|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 9, 2019 15:06:18 GMT
✮ Mobilesuit Gundam Iona ✮
Intro : Earthian und Emerian“มนุษย์เชื่อว่าพวกเขาเกิดและวิวัฒนาการเผ่าพันธุ์ของตนขึ้นบนดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลก" "พวกเขาหยิ่งและทะนงตนว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญามาอย่างยาวนาน" "จนกระทั่งวันที่พวกเราได้มาเยือนยังโลกใบนี้ พวกเราคือชาว Emeria ผู้ท่องไปในอวกาศ" "พวกเราได้เดินทางมายังดาวเคราะห์ดวงนี้ด้วยเหตุผลเดียวคือ พวกเราต้องการที่อยู่อาศัย"
"หลังจากระหกระเหเร่ร่อนไปในอวกาศด้วยเป้าประสงค์ในการหาดาวเคราะห์อยู่อาศัยหลายหมื่นปี" "ด้วยยานอวกาศขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นทั้งบ้านและยานอวกาศ ด้วยความหวังว่าจะดาวเคราะห์ปักฐาน" "พวกเรากลับไม่สามารถหาดวงดาวที่เหมาะกับการดำรงชีวิตอยู่ได้เลยในระยะ 4 ปีแสง" "จนในที่สุดพวกเราได้ตัดสินใจหวนกลับมายังดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลกอีกครั้ง"
"เดิมทีมนุษย์นั้นไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม และพวกเรา Emerian ก็เช่นกัน" "พวกเราทั้งสองเผ่าพันธุ์เคยเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันมาก่อน เคยมีโครงสร้างทางพันธุกรรมแบบเดียวกัน" "ถือกำเนิดจากระบบสุริยะอื่น และเดินทางมายังระบบสุริยะนี้เพื่อค้นหาแหล่งที่อยู่ และพบกับโลก" "Emerian ได้ตัดสินใจแบ่งประชากรไว้ที่โลกเพื่อตั้งรกราก ในขณะที่ประชากรที่เหลือเดินทางต่อไป"
"นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง Emerian ที่อยู่บนโลกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง" "กลุ่มที่อยู่บนโลกเริ่มวิวัฒน์ตนเองออกจาก Emerian เพื่อให้อยู่รอดในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกันสุดขั้ว" "Emerian ที่อยู่บนโลกได้วิวัฒนาการย้อนกลับ พวกเขาเสียคุณลักษณะเด่นทางพันธุกรรมไป" "อายุสั้นลง ร่างกายอ่อนแอลง สติปัญญาลดลง กลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ยุคปัจจุบันเรียกว่ามนุษย์ยุคหิน"
"หลังจากนั้นหลายหมื่นปี พวกเขาได้เริ่มวิวัฒนาการทางสติปัญญาขึ้นมาอีกครั้ง" "ลักษณะเด่นทางพันธุกรรมได้กลับมาแสดงผล พวกเขากลายเป็น Homo Sapiens ยุคปัจจุบัน ทว่าบางสิ่งได้หายไป" "พวกเขาลืมต้นกำเนิดของตนเอง ลืมประวัติศาสตร์ของพวกเราจนสิ้น พวกเขาไม่รู้การมีตัวตนของเรา" "จากนั้นพวกเขาก็เริ่มขีดเขียนวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ขึ้นมาเองจากสัญชาตญาณและสามัญสำนึก"
"พวกเขาเริ่มเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเริ่มชิงดีชิงเด่นกันเอง สงครามนองเลือดเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน" "กระทั่งพวกเขาเริ่มตระหนักถึงคุณค่าแห่งสันติ และเริ่มร่วมมือกันสร้างสังคมทางเศรษฐกิจ" "สงครามนองเลือดกลายเป็นสงครามแห่งความมั่งคั่งและอำนาจ การต่อสู้คงอยู่ในรูปแบบที่ต่างออกไป" "สิ่งเหล่านั้นขัดเกลาให้ Earthian มีความเย่อหยิ่งและภาคภูมิในตนเอง พวกเขามักระแวงสิ่งที่ไม่รู้"
"ด้วยความหยิ่งทะนงตนและความหวาดระแวงที่พวกเขามี ในยามที่พวกเรากลับมาถึงดาวดวงนี้" "พวกเขาจึงไม่ได้ต้อนรับเราอย่างที่ควรเป็น พวกเขาไม่ไว้ใจเรา พวกเขากลัวเรา และเกลียดเรา" "Emerian ที่เข้ามาด้วยสันติและหวังพึ่งพิงขอความช่วยเหลือ ถูกพวกเขาใช้อาวุธศาสตราเข้าขับไล่ " "ทำให้ Emerian ไม่เหลือหนทางใดนอกเสียจากป้องกันตน เพื่อลงหลักปักฐานบนดาวดวงนี้" "ในการรบนั้น Emerian มีกำลังเพียงหยิบมือหากเทียบกับจำนวนกำลังพลของ Earthian" "แต่ Emerian ที่ไม่เคยหยุดวิวัฒน์หรือพัฒนา พวกเรามียุทโธปกรณ์ที่เหนือชั้นกว่ามาก"
"Emerian ใช้อาวุธสงครามที่มีรูปทรงคล้ายมนุษย์ซึ่งเรียกว่า Mobilesuit มันมีอานุภาพการรบที่สูงกว่า" "ส่วนมนุษย์โลก แม้จะไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่ง แต่ก็ร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านพวกเราชาว Emeria" "พวกเขาใช้รถถัง เรือรบ เรือดำน้ำ และเครื่องบิน ถึงแม้จะมีอาวุธที่ร้ายแรงอย่างหัวรบปรมาณู" "แต่ก็ไม่กล้าที่จะใช้มันต่อกรกับ Emerian เนื่องจากจะส่งผลเสียต่อตัวพวกเขาเองด้วย"
"การรบราฆ่าฟันกินเวลาหลายสิบปีของโลกมนุษย์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสียเลือดเนื้อไปมากมาย" "กระทั่งแสงสว่างแห่งอนาคตที่สดใสได้เฉิดฉายขึ้น มหาจักรพรรดิอเมนเฮราฟ แห่ง Emeria" "และตัวแทนมนุษย์โลกในขณะนั้นพวกเขาเรียกตัวเองว่า สหประชาชาติ เล็งเห็นถึงความสูญเสียที่ไม่มีวันจบสิ้น "จึงได้ตัดสินใจลงนามยุติสงครามอันยาวนานลง และแบ่งเขตแดนอยู่อาศัยให้แก่ Emerian" "มนุษย์โลกให้พวกเราตั้งฐานที่อยู่ไว้ในพื้นที่ของมหาสมุทธ หรือที่พวกเขาเรียกว่าน่านน้ำสากล" "และห้ามส่งกองกำลังลุกล้ำเข้าไปในเขตของมนุษย์โลก เขาให้เรามีสถานะเป็นรัฐเอกราชรัฐหนึ่ง"
"ตั้งแต่นั้นมา Emerian และ Earthian ก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเป็นต้นมาเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปี”
........................................................
สิ้นเสียงของหญิงสาวที่ได้อ่านข้อความยาวเหยียดออกมา เธอก็ถอนหายใจหลังม่านโปร่งแสง ม่านผืนนั้นทำให้มองเห็นใบหน้า สีผม หรือรูปร่างของเธอไม่ชัดเจน แต่ที่บอกได้คือเธอกำลังนั่งอยู่บนเตียง ในห้องนั้นตกแต่งอย่างหรูหราราวกับราชวังประหนึ่งศิลปะวิจิตรตระการตา ภายในห้องมีบริวารมากมาย บริวารแต่ละคนแต่งตัวมิดชิด เสื้อผ้าไม่มีลวดลายใด สีเสื้อผ้าเป็นสีขาวมุก ต่างยืนด้วยท่านอมน้อม เงาของหญิงสาวหลังผ้าม่านหันมาทางข้าทาสบริวารท่ามกลางความเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “บทความของข้าเป็นเช่นไรบ้าง อโปฟิส มีสิ่งใดที่เจ้าเห็นควรเปลี่ยนแปลง หรือมิเหมาะสม หรือไม่”
ชายรูปร่างสูงใหญ่ ความสูง 185 c.m. ผู้ยืนในเงามืด ได้ก้าวเดินออกมา เผยใบหน้าบึ้งตึง อายุราว 40 ปี เส้นผมสั้นหยักศกสีบรอนด์ทอง ดวงตาดุดัน นัยตาสีฟ้าอมเขียว สวมชุดขุนนาง เขาตอบกลับว่า “สละสลวยคล้ายคลึงสำเนียง Earthian ยิ่งพะยะค่ะ” เขาตอบสั้นๆ และหญิงสาวผู้นั้นก็มีท่าทีพอใจ
แต่เขากลับเสริมเพิ่มเติมทำให้หญิงสาวมีท่าทีตะขิดตะขวงขึ้นมาว่า “แต่ข้าพระองค์ขอบังอาจวิจารณ์” “บทความของพระองค์รังสรรค์โดยประสงค์บอกกล่าวฐานกำเนิดให้กระจ่างแก่เหล่า Earthian” “ข้าพระองค์เห็นควรนำเสนอในท่าทีประณีประนอม มิเอนเอียงเข้าตน แม้นเป็นความสัตย์จริงก็ตาม” หลังจากชายที่ชื่อว่า อโปฟิส ได้ชี้แจงแถลงไขถึงเหตุผลในการติติงของเขาออกไป หญิงสาวหลังม่านผู้สูงศักดิ์จึงมีท่าทีโอนอ่อนลงเนื่องจากเข้าใจในเหตุผลที่ได้รับมา
อโปฟิส จึงเอ่ยถามขึ้นต่อ “เหตุใดพระองค์ประสงค์เรียนรู้ Earthian มากมายเพียงนั้นหรือพะยะค่ะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “เพราะพวกเขาเป็นกัลยามิตร จึงควรดีต่อเข้าไว้” “ประการอื่น ข้ามิคิดว่า Earthian จะเป็นผู้หยาบกระด้างใคร่ปะทะ แลหมายเป็นใหญ่ไปเสียหมด” “หากแต่คงไว้ซึ่งผู้อ่อนโยน พร้อมสรรสร้างสิ่งสวยงามให้บังเกิดแก่จิตใจแห่งผู้อื่นอยู่อีกมากหลาย”
“เรามิควรพิพากษาพวกเขาเพียงเพราะสงครามแห่งความไม่ถึงการณ์แต่ปางก่อนเป็นที่ตั้ง” “เพราะหาก Emerian ต้องประสบเหตุการณ์เฉกเช่นเดียวกันไซร้ ผลลัพท์ก็อาจมิต่างออกไป” “ภายภาคนี้ สองเหล่าแบ่งปันดวงดาวและทรัพยากร เราถือตนเป็นรัฐหนึ่งในหมู่เดียวกัน” “ข้าว่าเป็นการดีหากภาคหน้าผสานรวมหนึ่งมิแบ่งแยก ร่วมมือสานอนาคตให้จีรังสืบไป”
อโปฟิส แสดงดีหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าพระองค์ประสงค์ยิ่งที่จะเห็นพระองค์ได้ทรงอำนาจ” “หากมิใช่องค์อเมนเฮราฟ แล้ว ข้าพระองค์มิเห็นว่าผู้ใดจะพร้อมในราชบัลลังค์ไปกว่าพระองค์แล้ว” หญิงสาวหลังม่านจึงตอบกลับว่า “ข้าเองมิอาจเอื้อม แม้เสด็จพี่จักเป็นผู้เด็ดขาด และเกรี้ยวกราด” “แต่ข้าเชื่อมั่นว่าเสด็จพี่แห่งข้าจะเห็นทางสว่างจากการนำพาของเสด็จพ่อในสักวัน”
“ตึง!!”
เสียงประตูห้องบานใหญ่ถูกเปิดเข้ามาอย่างรุนแรง หญิงรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องด้วยความรีบร้อน เธอไม่แม้แต่จะเคาะประตูหรือขออนุญาต อโปฟิส หันไปทางหญิงรับใช้คนนั้น พร้อมกับจะก้าวเข้าไปขวางเพราะหญิงรับใช้ผู้กระทำผิดธรรมเนียม แต่ อโปฟิส ก็ยังไม่ทันได้เข้าถึงตัวหญิงรับใช้ เพราะหญิงรับใช้คนนั้นได้คุกเข่าลงด้วยท่าทีเร่งรีบ
หญิงรับใช้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรนรานว่า “มิดีแล้วองค์หญิง มิดีแล้ว...องค์อเมนเฮราฟสิ้นแล้วเพคะ!!” “บัดนี้องค์รัชทายาทขึ้นแล้ว…พระองค์ประกาศว่าจักหวนประกาศศึก ทรงระดมขุนนางพร้อม!!” “หม่อมฉันเกรงว่าเหตุนี้อาจมีเล่ห์กลมิโปร่งใสเพคะ หากเป็นฉันนั้นพระองค์จักถูกปองร้ายเป็นได้”
สิ่งที่หญิงรับใช้คนนั้นเอ่ยออกมาทำเอาผู้คนในห้องถึงกับผงะ แสดงถึงเหตุร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น หญิงสาวหลังม่าน แท้จริงคือองค์หญิงแห่ง Emeria เธอมีท่าทีตระหนก เธอลั่นวาจาขึ้นสั้นๆ “เสด็จพ่อ!!” อโปฟิส ได้ยินเช่นนั้น เขามีทีท่าตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบพุ่งตรงไปยังม่านที่บังองค์หญิงไว้ “ข้าพระองค์เห็นว่าเราต้องไปกันแล้ว กาลเช่นนี้มิเป็นอันดี พระองค์สมสถิต ณ สถานห่างไกลพะยะค่ะ” อโปฟิส ใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงเจตนาชัดเจน มันบ่งบอกถึงพยันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อตัวองค์หญิง
แต่ อโปฟิส ก็ต้องหยุดอยู่เบื้องหน้าผ้าม่านโปร่งแสงซึ่งห่างออกไปเพียงไม่ถึง 1 ฟุต เนื่องจากองค์หญิงหลังม่านได้ลุกขึ้นจากเตียง เธอยกฝ่ามือข้างซ้ายออกมาปราม อโปฟิส ก่อนที่องค์หญิงจะเอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องพบเสด็จพี่...ข้าต้องแปรพระทัยของเสด็จพี่ให้จงได้” “และข้าต้องยั้งเสด็จพี่ ก่อนทุกสิ่งที่เสด็จพ่อรังสรรค์จักทลายลงให้จงได้” อโปฟิส ไม่อาจห้ามพระประสงค์ขององค์หญิงของเขาได้ เขาได้แต่คิดในใจว่า
“หากปล่อยไว้เช่นนี้เสียจะมิเป็นการดีต่อทุกสรรพสิ่ง...Iona อาจเป็นสิ่งเดียวที่จักค้ำจุนอนาคตเอาไว้ได้”
Classified : Science Fiction Genre : Politic , Mecha , Action , Drama Written by by Senjumaru Presented by Moonlight® Little Sister Studio 2020
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 9, 2019 15:08:15 GMT
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 9, 2019 15:08:38 GMT
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 17, 2019 11:35:19 GMT
EP1 : White Statue ใจกลางกรุงโตเกียว เวลาประมาณ 16.30 น.
ตึกรามบ้านช่องที่เคยดูสวยงามตระการตาในตัวเมือง ในยามนี้ได้พังทลายลงเป็นจำนวนมาก บางอาคารโค่นล้ม บางอาคารหักครึ่ง บางอาคารสลายหายไป ควันไฟฟุ้งกระจายไปทั่ว แม้เป็นยามบ่ายที่ควรจะมีท้องฟ้าสดใส แต่กลับมืดครึ้มเพราะควันจากการเผาไหม้เหล่านั้น มันลอยขึ้นสูงเกิดเป็นม่านบดบังแสงแดดไม่ให้สาดส่องลงมา เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะ ประชาชนกำลังวิ่งหนีตาย บางคนก็สามารถหาที่กำบังหรือเข้าหลุมหลบภัยได้ แต่บางคนก็ไม่
ตามตัวเมืองบางจุดเต็มไปด้วยซากหุ่นรบที่เรียกว่า Mobilesuit (MS) กระจัดกระจาย ศพทหารราบนอนเรียงราย ไม่เว้นแม้แต่นักบิน Mobilesuit พวกเขาทั้งหลายถูกโจมตี ไม่ต้องกล่าวถึงสภาพของรถถังและยานเกราะที่ถูกส่งเข้ามายับยั้งสถานการณ์อีกหลายร้อย และผู้โจมตีก็ไม่ใช่ใคร กลุ่มกองกำลังโมบิลสูทเหล่านั้นคือกองกำลังของชาว Emeria MS ของ Emerian เข้าทำการสู้รบกับ MS รุ่น F37 ซึ่งเป็นอาวุธประจำการของสหประชาชาติ
แม้เครื่อง F37 จะมีความสามารถในการเปลี่ยนรูปแบบเป็นเครื่องบินขับไล่ได้ ถึงเหล่านักบินได้ถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานกำลังรบของ Emeria ได้ กองรบจำนวนมากของสหประชาชาติถูกทำลาย และรุกคืบเข้าแทบทุกพื้นที่ของตัวเมือง
ที่มุมหนึ่งของเมือง มี MS รุ่น F37 จำนวน 4 เครื่อง กำลังหลบอยู่หลังมุมตึกไม่ห่างจากแนวปะทะ ไหล่ซ้ายของ F37 ทั้ง 4 เครื่องนั้นมีตรา Squad-42 พ่นเอาไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยรบ นักบินคนหนึ่งได้พูดกับเพื่อนๆ อีก 3 คนว่า “ให้ตายสิ พวกมันเยอะเกินไป ท่าทางแผนจะล่มซะแล้ว” เขาเป็นชายหนุ่มเส้นผมสีเขียวหยักศก เส้นผมค่อนข้างยาวถึงหมวกนิรภัยของนักบินจะปิดเอาไว้ แต่ก็เห็นปลายผมที่ยาวแลบออกมา ดาวตาของเขาดูสดใส นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกาย ผิวขาว หน้าตาหวานออกไปในทางสวยเสียมากกว่าหล่อ เขาไม่สูงมาก ประมาณ 169 c.m. อายุ 19 ปี ที่ชุดนักบินของเขามีแทกป้ายชื่ออยู่ที่หน้าอกข้างขวา มันเขียนว่า ร้อยตรีมินาโตะ โทยะ
จากนั้นเพื่อนนักบินอีกเครื่องก็ตอบกลับมา “นั่นน่ะสิ ชั้นเห็นด้วยกับมินาโตะนะ แผนไม่น่าเวิร์คแล้วล่ะ” “แต่จะเอายังไงกันต่อไปดีคะหัวหน้าคิระ?” มันเป็นเสียงของหญิงสาวเสียงเล็กๆ แก้วเสียงใสๆ เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโตสีเขียวอมเทา ผิวขาวอมชมพู มีน้ำมีนวล ใบหน้าเรียวคม เส้นผมตรงสลวยสีน้ำตาลแก่ ร่างบางเล็กส่วนสูง 160 c.m. อายุ 19 ปี มองเผินๆ ไม่เหมือนหน่วยรบ ป้ายชื่อของเธอที่หน้าอกข้างขวาเขียนว่า ร้อยตรีมาซามิ เท็นมะ สีหน้าของเธอดูเป็นกังวลอย่างมาก เธอเห็นด้วยกับชายหนุ่มผมเขียวที่เธอเรียกว่า มินาโตะ และถามไปยังคนที่เธอเรียกว่าหัวหน้าคิระ
นักบินของเครื่อง F37 เครื่องที่ 3 เขามีแถบสีแดงพ่นอยู่ที่ไหล่ขวาแสดงถึงสถานะที่เหนือกว่าคนอื่นๆ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็กส่วนสูงเพียง 165 c.m. อายุราว 19 ปี ใบหน้าค่อนข้างกลม ผิวขาวอมเหลือง ดวงตาโต นัยน์ตาสีน้ำตาล ผมเส้นตรงสีน้ำตาลปรกถึงโคนหู ด้านหน้าไว้ยาวแสกกลางถึงแก้มสองข้าง ป้ายชื่อของเขาคือ ร้อยโทยามาโตะ คิระ ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้บังคับหมู่ของหน่วยรบที่ 42 หน่วยนี้ เขามองสถานการณ์โดยรอบ ก่อนจะตอบว่า “แยกมุมตึกที่เราอยู่นี้เป็นปราการสุดท้ายก่อนถึงฐานทัพ” “พวกนายก็รู้กันอยู่ใช่มั้ยว่าถ้าพวกเราต้านมันไม่อยู่ โตเกียวของพวกเราก็จะถูกยึดอย่างเป็นทางการ” “หน่วยรบที่ 42 รับหน้าที่เป็นปราการสุดท้ายในการสะกัดกั้นข้าศึกที่หลุดรอดจากแนวยิงมาได้” “ยังไงซะ ก็ต้องยึดตามแผน เราจะยิงอัดฆ่าศัตรูด้วยทุกสิ่งที่เรามี ทะลวงมันให้ทะลุ อย่างไม่หยุดยั้ง!!”
