Post by GreyTear on Aug 29, 2017 11:20:21 GMT
chapter >> #1
chapter >> #2
chapter >> #3
chapter >> #4
chapter >> #5
chapter >> #6
chapter >> #7
chapter >> #8-
chapter >> #8
chapter >> #9-
chapter >> #9
chapter >> #10
chapter >> #11
chapter >> #12
chapter >> #13-
chapter >> #13
chapter >> #14
chapter >> #15
nara's monologue >> my monologue...
grey season's monologue 1 >> grey season's monologue
characters >> CLICK
Prologue....
นี่คือคำพูดของผมที่เอ่ยออกมาต่อหน้าประธานนักเรียนสาวผู้ที่กำลังอยู่ตรงหน้า...
ทุกๆครั้ง เวลาที่ใครซักคนต้องการที่จะทำความรู้จักหรืออยากที่จะเป็นเพื่อนกับคนอื่น สิ่งที่ทุกๆคนกระทำเป็นอย่างแรกก็คือ... 'การสวมหน้ากาก'
สร้างเกราะกำบังหรือปรุงแต่งสิ่งภายนอกที่ไม่ใช่ตัวตนของตัวเองเข้าไป เช่น พูดจาให้สุภาพมากที่สุดทั้งๆที่ปกติแล้วอาจจะเป็นคนพูดจาหยาบคายมาโดยตลอดหรือที่นิยมกันมากที่สุดนั่นก็คือการเออออห่อหมก หัวเราะคิกคักกับทุกๆสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดราวกับว่าเห็นด้วยกับทุกๆความคิดเห็นของเค้ายังกะเป็นฝาแฝดคลานตามกันมายังไงอย่างงั้น...
ผู้คนส่วนมากจะเริ่มตั้งหน้าตั้งตา เอาจริงเอาจังกับการหาเพื่อนหรือการเข้าสังคมก็จะเริ่มต้นในช่วงของ 'ม.ปลาย'
สำหรับหลายๆคนช่วงเวลา 3 ปีที่ล้ำค่านั่นเปรียบเสมือนช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่... ช่วงเวลาที่สำคัญ แน่วแน่ หัวเลี้ยวหัวต่อและเป็นช่วงเวลาที่ 'แท้จริง' ในมุมมองของใครหลายๆคน... แม้แต่ตัวผมก็ตาม...
คนเราถ้าไม่ไร้สมองจนเกินไปก็น่าจะรู้ได้ว่าในอนาคตเมื่อจบม.6 ไปก็ต้องสอบเข้า ซึ่งช่วงๆนี้นี่แหละที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต...
ถ้าหากผ่าน 3 ปีในรั้วโรงเรียนม.ปลายไปแล้วแต่ยังค้นพบตัวเองไม่ได้ ยังหาสิ่งที่เป็นตัวเองไม่เจอ ยังหา 'ของจริง' ของตัวเองไม่พบ... ผลเสียที่เกิดขึ้นจะตามไปหลอกหลอนในการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาและจะกลายเป็นความเสียหายระยะยาวในอนาคตต่อไปถึงในช่วงวัยทำงาน...
ไหนจะเรื่องการสร้างคอนเนคชั่น {Connection} สร้างพรรคสร้างพวก สร้างเพื่อนฝูงในวัยเรียน ที่ซึ่งมีคำกล่าวๆได้บอกไว้ว่า 'เพื่อนในสมัยม.ปลายจะเป็นเพื่อนที่ผูกพันธุ์ที่สุดและจะคบกันไปตลอดจนกว่าจะถึงวัยที่เริ่มมีการสร้างครอบครัว' โดยเพื่อนในวัยม.ปลาย มีความสำคัญถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นรากฐานของคอนเนคชั่นในการทำงานในอนาคตเลยก็ว่าได้ !
พูดง่ายๆว่าสังคมในช่วงม.ปลายจะคอยเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ทุกๆอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและง่ายดายยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนสิ่งที่คอยช่วยเหลือและพยุงแรงผลักดันที่มีอยู่ภายในใจตัวเอง ไว้สำหรับในกรณีที่มันมีไม่เพียงพอ...
พวกที่มีคนรู้จักเยอะมาตั้งแต่ม.ต้น หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า 'เซเลป' หรืออีกคำนึงที่ว่า 'พวกเพรียบพร้อม' ก็น่าจะสบายหน่อย ไม่ต้องขวนขวายหาเพื่อนอะไรมาก
แต่ทว่า...
สำหรับผมแล้ว ผมไม่ใช่คนเหล่านั้นเนี่ยน่ะสิ๊ !
พวกคนธรรมดา... ใช่แล้ว พวกคนที่ไม่มีตัวตนอย่างเราหรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า พวกปลายแถว พวกเบี้ยที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นคอยแต่เป็นหมากในการใช้ชีวิตของคนอื่นไปวันๆ จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนและหาหนทางของตัวเองเพื่อที่จะยกระดับให้พ้นจากความเป็น 'คนธรรมดา' ให้จงได้ ซึ่งไม่ใช่อะไรทื่ทำกันง่ายๆ สำหรับคนธรรมดาที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์อย่างผม... ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถที่จะโทษเรื่องพรสวรรค์ได้ เพราะมีคำกล่าวที่ว่า 'คนธรรมดาไม่สามารถกล่าวโทษหรือริษยาต่อคนที่มีพรสวรรค์ได้ถ้าหากยังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่'
...ฉนั้นการดิ้นรนและแสวงหาเพื่อนและสังคมที่แข็งแกร่งของผมจึงต้องเกิดขึ้นและดำเนินมา... จนถึงจุดๆหนึ่งที่ตัวเองพบว่ากำลังนั่งอยู่ในห้องปกครองชั้นใต้ดินแอร์เย็นเฉียบแถมยังมีแสงสว่างสลัวๆจากหลอดไฟเพียงแค่หลอดเดียวอยู่เหนือโต๊ะที่ถูกรายล้อมปกคลุมไปด้วยความมืด... ต่อหน้ารุ่นพี่ม.5 ซึ่งเป็นประธานนักเรียนสาวสวยผมดำยาว ตาจิกโตราวกับแมวสวาท ผิวขาวอมชมพูส่วนสูง 165 ซม. หน้าตาเรียวยาวรูปร่างสูงโปร่งหุ่นดีเรียกได้ว่าทุกๆอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้าของเธอเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้เห็นถึงความเป็น 'พวกเพรียบพร้อม' ได้ทั้งนั้น... (ยกเว้นหน้าอกที่ค่อนข้างออกไปทางแบนราบจุดเดียว) แต่เป็นพวกสายขี้เย็นชากลิ่นของความหยิ่งยโสโอหังนี่ออกมาเพียบ
โดยมีหัวข้อสนทนาว่า...
"คุณจะต้องไปเข้าชมรมที่มีชื่อว่า 'ชมรมหน้ากาก' เพื่อที่จะได้ดัดนิสัยและแนวคิดอันสุดโต่งพาลให้ไม่มีใครคบของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามนโยบายที่ทางเราหรือสภานักเรียนได้วางเอาไว้เพื่อที่จะให้นักเรียนทุกๆคนสามารถโตขึ้นไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขและสามารถเข้ากับคนอื่นๆได้ทุกๆคน..."
คำพูดที่มาจากน้ำเสียงที่เย็นชาเหล่านั้นไม่ค่อยสบอารมณ์ตัวผมเท่าไหร่นัก ดังนั้นผมจึงกล่าวตอกกลับแม่ประธานนักเรียนผู้เพรียบพร้อมคนนั้นไปว่า...
"นโยบายบ้าบอของพวกเธอน่ะ ! มันก็เป็นเพียงแค่นโยบายขายฝันที่ทำให้พวกผู้ใหญ่หัวหงอกรู้สึกตื่นเต้นก็เท่านั้นแหละ ! ในสังคมของโลกแห่งความเป็นจริงแล้วไม่มีทางหรอกที่ใครคนใดคนหนึ่งจะสามารถที่จะเข้ากับทุกๆคนได้ ! เรื่องราวในสังคมที่ชั้นพบเจอทุกๆวันนี้นะมันเป็นเพียงแค่เรื่องจอมปลอม ! โกหกหลอกลวง ! สุดท้ายแล้วทุกๆคนก็ต้องการที่จะมีสังคมเอาไว้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเองก็เท่านั้น ! ไม่เห็นจะมีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นของจริงเลยซักนิด !
การที่จะคนเราจะปรับตัวให้เข้าหากับทุกๆคนได้ มีเพียงวิธีเดียวนั่นก็คือการคล้อยตามไปกับคนอื่นเพียงฝ่ายเดียว ! ซึ่งสุดท้ายก็เท่ากับว่าลบล้างตัวตนที่เคยมีมาทั้งหมดของตัวเองทิ้งไป ! ไอ้เรื่องบ้าๆแบบนั้นน่ะ คนอย่างฉันไม่มีทางที่จะทำมันได้ลงคอหรอก ! การโกหกตัวเอง การลบล้างความเป็นตัวตนของเองมันไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย ! หรือการลบตัวเองให้หายไปจากโลกเลยซะด้วยซ้ำ !
เรื่องของสังคมน่ะ... เรื่องการใช้ชีวิตในอนาคตถัดไปน่ะ ฉันมีวิธีของฉันเองและคนอย่างเธอที่ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของฉันไม่จำเป็นต้องมายุ่ง !"
ความเกรี้ยวกราดและการใส่อารมณ์เข้าไปในการพูดเป็นจุดเด่น (ที่ดีหรือไม่ก็แล้วแต่คนตีความ) มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว... เพราะฉะนั้นในมุมมองของทุกๆคน ผมนั้นคือคนที่สุดโต่งแบบสุดๆ...มีแนวความคิดที่เถตรง ซีเรียสจริงจังและเป็นตัวของตัวเองเสมอมา... ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พวกสังคมจอมปลอมที่สร้างหน้ากากขึ้นมาบิดเบือนความเป็นตัวเองและกล่าวอ้างด้วยคำพูดสวยหรูที่ว่า 'สิ่งมีชีวิตต้องรู้จักที่จะปรับตัว' 'คนเราต้องเลือกที่จะอยู่ให้เป็น' ไม่ชอบ...
ปัจจุบันผมจึงถูกสังคมลงโทษให้ไม่มีใครคบ ตราหน้าว่าเป็นพวกขวางโลกหรือที่เรียกกันเป็น 'ภาษาชาวบ้าน' อีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ... 'ถูกแบน' {BANNED} นั่นเอง...
"แนวคิดพวกนั้นของคุณนั่นแหละที่เป็นตัวการฉุดตัวของคุณให้ต่ำตมถอยหลังลงคลองได้มากขนาดนี้... คิดว่าแนวคิดสุดโต่งของตัวเองมันถูกต้องแล้วหรือยังไงกัน... เอาเถอะ... คนอย่างดิฉันอาจจะไม่เข้าใจเบื้องลึกของความต่ำตมของคนอย่างคุณจริงๆก็ได้... แต่บอกได้อย่างมั่นใจได้เลยว่าเส้นทางที่ตัวคุณกำลังเดินอยู่น่ะมันผิดถนัดเอาซะที่สุดเลย... คุณนักเรียน 'นร นิรนันท์'... ในฐานะของประธานนักเรียน มันเป็นหน้าที่ของดิฉันที่จะต้องนำทางให้นักเรียนที่กำลังหลงทางสามารถกลับมาพบแสงสว่างให้จงได้... เพราะฉะนั้นกรุณาทำตามสิ่งที่ดิฉันบอกซะเถอะคุณนักเรียน 'นร นิรนันท์'"
หนอยย... !!
