Post by wildrose on Jun 21, 2019 15:25:20 GMT
Episode 10 : Each Person's Past
พวกเรารีบออกเดินทางจากอุโมงค์ของทางเดินรถไฟทันทีหลังจากที่พวกเรากลับไปที่นั่นและพบว่าอัลนั้นถูกพาตัวไปแล้ว พวกเราแน่ใจได้ว่ามันต้องเป็นฝีมือของนักรบในชุดเกราะสีขาวและพรรคพวกของเธออย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ลีโอนั้นดูเหมือนว่าจะรีบร้อนให้ผมออกเดินทาง พวกเราทั้งสามคนจึงรีบเดินทางกลับมายังเมืองอุด้าเพื่อที่จะไปขึ้นเรือเหาะซึ่งจะออกเดินทางไปยังริมซ่าก่อนที่เที่ยวบินสุดท้ายนั้นจะออกจากชานชลาไป
แต่ว่าทันทีที่พวกเขามาถึงหน้าเมืองก็ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาคอยการมาถึงของพวกเราอยู่แล้ว ท่าทางของพวกเขาเหล่านั้นดูสงบนิ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีรังสีของการฆ่าฟันอยู่แต่ว่าบางสิ่งบางอย่างก็สามารถบอกผมได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขานั้นไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
“ลีโอ ดูเหมือนว่าพวกเราจะเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้วนะคะ จะทำยังไงกันดีคะเนี่ยแบบนี้ ?” มิโดริมองทางลีโอก่อนที่เธอนั้นจะทำคำถามที่ดูจะตอบยากที่สุดในเวลานี้ออกมา ลีโอ หลังจากที่ได้ยินเธอทำแบบนั้นเขาก็มีท่าทางที่ดูสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขานั้นจะพูดออกมาว่า
“ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ได้แย่อย่างที่ผมคิดนะ ไว้ผมจะผมลองเข้าไปเจรจาดูก่อน ถ้ายังไงอย่าเพิ่งทำอะไรโดยพละการนะครับ” ลีโอกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังสายตาของเขานั้นจับจ้องไปยังผู้ที่มายืนรอพวกเราอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย
“มิโดริ คุณคอยอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ คุณนาซมากับผมหน่อยเราจะเดินเข้าไปพูดคุยกับพวกเขากัน แต่ถ้าหากว่าทหารพวกนั้นลงมือจะทำอะไรบางอย่างคุณมีโดริรีบหนีเอาตัวรอดไปก่อนนะครับ เพราะว่าในเรื่องนี้คุณมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุดผมไม่อยากให้คุณจะต้องมาติดร่างแหกับพวกผมไปด้วย” ลีโอกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง มิโดริพยักหน้าเบาๆเพื่อเป็นการตอบรับในสิ่งที่ลีโอนั้นบอกกับเธอ
“เจ้าคนที่สวมผ้าคลุมคือคนที่อยู่ในประกาศจับอย่างไม่ต้องสงสัย ข้ามาอยู่ที่นี่แล้วหากพวกเจ้าคิดจะหลบหนีเข้าเมืองย่อมเป็นไปไม่ได้ ยังไม่คิดจะเข้ามามอบตัวอีกเหรอ ?” หญิงสาวชาวเผ่าลาล่าเฟตผู้มีเส้นผมสีชมพูซึ่งนั่งอยู่บนโจโคโบะสีขาวซึ่งถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ท่าทางของเธอนั้นดูมีความสง่าและทรงอำนาจแต่ว่าเธอนั้นไม่ได้สวมเกราะจึงไม่น่าจะใช่ทหารระดับสูงอย่างแน่นอน ลีโอเมื่อได้ยินหญิงสาวชาวเผ่าลาล่าเฟตผู้มีเส้นผมสีชมพูกล่าวขึ้นมาแบบนั้นเขาก็รีบลงจากหลังของโจโคโบะและตรงเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้นทันทีด้วยท่าทางที่ดูนอบน้อม
“ถวายบังคมฝ่าบาท !” ทันทีที่เลโอไปอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวชาวเผ่าลาล่าเฟตผู้มีเส้นผมสีชมพูเขาก็คุกเข่าลงทำความเคารพด้วยท่าทางที่ดูนอบน้อมก่อนที่จะเอ่ยปากกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบร้อยแล้วเป็นทางการ คำพูดแรกของเขานั้นทำให้ผมสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าหญิงสาวคนนี้คือใคร แต่ถึงผมจะเข้าใจอย่างนั้นผมก็ยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆลีโอโดยที่ไม่ได้คุกเข่าลงแต่อย่างใด แต่ดูเหมือนว่าทุกคนในที่นั้นจะไม่ได้สนใจถึงกริยามารยาทของผมเลยแม้แต่น้อย
“องค์หญิงนานาโมะ ข้าพเจ้ามีเรื่องที่จะขอกราบทูลชี้แจงให้ทราบสักเล็กน้อยพะยะค่ะ !” ลีโอซึ่งอยู่ในท่าทางคุกเข่ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและนอบน้อม คำพูดของเขานั้นทำให้สีหน้าของนานาโมะนั้นดูรู้สึกสนอกสนใจมากขึ้นเล็กน้อยเธอจึงกล่าวออกมาว่า
“มีเรื่องอะไรลองพูดมาสิ ข้าเองก็อยากจะทราบเหตุผลของเจ้าอยู่เหมือนกัน” เมื่อได้ยินนานาโมะกล่าวดังนั้นลีโอจึงได้เริ่มอธิบายเรื่องราวของผมในมุมมองของเขาให้กับนานาโมะได้รับรู้ ทั้งเรื่องที่เขานั้นเจอผมนอนสลบอยู่ที่กลางทะเลทรายทานาลัน เขาได้เป็นคนช่วยผมเอาไว้ แล้วพวกเราก็ได้เริ่มออกมาผจญภัยด้วยกัน อีกครั้งเรื่องที่เกิดขึ้นบริเวณพฤกษาแห่งการปกป้องเขาก็ได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้รับรู้ไปจนหมดสิ้น จนในที่สุดลีโอนั้นก็พูดขึ้นมาว่า
“ข้าพเจ้าคิดว่านี้จะต้องเป็นการเข้าใจผิดกันแน่นอนพะยะค่ะ ไม่มีทางที่ชายคนนี้จะเป็นคนร้ายไปได้มันจะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ข้าพเจ้าขอยืนยันในเกียรติของข้าพเจ้าว่าทั้งหมดนี้คือความจริงพะยะค่ะ” ลีโอนั้นพูดยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของผมให้กับนานาโมะได้รับรู้ ซึ่งเธอนั้นก็มีสีหน้าที่ดูครุ่นคิดหลังจากที่ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่ลีโอเล่า
“ลีโอ ในฐานะที่เจ้าเป็นอดีตองครักษ์ของข้า คำพูดของเจ้านั้นย่อมต้องมีน้ำหนัก และสิ่งที่พูดมันก็ดูสมเหตุสมผลพอจะเข้าใจได้ การที่เจ้าจะรีบไปยังริมซ่า โลมินซ่า ก็เพื่อที่จะทำตามคำทำนายของหญิงสาวที่มีชื่อว่าจันทราและหายาถอนพิษให้กับชายผู้นี้สินะ ข้าเข้าใจแล้วล่ะ” นานาโมะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนหลังจากที่เธอนั้นได้คิดทบทวนในเรื่องทุกอย่างและดูเหมือนว่าเธอนั้นก็จะเข้าใจซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ” ลีโอกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดียินดี หลังจากที่เขาได้ยินนานาโมะพูดออกมาแบบนั้น มิโดริซึ่งคอยหลบอยู่ในวงนอกก็เข้ามาทำความเคารพนานาโมะด้วยกันคุกเข่าพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณด้วยเช่นกัน ผมเองก็รู้สึกดีใจที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันกำลังจะจบลงด้วยดีแต่ว่าทันใดนั้นนานาโมะก็พูดขึ้นมาว่า