คำสั่งของหัวหน้าหน่วยรบทำเอามินาโตะ และมาซามิวิตกกังวลมากไปกว่าเดิม แต่แล้วนักบินคนสุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “ข้าศึกที่หลุดรอดจากแนวยิงอย่างนั้นหรอ...ดูให้ดีสิหัวหน้า” “แนวหน้าเราน่ะ...ไม่เหลือแนวยิงแล้ว และอีกไม่กี่นาทีพวกมันทั้งหมดจะกรูกันมาที่แยกนี้” “ถึงเราจะทำตามแผน เราก็ไม่น่ารอดอยู่ดี และถึงเราทำตามแผน ฐานเราก็ถูกยึดอยู่ดีเช่นกัน” “ผมว่าจะเสียพลังงาน กระสุน และชีวิตโดยเปล่าประโยชน์มากกว่า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
เขาเป็นชายหนุ่มส่วนสูง 172 c.m. รูปร่างผอมบาง ใบหน้ารูปใข่ ผิวขาวอมเหลืองดูซีดไร้น้ำนวล ดวงตาดูเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้าพร้อมจะหลับตลอดเวลา นัยน์ตาของเขาสีเขียวเข้ม เส้นผมสีน้ำตาลดำหยักศกชี้ไปชี้มาไม่เป็นระเบียบ และมันเล็ดลอดออกมาจากหมวกที่เขาสวมอยู่บ้าง อายุของเขารุ่นราวคราวเดียวกันกับนักบินอีก 3 คน โดยป้ายชื่อบอกว่าเขาคือ ร้อยตรี อินาโฮ โฮรูโตะ
คำพูดของอินาโฮทำให้ยามาโตะไม่ค่อยชอบใจนัก แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันเป็นความจริง เพราะบัดนี้แนวหน้าที่ตั้งไว้ตามจุดต่างๆ ถูกไล่ทำลายไปจนหมดสิ้น กล่าวคือ มันผิดแผนไปมาก และเมื่อประเมินกำลังข้าศึกที่เหลืออยู่ กับ MS ของพวกเขาเพียง 4 เครื่อง โอกาสชนะไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่เอาชีวิตให้รอดจากเมืองแห่งนี้ก็ยังแทบเป็นไปไม่ได้ ปัจจัยหนึ่งก็คือประสิทธิภาพของอาวุธ ในขณะที่อาวุธปืนกลของ MS กองรบ Emeria สามารถยิงทำลายเกราะของ F37 ได้ในนัดเดียว ปืนยาวของ F37 ที่ยิงต่อเนื่องได้ช้ากว่ากลับไม่สามารถทำลายเกราะของ MS กองรบ Emeria ได้เลย
ทันใดนั้นเอง ก็มี MS สีเขียวกองรบ Emeria เครื่องหนึ่งสังเกตเห็น F37 ทั้ง 4 เครื่องที่มุมตึก มันเร่งท่อขับดันที่ฝ่าเท้าและแพคหลังมุ่งตรงเข้าหา Squad-42 แห่งสหประชาชาติอย่างไม่เกรงกลัว มาซามิมองเห็นการเคลื่อนที่ของ MS Emeria รุ่น EMS-067 Goliath กำลังมุ่งหน้าตรงเข้ามา เธอจึงรีบแจ้งทันทีว่า “ทุกคน เครื่อง Goliath เครื่องหนึ่งมันเห็นเราแล้วล่ะ แถมมุ่งหน้าเข้ามาด้วย”
ยามาโตะจึงมองเพื่อนๆ ผ่านหน้าจอภายในห้องนักบินแล้วพยักหน้าส่งสัญญาณว่าจะโต้กลับ มินาโตะหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะดูระยะห่าง เมื่อมันเข้าระยะ เขาก็ Peek ปืนยาวออกไปยิงทันที ยามาโตะ อาศัยมุมตึกตรงข้ามกับมินาโตะ Peek ออกอีกฝั่งแล้วยิงปืนยาวตามเข้าไปอีก 1 ชุด ส่วนแถวหลังมีมาซามิและอินาโฮ ก็ Peek ออกไปยิงเป็นระรอกที่สอง แต่โชคพวกเขาไม่ดี
เพราะหลังจากกระสุนระรอกแรกเข้าปะทะ นักบินเครื่อง Goliath ก็รู้ตัวว่า Squad-42 ต่อสู้ขัดขืน เขาจึงยิงกระสุนปืนกลจากอาวุธของ Goliath สวนกลับมา และมันเข้าปะทะ F37 ของมาซามิอย่างจัง ในขณะที่อินาโฮเขาเลือกที่จะมองก่อนทำการยิง ทำให้เขาเห็นวิถีกระสุนที่พุ่งตรงเข้ามาเสียก่อน ต่างจากมาซามิที่ประกายไฟจากปืนยาวได้บดบังวิสัยทัศน์ไปชั่วเสี้ยววินาที เธอจึงเพลี่ยงพล้ำ ไหล่ซ้ายของเครื่อง F37 ของมาซามิถูกกระสุนปืนของ Goliath ยิงเข้าจนขาดกระเด็น แรงปะทะทำเอา F37 ของเธอที่ส่วนสูงร่วม 17 เมตร หมุนเคว้งเสียหลักก่อนล้มลงเสียงสนั่นหวั่นไหว
มินาโตะเหลือบกลับมามองตามเสียงทันทีด้วยความตระหนก “มาซามิ!! ปลอดภัยรึเปล่า!!” มาซามิพยายามประคองหุ่นขึ้นด้วยแขนขวาที่เหลืออยู่ และตอบกลับว่า “ไม่….ชั้นไม่เป็นไร” จากนั้นเธอก็เหลือบกลับไปมองหลังเก้าอี้นักบินของเธอ มันมีกระเป๋าที่รัดแมวสีขาวตัวหนึ่งเอาไว้ “ค่อยยังชั่วที่เจ้าเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้าก็ยังปลอดภัยดี” แต่ยามาโตะดูเหมือนไม่ใส่ใจ เขาเลือกที่จะ Peek ออกไปยิงหมายทำลายข้าศึกให้จงได้ และแล้วกระสุนปืนยาวของยามาโตะก็ได้ผล เมื่อมันไม่ได้พุ่งเข้าปะทะกับเหลี่ยมมนของ Goliath แต่มันฝังเข้าไปที่เกราะส่วนหน้าอกตรงกลางห้องนักบินที่มีรอบบุบแบนอยู่แล้วอย่างพอดิบพอดี ในขณะที่กระสุนปืนกลจาก Goliath ระรอกที่สองก็พุ่งเข้าใส่ปืนยาวของ F37 ของยามาโตะ ส่งผลให้กระสุนปืนยาวที่ถูกบรรจุเข้าสู่รังเพลิงจากช่องเก็บกระสุนที่แขนถูกแรงกระแทกจนระเบิด F37 ของยามาโตะ คิระถูกแรงระเบิดจนกระเด็นผงะหงายจากจุดที่ยืนอยู่จนล้มลง เขาเสียปืนยาวไป
ระหว่างที่เพื่อนๆ กำลังลำบากอยู่นั้น อินาโฮที่ยังไม่ได้ยิงตอบโต้อะไรสักนัดได้สังเกตุเห็นทุกอย่าง เขามองไปที่เพื่อนๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วบ่นพึมพำว่า “ให้ตายเถอะ สิ้นเปลืองแรงอีกจนได้” “มินาโตะ นัดหน้าเราจะยิงพร้อมกัน นายกับชั้นจะเล็งไปที่เป้าหมายเดียวกันคือกระสุนที่หน้าอกนั้น” “เราจะทำให้กระสุนที่ฝังอยู่กระแทกทะลุเข้าไปในห้องนักบิน” มินาโตะมองผ่านจอภาพแล้วพยักหน้า จากนั้นมินาโตะก็พูดว่า “งั้นชั้นจะให้สัญญาณนับ 1 ถึง 3 ก็แล้วกัน พร้อมนะ!! ….3!!”
มินาโตะตัดสินใจโกงอินาโฮ เพราะรู้ว่าหากโผล่ไปพร้อมกัน คนที่มีโอกาสถูกยิงจะเป็นอินาโฮด้วย และเขาไม่ต้องการให้เพื่อนต้องเสี่ยงอันตราย จึงชิงจังหวะลงมือก่อน แต่ทันทีที่โผล่ไปยังไม่ทันยิง กระสุนปืนกลก็พุ่งเข้าใส่ส่วนหัวของ F37 ของมินาโตะจนหงายเงิบ เขาสูญเสียกามองเห็นทันที เพราะจอแสดงภาพภายนอกของตัวเครื่องที่นักบินเครื่อง F37 ใช้ ถูกถ่ายจากกล้องส่วนหัว แต่โชคเข้าข้างที่ที่พึ่งสุดท้ายคืออินาโฮผู้เฉื่อยชา เขาไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรกับการกระทำของ มินาโตะ กล่าวคือ เขาไม่ได้ฟังการนับตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เพียงแค่มินาโตะ Peek ออกไปยิงไวกว่าเท่านั้น ดังนั้น เสี้ยววินาทีที่นักบินเครื่อง Goliath ละสายตาจากมุมตึกของอินาโฮเพื่อยิงใส่มินาโตะ
กระสุนจากปืนยาวจากเครื่อง F37 ของมินาโตะก็พุ่งเข้าปะทะหัวกระสุนของยามาโตะที่ฝังอยู่ก่อน มันเป็นการยิงที่แม่นยำมาก ทำให้หัวกระสุนที่ฝังอยู่พุ่งพรวดทะลุเข้าห้องนักบินของ Goliath ทันที ร่างของหุ่น Goliath ที่กำลังพุ่งเข้ามา เสียทิศทางการบิน ก่อนจะบินเฉออกไปตกลงชนเข้ากับตึกข้างๆ อินาโฮรีบเข้ามาพยุง F37 ของเพื่อนๆ ทีละเครื่อง เพื่อตรวจดูความเสียหาย และพบว่ามันยังพอใช้ได้
ยามาโตะได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือทั้งสองข้าง ส่วน F37 ของเขาเสียปืนยาวไป มาซามิแขนข้างซ้ายมีอาการซ้น และ F37 เสียแขนข้างซ้ายไปทั้งท่อนรวมไปถึงส่วนใหม่ ส่วนมินาโตะศีรษะแตก F37 ของเขาเสียส่วนหัวซึ่งเป็นชิ้นส่วนบันทึกและจอภาพหลัก แต่ทั้ง 3 คนยังอยู่ในสภาพที่มีสติ ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมายนัก ซึ่งทำให้อินาโฮโล่งใจขึ้น
อินาโฮมองไปที่ยามาโตะก่อนพูดขึ้นว่า “การยิงผ่านเกราะเครื่อง Goliath จำเป็นต้องใช้กระสุน 3 นัด” “นัดแรกเปลี่ยนรูปทรงของเกราะที่จะทำลายให้ผิดรูป นัดที่สองยิงเจาะส่วนพื้นผิวของเกราะที่ผิดรูป” “นัดสุดท้ายยิงผ่านเกราะป้องกันเข้าไป และทั้งสามนัดจะต้องยิงเข้าจุดเดียวกันอย่างแม่นยำ” “ดูเหมือนเราจะต้องใช้ F37 ถึง 3 เครื่องเป็นอย่างน้อยในต่อการสู้กับ Goliath เพียง 1 เครื่อง” “เฮ้อพูดเยอะเปลืองพลังงาน เอายังไงต่อดีล่ะหัวหน้า อยู่และตายที่นี่ หรือจะหนีไปตั้งหลัก”
คำพูดของอินาโฮทำให้เพื่อนๆ ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสาม มองไปที่หน้าจอเรดาร์ของตนเอง พวกเขาพบว่ามีเครื่อง Goliath จำนวนมากเริ่มมุ่งหน้ามาทางที่พวกเขาอยู่เพื่อเข้ายึดพื้นที่ฐานทัพ โดยในฐานทัพเองก็ไม่เหลือกองกำลัง MS เพื่อตอบโต้อีกแล้ว ยิ่งทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก
มายาโตะรู้สถานการณ์ดี ตอนนี้เขาต้องเลือกระหว่างรักษาชีวิตเพื่อนๆ ในหน่วยรบที่ 42 หรือยังยืนกรานปฏิบัติหน้าที่ต่อไปและยอมรับความตาย ท่ามกลางสายตาของลูกน้องทั้งสาม “หน่วยรบที่ 42 ได้ทำการสะกัดกั้นข้าศึกเท่าที่ทำได้อย่างดีที่สุดแล้ว….แผนการรบล้มเหลว” “เราจะถอนตัวออกจากแนวรบ….” สิ้นเสียงสั่งการของยามาโตะ ทั้งสามคนก็เห็นพ้องต้องกัน “งั้นพวกเราไปกันเถอะ มาซามิ อินาโฮะ….ว่าแต่จะไปทางไหนกันดีล่ะเนี่ย...” มินาโตะถามขึ้น มาซามิจึงรีบส่งข้อมูลแนวตึกสูงมุ่งหน้าออกนอกตัวเมืองไปยังป่าทึบให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ดู
มินาโตะที่มีเลือดไหลจากบาดแผลที่ศีรษะ เช็คสภาพ F37 ของตนแล้วดูข้อมูลของมาซามิ เขาพูดขึ้นว่า “เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ เพราะตอนนี้โมบิลสูทของชั้นไม่สามารถใช้โหมดเครื่องเจ็ทได้” “การหลบหนีจากมุมอับสายตาและการตรวจจับน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วล่ะ นายล่ะว่าไงอินาโฮ” อินาโฮที่กำลังเหม่อมองสภาพเมืองที่เขาเกิดและเติบโตจมอยู่ในกองเพลิง หันกลับไปมองมินาโตะ “อ่า ตามนั้นแหละ” เขาตอบตกลงทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้ฟังที่เพื่อนๆ พูดเลยด้วยซ้ำไป ในหัวตอนนี้เขาเอาแต่คิดว่า “นี่สินะ สิ่งที่มันควรจะเกิดไปตั้งแต่เมื่อ 100 ปีก่อนแล้ว….”
ยามาโตะพินิจพิเคราะห์อยู่อึดใจ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ตกลง!! เราจะไปทางนั้นกัน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง!!”
……………………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 17, 2019 11:35:25 GMT
6 ชั่วโมงก่อน
ณ ฐานจักรพรรดิ มันเป็นสถานที่เหมือนถาดโลหะขนาดยักษ์ ขนาดของมันเท่าๆ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเขตน่านน้ำสากลในมหาสมุทรแปซิฟิคระหว่างประเทศญี่ปุ่น และหมู่เกาะฮาวาย มันเกิดจากการลงจอดของยานข้ามอวกาศของ Emeria และกางตัวออกเป็นทวีปเทียม มีประชากรชาว Emeria อาศัยอยู่นับล้านชีวิต และฐานแห่งนี้เป็นฐานขององค์จักรพรรดิ
ยานขนส่งขนาดเล็กลำหนึ่งได้ใช้เครื่องไอพ่นขับดันด้านล่างของตัวยานทำการลงจอดแนวดิ่ง ยานลงจอด ณ บริเวณหน้าพระราชวังอันใหญ่โต มันเป็นราชวังสีครีมตกแต่งคล้ายยุคยุโรปโบราณ ประตูยานขนส่งเปิดออกจากด้านข้าง ก่อนที่ชายสวมชุดทหารองครักษ์สีแดงจะเดินออกมา เขาคือ อโปฟิส องครักษ์ประจำตัวองค์หญิง ก่อนที่เขาจะหยุดอยู่ข้างสุดทางบันไดของตัวยาน
จากนั้น หญิงสาวร่างเล็ก ส่วนสูงของเธออยู่ที่ 160 c.m. รูปร่างผอมบาง มีบุคลิกสง่าเปี่ยมราศี จะเดินตามออกมา ดวงตาของเธอเป็นสีทอง ผิวขาวเปล่งประกายเรียบเนียน ใบหน้าเรียวคม เส้นผมของเธอเป็นสีเทาตรงยาวเงาสลวย สวมหมวกลายดอกไม้ เครื่องประดับเลอค่าตระการตา เมื่อใบหน้าอันสวยใสน่ารัก ท่าทีสง่ามีราศี ประกอบกับเครื่องแต่งกายที่ปุถุชนไม่สามารถเอื้อมถึง มันเป็นชุดเดรสยาวสีเทาอ่อน ประดับด้วยลายดอกไม้สีม่วงเข้ม เนื้อผ้านุ่มละเอียดและเบาปลิวตามลม บ่งบอกได้ทันทีว่า เด็กสาวผู้นี้ ผู้ที่ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกิน 17 ปี ต้องเป็นผู้สูงศักดิ์อย่างแน่นอน
ทันทีที่เด็กสาวลงมาจากตัวยาน ทหารรักษาพระองค์ที่ประจำการในพระราชวังก็ออกมายืนเรียงตามทาง จากก็ลดตัวนั่งชันเข่าลงกับพื้นแล้วพูดพร้อมเพรียงกันว่า “องค์หญิงซาฮาร่า ไฮเซีย เชิญเสด็จพะยะค่ะ” องค์หญิงมองไปยังทหารรักษาพระองค์ทีละนายตามธรรมเนียมก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ตามอัธยาศรัย”
เมื่อทักทายเสร็จสิ้น องค์หญิงที่มีพระนามว่า ซาฮาร่า ไฮเซีย คอร์เดเลีย ก็ทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อออกมา เธอใช้มือทั้งสองข้างถกชายกระโปรงของชุดเดรสขึ้นมาเลยเข่า จากนั้นก็รีบออกวิ่งไปทันที สีหน้าของเธอดูเศร้าหมอง เธอรีบวิ่งปรี่เพื่อเข้าไปยังพระราชวังผ่านทางประตูหน้า เจตนาของเธอชัดเจน อโปฟิส ทราบดีว่าองค์หญิงตัวน้อยของเขารีบเข้าไปหาร่างของพระบิดา จักรพรรดิอเมนเฮราฟ เขาจึงรีบวิ่งตามไป เพราะจากการคาดการณ์ของเขา มันจะต้องมีสิ่งไม่ดีต่อตัวองค์หญิงรออยู่ด้านในแน่
ผ่านไปไม่นานนัก
องค์หญิงซาฮาร่า ไฮเซีย ก็วิ่งเข้ามาถึงหน้าห้องบรรทมของพระบิดา แต่ประตูนั้นไม่ได้เปิดต้อนรับ มีทหารองค์รักษ์เฝ้าหน้าประตูอยู่ถึง 4 คน และทั้ง 4 คนนั้นเธอก็รู้ดีว่าเป็นใครจากการแต่งกาย พวกเขาทั้งสี่สวมชุดทหารสีดำ ซึ่งเป็นสีประจำกองทัพของเจ้าชายรัชทายาทอันดับที่ 1 โดยทหารทั้ง 4 นาย สวมหน้ากากเหล็ก พร้อมอาวุธดาบยาวที่ใช้ขู่ไม่ให้องค์หญิงเข้าใกล้ประตูห้อง อโปฟิสที่วิ่งตามมาเมื่อพบทหารทั้ง 4 คิ้วทั้งสองของเขาก็ขมวดเข้าหากัน เขาก็รู้ว่า 4 คนนี้คือใคร เขากำหมัดแน่น และพูดขึ้นเบาๆ ว่า “มหาจตุองครักษ์แห่งอาคเชง….บุรุษเหล่านั้นเหตุใดจึงอยู่แห่งนี้”
ทันทีที่ไฮเซียก้าวเท้าเข้าใกล้ประตูห้องบรรทม ทหารทั้งสี่ก็ชักดาบออกครึ่งฝักพร้อมกัน “พวกเจ้าทั้งหลายหมายสิ่งใดจึงขวางกั้นมิให้ข้าเข้าพบกายแห่งพระบิดา?” องค์หญิงถามขึ้น แม้คำถามขององค์หญิงจะสื่อความหมายชัดเจนและน้ำเสียงก็ดังฟังชัด แต่จตุองครักษ์ก็นิ่งเฉย ก่อนที่จะมีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาองค์หญิงจากทางเดินด้านขวาทีละก้าวด้วยความหนักแน่น
ชายผู้นี้เป็นชายรูปร่างกำยำ ดูมีอายุ หากประมาณอายุจากใบหน้า ดูจะเป็นชายอายุราว 40 ปี เขามีผิวค่อนข้างขาว ใบหน้าดูสมชายชาตรี มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เส้นผมและขนคิ้วเป็นสีขาวหงอก ไว้เส้นผมตรงยาวถึงต้นคอ ถึงจะดูหยักศกตรงปลายเล็กน้อย แต่ก็จัดทรงได้ดีพอไม่ให้บดบังใบหน้า ดวงตาของเขาดุดัน นัยต์นาสีน้ำตาลเข็ม และแววตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังแฝงด้วยความรุนแรง เอกลักษณ์เด่นของเขาคือมีรอยแผลเป็นฉกรรจ์ราวกับถูกทำร้ายด้วยของมีคมบนบริเวณโหนกแก้มซ้าย เขาสวมชุดที่รัดกุม ทะมัดทะแมง เป็นชุดที่ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วและลดแรงปะทะ แต่เมื่อไฮเซียเหลือบไปเห็น เธอมีท่าทีตกใจ ก่อนจะพยายามรวบรวมสติ แล้วเชิดลำตัวขึ้นอย่างสง่า
ไฮเซียยื่นแขนขวาออกไปตั้งฉากกับลำตัวโดยคว่ำฝ่ามือลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คำนับเสด็จพี่” ชายที่ถูกเรียกว่าเสด็จพี่เดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นเยือก เขาช้อนมือลงไปแตะที่ปลายนิ้วของไฮเซีย จากนั้นเขาก็มองไปที่อโปฟิส ทำให้อโปฟิสก้มลงนั่งชันเข่าลงกับพื้นแล้วทักทาย “องค์ชายอาคเชง...” ชายผู้นี้หาได้เป็นเพียงทหารไม่ เขาเป็นถึงองค์ชาย เขาเป็นพี่ชายของไฮเซีย มีชื่อว่า อาคเชง
อาคเชงหันกลับมามองที่น้องสาวแล้วถามขึ้นว่า “เจ้ามาเพื่อลาสังขารเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ” “เห็นทีจะมิได้เสีย บัดนี้ข้าสำเร็จราชการเยี่ยงกษัตริย์ ให้คำมั่นจะเสด็จสังขารพระบิดาอย่างสมภาค” “นักบุญได้เริ่มพิธีกิจแล้ว มิอาจให้ผู้ใดเข้าขวางระหว่างคัน ข้าขอแสดงความผิดหวังแด่เจ้า….” ไฮเซียมีท่าทีไม่ค่อยพอใจกับคำกีดกันอันน่าสงสัยของพี่ชาย แต่เธอก็ยังไม่ทันได้พูดอะไร อาคเชงก็ชิงพูดต่อไปว่า “แต่เป็นการดีมิเสียเที่ยว ยังไงเจ้าก็ต้องลงเจตจำนงแห่งจักรพรรดิ” “ข้าในนามรัชทายาทลำดับต้น จะเป็นเกียรติหากได้รับการส่งเสริมจากขนิษฐา...เจ้าเห็นเช่นนั้นไหม”
ไฮเซีย ขมวดคิ้ว เธอรู้ว่าพี่ชายคนนี้ของเธอต้องการให้เธอเข้าพิธีแต่งตั้งจักรพรรดิและเลือกตัวเขา ในขณะนี้เขาเป็นเพียงผู้สำเร็จราชการ บริหารบ้านเมืองตามกิจลักษณะ ยังไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่หากเขาได้รับเลือกจากพิธีแต่งตั้งจักรพรรดิด้วยการลงคะแนนจากเหล่ารัชทายาทเสียงข้างมาก บัดนั้น เขาจะมีอำนาจในการสั่งการกองทัพแห่งจักรพรรดิซึ่งเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Emeria ประกอบกับเจตจำนงค์ของเขายังไม่แน่ชัด แต่ไม่เป็นผลดีต่อการอยู่อย่างสันติร่วมกับมนุษย์โลกแน่นอน
อโปฟิสมีท่าทีวิตก เขาไม่ต้องการให้องค์หญิงเห็นดีเห็นงามกับองค์ชาย แต่ก็ยังไม่อยากให้ปฏิเสธ เพราะหากเธอเห็นดีเห็นงาม ก็จะเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของอดีตจักรพรรดิอเมนเฮราฟ แต่หากองค์หญิงปฏิเสธไปทันที และประกาศตัวเป็นศัตรูกับองค์ชายอาคเชง ก็จะทำให้เธอมีอันตราย ทว่าโชคยังดีที่ไฮเซียเป็นผู้ปราชเปรื่อง สิ่งที่อโปฟิสกังวล ก็อยู่ในความคิดของเธอหมดแล้วเช่นกัน องค์หญิงซาฮาร่า ไฮเซีย จึงตอบพระเชษฐาไปว่า “ข้ายังหมองเศร้าเหตุพระบิดา จึงยังมิได้คำนึงไว้” “จะเป็นคุณแด่ข้าหากเสด็จพี่มอบกาลให้ข้าได้ไตร่ตรองถ้วนถี่ บัดนั้น ข้าจักให้ผลแด่ท่านแน่แท้”
คำตอบที่ไม่อาจฟันธงได้ของไฮเซีย ทำให้อาคเชงไม่สามารถลงมืออะไรได้ตามใจคิดในตอนนี้ เขาแอบเก็บความรู้สึกหงุดหงิดใจเอาไว้ ก่อนจะแสดงรอยยิ้มบางๆ แต่รู้ได้ว่าแสร้งทำออกมา “หากเช่นนั้น ข้าขอจร มีเหตุเมืองอีกมากต้องสะสาง เชิญเจ้าสำราญตามอัธยาศรัย” เมื่อพูดจบ อาคเชงก็เดินผ่านไปทางอีกฝั่ง แต่มหาจตุองครักษ์ของเขายังคงเฝ้าประตูเช่นเดิม
อโปฟิสจึงนำทางองค์หญิงเดินออกมาจากบริเวณหน้าห้องบรรทมของจักรพรรดิ
……………………………………………...
