|
Post by gaiax on Aug 15, 2018 7:20:56 GMT
Intro : Memories Garden London สหราชอาณาจักรอังกฤษ คศ.18XXภายในร้านขายของเก่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ภายในย่านการค้าที่ผู้คนพลุกพล่านของเมืองหลวงในประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ ภายในร้านนั้นเต็มไปด้วยของเก่าแก่ซึ่งถูกรวบรวมมาจากที่ต่างๆในโลกมากมายตั้งแต่เครื่องโลหะไปจนถึงงานฝีมือซึ่งทำมาจากไม้ ของเก่าต่างๆถูกวางเรียงรายกันอยู่บนชั้นจัดวางภายในร้านดูมากมายละลานตาชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณไม่เกิน 18 ปี นั่งอยู่บนโต๊ะไม้ซึ่งอยู่ด้านในกึ่งกลางของตัวร้าน โต๊ะไม้ที่เขานั่งนั้นเป็นโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ทำมาจากไม้สนเนื้อดีสีแดงที่ได้รับการขัดมันจนดูสวยงาม ที่ตัวโต๊ะนั้นมีการแกะสลักลายเถาไม้สไตล์ยุโรปอย่างประณีตงดงาม ชายหนุ่มผู้นี้นั่งอ่านหนังสือเล่มหนาอยู่อย่างสบายอารมณ์เนื่องจากในยามนี้ในร้านขายของเก่านั้นไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแต่แล้วทันใดนั้นเสียงของกระดิ่งทองเหลืองซึ่งถูกติดเอาไว้ที่ด้านหน้าประตูไม้ของร้านขายของเก่าก็ดังขึ้นเสียงดังกริ๊งๆ ประตูไม้สีน้ำตาลบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ นี่เป็นสัญญาณบอกว่าร้านขายของเก่าแห่งนี้มีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมเยือนเข้าแล้ว ชายหนุ่มจึงปิดหนังสือที่เขาอ่านอยู่อย่างแผ่วเบาเนื่องจากว่าเนื้อกระดาษของมันนั้นค่อนข้างที่จะเก่า เขาจึงจำเป็นต้องเบามือเพื่อถนอมสภาพของมันเอาไว้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเพื่อมองลูกค้าพึ่งเข้ามายังร้านขายของเก่าของเขาด้วยแววตาที่ดูเรียบเฉย“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่ร้าน Memories Garden มีอะไรให้รับใช้ครับ” ชายหนุ่มผู้เป็นพนักงานของร้านลุกขึ้นมาจากโต๊ะและเดินเข้าไปหาลูกค้าของเขาด้วยท่าทางที่ดูสุภาพนุ่มนวล ลูกค้าของเขาคนนี้เป็นชายวัยกลางคนผู้ซึ่งสวมหมวกทรงสูงที่ทำจากผ้ากำมะหยี่สีดำ และสวมชุดสูทพร้อมกับถือไม้เท้าซึ่งทำมาจากไม้เนื้อดีประดับด้วยทองคำท่าทางของเขานั้นดูเป็นคนที่ร่ำรวยพอสมควร“โอ้ พอดีว่าผมอยากจะได้กล่องดนตรีสักกล่อง ที่จะเอาไปเป็นของขวัญให้กับลูกสาวน่ะครับ เธออายุ 15 ปีแล้ว ลูกสาวผมเขาชอบเสียงของกล่องดนตรีมากไม่ทราบว่าพอจะแนะนำกล่องดนตรีดีๆให้กับผมสักอันได้ไหมครับ ?” ชายวัยกลางคนผู้เป็นลูกค้ากล่าวถามหาถึงกล่องดนตรีเพื่อที่จะไปเป็นของขวัญให้กับลูกสาว ชายหนุ่มผู้เป็นพนักงานของร้านเมื่อได้รับทราบความต้องการของลูกค้าเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเป็นงานเป็นการก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า“ถ้าอย่างนั้นกรุณาคอยสักครู่นะครับ” ชายหนุ่มผู้เป็นพนักงานกล่าวเช่นนั้นก่อนที่เขาจะเดินไปยังบริเวณชั้นวางของซึ่งอยู่ภายในร้านที่มีของโบราณซึ่งทำมาจากไม้หลายชิ้นวางเรียงรายกันอยู่ และพนักงานชายหนุ่มก็หยิบกล่องดนตรีซึ่งทำมาจากไม้เนื้ออ่อนสีน้ำตาลอ่อนกล่องหนึ่งขึ้นมาอย่างเบามือ แล้วเดินกลับมาหาลูกค้าชายวัยกลางคนด้วยท่าทางที่ดูกระตือรือร้นก่อนที่จะกล่าวว่า “นี่ครับ กล่องดนตรีขนาด 6.5 นิ้วทำโดยช่างฝีมือชาวฝรั่งเศส อายุประมาณ 40 ปีตัวกล่องทำมาจากไม้เมเปิ้ลแกะสลักลายเทพธิดาสภาพยังดีมากเลยครับ ถ้ายังไงลองสัมผัสดูได้ครับ….” ชายหนุ่มพนักงานส่งกล่องดนตรีซึ่งอยู่ภายในมือของเขาให้กับลูกค้าชายวัยกลางคนอย่างระมัดระวัง ลูกค้าชายวัยกลางคนนำกล่องดนตรีไปพิจารณาดูมันเป็นกล่องดนตรีแบบไขลานซึ่งสภาพยังดีและประณีตมาก เขารู้สึกพอใจกับกล่องดนตรีเช่นนี้จึงได้เอ่ยปากถามราคาขึ้นมาว่า“ผมชอบกล่องนี้นะราคาเท่าไหร่ ?” ชายวัยกลางคนถามพร้อมกับยื่นกล่องดนตรีส่งกลับให้กับพนักงานชายหนุ่ม“10 ปอนด์ กับอีก 10 ชิลลิ่งครับ” พนักงานชายหนุ่มบอกราคาของกล่องดนตรีให้กับลูกค้าชายวัยกลางคนได้รับทราบเขาทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมาว่า“9 ปอนด์ ไม่ได้เหรอ ?” ลูกค้าชายวัยกลางคนต่อราคาซึ่งนี้ก็เป็นเรื่องปกติของการซื้อขายวัตถุโบราณอยู่แล้ว พนักงานชายพยายามที่จะขายของชิ้นนี้ออกไปให้ได้ราคาสูงที่สุดเขาจึงตอบกลับไปว่า“10 ปอนด์ครับ ลูกสาวของคุณต้องชอบมันแน่ๆ มันดูอบอุ่นและน่ารัก ผมคิดว่าราคาเท่านี้ถูกจะตายไปครับ” พนักงานชายหนุ่มพยายามที่จะขอเพิ่มราคาโดยที่เขาวางกล่องดนตรีลงบนมือของเขาเพื่อให้รูปสลักลายเทพธิดากำลังสยายปีกซึ่งอยู่ด้านบนของฝากล่องดนตรีโชว์ขึ้นตรงหน้าลูกค้าชายวัยกลางคน และดูเหมือนว่าท่าทางแบบนี้จะได้ผล ลูกค้าชายวัยกลางคนตอบตกลงในราคาที่พนักงานชายหนุ่มเสนอ กล่องดนตรีดังกล่าวจึงถูกค้าขายเปลี่ยนมือไปจนเสร็จสิ้น ลูกค้าชายวัยกลางคนจ่ายเหรียญเงินปอนด์ให้กับพนักงานชายหนุ่มและนำกล่องดนตรีกลับไปเป็นของขวัญให้กับลูกสาวด้วยท่าทางที่ดูพอใจหลังจากที่ขายของเสร็จสิ้นแล้วพนักงานชายหนุ่มก็ตรงกลับมาที่โต๊ะตัวโปรดของเขาและเปิดหนังสือเล่มใหญ่ซึ่งเขาอ่านค้างไว้อย่างเบามือ ใบไม้แห้งที่ดูสภาพดีสีน้ำตาลซึ่งถูกนำมาใช้แทนที่ขั้นหนังสือได้ขั้นเอาไว้ถึงตรงหน้าที่เขายังอ่านค้างอยู่ ชายหนุ่มเปิดหนังสืออย่างระมัดระวังเพื่อที่จะอ่านหนังสือต่อไป“นายท่านเมื่อสักครู่นี้เป็นลูกค้าธรรมดาหรือคะ ?” เสียงของหญิงสาวซึ่งไม่ทราบอายุแน่ชัดดังขึ้นมาปะทะโสตประสาทของชายหนุ่มซึ่งกำลังจะนั่งอ่านหนังสือ เสียงของเธอไพเราะเย็นเยียบและน่าขนลุก แต่ว่ารอบตัวของชายหนุ่มนั้นไม่มีใครอยู่ด้วยเลย มีแต่เพียงแค่เสียงที่ปรากฏขึ้นมาเท่านั้นแต่ดูเหมือนชายหนุ่มนั้นจะไม่ได้ตกใจในสิ่งที่เขาได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว“ใช่แล้วล่ะ คุณลุงคนเมื่อกี้เป็นแค่ลูกค้าธรรมดาๆ ผมก็เลยขายของธรรมดาให้กับเขาไป แต่ดูแล้วเขาจะชอบมันนะกล่องดนตรีนั่น ตอนผมรับซื้อมาจากนักเดินทางชาวฝรั่งเศสซื้อมาแค่ 3 ปอนด์กับอีก 15 ชิลลิ่งเท่านั้นเอง ได้กำไรเห็นๆเลยล่ะ” ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่ดูยินดีโดยที่รอบๆตัวของเขานั้นไม่มีคู่สนทนาอยู่เลยแม้แต่คนเดียวแต่แล้วในอีกไม่กี่อึดใจเสียงของกระดิ่งทองเหลืองซึ่งติดอยู่ที่ประตูหน้าร้านก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ประตูหน้าร้านซึ่งทำจากไม้ได้ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ลูกค้าคนที่สองของวันนี้มาเยือนร้านขายของเก่า Memories Garden อีกคนแล้ว แต่ลูกค้าคนที่สองนี้ดูแตกต่างจากชายวัยกลางคนคนแรกอย่างสิ้นเชิงเธอเป็นเด็กสาวอายุไม่น่าจะเกิน 15 ปีเธอสวมเสื้อผ้าที่ดูสกปรกมอมแมม ตามตัวของเธอมีบาดแผลจำนวนมากและมีผ้าพันแผลสีขาวที่มีรอยเลือดสีแดงพันอยู่ตามแขนและขาของ เธอดวงตาของเธอนั้นดูเศร้าสร้อยแต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอาฆาตพยาบาท“ที่นี่คือร้าน Memories Garden ใช่ไหมคะ ?” เด็กสาวตรงเข้าไปหาชายหนุ่มและถามชื่อของร้านขึ้นอย่างตรงไปตรงมาโดยที่ชายหนุ่มนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราบเรียบ แต่ในมือของเขานั้นก็ปิดหนังสือที่เตรียมตัวเปิดอ่านลงเรียบร้อยแล้ว“ใช่แล้วครับคุณหนู ไม่ทราบว่าคุณมาที่นี่เพื่อต้องการอะไรอย่างนั้นหรือครับ ?” ชายหนุ่มกล่าวถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนิ่งเฉยและสุขุมเยือกเย็น แววตาของเขานั้นจับจ้องไปยังเด็กสาวราวกับจะมองทะลุเข้าไปในจิตใจของเธอ“ฉันอยากที่จะกำจัดคนๆนึงออกไปจากชีวิตของฉันค่ะ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไร หรือว่าต้องใช้วิธีไหนก็ตาม คุณพอจะช่วยฉันได้ไหมคะ ?” เด็กสาวคนนั้นกล่าวกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอาฆาตพยาบาทน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความคลั่งแค้น ชายหนุ่มนั้นได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า“ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไร ? ต่อให้คุณจะต้องกลายเป็นปีศาจ หรือว่าจะต้องตกนรกหมกไหม้อย่างนั้นหรอครับ ?” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ท่าทางของเขานั้นดูจริงจังอย่างยิ่ง“ใช่แล้วค่ะ...” เด็กสาวตอบกลับมาด้วยท่าทางที่ไม่ลังเลคำตอบของเธอนั้นทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะไม้ซึ่งเขานั่งอยู่และเดินตรงเข้าไปหาเธอ “ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ผมจะแนะนำสินค้าที่อยู่หลังร้านให้กับคุณหนูเองครับ ตามผมมาสิ….” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นกับเด็กสาวด้วยท่าทางที่ดูจริงจังก่อนที่เขาจะเดินนำหน้าเด็กสาวไปยังประตูสีดำบานหนึ่ง มันเป็นประตูไม้ซึ่งไม่ได้แกะสลักลายอะไรเอาไว้ และมันทำจากเนื้อไม้ไม่ทราบชนิดที่มีสีดำสนิทและถูกขัดมันจนเป็นเงา ชายหนุ่มไขกุญแจซึ่งติดอยู่ในบานประตูด้วยกุญแจสีทองที่เขาห้อยเอาไว้ต่างสร้อยที่คอของเขา ก่อนที่จะเปิดประตูสีดำบานนั้นเข้าไปอย่างช้าๆ“ยินดีต้อนรับสู่ร้านอุปกรณ์เวทมนต์ Memories Garden ครับคุณหนู...เชิญด้านในได้เลย” ชายหนุ่มผายมือเข้าไปด้านในของประตูพร้อมกับโค้งคำนับเด็กน้อยให้กับเด็กสาวผู้ที่เป็นลูกค้าของเขาอย่างอ่อนน้อม ที่ด้านหลังของประตูนั้นเป็นชั้นวางของซึ่งเหมือนกับร้านขายของเก่าด้านหน้า แต่ภายในนั้นกับสว่างด้วยแสงเทียน และก็มีชั้นวางของซึ่งมีสิ่งของหน้าตาแปลกๆวางเรียงรายกันอยู่เต็มชั้น สภาพของมันดูน่าขนลุกขนพองอย่างบอกไม่ถูกแต่เด็กสาวก็จะก้าวเดินเข้าไปยังห้องแห่งนั้นด้วยท่าทีที่ไม่ลังเล“คำว่าอยากจะกำจัด….นั่นหมายความว่าคุณต้องการจะให้เขาถึงแก่ความตายใช่หรือเปล่าครับคุณหนู ?” ชายหนุ่มกล่าวย้ำความประสงค์ของเด็กสาวขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่เขาจะได้เลือกอุปกรณ์เวทมนต์ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับหญิงสาวผู้นี้ได้อย่างถูกต้อง เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดดังนั้นเด็กสาวก็พยักหน้าเป็นการตอบรับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท“เข้าใจแล้วนะครับถ้าอย่างนั้นล่ะก็…..” ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปและหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากในชั้นมันเป็นรูปสลักไม้รูปงูกำลังขนตัวขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือ ทำจากไม้เนื้อแข็งสีดำแต่ถูกแกะสลักอย่างประณีตเหมือนจริงและดูเงางามแต่นี่ต้องไม่ใช่ไม้สลักธรรมดาอย่างแน่นอน“รูปสลักนี้เป็นรูปสลักที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ในคืนพระจันทร์เต็มดวงมันจะมีชีวิตและกลายเป็นงูพิษจริงๆ แต่มันจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณผู้เป็นนายของมันเท่านั้น ถ้าหากว่าคุณสั่งให้มันโจมตีใครมันก็จะทำตามนั้นแบบนี้เป็นไงครับ” ชายหนุ่มอธิบายลักษณะพิเศษของรูปปั้นให้กับเด็กสาวได้ฟังดูแล้วเธอจะพอใจกับรูปปั้นงูนี้มากเลยทีเดียว“แบบนี้ใช้ได้ล่ะค่ะ แต่ว่าฉันจะต้องจ่ายเท่าไรถึงจะได้มันไป ?” เมื่อพบสิ่งของที่ถูกใจเด็กสาวก็พูดคุยถึงเรื่องมูลค่าของมันชายหนุ่มนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราบเรียบก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า“คุณมาที่นี่โดยที่รู้ว่าพวกเรามีอะไรขายอยู่ที่หลังร้าน ดังนั้นคุณก็น่าจะรู้แล้วนะว่าพวกเราต้องการอะไรจากคุณเป็นค่าตอบแทน….” เด็กสาวเมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดดังนั้นเธอก็กลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เพราะว่าเธอนั้นรู้ดีอยู่แล้วว่าค่าตอบแทนที่เธอจะต้องจ่ายคืออะไร แต่เธอนั้นได้เตรียมใจไว้แล้วก่อนที่เธอจะมาที่นี่ “สิ่งที่มีค่าที่สุดของฉันและต้องคำสาปที่อยู่บนสิ่งของที่ฉันจะนำออกไปใช่ไหมล่ะคะ ?” เด็กสาวกล่าวตอบชายหนุ่มในสิ่งที่เธอได้รับรู้มา ชายหนุ่มนั้นไม่รู้หรอกว่าเด็กสาวคนนี้ไปรับรู้เรื่องราวเหล่านี้มาจากไหนแต่นี่เป็นความจริง ร้านค้าอุปกรณ์เวทมนตร์ของชายหนุ่มผู้นี้จะขอรับสิ่งที่มีค่าที่สุดของลูกค้าคนนั้นมาเป็นค่าตอบแทนของการแลกกับอุปกรณ์เวทย์มนต์เพื่อทำให้สิ่งที่ลูกค้าสมหวังนั้นเป็นความจริง แต่ในอุปกรณ์เวทมนต์ทุกชิ้นนั้นจะมีคำสาปอยู่ภายในตัวของมันหลังจากที่ใช้งานเสร็จแล้วคำสาปนั้นจะติดตัวผู้ใช้งานตลอดกาลจนกว่าผู้ใช้งานนั้นจะถึงแก่ความตาย“ตั้งแต่ที่คุณเดินก้าวเข้ามาในร้านนี้ ผมก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดของคุณก็คือพี่สาวของคุณเอง เธอทำงานเป็นโสเภณีเพื่อที่จะดูแลคุณซึ่งเป็นน้องสาวและก็พ่อเลี้ยงของคุณที่ติดสุราอย่างหนัก คนที่คุณอยากจะให้ตายก็คงน่าจะเป็นพ่อเลี้ยงของคุณสินะ เขาติดเหล้าอย่างหนักและทำร้ายร่างกายคุณและพี่สาวของคุณทุกวัน นี่คือสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ผมกล่าวถูกต้องไหม ?” เด็กสาวนั้นไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้รู้เรื่องของเธอได้อย่างไร แต่เธอก็ไม่สนใจมันหรอกเพราะว่าสิ่งที่ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นความจริง คนที่เธออยากจะให้ตายก็คือพ่อเลี้ยงของเธอซึ่งตอนนี้ติดเหล้าอย่างหนักและทำร้ายร่างกายเธอและพี่สาวทุกวัน บาดแผลตามตัวของเธอในตอนนี้ก็มาจากฝีมือของพ่อเลี้ยงเธอนั่นเอง หลังจากที่แม่แท้ๆของเธอเสียชีวิตลงชีวิตของสองพี่น้องก็เหมือนตกอยู่ในนรก สิ่งที่มีค่าที่สุดของเธอในตอนนี้ก็คือพี่สาวที่ถึงแม้ว่าจะทำงานสกปรกแต่ก็เป็นพี่สาวที่ใจดีและเป็นดั่งแสงสว่างในชีวิตของเธอ“ถ้าอย่างนั้นคุณจะรับชีวิตของพี่สาวของฉันไปอย่างนั้นหรือคะ ?” เด็กสาวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ฟังดูหวาดระแวงและกังวลใจ เพราะว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดของเธอนั้นก็คือพี่สาว ดังนั้นถ้าหากว่าเธอจะต้องสูญเสียพี่สาวของเธอไปมันก็คงจะไร้ความหมายที่เธอจะฆ่าพ่อเลี้ยงของเธอ“เปล่าหรอกครับร้านของเราไม่เคยที่จะเอาชีวิตของมนุษย์มาเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน แต่ว่าสิ่งที่เราจะขอรับมาเป็นค่าตอบแทนนั้นก็เกี่ยวข้องกับพี่สาวของคุณหนูจริงๆนั่นล่ะ เราจะขอรับความทรงจำของพี่สาวคุณหนู ที่เกี่ยวข้องกับตัวของคุณหนูมาก็แล้วกันครับ...” ชายหนุ่มอธิบายขึ้นด้วยท่าทางที่ราบเรียบเด็กสาวเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็กล่าวขึ้นมาเพื่อเป็นการตอกย้ำความเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นพี่สาวก็จะจำอะไรเกี่ยวกับฉันไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือคะ ?” เด็กสาวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ฟังดูเป็นกังวลเล็กน้อย ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับว่านั่นคือค่าตอบแทนที่เธอจำเป็นจะต้องจ่าย เด็กสาวนั้นทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตอบตกลงกับชายหนุ่มว่า“ตกลงค่ะ ถ้าพี่สาวของฉันมีความสุขจริงต่อให้เขาจะจำฉันไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ความทรงจำไว้ฉันจะพยายามสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้ แล้วคำสาปของเจ้ารูปปั้นงูนี่ล่ะค่ะคืออะไร” เด็กสาวตอบตกลงกับชายหนุ่มที่จะแลกเปลี่ยนกับรูปปั้นงูที่จะมีชีวิตทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง และคำสาปของมันที่เธอจะต้องแบกรับ้เอาไว้“หลังจากที่ได้ใช้งานมันไปครั้งหนึ่งแล้ว คุณหนูจะต้องกลายร่างเป็นปีศาจครึ่งคนครึ่งงูที่น่าเกลียดน่ากลัวทุกๆคืนพระจันทร์เต็มดวงน่ะครับ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับเพราะว่าในคืนอื่นๆคุณหนูก็ยังเป็นคนปกติอยู่ นะเพียงแต่ในคืนพระจันทร์เต็มดวงคุณจะไม่สามารถควบคุมการกลายร่างของคุณได้โปรดระมัดระวังด้วย” คำสาปของรูปปั้นงูทำให้หญิงสาวนั้นมีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็ยินดีที่จะตอบรับแลกเปลี่ยนกับมัน ชายหนุ่มหยิบกระดาษซึ่งมีอักษรสัญญาเขียนเอาไว้มากมายให้กับหญิงสาวได้ทำการลงนามเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเธอประทับเลือดของเธอลงบนกระดาษใบนั้น พันธสัญญาก็เป็นอันเสร็จสิ้นเด็กสาวรับรูปงูแกะสลักของเธอไปและเดินออกจากร้านไปด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน“วันนี้ก็มีลูกค้าอีกแล้วสินะในร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์ต้องสาปของเรา….” ชายหนุ่มพูดพึมพำเบาๆกับตัวเองด้วยท่าทางที่ดูสงบนิ่งในขณะที่เขากำลังมองเด็กสาวผู้เป็นลูกค้าของเขาเดินหายลับไปจนสุดสายตาเช้าหลังวันพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อมา
ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นพนักงานของร้านขายของเก่า Memories Garden กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ตัวโปรดของเขาในยามเช้าภายในมือของเขานั้นมีหนังสือพิมพ์ถือเอาไว้ในมือ ชายหนุ่มนั้นกำลังอ่านหัวข้อข่าวที่พาดหัวเอาไว้มุมหนึ่งของหนังสือพิมพ์ว่า“พบศพชายปริศนานอนตายอยู่ที่บริเวณข้างถนน สภาพของชายคนนี้น่าจะตายจากการถูกสัตว์มีพิษกัด” หลังจากนั้นชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นพนักงานของร้านขายของเก่าก็กวาดสายตาลงมาด้านล่างเพื่อที่จะมองหัวข้อข่าวต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก มันเป็นหัวข้อข่าวประหลาดที่ถูกเขียนเอาไว้ว่า“เมื่อคืนนี้จากคำบอกเล่าของตำรวจลอนดอน นายตำรวจคนหนึ่งพบสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายกับงูขนาดใหญ่ เขาพยายามใช้อาวุธประจำกายยิงมันด้วยความหวาดกลัว แต่แล้วมันก็หนีหายไปได้อย่างเป็นปริศนา” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็มองลงไปยังหัวข้อข่าวต่อไปซึ่งเขียนไว้ว่า“เมื่อคืนที่ผ่านมาพบศพเด็กสาวปริศนาถูกยิงด้วยกระสุนปืนตายอยู่กลางสวนสาธารณะ” ชายหนุ่มเมื่อเห็นหัวข้อข่าวนี้เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆและกล่าวขึ้นมากับตนเองอย่างแผ่วเบาว่า“กรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืนสนองสินะ…..” หลังจากนั้นเขาก็เก็บหนังสือพิมพ์และพับมันเอาไว้ก่อนที่จะวางเอาไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใยดี และหยิบหนังสือเล่มโปรดของเขาขึ้นมาเปิดอ่านอย่างเบามือ ในวันนี้ดูเหมือนว่าร้านขายของเก่าของเขาจะยังคงไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเช่นเดิม แต่ท่าทางของชายหนุ่มนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายขนาดนั้น เพราะเขารู้ดีว่ามนุษย์ผู้ที่มีปัญหาจนไม่สามารถจะแก้ไขได้และหวังที่จะพึ่งพลังของสิ่งที่เหนือธรรมชาติยังมีอีกมากมาย ไม่นานนักประตูร้านของเขาจะต้องถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน …….