ไอ้การพูดด้วยท่าทีเหินหาง การใช้วาจาที่สุภาพเกินเหตุทั้งๆที่เราก็ห่างกันแค่ปีเดียวและมีสถานะเป็นเพียงแค่นักเรียนม.ปลายเพียงคนนึงด้วยซ้ำนี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกหัวเสียมากๆ !
แม่นี่จะเสแสร้งสร้างภาพลักษณ์ที่เพียบพร้อมของตัวเองให้ดูน่าสะอิดสะเอียนไปถึงไหนกัน ! เรื่องราวการใช้ชีวิตในวัยเรียนของผม ! ผมจะเลือกเดินด้วยตัวเอง ! ผมมีแนวคิด แนวทาง ที่มันถูกต้องและเป็นตนของตัวเองที่สุดแล้ว ! ทำไมเราจำเป็นที่จะต้องเดินให้เหมือนคนอื่น ใช้ชีวิตในแบบที่คนอื่นเค้าทำกัน !
ไอ้พวกคน {Stereotype} จอมปลอม ! ไอ้พวกสังคมหน้ากากเอ้ยย !
"กรรรรรรรรรรรจจจ์ !!!!"
ผมตัดสินใจทำสิ่งที่สุดแสนจะงี่เง่าที่สุดในชีวิตลงไปนั่นก็คือการส่งเสียงทำท่า 'ขู่' ใส่ 'รชนิชล นารา' หรือ 'ยูว์' ประธานนักเรียนหญิงคนนี้ไป !
คงจะเป็นเพราะทั้งชีวิตของผมไม่ค่อยที่จะได้พบปะหรือพูดคุยกับหญิงสาวเท่าไหร่นัก... โดยเฉพาะกับหญิงสาวสุดเพียบพร้อมแบบนี้ด้วย... และแถมต้องมาถกกันในเรื่องประเด็นที่มีความเคร่งเครียดราวกับกำลังจะมีการจุดหัวรบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือยังไงอย่างนั้นซะด้วย...
การวางตัวจึงยังทำได้ไม่ค่อยเนียนตานัก... แต่ไม่เป็นไร... เพราะยังไงซะผมก็ยังมีดีที่หน้าตาอันพอใช้ได้ของผมที่จะช่วยพยุงให้สถานการณ์ไม่ตกเป็นรองมากนัก !
"น่าขยะแขยงที่สุด..."
ยวบบ...
เรียกได้ว่าร่างของผมแทบจะหดลงไปซุกเข้ากับที่รองเท้าเมื่อเจอสวนกลับด้วยคำพูดนิ่งๆแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและรังสีอำมหิตแห่งความเย็นชาซึ่งมีพลังอนุภาพเท่ากับขีปนาวุธรัสเซีย !
"นี่หรือว่าทางโรงเรียนของเราไม่ควรให้ค่าให้ราคากับเด็กนักเรียนที่ไม่มีทางเยียวยาแบบนี้จริงๆ หรือว่าประธานนักเรียนอย่างฉันจำเป็นที่จะต้องหันหลังให้กับลูกแกะที่กำลังลงทางเป็นครั้งแรกกันนะ... อาจารย์คะ... ช่วยขอคำปรึกษาทีค่ะ... เพราะจากการสนทนาที่กินเวลาเนิ่นนานนี้... ทำให้ดิฉันรู้สึกว่า พูดไปก็เปลื้องน้ำลาย เสียทั้งพลังงาน เสียทั้งเวลาที่มีคุณค่าไปเปล่าๆ... บางทีเค้าคนนี้อาจจะไร้ทางแก้ไขแล้วก็ได้..."
ฮึ่ยย ! บังอาจมาพูดจาดูถูกซะยังกับว่าเราต้อยต่ำซะยิ่งกว่าอะมีบ้า ! โคตรเกลียดเลยว่ะอีแบบนี้น่ะ !
"ใช่แล้ว ! เธอน่ะยอมแพ้ไปซะ ! ยังไงวิธีการที่เปรียบเสมือนการล้างสมองผู้คนของพวกเธอน่ะก็ไม่มีวันที่จะใช้กับคนอย่างฉันได้ผล... คิดจะให้ฉันเข้าชมรมประหลาดๆและล้างสมองให้คนอย่างฉันกลายเป็นพวกบ้าที่สวมหน้ากากเข้าสังคมเพื่อพบปะเข้าหาผู้อื่นน่ะ ไม่มีทางที่จะสำเร็จหรอก !
เพราะฉันเป็นคนที่เชื่อมั่น... ซื่อสัตย์ในชีวิตและจิตวิญญาณของตัวเอง ! ตัวตนของฉันน่ะมันแข็งแกร่งที่สุดและไม่มีอะไรที่จะลบล้างมันได้ ! ถ้าจะให้ยอมบิดเบือนสิ่งที่เป็นตัวเองเพื่อที่จะได้เข้าสังคมหรือมีพรรคมีพวกเยอะน่ะ... ฉันว่าน่าจะไปเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล ภูมิลำเนา ที่อยู่ให้กลายไปเป็นคนอื่นที่ไม่มีอยู่จริงไปเลยซะยังจะดีกว่า !
วิธีการของฉัน... เชื่อมั่นและตั้งมั่นอยู่กับตัวตนและความเป็นตัวของตัวเองนี่ต่างหากล่ะถึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ! อาจจะช้าและไม่รวดเร็วเท่ากับวิธีของพวกเธอแต่เชื่อว่ามั่นคงและยั่งยืนกว่าแน่ๆ !"
"ชิ..."
ประธานนักเรียนสาวเดาะปากออกมาเล็กน้อย... พร้อมกับมองมายังตัวผมด้วยสายตาแห่งความดูถูกเหยียดหยามราวกับกำลังจ้องมองอะมีบ้าที่ติดอยู่ข้างลำคลองเน่าๆ ผมชักเริ่มที่จะคุ้นชินกับการต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนี้เข้าซะแล้ว...
...
บรรยากาศรอบๆตัวเราจู่ๆก็หยุดนิ่งลงไปชั่วขณะหรือที่เรียกว่า {Dead Air} ไปซะอย่างนั้น...
ทันใดนั้นเองจึงมีเสียงของหญิงวัยประมาณ 30 ต้นๆ ดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศที่กำลังทะมึนตึงเครียดระหว่างเราทั้ง 2 คน...
"ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ด้วยตัวเองเลยซะสิ... นักเรียน นร"
ใบหน้าของหญิงสาวผู้รับหน้าที่เป็นครูแนะแนวและประจำอยู่ที่ฝ่ายปกครองปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความมืด... อาจารย์ 'รติยา มารี' ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ในโรงเรียนที่ผมเคารพและนับถือมากที่สุด อาจจะเพราะด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นอาจารย์หัวสมัยใหม่ อายุอันนามก็พึ่งจะแค่ 30 ต้นๆเท่านั้น (ถือว่าน้อยสำหรับพวกบรรดาคุณครูที่ประจำอยู่ในโรงเรียนของประเทศไทยแต่ก็ถือว่ามากเอาการสำหรับ 'ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน !') ยังไงก็ตามเธอเป็นผู้ใหญ่ของฝ่ายปกครองเพียงคนเดียวที่ผมเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำ (แค่บางประการ) ของเธอ ซึ่งถือว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่เธอคนนี้ได้มารับหน้าที่เป็นคนตัดสินว่าจะเอายังไงกับตัวผม...
"ถ้านร คิดว่าการเชื่อมั่นในความเป็นตัวของตัวเองไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงนิสัยของตนเองเพื่อที่จะให้ได้เข้ากับคนอื่นเป็นสิ่งที่ยั่งยืนและถูกต้องกว่าแล้วล่ะก็...
เอาอย่างงี้เป็นยังไงล่ะ... งั้นพวกเธอทั้งสองคน... ก็มาพบกันแค่ครึ่งทาง... นร เธอจะต้องเข้าร่วม 'ชมรมหน้ากาก' เพื่อที่จะได้แสวงหาหนทางที่จะกลับไปเป็นคนที่อาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างปกติ เพราะเธอต้องยอมรับว่านั่นมันเป็นปัญหาของตัวเธอ ที่เธอจะต้องแก้ไขให้ได้ เธอจะไม่ยอมรับหน่อยเหรอ... ว่าทุกๆวันนี้ มันก็เป็นเพราะทัศนคติของเธอนั่นแหละที่ทำให้ไม่มีใครเค้าคบ ถ้าเธออยากจะบอกว่าแนวคิดของเธอว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผิด 'แต่เป็นสังคมต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด'
นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสแล้วที่เธอจะได้พิสูจน์... ฉันจะอนุญาตให้เธอดำรงตำแหน่งเป็นประธานชมรมหน้ากากและสามารถคิดและดำเนินแนวทางของกิจกรรมชมรมโดยมีจุดประสงค์ในการหาหนทางกลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้โดยที่ไม่มีใครถูกแบน... 'ด้วยตัวของเธอเอง !' "
"อะไรนะ ! ทำอย่างนั้นจะไปแก้ไขปัญหากันได้อย่างไรล่ะคะ อาจารย์ !"
เสี้ยววินั้นเองหลังจากที่อาจารย์รติยาพูดจบ... 'ยูว์' ประธานนักเรียนหญิงก็พูดแทรกขึ้นมาโดยทันทีพร้อมกับมีแววตาที่ขัดใจอย่างมาก !
"นี่ก็คือการพบกันเพียงครึ่งทางยังไงล่ะยูว์... นโยบายของเธอคือต้องการให้นักเรียนทุกๆคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมได้โดยไม่มีใครถูกแบน... หรือมีการกีดกันกันภายในสังคม... สิ่งที่ฉันทำก็คือชี้ช่องทางให้เค้าแล้ว... นั่นก็คือให้เข้าร่วมชมรมตามนโยบายที่เธอได้สร้างขึ้นมา...
ในชมรมหน้ากาก นรจะได้พบกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆทั้งม.ต้นและม.ปลายที่ต่างก็ถูกเพื่อนๆร่วมชั้นกีดกัน ทอดทิ้งและถูกแบน... เมื่อพวกเค้าได้มาอยู่ร่วมกันโดยมีจุดประสงค์นั่นก็คือเพื่อที่จะทำให้ตัวเอง 'ถูกปลดแบน' ให้ได้... การที่มีสมาชิกและผู้ร่วมชะตากรรมในแบบเดียวกันหลายๆคน... จะเป็นการผนึกกำลังรวมกันให้มีโอกาสที่จะสามารถบรรลุผลสำเร็จหรือจุดหมายได้มากขึ้น ! เพราะอย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้พวกเราไปสู่จุดหมายนั่นก็คือ 'พรรคพวก' หรือ 'เพื่อนฝูง' ยังไงล่ะ...
แต่เราจะลองยอมให้เค้าทำในแบบฉบับและวิธีของตัวเค้า... เพื่อให้เค้าได้พิสูจน์หลักการและวีถีทางของตัวเอง ได้เรียนรู้และปฏิบัติด้วยตัวเอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นแนวทางปฏิบัติของคนสมัยใหม่ด้วยซ้ำไปนะ..."
