดี ฉันขอ” เบอร์เซอร์เกอร์กล่าว
“จัดการให้เรียบร้อยล่ะ พวกมันเห็นทุกอย่างแล้ว” ชายหน้ากากแดงตอบ ก่อนจะเดินลงลิฟต์ตรงหน้าเขาไป
ชายในชุดเกราะเผยให้เห็นแววตาที่ดูหิวกระโหย เขาใช้ปืนพลาสม่าบนหัวไหล่ของเขายิงไปตามกรงเหล็กเพื่อปลดปล่อยเหล่านักโทษ เหล่าผู้เคยกระทำความผิดเดินออกมา มีทั้งพวกออกมาฉลองดีใจ บางส่วนยังนั่งหวาดกลัวอยู่ในวง
เบอร์เซอร์เกอร์มองด้วยความพอใจ ก่อนจะดึงหอกยาวออกมาจากซองอาวุธด้านหลังของเขา ชายชุดเกราะพูดขึ้น
“เวลาอาหาร…อีตัวทั้งหลาย! พระมาโปรดแล้ว”
--------------------------------------------------------
แม้คุกริคเกอร์สแห่งนี้มีชั้นใต้ดินเพียงชั้นเดียว แต่มันถูกขุดลึกลงไปหลายเมตร เพราะชั้นล่างสุดแห่งนี้ มีไว้สำหรับขังนักโทษชายเพียงรายเดียว และเขาคนนั้นกำลังเป็นที่ต้องการของ 3 ทหารเสือมือสังหารที่บุกมาถึงที่นี่
ใช้เวลาสักพักก่อนที่ลิฟต์เดินทางลงมาถึงจุดหมาย ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก ชายในเครื่องแบบคนหนึ่งถือปืนจ่ออยู่แล้ว
“ยกมือขึ้นแล้วทิ้งปืนลง!!” ชายคนนั้นตะคอก ด้านหลังของเขาคือผู้คุมเวรยามเกือบสิบชีวิตที่ยืนเรียงรายขวางกั้นประตูห้องปริศนาเป็นทางยาวลึกลงไป พวกเขาเหล่านั้นมีอาวุธปืนครบมือ และกำลังจ่อไปที่ประตูลิฟต์ตัวดังกล่าว ผู้คุมเหล่านี้ถูกจัดมาประจำเวรที่ชั้นนี้โดยเฉพาะ พูดง่ายๆ คือ พวกเขาคือเหล่ายามที่มีหน้าที่รับผิดชอบนักโทษที่เป็นเป้าหมายของผู้บุกรุก เป็นไปได้ว่าพวกเขารู้สึกตัวได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ชั้นบน อาจจะเพราะเสียงดัง หรือวิทยุสื่อสารก็ตาม แต่หากการจะดักรอใครสักคนที่จะออกมาจากลิฟต์ละก็ ฟอร์เมชั่นแบบนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
แต่ทว่า….เบื้องหน้าของผู้คุมเจ้าของคำพูด กลับไม่ปรากฏเงาของใครยืนอยู่ในลิฟต์เลย
“เป็นไปไม่ได้… พวกมันจะต้องลงลิฟต์ตัวนี้ลงมานี่นา” ผู้คุมกล่าวด้วยความสงสัย เหล่าเวรยามด้านหลังลดปืนของตัวเองลง ผู้คุมหันมามองเพื่อนร่วมงานด้วยความสงสัยราวกับต้องการความเห็นของบรรดาสมาชิก
“ตึง!” เสียงกระทบกันของโลหะดังขึ้นในลิฟต์ มันคือวัตถุสีดำคล้ายปืนลูกซองที่ถูกโยนลงมา
“ทิ้งปืนแล้ว” น้ำเสียงที่เยือกเย็นน่าขนลุกดังขึ้นหลังผู้คุม ชายหน้ากากแดงทิ้งตัวลงมาจากเพดานลิฟต์ บรรจงใช้มีดของเขาแทงทะลุหัวของผู้คุมคนดังกล่าวล้มตึงพร้อมจังหวะลงสู่พื้นของเขา ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเวรยามคนอื่นๆ
“ยิงแม่งเลย!” เสียงตะโกนจากแนวหลัง ก่อนที่เวรยามคนอื่นๆ จะยกปืนขึ้นมาเตรียมเปิดฉากกระหน่ำยิง เฮล ไรเดอร์ ดึงมีดออกมาจากหัวผู้คุม พร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉอกออกมา เขาปามีดเล่มดังกล่าวพุ่งตรงไปปักหัวผู้คุมที่ยืนอยู่แนวหน้า ก่อนจะวิ่งฝ่าห่ากระสุนที่กระหน่ำพุ่งเข้าหาตัวเขาราวพายุฝน
มือสังหารใต้หน้ากากแดงหลบกองทัพกระสุนเหล่านั้นได้อย่างเนียนตาและน่าเหลือเชื่อ นี่คือเส้นหนาและใหญ่ที่กั้นระหว่างคนธรรมดาและสุดยอดมือสังหารแบบเขา
เฮล ไรเดอร์ พุ่งเข้าไปดึงมีดเล่มเดิมออกจากศรีษะของผู้คุมไร้วิญญาณ แล้วลงมือสังหารผู้คุมเวรยามที่เหลืออีกเกือบสิบที่ชีวิต ทีละคน ทีละคน ด้วยมีดเพียงเล่มเดียว
ชั้นล่างสุดของเรือนจำริคเกอร์ส ถูกฉาบไปด้วยสีแดงฉานของเลือดเช่นเดียวกับชั้นอื่น
ชายหน้ากากแดงเดินข้ามศพของผู้เสียชีวิตแล้วตรงดิ่งไปยังประตูทางเข้าห้องขังพิเศษ มันคือประตูบานใหญ่ที่ถูกป้องกันอย่างแน่นหนาด้วยรหัส เขาก้มลงไปค้นตัวของศพผู้คุมข้างเท้าของเขา คว้าเอาอะไรบางอย่างมา ลักษณะของมันคล้ายบัตรเอทีเอ็มที่เต็มไปด้วบบาร์โค้ดและรหัสอะไรบางอย่าง เขารูดมันเพื่อสแกนราวกับรู้ขั้นตอนว่าอะไรเป็นอะไร
“ยกเลิกโหมดควบคุมแรงโน้มถ่วง กลับสู่สภาวะปกติ” เสียงของคอมพิวเตอร์ดังออกมาจากวงจรสแกนนั้น
เฮล ไรเดอร์ หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากซองหนังตรงเข็มขัดของเขา มันคือวัตถุทรงสี่เหลี่ยมสีดำ มีชิบคล้ายสลักเสียบอยู่ เขาติดมันกับตัวล็อคประตู แล้วดึงชิบออก
“บึ้มมมม” ระเบิดขนาดเล็กที่วงไม่ใหญ่นักถูกทำงาน วงจรล็อคแบบไฟฟ้าถูกทำให้เสียหาย ประตูห้องขังถูกเปิดออก
“ซู่ววววว” เสียงประตูเลื่อนออก ควันจำนวนมากพุ่งออกมาจากห้อง นักโทษชายหัวโล้น ผู้เป็นเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้
“อลัน อาร์เมอร์” ยืนรออยู่ในห้อง ราวกับเขารู้ว่ามีอะไรกำลังมา
“อาชญากรหมายเลขหนึ่งของอเมริกา คนเหล็กแห่งออสติน เท็กซัส อลัน อาร์เมอร์…ไม่สิ…ฉันควรแรกแกว่า…”
“อลัน คอฟแมน” เสียงพูดของชายหน้ากากแดงดังขึ้น กลุ่มควันเหล่านั้นค่อยๆ หายไป ปรากฏภาพของสองอาชญากรตัวเป้งกำลังยืนจ้องหน้ากันอยู่
“ทำถึงขนาดนี้…แกต้องการอะไร” อลันกล่าวพลางมองศพของเหล่าผู้คุมที่นอนเรียงรายตายอยู่ด้านหลังของ เฮล ไรเดอร์
“คนที่ต้องการไม่ใช่ฉัน”
“และถ้าพูดให้ถูก เขาต้องการพลังของแก” เฮล ไรเดอร์ กล่าว
“ไม่ว่าอะไรที่แกกำลังมองหา มันไม่มีแล้วที่นี่ ฉันเลิกแล้ว…กลับไปซะ” อลันกล่าวเสียงแข็ง สายตาของทั้งคู่ยังคงจ้องกันอย่างไม่ลดละ
“มีแน่…”
“น้องสาวของแก…ใครนะ อเล็กซ์? อเล็กซา คอฟแมน เธออาศัยอยู่กับพ่อแม่สินะ พี่ชายที่เป็นหัวเรือหลักมาติดคุกอยู่ที่นี่ คงขาดรายได้ไปพอสม…”
“กึงงง” อลันชูมืขึ้นไปข้างหน้า กระชากอาการเข้าหาตัว แต่สิ่งที่ตามมาด้วยคือร่างของง เฮล ไรเดอร์ พูดให้ถูกคือหัวเข็มขัดเหล็กของชายหน้ากากแดงที่อลันดึงเข้ามา นักโทษชายใช้มือข้างเดิมคว้าหมับไปที่คอของนักฆ่าคนดังกล่าว ในขณะที่มีดในมือของ เฮล ไรเดอร์ ก็จ่ออยู่ที่คอของอลันเช่นกัน
“ฟังนะไอโม่ง! กูไม่รู้ว่าใต้หน้ากากมึงเป็นใคร แต่ถ้ามึงยังมาทำรู้มากเรื่องครอบครัวกูอีก คอบางๆ ของมึงจะไม่มีวันได้กลับมาตั้งตรงอีก ทิ้งมีดมึงซะ คิดว่าเศษเหล็กนั้นจะแทงกูเข้างั้นเหรอ”
“สุภาพหน่อยไอโล้น คนเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก หัวล้านใจน้อยหรือไง? แกคิดว่าการที่ฉันฝ่าดงกระสุน ฆ่าตำรวจตายเป็นเบือ สืบเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับแก ลงทุนมาถึงขนาดนี้ เพื่ออะไรล่ะ เพื่อนของฉันอีก 2 คนอยู่ข้างนอก เลิกทำตัวโง่ๆ ซักที”
อลันมอง เฮล ไรเดอร์ ไม่ละสายตา เขารู้ด่าสิ่งที่ชายหน้ากากแดงพูดนั้นมันก็จริง และท่าทางของชายที่กำลังโดนเขาบีบคอก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย อลันตัดสินใจปล่อยคอของ เฮล ไรเดอร์ ลง
“ครอบครัวของฉันไม่เกี่ยว เรื่องนี้มันเกี่ยวกับฉันเท่านั้น” อลันกล่าว
“นั้นมันก็เรื่องของแก ฉันไม่ได้จะเอาครอบครัวของใครมาขู่อยู่แล้ว นั่นมันวิธีพวกสวะมันทำกัน” ชายหน้ากากแดงกล่าวพลางบิดคอไปมาราวกับเช็คความเรียบร้อย
“ไงนะ” อลันถามด้วยความสงสัย
“ฉันก็แค่สืบเรื่องของแกก่อนมาที่นี่ แกรักครอบครัวมากใช่ไหม โดยเฉพาะน้องสาวของแก และที่ยอมมาอยู่ในคุกบ้าๆ นี่ก็เพราะเหตุผลบ้าๆ นั่น ทั้งๆ ที่แกก็รู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่แกต้องการ นี่ไม่ใช่ที่ของแก”
“มีคนยื่นข้อเสนอมาให้กับแก”
“ทำงานให้กับเขา แลกกับเงินที่มากเกินพอที่จะทำให้ครอบครัวของแกสบายไปทั้งชาติ พร้อมทั้งลบประวัติอาชญากรรมทั้งหมดให้ ตัวตนและอดีตของ อลัน อาร์เมอร์ จะหายไป แกจะได้กลับไปเป็น อลัน คอฟแมน…หมายถึงถ้าเสร็จงานแล้วละนะ” ชายหน้ากากแดงกล่าวแบบรวดรัด
ข้อเสนอเหล่านั้นทำให้อลันตาลุกวาว มันคือสิ่งที่อาชญากรที่คนถึงประสงค์ ถ้าเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ มันคือการเริ่มต้นใหม่จริงๆ ไม่ใช่นั่งรอชดใช้กรรมจากชีวิตเก่าจนตายที่นี่ อลันรู้ดี
“แต่ก็นะ หน้าที่ของฉันคือมารับแกไป การเจรจาข้อตกลง พวกเขาให้สิทธิแกเต็มที่ อยากได้อะไร ค่อยไปคุยกันที่นู่น เรามีเวลาไม่มาก” ชายใต้หน้ากากแดงกล่าวต่อ
“แล้วถ้าฉันปฏิเสธล่ะ” อลันขัดขึ้น
“จ่ายค่าจ้างฉันกับเพื่อนอีก 2 คนด้วยการรับข้อหาพยายามแหกคุกพร้อมสังหารหมู่ผู้คุมและนักโทษยกเรือนจำแทนพวกเรา” ชายหน้ากากแดงพูดพลางชี้ไปทางกองศพที่นอนเรียงรายอยู่ อลันมองตามไป เขารู้ดีว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร
“ไปกันได้แล้ว” อลันกล่าว เฮล ไรเดอร์พยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะเดินนำหน้าอลันไป ทั้งคู่ตรงไปหน้าลิฟต์ตัวเดิม
“ปัง!!” กระสุนปริศนาพุ่งมาจากด้านหลังเข้าหา เฮล ไรเดอร์ ก่อนที่ชายหน้ากากแดงจะหลบได้ทันควัน
เจ้าของกระสุนคือหนึ่งในผู้คุมที่ยังมีชีวิต เขานอนจมอยู่ในกองเลือดและเล็งปืนเข้าหาอาชญากรทั้งสอง ลมหายใจของเขาเบาและช้าลงเต็มที อลันใช้พลังแม่เหล็กของเขาดึงปืนออกมาจากมือของผู้คุมคนดังกล่าว ก่อนจะหันปืนกลับไปยังเจ้าของคนนั้น แล้วสั่นกระสุนดับชีวิตผู้คุมคนดังกล่าวให้พ้นเวรพ้นกรรม