Intro END
|
|
|
Post by gaiax on Aug 17, 2018 16:25:18 GMT
Episode 1 : Phantom Puppet Of Never Ending Dream
มหานครลอนดอนยามเช้าอันสดใส ภายในเช้าวันนี้ก็อย่างเช่นทุกวันร้านขายวัตถุโบราณ Memories Garden ก็ยังคงเงียบสงบและไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ เจ้าของร้านชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำ เขาไว้ผมสั้นแต่ปล่อยผมข้างแก้มด้านหน้าทั้ง 2 ให้ยาวลงมาจนถึงคาง กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะไม้ตัวโปรดของ เขาดวงตาที่เรียวบ่งบอกได้ถึงความเฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์ของเขาได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาของเขานั้นมีสีแดงแก้มน้ำตาลดูจเนื้อของผลทับทิม ผิวกายของเขานั้นขาวซีดราวกับว่าเขานั้นสุขภาพไม่ค่อยดีนัก แต่ในความเป็นจริงนั้นเขาแข็งแรงดี ใบหน้าที่เรียวยาวของเขาได้สัดส่วนทำให้เขาดูเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลารับกับส่วนสูงที่เกือบจะ 180 cm และรูปร่างที่ผอมบางของเขา ทำให้เขาดูเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาและบุคลิกภาพที่ดูดี“อาเธอร์วันนี้ก็ไม่มีลูกค้าอีกแล้วนะ !! จากนี้ไปเราจะทำยังไงดีเนี่ยะ !! ตั้งใจทำงานหน่อยสิ !!” เสียงที่เล็กแหลมฟังดูคล้ายเสียงของหญิงสาวดังขึ้นมากระทบโสตประสาทของเจ้าของร้านหนุ่มผู้มีนามว่าอาเธอร์ แต่เขานั้นไม่รู้สึกตกใจเลยกับเสียงที่ได้ยินทั้งๆที่มันไม่มีใครอยู่ในร้านนอกจะเข้า“เอาอีกแล้วนะฟราน…...เมื่อวานเธอก็บ่นแบบนี้ ก็ลูกค้าไม่เข้าร้านเลยนี่นาจะให้ทำยังไงล่ะ ? วัตถุโบราณไม่ใช่ของที่มันจะขายกันได้ง่ายๆนักหรอกนะ” อาเธอร์กล่าวขึ้นมาลอยๆในความว่างเปล่า ดูเหมือนว่าเขานั้นกำลังจะพูดคุยสื่อสารกับใครบางคนอยู่เพียงแต่ว่าในร้านนั้นไม่มีใครเลยนอกจากเขา แต่ว่าทันใดนั้นภายในอากาศที่ว่างเปล่าก็มีร่างของหญิงสาวที่มีอายุประมาณ 17-18 ปีคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา แต่ว่าหญิงสาวผู้นี้ลอยอยู่กลางอากาศ เท้าทั้งสองข้างของเธอนั้นลอยอยู่เหนือพื้น ร่างกายของเธอนั้นโปร่งแสงและเบาบางราวกับหมอกในยามเช้า อาเธอร์มองร่างของหญิงสาวที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้วยสายตาที่เฉยเมยดูเหมือนว่าเขานั้นจะไม่ได้ตกใจในสิ่งที่เขาได้มองเห็นเลยแม้แต่น้อย“ฟรานเชสก้า…..จะให้ผมบอกอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจครับ คุณห้ามปรากฏตัวขึ้นมาในร้านแบบนี้ถ้ามีลูกค้าเข้ามาในร้านแล้วมีใครมาเห็นคุณเข้าล่ะก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่นะครับรีบซ่อนตัวเดี๋ยวนี้เลย !!” อาเธอร์กล่าวกับหญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดน้อยดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจการกระทำของเธอพอสมควร“ไม่ต้องกังวลหรอกน่าอาเธอร์ ยังไงตอนนี้ร้านของเราก็ไม่มีลูกค้าอยู่แล้วนี่นา นี่ผ่านมาตั้ง 7 วันแล้วนะยังไม่มีใครเหยียบเข้ามาในร้านเลยสักคนเดียว ถึงฉันจะซ่อนหรือไม่ซ่อนตัวก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วล่ะ” หญิงสาวผู้มีร่างกายโปร่งแสงซึ่งมีชื่อว่าฟรานเชสก้ากล่าวขึ้นกับอาเธอร์ด้วยท่าทางที่ดูกระเซ้าเย้าแหย่ ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้จะรู้จักกันมานานแล้วและสนิทกันมากแต่ว่าในขณะที่ทั้งสองคนนั้นกำลังสนทนากันประตูหน้าร้านของร้าน Memories Garden ก็เปิดขึ้นอย่างฉับพลันเสียงกระดิ่งทองเหลืองซึ่งแขวนเอาไว้หน้าร้านดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าในตอนนี้ร้านขายของเก่าแห่งนี้มีลูกค้าเข้ามาเยือนแล้วฟรานเชสก้าซึ่งกำลังมีท่าทางที่ดูผ่อนคลาย เธอตกใจสุดขีดและรีบซ่อนตัวทันทีร่างกายของเธอนั้นสลายหายไปราวกับควันจางๆที่ถูกสายลมรุนแรงพัดพาจนมลายหายไป“สวัสดีครับยินดีต้อนรับสู่ Memories Garden ครับคุณหนู ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้ครับ” อาเธอร์กล่าวขึ้นกับลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางที่ดูเป็นงานเป็นการ พร้อมกับรอยยิ้มอย่างเป็นทางการซึ่งเขานั้นถนัดและทำเป็นประจำ“หนูได้ยินมาว่าที่ร้านขายของเก่าแห่งนี้เป็นร้านที่จะทำให้ความปรารถนาของคนที่เข้ามาเป็นจริงได้ใช่ไหมคะ ? โดยที่จะต้องจ่ายสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนๆนั้นไปนี่ไม่ใช่ข่าวลือหรือว่าเรื่องโกหกใช่ไหมคะ ?” ลูกค้าที่เข้ามายังร้าน Memories Garden ในครั้งนี้เป็นหญิงสาวอายุประมาณ 17 ปี เธอนั้นเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างเล็กและผอมบางส่วนสูงของเธออยู่ที่ 155 เซนติเมตรน่าจะได้ เธอมีผิวที่ขาวเนียนราวกับไข่มุก ดวงตาของเธอกลมสวยงามได้รูปแต่ไม่โตมากเท่าไหร่นัก นัยน์ตาของเธอมีสีฟ้าสดใสราวกับอัญมณีซัฟไฟร์แต่ว่า ดวงตาของเธอนั้นกลับฉายแววของความโศกเศร้าและทุกข์ตรมออกมาตลอดเวลา เธอเป็นหญิงสาวที่มีเส้นผมสีทองยาวสลวยที่ปลายผมนั้นหยิกเล็กน้อยทำให้เธอดูเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ เธอแต่งกายด้วยชุดนักเรียนทรงกะลาสีที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นแหล่งรวมของทายาทผู้ดีมีฐานะ
“ใช่แล้วครับร้านของเราจะขายความปรารถนาให้กับลูกค้าที่ต้องการ ถึงผมจะไม่ทราบว่าคุณหนูไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน แต่ว่านี่เป็นความจริงครับ ถ้าหากพวกคุณหนูมีสิ่งที่ปรารถนาอย่างแรงกล้ามากพอที่จะแลกกับสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณได้เรายินดีที่จะขายให้ครับ” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ดูท่าทางว่าหญิงสาวผู้ที่เป็นลูกค้าของเขานั้นจะรู้สึกยินดีและมีความหวังอย่างมาก เธอเหมือนเด็กหญิงที่กำลังหลงทางและในที่สุดก็พบเส้นทางที่จะกลับบ้าน“ใช่แล้วค่ะคุณเจ้าของร้าน หนูมีความปรารถนาที่แรงกล้ามากและไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตามหนูก็ยินดีค่ะ ….” หญิงสาวกล่าวตอบอาเธอร์ไปด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจ ดวงตาที่แสนจะเศร้าสร้อยของเธอนั้นจับจ้องไปยังเขาอย่างไม่กระพริบ ราวกับว่าจะบอกเขาว่าให้รีบทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงเสียที“รับทราบแล้วครับถ้าอย่างนั้นคุณหนูเชิญทางนี้ได้เลยครับ…..” อาเธอร์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่สุภาพก่อนที่เขาจะลุกขึ้นจากโต๊ะซึ่งเขาใช้อ่านหนังสือด้วยท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉง เขาปิดหนังสือเล่มที่เขากำลังอ่านอยู่อย่างระมัดระวังก่อนที่จะเดินนำหน้าหญิงสาวผู้ที่เป็นลูกค้าไปยังบานประตูสีดำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่เขานั่งอยู่ เขาเปิดประตูบานนั้นเข้าไปอย่างช้าๆ ภายในห้องนั้นมีชั้นวางของที่มีอุปกรณ์ต้องคำสาปมากมายวางเรียงรายอยู่และหนึ่งในนี้ก็จะมีบางชิ้นที่สามารถจะทำให้ความปรารถนาของหญิงสาวเป็นจริงได้“อาเธอร์ๆ คุณหนูคนนี้มีชื่อว่า ชาล็อต เอลลิสัน เธอเป็นทายาทของตระกูล เอลลิสัน ผู้มั่งคั่ง ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ของเธอจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา ทรัพย์สมบัติมากมายของพ่อแม่ก็เป็นมรดกตกทอดมาที่เธอเพียงคนเดียว ดูเหมือนว่าเธอก็อยู่อาศัยในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยคนรับใช้เพียงลำพังน่ะนะ” เสียงของฟรานเชสก้ากระซิบดังขึ้นบอกกล่าวข้อมูลของลูกค้าหญิงสาวให้กับอาเธอร์ได้รับรู้ มันเป็นข้อมูลคร่าวๆของหญิงสาวคนนี้“อย่างนั้นหรือ ? ช่างเป็นคุณหนูที่น่าสงสารเสียๆจริงเลยนะ เอาล่ะงั้น….เรามาดูว่าความปรารถนาของคุณหนูผู้สูญเสียพ่อแม่และนั่งอยู่บนกองเงินกองทองคนนี้คืออะไรกันดีกว่านะครับ” อาเธอร์ตอบกลับฟรานเชสก้าไปอย่างแผ่วเบา การสนทนาของทั้งสองคนนี้หญิงสาวผู้ที่เป็นลูกค้าของเขานั้นไม่ทันจะได้สังเกตเลยภายในห้องเก็บอุปกรณ์เวทมนตร์ต้องสาปเมื่อลูกค้าหญิงสาวและอาเธอร์เข้ามาที่ห้องนี้เรียบร้อยแล้ว ประตูบานสีดำก็ถูกปิดลงด้วยตัวของมันเองโดยที่ไม่มีใครไปสัมผัสมาเลยแม้แต่คนเดียว ลูกค้าหญิงสาวมองไปยังอุปกรณ์เวทมนต์รอบตัวซึ่งวางเรียงรายเดือนอยู่บนชั้นด้วยความรู้สึกที่ดูตื่นเต้นและหวั่นเกรง“ไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอกครับ ถ้าหากว่าคุณยังไม่ได้ไปใช้งานพวกมันคำสาบก็ยังไม่ทำงานหรอกครับ เอาล่ะครับ…. ไม่ทราบว่าคุณหนูพอจะบอกความปรารถนาที่คุณหนูต้องการจะให้เป็นจริงให้กระผมได้ฟังได้หรือเปล่าครับ ?” อาเธอร์กล่าวทำความปรารถนาของหญิงสาวด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบและสุภาพ แต่ดวงตาสีแดงแกมน้ำตาลของเขาจับจ้องไปยังหญิงสาวราวกับว่ากำลังจะมองทะลุเข้าไปในจิตใจของเธอ หญิงสาวนั้นมีท่าทางที่ดูกล้าๆกลัวๆอยู่เล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากบอกความปรารถนาของเธอให้กับอาเธอร์“พ่อแม่ของฉันท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็ก ความทรงจำในสมัยเด็กของฉันยังคงจำใบหน้าครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะจากไปได้อย่างชัดเจนค่ะ หลังจากที่ท่านตายไปแล้วฉันก็อยู่ในโลกที่เหมือนกับกรงนก คฤหาสน์หลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยเหล่าคนรับใช้มันสะดวกสบายแต่ก็เหงาเหลือเกิน เงินทองที่ฉันมีมากมายไม่สามารถที่จะมาเติมเต็มช่องโหว่ที่อยู่ในจิตใจของฉันได้ค่ะ ฉันอยากจะได้พ่อแม่ของฉันกลับมาได้โปรดเถอะค่ะไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรฉันก็ยอม” หญิงสาวผู้มีนามว่าชาล็อตกล่าวความปรารถนาของเธอให้กับอาเธอร์ได้รับฟัง พ่อแม่ของเธอนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก และเธอนั้นก็ต้องจมอยู่ในวังวนของความเหงาและความว้าเหว่มาเป็นเวลานานโดยอยากจะได้พ่อแม่ของเธอกลับมา“คุณลูกค้าคงจะรู้ดีนะครับ ว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะนำผู้ที่ตายแล้วให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ ถึงแม้ว่าคุณจะจ่ายทั้งหมดที่คุณมีก็ไม่สามารถจะทำได้ ดังนั้นความปรารถนาของคุณลูกค้าที่จะได้พ่อแม่ของคุณกลับมา ผมเสียใจด้วยครับ ผมไม่สามารถที่จะทำให้มันเป็นจริงได้” อาเธอร์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและสุภาพ ถึงแม้ว่าอุปกรณ์เวทมนต์ต้องสาปนั้นจะมีพลังที่จะทำให้ความปรารถนาบางอย่างเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่การนำคนที่เสียชีวิตไปแล้วกลับมาจากโลกแห่งความตายนั้น คงจะมีเพียงแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะทำได้“ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยขอแค่ได้พบก็ได้ค่ะ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ได้เพียงแค่ในฝันก็ยังดี ขอให้ฉันได้พบกับพ่อแม่อีกครั้งทำได้ไหมค่ะ !!” ก่อนที่เธอจะถูกตอบปฏิเสธชาล็อตก็รีบบอกความปรารถนาใหม่ของเธอกับอาเธอร์ทั้นที คราวนี้เพียงแค่ในฝันเท่านั้นอย่างน้อยเธอก็อยากจะได้พบกับพ่อแม่ของเธอในความฝันอันแสนหวานยามค่ำคืน อาเธอร์เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ยิ้มออกมาจางๆบนใบหน้าก่อนที่จะตอบกลับไปว่า“ถ้าหากว่าเป็นความปรารถนานี้ผมก็พอจะทำให้มันเป็นจริงได้ครับกรุณารอสักครู่…..” หลังจากนั้นอาเธอร์ก็เดินตรงเข้าไปยังบริเวณชั้นวางของซึ่งมีอุปกรณ์เวทมนต์เรียงรายกันอยู่หลายสิบชิ้น เขาหยิบกล่องใบหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กเท่ากำปั้นทำจากไม้ทาสีดำสนิทและขัดมันจนเป็นเงางามดูสวยและหรูหรา ก่อนที่เขาจะเดินกลับมายังหญิงสาวผู้ที่เป็นลูกค้าด้วยท่าทางที่ดูสุภาพและลึกลับ อาเธอร์เปิดกล่องไม้ใบเล็กนั้นออกด้านในของกล่องนั้นบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง และภายในกล่องนั้นมีกระพรวนขนาดเล็กประมาณเท่าหัวนิ้วโป้งสีทองแวววาววางอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีแดง กระพรวนอันน้อยดูเล็กน่ารักแต่กลับมีความรู้สึกประหลาดที่ชวนขนลุกแผ่ซ่านออกมาจากมันตลอดเวลา “สวยจัง นี่คืออุปกรณ์ต้องสาปอย่างนั้นหรือคะ ?” หญิงสาวกล่าวกับอาเธอร์ด้วยท่าทางที่ดูแปลกใจ เธอนึกว่าอุปกรณ์ต้องสาปนั้นจะดูน่าขนลุกกว่านี้เสียอีก ท่าทางของเธอนั้นทำให้อาเธอร์ยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่ดูตลกขบขัน แต่เขาก็พยายามที่จะระงับความรู้สึกขบขันของเขาเอาไว้ด้วยรอยยิ้มที่ฉีกอยู่บนใบหน้า“ใช่แล้วครับคุณหนูนี่คือกระพรวนแห่งความฝัน เมื่อนานมาแล้วมันเคยเป็นของใช้ของปีศาจตนหนึ่งซึ่งมีความสามารถในการเข้าไปเปลี่ยนแปลงฝันของมนุษย์จากฝันดีให้เป็นฝันร้ายและกัดกินความกลัวของมนุษย์ในขณะที่กำลังฝันร้าย ตัวกระพรวนนี้มีพลังที่จะทำให้ความฝันของมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการถ้าหากว่าคุณหนูเป็นเจ้าของของมันคุณหนูปรารถนาที่จะเห็นอะไรในความฝันมันจะดลบันดาลให้ทุกอย่างครับ” อาเธอร์กล่าวบรรยายถึงคุณสมบัติของกระพรวนซึ่งอยู่ในมือของเขาลูกค้าหญิงสาวนั้นจ้องมองไปยังมันด้วยแววตาที่ดูสนอกสนใจ“แล้วสิ่งที่หนูจะต้องจ่ายเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับมันล่ะคะ แล้วคำสาปของเจ้ากระพรวนอันนี้มันคืออะไร ?” ก่อนที่หญิงสาวจะมายังร้าน Memories Garden เธอนั้นได้ศึกษาข้อมูลมาแล้วพอสมควรถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกกับอาเธอร์ว่าเธอไปได้ข้อมูลของร้านนี้มาจากไหน แต่เธอก็รู้เรื่องของการแลกเปลี่ยนและคำสาปเป็นอย่างดี“คุณหนูคงจะรู้อยู่แล้วนะครับ ว่าสิ่งที่จะใช้แลกเปลี่ยนคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณหนู จากที่ได้ฟังเรื่องราวมาคุณหนูอยากจะพบกับพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ใจจริงผมก็อยากจะได้ความทรงจำของพ่อกับแม่ของคุณหนูที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกนะครับ แต่ถ้าหากว่าผมนำมันมาคุณหนูก็จะสูญเสียจุดประสงค์ที่จะมาที่นี่ไป ผมคงจะเอามันมาไม่ได้ถ้าอย่างนั้นผมขอแค่ ใบหน้าเท่านั้นก็พอครับ คุณหนูจะไม่สามารถจดจำใบหน้าของพ่อแม่ของคุณหนูได้ ความทรงจำในวัยเด็กส่วนใบหน้าของพ่อแม่ของคุณหนูจะต้องถูกจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับผม ส่วนคำสาปของกระพรวนแห่งความฝันก็คือเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ได้ใช้มันไปแล้วมันจะค่อยๆกัดกินการรับรู้ของคนคนนั้น จนในท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ถือครองมันจะไม่สามารถแยกความจริงออกจากความฝันได้ นี่คือสิ่งที่คุณหนูจะต้องจ่ายทั้งหมด ตกลงไหมครับ” อาเธอร์เสนอข้อแลกเปลี่ยนโดยการที่จะช่วงชิงใบหน้าของพ่อแม่ชาล็อตมาเป็นค่าตอบแทน ในขณะที่กระพรวนแห่งความฝันก็มีคำสาปในตัวของมันคือ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ใช้มันไปเรื่อยๆผู้ใช้มันจะไม่สามารถแยกความจริงจากความฝันออกจากกันได้ในที่สุด “ใบหน้าอย่างนั้นหรือคะ ?” ชาล็อตเมื่อได้ยินสิ่งที่อาเธอร์ต้องการเธอก็รู้สึกแปลกใจมากเธอไม่เข้าใจว่าถ้าหากเธอถูกช่วงชิงใบหน้าของพ่อแม่ไปแล้วการรับรู้ของเธอจะกลายเป็นแบบไหน“คุณหนูลองหลับตาดูสิครับแล้วลองนึกภาพพ่อแม่ของคุณหนูขึ้นมาในความคิดนั่นแหละครับคือสิ่งที่คุณหนูจะต้องจ่ายให้กับผม” ชาล็อตลองหลับตาและนึกถึงภาพใบหน้าของพ่อแม่ของเธอซึ่งเป็นความทรงจำในวัยเด็กอันนานแสนนาน เธอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเธอไม่สามารถจะจำหน้าของพวกท่านทั้งสองได้ใบหน้าของพวกท่านทั้งสองนั้นเหมือนกับมีหมอกควันที่ไม่สามารถจะขจัดออกไปได้มาบดบังเอาไว้จนไม่สามารถจะมองเห็นได้“..........” ชาล็อตนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกับเธอลังเลว่าเธอจะยอมแลกเปลี่ยนในข้อเสนอครั้งนี้หรือไม่แต่ในที่สุดแล้วเธอก็สามารถจะตัดสินใจได้“ตกลงค่ะ ถึงฉันจะจำหน้าพวกท่านไม่ได้ก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยในความฝันฉันก็จะได้อยู่กับพวกท่านมันคือสิ่งที่ฉันปรารถนามาโดยตลอด” ชาล็อตกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่จริงจังแล้วมั่นใจ อาเธอร์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดีก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปิติว่า“การแลกเปลี่ยนเป็นอันเสร็จสิ้นครับกระพรวนแห่งความฝันนี้เป็นของคุณหนูแล้วขอบคุณที่ใช้บริการครับ” หลังจากที่การแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น ชาล็อตก็นำกระพรวนแห่งความฝันใส่กล่องไม้เอาไว้ตามเดิมและเธอก็มุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่อยู่ของเธอด้วยความรู้สึกยินดีในค่ำคืนนี้เธอคงจะได้พบกับความฝันที่แสนมหัศจรรย์คืนวันนั้นอีกภายในคฤหาสน์ เอลลิสัน ชาล็อตนั่งอยู่บนเตียงภายในห้องของเธอ มันเป็นเตียงไม้ขนาดใหญ่ที่มีเสาทั้ง 4 ด้านและมีผ้าม่านที่สวยงามเป็นฉากกั้น ผ้าปูเตียงนั้นเป็นผ้าซาตินที่เรียบลื่นและให้ความรู้สึกที่นุ่มสบาย ชาล็อตค่อยๆนำกระพรวนแห่งความฝันออกมาจากกล่องไม้อย่างเบามือเพื่อประคองมันไว้ในอุ้งมือทั้งสองข้างก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า“กระพรวนเอ๋ยเจ้าจงมอบฝันที่ต้องการให้กับข้า” หลังจากนั้นชาล็อตก็สั่นกระพรวนเบาๆเสียงดังกรุ้งกริ้งก้องกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ มันฟังดูไพเราะเสนาะหูและน่าขนลุก ชาล็อตเมื่อได้ยินเสียงของกระพรวนเธอก็รู้สึกง่วงนอนและจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราโดยที่ไม่ทันตั้งตัวภายในความฝันเธอกำลังยืนอยู่ในสวนของคฤหาสน์ เวลาในความฝันนี้เป็นเวลากลางวัน ดอกไม้ในสวนซึ่งเป็นดอกทิวลิปเป็นส่วนมากและดอกไม้ชนิดอื่นประดับประดากันสวยงามต่างพากันบานสะพรั่งทำให้สวนแห่งนี้มีสีสันสดใสและดูสดชื่น สายลมยามบ่ายที่เย็นสดชื่นผสมกับกลิ่นหอมของดอกไม้พัดมาอย่างแผ่วเบาปะทะเข้ากับร่างกายของเธอทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย“ชาล็อต !!” เสียงที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นมาเรียกเธอ มันเป็นเสียงที่เธอโหยหามานานแสนนาน เสียงของคุณพ่อซึ่งเธอคิดว่าในชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้ยินอีกแล้วดังขึ้นมาเรียกเธออย่างชัดเจน ชาล็อตหันไปมองทางต้นเสียงทันทีภาพที่เธอเห็นนั้นสร้างความปิติยินดีและความรู้สึกโหยหาให้กับเธออย่างเอ่อล้น พ่อและแม่ของเธอกำลังยืนอยู่คู่กันภายในส่วนของคฤหาสน์ พวกเขาทั้งคู่นั้นยังคงมีอายุเท่ากับที่อยู่ในความทรงจำของเธอ และเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นก็เป็นชุดสูทแบบสุภาพบุรุษและหมวกปีกกว้างและชุดกระโปรงแบบผู้ดีสไตล์อังกฤษเหมือนในความทรงจำที่เธอจำได้เหมือนราวกับถอดแบบออกมาจากความทรงจำของเธอไม่มีผิดเพี้ยน“ท่านพ่อ !! ท่านแม่ !!” ชาล็อตในความฝันวิ่งโผเข้าไปโอบกอดพ่อและแม่ของเธอด้วยความยินดีเมื่อของเธอนั้นเข้าไปโอบกอดท่านทั้งสองได้อย่างเต็มที่มันช่างเป็นความฝันที่เหมือนกับความจริงเสียเหลือเกิน ไออุ่นจากร่างกาย น้ำเสียงที่ฟังดูคุ้นหู และท่าทางการแสดงออกช่างเหมือนกับพ่อและแม่ของเธอตอนที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน จะมีก็แต่เพียงหน้าตาของพวกท่านเท่านั้นที่เธอไม่สามารถจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับว่าสายตาของเธอนั้นผิดปกติไปภาพใบหน้าของท่านทั้งสองนั้นมัวไปหมด แต่เธอก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เลยแม้แต่น้อย“ท่านพ่อท่านแม่ลูกคิดถึงท่านมาก ลูกอยากจะพบพวกท่านมาตั้งนานแล้ว ลูกเหงาเหลือเกิน….” ชาล็อตซบหน้าลงไปที่อกของผู้เป็นพ่อในความฝันนั้นเธอร้องไห้ออกมาอย่างมากมาย แต่มันไม่ใช่น้ำตาของความเสียใจแต่เป็นน้ำตาของความปิติยินดี พ่อและแม่ของเธอโอบกอดเธอไว้อย่าอ่อนโยนราวกับว่าเธอนั้นยังเป็นเด็กน้อยในสายตาของพวกท่านเสมอ“ชาล็อต ลูกโตขึ้นมากเลยนะกลายเป็นหญิงสาวที่งดงามพ่อกับแม่ดีใจจริงๆ” พ่อในความฝันของชาล็อตกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและภูมิใจเมื่อได้พบกับลูกสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน ชาล็อตให้มือทั้งสองข้างปาดน้ำตาของเธอซึ่งอยู่ที่ข้างแก้มออกอย่างร้อนรนก่อนที่จะตอบว่า“จากนี้ไปท่านพ่อกับท่านแม่จะไม่จากหนูไปไหนแล้วใช่ไหมคะ พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปใช่ไหมคะ” ชาล็อตเอ่ยปากขึ้นตามพ่อและแม่ของเธอ เธอนั้นอยากจะได้ยินคำตอบที่แสนอยากจะได้ยินมาอย่างยาวนาน คำตอบที่ว่าพ่อและแม่ของเธอจะอยู่กับเธอตลอดไปอย่างน้อยแค่ในความฝันก็ยังดีเธออยากที่จะสมหวังในสิ่งที่เธอปรารถนา “ได้สิ ชาล็อตแม่กับพ่อจะอยู่กับลูกตลอดไป” คำพูดที่แสนจะอ่อนโยนและใจดีของผู้เป็นแม่กล่าวตอบคำถามที่เธออยากจะได้ยินมานานความปิติยินดีเอ่อล้นภายในใจของชาล็อต นี่ช่างเป็นความฝันที่งดงามและแสนหวานที่เธอปรารถนาและโหยหามาตลอดเสียจริงๆ ห้วงนิทราในยามราตรีของเธอคืนนี้จึงเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากจะให้มันจบลง แต่เข็มนาฬิกาและเวลาก็มิได้เป็นไปอย่างที่เธอต้องการรุ่งอรุณย่อมมาถึงและขจัดราตรีให้จากไป เวลารุ่งสาง “คุณหนูคะ คุณหนูชาล็อต ได้เวลาตื่นแล้วค่ะ” เสียงของสาวใช้ประจำตัวของชาล็อตมาปลุกเธอในเวลาเช้าซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันซึ่งเธอจะต้องตื่นขึ้นมาในเวลานี้อย่างสม่ำเสมอ แต่เช้านี้ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งที่ผิดปกติออกไป ชาล็อตนั้นตื่นยากมาก เธอรู้สึกว่าเธอนอนหลับไม่เพียงพอ อีกทั้งก็ยังรู้สึกไม่อยากที่จะลุกจากที่นอนเลยแม้แต่นิดเดียว“อ่าาา เช้าซะแล้วหรือคะนี่ ?” ชาล็อตลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนด้วยท่าทางที่ดูสะลึมสะลือดูเหมือนว่าเธอนั้นจะยังไม่อยากตื่นขึ้นจากห้วงนิทราเลยแม้แต่น้อย “ใช่แล้วค่ะ คุณหนูนอนหลับไปตั้งแต่หัวค่ำทำไมถึงยังดูอ่อนเพลียถึงขนาดนี้คะ จะให้ดิฉันเรียกหมอมาตรวจร่างกายสักหน่อยไหมคะเผื่อว่าคุณหนูจะไม่สบาย….” สาวใช้เอ่ยปากถามชาล็อตด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยแต่ดูเหมือนว่าคำถามของเธอนั้นจะทำให้ชาล็อตรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย“ไม่จำเป็นหรอกค่ะฉันยังสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง” ชาล็อตกล่าวขึ้นกับสาวใช้ของเธอด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจก่อนที่เธอจะสั่งให้สาวใช้ออกไปจากห้องด้วยท่าทางที่ดูเย็นชา หลังจากที่สาวใช้ออกไปจากห้องแล้วชาล็อตก็หยิบกระพรวนแห่งความฝันขึ้นมา แล้วถือกระพรวนแห่งความฝันเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูยินดีว่า“ขอแค่มีสิ่งนี้ฉันก็ไม่ต้องการใครอีกแล้ว…...”