“แต่ว่านักรบแห่งแสงซึ่งเป็นวีรบุรุษของเอโอเซีย ได้บอกกับพวกเราว่าชายผู้นั้นจะเป็นคนนำมาซึ่งหายนะ ถ้าหากว่าเราปล่อยให้เขาออกไปจากอานาเขตดินแดนของเราได้ สนธิสัญญาความร่วมมือก็คงจะต้องพังสะบั้นลง เราคงจะไม่อาจเพิกเฉยต่อการจับกุมชายผู้นั้นได้ถึงต่อให้เขานั้นจะยังไม่ได้กระทำความผิดใดๆเลยก็ตาม ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจตรงจุดนี้ด้วยเหมือนกันนะ” สิ่งที่นานาโมะพูดออกมานั้นทำให้พวกเราทั้งสามคนถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าคำว่านักรบแห่งแสงนั้นมีพลังอำนาจและเป็นที่เคารพบูชาของพวกเขาขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเราจะเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆแล้ว
นานาโมะลงมาจากหลังของโจโคโบะสีขาวของเธอ เธอลงมายืนอยู่ข้างหน้าทหารองครักษ์ฝีมือดีทั้ง 3 คนที่คอยรักษาความปลอดภัยของเธออยู่ข้างกาย
“แต่ข้าก็เชื่อใจเจ้านะเลโอ ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นคนอย่างไรแล้วความจงรักภักดีของเจ้านั้นมีค่าขนาดไหน ดังนั้นข้าจึงอยากจะเสนอวิธีที่จะให้เจ้าออกไปจากที่นี่ได้โดยไร้ข้อครหาจากทางเรา” นานาโมะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสงบนิ่ง ใบหน้าของเธอในตอนนี้นั้นดูจริงจัง
“วิธีที่ฝ่าบาททรงตรัสออกมาหมายถึงสิ่งใดหรือพะยะค่ะ” หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นลีโอก็กล่าวถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“จงกลับมาทำงานให้กับเรา ถึงจะไม่ใช่ในฐานะขององครักษ์ก็เถอะ แล้วหลังจากนั้นข้าจะมอบอำนาจให้เจ้าเป็นคนควบคุมตัวชายผู้นั้น ในฐานะของเจ้าหน้าที่กองทัพเมืองอุด้า แบบนี้ยังไงล่ะ และถ้าหากว่าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้วเจ้ายังอยากที่จะกลับไปเป็นนักผจญภัยเหมือนเดิมซึ่งตอนนั้นข้าจะให้อิสระกับเจ้าแบบนี้ดีไหม ?” นานาโมะกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังซึ่งสิ่งที่กล่าวออกมานั้นทำให้ลีโอรู้สึกตกใจไม่น้อย
“ฝ่าบาททรงเป็นพระกรุณายิ่งนัก ข้าพเจ้าจะไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้เลยพระเจ้าค่ะ” ลีโอกล่าวตอบรับด้วยท่าทางที่ดูนอบน้อม ข้อเสนอของนานาโมะก็คือให้ลีโอกลับไปเป็นเจ้าหน้าที่ของเมืองอุด้าอีกครั้ง และในฐานะของเจ้าหน้าที่ก็สามารถที่จะทำการควบคุมตัวของนาซไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ดูเหมือนว่านานาโมะนั้นจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วสิ่งที่ลีโอกำลังจะทำไม่มากก็น้อย
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเข้าใจแล้วคงจะรู้สินะว่าธรรมเนียมในการจะเข้ามาเป็นข้าราชบริพารฝ่ายกองทัพของนครอุด้านั้นคืออะไร ? คงจะเตรียมใจรับบททดสอบนั้นเอาไว้ในที่นี้ตอนนี้เรียบร้อยแล้วสินะ” นานาโมะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง และสีหน้าของลีโอนั้นก็ดูเปลี่ยนไป
“ข้าพเจ้าเตรียมใจไว้แล้วพะยะค่ะ ได้โปรดลงมือเลยเถิด” ลีโอคุกเข่าลงอีกครั้งพร้อมกับกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง นานาโมะเดินออกไปด้านข้างและสั่งให้ทหารที่ตามมาของตนนั้นทำการชักอาวุธออกมา ลีโอยืนขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสงบนิ่งก่อนที่เขานั้นจะชักมีสั้นทั้งสองเล่มออกมาเพื่อเตรียมที่จะต่อสู้
“บททดสอบภาคีอัศวิน จะเริ่มต้นขึ้นเบื้องหน้าของข้า ณ บัดนี้ ! เริ่มทำการทดสอบได้” นานาโมะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังในขณะที่ทหารของเธอทั้ง 3 คนและพวกของลีโอเตรียมที่จะต่อสู้กัน ตามธรรมเนียมของกองทัพเมืองอุด้า ผู้ที่จะเข้ามาเป็นองครักษ์ได้นั้นจะต้องมีความแข็งแกร่งและได้รับการยอมรับในฝีมือจากการต่อสู้เบื้องหน้าพระพักตร์ขององค์หญิงนานาโมะ แต่ในคราวนี้การต่อสู้นั้นถูกจัดขึ้นมาอย่างรีบร้อนและดูเรียบง่ายไปหน่อยแต่มันก็ยังคงแฝงไปด้วยธรรมเนียมที่ดูมีมนต์ขลังอย่างเช่นเดิม
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนี่พวกเราจะได้สู้กับองครักษ์ในตำนานคนนั้นอย่างนั้นหรอ ?”
“ราชสีห์ขาว Leonel Leovanes ตำนานที่มีชีวิตคนนั้น คนที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือในการต่อสู้เป็นเลิศเทียบเคียงสูสีไม่แพ้แม่ทัพลาบัน นี่พวกเรากำลังฝันไปใช่ไหมเนี่ย ?”
“พวกเราจะสู้อย่างสุดกำลัง ได้โปรดอย่าออมมือนะครับ !”
เสียงของทหารในชุดเกราะสีขาวทั้ง 3 คนกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นดูเหมือนว่าพวกเขานั้นจะรู้จักกับลีโอเป็นอย่างดี ท่าทางของเขานั้นดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
“ไม่อยากจะเชื่อเลยแหะเจ้าเป็นคนดังขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ?” ผมกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูตกใจอย่างเหลือเชื่อ ในขณะที่ ลีโอ เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาได้แต่กล่าวออกมาสั้นๆว่า
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับคุณนาซ มันก็แค่เรื่องราวในอดีตนิดหน่อย แต่ว่าอย่าประมาทนะครับ อัศวิน 3 คนนั้นเป็นถึงองครักษ์ส่วนตัวขององค์หญิงนานาโมะ พวกเขาไม่ธรรมดาแน่นอนครับ !”