ฐานทัพสหประชาชาติ กรุงโตเกียว
มันเป็นฐานทัพขนาดใหญ่ เพราะเป็นศูนย์รวมกองบินโมบิลสูทของภูมิภาคนี้ เหตุที่สหประชาชาติเลือกตั้งฐานทัพไว้ที่โตเกียว เพราะอยู่ใกล้ฐานจักรพรรดิมากที่สุด ในกรณีที่มีการเคลื่อนพลของ Emerian สหประชาชาติก็จะสามารถตอบโต้ได้ทันท่วงที มีโมบิลสูทรุ่น F37 จำนวนร่วม 200 เครื่องประจำการอยู่ที่นี่พร้อมหน่วยรบร่วม 50 หน่วย
ช่วงเวลานี้เป็นช่วง 10.30 น. นักบินบางส่วนเริ่มทำการซ้อมบินตามปกติกับเครื่อง F37 ส่วนนักบินบางส่วนก็ใช้เวลาในการพักผ่อนเพราะผ่านการฝึกตามตารางของตนเรียบร้อยแล้ว และบางส่วนก็ไม่ได้อยู่ที่ฐานทัพเนื่องจากติดภารกิจออกลาดตระเวนหรือกู้ภัยให้ประชาชน
ที่โรงซ่อมบำรุงโรงหนึ่ง เป็นโรงซ่อมขนาดไม่ใหญ่มาก มีโรงซ่อมแบบนี้ทั่วฐานทัพ มันเป็นโรงซ่อมโมบิลสูทประจำหน่วยรบ แต่ละหน่วยจะมีโรงซ่อมเป็นเหมือนห้องพักรวมพล และโรงซ่อมบำรุงแห่งนี้มีตัวเลขถูกพ่นด้วยสีขาวลงบนกำแพงคอนกรีตสีเทาเป็นเลข 42 ในโรงซ่อมบำรุงแห่งนี้มีโมบิลสูทรหัส F37 Hawktail กำลังซ่อมแซมอยู่ทั้งหมด 4 เครื่อง นักบินประจำหน่วยรบอยู่ที่นี่ครบถ้วนหน้า ประกอบไปด้วย อินาโฮ มินาโตะ มาซามิ และยามาโตะ
มาซามินั้นกำลังหยอกล้อเล่นอยู่กับแมวของเธออย่างสนุกสนาน มันเป็นแมวขนสีขาวปุยตัวอ้วน ปกติเธอจะมีกระเป๋าพิเศษเอาไว้สำหรับเจ้าแมวตัวนี้แขวนติดเอาไว้หลังเก้าอี้นักบินของเธอ การที่เธอพามันติดตัวขึ้นเครื่อง F37 Hawktail ไปไหนมาไหนด้วย ทำให้มันเป็นแมวนักบินตัวแรก
ขณะเดียวกันมินาโตะกำลังซ่อมแซมเครื่อง F37 ของตนเองตามคำแนะนำของยามาโตะ พวกเขาทั้งสองพยายามปรับแต่งจุดข้อต่อของปีกที่ทำงานช้ากว่าที่ควรให้กลับมาใช้การได้ หลังจากง่วนอยู่กับงานซ่อมบำรุงได้สักพัก มินาโตะก็วางอุปกรณ์ซ่อมแซมลงแล้วปาดเหงื่อ “เสร็จซะที ซ่อมยากชะมัด ถ้าเป็นพวกเครื่องบินทั่วไปหรือรถยนต์ คงเสร็จไปตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วล่ะ” ยามาโตะยิ้มมุมปาก “แน่สิ เจ้านี่น่ะมันใช่เทคโนโลยีของพวกเราซะที่ไหนกัน ซ่อมยากเป็นธรรมดา”
“เอ๋?” มินาโตะมีสีหน้าประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยรู้ที่มาที่ไปของ F37 มาก่อน ยามาโตะนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดต่อไปว่า “นายบินมันมาตั้งนาน ไม่รู้จริงๆ หรอว่ามันเป็นยังไง” “เครื่อง F37 น่ะ เป็นเทคโนโลยีที่เราได้รับการแลกเปลี่ยนมาจากจักรวรรดิ Emeria ด้วยทรัพยากรต่างๆ” “หลังจากสงบศึกกันเมื่อร้อยปีก่อน มนุษย์กับพวกนั้นได้ทำข้อตกลงทางเศรษฐกิจไว้ร่วมกัน” “พวกเราจะอนุญาตให้พวกเขาใช้พื้นที่น่านน้ำสากลตั้งรกรากโดยมีอาณาเขตทางทะเลเป็นของตัวเอง” “ทำให้พวกเขาสามารถทำการประมงหาอาหารได้ นอกจากนั้นยังมีการค้าขายและแลกเปลี่ยนตามมา”
“สินค้าของมนุษย์บางอย่างถือเป็นสิ่งวิเศษในสายตาพวกเขา พวกยาสูบ สุรา และบริการบันเทิงต่างๆ” “โดยสิ่งที่มนุษย์ต้องการจากพวกเขาก็คือเทคโนโลยี และความช่วยเหลือในการฟื้นฟูธรรมชาติ” “แน่นอนว่าโมบิลสูทก็เป็นหนึ่งในข้อตกลงนั้น พวกนั้นเลยส่งวิธีสังเคราะห์วัสดุ และวิธีสร้างมันให้เรา” “แต่ถ้าเอาของเขามาทั้งดุ้น ก็คงจะไม่ได้เปรียบอะไร สหประชาชาติจึงได้พัฒนาโมบิลสูทต่อยอดเอง” “และผลลัพท์ก็คือ F37 Hawktail ที่เป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องบินขับไล่กับโมบิลสูทเข้าด้วยกัน” “ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าเจ้า F37 ที่นายง่วนอยู่หลายชั่วโมงนี่ เป็นเทคโนโลยีต่างดาวก็คงไม่ผิดนัก”
มินาโตะอ้าปากค้างหลังได้การร่ายอันยาวเหยียดของยามาโตะ แต่มันก็เป็นความรู้ใหม่ของเขา จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ฮ่าฮ่า แสดงว่าตอนนี้ชั้นเทพระดับเอเลี่ยนแล้วอย่างนั้นสินะ” ยามาโตะส่ายหัว “ให้ตายสิ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกบ้องตื้นอย่างนายซ่อมของพวกนี้ได้ยังไงกัน” “ว่าแต่อินาโฮล่ะ วันนี้เข้ามาที่กรมมาแล้วรึยัง ถ้ายังไม่เข้าก็น่าจะแจ้งลามาหน่อยก็ยังดีนะ” มินาโตะทำหน้าบูดๆ ก่อนชี้ขึ้นไปที่ F37 อีกเครื่อง “หมอนั่นนั่งหลับอยู่ในเครื่องน่ะ” “ผมว่าบางทีผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกอัจฉริยะที่ไม่สนใจคนรอบข้างอย่างหัวหน้าน่ะ….” ก่อนที่มินาโตะจะพูดจบ เขาก็เหลือบไปเห็นสายตาหรี่ๆ ของยามาโตะจนต้องแถไปข้างๆ คูว่า “แบบหัวหน้าก็...คงไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หรอกจริงมั้ย ให้ตายเถอะเกลียดสายตายั่วยวนแบบนั้นชะมัด”
ยามาโตะได้ยินคำพูดของมินาโตะ เขาก็ตอบลอยๆ ว่า “สิ่งที่ทำไม่ได้อย่างนั้นหรอ..ความฝันล่ะมั้ง” สักพักมาซามิก็เดินเข้ามาแล้วถามขึ้นว่า “ความฝันหรอ….เอ ความฝันของพวกนายเป็นยังไงบ้างหรอ” หลังเธอถามจบเธอก็ปล่อยแมวสีขาวลงบนพื้นแล้วบอกกับมันว่า “อย่าไปซนไหนไกลนะ รีบกลับมาล่ะ” “เดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้า” พูดจบเธอก็ลูบหัวแมวน้อยก่อนมันจะวิ่งไป
มินาโตะทำหน้าเซ็งๆ “ถามจริ๊ง จะเรียกชื่อยาวๆ แบบนั้นไปถึงเมื่อไรกัน....เข้าเรื่องดีกว่า” “ชั้นน่ะมีความฝันนะ….ชั้นน่ะชอบความเร็วมาตั้งแต่เล็กแล้ว เลยใฝ่ฝันอยากเป็นนักแข่งรถมาโดยตลอด” “พวกนายรู้จักรึเปล่าล่ะ แคโรล เชลบี้ อายิตง เซ็นน่า และมิคาเอล ชูมัคเคอร์ ไอดอลชั้นเลยล่ะ” ยามาโตะ หัวเราะในลำคอ “ฝันเฟื่องแท้ๆ ยุคสมัยนี้มีแต่ความตึงเครียดเรื่องสงครามเป็นร้อยปี” “กีฬาเพื่อความสนุกสนานผลาญพลังงานแบบนั้นน่ะ คงฟื้นกลับมาให้นายทำตามฝันยากแล้วล่ะนะ” มินาโตะทำหน้าเซ็งๆ “ก็นั่นน่ะเซ่ เมื่อไรความเต่งตึงดึ๋งดั๋งที่เราเจออยู่นี่มันจะหมดไปซะทีกันน๊า”
ยามาโตะถอนหายใจ “นั่นสินะ นั่นแหละความฝันของชั้นล่ะ ชั้นอยากให้ความตึงเครียดนี้ยุติลงซะที” “เพราะชั้นน่ะ ใฝ่ฝันอยากเป็นนักดนตรี อยากแสดงฝีมือที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนให้ทุกคนได้ฟัง” มาซามิยิ้มมุมปากพร้อมเซะขึ้นว่า “แหม แหม แหม หัวหน้าเนี่ย ฝันไม่ลมๆ แล้งๆ เลยนะเนี่ย...” ยามาโตะเหล่มองมาซามิ เขารู้ตัวว่าความฝันของเขาถูกเปรียบเล่นกับของมินาโตะไปซะแล้ว “แล้วเธอล่ะมาซามิ มีความฝันยังไงบ้าง เราอยู่หน่วยเดียวกันมาตั้งนาน ไม่เคยคุยเรื่องนี้กันเลย” “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เปิดใจกันวันนี้ก็คงยังไม่สาย บางทีมันอาจจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นก็ได้”
มาซามิมีท่าทีเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะยอมบอกความฝันของตัวเองให้เพื่อนๆ ได้รู้ว่า “ชั้นน่ะเป็นคนรักแมวมาก เลยอยากเปิดโรงพยาบาลรักษาสัตว์พร้อมกับเพาะพันธุ์แมวขาย” “พวกนายรู้ไหมว่าก่อนเกิดสงครามเมื่อร้อยปีก่อน จำนวนคนที่เลี้ยงแมวมีมากมายมหาศาลเลยนะ” “แต่พอสงครามเกิดขึ้นแล้ว แค่ลำพังเอาตัวเองให้รอดยังลำบาก คนก็เลยเลิกเลี้ยงแมวไป” “แล้วก็….ชั้นอยากสร้างครอบครัวให้เจ้าเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้า” “เพราะสำหรับเจ้านั่นแล้วก็มีแต่ชั้นแล้วก็พวกนายเท่านั้น คงจะดีถ้ามันมีเพื่อนเป็นแมวด้วยกันเยอะๆ”
ความฝันของ มาซามิ ก็เป็นที่เข้าใจได้เป็นอย่างดีสำหรับมินาโตะและยามาโตะว่ามันน่าอายอยู่จริงๆ แต่ด้วยมิตรภาพของเพื่อน พวกเขาทั้งสองรู้ว่ามาซามิอ่อนไหวเรื่องแมวมากแค่ไหน เลยไม่จิกกัดเล่น หลังจากความเงียบเข้าครอบงำไม่ถึงวินาที เสียงของอินาโฮก็ลอยลงมาจากความสูง 14 เมตรด้านบน “ดูเหมือนความฝันของพวกนายจะต้องเริ่มจากการสร้างสันติให้ยั่งยืนทุกคนเลยนะ” เขาพูดขึ้น คำพูดของอินาโฮทำให้ทุกคนได้คิด และเห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสำคัญที่สุด มินาโตะเลิกคิ้วขึ้น แล้วตะโกนถามอินาโฮกลับไปว่า “แล้วนายล่ะ มีความฝันว่ายังไงบ้างเพื่อนเลิฟ”
“ชั้นน่ะหรอ...ไม่มีหรอกความฝัน….สำหรับชั้นมันไม่มีหรอกของพรรณนั้นน่ะ.....”
……………………………………………...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 17, 2019 11:35:31 GMT
ณ พระราชวัง ฐานจักรพรรดิ
ไฮเซียได้เดินนำ อโปฟิส ไปยังมุมหนึ่งในตัวอาคารพระราชวังจักรพรรดิ เธอมองซ้ายมองขวาดูต้นทางว่ามีทหารองครักษ์เดินเฝ้าระวังอยู่แถวนั้นหรือไม่ เพราะสิ่งที่เธอกำลังจะบอกกล่าวกับอโปฟิสนั้น เป็นเรื่องที่เธอไม่ต้องการให้ใครรับรู้ หลังจากที่เธอเห็นว่าทางสะดวก สามารถพูดคุยเรื่องตั้งใจสนทนาได้ เธอก็เริ่มพูดขึ้น
“อโปฟิส….ข้าบังอาจนึกคิดว่าเสด็จพ่อมิได้สิ้นด้วยปัจจัยทางสังขารของพระเองค์เอง” อโปฟิสพยักหน้าตอบรับ “ข้าเองก็บังอาจเห็นตามความนั้นเช่นกันพะยะค่ะ….” “ปางก่อนยามพระมเหสีสิ้นเสีย ก็มิได้กีดกันรัชทายาทเข้าพานพบ หากแต่ครานี้ต่างไป” “ข้าพระองค์คิดว่าจักต้องมีเหตุบางประการที่องค์ชายอาคเชงมิต้องการให้บุคคลใดล่วงรู้” ไฮเซียหรี่ตาลงเล็กน้อย “ข้าจักต้องหาหนทางเข้าถึงสังขารพระบิดาเพื่อเฟ้นหาความจริง” อโปฟิสขมวดคิ้วก่อนจะถามขึ้นว่า “แล้วพระองค์จะฝ่ามหาจตุองครักษ์เข้าไปได้เยี่ยงไร”
ไฮเซียจึงนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กที่เคยวิ่งเล่นในห้องบรรทมกับพ่อและแม่ ด้วยความที่ตัวเธอเป็นลูกคนเล็กและชอบงองแงติดพ่อแม่มาก จึงสนิทกับพ่อแม่ เธอจำได้ว่ามีคืนหนึ่งที่เธอไม่ยอมกลับห้องไปนอน จักรพรรดิผู้เป็นพ่อจึงยื่นข้อเสนอให้ เขาจะพาไฮเซียไปดูทางลับที่เอาไว้หลบหนีออกจากห้องบรรทมสำหรับจักรพรรดิ เธอชอบเรื่องพิเศษในคืนนั้นมาก และเธอก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ในวันนี้
ไฮเซียจึงสั่งให้อโปฟิสรอด้านนอกเผื่อเกิดอะไรผิดพลาดจะได้ไม่ติดร่างแหกับเธอไปด้วย จากนั้นเธอก็เดินหลบเข้าไปที่กำแพงมุมมืด ก่อนจะกดเข้าไปที่กำแพงเบาๆ เพื่อเปิดประตูลับ เธอใช้เวลาไม่นานเดินคลำทางผ่านซอกเล็กๆ ในความมืด จนไปบรรจบกับทางออก จากนั้นเธอก็ผลักผนังทางตันซึ่งทำจากไม้ออกมาโผล่อีกฝั่งข้างเตียงในห้องบรรทมของจักรพรรดิ สิ่งที่เธอเห็นเบื้องหน้าคือร่างของจักรพรรดิอเมนเฮราฟผู้เป็นบิดา นอนแน่นิ่งไร้ชีวิต
น้ำตาของไฮเซียเริ่มเอ่อล้น ภาพในความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับพ่อของเธอได้หวนกลับมาในความคิด ตั้งแต่จำความได้ แทบทุกช่วงเวลาที่ดีในชีวิตของเธอมักจะมีพระบิดาอยู่ในนั้นด้วยเสมอ แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่เธอก็รู้ดีมาเสมอว่าพระบิดาไม่เคยเกลียดชังเธอเลยแม้แต่น้อย หลังจากตั้งสติได้ เธอก็ค่อยๆ เดินไปนั่งข้างๆ เตียงบรรทม ก่อนจะสังเกตสิ่งผิดปกติบนร่างบิดา เธอพบว่าร่างกายของท่านไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย แต่พบคราบน้ำลายเปรอะทั่วบริเวณปาก ไฮเซียรู้ทันทีว่าพระบิดาถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยการวางยาพิษ สิ่งที่เธอคิดไว้นั้นถูกต้อง
แต่เธอก็ไม่ได้มีโอกาสหนีออกจากห้องเมื่อมหาจตุองครักษ์เปิดประตูใหญ่เข้ามา ตามมาด้วยองค์ชายอาคเชงที่เดินเข้ามาด้วยการปรบมือ และยิ้มราวกับว่าเป็นผู้ชนะ “สมกับเป็นขนิษฐาแห่งข้า มิเสียแรงที่พระบิดาทรงโปรดเจ้ามากที่สุดในบรรดาราชบุตร ราชธิดา” “ข้าหมายไว้อยู่แล้วว่าเจ้ามิใช่ผู้แพ้พ่ายง่ายดาย แต่ความทุรังของเจ้านำพาเจ้ามาพบความเดือดร้อน” “บัดนี้เจ้าต้องโทษในฐานขัดบัญชาผู้สำเร็จราชการกษัตริย์แห่งเอเมอเรีย แต่ข้าอาจพิจารณาละเว้นให้”
“เพียงเจ้ายอมส่งมอบการสนับสนุนของเจ้าแด่ข้า ข้าจักนำพาอเมอเรียไปสู่ความศรีวิไล” “นานมาแล้วที่ข้าให้โอกาสเหล่ามนุษย์ผู้ดักดานในการวิวัฒน์เพื่อธำรงค์เคียงข้างชาวเรา” “แต่มนุษย์ต่ำตมหาได้คว้าโอกาสนั้นไม่ เหล่ามันรังแต่จะตักตวงผลประโยชน์ และนำพาเราตกต่ำ” “ไม่ว่าเหล่าเราจะเยียวยาดาวดวงนี้จากผลกระทำของเหล่ามันเพียงใด เหล่ามันก็ยิ่งทำลายเพิ่มเติม” “อีกประการยังนำพาจารีตน่ารังเกียจสู่ชาวเรา สิ่งมึนเมา สิ่งเสพย์ติด สิ่งกามอารมณ์ ช่างต่ำช้า” “หนทางเดียวที่ข้าไตร่ตรองสู่ทางออก คือการทำลายสิ้นซึ่งเผ่าพันธุ์ผู้ล้างผลาญเหล่านั้น” “เคียงข้าเถิดขนิษฐาผู้เป็นที่รัก ข้าจักไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง จักเนรมิตรดาวดวงนี้เสียใหม่ให้น่าอภิรมย์”
ไฮเซียได้ฟังสิ่งที่พี่ชายคนโตของเธอพูดมา สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความไม่พอใจถึงที่สุด “เสด็จพี่ช่างไร้หลักอิง สิ่งที่พระองค์เอื้อนเอ่ยเป็นเพียงดำริส่วนพระองค์เนื่องวิสัยส่วนน้อย” “ข้าและเสด็จพ่อพานพบเหล่ามนุษย์มามากหลาย เหล่าเขามิได้จักเป็นไปตามที่เสด็จพี่พาดพิง” “Earthian มิได้ต่างจาก Emerian มีดีมากมาย ย่อมมีร้ายปะปน มิควรพิพากษาขาดแยกแยะ” “ข้าจักไม่มีวันส่งเสริมท่าน และขอปฏิญาณเป็นปรปักษ์ต่อท่านกระทั่งห้วงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิต”
ไฮเซียเอ่ยเสียแข็ง แววตาของเธอไม่ได้ดูเป็นผู้อ่อนแออย่างรูปลักษณ์ที่เธอเป็น อาคเชงหัวเราะด้วยจมูกเบาๆ “ถ้าประนีประนอมไร้หมาย ข้าเห็นจักต้องดำเนินหนอื่นต่อเจ้าแล้ว” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกไป เป็นขณะเดียวกันที่มหาจตุองครักษ์ทั้ง 4 เข้ารวบตัวไฮเซียเอาไว้ ระหว่างเดินออกไป อาคเชงได้สั่งการทหารผู้ช่วยของเขาได้ดำเนินการส่งเทียบเชิญออกไปถึงพี่น้อง
องค์ชายเฮลิออส ลา นูอาร์ ในฐานะ องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 2 องค์หญิงอัลม่า บาส เล็กเซ็นเทล ในฐานะ องค์หญิงรัชทายาทลำดับที่ 3 องค์ชายออเฟียส อาเซล อัลไอเซ็น ในฐานะ องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 4 และองค์ชายวัลดัส ธีโอฟีลัส อาเครอส ในฐานะ องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 5 องค์ชายและองค์หญิงทั้ง 4 พระองค์นี้ เป็นรัชทายาทผู้มีอำนาจในการลงนามแต่งตั้งจักรพรรดิ และไม่จำเป็นต้องส่งเทียบเชิญให้องค์ชาย และองค์หญิง พระองค์อื่นๆ อีก เพราะไม่ใช่รัชทายาท องค์ชาย และองค์หญิง ที่จะเป็นรัชทายาทได้นั้น จะต้องเป็นโอรส และธิดา ที่เกิดจากมหสีเท่านั้น
เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาของอโปฟิสทั้งหมด เพราะเขาแอบสังเกตุการณ์ผ่านช่องประตูห้อง แม้เขาจะเป็นองครักษ์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม แต่เขาก็รู้ตัวว่าไม่อาจรับมือจตุองครักษ์ทั้ง 4 พร้อมกันได้ จึงได้คอยดูอยู่ห่างๆ เพื่อหาทางที่จะเข้าไปช่วยองค์หญิงของเขาแล้วหนีออกจากวังแห่งนี้ อโปฟิสกดอุปกรณ์สื่อสารที่ดูเหมือนเข็มกลัดทองมีลวดลายที่ปกคอเสื้อสั่งการทหารของไฮเซีย
“พวกเจ้าจงรีบเฟ้นหา อิโอน่า เหล่าเรามีเวลามากไม่ ข้าจักรีบช่วยองค์ไฮเซียหลีกไกลที่แห่งนี้”
……………………………………………..