"แล้วถ้าหากเขาล้มเหลวล่ะคะ ! ท่านอาจารย์ ! ทุกๆสิ่งที่ทำมาก็จะเท่ากับว่าไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา เท่ากับว่านโยบายของดิฉันล้มเหลว และไม่ได้อะไรกลับคืนจากเวลาที่เสียไปเลยนะคะ !"
คำพูดจากปากของประธานนักเรียนทำให้อาจารย์รติยาถึงกับต้องหยุดชะงัก ! ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้เป็นประธานนักเรียน... ถึงจะมีท่าทีเย็นชาและบุคลิกการพูดการจาที่ดูน่าขัดใจตัวผมไปบ้าง... แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนแลดูมีหลักการในการใช้ชีวิตที่ดี... เท่าที่เห็นคร่าวๆดูเป็นคนที่คำนึงถึงผลลัพธ์จากเวลาที่เสียไป... ซึ่งแนวคิดแบบนี้ เป็นหลักการที่พวกนักธุรกิจหรือพวกที่ประสบความสำเร็จให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก...
ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องยอมรับว่า 'พวกเพียบพร้อมจริงๆ' น่ะ... ไม่ได้มีดีแค่ที่หน้าตาแล้วก็ความเพียบพร้อม... แต่เป็นเพราะแนวคิดที่ได้รับการปลูกฝังมาจากการเลี้ยงดูที่ดีอีกด้วย (แต่ใช่ว่าผมจะกล่าวโทษว่าตัวผมได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่ดีนะ)
...
"ถ้าหาก... นร ล้มเหลวอย่างงั้นหรอ..."
"ฮะ...ฮึก...!"
การทวนคำพูดของอาจารย์รติยาทำให้ผมถึงกับต้องกลืนน้ำลายตัวเอง...
"ดิฉันมีคำตอบอยู่ภายในใจของตัวเองแล้วล่ะค่ะ ! ดิฉันจะให้เวลานร 1 ปีกับอีก 6 เดือนหรือว่า ปีครึ่ง ! ถ้าหากเขาไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าวิธีของเค้าใช้ได้ผล... ถ้าหากสมาชิกมากกว่าครึ่งยังไม่สามารถชำระล้างตัวเองและกลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างปกติได้... ดิฉันจะถือว่าแนวความคิดของเค้าล้มเหลวและจะต้องถูกบังคับให้ปฏิบัติตามหลักสูตรกิจกรรมชมรมที่ดิฉันได้วางเอาไว้ ! เพื่อหล่อหลอมตัวเองใหม่ให้สามารถปรับตัวและอยู่ร่วมกับคนอื่นได้โดยไม่มีปัญหา !
ถือว่าเป็นทางออกที่น่าจะยุติธรรมที่สุดแล้วในความคิดดิฉัน... สามารถยอมรับได้กันทุกฝ่ายไหม...? ! "
คำพูดสุดท้ายที่สุดแสนจะเด็ดขาดออกมาจากปากของหญิงสาวจนหมดและแทบไม่มีน้ำเสียงที่สะดุดหรือขัดข้อง ! ปณิธานของเธอคนนี้แน่วแน่มากๆ ! ที่จะทำให้นักเรียนในโรงเรียนนี้ไม่มีการกีดกันหรือสังคมที่ปราศจากการแบนให้จงได้ !
ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับทางออกด้วยวิธีๆนี้ดี ! เพราะฉะนั้นผมจึงพูดออกไปว่า...
"ตกลง ! เอาตามนั้นก็ได้ !"
ณ วินาทีนั้นเอง เท่ากับว่าผมได้จรดปากกาเซ็นชื่อตนเองลงไปในใบเข้าชมรมหน้ากากของประธานนักเรียนเรียบร้อยแล้ว !
ชะตากรรมชีวิตม.ปลายที่เหลืออยู่อีก 3 ปีในตอนนี้ขึ้นอยู่กับตัวของผมแล้ว... ว่าจะทำมันให้สำเร็จได้หรือไม่ !
โอกาสมาถึงแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นซักทีว่า... คนที่ถูกแบนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นจำเลยของสังคมเสมอไป... บางครั้งสังคมเองก็สามารถที่จะเป็นฝ่ายผิดได้เหมือนกัน !
เมื่อเห็นดังนั้นอาจารย์รติยาจึงยื่นใบสมัครเข้าชมรม 'หน้ากาก' มาวางต่อหน้าของผมพร้อมกับปากกาลูกลื่นสีฟ้า...
ผมจรดปากกาเซ็นชื่อตนเองลงในแผ่นกระดาษ 'นายนร นิรนันท์' เลขที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 2...
ผมจ้องไปที่นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของประธานนักเรียน... สุดท้ายแล้ว... แนวคิดของใครมันจะถูกต้องกว่ากัน !
"ก็เอาเป็นว่าตกลงกันได้แล้วล่ะนะ... พวกเธอทั้ง 2 คน... ต่อจากนี้ฉันจะขอแนะนำให้รู้จักกับสมาชิกของชมรมหน้ากากทั้งหมด 11 คนก็แล้วกันและอาจจะมีสมาชิกเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ---"
"ถ้าอย่างนั้นก็คงจะหมดหน้าที่ของดิฉันแล้วสินะคะ... เช่นนั้นแล้วล่ะก็... ดิฉันขอตัวก่อน... จะคอยจับตาทั้ง 2 ข้างมองดูความน่าสมเพชของการดำเนินกิจกรรมแสวงหาหนทางเพื่อที่จะดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ของชมรมๆนี้อย่างห่างๆก็แล้วกัน...
ฟังจากปากของดิฉันไว้เลยนะคะ... ว่าท้ายที่สุดแล้วสิ่งมีชีวิตทุกๆคนก็ต้องมีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างไม่มีปัญหา... เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเกิดมาแล้วทุกๆอย่างสมบูรณ์แบบ ล้วนแต่จะต้องมีการปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไขด้วยกันทั้งสิ้น...
เวลา 1 ปีครึ่งที่ดิฉันให้ไปน่ะ รับประกันเลยว่านั่นมันคือสิ่งที่จะสูญเสียไปซะเปล่าๆ... แต่อย่างน้อยก็คงจะทำให้คนที่ต่ำตมอย่างเขาคนนี้ได้รับรู้... ว่าการยึดมั่นอยู่แต่กับทัศนคติของตัวเองแบบนี้มีแต่จะทำให้ตัวตนของเขาถอยหลังลงคลองไปเรื่อยๆ ดิฉันขออวยพรให้ชมรมหน้ากากสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายของตัวเองให้จงได้...
ถึงแม้ว่าต่อจากนี้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม... ดิฉันขอตัวไปก่อนละกันค่ะ... สวัสดีค่ะ..."
...
ตึก ตัก ตัก...
...
เสียงฝีเท้าของ 'ท่านประธานนักเรียนผู้โอหัง' ก้าวขึ้นบันไดออกไปจากห้องใต้ดิน... เธอค่อยๆเดินออกไปด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา แต่ทว่ากลับมีน้ำเสียงที่ดังก้องอยู่ภายในหูของผม... ราวกับว่าทุกๆย่างก้าวที่มีอยู่น้อยนิดของเธอนั้นเปรียบเสมือนเป็นเวลาของผมที่กำลังเดินถอยหลังลงเรื่อยๆ
เวลาในการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าแนวทางความคิดของผม... 'มันไม่ผิด...'
...
"เอาล่ะ อย่ามัวแต่มานั่งเครียดอยู่เลยนร... ฉันว่ามาดูรายชื่อสมาชิกคนอื่นๆที่เธอจะต้องพบในชมรมดีกว่าว่ามีใครบ้าง...เผื่อจะได้คิดหาวิธีการในการแก้ปัญหาและรวมพลังกันพาสมาชิกแต่ละคนกลับไปสู่แสงสว่างจากโลกภายนอกได้...
สมาชิกคนแรก... ก็คือเธอเองนั่นแหละ... -นายนร นิรนันท์ ชื่อเล่น "นะ" อายุ 15 ปี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 2
รายละเอียด : เป็นเด็กนักเรียนที่มีทัศนคติมองโลกในแง่ร้ายและมาพร้อมกับแนวคิดที่สุดโต่งมั่นใจในตัวตนของตัวเองซะเต็มประดาจนไม่สามารถเข้าหากับนักเรียนคนอื่นๆได้เลย... มีแต่จะก่อให้เกิดกระแสต่อต้านอันเนื่องมาจากความสะอิดสะเอียนและผะอืดผะอมในความซีเรียสและจริงจังของชายผู้นี้..."
"แหม่... พูดซะผมเป็นเหมือนกะเชื้อโรคหรือก้อนเนื้องอกอะไรพรรค์นี้ไปซะได้..."
"ก็ไม่ผิดนักหรอก..."
อะ จะ !!
"สมาชิกคนที่ 2 -นางสาวศุภักษร วงศ์ประจักษ์ ชื่อเล่น "มายด์" อายุ 15 ปี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4 {GIFTED}
รายละเอียด : เป็นหญิงสาวผู้นิ่งเงียบไม่ค่อยมีใครคบเพราะมีท่าทีที่ไม่น่าคบหา อีกทั้งยังมีโลกส่วนตัวสูงจึงถูกนักเรียนคนอื่นๆมองว่าเข้าหายากและน่าจะเป็นเรื่องที่น่าปวดสมองในการจะทำความรู้จักกับเธอคนนี้... มีงานอดิเรกนั่นก็คือร้องเพลงนอกจากนั้นยังทำงานพิเศษอีกด้วย...
สมาชิกคนที่ 3 -นายกวิน เปี่ยมเมธี ชื่อเล่น "ปราชญ์" อายุ 16 ปี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4 {GIFTED}
รายละเอียด : เรียกได้ว่าเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ เป็นตัวของตัวเองมากจนเกินไปเลยไม่สนไม่แคร์ความรู้สึกของผู้อื่นจึงเป็นสาเหตุนำมาสู่การถูกแบน ฉันว่านายคนนี้น่าจะเข้ากับนายได้ไม่เลวล่ะนะว่าไหมล่ะนร...
ไปที่สมาชิกคนต่อไป...
สมาชิกคนที่ 4 -นางสาวจุฑารัตน์ ราตรีทอง ชื่อเล่น "ไนท์" อายุ 15 ปีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 9
รายละเอียด : จากประวัติเห็นบอกว่าพึ่งเข้าเรียนได้กลางคันตอนม.2 เทอม 2 และผลการเรียนก็ถือว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ มิหนำซ้ำยังชอบทำผิดกฎโรงเรียน โดดเรียน เคยเกือบโดนไล่ออก ว่ากันว่าโดนพวกผู้หญิงรำคาญและไม่ชอบหน้าซะส่วนใหญ่เพราะน่ารำคาญ ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่...
สมาชิกคนที่ 5 -นายฤทธิเดช มากมาย ชื่อเล่น "ป๋อง" อายุ 17 ปีแล้วว !! ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น !! ห้อง 8
รายละเอียด : คนนี้น่าสนใจมาก ! ตามประวัติบอกว่ามีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นทหารมาตั้งแต่เด็ก เลือดความคลั่งชาติสูงมากๆ เคยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้แล้วแต่ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคโลหิตจางจึงต้องออก พอเข้ามาเรียนที่นี้แล้วเห็นมีข่าวว่าชอบรังแกเด็กนักเรียนคนอื่นๆด้วยเหตุผลที่แปลกๆเพราะฉะนั้นเลยถูกแบน...