โอวร๊า ! หลังจากที่ ลีโอ กล่าวจบ ทหารผู้ถือขวานคนแรกก็พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็วการโจมตีของเขานั้นฟาดลงมาอย่างฉับพลันก่อให้เกิดแรงกระแทกไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความตกตะลึงให้กับผมเป็นอย่างมากผมไม่เคยคิดเลยว่า special effect ที่ใช้ในการแสดงนั้นจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ลีโอและมิโดริ ถอยหลังหลบการโจมตีครั้งนี้อย่างคล่องแคล่วในขณะที่ผมนั้นไม่ได้ตั้งตัวจึงไม่สามารถจะหลบการโจมตีครั้งนี้ได้ทัน
“โอ้ย !” ผมอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด ท่าทางที่เจ็บปวดของผมนั้นทำให้มิโดรินั้นรู้สึกตกใจและตื่นตัวมาก เธอรีบเปิดหนังสือและร่ายเวทย์มนต์บางอย่างทันที
ทันใดนั้นแสงสว่างเป็นวงกว้างก็บังเกิดขึ้นอาการเจ็บปวดของผมก็ทุเลาลง ผมพึ่งจะได้รู้ว่ามิโดรินั้นได้รับบทเป็นนักเวทย์มนต์ภายในรายการเรียลลิตี้โชว์นี้นั่นเอง การใช้เวทมนตร์มันเป็นอะไรที่ดูเท่ห์และมหัศจรรย์มากๆเลยจริงๆนะ ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้เล่นบทแบบนี้บ้างหรือเปล่าผมเองก็แอบหวังไว้ในใจอยู่เหมือนกันแหละ
“ผู้ชายที่สวมผ้าคลุมนั้นมีฝีมืออ่อนที่สุด พวกเรารีบโจมตีมันก่อน” ทหารทั้งสามคนนั้นรู้ได้ทันทีจากการปะทะครั้งแรกว่าผมนั้นมีฝีมือที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้ พวกมันจึงไม่รอช้าและรีบตรงเข้ามาโจมตีผมทันที
“แย่แล้ว คุณนาซ ระวังครับ !” ลีโอ อุทานขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่เขานั้นพุ่งตัวเข้ามาอยู่ด้านหน้าผมเพื่อที่จะรับการโจมตีของทหารทั้งสามคนที่กำลังฟาดใส่เข้ามาแทนผม ทันใดนั้นแสงสว่างสีขาวประกายเจิดจ้าก็บังเกิดขึ้น
หลังจากแสงสว่างสีขาวผมรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่รุนแรง ระเบิดออกมารอบตัวของลีโอ มันผลักทหารทั้งสามคนที่เข้ามาจู่โจมเขาให้ถอยออกไปพร้อมๆกัน
หลังจากนั้นแสงสว่างสีขาวเส้นใหญ่ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากจุดที่ลีโอนั้นยืนอยู่ ถึงแม้ว่าทหารทั้งสามคนนั้นจะพยายามเข้ามาโจมตีอีกครั้งหนึ่งแต่ดูเหมือนว่าการโจมตีของพวกเขานั้นจะไม่มีผลเลย
ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ลำแสงสีขาวที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้านั้นพุ่งกลับลงมายังพื้นดิน มันจู่โจมใส่ทหารทั้งสามคนที่อยู่บริเวณนั้น อย่างไร้ความปราณีและรุนแรง
ทหารบางคนนั้นได้รับความเจ็บปวดจนไม่สามารถที่จะยืนทรงกายอยู่ได้ ส่วนทหารบางคนนั้นถึงกับชาไปตามร่างกายจนทรุดลงกับพื้นในทันที การต่อสู้ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะจบลงอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นผมก็ได้เห็นทหารทั้ง 3 คนทรุดกายลงเบื้องหน้าของเลโอ ผลการต่อสู้ครั้งนี้ออกมาแล้ว ทหารทั้ง 3 คนนั้นแพ้อย่างราบคาบ ด้วยฝีมือที่ดูเหมือนว่าจะห่างชั้นกันเหลือเกิน
ผมรีบหันกลับไปดูที่ลีโอทันใดนั้นผมก็ได้เห็นว่าชุดที่เขาใส่อยู่นั้นเปลี่ยนไป จากที่เขาเคยใส่ชุดผ้าซึ่งดูกระฉับกระเฉงและเคลื่อนไหวได้สะดวก ในตอนนี้เขากลับใส่ชุดเกราะเหล็กสีขาว ที่ดูองอาจและแข็งแกร่ง ในมือของเขาทั้งสองข้างนั้นถือดาบเล่มใหญ่ซึ่งของมันนั้นแทบจะเท่ากับขนาดตัวของเขาและโล่ห์ที่หนาและหนัก
“ราชสีห์ขาว มันเป็นอย่างนี้เองสินะ” ผมเผลอหลุดปากพูดออกไปโดยที่ไม่ทันได้คิดทันทีที่ได้เห็นรูปร่างของลีโอในตอนนี้
“เป็นการต่อสู้ที่ดีนะ แต่ผมอยากจะขอบอกสิ่งสำคัญในการเป็นอัศวินเอาไว้สักอย่างนึง ในการประลอง มันไม่ใช่สงครามที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ ดังนั้นจงสู้อย่างมีเกียรติและอย่ารังแกคนอ่อนแอ ถ้าหากพวกนายยังสามารถที่จะรักษากฎนี้เอาไว้ได้ สักวันหนึ่งพวกนายต้องเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งแน่” ลีโอกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและเคร่งขรึม เขานั้นบอกกับเราเป็นทหารที่พ่ายแพ้ว่าการที่พวกเขานั้นเล็งโจมตีคนที่อ่อนแอที่สุดก่อนในการประลองเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เพราะในจังหวะที่พวกเขานั้นกำลังจะเข้าโจมตีคนที่อ่อนแอพวกเขาจะประมาทคนที่แข็งแกร่งที่สุดไปโดยปริยาย
“สมแล้วกับที่เป็นอดีตองครักษ์ ฝีมือของเจ้ายังคงน่าประทับใจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” นานาโมะเดินเข้ามาหาลีโอพร้อมกับกล่าวชมด้วยท่าทางที่ดูยินดี
“ขอบคุณที่ให้คำแนะนำครับ !!” ทหารทั้ง 3 นายที่ร่างกายเริ่มจะขยับได้เหมือนเดิมแล้ว ลุกขึ้นมายืนตั้งแถวและทำความเคารพลีโอโดยพร้อมเพียงกัน ท่าทางและความแข็งแกร่งในระเบียบวินัยของพวกเขานั้นทำให้ผมรู้สึกประทับใจจริง ถึงจะรู้ว่านี่เป็นการแสดงก็เถอะ
“Leonal Leovanes จากนี้ไปข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นอัศวินแห่งอาณาจักรอุด้า ภารกิจแรกของเจ้าคือควบคุมตัวนักโทษที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของอาณาจักร เจ้าจะนอนมารับหน้าที่นี้หรือไม่ ?” นานาโมะยื่นเหรียญตราประจำกองกำลังอัศวินให้กับลีโอ เขารับเหรียญตรานั้นมาด้วยความรู้สึกต่างๆมากมาย
“น้อมรับพะยะค่ะ ข้าพเจ้าว่าจะปฏิบัติหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายนี้ดุจดั่งชีวิตของข้าพเจ้า” ลีโอกล่าวคำปฏิญาณสั้นๆซึ่งเขานั้นรู้สึกคุ้นเคยกับถ้อยคำเหล่านี้อย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นองค์หญิงนานาโมะและทหารคุ้มกันของเธอก็ทยอยกันเดินทางกลับไปโดยไร้คำพูดใดๆ
“สุดยอดไปเลยนะลีโอ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเคยเป็นคนใหญ่คนโตถึงขนาดนี้ น่าประทับใจจริงๆ” ผมกล่าวชื่นชมลีโอด้วยท่าทางที่ดูชื่นชมและตื่นเต้น ลีโอเงยหน้ามองผมด้วยสายตาที่ดูราบเรียบก่อนที่จะกล่าวว่า
“มันเป็นอดีตน่ะครับ แต่เรื่องจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะตอนนี้พวกเราสามารถจะออกเดินทางไปที่ริมซ่า โลมินซ่าได้แล้ว แค่นั้นก็พอแล้วล่ะครับ” ลีโอเลี่ยงที่จะตอบคำถามและคำชื่นชมของผมผมรู้สึกได้ถึงความลำบากใจของเขาที่จะต้องสนทนาในหัวข้อนี้ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นบทบาทที่ ลีโอ ได้รับมาแต่ว่าผมรู้สึกได้ถึงความมีพลังของการแสดงของเขาในครั้งนี้อย่างมากมายจนผมไม่กล้าที่จะซักไซ้ไล่เลียงต่อไป
“รีบไปกันเถอะค่ะ เรือบินเที่ยวสุดท้ายกำลังจะออกจากชานชลาแล้วเรามีเวลาไม่มาก” มิโดริกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน เนื่องจากเวลาที่พวกเขาเสียไปนั้นค่อนข้างจะมากทีเดียวแต่อย่างน้อยมันก็ยังทันเวลาที่พวกเขาจะรีบลงไปเพื่อขึ้นเรือบิน
“นั่นสินะครับ พวกเรารีบไปกันเถอะ เวลาชีวิตของคุณนาซกำลังเหลือน้อยลงทุกที พวกเราต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้มีค่า” ลีโอพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังคนที่เขานั้นจะทำการเก็บอุปกรณ์และเปลี่ยนชุดของเขาให้กลับไปเป็นชุดผ้าที่ดูกระฉับกระเฉงตามเดิม แล้วพวกเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองริมซ่า โลมินซ่า
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว แต่ว่าอัลนั้นรู้สึกว่าตัวเขานั้นหลับไปนานเหลือเกิน อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ของเขาคราวที่แล้วนั้นยังคงเจ็บปวดอยู่อย่างรุนแรงดวงตาของเขานั้นหนักอึ้งจนไม่อาจที่จะลืมขึ้นมาได้แต่ตัวเขานั้นก็ยังคงมีสติ เขารู้สึกว่าตัวของเขานั้นกำลังจะจมลงไปในห้วงความฝันทั้งๆที่ตัวของเขานั้นยังคงรู้สึกตัวอยู่มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาด
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัวขึ้นในภาพเหตุการณ์ของเขาก็ตัดมา ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่เขานั้นกำลังเดินอยู่ในป่าของเมืองกรีดาเนีย ภายในป่าสีเขียวที่หนาทึบอัลกำลังถูกรุมล้อมโดยกลุ่มคนซึ่งดูเหมือนว่าจะมาหาเขาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก คนเรานั้นประกอบด้วยทหารซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นคนของทางการ 1 คน และซามูไรอีกจำนวน 3 คน ทุกคนกำลังหันดาบเข้าใส่เขาด้วยท่าทางที่ดุดัน
“ข้าน้อยเดินทางรอนแรมออกมาจากบ้านเกิดไกลถึงขนาดนี้แล้ว พวกท่านยังจะตามมาราวีกันอีกเหรอ ? ปล่อยข้าน้อยให้เป็นอิสระจากเรื่องทั้งหมดไม่ได้หรืออย่างไร ?” อัลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูขมขื่นและเจ็บปวด แต่ว่าภายในมือของเขานั้นก็ยังคงกุมดาบคาตานะเอาไว้อย่างมั่นคง
“โทษทัณฑ์ของเจ้านั้นมากมายนัก แม้แต่จะชดใช้ด้วยชีวิตก็ยังไม่อาจจะหมดได้ การจะปล่อยเจ้ามีลมหายใจอยู่ภายในโลกใบนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ” ซามูไรคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของซามูไรอีก 2 คนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเย็นชา
“เป็นอย่างนั้นเองหรือขอรับ ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยก็มีเพียงแค่ชีวิต ถ้ามีปัญญามาเอาได้ก็เชิญมาเอาไปเลยขอรับ” อัลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูดุดันและจริงจัง ทันใดนั้นการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นในพริบตา
“ถึงเจ้าไม่พูดพวกข้าก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว !” หัวหน้าซามูไรบุกเข้ามาโจมตีอัลในระยะประชิดในทันที แต่ว่าทั้งเชิงดาบและฝีมือของเขานั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่มากพอที่จะสังหารอัลลงได้
เคร๊ง !