“ไม่ต้องขอบใจ” อลันกล่าว
“ไม่อยู่แล้ว” ชายหน้ากากแดงกล่าว ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไปแบบไม่สนใจอะไร อลันมองศพของผู้คุมคนดังกล่าว ก่อนจะเดินตามเพื่อนใหม่ไป
--------------------------------------------------------
บริเวณชั้นบน ลิฟต์ถูกเปิดออก อลันและ เฮล ไรเดอร์ เดินออกมา ตรงหน้าของพวกเขาคือกองศพขนาดใหญ่ที่นอนทับกันอยู่ดุจภูเขาขนาดย่อม นั่นคือร่างของเหล่านักโทษทั้งหมดในเรือนจำนี้ เบอร์เซอร์เกอร์คือเจ้าของผลงานทั้งหมดนี้ เขานั่งบรรจงทำความสะอาดดาบอยู่บนยอดของกองร่างไร้วิญญาณ
“ไปกันได้แล้วจาไมส์” เฮล ไรเดอร์ พูดขึ้นก่อนจะเดินผ่านซากศพกองนั้นไปแบบไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
เบอร์เซอร์เกอร์ไถลลงมาจากกองศพเหล่านั้นราวกับเด็กที่สไลด์ลงมาจากบ้านบอลลูน แล้วเดินตาม เฮล ไรเดอร์ ไป อลันเดินตามหลังทั้งคู่ พลางมองไปที่ภูเขามนุษย์ไร้วิญญาณ เขายิ้มก่อนจะเดินตามทั้งคู่ออกจากตึกไป
บริเวณนอกตึกเต็มไปด้วยศพของเหล่าผู้คุมให้เห็นเป็นระยะ เจ้าของความวินาศสันตะโรนี้คือโครนัส ชายทั้ง 3 เตรียมเดินขึ้นไปสบทบกับโครนัสเพื่อเตรียมกำลังเสริมมารับออกจากเกาะเรือนจำแห่งนี้
“พั่บๆๆๆ” เสียงเฮลิคอปเตอร์ปริศนาบินอยู่เหนือหัวของอาชญากรทั้งสาม
“ฮ. ของพวกตำรวจ มันกำลังหนี หรือว่ากำลังเสริม” อลันมองขึ้นไป กล่าวด้วยความสงสัย
“สไนเปอร์” เบอร์เซอร์เกอร์กล่าว
บนเฮลิคอปเตอร์ปรากฏชายในเครื่องแบบกำลังเล็งปืนสไนเปอร์ไรเฟิลมาทางพวกเขา ฮ. นั่นอยู่สูงเกินกว่าที่ชายสามคนจะทำอะไรได้
“โครนัส ตาแก…ได้เวลาร่วมปาร์ตี้แล้ว” เฮล ไรเดอร์ กล่าวใสวิทยุสื่อสารที่สวมอยู่ที่หู
ชายในชุดเกราะเขียวบนหอคอยสูงสังเกตเห็นเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวมาพักนึงแล้ว เขาถอดเข็มขัดออกมาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมัน คล้ายอาวุธปืน แล้วเล็งไปหา ฮ. ลำนั้น ระยะของเขากับมันไม่ไกลกันมาก
“ฟิ้ววว” เสียงปืนสไนเปอร์ดังขึ้นบนเฮลิคอปเตอร์ กระสุนสั่งตายพุ่งเข้าหาหนึ่งในสามอาชญากรด้านล่าง
“Pause” โครนัสกล่าวเบาๆ วินาทีนั้นทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ทั้งเฮลิคอปเตอร์และมือสไนเปอร์ รวมไปถึงชายด้านล่างทั้ง 3 โครนัสลั่นไกปืนออกไป กระสุนชองเขายังค้างอยู่ในอากาศ ชายในชุดเกราะเขียวค่อยๆ เดินลงจากหอคอยอย่างใจเย็น เขาค่อยๆ ตรงไปยังเพื่อนร่วมทีมทั้ง 3 คน ก่อนจะเอื้อมมือไปตรงหน้าของ เฮล ไรเดอร์ แล้วคว้ากระสุน สไนเปอร์ ไรเฟิล ที่จ่ออยู่ตรงหน้าของชายหน้ากากแดง
“เป๊าะ” โครนัสดีดนิ้วของเขาด้วยมืออีกข้าง เวลากลับมาเดินเหมือนเดิม กระสุนปืนบนหอคอยของโครนัสพุ่งเข้าหาเครื่องยนต์ของเฮลิคอปเตอร์จนระเบิดสิ้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหวบนท้องฟ้า
“ช้าโคตร” โครสนัสกล่าว ก่อนจะเดินนำไป
“หาร 3 เหมือนเดิมสินะ” เบอร์เซอร์เกอร์พูดขึ้น ก่อนจะเดินตามโครนัสไป
อลันมองสิ่งที่โครนัสทำเมื่อครู่ ท่าทีของเขาดูตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่ชายหัวโล้นจะหันไปคุยกับ เฮล ไรเดอร์
“ไม่ให้มันทำงี้แต่แรก”
“ก็ไม่รู้ว่ามันทำได้” ชายหน้ากากแดงตอบก่อนจะเดินตามทั้งคู่ไป อลันมองทั้ง 3 ด้วยความไม่เข้าใจในตัวของนักฆ่าทั้ง 3 คนนี้ซักนิด ก่อนจะเดินตามไปอีกคน
--------------------------------------------------------
ลอนดอน , ประเทศอังกฤษ
.
.
.
งานพิธีเปิดหอสมุด เกรเทอร์ โบโร่ 14.40 น.
Greater Borough Library (GBL) คือว่าที่หอสมุดแห่งใหม่ใจกลางกรุงลอนดอนที่กำลังจะถูกบันทึกว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน หนังสือและสิ่งพิมพ์ต่างๆ เกือบร้อยล้านรายการ มันคือดินแดนแห่งหนังสือที่เกินกว่ามนุษย์คนไหนจะจินตนาการได้ หอสมุดขนาดใหญ่สีขาว สวยงาม หรูหรา ถูกประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ดูแปลกตา ที่แห่งนี้คือสมบัติของเศรษฐีหน้าใหม่นาม “จอร์จ เจมส์”
และในวันนี้คือฤกษ์งามยามดีที่หอสมุดแห่งนี้จะถูกเปิดทำการ โดยมี ทอม กัลลาเกอร์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษให้เกียรติเป็นประธานในพิธีดังกล่าว
“และกระผม นายกรัฐมนตรี ในนามของ ทอม กัลลาเกอร์ รู้สึกขอขอบคุณอย่างยิ่ง ที่คุณ จอร์จ เจมส์ เลือกกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษแห่งนี้เป็นที่ตั้งของหอสมุดประวัติศาสตร์อย่างจีบีแอล และให้เกียรติกระผมมาเป็นประธานการในพิธีเปิดหอสมุดครั้งนี้ บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว กระผมขอเปิดหอสมุดเกรเทอร์ โบโร่ และขอให้หอสมุดแห่งนี้ ประสบความสำเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ดังที่คุณ จอร์จ เจมส์ และทุกๆ ท่านคาดหวังทุกประการ”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวทันทีที่ชายหนุ่มผมดำในชุดสูทกล่าวจบ ทอมเดินลงจากเวทีพลางทักทายแขกที่มาร่วมงานอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะรีบปลีกตัวเดินตรงไปหาหญิงสาวผมสั้นดำหน้าตาสะสวย “บาบารา ซินเนียร์” ที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง เธอคือไฮโซสาวในชุดเดรสสีน้ำเงินกรมคนนี้คือ CEO ของ “มิดไนท์ คิส” บริษัทจัดการธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมและที่พักรายใหญ่ของอังกฤษ ถ้าจะหาหญิงสาวที่งดงามและโดดเด่นที่สุดในงานคงเป็นเธอ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คนที่กำลังเข้าหาเธอคือบุคคลระดับนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ทำเอาหนุ่มๆ หลายรายที่รายล้อมเธอต่างต้องคอยหลีกทางกันเป็นแถบ
“นายกรัฐมนตรี วีรบุรุษขี่ม้าขาวผู้เป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ แต่ประหม่าในการพูดกับคนไม่ถึงพันเนี่ยนะ” บาบาร่ากลั้นขำเบาๆ ก่อนจะพูดกับทอมที่เดินมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดี
“ไม่เอาน่าบรู๊ค! ผมว่าผมพูดดีแล้วนะ” ทอมพูดพลางถอนหายใจ เขายิ้มพร้อมส่ายหัว ก่อนจะกล่าวกับบาบาร่า
“เห็นเขาหรือยัง”
สิ้นคำถามของทอม หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าบรู๊คก็หันหน้าไปทางอีกฝั่งหนึ่งของมุมห้อง ปรากฏเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ชายดูเป็นหนุ่มวัยกลางคน เขาสวมแว่นหนาเตอะ อยู่ในชุดสูท เขาคือ “ดอกเตอร์ อากิโมโตะ ไทกิ” อัจริยะผู้โด่งดังผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ Capture & Punish ที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก ข้างกายของเขาคือเด็กสาวผมดำยาววัยไล่เลี่ยกับบรู๊ค เธออยู่ในชุดราตรีสีดำ ดวงตาสีฟ้าส่องประกายเป็นเอกลักษณ์ของเธอบ่งบอกได้ว่าเธอคือ CP48 ไซบอร์กสาวผู้โด่งดัง ผลงานชิ้นเอกของไทกิ
“เห็นแล้ว…เห็นมาตลอดทั้งงาน ไม่มีตอนไหนเลยที่รู้สึกว่าเขาไม่ใช่ตัวอันตราย”
“งานวิจัยของเขาที่ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกจะถูกนำมาวางไว้ที่หอสมุดแห่งนี้ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะยืมหนังสืออะไรละก็ ฉันแนะนำเล่มนั้นเลย” บรู๊คกล่าว
“ไปกัน” ทอมกล่าว พลางหันหลังเตรียมจะเดินไปที่ชั้นหนังสือ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก ด้านหลังของเขาคือชาย 2 ที่เดินมาหาพวกเขาพอดี คนหนึ่งคือชายผมขาวเจ้าของหอสมุดนาม “จอร์จ เจมส์” ส่วนอีกคนคือชายผมดำที่ไม่มีใครคุ้นหน้าคุ้นตามากนัก
“ไงท่านนายก ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริงที่ให้เกียรติมาเป็นประธานในงานของผม คุณซินเนียร์ คุณก็เช่นกัน เป็นเกียรติมากที่บุคคลระดับคุณมาร่วมงานนี้” จอร์จกล่าวกับทอมและบรู๊คด้วยน้ำเสียงสุภาพและเป็นกันเอง
“ผมยินดีจอร์จ ประเทศของผมส่งเสริมนโยบายการอ่านและคลังความรู้” ทอมกล่าวพร้อมจับมือกับจอร์จ
“คุณเจมส์คะ นั่นคือ…” บรู๊คมองไปยังชายด้านหลังจอร์จ เขาเหมือนกำลังประหม่ากับบรรยากาศแห่งความหรูหรารอบตัว บรู๊คถามด้วยความสงสัย
“อ้อ ใช่! นี่คือเพื่อนของผม อาเธอร์ แอช นักเขียนบทภาพยนตร์ แบบว่า ทำงานเบื้องหลังน่ะ ผลงานของเขาที่ถูกตีพิมพ์แต่ละเรื่องจะถูกนำมาวางที่หอสมุดแห่งนี้เช่นกัน” จอร์จกล่าวพลางตบไหล่ของชายนามอาเธอร์ เขาสะดุ้งโหยงราวกับได้สติ ก่อนจะรีบยื่นมือไปจับมือกับแขกผู้มีเกียรติทั้งสอง