หลังจากนั้นหลายวันผ่านไป ชาล็อตก็เอาแต่จมอยู่ในโลกแห่งความฝันทุกค่ำคืน ฝันที่เธอได้ดื่มด่ำไปกับความอบอุ่นที่ได้รับจากพ่อแม่ซึ่งเธอโหยหา ความปรารถนาของเธอนั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมาแม้ว่านั่นจะเป็นเพียงแค่ในโลกของความฝันก็ตาม เธอหวังว่าความสุขนี้จะอยู่กับเธอตลอดไปและจะไม่จางหายไปไหน แต่แล้วสิ่งที่เธอไม่อาจจะคาดคะเนได้ว่ามันจะเกิดขึ้นก็ได้เริ่มต้นขึ้นชาล็อตเริ่มที่จะใช้เวลาส่วนมากในชีวิตประจำวันไปกับการนอน เธอตื่นขึ้นมาในเวลาสาย ในตอนที่ไปโรงเรียนในช่วงพักกลางวันเธอก็หลับ และในตอนเย็นเมื่อเธอกลับมาบ้านเธอก็ตรงไปยังห้องนอนของเธอทันทีโดยในบางวันนั้นเธอแทบจะไม่แตะต้องอาหารเย็นเลย เธออยากที่จะใช้เวลาอยู่ในห้วงนิทราให้ได้นานที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้เพราะว่าในความฝันนั้นมันช่างเป็นสิ่งที่สวยงามและหอมหวานสำหรับเธอจริงๆ เช้าวันหนึ่ง ชาล็อตตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาสายจากการปลุกของสาวใช้ดังเช่นทุกวัน แต่วันนี้เธอได้พบกับความแปลกประหลาดซึ่งเธอไม่เคยเจอ พ่อของเธอนั่งอยู่ที่บริเวณขอบเตียงซึ่งเธอเพิ่งตื่นนอน เธอควรจะต้องได้พบกับพ่อแค่ในความฝันเท่านั้น แต่ในวันนี้ดวงตาของเธอนั้นสามารถที่จะมองเห็นพ่อของเธอในโลกของความเป็นจริงได้ แต่ใบหน้าของท่านก็ยังคงไม่สามารถจะมองเห็นได้อย่างเด่นชัดเหมือนดังเช่นในฝันอยู่ดี“ท่านพ่อ…..” ชาล็อตอุทานออกมาด้วยความตกใจ เธอเอื้อมมือไปสัมผัสร่างกายของผู้เป็นพ่อด้วยความฉงนสงสัย สิ่งที่น่าตกใจอย่างที่สองปลายนิ้วของเธอนั้นสามารถที่จะสัมผัสร่างกายของผู้เป็นพ่อได้ ความอบอุ่นและผิวสัมผัสนั้นเป็นของจริงเธอตกใจมากที่พ่อของเธอสามารถจะปรากฏตัวขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริงได้โดยที่เธอนั้นยังไม่ต้องหลับไหล“ท่านพ่อท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงท่านมีชีวิตกลับมาอีกครั้งแล้วหรือคะ ?” ชาล็อตเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยแต่ในใจของเธอนั้นเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก“ใช่แล้วลูก ตอนนี้เราจะไม่ได้พบกันแค่ในฝันแล้วนะ พ่อสามารถจะมาอยู่กับลูกได้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้แล้ว แม้ว่าลูกจะไม่ได้หลับใหลลูกก็สามารถที่จะพบกับพ่อและแม่ได้ พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” คำพูดของผู้เป็นพ่อที่กล่าวขึ้นมาอย่างจริงจังและอ่อนโยนสร้างความรู้สึกยินดีเป็นล้นพ้นให้กับชาล็อต แต่ว่าสิ่งที่ชาล็อตได้เห็นและได้สัมผัสนั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่คนอื่นได้เห็น สาวใช้และพ่อบ้านทุกคนที่อยู่ภายในคฤหาสน์ของเธอนั้นเห็นเธอกำลังพูดอยู่คนเดียว และแสดงท่าทางกริยาต่างๆอยู่คนเดียว แต่พวกเขานั้นก็ไม่ได้กล่าวคำทัดทานอะไร พวกเขาทุกคนนั้นต่างพากันคิดว่าคุณหนูของเขาคนนี้คงจะจมอยู่ในความเศร้าจนจิตใจของเธอนั้นพังทลายลงและกลายเป็นคนที่วิปริตไปเสียแล้วชาล็อตไม่ยอมไปโรงเรียนและเธอก็อยู่กับพ่อแม่ซึ่งเธอนั้นสามารถจะพบและพูดคุยได้เพียงคนเดียวอยู่เป็นเวลาหลายวัน เธอทำกิจกรรมต่างๆตั้งแต่ทานอาหารไปจนถึงการเดินเล่นในสวนกับพ่อแม่ ซึ่งเธอสามารถที่จะรับรู้ได้เพียงลำพัง เหล่าคนรับใช้ภายในบ้านได้แต่รู้สึกว่าหญิงสาวผู้เป็นนายของพวกเขานั้นกลายเป็นคนบ้าที่จมอยู่ในห้วงแห่งความฝันในโลกส่วนตัวพวกเขาได้จะทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเอาไว้เพียงเท่านั้น แต่แล้วเมื่อเวลาล่วงเลยไปอีกหลายวัน เวลากลางดึก ในวันนี้เป็นวันที่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก พายุฝนฟ้าคะนองโหมกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง สายลมพัดรุนแรงกราดเกรี้ยวจนทำให้ต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่ง ของป่าด้านหลังคฤหาสน์นั้นพากันเอนไหวไปตามแรงลม แต่ชาล็อตนั้นกำลังนอนอยู่บนเตียงภายในห้องนอนของเธอโดยที่ไม่สนใจถึงสภาพอากาศภายนอกเลยแม้แต่น้อย เธอกำลังสนทนาอยู่กับพ่อและแม่ของถึงกิจกรรมที่ผ่านมาของพวกเขาอย่างสนุกสนาน“ชาล็อตลูกดูสิดอกไม้ในสวนบานสะพรั่งสวยงามจริงๆ แม่กับพ่อเป็นคนที่ชอบต้นไม้และดอกไม้มาก ลูกเคยได้ยินเรื่องนี้ไหม ในป่าด้านหลังคฤหาสน์ของพวกเรานั้นมีต้นไม้หายากและดอกไม้ที่สวยงามอยู่มากมายเลยนะพ่อกับแม่อยากจะพาลูกไปเที่ยวที่นั่นดูสักครั้งจังเลย” ผู้เป็นพ่อกล่าวเอ่ยปากชวนลูกสาวอย่างอ่อนโยน ชาล็อตเมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอก็รู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันทีเธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าในป่าทึบด้านหลังคฤหาสน์ซึ่งดูรกร้างและอันตรายนั้นจะมีดอกไม้ที่สวยงามและต้นไม้หายากอยู่ด้วย“หนูอยากจะลองดูสักครั้งจังเลยค่ะท่านพ่อ ไว้มีโอกาสพวกเราลองเข้าไปเที่ยวในป่าด้านหลังคฤหาสน์กันดูนะคะ” ชาล็อตเอ่ยปากบอกขึ้นอย่างสนอกสนใจผู้เป็นพ่อเมื่อได้ยินดังนั้นก็กล่าวตอบขึ้นมาทันทีว่า“ทำไมถึงจะต้องรอให้มีโอกาสด้วยล่ะพวกเราไปกันตอนนี้ก็ได้นี่นา ดูสิ !! วันนี้พระจันทร์เต็มดวงท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งแสงจันทร์สว่างขนาดนี้พวกเราสามารถจะเดินเข้าไปในป่าได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน รู้ไหมหิ่งห้อยในป่าเวลาตอนพวกมันกำลังเปล่งแสงสวยงามมากเลยนะ มาสิลูกเดี๋ยวพ่อกับแม่จะพาไปดูนะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากคะยั้นคะยอ ชวนลูกสาวของเขาด้วยท่าทางที่ดูกระตือรือร้น ชาล็อตเมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อกล่าวเช่นนั้นเธอก็ตอบตกลง ชาล็อตเดินออกจากห้องนอนไปทั้งชุดนอน ก่อนที่จะเดินออกจากคฤหาสน์ในช่วงเวลาที่มีพายุโหมกระหน่ำและมุ่งหน้าตรงไปสู่ป่าทึบด้านหลังคฤหาสน์ โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าพายุโหมกระหน่ำกำลังสาดเทลงมาจากเบื้องบน เพราะอานุภาพของกระพรวนแห่งความฝันทำให้เธอนั้นไม่สามารถจะแยกออกได้เลยว่าสิ่งไหนคือโลกแห่งความจริงและสิ่งไหนคือโลกแห่งความฝันที่เธอได้รับรู้“คุณหนูคะ !!! นั่นคุณหนูจะไปไหน !!! อันตรายนะคะรีบกลับมาเถอะ” เสียงของสาวใช้ผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของชาล็อตตะโกนร้องเรียกเธอด้วยความตกใจ เมื่อเห็นหญิงสาวผู้เป็นนายกำลังจะเดินออกไปสู่ป่าทึบด้านหลังคฤหาสน์ทั้งๆที่พายุยังโหมกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้เป็นนายนั้นจะไม่ได้สนใจคำเรียกของสาวใช้ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย หรือบางทีเธอนั้นอาจจะไม่ได้ยินเสียงเรียกนี้เลยก็เป็นไปได้“แย่ล่ะทุกคน คุณหนูกำลังจะเดินเข้าไปในป่าด้านหลังคฤหาสน์ พวกเขารีบตามไปกันเถอะ” สาวใช้ไปเรียกพ่อบ้านและคนรับใช้คนอื่นให้รับรู้ถึงเรื่องนี้ ทุกคนนั้นช่วยกันออกติดตามตัวของหญิงสาวผู้เป็นนายกลับมา แต่ว่าพวกเขาก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ตนเองต้องกลายเป็นผู้โชคร้ายเสียเอง เนื่องจากว่าพายุกำลังโหมกระหน่ำลงมาทัศนวิสัยด้านหน้านั้นถูกบดบังจากสายฝนและแรงลม เสียงของอสุนีบาตคำรามลั่นไม่ขาดสายแต่พวกเขาทุกคนก็พยายามออกติดตามหาหญิงสาวผู้เป็นนายของพวกเขาอย่างไม่ลดละในป่าลึกด้านหลังคฤหาสน์ ชาล็อตเดินลึกเข้าไปภายในป่าทึบจากการนำของพ่อและแม่ในความฝันของเธอ เธอสามารถที่จะเดินผ่านกิ่งไม้และรากไม้ที่ขึ้นระเกะระกะได้อย่างไม่น่าเชื่อ และในที่สุดเธอก็มาหยุดอยู่ที่บริเวณหน้าผาชันซึ่งอยู่ภายในป่าทึบ ความสูงของหน้าผานี้น่าจะอยู่ที่ราวๆ 10 - 15 เมตรเห็นจะได้ มันเป็นชั้นของดินที่ถล่มลงตามระยะเวลาจนมีความสูงชัน ต้นไม้มากมายทางขึ้นอยู่อย่างหนาทึบจนไม่มีใครที่คิดจะเข้าไปสำรวจบริเวณนี้มานานแล้ว ชาล็อตนั้นมองไม่เห็นผาลึกเบื้องหน้า ภายในสายตาของเธอนั้นกลับมองเห็นความสูงชั้นเบื้องหน้านั้นเป็นทุ่งดอกไม้ที่สวยงามหลากสีสัน ดูสวยงามน่าหลงใหล แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านฟ้าที่เปิดโปร่งเผยให้เห็นดอกไม้นานาพรรณที่พากันอวดโฉมบานสะพรั่งสีสันต่างๆมีกลิ่นหอมชวนให้ผ่อนคลายและน่ารื่นรมย์ นั่นเป็นภาพในความฝันของเธอ “มาสิลูกเดี๋ยวพวกเราจะไปนั่งเล่นที่ลานดอกไม้ตรงนั้นกัน แม่จะทำมงกุฎจากดอกไม้สวยๆให้กับลูกดีไหม ?” ผู้เป็นแม่กล่าวขึ้นพร้อมกับใช้มือของเธอจับที่ข้อมือของชาล็อตและออกแรงดึงเพื่อที่จะให้ชาล็อตเดินตามเธอไปยังลานดอกไม้ที่ความจริงแล้วเป็นหน้าผาสูงชัน ชาล็อตนั้นตั้งใจที่จะเดินตามคำชักชวนของผู้เป็นพ่อและแม่ของเธอ แต่ว่าในความรู้สึกของเธอนั้นมีอะไรบางอย่างมาขัดขวางการกระทำนี้เอาไว้ เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกปลุกอย่างแรง และในเสี้ยววินาทีนั้นโสดประสาทของเธอเหมือนกับว่าได้ยินเสียงที่แสนจะคุ้นเคยดังขึ้นมา มันไม่ใช่เสียงที่อ่อนโยนและไม่ใช่เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกจริงจังและเป็นห่วงเป็นใยเธออย่างเหลือล้น“ชาล็อต !! ชาล็อต !! ลูกจะไปทางนั้นไม่ได้นะกลับมาเดี๋ยวนี้ !!” ชาล็อตหันไปตามต้นเสียงทันที ที่ด้านหลังของเธอนั้นเธอพบกับผู้เป็นพ่อของเธออีกคนหนึ่งกำลังยืนตะโกนเรียกเธอไม่ให้เดินก้าวเท้าไปทางหน้าผาสูงชัน แต่พ่อของเธอคนนี้ไม่ได้เป็นพ่อที่ปราศจากใบหน้าหรือว่ามีอะไรบางอย่างมาบดบังใบหน้าเอาไว้เลยแม้แต่น้อยชาล็อตสามารถมองเห็นใบหน้าของผู้เป็นพ่อคนนี้ได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่เธอน่าจะถูกช่วงชิงเอาไปแล้วจากการแลกเปลี่ยนกับกระพรวนแห่งความฝัน ชาล็อตตกใจสุดขีดเธอรีบหันกลับไปมองอีกด้านหนึ่งซึ่งน่าจะมีพ่อและแม่ในโลกแห่งความฝันของเธอนั้นยืนอยู่แต่แล้วเธอก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่า พ่อและแม่ของเธอในโลกแห่งความฝันนั้นกลายเป็นภูตผีปีศาจที่มีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคนนั้นราวกับศพที่เน่าเปื่อย ดวงตาลึกโบ๋ตามใบหน้านั้นมีหนอนชอนไชอยู่ ผิวหนังตะปุ่มตะป่ำและเต็มไปด้วยน้ำหนองและเลือด ผิวของพวกเขาเมื่อไหร่ยุ้ยเปื่อยยุ่ยและหลุดลอกเผยให้เห็นเส้นเลือดและกล้ามเนื้อด้านในบางส่วน ฝันของพวกเขาแหลมคมและมีลิ้นที่ยาวใหญ่ห้อยออกมาจากปาก“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด !!” ชาล็อตกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว เธอพยายามที่จะถอยหลังออกห่างจากหน้าผา ความฝันทั้งหมดที่เกิดจากกระพรวนแห่งความฝันในตอนนี้พังทลายลง เธอได้พบกับโลกแห่งความเป็นจริง เธออยู่กลางป่าทึบที่มีพายุโหมกระหน่ำลงมาสภาพรอบตัวของเธอนั้นมืดสนิท สายฝนที่เย็นเฉียบก็เสียดแทงเข้าไปยังร่างกายของเธอจนหนาวสั่น เสียงของอสุนีบาตคำรามลั่นอย่างบ้าคลั่งแสบแก้วหูชวนให้เสียขวัญ แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือปีศาจร้ายทั้ง 2 ตัวซึ่งเคยเป็นพ่อและแม่ในความฝันของเธอนั้นกำลังดึงมือของเธอทั้งสองข้างให้ก้าวเดินไปยังหน้าผา มือที่เน่าเปื่อยชุ่มไปด้วยเลือดส่งกลิ่นเหม็นเน่าน่าขยะแขยงราวกับซากศพ กำลังฉุดรั้งมือของเธอทั้งสองข้างเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “ไม่นะ !!! ไม่ !! ไม่ !! ไม่ !! ไม่ !! ไม่ !! ใครก็ได้ช่วยด้วย !!” ชาล็อตตะโกนร้องเรียกให้คนช่วยอย่างสุดเสียง แต่ในป่าทึบกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำนีhยากที่เสียงของเธอนั้นจะมีใครได้ยิน ปีศาจร้าย 2 ตัวนั้นมีพละกำลังมากมันสามารถที่จะดึงเธอให้เดินหน้าไปเรื่อยๆได้อย่างไม่ยากเย็น อีกไม่นานเธอจะต้องตกลงไปที่หน้าผาลึกเบื้องหน้า“ม๊ายยยยยยยยยย !!” ชาล็อตถูกดึงมาจนถึงขอบหน้าผาและในที่สุดเธอก็ตกลงไปยังหน้าผาสูงชันแห่งนี้ เจ้าปีศาจร้ายทั้งสองตัวเมื่อเห็นว่าเหยื่อของมันตกลงจากหน้าผาได้สำเร็จแล้วมันก็ปล่อยมือของเธอทั้งสองข้างออกปล่อยให้ร่างที่เล็กและบอบบางของเธอร่วงหล่นลงไปยังพื้นเบื้องล่าง“อ่าห์……….เราคงจะไม่รอดแล้วสินะ นี่คือจุดจบของเราอย่างนั้นเหรอ ? ในโลกหลังความตายจะน่ากลัวไหมนะ เราคงจะได้ไปพบกับคุณพ่อคุณแม่ที่แท้จริงของเราเสียที บางทีความตายก็อาจจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับเราแล้วสินะ คนขี้ขลาดที่ไปหวังพึ่งพลังของสิ่งต้องคำสาป ช่างน่าสมเพชเสียจริงๆตัวฉันนี่…...” ชาล็อตมีถ้อยคำมากมายผุดขึ้นมาในห้วงคนึงแห่งความคิดในระหว่างที่เธอกำลังร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง แต่ว่าทันใดนั้นร่างกายของเธอก็เหมือนกับมีอะไรบางอย่างมาโอบอุ้มเอาไว้ มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและมันก็ไม่เหมือนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในความฝัน ความรู้สึกนี้มันชัดเจนกว่า ความรู้สึกนี้มันคุ้นเคยกว่า และความรู้สึกนี้มันเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีซึ่งเธอนั้นแทบจะลืมเลือนไปแล้ว“ชาล็อต…..พ่อขอโทษนะที่พ่อจากลูกไปตั้งแต่ลูกยังเป็นเด็ก พ่อไม่มีโอกาสจะได้ทำหน้าที่ในฐานะของผู้เป็นพ่อให้กับลูกได้เลยสักครั้ง ลูกอาจจะคิดว่าโลกใบนี้มันช่างโหดร้ายกับลูกเสียเหลือเกิน สุดท้ายแล้วลูกก็ถูกล่อลวงให้ไปพึ่งพาภาพลวงตาที่แสนจะอันตราย พ่อขอโทษนะที่พ่อไม่สามารถจะอยู่ดูแลลูกได้อย่างที่ลูกหวัง…..” เสียงของผู้เป็นพ่อกล่าวขึ้นกับชาล็อต แต่ในครั้งนี้มันไม่ใช่ความฝัน เธอได้พบกับผู้เป็นพ่อของเธอจริงๆ ใบหน้าของท่านนั้นเป็นใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำของเธออย่างเด่นชัด ไม่รู้ว่าเกิดจากปาฏิหาริย์หรือว่าเกิดจากสิ่งใดกันแน่ แต่ว่าในตอนนี้เธอได้พบกับพ่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและสามารถที่จะสัมผัสพวกเขาได้ “ท่านพ่อ….” ชาล็อตกล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบาไม่รู้ว่าเป็นเพราะปาฏิหาริย์อะไร แต่ว่าเธอตกมาจากหน้าผาที่มีความสูงกว่า 10 เมตรแต่เธอยังคงมีสติประคองร่างกายของเธออยู่ได้ เธอนั้นได้รับบาดเจ็บบางส่วนแขนของเธอนั้นหักแต่ว่าเธอนั้นก็ยังคงมีสติ ตอนนี้เธอนั่งอยู่ที่ก้นของหน้าผาโดยที่มีพ่อและแม่ของเธอนั่งอยู่เคียงข้างร่างกายของท่านนั้นเรืองแสงบางๆ และโปร่งแสงเหมือนหมอกในยามเช้า“พ่อกับแม่คงจะปรากฏตัวแบบนี้นานมากไม่ได้ ฟังนะชาล็อต พ่อกับแม่มีเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากจะบอกกับลูก ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถที่จะอยู่เคียงข้างลูกได้ พวกเราไม่สามารถจะให้ลูกได้สัมผัสไออุ่นได้อีกแล้ว แต่พวกเรานั้นเฝ้ามองลูกตลอดเวลา พวกเราคอยคุ้มครองและเอาใจช่วยลูกเสมอ ถึงแม้ว่าลูกจะมองไม่เห็นพวกเราก็ตามที อย่าได้เศร้าเสียใจไปเลยลูกไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวพ่อกับแม่ยังอยู่ข้างลูกเสมอนะ…….เข้มแข็งเอาไว้นะชาล็อต ” พ่อของเธอกล่าวสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับเธอมานานแสนนาน แต่ดูเหมือนว่าเวลาของพวกเขานั้นจะหมดแล้ว ร่างกายของพวกเขานั้นกำลังจะสลายหายไปราวกับหมอกยามเช้าที่ต้องสายลม“ท่านพ่อได้โปรดรอก่อน…..” ชาล็อตเอื้อมมือที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอเพื่อหวังที่จะได้สัมผัสร่างกายของพวกท่านเป็นครั้งสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะทำไม่สำเร็จร่างกายของเธอนั้นเจ็บปวดจนชาไปหมดและไม่มีเรี่ยวแรงเลย“จงเข้มแข็งและอ่อนโยน รู้จักเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และจงเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคเบื้องหน้า พวกเราจะคอยอยู่เคียงข้างลูกเสมอชาล็อต…...” สิ้นคำกล่าวร่างของผู้เป็นพ่อและแม่ก็มลายหายไปราวกับน้ำค้างยามค่ำคืนที่ต้องแสงแห่งรุ่งอรุณ ชาล็อตสลบไปจากความเจ็บปวด เธอไม่รู้ว่าเธอหลับไปนานเท่าไหร่แต่ดูเหมือนว่าเราบรรดาคนใช้ที่ออกตามหาเธอนั้นจะพบกับเธอนอนสลบอยู่ที่ก้นของหน้าผาและช่วยเหลือเธอเอาไว้ได้ทันกาลหลายวันต่อมา ชาล็อตฟื้นจากอาการบาดเจ็บบางส่วนแล้วแต่ว่าแขนซ้ายของเธอนั้นยังต้องด้ามไม้และพักรักษาอีกระยะหนึ่งเนื่องจากว่ากระดูกของเธอนั้นหักจากการตกลงมาจากที่สูง ชาล็อตยังคงเก็บกระพรวนแห่งความฝันเอาไว้ในกล่องอย่างมิดชิดก่อนที่เธอจะกลับมายังร้าน Memories Garden อีกครั้งหนึ่ง“สวัสดีครับคุณหนู ยินดีต้อนรับสู่ Memories Garden ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้ครับ” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสุภาพในขณะที่เขามองไปยังชาล็อตซึ่งเดินเข้ามาในร้านและตรงเข้ามาหาเขา อย่างรวดเร็วและไม่ลังเล“ฉันอยากจะขอคืนสินค้าที่ซื้อไปน่ะค่ะ” ชาล็อตกล่าวขึ้นพร้อมกับวางกล่องไม้สีดำที่บรรจุกระพรวนแห่งความฝันเอาไว้ลงบนโต๊ะที่เบื้องหน้าของอาเธอร์ อาเธอร์นั้นมองกล่องไม้สีดำก่อนที่จะยิ้มออกมาเล็กๆอย่างมีเลศนัยและเงยหน้ามองไปยังชาล็อต“ดูเหมือนว่าคุณหนูจะไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้วสินะ แต่ว่าคุณหนูไม่จำเป็นจะต้องนำมันมาคืนหรอกนะครับเพราะว่าผมน่ะได้รับมันคืนมาตั้งหลายวันแล้วล่ะ” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงของเขานั้นแฝงไปด้วยความกระเซ้าเย้าแหย่ได้อย่างชัดเจน ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือของเขาไปเปิดกล่องไม้สีดำซึ่งน่าจะบรรจุกระพรวนแห่งความฝันเอาไว้ แต่เมื่อเขาเปิดออกดูมันกลับเป็นกล่องที่ว่างเปล่า“กระพรวนแห่งความฝันนั้นจะดูดกินความปรารถนาของมนุษย์และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความฝัน เพื่อที่จะล่อลวงมนุษย์และกัดกินมนุษย์คนนั้นจากภายใน ดูเหมือนว่าคุณหนูจะยังโชคดีอยู่นะครับ ไม่สิจะบอกว่าคุณหนูยังโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่ที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้างจะดีกว่านะ” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางทีเล่นทีจริงแต่ท่าทางของเขานั้นทำให้ชาล็อตเอ่ยปากถามเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดและหัวเสียว่า“คุณเจ้าของร้านรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วใช่ไหมว่ามันจะต้องกลายเป็นแบบนี้ ?” ชาล็อตเอ่ยปากถามขึ้น แต่อาเธอร์เมื่อได้ยินเธอถามเช่นนั้นสีหน้าของเขาก็ดูตกใจเล็กน้อยก่อนที่เขาก็น่าจะยิ้มออกมาและกล่าวขึ้นมาว่า“เรื่องนี้ผมขอเสียมารยาทไม่ตอบก็แล้วกันนะครับคุณหนู เอาล่ะครับตอนนี้คุณหนูก็ไม่มีธุระอะไรจะต้องพึ่งพาอำนาจของอุปกรณ์ต้องคำสาปอีกแล้ว ผมขอให้คุณหนูโชคดีก็แล้วกันนะครับ หวังว่าเราคงจะไม่ได้พบกันอีก” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกระเซ้าเย้าแหย่และชวนหัว ชาล็อตได้แต่ถอนหายใจเบาๆและเอ่ยปากขึ้นมาลอยๆว่า
“อย่างนั้นหรือคะ ? ถ้าอย่างนั้นฉันขอภาวนาให้เรื่องนี้คุณรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วก็แล้วกันนะ ขอบคุณมากนะคุณเจ้าของร้าน แล้วพบกันใหม่ค่ะ” ชาล็อตหลังจากที่กล่าวจบเธอก็เดินออกจากร้าน Memories Garden ไปอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉง อาเธอร์มองตามหลังของเธอซึ่งในตอนนี้ดูเข้มแข็งขึ้นมากกว่าตอนแรกที่เข้ามายังร้านแห่งนี้ครั้งแรก และกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูยินดีว่า“ความปรารถนาของคุณเป็นจริงแล้วสินะ ขอบคุณที่ใช้บริการครับ” .......Episode 1 END
|
|
|
Post by gaiax on Sept 1, 2018 16:46:07 GMT