อัลสามารถที่จะปัดดาบที่เขาโจมตีเข้ามาได้อย่างไม่ยากเย็น ซามูไร 2 คนซึ่งกำลัง รายล้อมเขาอยู่นั้นก็พุ่งเข้ามาโจมตีพร้อมๆกันหมายที่จะสังหารเขาลงอย่างรวดเร็ว
“มีฝีมือกันแค่นี้คิดจะมาเอาชีวิตของข้าน้อย ดูเหมือนว่านายของพวกเจ้าจะดูถูกฝีมือของข้าน้อยมากเกินไปแล้วนะครับถึงได้ส่งพวกปลายแถวมาแบบนี้” อัลพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูไม่พอใจในขณะที่เขานั้นตั้งท่าเตรียมที่จะโจมตีกลับอย่างรวดเร็วและในชั่วพริบตานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“โอกะ !” ชั่วพริบตานั้นอัลก็ตวัดดาบอย่างรวดเร็วรอบตัวของเขา การโจมตีของเขาเพียงดาบเดียวนั้นสามารถที่จะเอาชนะซามูไรทั้งสามคนที่เข้ามารายล้อมเขาอยู่ได้อย่างไม่ยากเย็น การโจมตีในครั้งนี้บ่งบอกได้ถึงฝีมือที่เฉียบคมของเขาได้เป็นอย่างดี
“แกนะแกเจ้าคนทรยศ !” หัวหน้าซามูไรคำรามออกมาด้วยความโกรธในขณะที่อัลนั้นได้แต่ถือดาบและจับจ้องเขาอยู่อย่างสงบนิ่งก่อนที่อัลจะกล่าวขึ้นมาว่า
“กลับไปบอกนายของพวกเจ้าเถอะนะขอรับ ว่าข้าพเจ้านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแผ่นดินแม่อีกต่อไปแล้ว ถ้าหากว่ายังคิดที่จะรานรอนชีวิตของข้าพเจ้าอีก ก็เชิญตามสบาย แต่ว่าข้าพเจ้าก็จะขัดขืนและต่อสู้อย่างสุดกำลังทุกครั้ง ถ้าหากคิดว่ามีผู้ที่มีฝีมือมากพอจะมานำชีวิตของข้าพเจ้าไปได้ก็ให้เชิญสรรหามาได้เลยขอรับ” อัลกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูเยือกเย็นและสงบนิ่งแต่น้ำเสียงของเขานั้นแฝงไปด้วยความจริงจังและรังสีในการสังหารอย่างชัดเจน
“ไม่อยากจะเชื่อเลยซามูไรที่มือดี 3 คนจะพ่ายแพ้ภายในการโจมตีเพียงแค่กระบวนท่าเดียว” ทหารของทางการคนหนึ่งซึ่งติดตามมาด้วยนั้นเห็นการต่อสู้ทั้งหมดเข้าถึงกับตกใจจนลนลาน
“จริงสินะยังเหลือท่านอยู่อีก 1 คนสินะขอรับ” อัลมองมาทางทหารของทางการด้วยสายตาที่ดูเฉียบคมก่อนที่เขานั้นจะพุ่งเข้าใส่ทหารคนนั้นอย่างรวดเร็ว
ชิ้ง ! อ๊าคคคคค !
สิ้นเสียงสะบัดดาบทหารของทางการคนนั้นก็ถูกโจมตีเข้าไปอย่างรวดเร็วและเฉียบคมก่อนที่เขานั้นจะมีโอกาสได้ปกป้องหรือว่าตั้งตัว
“ไม่อยากจะเชื่อเลยฝีมือที่ร้ายกาจขนาดนี้มันอะไรกัน !” ทหารของทางการคนนั้นทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดเขาได้รับบาดแผลฉกรรจ์จนทำให้เขานั้นไม่สามารถที่จะ ต่อสู้ต่อไปได้ถึงแม้ว่าบาดแผลของเขานั้นจะไม่ใช่จุดอันตรายจนทำให้เขาถึงแก่ชีวิต
“จำเอาไว้ด้วยขอรับ อย่าได้ริอาจมายุ่งกับข้าพเจ้าอีก ถ้าหากยังรักชีวิตแล้วล่ะก็ ! ลาก่อนขอรับ !” อัลพูดทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความดุดันหลังจากนั้นเขาก็เดินจากไปภายในป่าทึบทิ้งเอาไว้ให้เหล่าซามูไรและทหารที่บาดเจ็บต้องถอยร่นกลับไปพร้อมกับความพ่ายแพ้
“เฮือก !” หลังจากความฝันที่หวนระลึกถึงวันเก่าๆ อัลก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริงตัวเขานั้นตื่นขึ้นมาข้างกองไฟที่ถูกที่สุดเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่นและแสงสว่าง ที่ด้านหลังของเขานั้นมีนักรบในชุดเกราะสีขาวคอยยืนคุมการกระทำของเขาอยู่ทุกฝีก้าว
“โย้ว ! ในที่สุดก็ตื่นแล้วสินะ ยารักษาดูเหมือนว่าจะได้ผล ซิลล่า เธอลงมือหนักเกินไปแล้วนะรู้ไหม ฉันนึกว่าเขาจะตายซะแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย” ลูน่ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูยินดีหลังจากที่ได้เห็นอัลนั้นฟื้นขึ้นมา
“หึ ! บาดแผลเล็กน้อยไกลหัวใจตั้งหลายเซนติเมตร แค่นี้ไม่ตายหรอกน่ะ ถ้าเกิดว่าตายก็ถือว่าอ่อนแอเกินไปแล้วไม่ใช่ความผิดของฉัน !” นักรบในชุดเกราะสีขาวซึ่งดูเหมือนว่าเธอนั้นจะชื่อว่าซิลล่ากล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูประชดประชัน
“ที่นี่ที่ไหนกันขอรับ ทำไมข้าพเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” อัลหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาและได้พบว่าตัวเขานั้นอยู่ในการควบคุมตัวของศัตรูเขาก็พยายามที่จะสนทนาเพื่อที่จะหาข้อมูลเพิ่ม เขาทรงตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความเจ็บปวดความอบอุ่นจากกองไฟนั้นช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย ซิลล่า หลังจากที่ได้ยินคำถามของอัลเธอก็กล่าวตอบออกไปด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบและเย็นชาว่า
“ที่นี่ที่ไหนงั้นหรอ ? ที่นี่คืออาณาบริเวณของเมืองริมซ่า โลมินซ่า ชายหาดลานอสเซีย นายหลับอยู่ที่นี่มาประมาณ 3 วันแล้วล่ะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกอีกไม่นานพวกเพื่อนๆของนายก็คงจะมาถึงที่นี่กันแล้วล่ะนะ ?” ซิลล่า กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเฉยเมย ในขณะที่อัลนั้นรู้สึกตกตะลึงว่าตัวเขานั้นถูกพามาไกลเหลือเกินจากทานาลัน ทั้งๆที่เขาได้รับบาดเจ็บพวกเธอพาเขามาที่นี่ได้อย่างไร แต่ว่าดูเหมือนอัลจะต้องเก็บคำถามเหล่านั้นเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพยายามหาทางหนีออกจากการควบคุมตัวของศัตรูไปให้ได้
พวกเรารีบออกเดินทางจากอุโมงค์ของทางเดินรถไฟทันทีหลังจากที่พวกเรากลับไปที่นั่นและพบว่าอัลนั้นถูกพาตัวไปแล้ว พวกเราแน่ใจได้ว่ามันต้องเป็นฝีมือของนักรบในชุดเกราะสีขาวและพรรคพวกของเธออย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ลีโอนั้นดูเหมือนว่าจะรีบร้อนให้ผมออกเดินทาง พวกเราทั้งสามคนจึงรีบเดินทางกลับมายังเมืองอุด้าเพื่อที่จะไปขึ้นเรือเหาะซึ่งจะออกเดินทางไปยังริมซ่าก่อนที่เที่ยวบินสุดท้ายนั้นจะออกจากชานชลาไป