“อาเธอร์ แอช งั้นเหรอคะ? ดิฉันเคยเห็นงานของคุณ มันยอดเยี่ยมมากเลย” บรู๊คกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานที่พอจะกระชากใจหนุ่มที่คนที่ได้รับมัน เว้นเสียแต่พวกรักครอบครัวแบบอาเธอร์
“ขอบคุณครับ ไม่เคยคิดเลยว่างานของผมจะเป็นที่รู้จักขนาดนั้น” อาเธอร์ออกอาการเขินเล็กน้อย ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะได้เจอแฟนที่ปลื้มผลงานของตัวเอง
“ต้องรู้สิคะ ดิฉันเป็นแฟนหนังดีนะคะไม่ใช่หนังดัง” บรู๊คกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ แบบน่ารัก
“เธอบอกว่าหนังคุณมันไม่ดัง” ชายผมขาวกระซิบข้างหูของอาเธอร์
“เงียบน่า ฉันรู้แล้ว” อาเธอร์กล่าวเบาๆ กลับไป เขาดูเสียฟอร์มไม่น้อย
อาเธอร์หันไปยิ้มแห้งๆ ให้กับบรู๊ค อย่างน้อยๆ ก็แสดงให้เธอได้เห็นว่าเขาภูมิใจที่ยังมีคนจดจำผลงานของเขาได้ แต่เขาก็สังเกตุเห็นเด็กสาวชาวเอเชีย ผมสีดำขลับของเธอยาวสลวย หน้าตาน่ารักกำลังเดินมาทางด้านหลังของบรู๊ค เด็กสาวคนนั้นเอื้อมมือมาแตะที่มือของไฮโซสาวชาวอังกฤษ บรู๊คหันไปหาหญิงสาวที่จับมือของเธอด้วยความประหลาดใจ
“ว่าไง ยูกิ มีอะไรงั้นเหรอ?” บรู๊คกล่าวกับเด็กสาวคนนั้นอย่างเป็นกันเอง ราวกับบ่งบอกความสนิทสนมของทั้งคู่
“โธ่ คุณน้า… อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียวสิคะ” เด็กหญิงที่ถูกเรียกว่ายูกิตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ปนความเขินอายนิดๆ เธอคนนี้คือ "ยูกิ ซินเนียร์" เด็กสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น และ บาบาร่า ซินเนียร์ นั้นมีศักดิ์เป็นน้าสาวของเธอ แม้ว่าทั้งคู่จะอายุห่างกันเพียง 7 ปีก็ตาม
“น้าบอกแล้วไง ทำตัวตามสบาย หาอะไรอร่อยๆ ทานไปก่อน น้ามีธุระต้องคุยกับท่านนายกและคุณเจมส์” บรู๊คหันไปตอบหลานสาวของเธอด้วยรอยยิ้มพลางเอาแตะที่แก้มของยูที่ยูกิเหมือนจะงอนเธออยู่หน่อยๆ
“หลานสาวคุณงั้นหรือครับ คุยกันเยอะๆ ก็สนุกดีนะครับ” จอร์จกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอแนะนำนะคะ นี่ ยูกิ ซินเนียร์ หลานสาวของดิฉัน เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ โรงเรียนของเธอเพิ่งปิดเทอม คุณพ่อของเธอเลยส่งเธอมาฝึกงานกับฉัน”
บรู๊คแนะนำตัวหลานสาวของเธอให้กับทั้ง 3 คนรู้จัก ก่อนจะหันไปกล่าวกับยูกิ
“ยูกิ ส่วนนี่ คุณ ทอม กัลลาเกอร์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ , คุณ จอร์จ เจมส์ ผู้ก่อตั้งหอสมุดแห่งนี้ และ คุณ อาเธอร์ แอช นักเขียนบทภาพยนตร์”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ยูกิ…จัง คนญี่ปุ่นเขาเรียกกันแบบนี้หรือเปล่า” ทอมพูดขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือจะไปขอจับมือกับยูกิ
เด็กสาวนามยูกินิ่งเฉย ก่อนขยับตัวไปหลบหลังน้าสาวของเธอ ทำเอานายกรัฐมนตรีของอังกฤษยืนเก้อไปสักพัก ก่อนจะรู้สึกขนลุกอย่างน่าประหลาด บุคคลระดับนายกรัฐมนตรีถูกเด็กนักเรียนวัย 18 ปีทำให้รู้สึกหวาดระแวงได้งั้นเหรอ? ไม่ใช่แค่กับทอม แต่อาเธอร์ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศมาคุนี้เช่นกัน บรู๊ครับรู้ได้ถึงเรื่องนั้น เธอเหมือนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะพยายามที่จะเปลี่ยนบรรยากาศ
“คนแก่อายุใกล้เลข 3 จะมาขอจับมือเด็กผู้หญิง ที่ญี่ปุ่น แบบนี้น่ะมันน่ากลัวนะ” บรู๊คกล่าวแกมหยอกทอม นายกรัฐมนตรีหนุ่มหัวเราะแห้ง ก่อนจะลูบหัวตัวเองแบบเขินๆ
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวขนาดนั้นหรอกนะ ยูกิจัง” หนุ่มผมขาวนาม จอร์จ เจมส์ เดินมาพูดกับยูกิ ด้วยรอยยิ้ม
ยูกิมองไปยังในตาของจอร์จ มันดูจริงใจอย่างน่าประหลาด แต่มันก็แฝงไปด้วยความหมายที่มีแค่เขากับเธอเท่านั้นที่จะเข้าใจ สายตาและรอยยิ้มของบุรุษนาม จอร์จ เจมส์ ดูบริสุทธิ์และปราศจากความกลัว มันทำให้ใจของยูกิรู้สึกสงบลง
“คุณ….คิดว่ามันไม่น่ากลัวงั้นเหรอคะ” ยูกิถามกลับ เธอดูคาดหวังกับคำตอบพอสมควร
“เพล้งงงงง” เสียงกระจกแตกดังขึ้นอย่างกะทันหัน ยูกิสะดุ้งเฮือก ในขณะที่บรรดาแขกผู้ร่วมงานหันไปมองยังจุดเกิดเหตุด้วยความตกใจ พวกบรู๊คก็เช่นกัน
หน้าต่างทุกบานของหอสมุดใหม่เอี่ยมแตกเป็นเสี่ยง เศษแก้วร่วงกราวลงสู่พื้นราวกับห่าฝนวันฟ้าถล่ม
“นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย!” อาเธอร์สบถขึ้น ทันใดนั้นอะไรบางอย่างสีดำก็กรูกันพุ่งเข้ามาทางช่องกระจกที่แตก พวกมันคือกลุ่มแสงสีดำรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่มีปีกนกสีดำคู่ใหญ่อยู่บนหลังของพวกเขา แขกผู้ร่วมงานกรีดร้องและพากันวิ่งหนีกับภาพที่เกิดขึ้น เว้นแต่พวกของบรู๊คที่ยืนจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสับสน พวกเขาคือกลุ่มคนที่มีสติที่สุดในงาน เพราะในเบื้องลึกแล้ว พวกเขาคือคนที่ชินชากับเรื่องราวแปลกประหลาดเหล่านี้ และจอร์จสังเกตเห็นปฏิกิริยาเหล่านั้น
ฝูงอมนุษย์แสงติดปีกสีดำพุ่งเข้ามาจับตัวของบรรดาแขกผู้ร่วมงาน แล้วพาบินขึ้นไป ทันใดนั้นเอง หนึ่งในพวกมันก็ลอบมาทางด้านหลัง แล้วคว้าหมับไปที่คอของ จอร์จ เจมส์ มันกระชากร่างของเขาขึ้นบินไปบนอากาศ แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะสร้างความไม่เข้าใจมากมายแห่งพวกบรู๊ค แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะมานั่งเรียบเรียงเหตุการณ์
“คุณอาเธอร์ ผมว่าคุณควรจะรีบหนีไป ผมจะจัดการที่นี่เอง” ทอมกล่าวกับอาเธอร์ นักเขียนบทภาพยนตร์หนุ่มรู้ดีว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร โลกนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก “มิสเตอร์ อิเล็กโตร” นายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษผู้ใช้สายฟ้าผู้นี้
“ขะ…เข้าใจแล้วครับ” อาเธอร์กล่าวจะรีบวิ่งหนีไป
“บรู๊ค เราต้องจัดการมัน ผมอย่างให้คุณช่วยเหลือผู้คนด้านล่าง อย่าให้พวกมันจับใครไปเพิ่ม ช่วยพวกเขาหนีไป”
“ผมจะไปช่วยจอร์จกับคนอื่นๆ เอง” ทอมกล่าวก่อนจะพุ่งไปหาอมนุษย์เหล่านั้น รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้ารอบตัว บรู๊คเข้าใจแผนของทอมดี เธอหันมากล่าวกับยูกิ
“ฟังนะยูกิ รีบวิ่งไปที่รถ บอกคนขับรถให้กลับโรงแรมไปได้เลย เดี๋ยวน้าจะตามไป…”
“ไม่ค่ะ! หนูจะอยู่ด้วย! หนูไม่ใช่เด็กๆ แล้ว” ยูกิขัดขึ้น
“ยูกิ!” บรู๊คหันมาขึ้นเสียงกับยูกิ ผู้เป็นหลานสาวตกใจเล็กน้อย บรู๊คถอนหายใจก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ฟังนะ นี่ไม่ใช่แบบที่เราเคยคุยกัน นี่มันคือของจริง และน้ายังไม่อยากให้เธอต้องมาเสี่ยงอันตราย เกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมาพ่อเธอบ่นน้าหูชาแน่ๆ และน้าคงจะไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอด”
“น้าเป็นคนบอกหนูเองนี่คะ ว่าพลังของหนูสามารถทำประโยชน์อะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่” ยูกิยังคงพยายามโน้มน้าว
“น้ารู้ แต่…” บรู๊คตอบ เธอรู้ดีว่าสิ่งที่ยูกิพูดนั้นถูกต้อง
“สักวันพลังของหนูจะใช้ช่วยผู้คนได้ ไม่ใช่ทำให้ใครกลัว น้าพูดอยู่ตลอด ว่าหนูเป็นแบบน้าได้” คำพูดของยูกิทำเอาบรู๊คจ้องมองไปยังหลานสาวของเธอ เธอไม่เคยเห็นสายตาที่ดูเข้มแข็งขนาดนี้มาก่อนจากตัวของยูกิ เธอถอนหายใจอีกรอบ ก่อนจะตอบยูกิด้วยรอยยิ้มนิดๆ
“ผิดแล้วยูกิ…น้าอยากให้เธอเป็นได้มากกว่าที่น้าเป็น”
บรู๊คหันหลังไป เธอมองไปยังอมนุษย์ติดปีกเหล่านั้นพลางชักมีดเล่มหนึ่งขึ้นมา มันเปรียบเสมือนอาวุธคู่กายของฮีโร่หญิงที่โด่งดังที่สุดในอังกฤษ มีดของ “มิดไนท์” เธอพูดขึ้น
“ถ้าเผลอบอกพ่อเธอ ปีหน้าน้างดให้มาฝึกงานนะ วาย”
“ค่ะ” ยูกิตอบด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเธอดูมีความสุข
อาเธอร์วิ่งออกมาจากกลุ่มของพวกบรู๊ค เขาไม่ได้วิ่งไปยังทางออกเหมือนเช่นคนอื่นๆ เขาวิ่งมายังห้องน้ำ ใส่กลอนประตูเรียบร้อย ก่อนจะยืนพิงประตู ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนจะหยิบบางอย่างคล้ายผ้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา
มันคือหน้ากากไหมพรมและถุงมือสีขาวที่ชาวฟิลาเดลเฟียคุ้นกันดี อาเธอร์ถอนหายใจก่อนจะสวมถุงมือคู่นั้นทันที ชายผมดำจ้องมองหน้ากากไหมพรมสีขาวบนมือของเขาเหมือนคิดอะไรบางอย่าง เขากล่าวให้กำลังใจตัวเองเบาๆ
“ไม่มีใครรู้จักเรา เราคือคนแปลกหน้า นายควรทำ อาเธอร์” ชายผมดำสวมหน้ากากไหมพรมดังกล่าว ก่อนจะรีบเปิดประตูห้องน้ำออกไป เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชายผมขาวนาม จอร์จ เจมส์ ปรากฏตัวขึ้นในทีวีของเขา และวันนี้เขามาโผล่ที่อังกฤษ มีสัตว์ประหลาดสีดำเข้าโจมตีหอสมุด มันไม่ใช่เรื่องที่เขาเข้าใจเลยซักนิด