ผ่านไปร่วม 4 ชั่วโมง
ในห้องจองจำของราชวังแห่งจักรพรรดิ บนฐานจักรพรรดิ
มันเป็นห้องสีขาวสะอาด รูปร่างเหมือนกล่อง ทำจากวัสดุแข็งแรงแน่นหนา มีไฟส่องสว่างทั่วห้อง ไฮเซียนั่งคิดทบทวนสิ่งต่างๆ อยู่ด้วยท่าทีสงบนิ่งบนเตียงของห้องขัง แววตาของเธอไม่ได้ย่อท้อ เพราะสิ่งที่เธอพูดกับองค์ชายอาคเชงไปนั้น มาจากเจตจำนงค์ที่แท้จริงไม่ได้มาจากอารมณ์ แต่สิ่งที่เธอกังวลคือ เธอเป็นรัชทายาทลำดับที่ 6 ซึ่งยังไม่ได้เติบโตและเข้มแข็งเหมือนพี่ๆ ทำให้เธอไม่มีกองทัพเป็นของตัวเอง มีเพียงทหารรักษาพระองค์คอยดูแลความปลอดภัยเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังเพียงไม่กี่สิบคน ไม่สามารถต่อกรกับกองทัพขององค์ชายอาคเชงได้
และความเงียบงันก็ถูกพังทะลาย แม้ห้องขังที่จองจำไฮเซีย จะเป็นห้องเก็บเสียงชั้นดี แต่ก็มีเสียงเล็ดลอดเข้ามา มันเป็นเสียงการยิงอาวุธคลื่นกระแทก พร้อมกับเสียงร้องโวยวาย ไม่นานนัก ประตูห้องขังที่ลงกลอนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็เปิดออก จากนั้นอโปฟิสก็รีบเปิดเข้ามา “รีบหลีกหนีกันเถิดพะยะค่ะ อีกไม่นานเนิ่นทหารรักษาพระองค์คงจักสำนึกเหตุเป็นแน่แท้” “หากแม้นหมายรักษาวาจาที่ตรัสไว้ก่อนหน้าอันหมายปรปักษ์องค์ชายอาคเชงให้จงได้” “องค์หญิงมิอาจกระทำการใดหากพระองค์ยังถูกตรึงกายไว้ในสถานกักกันเช่นนี้” “ด้วยประการเช่นนี้ ข้าพระองค์จึงหาทางหลีกหนีเอาไว้เพื่อพระองค์แล้ว โปรดมาพร้อมข้าพระองค์ด้วย”
เมื่ออโปฟิสพูดจบ ไฮเซียยังคงยืนนิ่ง “ข้าจะมิไปไหน หากเจ้ามิไปพร้อม ข้ามิอาจทิ้งเจ้าไว้รับเคราะห์” อโปฟิสคิดอยู่ชั่วอึดใจ และจำใจตอบรับคำเสนอของไฮเซีย “พะยะค่ะ….ข้าพระองค์มิขัดขืน” ไฮเซียเอะใจก่อนจะถามคำถามที่คาใจเรื่องสุดท้าย “แล้วเราสองจะหลีกไกลไปได้เยี่ยงไร”
คำตอบของอโปฟิสนั้น สั้นและได้ใจความ “.....อิโอน่า พะยะค่ะ…...”
……………………………………………..
เวลาปัจจุบัน
ณ สถานที่ลึกลับ มันเป็นเหมือนหลุมหลบภัยเก่าๆ ที่ถูกทิ้งร้าง สภาพสกปรกเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน หนูหลายตัววิ่งกันพลุกพล่าน เป็นสถานที่ซึ่งไม่มีหน้าต่างทำให้พอรู้ว่ามันตั้งอยู่ใต้พื้นดิน แสงไฟทั่วตัวสถานที่นั้นเป็นสีส้ม อ่อนสลัว ติดๆ ดับๆ ไม่ต่างอะไรกับสถานที่ในภาพยนตร์สยองขวัญ ในห้องแยกห้องหนึ่งซึ่งเคยถูกใช้งานเป็นห้องสื่อสาร มีเสียงหญิงสาวกำลังพูดคุยกับบุคคลอื่นอยู่
ชายร่างสูงใหญ่ ล่ำสัน ส่วนสูง 190 c.m. อายุราว 30 ปี แต่งตัวเหมือนนักรบ แต่สภาพเปรอะเปื้อน เขามีใบหน้าเรียวคม ดวงตามุ่งมั่น นัยน์ตาสีเทาดำ เส้นผมสีเทากระเซอะกระเซิงชี้ไปชี้มา ผิวขาว สวมผ้าปิดตาสีดำที่ตาข้างซ้าย สีหน้าของเขาแสดงความกวนอารมณ์ผู้อื่นออกมาได้เป็นอย่างดี เขาเดินตรงไปยังห้องสื่อสารที่มีเสียงหญิงสาวเล็ดลอดออกมา และชายคนนี้ก็เปิดประตูเข้าไป
“ไฮ่ย่าห์!!” ชายคนนั้นส่งเสียงดังสนั่น เขาตั้งใจจะทำให้หญิงสาวในห้องตกใจ แต่กลับกัน หญิงสาวที่กำลังพูดคุยอยู่กับบุคคลอื่นทางเครื่องสื่อสาร เพียงแค่เหลือบหางตามามอง เธอเป็นหญิงสาวผิวเข้ม ใบหน้าสะสวย ดวงตาเย็นเยือกไร้อารมณ์ นัยน์ตาของเธอเป็นสีเหลืองอำพัน ผมตรงยาวสีขาว อายุประมาณ 27 ปี รูปร่างของเธอค่อนข้างสูง โดยประมาณที่ 170 c.m. ที่ต่างจากหญิงสาวทั่วไปคือ แม้ร่างกายของเธอจะสวมชุดมิดชิดเหมือนหน่วยจู่โจมพิเศษ แต่ด้วยความรัดรูป ทำให้สามารถเห็นมัดกล้ามเนื้อจำนวนมากของเธอได้อย่างชัดเจน
เธอไม่ได้สนใจการล้อแหย่ของชายร่างสูง แต่หันกลับไปมองยังหน้าจอสื่อสารด้านหน้าอีกครั้ง หน้าจอนั้นแสดงชื่อคู่สนทนาของหญิงสาว บุคคลคนนั้นใช้ชื่อติดต่อว่า “Leo” หญิงสาวรับฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบสั้นๆ ว่า “กันดั้มอย่างนั้นหรอ….เข้าใจแล้ว จะรีบจัดการ” เมื่อพูดจบ หญิงสาวผมขาวก็วางสายการติดต่อนั้นลงไป พร้อมหันมาทางชายร่างสูง
ชายร่างสูงไม่ได้สนใจอะไร หรือเขายังไม่รู้ตัวว่าเขากำลังจะโดนต่อว่า ก็พูดขึ้นยาวเป็นชุดว่า “กันดั้มอย่างนั้นหรอ…..เอาจริงดิ ตื่นเต้นเป็นบ้า ไอ้โมบิลสูทที่เมื่อ 100 ปีก่อนที่เหนียวจัดอ่ะนะ” “อยากไฝว้มานานแล้ว คราวนี้จะทืบมันให้จบดินไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด แล้วจะอั้พรูปลง IG เป็นที่ระทึก” และในที่สุดหญิงสาวผมขาวก็ทนฟังต่อไม่ไหวจึงระเบิดเสียงโทนต่ำกระแทกกระทั้นออกมา “แฟ๊งซ์!!” เสียงของเธอทำเอาหนุ่มร่างสูงหยุดชะงักด้วยใบหน้าเจื่อนๆ สีหน้าบ่งบอกว่าวันนี้โชคไม่เข้าข้างเขา “โถ่หัวหน้ามิราจทำเป็นเข้มไปได้ ก็คนมันดีจัยจะได้ทืบกันดั้มนี่นา ไม่มั่นใจในตัวผมหรอครัช”
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่ามิราจ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ คนโง่ก็ยังเป็นคนโง่อยู่วันยังค่ำสิน่า” “แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว รู้ไว้เลยก็ดี เรื่องกันดั้มนั่นน่ะ” คำพูดของมิราจทำเอาแฟ๊งซ์ชายร่างสูงหูผึ่ง เธอพูดต่อไปว่า “เราจะไม่ไปจัดการมันหรอก …. เรากำลังจะไปช่วยมันตะหาก…….” แฟ๊งซ์แสดงท่าทีประหลาดใจจนใบหน้าเหยเกเมื่อได้ยินว่าจะต้องไปช่วยกันดั้ม ไม่ใช่ไปต่อสู้ มิราจลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะสื่อสาร “องค์หญิงซาฮาร่า ไฮเซีย รัชทายาทลำดับที่ 6 น่ะ” “เธอไม่เห็นด้วยกับการเปิดสงครามระหว่าง Emeria กับสหประชาชาติ เธอจึงหนีออกจากวัง” “สายข่าวบอกว่า เธอหนีออกมาพร้อมกับกันดั้มเครื่องหนึ่ง มันเป็นกันดั้มของอดีตจักรพรรดิ”
เมื่อพูดจบ มิราจก็เดินผ่านแฟ๊งซ์ออกมานอกห้องสื่อสาร และมองไปโดยรอบสถานที่แห่งนั้น มันมีอักษร ERF (Earth Revolution Force) พ่นอยู่บนกำแพงตัวโต แม้จะเริ่มเลือนจางลงไปบ้าง จากนั้น เธอก็คว้าวิทยุสื่อสารระยะสั้นขึ้นมาแล้วประกาศออกไป “ทุกคนเตรียมพร้อม ได้เวลาลุยกันแล้ว” ทันใดนั้น ผู้คนที่อยู่ภายในสถานที่ก็เดินออกมารวมกัน พวกเขาแต่งตัวเหมือนกลุ่มกองโจร จะแตกต่างจากกลุ่มกองโจรอย่างมากก็ตรงที่พวกเขาทุกคนมีระเบียบวินัยที่ดีเยี่ยมราวกับนักรบทหาร “ภารกิจคราวนี้มันมีค่ามากกว่าชีวิตพวกเราทุกคน มันอาจจะหมายถึงอนาคตของโลกใบนี้” “ในฐานะของหัวหน้า ERF กองกำลังปฏิวัติโลกภาคพื้นเอเชีย เอ็คโค่ มิราจ ขอประกาศภารกิจ!!”
“เราจะไปช่วยกันดั้มกัน….”
……………………………………………….
ใจกลางกรุงโตเกียว เวลาประมาณ 16.40 น.
เครื่อง F37 จำนวน 4 เครื่องกำลังบินเรียบไปตามแนวอาคารสูง มุ่งหน้าออกนอกตัวเมือง พวกเขาบินเรียงแถวหน้ากระดาน และไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมาก เพราะหากเกิดเสียงดัง หรือแม้กระทั่งเกิดความร้อนสูงขึ้นเกินไป อาจถูกสังเกตได้โดยนักบินกองทัพ Emeria
มาซามิเห็นการบินของมินาโตะที่เซไปเซมา เธอจึงถามขึ้นว่า “เป็นอะไรรึเปล่ามินาโตะ” ชายหนุ่มผมเขียวตอบกลับมาทันทีว่า “ชั้นน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่โมบิลสูทนี่ซี๊ อาการเอาเรื่อง” ยามาโตะเหลือบไปมองเครื่อง F37 ที่ไร้ส่วนหัวของมินาโตะ ก่อนพูดขึ้น “ส่วนหัวเสียหายไปทั้งหมดแบบนี้ ตอนนี้หน้าจอที่นายเห็นคงมีแต่หน้าพวกชั้นอย่านั้นสิ” มินาโตะหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ก็จะมีภาพอะไรไปได้กันเล่าหัวหน้านอกจากหน้าของพวกเรา”
อินาโฮที่อยู่เงียบๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ชั้นพอมีวิธีทำให้มินาโตะบินได้ดีกว่านี้แล้วล่ะ” “ถ้าเราจัด Formation ลูกศร ให้เธอ...มาซามิ แล้วก็หัวหน้าคิระ บินเป็นปีกของลูกศร” “จากนั้น มินาโตะ …. นายอยู่ข้างหน้า ส่วนชั้นอยู่ข้างหลัง ทีนี้ทุกอย่างก็ลงล็อคง่ายๆ” มินาโตะยิ้มแหยๆ “เดี๋ยวนะ!! พูดอะไรให้เคลียร์ๆ หน่อยจะได้มั้ยเพื่อน ไอที่ว่ามามะกี้น่ะขนลุกชะมัด” “ข้างหน้าข้างหลังยังไม่พอ แถมยังลงล็อคง่ายๆ อีก บอกตามตรง ชั้นนี่คิดไปไกลแล้วนะเนี่ย”
อินาโฮจึงอธิบายให้ชัดขึ้นว่า “นายเคยเล่นวิดีโอเกมส์มาก่อนอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ เกมส์อะไรก็ตาม” “ไม่ว่าจะเป็นเกมส์แข่งรถ หรือเกมส์โมบิลสูทไฟเตอร์ที่มีมุมมองแบบบุคคลที่สามน่ะ” “ก็แค่ให้นายบินอยู่ข้างหน้า ส่วนชั้นที่อยู่ข้างหลังนายจะส่งภาพหน้าจอของชั้นไปที่จอนายแทน” มินาโตะรู้สึกโล่งใจขึ้น “อธิบายแบบนี้แต่แรกก็จบแล้ว มาอะไรข้างหน้าข้างหลังอยู่ได้” ยามาโตะคิดดูสักพักก็สั่งออกไปว่า “เอาตามนั้น เป็นความคิดที่ไม่เลว หน้าหลังลงล็อค” ระหว่างที่หนุ่มๆ พูดคุยกันอยู่ มาซามิที่เงียบไป เธอแอบหน้าแดง คิดอะไรเตลิดไปเรียบร้อยแล้ว จึงได้แต่หันกลับไปด้านหลังเบาะนักบินนั่งมองหน้าเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้า เผื่อมันจะช่วยเรียกสติและสมาธิของเธอไม่ให้ตะเลิดไปไกลกว่าที่ควรจะเป็นในเวลาเช่นนี้
หลังจากที่บินมาได้พักหนึ่ง มินาโตะก็ถามขึ้นว่า “ว่าไปแล้ว ที่นายบอกว่าต้องยิงถึงสามนัดนั่น” “นัดแรกจะต้องใช้กระสุนหัวมนระยะสั้นเพื่อทำให้เกราะนอกของมันเสียรูปร่างก่อนใช่รึเปล่า อินาโฮ” อินาโฮที่เริ่มถ่ายภาพหน้าจอของเขาไปที่มินาโตะก็ตอบกลับว่า “ใช่ ถ้าไม่บิดเบือนรูปร่างของมันก่อน” “ไม่ว่าจะใช้กระสุนเจาะเกราะ กระสุนความร้อน หรือกระสุนระเบิดยิงใส่ มันก็จะสะท้อนออกหมด” ยามาโตะจึงเสริมขึ้นต่อว่า “นัดที่สองที่ชั้นยิงไป ชั้นใช้กระสุนความร้อน มันถึงฝังเข้าไปในชั้นเกราะได้” “ทันทีที่รูปทรงของเกราะภายนอกมันเสียไป คุณสมบัติในการสะท้อนแรงกระสุนของมันก็จะหมดลง”
มาซามิคุ้นหูว่าเมื่อช่วงสายๆ เธอได้ยินการสนทนาเรื่องโมบิลสูทระหว่างยามาโตะกับมินาโตะ “จะว่าไป หัวหน้าคิระบอกว่าโมบิลสูทของเราเป็นเทคโนโลยีของ Emeria ที่เอามาปรับปรุงเพิ่มเติม..” “แล้วทำไมสิ่งที่เราเจอมันไม่ได้บอกอย่างนั้นเลยล่ะ เห็นได้ชัดว่าประสิทธิภาพมันต่างกันมาก” “ทั้งความแข็งแกร่งของเกราะ ระบบขับเคลื่อน ความคล่องตัว ไหนจะอานุภาพของอาวุธอีก” ยามาโตะหัวเราะแบบตลกร้าย “นั่นน่ะซี๊ เจ้าพวกนั้นก็คงไม่โง่ส่งอาวุธเด็ดของตัวเองให้ศัตรูหรอก” “เป็นชั้นก็คงจะทำแบบเดียวกัน หลอกว่าจะแบ่งปันเทคโนโลยี แต่ดาวน์เกรดมันก่อนค่อยส่งให้” มินาโตะได้ยินอย่างนั้นก็ใช้กำปั้นทุบที่แผงควบคุมด้วยความแค้น “ลูกตุ๊ดชะมัด คิดแล้วแค้นซะจริง” ยามาโตะเลิกคิ้ว “สงครามและการเมือง ไม่ว่าที่ไหนหรือฝ่ายใดมันก็ต้องเล่นอย่างนี้กันทั้งนั้นนั่นแหละ”
แต่แล้วอินาโฮที่บินอยู่เงียบๆ คอยฟังเพื่อนๆ คุยกันก็เห็นเครื่อง Goliath บินมาขวางตรงหน้า 1 เครื่อง “ศัตรูที่ 12 นาฬิกา มินาโตะใช้กระสุนทำลายระยะประชิด...ยิงเข้าตรงไหนก็ได้ขอให้โดน” อินาโฮพูดขึ้น แม้จะกำลังคุยเพลินๆ แต่มินาโตะก็มีประสาทสัมผัสตอบสนองที่รวดเร็ว เขายกปืนขึ้นแล้วยิงออกไป ด้วยประสบการณ์การเล่นเกมแนวมุมมองบุคคลที่สาม ทำให้การยิงของเขาแม่นยำอย่างน่าเหลือเชื่อ กระสุนทำลายระยะสั้นพุ่งเข้าปะทะส่วนหน้าอกของ Goliath เข้าอย่างจัง จนมันเซถอยหลังออกไป
ยามาโตะนั้นไม่เหลืออาวุธให้ทำการต่อสู้ระยะไกล เขาดึงอาวุธที่เป็นเหมือนมีดโลหะออกมา แต่เขาก็ยังไม่ผลีผลาม เขารอจังหวะให้แน่ใจว่าจำเป็นต้องทำการต่อสู้แบบประชิดตัวจริงๆ เสียก่อน กระสุนนัดที่สองเป็นกระสุนความร้อน ยิงโดยมาซามิ แต่เครื่อง F37 ของเธอเหลือแขนข้างเดียว แรงดีดของปืนยาวนั้นมีมากเกินกว่าแขนข้างเดียวจะรับไหว ทำให้อาวุธปืนยาวหลุดมือไปทันที แต่กระสุนของเธอก็ยังเข้าเป้าไปฝังที่หน้าอกตรงรอยยุบซึ่งมินาโตะได้สร้างไว้วินาทีก่อนหน้า และปิดฉากด้วยกระสุนเจาะเกราะนัดสุดท้ายของอินาโฮที่ย้ำเข้าไปที่รูกระสุนของมาซามิ นักบินของเครื่อง Goliath ถูกกระสุนขนาดใหญ่เจาะผ่านเข้าห้องนักบินร่างแหลกในพริบตา
จากนั้นห่ากระสุนหลายสิบนัดก็พุ่งเข้าใส่หน่วยรบที่ 42 จากทางด้านหลัง แต่ระยะที่ยิงนั้นไกลมาก ทำให้กระสุนพลาดจุดสำคัญไป และนักบินทั้ง 4 คนของหน่วยรบที่ 42 ก็ใช้โอกาสแยกตัวออกจากกัน พวกเขาทั้ง 4 พยายามจะตั้งหลักหาทางหนี แต่จำนวน Goliath ที่บินไล่ล่าจากด้านหลังนั้นเยอะมาก หากนับจำนวนจริงๆ เท่าที่เครื่องตรวจจับในหน้าจอหาพบ ก็รวมได้ถึง 7 เครื่องเข้าไปแล้ว
ยามาโตะส่ายหน้า “พวกเรามาได้แค่นี้แล้วอย่างนั้นสินะ….ชั้นผิดเองที่ยังฝืนสู้กับพวกมันก่อนหน้านี้” “ไม่งั้นป่านนี้พวกเราคงไม่ตกที่นั่งลำบาก...ทางเลือกสุดท้ายตอนนี้ก็คือ ชั้นจะถ่วงเวลามันเอาไว้” แต่ยามาโตะไม่ทันพูดจบ มินาโตะก็แทรกขึ้นทันที “พอเถอะหัวหน้า มันน้ำเน่าไปหน่อยมั้ง” “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว บวกกับมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า จริงมั้ย อินาโฮ มาซามิ!!” มาซามิเหงื่อตก เธอมองไปทางอินาโฮเพื่อดูปฏิกิริยาของอินาโฮ ผู้ที่ยังมีอาวุธครบมือเพียงคนเดียว แล้วอินาโฮก็พูดขึ้นว่า “ถูกของหัวหน้า ต้องถ่วงเวลาให้คนอื่นหนี แต่คนที่ทำแบบนั้นต้องเป็นผม” “เครื่องของผมยังสมบูรณ์ดี แถมอาวุธก็ยังพร้อมสู้ ผมจึงเป็นคนที่ถ่วงเวลาพวกมันได้นานที่สุด”
ยามาโตะได้ฟังเหตุผลของอินาโฮ เขาก็พูดอะไรไม่ออก แทนที่จะได้ปกป้องลูกน้อง แต่ตัวเขาเองต้องจำใจให้ลูกน้องปกป้อง ในขณะที่ ยามาโตะ มาซามิ และ มินาโตะ เตรียมหนี และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อินาโฮ Peek เครื่อง F37 ออกไปเพื่อยิงสะกัดกั้น
ตูม!!!!