แต่ว่าทันทีที่พวกเขามาถึงหน้าเมืองก็ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาคอยการมาถึงของพวกเราอยู่แล้ว ท่าทางของพวกเขาเหล่านั้นดูสงบนิ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีรังสีของการฆ่าฟันอยู่แต่ว่าบางสิ่งบางอย่างก็สามารถบอกผมได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขานั้นไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
“ลีโอ ดูเหมือนว่าพวกเราจะเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้วนะคะ จะทำยังไงกันดีคะเนี่ยแบบนี้ ?” มิโดริมองทางลีโอก่อนที่เธอนั้นจะทำคำถามที่ดูจะตอบยากที่สุดในเวลานี้ออกมา ลีโอ หลังจากที่ได้ยินเธอทำแบบนั้นเขาก็มีท่าทางที่ดูสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขานั้นจะพูดออกมาว่า
“ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ได้แย่อย่างที่ผมคิดนะ ไว้ผมจะผมลองเข้าไปเจรจาดูก่อน ถ้ายังไงอย่าเพิ่งทำอะไรโดยพละการนะครับ” ลีโอกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังสายตาของเขานั้นจับจ้องไปยังผู้ที่มายืนรอพวกเราอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย
“มิโดริ คุณคอยอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ คุณนาซมากับผมหน่อยเราจะเดินเข้าไปพูดคุยกับพวกเขากัน แต่ถ้าหากว่าทหารพวกนั้นลงมือจะทำอะไรบางอย่างคุณมีโดริรีบหนีเอาตัวรอดไปก่อนนะครับ เพราะว่าในเรื่องนี้คุณมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุดผมไม่อยากให้คุณจะต้องมาติดร่างแหกับพวกผมไปด้วย” ลีโอกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง มิโดริพยักหน้าเบาๆเพื่อเป็นการตอบรับในสิ่งที่ลีโอนั้นบอกกับเธอ
“เจ้าคนที่สวมผ้าคลุมคือคนที่อยู่ในประกาศจับอย่างไม่ต้องสงสัย ข้ามาอยู่ที่นี่แล้วหากพวกเจ้าคิดจะหลบหนีเข้าเมืองย่อมเป็นไปไม่ได้ ยังไม่คิดจะเข้ามามอบตัวอีกเหรอ ?” หญิงสาวชาวเผ่าลาล่าเฟตผู้มีเส้นผมสีชมพูซึ่งนั่งอยู่บนโจโคโบะสีขาวซึ่งถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ท่าทางของเธอนั้นดูมีความสง่าและทรงอำนาจแต่ว่าเธอนั้นไม่ได้สวมเกราะจึงไม่น่าจะใช่ทหารระดับสูงอย่างแน่นอน ลีโอเมื่อได้ยินหญิงสาวชาวเผ่าลาล่าเฟตผู้มีเส้นผมสีชมพูกล่าวขึ้นมาแบบนั้นเขาก็รีบลงจากหลังของโจโคโบะและตรงเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้นทันทีด้วยท่าทางที่ดูนอบน้อม
“ถวายบังคมฝ่าบาท !” ทันทีที่เลโอไปอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวชาวเผ่าลาล่าเฟตผู้มีเส้นผมสีชมพูเขาก็คุกเข่าลงทำความเคารพด้วยท่าทางที่ดูนอบน้อมก่อนที่จะเอ่ยปากกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบร้อยแล้วเป็นทางการ คำพูดแรกของเขานั้นทำให้ผมสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าหญิงสาวคนนี้คือใคร แต่ถึงผมจะเข้าใจอย่างนั้นผมก็ยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆลีโอโดยที่ไม่ได้คุกเข่าลงแต่อย่างใด แต่ดูเหมือนว่าทุกคนในที่นั้นจะไม่ได้สนใจถึงกริยามารยาทของผมเลยแม้แต่น้อย
“องค์หญิงนานาโมะ ข้าพเจ้ามีเรื่องที่จะขอกราบทูลชี้แจงให้ทราบสักเล็กน้อยพะยะค่ะ !” ลีโอซึ่งอยู่ในท่าทางคุกเข่ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและนอบน้อม คำพูดของเขานั้นทำให้สีหน้าของนานาโมะนั้นดูรู้สึกสนอกสนใจมากขึ้นเล็กน้อยเธอจึงกล่าวออกมาว่า
“มีเรื่องอะไรลองพูดมาสิ ข้าเองก็อยากจะทราบเหตุผลของเจ้าอยู่เหมือนกัน” เมื่อได้ยินนานาโมะกล่าวดังนั้นลีโอจึงได้เริ่มอธิบายเรื่องราวของผมในมุมมองของเขาให้กับนานาโมะได้รับรู้ ทั้งเรื่องที่เขานั้นเจอผมนอนสลบอยู่ที่กลางทะเลทรายทานาลัน เขาได้เป็นคนช่วยผมเอาไว้ แล้วพวกเราก็ได้เริ่มออกมาผจญภัยด้วยกัน อีกครั้งเรื่องที่เกิดขึ้นบริเวณพฤกษาแห่งการปกป้องเขาก็ได้เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้รับรู้ไปจนหมดสิ้น จนในที่สุดลีโอนั้นก็พูดขึ้นมาว่า
“ข้าพเจ้าคิดว่านี้จะต้องเป็นการเข้าใจผิดกันแน่นอนพะยะค่ะ ไม่มีทางที่ชายคนนี้จะเป็นคนร้ายไปได้มันจะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ข้าพเจ้าขอยืนยันในเกียรติของข้าพเจ้าว่าทั้งหมดนี้คือความจริงพะยะค่ะ” ลีโอนั้นพูดยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของผมให้กับนานาโมะได้รับรู้ ซึ่งเธอนั้นก็มีสีหน้าที่ดูครุ่นคิดหลังจากที่ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่ลีโอเล่า
“ลีโอ ในฐานะที่เจ้าเป็นอดีตองครักษ์ของข้า คำพูดของเจ้านั้นย่อมต้องมีน้ำหนัก และสิ่งที่พูดมันก็ดูสมเหตุสมผลพอจะเข้าใจได้ การที่เจ้าจะรีบไปยังริมซ่า โลมินซ่า ก็เพื่อที่จะทำตามคำทำนายของหญิงสาวที่มีชื่อว่าจันทราและหายาถอนพิษให้กับชายผู้นี้สินะ ข้าเข้าใจแล้วล่ะ” นานาโมะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนหลังจากที่เธอนั้นได้คิดทบทวนในเรื่องทุกอย่างและดูเหมือนว่าเธอนั้นก็จะเข้าใจซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ” ลีโอกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดียินดี หลังจากที่เขาได้ยินนานาโมะพูดออกมาแบบนั้น มิโดริซึ่งคอยหลบอยู่ในวงนอกก็เข้ามาทำความเคารพนานาโมะด้วยกันคุกเข่าพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณด้วยเช่นกัน ผมเองก็รู้สึกดีใจที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันกำลังจะจบลงด้วยดีแต่ว่าทันใดนั้นนานาโมะก็พูดขึ้นมาว่า
