|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 29, 2019 7:41:43 GMT
EP3 : Alma’s Sustenance
ผ่านไป 2 วัน
ลึกเข้าไปในป่า บริเวณภูเขาคิโสะ
หลังจากที่ได้ปะทะกับหน่วยโมบิลสูทของ Emeria กลุ่มหน่วยรบที่ 42 ก็ออกเดินทางต่อไป พวกเขามุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติฮาคุซังตามที่มาซามิได้นัดหมายไว้กับกลุ่ม ERF แต่เนื่องจากเป็นการเดินทางผ่านป่าและภูเขาโดยไม่มียานพาหนะขนส่ง มันจึงเป็นเรื่องยาก พวกเขาเลือกที่จะใช้วิธีการเดินด้วยโมบิลสูท แทนที่จะใช้วิธีการบินเพื่อประหยัดพลังงาน
ด้วยพื้นฐานของเครื่อง F37 มันจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของตัวหุ่น แต่จำเป็นต้องอาศัยระบบจรวดขับดันสำหรับ Thruster ที่แพคหลัง และฝ่าเท้า เพื่อการบินด้วยความเร็ว ดังนั้น เชื้อเพลิงในการบินจึงมีจำกัด ยามาโตะมองว่าจะเป็นการดีกว่าหากเก็บเชื้อเพลิงนั้นไว้ใช้ยามคับขัน ในทางกลับกัน พลังงานไฟฟ้าของตัวหุ่นนั้นสามารถเก็บใหม่ได้จากแสงอาทิตย์ในเวลากลางวัน พวกเขาจึงใช้เวลากลางวันในการสะสมพลังงานและพักผ่อน จากนั้นจึงเดินทางต่อในเวลากลางคืน
เวลานี้เป็นเวลากลางวัน
หน่วยรบที่ 42 หยุดพักกลางป่า ดูเหมือนจะไม่มีกองกำลังของ Emeria ไล่ล่าพวกเขามา 2 วันแล้ว ยามาโตะในฐานะหัวหน้าหน่วยรบจึงต้องทำหน้าที่สั่งการและคอยวางแผนการเดินทาง เขาเหนื่อยล้ามาก จึงหลับพักผ่อนเอาแรงในห้องนักบินของเครื่อง F37 ของเขาเอง เพราะดูแล้วจะเป็นที่ที่สบายที่สุด มินาโตะได้รับมอบหมายหน้าที่ในการหาอาหารเนื่องจากเสบียงฉุกเฉินที่พวกเขามีได้หมดลงไปแล้ว ไฮเซียเห็นว่าขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างสงบ และพวกหน่วยรบที่ 42 นั้นเป็นที่น่าไว้วางใจได้ เธอจึงสั่งให้อโปฟิสไปช่วยมินาโตะในการหาอาหารอีกแรงเผื่อร่างกายอันแข็งแกร่งจะช่วยอะไรได้บ้าง
มาซามินำอาหารกล่อง กล่องสุดท้าย เดินไปที่ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ไม่ห่างไปจากบริเวณจอดพักโมบิลสูทมากนัก ใต้ต้นไม้นั้น ไฮเซียและอินาโฮนั่งอยู่ด้วยกัน ไฮเซียไม่ได้มีความรู้เรื่องกายวิภาค เธอจึงช่วยอะไรไม่ได้มาก แม้จะอยากช่วยอินาโฮให้หายจากอาการบาดเจ็บ แต่เธอทำได้ดีที่สุดเพียงการนั่งอยู่เป็นเพื่อนเขาเท่านั้น อินาโฮนั้นอิดโรย มึนงง ความเฉื่อยชากว่าปกติ แม้เขาจะได้สติมาวันหนึ่งจนพูดคุยได้แล้วก็ตาม และหน้าที่อีกอย่างหนึ่งของไฮเซียก็คือ ต้องคอยดูแมวขาวของมาซามิไม่ให้เดินเล่นจนหายไปในป่า หลังจากใช้เวลาร่วมกันมาได้สองวัน ไฮเซียก็ไม่หวาดกลัวเจ้าแมวขาวอีกต่อไป ทั้งสองสนิทกันมากขึ้น
“อะนี่จ้า กล่องนี้ของมาเรีย ส่วนนี่ของนาย อินาโฮ...” มาซามิพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมยื่นกล่องข้าวให้ทั้งสองคน แต่อินาโฮที่ร่างกายยังไม่แข็งแรง เขาไม่สามารถถ่างตานั่งกินลมต่อได้ เขาคล้อยหลับไปในที่สุด ไฮเซียจึงยอมให้อินาโฮใช้ตักของเธอแทนหมอน ส่วนมาซามิก็อึ้งอยู่ไม่น้อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่ามันจำเป็น มาซามินั่งลงข้างๆ ไฮเซีย เธอมองสภาพของอินาโฮที่หลับอยู่ จึงถามไฮเซียเพื่อให้หายข้องใจ เพราะก่อนหน้านี้ เธอและมินาโตะวุ่นวายกับการเดินทาง พอรู้จากยามาโตะมาว่าอินาโฮได้รับบาดเจ็บเท่านั้น
“คุณมาเรีย...ชั้นได้ยินมาว่าที่อินาโฮอยู่ในสภาพแบบนี้เพราะขึ้นขับกันดั้มอย่างนั้นหรอ?” มาซามิถามขึ้น ไฮเซียหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดรอยคราบเลือดที่ใต้ตาข้างขวาของอินาโฮก่อนจะตอบมาซามิกลับไปว่า “ค่ะ...ท่านพี่ บอก ว่ากันดั้ม เครื่อง นั้น ติดตั้ง Arch Frame เพื่อประสาน ประสาทของ นักบิน เข้ากับระบบ” “มันถูก สร้างขึ้น เพื่อ ชาว Emeria ที่ แข็งแกร่งกว่า มันไม่ ได้ถูกสร้าง ขึ้นเพื่อมนุษย์ อย่างพวก คุณ” “เซลล์สมอง ของพวกคุณ ไม่สามารถรับ แรงกดดัน ได้มาก เท่า พวกเรา แต่อินาโฮ นั้น น่าทึ่ง มาก” “เพราะ เขาเป็นมนุษย์ ที่ ขึ้นขับ อิโอน่า แล้วยัง มีชีวิตอยู่ ได้ สมองก็ยังปกติ ไม่ได้ พิการ อะไรเลย”
มาซามิได้ฟังคำตอบที่เธอคาใจว่าหลายวัน จึงรู้ว่าที่อินาโฮยังอยู่ครบ 32 ได้นั้น ก็นับว่าเป็นปาฏิหารย์มากแล้ว แต่เนื่องจากอินาโฮต้องได้รับการพักฟื้น เขาจึงถอดชุดนักบินออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวตัวบางๆ มาซามิจึงเหลือบไปเห็นรอยแผลช้ำที่เหมือนถูกเจาะเข้าไปด้วยของมีคมเป็นวงกลมบนบ่าของอินาโฮ “แล้วรอยนี่มันคืออะไรหรอคะ คุณมาเรีย ดูเหมือนรอยเจาะเลือดเลย แต่...มันเหมือนจะเป็นเข็มที่ใหญ่มากเลยนะ” ไฮเซียมองตามแนวสายตาของมาซามิไป เธอก็รู้ทันทีว่ามาซามิกำลังถามถึงรอยบนบ่าของอินาโฮ
มันเป็นรอยถูกเจาะตามที่ร่องรอยของแผลฟ้องจริงๆ มันถูกเจาะโดยแกนเหล็ก 2 แท่งในเก้าอี้นักบิน “ดิฉัน เอง ก็ไม่ รู้ อะไรมากมายเท่าไร แต่ก่อน หน้านี้ จากที่ดิฉันเอง ก็เคย ขึ้นขับมาแล้ว ครั้งหนึ่ง นั้น” “รอยนี้ เป็นรอยเจาะ จริงๆ อย่าง ที่คุณว่า ค่ะ มัน เป็นกระ บวน การ หนึ่ง ของระบบ Arch Frame” “ใน กรณี ที่ระบบ ตรวจรับ พบว่า นักบิน มีระดับ แรงดันโล หิต มากผิด ปกติ ระบบ นี้ จะ ทำงาน ค่ะ” “มันจะ เจาะเข้า เส้นเลือด ของ นักบิน แล้วถ่ายเลือด ออกมา หมุนเวียน นอกร่างกาย ของ นักบิน” “ถ้า ไม่มี ระบบ นี้ แรง ดันโลหิต ของ นักบิน อาจมาก เกินไป จนทำ ให้เส้น เลือดใน สมอง แตกได้ ค่ะ”
มาซามิพยักหน้าพร้อมกับคิดตามการอธิบายของไฮเซีย แต่เธอก็เอะใจบางสิ่งขึ้นมา “เอ๊ะ….นี่ชั้นเพิ่งรู้สึกนะคะว่าคุณมาเรียพูดสำเนียงของมนุษย์เราได้ดีขึ้นกว่าเมื่อ 2 วันก่อนมากเลย” ไฮเซียยิ้มปนเขินเล็กน้อย “ค่ะ ดิฉัน เป็นคน เรียนรู้ไว น่ะค่ะ โชคดี ที่ได้ ใกล้ชิด กับพวกคุณ ด้วย” “หวังว่า พวกคุณ คงไม่ ลำคาญ การพูดที่ แปลก แปลก ติด ติด ขัด ขัด ของ ดิฉัน ซะก่อน นะคะ” มาซามิกระพริบตาซ้ายให้ไฮเซีย “ไม่หรอกจ้า แค่ 2 วันพูดได้ขนาดนี้ ไม่กี่วันคงพูดปร๋อแล้วล่ะ” ไฮเซียยิ้มด้วยความดีใจ ขณะที่พยายามกระพริบตาข้างซ้ายตามมาซามิ แต่เหมือนว่าเธอทำไม่ได้
“ทำไม ถึง ทำ ยากจัง เลยคะ แบบนี้ แบบนี้รึเปล่า” “ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกจังเลย ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย แบบนี้ตะหาก”
……………………………………………………….
ห้องทรงงาน ณ ฐานจักรพรรดิ
มันเป็นห้องขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยไม้ชั้นดี โต๊ะทำงานสุดเลิศหรูพร้อมชั้นหนังสือล้วนทำขึ้นจากไม้ มีของตกแต่งจากวัฒนธรรมของมนุษย์ที่ดูมีระดับ ปูด้วยพรมลวดลายสวยงามทั่วพื้นห้อง อาคเชงกำลังนั่งมองของตกแต่งของพระบิดา มันเป็นโมเดลจำลองของเรือสำเภายุคบุกเบิกอเมริกา เขามองมันด้วยความพินิจพิเคราะห์ และพึมพำเบาๆ “สิ่งนี้น่าพิศมัยเช่นไรอย่างนั้นหรือ เสด็จพ่อ” “ข้ามิเห็นสิ่งนี้น่าพิศมัยด้วยประการใด เพียงหลักฐานซึ่งความหิวกระหาย และป่าเถื่อนแห่งมนุษย์”
ระหว่างที่อาคเชงกำลังนั่งมองโมเดลจำลองเรือสำเภาอยู่นั้น เครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะคล้าย Ipad ก็ส่งเสียง “เสด็จพี่ประสงค์สื่อสารมายังข้าหมายสิ่งใด” เสียงที่ดังขึ้นมาคือเสียงของเฮลิออส อาคเชงจึงหันไปเพื่อพูดคุย ทำให้รู้ว่าการนั่งพินิจแบบโมเดลจำลองนั้น เป็นเพียงการใช้ความคิดคั่นเวลาระหว่างรอปลายสายรับสายเท่านั้น “บริวารแห่งข้าแจ้งถึงตำแหน่งอิโอน่า ข้าจักมอบแด่เจ้าโดยมิชักช้า มุ่งเสาะหาจับกุมขนิษฐาหวนคืนให้จงได้” ภาพในเครื่องมือสื่อสารเป็นภาพของเฮลิออสที่นั่งอยู่ในห้องนักบิน “ข้าขอน้อมรับบัญชา จักมิให้พระองค์รอนาน”
แต่ก่อนที่เฮลิออสจะตัดสัญญาณสื่อสารไปนั้น อาคเชงได้พูดต่อไปว่า “ช้าก่อน….อนุชาแห่งข้า” “ยังมีบางประการที่เจ้าต้องทราบเพิ่มเติม….บริวารแห่งข้าผู้รับบัญชาจับกุมขนิษฐาเหล่าก่อนหน้าสาปสูญ” “พลสนับสนุนพบซากเศษหุ่นรบเหล่านั้นถูกยิงทำลายด้วยอาวุธลำแสงอานุภาพสูง มิเหลือรอดแม้หนึ่ง” เฮลิออสหรี่ตาลงเล็กน้อย “สิ้นด้วยอาวุธลำแสงมิเหลือรอดแม้หนึ่ง...มิน่าเป็นเหตุด้วยขนิษฐา...อโปฟิสหรือ” อาคเชงหลับตาลง “ข้ามิเห็นเช่นนั้น อโปฟิสธำรงค์มั่นในจารีต ถึงวายวอดก็มิบังอาจขึ้นบัญชาอิโอน่า”
เฮลิออสได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งสงสัย “แล้วเสด็จพี่ว่าจักเป็นผู้ใดที่อาจหาญขึ้นบัญชาอิโอน่าเข้าศึก” อาคเชงลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ข้ายังมิเห็นผล จึงประสงค์ให้เจ้าแสวงผลแด่ข้าในมูลเหตุนี้อีกประการ...” “หากแต่จงอย่าประมาท แม้นเจ้าจักบัญชากันดั้ม ข้าศึกก็บัญชาอิโอน่า จงรอบคอบถ้วนถี่รัดกุม” “และพึงสำนึกไว้ว่า อย่าทำการใดปองร้ายให้ขนิษฐาได้รับผล ข้าประสงค์ตัวนางไร้บอบช้ำ” เฮลิออสยิ้มมุมปาก “ข้าทราบแล้ว ข้าจักรีบเร่งดำเนินกิจ และจักมิทำให้เสด็จพี่ผิดหวัง”
หลังวางสาย เฮลิอสยิ้มอย่างพอใจ “มันจักเป็นตนใดข้ามิหวั่น มันตนนั้นหรืออาจหาญเปรียบข้าได้” “กาลที่ข้าตั้งมั่นรอคอยมาถึงแล้ว ผู้ใดขัดขืนซาวิทาร์ มันผู้นั้นจักมอดม้วยใต้คมมุรามาสะแห่งข้า”
……………………………………………………….
ป่าแถบภูเขาคิโสะ
มินาโตะและอโปฟิสได้เดินทางกลับมายังพื้นที่หยุดพัก พวกเขานำผลไม้ป่ากลับมาจำนวนหนึ่ง หลังจากนำผลไม้ที่ได้มาไปให้ยามาโตะตรวจและจัดการแบ่งสรรค์แล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไป มินาโตะได้เดินไปยังต้นไม้ใหญ่ ซึ่งตอนนี้อินาโฮได้นอนหลับบนตักของมาซามิแทนตักของไฮเซียแล้ว “หมอนี่ยังไม่ฟื้นอีกหรอมาซามิ” มินาโตะถามขณะที่เขานั่งลงข้างมาซามิแล้วหยอกล้อกับแมวขาวที่เข้ามาป่วน
“ฟื้นแล้วล่ะ แต่ร่างกายของอินาโฮยังอ่อนเพลีย เขาเลยเผลอหลับไปอีกรอบน่ะ” มาซามิตอบพร้อมยิ้มบางๆ มินาโตะหยิบผลไม้ป่าที่เขาติดมือมาเล็กน้อยขึ้นมากินพร้อมกับยื่นไปแบ่งให้มาซามิได้ทานรองท้องด้วยกัน มาซามิรับผลไม้ป่าลูกนั้นมาจากมินาโตะ และเธอก็สังเกตุเห็นว่าแผลแตกที่หัวของมินาโตะนั้นแห้งสนิทแล้ว มินาโตะมองไปทางกันดั้มอิโอน่าแล้วถอนหายใจ “ได้ยินมาว่าขึ้นขับเจ้านั่นน่ะ ถึงตายเลยอย่างนั้นสินะ” “โมบิลสูทบ้าอะไรกันนะที่จะฆ่าคนขับให้ได้ ดูๆ ไปแล้วของพรรณนี้เหมือนดาบสองคม อันตรายไปทุกด้าน”
มาซามิพยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ มาเรียจังบอกว่ากันดั้มน่ะถูกออกแบบมาเพื่อชาว Emeria ที่ร่างกายแข็งแรงกว่า” “ถ้ามนุษย์ทั่วไปแบบเราๆ เผลอขึ้นไปขับแล้วล่ะก็ มักจบไม่สวยเลยสักคน แต่ดูเหมือนอินาโฮจะอึดกว่าที่เราคิดนะ” มินาโตะหันกลับมามองอินาโฮที่กำลังหลับแบบไม่มีสติ “นั่นน่ะซี่ เหลือเชื่อจริงๆ เลยที่หมอนี่อึดได้ขนาดนั้น” “จำได้ว่าตอนเราเด็กๆ หมอนี่น่ะขี้แยสุดๆ ชั้นและเธอต้องเข้าไปช่วยทุกทีเวลาโดนพวกแก๊งนักเลงรุมแกล้ง” มาซามิยิ้มบางๆ “นั่นน่ะสิ….ดูเหมือนอะไรๆ ได้เปลี่ยนไปแล้วล่ะนะ ตอนนี้อินาโฮน่ะกลับเป็นฝ่ายช่วยพวกเราแทน”
ระหว่างที่มาซามิและมินาโตะกำลังพูดคุยกันอยู่ ยามาโตะก็เดินเข้ามาหา เขามองดูสภาพของอินาโฮสักพัก “สภาพแบบนี้คงขึ้นขับกันดั้มไม่ได้พักใหญ่ๆ เลยล่ะมั้ง แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้สถานการณ์เงียบลงไปแล้ว” “เจ้าพวก Emerian น่าจะเลิกไล่ล่าพวกเราแล้วล่ะ แต่ยังไงเราก็ยังประมาทไม่ได้ ชั้นเช็คเสบียงแล้วล่ะนะ” “ด้วยเสบียงเท่านี้ ถ้าเราใช้ระบบไอพ่นได้ มันก็น่าจะพอ แต่เราดันใช้ไม่ได้ กว่าจะไปถึงจุดนัดพบที่ฮาคุซัง” “เราอาจจะต้องแวะพักหาเสบียงเพิ่มอีกรอบ หวังว่าถึงตอนนั้นสถานการณ์ยังคงเงียบอยู่ และหมอนี่จะฟื้นแล้ว”
“แล้วเอ็คโค่...ไม่สิ พี่สาวเธอล่ะ ติดต่อมาบ้างรึยัง” ยามาโตะถามขึ้น มาซามิจึงตอบไปว่า “ยังเลยค่ะหัวหน้า” “เมื่อวานพี่บอกว่าใกล้เข้าเทียบท่าแล้ว จะรีบไปรอยังจุดนับพบแล้วจะติดต่อมาอีกทีค่ะ จนตอนนี้ยังเงียบอยู่เลย” ยามาโตะพยักหน้าตอบรับ “ทางนั้นก็คงวุ่นวายไม่น้อย ที่น่าห่วงน่าจะเป็นพวกเรามากกว่าว่าจะไปถึงได้รึเปล่า” “จะว่าไปก็ไม่ได้เจอเอ็คโค่มานานแล้วล่ะนะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง...ตอนนี้คงต้องให้หล่อนช่วยแล้วล่ะนะ” ยามาโตะแวะเข้ามาเพียงเพื่อแจ้งสถานการณ์ให้สมาชิกในหน่วยได้ทราบเบื้องต้นเท่านั้น จากนั้นเขาก็เดินกลับไป
มินาโตะมองตามยามาโตะไป “หัวหน้านี่เก่งจริงๆ เลยนะ สถานการณ์แบบนี้ยังคิดวางแผนล่วงหน้าได้แบบนี้” มาซามิพยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ ชั้นเคยได้ยินมาจากที่พวกรุ่นพี่เขาคุยกันสมัยเรียนเกี่ยวกับหัวหน้าคิระมาบ้างน่ะ” “ฮะ!! อะไรนะ หัวหน้าเป็นเกย์หรอ” มินาโตะพูดแทรกขึ้นทำมาซามิหน้าบึ้ง “เดี๋ยวสิ ยังไม่ทันเล่าเลยให้ตายเถอะ” “นายนี่มันจริงๆ เลยนะมินาโตะ...ที่จะเล่าน่ะ คือเมื่อก่อนหัวหน้าคิระไม่ใช่คนที่จะมาใส่ใจคนอื่นแบบนี้หรอกนะ”
“เขาน่ะสนใจแต่หน้าที่และงานของเขาเท่านั้น และเพราะเหตุนั้นทำให้เขาเป็นที่ยอมรับของผู้หลักผู้ใหญ่” “ประกอบกับความสามารถของเขาซึ่งโดดเด่นกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมาก เลยได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าหน่วย” “แต่เหมือนกับว่า หลังจากที่เขาได้เป็นหัวหน้าคน เขาต้องทำงานร่วมกับลูกน้องในหน่วยทุกวันทุกวัน” “เขาก็เริ่มจะเข้าใจและเห็นใจคนอื่นมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราสี่คนคงได้ตายอยู่ที่หน้าฐานทัพไปแล้วล่ะนะ”
“อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ เพื่อนหน่วยอื่นเคยบอกชั้นว่าชั้นโชคดีที่ได้มาอยู่หน่วยนี้น่ะนะ” มินาโตะ “เอ...แต่จะว่าไป คนที่ชื่อเอ็คโค่ที่หัวหน้าพูดถึงเป็นใครงั้นหรอ พี่สาวเธองั้นหรอ ไม่ยักจะรู้มาก่อนเลยนะ” มาซามิพยักหน้า สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากที่ดูปลื้มปลิ่ม กลายเป็นเศร้าเล็กน้อย “ใช่แล้วล่ะ เธอคนนั้นเป็นพี่สาวของชั้นเอง เราเกิดและโตมาด้วยกันจนกระทั่งเกิดเหตุขึ้น…..” “นับตั้งแต่นั้น พี่ก็เลยออกจากกรมไปเข้าร่วมกับ ERF และเริ่มทำการปฏิวัติเพื่อต่อต้าน Emeria เรื่อยมา”
มินาโตะจำได้ดีว่าช่วงสมัยยังไม่เข้ากรม ครอบครัวของมาซามิถูกลอบสังหาร จึงตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องคุย แต่เขาก็มาติดใจขึ้นว่า “เดี๋ยวนะ….เธอบอกว่า ERF เป็นกลุ่มต่อต้าน Emeria อย่างงั้นหรอ?” “ถ้างั้นมันจะเป็นอะไรรึเปล่า ถ้าเราพาเด็กน้อยคนนี้กับตาลุงคนนั้นไปด้วย” มินาโตะถามพลางมองไปที่ไฮเซีย มาซามิได้ตอบกลับไปว่า “นั่นน่ะคือสิ่งที่ชั้นกังวลใจอยู่เหมือนกัน เพราะตอนที่บอกไปว่ามี Emerian มาด้วย” “พี่น่ะ ไม่ได้ปฏิเสธการช่วยเหลือ แถมยังมีน้ำเสียงที่ดูดีใจขึ้นมายังไงยังงั้น แถมรีบตอบรับการช่วยเหลืออีกด้วยล่ะ” มินาโตะหรี่ตาลงเล็กน้อย “น่าสงสัยจริงๆ แฮะ หรือว่าจะมีอะไรบางอย่างที่ Emerian สองคนนั้นไม่ได้บอกเรานะ”
อีกฝั่งของแนวต้นไม้
อโปฟิสยื่นผลไม้ป่าที่เก็บมายื่นให้ไฮเซีย “สิ่งนี้คือพืชพรรณท้องถิ่นเจ้า Earthian เหล่านั้นสำแดงว่ามิเป็นพิษภัย” “องค์หญิงเสวยก่อนพะยะค่ะ….” ไฮเซียยิ้มรับและนำผลไม้นั่นมามองดูด้วยความสงสัย จริงๆ แล้วมันคือแอปเปิ้ลป่า หลังจากที่มองไปทางมินาโตะและมาซามิ ทั้งสองกำลังแทะกินแอปเปิ้ลอยู่ และส่งยิ้มกลับมา เธอจึงเริ่มกัดกินตาม “รสชาติดี ไม่ได้เลวร้ายเช่นที่เรานึกคิด เจ้าเองก็ลองดูบ้างเถิด อโปฟิส” ไฮเซียพูดเพื่อให้อโปฟิสเริ่มกินตามเธอได้
ระหว่างที่ทั้งสองกินแอปเปิ้ลป่า อโปฟิสก็เริ่มพูดสิ่งที่เขาอยากจะพูดขึ้น “ระหว่างแสวงหากระยาหารเหล่านี้” “ข้าพระองค์ได้ไตร่ตรองถึงตระหนักบางสิ่ง...มันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง และขึ้นตามประสงค์แห่งพระองค์พะยะค่ะ” ไฮเซียหันมามองด้วยสีหน้าสงสัย “สิ่งใดหรือ อโปฟิส หากขึ้นตามประสงค์แห่งข้า เจ้าจงเอ่ยมา” อโปฟิสหยุดกินแอปเปิ้ล และมองไฮเซียด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ข้าพระองค์ใคร่รู้ว่าพระองค์จักทำเช่นไรต่อไป” “หากแคล้วคลาดจากภัย พระองค์จักไร้ซึ่งที่ประทับ ไร้ซึ่งอำนาจ ไร้ซึ่งความมั่นคง หากเป็นดั่งว่าจริง” “พระองค์จักยังประสงค์ยุติการศึกตามประสงค์แห่งองค์อเมนฮาราฟ แม้นต้องพรากชีวิตด้วยกันดั้มหรือไม่…?”