มีบางสิ่งพุ่งลงมาตกตรงหน้าของอินาโฮ แวบแรกที่เขาเห็นนั้น มันเป็นสีขาวแซมสีน้ำเงิน และแวบต่อมาเมื่อมันตกลงกระทบกับพื้น สิ่งที่ทุกคนเห็นคือ โมบิลสูทเครื่องหนึ่ง
มันเป็นโมบิลสูทที่มีความสูงประมาณ 17 เมตร สีขาวแซมน้ำเงิน ขลิบแดง เหลือง มันมีดวงตาเป็นสีเขียว หน้าตาส่วนหัวดุดัน มีเขาสีทองอร่าม และมีปีกใหญ่โตที่กางออก รูปร่างของมันดูแล้วคล้ายรูปปั้นเทวดาหรือนางฟ้าศิลปะยุคกรีกโรมันก็ไม่ปาน เอกลักษณ์ทั้งหมดมันมากเพียงพอที่จะทำให้หน่วยรบที่ 42 ทั้งสี่คนพูดพร้อมกันว่า “กัน...ดั้ม...”
และภาพสุดท้ายที่อินาโฮได้เห็นคือ กันดั้มเครื่องนั้น ยกปืนยาวของมันขึ้นเล็งมาที่หน้าของเขา เขาหน้าถอดสีจนซีดเผือก เหงื่อปริมาณมากไหลออกทั่วทุกรูขุมขน ม่านตาของเขาหดเล็กลง
“กะ….กันดั้ม….อย่างนั้นหรอ…...”
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 20, 2019 11:36:52 GMT
EP2 : Bloodlust
กลางสมรภูมิโตเกียว
“กะ….กันดั้ม….อย่างนั้นหรอ…...” อินาโฮพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกขณะที่เขาถูกจ่อด้วยปลายปืนยาว ในขณะที่มาซามิ มินาโตะ และยามาโตะได้แต่ยืนอึ้ง พวกเขารู้ดีว่าในเวลานี้ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรอีกได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปช่วยอินาโฮ หรือไม่ว่าจะเป็นการหนีออกจากตัวเมือง เพราะกันดั้มนั้นคือจุดจบของทุกสิ่ง
แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นกันดั้ม แต่ตามตำราประวัติศาสตร์เมื่อ 100 ปีที่แล้วได้บันทึกไว้ว่า ทุกครั้งที่กองทัพสหประชาชาติยกกำลังพลทั้งหมดที่มีเข้าโจมตียานตั้งฐานของ Emeria หมายเผด็จศึก เพียงแค่กันดั้มเครื่องเดียวที่ปรากฏตัว มันก็สามารถทำลายกองทัพทั้งหมดที่ถูกส่งออกไปได้อย่างง่ายดาย ต่างไปจากโมบิลสูทรุ่นทั่วไปของ Emeria มันเร็วกว่า แข็งแกร่งกว่า คล่องแคล่วกว่า และอานุภาพทำลายสูงกว่า
ระหว่างที่กันดั้มรูปร่างคล้ายเทวรูปจ่อปืนยาวใส่หน้าอก F37 ของอินาโฮอยู่นั้น เครื่อง Goliath นับสิบก็ใกล้เข้ามา แต่แล้วกันดั้มเครื่องนั้น เหลียวหลังกลับไปมองทางฝูง Goliath พร้อมกับเรืองแสงสีขาวออกมาทั่วตัวเครื่อง คลื่นกระแทกพุ่งออกรอบทิศทางจากตัวของกันดั้มเครื่องนั้น ทำเอา F37 ของหน่วยรบที่ 42 ล้มไถลออกไป เครื่อง Goliath ที่กำลังมุ่งหน้ามา แม้จะอยู่ห่าง แต่คลื่นกระแทกที่ไปถึงก็แรงมากพอทำให้มันถูกพัดออกห่าง เมื่อตั้งตัวได้ นักบิน Emeria บนเครื่อง Goliath หันมองกันไปมาราวกับตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรดี หลังจากที่ตกลงกันได้ เครื่อง Goliath ทั้งหมดก็นั่งชันเข่าลงคำนับกันดั้มเครื่องนั้น แล้วหันหลังบินเข้าตัวเมืองไป
เมื่ออินาโฮ มาซามิ มินาโตะ และยามาโตะเริ่มตั้งตัวได้ พวกเขาก็เห็นเจ้ากันดั้มสีขาวน้ำเงินเดินตรงเข้ามา แต่แทนที่มันจะลงมือยิงสังหารพวกเขาทั้งสี่ กันดั้มตัวนั้นกลับยื่นมือลงมือเพื่อช่วยให้ F37 ของอินาโฮให้ลุกขึ้น และสัญญาณภาพจากห้องนักบินของกันดั้มก็ติดต่อเข้าไปยัง F37 ทั้งสี่เครื่อง ในทีแรกพวกเขาประหลาดใจมาก จากนั้นพวกเขาจึงกดรับสัญญาณการติดต่อจากกันดั้ม ภาพที่พวกเขาเห็นในห้องนักบินก็คือเด็กสาวคนหนึ่ง เธอคือไฮเซีย โดยที่นั่งเสริมด้านหลังของไฮเซียมีอโปฟิสนั่งอยู่ด้วย ทำเอาทั้ง 4 คนประหลาดใจยิ่งขึ้นกว่าเก่า
“สวัส...ดี...ค่ะ….ปลอดภัย….หรอ...หรือ….อืม….หรือเปล่า...คะ?” ไฮเสียถามอินาโฮและเพื่อนๆ ยามาโตะรีบนำเครื่อง F37 ลุกขึ้นจากนั้นก็รีบเดินเข้าไปปัดแขนกันดั้มของไฮเซียออกแล้วดึงอินาโฮให้ลุกขึ้นแทน “ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่การพยายามพูดด้วยรูปประโยคแบบนั้น คุณต้องเป็น Emerian แน่ การที่คุณไม่ฆ่าเรา” “คุณต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่” ยามาโตะถามกลับไปยังไฮเซีย ท่าทีของเขาดูไม่ไว้ใจไฮเซียเป็นอย่างมาก อโปฟิสที่นั่งอยู่ด้านหลังเยื้องไปด้านข้างไฮเซียเล็กน้อย เขาไม่ค่อยพอใจกับกิริยาที่มีอคติ แต่ไฮเซียหันไปปรามไว้ เธอมองไปที่จอเพื่อดูปฏิกิริยาของเครื่อง Goliath โดยรอบก่อนตอบว่า “ช่วยฉัน...ด้วยค่ะ….เราหนีกันเถิดค่ะ” “หนีกันเถิด….ก่อนที่...ทหาน..ไม่...ใช่...สิ...ทหาร...ใช่...ทหาร...ก่อนที่ทหารพวกนั้น….จะตาม….มาทัน”
มาซามิและอินาโฮรู้สึกประหลาดใจเพราะด้วยเหตุผลที่ควรจะเป็น เธอไม่น่าจะต้องขอความช่วยเหลือหรือหนีอะไร มาซามิจึงถามไฮเซียกลับไปว่า “ช่วยอย่างนั้นหรอ….ช่วยอะไร แล้วเธอหนีอะไรอยู่หรอ กรุณาบอกให้ชัดๆ ได้มั้ย” ไฮเซียนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนพยายามเรียบเรียงประโยค “ช่วยหนีจาก...ทหาร...ค่ะ...ฉัน..ขโมยหุ่นยนต์เครื่องนี้...มา” แต่ยิ่งฟังก็ยิงน่าประหลาด เพราะเธอเองเป็นเพียงเด็กสาว จะขโมยกันดั้มมาเพื่ออะไร และเธอเอามันมาได้อย่างไร
ระหว่างที่ทุกคนกำลังตัดสินใจอยู่นั้น มินาโตะก็พูดขึ้นว่า “ให้เด็กคนนี้มากับเราเถอะหัวหน้า...ผมรู้หัวหน้ายังข้องใจ” “แต่ถ้าเด็กผู้หญิงคนนี้มีเจตนาไม่ดีแต่แรก พวกเราสี่คนคงตายไปเรียบร้อยแล้ว...แถมเธอยังไล่พวกนั้นไปได้ด้วยนี่” ยามาโตะที่กำลังรอเหตุผลสนับสนุนอยู่นั้น เมื่อได้รับเหตุผลเพิ่มเติมเข้าไป เขาจึงตัดสินใจด้วยการพยักหน้า จากนั้น F37 ทั้ง 4 เครื่องพร้อมด้วยกันดั้มสีขาวน้ำเงินของไฮเซียและอโปฟิสก็รีบมุ่งหน้าเข้าไปในป่าทันที แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าที่ฝูง Goliath เลือกจะถอยออกไปเพราะเขายังไม่ได้รับแจ้งข่าวเรื่องไฮเซียหนีออกมา
……………………………………...
ไม่นานนัก
ในป่าอาโอกิกาฮาระ ป่าที่ได้ชื่อว่าเป็นป่าอาถรรพ์ เพราะป่าแห่งนี้เป็นป่าที่พบศพมนุษย์จำนวนมาก มนุษย์ชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นใช้ป่าแห่งนี้เป็นสถานที่ฆ่าตัวตาย มันตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาฟูจิยาม่า กันดั้มเครื่องสีขาวพร้อมด้วย F37 ทั้งสี่ได้ลงจอด นักบินได้นำเครื่องเข้าไปหลบซ่อนในดงต้นไม้
มายาโตะสั่งเรียกรวมพลหน่วยรบที่ 42 เพื่อระดมความคิดในการหาทางออกสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขามีเพียงโมบิลสูท F37 อยู่ 4 เครื่อง โดย 3 เครื่องอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ และยังมีกันดั้ม 1 เครื่อง ซึ่งนักบินเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่อายุราว 16 - 17 ปี กับชาย Emerian อีกคนหนึ่ง โดยที่ทั้งสี่ยังไม่สามารถเชื่อใจ หรือไว้วางใจได้เต็ม 100 % ว่า Emerian ที่มากับกันดั้มประสงค์ดีหรือไม่
หลังจากที่ยามาโตะได้รับรายงานสภาพของ F37 และปริมาณอาวุธที่เหลืออยู่แล้ว เขาดูเครียดๆ “สภาพตอนนี้ย่ำแย่มาก ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเครื่อง Goliath แค่ 1 เครื่องก็ไม่รู้จะรอดรึเปล่า” “แล้วหัวนายเป็นยังไงบ้างร้อยตรีโทยะ” ยามาโตะเหลือบไปเห็นรอยคราบเลือดของมินาโตะถึงถามขึ้น มินาโตะใช้มือลองแตะบริเวณแผลบนศีรษะหลังจากเขาถอดหมวกออก “แผลแห้งแล้วล่ะครับหัวหน้า” อินาโฮดูจะปกติดี ในขณะที่มาซามิกำลังสวมใส่อุปกรณ์ดามไหล่จากกล่องปฐมพยาบาล โดยมีเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้าเดินพัวพันนัวเนียนอยู่รอบตัวเธอ
อินาโฮเห็นท่าทีดูลำบากในการสวมใส่อุปกรณ์ดามไหล่ของมาซามิจึงจะเดินเข้าไปช่วย แต่เขาสังเกตเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้า “หืม เจ้าเกว็นเป็นอะไรไปงั้นหรอ” เพียงถามลอยๆ มาซามิก็สวนขึ้นทันทีว่า “มันไม่ได้ชื่อ….” แต่เธอหยุดชะงักประโยคไว้เท่านั้นเพราะเมื่อมองตามแมวอ้วนขนปุยสีขาวของเธอไป เธอก็เห็นไฮเซียและอโปฟิสกำลังเดินเข้ามาหา แต่พวกเขาก็มีท่าทีแปลกๆ ดูหวาดกลัว
“อย่า...นะ….หยุด!! หยุดอยู่แห่ง...นั้น...เจ้าสิงโต!!” ไฮเซียเอะอะเสียงหลงพลางชี้ไปที่แมวขาว ส่วนอโปฟิสเห็นท่าทีองค์หญิงของเขาราวกับกำลังจะได้รับอันตราย เขาจึงรีบเข้ามาบังไฮเซียไว้ “ใน...ในนาม….องค...ในนามแห่งข้า….ขอสั่งให้เจ้าสิงโตยั้งกายไว้เพียงนั้น...มิเช่นนั้นจักไร้ปราณี” อโปฟิสตะโกนกลับไปใส่เดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้าทำเอามันทำหน้างง เพียงเห็นแค่นั้น มาซามิและมินาโตะก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นออกมาพลางชี้ไปที่ไฮเซียและอโปฟิส
“โอ้ย ฮ่าฮ่าฮ่า ให้ตายสิ พวกคุณสองคนทำอะไรกันน่ะ...โอ้ยเจ็บเจ็บเจ็บ” มาซามิขำจนเจ็บแผล มินาโตะยิ้มมุมปากก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ “เอ๋……..รึว่าพวกคุณสองคนไม่เคยเจอสิ่งนี้มาก่อน….” “เจ้านี่น่ะไม่ใช่สิงโตอย่าที่พวกคุณเข้าใจหรอกนะ มันเป็นอภิมหาสิงโต ผู้ล่าอันดับ 1 บนพื้นดิน” “มาซามิน่ะ เลี้ยงเจ้านี่เอาไว้เพื่อคุ้มกันพวกเรา จะบอกไว้ก่อนว่าถ้ามาไม่ดีละก็ ตายแหง๋ม!!” คำพูดของมินาโตะทำเอายามาโตะเบือนหน้าหนี แต่ไฮเซียกับอโปฟิสกลับยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก
แต่แล้วร่างของเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้าก็ถูกยกลอยขึ้น ท่ามกลางช่วงเวลาตกตะลึงของไฮเซียที่แทบจะเกาะเป็นผีอยู่หลังอโปฟิสนั้นเอง “พอเถอะน่ามินาโตะ” อินาโฮพูดขึ้นพร้อมกับช้อนไปที่หน้าอกของแมวสีขาวแล้วอุ้มลอยขึ้น จากนั้นเขาก็เดินไปหามาซามิแล้วยื่นแมวขาวในมือไปให้เธอ ก่อนหันมาทางไฮเซียและอโปฟิส “พวกคุณสองคนมีอะไรอยากจะพูดกับพวกเราอย่างนั้นหรอ” อินาโฮถามขึ้นพร้อมเดินเข้าหา
แต่ดูเหมือนไฮเซียยังคงติดใจเจ้าเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้าอยู่ เธอพยายามชะเง้อเพื่อมองให้แน่ใจว่ามันยังไม่ได้เดินกลับมาใกล้เธออีกรอบจริงๆ จากนั้นจึงเริ่มพูดคุยกับอินาโฮด้วยคำว่า “สวัสดี….ฉันมีชะ..ชึ...ชื่อ….ชื่อว่าไฮ...มาเรีย ชื่อมาเรีย” “ส่วน...อืม...พี่...พี่ชายคนนี้ ชื่อว่า อโปฟิส …. เขาเป็นพี่ชาย...ของฉันเอง...เรา...หนีมา...ค่ะ”
อินาโฮพยักหน้าตอบรับ “ผมร้อยตรีอินาโฮ โฮรูโตะ ผู้หญิงคนนั้นคือร้อยตรีมาซามิ เท็นมะ” “ส่วนคนที่ดูเหมือนผู้หญิงตรงนั้น จริงๆ แล้วเป็นผู้ชายชื่อว่าร้อยตรีมินาโตะ โทยะ” “ส่วนคนสุดท้ายที่ยืนอยู่ตรงโน้นชื่อว่าร้อยโทยามาโตะ คิระ เขาเป็นหัวหน้าหน่วยของเรา” “พวกเราเป็นหน่วยรบที่ 42 กองพันโมบิลสูท แห่งกองกำลังสหประชาชาติ...”
ไฮเซียยืนฟังเก็บข้อมูลอยู่พักหนึ่ง “แล้วเจ้านั่น…..ล่ะคะ….สิงโตตัวนั้น…..” อินาโฮหันกลับไปมองทางมาซามิและแมวขาว “อ๋อเจ้านั่นหรอ...นั่นมันไม่ใช่สิงโตซะหน่อย” “ก็แค่แมวบ้านเท่านั้น ไม่ได้เป็นอะไรบ้าบอตามที่มินาโตะบอกพวกคุณไปหรอก”
ไฮเซียได้ฟังคำอธิบายสิ่งที่เธอคาใจจนโล่งอกแล้ว เธอกับอโปฟิสก็ตั้งสติแล้วมองหน้ากัน ไฮเซียจริงเริ่มถามขึ้นว่า “พวกจะ...พวกคุณ..มีแผนการ...จะหนีไป...จากรัฐแห่งนี้...หรอคะ..” “จะเป็น...อะไรไหม...ถ้าขะ….ถ้าฉัน...จัก...จะขอไปกับพวกเจ้า….พวกคุณ...ด้วย” อินาโฮคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ถ้างั้นคุณมาเรียเชิญพักผ่อนก่อนนะครับ ผมไม่มีอำนาจตัดสินใจ” “พวกเราขอเวลาพิจารณาก่อน แล้วจะให้คำตอบคุณโดยเร็วที่สุด เพราะเรารู้ดีว่าที่นี่ก็ไม่ปลอดภัย”
หลังจากนั้นหน่วยรบที่ 42 ได้ประชุมกันเรื่องจะให้ไฮเซียและอโปฟิสหลบหนีไปด้วยกันหรือไม่ มาซามิเห็นว่าพวกเขายังไม่น่าไว้วางใจเท่าที่ควร เหตุผลที่ว่าหนีมายังฟังไม่ขึ้นและอธิบายคลุมเครือ มินาโตะเห็นว่า 2 คนไม่ว่าจะหนีอะไรมาแต่พวกเขาไม่เป็นอันตราย และคิดว่ากันดั้มตัวนั้นน่าสนใจมาก อินาโฮมองว่า กำลังรบของหน่วยรบที่ 42 กำลังอ่อนแอ ถ้ามีกันดั้มมาช่วยอีกแรงก็หนีไม่ยาก ด้วยความเห็นทั้งหมด ยามาโตะจึงสรุปว่า เขาจะอนุญาตให้ไฮเซียและอโปฟิสติดตามไปด้วย เพราะถึงรู้ว่าพวกเขาปิดบังบางอย่างอยู่ แต่อย่างน้อยก็ไม่เป็นภัยและมีประโยชน์อยู่บ้าง
แต่เรื่องที่ยามาโตะกังวลก็คือ “แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกันดี ตอนนี้ติดต่อฐานทัพไม่ได้เลย” “ไม่ใช่เฉพาะฐานทัพที่โตเกียวแห่งเดียว แต่ฐานทัพอื่นก็ขาดการติดต่อไปพร้อมๆ กันหมด” “ตอนนี้พวกเราจะเป็นต้องหาที่หลบภัย แต่ถ้าเป็นกองกำลังแนวร่วมด้วยก็ยิ่งดี” “ใครมีไอเดียดีๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างมั้ย….เพราะเราไม่น่าจะอยู่ที่นี่ได้นานนัก….”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มาซามิก็พูดขึ้นว่า “ชั้นพอมีวิธีอยู่นะ แค่หวังว่าจะติดต่อพวกเขาได้เท่านั้น”
..…………………………………………………….
บนยานโดยสายลำหนึ่ง
ภาพหน้าจอโทรทัศน์ในยานลำนั้นกำลังเปิดดูช่องข่าวสารช่องหนึ่งของโลกมนุษย์ มันเป็นรายการถ่ายทอดสดกรณีเหตุการณ์ฉุกเฉิน ภาพที่เห็นเป็นภาพขององค์ชายอาคเชง เขายืนอยู่ที่โพเดี้ยม ห้องแถลงการณ์ซึ่งประดับตกแต่งแบบเรียบๆ ผิดกับห้องของราชวงศ์คนอื่น
“ในนามแห่งมหาจักรวรรดิเอเมอเรีย ข้า อาคเชง ฟอน เอเมอเรีย รัชทาทลำดับต้น โอรสแห่งอเมนเฮราฟ” “อันตัวข้า ผู้ดำเนินกิจกรณีกษัตริย์ เห็นเหล่ามนุษย์ดำรงอยู่อย่างหยาบช้า ไร้ซึ่งศีลธรรม” “อุดมด้วยความเขลาขลาด แม้เวลาจักผ่านพ้นไปนานเนิ่นจากศึกเมื่อปางก่อน แต่มนุษย์หาดีขึ้นไม่” “เหล่ามนุษย์ทำลายทรัพยากร เผาผลาญความอุดมเปี่ยม ลุ่มหลงมัวเมา ลำพองและจองหอง” “บัดนี้ หมดสิ้นซึ่งโอกาสที่หยิบยื่น เอเมอเรียขอประกาศศึกอีกครั้งโดยหมายกวาดล้างสูญสิ้น”
“และข้าโศกหมองที่ในอันแถลงว่า ซาฮาร่า ไฮเซีย คอร์เดเลีย ขนิษฐาแห่งข้าหมายปรปักษ์” “ฝ่าฝืนบัญชากษัตริย์ ตั้งตนปฏิปักษ์ราชสำนัก หลีกหนีทำลายการควบคุม เป็นภัยต่อรัฐ” “ลักเครื่องชูเกียรติยศแห่งอเมนเฮราฟ ต้องหมายจับกุมเพื่อพิจารณาลงทัณฑ์โดยสภาสูง” “หากกลับใจยอมมอบอิสระ รับพลาดพลั้งผิด อาจยกสิทธิขึ้นอ้างลดผลกรรม”
และหน้าจอโทรทัศน์ก็ถูกปิดลงโดยชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวกลางตัวยาน เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบางมาก ไม่สูงมากนัก ส่วนสูง 172 c.m. ใบหน้าเรียวคมดูเย็นชา ดวงตาของเขาคล้ายเหยี่ยว นัยน์ตาสีเหลือง ผิวขาวซีดราวกับศพ เส้นผมสีเทาตรงทรงรกรุงรัง ตามตัวยาน มีทหารในชุดเครื่องแบบของ Emeria ยืนคุ้มกันด้วยท่ายืนตรงตามระเบียบนับสิบนาย
จากนั้น ชายสวมชุดทหารคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากทางหัวยาน ก่อนจะโค้งคำนับให้ชายหนุ่ม “องค์ชายวัลดัส….ข้าพระองค์ขอแถลงว่า การเสด็จครานี้จะถึงหมายในสองชั่วยามพะยะค่ะ” “องค์ชายหมายสิ่งใดเพิ่ม ขอจงทรงเอ่ยกล่าว เหล่าข้าพระองค์จักดำเนินให้ตามประสงค์” สิ่งที่ทหารคนนั้นพูดออกมา ทำให้รู้ว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาในตัวยานคนนี้ก็คือ วัลดัส ธีโอฟิลัส อาเครอส องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 5 แห่งจักรวรรดิ Emeria นั่นเอง
วัลดัสไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไปยังข้าทาสบริวารคนนั้น เขาส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ ในหัวของเขามีสิ่งต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย เขากำลังคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่สิ่งที่เขามั่นใจว่าต้องเกิดขึ้นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือสงคราม และเป็นสิ่งที่เขากลัวที่สุด การเดินทางของเขาในครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปยังราชวังจักพรรดิ เพื่อเข้าร่วมพิธีศพพระบิดา และเข้าร่วมการประชุมกับสภาสูงในการลงนามแต่งตั้งจักรพรรดิองค์ต่อไปให้เสร็จสิ้น
“สันติที่จีรังมิได้มีอยู่จริง หากแต่ต้องยื้อยั้งรักษา... ข้าประจักษ์แล้ว...เสด็จพ่อ…..”