สมาชิกคนที่ 6 -นางสาวเอเลน่า โบนาร์ต ชื่อเล่น "เอน่า" อายุ 16 ปีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 13 {หลักสูตร English Program}
รายละเอียด : เห็นลือๆกันว่ามีเชื้อสายมาจากตระกูลที่สูงศักดิ์จากทางยุโรป แน่นอนว่าเป็นลูกครึ่ง ฐานะทางบ้านนี่เรียกได้ว่ารวยล้นฟ้า จึงทำให้เป็นที่หมั่นไส้จากคนภายในห้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว... แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือยังเป็นพวกหลงตัวเอง โอหังในความมั่งคั่งและความสูงศักดิ์ของตระกูลตน 'ราดน้ำมันเข้ากองไฟแท้ๆ'
นอกจากนั้นยังมีสมาชิกคนอื่นๆได้แก่...
สมาชิกคนที่ 7 -นายนิชัย โชติพันธุ์ ชื่อเล่น "แบงค์" อายุ 16 ปีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 1
รายละเอียด : เป็นนักเรียนที่สร้างกระแสปลุกระดมอะไรบางอย่าง ซึ่งทางฝ่ายปกครองก็กำลังจับตามองอยู่ด้วยเช่นกัน... ดูเหมือนจะมีหัวของความเป็นนักปฏิวัติหรือฝ่ายต่อต้านซะสูง... ก็นั่นแหละมีคนที่ไม่ชอบหน้าเยอะ ถึงอย่างนั้นก็มีทั้งคนรักและคนเกลียด... แต่ฝ่ายปกครองก็มองว่าควรที่จะต้องจับตา
สมาชิกคนที่ 8 -นายเตชิณท์ เทวานุภาพ ชื่อเล่น "ชิน" อายุ 15 ปีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 5 {GIFTED}
รายละเอียด : ทายาทของนักการเมืองที่มีชื่อเสียงคนนึง... เห็นว่ากันว่ามีเส้นสายแฝงตัวอยู่มากสำหรับตระกูลนักการเมืองนี้ นักเรียนที่รู้จักจึงไม่กล้าเข้าไปคบ ไม่ใช่เพราะเกลียดแต่เป็นเพราะกลัว กลัวว่าพอคบด้วยแล้วจะถูกนายคนนี้แอบลักลอบเอาข้อมูลอะไรไปได้ พูดง่ายๆว่าเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจที่สุด เคยมีข่าวฉาวกับอาจารย์ท่านหนึ่งด้วย !
สมาชิกคนที่ 9 -นายนราวิชญ์ โอดะ ชื่อเล่น "โอดะ" อายุ 17 ปี ! แต่เรียนอยู่แค่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 9
รายละเอียด : ซ้ำชั้นมาหลายปีแล้ว ! แถมยังมีวีรกรรมโด่งดังในเรื่องการจี้ลั่นฟันแทง เทลาะวิวาทกับนักเรียนทั้งในและนอกโรงเรียน... 'ซิสเตอร์'เคยเสนอชื่อให้ถูกไล่ออกมาครั้งนึงแล้วแต่คุณพ่ออธิการยังขอให้รับไว้อยู่... เนื่องด้วยนโยบายของทางโรงเรียนที่ว่า 'จะไม่ทอดทิ้งลูกแกะที่หลงทาง'
สมาชิกคนที่ 10 -นางสาวเจอมณี ไพบวก ชื่อเล่น "แตงกวา" อายุ 14 ปี ! มัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 1 {ห้องคิงส์}
รายละเอียด : เด็กคนนี้มีผลการเรียนดีเยี่ยม เผลอๆอาจจะดีที่สุดในสายชั้น...และในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนเซนต์คานาเรี่ยนเลยก็ว่าได้... แต่... ดูเหมือนจะมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมชั้น... ทางพวกผู้หลักผู้ใหญ่เค้าก็เป็นห่วงกัน เลยส่งให้มาปรับปรุงตัวอยู่ในชมรมนี้ซะ...
สมาชิกคนสุดท้าย -นางสาวนรินทร์ ลินลัด ชื่อเล่น "ลิน" อายุ 16 ปี... เรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 2 ห้องเดียวกับเธอเลยนร !
รายละเอียด : มีข่าวฉาวมาว่าเด็กนักเรียนคนนี้ชอบกลั่นแกล้งคนที่ไม่มีทางสู้โดยเฉพาะรุ่นน้องม.ต้น... ทางฝ่ายปกครองจับตามานานหลายเดือนแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าพอขึ้นม.4 มานี่นางคนนี้ค่อนข้างที่จะสงบลงแต่ทางเราก็ไม่ค่อยไว้ใจอยู่ดี... ทางสายข่าวบอกทางเจ้าตัวยังคงถูกสังคมแบนเอาไว้อยู่ ซึ่งก็ต้องถูกนำมาไว้ในชมรมๆนี้อยู่แล้ว...
นี่แหละรายชื่อของนักเรียนทุกๆคนที่ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเธอ... นร"
"มีแต่พวกโดดเดี่ยว ไม่มีใครคบระดับโลกทั้งนั้นเลย... ชักรู้สึกห่อเโพรงปริศนา่ยวขึ้นมาซะแล้วสิ... พอเห็นสภาพของแต่ละคนแบบนี้แล้ว..."
ต้องยอมรับจริงๆว่ามันน่าหนักใจมาก... แต่ละคนนี่ดูแล้วนิสัยไม่น่าคบด้วยกันทั้งนั้นเลยแฮะ... ก็ไม่แปลกล่ะก็เพราะอย่างงี้ไงถึงไม่มีใครคบ เพราะอย่างงี้ไงถึงถูกแบน...
"ก็หวังว่าเธอจะสามารถพาเพื่อนๆของเธอให้กลับไปใช้ชีวิตร่วมกับสังคมได้อย่างมีความสุขได้ละกันนะ... ทุกๆอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว... ถ้าไม่อยากถูกหล่อหลอมให้ความเป็นตัวตนของตัวเองหายไป ก็จงพิสูจน์ให้เห็นซะว่าเพียงแค่ตัวตนของเธอเพียงอย่างเดียวก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกับทุกๆคนในสังคม..."
"มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดนิคร้าาบบ... อาจารย์รติยา... แต่ละคนนี่มีแต่พวกอันธพาล หลงตัวเอง โลกส่วนตัวสูง บ้าบอคอแตก เจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ อินดี้ตัวพ่อ ทำลายตัวเองด้วยกันทั้งนั้น... ต่างจากผมที่แค่เชื่อมั่นในความเป็นตัวเอง แค่ทำแค่นี้ก็ถูกมองว่าผิดแล้ว"
"เธอเองก็ไม่ได้ต่างไปจากใครเค้าหรอกนร ! คราวนี้แหละเธอจะได้เรียนรู้ซักทีว่าสิ่งไหนกันแน่ที่ควรจะได้รับการแก้ไข..."
"หึ ! แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่ชี้ทางสว่างให้ผมมองเห็นง่ายๆกันล่ะครับ..."
"ฉันน่ะเป็นพวกสมัยใหม่ลืมแล้วหรือยังไง... ว่าคนอย่างฉันจะไม่ป้อนคำตอบ วิถีทางมาให้กับอนาคตของชาติง่ายๆ แต่จะคอยแนะแนวไกด์ไลน์ชี้ทางสว่างให้เป็นนัยๆ จะไม่ให้เงินกับคนที่มาขอแต่จะสอนวิธีหาเงินให้... เพื่อนักเรียนจะได้มีการพัฒนา แสวงหาทางออกด้วยตัวเองไม่ใช่แต่คอยพึ่งผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว ให้รู้จักพึ่งพาตัวเองซะบ้าง สุดท้ายจะได้ไม่ต้องมาคอยบ่น คอยโทษแต่เรื่องการศึกษา ระบบกระทรวง ทั้งๆที่ชีวิตในวัยเรียนก็เอาแต่แบมือขอคนอื่นอย่างเดียวไม่เคยรู้จักขวนขวายด้วยตัวเอง... ฉอด ฉอด ฉอด ฉอด "
เอ้าา... ทำไมถึงโยงไปเรื่องนั้นกันได้ล่ะเนี่ย...
พอได้โอกาสอาจารย์รติยาก็รัวคำพูดออกมาฉอดๆอย่างไม่หยุดยั้ง อารมณ์ประมาณว่าอยากจะตัดพ้อที่เด็กสมัยนี้เวลาเรียนอะไรแล้วไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ก็จะเอาแต่โทษการศึกษาและระบบต่างๆของผู้ใหญ่ว่าเป็นความผิดพลาด... ทั้งที่ความจริงแล้วมิได้ย้อนกลับไปมองตัวเองเลยว่าพยายามมากพอแล้วหรือยัง
ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ค่อยจะใช่เรื่องที่ผมต้องมาฟังแกบ่นน่ารำคาญอย่างงี้ซักเท่าไหร่...
ผมจ้องมองไปยังแผ่นกระดาษรายชื่อของชมรมหน้ากากที่ตนเองจะต้องไปอยู่...
นักเรียนทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นรุ่นเดียวกันหรือรุ่นน้อง... พวกเราต่างก็มีชะตากรรมร่วมกัน... นั่นก็คือเป็นผู้ที่ต้องถูกทอดทิ้ง ถูกหลงลืมไว้อยู่ในเงามืด... บางครั้งคนเราก็มีสัจธรรมที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อที่จะใช้ปลอบใจตัวเอง... ว่าในโลกของเราจำเป็นที่ต้องมีผู้คนจำพวกนี้เพื่อที่จะได้ทำให้ทุกอย่างมันสมดุล...
ช่างเป็นแนวความคิดที่ตลก งี่เงาและเห็นแก่ตัวสิ้นดี ผมขอสาปแข่งไอ้คนที่มันคิดความห่วยๆขยะๆแบบนี้...
มนุษย์ทุกๆคนมีความเท่าเทียมกัน ไม่ควรที่จะมีใครได้รับการปฏิบัติที่ต้อยต่ำกว่าผู้อื่น (เว้นแต่คนๆนั้นกระทำความผิดและสมควรที่จะได้รับการลงทัณฑ์)
ไม่ว่ายังไงก็ตาม... ฤดูกาลสีเทาได้พัดผ่านเข้ามาเยือนแล้ว...
การเดินทางของผมกับเหล่ามิตรสหาย 'คนที่ถูกแบน' กำลังที่จะเริ่มต้นขึ้น...
โชคชะตาที่ฟ้าลิขิตให้พวกเราทุกคนได้มาพบพานกันนั้นจะดำเนินต่อไปเช่นไร... ผมได้แต่ครุ่นคิดและจินตนาการนึกถึงมัน...
บางครั้ง...
แต่ก็ไม่แน่...
บางทีผมอาจจะสามารถสร้างเพื่อนที่เป็น 'ของจริง' เรื่องราวที่เป็น 'ของจริง' ภายในโลกที่เป็นของจริงไม่ใช่เพียงแค่เกมอย่าง 'ชีวิตม.ปลาย' นี่ขึ้นมาก็ได้...