บริเวณห้องโถงหอสมุดที่ใช้เป็นสถานที่ทำพิธีเปิดดูวุ่นวาย ผู้คนวิ่งหนีกันชุลมุน บ้างก็เหยียบกันเอง ไซบอร์กสาวตาสีฟ้าเปล่งประกาย กำลังมองและวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาคอมพิวเตอร์ของเธอ มันน่าแปลกที่ระบบของเธอไม่สามารถวิเคราะห์อมนุษย์สีดำที่บินว่อนอยู่ทั่วห้องสมุดได้
“ฉันวิเคราะห์มันไม่ได้ พวกมันเหมือนกับ….อากาศ?” ไซบอร์กสาวกล่าวด้วยความประหลาดใจ เธอหยิบบางอย่างในกระเป๋าหนังสีดำของเธอออกมา มันคือวัตถุสีดำ เธอกดปุ่มตรงด้านข้าง วัตถุนั้นแตกออกแล้วกลายเป็นปืนกลเบาขนาดพอดีมือ เธอเตรียมจะออกตัวไปช่วยเหลือผู้คนในงาน
“ฉันต้องไปช่วยพวกเขา” เธอกล่าว
“ไปกันได้แล้ว CP48 เธอต้องพาฉันออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้” อากิโมโตะ ไทกิ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยไปด้วยความหวั่นใจอยู่พอสมควร
“พวกนั้นกำลังจะจับคนบริสุทธิ์ไป หน้าที่ของฉันคือช่วยพวกเขา” ไอพ่นบริเวณฝ่าเท้าของ CP48 พุ่งออกมา เธอลอยขึ้นไปในอากาศ หันหลังไปเตรียมปฏิบัติงาน น้ำเสียงของเธอยังคงนิ่งเรียบ แต่ดูออกชัดเจนว่าลึกๆ แล้วเธอไม่พอใจขนาดไหน
“หน้าที่ของเธอคือปฏิบัติตามคำสั่ง ไคริ!” ดอกเตอร์หนุ่มตะคอกเสียงดัง การข่มขูทางน้ำเสียงและสายตาดูเหมือนว่าชายคนนี้จะมีอำนาจในตัว CP48 ไม่น้อย
CP48 กัดฟันกรอด เธอดูไม่พอใจ ก่อนจะกลับมาสงบสติอารมณ์ ใบหน้าของเธอดูเหมือนเด็กสาวที่ไร้ซึ่งความสุข
“เข้าใจแล้วค่ะ ดอกเตอร์” เธอบินมาหาไทกิ ก่อนจะคว้ามือของดอกเตอร์หนุ่มแล้วบินออกไป เธอหันหน้ากลับมามองหอสมุดที่โดนโจมตีอย่างไม่ละสายตา
ฝูงอมนุษย์ติดปีกดักทางปิดตายทางออกของหอสมุดแหงนี้ พวกมันกลุ่มหนึ่งราว 3-4 ตัว พุ่งดิ่งลงสู่พื้นหวังจะจับตัวบรรดาแขกที่กำลังวิ่งหาทางออก แต่ถูกฝูงควันคล้ายหมอกสีน้ำเงินพุ่งขึ้นมาดักหน้าอมนุษย์เหล่านั้น หมอกสีน้ำเงินที่ปกคลุมพวกมันบดบังทัศนวิสัยจดหมด ฮีโร่สาวนามมิดไนท์ที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มหมอกนั้นพุ่งเข้าไปหาพวกมันด้วยความเร็ว เธอใช้มีดตัดไปที่ปีกของพวกมันก่อนจะจัดการเชือดพวกมันอย่างรวดเร็ว แสงสีดำคล้ายมนุษย์สลายไปอย่างน่าประหลาด
“ช่วยพวกเขาหนี วาย” มิดไนท์ตะโกนบอกหลานสาวที่อยู่ด้านหลังของเธอ ที่มีหน้าที่คอยสนับสนุนมิดไนท์และช่วยเหลือผู้คนให้ออกไปจากที่นี่
เด็กสาวที่ถูกเรียกว่า ”Y” มองดูสถานการณ์รอบๆ ก่อนจะใช้หัวคิด เธอดูเหมือนจะพวกมันสมองที่เน้นใช้หัวมากกว่าแรง แขกในงานหลายคนตื่นกลัวจะไม่กล้าทำอะไร บ้างก็ตื่นตูมจนวิ่งไปทั่วห้องเมื่อไม่เจอทางออก
[พวกเขากำลังกลัวพวกมัน ราวกับว่านี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของพวกเขาเลย] ยูกิยืนหลับตาพลางใช้สมาธิและตั้งสติคิดในใจ
[สิ่งที่เราถนัดคือคุมความกลัวพวกนั้น ว่าแต่ จะทำยังไงดี? ถ้าเป็นน้าจะทำยังไง] เด็กสาวหันไปมองมิดไนท์ ผู้เป็นน้าหันมายิ้มให้หลานสาวของเธอด้วยความเชื่อมั่น
[จริงสิ…สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดไม่ใช่พวกมัน] เธอเหมือนเริ่มจะคิดอะไรออก
[แต่เป็นความตาย! เราจะใช้มันเป็นแรงผลักดัน] ยูกิลืมตาขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้ทั้งสองนิ้วของเธอแตะที่ข้างหัว ทันใดนั้นสถานการณ์รอบข้างก็เปลี่ยนไป
“ฉันมีลูกมีเมียนะ ไม่ยอมมาตายอยู่ที่นี่หรอก!” หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังโดนอมนุษย์สีดำคว้าตัวพยายามดิ้นอย่างสุดแรง
“ปล่อยฉันนะโว้ย ไอพวกตัวประหลาด” ชายวัยกลางคนรายหนึ่งที่ถูกพาให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า ฝืนความกลัวด้วยการเริ่มทุบตีร่างแสงสีดำนั้น
“ออกไปให้ห่างครอบครัวฉันเลย ไม่งั้นแกได้เจ็บตัวแน่” ชายแก่ในชุดสูทเอื้อมคว้าเก้าอี้ข้างตัวเขามาเป็นอาวุธด้วยท่าทีกล้าๆ กลัว หวังจะปกป้อครอบครัวที่อยู่ข้างหลังเขา
“อยู่ที่นี่มีแต่ตายกับตาย ฉันจะวิ่งฝ่าออกไป” ชายอีกคนตัดสินใจบนความกังวลของตัวเอง
“ฉันเอาด้วย” หญิงสาวรายหนึ่งพูดขึ้น
“ฉันด้วย” ชายอีกคนกล่าว
เสียงตะโกนดังขึ้นจากบรรดาแขกที่มาร่วมงาน มิดไนท์แอบยิ้มเบาๆ ด้วยความภูมิใจ ผลงานของหลานสาว จะทำให้เธอกับอิเล็กโตรทำงานได้สะดวกขึ้น
“เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ บึ้มมมม” เสียงกระแสไฟฟ้าจาก มิสเตอร์ อิเล็กโตร ที่พุ่งเข้าช็อตอมนุษย์ที่ขวางทางออกของหอสมุดระเบิดขึ้น เขาไม่รอช้าพุ่งกระโดดเข้าหาอมนุษย์ที่กำลังบินอยู่ ชาร์จหมัดสายฟ้าของเขาแล้วซัดใส่หน้าของหมัดจนกระเด็นไปติดกำแพง ก่อนที่จะรับตัวของผู้เคราะห์ร้ายลงมาส่งที่พื้น อมนุษย์ตัวเดิมทนแรงหมัดของอิเล็กโตรได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ก่อนจะพุ่งเข้ามาหวังจะล้างแค้นฮีโร่สายฟ้า อิเล็กโตรพุ่งเข้าไปเช่นกัน เขากระโดดถีบด้วยเท้าที่เต็มไปด้วยสายฟ้าของเขาซ้ำไปอีกหนึ่งที อมนุษย์ตัวนั้นแน่นิ่งในทันที
“ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกมันจะอึดขนาดนี้ ถ้าไม่ฆ่าให้ตาย จะน็อคมันได้นี่ไม่ง่ายเลย” อิเล็กโตรบ่นเบาๆ
ทันใดนั้นเอง อมนุษย์ตัวหนึ่งที่เห็นเพื่อนของพวกมันโดนจัดการ ก็บินเข้ามาหาอิเล็กโตรจากทางด้านหลังหวังที่จะล้างแค้น ในจังหวะที่ผู้ใช้สายฟ้าไม่ทันระวังตัว มันเอื้อมมือหวังจะคว้าไปที่คอของอิเล็กโตร
“กึกกก….” อมนุษย์สีดำตนนั้นถูกหยุดไว้ได้ ชายแปลกหน้าในชุดสูทพร้อมหน้ากากไหมพรมสีขาวพุ่งเข้ามาล็อคแขนของสัตว์ปีกตัวนี้ไว้ได้ทันเวลา เขาคือ The Stranger ฮีโร่จากฟิลาเดลเฟีย
“เกือบไปแล้ว” ดิ สเตรนเจอร์ กล่าวเบาๆ พร้อมถอนหายใจ
“นายคือ…” อิเล็กกล่าวกับชายหน้ากาก
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อมนุษย์อีกตัวก็พุ่งเข้ามาทางด้านข้างเข้าไปหาสเตรนเจอร์ มันง้างเท้าแล้วเตะไปที่ท้ายทอยของชายหน้ากาก แต่บุรุษใต้หน้ากากไหมพรมยืนนิ่งราวกับไม่รู้สึกอะไร อิเล็กโตรยิ้มด้วยความถูกใจ ก่อนจะกำหมัดแล้วพุ่งหมัดสายฟ้าไปซัดหน้าอมนุษย์ตัวที่เพิ่งขึ้นมาร่วมวงจนลงไปนอนกอง
ทั้ง 3 ฮีโร่ มิดไนท์ , มิสเตอร์ อิเล็กโตร และ ดิ สเตรนเจอร์ ต่างไล่กำราบเหล่าร้าย ภาพตรงหน้าสร้างความประทับใจให้กับยูกิที่จ้องมองอยู่ แววตาของเธอดูเป็นประกาย
“นี่นะเหรอของจริง…สุดยอดเลย” ยูกิกล่าว
“ใช่ไหมล่ะ? นี่แหละคือความสุดยอดที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ที่รู้จักใช้พลังของตัวเองให้เกิดประโยชน์” เสียงของผู้ชายดังขึ้น ยูกิรู้สึกคุ้นเสียงนี้อย่างน่าประหลาด เธอหันขวับไปหาที่มาของเสียง ดวงตาของเธอเบิกโพลง
“คุณ จอร์จ เจมส์” ยูกิกล่าวด้วยความสงสัย หลังเห็นชายเจ้าของหอสมุดที่น่าจะเป็นคนแรกๆ ที่ถูกจับตัวไป มิดไนท์หันไปหาที่มาของเสียงหลานสาวของเธอ แล้วรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“คุณเจมส์…ทำไมคุณ?” มิดไนท์กล่าว ในขณะที่ อิเล็กโตร และ สเตรนเจอร์ ก็สะดุดตากับเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นกัน
“ผมแค่อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว” บุรุษผมขาวนาม จอร์จ เจมส์ กล่าวด้วยน้ำเสียงพอใจ เขาชูมือขึ้นข้างหนึ่ง
“เป๊าะ” สิ้นเสียงดีดนิ้วของเขา สภาพแวดล้อมความโกลาหลหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีอมนุษย์สีดำติดปีก ในขณะที่แขกผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หอสมุดกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีอะไรเสียหาย ของที่ถูกตกแต่งในงานพิธีหายไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก่อนหน้านี้
“เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย” มิดไนท์สบถขึ้น
“นี่มันหมายความว่าอะไรกัน” อิเล็กโตรสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลเลยซักนิด
“คิดไว้อยู่แล้วว่าคุณต้องไม่ใช่คนธรรมดา…คุณเป็นใครกันแน่” สเตรนเจอร์กล่าว
“ผมต้องขออภัยที่หลอกพวกคุณทุกคน แต่งานพิธีเปิดและหอสมุดแห่งนี้ไม่เคยมีตัวตนและการกล่าวถึงบนโลกนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ล้วนเป็นของปลอม”
“จอร์จ เจมส์ เป็นนามสมมติที่ผมตั้งขึ้น เพราะไม่อยากให้ทุกคนตื่นตระหนกหากรู้ชื่อจริงของผม”
“ผู้เหนือกฎธรรมชาติทุกท่าน ชื่อของผมคือ การาเนช สเคลส์ หรือที่ทุกท่านรู้จักกันดีตามความเชื่อ”
“สเคลส์ที่ห้าแห่งโลกมนุษย์” ชายผมขาวนามการาเนชกางแขนออก พลางกล่าวอย่างสุภาพ บรรยากาศรอบห้องเงียบสงัด ราวกับอยู่ในช่วงเดดแอร์ คงไม่แปลกหากใครสักคนมาโชว์อภินิหารแล้วอ้างว่าตัวเองคือพระเจ้าแล้วคนรอบข้างจะตกอยู่ในสภาพอึ้งเช่นนี้ การาเนชแหมือนจะข้าใจดี
“….”