คำถามของอโปฟิสทำให้ไฮเซียขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน “มันจักต้องเป็นเช่นนั้น อโปฟิส...ข้าประสงค์เช่นนั้น” “ข้าจักมิยอมให้ประสงค์แห่งพระบิดาสูญเปล่า การศึกจักนำพาซึ่งความสูญเสียมากหลายเกินคณานับ” “ไม่ว่าจักต้องทำเช่นไร จักไร้ซึ่งที่ประทับ ไร้ซึ่งอำนาจ แม้นความมั่นคง ตราบใดปราณแห่งข้ายังคงอยู่” “ข้าจักทำทุกหนทาง ไปทุกหนแห่ง หากการนั้นจักทำให้ข้าบรรลุเจตนารมณ์แห่งพระบิดาได้...” “แต่สิ่งเดียวที่ข้ามิอาจทำได้คือ...การพรากชีวิต...ข้ามิอาจด้านชาต่อความทารุณเช่นนั้นได้...”
อโปฟิสได้ยินเช่นนั้น เขาหลับตาลง “ข้าพระองค์เข้าใจแล้ว...ข้าพระองค์จักทำทุกหนทางเพื่อพระประสงค์” “หากแต่ข้าพระองค์บังอาจชี้แนะ หากประสงค์จักยุติการศึกอันมิอาจเลี่ยง….ไม่มีสิ่งใดพึงได้มาโดยเปล่า” “เมื่อกาลนั้นมาเยือน พระองค์จักต้องสละบางสิ่งทิ้งไป….สิ่งที่ฉุดรั้งพระองค์ไว้มิให้สำเร็จจุดหมาย” คำพูดของอโปฟิส แม้จะฟังเหมือนคำพูดทั่วไปของคนที่จงรักภักดี แต่ไฮเซียก็รับรู้ได้ว่ามันต่างออกไป เธอไม่รู้ว่าอโปฟิสพูดแบบนั้นเพื่อจะบอกใบ้อะไรกับเธอ แต่เธอก็ลำบากใจที่จะถามเขาให้ชัดเจน เพราะสิ่งที่เธอคิดคือ ในเมื่ออโปฟิสไม่อยากจะบอกว่าเขาจะทำอะไร เธอก็ไม่ควรไปบีบเค้นเขาให้พูด
ท่ามกลางความเงียบสงบ
สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อสัญญาณเตือนจากอุปกรณ์ตรวจรับที่นำมาวางไว้ด้านนอกดังขึ้น ยามาโตะเป็นคนแรกที่ตื่นตัว เขามาถึงเครื่องตรวจจับก่อนเป็นคนแรก สิ่งที่เขาเห็นคือสัญญาณโมบิลสูท จำนวนที่แน่ชัดคือ 11 เครื่อง พวกมันเป็นรหัส EMS-067 จำนวน 10 เครื่อง และมีอีกรหัสที่เขาไม่คุ้นตานัก
“EGS-009M Gundam Savitar Muramasa” เสียงอโปฟิสพูดขึ้น เขาได้มายืนอยู่ข้างยามาโตะแล้วในตอนนั้น “กันดั้มอย่างนั้นหรอ!!” ยามาโตะพูดด้วยความตระหนกขณะที่มาซามิและมินาโตะก็วิ่งเข้ามาถึงแล้วเช่นกัน “มันมุ่งหน้าตรงมาทางนี้แล้วด้วยสิ จะทำยังไงกันดีคะหัวหน้า” มาซามิถามด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว มินาโตะเหลือบไปมองอินาโฮและยังเห็นเขานอนอยู่จึงหันมาพูดว่า “ผมจะขับมันเอง เจ้ากันดั้มเครื่องนั้น” ยามาโตะหันขวับไปทางมินาโตะทันที “นายบ้าไปแล้วหรอ นายไม่เห็นสภาพของร้อยตรีฮารูโตะรึไง” “ชั้นไม่ยอมให้ใครต้องไปเสี่ยงชีวิตอีกแล้ว...ถ้าจะต้องมีคนขึ้นไปขับเครื่องมรณะนั่น ก็ต้องเป็นชั้น” “ในฐานะหัวหน้าหน่วยรบที่ 42 ชั้นเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตของพวกนายทุกคน ชั้นจะขับมันเอง”
“พอแล้วครับหัวหน้า….มินาโตะก็ด้วย” เสียงเปื่อยๆ ของอินาโฮดังขึ้น เขาเดินเซๆ เข้ามาหาที่ประชุม “มินาโตะ นายไม่รู้หรอกว่าถ้าขึ้นไปขับแล้วจะเจออะไรบ้าง ส่วนหัวหน้ายังมีหน้าที่พาพวกเราให้อยู่รอดต่อไป” “ถ้าจะต้อง….มีใครสักคนขึ้นไปขับอิโอน่าอีกล่ะก็….ผมจะทำให้อีกครั้ง” เขายืนกรานทั้งที่ร่างกายยังไม่หายดี ไฮเซียมองสภาพของอินาโฮแล้ว เธอคิดว่าคราวนี้อินาโฮต้องตายจริงๆ แน่ หากยังฝืนตัวเองขึ้นไปขับกันดั้มอีก แต่อโปฟิสกลับพูดขึ้นว่า “ดี….หากเจ้าเลือกบัญชากันดั้มอีกครา ข้าก็ขอสนับสนุนเจ้าบนนั้นอีกคราเช่นกัน”
“ท่านพี่เอ่ยเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านย่อมรู้ดีว่า...” ไฮเซียยังไม่ทันพูดจบ อโปฟิสก็ขวางขึ้นว่า “ไว้ใจข้าเถิด” “สำหรับข้าแล้ว เจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ข้าจักทำทุกหนทางเพื่อปกป้องเจ้า มาเรีย….แม้นชีวิตข้าพึงขอพลี” “และข้าก็มิใช่ผู้ไม่ประมาณตน ข้าย่อมรู้ตัวดีว่าดำเนินสิ่งใดอยู่ ข้าเลือกทำสิ่งใดย่อมไตร่ตรองถ้วนถี่แล้ว” เพื่อพูดจบ อโปฟิสก็เข้าประคองแขนอินาโฮที่แค่เดินยังลำบาก เพื่อให้ขึ้นไปในห้องนักบินของอิโอน่า
ยามาโตะเห็นเช่นนั้นเขาจึงแจงแผนการคร่าวๆ “คราวนี้ ระยะห่างของศัตรูยังไม่ใกล้มากเหมือนคราวก่อน” “เป็นไปได้ว่าถ้าเรารีบหนีตอนนี้ และโชคเข้าข้าง เราอาจจะยังพอหนีพ้นระยะตรวจจับของมัน ทำให้มันหาไม่เจอ” “ครั้งนี้ตัวเลือกเราน้อยมาก เชื้อเพลิงไอพ่นก็ไม่เพียงพอที่จะหลบหนี ถ้าเราต้องเจอพวกมัน เราต้องสู้จนตัวตาย” “ดังนั้น คราวนี้จะให้คุณมาเรียขึ้นไปนั่งในเครื่องของร้อยตรีเท็นมะ ในกรณีฉุกเฉินให้เธอหนีเอาตัวรอดไปเลย” “อย่างน้อยมีคนรอดก็ยังดีกว่าตายหมด….และถ้าพา Emerian รอดไปได้ มนุษย์คงได้ข้อมูลดีๆ เพิ่มขึ้นมาก” “นี่เป็นคำสั่ง ชั้นของดการรับฟังความเห็นในทุกประเด็นสำหรับกรณีนี้ ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” ประโยคสุดท้ายทำเอามินาโตะและมาซามิถึงกับพูดอะไรไม่ออก ยามาโตะจึงสั่งปิดท้ายว่า “ไปกันได้แล้ว”
ไฮเซียได้แต่มองตามอโปฟิสไปด้วยความสงสัยว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงให้อินาโฮขับกันดั้มอีก จนมาซามิทักขึ้นว่า “คุณมาเรียเป็นห่วงพี่ชายกับอินาโฮหรอคะ” ไฮเซียหันมาพยักหน้าก่อนจะเดินตามมาซามิไปที่เครื่องของเธอ “ชั้นเองก็เป็นห่วงพวกเขาเหมือนกัน สภาพของอินาโฮย่ำแย่แบบนั้นจะขับกันดั้มได้อย่างที่พี่ชายคุณบอกแน่หรอ” ไฮเซียถอนหายใจขณะรอมาซามิพับเก้าอี้เสริมหลังเก้าอี้นักบินออกมาให้ “ดิฉัน ก็ไม่แน่ ใจ เหมือน กันค่ะ...” มาซามินั่งลงที่เก้าอี้นักบินแล้วหลับตาลงทำสมาธิ “เอาเถอะ ยังไงก็ช่าง ชั้นรับปากว่าคุณจะต้องปลอดภัย”
และในที่สุด F37 ทั้ง 3 เครื่องของหน่วยรบที่ 42 พร้อมกันดั้มอิโอน่าก็เริ่มออกเดินทางด้วยการเดินไปตามแนวป่า
……………………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 29, 2019 7:41:47 GMT
ฐาน ERF เก่า บริเวณอุทยานแห่งชาติฮาคุซัง
กลุ่ม ERF ที่นำโดยเอ็คโค่ มิราจได้มาถึงแล้ว เธอเลือกที่จะพากองกำลังโมบิลสูทมาด้วยจำนวนหนึ่ง และสั่งการให้โมบิลสูทรุ่น F33 ที่นำมาด้วยจำนวน 5 เครื่องเข้าประจำการตามจุดต่างๆ ที่เธอกำหนดไว้ สมาชิกของ ERF ที่ติดตามเอ็คโค่มานั้นต่างวุ่นวายเรื่องการเตรียมแผนรับมือเหตุฉุกเฉินกันอลหม่าน
โดยเครื่อง F33 นั้น เดิมทีเป็นโมบิลสูทประจำการกองทัพของสหประชาชาติ แต่ได้ปลดประจำการไปแล้ว ERF จึงได้ซื้อมาในราคาถูกจากตลาดใต้ดินและนำมันมาปรับปรุงใหม่ด้วยเทคโนโลยีของตนเอง ถึงประสิทธิภาพมันจะไม่ได้ดีเท่ากับเครื่อง F37 แต่เรื่องของอาวุธนั้นถือว่าดีกว่าเครื่อง F37 มาก เพราะ ERF ได้ทำการศึกษาวิทยาการของ Emerian มาโดยตลอดโดยเฉพาะโมบิลสูทรุ่น Goliath ต่างจากสหประชาชาติที่เป็นฝ่ายตายใจ ไม่ได้ศึกษาและพัฒนาอาวุธเพื่อชิงความได้เปรียบเอาไว้เลย
ระหว่างที่เอ็คโค่ยืนอยู่กลางสนามท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องจนเธอต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับวิสัยทัศน์ แฟ๊งซ์ได้วิ่งปรี่เข้ามาหา “หน่วยโมบิลสูทประจำที่เรียบร้อยแล้วครับหัวหน้าคนสวย ทีนี้เอาไงต่อดีครับ” เอ็คโค่มองข้ามรั้วของฐานออกไปในป่าตามมุมต่างๆ และหันมาตอบว่า “บอกพวกเขาให้รอเงียบๆ” แฟ๊งซ์จึงหยิบวิทยุสื่อสารรุ่นโบราณขึ้นมากดปุ่มพูดไปว่า “หัวหน้าสั่งให้รอเงียบๆ ใครแอบตดเจอดีแน่”
เอ็คโค่ทำหน้าหน่ายๆ “ทำเป็นเล่นทุกทีเลยนะ ถ้าเจ้าพวกนั้นคิดว่าชั้นสั่งแบบนั้นจริงๆ มีหวังพังกันพอดี” แฟ๊งซ์ยิ้มแห้งๆ พลางเกาหัวเบาๆ “แหะ แหะ เจ้าพวกนั้นอยู่กับเรามาตั้งนาน ไม่มีทางคิดว่าหัวหน้าสั่งงั้นหร๊อก” “เอ...แต่จะว่าไป ผมแอบสงสัยขึ้นมานิดๆ ว่าทำไมหัวหน้าถึงเอาโมบิลสูทมาด้วย แต่ดันเอามาแค่ 5 เครื่อง” “แถมยังคัดเอาพวก Ace หัวกะทิมาทั้งนั้นเลยล่ะครับ ถ้าคิดว่าต้องบวก ไม่ยกมาทั้งเรือไปเลยจะได้จบๆ” “หรือถ้าไม่คิดว่าจะเข้าปะทะ จะเอามาด้วยทำไมกันครับ แค่ 5 เครื่อง เจอ Goliath แค่ 10 เครื่องก็จอดแล้ว”
เอ็คโค่ยิ้มมุมปาก “หัดมีสมองใช้หัวคิดขึ้นมาแล้วรึยังไง หรือว่านายใช้กล้ามแทนสมองได้...ถือว่าถามได้ดี” “ที่ชั้นตัดสินในเอาโมบิลสูทมาด้วยเพราะยังไม่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุปะทะกันหรือไม่ ติดมาด้วยอุ่นใจกว่า” “จากที่ร้อยตรีเท็นมะแจ้งมา พวกเขาอยู่กับชาว Emeria สองคน และหนึ่งในนั้นชื่ออโปฟิส...” “ตามข้อมูลของ Emeria ที่เรามี อโปฟิส นูเฮม อคาเซอร์ เป็นองครักษ์ขององค์หญิงซาฮาร่า ไฮเซีย” “โอกาสแทบจะ 100% ที่ Emerian อีกคนคือองค์หญิงที่เราตามหาอยู่ นั่นก็แปลว่าพวกเขามีกันดั้มอยู่ด้วย”
“ปฏิบัติการของเราเป็นความลับสุดยอด มีเพียงผู้ร่วมอุดมการณ์ระดับสูงเท่านั้นที่จะรู้ว่าเรามารับกันดั้มไป” “แน่นอนว่าหน่วยรบที่ 42 แห่งสหประชาชาติก็ไม่รู้เช่นกัน พวกเขาคิดว่าเราแค่มาช่วยเหลือตามคำขอเท่านั้น” “ชั้นคิดว่าพวกเขาไม่กล้าบอกว่าพวกเขามีกันดั้มอยู่ในมือ เพราะอาจทำให้ทางเราปฏิเสธการช่วยเหลือ” “เวลาก็มีไม่มาก ถ้าติดต่อกันนานเกินกว่านั้นเราอาจถูกดักฟังโดยพวก Emeria ก็เลยยังไม่มีโอกาสอธิบาย” “อีกอย่าง….เราก็ยังไม่รู้ว่าองค์หญิงไฮเซียและกันดั้มจะให้ความร่วมมือกับเรามากน้อยแค่ไหน” “แถมทางนั้นก็ถูกกองทัพ Emerian ไล่ล่าอยู่ด้วย ดังนั้น F33 ทั้ง 5 เครื่องคงได้ใช้งานไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง”
“ส่วนประเด็นที่นายถามว่าทำไมถึงเอามาแค่ 5 เครื่องพร้อมหัวกระทิ 5 คนนั้น คำตอบง่ายนิดเดียว” “คนน่ะ ฝึกให้เก่งได้ แต่ตอนนี้ทรัพยากรโมบิลสูทเรามีจำกัด เอาพวกไก่อ่อนมาตาย 20 คนงั้นหรอ” “ชั้นขอแลกกับหัวกะทิ 5 คนจะดีกว่า ถ้าเสีย 5 คนนี้ไป เรายังเหลือโมบิลสูทอีก 20 เครื่องในมือ” “สักวันพวกไก่อ่อนทั้ง 20 คน ถ้าได้รับการฝึกฝนตามหลักสูตรที่เราวิจัยมา ก็จะเป็นหัวกะทิได้เหมือนกัน” “ทีนี้คงเข้าใจแล้วนะว่าทำไมถึงพวกนั้นมา และเอามาแค่นั้น...มีคำถามอะไรคาใจอยู่อีกรึเปล่าล่ะ”
แฟ๊งซ์ฟังไปคิดไป ถึงเขาจะไม่เข้าใจได้ทั้งหมด แต่ก็คลายความคาใจลงไปได้มาก “แล้ว...ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินล่ะครับ หัวหน้ามีแผนจะรับมือยังไง” คำถามของแฟ๊งซ์ก็ได้รับคำตอบอีกครั้ง “ขึ้นอยู่กับว่าเหตุนั้นเป็นลักษณะไหน...ถ้าต้องปะทะ Goliath ไม่เกิน 20 เครื่อง ยังไงซะ F33 เอาชนะได้ไม่ยาก” “อาวุธของเราถูกออกแบบให้มีระบบยิงเจาะเกราะและทำลายเครื่องของพวกมันได้ในการยิงเพียงครั้งเดียว”
“แต่ถ้าเจอ Goliath มากจนยิงทำลายไม่ไหว หรือต้องปะทะกับกันดั้มขึ้นมาจริงๆ และรับมือกันดั้มไม่ได้” “อย่างน้อย F33 ทั้ง 5 เครื่องนั้นก็พอจะถ่วงเวลาให้เราได้หนีกลับไปที่เรือและไปจากประเทศญี่ปุ่นได้” แฟ๊งซ์อึ้งนิดๆ “ถ่วงเวลาให้พวกเราอย่างนั้นหรอครับ!! หมายความว่าจะให้พวกนั้นตายแทนงั้นหรอครับ”
เอ็คโค่ตอบด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “ใช่ ถ้าพวกเขาต้องตาย มันก็จะเป็นการตายเพื่อมนุษยชาติ...”
……………………………………………………….
บริเวณเทือกเขาแถบเกะโระ
ขณะนี้เข้าสู่ช่วงเย็น แสงอาทิตย์เริ่มลดน้อยลง หน่วยรบที่ 42 และอิโอน่าได้เดินทางเข้าใกล้จุดหมายเข้าไปเรื่อยๆ ภูมิประเทศแถบนี้เป็นป่าทึบบนที่ราบสูง มีเทือกเขารายล้อม เหมาะสำหรับการลักลอบเดินทางเป็นอย่างมาก ยามาโตะ มินาโตะ และมาซามิเริ่มมีท่าทีเหนื่อยล้าเพราะบังคับ F37 ด้วยวิธีการเดินเท้ามาหลายชั่วโมงติด ส่วนทางด้านอินาโฮ เขาดูมีเรี่ยวแรงมากขึ้นอย่างน่าประหลาด สีหน้าของเขาเริ่มกลับมาดูเป็นปกติมากขึ้น
ตัวของอินาโฮเองก็รับรู้ได้ว่าอาการเขาดีขึ้น เขามีแรงมากขึ้น สมองเริ่มปลอดโปร่งมากขึ้นทั้งที่ขับกันดั้มอยู่ “ดูเหมือนร่างกายผมจะฟื้นตัวแล้วนะครับลุง ตอนนี้เริ่มกลับมามีแรงแล้ว ถ้าต้องสู้อีกก็คงพอไหวแล้วล่ะครับ” อโปฟิสเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยเสียงเบาๆ “ข้าดี...ใจ….ที่...เป็น….เช่นนั้น….ดี….แล้ว….” อินาโฮได้ยินเท่านั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติ เขาจึงรีบหันกลับไปดูอโปฟิสทันที “อะไรกัน!!..เกิดอะไรขึ้น!!” สิ่งที่อินาโฮเห็นคือ อโปฟิสนั่งหลังพิงเบาะคอพับ ที่ไหล่ของเขาก็มีแทนเหล็กเสียบอยู่เหมือนกันอินาโฮ
อินาโฮเห็นอโปฟิสที่อาการดูไม่ดี สีหน้าสีเผือก เขาก็หันไปเพื่อจะบอกไฮเซียเรื่องอโปฟิส “ช้า...ก่อน….เจ้าจงอย่า...ทำ...เช่นนั้น….อย่าให้...มาเรีย...รู้เหตุ...แห่งข้า….” อโปฟิสพูดขัดขึ้น อินาโฮจึงยั้งมือเอาไว้เพื่อรอคำอธิบายเหตุผลของอโปฟิส และเขาก็ได้คำตอบที่กระจ่างชัดว่า “ร่างกาย...ของเจ้า...ไม่คู่ควร...ต่อการบัญชา...อิโอน่า...แต่สถานะ...แห่งข้า...ก็มิคู่ควร...เช่นกัน” “บัดนี้….ข้าได้ส่ง...มอบสถานะ...ทางกายภาพ...แห่งข้า...ให้แก่เจ้า...ช่วย...มาเรีย...รับปาก...ข้า...”
แต่ก่อนที่อินาโฮจะได้ตอบอะไรก็เกิดระบิดขึ้นดักทางเดินของหน่วยรบที่ 42 ขึ้นพอดี “พวกมันมากันแล้ว….” มินาโตะพูดขึ้น ในขณะที่่มาซามิเริ่มมองหามุมเพื่อหลบซ่อนตัวตามแผน “ระวังด้วยนะร้อยตรีโทยะ แล้วกันดั้มล่ะ พร้อมต่อสู้รึยัง ร้อยตรีฮารูโตะ” ยามาโตะสั่งรายงานสถานะทันที อินาโฮจำใจต้องละความสนใจจากอโปฟิสเพื่อสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าก่อน “กันดั้มพร้อมครับ” จากนั้น F37 ทั้งสองเครื่อง และกันดั้ม อิโอน่า ก็หาตำแหน่งเพื่อรอให้ศัตรูเปิดเผยตำแหน่ง
และสิ่งที่พวกเขากำลังรอก็ปรากฎขึ้น มันเป็นเครื่อง Goliath 20 เครื่องที่บินลงมาจอดตรงหน้า จากนั้นก็มีโมบิลสูทเครื่องหนึ่งบินตามมาและลงจอดด้านหน้าสุด มันประจันหน้ากับหน่วยรบที่ 42 พอดี มันเป็นโมบิลสูทรูปร่างปราดเปรียว สีขาว แซมแดง มีเขาสองแฉกสีแดง ตาสีเขียว 2 ข้าง ใบหน้าดุดัน เหน็บอาวุธที่มีลักษณะเป็นดาบคาตานะเล่มยักษ์อยู่ที่แนว รหัสบนหน้าจอคือ EGS-009M
ไฮเซียอยู่กับมาซามิ ทั้งสองหลบซ่อนและดับเครื่องยนต์ของ F37 เพื่อดูสถานการณ์ ไฮเซียพูดขึ้นเบาๆ ว่า “กันดั้มซาวิทาร์ มุรามาสะ….รัชทายาทลำดับรอง เฮลิออส ลา นูอาร์...” มาซามิดูจะไม่ค่อยตกใจนัก เพราะเธอรู้จากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นแล้วว่ามีกันดั้มตามพวกเธอมา “กันดั้มอย่างนั้นสินะ เจ้านี่คงแข็งแกร่งมาก….อินาโฮจะสู้ไหวรึเปล่านะ อาการก็ยังไม่หายดีด้วย” ไฮเซียรู้อยู่เต็มอกว่าสภาพตอนนี้อินาโฮไม่มีทางสู้เฮลิออสได้แน่ แต่เธอก็ยังอยากเชื่อในตัวเขาดูอีกครั้ง
“ข้า….รัชทายาทลำดับรองแห่ง Emeria นามเฮลิออส ลา นูอาร์ จงเอ่ยนามของเจ้าเสีย...ผู้บัญชากันดั้ม!!” เฮลิออสกล่าวทักทายแบบไม่เป็นมิตรขึ้น อินาโฮเห็นว่ากันดั้มเครื่องนี้ตั้งเป้ามาที่เขา เขาจึงเดินออกไปประจันหน้า “ร้อยตรีอินาโฮ โฮรูโตะ หน่วยรบที่ 42 กองกำลังสหประชาชาติ คุณต้องการอะไร” อินาโฮถามขึ้น เฮลิออสได้ยินเช่นนั้น เขาก็คิดขึ้นในใจว่า “เสด็จพี่เอ่ยไว้แม่นยำ ผู้บัญชาอิโอน่ามิใช่ไฮเซีย...และก็มิใช่อโปฟิส”” “หากแต่เป็นเจ้ามนุษย์โอหังโสโครกต้อยต่ำน่ารังเกียจตนนี้….วันนี้ข้าจักปลิดชีพมันเสีย….แต่ก่อนอื่น….”