ผมได้แต่หลับตา นึกลวงหน้าถึงมัน... การเดินทางของผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
chapter >> #2
chapter >> #3
chapter >> #4
chapter >> #5
chapter >> #6
chapter >> #7
chapter >> #8-
chapter >> #8
chapter >> #9-
chapter >> #9
chapter >> #10
chapter >> #11
chapter >> #12
chapter >> #13-
chapter >> #13
chapter >> #14
chapter >> #15
nara's monologue >> my monologue...
grey season's monologue 1 >> grey season's monologue
characters >> CLICK
Prologue....
"การเข้าสังคมเป็นเรื่องจอมปลอม... ทำไมฉันจะต้องสนใจเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นกันล่ะ..."
นี่คือคำพูดของผมที่เอ่ยออกมาต่อหน้าประธานนักเรียนสาวผู้ที่กำลังอยู่ตรงหน้า...
ทุกๆครั้ง เวลาที่ใครซักคนต้องการที่จะทำความรู้จักหรืออยากที่จะเป็นเพื่อนกับคนอื่น สิ่งที่ทุกๆคนกระทำเป็นอย่างแรกก็คือ... 'การสวมหน้ากาก'
สร้างเกราะกำบังหรือปรุงแต่งสิ่งภายนอกที่ไม่ใช่ตัวตนของตัวเองเข้าไป เช่น พูดจาให้สุภาพมากที่สุดทั้งๆที่ปกติแล้วอาจจะเป็นคนพูดจาหยาบคายมาโดยตลอดหรือที่นิยมกันมากที่สุดนั่นก็คือการเออออห่อหมก หัวเราะคิกคักกับทุกๆสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดราวกับว่าเห็นด้วยกับทุกๆความคิดเห็นของเค้ายังกะเป็นฝาแฝดคลานตามกันมายังไงอย่างงั้น...
ผู้คนส่วนมากจะเริ่มตั้งหน้าตั้งตา เอาจริงเอาจังกับการหาเพื่อนหรือการเข้าสังคมก็จะเริ่มต้นในช่วงของ 'ม.ปลาย'
สำหรับหลายๆคนช่วงเวลา 3 ปีที่ล้ำค่านั่นเปรียบเสมือนช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่... ช่วงเวลาที่สำคัญ แน่วแน่ หัวเลี้ยวหัวต่อและเป็นช่วงเวลาที่ 'แท้จริง' ในมุมมองของใครหลายๆคน... แม้แต่ตัวผมก็ตาม...
คนเราถ้าไม่ไร้สมองจนเกินไปก็น่าจะรู้ได้ว่าในอนาคตเมื่อจบม.6 ไปก็ต้องสอบเข้า ซึ่งช่วงๆนี้นี่แหละที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต...
ถ้าหากผ่าน 3 ปีในรั้วโรงเรียนม.ปลายไปแล้วแต่ยังค้นพบตัวเองไม่ได้ ยังหาสิ่งที่เป็นตัวเองไม่เจอ ยังหา 'ของจริง' ของตัวเองไม่พบ... ผลเสียที่เกิดขึ้นจะตามไปหลอกหลอนในการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาและจะกลายเป็นความเสียหายระยะยาวในอนาคตต่อไปถึงในช่วงวัยทำงาน...
ไหนจะเรื่องการสร้างคอนเนคชั่น {Connection} สร้างพรรคสร้างพวก สร้างเพื่อนฝูงในวัยเรียน ที่ซึ่งมีคำกล่าวๆได้บอกไว้ว่า 'เพื่อนในสมัยม.ปลายจะเป็นเพื่อนที่ผูกพันธุ์ที่สุดและจะคบกันไปตลอดจนกว่าจะถึงวัยที่เริ่มมีการสร้างครอบครัว' โดยเพื่อนในวัยม.ปลาย มีความสำคัญถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นรากฐานของคอนเนคชั่นในการทำงานในอนาคตเลยก็ว่าได้ !
พูดง่ายๆว่าสังคมในช่วงม.ปลายจะคอยเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ทุกๆอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและง่ายดายยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนสิ่งที่คอยช่วยเหลือและพยุงแรงผลักดันที่มีอยู่ภายในใจตัวเอง ไว้สำหรับในกรณีที่มันมีไม่เพียงพอ...
พวกที่มีคนรู้จักเยอะมาตั้งแต่ม.ต้น หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า 'เซเลป' หรืออีกคำนึงที่ว่า 'พวกเพรียบพร้อม' ก็น่าจะสบายหน่อย ไม่ต้องขวนขวายหาเพื่อนอะไรมาก
แต่ทว่า...
สำหรับผมแล้ว ผมไม่ใช่คนเหล่านั้นเนี่ยน่ะสิ๊ !
พวกคนธรรมดา... ใช่แล้ว พวกคนที่ไม่มีตัวตนอย่างเราหรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า พวกปลายแถว พวกเบี้ยที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นคอยแต่เป็นหมากในการใช้ชีวิตของคนอื่นไปวันๆ จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนและหาหนทางของตัวเองเพื่อที่จะยกระดับให้พ้นจากความเป็น 'คนธรรมดา' ให้จงได้ ซึ่งไม่ใช่อะไรทื่ทำกันง่ายๆ สำหรับคนธรรมดาที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์อย่างผม... ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สามารถที่จะโทษเรื่องพรสวรรค์ได้ เพราะมีคำกล่าวที่ว่า 'คนธรรมดาไม่สามารถกล่าวโทษหรือริษยาต่อคนที่มีพรสวรรค์ได้ถ้าหากยังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่'
...ฉนั้นการดิ้นรนและแสวงหาเพื่อนและสังคมที่แข็งแกร่งของผมจึงต้องเกิดขึ้นและดำเนินมา... จนถึงจุดๆหนึ่งที่ตัวเองพบว่ากำลังนั่งอยู่ในห้องปกครองชั้นใต้ดินแอร์เย็นเฉียบแถมยังมีแสงสว่างสลัวๆจากหลอดไฟเพียงแค่หลอดเดียวอยู่เหนือโต๊ะที่ถูกรายล้อมปกคลุมไปด้วยความมืด... ต่อหน้ารุ่นพี่ม.5 ซึ่งเป็นประธานนักเรียนสาวสวยผมดำยาว ตาจิกโตราวกับแมวสวาท ผิวขาวอมชมพูส่วนสูง 165 ซม. หน้าตาเรียวยาวรูปร่างสูงโปร่งหุ่นดีเรียกได้ว่าทุกๆอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้าของเธอเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้เห็นถึงความเป็น 'พวกเพรียบพร้อม' ได้ทั้งนั้น... (ยกเว้นหน้าอกที่ค่อนข้างออกไปทางแบนราบจุดเดียว) แต่เป็นพวกสายขี้เย็นชากลิ่นของความหยิ่งยโสโอหังนี่ออกมาเพียบ
โดยมีหัวข้อสนทนาว่า...
"คุณจะต้องไปเข้าชมรมที่มีชื่อว่า 'ชมรมหน้ากาก' เพื่อที่จะได้ดัดนิสัยและแนวคิดอันสุดโต่งพาลให้ไม่มีใครคบของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามนโยบายที่ทางเราหรือสภานักเรียนได้วางเอาไว้เพื่อที่จะให้นักเรียนทุกๆคนสามารถโตขึ้นไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขและสามารถเข้ากับคนอื่นๆได้ทุกๆคน..."
คำพูดที่มาจากน้ำเสียงที่เย็นชาเหล่านั้นไม่ค่อยสบอารมณ์ตัวผมเท่าไหร่นัก ดังนั้นผมจึงกล่าวตอกกลับแม่ประธานนักเรียนผู้เพรียบพร้อมคนนั้นไปว่า...
"นโยบายบ้าบอของพวกเธอน่ะ ! มันก็เป็นเพียงแค่นโยบายขายฝันที่ทำให้พวกผู้ใหญ่หัวหงอกรู้สึกตื่นเต้นก็เท่านั้นแหละ ! ในสังคมของโลกแห่งความเป็นจริงแล้วไม่มีทางหรอกที่ใครคนใดคนหนึ่งจะสามารถที่จะเข้ากับทุกๆคนได้ ! เรื่องราวในสังคมที่ชั้นพบเจอทุกๆวันนี้นะมันเป็นเพียงแค่เรื่องจอมปลอม ! โกหกหลอกลวง ! สุดท้ายแล้วทุกๆคนก็ต้องการที่จะมีสังคมเอาไว้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเองก็เท่านั้น ! ไม่เห็นจะมีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นของจริงเลยซักนิด !
การที่จะคนเราจะปรับตัวให้เข้าหากับทุกๆคนได้ มีเพียงวิธีเดียวนั่นก็คือการคล้อยตามไปกับคนอื่นเพียงฝ่ายเดียว ! ซึ่งสุดท้ายก็เท่ากับว่าลบล้างตัวตนที่เคยมีมาทั้งหมดของตัวเองทิ้งไป ! ไอ้เรื่องบ้าๆแบบนั้นน่ะ คนอย่างฉันไม่มีทางที่จะทำมันได้ลงคอหรอก ! การโกหกตัวเอง การลบล้างความเป็นตัวตนของเองมันไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย ! หรือการลบตัวเองให้หายไปจากโลกเลยซะด้วยซ้ำ !
เรื่องของสังคมน่ะ... เรื่องการใช้ชีวิตในอนาคตถัดไปน่ะ ฉันมีวิธีของฉันเองและคนอย่างเธอที่ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของฉันไม่จำเป็นต้องมายุ่ง !"
ความเกรี้ยวกราดและการใส่อารมณ์เข้าไปในการพูดเป็นจุดเด่น (ที่ดีหรือไม่ก็แล้วแต่คนตีความ) มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว... เพราะฉะนั้นในมุมมองของทุกๆคน ผมนั้นคือคนที่สุดโต่งแบบสุดๆ...มีแนวความคิดที่เถตรง ซีเรียสจริงจังและเป็นตัวของตัวเองเสมอมา... ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พวกสังคมจอมปลอมที่สร้างหน้ากากขึ้นมาบิดเบือนความเป็นตัวเองและกล่าวอ้างด้วยคำพูดสวยหรูที่ว่า 'สิ่งมีชีวิตต้องรู้จักที่จะปรับตัว' 'คนเราต้องเลือกที่จะอยู่ให้เป็น' ไม่ชอบ...
ปัจจุบันผมจึงถูกสังคมลงโทษให้ไม่มีใครคบ ตราหน้าว่าเป็นพวกขวางโลกหรือที่เรียกกันเป็น 'ภาษาชาวบ้าน' อีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ... 'ถูกแบน' {BANNED} นั่นเอง...
"แนวคิดพวกนั้นของคุณนั่นแหละที่เป็นตัวการฉุดตัวของคุณให้ต่ำตมถอยหลังลงคลองได้มากขนาดนี้... คิดว่าแนวคิดสุดโต่งของตัวเองมันถูกต้องแล้วหรือยังไงกัน... เอาเถอะ... คนอย่างดิฉันอาจจะไม่เข้าใจเบื้องลึกของความต่ำตมของคนอย่างคุณจริงๆก็ได้... แต่บอกได้อย่างมั่นใจได้เลยว่าเส้นทางที่ตัวคุณกำลังเดินอยู่น่ะมันผิดถนัดเอาซะที่สุดเลย... คุณนักเรียน 'นร นิรนันท์'... ในฐานะของประธานนักเรียน มันเป็นหน้าที่ของดิฉันที่จะต้องนำทางให้นักเรียนที่กำลังหลงทางสามารถกลับมาพบแสงสว่างให้จงได้... เพราะฉะนั้นกรุณาทำตามสิ่งที่ดิฉันบอกซะเถอะคุณนักเรียน 'นร นิรนันท์'"
หนอยย... !!