Episode.2 Replica Love of Humanoid ท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัดในยามราตรีที่เยือกเย็นของฤดูหนาว คิมหันต์เหมันต์ร่างร่วงหล่นลงสู่พื้นและฉาบทาให้พื้นเบื่องล่างเป็นสีขาว ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายนี้มีกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังไล่ล่ากันอยู่ กลุ่มหนึ่งนั้นเป็นชายวัยกลางคนจำนวน 5-6 คนพวกเขากำลังวิ่งไปบนพื้นหิมะซึ่งหนาเกือบเท่าตาตุ่มอย่างเต็มฝีเท้า ใบหน้าของพวกเขานั้นแตกตื่นหวาดกลัวราวกับว่าพวกเขานั้นกำลังหลบหนีปีศาจจากขุมนรกที่ไล่ล่าพวกเขามาจากด้านหลัง ในขณะที่คนที่ได้ติดตามพวกเขานั้นเป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียว ชายหนุ่มคนนี้สวมผ้าคลุมสีดำปกปิดร่างกายทั้งหมดเหลือไว้แค่เพียงลูกตาที่ฉายแววเยือกเย็นและอำมหิตจับจ้องไปยังกลุ่มชายวัยกลางคนเบื้องหน้า เขากำลังวิ่งไล่ตามกลุ่มชายที่ล่วงหน้าไปอย่างไม่ลดละและระยะห่างของพวกเขาทั้งสองกลุ่มก็เริ่มที่จะสั้นลงเรื่อยๆ“แย่แล้วอย่าให้มันจับได้นะพวกเราถูกฆ่าหมดแน่ !” ชายวัยกลางคนหนึ่งในห้าคนในกลุ่มที่กำลังวิ่งหนีนั้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหวาดกลัว ในขณะที่เขากำลังหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง แววตาของเขานั้นสบตากับชายหนุ่มผู้เป็นพญามัจจุราชที่กำลังจะมาคร่าชีวิตของเขาเข้าอย่างจัง ทันทีที่สบตากันแววตาของชายวัยกลางคนนั้นก็ประกายฉายแววของอาการหวาดกลัวอย่างสุดหัวใจขึ้นมาในทันทีหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจชายหนุ่มผู้วิ่งไล่ตามก็สามารถที่จะไล่กลุ่มของเหยื่อที่เขาติดตามอยู่ได้สำเร็จ เขาชักมีดขนาดพอเหมาะมือความยาวประมาณ 1 ศอก มีดมีสีเงินประกายแวววาวที่ถูกลับจนคมกริบ ถูกชักออกมาจากด้านในเสื้อคลุมสีดำ ชายหนุ่มถือมีดดังกล่าวเอาไว้ 2 เล่มในมือทั้งสองข้างก่อนที่จะกระโดดเข้าไปหากลุ่มของชายวัยกลางคนที่กำลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ฉึบ !! เสียงของมีดตัดผ่านลำคอของชายวัยกลางคน 4 คนที่กำลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ความแม่นยำของการลงมีดและความคมของใบมีดสามารถที่จะตัดผ่านหลอดลมของเหยื่อทั้ง 4 คนของชายหนุ่มผู้เป็นนักล่าได้อย่างง่ายดาย เลือดสีแดงสาดกระเซ็นกระจายเต็มพื้นหิมะสีขาวจนพื้นอิมะสีขาวนั้นกลายเป็นสีแดงฉาน เหยื่อของเขาทั้งสี่คนสิ้นใจลงทันที โดยไร้เสียงกรีดร้องใดๆ“ได้โปรดเถอะ !! ชั้นมีลูกสาวอายุ 5 ขวบชั้นอยากที่จะอยู่กับเธอ ชั้นสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้กับใครได้รับรู้และชั้นจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตชั้นเถอะ !!” ชายวัยกลางคนคนสุดท้ายกล่าวขึ้นกับชายหนุ่มผู้สวมผ้าคลุมสีดำซึ่งกำลังถือมีดที่เปื้อนโลหิตสีแดงฉานของเหล่าบรรดาพรรคพวกของเขาที่เพิ่งถูกสังหารไป เดินตรงเข้าไปหาชายวัยกลางคนอย่างช้าๆแววตาของเขานั้นปราศจากอารมณ์ใดๆมีแค่เพียงความอำมหิตที่ฉายแววออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว “ได้โปรดเถอะ !! ไว้ชีวิตชั้นด้วย !! ชั้นจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีกแล้วได้โปรด….” ชายวัยกลางคนกล่าวอ้อนวอนต่อไปเพื่อหวังว่าชายหนุ่มผู้ที่เป็นมือสังหารจะรู้สึกใจอ่อนและไว้ชีวิตของเขาแต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขานั้นจะไร้ผล“จัดการมันซะโจชัว…..” เสียงของชายวัยประมาณ 30 ปีซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้านายของชายหนุ่มผู้เป็นมือสังหารกล่าวขึ้นอย่างราบเรียบและเยือกเย็น เขานั้นยืนอยู่ไม่ห่างจากชายหนุ่มผู้เป็นมือสังหารเท่าไหร่นักและเขากำลังสังเกตการปฏิบัติการของชายหนุ่มผู้เป็นมือสังหารครั้งนี้อย่างใกล้ชิด“รับทราบ” ชายหนุ่มผู้สวมผ้าคลุมสีดำที่มีนามว่าโจชัวกล่าวตอบอย่างราบเรียบก่อนที่เขาจะลงมือปาดคอชายวัยกลางคนๆสุดท้ายอย่างชำนาญ ชายวัยกลางคนๆสุดท้ายซึ่งเป็นเหยื่อของเขานั้นสิ้นใจตายทันทีหลังจากที่เขาลงมีด ใบหน้าของชายวัยกลางคนนั้นอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความหวาดกลัวและโศกเศร้า “เท่านี้เหล่าองค์กรที่เป็นปรปักษ์ ซึ่งหลบซ่อนอยู่ในเขตของเราก็ถูกกำจัดหมดแล้วสินะ นี่เป็นงานสุดท้ายของฉันแล้วใช่ไหม ?” โจชัวกล่าวถามขึ้นกับชายวัยประมาณ 30 ปีซึ่งเป็นเจ้านายของเขาที่ยืนดูการปฏิบัติภารกิจของเขาอย่างเรียบเฉย ชายวัยประมาณ 30 เมื่อได้ยินคำถามของโจชัวเขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเยือกเย็นและราบเรียบว่า “ใช่แล้วล่ะ งานนี้คืองานสุดท้ายของนายนะโจชัว นายเป็นอิสระแล้ว ตัวอย่างทดลองแบบนายมีอายุอยู่ได้ไม่นาน ดูท่าทางว่าอายุของนายที่เหลือคงจะประมาณซัก 1 ปีล่ะมั้งใช้ชีวิตที่เหลือของนายตามใจเถอะ” ชายวัยประมาณ 30 ปีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบ แต่ว่าน้ำเสียงของเขานั้นไม่เยือกเย็นมันกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก โจชัวเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรตอบกลับไปเขาได้แต่นิ่งเงียบๆและมองชายวัยประมาณ 30 ปีเดินจากเขาไปอย่างเงียบๆ“อิสระงั้นหรอ ?.....” 11 เดือนผ่านไปที่ย่านชานเมืองในกรุงลอนดอน ถึงแม้ว่าภายในใจกลางกรุงลอนดอนนั้นจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายและความวุ่นวายที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่ในย่านชานเมืองนั้นกลับเงียบสงบ ผู้คนที่นี่มักจะเปิดร้านค้าเล็กๆหรือไม่ก็ทำสวนผลไม้ ชีวิตที่ดูเรียบง่ายแบบนี้กลับสงบสุขและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เบิกบาน แอ๊ดดด เสียงของบานพับประตูซึ่งไม่ได้รับการดูแลรักษาจนเกิดการเสียดสีเป็นเสียงที่ฟังดูมีเอกลักษณ์ของประตูไม้ในบ้านหลังหนึ่งที่ดูเก่าแก่โบราณแต่ก็ยังคงอยู่ในสภาพดีและสะอาดสะอ้านเพราะว่ามีคนอยู่อาศัยและดูแลมัน ผู้ที่เดินผ่านประตูเข้ามาก็คืออดีตมือสังหารขององค์กรลับที่ถูกปลดระวางแล้ว โจชัวในตอนนี้เขาไม่ได้สวมผ้าคลุมสีดำและถือมีดสีเงินคอยไล่ล่าเหล่าเป้าหมายอย่างที่เขาเคยทำ แต่ว่าเขากำลังสวมชุดลำลองที่ดูทะมัดทะแมงเหมาะกับงานใช้แรงแบบชาวสวน และตัวของเขานั้นอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินและเหงื่อไคลจากการทำงานหนักในสวนแอปเปิ้ลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขา“กลับมาแล้วเหรอโจชัว ? เข้ามาดื่มชาข้างในก่อนสิ ยายทำพายแอปเปิ้ลเอาไว้ให้ด้วยนะ” เสียงของหญิงวัยชราซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้กล่าวขึ้นกับโจชัวอย่างอ่อนโยนเธอนั้นรับโจชัวเข้ามาดูแลเป็นเวลาได้เกือบ 1 ปีแล้ว“ขอบคุณมากนะครับคุณยายเรเซีย ผมกำลังหิวพอดีเลย….” โจชัวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูยินดีเพราะว่าเขานั้นชอบพายแอปเปิ้ลที่คุณยายคนนี้เป็นคนทำมากทีเดียว รสชาติของมันหวานและกลมกล่อม โดยเฉพาะยาเมื่อทานกับน้ำชายามบ่ายมันเป็นช่วงเวลาที่เหมือนกับเป็นรางวัลชีวิตของเขาในตอนนี้เลยทีเดียว“อย่าลืมเหลือเอาไว้ส่วนหนึ่งให้เรเชลด้วยนะ ถ้าเกิดว่าเธอกลับมาแล้วรู้ว่าของว่างตอนบ่ายไม่เหลือแล้วคงจะเสียใจแย่...” คุณยายกล่าวขึ้นกับโจชัวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกระเซ้าเย้าแหย่คุณยายคนนี้พูดถึงหลานสาวตัวน้อยของเธอซึ่งมีนามว่า เรเชล เธอเป็นเด็กหญิงอายุ 5 ขวบที่กำลังอยู่ในวัยเล่นสนุก ในช่วงเวลากลางวันแบบนี้เธอมักจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอก บางทีก็เข้าไปในสวนแอปเปิ้ลที่โจชัวทำงานอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ความร่าเริงสดใสของเธอ ทำให้บ้านที่มีชายหนุ่มผู้ไม่ค่อยเจรจาแบบโจชัวและหญิงชราวัย 80 อย่างคุณยายเรเซียนั้น แลดูสดใสขึ้นและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะโจชัวหลังจากที่ได้ยินคุณยายกล่าวดังนั้น เขาก็พยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนที่เขาจะเดินไปล้างมือที่ก๊อกน้ำบาดาลด้านหลังบ้าน เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดทำงานหนักภายในสวนกลายเป็นชุดลำลองอยู่บ้านซึ่งทำมาจากผ้าฝ้ายที่สวมใส่สบาย โจชัวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่สดใสปุยเมฆก้อนเมฆสีขาวลอยกระจายกันประปรายเต็มท้องฟ้าสีคราม เขาได้ยินเสียงนกร้องดังมาจากต้นไม้ใหญ่ซึ่งขึ้นอยู่หลังบ้านมันเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบซึ่งเขารู้สึกมีความสุขมากเมื่อเทียบกับงานมือสังหารขององค์กรที่เขาทำก่อนหน้านี้มันช่างเหมือนกับสวรรค์และนรกเลยทีเดียว“แค่กๆๆๆๆ อึก…...” แต่ในระหว่างที่เขากำลังดื่มด่ำอยู่กับธรรมชาติและความเงียบสงบนั้น จู่ๆร่างกายของเขาก็มีปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น เขารู้สึกหายใจไม่ออกแน่นในลำคอและเจ็บปวดไปตามช่วงอกอย่างรุนแรง หลังจากนั้นโจชัวก็ไอออกมาติดต่อกันหลายครั้ง เขาใช้มือของเขาปิดปากในระหว่างที่เขากำลังไอและในตอนที่อาการไอของเขานั้นหยุดลง เขาก็ได้มองดูที่ฝ่ามือซึ่งเขาใช้ปิดปากของเขาในตอนที่ไอนั้นก็พบว่ามีหยดเลือดปะปนออกมาจากของเหลวที่ออกมาจากในลำคอของเขาจำนวนหนึ่ง“เวลาของผมเหลืออีกไม่นานแล้วสินะ จากตอนนั้นก็ผ่านมา 11 เดือนแล้วผมเหลือเวลาชีวิตอยู่อีกแค่เดือนเดียวเองหรอเนี่ย…..” โจชัวมองหยดเลือดที่ติดอยู่ที่บริเวณฝ่ามือของเขา สีหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าร่างกายของเขานั้นกำลังที่จะถึงขีดจำกัดในตอนที่องค์กรปล่อยเขาเป็นอิสระ ผู้บริหารขององค์กรคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะชอบใจโจชัวเป็นการส่วนตัวได้เลือกที่จะไม่กำจัดเขาในฐานะของเครื่องมือที่ใช้การไม่ได้แล้ว แต่กลับปล่อยให้เขาเป็นอิสระโดยการให้เขาเลือกใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาตามใจปรารถนา โจชัวนั้นได้รับรู้ความจริงว่าเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและร่างกายของเขานั้นกำลังจะเป็นอะไรโจชัวนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตเทียมที่เกิดขึ้นมาจากกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ เขาเป็นเด็กหลอดแก้วที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นมือสังหารให้กับองค์กร โดยที่เด็กซึ่งเกิดมาจากหลอดแก้วนี้จะสามารถกลายเป็นผู้ใหญ่ได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกฝึกฝนให้ใช้อาวุธต่างๆในฐานะของมือสังหารลับขององค์กร ร่างกายที่ได้รับการคัดสรรพันธุกรรมเพื่อให้เป็นนักฆ่าโดยเฉพาะ ทำให้มนุษย์ที่เกิดมาจากกรรมวิธีนี้กลายเป็นนักฆ่าที่มากความสามารถและสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบโจชัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ว่าการเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็วทำให้อายุขัยของมนุษย์เทียมนั้นสั้นลงตามไปด้วยโดยเฉลี่ยแล้วมนุษย์เทียมนั้นจะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 6 ปีเท่านั้น มนุษย์เทียมจะใช้เวลา 1 ปีในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และหลังจากที่เป็นผู้ใหญ่โจชัวก็ใช้ชีวิตในการทำงานเป็นมือสังหารให้กับองค์กรอีกเป็นระยะเวลา 4 ปีในตอนนี้เขามีอายุเหลืออยู่อีกเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น หลังจากที่ถูกปลดระวางเขาก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคุณยายและหลานสาวผู้อบอ้อมอารีมาเป็นระยะเวลา 11 เดือนแล้ว การที่เขาได้มาพบกับคุณยายเรเซียและหลานสาวได้นั้นก็เพราะผู้บริหารขององค์กรซึ่งดูเหมือนจะถูกใจเขานั้นเป็นคนฝากฝังคุณยายคนนี้ให้ดูแลเขาในช่วงสุดท้ายของชีวิต“พี่โจชัวเป็นอะไรไปหรอคะ ?” เสียงของเด็กหญิงซึ่งฟังดูใสซื่อและไร้เดียงสา ดังมาจากด้านหลังของโจชัวเธอกล่าวขึ้นถามโจชัวด้วยท่าทางที่ดูสงสัย โจชัวหันกลับไปมองทางต้นเสียงทันทีเธอก็พบกับเรเชลหลานสาวของคุณยายผู้เป็นเจ้าของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากการออกไปเล่นสนุกเดินเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางที่ดูร่าเริงสดใส“ไม่เป็นไรหรอกเรเชล พี่แค่เหนื่อยนิดหน่อยงานในสวนช่วงนี้ค่อนข้างหนักตอนนี้พี่ดีขึ้นแล้วเดี๋ยวเราไปทานพายแอปเปิ้ลของคุณยายกันเถอะ เรเชลก็รีบล้างมือซะนะ….” โจชัวพยายามฝืนความเจ็บปวด ปั้นหน้ายิ้มก่อนที่จะตอบกลับเรเชลไปด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเอง เธอยิ้มตอบกลับโจชัวร์ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนที่จะเดินเข้าไปล้างมือที่ก๊อกน้ำซึ่งโจชัวนั้นใช้งานเสร็จแล้วด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉงหลังจากนั้นคุณยายหลานสาวและโจชัวทั้งสามคนก็ไปนั่งที่โต๊ะอาหารเพื่อทานพายแอปเปิ้ลกับน้ำชาเป็นอาหารว่างยามบ่าย หลังจากนั้นโจชัวก็ออกไปทำงานในสวนแอปเปิ้ลต่อจนถึงเวลาเย็น ชีวิตประจำวันที่แสนสงบสุขและเรียบง่ายของทั้ง 3 คนก็ผ่านพ้นไปอีก 1 วัน อาหารเย็นของวันนี้คุณยายเรเชียก็เป็นคนเตรียมอีกเช่นเดิมในวันนี้คุณยายทำเนื้ออบสมุนไพรขนมปังและซุปข้าวโพดเอาไว้เป็นอาหารเย็น ซึ่งเธอนั้นรู้ดีว่าโจชัวชอบรสชาดของซุปข้าวโพดที่เธอทำเป็นอย่างมาก “นี่คุณยายคะ ปีหน้าเรเชลจะต้องไปโรงเรียนแล้วเหรอคะ ? ”เรเชลนั่นเอ่ยปากถามคุณยายเรเชียในขณะที่กำลังรับประทานอาหารเย็น ท่าทางของเธอนั้นดูเหมือนว่าจะไม่อยากไปโรงเรียนเท่าไหร่นักแต่ว่าปีหน้าเธอจะอายุ 7 ขวบแล้วการเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษานั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ของเด็กทุกคน“ใช่แล้วจ๊ะ ปีหน้าหลานก็ต้องไปโรงเรียนแล้วนะ จะเอาแต่เล่นสนุกแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ ต้องตั้งใจเรียนด้วยนะรู้ไหม” คุณยายเรเชียกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยน เธอนั้นรู้สึกว่าหลานสาวของเธอนั้นโตมากพอแล้วที่จะเข้ารับการศึกษาแม้ในใจของหลานสาวจะยังไม่อยากไปโรงเรียนนักก็ตามที“หนูไม่อยากไปโรงเรียนเลยโตขึ้นหนูก็ว่าจะทำงานในสวนแบบเดียวกับที่พี่โจชัวทำหนูอยากจะปลูกแอปเปิ้ลให้ได้เยอะๆแล้วเอาไปขายที่ตลาดมากกว่าไปเรียนหนังสืออีกนะคะ” เรเชลกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูไม่พอใจนักเมื่อรู้ว่าปีหน้าเวลาเล่นสนุกของเธอนั้นจะเหลือน้อยลงท่าทางของเธอนั้นทำให้โจชัวยิ้มออกมาเล็กน้อย“เรเชลถ้าเกิดว่าเธอได้ไปที่โรงเรียน เธอก็จะได้พบกับเพื่อนใหม่และมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นมากมายไปเถอะ โรงเรียนน่ะเป็นสิ่งที่ดีมากเลยนะ” โจชัวกล่าวขึ้นเสริมเพื่อชักจูงเรเชลให้คล้อยตาม เรเชลเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ถามโจชัวกลับทันทีว่า “พี่โจชัวเคยไปโรงเรียนหรอคะที่นั่นสนุกใช่ไหม ?” คำถามของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้โจชัวนั้นถึงกับสะอึกและนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง มนุษย์เทียมแบบเขานั้นไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าโรงเรียนแบบคนปกติทั่วไปอยู่แล้ว ในช่วงเวลาที่เขาเป็นเด็กอันแสนสั้น เขานั้นต้องฝึกใช้อาวุธในการลอบสังหารนานาชนิด กลิ่นคาวเลือดและความทรมานคือความทรงจำในวัยเด็กอันแสนสั้นของเขา “..........” โจชัวนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรสีหน้าของเขานั้นรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย คุณยายเรเชียเมื่อเห็นท่าทางของโจชัวเป็นเช่นนั้นเธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที“ที่โรงเรียนหลานจะได้พบกับเพื่อนมากมายเลยล่ะรับรองว่าต้องสนุกแน่ๆ ลองไปเถอะแล้วหลานจะชอบโรงเรียนนะ” คุณยายเรเชียกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยนกับหลานสาวของเธอ คุณยายนั้นรู้ดีว่าโจชัวนั้นเป็นใครมาจากไหนและทำอะไรมาก่อนหน้านี้รวมทั้งเวลาชีวิตที่เขาเหลืออยู่นั้นอาจจะน้อยกว่าเธอเสียด้วยซ้ำเรื่องนั้นเธอก็รู้ดี เพราะว่าลูกชายของคุณยายนั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์กรที่โจชัวนั้นทำงานอยู่นั่นเอง เรเชลเมื่อได้ยินคุณยายของเธอกล่าวเช่นนั้นเธอก็รู้สึกตื่นเต้นกับการที่จะได้ไปโรงเรียนขึ้นมาอยู่เหมือนกันเธอจึงตอบตกลงที่จะไปเรียนชั้นประถมในปีหน้าหลังจากนั้นทั้งสามคนก็ลงมือทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยซึ่งเป็นบรรยากาศอันแสนคุ้นเคยของบ้านหลังนี้ภายในคืนวันนั้น โจชัวนั้นนอนไม่หลับเขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองนั้นเริ่มมีอาการผิด ปกติอวัยวะภายในของเขาเริ่มที่จะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนกับแต่ก่อนร่างกายของเขานั้นก็เริ่มที่จะอ่อนล้าลงเรื่อยๆ เหมือนกับว่ามันกำลังเข้าสู่วัยชราทั้งทั้งที่เขามีชีวิตมาเพียงแค่ 5 ปีกับอีก 11 เดือนเท่านั้น ภายในใจของเขานั้นก็รู้สึกเหี่ยวแห้งและพร้อมที่จะตายไปทุกทีตามระยะเวลาชีวิตที่เขาเหลืออยู่เขานั้นอยากที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่อย่างนี้ต่ออีกนานแสนนานแต่เขารู้ดีว่าตัวของเขานั้นไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ ความโศกาความอาดูรที่ผสมปนเปอยู่ในจิตใจของเขานั้นเป็นเหมือนกับเครื่องขับกล่อมให้เขาหลับตาลงและจมลงสู่ความฝันในความฝันนั้นโจชัวกำลังเดินอยู่บนถนนทางกำลังจะไปสวนแอปเปิ้ลซึ่งเขาทำงานอยู่สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยต้นหญ้าสีเขียวชอุ่มบรรยากาศที่ดูแสนสงบสายลมที่แผ่วเบาและเย็นสดชื่นพัดเข้ามาปะทะกับร่างกายของเขามันช่างเป็นบรรยากาศที่เขาชื่นชอบเสียเหลือเกินแต่ในความฝันนั้นกลับมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไป “พี่โจชัวร์ !!” เสียงของเรเชลที่ร่าเริงสดใสดังขึ้นมาในความฝันของโจชัวเขานั้นหันหน้าไปหาเรเชลซึ่งเป็นต้นเสียงภายในความฝันทันที แต่ในความฝันของเขานั้นเรเชลกลับสวมชุดนักเรียนของโรงเรียนชั้นประถมที่เธอกำลังจะเข้าไปเรียนในปีหน้าภาพที่เห็นตรงหน้าสร้างความแปลกใจให้กับโจชัวเป็นอย่างมากเนื่องจากว่าระยะเวลาชีวิตของเขาที่เหลืออยู่นั้นน่าจะไม่มากพอที่จะได้เห็นเธอเข้าเรียนในชั้นประถมด้วยซ้ำไปภายในความฝันเรเชลได้มาบอกเล่าถึงประสบการณ์ในการไปโรงเรียนครั้งแรกให้กับโจชัวได้ฟังอย่างสนุกสนาน เธอได้พบกับเพื่อนใหม่ที่มีทั้งดีและไม่ดี มีคนที่เล่นกับเธออย่างเป็นมิตรและคนที่คอยรังแกเธออยู่บ้างบางคน โจชัวในความฝันตั้งใจฟังเรื่องราวที่เด็กหญิงตัวน้อยเล่าออกมาอย่างรู้สึกสนุกสนาน ภายในใจของโจชัวนั้นเกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันเป็นความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่เขาไม่เคยรู้สึกมากก่อนความรู้สึกที่ว่า“ผมยังไม่อยากตาย” ผมยังอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ผมยังไม่อยากที่จะตายตอนนี้ ผมอยากที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเรเชลต่อไปอีกสักหน่อย ผมอยากจะเห็นเธอเข้าโรงเรียน ผมอยากจะเห็นเธอเติบโตขึ้น ผมอยากจะเห็นเธอสามารถที่จะพึ่งพาตัวเองได้ ผมยังไม่อยากจะจากเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ไปตอนนี้เลย ผมยังไม่อยากตายหลังจากที่ความคิดนั้นปรากฏขึ้นมาภายในห้วงคะนึงของโจชัว เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีในเวลากลางดึกหลังจากนั้นเขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรง ในคราวนี้มีเลือดจำนวนมากไหลปนออกมากับของเหลวที่ซึ่งออกมาจากลำคอและปอดของเขา ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกายของโจชัวอย่างไม่สามารถจะควบคุมได้เหมือนกับว่าร่างกายของเขานั้นจะแหลกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย“ผมยังไม่อยากตาย !! ผมต้องการชีวิต !! ผมต้องการเวลามากกว่านี้ ผมยินดีที่จะทำทุกอย่าง !!” โจชัว กล่าวขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ในแววตาของเขานั้นไม่ใช่คนที่หมดอะไรตายอยากและจมอยู่กับความโศกเศร้าอีกต่อไป ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความหวังและเป็นประกายของความพยายามออกมาอย่างรุนแรงร้านขายของเก่า Memories Garden วันนี้อาเธอร์ก็ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะไม้ตัวโปรดของเขาเช่นเดิม ภายในวันนี้ร้านขายของเก่านั้นไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของร้าน Memories Garden แห่งนี้อยู่แล้ว ในระหว่างที่อาเธอร์นั้นดื่มด่ำไปกับเรื่องราวที่เขาได้อ่านในหนังสืออย่างเพลิดเพลิน เสียงของกระดิ่งทองเหลืองซึ่งติดเอาไว้ที่ประตูไม้ของร้านก็ดังขึ้น วันนี้ดูเหมือนว่าจะมีลูกค้าเข้ามาเยือนร้านขายของเก่าแห่งนี้ซะแล้ว อาเธอร์ปิดหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่ลงอย่างช้าๆและนุ่มนวลก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นไปมองทางหน้าประตูของร้าน ประตูไม้สีน้ำตาลบานใหญ่ไม่ค่อยๆถูกเลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆผู้ที่เป็นคนเปิดมันก็คือชายหนุ่ม ที่มองดูภายนอกวัยประมาณ 20 ปี ส่วนสูงของเขาอยู่ที่ 170 cm กว่าๆ เส้นผมของเขาสั้นและมีสีดำสนิทผิวของเขาเป็นสีขาวสะอาดสะอ้านท่าทางของเขานั้นดูเหนื่อยและอ่อนล้าแต่ในแววตาของเขานั้นเปลี่ยนไปด้วยความมุ่งมั่นผู้ที่เปิดประตูของร้าน Memories Garden เข้ามาก็คือโจชัวนั่นเอง “สวัสดีครับยินดีต้อนรับสู่ร้านขายของเก่า Memories Garden มีอะไรให้รับใช้ครับ” อาเธอร์กล่าวคำทักทายขึ้นเพื่อต้อนรับลูกค้าของเขาอย่างที่เขาเคยทำมาตลอดก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างเป็นงานเป็นการและลุกขึ้นจากโต๊ะไม้ที่เขานั่งอ่านหนังสืออยู่เดินตรงไปยังโจชัวซึ่งเดินเข้ามาหาเขาอย่างไม่สนใจของเก่ามากมายที่วางเรียงรายอยู่ในร้านเลยแม้แต่น้อย“ผมได้ยินมาว่าที่ร้านขายของเก่าแห่งนี้สามารถที่จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริงได้ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่ว่าก็ต้องจ่ายไปด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดใช่ไหมครับ ?” โจชัวกล่าวถามอาเธอร์ขึ้นอย่างตรงไปตรงมา คำถามของเขานั้นทำให้ดวงตาของอาเธอร์นั้นเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความรู้สึกตกใจและยินดี ในวันนี้เขามีลูกค้าพิเศษมาอีกคนแล้ว“ผมไม่รู้หรอกนะว่านายไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน แต่ว่าถูกต้องแล้วครับร้านของเราเป็นร้านที่สามารถจะทำให้ความปรารถนาของมนุษย์เป็นจริงได้ไม่ว่าคุณจะปรารถนาอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าคุณจ่ายสิ่งที่มีค่าที่สุดของคุณมา ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการที่จะใช้บริการของเราอย่างนั้นหรือครับ” อาเธอร์ถามขึ้นมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ โจชัวเมื่อได้ยินอาเธอร์ถามเช่นนั้นเขาก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ ก่อนที่อาเธอร์จะนำทางโจชัวไปยังประตูซึ่งไปสู่คลังเก็บอุปกรณ์ต้องสาปซึ่งอยู่ด้านหลังร้าน แต่ในระหว่างที่พวกเขาทั้งสองคนนั้นกำลังจะเดินไปยังคลังเก็บอุปกรณ์ต้องคำสาป ฟรานเชสก้าก็มาส่งเสียงกระซิบที่ข้างหูของอาเธอร์ว่า“นี่ๆ อาเธอร์ๆ ดูเหมือนว่าลูกค้าคนนี้จะไม่ใช่มนุษย์นะ ถึงเขาจะมีร่างกายเหมือนกับมนุษย์ก็เถอะแต่ความรู้สึกที่บ่งบอกว่าเขาเป็นมนุษย์รู้สึกว่าจะผิดแปลกไปจากคนธรรมดาทั่วไปยังไงก็ไม่รู้สิ” อาเธอร์เมื่อได้ยินฟรานเชสก้ากล่าวขึ้นเช่นนั้นเขาก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเมื่อมองจากภายนอกแล้วไม่ได้มีความแตกต่างอะไรไปจากชายหนุ่มธรรมดาทั่วไปเลย “โฮ่…..