เฮลิออสเปิดเครื่องสื่อสารแบบวิดีโอคอลไปยังอินาโฮ “ข้าต้องการสิ่งใดเช่นนั้นหรือ ข้าต้องการชีวิตเจ้า!!” “เว้นเสียแต่เจ้าจักส่งมอบอิโอน่าแด่ข้าพร้อมบุคคลแห่ง Emeria ข้าจักพิจารณาละเว้นชีวิตพวกเจ้าไปอีกวัน” อินาโฮเปลี่ยนสีหน้าจากดูนิ่งเฉยกลายเป็นสีหน้าที่ดูจริงจัง “ผมทำไม่ได้ ผมจะไม่ส่งทั้งกันดั้มทั้งคุณมาเรียให้แน่” เหตุที่เฮลิออสเปิดการสื่อสารแบบวิดีโอคอลเพื่อให้แน่ใจว่าไฮเซียไม่ได้อยู่ในอิโอน่า และต้องการพิสูจน์ว่า พวกของอินาโฮรู้สถานะของไฮเซียหรือไม่ เพราะถ้าพวกเขารู้ พวกเขาอาจใช้ไฮเซียเป็นเครื่องต่อรอง
แต่ตอนนี้เฮลิออสได้รู้แล้วว่าหน่วยรบที่ 42 ไม่มีใครล่วงรู้สถานะที่แท้จริงของไฮเซียจากปากของอินาโฮ “ถ้าเช่นนั้นก็มิอาจเลี่ยง ข้าจักสังหารเจ้า” เฮลิออสพูดจบก็ชักดาบคาตานะของกันดั้มออกมาตั้งท่าสู้ เขาหันกลับหลังไปยังบริวารเครื่อง Goliath ทั้ง 20 เครื่องของเขา และพูดกับบริวารของเขาไปว่า “มันผู้ใดบังอาจเข้ามาแทรกขัดการศึกแห่งข้า มันผู้นั้นจะเป็นตนแรกที่ดับสูญ...จงสังวรณ์และนิ่งเฉยไว้ซะ!!”
“เฮลิออส ลา นูอาร์….กันดั้มซาวิทาร์ มุรามาสะ….จักดื่มกินดวงวิญญาณแห่งเจ้า...มนุษย์โสโครก!!”
……………………………………………………….
หมู่บ้านชนบท
ออเฟียส องค์ชายรัชทายาทลำดับที่สี่สะพายกระเป๋าเป้พร้อมลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปตามถนน เขาแต่งตัวสบายๆ สวมแว่นกันแดด เขาทักทายเด็กๆ และสาวๆ ในหมู่บ้านที่คุ้นเคยตามทาง วันนี้ทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเขากำลังจะออกเดินทางออกจากหมู่บ้าน บางคนจึงนำของที่ระลึกมาฝาก ระหว่างที่เขาเดินออกจากหมู่บ้าน โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าจากอัลม่า
“การณ์เป็นเช่นไรบ้างเสด็จพี่” นี่เป็นประโยคแรกที่ออเฟียสถามขึ้นเมื่อเขารับสายของอัลม่า “เป็นไปตามหมาย องค์ใหญ่ประสงค์อำนาจแห่งจักรพรรดิหมายพิชิตโลก ข้าจำต้องยกตนขึ้นขัด” “บัดนี้เสียงส่งเสริมองค์ใหญ่เหนือกว่าข้าอยู่ขั้นหนึ่ง ไร้ซึ่งขนิษฐาและเสียงแห่งเจ้าลงมติ” “สภาสูงจึงมิอาจประกาศผล การณ์จึงยังมิย่ำแย่ แต่องค์ใหญ่ได้เริ่มลงมือแล้ว ข้าถูกลอบสังหาร” “แต่มิถึงฆาต...ดีที่ข้านำพาบรินฮิลด์เคียงข้าง มิเช่นนั้นอาจดับสูญ...จึงหมายเตือนเจ้าพึงระวัง”
ระหว่างพูดคุยกันนั้น ออเฟียสก็เดินพ้นหมู่บ้านออกมาหยุดนั่งที่ป้ายรถประจำทางข้างถนนเส้นหลัก “ลอบสังหารเลยหรือ...ช่างอำมหิตยิ่งนัก...เป็นพระคุณยิ่งที่เสด็จพี่หมายเตือนข้า ข้าจักพึงระวังตน” “หากแต่ขนิษฐาซาฮาร่าเป็นเช่นไร เสด็จพี่หยั่งถึงนางหรือไม่ ข้าเป็นห่วงนางยิ่ง” ออเฟียสถามขึ้น อัลม่าตอบกลับว่า “บัดนี้ข้าหยั่งถึงนางแล้ว องค์ใหญ่หมายกุมกายนาง จึงบัญชาองค์รองออกล่า” “ข้ามิรอช้ากำลังรุดหน้าเพื่อป้องปัดภัย...จงอย่าได้กังวล ข้าให้สัตย์ด้วยชีวินว่าขนิษฐาจะแคล้วคลาด”
ออเฟียสได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าโล่งใจขึ้น “ต้องพึ่งเสด็จพี่แล้ว….ข้าจักหวนไปรวมพลตามสนับสนุน” “โปรดระวังตนเช่นกัน อนาคตแห่งดาวดวงนี้ ทั้งเหล่ามนุษย์และเหล่าเราคงจักต้องพึ่งพระองค์แล้ว” เมื่อพูดจบออเฟียสก็วางสายลง “องค์รองเช่นนั้นหรือ…. หากเป็นองค์เชษฐภคินีคงรับมือมิยากเข็ญ” “การศึกกำลังปะทุ กาลสำราญแห่งข้าคงสิ้นลงเพียงเท่านี้….” เขามองกลับไปทางหมู่บ้านที่เขาจากมา
เมื่อรถประจำทางคันแรกมาจอด ออเฟียสก็เดินขึ้นไปโดยไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าปลายสายมุ่งหน้าไปทางไหน
……………………………………………………….
ฐาน Emeria กลางมหาสมุทรอินเดีย
ฐานแห่งนี้เป็นฐานขององค์ชายรัชทายาทลำดับที่ 5 ที่ขอแยกตัวมาอยู่อย่างสันโดษกับไพร่พลส่วนหนึ่ง มันเป็นฐานที่มีขนาดเล็กที่สุด มันมีขนาดเพียง 25 ตารางกิโลเมตร ไม่เหมือนกับฐานอื่นๆ ของ Emeria ฐานจักรพรรดิที่ตั้งใกล้ประเทศญี่ปุ่นจะมีขนาดใหญ่ที่สุด และฐานอื่นจะมีขนาดเท่าๆ กัน ได้แก่ ฐานอาคเชงตั้งอยู่ใกล้นิวซีแลนด์ ฐานเฮลิออสตั้งอยู่ทางซ้ายของออสเตรเลีย ทั้งสองเป็นฐานที่เน้นกำลังพล ฐานอัลม่าตั้งอยู่ตอนบนของสแกนดิเนเวียร์ ส่วนออเฟียสถูกยึดฐานส่วนตัวไปผนวกเข้ากับฐานจักรพรรดิ ในขณะที่ไฮเซียยังเด็กเกินกว่าจะควบคุมฐานและปกครองไพร่พลเป็นของตนเอง ส่วนมากจะอยู่ที่ฐานอัลม่า
วัลดัสได้เดินทางกลับมาถึงฐานของตนเองได้พักหนึ่งแล้ว เขาเองก็รู้ว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้น และสงครามครั้งนี้จะเป็นสงครามระหว่างพี่น้องของเขาด้วย เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจและวิตกมากยิ่งขึ้น จากที่เคยใช้เวลาว่างในการเขียนงานประพันธ์ ตอนนี้เขาใช้เวลาไปกับการติดตามข่าวสาร เขาสั่งให้บริวารของเขาเดินทางไปแฝงตัวตามที่ต่างๆ เพื่อส่งข่าวความคืบหน้ามาให้เป็นระยะ เพราะวัลดัสคิดว่า การรู้เหตุการณ์ทุกอย่างทุกตอนแล้วไม่สบายใจ ดีกว่าไม่สบายใจแบบไม่รู้อะไรเลย
“เสด็จพี่อาคเชงบัญชาให้ปลิดชีพเสด็จพี่อัลม่า...และบัญชาให้เสด็จพี่เฮลิออสจับกุมขนิษฐาซาฮาร่า...” “ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก การณ์เหล่านี้เป็นผลจากการศึกเพื่อทรงอำนาจ….ข้าควรทำเช่นไรต่อไป….” วัลดัสอ่านรายงานที่บริวารส่งให้ผ่านอุปกรณ์คล้าย ipad ทำให้เกิดภาวะวิตกกังวลเกิดขึ้นชัดเจน เขาวางบุหรี่ในมือลงบนถาดพักบุหรี่แล้วพ่นควันพลางคว้าเอาแก้วที่เต็มไปด้วยวิสกี้ขึ้นมาดื่ม บนโต๊ะที่เหมือนโต๊ะรับแขกหน้าโซฟาที่เขานั่งอยู่นั้น มีขวดวิสกี้ที่หมดแล้วมากกว่า 7 ขวด นั่นก็เพราะร่างกายของ Emerian ทนทานกว่ามนุษย์ทั่วไป มันทำให้พวกเขาเมายากกว่ามนุษย์ ระหว่างที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์กำลังได้ที่ หางตาของวัลดัสก็เหลือบไปเห็นเหรียญกล้าหาญในตู้กระจก
ในตัวเมืองแห่งหนึ่ง เมื่อ 100 ปีที่แล้ว สมัยที่สงครามยังไม่ยุติ
หน่วยรบ Emerian หน่วยหนึ่งถูกปิดล้อมด้วยกองกำลังสหประชาชาติ ทั้งรถถัง และเครื่องบินรบ วัลดัสเองเป็นรองหัวหน้าของหน่วยนั้น โชคร้ายที่วันนั้นเขาไม่สามารถนำกันดั้มของเขาออกไปสู้รบได้ และมีคำแนะนำให้ยกเลิกภารกิจนั้นไปก่อน แต่วัลดัสเองยืนกรานที่จะออกรบ เพราะเมืองนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ ทำให้เขาต้องใช้เครื่อง Goliath ประกอบกับการวิเคราะห์เบื้องต้นที่ผิดพลาด ทำให้หน่วยของเขาติดกับ เครื่อง Goliath จำนวน 13 เครื่องถูกล้อมและรุมยิงด้วยปืนใหญ่และอาวุธ Missile จากเครื่อง F22 ตามด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่อง B-2 สภาพแต่ละเครื่องเสียหายยับเยิน โดย UN ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ พวกเขาใช้เสาส่งสัญญาณรบกวนติดตั้งล้อมบริเวณตัวเมืองเอาไว้ ทำให้หน่วยของวัลดัสไม่สามารถติดต่อใครได้
สมาชิกในหน่วยเสียขวัญเป็นอย่างมาก พวกเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเสียทีให้กองทัพของมนุษย์เช่นนี้ วัลดัสที่ขณะนั้นเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในฝีมือ กลับต้องมาเจอโจทย์ที่ยากเกินกว่าที่เขาจะรับมือ เพียงแค่โผล่ออกไป Aim-9 Sidewinder จำนวนมากก็พร้อมจะพุ่งเข้าใส่พวกเขาได้ในทันที แม้อานุภาพของมันไม่แรงพอจะล้ม Goliath ได้ แต่แรงกระแทกที่ซ้ำๆ และต่อเนื่องนั้นฆ่านักบินได้ง่ายๆ
วัลดัสตกอยู่ในภวังค์ เขาพูดอะไรไม่ออก คิดอะไรก็ไม่ตก เขาได้แต่ดูบริวารในหน่วยพยายามต่อสู้ เพื่อนๆ แต่ละคนสื่อสารและพูดคุยกันเสียงโหวกเหวกผ่านเครื่องสื่อสาร แต่ไม่มีอะไรเข้าหูของเขาเลย จนกระทั่ง Goliath สีม่วงเครื่องหนึ่งมาอยู่ต่อหน้าเขา “องค์ชาย เหล่าเราจักต้องหลีกให้พ้นภัยแล้ว” “ข้าพระองค์จักเปิดทางให้...พระองค์จงนำพาบริวารแห่งท่านหลีกหนีไปมิต้องใยดีข้า และจงอย่าเหลียวกลับ!!” เมื่อพูดจบ เครื่อง Goliath สีม่วงเครื่องนั้นก็เร่งท่อขับดันพุ่งออกไปทำการยิงต่อสู้กลางอากาศกับฝูงบิน UN
แม้ว่าเขาจะยิง F22 ตกไปหลายลำ แต่จรวดนำวิถี Sidewinder ก็พรั่งพรูเข้าปะทะจำนวนกลายสิบลูก ท้ายที่สุดเกราะป้องกันของ Goliath ก็ไม่สามารถต้านทานได้ Goliath สีม่วงเครื่องนั้นระเบิดเสียงสนั่นหวั่นไหว นัยน์ตาของวัลดัสหดเล็กลง “พระครู!!!” เขาตะโกนขึ้นดังลั่นพร้อมกำคันบังคบของเขาเอาไว้จนเลือดไหลซิบ “ทั้ง...ทั้งหมดเหล่านี้...เป็นเพราะความจองหองของข้าเช่นนั้นหรือ….เหล่าเราต้องมาสิ้นเพราะข้าเช่นนั้นหรือ” จากนั้นวัลดัสก็ตัดสินใจโยนระเบิดม่านควันออกไปตามทางต่างๆ ทั่วตัวเมืองเพื่อพรางตาและสร้างทางหลบหนี
“พวกเจ้าจงฟัง!!” วัลดัสสั่งบริวารหน่วยของเขาเสียงแข็งด้วยสีหน้าแววตาที่แน่วแน่และมั่นคง “วันนี้เป็นเพราะข้า พวกเจ้าจึงต้องอดสู วันนี้เป็นเพราะข้าพระครูจึงสิ้น….ข้าเป็นคนก่อ ข้าเป็นคนสาง” “นี่เป็นบัญชาแห่งข้า ขอให้พวกเจ้าหลีกหนีไป จงนำเพลิงแค้นในวันนี้เป็นเชื้อเพลิงขับดันสู่ชัยชนะ” “ผู้ใดขัดข้อง หรือขัดขวาง ต่อต้าน มิคล้อยตาม ข้าจักสังหารสิ้น….จงไปได้แล้ว บริวารแห่งข้า!!” ในเมื่อวัลดัสสั่งเสียงแข็งและเด็ดขาด บริวารของเขาไม่มีทางเลือกจึงเริ่มถอนตัวออกจากแนวรบ
ในขณะที่ฝูงบินของ UN เริ่มสังเกตเห็นการหลบหนี พวกเขาก็จะตามไปปิดบัญชี แต่แล้วพวกเขาก็ต้องหยุด เมื่อ Goliath ของวัลดัสทะยานขึ้นเหนือกลุุ่มควันในตัวเมือง พร้อมกับใช้ปืนกลกราดยิงใส่ฝูงบินของ UN ด้วยความแม่นยำเหลือเชื่อ วัลดัสทำลายเครื่องบินรบของ UN ไปเป็นจำนวนมาก แถมยังยิงทำลายรถถังจนหมด เขาเพียงคนเดียว กับเครื่อง Goliath ธรรมดาๆ สามารถยิงทำลายแนวรบของ UN ทั้งหมดจนราบคาบ แม้จะถูกโจมตีสวนกลับมาบ้าง แต่มันก็ไม่เพียงพอจะทำให้ Goliath ของวัลดัสนั้นหยุดการทำงานลงได้
แต่แล้วที่เขาทำนั้นมันก็ไม่เพียงพอเมื่อฝูง F22 ระรอกสนับสนุนได้บินเข้าสู่แนวรบ และกระสุนของวัลดัสก็หมดลง Aim-9 Sidewinder จำนวนมากก็ถูกยิงเข้ามาหาเขา วัลดัสรู้ชะตากรรมของตัวเองดี เขาหลับตาลงช้าๆ “อภัยให้ข้าเถิดเสด็จพ่อ….ข้ามิอาจนำชัยเพื่อความเป็นต่อให้แด่พระองค์ได้.....ชีวีข้าคงมาได้แต่เพียงนี้….”
และเสียงระเบิดก็ดังสนั่นกึกก้องเป็นเวลานานก่อนจะเงียบลง
วัลดัสยังคงรู้สึกตัวอยู่ ก่อนจะรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้ถูกยิงเลยสักนัด และต่อหน้าของเขานั้นก็คือ กันดั้มสีดำขลิบเหลืองถืออาวุธดาบโลหะขนาดใหญ่และยาวเอาไว้สำหรับจับสองมือลอยอยู่ต่อหน้าเขา
“อะ….อเล็กซานเดอร์……. กันดั้ม อเล็กซานเดอร์….เสด็จพี่ออเฟียส…...งั้นหรือ…?”
“หึ...ปราณเจ้ายังมิดับสูญสินะ มันจบแล้ววัลดัส เจ้ากล้าหาญยิ่ง เมืองนี้เป็นของเจ้าแล้ว จงมอบมันแด่เสด็จพ่อเถิด”
“ข้าน่ะ...ควรดับสูญไปแล้ว…” วัลดัสกระแทกแก้ววิสกี้ลงกับโต๊ะอย่างแรง
……………………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 29, 2019 7:41:51 GMT
บริเวณเทือกเขาแถบเกะโระ
เสียงการปะทะกันระหว่างโมบิลสูทดังสนั่นไปทั่วแนวเขา เสียงการปะทะกันสะท้อนไปมาจนน่าเวียนหัว มันเป็นการต่อสู้ระหว่าง F37 จำนวน 2 เครื่องที่ขับโดยยามาโตะ มินาโตะ และกันดั้มอิโนอ่าที่ขับโดยอินาโฮ คู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งสามคนมีเพียงกันดั้มเพียงเครื่องเดียว นั่นคือ กันดั้ม ซาวิทาร์ มุรามาสะ ของเฮลิออส แม้จะใช้จำนวนกำลังที่มากกว่า แต่พวกเขากลับต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด แถมมี Goliath ล้อมไว้อีก เครื่อง F37 ทั้งสองถูกซัดกระเด็นกระดอน ถูกถีบจนไถลไปกับพื้นหลายต่อหลายครั้งขณะจะเข้าไปช่วยอินาโฮ แต่พวกเขาทั้งสองก็ไม่ลดละความพยายาม เพราะอินาโฮในตอนนี้ยังไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมต่อสู้เท่าที่ควร
ไฮเซียและมาซามิที่ซุ่มแอบมองอยู่ พวกเธอทั้งสองต่างก็วิตกเป็นอย่างมาก เพราะสถานการณ์ที่เสียเปรียบ “ดูท่าไม่ดีเลยนะเนี่ย ถ้าอินาโฮร่างกายพร้อมกว่านี้อาจจะสู้ได้สูสีกับกันดั้มเครื่องนั้นก็ได้” มาซามิบ่นขึ้น แต่ไฮเซียที่รู้ความจริงก็พูดขึ้นว่า “ไม่น่า จะเป็น อย่างนั้น นะคะ เท่าที่ ดู กันดั้ม เครื่องนั้น เหมือนกำลังเล่นอยู่” “เขา มีโอกาส ในการสังหาร หลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่ลงมือ ราวกับ กำลังสนุก กับการ ต่อสู้ที่ เกิดขึ้น” คำพูดของไฮเซียทำให้มาซามินึกถึงหลายจังหวะที่เฮลิออสใช้อาวุธดาบฟันเข้ากลางห้องนักบินของ F37 ได้ แต่เขาเลือกที่จะใช้สันดาบกระแทก หรือบางครั้งเขายกขาของซาวิทาร์ขึ้นมาถีบเป้าหมายให้กระเด็นออกไปแทน
เครื่อง F37 นั้นอยู่ในเงื่อนไขที่เสียเปรียบ เนื่องจากก่อนเริ่มการต่อสู้พวกเขาเหลือเชื้อเพลิง Thruster น้อยมาก และระหว่างการต่อสู้ ทั้งมินาโตะ และยามาโตะ ก็ใช้เชื้อเพลิงเหล่านั้นที่เหลืออยู่ไปกับการเข้าโจมตีและฉากถอย จนกระทั่งมันหมดลง และเหลือเพียงระบบไฟฟ้าที่ไว้ใช้ขยับส่วนต่างๆ ของหุ่นเท่านั้น การเคลื่อนไหวจึงถูกจำกัด ต่างจากอิโอน่า และซาวิทาร์ เพราะกันดั้มทั้งสองรุ่นใช้ระบบเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชั่น ซึ่งล้ำสมัยกว่ามาก มันมีพลังงานแทบจะเป็นนิรันดร์ ทำให้ F37 ของยามาโตะและมินาโตะตกเป็นเป้านิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
และในที่สุดเครื่อง F37 ของยามาโตะและมินาโตะก็ล้มลง มีควันดำโพ่ยพุ่งขึ้นจากการล้มเหลวของระบบเครื่อง มินาโตะทุบไปที่แผงควบคุมด้วยความคับแค้นใจ “บ้าจริง มาได้แค่นี้แล้วหรือยังไง แกต้องสู้ได้ต่อสิ F37” กลับกันกับยามาโตะที่เขารู้ความจริงมาสักพักแล้ว แต่เขาเลือกที่จะถ่วงเวลาเผื่ออินาโฮจะเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น แต่มันก็ไร้ผล เมื่อซาวิทาร์พุ่งเข้าประชิดตัวอิโอน่าอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะวัดดาบคาตานะเข้าใส่เต็มแรง แม้อินาโฮจะยกโล่ที่แขนซ้ายขึ้นมากัน แต่แรงปะทะนั้นสูงมากจนโล่ของอิโอน่าเกิดรอยฉีกขาดและหลุดลอยไป
ซาวิทาร์ใช้จังหวะนั้นยกขาขึ้นถีบใส่หน้าอกของอิโอน่าจนล้มลงและใช้น้ำหนักเหยียบลงไม่ให้อินาโนลุกขึ้นได้ “เจ้ามาได้เพียงเท่านี้ มนุษย์โสโครก แต่ข้าก็ต้องขอบใจพวกเจ้าทั้งสามที่ทำให้ข้าได้เพลิดเพลินเป็นอย่างมาก” “ข้ามิได้เข้าศึกปะทะฆ่าฟันมาแสนนาน และข้าก็รอคอยกาลเช่นนี้มาโดยตลอด หลังจากดับปราณเจ้าแล้ว” “มิตรทั้งสองของเจ้าก็จักตายตกตามไปภายใต้คมมุรามาสะแห่งข้า มนุษย์เช่นเจ้ามิอาจเหนือ Emerian เช่นข้า”
เฮลิออสยกดาบด้วยการหันสันดับขึ้นเพื่อใช้ส่วนคมดาบแทงลง เขาเล็งไปที่ห้องนักบินของอิโอน่าที่อยู่แทบเท้า น้ำตาของมาซามิเล็ดออกมาจากหางตา เธอกำคันบังคับแน่นและตัดสินใจที่จะเริ่มหลบหนีตามคำสั่งของยามาโตะ แต่แล้วแววตาของไฮเซียกลับเป็นประกายอย่างมีความหวัง เมื่อเธอเห็นบางสิ่งที่เธอรู้ว่ามันคืออะไร “นั่นมัน….” ไฮเซียพูดขึ้นทำให้มาซามิหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อหลบหนีและหันกลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ประกายบางสิ่งสะท้อนแสงลงมาจากฟ้า ทำให้เฮลิออสหยุดดาบไว้ก่อนจะมองขึ้นไปเหนือศีรษะ เขาเห็นเศษกระจกจำนวนมากปลิวลอยไปทั่วบริเวณ “นี่มัน!!?...กันดั้ม บรินฮิลด์….อัลม่า!!.....” สิ้นประโยค สำแสงสีเหลืองก็ถูกยิงมาจากอีกด้าน มันเด้งชิ่งไปตามเศษกระจกที่ปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ลำแสงที่สะท้อนไปมา มันเด้งสะท้อนไปทั่วไปทิศทาง และพุ่งเข้าใส่ Goliath ที่ยืนตระหนกอยู่ทั้ง 20 เครื่อง พวกมันระเบิดหายไปภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว และมีลำแสงอีกส่วนพุ่งเข้าใส่ซาวิทาร์และอิโอน่า
ชั่ววินาทีที่ลำแสงนั้นกำลังเข้ากระทบ กันดั้ม ซาวิทาร์ ได้เรืองแสงสีขาวขึ้นทั้งร่างก่อนจะหายไปต่อหน้าต่อตา และชั่ววินาทีต่อมาที่ลำแสงผ่านภาพเงาที่ซาวิทาร์ทิ้งไว้และจะเข้าปะทะอิโอน่า ก็มีเศษกระจกชิ้นขึ้นเข้ามาดักหน้า มันสะท้อนลำแสงชิ่งไปทางด้านขวาของอิโอน่า และทางที่มันชิ่งไป ก็พบว่าซาวิทาร์ได้ปัดลำแสงนั้นไปด้วยดาบ เฮลิออสกัดฟันด้วยความคับแค้น เขารู้ตัวว่าแม้เขาจำช่ำชองการต่อสู้แบบดวลเดี่ยว แต่การโจมตีทั่วทิศทาง และเป็นการโจมตีในลักษณะควบคุมพื้นที่พร้อมจำกัดการเคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่ตัวเขานั้นรับมือยากที่สุด
“บังอาจยิ่งนัก อัลม่า!! พวกมนุษย์โสโครก….วันนี้ถือเป็นโชคแห่งเจ้า...ภาคหน้าข้าจักหวนปิดหนี้นี้” เฮลิออสพูด มีเลือดจำนวนหนึ่งไหลลงจากตาข้างขวา เส้นเลือดฝอยในตาขาวข้างขวาของเฮลิออสแตกจนดวงตาแดงก่ำ จากนั้นกันดั้ม ซาวิทาร์ มุรามาสะที่เรืองแสงอยู่ก็หายวับไป ทิ้งไว้เพียงร่างเงาอย่างเช่นที่ได้เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า เศษกระจกที่ล่องลอยอยู่นั้นก็ปลิวหายไปก่อนจะปรากฏร่างของกันดั้มสีขาวเทาแซมม่วง กันดั้ม บรินฮิลด์
อินาโฮมองขึ้นไปยังกันดั้มเครื่องนั้น “อะไรอีกล่ะคราวนี้...กันดั้มเครื่องนี้มาช่วยเราอย่างนั้นหรอ...แปลกจังแฮะ...”