………………………………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 20, 2019 11:37:00 GMT
ที่หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง
ในหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามจากธรรมชาติ ลมเย็นสบาย มีบ้านไม้ทรงญี่ปุ่นตั้งอยู่หลายหลัง สถานที่แห่งนี้ถูกเปลี่ยนเป็นรีสอร์ทไว้เที่ยวพักผ่อนตากอากาศ จากรูปทรงของตัวบ้าน พรรณไม้ อุณหภูมิ และความเข้มข้นของแสง บอกได้ว่ามันอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมอาบน้ำนั่งอยู่บริเวณเฉลียงไม้หน้าบ้านพัก เขาจิบชาอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูอายุประมาณ 28 ปี รูปร่างสูงหุ่นสมส่วน ส่วนสูง 180 ซ.ม. ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาเรียวคมดุจราชสีห์ นัยน์ตาของเขาเป็นสีแดงเพลิง ซึ่งเป็นสีเดียวกันเส้นผมที่ไว้ยาวถึงต้นคอ หยักศกปลายเล็กน้อย ผิวขาวเนียนผ่องเหมือนผิวหญิงสาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเคราหรือไรขน เขากำลังใช้อุปกรณ์สื่อสารที่หน้าตาคล้าย Ipad ทำการติดต่อไปยัง “อัลม่า บาส เล็กเซ็นเทล”
ในจังหวะที่ชายหนุ่มละสายตาจากอุปกรณ์สื่อสารมายกแก้วชา ก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้นจากอุปกรณ์สื่อสาร น้ำเสียงของเธอเป็นเสียงหญิงสาววัยใกล้ 30 ปี ถึงจะเป็นเสียงที่มีแก้วเสียงใส ลื่นหูน่าฟังมากก็ตาม แต่ระดับของการใช้เสียงค่อนข้างดัง แสดงออกถึงความไม่พอใจของหญิงสาวคนนั้นออกมาได้เป็นอย่างดี “ออเฟียส!! เจ้ามัวลุ่มหลงสิ่งใดอยู่ในยามเช่นนี้ เหตุใดนานเนิ่นเพิ่งติดต่อ ช่างไร้ซึ่งความรับชอบผิดยิ่ง”
เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาสวย ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีทองอร่าม ผิวขาวเนียนมีเลือดฝาดละมุนละไม ใบหน้าได้ส่วน ปลายคางเรียวสมบูรณ์แบบ เธอไว้ผมยาวปลายม้วนลอน เส้นผมสีบลอนด์ทอง เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่เป็นเสื้อเดรสสีน้ำเงินขลิบทอง เนื้อผ้ามันเงาชั้นดี บ่งบอกฐานะอันสูงส่ง การแสดงสีหน้าดูหยิ่งเล็กน้อย เธอคือ อัลม่า บาส เล็กเซ็นเทล องค์หญิงรัชทายาทลำดับที่ 3
จากการที่เธอเรียกชายหนุ่มผมแดงคนนี้ว่า ออเฟียส ทำให้ได้รู้ว่าเขาเองก็เป็นองค์ชายพระองค์หนึ่ง นามเต็มของเขาก็คือ องค์ชายออเฟียส อเซล อัลไอเซ็น องค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 4 เสียงของอัลม่าทำเอาออเฟียสจะดุ้งตกใจจนแก้วชาที่เขาเพิ่งยกขึ้นมาเกือบหลุดมือไป “ฮั่ย!! มิเห็นจำต้องแผดคำรามเกรี้ยวกราดเช่นนั้นเลยเสด็จพี่...ถึงนานเนิ่น แต่ยังคงดำเนินติดต่อ” “ข้าเพิ่งได้รับสารการแถลงของเสด็จพี่อาคเชง….ข้าสำนึกได้ถึงสิ่งเลวร้าย จึงประสงค์ขอเจรจา”
“ข้าบังอาจคิดว่าการนี้ย่อมมีตื้นลึก ขนิษฐาซาฮาร่ามิใช่ผู้คิดปรปักษ์โดยธาตุ ท่านเห็นเช่นไร” ออเฟียสพูดสิ่งที่เขาคิดหยั่งเชิงพี่สาวแสนสวยก่อน เพื่อเช็คว่าเธออยู่ฝ่ายเดียวกับเขาหรือไม่ และเขาก็ได้รู้คำตอบเมื่ออัลม่าพยักหน้า “ข้าเห็นพ้อง แต่ยังไม่อาจด่วนพิพาก ห่วงก็แต่ขนิษฐา” ออเฟียสครุ่นคิด “ข้าประสงค์จะช่วยขนิษฐา จึงวอนขอเสด็จพี่สงเคราะห์ช่วยเหลือได้หรือไม่” อัลม่าจึงตอบกลับไปว่า “จงอย่าเร่งรีบ หากมิพบความแท้เที่ยง จักเป็นการชักศึกเข้าตัวโดยเปล่า” “แล้วเจ้ามิเข้าร่วมพิธีส่งเสด็จพระบิดาอย่างนั้นหรือ...เหตุใดจึงมิเร่งเดินทาง...”
ออเฟียสจึงอธิบายว่า “ข้าประสงค์ยิ่ง หากแต่มิควรไปยิ่งเช่นกัน เนื่องพิธีลงนามที่ตามติด” “เสด็จพี่เฮลิออสย่อมส่งเสริมเสด็จพี่ใหญ่ ส่วนในนามเสด็จพี่เองคงต้องตั้งตนเข้าร่วมช่วงชิง” “วัลดัสมั่นหมายละทิ้งฐานันดร ตัวข้าและไฮเซียมิปรากฏ ฐานอำนาจคงที่ 2 เหนือ 1” “ตราบใดที่ยังคงไว้ให้ได้เปรียบ ตัวข้า และไฮเซีย ย่อมประคองไร้ภัย แต่หากตัวข้าปรากฏด้วย”
“ข้ามิประสงค์ส่งเสริมเสด็จพี่ใหญ่ แต่ก็หาส่งเสริมท่านได้ไม่ เพราะหากทำประการเช่นนั้น” “ฐานแห่งอำนาจเท่าเทียม ทั้งตัวข้าเองและตัวเสด็จพี่ คงมิอาจรอดพ้นครบร่างเป็นแน่เท้” “มิวายขนิษฐาองค์น้อยจักต้องพบวิบากกรรมเพิ่มพูนทวี….ข้ามิอาจให้บังเกิดการเช่นนั้นได้”
อัลม่านึกตามเหตุผลที่ออเฟียสได้อ้างเพื่อไม่ยอมไปร่วมพิธีศพที่ฐานจักรพรรดิ เธอพบว่ามันสมเหตุผล “หากเจ้าประสงค์เช่นนั้น จงรอด้วยอดทน บัดนี้ข้ากำลังเสด็จวังหลวงเพื่อสืบเสาะ ได้ผลจะแจ้ง” “ยามผู้ใดเอ่ยถามถึงเจ้า ข้าจักให้มันผ่านเลย ให้เหล่านั้นนึกว่าเจ้าเที่ยวเล่นตามประสาไปพลางก่อน” “ข้าจักตั้งต้นเข้าช่วงชิงอำนาจแห่งจักรพรรดิตามที่เจ้าว่านั้นไม่ผิดเพี้ยน แต่ข้าจักรอดพ้นให้ครบร่าง” หลังจากนั้นสัญญาณการติดต่อของอัลม่าก็สิ้นสุดลง ออเฟียสวางแก้วชาก่อนมองเหม่อออกไปนอกรั้วบ้าน
ภาพในวัยหนุ่มของออเฟียสก็หลั่งไหลเข้ามา
มันเป็นภาพในสมัยที่เขาอายุประมาณ 180 ปี หรือประมาณ 100 ปีก่อน ที่ห้องบัญชาการรบ ฐานจักรพรรดิ เวลานั้นอวกาศเงียบสงบ เพราะเป็นช่วงที่มหาจักรพรรดิอเมนเฮราฟเสด็จขึ้นฝั่งไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อเจรจาและลงนามสงบศึกหลังได้ทำการสู้รบกับ Earthian มานานหลายปี ก่อให้เกิดความสูญเสียมากมาย
องค์ชายและองค์หญิงรัชทายาทลำดับที่ 1 ถึงลำดับที่ 5 ผู้มีอำนาจในการสั่งการกองรบได้มารวมตัวกัน แต่ละคนมีมุมมองต่อการเจรจาสงบศึกครั้งนี้แตกต่างกันออกไปอย่างชิ้นเชิง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธจักรพรรดิได้ ออเฟียสเห็นความมุ่งมั่นในการทำสงครามของอาคเชง และตอนนี้เขามีท่าทีที่ผิดหวังเอามากๆ ออเฟียสจึงถามไปว่า “เหตุใดเสด็จพี่จึงหมายทำสงครามต่อ...พระองค์ประสงค์ให้ Earthian สาปสูญเช่นนั้นหรือ”
อาคเชงหันมาตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “มิได้เป็นเช่นนั้น หากแต่สงครามมิอาจยุติด้วยเจรจา” “แม้นเจรจาลุล่วง สันติบังเกิด….ก็หาได้เป็นสันติที่แท้จริง เหล่าเรามายมากรับรู้ว่ากำชัยศึกง่ายดาย” “เหตุใดจักต้องเจรจา… เหล่ามันเห็นเหล่าเรายอมเจรจาย่อมถือดี และตีตนขึ้นเสมอเท่า….” “กาลเวลาเลยผ่าน เหล่ามันยิ่งได้ใจหมายเอาเปรียบ เหล่าเราประดังความคับข้องย่อมวายวุ่น” “สงครามพึงยุติด้วยสงคราม….มิว่าเหล่าใดแพ้พ่าย เหล่าใดกำชัย หรือพ่ายแพ้ถ้วนหน้า...” “ทุกเหล่าจะตระหนักถึงสิ่งสูญ ทุกเหล่าจะเข้าถึงกัน ประคองกัน และทุกเหล่าจะเป็นเหล่าเดียว”
หลังจากเขาหลุดจากภวังค์ของภาพในวัยหนุ่ม ออเฟียสก็เลื่อนดูข่าวในอุปกรณ์สื่อสารพลางนึกในใจ
“สิ่งหนึ่งที่ข้าเองมิอาจเข้าถึงได้ คือคำแถลงอันเกรี้ยวกราดของเสด็จพี่อาคเชง มันช่างย้อนแย้งเหนือประดา” “เหตุใดจึงประสงค์สู้รบล้างเผ่า เนื่องในอดีตหมายประสงค์ผนึกสองเผ่าเป็นหนึ่ง...แม้นโดยสงครามตามที” “ทั้งเหตุใดปล่อยไฮเซียหลีกพ้น ...ด้วยกำลังและปราศเปรื่องแห่งท่าน ช่างไร้หนทางการเช่นนี้บังเกิด” “ทั้งประโคมโถมไฟให้ร้ายหมาย Emerian ถ้วนหล้าชิงชัง แต่กลับทาง Earthian มากหลายย่อมเห็นใจ” “แต่ไม่ว่าประการใดทั้งปวง พระองค์ก็แถลงศึกดั่งเช่นที่พระองค์เคยตรัสไว้มิเปลี่ยนแปลง…...”
“พ่อหนุ่ม!!!! บ้านยายทำกับข้าวเสร็จแล้ว มานั่งกินด้วยกันสิเร๊ววววว เดี๋ยวมันจะเย็นซะก่อนนะ” เสียงยายสูงวัย อายุประมาณ 70 กว่าปี ตะโกนข้ามรั้วบ้านที่เป็นไม้ตอกเตี้ยๆ เข้ามา ออเฟียสสบัดศีรษะไปมาเพื่อรีเซ็ตอารมณ์ของเขาใหม่ ใบหน้าที่ดูวิตกกังวลเปลี่ยนเป็นร่าเริงสดใส ก่อนที่เขาจะรีบลุกขึ้นเดินกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่ทำจากไม้เพื่อเลือกเสื้อผ้าสวมใส่พร้อมตะโกนกลับออกไป
“คร้าบบบบ มื้อนี้ต้องรบกวนด้วยนะคร๊าบบบบบ เดี๋ยวผมจะรีบตามไปเลยครับคุณยาย……..”
………………………………………………………
มหาสมุทะแปซิฟิค
มีกองเรือรบกองหนึ่งกำลังล่องไปตามกระแสน้ำมุ่งหน้าออกจากประเทศเกาหลีใต้สู่ประเทศญี่ปุ่น เรือธงนั้นเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินรุ่นเก่า พอจะคาดเดาได้ว่าปลดประจำการจากกองทัพเรือสหรัฐ บัดนี้ 100 กว่าปีให้หลังได้ถูกนำกลับมาใช่งานอีกครั้งโดยกลุ่มกองกำลังปฏิวัติโลก ERF การนำยูทโธปกรณ์เก่ากลับมาใช้ใหม่นั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบากเพราะต้องซ่อมแซมอย่างไม่จบสิ้น ลูกเรือทุกคนที่นี่ดูเหน็ดเหนื่อยพอสมควร ดูเหมือนพวกเราต้องใช้แรงงานอย่างหนักเพื่อออกเรือ
ที่ห้องบังคับการเรือ เอ็คโค่กำลังมองแผนที่และเส้นทางการเดินเรือเพื่อคำนวณเส้นทาง เธอไม่ต้องการให้กองทัพ Emeria จับการเคลื่อนไหวได้ ดังนั้น ERF จึงไม่อาจเร่งเดินทางได้ พวกเขาอาศัยการเดินเรือแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ด้วยการแล่นผ่านเขตสมรภูมิเมื่อ 100 ปีที่แล้ว เพราะบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเศษซากชิ้นส่วนของเรือรบ เครื่องบินรบ เรือดำน้ำ และโมบิลสูท
หลังจากชี้แจงแผนการเดินเรือให้ลูกเรือเสร็จสรรพ เธอเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน แต่มารผจญก็เดินเข้ามาในห้องบังคับการเรือ “อู้หูววววว เดี๋ยวนี้เลื่อนตำแหน่งเป็นกัปตันแล้วหรอเนี่ย” มารผจญผู้นั้นก็คือแฟ๊งซ์เจ้าเก่า เอ็คโค่เหลือบมองด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย “แล้วให้นายคุมเรือแทนได้รึไง” “ชั้นเดาว่าไม่กี่ไมล์ทะเลก็คงเอาเรือไปโหม่งโขดหินเข้าแล้วล่ะ….เข้ามามีอะไรรึเปล่า ชั้นเหนื่อยแล้ว”
แฟ๊งซ์ที่ปกติจะร่าเริงกลับดูวิตกขึ้นทันที “ผมอยากรู้ความคิดของหัวหน้าหน่อยน่ะ...เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ” เอ็คโค่ที่ทีแรกดูเหมือนจะไม่ใส่ใจเพราะปกติแฟ๊งซ์มักจะมีคำถามหรือพูดจาหาสาระไม่ได้ กลับต้องมารอฟัง แฟ๊งซ์เดินไปหยุดที่หน้าต่างเรือแล้วมองออกไป “สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นน่ะ….มันสงครามจริงๆ ใช่มั้ยครับหัวหน้า” “สงครามจริงๆ มันจะเป็นยังไงก็แน่นะ….มันจะเหมือนกับปฏิบัติการที่เราเคยทำกันมารึเปล่า….มันจะถึงตายมั้ย” “ผมก็แค่อ่านเจอมาว่ามันโหดร้ายมาก….คนที่เคยเห็นสงครามทุกวันนี้ก็ลงโลงไปหมดแล้ว….ไม่รู้จะไปถามใคร”
เอ็คโค่ถอนหายใจแล้วยกแขนขึ้นเท้าเอว “แล้วนายคิดว่าชั้นหน้าตาเหมือนคนที่เคยลงโลงมาก่อนไหมล่ะ” “จริงๆ เขาก็สอนในโรงเรียนหมดแล้วนี่นา แต่ก็เอาเถอะ คนซื่อบื้ออย่างนายถึงได้เรียนก็คงลืมหมด...” “สงครามน่ะ….มันไม่เหมือนกับปฏิบัติการของเราที่เคยทำมาเลยเลยล่ะ….ที่พวกเราทำได้...ก็แค่....” “แทรกซึมหาข่าว ดักปล้นเสบียงที่ลักลอบส่งให้ Emeria ลอบสังหารบุคคลที่แอบไปเข้ากับฝ่ายศัตรู” “ก่อการร้ายเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ทางสหประชาชาติไหวตัว….ลองนึกดีๆ เราเคยสู้รบจริงๆ รึเปล่า” “มันไม่มีสักครั้งหรอกที่เราตกเป็นเป้าหมาย ไม่มีสักครั้งที่เราจะเป็นฝ่ายถูกเล็งเป็นเป้าหมายก่อน”
“คำตอบของคำถามสุดท้ายที่นายถามชั้นมาก็คือ….ใช่….มันถึงตาย….คราวนี้เราจะถูกเล็งทำลาย” “เราจะตกเป็นเป้า เราจะไม่ใช่ผู้ล่าผู้กระทำเหมือนปฏิบัติการที่ผ่านมา เหยื่อจะเปลี่ยนเป็นคู่ต่อสู้” “และนายก็รู้ว่าชีวิตของมนุษย์น่ะ มันเปราะบางมากแค่ไหน...แค่เหล็กหัวกระสุนเม็ดเดียวเราก็ตายได้แล้ว” “แม้ ERF จะเป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นลับๆ ทำปฏิบัติการสกปรกมามาก แต่วัตถุประสงค์ก็เพื่อปกป้องโลกของเรา” “ทุกคนในเครือข่าย ERF กว่าหมื่นชีวิตทั่วโลกพร้อมจะตายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ และตัวชั้นเองก็เช่นกัน” “ลองทบทวนดูให้ดีนะแฟ๊งซ์ นายเป็นคนมีพรสวรรค์ แต่ถ้านายจะถอนตัวตอนนี้ เรือบดรอนายอยู่ท้ายลำ”
แต่ก่อนที่เอ็คโค่จะเดินออกจากห้องไปนั้น เจ้าหน้าที่สื่อสารก็ได้รับสัญญาณติดต่อเข้ามา เมื่อเขาเปิดรับสัญญาณ ก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้น “นี่หน่วยรบที่ 42 แห่งกองกำลังสหประชาชาติ” “พวกคุณคือ ERF รึเปล่า ถ้าใช่โปรดตอบด้วย พวกเราต้องการความช่วยเหลือโดยด่วน” เอ็คโค่ถึงกับหยุดชะงัก เจ้าหน้าที่สื่อสารถึงตอบรับกลับไปว่า “นี่ ERF โปรดแจ้งรหัสยืนยันตัวตนของคุณ” “ขอบคุณพระเจ้า ERF จริงๆ ด้วย รหัสยืนยันตัวตนหรอ….เอ...อ้อ….นานาชิ….นานาชิผู้น่ารัก” เจ้าหน้าที่สื่อสารขมวดคิ้ว เขาบ่นเบาๆ แล้วตอบกลับว่า “รหัสบ้าไรวะเนี่ย...ขอภัยครับรหัสไม่ถูกต้อง”
แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่สื่อสารจะเอามือไปกดปุ่มตัดสัญญาณ เอ็คโค่ก็จับข้อมือของเจ้าหน้าที่คนนั้นไว้ได้ทัน เธอดึงไมค์สื่อสารเข้าหาตัวเองแล้วตอบกลับไปว้า “มาซามิงั้นหรอ….เธออยู่ที่ไหน….เป็นอะไรรึเปล่า..” “มีกันกี่คน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง” เอ็คโค่ตอบคำถามใส่รัวเป็นชุดทำเอาลูกเรือทั้งหมดแปลกใจ เมื่อปลายสายได้ยินเสียงของเอ็คโค่ เธอมีน้ำเสียงที่ดีใจมาก “เอ๊ะ….พี่อิซึมิ!! เป็นพี่จริงๆ ด้วย” “ที่อยู่ตอนนี้เดี๋ยวหนูจะส่งพิกัดไปให้นะคะ ตอนนี้อยู่กัน 4 คนค่ะ….เราต้องการความช่วยเหลือค่ะ” “แต่ว่า…..ทางเรามีชาว Emeria ขอติดตามมาด้วย 2 คน เธอชื่อมาเรีย เธอมากับพี่ชายชื่ออโปฟิสค่ะ”
มาซามินั้นไม่ค่อยกล้าพูดว่าเธอต้องการพาชาว Emeria พร้อมด้วยสิ่งที่เรียกว่ากันดั้มหนีไปพร้อมกัน เธอรู้ว่าเดิมที ERF นั้น เป็นพวก Anti ชาว Emeria และกันดั้มอย่างสุดขั้ว เป็นการยากที่จะช่วยเหลือ แต่ทันทีที่เอ็คโค่ได้ยินว่ามาซามินั้นอยู่กับชาว Emeria 2 คน เธอก็ดูจะสนใจขึ้นมาทันที “โอเค ถ้างั้นส่งพิกัดของพวกเธอมาให้พวกเราหน่อย” ทันทีที่เอ็คโค่บอกมาซามิก็ทำตามทันที เอ็คโค่นำพิกัดขึ้นหน้าจอหลัก “ภูเขาฟูจิประเทศญี่ปุ่นอย่างนั้นหรอ….ถ้างั้นไปที่นี่ก็แล้วกัน...”