“….”
“….”
“นี่คุณน้า…คือใครหรอคะ สเคลส์ เนี่ย” ยูกิ เด็กสาวที่ดูจะเด็กที่สุดในที่นี่เริ่มต้นถามบรรดาผู้ใหญ่
“อะ…เอ่อ เรื่องนั้น” มิดไนท์กล่าวแบบตะกุกตะกัก
“….” อิเล็กโตรมองการาเนชด้วยความงุนงง
“ใครฟะ” สเตรนเจอร์กล่าวขึ้น
การาเนชยิ้มแห้งๆ ใบหน้าของเขาดูซีด ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหลบที่มุมห้องด้วยความสิ้นหวัง
“ทำไมมนุษย์ไม่รู้จักฉัน น่าจะมีบันทึกเรื่องของฉันในตำราบ้างสิ อย่างคณะเซราฟิม หรือพระเจ้า พวกเรื่องนรกสวรรค์ยังมีเลย @#$$%^%@”
“เหมือนเขาจะน้อยใจอยู่นะคะ” ยูกิกระซิบกับมิดไนท์เบาๆ
“แล้วตกลงแกเป็นใครฟะเนี่ย!?” สเตรนเจอร์พูดขึ้นท่ามกลางความสับสน
การาเนชลุกขึ้น ก่อนจะหันมาอีกครั้ง เขาตระเตรียมเรียบเรียงบทพูดใหม่อีกครั้ง
“ชื่อของผม ‘การาเนช สเคลส์’ สเคลส์ที่ห้าแห่งโลกมนุษย์ ผมคือผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลความเป็นไปของโลกมนุษย์”
“ผู้ดูแลความเป็นไปของโลกงั้นเหรอ?” อิเล็กโตรกล่าว
“ว่าแล้วเชียว” ยูกิกล่าวขึ้น
“มีอะไรงั้นเหรอ ยูกิ” มิดไนท์ถาม
“หนูว่ามันแปลกตั้งแต่เจอเขาครั้งแรก เขาดูไม่มีความกลัวอะไรเลย อันที่จริง… เขาไม่มีความรู้สึกอะไรเลยมากกว่า มันไม่เหมือนกับตอนที่หนูสัมผัสได้จากมนุษย์ทั่วไปนะค่ะ ก็เลยถามเขาออกไปแบบนั้น…” ยูกิตอบ
การาเนชยิ้มตอบ เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่ายูกินั้นทำอะไรได้ ชายผมขาวพูดขึ้น
“จะเรียกว่าไม่มีความรู้สึกก็ไม่ใช่ซักทีเดียวหรอกนะ อันที่จริง ผมเพิ่งจะได้รับรู้ความรู้สึกแรกของผมเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง”
“มันคือความกลัว”
“ผมไม่ได้ต้องการให้พวกคุณเชื่อผมเพียงแค่ประโยคเดียวหรอก และเชื่อว่าคงไม่มีทางแน่ ผมเลยอยากจะให้พวกคุณได้ลองอ่านหนังสือสักเล่มในหอสมุดของผม”
“มันจะช่วยเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ว่าทำไมผมต้องลงมาหาพวกคุณถึงโลกนี้ ทั้งเรื่องสเคลส์ เรื่องที่ผมกลัว และทุกเรื่องที่มนุษย์ของคุณยังไม่รู้”
สิ้นเสียงของชายผมขาว เขาก็กระดิกนิ้วเรียกหนังสือเล่มหนึ่งมาอยู่ในมือมันถูกเปิดออก แสงสว่างมากมายก็ตัวขึ้นเป็นภาพ เสียงบรรยายของหญิงสาวดังขึ้น พร้อมกับภาพที่พุ่งขึ้นมาบรรยายเหตุการณ์ ราวกับกำลังดูละครเวทีที่แสงบนหน้ากระดาษหนังสือ สายตาของพวกเขาอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้าสู่หัวของเหล่าฮีโร่ ทั้งเรื่องราวของโลกมนุษย์ สวรรค์ นรก ดาวดวงอื่น จักรวาล การแหกกฎธรรมชาติ และเรซ พาซอน
….
“ภาพพวกนั้น…มันดูเหมือนของจริงมากเลย” มิดไนท์กล่าวขึ้น
“มันคือเรื่องจริง” การาเนชกล่าว
“มันคือความกลัวแรกในรอบ 700 ล้านปีนับตั้งแต่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา ผมเพิ่งเข้าใจว่าความกลัวมันทรมานอย่างไร มันไม่ได้ทำให้เราเจ็บปวด แต่มันทำให้เรากังวล ผมไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลยในช่วงหลายวันมานี้ หน้ากระดาษของผมเป็นสีดำ”
“เราจะแน่ใจได้ไงว่าที่คุณพูดคือเรื่องจริงแท้ นี่อาจจะเป็นกลปา่หลอกเด็ก คุณอาจจะใช้พลังวิเศษแบบที่พวกเราทำ สร้างเรื่องพวกนี้…”
“ผมไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกคุณ…ภัยร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวาลกำลังมา จากที่ไกลแสนไกล พวกคุณเปรียบเสมือนครอบครัวของผม ในฐานะของสเคลส์ ผมต้องรับผิดชอบของทุกชีวิตบนโลกนี้”
“และผมก็ทำแบบที่พวกคุณทำได้” การาเนชกล่าวพลางชูมือสองข้างขึ้น ข้างซ้ายของเขาเป็นกลุ่มควันสีน้ำเงินแบบมิดไนท์พุ่งขึ้นออกมา ข้างขวาเป็นสายฟ้าที่ไหลอยู่จนท่วมมือ
“เหมือนคุณจะรู้จักพวกเราดีเลยนะคุณสเคลส์ แล้วทำไมต้องเป็นพวกเรา” มิดไนท์ถามขึ้น
“ผมกำลังมองหา กลุ่มคนที่ข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ กลุ่มคนที่วิวัฒนาการไปอีกขั้นได้ เพื่อปกป้องครอบครัวของผม ปกป้องชีวิตบริสุทธิ์บนโลกนี้” การาเนชกล่าว
“ทำไมคุณไม่ทำเองล่ะคะ ในเมื่อมีพลังขนาดนั้น” ยูกิกล่าวกับการาเนช
“ผมและเหล่าผู้ครองภพ จะร่วมกับทางภพสวรรค์และนรกในการต่อสู้กับ เรซ พาซอน”
“และในฐานะสเคลส์ ผมคงมายุ่งกับความเป็นไปของโลกมากไม่ได้ จึงอยากให้หน้าที่นั้นเป็นของพวกคุณ”
และมันคงจะดีหากรวบรวมคนดีแบบพวกคุณกับผู้มีพลังพิเศษคนอื่นๆ ไว้รวมกัน เมื่อพวกคุณรู้จักกัน อะไรๆ มันก็จะง่ายขึ้น”
“ในฐานะฮีโร่ พวกคุณรู้ดีว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นถูกต้อง” การาเนชร่ายยาว
“คุณอยากให้พวกเราทำอะไร?” อิเล็กโตรกล่าว
“ตั้งแต่วันที่คุณจัดตั้งโครงการ KNOQ ผมรู้ดีว่าคุณต้องมีข้อมูลของบรรดาผู้มีพลังพิเศษและฮีโร่คนอื่นๆ ในโลก”
“ผมอยากให้คุณตามหาพวกเขา”
“ส่วนบรรดาคนที่นอกเหนือจากรายชื่อที่คุณมี ผมจะไปหาพวกเขาให้เอง ผมรู้อยู่แล้วว่ามีใครบ้าง” การาเนชกล่าว
“เดี๋ยวนะ จากเรื่องเหลือเชื่อที่คุณทำ ผมคงไม่สงสัยหรอกว่าคุณรู้ลิสต์รายชื่อของผมได้ไง แต่ผมมั่นใจว่า ไม่มีใครนอกเหนือจากนี้แน่ อย่าดูถูกสายลับของอังกฤษไปหน่อยเลย” อิเล็กโตรขัดขึ้น
“มีสิ ดูอย่างชายหน้ากากเนี่ย คุณมีฐานข้อมูลของเขาหรือเปล่า?” การาเนชพูดขึ้นพลางชี้ไปที่ ดิ สเตรนเจอร์
“เอ่อ… ไม่มีนะ แต่พี่แกโผล่มาในทีวีเมื่อหลายวันก่อนแล้วพังฟิลาเดลเฟียซะยับเลย ถ้าจะใช้เวลาไม่นานนัก….” อิเล็กโตรกล่าว
“เขาคือ อาเธอร์ แอช นักเขียนบทภาพยนตร์ ขวัญใจของ “มิดไนท์” บาบารา ซินเนียร์ หรือที่คุณเรียกว่าบรู๊คนั่นแหละ” การาเนชพูดขึ้น
“อ่าว เห้ย!” สเตรนเจอร์ลั่นด้วยความตกใจที่โดนถอดหน้ากากกันหน้าดื้อๆ ในขณะที่มิดไนท์ก็เช่นกัน
“ไม่ต้องห่วง มันจะไม่กระทบการดำเนินชีวิตของคุณมากหรอก อย่าลืมว่าคุณไม่ดัง” การาเนชหันไปยิ้มปลอบใจสเตรนเจอร์แบบใสซื่อ
“เจ็บจี๊ดเลยวุ้ย” ชายหน้ากากบ่นพึมพำ
“ผมมีเรื่องอยากจะถาม…” อิเล็กโตรถามขึ้น
“เชิญเลย” การาเนชอนุญาต
“ดร. อากิโมโตะ ไทกิ ก็เป็นคนที่คุณเล็งไว้งั้นเหรอ? หมอนั่นไม่ใช่คนดีอย่างที่คุณคิดหรอกนะ” อิเล็กโตรกล่าว
“ผมไม่ได้เล็งเขา…ผมสนใจผลงานของเขามากกว่า ไซบอร์กรหัส CP48 เธอเป็นคนดี” การาเนชตอบ
“มันคงเป็นไปไม่ได้ เธอไม่ใช่ฮีโร่ฟรีแลนซ์แบบคนอื่นนะคะ” ยูกิกล่าวขึ้น ในที่นี่ เธอน่าจะเป็นคนที่รู้ชื่อเสียงของไซบอร์กสาวมากกว่าใคร
“คุณดูเรื่องคนที่พวกคุณทำได้เถอะ…ผมจะจัดการเรื่อง CP48 กับคนอื่นๆ เอง” การาเนชกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“แคนาดา , สหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น คือที่ประเทศที่มีประวัติซูเปอร์ฮีโร่…ยังมีที่ไหนนอกเหนือจากนี้อีกงั้นหรือ?” อิเล็กโตรถามด้วยความสงสัย เขาค่อนข้างมั่นใจในข้อมูลของโครงการ KNOQ เอามากๆ
การาเนชยิ้มพลางมองไปยังนอกหน้าต่าง
“บริสเบน ออสเตเรีย”
--------------------------------------------------------
ลอสแอนเจลิส คาลิฟอร์เนีย , สหรัฐอเมริกา
.