…………………………………………………………...
หลังจากการปะทะสิ้นสุด
บริวารของอัลม่าได้ช่วยเหลือยามาโตะและมินาโตะออกมาจาก F37 ที่พังเสียหายมาปฐมพยาบาล ส่วนอินาโฮได้ออกมาจากห้องนักบินมาเพียงคนเดียว ร่างกายของเขาบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น อัลม่าเดินมายืนต่อหน้าอินาโฮ ยามาโตะ และมินาโตะ เธอยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่ดูจริงใจเอามากๆ ในขณะที่ทั้งสามคนยังคงแปลกใจและสงสัยว่าทำไมถึงมีกันดั้มอีกเครื่องเข้ามาช่วยพวกเขาไว้
“ข้า...องค์หญิงรัชทายาทลำดับตรีแห่ง Emeria ยินดียิ่งที่ได้หยิบยื่นการช่วยเหลืออย่างทันกาล” เธอมองไปที่อินาโฮด้วยความสงสัยเล็กน้อย เธอไม่เห็นรอยเลือด หรือเส้นเลือดฝอยแตกในตาแตกเลย หลังจากที่เธอใช้ความคิดเพียงชั่ววินาที ความสงสัยในใบหน้าของเธอก็คลายลงไป และเลิกสนใจเรื่องนั้นไป
“ที่แห่งนี้ข้าเข้าควบคุมโดยสงบแล้ว….จงออกมาเถิด ขนิษฐาแห่งข้า ข้ามาเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้าไร้หมายร้าย” คำว่า “ขนิษฐา” ของอัลม่าทำให้ยามาโตะและมินาโตะสงสัยเป็นอย่างมาก แต่อินาโฮไม่ได้แสดงอาการอะไร เพราะเขาเอะใจเรื่องสิทธิในการขึ้นขับกันดั้มที่อโปฟิสพูดอยู่แล้ว เพราะมันย้อนแย้งกับการให้ไฮเซียขึ้นขับมันได้ เนื่องจากสถานการณ์ที่ดูตึงๆ มินาโตะจึงทำได้แค่ซุบซิบกับยามาโตะเรื่องสถานะของไฮเซียเบาๆ เท่านั้น
ไม่นาน F37 ของมาซามิก็ค่อยๆ แหวกแนวต้นไม้ออกมานั่งชันเข่า เปิดฝาห้องนักบินและหย่อนสายโรยตัวลง มาซามิพาไฮเซียลงมาหาอัลม่า ไฮเซียมองอัลม่าด้วยสายตาไม่ไว้ใจนัก แต่เธอก็ยื่นแขนขวาออกตั้งฉากกับลำตัว อัลม่ายิ้มแล้วเดินเข้าหา ก่อนใช้ปลายนิ้วช้อนลงไปแตะที่ปลายนิ้วของไฮเซีย “ดวงตาเจ้าเปี่ยมหวาดระแวง...” อัลม่าพูดขึ้น และพูดต่อไปว่า “ข้าเข้าช่วยเหลือเหล่าเจ้าทั้งหลายตามคำขอแห่งเลโอ...ตนที่เจ้าจักได้พบต่อไป” “ข้าแลเห็นได้ชัดว่าเหล่าเจ้ามิได้ทราบถึงสถานะโดยแท้ของยุวสตรีตนนี้” เธอแตะลงที่บ่าของไฮเซีย “ยุวสตรีตนนี้คือ องค์หญิงรัชทายาทลำดับท้ายแห่ง Emeria... ซาฮาร่า ไฮเซีย คอร์เดเลีย และขนิษฐา แห่งข้า”
“นอกเหนือจากการช่วยปัดป้องภัย ข้าได้นำปัจจัยหลักมามอบแด่เหล่าเจ้า...ไม่ว่าเจ้าจักนำมันไปใช้เพื่อการใด” “มันอาจดูน้อยเหลือในฐานะภคนีอันจะมอบแด่ขนิษฐา…. แต่ขอให้เจ้ารับมันไว้คุ้มกายเจ้าเถิด.....” เมื่อพูดจบ เสียงคำรามของเครื่องไอพ่นขนาดใหญ่ก็ดังขึ้นพร้อมกระแสลมที่กรรโชกจนต้นไม้ใหญ่โยกไปมา
เหนือหัวของพวกเขา ปรากฏยานรบขนาดใหญ่ มันมีขนาดยาวร่วม 200 เมตรขึ้น มันเป็นสีขาวแซมแดง ถูกออกแบบมาเพื่อการรบ มีเกราะป้องกันอันแข็งแกร่ง พร้อมติดตั้งอาวุธหนักรอบตัวยานรบราวปราการเคลื่อนที่
………………………………..
ระหว่างที่หน่วยรบที่ 42 กำลังขนสัมภาระขึ้นไปยังยานรบที่ได้รับมา
อัลม่าได้เรียกไฮเซียเข้าพบที่มุมหนึ่งของป่าโดยไม่มีแม้แต่บริวารของอัลม่าเลย เพราะเธอต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อไฮเซียเดินเข้ามา อัลม่ายิ้มด้วยความเอ็นดู เธอเดินเข้าหาแล้วบรรจงใช้อ้อมแขนโอบไหล่ของน้องสาวไว้ “ข้าปรีดาที่เห็นเจ้าไร้ซึ่งบาดแผล...ช่างน่าสงสารยิ่งเมื่อก้าวแรกบนโลกของเจ้ากลับกลายเป็นฝันร้ายเช่นนี้” หลังจากนั้น เธอก็เล่าสถานการณ์ล่าสุดของทาง Emeria ให้ไฮเซียฟัง รวมไปถึงเรื่องแผนการของอาคเชง ทำให้ไฮเซียรู้ว่าตอนนี้อัลม่าและเธอตกที่นั่งลำบาก และตอนนี้ไฮเซียก็รู้แล้วว่าอัลม่านั้นเป็นคนที่เธอไว้ใจได้ กระทั่งไฮเซียนึกบางอย่างที่สำคัญต่อตัวเธอขึ้นมาได้ จึงถามอัลม่าว่า “แล้วเสด็จพี่ออเฟียสล่ะเพคะ”
อัลม่ายิ้มบางๆ พลางลูบหัวของไฮเซียเบาๆ ราวปลอบประโลม “ข้ารู้ว่าเจ้าชิดเชื้อกับออเฟียสเป็นที่สุด” “ตั้งแต่เยาว์วัย เจ้าเติบโต ณ ฐานแห่งออเฟียส มักละเล่นด้วยกัน คลุกคลีพัวพันยิ่งกว่าตัวข้าเสียอีก” “แม้นจักต้องแยกจากยามออเฟียสถูกทัณฑ์แห่งพระบิดายึดฐานมั่นไปสิ้น แต่ขอเจ้าจงอย่ากังวลไป” “เชษฐาตนนั้นแห่งเจ้ารู้สถานการณ์แจ่มแจ้ง และเชษฐาแห่งเจ้าก็เป็นเลิศในประการอยู่รอดที่สุดในเหล่าเรา” “หากแต่เจ้าเองนี่สิที่น่าพะวงใจข้า….เจ้าจำต้องเลือกหนทางแห่งตนเองแต่เยาวัย...และข้าหมายหนทางนั้น...” “เจ้าจักหลีกหนีสุดหล้ากระทั่งทุกการณ์ยุติ หรือเจ้าจักตั้งมั่นขัดขืนประสงค์อันผิดเพี้ยนแห่งองค์ใหญ่ก็ได้”
ไฮเซียขมวดคิ้วด้วยสีหน้าจริงจัง “หลีกหนีสุดหล้าเป็นหนทางแห่งความขลาด ข้ามิขอดำเนินหนทางนั้น” “ข้าขอยืนหยัดเคียงข้างเสด็จพี่ในประสงค์อันแท้จริงแห่งเสด็จพ่อ...ข้าประสงค์ให้การศึกนี้ยุติลงเสีย” อัลม่ายิ้มบางๆ “หากเจ้าหยัดยืนหนักแน่นถึงเพียงนี้ เจ้าจงร่วมดำเนินไปพร้อมมนุษย์เหล่านี้เถิด” “เหล่ามนุษย์นี้จักนำพาเจ้าไปสู่อำนาจ เหล่าเขาจักนำพาเจ้าไปพบเลโอ ผู้ร่วมอุดมการณ์แห่งข้า” “แต่เจ้าจะมิยืนหยัดเคียงข้างข้า...เจ้าจะหยัดยืนด้วยตนแห่งเจ้าเอง เจ้าจงบันดาลโลกตามที่เจ้าประสงค์เห็น”
“เจ้าหรูหรือไม่ว่าเสด็จพ่อเอ่ยวาจาแม่นยำทุกประการ หากแต่มีสิ่งเดียวที่ข้ามิอาจเห็นพ้องกับพระองค์ได้” “ประการนั้นคือ ข้ามิใช่ผู้ที่เหมาะสมในการทรงนามจักรพรรดินี...แม้นเสด็จพ่อยอยกว่าข้าพร้อมด้วยทุกสรรพ” “แต่พระองค์ได้ละบางสิ่งในการพินิจ และเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง….นั่นคือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ความอ่อนโยน” “ทั้งข้าก็รู้ตนดีว่าขาดสิ่งนั้นไป ดวงจิตอันเถรตรงมิโอนเอียงแห่งข้า มิอาจเข้าถึงจิตแห่งเหล่ามนุษย์ได้” “แต่ข้ากลับเห็นสิ่งนั้นในตัวเจ้า เจ้าอ่อนโยน พร้อมเข้าถึงจิตแห่งทุกเหล่า เปี่ยมล้นเมตตาสงเคราะห์” “ข้า...ผู้ไร้ซึ่งสิ่งเหล่านั้น มิอาจนำพาเหล่าเราและเหล่ามนุษย์ไปสู่หนทางรวมหนึ่งดั่งรากเหง้าแห่งพันธุ์”
“ด้วยประการทั้งปวง...หากเจ้าตั้งมั่นยืนยันตามประสงค์แห่งพระบิดา จงเติบใหญ่และทรงเดชด้วยตนเอง”
……………………………………………….
หลังจากนั้นไม่นาน
เมื่ออัลม่าส่งมอบยานรบลำใหญ่ให้ไฮเซียและหน่วยรบที่ 42 แล้ว เธอก็นำกองยานของเธอออกไป อัลม่าบอกกับพวกเขาว่าเธอจำเป็นต้องกลับไปที่ฐานของเธอบริเวณสแกนดิเนเวียร์เพื่อรวบรวมพล เพราะภายหลังจากที่อาคเชงได้ประกาศสงคราม บริวารของเธอบางส่วนดันไปเห็นดีกับอาคเชงด้วย เธอตั้งใจจะกลับไปปราบปรามพวกเห็นต่าง และรวมกำลังพลเพื่อเปิดศึกภายในยับยั้งศึกใหญ่ที่อาจปานปลาย
ยานลำใหม่ที่อัลม่ามอบให้นั้นเป็นยานรบขนาดใหญ่ และเป็นเทคโนโลยีของ Emerian มันล้ำสมัยมาก แน่นอนว่ามันมีทั้งห้องบัญชาการ ห้องพัก ห้องซ่อมบำรุง และอะไหล่โมบิลสูทอีกจำนวนมาก ลำพังเพียงสมาชิก 4 คนของหน่วยรบที่ 42 ย่อมไม่เพียงพอ พวกเขาจึงกะว่าจะไปรวมตัวกับ ERF ต่อไป แต่หลังจากการขนย้ายโมบิลสูทเข้ามายังส่วนซ่อมบำรุงโดยอิโอน่าและ F37 ของมาซามิ ได้เสร็จสิ้นลง ไฮเซียได้เดินเข้ามาในสะพานเรือ เธอมองซ้ายมองขวาราวกับหาบางสิ่งหรือบางคนด้วยความกังวล
เวลานั้นอินาโฮเดินผ่านมาพอดี ไฮเซียจึงเข้าไปถามขึ้นว่า “คุณโฮ รูโตะ เห็น อโปฟิส ไหมคะ...” อินาโฮได้ยินคำถามนั้น สีหน้าเขาดูซึมๆ และพยายามหลบตาไฮเซีย ก่อนจะหลับตาลงแล้วชี้ไปมุมด้านข้าง ไฮเซียมองตามทางที่อินาโฮชี้ไป เธอก็เห็นร่างร่างหนึ่งถูกคลุมด้วยผ้าตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ไร้คำพูดหรือคำอธิบายใดๆ ไฮเซียก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดี เมื่อทุกคนเห็นอย่างนั้น ก็วางทุกสิ่งที่ทำลง ไฮเซียเดินไปหาร่างใต้ผ้าคลุมที่นอนแน่นิ่งอยู่อย่างช้าๆ จนเธอไปนั่งลงข้างๆ “อโปฟิส….นี่เจ้า…...”
และหยดน้ำตาใสๆ ก็ร่วงหล่นลงมาตกเป็นรอยเปื้อนบนผ้าคลุมร่างไร้วิญญาณของอโปฟิส
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jan 10, 2020 18:10:56 GMT
EP4 : Lead Us ป่าอันเงียบสงบในเทือกเขาเกะโระ
ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่อุดมสมบูรณ์ ความชื้นในอากาศมากพอประมาณทำให้เย็นสบาย ท่ามกลางความเงียบสงบและอากาศอันบริสุทธิ์ มินาโตะ และยามาโตะ กำลังกลบหลุมดินหลุมหนึ่งอยู่ มันเป็นหลุมที่ขนาดพอดีตัวคนเป็นการบ่งบอกได้ว่า นั่นคือหลุมฝังศพที่พวกเขาทำขึ้นให้อโปฟิส ไม่นานนัก มาซามิก็เดินมาพร้อมกับอินาโฮ ในมือของอินาโฮนั้นมีป้ายไม้แผ่นใหญ่รูปทรงไม้กางเขน ทั้งสองเดินผ่านไฮเซียที่ยืนซึมอยู่ตรงกลางระหว่างมินาโตะและยามาโตะหน้าหลุมศพของอโปฟิส จากนั้น อินาโฮได้ปักแผ่นไม้ลงไปหน้าหลุมศพเพื่อทำป้ายวิญญาณ และมาซามิก็นั่งลงไปเพื่อสลักชื่อ
ไฮเซียที่กำลังมองมาซามิใช้มีดแกะสลักชื่อของอโปฟิสเป็นภาษาญี่ปุ่น ก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า “มนุษย์ ใช้ วิธีการฝัง ศพ ใต้ดิน แบบนี้กัน หรอ คะ...” มินาโตะตอบกลับว่า “ใช่แล้วครับ ฝ่าบาท” “ไม่ ต้อง เรียกดิฉันแบบนั้น ก็ได้ค่ะ พวกคุณ ไม่ใช่ชาว Emerian เสีย หน่อย” ไฮเซียพูดเพราะรู้สึกแปลกๆ ยามาโตะยื่นจอบให้มินาโตะรับไว้ “อันที่จริงพวกเราควรให้เกียรติฝ่าบาทแบบนั้นน่ะถูกแล้วล่ะครับ” “แต่ถ้าพวกเราเรียกฝ่าบาทแบบนั้นแล้วทำให้ฝ่าบาทอึดอัด พวกเราก็จะขอเรียกฝ่าบาทว่า คุณคอร์เดเลียก็แล้วกัน”
ไฮเซียยิ้มบางๆ แม้ว่าเธอจะดีใจไม่น้อยที่ได้ใกล้ชิดกับ Earthian ขึ้นอีกขั้น แต่ความเศร้ายังคงฉุดรั้งมันเอาไว้ ยามาโตะเห็นรอยยิ้มบางๆ ก็เข้าใจดีว่าไฮเซียอยากเป็นกันเองมากขึ้น เพราะอาจจะต้องอยู่ร่วมกันอีกนานพอควร เขาจึงพูดเพื่อทำการทำลายกำแพงน้ำแข็งอย่างที่ไฮเซียต้องการ “เรื่องพิธีศพของเรา ไม่ได้มีแค่การฝังเท่านั้น” “มนุษย์เรามีวัฒนธรรมที่หลากหลายแตกต่างกันออกไปตามแต่ละพื้นที่ มนุษย์บางกลุ่มก็จะใช้วิธีการเผาศพ” “แต่ยุคก่อนสงครามช่วงหลังเริ่มมีวิธีการแปลกๆ เช่น ฝังโดยการปลูกต้นไม้ แช่แข็งไว้เพื่อการคืนชีพอีกครั้ง” “บางที่จะใช้การลอยศพไปตามแม่น้ำ สมัยโบราณบางเผ่าจะทิ้งศพให้สัตว์กิน ที่แย่ที่สุดคือ...นำศพมากิน...”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้จะอยู่ในภาวะเศร้าโศกแต่มันก็ทำให้ไฮเซียตกใจอยู่ไม่น้อย “น่ากลัว จังเลย นะคะ” มินาโตะเห็นว่าการชวนคุยของยามาโตะได้ผล จึงช่วยอีกแรงด้วยการถามว่า “แล้ว Emerian ล่ะทำยังไงครับ” ไฮเซียนึกอยู่พักหนึ่ง “ถ้าเป็นราชวงศ์ เรา ก็จะจัดพิธี เคารพร่างก่อน จากนั้น จะนำโลง ไปเก็บไว้ใน สุสานราชวงศ์” “ส่วน ประชาชน ทั่วไป ก็มี สถานที่ เก็บศพ เช่นกัน แต่ ส่วนมาก จะเป็น ที่เก็บรวมกัน ไม่แบ่ง แยกตระกูลกัน” มินาโตะพยักหน้า “ฟังดูก็คล้ายๆ พิธีการฝังศพฟาโรห์ของอิยิปต์โบราณเลยนะเนี่ย ว่ามั้ยอินาโฮ”
อินาโฮหันมามองมินาโตะ เขาพบว่านอกจากมินาโตะที่รอคำตอบอยู่ ก็มีไฮเซียอีกคนด้วย เขาจึงต้องตอบกลับ “อืม นั่นสินะ คล้ายกันมากเลยล่ะ...แต่คงจะต่างกันที่พวกอิยิปต์โบราณจะสร้างสุสานขึ้นใหม่ใหญ่โตเท่านั้นเอง” “แต่วางใจเถอะครับคุณคอร์เดเลีย สถานที่แห่งนี้เงียบสงบและเย็นสบาย เหมาะที่สุดแล้วกับการพักผ่อน” “ผมเชื่อว่าคุณอโปฟิสก็คงดีใจที่ร่างของเขาได้มาอยู่ในที่ดีๆ แบบนี้ เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงดีใจเหมือนกัน” มาซามิที่เพิ่งสลักชื่อเสร็จ เธอก็ลุกขึ้นมาเขกหัวอินาโฮไปหนึ่งครั้ง “พูดจาเป็นลางอีกแล้วนะนายเนี่ย” จากนั้นมาซามิก็ส่งสัญญาณด้วยการใช้ใบหน้าบอกให้เพื่อนๆ ออกไปเพื่อให้ ไฮเซียได้บอกลาเงียบๆ
หลังจากสมาชิกหน่วยรบที่ 42 เดินออกจากบริเวณนั้นไปแล้ว ไฮเซียค่อยๆ นั่งลงข้างหลุมศพของอโปฟิส “ข้ามิอาจเอ่ยสิ่งใดแทนความรู้สึกแห่งข้าในกาลนี้ได้...ในนามเหนือหัวแห่งเจ้า ข้ามิควรปล่อยให้เจ้าดับสูญ” “ข้ามิอาจปกป้องเจ้าได้ แม้นตั้งแต่จำความ เจ้าเป็นฝ่ายปกป้อง ช่วยเหลือ เกื้อกูลข้ามาโดยตลอด” “นอกเหนือจากเสด็จพี่ออเฟียสแล้ว ข้าก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่วางใจ และสุขใจเมื่อได้อยู่เคียงข้าง” “ข้ามองเจ้าเสมือนเชษฐาตนหนึ่งแห่งข้าเสมอมา และข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นก็รักข้าเฉกเช่นน้องหญิงตนหนึ่ง” “ข้าหวังว่าเจ้าจะพบความสงบ มิต้องทุกข์ทนกังวลสิ่งใดอีกต่อไป และข้าจะมิให้เจ้าต้องสละชีพโดยเปล่า”
“หากแต่ยามนี้ข้าอ่อนแอยิ่ง มิอาจตั้งมั่นกระทำสิ่งใดได้เลย ไร้ซึ่งเจ้า ประหนึ่งไร้ซึ่งที่พึ่งพา” “ข้าตระหนักดีว่า ข้าจักต้องยืนหยัดด้วยตนแห่งข้าเอง ข้าจักอ่อนแอเยี่ยงนี้ต่อไปมิได้...” “ในกาลเช่นนี้ ข้ารู้ดีว่า หากเป็นเจ้า หรือเสด็จพี่ออเฟียส คงจะประโลมข้า ปลุกให้ข้าเข็มแข็ง” “ข้าขอให้สัตย์ว่าข้าจักใช้กาลมินานเนิ่นในการกลับมาเข้มแข็งดั่งก่อน ข้าต้องไปแล้ว” “หากข้ามีวาสนาแคล้วคลาดจากการศึก ข้าจักหวนมาหาเจ้าอีกครา และนำสันติมามอบแด่เจ้า”
เมื่อพูดจบ ไฮเซียก็เช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาเล็กน้อย เธอลุกขึ้นและเดินออกจากบริเวณนั้นไป
…………………………………………………….