ไอ้การพูดด้วยท่าทีเหินหาง การใช้วาจาที่สุภาพเกินเหตุทั้งๆที่เราก็ห่างกันแค่ปีเดียวและมีสถานะเป็นเพียงแค่นักเรียนม.ปลายเพียงคนนึงด้วยซ้ำนี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกหัวเสียมากๆ !
แม่นี่จะเสแสร้งสร้างภาพลักษณ์ที่เพียบพร้อมของตัวเองให้ดูน่าสะอิดสะเอียนไปถึงไหนกัน ! เรื่องราวการใช้ชีวิตในวัยเรียนของผม ! ผมจะเลือกเดินด้วยตัวเอง ! ผมมีแนวคิด แนวทาง ที่มันถูกต้องและเป็นตนของตัวเองที่สุดแล้ว ! ทำไมเราจำเป็นที่จะต้องเดินให้เหมือนคนอื่น ใช้ชีวิตในแบบที่คนอื่นเค้าทำกัน !
ไอ้พวกคน {Stereotype} จอมปลอม ! ไอ้พวกสังคมหน้ากากเอ้ยย !
"กรรรรรรรรรรรจจจ์ !!!!"
ผมตัดสินใจทำสิ่งที่สุดแสนจะงี่เง่าที่สุดในชีวิตลงไปนั่นก็คือการส่งเสียงทำท่า 'ขู่' ใส่ 'รชนิชล นารา' หรือ 'ยูว์' ประธานนักเรียนหญิงคนนี้ไป !
คงจะเป็นเพราะทั้งชีวิตของผมไม่ค่อยที่จะได้พบปะหรือพูดคุยกับหญิงสาวเท่าไหร่นัก... โดยเฉพาะกับหญิงสาวสุดเพียบพร้อมแบบนี้ด้วย... และแถมต้องมาถกกันในเรื่องประเด็นที่มีความเคร่งเครียดราวกับกำลังจะมีการจุดหัวรบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือยังไงอย่างนั้นซะด้วย...
การวางตัวจึงยังทำได้ไม่ค่อยเนียนตานัก... แต่ไม่เป็นไร... เพราะยังไงซะผมก็ยังมีดีที่หน้าตาอันพอใช้ได้ของผมที่จะช่วยพยุงให้สถานการณ์ไม่ตกเป็นรองมากนัก !
"น่าขยะแขยงที่สุด..."
ยวบบ...
เรียกได้ว่าร่างของผมแทบจะหดลงไปซุกเข้ากับที่รองเท้าเมื่อเจอสวนกลับด้วยคำพูดนิ่งๆแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและรังสีอำมหิตแห่งความเย็นชาซึ่งมีพลังอนุภาพเท่ากับขีปนาวุธรัสเซีย !
"นี่หรือว่าทางโรงเรียนของเราไม่ควรให้ค่าให้ราคากับเด็กนักเรียนที่ไม่มีทางเยียวยาแบบนี้จริงๆ หรือว่าประธานนักเรียนอย่างฉันจำเป็นที่จะต้องหันหลังให้กับลูกแกะที่กำลังลงทางเป็นครั้งแรกกันนะ... อาจารย์คะ... ช่วยขอคำปรึกษาทีค่ะ... เพราะจากการสนทนาที่กินเวลาเนิ่นนานนี้... ทำให้ดิฉันรู้สึกว่า พูดไปก็เปลื้องน้ำลาย เสียทั้งพลังงาน เสียทั้งเวลาที่มีคุณค่าไปเปล่าๆ... บางทีเค้าคนนี้อาจจะไร้ทางแก้ไขแล้วก็ได้..."
ฮึ่ยย ! บังอาจมาพูดจาดูถูกซะยังกับว่าเราต้อยต่ำซะยิ่งกว่าอะมีบ้า ! โคตรเกลียดเลยว่ะอีแบบนี้น่ะ !
"ใช่แล้ว ! เธอน่ะยอมแพ้ไปซะ ! ยังไงวิธีการที่เปรียบเสมือนการล้างสมองผู้คนของพวกเธอน่ะก็ไม่มีวันที่จะใช้กับคนอย่างฉันได้ผล... คิดจะให้ฉันเข้าชมรมประหลาดๆและล้างสมองให้คนอย่างฉันกลายเป็นพวกบ้าที่สวมหน้ากากเข้าสังคมเพื่อพบปะเข้าหาผู้อื่นน่ะ ไม่มีทางที่จะสำเร็จหรอก !
เพราะฉันเป็นคนที่เชื่อมั่น... ซื่อสัตย์ในชีวิตและจิตวิญญาณของตัวเอง ! ตัวตนของฉันน่ะมันแข็งแกร่งที่สุดและไม่มีอะไรที่จะลบล้างมันได้ ! ถ้าจะให้ยอมบิดเบือนสิ่งที่เป็นตัวเองเพื่อที่จะได้เข้าสังคมหรือมีพรรคมีพวกเยอะน่ะ... ฉันว่าน่าจะไปเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล ภูมิลำเนา ที่อยู่ให้กลายไปเป็นคนอื่นที่ไม่มีอยู่จริงไปเลยซะยังจะดีกว่า !
วิธีการของฉัน... เชื่อมั่นและตั้งมั่นอยู่กับตัวตนและความเป็นตัวของตัวเองนี่ต่างหากล่ะถึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ! อาจจะช้าและไม่รวดเร็วเท่ากับวิธีของพวกเธอแต่เชื่อว่ามั่นคงและยั่งยืนกว่าแน่ๆ !"
"ชิ..."
ประธานนักเรียนสาวเดาะปากออกมาเล็กน้อย... พร้อมกับมองมายังตัวผมด้วยสายตาแห่งความดูถูกเหยียดหยามราวกับกำลังจ้องมองอะมีบ้าที่ติดอยู่ข้างลำคลองเน่าๆ ผมชักเริ่มที่จะคุ้นชินกับการต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนี้เข้าซะแล้ว...
...
บรรยากาศรอบๆตัวเราจู่ๆก็หยุดนิ่งลงไปชั่วขณะหรือที่เรียกว่า {Dead Air} ไปซะอย่างนั้น...
ทันใดนั้นเองจึงมีเสียงของหญิงวัยประมาณ 30 ต้นๆ ดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศที่กำลังทะมึนตึงเครียดระหว่างเราทั้ง 2 คน...
"ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ด้วยตัวเองเลยซะสิ... นักเรียน นร"
ใบหน้าของหญิงสาวผู้รับหน้าที่เป็นครูแนะแนวและประจำอยู่ที่ฝ่ายปกครองปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความมืด... อาจารย์ 'รติยา มารี' ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ในโรงเรียนที่ผมเคารพและนับถือมากที่สุด อาจจะเพราะด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นอาจารย์หัวสมัยใหม่ อายุอันนามก็พึ่งจะแค่ 30 ต้นๆเท่านั้น (ถือว่าน้อยสำหรับพวกบรรดาคุณครูที่ประจำอยู่ในโรงเรียนของประเทศไทยแต่ก็ถือว่ามากเอาการสำหรับ 'ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน !') ยังไงก็ตามเธอเป็นผู้ใหญ่ของฝ่ายปกครองเพียงคนเดียวที่ผมเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำ (แค่บางประการ) ของเธอ ซึ่งถือว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่เธอคนนี้ได้มารับหน้าที่เป็นคนตัดสินว่าจะเอายังไงกับตัวผม...
"ถ้านร คิดว่าการเชื่อมั่นในความเป็นตัวของตัวเองไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงนิสัยของตนเองเพื่อที่จะให้ได้เข้ากับคนอื่นเป็นสิ่งที่ยั่งยืนและถูกต้องกว่าแล้วล่ะก็...
เอาอย่างงี้เป็นยังไงล่ะ... งั้นพวกเธอทั้งสองคน... ก็มาพบกันแค่ครึ่งทาง... นร เธอจะต้องเข้าร่วม 'ชมรมหน้ากาก' เพื่อที่จะได้แสวงหาหนทางที่จะกลับไปเป็นคนที่อาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างปกติ เพราะเธอต้องยอมรับว่านั่นมันเป็นปัญหาของตัวเธอ ที่เธอจะต้องแก้ไขให้ได้ เธอจะไม่ยอมรับหน่อยเหรอ... ว่าทุกๆวันนี้ มันก็เป็นเพราะทัศนคติของเธอนั่นแหละที่ทำให้ไม่มีใครเค้าคบ ถ้าเธออยากจะบอกว่าแนวคิดของเธอว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผิด 'แต่เป็นสังคมต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด'
นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสแล้วที่เธอจะได้พิสูจน์... ฉันจะอนุญาตให้เธอดำรงตำแหน่งเป็นประธานชมรมหน้ากากและสามารถคิดและดำเนินแนวทางของกิจกรรมชมรมโดยมีจุดประสงค์ในการหาหนทางกลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้โดยที่ไม่มีใครถูกแบน... 'ด้วยตัวของเธอเอง !' "
"อะไรนะ ! ทำอย่างนั้นจะไปแก้ไขปัญหากันได้อย่างไรล่ะคะ อาจารย์ !"
เสี้ยววินั้นเองหลังจากที่อาจารย์รติยาพูดจบ... 'ยูว์' ประธานนักเรียนหญิงก็พูดแทรกขึ้นมาโดยทันทีพร้อมกับมีแววตาที่ขัดใจอย่างมาก !
"นี่ก็คือการพบกันเพียงครึ่งทางยังไงล่ะยูว์... นโยบายของเธอคือต้องการให้นักเรียนทุกๆคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมได้โดยไม่มีใครถูกแบน... หรือมีการกีดกันกันภายในสังคม... สิ่งที่ฉันทำก็คือชี้ช่องทางให้เค้าแล้ว... นั่นก็คือให้เข้าร่วมชมรมตามนโยบายที่เธอได้สร้างขึ้นมา...
ในชมรมหน้ากาก นรจะได้พบกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆทั้งม.ต้นและม.ปลายที่ต่างก็ถูกเพื่อนๆร่วมชั้นกีดกัน ทอดทิ้งและถูกแบน... เมื่อพวกเค้าได้มาอยู่ร่วมกันโดยมีจุดประสงค์นั่นก็คือเพื่อที่จะทำให้ตัวเอง 'ถูกปลดแบน' ให้ได้... การที่มีสมาชิกและผู้ร่วมชะตากรรมในแบบเดียวกันหลายๆคน... จะเป็นการผนึกกำลังรวมกันให้มีโอกาสที่จะสามารถบรรลุผลสำเร็จหรือจุดหมายได้มากขึ้น ! เพราะอย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้พวกเราไปสู่จุดหมายนั่นก็คือ 'พรรคพวก' หรือ 'เพื่อนฝูง' ยังไงล่ะ...
แต่เราจะลองยอมให้เค้าทำในแบบฉบับและวิธีของตัวเค้า... เพื่อให้เค้าได้พิสูจน์หลักการและวีถีทางของตัวเอง ได้เรียนรู้และปฏิบัติด้วยตัวเอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นแนวทางปฏิบัติของคนสมัยใหม่ด้วยซ้ำไปนะ..."