เอ็คโค่ส่งพิกัดสถานที่ที่เป็นฐานกบดานเก่าของ ERF ที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อให้กลุ่มของมาซามิเดินทางไปที่นั่น
……………………………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 20, 2019 11:37:07 GMT
ในป่าอาโอกิกาฮาระ
อินาโฮเดินเข้ามาหาไฮเซียและอโปฟิส “พวกเราตัดสินใจกันแล้วว่าเราจะอนุญาตให้พวกคุณไปกับเราด้วย” “จริงเช่นนั้นหรือ!! ข้า...ไม่สิ...ฉันอยากขอบใจเหล่า….พวกคุณ...เป็นอย่างมาก…..ค่ะ” ไฮเซีย อินาโฮยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกเราต่างก็ตกที่นั่งลำบากในสถานการณ์แบบนี้เหมือนๆ กัน” “ยังไงก็ต้องช่วยๆ กันไป” หลังจากที่อินาโฮพูดจบ อโปฟิสก็ขมวดคิ้วก่อนตะโกนขึ้นว่า “นั่นเจ้ากำลังจะทำสิ่งใด!!”
แต่อโปฟิสไม่ได้ตะโกนใส่หน้าของอินาโฮ เขาตะโกนเลยไปด้านหลังที่มีกันดั้มของไฮเซียนั่งชันเข่าอยู่ ผู้ที่ถูกอโปฟิสตะโกนใส่ถึงกับหยุดชะงักในท่าที่เหมือนกำลังจะปืนขึ้นไปในห้องนักบินของกันดั้ม เขาคือมินาโตะ มินาโตะยิ้มแห้งๆ “อะไรกันเล่า ชั้นก็แค่อยากจะตรวจดูหน่อยว่ากันดั้มน่ะมันมีอะไรพิเศษกว่าเครื่องธรรมดายังไง” “จะว่าไป ท่อขับดับของเจ้านี่มันแรงมากเลยใช้มั้ยล่ะ มันแรงแค่ไหนลุงพอจะรู้รึเปล่า ถ้าไม่รู้ผมขอลอง….” อโปฟิสไม่สบอารมณ์จากการกระทำของมินาโตะ เขารีบวิ่งไปลากตัวมินาโตะให้ออกห่างกันดั้มทันที
“เจ้าหารู้ไม่ถึงสิ่งที่กำลังกระทำ กันดั้มตนนี้เปรียบดั่งเกียรติภูมิแห่งอเมนเฮราฟ หามีผู้ใดคู่ควรไม่” อโปฟิสพูดด้วยน้ำเสียงโมโห แต่อินาโฮที่ฟังอยู่ก็รู้สึกเอะใจจึงคิดในใจว่า “ดูจากท่าทีแล้วตาลุงคนนี้แล้ว..” “เขาน่าจะเป็นทหารหรือคนสนิทในราชวงศ์ของ Emeria แน่ๆ ส่วนกันดั้มเครื่องนี้คงเป็นอาวุธคู่กายของจักรพรรดิ” “เขาคงไม่ยอมให้ใครขึ้นขับมันแน่...แต่ถึงเด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นน้องสาว...แต่ทำไมลุงคนนี้ถึงยอมให้ขับได้ล่ะ” “หรือว่า...” อินาโฮเหล่หางตาไปมองไฮเซีย ไฮเซียที่กำลังยืนงงๆ ก็หันมาสบตาเขาเข้าพอดี เธอเลยยิ้มให้ อินาโฮเลิกคิ้วขึ้นก่อนคิดในใจว่า “ช่างเถอะ คิดมากไปก็เปลืองพลังงานสมอง ไปเตรียมตัวเดินทางดีกว่า”
ไม่นานนักก็มีเสียงเอะอะโวยวายของมาซามิ เธออุ้มแมวน้อยสีขาวของเธอเต้นแร้งเต้นกาอย่างมีความสุข ระหว่างที่อินาโฮ และมินาโตะกำลังสงสัยในพฤติกรรมของมาซามิ ยามาโตะก็ตะโกนมาว่า “เตรียมตัวได้ เรารู้แล้วว่าจะต้องไปที่ไหน….เราจะไปฐานเก่าของ ERF จากนั้นพวกเขาจะส่งทีมมาสนับสนุน” “ส่วนชาว Emeria สองคนนั่น ถ้าจะตามพวกเราไปด้วยจริงๆ ก็เตรียมตัวได้แล้ว อีก 10 นาทีเราจะเดินทาง”
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ลำแสงคลื่นพลังงานสีเขียวได้พุ่งผ่านเหนือหัวของอินาโฮไป มันเป็นคลื่นพลังงานที่รุนแรงมาก แรงอัดทำให้อินาโฮและไฮเซียที่ยืนอยู่เซจนเกือบล้ม ต้นไม้สูงเซไปมา ก่อนจะเกิดเสียงระเบิดขึ้น ด้วยความเจิดจ้าของแสง ไม่มีใครสามารถมองมันด้วยตาเปล่าได้ ทุกคนจึงต้องหรี่ตาลง เมื่อเบิกตาขึ้นหลังแสงวูบหายไป อินาโฮก็เห็นต้นตอของเสียงระเบิดนั้น มันเป็นการระบิดของเครื่อง F37 และเครื่อง F37 ลำนั้นคือเครื่องของเขาเอง อีกทั้งยังเป็นเครื่อง F37 ที่เคยสมบูรณ์พร้อมรบที่สุดในขณะนั้น
ยามาโตะไม่รอช้า เขารีบสั่งการให้มาซามิและมินาโตะรีบขึ้นประจำเครื่อง F37 ของตนทันที พวกเขาแยกกันซุ่มตามแนวต้นไม้ ส่วนอินาโฮที่กำลังตะลึงถึงพลังทำลายของลำแสงสีเขียวอยู่ก็ถูกลากตัวไป ไฮเซียลากอินาโฮไปหลบหลังกันดั้ม อินาโฮจึงหันมาถามว่า “เมื่อกี้นั่นอะไรคุณมาเรีย...อย่าบอกนะว่าเป็นอาวุธน่ะ” อิโปฟิสพยักหน้าตอบแทนไฮเซียเพราะเขารู้เรื่องนี้ดีกว่า “ถูกต้อง อาวุธพิฆาตแห่ง Emeria ปืนลำแสง” “ผู้ทรงอาวุธชนิดนี้ ชั้นเลวสุดต้องครองตำแหน่งจ่าฝูง...เห็นทีคราวนี้จักพึ่งกันดั้มแล้วอย่างนั้นสินะ”
ไฮเซียดูยังไม่เข้าใจในสิ่งที่อโปฟิสพูด “เจ้า….ท่านพี่ประสงค์ให้ข้าขึ้นทรงกันดั้มอีกคราหมายสังหารหรือ” อโปฟิสพยักหน้า แต่ไฮเซียกลับปฏิเสธ “ข้าไม่อาจพรากชีวิตผู้ใดมิว่า Earthian หรือ Emerian ข้าทำเช่นนั้นมิได้” “ท่านพี่ชำนาญศึกยิ่ง ข้าเห็นว่าจำต้องเป็นท่านพี่หาหลีกได้ไม่” แต่อโปฟิสเองก็ไม่อาจทำได้เพราะเหตุผลคือ “อาญามิ….มิได้หรอกน้องข้า...ข้าให้สัตย์ว่าจักธำรงค์ในเกียรติและมลเฑียรแห่ง Emeria แม้นวายก็มิคิดต่าง” “กันดั้มเปรียบดั่งเกียรติภูมิแห่งราชวงศ์ ต้องห้ามสำหรับสามัญ ยิ่งเป็นข้าราชยิ่งมิได้ เช่นนั้นข้าขอยอมวาย” ไฮเซียรู้สึกไม่พอใจอโปฟิสมาก แต่แล้วเธอก็เห็นอินาโฮกำลังเข้าไปนั่งในห้องนักบินของกันดั้มของเธอ
อโปฟิสมีทีท่าหัวเสียยิ่งกว่าคราวของมินาโตะ เพราะมินาโตะแค่กำลังจะปืน แต่อินาโฮนั้นเข้าไปนั่งเลย แต่แล้วไฮเซียก็ห้ามอโปฟิสไว้ก่อนจะกระซิบว่า “ข้าและเจ้าต่างมีเหตุมิสามารถ แต่ Earthian ตนนั้นต่างไป” “Earthian ตนนั้นมิใช่ข้าราชเฉกเช่นเจ้า ถึงแม้นจะมิได้ถือเชื้อราชวงศ์เช่นข้า แต่ก็หาใช่เหล่าราษฎร์เช่นกัน” “ด้วยเหตุประการเช่นนี้ เจ้ามีสิ่งใดทัดทานหรือไม่...ถ้าเจ้าเห็นดีด้วย จงขึ้นสนับสนุน Earthian ตนนั้น” “แม้นข้าเองมิหมายเห็นมนุษย์ตนใดต้องวายจากการบัญชากันดั้ม แต่เหตุสถานเช่นนี้มิอาจเลี่ยง”
อโปฟิสเข้าใจในสิ่งที่ไฮเซียอธิบาย แม้ว่ามันจะดูเล่นแง่เชิงกฎหมายไปนิด แต่เขาเห็นว่ามันจริงของไฮเซีย กันดั้มนั้นมีไว้สำหรับเชื้่อพระวงศ์รัชทายาท และต้องห้ามสำหรับชาว Emeria แต่อินาโฮนั้นไม่ใช่ชาว Emeria แต่มันมีบางสิ่งที่อินาโฮยังไม่รู้ และเขากำลังจะได้รับรู้หากเขาเริ่มเดินเครื่อง อโปฟิสจึงรีบตามขึ้นไป อโปฟิสแสดงเจตนาให้อินาโฮเห็นว่าเขาไม่ได้มาห้าม ก่อนจะไปนั่งที่เก้าอี้เสริมตัวเดิมที่เขานั่งมาตอนแรก “เจ้านี่มีระบบบังคบสั่งการเหมือนกับ F37 มากเลยนะครับลุง ผมคิดว่าผมน่าจะขับมันได้ ไม่ต้องห่วงขนาดนั้นก็ได้” อินาโฮพูดขึ้นขณะเปิดระบบต่างๆ ทีละระบบ กระทั่งหน้าจอเริ่มแสดงข้อความ “EGS-002 Gundam Iona”
“Gundam Iona อย่างนั้นหรอ….อ๊ากกกกกกกก” อินาโฮร้องออกมาด้วยเสียงทุกข์ทรมาณ เมื่อมีอุปกรณ์เหมือนห่วงโลหะจากพนักพิงศีรษะครอบเข้าที่ศีรษะของเขา พร้อมการเดินระบบจาก 0% ในหัวของเขานั้นรู้สึกปวดวูบวาบ ภาพ ข้อมูล และความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้าสู่สมองผ่านห่วงโลหะ ยิ่ง % ที่เพิ่มมากขึ้น ความเจ็บปวดก็เพิ่มมากขึ้นตาม อโปฟิสเปิดแถบควบคุมเฟรมหลักของเครื่องออกมา มันถูกซ่อนอยู่หลังเก้าอี้นักบิน เขาเปิดดูค่าจากระบบ Arch Frame มันแสดงข้อมูลร่างกายของนักบิน อโปฟิสพบว่าแรงดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจของอินาโฮนั้นสูงเกินขีดจำกัดทั่วไปของมนุษย์มาก
นั่นก็เพราะ Gundam ได้ติดตั้งระบบ Arch เพื่อทำการประสานข้อมูลเฟรมเข้ากับระบบประสาทสมอง ซึ่งโดยปกติชาว Emeria นอกจากจะมีการเจริญเติบโตช้ากว่ามนุษย์ 10 เท่า เซลล์เสื่อมตัวช้ากว่า 10 เท่า ความแข็งแกร่งของร่างกาย ที่รวมไปถึงความแข็งแกรงของเซลล์นั้นก็มากกว่ามนุษย์ถึง 10 เท่าเช่นกัน สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทั้งไฮเซียและอโปฟิสรู้อยู่แก่ใจ ไฮเซียจึงส่งอโปฟิสเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น เพราะระบบ Arch Frame กำลังทำงานเกินขีดจำกัดที่ร่างกาย และสมองของมนุษย์จะรับได้
ระหว่างนั้น การยิงต่อสู้ระหว่าง F37 ทั้ง 3 เครื่องกับฝูงเครื่อง Goliath จำนวน 5 เครื่องก็เริ่มต้นขึ้น ยามาโตะสั่งการให้ยิงตอบโต้เพื่อไม่ให้ Goliath 5 เครื่องรุมคืบเข้าถึงระยะหวังผลของมันได้ ไฮเซียรู้ตัวว่าถ้าเธอขืนยังอยู่ในแนวการสู้รบ เธอเองอาจได้รับอันตรายและอาจเป็นตัวถ่วงคนอื่น เธอจึงรีบวิ่งไปหลบในซอกถ้ำเล็กๆ และสังเกตุการณ์ห่างๆ ในใจของเธอนั้นลุ้นให้อินาโฮทำสำเร็จ
อโปฟิสมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาพยายามปรับค่าต่างๆ ของหุ่นเพื่อไม่ให้สมองของอินาโฮระเบิดไปเสียก่อน กระทั่งระบบประสานข้อมูลก็ทำงานที่ 100% อินาโฮก้มหน้าลง มีเลือดหยดลงบนคันบังคับหลายหยด เขาหายใจแรงมาก ก่อนจะมีแขนกลยื่นออกมาจากเก้าอี้นักบิน 2 ข้าง ปลายของมันเป็นเข็มแหลม เมื่อมันยืดจนสุด ปลายแข็มทั้งสองข้างก็พุ่งเข้ามาแทงที่บ่าทั้งสองข้างของอินาโฮอย่างแรง “อึ่ก!!!” หน้าของเขาเชิดขึ้นทันที มีเลือดไหลออกจากดวงตาข้างขวา เส้นเลือดฝอยตาขวาแตกละเอียดจนแดงก่ำ “ตอนนี้....เราออกไปสู้ได้หรือยังครับลุง” อินาโฮถามอโปฟิสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และได้คำตอบว่า “เชิญ”
ยามาโตะ มินาโตะ และมาซามิที่กำลังเริ่มลำบาก การยิงต่อสู้นั้นเสียเปรียบมากเกินไป แม้ยามาโตะจะเอาปืนที่ใช้การได้จากเครื่องของอินาโฮมาใช้แทน ก็ไม่อาจรับมือได้ไหว F37 ทั้ง 3 เครื่องเริ่มได้รับความเสียหายมากขึ้น ในขณะที่ Goliath ทั้ง 5 ยังอยู่ในสภาพดี พวกเขาทั้ง 3 คนถูกยิงปูพรมกดดันให้ถอนร่นไปเรื่อยๆ และด้านหลังก็คือภูเขาฟูจิ พวกเขากำลังหมดทางหนี และเครื่อง Goliath เครื่องที่ 6 ก็เข้ามาสมทบ มันเป็นเครื่อง Goliath สีม่วง ติดตั้งอาวุธปืนยาว
ยามาโตะอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น “อาวุธนั่น….อาวุธลำแสงอย่างนั้นหรอ….แย่ล่ะสิ แนวป่ากันมันไม่ได้แน่” มาซามิรู้ตัวว่าโอกาสรอดไม่เหลือแล้ว เพราะยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากกันดั้มเลย เธอรู้สึกหวาดกลัว เจ้าเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้าก็กลัวไม่ต่างกัน มันดิ้นหลุดจากสายรัด แล้วมานั่งขดตัวอยู่บนตักของมาซามิ เธอเองก็ทำอะไรไม่ถูก จึงกอดเจ้าแมวน้อยเอาไว้แน่น มินาโตะเห็นท่าไม่ดี เพราะถ้าหากมันยิงเข้ามาในป่า เพื่อนๆ ของเขาทั้งหมดคงไม่รอดจากอานุภาพ
“ใครจะไปยอมให้เป็นแบบนั้นกันเล่า” มินาโตะเร่งท่อขับดันที่แพคหลัง ส่งเครื่อง F37 ไร้หัวลอยขึ้น เขาคิดว่า ยังไงซะก็ขอให้การยิงนัดนี้จากปืนลำแสงได้เล็งมาที่เขาคนเดียว มันพอต่ออายุของเพื่อนๆ ได้ เขาเปิดฝาครอบห้องนักบินออกเพื่อเปิดวิสัยทัศน์การมอง จากนั้นทำการยิงปืนยาว No scope สวนออกไป มันเป็นวินาทีที่ปืนลำแสงของเครื่อง Goliath สีม่วงยิงสวนมา ลำแสงหลอมละลายหัวของมินาโตะจนหายไป และพุ่งเข้าป่ะทะ F37 ไร้หัวของมินาโตะจนเกิดเป็นแสงระเบิดเจิดจ้า ยามาโตะกับมาซามิได้แต่ตะลึงปากค้าง
มุมมองที่มืดมิดเริ่มเปิดออก “นี่ชั้น…..ชั้นยังไม่ตายหรอเนี่ย!!!” มินาโตะพูดขึ้น
เบื้องหน้าของเขาปรากฏร่าง Gundam Iona ที่ใช้โล่กันลำแสงเอาไว้ให้ทำให้มินาโตะรอดชีวิต โล่ของ Gundam Iona มีระบบม่านลำแสงปกคลุมตัวโล่ ทำให้มีคุณสมบัติสะท้อนลำแสงได้ จากนั้นอินาโฮก็ติดต่อไปยังมินาโตะ “ไม่เป็นไรใช้มั้ย….พวกนายน่ะสู้มันไม่ได้หรอก ชั้นจะสู้กับมันเอง” “คราวนี้ช่วยอยู่ข้างหลังชั้นไว้ก็แล้วกัน” อินาโฮพูดจบ ทุกคนต่างก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่คิดว่านักบินกันดั้มเครื่องนั้นจะเป็นอินาโฮ แถมตาข้างขวาของเขานั้นแดงก่ำเต็มไปด้วยเลือด
Gundam Iona ยกโล่รับกระสุนปืนของฝูง Goliath แทน F37 ของมินาโตะ จนมินาโตะพ้นแนวยิง ไฮเซียที่แอบมองอยู่จากถ้ำก็เป่าปากโล่งใจ “ขอจงอย่าแพ้พ่ายนะ...อินาโฮ โฮรูโตะ...เหล่าเราต้องพึ่งเจ้าแล้ว” มาซามิรีบเข้าช่วยประคองเครื่องของมินาโตะลงจอดบนพื้น ส่วนยามาโตะก็มีดูเหมือนอยากจะออกไปช่วยสู้ แต่มาซามิห้ามไว้ “หัวหน้าคิระ….คราวนี้ชั้นว่าเราอย่าเข้าไปแทรกเลยค่ะ อินาโฮน่ะไม่เคยทำอะไรหากเขาไม่มั่นใจ” “แล้วดูจากสีหน้าแล้ว ชั้นเชื่อว่าเขาจะปกป้องพวกเราได้แน่นอน ดังนั้น เราต้องเชื่อมั่นในตัวเขาเข้าไว้”
อินาโฮมองไปที่ศัตรูทั้ง 6 ที่กำลังระดมยิงกระสุนเข้าใส่อย่างไม่ลดละ แต่ดูเหมือน Iona จะไม่เป็นอะไรเลย “เอาล่ะนะลุง….เราจะทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ….โฮรูโตะ อินาโฮ….กันดั้มอิโอน่า…..จะลุยล่ะนะ!!” เมื่อพูดจบ Iona ลดโล่ป้องกันลงและใช้อาวุธปืนแกทลิงที่ต้นคอทั้ง 2 ข้างกระหน่ำยิงไป 1 ชุด พลังทำลายของกระสุนที่ลั่นออกไปจำนวนมาก ทำลาย Goliath จนระเบิดไปในทันที 1 เครื่อง ยามาโตะ มาซามิ และมินาโตะ ต่างก็อึ้งกับความสามารถที่ยอดเยี่ยมเกินคาดเอาไว้มาก แต่ไฮเซียเธอรู้อยู่แล้ว เธอจึงไม่ได้ตกใจอะไร ในใจเธอไม่ได้ห่วงเรื่องกันดั้ม แต่เธอห่วงตัวอินาโฮมากกว่า
หลังจากที่ Goliath ระเบิดไปหนึ่งเครื่อง เจ้าเครื่องสีม่วงก็เล็งปืนลำแสงขึ้นอีกครั้งแล้วยิงใส่ Iona แทนที่ยกโล่ขึ้นกัน อินาโฮยกปืนยาวขึ้นเล็งและยิงสวนไป “ชั้นน่ะ ไม่ได้อยากฆ่าพวกนายเลยสักนิด!!” ลำแสงจากปืนยาวของ Iona นั้นแรงกว่าปืนลำแสงของ Goliath ชนิดที่เรียกว่ามวยคนละรุ่น ขนาดลำแสงนั้นมีขอบเขตกว้างกว่าตัวโมบิลสูทเสียด้วยซ้ำ มันกลืนกินลำแสงของ Goliath จนหมดสิ้น
ด้วยการยิงเพียงครั้งเดียว Gundam Iona สามารถกวาดล้าง Goliath ไปคราวเดียวถึง 4 เครื่อง และในวินาทีนั้นเอง เครื่อง Goliath เครื่องสุดท้ายใช้จังหวะทีเผลอเข้าประชิดตัว Iona ได้สำเร็จ มันพุ่งเข้ามาจากทางด้ายซ้ายด้วยอาวุธขวานโลหะหมายจะฟันเข้ากลางลำตัวของ Iona แต่มันก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของอินาโฮเสียเท่าไร เพราะข้อมูลในหัวเขาสมบูรณ์แบบมาก ระบบ Arch Frame เชื่อมประสาททั้งหมดของอินาโฮเข้ากับระบบ Sensor ทั้งหมดของ Gundam Iona
Gundam Iona ใช้มือซ้ายเอื้อมไปหยิบด้ามดาบจากเอวข้างขวาแล้วสบัดมันสวนออกไป เมื่อด้ามดาบหลุดออกจากเอว ลำแสงสีเขียวก็พุ่งออกจากด้ามกลายเป็นตัวดาบแทนที่จะเป็นดาบโลหะ ลำแสงของตัวดาบผ่าสวนขวานโลหะและแขนของ Goliath ที่ถือขวานอยู่จนขาดกระเด็น จังหวะที่ Goliath ชะงักอึ้งอยู่นั้น “แต่ถ้าชั้นไม่ฆ่าพวกนาย ชั้นจะปกป้องเพื่อนๆ ของชั้นไม่ได้” อินาโฮจ่อปืนยาวไปที่หน้าของ Goliath และลั่นไกระยะประชิดจน Goliath สลายหายไปต่อหน้าเขา
“นี่น่ะหรอ….สิ่งที่เรียกว่ากันดั้ม….เปลืองพลังงานชะมัด....” อินาโฮพูดเบาๆ ขณะค่อยๆ นำกันดั้มลงสู่พื้น การกระทำทุกอย่างของเขาอยู่ในสายตาของอโปฟิสทั้งหมด และดูเหมือนว่าอโปฟิสจะทึ่งมากด้วย เขานึกในใจว่า “นับแต่ปราณแรกที่สูดเข้า จวบจนปราณล่าที่ผายออก ข้ามิเคยคิดว่าการนี้จักบังเกิดขึ้นได้...” “แม้นกำเนิดเยี่ยง Emerian ก็หาใช่ทุกตนจักบัญชากันดั้มได้….หากแต่ตนนี้เป็นเพียงมนุษย์เปี่ยมอ่อนแอ” “ช่างไร้หลักอิง ไร้มูลส่งเสริม …. มนุษย์ตนนี้บัญชากันดั้มสู้รบได้บริบูรณ์ และหาสิ้นใจจาก Arch Frame ไม่”
ทันทีที่ Gundam Iona ลงแตะพื้น มันก็ล้มลงเสียงสนั่นหวั่นไหวพร้อมๆ กับสติของอินาโฮที่ดับวูบไป
……………………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 20, 2019 11:37:26 GMT
ณ ฐานจักรพรรดิ
งานพระศพของมหาจักรพรรดิอเมนเฮราฟถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติโดยนักบวชประจำศาสนา มันถูกจัดขึ้นที่อาคารโถงขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยศิลปะแบบเดียวกันกับตัวอาคารราชวัง บรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายมารวมตัวกันแสดงความเศร้าโศกกันถ้วนหน้าหลายร้อยคน แต่ผู้ที่จะเข้าไปเคารพพระศพต่อหน้าโลงพระศพที่อลังการณ์ได้นั้น จะต้องเป็นรัชทายาทเท่านั้น ทำให้บรรดาองค์ชายและองค์หญิงหลายสิบคนที่ไม่ได้ประสูตรจากพระมเหสีต้องยืนอยู่ห่างๆ
องค์ชายอาคเชง และองค์ชายเฮลิออส เป็นรัชทายาทสององค์แรกที่มาถึงก่อน พวกเขาทั้งสองทำการเคารพพระศพของพระบิดาไปเสร็จสิ้นก่อนหน้านั้นแล้ว จึงไปยืนอยู่ด้านข้าง องค์ชายเฮลิออส ลา นูอาร์ เป็นชายรูปร่างสมส่วน ส่วนสูง 180 c.m. ใบหน้ารูปไข่ คางเรียว ผิวขาวซีด ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีเทาดำสีเดียวกับเส้นผมที่หยักศก รกรุงรังยาวประมาณต้นคอ สีหน้าของเดาและแววตาแสดงความก้าวร้าวและโหดร้ายออกมาได้อย่างชัดเจน ดูเป็นบุคคลอันตราย
ระหว่างที่ยืนรอรัชทายาทองค์ต่อไปเข้ามาทำพิธีเคารพพระศพอยู่นั้น เฮลิออสก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าล่วงรู้เหตุแห่งสวรรคตของพระบิดาเป็นอย่างดี ข้าล่วงรู้มาตลอดว่าเป็นพระองค์...เสด็จพี่” “แต่ข้ามิบังอาจกล่าวโทษหรือแค้นเคือง อันตัวข้าเห็นข้างพระองค์...ความอัดอั้นแห่ง Emeria ถึงสุด” “เหล่าเราผู้อาจหาญ ใยต้องปรองดองเหล่ามนุษย์ผู้อ่อนแอ เหล่าเราเทพสงคราม ใยต้องยั้งสงคราม” “อันตัวข้าหมายเผด็จมนุษย์มาแต่เนิ่น จริงที่ข้าเศร้าโศกเหตุเสด็จพ่อ แต่ก็ปรีดาเหตุประกาศศึก” “ท่านมิต้องกังวล….ข้าจักส่งเสริมท่านขึ้นจักรพรรดิ เพียงให้คำมั่นว่าข้าจักได้เข้าแนวรบ”
อาคเชงได้ยินเช่นนั้น เขาก็มิได้แปลกใจอะไร เพราะเป็นใครก็มองออกว่าเขาเป็นผู้ปลงประชนม์ และเป็นไปตามที่เขาคาด เฮลิออสเป็นผู้กระหายทำสงครามกับ Earthian มาโดยตลอด ทันทีที่เขาประกาศจะกวาดล้างมนุษย์ให้สิ้นซาก คะแนนเสียงของเฮลิออสก็เป็นของเขาไปแล้ว “ข้าปลาบปลื่มน้ำใจเจ้ายิ่ง และข้าให้คำมั่นว่าเจ้าจักได้บัญชาศึกสมปรารถนา และคาดหวังในตัวเจ้ายิ่ง...” “ว่าเจ้า...อนุชาแห่งข้า จะนำชัยมาสู่เหล่าเรา” อาคเชงพูดเช่นนั้นก็ได้รอยยิ้มของเฮลิออสกลับมาทันที
แต่เฮลิออสได้ถามคำถามต่อไป คำถามนี้ทำให้อาคเชงรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย เขาถามว่า “หากแต่ข้าฉงนยิ่ง ด้วยหลายประการอันไม่สมเหตุ เสด็จพี่มิน่าพลั้งให้ขนิษฐาหลุดพ้นกักขัง” “หรือพระองค์ประสงค์เช่นนั้น….หากเป็นดั่งว่า โปรดแถลงไขแด่ข้าเพื่อเห็นทางสว่างด้วย” อาคเชงหลับตาลงช้าๆ “กล่าวไปช่างน่าอัปยศยิ่ง ตัวข้าไร้ระวัง มิคาดเพียงหนึ่งอารักษ์จักร้ายกาจ” “อโปฟิสลำพังบุกรุกสถานจองจำ ทำร้ายกำลังพลแห่งข้าช่วงชิงขนิษฐา...ด้วยประการเช่นนี้” “ข้าจึงคาดหวังเจ้าจักล้างอาย….จงนำพาขนิษฐาแห่งเรากลับคืนสถาน ผู้ขัดขืนสังหารสิ้น...”