บนยานรบที่อัลม่ามอบให้
ระหว่างที่กำลังรอไฮเซียร่ำลาหลุมศพอโปฟิสเป็นครั้งสุดท้าย สมาชิกหน่วยรบที่ 42 ก็ได้ขึ้นมาบนยาน พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่ห้องบัญชาการยานรบมันเป็นห้องขนาดใหญ่สร้างขึ้นจากโลหะและทาด้วยโทนสีขาว มีหน้าต่างเพื่อมองไปด้านนอกรอบทิศทาง โดยหน้าต่างเหล่านั้นสามารถแสดงผลเป็นจอภาพได้อีกด้วย มีที่นั่งสำหรับเจ้าหน้าที่ประจำยานจำนวนมาก แน่นอนว่ามันมากกว่าจำนวนของสมาชิกหน่วยรบที่ 42 ยามาโตะจึงให้มาซามิและมินาโตะตรวจสอบหน้าที่ของตำแหน่งต่างๆ และเลือกเฉพาะที่สำคัญเอาไว้
“ตำแหน่งผู้บัญชาการยานรบ พลขับ เจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธ และเจ้าหน้าที่ตรวจจับอย่างนั้นสินะ” ยามาโตะยืนอ่านรายงานข้างเก้าอี้บัญชาการ “โชคยังดีที่ระบบของยานลำนี้ใกล้เคียงกับของเรามาก” เขามองไปที่เก้าอี้บัญชาการแต่เลือกที่จะไม่นั่งลง เขาก้มลงกดปุ่มบนแผงควบคุมที่พนักวางแขนขวา หน้าจอหลักก็แสดงผลสถานะของยานรบแบบ Overall และพวกเขาก็ได้เห็นสิ่งที่ต้องการจะรู้ “Sephara อย่างนั้นหรอ ชื่อของยานลำนี้สินะ” ยามาโตะพูดขึ้นลอยๆ และเริ่มสำรวจเก้าอี้บัญชาการ
“หัวหน้ามองหาอะไรอยู่รึเปล่าครับ” มินาโตะถามขึ้นพลางเดินเข้ามาช่วยมองที่เก้าอี้ตัวใหญ่ ยามาโตะจึงตอบกลับว่า “ชั้นสงสัยว่ายานลำนี้มันจะมีระบบนักบินแบบกันดั้มอยู่รึเปล่าน่ะสิ” “ถ้ามีล่ะก็ ขืนนั่งไปคงได้ตายกันพอดี” ระหว่างที่ยามาโตะกำลังพูดอยู่นั้น อินาโฮได้เดินเข้ามา เขากดไปที่ปุ่มอีกปุ่มบนแผงควบคุม จากนั้นวงแหวนเหล็กก็โผล่ออกมาจากพนักพิงศีรษะ “เห้ย อะไรวะเนี่ย!!” มินาโตะสะดุ้งโหยง เพราะเขาอยู่ใกล้พนักพิงศีรษะพอดี “ให้ตายเถอะ ตกใจหมด”
“สิ่งที่หัวหน้ากังวลอยู่นั้น เป็นเรื่องจริงครับ นี่เป็นระบบ Arch เหมือนกับของอิโอน่า” อินาโฮพูดขึ้น มาซามิจึงเดินเข้ามาดูด้วยความสนอกสนใจ “มันเป็นแบบนี้เองนะหรอ ดูแล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยนะ” อินาโฮใช้มือแตะไปที่บ่าของมาซามิ “มันคงไม่น่ากลัวอย่างที่มาซามิว่านั่นแหละ ถ้าคนพูดเป็น Emerian น่ะนะ” มาซามิยิ้มแห้งๆ “ว่าแต่ หัวหน้าจะรับตำแหน่งบัญชาการยานรบสีขาว...ไม่ซิ เซฟาร่าอย่างนั้นหรอคะ”
ยามาโตะเหยียดตัวขึ้นตั้งตรงและมองไปรอบๆ “จริงๆ แล้วตำแหน่งนี้ควรจะเป็นของคุณคอร์เดเลียน่ะนะ” ระหว่างพูด ยามาโตะก็เหลือบไปเห็นวงจรปิดตรงทางขึ้น มันเป็นภาพไฮเซียที่เข้ามาแล้วกำลังปิดประตูขึ้นยาน เธอดูห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง ยามาโตะจึงพูดต่อไปว่า “ถ้าสภาพแบบนี้ ชั้นคงจะต้องรับหน้าที่นั้นไปพลางก่อน” “ถึงชั้นเป็นหัวหน้าหน่วยรบ แต่ก็ไม่ได้ถูกฝึกมาเป็นกัปตันยานรบ อีกอย่าง ชั้นคงรับระบบ Arch นี่ไม่ไหว” “มาซามิ เธอรับหน้าที่ตรวจจับสัญญาณ มินาโตะ นายรับหน้าที่พลขับ ส่วนอินาโฮ...นายประจำกันดั้มไว้ก็พอ” “จะว่าไปแล้ว อินาโฮ นายเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับคุณอโปฟิส ชั้นว่านายควรจะไปพบคุณคอร์เดเลียหน่อยนะ”
เมื่อยามาโตะพูดจบ อินาโฮก็พยักหน้า เขาหันหลังเดินออกไปโดยไม่ได้ตอบอะไรราวกับอยากไปอยู่แล้ว จากนั้นยามาโตะหันไปมองมินาโตะ “ชั้นกับมาซามิจะต้องใช้เวลาเตรียมระบบของเซฟาร่าเพิ่มนิดหน่อย” “มินาโตะ ระหว่างนี้นายก็ไปสำรวจคลังอาวุธและคลังอะไหล่สำรอง ดูอย่างละเอียดว่าพอมีอะไรใช้งานได้บ้าง” มินาโตะจึงตอบรับทันทีว่า “รับทราบความหัวหน้า” มินาโตะไม่รอช้าที่จะเดินออกไปทำหน้าที่ทันที
เมื่ออินาโฮและมินาโตะออกไปแล้ว มาซามิจึงถามขึ้นว่า “เตรียมระบบอย่างนั้นหรอคะ หมายความว่ายังไงคะ” ยามาโตะชี้ไปที่วงแหวนเหล็กตรงพนักพิงศีรษะ “ปิดการใช้งานเจ้านี่ไปก่อนยังไงล่ะ ชั้นไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยง” “ชั้นอยากให้เธอเข้าไปดู Main Frame ของยานลำนี้ แล้วแก้ Code การสั่งใช้งานระบบ Arch นี่ซะใหม่” “ชั้นอยากปิดการใช้งานอัตโนมัติไป แต่อยากให้มีการตั้งค่าให้มี Shortcut เพื่อเปิดใช้งานได้ในยามฉุกเฉินน่ะ” มาซามิถอนหายใจ “ท่าจะยากเอาการนะคะเนี่ย แต่เดี๋ยวชั้นจะลองทำดู ชั้นคิดว่าชั้นน่าจะทำได้นะคะ”
ยามาโตะพยักหน้า “ดี รีบลงมือเถอะ เวลาเหลือไม่มาก ไม่รู้ว่าองค์ชายเฮลิออสจะมาเล่นงานเราอีกเมื่อไร”
……………………………………………………..
หน้าห้องพักภายในยานรบ Sephara
มันเป็นห้องที่อยู่ข้างทางเดิน มันอยู่ในโซนพักอาศัยของตัวยาน มีประตูห้องจำนวนมากเรียงรายต่อกัน อินาโฮเห็นประตูห้องพักบานหนึ่งปิดอยู่ และมีสัญญาณไฟแจ้งว่าห้องนี้มีผู้ใช้งานแล้วและยังอยู่ในห้อง เขารู้ทันทีว่าจะต้องเป็นไฮเซียอย่างแน่นอน อินาโฮใช้เวลาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเมื่อมายืนหน้าประตู ในใจของเขากลับลังเลในวินาทีสุดท้าย เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปดีถึงจะทำให้ไฮเซียรู้สึกดีขึ้น
แต่แล้วประตูก็ถูกเปิด แต่มันไม่ได้ถูกเปิดเข้าไปโดยอินาโฮ แต่กลายเป็นการเปิดจากภายในออกมา อินาโฮอึ้งไปชั่วขณะเมื่อเขาต้องประชันหน้าและสบตากับไฮเซียระยะประชิดแบบไม่ทันได้ตั้งตัว “ดิฉันเห็นอินาโฮ ยืน อยู่หน้าประตู พักหนึ่ง แล้วมี อะไรให้ ดิฉันช่วย หรือ เปล่าคะ” ไฮเซียถามขึ้น อินาโฮที่หน้าซีดๆ ก็เหลือบมองขึ้นไปบนมุมเพดาน เขาก็เห็นว่ามันมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ ทำให้ไฮเซียรู้ว่าอินาโฮมายืนอยู่หน้าประตู แต่เมื่อไม่ยอมเข้ามา เธอจึงเป็นฝ่ายเปิดออกไปเอง
ไฮเซียเดินออกจากห้องมายืนตรงหน้าของชายหนุ่มผมยุ่ง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย อินาโฮเห็นว่ายังคงมีแววตาเศร้าๆ เหลืออยู่ “เป็นยังไงบ้างครับองค์..คุณคอร์เดเลีย ห้องพักสบายมั้ยครับ” ไฮเซียพยักหน้าช้าๆ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ อินาโฮจึงถามต่อไปว่า “เอ่อ...หิวมั้ยครับ ผมจะไปหา..” ก่อนที่อินาโฮจะพูดจบ ไฮเซียก็ถามสวนขึ้นมาว่า “คุณอินาโฮ จะมา ปลอบใจ ดิฉัน ไม่ใช่ หรอคะ?” “เอ๊ะ!! รู้ได้ยังไงกันครับ” อินาโฮรู้สึกประหลาดใจ กระทั่งได้รับคำตอบว่า “ดิฉัน มีชีวิต มาร่วม 170 ปี แล้ว” “เรื่อง แบบนี้ ทำไม จะไม่รู้กัน ล่ะคะ เมื่อก่อน เสด็จพี่ ออเฟียส ก็ทำแบบนี้ อยู่บ่อยๆ ตอนดิฉัน เศร้าใจ”
อินาโฮรู้ได้ทันทีว่าการปลอบคงไม่ช่วยอะไร แต่การชวนคุยทำให้รู้สึกดี และลืมเรื่องร้ายอาจดีกว่ามาก และตอนนี้ก็เห็นช่องที่จะชวนคุยแล้ว “เสด็จพี่ออเฟียสอย่างนั้นหรอครับ...พี่ชายอย่างนั้นหรอครับ?” “พี่ชายของคุณคอร์เดเลียหมายเอาชีวิตคุณอยู่ไม่ใช่หรอครับ ทำไมยังนึกถึงเขาอยู่อีกล่ะ?” ไฮเซียรีบส่ายหน้าทันที “ไม่ ใช่ ค่ะ ไม่ใช่ เสด็จพี่ออเฟียส เป็นคนดีค่ะ เป็นพี่ชายที่ ดิฉันรัก มากที่สุด” “เสด็จพี่ ดีกับดิฉัน มากที่สุด ถึงกับ ยอม ไม่ออกไปสู้รบ เพื่อจะได้ มาอยู่เป็นเพื่อนดิฉัน ดูแลดิฉัน” “นอกจากเสด็จพ่อ และเสด็จพี่ออเฟียสแล้ว ก็คงมีแต่ อโปฟิส นี่แหละค่ะ ที่ดี กับ ดิฉัน มาก ที่สุด”
อินาโฮเห็นท่าเริ่มไม่ดี เพราะหัวข้อเริ่มวนกลับมาที่อโปฟิสอีกครั้ง “แล้วตอนนี้องค์ชายออเฟียสอยู่ไหนล่ะครับ” ไฮเซียนิ่งไปครู่หนึ่ง “ดิฉัน ก็ ไม่ทราบ เหมือนกัน ค่ะ เสด็จพี่ รัก อิสระ ไปไหน มาไหน ตามใจ ตัวเองตลอด” “อโปฟิส จึง คอยมา ดูแล ดิฉัน ตลอดเวลา ที่เสด็จพี่ หายตัว ไป แต่ตอนนี้ ดิฉัน ไม่มี อโปฟิส แล้ว” เหมือนกันความพยายามของอินาโฮไร้ผล และไฮเซียเริ่มออกอากาศขี้แยเหมือนเด็กจนน้ำตาเริ่มปลิ่มออกมา “คุณอโปฟิสไม่ได้ไปไหนหรอกครับ...เขาอยู่ข้างคุณคอร์เดเลียตลอดเวลา แม้กระทั่งในตอนนี้” อินาโฮพูด
ไฮเซียหยุดชะงักจากอาการที่เหมือนกับที่จะเริ่มร้องไห้ เธอเงยหน้าขึ้นถามด้วยความสงสัย “อะไร นะ คะ” อินาโฮยิ้มบางๆ “ถึงร่างกายของเขาจะไม่อยู่ แต่วิญญาณของเขาจะคอยดูแลคุณคอร์เดเลียตลอดไป” “เพราะก่อนที่คุณอโปฟิสจะตาย เขาเลือกที่จะส่งมอบพลังให้กับผม ผมคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ” “เขาพูดกับผมทำนองว่า ร่างกายของผมไม่คู่ควรกับการขับอิโอน่า แต่สถานะของเขาก็ไม่คู่ควรเช่นกัน” “ผมเห็นเขาทำอะไรบางอย่างกับ Arch Frame ในขณะนั้น ร่างกายของผมกลับมีอาการดีขึ้นอย่างน่าประหลาด” “ล่าสุดหลังจากขับอิโอน่า ผมก็ไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือมีอาการเส้นเลือดฝอยแตกเหมือนครั้งแรกที่ขึ้นขับมัน”
ไฮเซียได้ฟังอย่างนั้น เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าอโปฟิสทำอะไรลงไป “ดิฉัน เข้าใจ แล้วล่ะ ค่ะ ว่าเกิด อะไรขึ้น” “อโปฟิส ได้ ปลูกถ่ายยีนส์ ของ Emeria ในร่าง กายเขา แลกกับ ยีนส์ ของมนุษย์ ในร่างกายคุณอินาโฮ” “เพื่อให้ ร่างกาย ของคุณอินาโฮ เหมาะสม กับการขึ้นขับ กันดั้ม เพราะแบบนั้น เขาจึง รับผลร้าย ทั้งหมดไป” อินาโฮเองก็เหมือนรู้อยู่แล้ว “ผมก็คิดไว้แบบนั้นเหมือนกัน ผมจึงรู้สึกผิดเหมือนกับเป็นคนฆ่าคุณอโปฟิสเองกับมือ” ไฮเซียส่ายหน้า “ไม่ ใช่ ค่ะ ตอนนี้ ดิฉัน เข้าใจ อโปฟิส มากขึ้นแล้ว อโปฟิส ตัดสินใจเลือกคุณ ให้ต่อสู้ แทนเขา”
อินาโฮถอนหายใจ “ผมไม่รู้ว่าเขาจะคิดผิดรึเปล่าที่มาเลือกคนอย่างผม คนที่ไม่ได้เก่งอะไรสักอย่าง” ไฮเซียยิ้มออกมาให้เห็น “อโปฟิส ดูคน ไม่ผิด หรอกค่ะ เขาคงเห็น คุณค่าอะไร บางอย่างใน ตัวคุณ” “ดิฉัน เอง เมื่อเข้าใจ อโปฟิสแล้ว ก็จะ ไม่ขอเป็น คนอ่อนแอ อีกแล้ว ดิฉัน ก็จะเริ่ม ตัดสินใจ เองบ้าง” “เรา มา ร่วมมือกัน ยุติ สงคราม เพื่ออโปฟิส กันเถอะค่ะ คุณอินาโฮ ดิฉัน ตั้งใจ แล้วว่า จะต้องทำ ให้ได้” อินาโฮก็เป็นฝ่ายยิ้มออกมาบ้างเมื่อเขาเห็นว่าไฮเซียมีกำลังใจดีขึ้น และนอกจากนั้น เขาเองก็รู้สึกดีขึ้นเช่นกัน เพราะเดิมทีเขารู้สึกผิดกับอโปฟิส แต่คราวนี้เขาตั้งใจใหม่ว่าจะช่วยเหลือไฮเซียเพื่อชดเชยการเสียสละของอโปฟิส
“ครับ...ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะช่วยเหลือคุณคอร์เดเลียด้วยพลังที่คุณอโปฟิสมอบให้อย่างสุดความสามารถ” “ผมจะใช้มันเพื่อยุติสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น และปกป้อง Earthian รวมทั้ง Emerian ที่บริสุทธิ์ให้ได้” เมื่อพูดจบ อินาโฮก็ยื่นมือขวาออกไปให้ไฮเซีย เขาคาดหวังว่าไฮเซียก็จะใช้มือขวาจับมือเขาไว้เป็นข้อตกลง แต่เมื่อไฮเซียยื่นมือขวาออกมา แต่กลับจับไปที่ข้อมือของอินาโฮแล้วทำการเขย่ามันเบาๆ แทน
“เอ๋!!?” อินาโฮอุทานขึ้นแบบงงๆ
“อะไร หรอคะ? คือยังไงหรอ คะ? ไม่ใช่ว่า ดิฉัน ต้องทำ แบบนี้ หรอคะ?”
“ไม่ใช่แบบนี้สิครับ ปกติมนุษย์เราจะจับมือกันแล้วเขย่าแบบนี้ เรียกว่า Shake Hands น่ะครับ ไม่ได้จับที่ข้อมือ”
“Shark Hands … มือฉลาม หรอคะ มันเป็น ยังไง กันคะ ฉลาม มี มือ ด้วย หรอคะ?”
“ไม่ใช่มือฉลามครับ Shake Hands ไม่ใช่ Shark Hands ครับ … มันต้องทำแบบนี้น่ะครับ”
…………………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jan 10, 2020 18:11:02 GMT
อีกฟากหนึ่งในยานรบ Sephara
มินาโตะกดสวิตช์เปิดประตูโลหะบานใหญ่ เขารอสักพักกระทั่งประตูโลหะบานใหญ่เปิดแยกออกไปด้านข้าง ในห้องนั้นค่อนข้างมืด แต่ก็พอจะเห็นเงาสะท้อนของเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ซ่อมแซมโมบิลสูทอยู่ภายใน มินาโตะพยายามเปิดไฟภายในตัวห้องซึ่งเป็นโถงขนาดใหญ่ แต่มันกลับไม่ทำงาน เขาจึงหยิบไฟฉายขึ้นมาใช้แทน เขาส่องไฟฉายไปเบื้องหน้า เขาพบอะไหล่จำนวนมาก ทั้งแขน ขา โครงสร้างส่วนห้องนักบิน มันอยู่ในสภาพที่ดี
“โอ้โห เยอะแยะไปหมดเลยแฮะ ทั้งหมดนี่พอจะใช้ในสงครามครั้งใหญ่ได้เลยล่ะมั้ง” มินาโตะนึกในใจ จากนั้นเขาก็เริ่มเข้าไปสำรวจแต่ละชิ้น “โครงสร้างวัสดุอะไรกันเนี่ย ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยแฮะ” ด้วยความสงสัย เขาส่องไฟไปรอบๆ กระทั่งพบอุปกรณ์ Tablet เครื่องหนึ่งวางอยู่ที่โต๊ะเค้าเตอร์ มินาโตะไม่รอช้ารีบตรงไปหยิบมันขึ้นมาเปิดใช้งาน เขาก็พบว่า Tablet นี้เป็นอุปกรณ์สั่งการห้องอะไหล่
“ปุ่มนี่รึเปล่านะ เปิดไฟในห้อง” มินาโตะบ่นไปพลางกดปุ่มที่เขาคิดว่าเป็นปุ่มเปิดไฟในตัวห้อง และมันก็เป็นปุ่มเปิดไฟอย่างที่เขาคิดจริงๆ แต่มันเป็นระบบเปิดไฟทีละส่วน ทำให้บางส่วนของห้องยังมืดอยู่ จากนั้นเขาก็ค้นข้อมูลที่อยู่ใน Tablet “Gundarium Composite Alloy อย่างนั้นหรอ มันเรียกอย่างนี้เองสินะ” “ถ้าของพวกนี้เอาไว้ใช้ทำกันดั้ม และมีเหลือเยอะขนาดนี้ บางทีอาจจะเอาไป Upgrade เครื่อง F37 ได้ล่ะนะ” “แล้วนี่มันบ้าอะไรกัน….” มินาโตะอุทานขึ้นเมื่อเห็นบางสิ่งแสดงขึ้นในหน้าจอ เขาจึงมองไปที่สุดมมุห้อง
ที่มุมห้องนั้นมีผ้าคลุมฝืนมหึมาคลุมบางอย่างเอาไว้อยู่ เขาจึงไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปดูด้วยตาตัวเอง “ร้อยตรีโทยะ สำรวจคลังอะไหล่เสร็จรึยัง!!” เสียงของยามาโตะดังขึ้นจากอุปกรณ์สื่อสารทำให้มินาโตะสะดุ้งนิดๆ “เรียบร้อยแล้วครับหัวหน้า มีอะไหล่จำนวนมากเลยล่ะครับ มันพอจะซ่อมโมบิลสูทของเราได้ทุกเครื่องได้สบายๆ” “แถมมันน่าจะยังมี...” มินาโตะยังพูดไม่ทันจบดี ยามาโตะก็สั่งสวนกลับมาว่า “ดี งั้นกลับขึ้นมาเลย เราจะไปกันแล้ว” มินาโตะมองไปที่ผ้าคลุมผืนใหญ่อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับออกไปพร้อมกับ Tablet ควบคุมห้องอะไหล่
หลังจากนั้นไม่นาน Sephara ก็เริ่มลอยตัวขึ้นด้วยท่อขับดันรอบตัวยานอันทรงพลัง และออกเดินทางโดยมียามาโตะเป็นกัปตัน มีมินาโตะควบคุมการบิน และมาซามิทำหน้าที่ตรวจการ
………………………………………………………..
ในห้องนักบินโมบิลสูท
“เกิดอันใดขึ้นต่อเจ้า อนุชาแห่งข้า เหตุใดจึงได้ล้มเหลวในกิจที่ได้รับ” เสียงของอาคเชงดังขึ้น เขาติดต่อเข้ามาผ่านจอภาพสื่อสารในห้องนักบินโมบิลสูทเครื่องนั้น ซึ่งก็คือ กันดั้ม ซาวิทาร์ เฮลิออสกัดฟันด้วยความคับแค้นใจ ก่อนจะบอกเหตุผลที่เกิดขึ้นไปว่า “อัลม่า....เหตุเนื่องจากอัลม่า!!”
“ตรีขนิษฐาฝักใฝ่ Earthian เข้าขวางขัดข้ามิให้ดำเนินกิจลุล่วง หากไร้ซึ่งอัลม่า ย่อมมิเป็นเช่นนี้โดยแน่” อาคเชงได้ฟังเฮลิออสแก้ตัวเขาก็พูดขึ้นว่า “แต่ข้ามิเห็นพ้องเพราะเหตุเพียงอัลม่า หากแต่เป็นตนแห่งเจ้าเอง” “เฮลิออส...ข้าพบว่าเจ้าลุ่มหลงมัวเมาเข้ายื้อยุทธกับเหล่า Earthian มิลงมือถึงเด็ดขาดภายใต้โอกาสมากหลาย” “หากเจ้ามิเพลิดเพลินจนเกินเหมาะ เจ้าคงปลิดชีวาเหล่า Earthian สิ้นเสียหมดแล้วมิใช่หรือ?”
คำถามของอาคเชง เป็นสิ่งที่เฮลิออสไม่สามารถแก้ตัว หรือหาเหตุผลอื่นมาต่อสู้ได้ เขารู้ตัวและตัดสินใจเองตลอดในระหว่างต่อสู้ เขาเลือกที่จะค่อยๆ ขยี้ศัตรูทีละเล็กทีละน้อย เหตุที่เป็นแบบนั้น เพราะเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักรบ เกิดมาเพื่อทำการต่อสู้ และเป็นสิ่งเดียวที่เขาเป็นเลิศ แต่ตลอดระยะเวลา 100 ปี ที่ผ่านมา สถานการณ์ระหว่าง Emerian และ Earthian เป็นไปอย่างสันติ คนอย่างเขาจึงไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อ Emerian วันๆ ได้แต่ทำการฝึกฝน ไม่ได้สู้หมายเอาชีวิตเลย เมื่อการต่อสู้ที่เขารอคอยมาแสนนานได้มาถึง ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาต้องการเสพย์มันให้นานที่สุด
เฮลิออสก้มหน้าลง “ข้ามิอาจโต้แย้งเหตุเหล่านั้น ขอเสด็จพี่ลงทัณฑ์ในความพลั้งเผลอแห่งข้า” “ข้าให้สัตย์ว่าจักมิเกิดเหตุประการเช่นนี้ขึ้นอีก คราหน้า ข้าจะปลิดชีวาเหล่า Earthian ต่ำตมโดยเด็ดขาด” อาคเชงพยักหน้า “ข้าหยั่งถึงความมุ่งมั่นจากเบื้องลึกแห่งเจ้า ประกอบด้วยเหตุแห่งอัลม่าเข้าขวางขัด” “หากทวนคิดอีกครา ข้าเองก็มีส่วนในการนี้เฉกเช่นเจ้า หากข้าสังหารอัลม่าสำเร็จในกาลครั้งก่อนแล้ว..” “แม้เจ้าจักลุ่มหลงการสู้ศึกเพียงใด เจ้าก็คงมิล้มเหลวในการดำเนินกิจเฉกเช่นนี้เป็นแน่แท้”
อาคเชงยิ้มมุมปากเล็กน้อย “แต่หากเจ้ามิได้รับผลประการใดเลย อาจทำให้เจ้ามิสำนึกหวั่นเกรง...” “ฉันนั้น เจ้าจักต้องส่งมอบอำนาจบัญชากองกำลังของเจ้าทั้งหมดที่ถือครองให้แก่ข้า...” เฮลิออสขมวดคิ้ว เขามีทีท่าไม่พอใจที่ได้ยิน “อาญามิพ้นเกล้า ข้ามิเห็นพ้องในส่วนนี้ยิ่ง” แต่อาคเชงได้กดดันต่อ “หืม...เช่นนั้นก็ย่อมได้ หากเจ้าปรีดาจักถูกถอนออกจากผู้นำศึกครานี้” “บางการ ข้าเห็นว่าเจ้าเหมาะสมต่อหน้าที่การฝึกหรือกำลังพลให้กองทัพจักรพรรดิเสียมากกว่า”
สิ่งที่อาคเชงพูด อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ได้เลวร้ายอะไรสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเฮลิออสแล้วไม่ใช่เลย หากถูกถอดออกจากตำแหน่งแม่ทัพนำศึก สำหรับเขา เขายอมจะเสียกองกำลังทั้งหมดไปยังดีกว่า เฮลิออสไร้ซึ่งทางเลือกจึงจำใจตอบกลับไป “ข้า...ขอมอบอำนาจบัญชากองกำลังทั้งหมดของข้าให้พระองค์” “และข้าจักดำเนินกิจที่ได้รับให้สำเร็จ ในครานี้ข้าจักสังหารสิ้นมิเว้นตีขนิษฐาหากยกตนขึ้นขวางขัด” “ข้าจักทำให้เสด็จพี่ตระหนักว่า อันตัวข้าคือผู้นำศึกที่ช่ำชองและน่าเกรงขามที่สุดที่ท่านจักแสวงหาได้”
อาคเชงยิ้มอย่างพอใจ “ขอให้เป็นเช่นเจ้าเอ่ย และจงรีบดำเนินกิจ เหตุเพราะอาจมีศึกใหญ่ในเร็ววัน” “ข้าจักนำทัพยึดครองทวีปตะวันออกเฉียงใต้ในวันพรุ่ง ยามได้ชัย ข้าจักดำเนินแผนการในกระบวนต่อไป” “การนี้ต้องรอบคอบ และช่วงชิงทุกสิ่งอันเป็นต่อ เหล่าใดเร็วกว่า เหล่าใดเด็ดขาดกว่า เหล่านั้นกำชัย” “จงอย่าได้ทำให้ข้าผิดหวังอีก เฮลิออส ลา นูอาร์ จงเป็นตัวตนแห่งเจ้า อย่างเช่นที่เป็นเสมอมา” เมื่อพูดจบ สายการติดต่อจากอาคเชงก็ตัดไป เฮลิออสที่ถูกกดดันหนักมีท่าทีเหมือนสติจะหลุด
“ตัวตนแห่งข้า อย่างเช่นที่เป็นเสมอมา เช่นนั้นหรือ!!?”