ฟังดูน่าสนใจดีนะครับ ฟรานเชสก้าเธอลองใช้ความสามารถพิเศษของเธอมองดูในความทรงจำของเขาดูหน่อยสิ เพราะว่ายังไงเราก็ต้องขอสิ่งที่มีค่าที่สุดของเขาเป็นค่าตอบแทนอยู่แล้วนี่นา” อาเธอร์กล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบาเพื่อบอกกับฟรานเชสก้า ฟรานเชสก้าเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็เงียบเสียงไปครู่นึงก่อนที่เสียงของเธอจะดังกระซิบขึ้นมาบอกอาเธอร์อีกครั้ง ฟรานเชสก้าได้บอกประวัติของโจชัวอย่างละเอียดจากการเข้าไปมองในความทรงจำของเขา และบอกถึงสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดให้กับอาเธอร์ได้รับรู้ หลังจากนั้นอาเธอร์และโจชัวก็มาถึงด้านห้องเก็บอุปกรณ์ต้องคำสาป ภายในห้องเก็บอุปกรณ์ต้องคำสาป “ทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้คืออุปกรณ์ต้องคำสาปทั้งหมดเลยหรือครับ ?” เมื่อมาถึงในห้องเก็บอุปกรณ์ โจชัวถูกเชิญให้นั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งอยู่บริเวณกลางห้อง ในตอนนั้นโจชัวมองไปรอบๆและกล่าวขึ้นในขณะที่เขามองไปรอบๆห้องซึ่งเรียงรายไปด้วยอุปกรณ์หลากหลายชนิดวางอยู่บนชั้นไม้ อาเธอร์ได้ยินคำถามของเขาอย่างชัดเจนแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้กับโจชัวแต่อย่างใดเขาตรงเข้าไปหยิบอุปกรณ์ต้องคำสาปซึ่งวางอยู่บนชั้นมายื่นให้กับโจชัว โจชัวนั้นเกิดความสงสัยที่อาเธอร์นั้นไปหยิบอุปกรณ์ต้องคำสาปมาโดยที่ไม่ทันได้ถามความปรารถนาของเขาเลย โจชัวจึงกล่าวกับอาเธอร์ว่า“คุณเจ้าของร้านจะไม่ถามผมหน่อยเหรอครับว่าความปรารถนาของผมคืออะไร ?” อาเธอร์เมื่อได้ยินโจชัวร์ถามเช่นนั้น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์และหัวเราะออกมาเล็กๆในลำคอก่อนที่จะตอบกลับไปว่า “ไม่จำเป็นหรอกครับผมรู้ว่าคุณปรารถนาที่จะมีชีวิตยืนยาวกว่านี้เพราะว่าแค่มองลักษณะของคุณก็รู้แล้วว่าคุณกำลังจะตายความปรารถนาของคุณมันเขียนเอาไว้บนใบหน้าของคุณตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านแล้วล่ะครับ” อาเธอร์กล่าวตอบคำถามที่ 2 ของโจชัวในขณะที่เขากำลังหยิบค้นอุปกรณ์ต้องคำสาปซึ่งวางเรียงรายอยู่บนชั้นและในที่สุดเขาก็เดินกลับมาหาโจชัวที่นั่งคอยเขาอยู่ อาเธอร์หยิบกล่องไม้มา 1 ใบมันเป็นกล่องไม้ที่ทำมาจากไม้สนเนื้อแดง สีน้ำตาลแดงเข้มที่ถูกขัดมันอย่างสวยงาม ที่ด้านหน้ากล่องฉลุลายรูปดอกกุหลาบและมีเถาของกุหลาบซึ่งมีหนามแหลมถูกสลักเอาไว้ทั่วกล่อง อาเธอร์ยื่นกล่องใบนั้นให้กับโจชัวอย่างช้าๆ โจชัวรับกล่องใบนั้นไปทันทีที่นิ้วของเขาได้สัมผัสกับกล่องร่างกายของเขาก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก“เปิดกล่องนั่นดูสิครับ” อาเธอร์กล่าวขึ้นอย่างราบเรียบพลางมองไปที่กล่องไม้สีแดงที่สลักลายกุหลาบซึ่งอยู่ในมือของโจชัว โจชัวเมื่อได้ยินอาเธอร์พูดเช่นนั้นเขาก็ค่อยๆใช้มือของเขาเลื่อนส่วนฝาของกล่องไม้เปิดออกอย่างระมัดระวังภายในกล่องนั้น มีแหวนวงหนึ่งวางอยู่ด้านในมันถูกรองด้วยผ้ากำมะหยี่และนุ่นเป็นชั้นๆ“นี่คือแหวนกุหลาบดำ มันเป็นแหวนที่เป็นอุปกรณ์ต้องคำสาปที่ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยโบราณโดยแม่มดคนหนึ่ง นางปรารถนาที่จะมีชีวิตเป็นอมตะนางจึงได้สร้างแหวนวงนี้ขึ้นมาพร้อมกับผนึกเวทมนตร์ต้องคำสาปแห่งพันธสัญญาลงไปในแหวนวงนี้ ผู้ใดก็ตามที่สวมแหวนวงนี้จะต้องถูกดูดพลังชีวิตไปมอบให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของแหวน เมื่อครั้งในอดีตนางบังคับให้เหล่าบริวารของนางสวมแหวนวงนี้และมอบพลังชีวิตให้กับนางทำให้นางมีชีวิตอยู่ยืนยาวได้โดยที่ยังคงความสาวเอาไว้ และในตอนนี้คุณลูกค้าคือเจ้าของของแหวนวงนี้แล้วครับ” โจชัวมองแหวนกุหลาบดำภายในแววตาของเขายามที่มองแหวนวงนี้นั้นดูเลื่อนลอยราวกับว่ากำลังถูกพลังลึกลับบางอย่างของมันดึงดูดให้คล้อยตาม“ฟังดูน่าสนใจนะครับคำสาปของมันคืออะไร ?” โจชัวรู้ดีว่าอุปกรณ์ทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องนี้ล้วนให้คุณและให้โทษแตกต่างกันไป คุณของแหวนกุหลาบดำก็คือสามารถที่จะแลกเปลี่ยนพลังชีวิตระหว่างผู้ที่ครอบครองมันและผู้ที่สวมใส่มันได้และโทษของมันคืออะไรนั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้“วิญญาณ ประสาทสัมผัส และความเจ็บปวดของผู้ที่เป็นเจ้าของและผู้ที่ใส่อยู่จะเชื่อมหากันครับ แต่จะเป็นไปในลักษณะของการรับฝ่ายเดียว ก็คือไม่ว่าผู้ที่ครอบครองมันจะบาดเจ็บขนาดไหนก็ตามบาดแผลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังผู้ที่สวมใส่ครับ” โจชัวเมื่อได้ยินสิ่งที่อาเธอร์กล่าวขึ้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นจนขนลุกเล็กน้อย แต่ว่าคำสาปของแหวนวงนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยส่งผลอะไรกับชีวิตประจำวันของเขาเท่าไหร่เพราะตอนนี้เขาเลิกทำงานเป็นมือสังหารแล้วอัตราการเสี่ยงอันตรายก็แทบจะเป็นศูนย์“แล้วสิ่งที่ผมจะต้องจ่ายเพื่อแลกกับมันล่ะครับ ?” โจชัวกล่าวถึงประเด็นหลักนั่นคือค่าตอบแทนที่เขาจะต้องจ่ายให้กับอาเธอร์ซึ่งนั่นจะต้องเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดสำหรับเขา หลังจากที่เขาถามโจชัวก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากแววตาของอาเธอร์ที่จับจ้องมายังเขา“คำสัญญายังไงล่ะครับ คุณจะไม่สามารถนำแหวนวงนี้ให้กับคนอื่นใส่ได้นอกจากคนเพียงคนเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ เรเชล หลานสาวของคุณยายเรเชียที่ดูแลคุณอยู่นั่นแหละ !!” ค่าตอบแทนที่อาเธอร์เรียกร้องทำให้โจโชว์ถึงกับขนลุก เขาจะต้องนำแหวนต้องคำสาปวงนี้ไปสวมใส่ให้กับเรเชล เพื่อที่จะดูดเอาพลังชีวิตของเธอมาทำให้ตัวเขาอยู่รอดต่อไปและไม่สามารถจะนำแหวนนี้ไปใส่ให้กับคนอื่นได้ ทันทีที่ได้ยินดังนั้นโจชัวก็คิดในใจว่า “เพื่อที่ผมจะมีชีวิตอยู่กับเธอต่อไปได้ผมต้องอาศัยเวลาชีวิตของเธออย่างนั้นหรือนี่…..เรเชล แต่ว่า…..ผมอยากที่จะอยู่กับเธอจริงๆ ผมอยากที่จะเห็นเธอเติบโตขึ้นผมอยากที่จะอยู่เคียงข้างเธอได้โปรดยกโทษให้กับความเห็นแก่ตัวของผมด้วยเถอะ…….เรเชล“ โจชัวคิดในใจถึงสิ่งที่เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับแหวนกุหลาบดำและอาเธอร์ในที่สุดเขาก็ตกลงใจได้ว่า“ตกลงครับคุณเจ้าของร้านผมยินดีรับข้อเสนอ !!” โจชัวตอบตกลงกับอาเธอร์ไปด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจแม่ในแววตาของเขานั้นจากแฝงไปด้วยความรู้สึกที่สมเพชตัวเองอยู่ก็ตามที อาเธอร์เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า “แหวนวงนั้นเป็นของคุณแล้วครับ ขอบคุณที่ใช้บริการ ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะเลิกใช้แหวนแห่งคำสาปนี้เมื่อไหร่กรุณาติดต่อที่ผมอีกครั้งหนึ่งผมจะไปนำแหวนวงนี้คืนมา” อาเธอร์กล่าวตอบกับโจชัวว่าการแลกเปลี่ยนของพวกเขาทั้งสองคนนั้นสิ้นสุดลงแล้ว โจชัวรับแหวนกุหลาบสีดำซึ่งเป็นอุปกรณ์ต้องคำสาปไปจากร้านของอาเธอร์และมุ่งตรงกับไปที่บ้านของเขาซึ่งอยู่ชานเมืองเพื่อตรงกับไปหาเรเชลทันทีภายในเย็นวันนั้น โจชัวเรียกเรเชลให้เข้าไปหาเขาเพียงลำพังโดยที่เขาบอกกับเธอว่าเขามีของขวัญฉลองในโอกาสที่เธอจะได้เข้าเรียนปีหน้ามอบให้กับเธอ โจชัวนำแหวนกุหลาบสีดำซึ่งได้รับมาสวมเข้าที่นิ้วชี้ข้างซ้ายของเรเชล เรเชลนั้นเป็นเด็กหญิงที่ไร้เดียงสา เธอนั้นรู้สึกชอบใจกับแหวนกุหลาบสีดำนี้มากมันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่โจชัวมอบให้กับเธอ เธอยิ้มออกมาอยากยินดีในขณะที่โจชัวยิ้มตอบกลับเธออยากแห้งๆ“ขอบคุณมากนะคะพี่โจชัว แหวนวงนี้สวยมากเลยหนูจะใส่มันไว้ตลอดเลยล่ะค่ะและจะรักษามันไว้อย่างดีหนูสัญญา !!” เรเชลกล่าวออกมายิ้มด้วยความยินดี ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและคำกล่าวของเธอเปรียบเหมือนกับคมหอกที่เสียดแทงเข้าไปยังจิตใจของโจชัวทำให้จิตใจของเขานั้นปวดร้าวจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา เด็กน้อยที่ไร้เดียงสาคนนี้ไม่รู้เลยว่าเธอกำลังถูกทำร้ายโดยผู้ชายคนที่เธอคิดว่าเป็นคนดีของเธอ“ไม่เป็นไรหรอกบังเอิญว่าพี่ไปได้แหวนนั้นมาและมันดูเหมาะกับเรเชลมากเลยละนะ” โจชัวกล่าวขึ้นกลบเกลื่อนที่มาของแหวนแต่ดูเหมือนว่าเรเชลจะไม่ได้สนใจจุดนั้นเลยแม้แต่น้อยเธอกล่าวขอบคุณโจชัวและออกไปวิ่งเล่นตามปกติเหมือนอย่างที่เธอเคยทำหลังจากที่เรเชลใส่แหวนกุหลาบดำเข้าไปเรียบร้อยแล้วโดยรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตของเขากลับมาเอ่อล้นเหมือนเดิม ร่างกายของเขาจากที่เคยเจ็บปวดตอนนี้กลับหายไปเป็นปลิดทิ้งกำลังวังชาของเขานั้นกลับมาเหมือนกับตอนที่เขาเริ่มทำงานเป็นมือสังหารใหม่ๆ“จากนี้ไปผมจะขอช่วงชิงชีวิตของเธอไปสัก 10 ปีก็แล้วกันนะเรเชล ขอโทษในความเห็นแก่ตัวของผมด้วย….” โจชัวมองตามหลังเด็กหญิงซึ่งกำลังวิ่งจากไปด้วยท่าทางที่ดูยินดีในเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่เธอได้รับจากเขา 1 เดือนผ่านไปโจชัวเข้าไปทำงานยังสวนแอปเปิ้ลตามปกติ กำลังวังชาของเขากลับมาแข็งแรงดีร่างกายของเขานั้นก็ปราศจากอาการเจ็บปวดใดๆ เขาสามารถที่จะทำงานหนักได้โดยที่ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยเหมือนกับตอนที่เขาสภาพเต็มร้อย ทุกวันเขาจะรีบกลับไปที่บ้านเพื่อไปหาคุณยายเรเชียและหลานสาวของเธอเรเชล พร้อมกับทานของว่างในช่วงบ่ายวันเวลาอันแสนสงบสุขผ่านไปล่วงเลยเป็นเวลา 1 เดือนโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เรเชลนั้นไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร โจชัวนั้นรู้สึกวางใจในสิ่งที่เกิดขึ้นและเชื่อว่าการตัดสินใจของเขานั้นถูกต้องที่ไปแลกเปลี่ยนสัญญากับอาเธอร์ที่ร้าน Memories Garden เวลาผ่านไปอีก 3 สัปดาห์ในเช้าวันหนึ่ง เรเชลรู้สึกไม่สบายจากเด็กหญิงที่เคยร่าเริงสดใสตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะป่วย โดยที่อุณหภูมิของเธอนั้นสูงขึ้นเหมือนกับว่าเธอนั้นเป็นไข้หวัดทั้งๆที่ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ โจชัวนั้นไม่ได้คิดอะไรมากคิดว่าเธอคงจะไปเล่นซนมากไปจนกระทั่งเหนื่อยและล้มป่วยเท่านั้น เขาก็ออกไปทำงานที่สวนแอปเปิ้ลตามปกติ “พี่โจชัวจะออกไปทำงานแล้วหรือคะ ?” เรเชลพยายามฝืนอาการเวียนหัวเพราะอุณหภูมิร่างกายขึ้นสูงเดินมาที่หน้าประตูเพื่อจะพบกับโจชัวในตอนที่เขากำลังจะแต่งตัวออกไปทำงาน โจชัวเมื่อเห็นเธอเดินออกมาหาเขาที่ด้านหน้าประตูบ้านเขาจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า“ใช่แล้วล่ะวันนี้พี่มีงานในสวนไว้ทำงานเสร็จแล้วจะรีบกลับมานะ เรเชลเป็นเด็กดีนอนพักอยู่ที่บ้านนะสักพักนึงเดี๋ยวไข้หวัดก็จะหายแล้วล่ะ” โจชัวกล่าวขึ้นพร้อมกับใช้มือลูบไปที่ศีรษะของเธอแต่ทันทีที่มือของเขานั้นได้สัมผัสกับศีรษะของเรเชล โจชัวนั้นก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาดเรเชลนั้นอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นคนที่เป็นไข้หวัด เขารู้สึกว่าพลังชีวิตของเธอนั้นเหมือนจะเหือดแห้งลงไปมากทีเดียว“พี่โจชัววันนี้ไม่ต้องออกไปทำงานได้ไหม ? อยู่กับหนูได้ไหม ? หนูอยากจะให้พี่ดูแลหนูอยู่ที่บ้าน” เรเชลกล่าวร้องขอโจชัวร์ให้ช่วยพยาบาลเธอด้วยสายตาที่ออดอ้อน โจชัวนั้นได้แต่ยิ้มบางๆบนใบหน้าก่อนที่จะกล่าวว่า“แล้วพี่จะรีบกลับมาไม่ต้องเป็นห่วงนะ เรเชลนอนพักซะเถอะ” โจชัวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วสีหน้าของเขาในตอนนี้ไม่เหมือนกับคนที่มีกะจิตกะใจจะไปทำงานเลยแม้แต่น้อย โจชัววันนี้ไม่ได้ไปทำงานที่สวนเหมือนอย่างที่เขาได้บอกกับเธอ แต่ว่าโจชัวนั้นกับมุ่งตรงไปยังร้าน Memories Garden เพื่อที่จะไปหาอาเธอร์และทำคำถามที่เขาคาใจอีกครั้ง ร้าน Memories Garden “เจ้าของร้านตอบกลับผมมาเดี๋ยวนี้นะ !! แหวนต้องคำสาปที่คุณให้ผมมา ทำไมมันถึงได้ส่งผลขนาดนี้ เรเชล…..พลังชีวิตของเธอแทบจะไม่เหลือแล้ว เธอกำลังจะตายมันเป็นแบบนี้ได้ยังไงผมเพิ่งจะสวมแหวนให้กับเธอเพียงแค่ 1 เดือนกับอีก 3 สัปดาห์เท่านั้นเอง” โจชัวทันทีที่มาถึงร้านเขาก็ตรงเข้าไปหาอาเธอร์และถามคำถามกับอาเธอร์ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจและโกรธเกรี้ยว อาเธอร์เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นและท่าทางของโจชัวเขาก็มีสีหน้าที่เรียบเฉยก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า“อัตราการแลกเปลี่ยนพลังชีวิตของแหวนกุหลาบดำอยู่ที่ผู้ที่เป็นเหยื่อสวมแหวนจะต้องเสียชีวิต 50 ปีในขณะที่เจ้าของของมันจะได้พลังชีวิตเพิ่มมาเท่ากับ 1 เดือน นายคิดว่าอัตราการแลกเปลี่ยนมันเท่ากับ 1 ตอน 1 แฟร์ๆแต่แรกหรือยังไงกัน ? อุปกรณ์ต้องสาปมันไม่ได้เป็นของที่ดีขนาดนั้นหรอกนะครับ !?” คำตอบของอาเธอร์นั้นทำให้โจชัวตกตะลึงจนถึงกับเข่าทรุด “1 เดือนของชีวิตผมเท่ากับ 50 ปีของชีวิตเธอ !!! นี่มันไม่จริงใช่ไหม ?!?” โจชัวกล่าวขึ้นซ้ำด้วยความตกใจ เขาไม่นึกว่าอัตราการแลกเปลี่ยนของอุปกรณ์ต้องสาปนั้นจะมากถึงเพียงนี้ นั่นหมายความว่าเวลาที่เขาใช้ไปหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตของเรเชลเลยทีเดียว “ไอ้เจ้าคนชั่ว !! แกหลอกชั้น !! แกทำให้เรเชลกำลังจะตาย !! ชดใช้ชีวิตของเธอมาซะ” หลังจากที่ได้รับรู้ความจริง โจชัวนั้นโกรธจัดเป็นอย่างมากเขาตรงเข้าไปหยิบดาบ saber ของทหารม้าโบราณซึ่งเป็นของตกแต่งภายในร้านขึ้นมาเปลือยฝัก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวัตถุโบราณแต่ยังไงดาบก็คือดาบอยู่ดี ความคมของมันนั้นยังคงอยู่ โจชัวนำดาบเล่มนั้นไปจ่อที่ลำคอของอาเธอร์พร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า“จงทำให้เรเชลกลับมาเป็นปกติเดี๋ยวนี้ !! ไม่อย่างนั้นผมจะฆ่าคุณ !!” โจชัวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูโกรธจัดและคุ้มคลั่ง สติของเขานั้นขาดสะบั้นลงเหลือเพียงแค่ความโกรธเกลียดถาโถมเข้าใส่อาเธอร์ซึ่งอยู่เบื้องหน้า แววตาของเขานั้นฉายแววของมือสังหารซึ่งเขาเคยเป็นในอดีตออกมาอย่างชัดเจน แต่ว่าอาเธอร์เมื่อได้เห็นท่าทางแบบนั้นของโจชัว เขาไม่ได้มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขากลับแสยะยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกที่สมเพชเวทนา ก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดุดันและเยือกเย็นว่า“ผมเป็นคนชั่วอย่างนั้นเหรอ ? อย่ามาพูดบ้าๆน่ะ !! คนที่เดินเข้ามาในร้านนี้เพื่อนำแหวนวงนั้นกลับไปให้กับสาวน้อยคนนั้นก็คือคุณ ! คนที่เป็นคนให้แหวนวงนั้นกับสาวน้อยคนนั้นก็คือคุณ !! และคนที่ช่วงชิงชีวิตมาจากสาวน้อยคนนั้นก็คือตัวของคุณเอง !!! ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียวความโลภ ความปรารถนาที่ต้องการจะอยู่กับเธอต่างหากที่เผาผลาญชีวิตของเธอจนไหม้เป็นจุล ความปรารถนาของคุณเองยังไงล่ะ !!!” อาเธอร์กล่าวขึ้นมาอย่างตรงจุด คำพูดของเขานั้นทำให้โจชัวร์ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว ใช่แล้วสิ่งที่อาเธอร์พูดออกมานั้นไม่มีอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย คนที่เป็นต้นเหตุให้เรเชลกลายเป็นแบบนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนโจชัวเขาคือคนที่ทำให้เธอกลายเป็นแบบนั้นเอง “สาวน้อยคนนั้นดูเหมือนว่าจะมีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณ 2 วันก่อนที่เธอจะหมดลมหายใจ คุณมาอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ กลับไปหาเธอซะและใช้เวลาที่เหลืออยู่ร่วมกับเธอให้นานที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ นี่คือสิ่งเดียวที่คุณทำได้ ไปซะเดี๋ยวนี้ !!” อาเธอร์กล่าวขึ้นกับโจชัวที่กำลังสับสนด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและดุดัน คำพูดของเขานั้นสามารถจะเสียดแทงเข้าไปในจิตใจที่อ่อนล้าของโจชัวได้อย่างรุนแรง โจชัวลดดาบในมือลงและเก็บมันเข้าฝักก่อนที่เขาจะนำมันวางกับไว้ที่เดิมและเดินออกจากร้านขายของเก่าของาเธอร์ไปด้วยสภาพคนที่จิตใจแหลกสลาย “อ่า……..มันจบแล้วสินะ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงเพราะความโลภของผมเอง ไม่ใช่แค่ชีวิตของผมจะต้องสูญเสียไปแม้แต่กระทั่งชีวิตของเรเชลผมก็ช่วงชิงมันมาด้วย นี่คือจุดจบของคนโง่สินะจุดจบของคนที่ไม่รู้จักพอที่อยากจะได้สิ่งที่ตัวเองไม่ควรจะได้รับ…...” โจชัวได้แต่ครุ่นคิดและกล่าวโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาที่เขาเดินทางกลับไปที่บ้าน เขานั้นแทบจะไม่มีหน้าไปสู้กับเรเชลซึ่งคอยการกลับไปของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเท้าทั้งสองข้างของเขาก็พาเขาเดินกลับมาสู่บ้านโดยที่เขานั้นไม่ได้ตั้งใจทันทีที่โจชัวเปิดประตูบ้าน “กลับมาแล้วเหรอคะ พี่โจชัววันนี้กลับมาเร็วจังเลย” เรเชลเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเธอก็เดินลงมาจากห้องนอนเพราะเธอรู้ว่าเขานั้นจะต้องกลับมาแม้จะไม่ใช่เวลาเลิกงานก็ตามทีเธอเดินตรงเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางที่ดูดีใจ ก่อนที่เธอจะตรงเข้าไปกอดที่แขนของเขาด้วยท่าทางที่ดูออดอ้อน“เรเชล…….ผมมีเรื่องที่อยากจะบอกกับเธอ…...” โจชัวนั้นรู้สึกผิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าความใสซื่อของเรเชลเขาไม่อาจที่จะปฏิเสธความคิดของเขาที่ทำกับเธอไว้ได้เลยเขาตัดสินใจที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับแหวนกุหลาบสีดำให้กับเธอได้ฟัง“พี่โจชัวมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือคะ ? สีหน้าพี่ดูไม่ดีเลยติดหวัดจากหนูไปอย่างนั้นเหรอ ?” เรเชลกล่าวถามกับโจชัวด้วยท่าทางที่ดูเป็นห่วงเป็นใย โจชัวนั้นร้องขอให้เธอไปคุยกับเขาที่สวนหลังบ้านเพียงลำพังภายในสวนสมุนไพรที่คุณยายเรเชียนั้นปลูกไว้ ดอกของต้นโรสแมรี่สีม่วงแกมน้ำเงินกำลังออกดอกกันบานสะพรั่งมันเป็นสีสันที่ดูสวยงามและหดหู่เข้ากับบรรยากาศของเรื่องที่โจชัวกำลังจะเล่าโจชัวเล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับแหวนกุหลาบสีดำที่เขารู้และเรื่องราวเกี่ยวกับร้านขายของเก่าของอาเธอร์ให้กับเรเชลได้ฟัง เรเชลเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเธอก็รู้ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กแต่ว่าคำพูดของโจชัวนั้นเธอก็สามารถจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี โจชัวนั้นคิดว่าเรเชลจะต้องโกรธเขาเป็นอย่างมากที่เขาทำแบบนั้นแต่แล้วสิ่งที่เด็กน้อยคนนี้แสดงออกมากับไม่ใช่ความโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว “พี่โจชัวอย่าเสียใจไปเลยค่ะ เพราะว่าพี่อยากจะอยู่กับหนูพี่ถึงได้ต้องทำแบบนี้ หนูไม่โกรธพี่หรอกนะ ถ้าหากว่าหนูจะต้องตายก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยในตอนนี้พี่โจชัวก็ยังมีชีวิตอยู่กับหนู พวกเรามีเวลาเหลือกันอยู่อีก 2 วันใช่ไหมเรามาเล่นกันเถอะเป็นครั้งสุด…..