“แต่ว่านักรบแห่งแสงซึ่งเป็นวีรบุรุษของเอโอเซีย ได้บอกกับพวกเราว่าชายผู้นั้นจะเป็นคนนำมาซึ่งหายนะ ถ้าหากว่าเราปล่อยให้เขาออกไปจากอานาเขตดินแดนของเราได้ สนธิสัญญาความร่วมมือก็คงจะต้องพังสะบั้นลง เราคงจะไม่อาจเพิกเฉยต่อการจับกุมชายผู้นั้นได้ถึงต่อให้เขานั้นจะยังไม่ได้กระทำความผิดใดๆเลยก็ตาม ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจตรงจุดนี้ด้วยเหมือนกันนะ” สิ่งที่นานาโมะพูดออกมานั้นทำให้พวกเราทั้งสามคนถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าคำว่านักรบแห่งแสงนั้นมีพลังอำนาจและเป็นที่เคารพบูชาของพวกเขาขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเราจะเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆแล้ว
นานาโมะลงมาจากหลังของโจโคโบะสีขาวของเธอ เธอลงมายืนอยู่ข้างหน้าทหารองครักษ์ฝีมือดีทั้ง 3 คนที่คอยรักษาความปลอดภัยของเธออยู่ข้างกาย
“แต่ข้าก็เชื่อใจเจ้านะเลโอ ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นคนอย่างไรแล้วความจงรักภักดีของเจ้านั้นมีค่าขนาดไหน ดังนั้นข้าจึงอยากจะเสนอวิธีที่จะให้เจ้าออกไปจากที่นี่ได้โดยไร้ข้อครหาจากทางเรา” นานาโมะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสงบนิ่ง ใบหน้าของเธอในตอนนี้นั้นดูจริงจัง
“วิธีที่ฝ่าบาททรงตรัสออกมาหมายถึงสิ่งใดหรือพะยะค่ะ” หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นลีโอก็กล่าวถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“จงกลับมาทำงานให้กับเรา ถึงจะไม่ใช่ในฐานะขององครักษ์ก็เถอะ แล้วหลังจากนั้นข้าจะมอบอำนาจให้เจ้าเป็นคนควบคุมตัวชายผู้นั้น ในฐานะของเจ้าหน้าที่กองทัพเมืองอุด้า แบบนี้ยังไงล่ะ และถ้าหากว่าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้วเจ้ายังอยากที่จะกลับไปเป็นนักผจญภัยเหมือนเดิมซึ่งตอนนั้นข้าจะให้อิสระกับเจ้าแบบนี้ดีไหม ?” นานาโมะกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังซึ่งสิ่งที่กล่าวออกมานั้นทำให้ลีโอรู้สึกตกใจไม่น้อย
“ฝ่าบาททรงเป็นพระกรุณายิ่งนัก ข้าพเจ้าจะไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้เลยพระเจ้าค่ะ” ลีโอกล่าวตอบรับด้วยท่าทางที่ดูนอบน้อม ข้อเสนอของนานาโมะก็คือให้ลีโอกลับไปเป็นเจ้าหน้าที่ของเมืองอุด้าอีกครั้ง และในฐานะของเจ้าหน้าที่ก็สามารถที่จะทำการควบคุมตัวของนาซไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ดูเหมือนว่านานาโมะนั้นจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วสิ่งที่ลีโอกำลังจะทำไม่มากก็น้อย
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเข้าใจแล้วคงจะรู้สินะว่าธรรมเนียมในการจะเข้ามาเป็นข้าราชบริพารฝ่ายกองทัพของนครอุด้านั้นคืออะไร ? คงจะเตรียมใจรับบททดสอบนั้นเอาไว้ในที่นี้ตอนนี้เรียบร้อยแล้วสินะ” นานาโมะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง และสีหน้าของลีโอนั้นก็ดูเปลี่ยนไป
“ข้าพเจ้าเตรียมใจไว้แล้วพะยะค่ะ ได้โปรดลงมือเลยเถิด” ลีโอคุกเข่าลงอีกครั้งพร้อมกับกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง นานาโมะเดินออกไปด้านข้างและสั่งให้ทหารที่ตามมาของตนนั้นทำการชักอาวุธออกมา ลีโอยืนขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสงบนิ่งก่อนที่เขานั้นจะชักมีสั้นทั้งสองเล่มออกมาเพื่อเตรียมที่จะต่อสู้
“บททดสอบภาคีอัศวิน จะเริ่มต้นขึ้นเบื้องหน้าของข้า ณ บัดนี้ ! เริ่มทำการทดสอบได้” นานาโมะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังในขณะที่ทหารของเธอทั้ง 3 คนและพวกของลีโอเตรียมที่จะต่อสู้กัน ตามธรรมเนียมของกองทัพเมืองอุด้า ผู้ที่จะเข้ามาเป็นองครักษ์ได้นั้นจะต้องมีความแข็งแกร่งและได้รับการยอมรับในฝีมือจากการต่อสู้เบื้องหน้าพระพักตร์ขององค์หญิงนานาโมะ แต่ในคราวนี้การต่อสู้นั้นถูกจัดขึ้นมาอย่างรีบร้อนและดูเรียบง่ายไปหน่อยแต่มันก็ยังคงแฝงไปด้วยธรรมเนียมที่ดูมีมนต์ขลังอย่างเช่นเดิม
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนี่พวกเราจะได้สู้กับองครักษ์ในตำนานคนนั้นอย่างนั้นหรอ ?”
“ราชสีห์ขาว Leonel Leovanes ตำนานที่มีชีวิตคนนั้น คนที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือในการต่อสู้เป็นเลิศเทียบเคียงสูสีไม่แพ้แม่ทัพลาบัน นี่พวกเรากำลังฝันไปใช่ไหมเนี่ย ?”
“พวกเราจะสู้อย่างสุดกำลัง ได้โปรดอย่าออมมือนะครับ !”
เสียงของทหารในชุดเกราะสีขาวทั้ง 3 คนกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นดูเหมือนว่าพวกเขานั้นจะรู้จักกับลีโอเป็นอย่างดี ท่าทางของเขานั้นดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
“ไม่อยากจะเชื่อเลยแหะเจ้าเป็นคนดังขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย ?” ผมกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูตกใจอย่างเหลือเชื่อ ในขณะที่ ลีโอ เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาได้แต่กล่าวออกมาสั้นๆว่า
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับคุณนาซ มันก็แค่เรื่องราวในอดีตนิดหน่อย แต่ว่าอย่าประมาทนะครับ อัศวิน 3 คนนั้นเป็นถึงองครักษ์ส่วนตัวขององค์หญิงนานาโมะ พวกเขาไม่ธรรมดาแน่นอนครับ !”