141 ปีก่อน
ระหว่างการดำเนินทางในห้วงอวกาศของฐานอวกาศ Emeria มันเป็นทรงกลมคล้ายดาวเคราะห์น้อย
ภายในแกนกลางของฐานขนาดยักษ์ มันมีระบบสร้างพลังงานมวลหนาแน่นเพื่อบิดเบือน Space และ Space ที่ถูกบิดเบือนจนโค้งเว้านั้น ก่อให้เกิดสนามโน้มถ่วง กล่าวคือ มันมีแรงโน้มถ่วงเป็นของตัวเอง พื้นที่ใช้สอยจึงถูกสร้างขึ้นรอบแกนพลังงานมวลหนาแน่น และมีชั้นโลหะอีกชั้นสร้างครอบไว้เป็นโครงสร้างชั้นนอก
ภายในพื้นที่ใช้สอย จึงเหมือนอยู่ในตัวอาคารขนาดมหึมาตลอดเวลา มีแสงสว่างจากเพดานสูงเสียดฟ้า และมีเขตที่ถูกจัดสรรขึ้นเพื่อใช้ในกองทัพ ซึ่งตอนนี้มีการจัดแข่งขันทางการทหารขึ้นอยู่ มันเป็นการจัดแข่งขันการดวลกันด้วยโมบิลสูทที่จัดขึ้นทุกๆ 12 ปี ตามเวลาของโลกมนุษย์ ผู้เข้าร่วมการแข่งจะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ ถ้าแพ้จะตกรอบทันที จนเหลือเพียงคนเดียวที่ไร้พ่าย และผู้ที่เหลือรอดที่ไร้พ่ายคนนั้น จะต้องต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับผู้ชนะเลิศจากการแข่งขันคราวก่อน ตามธรรมเนียม หากผู้ใดเป็นผู้ชนะเลิศการดวลยอดนักรบโมบิลสูท เขาจะเป็นผู้พิชิตและมีชื่อเสียงขึ้นมาทันที
แต่ดูเหมือนช่วง 3 ครั้งหลัง ผู้พิชิตจะเป็นคนเดิมมาโดยตลอด เขาไม่แพ้ใครมา 48 ปีแล้ว และคนนั้นก็คือ เฮลิออส ลา นูอาร์ ในครั้งแรกที่เขาเป็นผู้พิชิตด้วยการคว่ำผู้พิชิตคนเก่าลงง่ายๆ แรกเริ่มย่อมมีผู้ต้องการท้าทายฝีมือของเขาเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากที่เขาชนะเลิศติดต่อกัน 2 สมัย กลับกลายเป็นจำนวนผู้ลงสมัครเข้าร่วมน้อยลง เพราะรู้ตัวว่ายังไงพวกเขาก็ต้องแพ้ให้เฮลิออส แต้ในปีนี้ การแข่งขันก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างคึกคัก นักรบรุ่นใหม่ไฟแรงมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมมาก เฮลิออสรู้สึกตื่นเต้นกับการแข่งราวกับปีแรกที่เขาลงสมัคร เขานั่งมองดูการแข่งจากอัฐจันทร์
ระหว่างที่เฮลิออสนั่งดูการแข่งขันเพื่อดูรูปการว่าผู้ท่าชิงในการต่อสู้รอบสุดท้ายของเขาจะเป็นใคร มีชายสูงวัยคนหนึ่งได้เดินเข้าห้องสังเกตการณ์มาพร้อมกับทหารหน่วยอารักขาจำนวนมาก เขาเป็นชายสูงวัยที่หน้าตาน่าเกรงขาม อายุราว 70 รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเขายิ่งเสริมให้ดูน่าเคารพ เขาไว้ผมยาวถึงต้นคอ หนวดเครายาว ทั้งเส้นผมและหนวดเคราของชายสูงวัยเป็นสีขาวหงอกแล้ว เขาส่วนชุดที่ดูอลังการ ส่วนสูงของเขาอยู่ที่ประมาณ 177 c.m. แต่มงกุฏบนหัวทำให้เขาดูสูงกว่านั้นมาก แน่นอนว่าชายสูงวัยไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ มหาจักรพรรดิอเมนเฮราฟ ผู้เป็นพระบิดาของเฮลิออส
เมื่อเฮลิออสรู้ตัวว่าอเมนฮาราฟได้เดินเข้ามา เขารีบลุกขึ้น แล้วทำความเคารพด้วยการยื่นแขนขวาตั้งฉากลำตัว อเมนฮาราฟเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย และใช้ปลายนิ้วช้อนไปแตะที่ปลายนิ้วมือขาของเฮลิออสตามธรรมเนียม “เป็นเช่นไรบ้าง โอรสแห่งข้า ครานี้มีตนใดที่เจ้าเห็นว่ายอดยุทธหรือไม่” อเมนฮาราฟถามขณะนั่งลงที่เก้าอี้ มันเป็นเก้าอี้โซฟานั่งสบายเรียงยาวเพื่อนั่งชมการต่อสู้ เฮลิออสก้มศรีษะเล็กน้อย “มีอยู่บ้างพะยะค่ะ เสด็จพ่อ” “ตั้งแต่เริ่มการยุทธ อนุชาออเฟียสแสดงแสนยาได้ยอดยิ่ง กำชัยเหนือนักรบยอดฝีมืออย่างเด็ดขาด”
อเมนฮาราฟกระแทกลมหายใจออกจมูกสั้นๆ แสดงถึงความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “หึ!! อเซล อัลไอเซ็น...” “โอรสผู้เสเพลเหลวแหลกหาดีมิได้นั่นหรือ ที่เจ้าหมายว่าจักเข้าประมือในการยุทธศึกสุดท้าย” “ข้ามิเคยเห็นโอรสตนนั้นแห่งข้าสำแดงสิ่งใดอันเป็นคุณค่าแม้เพียงหนึ่ง บรรดาการใดที่ดำเนินช่างไร้หมาย” “ข้าพล่ำเอ่ยเสมอมาว่าอเซล อัลไอเซ็น อ่อนแอ อ่อนไหว มิเหมาะกับการศึก หากแต่เหมาะต่อการสรรศิลป์” “ผู้เขลาคงดึงดันเผชิญเส้นทางนักรบ ขัดขืนฝืนชะตาแห่งตน หมกมุ่นในสิ่งที่ตนเองมิอาจเป็นได้”
“ต่างจากเจ้า เฮลิออส….เจ้ากำเนิดชาตินักรบ สรรพสิ่งล้วนส่งเสริมให้เจ้าเป็นหัวหอกคมดาบแห่ง Emeria” “การที่เจ้าลุ่มหลงหมกมุ่นในการศึกย่อมเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ฉันนั้น จงสำแดงให้อนุชาแห่งเจ้าได้ตระหนัก” “ว่าแม้นจักทุ่มเทเพียงใด ก็มิอาจฝืนชะตาแห่งตนที่ถูกขีดเขียนไว้ได้” อเมนฮาราฟพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เฮลิออสอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีที่พ่อของเขาส่งเสริมและเยินยอในสิ่งที่เขาทำได้ดีมาโดยตลอด “ข้ารับบัญชาเสด็จพ่อ ข้าจักมิทำให้พระองค์ผิดหวัง จักกำชัยเหนืออนุชาเพื่อให้ตระหนักถึงดำรัสแห่งเสด็จพ่อ”
อเมนฮาราฟยิ้มอย่างเอ็นดูให้เฮลิออส ในขณะเดียวกันที่ในลานประลองก็ได้ผู้ชนะในรอบคัดเลือกผู้เข้าชิงชัย และผู้ชนะในรอบคัดเลือกเพื่อเข้าสู้ในรอบสุดท้ายกับเฮลิออสที่เป็นเจ้าของตำแหน่งผู้พิชิตในปัจจุบัน นั้น ก็คือ ออเฟียส โดยเขาสามารถโค่นยอดฝีมือลงได้ทั้งหมด โดยเครื่อง Goliath ของเขายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เฮลิออสมองไปที่ออเฟียส ก่อนจะเดินออกจากห้องสังเกตการณ์ไป เพื่อเตรียมตัวสู้ในรอบชิงชนะเลิศ
ไม่นานนัก
ณ สนามประลองที่เป็นลานกว้างทรงกลม มีอัฐจันทร์ล้อมรอบคล้าย Colossium ขนาดมหึมา Goliath เครื่องหนึ่งได้เดินเข้ามาทางประตูพิเศษ มันเป็นประตูของเจ้าของตำแหน่งสุดยอดนักรบ ระหว่างทางที่เฮลิออสบังคับเครื่อง Goliath เดินเข้ามาตามทางจนถึงใจกลางของสนามประลอง เสียงเชียร์ของชาว Emeria ที่เข้าชมได้ตะโกนชื่อเฮลิออสดังสนั่น เพราะตอนนี้เขาคือดาวเด่นที่สุด และเสียงเชียร์ก็หยุดลงเมื่อเฮลิออสเดินเข้ามาถึงใจกลางสนามประลงที่มี Goliath ของออเฟียสรออยู่
“เจ้าสู้ศึกได้น่าประทับจิต ครั้นแรกเห็น ข้าก็ตระหนักได้ทันทีว่าผู้ที่จะได้ทำศึกนี้จักเป็นเจ้าอย่างแน่แท้” เฮลิออสเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเย็นชา ออเฟียสยื่นแขนขวาของ Goliath เขาตั้งฉากกับลำตัว เฮลิออสจึงทำตามธรรมเนียม นำมือขวาของ Goliath ของเขาช้อนไปเตะปลายนิ้วเครื่องของออเฟียส ออเฟียสเปิดการสื่อสารแบบภาพขึ้น เขายิ้มอย่างร่าเริง “เยินยอข้าเกินไปแล้ว เสด็จพี่ ข้าเพียงมาสนุกเท่านั้น” “หากแต่โชคเข้าข้างที่ข้าได้ดำเนินศึกมาถึงจุดนี้ จึงมิอาจยั้งความคิดไว้ได้ว่า ข้าอาจมีชัยเหนือพระองค์”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ช่างโอหังยิ่ง อนุชาแห่งข้า...เสด็จพ่อมิได้บอกกล่าวต่อเจ้า หรือเพราะเจ้าลืมเลือนไปว่า...” “เจ้าน่ะ มิได้กำเนิดเช่นชาตินักรบ จึงมิอาจเป็นได้ที่เจ้าจักมีชัยเหนือข้า และข้าจักทำให้เจ้าประจักษ์ชัด” เมื่อพูดจบ เฮลิออสก็โยนอาวุธปืนของ Goliath ทิ้งไป การกระทำเช่นนั้นจะทำให้ตัวเขาเสียเปรียบมากขึ้น กติกาการสู้รบนั้น ให้ทำลายโมบิลสูทของคู่แข่งให้ได้ แต่หากลงมือสังหารคู่แข่ง จะถูกปรับแพ้ทันที นั่นหมายความว่า อาวุธปืนเป็นสิ่งที่ชิงความได้เปรียบในการสร้างความเสียหายดีมากที่สุด
ออเฟียสยิ้มมุมปาก “จริงอยู่ที่ Goliath แห่งข้าเครื่องนี้จักผ่านศึกมามากมาย แต่ก็มิใช่เหตุข้ออ้าง” “เสด็จพี่มิจำเป็นต้องอ่อนข้อแก่ข้า หรือดำเนินให้เกิดความเท่าเทียมเช่นนี้” เขายกปืนของตัวเองขึ้นมาดู “ระหว่างการสู้ศึก ข้าเองก็พึ่งสิ่งนี้เสมอมาเพื่อคงไว้ซึ่งความพร้อมของ Goliath แต่ก็มิใช่วิถีแห่งข้าเช่นกัน” เมื่อพูดจบ ออเฟียสก็โยนอาวุธปืนของตัวเองทิ้งไป แล้วดึงอาวุธดาบเหล็กยาวออกมามือไว้ในมือแทน “หึ เจ้าได้ปิดหนทางกำชัยของตนไปเรียบร้อยแล้ว ออเฟียส” เฮลิออสพูดไปยิ้มไป เขาดึงดาบออกมาตั้งท่าสู้
วินาทีต่อมา Goliath สองเครื่องก็เข้าปะทะกันทันที มันเป็นการต่อสู้ระยะประชิดวัดฝีมือและความเร็วกันล้วนๆ ออเฟียสเป็นฝ่ายได้โอกาสโจมตีก่อน การโจมตีด้วยอาวุธระยะประชิดของเขานั้นร้ายกาจอย่างที่เขาบอก “ไม่เลว โจมตีหนักแน่น รวดเร็ว แม่นยำ” เฮลิออสเอ่ยปากชม แต่เขาเองก็ใช้อาวุธดาบปัดป้องเอาไว้ได้ทั้งหมด แต่แล้วในจังหวะที่ออเฟียสฟันเข้าใส่แล้วเฮลิออสใช้ดาบปัดการโจมตี ออเฟียสได้ใช้หมัดซ้ายชกตามเข้ามาด้วย
เฮลิออสหรี่ตาลงเล็กน้อย “ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก ข้ามิใช่นักรบชั้นเลวที่จักสิ้นฤทธิ์ต่อลูกไม้ผิวน้ำเช่นนี้” เฮลิออสเอียงคอของ Goliath เพียงนิดเดียวเพื่อหลบหมัดซ้ายของออเฟียส “แย่เสียแล้วสิ” ออเฟียสสบดออกมา Goliath ของออเฟียสชกวืด ทำให้เครื่องของเขาเสียหลัก และถูกเฮลิออสใช้ขาถีบเข้ากลางหลังอย่างแรง Goliath ของออเฟียสกระเด็นไถลไปกับพื้น แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ออเฟียสบังคับให้ Goliath ลุกขึ้นอีกครั้ง “เสด็จพี่แข็งแกร่งสมพระนาม หากแต่ข้าก็มิอาจยอมสยบเพียงเพราะเสียท่าหนเดียว” ออเฟียสพูด
และการต่อสู้ก็ดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดอีกพักใหญ่จนกระทั่ง
ตุม!!
Goliath ของออเฟียสล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง แขนซ้ายของมันได้ขาดออกไป สภาพสะบักสะบอม “ชิ!! เห็นทีข้าจักทำได้เพียงเท่านี้” ออเฟียสพูดกับตัวเอง เพราะ Goliath ของเขาไม่ตอบสนองแล้ว ภาพของเฮลิออสได้แสดงขึ้นบนหน้าจอ “เจ้าสู้ได้เยี่ยมยุทธ ออเฟียส หากแต่ยังห่างไกลที่จักล้มข้าได้” “จงดำเนินตามดำรัสแห่งเสด็จพ่อเถิด อนุชาแห่งข้า เข้าสู่ทางแห่งศิลป์ สรรสร้างสิ่งงดงามให้ Emeria” “เสด็จพ่อตรัสมิเคยคลาดเคลื่อน แม้นเจ้าจักยอดยุทธเหนือนักรบมากหลาย แต่มิอาจไปถึงยอดสุดได้” “เหตุใดจึงมิยอมรับชะตาแห่งตน ดำเนินหนทางแห่งตน และไปอยู่บนจุดสูงสุดที่ตนเจ้าผู้เดียวจักทำได้”
ออเฟียสได้ยินคำพูดของเฮลิออส เข้ายิ้มแบบเซ็งๆ “ขอบพระทัยในเยื่อใยหมายส่งเสริมแห่งเสด็จพี่” “ข้าหยั่งถึงสิ่งนั้นถึงแก่นดีแล้ว หากแต่ข้ามิได้พึงใจในหนทางแห่งศิลป์ ข้าจักขอดำเนินในสิ่งที่ข้าพึงใจ” “ชีวาเราหากไร้ซึ่งความพึงใจ และต้องดำเนินแต่สิ่งที่ทำเลิศโดยขุ่นเคือง จักดำเนินปราณต่อไปเพื่อการใด” “ข้าหยั่งรู้ดีว่า การขบถต่อดำริแห่งเสด็จพ่อย่อมต้องรับทัณฑ์ในสักกาล แต่ข้ากลับยินดีรับทัณฑ์นั้นยิ่ง” “หากสิ่งที่ข้าดำเนินและทัณฑ์ที่ข้ารับทั้งปวง จักทำให้เสด็จพ่อได้หยั่งถึงจิตใจแห่งข้าบ้าง”
เฮลิออสหลับตาลงและเอือมในความรั้นของน้องชาย “หากเจ้าประสงค์เช่นนั้น ก็ตามแต่ใจเจ้า” “ข้าอาจเปี่ยมโชคเหนือเจ้า เมื่อสิ่งที่ข้าพึงใจเป็นสิ่งที่ข้าทำเลิศ … ข้าเห็นใจเจ้ายิ่งนัก” “แต่หากเจ้าพึงใจในการสู้ศึก จงเตรียมใจไว้ว่า จักไม่มีวันใดที่เจ้าอยู่เหนือข้าหรือวัลดัส” “นักรบย่อมเป็นนักรบ จิตรกรย่อมเป็นจิตรกร จิตรกรมิอาจถือดาบสร้างงานศิลป์...” “นักรบก็มิอาจจับพูกันเข้าหั้มหั่นศัตรู… ฉันใดก็ฉันนั้น เจ้ามีชะตาอันมิอาจเลี่ยง ออเฟียส...” เมื่อบทสนทนาระหว่างเฮลิออส และออเฟียสจบลง Goliath ของออเฟียสก็หมดสภาพโดยสมบูรณ์
ผู้ประกาศจึงประกาศผู้ชนะเลิศ คือ เฮลิออส ลา นูอาร์ เขาเป็นผู้พิชิต 4 สมัยซ้อน
หลังจากที่เขาได้รับการประกาศให้เป็นผู้พิชิต จักรพรรดิอเมนฮาราฟก็ติดต่อมาหาเฮลิออส ใบหน้าของอเมนฮาราฟเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพอใจ “ดีเลิศ ดีเลิศยิ่ง โอรสแห่งข้า” “ในบรรดารัชทายาท ข้ากล่าวได้เลยว่าเจ้าเป็นตนเดียวที่มิเคยทำให้ข้าต้องผิดความคาดหวัง” “เฮลิออส เจ้าจงธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิแห่งความสำเร็จนี้ จงอย่าได้สูญเสียมันไป จงอย่าล้มเหลว” “โอรสผู้ไร้พ่าย ผู้ไร้ความล้มเหลวแห่งข้า เจ้าจักได้เป็นยอดนักรบผู้ปกป้องแห่ง Emeria”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง เสด็จพ่อ ข้าให้สัตย์ด้วยชีวา ว่าจักธำรงดำรัสของพระองค์ไว้ตลอดกาล!!” เฮลิออสพูดด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข ตั้งแต่นั้น เขารู้สึกว่า การต่อสู้ การเอาชนะ และความสำเร็จ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตที่เขาต้องรักษาไว้ยิ่งชีพเสมอมา และเขาก็รักษามันมาได้ตลอด 141 ปี
“โอรสผู้ไร้พ่าย ผู้ไร้ความล้มเหลว ผู้เป็นยอดนักรบผู้ปกป้องแห่ง Emeria เช่นนั้นหรือ”
เฮลิออสพูดกับตัวเองเบาๆ ในขณะที่เขาหวนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาไม่สามารถจับตัวไฮเซียได้ เขากัดฟันอย่างแค้นใจ แล้วชกไปที่หน้าจออย่างแรงจนมันเกิดรอยร้าว “ข้าทำให้วาจาเสด็จพ่อมัวหมอง” “ข้ามิอาจควบคุมขนิษฐาตามกิจที่ได้รับมอบ อีกทั้งต้องถอนตัวจากการศึกที่ข้าช่ำชองเลิศต่ออัลม่าอีก” “ข้ามิใช่ผู้ไร้พ่าย ผู้ไร้ความล้มเหลวเฉกเช่นเสด็จพ่อได้ตรัสไว้ เหตุเพราะความเขลาของข้าเอง...”
“ข้าจักชำระตราบาปนี้ด้วยการสังหารสิ้นผู้ที่ฝักใฝ่ Earthian ทั้งอัลม่า ทั้งไฮเซีย ข้าจักสังหารสิ้น!!”
………………………………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jan 10, 2020 18:11:07 GMT
ฐาน ERF เก่า บริเวณอุทยานแห่งชาติฮาคุซัง
สมาชิก ERF จำนวนมากวิ่งกันขวักไขว่ เพราะพวกเขาได้รับสัญญาณบางอย่างมุ่งหน้าเข้ามา แฟ๊งซ์ที่ได้รับข่าวจึงรีบวิ่งมาตามเอ็คโค่จากห้องพักไปยังห้องบัญชาการของฐานทันที เอ็คโค่ไม่รอช้ามุ่งหน้าไปยังหน้าจอรับสัญญาณ เธอเห็นจุดขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา
“ขนาดของมันใหญ่มาก มันใหญ่เกินกว่าจะเป็นโมบิลสูท แถมความเร็วก็สูงมาก...” เอ็คโค่พูดขึ้น คิ้วของแฟ๊งซ์ขมวดเข้าหากัน “มันเป็นยานรบ … แต่ของฝ่ายไหนกันนะ คงไม่ใช่พวกหน่วยรบที่ 42 หรอกมั้ง” “พวกนั้นไม่ได้บอกว่ามียานรบนี่นา เห็นบอกมีแต่โมบิลสูทไม่กี่เครื่องเท่านั้น ใช่มั้ยหัวหน้า?” เอ็คโค่หรี่ตาลงเล็กน้อย “ก็ไม่แน่ เพราะนอกจากพวกนั้นแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครรู้อีกแล้วว่าเราอยู่ที่นี่” “แล้วติดต่อกับทางนั้นได้รึยัง!! ยานนั่นน่าจะมาถึงในอีก 10 นาที เราต้องรู้ว่ายานรบลำนั้นอยู่ฝ่ายไหน”
และก็มีสัญญาณสื่อสารติดต่อมาจากจุดสีแดงใหญ่บนหน้าจออย่างพอดิบพอดี เอ็คโค่ไม่รอให้เจ้าหน้าที่สื่อสารขออนุมัติรับการติดต่อ เธอเป็นคนกดสัญญาณรับการติดต่อด้วยตนเอง แล้วภาพของมาซามิก็โผล่หราขึ้นบนหน้าจอหลักของห้องบัญชาการ “พวกเราคือหน่วยรบที่...อ๊ะ พี่อิซุมิ” เมื่อเห็นมาซามิ สีหน้าตึงเครียดของเอ็คโค่ก็จางหายไป “พวกเธอนั่นเอง เข้ามาได้เลย ชั้นจะไปรอรับ” เอ็คโค่พูดสั้นๆ ไม่ทันที่มาซามิจะพูดต่อ เธอก็วางสายพร้อมสั่งการให้ภาคสนามเตรียมลานจอด
10 นาทีต่อมา
ยานรบ Sephara ได้มาถึงจุดนัดพบที่ฐานเก่า ERF อุทยานแห่งชาติฮาคุซัง และพร้อมลงจอด เสียงเครื่องไอพ่นขับดันดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วป่า แรงขับดันทำให้แนวต้นไม้โดยรอบเซไปมา สมาชิกภาคสนามของ ERF หลายคนถือแท่งไฟโบกไปมาเพื่อนส่งสัญญาณถึงตำแหน่งลงจอด มินาโตะเป็นผู้ควบคุมยาน Sephara เขาใช้ทักษะอันยอดเยี่ยมเพื่อนำ Sephara ลงจอดยังจุดหมาย
“ให้ตายเถอะ ใหญ่เป็นบ้า เจ้าพวกนั้นเอายานลำนี้มาจากไหนกันนะ” แฟ๊งซ์พูดขณะกำลังมองดูการลงจอด เอ็คโค่ยืนอยู่ข้างๆ เธอเพ่งพินิจรูปลักษณ์ของ Sephara “เท่าที่ดู มันเป็นเทคโนโลยี Emerian แน่นอน” “แต่รูปร่างแบบนี้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ” เอ็คโค่พูดเช่นนี้ เพราะมันดูคุ้นตาของเธอมาก “สตาร์เทร็คไงครับหัวหน้า ยานเอ็นเทอร์ไพรซ์ ผมชอบมาเลยเรื่องนี้น่ะ มีกระปอมหูแหลมด้วย” “เทร็คกะผีนายน่ะสิแฟ๊งซ์….หรือว่ามันจะเป็นยานรบในศึกใหญ่ที่ซาฮาร่าเมื่อ 100 ปีก่อน...”