"แล้วถ้าหากเขาล้มเหลวล่ะคะ ! ท่านอาจารย์ ! ทุกๆสิ่งที่ทำมาก็จะเท่ากับว่าไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา เท่ากับว่านโยบายของดิฉันล้มเหลว และไม่ได้อะไรกลับคืนจากเวลาที่เสียไปเลยนะคะ !"
คำพูดจากปากของประธานนักเรียนทำให้อาจารย์รติยาถึงกับต้องหยุดชะงัก ! ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้เป็นประธานนักเรียน... ถึงจะมีท่าทีเย็นชาและบุคลิกการพูดการจาที่ดูน่าขัดใจตัวผมไปบ้าง... แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนแลดูมีหลักการในการใช้ชีวิตที่ดี... เท่าที่เห็นคร่าวๆดูเป็นคนที่คำนึงถึงผลลัพธ์จากเวลาที่เสียไป... ซึ่งแนวคิดแบบนี้ เป็นหลักการที่พวกนักธุรกิจหรือพวกที่ประสบความสำเร็จให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก...
ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องยอมรับว่า 'พวกเพียบพร้อมจริงๆ' น่ะ... ไม่ได้มีดีแค่ที่หน้าตาแล้วก็ความเพียบพร้อม... แต่เป็นเพราะแนวคิดที่ได้รับการปลูกฝังมาจากการเลี้ยงดูที่ดีอีกด้วย (แต่ใช่ว่าผมจะกล่าวโทษว่าตัวผมได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่ดีนะ)
...
"ถ้าหาก... นร ล้มเหลวอย่างงั้นหรอ..."
"ฮะ...ฮึก...!"
การทวนคำพูดของอาจารย์รติยาทำให้ผมถึงกับต้องกลืนน้ำลายตัวเอง...
"ดิฉันมีคำตอบอยู่ภายในใจของตัวเองแล้วล่ะค่ะ ! ดิฉันจะให้เวลานร 1 ปีกับอีก 6 เดือนหรือว่า ปีครึ่ง ! ถ้าหากเขาไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าวิธีของเค้าใช้ได้ผล... ถ้าหากสมาชิกมากกว่าครึ่งยังไม่สามารถชำระล้างตัวเองและกลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างปกติได้... ดิฉันจะถือว่าแนวความคิดของเค้าล้มเหลวและจะต้องถูกบังคับให้ปฏิบัติตามหลักสูตรกิจกรรมชมรมที่ดิฉันได้วางเอาไว้ ! เพื่อหล่อหลอมตัวเองใหม่ให้สามารถปรับตัวและอยู่ร่วมกับคนอื่นได้โดยไม่มีปัญหา !
ถือว่าเป็นทางออกที่น่าจะยุติธรรมที่สุดแล้วในความคิดดิฉัน... สามารถยอมรับได้กันทุกฝ่ายไหม...? ! "
คำพูดสุดท้ายที่สุดแสนจะเด็ดขาดออกมาจากปากของหญิงสาวจนหมดและแทบไม่มีน้ำเสียงที่สะดุดหรือขัดข้อง ! ปณิธานของเธอคนนี้แน่วแน่มากๆ ! ที่จะทำให้นักเรียนในโรงเรียนนี้ไม่มีการกีดกันหรือสังคมที่ปราศจากการแบนให้จงได้ !
ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับทางออกด้วยวิธีๆนี้ดี ! เพราะฉะนั้นผมจึงพูดออกไปว่า...
"ตกลง ! เอาตามนั้นก็ได้ !"
ณ วินาทีนั้นเอง เท่ากับว่าผมได้จรดปากกาเซ็นชื่อตนเองลงไปในใบเข้าชมรมหน้ากากของประธานนักเรียนเรียบร้อยแล้ว !
ชะตากรรมชีวิตม.ปลายที่เหลืออยู่อีก 3 ปีในตอนนี้ขึ้นอยู่กับตัวของผมแล้ว... ว่าจะทำมันให้สำเร็จได้หรือไม่ !
โอกาสมาถึงแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นซักทีว่า... คนที่ถูกแบนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นจำเลยของสังคมเสมอไป... บางครั้งสังคมเองก็สามารถที่จะเป็นฝ่ายผิดได้เหมือนกัน !
เมื่อเห็นดังนั้นอาจารย์รติยาจึงยื่นใบสมัครเข้าชมรม 'หน้ากาก' มาวางต่อหน้าของผมพร้อมกับปากกาลูกลื่นสีฟ้า...
ผมจรดปากกาเซ็นชื่อตนเองลงในแผ่นกระดาษ 'นายนร นิรนันท์' เลขที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 2...
ผมจ้องไปที่นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของประธานนักเรียน... สุดท้ายแล้ว... แนวคิดของใครมันจะถูกต้องกว่ากัน !
"ก็เอาเป็นว่าตกลงกันได้แล้วล่ะนะ... พวกเธอทั้ง 2 คน... ต่อจากนี้ฉันจะขอแนะนำให้รู้จักกับสมาชิกของชมรมหน้ากากทั้งหมด 11 คนก็แล้วกันและอาจจะมีสมาชิกเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ---"
"ถ้าอย่างนั้นก็คงจะหมดหน้าที่ของดิฉันแล้วสินะคะ... เช่นนั้นแล้วล่ะก็... ดิฉันขอตัวก่อน... จะคอยจับตาทั้ง 2 ข้างมองดูความน่าสมเพชของการดำเนินกิจกรรมแสวงหาหนทางเพื่อที่จะดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ของชมรมๆนี้อย่างห่างๆก็แล้วกัน...
ฟังจากปากของดิฉันไว้เลยนะคะ... ว่าท้ายที่สุดแล้วสิ่งมีชีวิตทุกๆคนก็ต้องมีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างไม่มีปัญหา... เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเกิดมาแล้วทุกๆอย่างสมบูรณ์แบบ ล้วนแต่จะต้องมีการปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไขด้วยกันทั้งสิ้น...
เวลา 1 ปีครึ่งที่ดิฉันให้ไปน่ะ รับประกันเลยว่านั่นมันคือสิ่งที่จะสูญเสียไปซะเปล่าๆ... แต่อย่างน้อยก็คงจะทำให้คนที่ต่ำตมอย่างเขาคนนี้ได้รับรู้... ว่าการยึดมั่นอยู่แต่กับทัศนคติของตัวเองแบบนี้มีแต่จะทำให้ตัวตนของเขาถอยหลังลงคลองไปเรื่อยๆ ดิฉันขออวยพรให้ชมรมหน้ากากสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายของตัวเองให้จงได้...
ถึงแม้ว่าต่อจากนี้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม... ดิฉันขอตัวไปก่อนละกันค่ะ... สวัสดีค่ะ..."
...
ตึก ตัก ตัก...
...
เสียงฝีเท้าของ 'ท่านประธานนักเรียนผู้โอหัง' ก้าวขึ้นบันไดออกไปจากห้องใต้ดิน... เธอค่อยๆเดินออกไปด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา แต่ทว่ากลับมีน้ำเสียงที่ดังก้องอยู่ภายในหูของผม... ราวกับว่าทุกๆย่างก้าวที่มีอยู่น้อยนิดของเธอนั้นเปรียบเสมือนเป็นเวลาของผมที่กำลังเดินถอยหลังลงเรื่อยๆ
เวลาในการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าแนวทางความคิดของผม... 'มันไม่ผิด...'
...
"เอาล่ะ อย่ามัวแต่มานั่งเครียดอยู่เลยนร... ฉันว่ามาดูรายชื่อสมาชิกคนอื่นๆที่เธอจะต้องพบในชมรมดีกว่าว่ามีใครบ้าง...เผื่อจะได้คิดหาวิธีการในการแก้ปัญหาและรวมพลังกันพาสมาชิกแต่ละคนกลับไปสู่แสงสว่างจากโลกภายนอกได้...
สมาชิกคนแรก... ก็คือเธอเองนั่นแหละ... -นายนร นิรนันท์ ชื่อเล่น "นะ" อายุ 15 ปี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 2
รายละเอียด : เป็นเด็กนักเรียนที่มีทัศนคติมองโลกในแง่ร้ายและมาพร้อมกับแนวคิดที่สุดโต่งมั่นใจในตัวตนของตัวเองซะเต็มประดาจนไม่สามารถเข้าหากับนักเรียนคนอื่นๆได้เลย... มีแต่จะก่อให้เกิดกระแสต่อต้านอันเนื่องมาจากความสะอิดสะเอียนและผะอืดผะอมในความซีเรียสและจริงจังของชายผู้นี้..."
"แหม่... พูดซะผมเป็นเหมือนกะเชื้อโรคหรือก้อนเนื้องอกอะไรพรรค์นี้ไปซะได้..."
"ก็ไม่ผิดนักหรอก..."
อะ จะ !!
"สมาชิกคนที่ 2 -นางสาวศุภักษร วงศ์ประจักษ์ ชื่อเล่น "มายด์" อายุ 15 ปี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4 {GIFTED}
รายละเอียด : เป็นหญิงสาวผู้นิ่งเงียบไม่ค่อยมีใครคบเพราะมีท่าทีที่ไม่น่าคบหา อีกทั้งยังมีโลกส่วนตัวสูงจึงถูกนักเรียนคนอื่นๆมองว่าเข้าหายากและน่าจะเป็นเรื่องที่น่าปวดสมองในการจะทำความรู้จักกับเธอคนนี้... มีงานอดิเรกนั่นก็คือร้องเพลงนอกจากนั้นยังทำงานพิเศษอีกด้วย...
สมาชิกคนที่ 3 -นายกวิน เปี่ยมเมธี ชื่อเล่น "ปราชญ์" อายุ 16 ปี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4 {GIFTED}
รายละเอียด : เรียกได้ว่าเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ เป็นตัวของตัวเองมากจนเกินไปเลยไม่สนไม่แคร์ความรู้สึกของผู้อื่นจึงเป็นสาเหตุนำมาสู่การถูกแบน ฉันว่านายคนนี้น่าจะเข้ากับนายได้ไม่เลวล่ะนะว่าไหมล่ะนร...
ไปที่สมาชิกคนต่อไป...
สมาชิกคนที่ 4 -นางสาวจุฑารัตน์ ราตรีทอง ชื่อเล่น "ไนท์" อายุ 15 ปีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 9
รายละเอียด : จากประวัติเห็นบอกว่าพึ่งเข้าเรียนได้กลางคันตอนม.2 เทอม 2 และผลการเรียนก็ถือว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ มิหนำซ้ำยังชอบทำผิดกฎโรงเรียน โดดเรียน เคยเกือบโดนไล่ออก ว่ากันว่าโดนพวกผู้หญิงรำคาญและไม่ชอบหน้าซะส่วนใหญ่เพราะน่ารำคาญ ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่...
สมาชิกคนที่ 5 -นายฤทธิเดช มากมาย ชื่อเล่น "ป๋อง" อายุ 17 ปีแล้วว !! ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น !! ห้อง 8
รายละเอียด : คนนี้น่าสนใจมาก ! ตามประวัติบอกว่ามีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นทหารมาตั้งแต่เด็ก เลือดความคลั่งชาติสูงมากๆ เคยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้แล้วแต่ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคโลหิตจางจึงต้องออก พอเข้ามาเรียนที่นี้แล้วเห็นมีข่าวว่าชอบรังแกเด็กนักเรียนคนอื่นๆด้วยเหตุผลที่แปลกๆเพราะฉะนั้นเลยถูกแบน...