ไม่นานนัก
รัชทายาทคนที่สามก็เดินเข้ามาตามทาง เขาคือวัลดัส เธโอฟิลัส อาเครอส รัชทายาทลำดับที่ 5 เขาเดินเข้าไปต่อหน้าโลงพระศพ และยื่นมือไปแตะที่โลงพระศพ จากนั้นก็หลับตาลงสงบนิ่งตามธรรมเนียม
“พระบิดา….บุตรแห่งท่านมาส่งเสด็จเป็นคราสุดท้าย….ขอพระองค์จงประทับซึ่งสุขติ” “บัดนี้พระองค์ทรงได้พ้นผ่านพันธนาการแห่งสงครามแล้ว….ข้าเองหมายเช่นนั้นในสักวัน….” “แม้บัดนี้ราชสำนักยุ่งเหยิง การมิควรเกิดปรากฎมากหลาย...แต่ทรงอย่ากังวล...เชื่อมั่นรัชทายาทแห่งท่าน” “เหล่าราชบุตรและราชธิดาแห่งท่านจักดำเนินกิจเพื่อความรุ่งโรจน์แห่ง Emeria สืบไป...วัลดัส บุตรแห่งท่าน” เมื่อกล่าวคำอำลาจบ วัลดัสก็เดินไปทางซ้ายเพื่อเข้าร่วมแถวกับอาคเชงและเฮลิออสด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย
จากนั้น รัชทายาทคนที่ 4 ก็เดินเข้ามาทางเดียวกับวัลดัสที่เดินเข้ามาเมื่อครู่ เธอก็คืออัลม่า บาส เล็กเซ็นเทล ภาพของอัลม่าที่อุปกรณ์สื่อสารของออเฟียสไม่ได้บอกก็คือ เธอเป็นหญิงสาวที่รูปร่างสูง 170 c.m. ราวนางแบบ เธอเดินเข้าไปต่อหน้าโลงพระศพ และยื่นมือไปแตะที่โลงพระศพแบบเดียวกับที่วัลดัสทำไปเช่นกัน แต่อัลม่ารู้สึกได้ตลอดเวลาว่าเธอกำลังถูกจ้องมองโดยอาคเชง และเฮลิออส แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอาการอะไร
“พระบิดา….บุตรีแห่งท่านมาส่งเสด็จเป็นคราสุดท้าย….ขอพระองค์จงประทับซึ่งสุขติ” เธอพูดเพียงเท่านี้ เพราะเป็นรูปแบบคำพูดตามธรรมเนียมที่บังคับให้พูดออกไปเท่านั้น เพราะเธอรู้ว่าถ้าเธอพูดถ้อยคำจากใจของเธอออกไป อาคเชงและเฮลิออสจะต้องอ่านปากของเธอแน่นอน เธอจึงหลับตาลงและพูดคำเหล่านั้นในใจแทน “พระบิดา...ข้าเป็นกังวลเหลือล้นในยามนี้….ทุกสิ่งบิดเพี้ยน”
“เจตนารมณ์แห่งพระองค์นับร้อยปีผ่านได้มลายสิ้น...เสด็จพี่อาคเชงหมายทรงอำนาจกวาดล้าง Earthian” “หมายปองร้ายประกอบให้ความไฮเซียผู้อาภัพ….ข้าเองไร้กำลังปกป้องขนิษฐา….แต่ข้าได้ย่อท้อไม่...” “เนื่องได้ติดตามข้างกายพระองค์นานเนิ่น...ข้าย่อมเข้าถึงเจตนาถ่องแถ้แห่งพระองค์ดีหาใครเทียบ” “ข้าขอปฏิญาณเบื้องหน้าสังขารแห่งพระองค์ว่าจักดำเนินทุกการเพื่อปกป้องเจตนานั้นไว้ยิ่งชีวา” “ขอดวงจิตแห่งพระองค์อยู่เคียงข้า….เสริมกำลังให้ข้า….สนับสนุนข้า….เพื่อสันติที่พระองค์ปรารถนา” เมื่อกล่าวคำอำลาในใจจบ อัลม่าก็เดินไปทางซ้ายเพื่อเข้าร่วมแถวกับอาคเชง เฮลิออส และวัลดัส
อัลม่าเหล่มองไปที่อาคเชง เฮลิออส วัลดัส เธอเข้าใจดีว่านี่อาจเป็นการอยู่ด้วยกันอย่างพี่น้องเป็นครั้งสุดท้าย
…………………………………………….
หลังพิธีพระศพจบลง
รัชทายาทที่เข้าร่วมพิธีศพขององค์จักรพรรดิอเมนเฮราฟ ก็มีเพียง 4 พระองค์เท่านั้น และตามกฎมลเฑียรบาลแล้ว เมื่อรัชทายาทผู้ใดเหยียบขึ้นฐานแห่งจักรพรรดิ ต้องเข้าพิธีเลือกจักรพรรดิ พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงพิธีนี้ได้ แต่เมื่อไฮเซียถูกตราหน้าว่ากบฎต่อราชสำนักและได้หนีไป และในส่วนของออเฟียสเท่าที่ทุกคนยกเว้นอัลม่าทราบคือ เขาหายตัวไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้น รัชทายาทสองพระองค์นี้จึงยังไม่ได้ใช้สิทธิในการเลือกจักรพรรดิในวันนี้พร้อมกับองค์อื่นๆ
พิธีเลือกจักรพรรดินั้น จะถูกจัดขึ้นในห้องประชุมสภาสูงของ Emeria ที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาสูง 12 คน พวกเขาเป็นกลุ่มผู้สูงอาวุโสและทรงคุณวุฒิ โดยปกติจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของจักรพรรดิ และยังทำหน้าที่เป็นสักขีพยานในพิธีการสำคัญๆ ต่างๆ รวมไปถึงพิธีเลือก และพิธีแต่งตั้งจักรพรรดิ ในการทำหน้าที่ พวกเขาจะเข้าร่วมด้วยภาพโฮโลแกรมเท่านั้น ไม่ได้มาด้วยตนเอง และเครื่องแต่งกายของพวกเขา จะเป็นผ้าคุลมสีขาวทั่วทั้งตัว มิดชิดปิดบังทุกส่วนของร่างกาย นั่นเพราะเหตุว่า พวกเขาจะต้องไม่ให้ใครรู้ แม้แต่ตัวจักรพรรดิ ว่าตัวตนของเขาแท้จริงเป็นใคร
ดังนั้น ในห้องพิธีเลือกจักรพรรดิ จึงเป็นห้องทรงกลม ตกแต่งด้วยลายไม้ตามสไตล์ของ Emeria กลางห้องทรงกลมที่ดูค่อนข้างมืดนั้น มีแท่นโพเดี้ยมตั้งอยู่ มันล้อมรอบด้วยแท่นวงกลม 12 แท่น แต่ละแท่นคือเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมที่จะส่งภาพของสมาชิกสภาสูงแต่ละคนขึ้นมาเท่าตัวจริง ในห้องจึงมีเพียงเหล่ารัชทายาทที่เข้าพิธีลงนามเลือกผู้เหมาะสมเป็นจักรพรรดิเท่านั้น
อาคเชงก้าวเดินเข้าสู่ใจกลางห้องไปหยุดที่แท่นโพเดี้ยมไม้ บนโพเดี้ยมมีกล่องโลหะเหลี่ยมเงาวาวตั้งอยู่ ทันทีที่อาคเชงหยุดอยู่ตรงโพเดี้ยม ถาดโฮโลแกรมก็ฉายภาพเหล่าสภาสูงในชุดคลุมขาวขึ้นมา 12 คน อาคเชงจึงเริ่มกล่าวถ้อยคำตามธรรมเนียม “อันตัวข้าอาคเชง ฟอน เอเมอเรีย โอรสแห่งอเมนเฮราฟ” “รัชทายาทลำดับต้น ขอใช้สิทธิโดยธรรม เชิดชูเกียรติแห่งข้าในนามจักรพรรดิ ชี้นำเหล่าประชา” หลังจากอาคเชงพูดจบ เขาก็ทาบฝ่ามือไปที่กล่องโลหะ ก่อนจะมีเข็มพุ่งออกจากใจกลางกล่อง มันแทงเข้าที่กลางฝ่ามือของอาคเชงแล้วดูดเลือดของเขาเข้าไปเป็นอันเสร็จกระบวนการ
จากนั้น เมื่ออาคเชงเดินกลับมาที่เดินตรงมุมห้อง เฮลิออสก็ยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้าไปแทนที่ “อันตัวข้าเฮลิออส ลา นูอาร์ โอรสแห่งอเมนเฮราฟ รัชทายาทลำดับรอง ขอใช้สิทธิโดยธรรม” “เชิดชูเกียรติแห่งองค์ชายอาคเชง ฟอน เอเมอเรียในนามจักรพรรดิ ชี้นำเหล่าประชา” หลังจากเฮลิออสพูดจบ เขาก็ทาบฝ่ามือไปที่กล่องโลหะเช่นเดียวกันกับที่อาคเชงทำ
และรัชทายาทที่เข้าร่วมพิธีในวันนี้คนที่สามก็เดินไปที่โพเดี้ยมถัดจากเฮลิออส “อันตัวข้าอัลม่า บาส เล็กเท็นเทล ธิดาแห่งอเมนเฮราฟ รัชทายาทลำดับตรี ขอใช้สิทธิโดยธรรม” “เชิดชูเกียรติแห่งข้าในนามจักรพรรดินี ชี้นำเหล่าประชา” คำกล่าวของอัลม่าไม่ได้สร้างความประหลาดใจนัก เพราะอาคเชงและเฮลิออสต่างก็พอคาดเดาได้อยู่แล้วว่าอัลม่าคงจะเลือกเดินเกมต่อสู้กับพวกเขา
ท้ายสุดของพิธีในวันนี้ก็คือวัลดัส เธโอฟิลัส อาเคลอส เขาเดินเข้าไปเป็นคนสุดท้าย “อันตัวข้าวัลดัส เธโอฟิลัส อาเคลอส โอรสแห่งอเมนเฮราฟ เบญจรัชทายาท ขอใช้สิทธิโดยธรรม” “สละสิ้นทุกสิทธิแห่งราชวงศ์ มิขอส่งเสริมหรือคัดค้านผู้ใดในนามแห่งจักรพรรดิ หรือจักรพรรดินี” คำกล่าวของวัลดัส ก็ยิ่งไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้อาคเชง เฮลิออส หรืออัลม่าเลย เพราะตัวเขานั้นรู้สึกอิ่มตัวกับการสู้รบ หรือการแก่งแย่งอำนาจ เขาต้องการเพียงชีวิตที่สงบสุขเท่านั้น
เมื่อการใช้สิทธิของรัชทายาทครบถ้วนแล้ว ประธานสภาสูงประกาศคะแนนเสียงปัจจุบันขึ้น “ตัวข้า ในนามประธานสภาศักดิ์สิทธิแห่ง Emeria จักดำเนินผล ณ กาลปัจจุบันเชิงต้นให้ทราบ” “การได้มาซึ่งผู้ทรงอำนาจแห่งจักรพรรดิ จำต้องประกอบเสียงข้างมากจากบรรดารัชทายาททั้งปวง” “บัดนี้เบญจรัชทายาทละแล้วซึ่งเอกสิทธิส่วนพระองค์ รัชทายาทผู้ทรงสิทธิคงเหลือเพียงห้า” “รัชทายาทลำดับต้นได้รับเอกสิทธิส่งเสริมเป็น 2 รัชทายาทลำดับตรีได้รับเอกสิทธิส่งเสริมเพียง 1” “หากแต่มิปรากฏผู้ใดได้รับเอกสิทธิข้างมากอยู่ไม่จึงมิอาจสรุปผล สภาหวังภาคหน้าจักได้แถลงผลต่อไป”
ผลการประกาศของประธานสภาสูง ทำให้ยังไม่มีผู้ใดได้รับการแต่งตั้งเป็นจักรพรรดิ และพิธีก็จบลง
………………………………………………………..
น่านฟ้าสากล
ยานขนส่งขนาดกลางของ Emeria ลำหนึ่งกำลังบินออกจากฐานจักรพรรดิ มันมุ่งหน้าออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิค แต่แล้วก็มีเครื่อง Goliath ฝูงหนึ่งบินตามมาพร้อมอาวุธหนัก ทันทีที่กัปตันรู้ตัว พวกเขาก็รีบเปิดประตูเข้ามายังห้องโดยสาร ก่อนจะก้มลงนั่งชันเข่าต่อหน้าหญิงสาว
ยานขนส่งลำนี้เป็นของอัลม่า เธอเพิ่งเดินทางออกจากฐานจักรพรรดิ “องค์หญิงพะยะค่ะ…..” กัปตันยังไม่ทันได้พูดอะไร อัลม่าก็พูดขึ้นก่อนว่า “เจ้าจักแจ้งข้าว่าปรากฏข้าศึกตามท้ายเหล่าเรามางั้นรือ” “หากเป็นเช่นนั้น ข้าปรีดารับการแจ้ง แต่จงดำเนินกิจของเจ้าไป ข้าจักดำเนินกิจของข้า...มิต้องเป็นกังวล” อัลม่าพูดเช่นนั้นทำให้กัปตันรายนั้นรู้สึกโล่งใจขึ้น เขารีบลุกแล้วกลับเข้าห้องนักบินไปทันที
อัลม่ายิ้มเล็กๆ “พระองค์ทักทายข้าได้หาสมเป็นพระองค์ไม่ เสด็จพี่อาคเชง...” เมื่อพูดลอยๆ จบ เธอก็ลุกขึ้นแล้วพูดกับข้าทาสบริวารว่า “จัดเตรียมบรินฮิลด์ ข้าจักออกไปเอง” เหล่าองครักษ์ได้ยินเช่นนั้น ก็น้อมรับบัญชารีบเดินนำอัลม่าไปยังส่วนเก็บของของตัวยานทันที
ขณะเดียวกัน ฝูง Goliath ก็เร่งความเร็วตามยานขนส่งของอัลม่ามาจนเข้าระยะยิง Goliath ทั้ง 10 เครื่องนั้นเป็นเครื่องสีชมพู พร้อมแบกปืนลำแสงมาคนละกระบอก เล็งไปที่ยานของอัลม่า แม้ยานขนส่งของอัลม่าจะไม่ใช่ยานขนาดเล็ก แต่มันก็ไม่ใช่ยานรบขนาดใหญ่เต็มรูปแบบที่แข็งแรง เพียงลำแสงจากปืนยาวกระบอกเดียวก็เพียงพอที่จะสอยยานขนส่งที่บินอยู่ระดับความสูง 1 หมื่นฟุตได้ง่ายๆ หลังจากเล็งเป้าอยู่ไม่นาน เหมือนพวกเขาทั้ง 10 ก็ได้รับคำสั่งอนุญาตให้ยิงเป้าหมายได้
ลำแสง 10 เส้นพุ่งเข้าไปที่เป้าหมายเดียวคือส่วนท้ายของยานขนส่งจนเกิดแสงระเบิดเจิดจ้า ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย มีเศษชิ้นส่วนเล็กๆ เหมือนแก้วกระจายออกไปทั่วกลุ่มควัน ฝูง Goliath กำลังรอยืนยันผลภารกิจ แต่แล้วนักบิน Goliath คนหนึ่งก็เห็นยานขนส่งยังคงบินอยู่ เขาเห็นมันลางๆ ที่ปลายควันจากมุมสายตาของเขา จึงแจ้งให้นักบินอีก 9 คนรับทราบ
แต่ทันทีที่พวกเขาหันมาที่กลุ่มควัน พวกเขาก็พบกันดั้มสีขาวขลิบม่วงเครื่องหนึ่ง มันบินแหวกกลุ่มควันออกมาด้วยความเร็วที่สูงมากและมุ่งหน้าเข้าปะทะฝูง Goliath ทั้ง 10 ตรงๆ
“กันดั้ม!!......กันดั้ม บรินฮิลด์!!” นักบินเครื่อง Goliath ร้องลั่นด้วยความตระหนก
つづく.
|
|