แฟ๊งซ์ทำหน้าตาครุ่นคิด “ศึกใหญ่ที่ซาฮาร่า หมายถึงศึกที่กองทัพโลกพังพินาศไปเกือบหมด” “เพียงเพราะยานรบลำเดียว กับกันดั้มหนึ่งเครื่องอย่างนั้นหรอครับ มันเป็นนิทานหลอกเด็กตะหากหัวหน้า” เอ็คโค่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไม่รู้สินะ คนที่ผ่านศึกนั้นมาก็ตายกันไปหมดแล้ว มันเลยเหลือเพียงเรื่องเล่า” “ที่ว่ายานรบเพียงลำเดียว สามารถรับการโจมตีจากอาวุธทุกชนิด การโจมตีทุกรูปแบบของมนุษย์ได้” “ว่ากันว่า รัสเซียแอบลักลอบใช้หัวรบนิวเคลียร์แบบลับๆ แต่ก็ยังทำลายเป้าหมายไม่สำเร็จเลยล่ะ”
แฟ๊งซ์เสยผมเพื่อเต๊ะท่าจนทำเอาผ้าปิดตาเกือบหลุดโดยไม่ตั้งใจ “ชัวร์ ถ้างั้นชัวร์แล้วล่ะคร้าบ” เอ็คโค่หันไปมองแฟ๊งซ์ด้วยสีหน้าสงสัย “ชัวร์อะไรงั้นหรอ?” แฟ๊งซ์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “โม้ชัวร์ไงครับท่าน” “มันจะมีอะไรต้านทานแรงระเบิดปรมณูได้ล่ะคร้าบหัวหน้า ระเบิดปรมณูน่ะ มีทั้งรังสีแกมม่า ความร้อน” “แสงสว่างที่ทำให้ตาบอดได้ อีกทั้งแรงระเบิดนั้นก็สูงมาก มันแรงขนาดก้อนหินยังแหลกเป็นเม็ดทราย...”
ปั่ก!!...... “โอ๊ย!! เจ็บ เจ็บ เจ็บ!!”
เสียงหัวของแฟ๊งซ์โดนเขกด้วยกำปั้นอย่างแรง “นายนี่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ สินะเนี่ย” “เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูงของ Emerian อย่าไปพูดเองเออเองแบบนั้นเข้าอีกล่ะ” “แล้วชั้นก็จะไม่ต่อมุกของนายว่า นับประสาอะไรกับหัวใจ ให้หรอกนะ? ไอ่เจ้าปัญญาอ่อน!!” “ถ้าพวกเขาลงจอดเสร็จแล้ว เชิญตัวพวกเขาทุกคนไปที่ห้องประชุมฐาน ชั้นจะไปรอที่นั่น!!”
“ครับหัวหน้า!! อิโถ่ ปากบอกไม่ต่อมุกให้ แต่แอบทำแบบเนียนๆ เจอแบบนี้เข้าไป แห้งเลยตู”
……………………………………………………….
ห้องประชุมฐาน ERF เก่า บริเวณอุทยานแห่งชาติฮาคุซัง
มันเป็นห้องมืดทึบ แสงไฟสลัว ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงช่องแอร์ที่ไม่ได้เปิดใช้งาน เอ็คโค่พร้อมสมาชิก ERF จำนวนหนึ่งยืนรอการเข้ามาของหน่วยรบที่ 42 และไฮเซีย เมื่อหน่วยรบที่ 42 ทั้งสี่คนเดินเข้ามาพร้อมไฮเซีย แฟ๊งซ์ที่เดินนำทางมาก็ปิดประตูห้อง
จากนั้นแฟ๊งซ์ก็กันตัวองค์หญิงให้ออกห่างจากหน่วยรบที่ 42 โดยสมาชิกคนอื่นยกปืนขึ้นขู่ “พี่อิซุมิ!! จะทำอะไรคะ!!?” มาซามิตะโกนขึ้นทันที ในขณะที่ยามาโตะ และอินาโฮพยายามขัดขืน แต่ก็มีสมาชิก ERF จำนวนหนึ่งมาล็อคตัวเขาจากด้านหลัง และกดให้ทั้งสองคนคุกเข่าลงกับพื้น มินาโตะเห็นท่าไม่ดี เขาจะควักปืนที่ติดตัวออกจากซองปืน แต่ก็ถูกแฟ๊งซ์ล็อคคอไว้แน่น มาซามิเห็นเช่นนั้น เธอก็คิดจะขัดขืน แต่เธอสังเกตเห็นปืนหลายกระบอก ได้เล็งมาที่เธอแล้ว
เอ็คโค่เงยหน้าขึ้นมองไฮเซียที่มีท่าทีตื่นตระหนก “องค์หญิงซาฮาร่า ไฮเซีย...กรุณาเดินมาตรงนี้ด้วย” ไฮเซียที่กำลังทำอะไรไม่ถูก เธอคิดเสมอว่า ERF จะต้อนรับเธออย่างฉันมิตรอย่างที่อัลม่าบอกไว้ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นตามคาด เธอจึงจำใจต้องเดินเข้าไปหาเอ็คโค่ตามที่เอ็คโค่สั่ง เมื่อไฮเซียเดินมายืนต่อหน้าเอ็คโค่ “ทำ ไม ถึงทำ แบบนี้ คะ เราไม่มี เจต นา ร้าย นะ คะ” “ถ้า จะทำอะไร ก็ทำดิฉัน คนเดียว อย่า ทำ พวกเขา เลยนะคะ พวกเขา เป็นมนุษย์ เหมือน คุณ”
เอ็คโค่มองไฮเซียด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนที่เธอจะชักปืนแม็กนั่มลูกโม่ที่เอวขึ้นมาเล็งหัวของไฮเซีย “ฝ่าบาทรู้รึเปล่าว่า ERF ถูกก่อตั้งมาเพื่ออะไร… ERF ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อกรกับ Emerian อย่างพระองค์” “เราดำเนินภารกิจขับไล่ สังหาร และทำลาย Emerian มาโดยตลอด และตอนนี้ชั้นกำลังรอฟังเหตุผลอยู่” “ว่าทำไมชั้นไม่ควรส่งกระสุนนัดนี้เข้าไปฝังอยู่ในกระโหลกของพระองค์….หวังว่าพระองค์จะให้คำตอบได้”
ไฮเซียเหลือบหันไปมองอินาโฮ แต่อินาโฮกลับมองมาด้วยแววตาจริงจังเพื่อให้ไฮเซียไม่ยอมแพ้ สิ่งที่ไฮเซียรับรู้จากการตอบสนองของอินาโฮคือ พวกเขาไม่เป็นไร ขอให้ไฮเซียพูดในสิ่งที่เธอต้องการไป แววตา และสีหน้าของไฮเซียเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง เธอพยักหน้าตอบกลับอินาโฮ และหันกลับไปหาเอ็คโค่
“ดิฉัน หลบหนีมาพร้อมองครักษ์ จากฐาน จักรพรรดิ เพราะถูกเสด็จพี่ปองร้าย พวกเราไม่มีที่จะไป” “จนดิฉันและองครักษ์ มาพบ กับคนกลุ่มนี้ อีกทั้งเกิดเรื่องราว มากมาย ทำให้ดิฉันเสียองครักษ์ไป” “ดิฉัน ไม่เห็นด้วย กับการ ประกาศสงคราม ของเสด็จพี่อาคเชง และต้องการ จะหยุด สงคราม ครั้งนี้” “จน ในที่สุด ก็ได้ทราบ มาว่าพวกคุณ ก็ ต้องการ หยุดยั้ง สงคราม ที่กำลังเกิดขึ้น เหมือนกัน” “ดิฉัน จึงตั้งมั่น ว่าจะ ร่วมมือ กับพวกคุณ และทำ ในสิ่งที่ เราทั้งสองฝ่าย ต้องการ ให้สำเร็จ”
เอ็คโค่ใช้นิ้วโป้งดึงนกปืนของปืนแม็กนั่มลูกโม่เพื่อบ่งบอกว่า เธอพร้อมที่จะยิงแล้ว ไฮเซียจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเอ็คโค่ “หากคุณไม่เชื่อใจดิฉัน คุณสังหารดิฉันได้ เลย” “เพราะ ถึงคุณ ไม่ทำ เสด็จพี่ ของดิฉัน ก็คง จะทำอยู่ดี ดิฉัน มาที่นี่ เพราะเจตนาเดียวในใจ” “ถ้าดิฉัน จะหนี เอาตัวรอด ดิฉัน คงใช้ Sephara หนีไปไกล แล้ว ถ้าดิฉัน เป็นศัตรูกับพวกคุณ” “ดิฉันก็คงใช้ อิโอน่า ทำลายพวกคุณ ไปแล้ว” เธอพูดจบก็เดินเข้าใกล้จนปลายปืนติดเข้ากับหน้าผาก
เอ็คโค่จ้องมองปะทะสายตากับไฮเซียอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดเธอก็ยกปืนออกจากหัวของไฮเซีย “โอเค พวกเราในนามของ ERF ต้องขอโทษทุกท่าน รวมถึงฝ่าบาทด้วยที่ต้องทำอะไรน่ากลัวแบบนี้ลงไป” “ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่สงคราม เราต้องทำให้แน่ใจที่สุดว่าฝ่าบาทไว้ใจได้ ถึงเลโอจะบอกว่าให้ไว้ใจแล้วก็ตาม” และเมื่อเอ็คโค่พูดแบบนั้น เหล่าสมาชิก ERF ที่คุมตัวหน่วยรบที่ 42 อยู่ ก็ปล่อยตัวพวกเขาให้เป็นอิสระ
จากนั้นเอ็คโค่ก็พูดขึ้นว่า “ชั้นมีอะไรจะคุยกับองค์หญิงและหัวหน้าหน่วยรบที่ 42 หน่อย” “เป็นเรื่องสำคัญ และพวกเธอไว้ใจชั้นได้ ชั้นไม่ทำอันตรายองค์หญิงของพวกเธอหรอก” “จะเป็นการดีถ้าหากพวกเธอจะออกไปก่อนพร้อมกับคนของชั้น พวกเราต้องการสมาธิหน่อย” อินาโฮมองหน้ามาซามิ เขารู้ว่ามาซามิยังคงข้องใจในตัวพี่สาวที่ทำรุนแรงกับพวกเธอเมื่อครู่ “พวกเราออกไปกันเถอะ มาซามิ พี่สาวเธอบอกแล้วนี่ว่าเขาไม่ทำอะไรคุณคอร์เดเลีย แล้วก็อีกอย่าง..” “หัวหน้าก็อยู่ด้วย ชั้นว่าพวกเราน่าจะวางใจได้แล้วล่ะ” อินาโฮพูดขึ้นพร้อมพามาซามิเดินออกไป
มินาโตะมีท่าทีไม่พอใจแฟ๊งซ์เล็กน้อย และดูเหมือนแฟ๊งซ์ก็สังเกตเห็นแววตาที่ไม่พอใจนั้นเข้า “ทำไม? ทำไม? มีไร? เดี๋ยวปั๊ดทุ่มโพเดี้ยมใส่ซะเลยนี่...ไอ่เตี้ยเอ้ย” แฟ๊งซ์พูดเชิงกวนประสาทขึ้น แต่มินาโตะก็ไม่ตต้องการต่อล้อต่อเถียงกับแฟ๊งซ์ เขาเดินตามมาซามิและอินาโฮออกไปเสียเฉยๆ “อ้าวเห้ย ทำเมินหรอ สวยดิงี้!! เดี๋ยวพ่อก็โบ๊ะบ๊ะเข้าให้หรอก!! กลับมาก่อนเห้ย” แฟ๊งซ์เอะอะโหวกเหวก
“แฟ๊งซ์!!!” “อะจึ๋ย!!” เสียงตะคอกดังสนั่นของเอ็คโค่ทำเอาแฟ๊งซ์สะดุ้งเฮือก ก่อนจะค่อยๆ เดินคอตกออกไป
……………………………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jan 10, 2020 18:11:14 GMT
หลังจากที่ห้องประชุมเงียบสงบ
ภายในห้องเหลือเพียงไฮเซีย เอ็คโค่ และ ยามาโตะ เอ็คโค่ก็เริ่มเข้าประเด็นที่เธอต้องการรู้ “เราคงไม่ต้องแนะนำตัวกันแล้วล่ะนะ ยามาโตะ… อย่างที่เธอรู้ตอนนี้ชั้นเป็นหัวหน้า ERF” “นายคงสังกัดกองกำลังสหประชาชาติประจำที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างนั้นสินะ แล้วมีแผนยังไงต่อ” ยามาโตะมองไฮเซีย ก่อนจะตอบว่า “พวกเราหน่วยรบที่ 42 หลังจากถูก Emerian โจมตีจนแตกพ่าย” “ก็กะว่าถ้าหลบหนีพ้น จะเริ่มค้นหาแนวร่วม ไม่ว่ากองกำลังฝ่ายไหน ขอแค่ได้สู้กับ Emerian ก็พอ”
เอ็คโค่หลับตาลงพยักหน้า “เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้น นายเองก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะเข้าร่วมกันเราสินะ” “ครับ” ยามาโตะตอบกลับสั้นๆ จากนั้นเอ็คโค่หันไปทางไฮเซีย “แล้วฝ่าบาทล่ะ จะทำยังไงต่อไป” “ตามข้อมูลทางเราพอจะทราบมาว่าฝ่าบาทเองก็ยังไม่ได้มีกองกำลังเหมือนรัชทายาทพระองค์อื่น” “ถ้าจะทำตามที่บอกเมื่อครู่...หยุดยั้งสงครามน่ะ...ฝ่าบาทจะอาศัยเพียงคำพูดอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะคะ”
ไฮเซียทบทวนคำพูดของเอ็คโค่ดู เธอก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่เธอก็นึกถึงสิ่งที่อัลม่าบอกเธอไว้ นั่นก็คือ เธอต้องการกองกำลังเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์ และให้มาพบ ERF เพื่อร่วมมือกันหยุดสงคราม “ดิฉัน ทราบดี ว่าดิฉันไม่อาจใช้เพียงคำ พูด สวยหรู ในการ ยุติสงครามนี้ ลงได้ ดังนั้น ดิฉันจึงคิดว่า..” “จะขอช่วยเหลือ พวกคุณ ในการ ยุติสงครามครั้งนี้ ดิฉัน จะให้ ข้อมูล และดำเนินการ ทุกอย่าง ที่เป็นประโยชน์” “และหวังว่า การกระทำ ของดิฉัน จะช่วย พวกคุณ ให้เป็นฝ่าย ได้เปรียบ และได้รับ ชัยชนะตามที่คาดหวัง”
เอ็คโค่ขยับมายืนต่อหน้าของไฮเซีย “แต่ชั้นมีทางออกที่ดีกว่านั้นให้ฝ่าบาท และมันต้องเป็นฝ่าบาทเท่านั้น” “ดิฉันได้เข้าร่วม ERF มาเป็นเวลานาน เรียนรู้โครงสร้าง แผนการดำเนินการทุกอย่างขององค์กรเป็นอย่างดี” “เข้าใจหัวอกของสมาชิกทุกคนที่เข้าร่วม และพยายามทำหน้าที่ให้ลุล่วงเพื่อวัตถุประสงค์ขององค์กร” “กระทั่งได้มีโอกาสได้ขึ้นมารับหน้าที่หัวหน้ากลุ่ม ERF … แต่มันก็นานมากแล้วที่ชั้นได้เข้ามายืนที่จุดๆ นี้” “มันไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย แม้ชั้นจะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ พยายามเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น”
“จนวันหนึ่ง เลโอได้บอกชั้นว่า ERF จะประสบความสำเร็จได้ จะต้องมีบางสิ่งที่ชักจูงใจผู้คนได้มากกว่านี้” “บางสิ่งที่จะสร้างแรงกระเพื่อมมากพอที่จะทำให้ทุกคนบนโลก ทั้ง Earthian และ Emerian ต้องสั่นสะท้าน” “และตัวชั้นเองไม่มีคุณสมบัติที่จะทำแบบนั้นได้ แต่ในทางกลับกัน หากเป็นฝ่าบาทแล้วล่ะก็ มันต่างออกไป” “Earthian จะรวมกันเป็นหนึ่งเพราะมีองค์หญิงรัชทายาทเป็นผู้ชี้นำ Emerian จะต้องกลับไปทบทวนตัวเอง” “พวกเขาจะสงสัยในตัวเองว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้น มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เมื่อฝ่าบาทเริ่มเห็นต่าง”
ไฮเซียขมวดคิ้ว หรี่ตาด้วยความสงสัย “ที่คุณ มิราจ พูด หมายความ ว่ายังไง หรอ คะ” เอ็คโค่ทรุดตัวลงนั่งชันเข่าต่อหน้าไฮเซีย ทำให้ทั้งไฮเซียและยามาโตะประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ชั้นจะขอให้ฝ่าบาทมาเป็นผู้นำพวกเรา และเป็นผู้ชี้นำแสงสว่างให้กับโลกใบหนี้ในฐานะผู้นำ ERF” ไฮเซียรีบก้มลงจับไปที่แขนของเอ็คโค่เพื่อดังเอ็คโค่ให้ลุกขึ้น “ดิฉัน...ทำแบบนั้น ไม่ได้ หรอกค่ะ” “ลุกขึ้นเถอะ นะคะ คุณ มิราจ” แต่เอ็คโค่ดึงดันไม่ยอมลุกขึ้น เธอตั้งใจแน่วแน่ในสิ่งที่เธอพูดออกไป
ไฮเซียรู้สึกสับสน เธอเองไม่มั่นใจว่าการรับหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่ม ERF จะเป็นความคิดที่ดีหรือไม่ สมาชิกของกลุ่มจะคิดอย่างไร รวมไปถึงมันจะสามารถปลุกกำลังใจให้ Earthian ให้ร่วมกันสู้กับ ERF หรือเปลี่ยนใจ Emerian ให้เลิกคิดทำสงครามตามการชี้นำของอาคเชงได้จริงๆ อย่างที่เอ็คโค่พูดหรือไม่ แต่เมื่อเอ็คโค่ไม่ยอมลุกขึ้น ไฮเซียจึงเลือกที่จะยอมรับแบบครึ่งๆ กลางๆ แทน “ถ้าเช่นนั้น เอาอย่างนี้ ไหมคะ” “ดิฉัน จะขอ เข้าร่วมกับ ERF ก่อน แล้วขอ เวลา ให้ดิฉัน ได้ทบทวน สิ่งที่คุณมิราจ พูด อีกครั้งหนึ่ง” “หาก เพียงแค่การ เข้าร่วม ERF มันไม่ ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ถึงตอนนั้น ดิฉัน จะยอม รับหน้าที่ ผู้นำกลุ่ม ERF”
เอ็คโค่ได้ยินอย่างนั้น เธอมั่นใจแน่นอนว่าในไม่ช้า ไฮเซียจะต้องตอบรับการเป็นผู้นำกลุ่ม ERF แน่นอน เธอจึงลุกขึ้น “เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ถ้างั้น ชั้นขอชี้แจงแผนเบื้องต้นในสถานการณ์ปัจจุบันให้ทราบก่อนนะคะ” “เราจะเดินทางออกจากที่นี่ แล้วไปสมทบกับกองเรือเพื่อเดินทางกลับไปตั้งหลักที่ฐานบัญชาการใหญ่ก่อน” “แต่มันอาจจะกินเวลานานไปสักหน่อย ชั้นจะส่งพิกัดของฐานบัญชาการให้ก่อน เพราะพวกคุณมียานรบ” “พวกคุณน่าจะไปถึงที่นั่นก่อนพวกเรา จากนั้น เราจึงค่อยเริ่มแผนการรวบรวมกองกำลังจากทั่วโลก”
มายาโตะจึงเสนอความคิดขึ้นว่า “ถ้างั้นเอาอย่างนี้มั้ยล่ะครับ ในเมื่อคุณคอร์เดเลียเข้าร่วม ERF แล้ว” “ทำไมเราไม่ใช้ Sephara เดินทางไปพร้อมกันทั้งหมดนี่เลยล่ะ มันจะประหยัดเวลาลงไปมากเลยนะครับ” เอ็คโค่มีท่าทีสงสัย “Sephara อย่างนั้นหรอคะ” ยามาโตะจึงพูดต่อไปว่า “ยานรบลำนั้นไงล่ะครับ” “อีกอย่าง ยานรบลำนั้นเป็นยานรบขนาดใหญ่ ลำพังแค่หน่วยรบที่ 42 ที่มีแค่ 4 คน ไม่สามารถใช้การมันได้” “เราต้องการลูกเรือเพิ่ม ตอนนี้เราเป็นส่วนหนึ่งของ ERF แล้ว ผมคิดว่าคุณมีอำนาจสั่งการ Sephara ด้วยน่ะครับ”
เอ็คโค่มองหน้าไฮเซีย เพื่อดูปฏิกิริยาของไฮเซีย และสิ่งที่เธอได้ก็คือ “ดิฉัน เห็นด้วย กับคุณ คิระ ค่ะ” เอ็คโค่จึงสรุปความว่า “เอาอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน เราทั้งหมดทุกคนที่นี่จะเดินทางไปกับ Sephara” “โดยจุดมุ่งหมายคือฐานบัญชาการใหญ่ ERF ….ยินดีต้อนรับเข้าสู่ ERF นะคะ องค์หญิงซาฮาร่า ไฮเซีย”
เอ็คโค่ยื่นมือขวาออกไป และในคราวนี้ ไฮเซียก็ยื่นมือขวามาจับเอาไว้ เป็นการตกลงในแบบที่มนุษย์ทำ
……………………………………………………….