โอวร๊า ! หลังจากที่ ลีโอ กล่าวจบ ทหารผู้ถือขวานคนแรกก็พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็วการโจมตีของเขานั้นฟาดลงมาอย่างฉับพลันก่อให้เกิดแรงกระแทกไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความตกตะลึงให้กับผมเป็นอย่างมากผมไม่เคยคิดเลยว่า special effect ที่ใช้ในการแสดงนั้นจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ลีโอและมิโดริ ถอยหลังหลบการโจมตีครั้งนี้อย่างคล่องแคล่วในขณะที่ผมนั้นไม่ได้ตั้งตัวจึงไม่สามารถจะหลบการโจมตีครั้งนี้ได้ทัน
“โอ้ย !” ผมอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด ท่าทางที่เจ็บปวดของผมนั้นทำให้มิโดรินั้นรู้สึกตกใจและตื่นตัวมาก เธอรีบเปิดหนังสือและร่ายเวทย์มนต์บางอย่างทันที
ทันใดนั้นแสงสว่างเป็นวงกว้างก็บังเกิดขึ้นอาการเจ็บปวดของผมก็ทุเลาลง ผมพึ่งจะได้รู้ว่ามิโดรินั้นได้รับบทเป็นนักเวทย์มนต์ภายในรายการเรียลลิตี้โชว์นี้นั่นเอง การใช้เวทมนตร์มันเป็นอะไรที่ดูเท่ห์และมหัศจรรย์มากๆเลยจริงๆนะ ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้เล่นบทแบบนี้บ้างหรือเปล่าผมเองก็แอบหวังไว้ในใจอยู่เหมือนกันแหละ
“ผู้ชายที่สวมผ้าคลุมนั้นมีฝีมืออ่อนที่สุด พวกเรารีบโจมตีมันก่อน” ทหารทั้งสามคนนั้นรู้ได้ทันทีจากการปะทะครั้งแรกว่าผมนั้นมีฝีมือที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้ พวกมันจึงไม่รอช้าและรีบตรงเข้ามาโจมตีผมทันที
“แย่แล้ว คุณนาซ ระวังครับ !” ลีโอ อุทานขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่เขานั้นพุ่งตัวเข้ามาอยู่ด้านหน้าผมเพื่อที่จะรับการโจมตีของทหารทั้งสามคนที่กำลังฟาดใส่เข้ามาแทนผม ทันใดนั้นแสงสว่างสีขาวประกายเจิดจ้าก็บังเกิดขึ้น
หลังจากแสงสว่างสีขาวผมรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่รุนแรง ระเบิดออกมารอบตัวของลีโอ มันผลักทหารทั้งสามคนที่เข้ามาจู่โจมเขาให้ถอยออกไปพร้อมๆกัน
หลังจากนั้นแสงสว่างสีขาวเส้นใหญ่ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากจุดที่ลีโอนั้นยืนอยู่ ถึงแม้ว่าทหารทั้งสามคนนั้นจะพยายามเข้ามาโจมตีอีกครั้งหนึ่งแต่ดูเหมือนว่าการโจมตีของพวกเขานั้นจะไม่มีผลเลย
ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ลำแสงสีขาวที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้านั้นพุ่งกลับลงมายังพื้นดิน มันจู่โจมใส่ทหารทั้งสามคนที่อยู่บริเวณนั้น อย่างไร้ความปราณีและรุนแรง
ทหารบางคนนั้นได้รับความเจ็บปวดจนไม่สามารถที่จะยืนทรงกายอยู่ได้ ส่วนทหารบางคนนั้นถึงกับชาไปตามร่างกายจนทรุดลงกับพื้นในทันที การต่อสู้ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะจบลงอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นผมก็ได้เห็นทหารทั้ง 3 คนทรุดกายลงเบื้องหน้าของเลโอ ผลการต่อสู้ครั้งนี้ออกมาแล้ว ทหารทั้ง 3 คนนั้นแพ้อย่างราบคาบ ด้วยฝีมือที่ดูเหมือนว่าจะห่างชั้นกันเหลือเกิน
ผมรีบหันกลับไปดูที่ลีโอทันใดนั้นผมก็ได้เห็นว่าชุดที่เขาใส่อยู่นั้นเปลี่ยนไป จากที่เขาเคยใส่ชุดผ้าซึ่งดูกระฉับกระเฉงและเคลื่อนไหวได้สะดวก ในตอนนี้เขากลับใส่ชุดเกราะเหล็กสีขาว ที่ดูองอาจและแข็งแกร่ง ในมือของเขาทั้งสองข้างนั้นถือดาบเล่มใหญ่ซึ่งของมันนั้นแทบจะเท่ากับขนาดตัวของเขาและโล่ห์ที่หนาและหนัก
“ราชสีห์ขาว มันเป็นอย่างนี้เองสินะ” ผมเผลอหลุดปากพูดออกไปโดยที่ไม่ทันได้คิดทันทีที่ได้เห็นรูปร่างของลีโอในตอนนี้
“เป็นการต่อสู้ที่ดีนะ แต่ผมอยากจะขอบอกสิ่งสำคัญในการเป็นอัศวินเอาไว้สักอย่างนึง ในการประลอง มันไม่ใช่สงครามที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ ดังนั้นจงสู้อย่างมีเกียรติและอย่ารังแกคนอ่อนแอ ถ้าหากพวกนายยังสามารถที่จะรักษากฎนี้เอาไว้ได้ สักวันหนึ่งพวกนายต้องเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งแน่” ลีโอกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและเคร่งขรึม เขานั้นบอกกับเราเป็นทหารที่พ่ายแพ้ว่าการที่พวกเขานั้นเล็งโจมตีคนที่อ่อนแอที่สุดก่อนในการประลองเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เพราะในจังหวะที่พวกเขานั้นกำลังจะเข้าโจมตีคนที่อ่อนแอพวกเขาจะประมาทคนที่แข็งแกร่งที่สุดไปโดยปริยาย
“สมแล้วกับที่เป็นอดีตองครักษ์ ฝีมือของเจ้ายังคงน่าประทับใจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” นานาโมะเดินเข้ามาหาลีโอพร้อมกับกล่าวชมด้วยท่าทางที่ดูยินดี
“ขอบคุณที่ให้คำแนะนำครับ !!” ทหารทั้ง 3 นายที่ร่างกายเริ่มจะขยับได้เหมือนเดิมแล้ว ลุกขึ้นมายืนตั้งแถวและทำความเคารพลีโอโดยพร้อมเพียงกัน ท่าทางและความแข็งแกร่งในระเบียบวินัยของพวกเขานั้นทำให้ผมรู้สึกประทับใจจริง ถึงจะรู้ว่านี่เป็นการแสดงก็เถอะ
“Leonal Leovanes จากนี้ไปข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นอัศวินแห่งอาณาจักรอุด้า ภารกิจแรกของเจ้าคือควบคุมตัวนักโทษที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของอาณาจักร เจ้าจะนอนมารับหน้าที่นี้หรือไม่ ?” นานาโมะยื่นเหรียญตราประจำกองกำลังอัศวินให้กับลีโอ เขารับเหรียญตรานั้นมาด้วยความรู้สึกต่างๆมากมาย
“น้อมรับพะยะค่ะ ข้าพเจ้าว่าจะปฏิบัติหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายนี้ดุจดั่งชีวิตของข้าพเจ้า” ลีโอกล่าวคำปฏิญาณสั้นๆซึ่งเขานั้นรู้สึกคุ้นเคยกับถ้อยคำเหล่านี้อย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นองค์หญิงนานาโมะและทหารคุ้มกันของเธอก็ทยอยกันเดินทางกลับไปโดยไร้คำพูดใดๆ
“สุดยอดไปเลยนะลีโอ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเคยเป็นคนใหญ่คนโตถึงขนาดนี้ น่าประทับใจจริงๆ” ผมกล่าวชื่นชมลีโอด้วยท่าทางที่ดูชื่นชมและตื่นเต้น ลีโอเงยหน้ามองผมด้วยสายตาที่ดูราบเรียบก่อนที่จะกล่าวว่า
“มันเป็นอดีตน่ะครับ แต่เรื่องจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะตอนนี้พวกเราสามารถจะออกเดินทางไปที่ริมซ่า โลมินซ่าได้แล้ว แค่นั้นก็พอแล้วล่ะครับ” ลีโอเลี่ยงที่จะตอบคำถามและคำชื่นชมของผมผมรู้สึกได้ถึงความลำบากใจของเขาที่จะต้องสนทนาในหัวข้อนี้ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นบทบาทที่ ลีโอ ได้รับมาแต่ว่าผมรู้สึกได้ถึงความมีพลังของการแสดงของเขาในครั้งนี้อย่างมากมายจนผมไม่กล้าที่จะซักไซ้ไล่เลียงต่อไป
“รีบไปกันเถอะค่ะ เรือบินเที่ยวสุดท้ายกำลังจะออกจากชานชลาแล้วเรามีเวลาไม่มาก” มิโดริกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน เนื่องจากเวลาที่พวกเขาเสียไปนั้นค่อนข้างจะมากทีเดียวแต่อย่างน้อยมันก็ยังทันเวลาที่พวกเขาจะรีบลงไปเพื่อขึ้นเรือบิน
“นั่นสินะครับ พวกเรารีบไปกันเถอะ เวลาชีวิตของคุณนาซกำลังเหลือน้อยลงทุกที พวกเราต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้มีค่า” ลีโอพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังคนที่เขานั้นจะทำการเก็บอุปกรณ์และเปลี่ยนชุดของเขาให้กลับไปเป็นชุดผ้าที่ดูกระฉับกระเฉงตามเดิม แล้วพวกเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองริมซ่า โลมินซ่า
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว แต่ว่าอัลนั้นรู้สึกว่าตัวเขานั้นหลับไปนานเหลือเกิน อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ของเขาคราวที่แล้วนั้นยังคงเจ็บปวดอยู่อย่างรุนแรงดวงตาของเขานั้นหนักอึ้งจนไม่อาจที่จะลืมขึ้นมาได้แต่ตัวเขานั้นก็ยังคงมีสติ เขารู้สึกว่าตัวของเขานั้นกำลังจะจมลงไปในห้วงความฝันทั้งๆที่ตัวของเขานั้นยังคงรู้สึกตัวอยู่มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาด
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัวขึ้นในภาพเหตุการณ์ของเขาก็ตัดมา ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในตอนที่เขานั้นกำลังเดินอยู่ในป่าของเมืองกรีดาเนีย ภายในป่าสีเขียวที่หนาทึบอัลกำลังถูกรุมล้อมโดยกลุ่มคนซึ่งดูเหมือนว่าจะมาหาเขาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก คนเรานั้นประกอบด้วยทหารซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นคนของทางการ 1 คน และซามูไรอีกจำนวน 3 คน ทุกคนกำลังหันดาบเข้าใส่เขาด้วยท่าทางที่ดุดัน
“ข้าน้อยเดินทางรอนแรมออกมาจากบ้านเกิดไกลถึงขนาดนี้แล้ว พวกท่านยังจะตามมาราวีกันอีกเหรอ ? ปล่อยข้าน้อยให้เป็นอิสระจากเรื่องทั้งหมดไม่ได้หรืออย่างไร ?” อัลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูขมขื่นและเจ็บปวด แต่ว่าภายในมือของเขานั้นก็ยังคงกุมดาบคาตานะเอาไว้อย่างมั่นคง
“โทษทัณฑ์ของเจ้านั้นมากมายนัก แม้แต่จะชดใช้ด้วยชีวิตก็ยังไม่อาจจะหมดได้ การจะปล่อยเจ้ามีลมหายใจอยู่ภายในโลกใบนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ” ซามูไรคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของซามูไรอีก 2 คนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเย็นชา
“เป็นอย่างนั้นเองหรือขอรับ ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยก็มีเพียงแค่ชีวิต ถ้ามีปัญญามาเอาได้ก็เชิญมาเอาไปเลยขอรับ” อัลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูดุดันและจริงจัง ทันใดนั้นการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นในพริบตา
“ถึงเจ้าไม่พูดพวกข้าก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว !” หัวหน้าซามูไรบุกเข้ามาโจมตีอัลในระยะประชิดในทันที แต่ว่าทั้งเชิงดาบและฝีมือของเขานั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่มากพอที่จะสังหารอัลลงได้
เคร๊ง !