ท้าย……..” เรเชลกำลังที่จะพูดแบบนั้น เธอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปราศจากความโกรธเกลียดในตัวของเขา ท่าทางแบบนี้ของเรเชลทำให้โจชัวนั้นรู้สึกสมเพชตัวเองมากขึ้นไปอีกแต่ก่อนที่ เรเชละกล่าวจบร่างของเธอก็ฟุบล้มลงกับพื้นอุณหภูมิในร่างกายเธอสูงขึ้นกว่าเดิมพลังชีวิตของเธอนั้นเหือดแห้งจนแทบจะไม่เหลือ เรเชลหายใจรวยริน โจชัวรีบเข้าไปประคองร่างของเด็กน้อยก่อนที่เธอจะล้มลงไปที่พื้นเขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่ริบหรี่ของเธอ “เรเชล …… เรเชล…….” โจชัวส่งเสียงเรียก เรเชลด้วยท่าทางที่ดูแตกตื่นเมื่อเห็นเธออาการทรุดหนักลง เรเชลค่อยๆลืมตาขึ้นมามองใบหน้าของโจชัวด้วยท่าทางที่ดูโศกเศร้าและสงสารก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นมากับเขาว่า“พี่โจชัวช่วยพาหนูไปที่ร้านที่เขาบอกว่าจะช่วยทำให้ความปรารถนาเป็นจริงสักครั้งหนึ่งได้ไหมคะ หนูมีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะทำให้มันเป็นจริงอยู่…..” เรเชลกล่าวร้องขอให้โจชัวพาเธอไปยังร้าน Memories Garden โจชัวเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ส่ายศีรษะออกมาอย่างหนักแน่นก่อนที่จะกล่าวว่า “ไม่ได้หรอกร้านนั่นมีอุปกรณ์ต้องสาปที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นแบบนี้อยู่นะ !! ถ้าหากว่าเธอไปที่นั่นอีกแล้วก็แม้แต่กระทั่งชีวิตเธอที่เหลืออยู่ก็จะต้องเสียไปแน่...เรเชล ผมจะยอมให้เธอไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด” โจชัวปฏิเสธคำขอของเรเชลอย่างแข็งขันเขาคิดว่าร้านขายของเก่านั้นอันตรายเกิน อุปกรณ์ต้องคำสาปเพียงแค่ชิ้นเดียวก็ทำให้ชีวิตของพวกเขาทั้งคู่นั้นต้องจบลง ถ้าหากว่าเรเชลไปที่ร้านแห่งนั้นไม่รู้ว่าจะมีหายนะอะไรตามมาอีก แต่แล้วคำพูดของเธอก็ทำให้โจชัวนั้นคิดถึงคำพูดหนึ่งของอาเธอร์ขึ้นมา อาเธอร์นั้นเคยกล่าวว่าถ้าหากโจชัวไม่ต้องการที่จะใช้แหวนนี้แล้วเมื่อไหร่ให้รีบไปบอกกับเขาแล้วเขาจะมานำแหวนวงนี้คืนไป ถ้าหากว่าโจชัวนั้นไปขอร้องไห้อาเธอร์นำแหวนกลับคืนไปและทำให้ชีวิตของเรเชลกลับคืนมาได้สักหน่อยนึงก็ยังดีถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะต้องตายไปในวันนี้วินาทีนี้ก็ตาม“ขอบคุณมากนะเรเชล ตอนนี้พี่คิดหนทางอะไรบางอย่างที่จะทำให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแม้สักเพียงเล็กน้อยก็ยังดีได้แล้วล่ะ พี่จะไปที่ร้านนั้นอีกครั้ง แต่…..พวกเราอาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว ลาก่อนนะ…...เรเชล” คำพูดของโจชัวนั้นทำให้เรเชลรู้สึกได้ว่าเขาจะต้องจากเธอไปตลอดกาล เรเชลรีบพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ในขณะที่โจชัวนั้นกำลังจะเดินทางออกจากบ้านเพื่อตรงไปยังร้านขายของเก่า “รอเดี๋ยวก่อนคะพี่โจชัวร์ อย่าไปนะ !! ได้โปรด !! อย่าไป…..” แต่ในทันใดนั้นโจชัวกลับรีบออกเดินทางจากบ้านไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่เหลียวหลังกลับมามองเด็กน้อยคนนี้ที่ส่งเสียงเรียกเข้าอยู่เลยแม้แต่นิดเดียวร้าน Memories Garden โจชัวกลับมาที่ร้านอีกครั้งด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อนอาเธอร์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่กับการกลับมาของเขา นั่นก็เพราะว่าฟรานเชสก้าได้บอกกับเขาแล้วว่าโจชัวจะต้องกลับมาพบกับเขาอีกครั้ง และดูเหมือนว่าการคาดเดาของฟรานเชสก้านั้นจะค่อนข้างแม่นยำซะด้วย “คุณเจ้าของร้าน !! ได้โปรดเถอะช่วยทำให้ชีวิตของเรเชลกลับคืนมาเป็นอย่างเดิมทีผมยินดีที่จะต้องจ่ายทุกอย่างที่ผมมีไม่ว่าอะไรของผมอยากได้ก็เอาไปเลย !!” โจชัวกล่าวร้องขอกับอาเธอร์ด้วยท่าทางที่ดูอ้อนวอนและน่าสมเพชเวทนา อาเธอร์นั้นลุกขึ้นมาจากโต๊ะไม้และวางหนังสือที่เขาอ่านลงอย่างช้าๆก่อนที่จะเดินตรงไปยังโจชัวซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า“ขอโทษนะครับคุณลูกค้าแต่ว่าร้านของเรานั้นไม่เคยทำให้ความปรารถนาของคนๆหนึ่งเป็นจริงถึง 2 ครั้งได้หรอก อีกอย่างหนึ่งคุณในตอนนี้ไม่เหลือคุณค่าและสิ่งมีค่าอะไรอีกแล้ว คุณไม่สามารถจะแลกเปลี่ยนอะไรกับพวกผมได้อีกแล้วล่ะครับ….” อาเธอร์ตอบปฏิเสธคำขอของโจชัวไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและราบเรียบ แต่ว่าดูเหมือนว่าจะมีลูกค้าท่านอื่นที่เกี่ยวข้องกับคุณรออยู่ที่ร้านนะครับกรุณาไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์ต้องคำสาปกับผมหน่อยก็แล้วกันโจชัวนั้นรู้สึกตกใจมากที่อาเธอร์กล่าวขึ้นมาเช่นนั้น มีใครบางคนมาอยู่ที่ร้านแห่งนี้และมีความเกี่ยวข้องกับเขาอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ ? อาเธอร์นั้นเดินตรงไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ต้องคำสาปในขณะที่โจชัวนั้นเดินตามหลังเขาไปติดๆ ภายในห้องเก็บอุปกรณ์ต้องคำสาปนั้นโจชัวก็ต้องตกใจเมื่อเขาพบกับเรเชลกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงกลางห้องเขาจำได้ว่าเขารีบบึ่งออกมาจากบ้าน โดยที่ทิ้งเธอซึ่งสภาพร่างกายย่ำแย่เอาไว้ที่บ้านมันเป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะมาถึงที่ร้านขายของเก่าแห่งนี้โดยที่เธอไม่รู้จักทางก่อนหน้าเขาเสียอีก“เรเชล…..เป็นไปไม่ได้เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ?!?” โจชัวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ตกตะลึงแต่ว่าเรเชลนั้นกลับไม่ตอบคำถามของเขาเธอได้แต่ยื่นมือข้างที่เธอเคยสวมแหวนกุหลาบดำเอาไว้ให้กับเขาได้ดู“สาวน้อยคนนี้บอกว่าเธอต้องการจะคืนอุปกรณ์ต้องคำสาปนั้นให้กับผม ผมก็เลยต้องไปรับแหวนนั้นถึงที่บ้านของคุณ และทันทีที่ผมไปรับมันมาดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้จะต้องการเป็นลูกค้าของผมน่ะครับ ผมก็เลยพาเธอมาที่นี้ด้วย” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบ แต่ว่าคำอธิบายของเขานั้นมันขัดกับกฎความเป็นไปได้แทบจะทุกข้อ นั่นแสดงว่าเขาสามารถที่จะเดินทางเร็วกว่าโจชัวโดยที่เขาใช้เวลาทั้งไปทั้งกลับจากบ้านของโจชัวมาถึงที่ร้านของเขาในชั่วพริบตาอย่างนั้นหรือ ? แต่ดูเหมือนว่าคำถามนี้ของโจชัวจะไม่มีวันได้รับคำตอบ“เอาล่ะสาวน้อย !! โปรดบอกความปรารถนาของเธอที่ต้องการจะให้เป็นจริงขึ้นมาเถอะ” อาเธอร์กล่าวถามเรเชลว่าความปรารถนาของเธอคืออะไร ต่อหน้าโจชัวที่กำลังยืนมองเรเชลด้วยความตกตะลึง เรเชลนั้นร่างกายอ่อนแอมาก เธอค่อยๆฝืนกล่าวความปรารถนาของเธอให้กับอาเธอร์ได้ฟังด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า“หนูต้องการให้ความปรารถนาของพี่โจชัวเป็นจริง คุณเจ้าของร้านพอจะช่วยทำให้ความปรารถนาของหนูเป็นจริงได้ไหมคะ ?” เรเชลกล่าวบอกความปรารถนาของเธอให้กับอาเธอร์ได้รับรู้ โจชัวนั้นตกใจมากเมื่อได้ยินความปรารถนาของเรเชลเขาไม่นึกว่าเรเชลนั้นจะรักเขามากขนาดนั้น ถึงเขาจะรักเธอมากเพียงใดแต่ว่าเขาก็ไม่ได้หวังจะให้เรเชลนั้นตอบรับความปรารถนาของเขาตอบกลับมาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นคำตอบของเธอจึงเป็นสิ่งที่โจชัวนั้นรู้สึกยินดีและละอายต่อตนเองเป็นอย่างมาก “ไม่มีความปรารถนาใดที่ร้านของเราจะทำให้เป็นจริงไม่ได้ เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหาครับ” อาเธอร์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจและจริงจัง ก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูร่าเริงและยินดีหลังจากนั้นเขาก็เดินไปยังชั้นเก็บอุปกรณ์ต้องคำสาปเพื่อค้นหาอุปกรณ์ชิ้นที่เหมาะสมกับความปรารถนาของเธอ ความปรารถนาของโจชัวนั้นก็คือต้องการให้เรเชลกลับมามีชีวิตเป็นปกติเหมือนเดิม และความปรารถนาของเรเชลก็คือการทำให้ความปรารถนาของโจชัวหนังสมหวังนั่นเอง “ขอโทษที่ให้รอครับคุณลูกค้านี่คือสิ่งที่จะทำให้ความปรารถนาของคุณสมหวัง” อาเธอร์เดินกลับมาพร้อมกับขวด Crystal ใส ที่ถูกทำให้มีรูปเป็นรูปของนางฟ้าที่มีปีกเพียงข้างเดียว ภายในนั้นบรรจุของเหลวสีใสอยู่ภายในครึ่งขวด เรเชลมองขวดรูปนางฟ้าด้วยแววตาที่ดูสงสัย อาเธอร์นั้นยิ้มออกมาจางๆบนใบหน้าก่อนที่จะกล่าวอธิบายว่า“สิ่งนี้คือน้ำตาของลิลิธครับ มันเป็นน้ำตาของเทพธิดาแห่งความมืดที่สามารถจะถอนคำสาปของอุปกรณ์ต้องคำสาปบางอย่างได้แหวนกุหลาบดำก็เป็นหนึ่งในนั้นได้โปรดดื่มมันเข้าไปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นนะครับ แล้วคุณจะได้ชีวิตที่แหวนแห่งกุหลาบดำนั้นช่วงชิงไปกลับคืนมาทั้งหมดพร้อมกับถอนคำสาปของมันไปจนหมดสิ้น” อาเธอร์นั้นอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ภายในขวดแก้วรูปนางฟ้าที่มีปีกเพียงข้างเดียวว่ามันคืออะไร เรเชลเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ถามถึงสิ่งที่เธอจะต้องจ่ายขึ้นมาทันทีว่า “คุณเจ้าของร้าน แล้วหนูจะต้องใช้อะไรแลกเปลี่ยนกับมันล่ะคะ ?” เรเชลกล่าวถามอาเธอร์อย่างตรงไปตรงมาท่าทางที่ดูใส่ชื่อของเธอนั้นทำให้อาเธอร์ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกตลกขบขัน แต่เขาก็ตอบกลับลูกค้าตัวน้อยของเขาไปด้วยท่าทางที่จริงจังว่า “ผมต้องการความทรงจำเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ชื่อว่าโจชัวของคุณน่ะครับ โดยที่คุณจะลืมเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเขาไปจนหมดสิ้นถ้าหากว่าคุณตกลงที่จะแลกเปลี่ยน” ข้อเรียกร้องของอาเธอทำให้ทั้งเรเชลและโจชัวนั้นตกใจ แต่ว่าเรเชลนั้นก็ถามขึ้นมาอีกทันทีว่า “แล้วพี่โจชัวล่ะคะเขาจะลืมเรื่องราวของหนูไหม ?” เรเชลกล่าวถามอาเธอร์ ด้วยท่าทางที่ดูเป็นกังวลอาเธอร์เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ตอบกลับลูกค้าตัวน้อยของเขาไปว่า“ชายหนุ่มคนนี้จะยังไม่ลืมเรื่องราวของเธอหรอก มีแต่เธอเท่านั้นที่จะลืมเลือนเขาไปแค่นั้นล่ะครับ” เมื่อได้ยินคำตอบของอาเธอร์เรเชลนั้นก็ดูจะโล่งใจขึ้น เธอพยักหน้าตอบตกลงที่จะแลกเปลี่ยนกับอาเธอร์เพื่อทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงทันทีอาเธอร์นั้นยื่นขวดน้ำตาของลิลิธให้กับเรเชลก่อนที่เธอจะเปิดฝาและดื่มมันเข้าไปเพียงจิบเล็กๆเท่านั้น แหวนกุหลาบสีดำซึ่งเคยถูกสวมอยู่ที่นิ้วชี้ด้านขวามือของเธอซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะถอดออกมาได้ กับหลุดร่วงออกมาจากมือของเธอเองอย่างน่าอัศจรรย์ อีกทั้งอาการเจ็บป่วยของเธอก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง และพลังชีวิตของเธอก็กลับมาเต็มเปี่ยมเหมือนเดิมอย่างที่เธอเคยเป็น หลังจากนั้นเรเชลก็สลบไปอาเธอร์ ปล่อยให้โจชัวเป็นคนอุ้มเธอไปส่งที่บ้านอย่าเงียบๆหลังจากที่โจชัวได้ทำการส่งเรเชลกลับไปที่บ้านเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินออกจากบ้านหลังนั้นมาด้วยท่าทางที่ดูขมขื่นแต่ไร้คำพูดจาใดๆ เขาปล่อยให้เรเชลอยู่ที่บ้านหลังนั้นโดยที่ปราศจากความทรงจำของเขาเขารู้สึกดีแล้วที่อย่างน้อยเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปส่วนตัวเขานั้นเดินเข้าไปในสวนแอปเปิ้ลซึ่งเขาเคยไปทำงานอยู่ที่นั่นในตอนนี้ไม่มีคนงานอยู่แล้วมันเป็นที่ที่เงียบสงบและปราศจากเสียงใดๆมีเพียงแค่กลิ่นหอมของผลแอปเปิ้ลที่ส่งกลิ่นโชยออกมายามที่มันใกล้จะสุกเท่านั้นโจชัวนั่งลงที่ใต้ต้นแอปเปิ้ลต้นหนึ่งด้วยแววตาที่ดูเลื่อนลอย เขานั้นได้รับผลสะท้อนกลับจากแหวนกุหลาบดำทำให้ตัวเขานั้นมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ไม่กี่นาที โจชัวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งในตอนนี้มันก็ยังคงสดใสเช่นเดิม ท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆสีขาวแต่ในจิตใจของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เขานั้นจะต้องจบชีวิตลงแล้วร่างกายของเขาจะต้องแหลกสลายลมหายใจของเขานั้นจะต้องดับไปเขายังไม่อยากตาย แต่เขาไม่สามารถจะทำอะไรได้อีกแล้ว เขารู้สึกอ่อนแรงและอยากจะนอนหลับเหลือเกินหลังจากนั้นความง่วงรุนแรงก็เข้าจู่โจมเขา ดวงตาของเขาค่อยๆปิดลงและหลังจากนั้นความรู้สึกต่างๆของเขาก็ดับลงตามไปด้วย วิญญาณของโจชัวนั้นหลุดออกมาจากร่างสภาพของวิญญาณของโจชัวนั้นไม่ต่างอะไรจากฟรานเชสก้าเลยแม้แต่น้อยอาเธอร์เดินเข้าไปใกล้ๆกับร่างของโจชัวที่นอนไร้วิญญาณอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล ก่อนที่เขาจะหยิบตุ๊กตาขึ้นมาตัวนึงมันเป็นตุ๊กตาที่เจ็บด้วยมือซึ่งมีรูปร่างลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกับโจชัวเพียงแต่ลดรายละเอียดและอยู่ในขนาดย่อส่วนเพียงแค่เท่ากับฝ่ามือ“เอาละคุณลูกค้า ไม่สิ !! โจชัว จากนี้ไปจะเป็นบริการหลังการขายของร้าน Memories Garden แล้วละนะ” อาเธอร์กล่าวขึ้นมาลอยๆแต่ความเป็นจริงแล้วเขานั้นกำลังพูดอยู่กับวิญญาณของโจชัว อาเธอร์นั้นสามารถจะมองเห็นวิญญาณและสามารถจะสื่อสารกับวิญญาณที่เขาเจาะจงได้และในกรณีนี้ก็คือวิญญาณของโจชัวที่พึ่งจะออกจากร่างเนื้อมันนั่นเอง “คุณเจ้าของร้านนั่นคุณกำลังจะทำอะไรครับ ?” โจชัวในสภาพที่เป็นวิญญาณกล่าวถามอาเธอร์ด้วยท่าทางที่ดูสงสัย อาเธอร์นั้นหยิบตุ๊กตาซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับโจชัวขึ้นมาไว้ในมือพร้อมกับถือลูกปัดลูกหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นแก้วสีแดงสดเอาไว้ที่มืออีกข้างหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า“วิญญาณของมนุษย์หลังจากที่ตายแล้วภายในระยะเวลา 3 วันพวกเขาจะเรร่อนอยู่บนโลก แต่หลังจากนั้น ยมทูตจะมาพาตัวของวิญญาณเหล่านั้นไปยังปรโลกเพื่อทำการตัดสินโทษและความดีที่พวกเขาได้ก่อขึ้น แต่มีอยู่ในบางกรณีที่วิญญาณนั้นมีสถานที่สิงสถิตใหม่ทำให้ยืดระยะเวลาจากการถูกนำตัวไปยังปรโลกให้นานออกไป นั่นหมายความว่าผมต้องสะกดวิญญาณของนายเอาไว้ที่นี่เพื่อทำให้ความปรารถนาของนายเป็นจริงอย่างไรล่ะโจชัว” อาเธอร์อธิบายถึงสิ่งที่เขากำลังจะกระทำก่อนที่ลูกปัดเม็ดเล็กสีแดงในมือของเขานั้นจะเป็นประกายเจิดจ้าโจชัวนั้นรู้สึกว่าแสงที่เปล่งประกายออกมาจากลูกปัดนั้นสว่างและอบอุ่นเสียเหลือเกินหลังจากนั้นสติของเขาก็ดับไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเมื่อโจชัวรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเขาก็กลายเป็นวิญญาณที่มีที่สิงสถิตย์อยู่ในลูกปัดซึ่งอยู่ภายในตัวตุ๊กตาซึ่งอาเธอร์เป็นคนสะกดเขาเอาไว้ โจชัวนั้นรู้สึกสงสัยในการกระทำของอาเธอร์เป็นอย่างมากเขาจึงได้ถามอาเธอร์ขึ้นมาว่า“คุณเจ้าของร้านทำไมถึงต้องทำแบบนี้ล่ะครับ ?” อาเธอร์เมื่อได้ยินวิญญาณของโจชัวกล่าวถามเช่นนั้นเขาก็ได้แต่ยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะตอบกลับโจชัวไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาว่า“ความปรารถนาของคุณก็คือต้องการจะเฝ้ามองสาวน้อยคนนั้นเติบโตขึ้น ต้องการที่จะปกป้องเธอ และต้องการที่จะอยู่ร่วมกับเธอไม่ใช่หรือครับ ถึงแม้ว่าคุณในตอนนี้อาจจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่เธอจะมองเห็นได้ตรงๆก็ตามทีเถอะนะ แบบนี้ก็ถือว่าความปรารถนาของคุณสัมฤทธิ์ผลไปค่อนนึงแล้วไม่ใช่เหรอ ?” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นกันเองกับโจชัวก่อนที่เขาจะเดินคล้อยหลังไป“ยังไงตอนนี้บ้านใหม่ของคุณก็คือร้านขายของเก่าของผม ถ้าออกห่างจากลูกปัดสถิตวิญญาณมากเกินไปและไม่มาคอยรับพลังจากมัน วิญญาณของคุณจะอ่อนแรงลงและอาจจะแตกสลายได้โปรดระวังด้วยแล้วก็แล้วกันนะครับ แล้วพบกันใหม่ที่ร้านของผมครับขอบคุณที่ใช้บริการ” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังแต่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เนิบนาบก่อนที่เขาจะเดินจากไปและหายไปราวกับหมอกควัน1 สัปดาห์ต่อมา เรเชลกลับมาใช้ชีวิตตามปกติกับคุณยายของเธอ เธอเป็นเด็กน้อยที่สดใสและแสนซุกซนอย่างเช่นคนเดิม เพียงแต่เธอในตอนนี้ไม่มีความทรงจำของโจชัวอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร คุณยายของเธอก็ไม่ได้ถามเธอเกี่ยวกับชายหนุ่มซึ่งเคยมาอยู่อาศัยด้วยกันภายในบ้านหลังนี้แล้วหายตัวไปอย่างลึกลับจนกระทั่งมีคนไปพบศพเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอนั้นรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครและชีวิตของเขานั่นเหลืออยู่อีกเท่าไร อีกทั้งดูเหมือนว่าหลานสาวตัวน้อยคนนี้ของคุณยายจะไม่สามารถจำเรื่องราวของชายหนุ่มคนนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียวซึ่งก็เป็นเรื่องที่คุณยายังรู้สึกแปลกใจอยู่จนถึงทุกวันนี้“นี่ๆ คุณยายคะ วันนี้หนูฝันเห็นพี่ชายคนนึงเข้ามาเล่นกับหนูในความฝันด้วยล่ะค่ะเขาเป็นคนที่ใจดีมากๆเลยพวกเราเล่นอะไรกันหลายอย่างเลยล่ะค่ะ !!” ภายในเช้าวันหนึ่งในช่วงเวลาอาหารเช้าเรเชล กล่าวบอกเล่าเรื่องราวของความฝันที่เธอได้ฝันเห็นเมื่อคืนนี้ให้กับคุณยายเรเชียได้ฟัง คำบอกเล่าของหลานสาวตัวน้อยนั้นทำให้คุณยายรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่คุณยายจะกล่าวถามกับหลานสาวกลับไปว่า“งั้นเหรอจ๊ะดีจังเลยนะ แล้วคุณพี่ชายคนนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงล่ะ ?” เรเชลเมื่อได้ยินคุณยายถามเช่นนั้นเธอก็มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตอบกลับไปว่า“เขาเป็นพี่ชายอายุประมาณ 20 มีเส้นผมสีดำและตัวสูงมากเลยค่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกชื่อกับหนูในความฝันก็เถอะแต่หนูรู้สึกเหมือนกับว่าเคยรู้จักเขามากกว่ายังไงก็ไม่รู้สิคะ” เรเชลบอกถึงลักษณะของผู้ชายที่มาพบกับเธอในความฝันให้กับคุณยายของเธอได้ฟังคุณยายของเธอนั้นได้แต่ยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่ดูเรียบๆก่อนที่จะกล่าวบอกกับหลานสาวไปว่า“เป็นอย่างนั้นเองเหรอ ดีจังเลยนะจ๊ะ คุณพี่ชายคนนั้นน่าจะต้องเป็นคนที่เป็นห่วงหลานมากๆเลยล่ะนะ…...” คำพูดของคุณยายที่ฟังดูกำกวมทำให้เรเชลนั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เด็กหญิงตัวน้อยก็ไม่ได้กล่าวทำอะไรอีกเธอลงมือจัดการกับอาหารเช้าอย่างรวดเร็วก่อนที่เธอจะออกไปเล่นข้างนอกเธอเหลือเวลาอีกเพียงแค่ไม่กี่เดือนแล้วเธอก็จะต้องได้เข้าโรงเรียนไปรับการศึกษาตามอายุของเธอ ดังนั้นเวลาในตอนนี้เธอจึงเลือกที่จะใช้มันกับการเล่นให้เต็มที่มากเกินกว่าจะไปคิดอย่างอื่นซึ่งมันก็ดูสมกับอุปนิสัยของเธอเป็นอย่างดี ร้าน Memories Gardenโจชัวและฟรานเชสก้าวิญญาณที่อยู่ประจำร้านขายของเก่าแห่งนี้ในยามที่ลูกค้าไม่เข้าร้าน พวกเขานั้นจะทำความสะอาดในร้านโดยที่ไม่กวาดและอุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆนั้นจะลอยไปมาในอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์นั่นเป็นเพราะการกระทำของพวก เขาถ้าหากว่ามีลูกค้าซึ่งเป็นคนธรรมดาเข้ามาเห็นแล้วก็คงจะกล่าวโจทก์ขานกันว่าร้านค้าแห่งนี้เป็นร้านผีสิงอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากว่าตอนนี้ไม่มีลูกค้า อาเธอร์จึงได้แต่มองวิญญาณทั้งสองตนกำลังทำความสะอาดร้านของเขาอย่างสบายอารมณ์“โฮ่ๆๆ อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นวันนี้โจชัวคุงก็ไปเข้าฝันเรเชลจังมาอีกแล้วล่ะสินะ อิย๊า….ฟังดูโรแมนติกจังเลยนะ มีชายหนุ่มรูปหล่อมาหาถึงในฝันแบบนี้ !! นายก็น่าจะโรแมนติกแบบนี้บ้างนะอาเธอร์” ฟรานเชสก้ากล่าวขึ้นมาหลังจากที่เธอได้รับฟังเรื่องที่โจชัวนั้นเล่าให้ฟังว่าเขานั้นได้ไปพบกับเรเชลในฝันของเธอมาเมื่อคืนนี้“โรแมนติกบ้าบออะไรกัน แค่ผีโลลิคอนตัวนึงไปเข้าฝันเหยื่อที่เป็นเด็กสาวเท่านั้นเองฟังดูน่าคลื่นไส้จะตาย บรื๋อ !!” อาเธอร์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูกระเซ้าเย้าแหย่ท่าทางของเขานั้นทำให้โจชัวอายจนหน้าแดงและกล่าวตอบเขาไปว่า“โลลิค่อนอะไรกันครับ !! ผมแค่ไปเยี่ยมเรเชลเท่านั้นเอง แล้วก็เล่นกับเธอนิดหน่อยในความฝันน่ะครับ…….ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณคิดสักหน่อย” โจชัวรีบแก้ตัวทันทีหลังจากที่ได้ยินอาเธอร์กล่าวแซวเขาขึ้นมา “เฮ้ๆ นี่ชั้นไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย ในใจแกคิดว่าชั้นกำลังคิดอะไรอยู่น่ะห๊ะ !! อย่างที่คิดจริงๆแกนี่มันเป็นโลลิคอนนี่หว่า !!” อาเธอร์กล่าวย้อนกลับคำพูดของเขานั้นยิ่งทำให้โจชัวอายจนหน้าแดงมากยิ่งขึ้น“ โถ่ !! จะให้บอกอีกกี่ครั้งกันผมไม่ใช่โลลิคอนนะครับ !!” โจชัวนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูลนลานและเขินอายท่าทางของเขานั้นทำให้ฟรานเชสก้าหัวเราะออกมาอย่างตลกขบขัน ส่วนอาเธอร์นั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกรื่นเริง ดูเหมือนว่าภายในร้านขายของเก่าแห่งนี้จะครึกครื้นมากขึ้นแต่ก่อนพอสมควรทีเดียวกริ่ง !! เสียงของกระดิ่งทองเหลืองที่แขวนเอาไว้ตรงประตูหน้าร้านดังขึ้นเป็นสัญญาณให้โจชัวและฟรานเชสก้าต้องหยุดมือทำความสะอาดลงทันทีก่อนที่ประตูไม้สีน้ำตาลจะถูกเปิดออกและมีใครเห็นการกระทำของพวกเขาเข้า “มีลูกค้ามาอีกแล้วสินะ…..กำลังสนุกอยู่เลยแท้ๆเชียว” ฟรานเชสก้ากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเสียดาย เพราะว่าเธอและอาเธอร์นั้นกระเซ้าเย้าแหย่โจชัวกำลังได้ที่“โถ่…..หาอย่างอื่นที่ทำแล้วสนุกมากกว่าการแกล้งผมสักทีเถอะครับ !! รับน้องใหม่กันแค่พอดี จะดีกว่านะครับ งื้อ !!” โจชัวบ่นอุบอิบขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเขินอาย “พอก็เลยทั้งสองคนตอนนี้เรากำลังมีลูกค้านะ” อาเธอร์กล่าวขึ้นเพื่อปรามวิญญาณทั้งสองตนซึ่งกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานแต่ว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน ในขณะที่มีลูกค้าคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในร้าน “ยินดีต้อนรับสู่ Memories Garden มีอะไรให้รับใช้ครับ” ……….