.
.
บริษัท มอร์ตัน คอร์ปอเรชัน 17.55 น.
มอร์ตัน คอร์ปอเรชั่น คือบริษัทวิจัยอาวุธที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อยู่ในการดูแลของพี่น้องตระกูลมอร์ตัน นักธุรกิจชื่อดัง พวกเขามีบทบาทอย่างมากในด้านการพัฒนาและผลิตอาวุธให้กับกองทัพสหรัฐอเมริกา และที่ตึกสูงใหญ่หรูหราใจกลางนครแอลเอ คือที่ตั้งของบริษัทแห่งนี้
ชั้นบนสุดของอาคารมอร์ตั้น คือห้องที่รายล้อมไปด้วยกระจกมากมาย หากจะหาที่ชมวิวดีๆ สักที่ในแอลเอ ก็คงต้องเป็นยอดตึกของที่นี่ เพียงแต่มันคงจะไม่ง่ายนักหากคุณต้องการที่จะขึ้นมา เพราะชั้นบนสุดของตึกนี้ คือออฟฟิศใหญ่ของสองเจ้าของบริษัทตระกูลมอร์ตัน “เรย์ มอร์ตัน” พี่ชายผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และ “นอร่า มอร์ตัน” น้องสาวผู้เป็นรองประธาน
ที่ชั้นบนนี้ประกอบด้วยห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ 1 ห้อง มันสามารถใช้ในการพักผ่อน จัดประชุมสำหรับบุคคลสำคัญได้ตามแต่โอกาส ผนังของชั้นประกอบด้วยลิฟต์ ห้องน้ำ และออฟฟิศส่วนตัวสำหรับประธานและรองประธานคนละห้อง
บริเวณห้องนั่งเล่น ตรงมุมสุดของห้องมีทีวีจอแบนขนาดใหญ่ดูหรูหราติดอยู่บนผนัง ตรงกันข้าม ด้านล่างนั้นมีโซฟาฟีขาวยาวดูดีมีระดับตั้งอยู่ หนุ่มแว่นผมดำในชุดสูทที่นั่งอยู่ในท่าไขว่ห้าง เขาคือ “เรย์ มอร์ตัน” ประธานบริษัท นอร์ตัน คอร์ป มือของเขาถือรีโมท สายตาของเขาจดจ้องไปยังบางอย่างในโทรทัศน์ตรงหน้าเขา มันคือรายการข่าวภาคเย็น ที่กำลังนำเสนอข่าวต่างประเทศอยู่
“ความคืบหน้าของโครงการ Knight of Queen กำลังเป็นไปในทิศทางบวกนะคะ การเจรจาถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงเรียนฝึกทหารสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษและเหล่าอัจฉริยะจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อสร้างกองทัพสันติภาพตอนนี้ได้รับจากหลายประเทศทั่วยุโรป และการประชุมใหญ่ครั้งต่อไปจะถูกจัดขึ้นอีกครั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ใต้ แอฟริกา เอเชียและโอเชียเนียตามลำดับค่ะ”
“นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ทอม กัลลาเกอร์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าการร่วมมือกันของหลายประเทศในโครงการนี้ จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์และสร้างความปรองดองมากขึ้นหากรวบรวมตัวแทนแต่ละประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้…”
“พนันได้เลยว่าพวกเขาต้องติดต่อเรามาเป็นที่แรกแน่ เกี่ยวกับการสนับสนุนงานพัฒนาและผลิตอาวุธให้กับโครงการนี้” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นด้านหลังชายหนุ่ม หญิงสาวผมบลอนด์เจ้าของตาสีฟ้าคนนี้คือ “นอร่า” น้องสาวของเรย์ เธอเดินเข้ามาพลางเกาะเบาะที่เรย์นั่งดู สายตาของเธอดูสนใจข่าวนี้ไม่น้อยเช่นกัน
“เราจะไม่ทำธุรกิจกับพวกเขา” เรย์ตอบ พลางกดปิดทีวี
“ไงนะ!? แต่นี่เป็นโอกาสทองที่เราจะยึดเบอร์หนึ่งของโลกแบบยาวๆ เลยนะ พวกเขาต้องติดต่อเราเป็นที่แรกแน่ๆ” นอร่าถามด้วยความไม่พอใจ
“คนพวกนี้กำลังจะสร้างกองทัพที่อันตรายที่สุดในโลกนอร่า การรวบรวมพวกอัจฉริยะหรือมีความสามารถพิเศษจากทั่วโลกคือเรื่องร้ายแรง สิ่งที่เราทำได้คือไม่สนับสนุนพวกเขาไม่ทุกๆ วิถีทาง” เรย์อธิบายด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ เขาคิดเรื่องนี้มานานแล้ว
“เป้าหมายของ KNOQ คือทำเพื่อความสงบสุขของโลกไม่ใช่เหรอ พี่ควรน่าจะลองเปิดใจบ้าง พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของเรานะ” ผู้เป็นน้องสาวขัดขึ้น
“ไม่ใช่ไม่เคยนอร่า…ฉันเคยต้องเสียใจเพราะเชื่อใจคนอื่นมาแล้ว 27 ปีที่ฉันเกิดมานอร่า พวกก่อการร้าย ส่วนใหญ่มาจากพวกที่คิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น คนพวกนั้นฆ่าคนบริสุทธิ์มากมาย แล้วจับคนที่มีความสามารถแบบพวกนั้นมารวมกัน ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่ศัตรู แต่อนาคต คิดว่าต่อไปจะมีคนตายเท่าไหร่? เป็นแสนเป็นล้านเหรอ?” เรย์หันมาถามน้องสาวของเขา
“แปลกดี” นอร่าพูดขึ้น
“อะไรงั้นเหรอ?” ผู้เป็นพี่ถามด้วยความสงสัย
“ประธานบริษัทผลิตอาวุธเป็นห่วงอนาคตความสงบสุขของโลกและชีวิตเพื่อนมนุษย์” นอร่ากล่าว
“ฉันก็เป็นอาชญากรนอร่า อาชญากรถูกกฎหมาย และเป็นมานานแล้ว แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะยินดีกับการคร่าชีวิตผู้อื่น สิ่งที่ฉันทำคือปกป้อง ไม่ใช่ไล่ล่า” เรย์ตอบแบบยึดมั่นในเจตนารมณ์ของเขาชัดเจน
“จ้า จ้า ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับคุณ ท่านประธาน หกโมงครึ่งมีประชุม ไปกันได้แล้ว” น้องสาวเหนื่อยที่จะเถียงกับพี่ชายของเธอ
“ขอตัวละ เธอเข้าแทนเลย” ชายหนุ่มดูนาฬิกา ก่อนจะจัดระเบียบเครื่องแต่งกายของเขาให้เรียบร้อย
“ไงนะ? แล้วนั่นพี่จะไปไหน” นอร่าถามขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“พอดี…เอ่อ ฉันมีนัดกับเคทน่ะ” เรย์อ้างขึ้น คำพูดเขาดูตะกุกตะกัก
“เคทหรอ? เคทไหนอ่ะ” น้องสาวดูสับสนไม่น้อยกับชื่อที่ชายหนุ่มอ้างอิงถึง
“ประธานบริษัทวิศวกรรม อินดรัสเทคนิตี้ แบบว่า ดินเนอร์ คุยงานน่ะ วันนี้กลับดึก ทานมื้อเย็นก่อนได้เลยนะ” เรย์กล่าวกับนอร่าพลางโบกมือลา ทิ้งนอร่าที่ยังตั้งตัวไม่ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วลงลิฟต์ไป ประตูลิฟต์ปิดลง ชายหนุ่มผมดำเลือกชั้นล่างสุด สายตาของเขาเปลี่ยนไปดูจริงจังจนน่าขนลุกราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
--------------------------------------------------------
ประตูสู่นรก , ปรโลก
.
.
.
ที่แห่งนี้คือนรก จะเรียกให้ถูกคือชั้นบนสุดของนรก มันถูกเรียกว่า Hell Gate หรือประตูสู่นรก ปกติที่แห่งนี้จะหนาแน่นไปด้วยดวงวิญญาณชั่วใหม่เอี่ยมที่เพิ่งจบชีวิตของตัวเองบนภพโลก เข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบแต่ดูแน่นขนัดและวุ่นวาย แต่มันไม่ใช่สำหรับวันนี้ ช่วงเวลาไม่นานหลังจาก “วันนรกแตก” ที่ เรซ พาซอน ถูกพาขึ้นมาจากนรกขุมล่างสุด ผ่านขึ้นมาทีละชั้น จนทะลุเฮลเกทผ่านกลับเข้าไปยังภพมนุษย์ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ให้พวกวิญญาณมารร้ายจากนรกขุมต่างๆ ขึ้นมา รูปร่างของพวกมันมีผิวและน่าตาที่ดูน่ารังเกียจ เขาและปีกสีดำที่งอกออกมาบ่งบอกถึงความหนาของบาปที่พวกมันเคยทำไว้ วิญญาณเหล่านี้ถูกเรียกว่า “สัตว์นรก” พวกมันพากันไต่ขึ้นมาหวังแหกนรกกลับไปยังโลก เป็นภาพที่สยดสยอง เกิดเป็นสงครามของเหล่าผู้คุมนรกและสัตว์นรกในช่วงเวลานี้ มันเป็นสงครามขนาดย่อม พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็เรียกได้ว่าคล้ายกับการปราบจลาจลของโลกมนุษย์ก็ว่าได้
โดยภพนรกได้รับความร่วมมือจากภพโลกมนุษย์ในการส่งกำลังมาช่วยสนับสนุนในชั้นบนสุดของนรก เนื่องจากเฮลเกทเป็นปราการด่านชั้นสุดท้ายที่มีแต่ดวงวิญญาณที่กล้าแกร่งเท่านั้นที่จะขึ้นมาถึงชั้นนี้ได้ และหากปล่อยให้พวกมันผ่านไป สัตว์นรกเหล่านี้จะตาม เรซ พาซอน กลับไปยังภพโลกมนุษย์ได้
กองหนุนจากภพโลกมนุษย์ที่ว่าคือชายเพียงคนเดียว “มาร์ติน สแตนลี่ย์” หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนรกกับชื่อ “ดูม สเลเยอร์”
ดูมสเลเยอร์คืออดีตมนุษย์ที่เชี่ยวชาญในการปราบสัตว์นรกโดยเฉพาะ กว่าร้อยปีที่เขาปกป้องรักษาเฮลเกท ไม่ให้มีสิ่งมีชีวิตลงมา และไม่ให้มีเหล่าวิญญาณร้ายกลับออกไป พวกเขาอยู่ในชุดเกราะคล้ายทหารอวกาศสีเขียวแก่ดูน่าหวาดกลัว พร้อมสารพัดอาวุธปืนครบครัน และปัจจุบันพวกเขากำลังไล่ล่าวิสามัญดวงวิญญาณร้ายที่หวังจะกลับไปยังภพโลกมนุษย์อย่างดุเดือด…คงงั้นมั้ง
“ฟิ้วววว” บึ้มมมม” กระสุนปืนถูกยิงใส่เหล่าสัตว์นรกกลุ่มหนึ่งฉีกร่างของพวกมันกระจุยกระจายไปคนละทาง
“แบงงงง บะบาย!” เจ้าของกระสุน คือหนึ่งในสี่อัศวิน อาร์มพิเศษสีแดงที่แขนของเขาบ่งบอกว่าเขาคือกัปตันของหน่วยนี้ ชายคนนี้คือ “ดูม สเลเยอร์”
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” ไปสีแดงกระพริบอยู่ตรงหมวกเหล็กของมาร์ติน เขากดปุ่มเล็กๆ ข้างไปนั้น
“ไง คอมมานเดอร์ , ดูม สเลเยอร์ พูด” เขากล่าวพลางสาดกระสุนไปยังฝูงสัตว์นรก
“ดูม สเลเยอร์ เสร็จงานด้านล่างแล้วฉันอยากให้คุณกลับมาที่นี่ก่อน” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น
“จะชวนผมเดทหรือไง เอ็ม โทษทีนะ แต่ตอนนี้ในนรกมันยุ่งโคตรๆ เลย เสร็จงานแล้วผมอยากจะมีเวลาส่วนตัวบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมไม่แคร์คุณหรอกนะ” เขากล่าวด้วยอารมณ์สุนทรีย์ราวกับกำลังรับโทรศัพท์ตอนกำลังทำงานอดิเรกอย่างสนุกสนาน ในขณะตัวของเขากระโดดลงมาจากก้อนหิน แล้วถีบสัตว์นรกใกล้เท้าของเขากระเด็นไปชนกับสัตว์นรกอีกกลุ่มหนึ่ง มาร์ตินกระหน่ำยิงสัตว์นรกเหล่านั้นอย่างไม่ลังเล
“คณะทูตสวรรค์เซราฟิมมาที่นี่ ท่านเซราฟแจ้งว่าสเคลส์ที่ห้าต้องการที่จะพบฉันกับคุณ ในฐานะตัวแทนของ The Night Sentinel” คำพูดของหญิงสาวทำเอามาร์ตินชะงักจากภารกิจไปซักพัก
“สเคลส์ที่ห้า?” ดูม สเลเยอร์ กล่าวด้วยความสงสัย
“ผู้ควบคุมความเป็นไปของโลก ฉันเคยคิดว่าเขาเป็นเพียงตำนานและภาพในนิมิตร รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบทีหลังเมื่อคุณกลับมา นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่” เสียงของหญิงสาวอธิบาย
“เกี่ยวกับ เรซอะไรนั่นหรือเปล่า” เขาพูดขึ้น ขณะนั้นมีสัตว์นรกตัวหนึ่งกระโดดมาจากภูเขาไฟด้านหลังของเขามาร์ตินชักปืนกลับไปยิงโดยไม่มอง สมาธิของเขาอยู่กับคู่สนทนา ในขณะที่สัตว์นรกตัวดังกล่าวลงไปนอนแน่นิ่ง
“ฉันก็อยากภาวนาให้มันไม่เกี่ยว” หญิงสาวกล่าว
“แปลว่าเกี่ยวสินะ” มาร์ตินย้ำเพื่อความแน่ใจ
“….”