สมาชิกคนที่ 6 -นางสาวเอเลน่า โบนาร์ต ชื่อเล่น "เอน่า" อายุ 16 ปีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 13 {หลักสูตร English Program}
รายละเอียด : เห็นลือๆกันว่ามีเชื้อสายมาจากตระกูลที่สูงศักดิ์จากทางยุโรป แน่นอนว่าเป็นลูกครึ่ง ฐานะทางบ้านนี่เรียกได้ว่ารวยล้นฟ้า จึงทำให้เป็นที่หมั่นไส้จากคนภายในห้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว... แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือยังเป็นพวกหลงตัวเอง โอหังในความมั่งคั่งและความสูงศักดิ์ของตระกูลตน 'ราดน้ำมันเข้ากองไฟแท้ๆ'
นอกจากนั้นยังมีสมาชิกคนอื่นๆได้แก่...
สมาชิกคนที่ 7 -นายนิชัย โชติพันธุ์ ชื่อเล่น "แบงค์" อายุ 16 ปีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 1
รายละเอียด : เป็นนักเรียนที่สร้างกระแสปลุกระดมอะไรบางอย่าง ซึ่งทางฝ่ายปกครองก็กำลังจับตามองอยู่ด้วยเช่นกัน... ดูเหมือนจะมีหัวของความเป็นนักปฏิวัติหรือฝ่ายต่อต้านซะสูง... ก็นั่นแหละมีคนที่ไม่ชอบหน้าเยอะ ถึงอย่างนั้นก็มีทั้งคนรักและคนเกลียด... แต่ฝ่ายปกครองก็มองว่าควรที่จะต้องจับตา
สมาชิกคนที่ 8 -นายเตชิณท์ เทวานุภาพ ชื่อเล่น "ชิน" อายุ 15 ปีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 5 {GIFTED}
รายละเอียด : ทายาทของนักการเมืองที่มีชื่อเสียงคนนึง... เห็นว่ากันว่ามีเส้นสายแฝงตัวอยู่มากสำหรับตระกูลนักการเมืองนี้ นักเรียนที่รู้จักจึงไม่กล้าเข้าไปคบ ไม่ใช่เพราะเกลียดแต่เป็นเพราะกลัว กลัวว่าพอคบด้วยแล้วจะถูกนายคนนี้แอบลักลอบเอาข้อมูลอะไรไปได้ พูดง่ายๆว่าเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจที่สุด เคยมีข่าวฉาวกับอาจารย์ท่านหนึ่งด้วย !
สมาชิกคนที่ 9 -นายนราวิชญ์ โอดะ ชื่อเล่น "โอดะ" อายุ 17 ปี ! แต่เรียนอยู่แค่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 9
รายละเอียด : ซ้ำชั้นมาหลายปีแล้ว ! แถมยังมีวีรกรรมโด่งดังในเรื่องการจี้ลั่นฟันแทง เทลาะวิวาทกับนักเรียนทั้งในและนอกโรงเรียน... 'ซิสเตอร์'เคยเสนอชื่อให้ถูกไล่ออกมาครั้งนึงแล้วแต่คุณพ่ออธิการยังขอให้รับไว้อยู่... เนื่องด้วยนโยบายของทางโรงเรียนที่ว่า 'จะไม่ทอดทิ้งลูกแกะที่หลงทาง'
สมาชิกคนที่ 10 -นางสาวเจอมณี ไพบวก ชื่อเล่น "แตงกวา" อายุ 14 ปี ! มัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 1 {ห้องคิงส์}
รายละเอียด : เด็กคนนี้มีผลการเรียนดีเยี่ยม เผลอๆอาจจะดีที่สุดในสายชั้น...และในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนเซนต์คานาเรี่ยนเลยก็ว่าได้... แต่... ดูเหมือนจะมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมชั้น... ทางพวกผู้หลักผู้ใหญ่เค้าก็เป็นห่วงกัน เลยส่งให้มาปรับปรุงตัวอยู่ในชมรมนี้ซะ...
สมาชิกคนสุดท้าย -นางสาวนรินทร์ ลินลัด ชื่อเล่น "ลิน" อายุ 16 ปี... เรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 2 ห้องเดียวกับเธอเลยนร !
รายละเอียด : มีข่าวฉาวมาว่าเด็กนักเรียนคนนี้ชอบกลั่นแกล้งคนที่ไม่มีทางสู้โดยเฉพาะรุ่นน้องม.ต้น... ทางฝ่ายปกครองจับตามานานหลายเดือนแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าพอขึ้นม.4 มานี่นางคนนี้ค่อนข้างที่จะสงบลงแต่ทางเราก็ไม่ค่อยไว้ใจอยู่ดี... ทางสายข่าวบอกทางเจ้าตัวยังคงถูกสังคมแบนเอาไว้อยู่ ซึ่งก็ต้องถูกนำมาไว้ในชมรมๆนี้อยู่แล้ว...
นี่แหละรายชื่อของนักเรียนทุกๆคนที่ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเธอ... นร"
"มีแต่พวกโดดเดี่ยว ไม่มีใครคบระดับโลกทั้งนั้นเลย... ชักรู้สึกห่อเโพรงปริศนา่ยวขึ้นมาซะแล้วสิ... พอเห็นสภาพของแต่ละคนแบบนี้แล้ว..."
ต้องยอมรับจริงๆว่ามันน่าหนักใจมาก... แต่ละคนนี่ดูแล้วนิสัยไม่น่าคบด้วยกันทั้งนั้นเลยแฮะ... ก็ไม่แปลกล่ะก็เพราะอย่างงี้ไงถึงไม่มีใครคบ เพราะอย่างงี้ไงถึงถูกแบน...
"ก็หวังว่าเธอจะสามารถพาเพื่อนๆของเธอให้กลับไปใช้ชีวิตร่วมกับสังคมได้อย่างมีความสุขได้ละกันนะ... ทุกๆอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว... ถ้าไม่อยากถูกหล่อหลอมให้ความเป็นตัวตนของตัวเองหายไป ก็จงพิสูจน์ให้เห็นซะว่าเพียงแค่ตัวตนของเธอเพียงอย่างเดียวก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกับทุกๆคนในสังคม..."
"มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดนิคร้าาบบ... อาจารย์รติยา... แต่ละคนนี่มีแต่พวกอันธพาล หลงตัวเอง โลกส่วนตัวสูง บ้าบอคอแตก เจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ อินดี้ตัวพ่อ ทำลายตัวเองด้วยกันทั้งนั้น... ต่างจากผมที่แค่เชื่อมั่นในความเป็นตัวเอง แค่ทำแค่นี้ก็ถูกมองว่าผิดแล้ว"
"เธอเองก็ไม่ได้ต่างไปจากใครเค้าหรอกนร ! คราวนี้แหละเธอจะได้เรียนรู้ซักทีว่าสิ่งไหนกันแน่ที่ควรจะได้รับการแก้ไข..."
"หึ ! แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่ชี้ทางสว่างให้ผมมองเห็นง่ายๆกันล่ะครับ..."
"ฉันน่ะเป็นพวกสมัยใหม่ลืมแล้วหรือยังไง... ว่าคนอย่างฉันจะไม่ป้อนคำตอบ วิถีทางมาให้กับอนาคตของชาติง่ายๆ แต่จะคอยแนะแนวไกด์ไลน์ชี้ทางสว่างให้เป็นนัยๆ จะไม่ให้เงินกับคนที่มาขอแต่จะสอนวิธีหาเงินให้... เพื่อนักเรียนจะได้มีการพัฒนา แสวงหาทางออกด้วยตัวเองไม่ใช่แต่คอยพึ่งผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว ให้รู้จักพึ่งพาตัวเองซะบ้าง สุดท้ายจะได้ไม่ต้องมาคอยบ่น คอยโทษแต่เรื่องการศึกษา ระบบกระทรวง ทั้งๆที่ชีวิตในวัยเรียนก็เอาแต่แบมือขอคนอื่นอย่างเดียวไม่เคยรู้จักขวนขวายด้วยตัวเอง... ฉอด ฉอด ฉอด ฉอด "
เอ้าา... ทำไมถึงโยงไปเรื่องนั้นกันได้ล่ะเนี่ย...
พอได้โอกาสอาจารย์รติยาก็รัวคำพูดออกมาฉอดๆอย่างไม่หยุดยั้ง อารมณ์ประมาณว่าอยากจะตัดพ้อที่เด็กสมัยนี้เวลาเรียนอะไรแล้วไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ก็จะเอาแต่โทษการศึกษาและระบบต่างๆของผู้ใหญ่ว่าเป็นความผิดพลาด... ทั้งที่ความจริงแล้วมิได้ย้อนกลับไปมองตัวเองเลยว่าพยายามมากพอแล้วหรือยัง
ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ค่อยจะใช่เรื่องที่ผมต้องมาฟังแกบ่นน่ารำคาญอย่างงี้ซักเท่าไหร่...
ผมจ้องมองไปยังแผ่นกระดาษรายชื่อของชมรมหน้ากากที่ตนเองจะต้องไปอยู่...
นักเรียนทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นรุ่นเดียวกันหรือรุ่นน้อง... พวกเราต่างก็มีชะตากรรมร่วมกัน... นั่นก็คือเป็นผู้ที่ต้องถูกทอดทิ้ง ถูกหลงลืมไว้อยู่ในเงามืด... บางครั้งคนเราก็มีสัจธรรมที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อที่จะใช้ปลอบใจตัวเอง... ว่าในโลกของเราจำเป็นที่ต้องมีผู้คนจำพวกนี้เพื่อที่จะได้ทำให้ทุกอย่างมันสมดุล...
ช่างเป็นแนวความคิดที่ตลก งี่เงาและเห็นแก่ตัวสิ้นดี ผมขอสาปแข่งไอ้คนที่มันคิดความห่วยๆขยะๆแบบนี้...
มนุษย์ทุกๆคนมีความเท่าเทียมกัน ไม่ควรที่จะมีใครได้รับการปฏิบัติที่ต้อยต่ำกว่าผู้อื่น (เว้นแต่คนๆนั้นกระทำความผิดและสมควรที่จะได้รับการลงทัณฑ์)
ไม่ว่ายังไงก็ตาม... ฤดูกาลสีเทาได้พัดผ่านเข้ามาเยือนแล้ว...
การเดินทางของผมกับเหล่ามิตรสหาย 'คนที่ถูกแบน' กำลังที่จะเริ่มต้นขึ้น...
โชคชะตาที่ฟ้าลิขิตให้พวกเราทุกคนได้มาพบพานกันนั้นจะดำเนินต่อไปเช่นไร... ผมได้แต่ครุ่นคิดและจินตนาการนึกถึงมัน...
บางครั้ง...
แต่ก็ไม่แน่...
บางทีผมอาจจะสามารถสร้างเพื่อนที่เป็น 'ของจริง' เรื่องราวที่เป็น 'ของจริง' ภายในโลกที่เป็นของจริงไม่ใช่เพียงแค่เกมอย่าง 'ชีวิตม.ปลาย' นี่ขึ้นมาก็ได้...
ผมได้แต่หลับตา นึกลวงหน้าถึงมัน... การเดินทางของผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
"ริมรั้วฤดูสีเทา... <<เพื่อนของฉันเป็นคนถูกแบน>>