อัลสามารถที่จะปัดดาบที่เขาโจมตีเข้ามาได้อย่างไม่ยากเย็น ซามูไร 2 คนซึ่งกำลัง รายล้อมเขาอยู่นั้นก็พุ่งเข้ามาโจมตีพร้อมๆกันหมายที่จะสังหารเขาลงอย่างรวดเร็ว
“มีฝีมือกันแค่นี้คิดจะมาเอาชีวิตของข้าน้อย ดูเหมือนว่านายของพวกเจ้าจะดูถูกฝีมือของข้าน้อยมากเกินไปแล้วนะครับถึงได้ส่งพวกปลายแถวมาแบบนี้” อัลพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูไม่พอใจในขณะที่เขานั้นตั้งท่าเตรียมที่จะโจมตีกลับอย่างรวดเร็วและในชั่วพริบตานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“โอกะ !” ชั่วพริบตานั้นอัลก็ตวัดดาบอย่างรวดเร็วรอบตัวของเขา การโจมตีของเขาเพียงดาบเดียวนั้นสามารถที่จะเอาชนะซามูไรทั้งสามคนที่เข้ามารายล้อมเขาอยู่ได้อย่างไม่ยากเย็น การโจมตีในครั้งนี้บ่งบอกได้ถึงฝีมือที่เฉียบคมของเขาได้เป็นอย่างดี
“แกนะแกเจ้าคนทรยศ !” หัวหน้าซามูไรคำรามออกมาด้วยความโกรธในขณะที่อัลนั้นได้แต่ถือดาบและจับจ้องเขาอยู่อย่างสงบนิ่งก่อนที่อัลจะกล่าวขึ้นมาว่า
“กลับไปบอกนายของพวกเจ้าเถอะนะขอรับ ว่าข้าพเจ้านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแผ่นดินแม่อีกต่อไปแล้ว ถ้าหากว่ายังคิดที่จะรานรอนชีวิตของข้าพเจ้าอีก ก็เชิญตามสบาย แต่ว่าข้าพเจ้าก็จะขัดขืนและต่อสู้อย่างสุดกำลังทุกครั้ง ถ้าหากคิดว่ามีผู้ที่มีฝีมือมากพอจะมานำชีวิตของข้าพเจ้าไปได้ก็ให้เชิญสรรหามาได้เลยขอรับ” อัลกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูเยือกเย็นและสงบนิ่งแต่น้ำเสียงของเขานั้นแฝงไปด้วยความจริงจังและรังสีในการสังหารอย่างชัดเจน
“ไม่อยากจะเชื่อเลยซามูไรที่มือดี 3 คนจะพ่ายแพ้ภายในการโจมตีเพียงแค่กระบวนท่าเดียว” ทหารของทางการคนหนึ่งซึ่งติดตามมาด้วยนั้นเห็นการต่อสู้ทั้งหมดเข้าถึงกับตกใจจนลนลาน
“จริงสินะยังเหลือท่านอยู่อีก 1 คนสินะขอรับ” อัลมองมาทางทหารของทางการด้วยสายตาที่ดูเฉียบคมก่อนที่เขานั้นจะพุ่งเข้าใส่ทหารคนนั้นอย่างรวดเร็ว
ชิ้ง ! อ๊าคคคคค !
สิ้นเสียงสะบัดดาบทหารของทางการคนนั้นก็ถูกโจมตีเข้าไปอย่างรวดเร็วและเฉียบคมก่อนที่เขานั้นจะมีโอกาสได้ปกป้องหรือว่าตั้งตัว
“ไม่อยากจะเชื่อเลยฝีมือที่ร้ายกาจขนาดนี้มันอะไรกัน !” ทหารของทางการคนนั้นทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดเขาได้รับบาดแผลฉกรรจ์จนทำให้เขานั้นไม่สามารถที่จะ ต่อสู้ต่อไปได้ถึงแม้ว่าบาดแผลของเขานั้นจะไม่ใช่จุดอันตรายจนทำให้เขาถึงแก่ชีวิต
“จำเอาไว้ด้วยขอรับ อย่าได้ริอาจมายุ่งกับข้าพเจ้าอีก ถ้าหากยังรักชีวิตแล้วล่ะก็ ! ลาก่อนขอรับ !” อัลพูดทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความดุดันหลังจากนั้นเขาก็เดินจากไปภายในป่าทึบทิ้งเอาไว้ให้เหล่าซามูไรและทหารที่บาดเจ็บต้องถอยร่นกลับไปพร้อมกับความพ่ายแพ้
“เฮือก !” หลังจากความฝันที่หวนระลึกถึงวันเก่าๆ อัลก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริงตัวเขานั้นตื่นขึ้นมาข้างกองไฟที่ถูกที่สุดเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่นและแสงสว่าง ที่ด้านหลังของเขานั้นมีนักรบในชุดเกราะสีขาวคอยยืนคุมการกระทำของเขาอยู่ทุกฝีก้าว
“โย้ว ! ในที่สุดก็ตื่นแล้วสินะ ยารักษาดูเหมือนว่าจะได้ผล ซิลล่า เธอลงมือหนักเกินไปแล้วนะรู้ไหม ฉันนึกว่าเขาจะตายซะแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย” ลูน่ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูยินดีหลังจากที่ได้เห็นอัลนั้นฟื้นขึ้นมา
“หึ ! บาดแผลเล็กน้อยไกลหัวใจตั้งหลายเซนติเมตร แค่นี้ไม่ตายหรอกน่ะ ถ้าเกิดว่าตายก็ถือว่าอ่อนแอเกินไปแล้วไม่ใช่ความผิดของฉัน !” นักรบในชุดเกราะสีขาวซึ่งดูเหมือนว่าเธอนั้นจะชื่อว่าซิลล่ากล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูประชดประชัน
“ที่นี่ที่ไหนกันขอรับ ทำไมข้าพเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” อัลหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาและได้พบว่าตัวเขานั้นอยู่ในการควบคุมตัวของศัตรูเขาก็พยายามที่จะสนทนาเพื่อที่จะหาข้อมูลเพิ่ม เขาทรงตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความเจ็บปวดความอบอุ่นจากกองไฟนั้นช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย ซิลล่า หลังจากที่ได้ยินคำถามของอัลเธอก็กล่าวตอบออกไปด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบและเย็นชาว่า
“ที่นี่ที่ไหนงั้นหรอ ? ที่นี่คืออาณาบริเวณของเมืองริมซ่า โลมินซ่า ชายหาดลานอสเซีย นายหลับอยู่ที่นี่มาประมาณ 3 วันแล้วล่ะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกอีกไม่นานพวกเพื่อนๆของนายก็คงจะมาถึงที่นี่กันแล้วล่ะนะ ?” ซิลล่า กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเฉยเมย ในขณะที่อัลนั้นรู้สึกตกตะลึงว่าตัวเขานั้นถูกพามาไกลเหลือเกินจากทานาลัน ทั้งๆที่เขาได้รับบาดเจ็บพวกเธอพาเขามาที่นี่ได้อย่างไร แต่ว่าดูเหมือนอัลจะต้องเก็บคำถามเหล่านั้นเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพยายามหาทางหนีออกจากการควบคุมตัวของศัตรูไปให้ได้
โปรดติดตามตอนต่อไป