“รับทราบ คอมมานเดอร์ เสร็จงานแล้วผมจะรีบไป” เขากล่าวจบพร้อมกดปุ่มเดิมซ้ำอีกครั้งเหมือนเป็นการวางสาย เขาเก็บปืนกระบอกที่กำลังใช้อยู่แล้วดึงปืนอีกกระบอกออกมาจากหลัง รหัสบนตัวปืนสลักว่า BFG 9000
ดูม สเลเยอร์ ทำท่านับจำนวนของพวกสัตว์นรกที่เหลืออยู่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังที่แตกต่างไปจากเดิม
“เอาละหนูน้อย ป๊ะป๋าหมดเวลาเล่นด้วยแล้ว”
--------------------------------------------------------
เมืองอามอลิทิค , ดาวลูซิเฟอร์
.
.
.
ดาวลูซิเฟอร์ ดาวเคราะห์ที่เป็นที่อยู่อาศัยของ ”ชาวลูซ” เผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะใกล้เคียงและเปรียบเสมือนมนุษย์ของกาแลคซี่แห่งนี้ ดาวลูซิเฟอร์นั้นเป็นดาวที่ตั้งอยู่ในกาแลคซี่ที่ไม่ห่างไกลจากโลกมากนัก เรียกได้ว่าอยู่ในโซนบริเวณเดียวกันที่ในอดีต เป็นพื้นที่จักรวาลส่วนสุดท้ายที่ เรซ พาซอน ขยายอาณาจักรมาถึง และผู้ครองภพของดาวลูซิเฟอร์ ก็ถูกลอร์ดแห่งมิติมืดสังหารสิ้นเช่นเดียวกับสเคลส์แห่งโลกและผู้ครองภพในดวงดาวใกล้เคียง แต่ข้อแตกต่างของดาวลูซิเฟอร์กับดาวดวงอื่นๆ นั้นก็คือ ดาวลูซิเฟอร์นั้นปราศจากผู้ครองภพมารับช่วงต่อ พวกเขามีเทพผู้ครองแค่องค์เดียวเท่านั้นตั้งแต่ดาวดวงนี้ถือกำเนิดขึ้น และเมื่อเทพองค์นั้นได้ตายจากไป พวกเขาถูกเหตุผลบางอย่างถูกเรียกว่า “ดาวต้องสาป” ดาวลูซิเฟอร์จึงถือเป็นดวงดาวอิสระที่มีการปกครองตัวเองโดยระบบกษัตริย์ประจำดวงดาว ที่จะทำหน้าที่ดูแลดวงดาวทั้งดวง ในขณะที่แต่ละพื้นที่ จะถูกแบ่งออกเป็นเขตทวีป แล้วใช้ระบบการเลือกตั้งหาผู้แทนเข้ามาบริหารพื้นที่ใหญ่ๆ ส่วนบ้านเมืองเขตเล็กจะถูกปกครองโดยผู้ที่มาจากการแต่งตั้งของผู้แทนแต่ละทวีป โดยชาวดาวลูซนั้นให้นับถือและเคารพบูชาบรรดากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์มาก ดุจเป็นสมมติเทพของพวกเขา เนื่องจากตระกูลลูซิเฟอร์ซึ่งเป็นราชวงศ์ มีพลังอำนาจที่คอยปกปักรักษาดาวดวงนี้ให้สงบสุขสืบต่อกันมานานหลายชั่วอายุคน โดยมีตำนานกล่าวขานกันว่าตระกูลหลักของราชวงศ์ลูซิเฟอร์คือมนุษย์กลุ่มแรกที่ถือกำเนิดขึ้นบนดาวดวงนี้
และที่นี่คือมหานครอามอลิทิค เมืองหลวงของดาวเคราะห์ลูซิเฟอร์ เมืองที่กษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งลูซิเฟอร์ “วัคแซคท์” และองค์ราชินี “มารัคก้า” ประทับอยู่ ตัวเมืองอามอลิทิคนั้นถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองด้านเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมต่างๆ มากกว่าโลกมนุษย์มาก เหตุเพราะดาวลูซิเฟอร์นั้นไม่มีเทพผู้ครองภพ ไม่มีการคุมกฎธรรมชาติ ทำให้การพัฒนาการเป็นไปได้อย่างก้าวกระโดด
ใจกลางเมืองคือพระราชวังขนาดใหญ่บนยอดเขาสูง ใหญ่โตและสวยงามราวกับปราสาทในเทพนิยาย ล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้ท้องถิ่นสีแดงบานสะพรั่ง ที่แห่งนี้คือพระราชวังของเหล่าเชื้อพระวงศ์ลูซิเฟอร์ และแน่นอนว่าเป็นที่ประทบขององค์กษัตริย์และองค์ราชินีเช่นกัน
บริเวณระเบียงชั้นดาดฟ้าของหอคอยพระราชวัง ถือเป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมือง จากตรงนี้คุณจะสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในอามอลิทิค แต่มันคงไม่ง่ายนักหรอกที่คุณจะขึ้นมายืนอยู่บนที่แห่งนี้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมีเชื้อสายราชวงศ์ลูซิเฟอร์
หญิงสาวผมยาวสีน้ำตาล ดวงตาสีแดง ที่ชาวโลก…เรียกให้ถูกคือที่ชาวโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นรู้จักกันดีนาม “ซาย่า มาคุเรย์” เธออยู่ในชุดเดรสสีแดงสด กำลังยืนอยู่ตรงระเบียง สองแขนของเธอค้ำรั้วกั้น สายตาของเธอเหม่อลอยในขณะที่กำลังจ้องมองไปยังทิศทัศน์ที่น่าจะสวยงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา แต่สีหน้าของเธอไม่ได้ทำให้รู้สึกเช่นนั้นเลย
คุณอาจจะสงสัยว่าหญิงสาวผู้นี้ถือดียังไงที่ขึ้นมายังหอคอยพระราชวังของดาวอื่นที่ไม่ใช่โลก แต่ถ้าจะให้พูดก็คือ หากที่แห่งนี้จะเหมาะสมกับใครซักกลุ่มในดวงดาวแห่งนี้ เธอจะเป็นคนแรกๆ ที่ผู้คนชาวลูซนึกถึง แต่ไม่ใช่ในซานะของ ซาย่า มาคุเรย์ เพราะที่แห่งนี้ ผู้คนรู้จักเธอดีในนาม “อัลคาธ่า” เจ้าหญิงแห่งดาวลูซิเฟอร์
“จะกลับวันพรุ่งนี้แล้วงั้นหรือ?” เสียงของชายดูมีอายุดังขึ้นด้านหลังของอัลคาธ่า เสียงนั้นเปรียบเสมือนนาฬิกาปลุกที่ทำให้เธอตื่นจากภวังค์แห่งความเหม่อลอยนี้
เจ้าหญิงหันไปหาที่มาของเสียงนั้น เธอสังเกตเห็นชายและหญิงวัยกลางคนที่เพิ่งเดินขึ้นบนไดวนหอคอยขึ้นมา ด้านล่างตรงบันได มีกลุ่มทหาร 4 นายยืนตรงเฝ้าระวังอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อย
“ท่านพ่อ ท่านแม่” อัลคาธ่ากล่าวทักทายชายหญิงตรงหน้าของเธอ 2 ท่านนี้คือกษัตริย์และราชินีแห่งดาวลูซิเฟอร์ ชายผมสั้นสีน้ำตาลที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครายาวสวยงามคือกษัตริย์นาม “วัคแซคท์” ส่วนสาวสวยผมดำยาวประบ่า คือราชินีนาม “มารัคก้า” ดวงตาสีแดงเป็นเอกลักษณ์บ่งบอกชัดเจนถึงความเป็นเชื้อพระวงศ์ลูซิเฟอร์ และทั้งคู่ยังมีศักดิ์เป็นบิดาและมารดาของอัลคาธ่าอีกด้วย
“พ่อคิดว่าลูกน่าจะอยู่กับเราต่ออีกหน่อย ประชาชนของเราดีใจมากที่ลูกกลับมา พวกเขากำลังจะมีงานเทศกาลเลี้ยงฉลองกัน ลูกเพิ่งจะเล่าให้ฟังว่าลูกเพิ่งจะปิดเทอมจากโรงเรียนของทางโลก ทำไมถึงรีบกลับนักล่ะ” กษัตริย์วัคแซคท์ถามบุตรสาวของพระองค์
“ผู้คนที่โลกนั้น มีทั้งขาวและดำ ดีชั่วปะปนกันไป ไม่ได้สงบเหมือนดาวของเรา พวกเขาไม่ได้กษัตริย์เพียงพระองค์เดียว เหนือขึ้นไปยังมีเทพเจ้าอีกหลายองค์ปกครองอยู่ มีความวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายท่านพ่อ ความผูกพันทำให้ลูกต้องกลับไป”
“เมระ…เอ่อ ลูกหมายถึงสหายของลูกกำลังต่อสู้แทนลูกอยู่ ลูกรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะทิ้งปัญหาต่างๆ ให้เขาแบกรับไว้คนเดียว” อัลคาธ่ากล่าว
“อัลคาธ่า…” มารัคก้ากล่าวขึ้นเบาๆ พลางมองไปยังบุตรสาวของตน
“เพคะ…ท่านแม่” องค์หญิงขานรับ
“ท่านเป็นไปได้…แม่ไม่อยากให้ลูกกลั…” ยังไม่ทันที่องค์ราชินีจะพูดจบ วัคแซคท์ก็จับมือของเธอไว้แน่น ราวกับเป็นการเตือนว่าไม่ควรพูดอะไรบางอย่างออกไป
“เอ๊ะ” อัลคาธ่าอุทานขึ้น
“อ๋อ…เปล่าหรอก มะ…แม่เขาคงคิดถึงเจ้า หลายเดือนเจ้าถึงจะได้กลับมาหาพ่อกับแม่ ไม่กี่วันลูกก็จะกลับไปแล้ว พ่อเองก็กลัวว่าเจ้าจะเหนื่อยเช่นกัน” ผู้เป็นพ่อกล่าวแบบตะกุกตะกัก
“เฮ้อ….ไม่ต้องเป็นห่วงลูกหรอก ท่านพ่อ ลูกน่ะ อยากจะทำได้แบบท่านพ่อ อยากจะให้โลกฝั่งนู้นสงบสุขเหมือนกับดาวของเรา” อัลคาธ่าถอนหายใจด้วยความโล่ง ก่อนจะพูดออกไปด้วยความมั่นใจ แต่สายตาจากกษัตริย์และราชินียังคงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ฟังพ่อนะอัลคาธ่า” วัคแซคท์กล่าว
“ลูกโตขึ้นและได้เรียนรู้อะไรมากมายนับตั้งแต่ไปอยู่ที่โลก แต่คำหนึ่งที่พ่อพูดกับลูกเสมอ คือลูกเป็นเจ้าหญิงของดาวเรา”
“และการที่ลูกไปอาศัยอยู่ที่โลก ไม่ใช่ว่าลูกต้องแบกรับทุกปัญหาของโลกนั้นหรอกนะลูก ถ้ามันหนักหนาจะเกินความสามารถ ก็ให้ถอยออกมา”
“ลูกไม่ได้ติดค้างอะไรคนพวกนั้น ลูกจงเลือกเองว่าลูกอย่างเป็นอะไรสำหรับพวกเขา จะเป็นฮีโร่ เป็นเทพเจ้า หรือเป็นเด็กสาวชั้นมัธยมปลายธรรมดา ลูกก็ยังเป็นลูกของพ่อเสมอ และพ่อภูมิใจในตัวลูก” ราชาแห่งดาวลูซิเฟอร์กล่าวพลางยิ้มให้บุตรสาวของเขา อัลคาธ่ามองผู้เป็นพ่อของเธอ เธอเข้าใจเรื่องนั้นดี ก่อนจะหันหลังกลับไปมองวิวมุมเดิมที่เธอชอบมอง แล้วพูดขึ้น
“ท่านพ่อ รู้ไหมคะ ว่าครั้งนี้ที่ลูกกลับบ้าน ขึ้นมาที่นี่ เฝ้ามองทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมของดวงดาวของเรา เหมือนทุกที แต่ครั้งนี้มันดูไม่สวยเหมือนทุกทีเลย”
“ยามเย็นผู้คนบางตา ไม่ครึกครื้น สีหน้าของพวกเขาดูหวาดกลัว ดูสัมผัสมันได้ด้วยเนตรของเรา”
“ลูกไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นหรอกนะคะ จู่ๆ ท่านแม่ก็ไม่อยากให้ลูกกลับไป แล้วยังท่านพ่อมาพูดกับลูกแบบนี้…”
“แต่ที่บอกว่าลูกไม่ได้ติดค้างอะไรผู้คนที่โลก ท่านพ่อกับท่านแม่คิดผิดแล้วละค่ะ” อัลคาธ่ากล่าวก่อนจะหันมายิ้มให้กับราชาและราชินีอีกครั้ง
“ลูกขอตัวนะคะ” เธอกล่าวจบ ก่อนจะโค้งคำนับ 2 ผู้ให้กำเนิด แล้วเดินลงบันไดวนจากไป
.
.
“ทำไมท่านถึงพูดแบบนั้น เราควรจะรั้งไม่ให้ลูกไปไม่ใช่หรือ” มารัคก้ากล่าวกับองค์ราชา
“ข้าแค่อยากจะเชื่อมั่นและเดิมพันในตัวลูก เธออาจทำสิ่งที่เราไม่เคยทำได้…ล้างคำสาปของเรา ชดใช้บาปที่ ‘เขา’ เคยก่อเอาไว้”
“แต่เขาต้องการลูกของเรา และเขากำลังจะไปที่โลก มันจะเป็นสงคราม”
“และถ้าที่โลกรู้ความจริงนั้น พวกเขาอาจจะสังหารลูกของเรา”
“ยังไงล่ะ? ไม่ ลูกของเราจะเปรียบเสมือนเทพีผู้เป็นที่พึ่งของพวกเขา”
“และในวันหนึ่ง เมื่อโลกพร้อม มีเพียงบุตรสาวของเรา และเธอจะช่วยพวกเขา…”
“กอบกู้ทุกชีวิตในจักรวาลนี้”
--------------------------------------------------------
ณ ที่ไหนสักที่ใจกลางอวกาศ
.
.
.
ยานอวกาศรหัสอาร์ซีเอสทีซี (RZSTZ) ที่เปรียบเสมือนเรือรบรูปดาวเคราะห์ขนาดเล็กกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางของมัน ดาวเหล็กกล้าแห่งนี้คือยานอวกาศของ “เรซ พาซอน” ภายในพื้นผิวของดาวที่เรียบสนิท คือบรรดาห้องมากมายเพียงพอที่จะใช้อยู่อาศัยและสร้างกองทัพขนาดใหญ่ได้เลยทีเดียว มีชั้นบนสุดตรงกลางเป็นห้องบังคับการ ชั้นลึกสุดของยานเป็นเสมือนห้องพำนักของ เรซ พาซอน
อสุรกายร่างยักษ์ผู้มีดวงตาสีแดงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของเขา ด้านล่างมีเหล่าข้าทาสบริเวณจากดาวต่างๆ ที่มันตระเวนเกณฑ์มาเป็นพรรคพวกระหว่างการเดินทาง แววตาที่ดูมีเลศนัย พร้อมด้วยรอยยิ้มแสยะสยอง ของมัน ดูคล้ายกับว่ากำลังจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น
ภาพโฮโลแกรมขนาดเล็กพุ่งขึ้นมาจากที่วางแขนบนบัลลังก์ของเรซ มันเหลือบตาไปมองราวกับว่านี่คือหนึ่งในสิ่งที่มันรอคอย
“ขออนุญาตขอรับ ท่านเรซ ข้ามีความคืบหน้ามารายงานท่าน” ชายชุดดำใต้หน้ากากสีขาวในร่างโฮโลแกรมกล่าวขึ้น พลางโค้งคำนับเรซพาซอน
“ว่ามาดอกเตอร์ กำลังรออยู่เลย” เรซ ขยับแขน นำมือเท้าคาง เหมือนรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“การรวบรวมผู้อยู่เหนือกฎธรรมชาติเป็นไปได้ด้วยดีขอรับ ดูเหมือนว่าฝั่งเราจะเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าอีกฝ่ายนะขอรับ” ชายชุดดำกล่าว
“อีกฝ่าย…พวกสเคลส์งั้นหรือ?” เรซถามด้วยความสนใจ
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ ที่โลกเตรียมมีการจัดตั้งโครงการ ไนท์ส ออฟ ควีน โดยหนึ่งในผู้มีพลังพิเศษที่โลกเรียกว่า มิสเตอร์ อิเล็กโตร หรือชื่อจริงของมัน ‘ทอม กัลลาเกอร์’ นายกรัฐมนตรีของประเทศที่มีชื่อว่าอังกฤษ” ชายชุดดำตอบ
“มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกันงั้นสินะ” เรซบ่นพึมพำ
“ส่วนเรื่องการแทรกซึมทางการเมืองค่อนข้างเป็นไปได้ยาก ตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกกำลังจับตามองการกระทำของข้า” ชายชุดดำกล่าวจบ พลางทำท่าทีเหมือนขออภัย
“ก็เคยบอกไปแล้วว่าไอวิธีของเจ้านะมันไม่น่าจะได้ผล ช่างมันเถอะ ข้าสนใจเรื่องพวกอิเล็กโตรอะไรนั่นมากกว่า” เรซ ตอบพลางยิ้มแสยะ
“จะว่าไป เมื่อไม่นานมานี้ที่ข้าได้มีโอกาสพบกับกลุ่มผู้มีพลังวิเศษและอิเล็กโตร ข้ายังได้พบกลุ่มอมนุษย์คล้ายแสงมีปีกนกสีแดงด้วยขอรับ…พวกมันเข้าจู่โจม…” ชายใต้หน้ากากกล่าวต่อ
“หืม…พวกเทวดาตกสวรรค์มาโลกมนุษย์ ไม่น่าจะเป็นไปได้ มนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้าไปเจอพวกมันที่ไหน?” อสุรกายยักษ์ถามด้วยความเอะใจ
“พิธีเปิดหอสมุดที่ลอนดอนขอรับ” ชายชุดดำตอบ
“หอสมุด…งี้นี่เอง” เรซ พาซอน แสยะยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อ
“สเคลส์น้อยดูถ้าจะไฟแรงไม่เบา”
“เตรียมตัวให้พร้อม อีกไม่ช้าทัพของข้าจะเข้าสู่กาแลคซี่ทางช้างเผือกแล้ว”
“เกรงว่าการเข้ามาใกล้โลกของท่านอาจจะมีปัญหานิดหน่อย” ชายชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“หมายความว่าไงกัน?” เรซถาม
“อาวุธใหม่ขององค์กรที่โลกเรียกว่านาซ่า ระยะหลังมานี่มีหุ่นกระป๋องบินว่อนรอบโลกไปหมด หนึ่งในนั้นตัวข้าเอง ที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นมานานก็พอจะเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง พวกเขาเรียกมันว่า ‘วันเดอเรอร์’” ดอกเตอร์หนุ่มกล่าวถึงหนึ่งในวีรบุรุษที่โลกรู้จักดี
“จัดการขยะอวกาศนอกโลกสักตัว สเคลส์คงไม่ทันรู้ตัวหรอก ลองให้มันเข้ามา ข้าชินกับการตบแมลงเม่าบินเข้ากองไฟพวกนี้มานักต่อนักแล้ว” เรซยิ้มตอบแบบไม่ได้รู้สึกระแคะระคายคำพูดของลูกน้องของเขาเลยแม้แต่น้อย
ชายชุดดำสังเกตเห็นรอยยิ้มของเรซ ก่อนจะถามกลับไป
“รู้สึกว่าตั้งแต่ที่ท่านแวะไปเยี่ยมเยียนดาวลูซิเฟอร์นี่จะดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะขอรับ”
“ช่างสังเกตดีนี่ดอกเตอร์…นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ข้าเร่งระยะเวลาในการมาโลกนี่ให้เร็วขึ้น ทุกอย่างมันคือความบังเอิญเสียจริง” เรซหันไปตอบดอกเตอร์
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” ชายชุดดำถาม
“เด็กน้อยของข้า…” เรซกล่าวพลางยกมือขึ้นมากุมใบหน้า มันดูมีความสุขกับเรื่องนี้สุดๆ ดวงตาสีแดงของมันเปล่งประกายขึ้น
“มันอยู่ที่โลกนั่น”
--------------------------------------------------------
To Be Continued
--------------------------------------------------------
Video Placeholder
.
.
.
ณ ห้องทำงานเล็กๆ ห้องหนึ่งที่ดูลึกลับเหมือนกับออฟฟิศนักสืบ ชายหนุ่มในชุดหนังรัดรูปสีดำกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาคาบบุหรี่อยู่ในปาก บนโต๊ะมีเอกสารมากมายกองอยู่ ข้างๆ กองเอกสารเหล่านั้นคือหน้ากากสีดำคล้ายหัวของนกฮูกตั้งอยู่ สายตาของเขากำลังจดจ้องไปยังข่าวด่วนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
[สังหารหมู่เรือนจำริคเกอร์! ช่วย อลัน อาร์เมอร์ แหกคุก]
“พวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่” ชายคนดังกล่าวพูดจบ ก่อนจะใช้มือหยิบบุหรี่แล้วดีดไปยังบอร์ดที่อยู่ข้างเขา บุหรี่มวนนั้นพุ่งเข้าไปปักที่รูปปริศนา ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้น มันคือรูปของ เฮล ไรเดอร์ นักฆ่าหน้ากากแดง และโดยรอบเป็นโน้ต ข่าวคราว แล้วข้อมูลต่างๆ ที่ถูกรวบรวมมาติดไว้อย่างดี ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับองค์กรก่อการร้ายที่ทั้งโลกหวาดกลัวนาม “The Myth”
“ไปดูที่เรือนจำนั้นเลยก็แล้วกัน”
ทันทีที่กล่าวจบชายคนนั้นลุกขึ้นแล้วหยิบหน้ากากนกฮูกขึ้นมาสวม ก่อนจะพุ่งหายวับเข้าไปในความืด…