Episode.2 END
|
|
|
Post by wildrose on Jan 21, 2019 17:35:07 GMT
Episode 3 : Despair Melody of Phantasm Dream - Part 1 -
มีนักปราชญ์บางคนเคยบอกเอาไว้ว่า มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่างฝัน ความฝันนั้นเป็นสิ่งที่สวยงามราวกับดวงไฟที่ลุกโชติช่วงแสงส่องสว่างไสวในยามราตรี แต่ว่าความฝันนั้นไม่ได้มอบสิ่งที่สวยงามเพียงอย่างเดียวให้กับมนุษย์ มนุษย์นั้นในบางครั้งเหมือนกับแมงเม่าที่ถูกหลอกล่อด้วยความฝันที่งดงามราวกับแสงไฟ และมนุษย์นั้นจะบินพุ่งทะยานตรงไปยังดวงไฟแห่งความฝันที่อยู่เบื้องหน้าและมอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลีภายในร้าน Memories Garden “อาเธอร์ !! อาเธอร์ !! ตื่นได้แล้วนี่นายจะงีบตอนกลางวันไปอีกนานแค่ไหน ? อาเธอร์“ เสียงของฟรานเชสก้าดังขึ้นมารบกวนโสตประสาทของอาเธอร์ดูเหมือนว่าเธอจะพยายามดึงอาเธอร์ให้ออกมาจากห้วงนิทราในยามบ่ายของเขา“หืมมม มีอะไรหรือฟรานเชสก้า ถึงเวลาน้ำชายามบ่ายแล้วหรือไง ?” อาเธอร์ผู้ซึ่งพึ่งจะตื่นขึ้นมาจากพวกนิทรากล่าวถามถึงเหตุผลของวิญญาณสาวที่มาปลุกเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังเนิบนาบหน้าและใบหน้าที่ดูยุ่งเหยิง“เปล่าย่ะ !! นี่มันยังไม่ถึงเวลาบ่ายสามหรอก !! แต่ว่าวันนี้เราอาจจะมีลูกค้าก็ได้นะนายจะมามัวนอนแบบนี้มันจะดีหรอ ?” ฟรานเชสก้ากล่าวถามอาเธอร์ขึ้นด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ว่าอาเธอร์นั้นรู้ดีว่าลางสังหรณ์ของฟรานเชสก้านั้นแม่นยำเพียงใด ดังนั้นเขาจึงพยายามลุกขึ้นจากความเย้ายวนห้วงนิทราและบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนที่เขานั้นจะมานั่งประจำที่โต๊ะภายในร้านเพื่อรอต้อนรับลูกค้า ซึ่งน่าจะเข้ามาภายในวันนี้ที่โต๊ะทำงานของอาเธอร์ภายในร้านวันนี้มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่ ซึ่งเขานั้นได้รับมันมาตั้งแต่เช้าแล้วแต่เขายังไม่ได้เปิดอ่านมันเลยแม้แต่หน้าเดียวมัน ดูจะเป็นสิ่งที่ฆ่าเวลาสำหรับเขาได้เป็นอย่างดีในตอนนี้ อาเธอร์ไม่รอช้าหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมาเพื่อที่จะดูหน้าปกถึงข่าวที่น่าสนใจภายในวันนี้อย่างไม่รีรอ มีข่าวหลายเรื่องถูกพาดหัวอยู่ภายในวันนี้แต่ดูเหมือนว่าจะมีข่าวหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาเป็นพิเศษ “งานแสดงดนตรีครั้งใหญ่จะถูกจัดขึ้นภายในลอนดอนเร็วๆนี้งั้นหรอ ? รวมนักดนตรีมากความสามารถจากทั่วทุกสารทิศมาแข่งขันกันเพื่อชิงรางวัลอันทรงเกียรติจากองค์ราชินี….” อาเธอร์อ่านข่าวพาดหัวด้วยท่าทางที่ดูมีลางสังหรณ์พิเศษ แต่ว่าเขานั้นก็ไม่ได้คิดว่างานแสดงดนตรีที่จะถูกจัดขึ้นนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย พ่อค้าขายวัตถุโบราณอย่างเขาดูแล้วช่างจะห่างไกลจากคำว่านักดนตรีเสียจริงๆ ในระหว่างที่อาเธอร์นั้นตกอยู่ในห้วงความคิด โจชัวซึ่งกำลังทำความสะอาดร้านอยู่ในช่วงนี้ซึ่งไม่มีลูกค้าก็เดินเข้ามาทักทายอาเธอร์ซึ่งเพิ่งจะมานั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าร้านด้วยท่าทางที่ดูนอบน้อม “ท่านอาเธอร์ ตื่นแล้วหรือครับ น่าเสียดายนะครับ วันนี้ยังไม่มีลูกค้าเข้ามาเลยสักคนเดียว แต่ว่าไม่ต้องห่วงนะครับผมทำความสะอาดของที่อยู่บนชั้นทุกชิ้นเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่ามีลูกค้าเข้ามาเขาจะต้องพอใจมากแน่ๆ อีกไม่นานก็จะใกล้ได้เวลาน้ำชายามบ่ายผมจะไปชงชามาให้นะครับ” โจชัวกล่าวขึ้นกับอาเธอร์ซึ่งในตอนนี้คือเจ้านายของเขาด้วยท่าทางที่ดูนอบน้อมแต่ก็แฝงไปด้วยความสดใสร่าเริง อาเธอร์นั้นเหลือบสายตาไปมองโจชัวเล็กน้อยก่อนที่เขานั้นจะบ่นพึมพำขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า “ต่างกันซะจริงแฮะ นายก็ฟรานเชสก้าเนี่ย ถ้าเกิดว่ายัยนั่นได้สักครึ่งนึงของนายก็ดีสิ …..” คำพูดของอาเธอร์นั้นแผ่วเบาเกินกว่าที่โจชัวร์นั้นจะได้ยินจึงทำให้โจชัวนั้นเกิดความสงสัยและกล่าวถามอาเธอร์ขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดูแปลกใจ “ขอประทานโทษนะครับ เมื่อสักครู่นี้กระผมไม่ได้ยินท่านอาเธอร์พูดว่าอะไรหรือครับ ?” โจชัวคราวถามอาเธอร์อีกครั้งถึงสิ่งที่เขาได้พูดออกไป คำถามของโจชัวนั้นทำให้อาเธอร์อมยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะในลำคอและกล่าวขึ้นมาอีกครั้งว่า“ไม่มีอะไรหรอกน่า ไปชงชามาซะ แล้วก็บางครั้งนายรู้อะไรไหมมนุษย์เราน่ะนะ บางเรื่องไม่รู้เราจะมีความสุขกว่านะรู้ไหม อ้อ จริงสิ !! ลืมไปเลย ทั้งฉันทั้งนายก็ไม่ใช่มนุษย์นี่เนอะ ช่างมันเถอะลืมมันไปก็แล้วกัน” อาเธอร์กล่าวตอบโจชัวด้วยท่าทางที่ดูตลกขบขันเคล้าไปด้วยความประชดประชันเล็กน้อย โจชัวเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ได้แต่ทำสีหน้าแปลกใจก่อนที่จะขอตัวไปชงชาตามคำสั่งของอาเธอร์ หลังจากที่โจชัวนั้นเดินลับหายไปด้านหลังร้าน ไม่กี่อึดใจเสียงกระดิ่งที่ถูกติดไว้ด้านหน้าประตูไม้ของร้านก็ดังขึ้น กริ๊ง กริ๊ง !! เสียงกระดิ่งที่แผ่วเบาแต่ดังก้องกังวานดึงดูดความสนใจทั้งหมดของอาเธอร์ไปที่ด้านหน้าประตูร้าน บานประตูไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลแก่ค่อยๆถูกเปิดออกมาอย่างช้าๆเผยให้เห็นร่างของผู้ที่เดินผ่านประตูเข้ามา ลูกค้าในวันนี้ของร้าน Memories Garden คือเด็กสาวอายุประมาณ 15 ปี เธอนั้นเป็นเด็กสาวที่มีหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโตสีเขียวเป็นประกายราวกับมรกต รับกับใบหน้าที่ดูสวยงามของเธอได้เป็นอย่างดี ผิวของเธอนั้นมีสีขาวเรียบเนียนดูสุขภาพดีสมกับวัยเด็กสาวของเธอ เธอมีส่วนสูงประมาณ 150 เซนติเมตรปลายๆ รูปร่างของเธอนั้นผอมบางแต่ก็ได้สัดส่วน เธอนั้นมีเส้นผมสีเขียวปนครามที่เรียบและเป็นประกายราวกับเส้นไหมที่ยาวไปจนถึงหัวเข่าซึ่งเธอมัดทรงทวินเทลเอาไว้ เด็กสาววัยประมาณเธอนั้นจัดว่าเป็นลูกค้าที่หาได้ยากมากสำหรับร้านขายของเก่า ดังนั้นอาเธอร์จึงดูแปลกใจเมื่อได้เห็นลูกค้ารายนี้เดินเข้ามาในร้าน “สวัสดีครับคุณหนู ไม่ทราบว่ากำลังหาสินค้าชนิดใดอยู่เหรอครับ ถ้าหากว่ามีอะไรที่สนใจบอกผมได้เลยนะครับ” อาเธอร์กล่าวทักทายลูกค้าซึ่งหาได้ยากยิ่งของเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นงานเป็นการและมีไมตรี ท่าทางการทักทายของเขานั้นทำให้ลูกค้าซึ่งเป็นเด็กสาวรายนี้ยิ้มออกมาอย่างร่าเริงก่อนที่เธอนั้นจะพูดขึ้นมาว่า “สวัสดีค่ะคุณเจ้าของร้าน ฉันอยากจะได้เครื่องรางที่ช่วยทำให้เล่นดนตรีได้เก่งขึ้นน่ะคะ พอจะมีของแบบนั้นไหมคะ ?” เด็กสาวบอกถึงสิ่งของที่เธอต้องการ คำพูดของเธอนั้นทำให้อาเธอร์รู้ว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ลูกค้าของร้านขายอุปกรณ์ต้องคำสาป แต่เธอนั้นเป็นเพียงแค่ลูกค้าธรรมดาๆที่เข้ามาภายในร้านขายของเก่าโดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับร้านนี้เลย และเธอนั้นก็แค่หวังจะซื้อเครื่องรางเพื่อเพิ่มกำลังใจให้กับตนเองเท่านั้น เขาจึงลุกขึ้นจากโต๊ะขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูสบายๆก่อนที่จะพาลูกค้าผู้น่ารักของเขาเดินไปตามชั้นซึ่งมีของเก่าหลายชิ้นถูกวางเรียงรายกันอยู่ ดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนี้ก็จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการได้มองเห็นสินค้าซึ่งเป็นของเก่ามากมายถูกวางเรียงกันอยู่บนชั้น ในที่สุดอาเธอร์ก็หยิบสร้อยขึ้นมาเส้นหนึ่งจากที่วางโชว์อยู่บนชั้นซึ่งมีอยู่มากมาย “ถ้าเป็นสร้อยเส้นนี้ล่ะครับ พอจะถูกใจตามที่ต้องการไหม ?” อาเธอร์ส่งสร้อยเส้นหนึ่งให้กับเด็กสาวได้ดู มันเป็นสร้อยซึ่งทำจากโลหะที่เรียกว่าสามกษัตริย์ นั่นก็คือเป็นส่วนผสมของโลหะมีค่า 3 ชนิดซึ่งประกอบด้วยทองเงินและทองแดง ลักษณะการผสมโลหะแบบนี้ค่อนข้างจะเป็นที่นิยมภายในประเทศแถบเอเชียสมัยโบราณและสร้อยเส้นนี้ก็มีลักษณะการขึ้นรูปและลวดลายศิลปะไปในแบบทางเอเชีย “เจ้านี่คือสร้อยอะไรอย่างนั้นหรือคะ ?” ลูกค้าเด็กสาวถามขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสนอกสนใจและดูเหมือนว่าเธอนั้นจะชอบมัน อาเธอร์วางสร้อยเส้นนั้นลงบนฝ่ามือของเธอก่อนที่เขานั้นจะเริ่มอธิบายในสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับมัน “สร้อยนี้ถูกทำขึ้นในประเทศแถบทางเอเชีย น่าจะถูกนำมาโดยพ่อค้าชาวอังกฤษเมื่อร้อยกว่าปีก่อนครับ ชาวเอเชียในบางประเทศนั้นเชื่อว่าเครื่องรางที่ถูกทำขึ้นมาจากโลหะมีค่าบางชนิดนั้นให้ผลช่วยในการบันดาลความสำเร็จในชีวิตของมนุษย์ได้ และผมก็เชื่อว่าสร้อยเส้นนี้ก็น่าจะเป็นหนึ่งในของอย่างนั้นครับ” อาเธอร์นั้นพยายามอธิบายในสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับสินค้าของเขาชิ้นนี้ แต่ในใจของเขานั้นก็รู้ดีว่าสร้อยเส้นนี้คือสร้อยที่ทำขึ้นมาจากโลหะมีค่าธรรมดาๆไม่ได้มีพลังอำนาจวิเศษอะไรที่จะช่วยบันดาลความสำเร็จให้กับมนุษย์ได้หรอก แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นเครื่องเสริมกำลังใจให้กับเด็กสาวคนนี้ได้ไม่มากก็น้อยและนี่ก็คือสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้อย่างแน่นอน“ตกลงค่ะ ฉันอยากจะได้สร้อยเส้นนี้ ราคาเท่าไหร่คะ ?” เด็กสาวนั้นถามราคาของสร้อยกับอาเธอร์ซึ่งเขานั้นก็ได้ตอบออกไปด้วยท่าทางที่ดูสุภาพและเป็นงานเป็นการว่า“สร้อยเส้นนี้ราคา 12 ปอนด์ครับ มันดูเหมาะกับคุณหนูมากเลยนะครับ” อาเธอร์นั้นบอกราคาของสร้อยเส้นนี้แก่ลูกค้าของเขาพร้อมกับยิ้มออกมายังเป็นงานเป็นการ แต่ดูเหมือนว่าราคาของสร้อยเส้นนี้นั้นจะค่อนข้างหนักหนาสำหรับเด็กสาวคนนี้อยู่เล็กน้อย เพราะว่าเธอหลังจากที่ได้รู้ราคาเธอก็แสดงสีหน้าค่อนข้างลำบากใจออกมาจนเห็นได้อย่างชัดเจน อาเธอร์เมื่อได้เห็นท่าทางของลูกค้าของเขายืนตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงได้กล่าวออกไปอีกว่า “เอาอย่างนี้ดีไหมครับเห็นแก่ความเหมาะสม ผมว่ามันดูเหมาะกับคุณหนูมากเลย ผมจะลดราคาให้เหลือ 10 ปอนด์เท่านั้นครับแต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ว่ายังไงครับพอจะสนใจหรือเปล่า ?” เมื่ออาเธอร์นั้นเสนอที่จะลดราคาให้ลูกค้าเด็กสาวคนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะได้แรงจูงใจในการตัดสินใจขึ้นมาทันทีเธอนั้นตกลงที่จะซื้อสร้อยเส้นนี้ไปจากเขาเธอเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ของร้านก่อนที่จะชำระเงินค่าสร้อยแต่อาเธอร์นั้นสังเกตเห็นถึงตัวเงินที่เธอนำมาจ่ายมันประกอบไปด้วยเหรียญ ชิลลิ่ง จำนวนมากและเหรียญปอนด์อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งลักษณะอย่างนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าลูกค้าของเขาคนนี้นั้นไม่ค่อยจะมีเงินสักเท่าไหร่ แต่เมื่อนับจำนวนเงินได้ครบ 10 ปอนด์ตามราคาของสินค้าแล้วอาเธอร์ก็นำสร้อยเส้นนั้นบรรจุลงในถุงกระดาษสีขาวสะอาดก่อนที่จะผนึกมันไว้ด้วยกาวและส่งถุงซึ่งบรรจุสร้อยนั้นให้กับลูกค้าของเขาอย่างเบามือ “ขอบคุณที่อุดหนุนครับ” อาเธอร์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูเป็นงานเป็นการแต่ใบหน้าของเขานั้นแสดงออกได้ถึงความยินดีอย่างเห็นได้ชัดลูกค้าเด็กสาวรับถุงที่บรรจุสร้อยนั้น ไปถือไว้ด้วยท่าทางที่ดูยินดีเช่นกันโดยสิ่งที่บ่งบอกก็คือรอยยิ้มเล็กๆของเธอปรากฏขึ้นมาบนใบของเธอ เมื่อการซื้อขายของเสร็จสิ้นเธอกำลังจะเดินออกจากร้าน Memories Garden แห่งนี้ไป แต่ว่าก่อนที่เธอจะเดินออกจากร้านไปนั้นเธอก็สะดุดตาเข้ากับหนังสือพิมพ์ซึ่งอาเธอร์นักอ่านค้างเอาไว้มันถูกวางไว้บนโต๊ะเคาเตอร์ของร้าน“เห….งานประกวดถูกลงโฆษณาบนหนังสือพิมพ์ด้วยเหรอนี่ น่าตื่นเต้นจังเลยนะคะ” ลูกค้าสาวกล่าวขึ้นทันทีที่เธอได้เห็นพาดหัวหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับงานประกวดดนตรีที่จะจัดขึ้นในลอนดอน เธอนั้นพูดออกมาด้วยท่าทางที่ดูยิ้มแย้มท่าทางของเธอนั้นทำให้อาเธอร์รู้ว่าเธอนั้นจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานนี้อย่างแน่นอน เขาจึงกล่าวออกไปว่า “คุณลูกค้าชอบไปชมงานแสดงดนตรีอย่างนั้นหรือครับ ?” คำถามของอาเธอร์นั้นดูเหมือนว่าจะไปจุดประกายความอยากสนทนาของเด็กสาวคนนี้ขึ้นมาเธอนั้นหันกลับไปหาเขาก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างร่าเริงและกล่าวออกไปว่า“ไม่ใช่หรอกค่ะ ! ฉันเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่เข้าร่วมประกวดในงานนี้ด้วยล่ะค่ะ !! มันเป็นอะไรที่น่าสนุกมากเลยนะคะ ฉันรอวันนี้มาตั้งนานแนะ !!” เด็กสาวประกาศตัวออกไปอย่างชัดเจนว่าเธอนั้นเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่เข้าร่วมประกวดภายในงานนี้ด้วย และดูเหมือนว่าเธอนั้นจะภาคภูมิใจในสิ่งที่เธอกำลังทำมากอาเธอร์นั้นเข้าใจได้ทั้งทีว่าทำไมเธอถึงมาซื้อเครื่องรางที่จะช่วยทำให้เธอนั้นเล่นดนตรีได้ดีขึ้น“อ้อ !! เป็นอย่างนี้นี่เอง !! เข้าใจแล้วล่ะครับ ผมขอให้คุณโชคดีในงานประกวดนะครับ ถ้ามีโอกาสไว้ผมจะได้ลองฟังผลงานของคุณบ้างนะครับแล้วพบกันใหม่” อาเธอร์นั้นกล่าวอวยพรให้กับเธอ ก่อนที่เด็กสาวคนนั้นจะก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณและเธอก็เดินออกจากร้าน Memories Garden ไปด้วยความยินดี“อาเธอร์….. เด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้นี้เป็นนักดนตรีหรอ ?? เธอเป็นลูกค้าธรรมดาสินะ ?” หลังจากที่เด็กสาวคนนั้นเดินออกจากประตูร้านไปแล้วฟรานเชสก้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาแทบจะทันที และกล่าวถามอาเธอร์ถึงลูกค้าที่เข้ามาในร้านภายในวันนี้ อาเธอร์นั้นบอกทุกอย่างให้ฟรานเชสก้าได้ฟังทรานซิสเตอร์เมื่อได้ฟังสิ่งที่อาเธอร์ได้เล่าออกมาแล้วเธอก็มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ช่างเป็นเด็กที่เปี่ยมไปด้วยความฝันและจินตนาการจริงๆเลยนะ…..” ฟรานเชสก้ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูชื่นชมและในอีกมุมหนึ่งภายในใจของเธอนั้นก็รู้สึกอิจฉาสาวน้อยคนนี้ขึ้นมาเล็กๆ“ความฝันเป็นสิ่งที่สวยงามและมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีได้เช่นกัน ความฝันของเธอคนนี้จะเป็นความฝันแบบไหนกันนะ….” อาเธอร์มองประตูร้านที่ถูกปิดสนิทไปแล้วด้วยสายตาที่ดูเรียบเฉยก่อนที่เขานั้นจะกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่ดูเยือกเย็นโรงแรมราคาถูกแห่งหนึ่งภายในลอนดอน โรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่ถูกเปิดมานานแล้วสภาพของตัวโรงแรมนั้นค่อนข้างจะทรุดโทรมการบริการนั้นค่อนข้างแย่แต่ก็แลกมาด้วยค่าบริการที่ถูกกว่าโรงแรมทั่วไปมากกว่าครึ่งและโรงแรมแห่งนี้ก็เป็นสถานที่พักของเด็กสาวผู้ที่เป็นลูกค้าของอาเธอร์ภายในวันนี้ เธอนั้นเดินตรงเข้าไปยังห้องพักที่เธอนั้นได้เช่าเอาไว้ด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าก่อนที่เธอนั้นจะเปิดประตูอันแสนจะทรุดโทรมนั้นเข้าไปภายใน ห้องพักของเธอนั้นแทบจะไม่มีอุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นเลยยกเว้นเตียงนอนและกระเป๋าสัมภาระของเธอ เด็กสาววางถุงกระดาษที่ใช้ใส่สร้อยซึ่งเธอซื้อมาจากร้านขายของเก่าของอาเธอร์ลงโต๊ะและเธอนั้นก็แกะถุงใบนั้นก่อนที่จะนำสร้อยขึ้นมาสวมใส่ ก่อนที่เธอนั้นจะมองตัวเองในกระจกและยิ้มออกมาอย่างพอใจดูเหมือนว่าสร้อยเส้นนี้นั้นจะเหมาะกับเธอเสียจริงๆ อย่างน้อยเธอก็คิดอย่างนั้น“เอาล่ะพรุ่งนี้ต้องลองพยายามดูสักหน่อยแล้ว !!” เด็กสาวพูดออกมาด้วยท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉงและเปลี่ยนไปด้วยพลังใจ แต่หลังจากที่เธอพูดจบไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาจากด้านหน้าห้องของเธอ เธอนั้นราวกับจะรู้ดีว่าผู้ที่เคาะประตูนั้นคือใครเธอจึงรีบตรงไปที่ประตูหน้าห้องและเปิดต้อนรับแขกที่มาเยือนเธอทันที แขกผู้ที่มาเยือนเด็กสาวภายในวันนี้นั้นก็คือเพื่อนร่วมสมาชิกวงดนตรีของเธอนั่นเอง ซึ่งประกอบไปด้วยเด็กผู้หญิงอีก 2 คนที่มีวัยไล่เลี่ยกันกับเธอแต่ว่าเด็กผู้หญิงอีก 2 คนที่เหลือนอกจากเธอนั้นมีลักษณะคล้ายกับเด็กธรรมดาที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรทั้งรูปร่างหน้าตาและเอกลักษณ์ “แมรี่ !! ฟาร่า !! ในที่สุดพวกเธอก็มาสักที !!” แคทเธอรีน กล่าวขึ้นมาด้วยความดีใจที่ได้พบหน้ากับเพื่อนร่วมวงของเธอทั้งสองคนพวกเธอนั้นเป็นเด็กวัยรุ่นที่กำลังตามหาความฝันและไม่ค่อยมีเงินทองมากเท่าไหร่นักดังนั้นพวกเธอทั้งสามคนจึงเลือกที่จะพักห้องภายในโรงแรมแห่งนี้ด้วยกันในระหว่างที่พวกเธอนั้นกำลังจะเข้าประกวดในงานดนตรี แมรี่เธอเป็นเด็กสาวอายุ 15 ปีเช่นเดียวกับแคทเธอรีน แต่ว่าเธอนั้นดูเป็นคนที่มีความห้าวหาญและความมั่นใจในตัวเองมากกว่าเธอมีเส้นผมที่ยาวสลวยและหยักศกมีสีส้มแกมแดงราวกับใบไม้แห้งเธอนั้นเป็นมือเบสประจำวง ส่วนเด็กสาวอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมวงก็คือฟาร่า เธอนั้นเป็นเด็กสาวที่ดูมีความกระฉับกระเฉงและร่าเริงเธอนั้นไว้ผมสั้นเส้นผมของเธอนั้นมีสีเทาราวกับหมอกยามเช้า เธอนั้นเป็นมือกีตาร์ประจำวงฝีมือการเล่นดนตรีของพวกเธอทั้งสองคนนี้จัดว่าอยู่ในระดับปานกลางไม่สูงมากนักเนื่องด้วยอายุและประสบการณ์ของพวกเธอดังนั้นพวกเธอทั้งสองคนที่เข้ามาร่วมงานประกวดครั้งนี้จึงหวังที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตจากการแข่งขันซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักดนตรีรุ่นเยาว์“เข้ามาก่อนสิ !! ถึงห้องจะดูแคบไปหน่อยแต่ก็เป็นโรงแรมที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่ฉันจะหาได้แล้วนะ” แคทเธอรีนเปิดประตูออกกว้าง เพื่อต้อนรับเพื่อนร่วมวงของเธอทั้งสองคนให้เข้ามาเด็กสาวทั้งสองคนนั้นเดินเข้ามาในห้องที่แคทเธอรีนนั้นเป็นคนมาเช่าพักอยู่ ถึงแม้ว่าห้องนั้นจะแคบไปหน่อยแต่การใช้ห้องพักร่วมกันก็เป็นสิ่งที่พอจะเป็นไปได้พวกเธอทั้งสองคนจึงวางสัมภาระของพวกเธอซึ่งมีไม่มากนักลงบนพื้นห้อง “แคทเธอรีน ทำไมเธอถึงไม่ขอเงินสนับสนุนการเข้ามาประกวดครั้งนี้กับพี่สาวของเธอล่ะ ? ได้ยินว่าพี่เขยเธอรวยมากเลยนี่นา แบบนั้นจะไม่ง่ายกว่าเหรอ ??” แมรี่กล่าวถามขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกระเซ้าเย้าแหย่ ท่าทางของเธอนั้นเหมือนกับการล้อเล่นมากกว่ากันพูดเอาจริงเอาจังแคทเธอรีนเมื่อได้ยินคำพูดของแมรี่ดังนั้นเธอก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ดูบูดบึ้งเล็กน้อยว่า“แมรี่เธอเองก็รู้อยู่แล้วนี่นาว่าทำไมฉันถึงไม่ทำแบบนั้น ยังจะมาถามกันอีก ?!? แกล้งกันหรือไง ?” แคทเธอรีนตอบกลับไปด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เธอนั้นก็รู้ดีว่าเพื่อนร่วมวงของเธอนั้นตั้งใจที่จะพูดเล่นแต่ว่าสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นก็เป็นสิ่งที่เสียดแทงใจดำแคทเธอรีนอยู่ไม่น้อย“เอาน่าพอเถอะค่ะทั้งสองคน เรื่องนี้เราก็รู้กันดีอยู่แล้วนี่นา แต่ก็ดีเหมือนกันนะเพราะเราไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครมาถ้าหากว่าเราชนะงานนี้ได้ด้วยกำลังของตัวพวกเราเองมันก็น่าดีใจที่สุดไปเลยนะคะ” ฟารากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนานเธอนั้นก็รู้ถึงเหตุผลของแคทเธอรีนได้เป็นอย่างดี แคทเธอรีนนั้นเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างจะยากจน พ่อของเธอนั้นเป็นช่างโลหะภายในร้านเล็กๆ ส่วนแม่ของเธอนั้นเป็นเจ้าของร้านขายดอกไม้ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก เธอนั้นมีพี่สาวทั้งหมด 2 คนและพี่สาวคนโตของเธอก็มีชื่อเสียงในเรื่องของความใจดี อ่อนโยนและความสวยมีเสน่ห์ที่ไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นพี่สาวคนโตของเธอจึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของขุนนางชั้นหลอดซึ่งปกครองแถบที่เธออาศัยอยู่ ขุนนางหนุ่มผู้ที่มีวัยไล่เลี่ยกันกับพี่สาวคนโตของเธอสู่ขอพี่สาวของเธอไปเป็นภรรยา ครอบครัวของเธอจึงเหมือนกับตกถังข้าวสารกลายๆแคทเธอรีนซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็กนั้นเธอมีความสามารถทางด้านดนตรีทั้งประสาทหูที่ดีและความจำที่ยอดเยี่ยม อีกครั้งเธอนั้นยังมีความรักในเสียงดนตรีมาก พี่สาวของเธอรู้ถึงพรสวรรค์ตรงนี้ของเธอได้เป็นอย่างดี อีกทั้งพี่เขยของเธอก็ยังเป็นคนที่ชื่นชอบดนตรีพอสมควร เธอจึงได้รับทุนจำนวนหนึ่งในครั้งแรกเพื่อจัดตั้งวงดนตรีเป็นของตัวเองและสมาชิกอย่างฟาร่าและแมรี่ก็ตามมา เธอนั้นเป็นที่นิยมภายในหมู่บ้านและเมืองเล็กๆที่เธออยู่อาศัยแต่ความเป็นที่นิยมนั้นก็มาพร้อมกับคำนินทา เธอนั้นถูกชาวบ้านและคนทั่วไปมองว่ามีความสัมพันธ์กับพี่เขยของเธอ เธอจึงได้รับการสนับสนุนมากมายถึงขนาดนี้ ทำท่านี้ทำให้เธอนั้นรู้สึกเศร้าสลดใจและไม่พอใจเป็นอย่างมาก และในที่สุดมันก็ก่อตัวกลายเป็นความเกลียดชัง ตั้งแต่นั้นมาเธอนั้นจึงตอบปฏิเสธการสนับสนุนทุกอย่างจากพี่เขยของเธอจนหมดสิ้น สมาชิกภายในวงเคยมีกันอยู่หลายคนจึงมีแค่ฟาร่าและแมรี่เท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ แต่ด้วยสมาชิกเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแค่เท่านั้นหวังที่จะพิสูจน์ตัวเองภายในงานแข่งขันดนตรีครั้งนี้ เธอจึงดั้นด้นมาจนถึงลอนดอน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเธอต้องมาลำบากในด้านการกินอยู่สักหน่อยในขณะนี้ แต่โชคยังดีของเธอที่สมาชิกร่วมวงอีก 2 คนคือแมรี่และฟาร่านั้นเข้าใจในจุดนี้ของเธอเป็นอย่างดีและพวกเธอทั้งสองคนนี้ก็ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงเงินทองหรือผลประโยชน์ใดๆพวกเธอทั้ง 3 คนนั้นรักในเสียงดนตรีอย่างแท้จริง “เมื่อกี้ตอนที่พวกเราเดินมาผ่านหน้าสถานีเห็นร้านขนมปังนั่นกำลังรับพนักงานชั่วคราวอยู่ด้วยล่ะ เดี๋ยวฉันว่าจะลองไปสมัครดูนะ บางทีเขาอาจจะรับเราทำงานก็ได้นะคะ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็เราก็จะได้ค่าที่พักในระหว่างที่พวกเรากำลังรอการแข่งขันอยู่ด้วยนะคะ” ฟาร่ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูร่าเริง เธอนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างจะอยู่ไม่สุข ดังนั้นเธอจึงคิดที่จะหางานพิเศษทำในระหว่างที่เธอกำลังรอการเข้าแข่งขันในงานดนตรี “ฉันว่าอย่าจะดีกว่านะ เพราะว่าถ้าเราเหนื่อยเกินไปเราอาจจะแสดงได้ไม่ดีมากพอก็ได้ เธอน่าจะมุ่งมั่นฝึกซ้อมในระหว่างนี้มากกว่านะฉันว่า….” แต่ว่าแมรี่เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ออกปากกล่าวห้ามฟาร่าขึ้นมาทันที แมรี่นั้นเป็นคนที่มีอุปนิสัยค่อนข้างที่จะดูห้าวหาญและตรงไปตรงมา เธอนั้นมักจะชอบทำอะไรที่พุ่งตรงไปข้างหน้าเสมอดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะให้สมาชิกทุกคนในวงดนตรีฝึกซ้อมให้หนักก่อนจะถึงการแข่งขัน “แล้วเธอล่ะแคทเธอรีนคิดว่ายังไง ?” เมื่อทั้งสองคนมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน ทั้งคู่มักจะหันมาถามความเห็นของแคทเธอรีนเป็นคนสุดท้ายเสมอและในคราวนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น“อ่าาา ฮ่ะๆๆๆ นั่นสินะจะเอายังไงดีล่ะเนี่ย แต่ว่าคราวนี้ฉันเห็นด้วยกับแมรี่นะพวกเราน่าจะฝึกซ้อมกันอย่างเต็มที่เราตั้งใจจะมาแข่งขันกันนี่นา ขอโทษด้วยนะฟาร่า !! แต่ฉันว่าเธออยากไปทำงานพิเศษเลย” แคทเธอรีนนั้นดูเหมือนว่าจะเห็นด้วยกับความมุ่งมั่นของแมรี่มากกว่าดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะให้สมาชิกทุกคนภายในวงนั้นฝึกซ้อมด้วยกัน“บู่ววว !! ก็ได้ แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้นแล้วก็เงินเก็บตลอด 3 ปีของเธอหมดเกลี้ยงไม่รู้ด้วยนะ” ฟาร่านั้นเข้าใจในสิ่งที่แคทเธอรีนพูดออกมาเป็นอย่างดีเธอนั้นก็เห็นด้วยแต่ก็ไม่พ้นที่จะกระเซ้าเย้าแหย่แคทเธอรีนเล็กๆน้อยๆ หลังจากนั้นเด็กสาวทั้งสามคนก็เริ่มที่จะจัดที่นอนภายในห้องพักอันคับแคบพบเธอ แต่ว่าความคับแคบของสถานที่นั้นไม่ได้ทำให้ความร่าเริงและความมุ่งมั่นของพวกเธอลดลงเลยแม้แต่น้อย 3 วันต่อมา ที่ร้าน Memories Garden ภายในวันนี้ก็เป็นวันที่สงบสุขและไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการภายในร้านอีกเช่นเคยอาเธอร์นั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะเคาน์เตอร์บริเวณด้านในร้านที่ประจำของเขาพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาในยามเช้า ภายในวันนี้ดูเหมือนว่าอาเธอร์นั้นจะไม่ได้ง่วงเหงาหาวนอนอย่างที่เคยเป็นเมื่อหลายวันก่อน “กาแฟได้แล้วครับท่านอาเธอร์ วันนี้คุณดูสดชื่นจังเลยนะครับ ดีจังเลย” โจชัวแนะนำกาแฟยามเช้าและขนมปังปิ้งมาเสิร์ฟให้กับอาเธอร์อย่างที่เขานั้นเคยทำทุกวัน แต่ในวันนี้เขานั้นกล่าวพูดคุยและตั้งข้อสังเกตถึงอาการง่วงเหงาหาวนอนของอาเธอร์ที่หายไปเป็นปลิดทิ้ง อาเธอร์เมื่อได้เห็นวิญญาณข้ารับใช้ของเขากล่าวขึ้นเช่นนั้นเขาก็ยิ้มที่มุมปากและกล่าวขึ้นมาว่า “อาหารของมนุษย์ที่ผมรับประทานเข้าไปก็ช่วยสามารถจะยังให้ร่างภายนอกนี้คงอยู่ได้ แต่สำหรับตัวตนแบบผมแล้วก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตมากกว่าอาหารอีกนะ ถ้าผมขาดมันเมื่อไหร่ก็จะมีอาการง่วงซึมแบบนั้นนั่นแหละ…..” อาเธอร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูวกไปวนมาชวนให้โจชัวสงสัย และความพยายามของเขานั้นก็เป็นเรื่องจริงโจชัวนั้นเอ่ยถามขึ้นมาว่า“ท่านอาเธอร์พูดแบบนี้หมายความว่าท่านไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นเหรอครับ ? ถ้าอย่างนั้นท่านเป็น….” ในระหว่างที่โจชัวนั้นกำลังเอ่ยปากถามอาเธอร์ไม่ได้ยินคำถามเช่นนั้นเขาก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่ดูมีเลศนัยจากนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วมือขวาขึ้นและไปแตะที่ริมฝีปากของตนเป็นสัญญาณว่าให้โจชัวนั้นหยุดพูด “ขอโทษนะดูเหมือนว่าฉันจะเผลอพูดเรื่องที่นายไม่ควรจะรู้ออกไปซะแล้ว จำคำพูดของฉันเมื่อคราวที่แล้วได้ไหมว่ามนุษย์เรานะมีบางอย่างที่ถ้าไม่รู้จะมีความสุขกว่านะ นี่ก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้นนั่นแหละ เอาละ !! ไปทำงานได้แล้ว ทำความสะอาดงานประจำของนายไง เจ้าผีโลลิคอน !!” อาเธอร์กล่าวขึ้นแล้วก็หัวเราะในลำคอ ดูเหมือนว่าเขานั้นจะจงใจที่จะแกล้งโจชัวเข้าอย่างเต็มเปา โจชัวนั้นได้แต่ทำหน้าเซ็งๆก่อนที่จะลอยจากไป ทำความสะอาดซึ่งเป็นหน้าที่ของเขาประจำวันต่อไปด้วยสีหน้าที่ดูบูดบึ้งเรื่องเล็กน้อย กริ๊งกริ๊ง !! แต่แล้วจู่ๆในเช้าวันนี้เสียงของกระดิ่งทองเหลืองที่ถูกติดตั้งไว้ยังบริเวณประตูหน้าร้านของร้านขายของเก่าก็ดังขึ้นก้องกังวาล แต่ลูกค้าของร้านขายของเก่ารายนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจในสินค้าสักเท่าไหร่หนักประตูไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลแก่ถูกผลักออกมาอย่างรุนแรงจากภายนอก ผู้ที่เดินผ่านประตูเข้ามานั้นคือเด็กสาวผู้มีเส้นผมสีขาวราวกับหมอกยามเช้าเธอนั้นคือฟาร่านั้นเองแต่ฟาร่าในยามนี้เธอนั้นดูมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เส้นผมของเธอนั้นดูยุ่งเหยิงราวกับว่าไม่ได้จัดทรงใบหน้าของเธอนั้นมีสีแดงก่ำอมชมพูเหมือนกับว่าเลือดของเธอนั้นถูกสูบฉีดขึ้นมาจำนวนมาก ร่างกายของเธอนั้นร้อนผ่าวและลมหายใจของเธอนั้นก็ดูหอบแรง อาเธอร์นั้นรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของลูกค้ารายนี้อย่างชัดเจนเขานั้นรีบลุกขึ้นจากโต๊ะที่เขานั่งอยู่เป็นประจำและตรงไปหาเธอพร้อมกับประคองร่างของเธอเอาไว้ก่อนที่ร่างของเธอนั้นจะล้มลงสู่พื้น ตัวของฟาร่านั่นร้อนผ่าวไปหมด อีกทั้งเธอยังหายใจติดขัดเป็นสัญญาณบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอกำลังเป็นไข้หวัด และเธอน่าจะเดินมาเป็นระยะทางไกลมากกว่าจะมาถึงที่ร้านขายของเก่าแห่งนี้จึงทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยหอบจากอาการไข้ที่เป็นอยู่แล้ว “คุณลูกค้าครับอาการของคุณไม่สู้ดีเลย จะให้ผมตามหมอไหม ?” อาเธอร์นั้นกล่าวกับฟาร่าด้วยท่าทางที่ดูใจเย็น สำหรับเขาแล้วสถานการณ์แบบนี้ความจริงเขาไม่ควรจะต้องถามความเห็นของเธอเลยด้วยซ้ำเขาควรจะต้องตามหมอมาพาเธอไปรักษา “ยะ….อย่าเพิ่งค่ะ ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณเจ้าของร้าน” ฟาร่ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเจ็บปวดและทรมานอาการไข้ของเธอนั้นไม่ใช่เล็กๆเลย มันดูรุนแรงมากพอสมควรทีเดียว แต่คำพูดของเธอนั้นทำให้อาเธอร์รู้ได้ว่าเธอนั้นไม่ใช่ลูกค้าในร้านขายของเก่าตามปกติอย่างแน่นอนเธอมาที่นี่เพื่อหวังที่จะพึ่งอุปกรณ์ต้องคําสาปของเขา ท่าทางและการพูดของเขาที่มีต่อเธอจึงเปลี่ยนไปทันที “เข้าใจแล้วครับ ผมไม่รู้ว่าคุณไปรู้เรื่องราวนี้มาจากไหน แต่ผมจะทำให้ความปรารถนาของคุณเป็นจริงโดยที่คุณนั้นจำเป็นจะต้องแลกซึ่งอะไรบางอย่างมา คงจะทราบดีแล้วสินะครับ” อาเธอร์กล่าวถามถึงความเข้าใจที่ฟาร่ามีว่าเธอนั้นได้รับรู้ในเรื่องที่เธอนั้นกำลังจะเข้ามาเกี่ยวข้องมากขนาดไหน ฟาร่าเมื่อได้ยินอาเธอร์ทำเช่นนั้นเธอก็พยักหน้าแทนคำตอบว่าเธอนั้นได้เข้าใจทุกอย่างดีอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ฟาร่านั้นพยักหน้าเป็นการตอบรับเธอก็หมดสติไปจากพิษไข้ของเธอและอาการเหนื่อยล้า “แบบนี้ถ้าจะไม่ไหว ฟรานเชสก้า โจชัว !! มาทางนี้หน่อย !!” ทันทีที่อาเธอร์กล่าวเช่นนั้นวิญญาณประจำร้านขายของเก่าทั้งสองตนก็ปรากฏการณ์ขึ้นมาร่างกายของพวกเขาทั้งสองคนนั้นคล้ายกับหมอกควันแต่ก็สามารถที่จะทำให้สิ่งของนั้นขยับได้แบบเดียวกับปรากฏการณ์โปสเตอร์ไกด์“พาเธอไปที่ด้านหลังร้าน” อาเธอร์นั้นออกคำสั่งให้กับวิญญาณทั้งสองคนนั้นพาตัวของฟาร่าไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์ต้องคำสาปด้านหลังร้าน ทันใดนั้นร่างของฟาร่าก็ลอยเหนือพื้นได้อย่างน่าอัศจรรย์และก็ค่อยๆลอยตามอาเธอร์ที่เดินนำหน้าไปสู่ด้านหลังร้านซึ่งเป็นที่เก็บอุปกรณ์ต้องคำสาปอย่างน่าแปลกใจ เมื่อมาถึงด้านหลังร้านฟรานเชสก้าและโจชัวอันตรธานหายไป ฟาร่านั้นค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยความยากลำบากเธอก็พบว่าตัวเธอนั้นอยู่ที่ด้านหลังร้านกับอาเธอร์เรียบร้อยแล้ว ถึงเธอนั้นจะสงสัยอยู่บ้างว่าเขาทำอย่างนั้นได้ยังไงแต่ว่าก่อนที่เธอนั้นจะได้เอ่ยปากถามอะไรก็อาเธอร์ก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า “เอาล่ะครับคุณลูกค้าได้โปรดบอกความปรารถนาของคุณมา…..”ช่วงค่ำของวันนั้น แมรี่และแคทเธอรีน คอยอยู่ภายในห้องพักของโรงแรมอย่างกระวนกระวายฟาร่าที่ควรจะนอนพักอยู่ในห้องนั้นหายตัวไป เธอนั้นเป็นไข้หวัดจากการทำงานหนักถึงเธอนั้นจะถูกห้ามอย่างหนักแน่นจากสมาชิกภายในวงของเธอไม่ให้ทำงานพิเศษแต่เธอนั้นก็ไปสมัครทำงานจนได้อีกครั้งเธอนั้นยังกลับมาซ้อมดนตรีในช่วงค่ำทำให้ร่างกายของเธอนั้นล้มป่วยลงเพราะไม่สามารถจะรับกับภาระอันหนักเกินไปได้ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแมรี่และแคทเธอรีนนั้นตำหนิเธออย่างหนัก ในเรื่องที่เธอนั้นทำอะไรลงไปโดยพละการเธอนั้นกำลังจะทำให้การแข่งขันของพวกเธอนั้นล้มไม่เป็นท่า แต่ในตอนนี้หลังจากที่ฟาร่านะหายตัวไปพวกเธอสองคนนั้น กำลังนั่งคิดทบทวนและสำนึกผิดในสิ่งที่พวกเธอนั้นได้ทำลงไปเช่นกัน “แมรี่เธอคิดว่าพวกเราเป็นคนที่เลวร้ายหรือเปล่านะ บางทีฉันน่าจะลองมองในมุมมองของฟาร่าดูบ้าง...เธอเป็นคนที่พยายามที่สุด เธออยากจะช่วยเหลือเราให้ได้มากที่สุด แต่เรากลับ….” แคทเธอรีนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูโศกเศร้า แมรี่ซึ่งนั่งอยู่บนเตียงนอนภายในห้องเธอนั้นนั่งก้มหน้าแววตาของเธอนั้นก็แลดูโศกเศร้าเช่นกันแต่เธอก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา“พวกเรากลับกันเถอะ อาการไข้ของฟาร่าก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าเธอคงไม่น่าจะหายทันวันแข่งขันหรอก พวกเราไม่มีทางไปลงแข่งได้ถ้าไม่มีเธอ พวกเราแพ้แล้วล่ะ กลับกันเถอะนะ” แมรี่ซึ่งเป็นคนที่เคยตรงไปตรงมาและเลือกที่จะมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายอย่างไม่ลดละกับเอ่ยคำขอยอมแพ้ออกมาอย่างนึงยิ่งสร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้กับแคทเธอรีนมากขึ้น “ฉันควรจะทำยังไงดี …… ความฝันของพวกเราจะต้องมาจบลงตรงนี้แล้วหรอ ?” แคทเธอรีนถามคำถามขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย แมรี่เองก็รู้ว่าคำถามนี้ไม่ได้เอ่ยขึ้นเพื่อถามกับตัวเธอ แต่ในคำถามที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าของแคทเธอรีนแมรี่นั้นจำเป็นที่จะต้องให้คำตอบบางอย่างออกไป ดังนั้น แมรี่จึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “มันจบแล้วล่ะ ถึงฉันจะไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้แล้วจบลงตรงนี้ก็เถอะ แคทเธอรีน เราออกไปตามหาฟาร่ากันเถอะนะ เขาต้องพาเธอไปหาหมอ อาการป่วยของเธอหนักมากถึงมันจะเป็นไข้หวัดแต่มันอาจจะทำให้เธอเป็นอันตรายมากก็ได้ เราจะมามัวอยู่ที่นี่ไม่ได้ !!” แมรี่นั้นเอ่ยปากขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น และคำพูดของเธอนั้นก็สมเหตุสมผล อาการไม่สบายของฟาร่านั้นถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ไข้หวัดที่เกิดจากการโหมงานหนักและตรากตรำ เธอนั้นก็ควรจะต้องนอนอยู่เฉยๆ และพักฟื้น การที่เธอออกไปข้างนอกอีกนั้นอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตของเธอได้“ไม่หรอกมันยังไม่จบ !! ขอแค่มีเธอกับฟาร่า ต่อให้ฉันจะต้องล้มและลุกขึ้นใหม่อีกกี่ครั้ง ฉันก็จะก้าวเดินต่อไป ไปกันเถอะพวกเราไปตามหาฟาร่ากัน !!” แคทเธอรีนกล่าวขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นอย่างรวดเร็วความหวังของเธอนั้นยังไม่หมดไปถึงแม้ว่าเธอนั้นจะต้องพบกับความเจ็บปวดก็ตามงานประกวดดนตรีในครั้งนี้คงจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับเธออีกแล้ว เธอนั้นตัดสินใจที่จะไปตามหาฟาร่าและนำตัวเธอกลับมา แมรี่นั้นก็ดูเหมือนว่าจะเห็นด้วยในสิ่งที่เธอกำลังจะทำ แต่ทว่าก่อนที่สองสาวนั้นจะเปิดประตูของห้องพักโรงแรมออกไปเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสร้างความตกใจให้กับทั้งสองคนอย่างมากก๊อกๆๆ !! “แคทเธอรีน แมรี่เปิดประตูหน่อย ฉันกลับมาแล้วค่ะ !!” เสียงของฟาร่าดังขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของประตู เสียงของเธอนั้นดูร่าเริงสดใสราวกับว่าอาการป่วยของเธอนั้นไม่เคยมีอยู่ ยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับสองสาวมากขึ้นไปอีก แต่ในความแปลกใจนั้นพวกเธอทั้งสองคนกับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เพื่อนของเธอนั้นปลอดภัย พวกเธอทั้งสองคนนั้นจึงรีบเดินไปเปิดประตูทันทีทันทีที่บานประตูไม้เก่าๆของห้องพักถูกเปิดออก เบื้องหน้าของทั้งสองคนนั้นก็คือฟาร่า เธอนั้นอยู่ในชุดที่เหมือนกับชุดซึ่งเธอสวมใส่ตอนนอนป่วยไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ว่าเธอในตอนนี้มีสีหน้าที่ดูแจ่มใสยิ้มแย้มและร่าเริง อาการป่วยของเธอนั้นเหมือนกับจะหายไปเป็นปลิดทิ้งได้อย่างน่าอัศจรรย์ แคทเธอรีนนั้นตกใจมากจึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า“ฟาร่าเธอหายไปไหนมา !! ฉัน…..ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่ !! ฉันขอโทษนะฉันไม่น่าจะพูดอะไรไม่ดีกับเธอออกไป ก่อนหน้านี้….” ความดีใจความเสียใจและความรู้สึกสำนึกผิดถาโถมเข้ามาใส่แคทเธอรีน จนทำให้เธอนั้นถึงกลับเรียบเรียงคำพูดได้ไม่ถูก ฟาร่านั้นเมื่อได้เห็นท่าทางของแคทเธอรีนเป็นเช่นนั้นเธอก็เดินเข้าไปและตบที่บ่าของแคทเธอรีนเบาๆก่อนที่เธอนั้นจะกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ทำใจสบายเถอะนะ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะ” ฟาร่ากล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูใจเย็นก่อนที่เธอนั้นจะหยิบออกมาอย่างเป็นมิตร ท่าทางของเธอนั้นทำให้ทั้งสองสาวนั้นรู้สึกแปลกใจแต่ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากด้วย “แล้วก่อนหน้านี้เธอหายไปไหนมาเหรอ ? พวกเราพยายามตามหาเธอรอบๆบริเวณนี้ก็ไม่เจอเลย !!” แมรี่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเป็นห่วงเป็นใย แต่ในน้ำเสียงของเธอก็มีความโกรธปนอยู่เล็กน้อยที่ฟาร่านั้นหายไปโดยที่ไม่บอกพวกเธอ“ขอโทษนะแมรี่ ฉันไปที่ร้านขายของแห่งหนึ่งมา ร้านขายของที่จะทำให้ความปรารถนาของฉันและพวกเธอเป็นจริง” คำพูดของฟาร่านั้นฟังดูกำกวมจึงสร้างความสงสัยให้กับ แมรี่และแคทเธอรีนมากพอสมควรแต่ว่าทั้งสองสาวนั้นก็เลือกที่จะไม่ถามสิ่งนั้นตอนนี้ เพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้พวกเธอทั้งสองคนนั้นเพิ่งจะตำหนิฟาร่าอย่างรุนแรง ในเรื่องที่เธอนั้นแอบไปทำงานพิเศษจนทำให้ร่างกายรับไม่ไหวและล้มป่วยลง พวกเธอจึงไม่อยากที่จะซักไซ้ไล่เลียง ในเรื่องที่ฟาร่านั้นทำอีกอย่างน้อยก็เลยตอนนี้ “เอาล่ะ !! เรามาดูกันเถอะ ว่าฉันได้อะไรมาบ้าง” ฟาร่ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูร่าเริงและดีอกดีใจ ก่อนที่เธอนั้นจะเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉงเธอตรงเข้าไปยังกองสัมภาระของเธอและไปหยิบกีต้าร์ตัวโปรดของเธอขึ้นมา แต่ทันทีที่แคทเธอรีนเห็นท่าทางของเธอเป็นเช่นนั้นแคทเธอรีนก็กล่าวขึ้นมาอย่างรีบร้อนว่า “เดี๋ยวก่อนนะ !! อาการไข้ของเธอเพิ่งจะหายดีไม่ใช่หรอฟาร่า จะเล่นกีตาร์ตอนนี้เลยมันจะดีหรอ นอนพักสักหน่อยดีกว่านะ” แคทเธอรีนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเป็นห่วงแต่ว่าฟาร่านั้นกลับยิ้มแทนคำตอบให้กับเธอ ก่อนที่ฟาร่านั้นจะลงมือเล่นกีต้าร์ตัวโปรดของเธอในเพลงที่พวกเธอทั้ง 3 คนนั้นจะใช้ขึ้นแสดงเสียงเพลงที่ฟาร่าเล่นออกมา ดูมีความลงตัวและความไพเราะมากกว่าที่ฝีมือของเธอเคยทำได้ตามปกติเกือบ 2 เท่าตัว สิ่งที่แสดงออกมานั้นสร้างความแปลกใจให้กับแมรี่และแคทเธอรีนเป็นอย่างมาก ฟาร่านั้นยังคงเล่นเพลงต่อไปเรื่อยๆ จนจบโดยที่ทั้งสองสาวนั้นยืนมองด้วยความตกตะลึงและประหลาดใจ เมื่อโน๊ตเพลงตัวสุดท้ายถูกบรรเลงจบลงแมรี่ก็กล่าวถามขึ้นมาทันทีว่า“ตอนแรกฉันคิดว่าจะไม่ถามหรอกนะ แต่ตอนนี้คงจะไม่ได้แล้วล่ะ เธอไปทำอะไรมากันแน่ ?” แมรี่นั้นกล่าวถามออกไปอย่างตรงประเด็น คำถามของเธอนั้นทำให้ฟาร่าหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะตอบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ชวนขนลุกว่า “ในลอนดอนแห่งนี้ว่ากันว่ามีร้านขายของเก่าร้านหนึ่งที่จะช่วยทำให้ความปรารถนาของคนเป็นจริงได้โดยที่ต้องแลกกับอะไรบางอย่างมา ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น แต่ว่าในที่สุดฉันก็ไปที่ร้านนั้นมาล่ะ แล้วฉันก็ขอให้ฉันหายจากอาการป่วยและสามารถจะเล่นดนตรีได้เก่งขึ้นยังไงล่ะ” ฟาร่าตอบออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูพออกพอใจ แต่ว่ารอยยิ้มที่ทั้งสองสาวเพื่อนของฟาร่าเห็นนั้นมันเป็นรอยยิ้มที่ดูสยดสยองและชวนให้ขนลุกมากกว่า แคทเธอรีนเมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอก็รู้สึกสงสัยและกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือทันทีว่า “เธอบอกว่าจำเป็นจะต้องแลกอะไรบางอย่างอย่างนั้นหรอ แล้วเธอแลกอะไรออกไปล่ะ ?” แคทเธอรีนนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะซักไซ้ฟาร่าเท่าไหร่นัก แต่ว่าเธอถามออกไปเพราะว่าบทสนทนานั้นนำพาให้ไปสู่คำถามนี้ แต่ดูเหมือนว่าคำถามของแคทเธอรีนนั้นจะไปสะกิดส่วนที่สำคัญที่สุดของเรื่องราวเข้าซะแล้ว ฟาร่านั้นหันไปมองเธอด้วยสายตาที่ดูน่ากลัวและจับจ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สายตาของฟาร่านั้นทำให้เธอรู้สึกขนลุกจนแทบจะเข่าอ่อนไปชั่ววูบหนึ่ง แต่ฟาร่านั้นก็หันกลับมายิ้มอย่างร่าเริงซึ่งมันดูเหมือนกับการเสแสร้งมากกว่าพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า “ความลับน่ะ แต่ว่ามันไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองหรือว่าอะไรอย่างที่พวกเธอคิดหรอก เอาเถอะฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระมากกว่านะ อย่าไปสนใจมันเลย วันนี้ฉันเหนื่อยมากแล้วล่ะพวกเธอสองคนก็คงจะเหมือนกันสินะ พวกเราพักผ่อนกันเถอะ” ฟาร่านั้นกล่าวออกมา ด้วยท่าทางที่ดูเลื่อนลอยราวกับจะบอกปัดในสิ่งที่เธอนั้นจำเป็นจะต้องตอบ ก่อนที่เธอนั้นจะมีใบหน้าที่ดูเลื่อนลอยอยู่ชั่วแว่บนึง“นะ….นั่นสินะ เอาล่ะถ้าอย่างนั้นวันนี้เราพักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะต้องไปที่เวทีการแข่งขัน เพื่อที่จะไปซ้อมล่วงหน้า 1 วัน แยกย้ายกันพักผ่อนเถอะนะ ดีแล้วล่ะที่เธอกลับมาฟาร่า” แมรี่เอ่ยปากพูดขึ้นเพื่อตัดบทสนทนา ก่อนที่ทั้งสองสาวนั้นจะทิ้งปมปริศนาซึ่งพวกเธอนั้นอยากรู้เอาไว้เบื้องหลังและเข้านอนตามปกติ เปลวเทียนที่อยู่ในห้องซึ่งเคยให้แสงสว่างสีเหลืองนวลถูกดับลง ความมืดยามรัตติกาลย่างกรายเข้ามาปกคลุมภายในห้องของทั้ง 3 สาว แคทเธอรีนนั้นรู้สึกเย็นที่ไขสันหลังอย่างบอกไม่ถูกแต่เธอนั้นก็ไม่ได้อธิบายสิ่งที่เธอรู้สึกให้กับใครได้ฟังเธอนั้นพยายามใช้ความง่วงเข้าข่มความรู้สึกสงสัยของเธอก่อนที่เธอนั้นจะหลับตาลงและจมลงไปสู่ห้วงนิทรา To Be Continued Next Episode Part 2 !!
|
|