ที่ห้องอะไหล่บน Sephara
ระหว่างที่ยามาโตะและไฮเซียคุยอยู่กับเอ็คโค่นั้น มินาโตะได้มาอยู่ที่ห้องอะไหล่บน Sephara แห่งนี้ เขากำลังวุ่นอยู่กับการจัดแจงอะไหล่ที่มีมากมายอยู่ ในมือของเขาถือ Tablet ควบคุมห้องนั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย โดยอินาโฮและมาซามิ ที่อุ้มเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้าได้เดินเข้ามา
“ทำอะไรอยู่หรอ มินาโตะ” อินาโฮถามขึ้นทำเอามินาโตะสะดุ้งเล็กน้อย “ไม่ ไม่มีอะไรหรอก จัดของนิดหน่อยน่ะ” มาซามิปล่อยเดอะเกรท อัลทิเมท เอ็กโซติก นีโอนานาชิ รุ่นที่สิบเก้าลงให้วิ่งเล่น “เอ๊ะ ในมือนายนั่นอะไรหรอ” มินาโตะมองที่มือของตัวเองซึ่งถือ Tablet อยู่ “อ๋อ เจ้านี่น่ะหรอ ดูเหมือนอุปกรณ์ควบคุมโซนอะไหล่นี้ล่ะนะ” “จะว่าไป ในห้องนี้ก็มีของเยอะแยะไปซะหมด ชั้นเลยจัดแจงเก็บให้มันเข้าหมวดหมู่เพื่อความสะดวกในการใช้สอย” มินาโตะมองดูทัังอินาโฮและมาซามิสักพัก เขาก็ตัดสินใจยื่น Tablet ให้มาซามิ “ชั้นยกให้เธอจัดการก็แล้วกัน”
“แต่มันมีอยู่โซนนึง ชั้นได้ปิดตายเอาไว้ มันมีวัตถุอันตรายอยู่ ชั้นไม่อยากให้ใครได้เห็นมันเท่าไร” “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวก ERF ได้ยินว่าหัวหน้าและองค์หญิงตัดสินใจเข้าร่วมกับ ERF แล้วด้วย” “ถึงอย่างนั้น คนพวกนี้ก็เคยเป็นกองโจร...ถึงจะเป็นพี่สาวของมาซามิก็เถอะนะ ชั้นว่าก็ยังไม่น่าไว้ใจ” “ชั้นเลยอยากให้พวกนายช่วยเก็บมันไว้ให้ดี ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปแตะต้องอะไรในโซนนั้นก็แล้วกัน” สิ่งที่มินาโตะพูดนั้น ฟังดูกำกวมชวนสงสัย แต่ด้วยความเชื่อใจเพื่อน อินาโฮและมาซามิจึงไม่ซักไซ้ต่อ
มาซามิรับ Tablet มาแล้วมองไปรอบๆ ที่เต็มไปด้วยชิ้นส่วนโมบิลสูท “อะไหล่พวกนี้ใช้การได้มั้ยนะ” อินาโฮจึงก้มลงดูอะไหล่บางชิ้น “ดูเหมือนน่าจะพอใช้การได้ แต่ต้องดัดแปลงเยอะพอดูเลยล่ะ” มินาโตะยิ้มอย่างชอบใจ “ชั้นวางแผนเอาไว้แล้วล่ะนะ ว่าจะใช้อะไหล่พวกนี้ยังไงดี รับรองว่าเจ๋งสุดๆ” “ชั้นจะใช้อะไหล่พวกนี้ดัดแปลงเข้ากับเครื่อง F37 ของเราทั้ง 3 เครื่อง มันจะแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล” “ทีนี้ ชั้น มาซามิ และหัวหน้าคิระ ก็จะสามารถช่วยนายในการสู้รบได้ดีขึ้น ไม่เป็นตัวถ่วงอีกแล้วล่ะ”
มาซามิทำหน้าสงสัย “มันจะอะไรขนาดนั้น กับอิแค่เปลี่ยนชิ้นส่วนของ F37 เท่านั้นน่ะนะ” “ไม่หรอกมาซามิ ที่มินาโตะพูดน่ะ ถูกต้องเลยล่ะ” อินาโฮลุกขึ้นมาแล้วตอบ พร้อมยื่นชิ้นส่วนให้มาซามิ มาซามิรับชิ้นส่วนเล็กๆ มาดู เธอเพ่งแล้วเพ่งอีก ก็ไม่เข้าใจว่าที่อินาโฮพูดหมายถึงอะไร และในมือเธอคืออะไร มินาโตะจึงแถลงไขว่า “ในมือเธอนั่นน่ะ ทำจากวัสดุพิเศษ มันคือ Gundarium Composite Alloy” “วัสดุที่ใช้สร้างกันดั้ม เป็นแบบเดียวกันกับที่อิโอน่าใช้อยู่ มันแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลยล่ะ” รอยยิ้มบนใบหน้าของมาซามิบ่งบอกถึงความตื่นเต้น “ดีจังเลย แบบนี้เราก็ช่วยอินาโฮได้แล้วจริงๆ”
แต่แล้วความเงียบสงบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงสัญญาณเตือนภัย
สมาชิก ERF ทั่วฐานวิ่งเข้าประจำตำแหน่งกันอลหม่าน พวกเขาตะโกนลั่นว่า “กันดั้ม!! กันดั้มบุกแล้ว”
อินาโฮ มาซามิ และมินาโตะ มองหน้ากัน อินาโฮขมวดคิ้วด้วยความกังวล
“กันดั้มอย่างนั้นหรอ ต้องเป็นเจ้านั่นอีกแน่”
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jan 27, 2020 5:41:22 GMT
EP5 : From Shadow ฐาน ERF เก่า บริเวณอุทยานแห่งชาติฮาคุซัง
ภายหลังจากได้รับการรายงานจากสมาชิก ERF ที่รับหน้าที่สังเกตการณ์ว่าศัตรูกำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา เอ็คโค่จึงรีบออกคำสั่งให้สมาชิก ERF ในฐานทุกคนเร่งมืออพยพขึ้นไปในยานรบ Sephara ในทันที แต่การเดินทางมาคราวนี่ ไม่ได้มาเพื่อให้ช่วยเหลือไฮเซียอย่างเดียว แต่ยังมาเพื่อกู้ยุทโธปกรณ์เก่าด้วย ทำให้การขนย้ายยุทโธปกรณ์เก่าที่พอใช้การได้เป็นอุปสรรคต่อความรวดเร็วในการเคลื่อนพล อินาโฮรีบขึ้นไปนั่งประจำที่ในห้องนักบินของกันดั้มอิโอน่า เขาเริ่มเปิดระบบเพื่อเดินเครื่องทันที
แต่แล้วในจอภาพของอิโอน่าก็มีภาพของเอ็คโค่แสดงขึ้น “ร้อยตรีโฮรูโตะ เธอจะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้” อินาโฮประหลาดใจมากจึงถามออกไปว่า “ทำไมกันล่ะครับ ถ้าไม่ให้ผมออกไปสู้ แล้วใครจะต้านศัตรูเอาไว้” เอ็คโค่ไม่ได้มีท่าทีอะไรนอกจากสีหน้านิ่งเฉย “เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องกังวล ชั้นมีแผนรับมืออยู่แล้ว” “ระหว่างนี้การขนย้ายยุทโธปกรณ์ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว สมาชิกของเราที่ยังไม่ได้ขึ้นยานก็มีอยู่ไม่มาก อย่าห่วงเลย” อินาโฮยังคงไม่เห็นด้วย “คุณไม่รู้พลังของกันดั้มเครื่องนั้นดี ถ้าไม่ส่งผมออกไป พวกเราจะตายกันหมดนะครับ”
เอ็คโค่หลับตาลงถอนหายใจ เธอจำเป็นต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากจะพูด “ส่งเธอออกไป แล้วเธอจะทำอะไรได้?” “ชั้นเห็นบันทึกการต่อสู้ระหว่างเธอกับองค์ชายคนนั้นจากเลโอแล้วล่ะนะ ส่งเธอออกไป ก็เท่ากับส่งไปตายเปล่า” “ไม่ว่าฝีมือ ชั้นเชิง หรือสัญชาตญาณ ไม่มีข้อไหนเลยที่เธอเหนือกว่า อาศัยแค่อาวุธทัดเทียมกัน ไม่ชนะหรอกนะ” “เธอจำเป็นจะต้องฝึกฝนการต่อสู้อีกมาก สิ่งที่กองทัพ UN สอนมันเอามาใช้ต่อสู้กับ Emerian จริงๆ ไม่ได้แน่” “ถ้าคิดว่าอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ ช่วยทำตามที่ชั้นบอกด้วยก็แล้วกัน รักษาชีวิตเอาไว้ นี่คือคำสั่ง!!”
อินาโฮรู้สึกเหมือนถูกเอ็คโค่ดูถูก แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจจริงๆ ก็คือ การที่เขาจะต้องนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย และปล่อยให้คนอื่นช่วยให้เขาปลอดภัย “แต่ว่า!!” อินาโฮพยายามจะโต้แย้ง แต่เขาก็ถูกห้ามไว้โดยเสียงจากอุปกรณ์สื่อสาร “เชื่อผู้หญิงคนนั้นเถอะ ร้อยตรีโฮรูโตะ” อินาโฮชะงักไปชั่วขณะ เขาหันไปมองข้างสะพานเดินเรือ เขาเห็นยามาโตะกำลังถืออุปกรณ์สื่อสารมองมาที่เขา ข้างกายของยามาโตะ ก็มีมาซามิ และมินาโตะยืนอยู่ด้วย ยามาโตะจึงพูดต่อไปว่า “นายลงมาก่อนเถอะ”
“ตอนนี้พวกเราทั้ง 5 คน เป็นหนึ่งในสมาชิกของ ERF แล้ว และคุณมิราจก็เป็นหัวหน้าผู้มีอำนาจสั่งการ” “ชั้นเชื่อว่าสิ่งที่หัวหน้ามิราจทำน่ะมีเหตุผล เธอคนนั้นไม่ดั้นด้นมาถึงนี่เพื่อปล่อยให้กันดั้มถูกทำลายหรอก” อินาโฮจำใจต้องปิดการทำงานของอิโอน่าลง และโรยตัวกลับลงมาจากห้องนักบินของกันดั้มอิโอน่า เมื่ออินาโฮเดินเข้ามาถึงกลุ่มเพื่อน มินาโตะตบไหล่ของอินาโฮเบาๆ เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนดี
แต่มินาโตะเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “หัวหน้าคิดว่า หัวหน้ามิราจจะรับมือกับกันดั้มได้จริงๆ หรอครับ” ยามาโตะหันมาตอบตามความจริงที่เขาคิด “ชั้นเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าหัวหน้ามิราจจะแบบนั้นทำได้” “แต่เท่าที่ฟังมา เหมือนกับว่าทางนั้นได้รับการสนับสนุนจากคนที่ชื่อว่าเลโอ คนที่ทำหน้าที่ประสานงาน” “เห็นว่าเดิมทีเลโอทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง UN กับ Emeria ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์” “และได้ทำการศึกษาวิธีการต่อสู้รับมือ Emerian เชิงลึก จนสร้างหลักสูตรนักบินที่เอาไว้รับมือ Emerian ขึ้น” “และเมื่อพวกเราถึงฐานบัญชาการใหญ่ของ ERF เราทั้ง 4 คนก็จะได้รับการฝึกฝนตามหลักสูตรนั้นด้วย” “บางทีคราวนี้เราอาจจะได้เห็นว่าหลักสูตรที่เลโอสร้างขึ้นนั้นมันร้ายกาจอย่างที่บอกมารึเปล่า”
มาซามิพูดเสริมขึ้นจากความรู้สึกของเธอว่า “แต่ชั้นเชื่อในแผนการของพี่นะคะ...พี่น่ะ ไม่เคยทำอะไรโดยไม่คิด” “แต่ก่อนแต่ไรก็เป็นแบบนี้มาตลอด เวลาจะทำอะไร พี่จะคิดหน้าคิดหลังเสมอ ราวกับคนย้ำคิดย้ำทำเลยล่ะ” ยามาโตะเหลือบไปมองมาซามิ “เรื่องนั้นชั้นเองก็รู้ดี เพราะส่วนตัวแล้วก็รู้จักหัวหน้าเอ็คโค่ในระดับหนึ่งเหมือนกัน” “เมื่อก่อน ตั้งแต่ยังไม่เข้ากองทัพ ชั้นเป็นนักดนตรี และเคยไปเล่นดนตรีในงานพบปะของพวกผู้ใหญ่หลายครั้ง” “และได้รู้จักกับเอ็คโค่ ชั้นยอมรับว่าพี่สาวของเธอเป็นคนมีความสามารถ เลยอยากลองเชื่อใจดูสักครั้ง”
มินาโตะจับแมวอ้วนขนขาวบนบ่าของมาซามิขึ้น ในขณะที่มันเริ่มจะตะกุยผมของมาซามิจนยุ่งเหยิง “ถ้างั้นพวกเราก็ไปหาที่ปลอดภัยในยานลำนี้กันดีกว่า ไปด้วยกันมั้ยครับหัวหน้า อินาโฮ มาซามิ?” “พวกนายทุกคน ยกเว้นคุณคอร์เดเลียจะไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น เราต้องอยู่ที่นี่” ยามาโตะพูดขึ้น มินาโตะสงสัยจึงถามกลับไปว่า “เอ้า ไหนหัวหน้าบอกว่าเชื่อใจหัวหน้ามิราจแล้วไม่ใช่หรอครับ” “ถ้างั้น จะให้พวกเราอยู่ที่สะพานเดินเรือนี่ต่อทำไมกันล่ะครับ” คำถามนี้ทำให้ทุกคนมองไปยังยามาโตะ “เชื่อใจมันไม่ได้หมายความว่าตายใจหรอกนะร้อยตรีโทยะ ยังไงซะ เราเองก็ต้องมีแผนสองสำรองไว้” “เราจะอยู่ที่นี่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ถ้าหัวหน้ามิราจพลาดท่า พวกเราค่อยออกไปสู้กับมัน” เมื่อได้ยินที่ยามาโตะพูด ทุกคนก็มองหน้ากัน และพยักหน้าเป็นการตกลงรับคำสั่งของยามาโตะ
อินาโฮมองไปรอบๆ “แล้วคุณคอร์เดเลียล่ะครับหัวหน้า” ยามาโตะตอบสั้นๆ ว่า “อยู่ในที่ปลอดภัยแล้วล่ะ”
.................................................................
ในที่สุด องค์ชายเฮลิออสก็มาถึง
กันดั้มซาวิทาร์ มุรามาสะ พุ่งลงมาจากด้านบนลงกระแทกพื้นกลางฐานฐาน ERF เก่า แรงกระแทกทำให้เกิดคลื่นอัดอากาศรุนแรง พื้นของฐานที่เป็นดินลูกรังเกิดฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ในขณะนั้น ยานรบ Sephara ก็ได้ปิดประตูขนของบานสุดท้ายที่ท้ายลำเรียบร้อย พร้อมออกเดินทาง แม้จะไม่ได้ดูภาพหน้าจอหลัก แต่ทุกคนบนยานรบ Sephara ก็รับรู้ได้ว่าการปะทะกำลังจะเริ่มแล้ว ไฮเซียที่ถูกสั่งให้อยู่ในห้องพักของเธอในตัวยาน Sephara ได้แต่ภาวนาให้ ERF จะแคล้วคลาด
เฮลิออสมองไปรอบๆ จนสายตาของเขามาหยุดที่ยานรบลำใหญ่สีขาว “เซฟาร่าเช่นนั้นหรือ!!” “เหตุใดเรือธงแห่งกองทัพจักรพรรดิจึงมาอยู่ที่แห่งนี้ได้….รึว่า...อัลม่า...เป็นเจ้าอีกแล้วเช่นนั้นหรือ!!” เฮลิออสเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี และเขาก็รู้ได้ทันทีว่าไฮเซียอยู่ใน Sephara “เช่นนั้นก็ย่อมได้ ข้าจักทำลายเรือศึกลำนั้นไปพร้อมกับลมปราณแห่งเจ้า...ซาฮาร่า ไฮเซีย” เขาไม่รอช้าที่จะดึงดาบมุรามาสะยาวร่วม 14 เมตรออกมา และเร่งท่อขับดันพุ่งเข้าหา Sephara
แต่ก่อนที่กันดั้มซาวิทาร์จะเข้าถึงด้านหลังของยานรบ Sephara ก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด วิถีกระสุนพุ่งเข้าหากันดั้มซาวิทาร์จากป่าด้านนอกฐาน ERF มันพุ่งเข้ามารวมแล้ว 4 ทิศทาง เฮลิออสต้องดึงตัวเครื่องของเขากลับหลังเพื่อลดความเร็วชั่วขณะ พร้อมเอี้ยวตัวหลบกระสุน เขาหลบกระสุนส่วนใหญ่ได้ แต่ก็มีกระสุนชุดหนึ่งเข้าปะทะกับเกราะที่หัวไหล่ข้างซ้าย แรงปะทะทำให้กันดั้มซาวิทาร์เซเสียหลักเล็กน้อย ทำเอาเฮลิออสหัวเสียขึ้นมาทันที มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ Sephara ได้เริ่มลอยตัวขึ้นจากพื้น และเริ่มเคลื่อนที่เพื่อหนี
“เจ้าพวกมนุษย์ต่ำตม เหล่าเจ้าช่างโง่เขลาที่ริอาจต่อกรต่อข้า อาวุธของเจ้าช่างไร้...” เฮลิออสพูดไม่ทันจบดี เขาก็รู้สึกได้ว่ามีวัตถุขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากตกกระทบบนพื้นใกล้ๆ หางตาของเหลือจึงเหลือบไปมองที่ไหล่ซ้าย เขาพบว่าเกราะไหล่ซ้ายของเขาได้ถูกทำลายลง และสิ่งที่ตกกระทบพื้นใกล้ๆ เมื่อครู่ มันก็คือชิ้นส่วนเกราะที่ไหล่ซ้ายของกันดั้มของเขาเอง เขาใช้ชั่ววินาทีนึกย้อนไปในวินาทีที่เขาถูกโจมตี จึงรู้ได้ว่ากระสุนที่โจมตีใส่เขานั้นไม่ใช่แค่ 1 นัด แต่มันเป็นการยิงกระสุน 3 ชนิดเข้ามาใส่แบบ 3 นัดซ้อนกันติดๆ จึงทำลายเกราะของเขาได้
“ช่างบังอาจยิ่งหนัก ข้าจักสำแดงเดชให้เหล่าเจ้ารับรู้ถึงภัยที่เหล่าเจ้าถวิลหา!!” ตอนนั้นเองเฮลิออสก็เห็นว่า Sephara เริ่มเคลื่อนที่หนีห่างออกไป และมุ่งหน้าลงไปทางทิศใต้ เขาจึงไม่อาจจะเสียเวลากับศัตรูที่ซุ่มโจมตีอยู่ได้นาน เพราะอาจทำให้ภารกิจล้มเหลวลงได้ หากเขากลับไปยังฐานจักรพรรดิโดยไม่ได้ตัวไฮเซียกลับไปอีก จะยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวของตนเอง
กันดั้มซาวิทาร์เปิดช่องเล็กๆ ที่ข้างเอวซ้าย มีแท่งเหล็กเล็กๆ เหมือนด้ามมีดโผล่ออกมา 3 ชิ้น จากนั้นกันดั้มซาวิทาร์ใช้มือขวาจับด้ามเหล็กเล็กๆ แล้วสบัดมันออกไปเป็นอาวุธมีดร่อน เขาปามันออกไปในป่าโดยปาอาวุธมีดร่อนออกไปครั้งละ 3 เล่ม และปาไปทั้ง 4 ทิศทาง วินาทีต่อมา เครื่อง F33 สีน้ำตาลจำนวน 4 เครื่องก็ทะยานขึ้นจากแนวป่าเพื่อหลบมีดร่อน F33 ทั้ง 4 เครื่องนั้น ถือปืนยาวสีดำยาว 8 เมตร เล็งและยิงเข้ามาที่ซาวิทาร์อย่างต่อเนื่อง
แนวการยิงของ F33 ทั้ง 4 เครื่องถูกจัดวางมาอย่างเป็นระบบ ทำให้ซาวิทาร์เข้าไม่ถึง Sephara หากการโจมตีระรอกแรกไม่ทำให้ซาวิทาร์เสียหาย เฮลิออสก็คงเดินหน้าบุกต่อไปแล้ว “ช่างน่ารำคาญเสียจริง ข้าจักสอนให้เศษต่ำตมเช่นเจ้าตระหนักความแข็งแกร่งแห่งข้า!!” เฮลิออสพูดขึ้นพร้อมเปลี่ยนเป้าหมายการโจมตีมายังฝูง F33 แทน และปล่อยให้ Sephara บินขึ้น แต่การบุกก็ไม่สามารถทำได้อย่างถนัดถนี่นัก เฮลิออสต้องหลบกระสุน Tripple Shot จำนวนมาก
ยามาโตะที่นั่งดูการต่อสู้อยู่บนยาน Sephara ตาลุกวาวเมื่อได้เห็น “ยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลย” “พวกเขาทั้ง 4 คน ไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าปืนอานุภาพสูง แต่กลับสู้กับกันดั้มได้แบบไม่เสียเปรียบ” มินาโตะพูดเสริมต่อว่า “นี่คงเป็นหลักสูตรที่พวกเราจะต้องไปฝึกกันที่ฐานใหญ่ ERF น่าสนใจมาก!!” มาซามิหันไปหาอินาโฮ “ถ้าแบบนี้เราต้องชนะแน่ๆ เลยล่ะ นายคิดแบบนั้นเหมือนกันรึเปล่าอินาโฮ” แต่สีหน้าอินาโฮดูนิ่งเฉยมาก “มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกมาซามิ ดูดีๆ ฝ่ายเรากำลังถูกไล่ต้อนอยู่ชัดๆ”
ทางด้านห้องบัญชาการ แฟ๊งซ์ยืนกำหมัดด้วยความลุ้นอยู่ข้างๆ เก้าอี้บัญชาการของเอ็คโค่ “มันต้องอย่างนั้นสิ ยิงเข้าไป ยิงเข้าไป เออ สวย!!” แฟ๊งซ์เป็นคนเดียวที่ส่งเสียงเฮดังในห้องเงียบสนิท ในขณะที่เอ็คโค่มีสีหน้าวิตกอยู่ไม่น้อย “ยังไม่มาอีกอย่างนั้นหรอ…. ตามที่ตกลงกันไว้ จะต้องมาแล้วนะ” เธอบ่นบางอย่างเบาๆ สายตาของเธอมองไปที่แผงควบคุม เธอมองไปยังปุ่ม “Arch Frame : Deactivated” “นี่น่ะหรอ ระบบ Arch Frame ที่ยามาโตะบอกว่าถ้าไม่จำเป็นห้ามใช้เด็ดขาด….เอาเป็นว่า ขอให้มาทันทีเถอะ”
ส่วนอีกมุมหนึ่งในห้องพักของตัวยาน Sephara ไฮเซีย นั่งมองภาพการต่อสู้ภายนอกอยู่ สีหน้าของเธอดูเครียดมาก ในใจของเธอไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจด้วยกันทั้งนั้น เพราะฝั่งหนึ่งคือนักบินยอดฝีมือของ ERF จำนวน 4 คนที่กำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตเธอ ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง แม้จะเป็นฝ่ายที่ไล่ล่าและไม่หวังดีต่อตัวเธอ แต่เฮลิออสก็ยังคงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอ
ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินของ Sephara ก็แจ้งเอ็คโค่ว่า “กัปตันคะ เครื่องได้ระดับความสูงแล้วค่ะ” เอ็คโค่ได้ยินการรายงาน เธอตอบสนองทันทีแบบแทบไม่ต้องพินิจพิเคราะห์ “ดีมาก เดินหน้าเต็มกำลัง!!” Sephara เร่งท่อขับดันหลักที่ท้ายตัวยานหลังไต่ความสูงขึ้นได้ระดับออกตัว และเริ่มเร่งความเร็ว แฟ๊งซ์ยังคงตื่นเต้นกับการต่อสู้ด้านล่างอยู่ “เออนั่นแหละ ตีเข่า ตีเข่า แย๊บซ้าย แย๊บขวา ฮุกขวา เสยปลายคาง!!”
“แตก!!!”
ตูม!!!!!!!!!!!!!!!!!
F33 ลำแรก ถูกดาบมุรามาสะของซาวิทาร์สับกลางหัวผ่าลงสุดลำตัวขาดสองท่อน และระเบิดขึ้นทันที
……………………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jan 27, 2020 5:41:30 GMT
ใจกลางเมือง Sydney ประเทศออสเตรเลีย
ตัวเมืองยังคงสงบราวกับไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น แต่ห่างออกไปจากตัวเมืองนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง เศษซากเครื่อง F37 สังกัดกองทัพออสเตรเลียจำนวนมากถูกทำลายกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ และการต่อสู้ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง F37 นับร้อยพยายามกระหน่ำยิงใส่โมบิลสูท Emeria แต่โมบิลสูทของ Emeria นั้นกลับมีเพียง 4 เครื่องเท่านั้น และมันก็มีหน้าตาแตกต่างไปจาก Goliath
โมบิลสูททั้งสี่เครื่องมีรูปร่างที่เพียวกว่า สีขาวตัดทองอมเขียว ช่วงไหล่กลมใหญ่ หน้าตาดุดัน มันเป็นเครื่องรุ่นพิเศษติดตราของกองทัพอาคเชง แน่นอนว่ามันเป็นเครื่องของมหาจตุองครักษ์ ทั้งสี่เครื่องมีอาวุธปืนยาว ซึ่งยาวกว่า 17 เมตร เกือบเท่าความสูงของตัวเครื่องเลยก็ว่าได้ และยังมีอาวุธประชิดที่ใช้งานด้วยแขนซ้ายเป็นอาวุธดาบ พวกเขาใช้มันอย่างชำนาญ ทั้งป้องกัน และโจมตี ประกอบอานุภาพของปืนยาวลำแสงนั้นน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก ไม่แปลกที่กองทัพของออสเตรเลียที่มีมากกว่าสองร้อย ไม่สามารถทำอะไรองครักษ์ทั้งสี่ได้เลย
อีกมุมหนึ่ง
มันเป็น Shelter ใต้ดินที่นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียและผู้บริหารระดับสูงได้เข้ามาหลบภัย ทางเข้าเป็นฝาโลหะหนาขนาดใหญ่ พวกเขาเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าไม่มีอะไรทำลายมันได้ แม้กระทั่งแรงระเบิดของระเบิดปรมาณูก็ไม่สามารถทำให้ฝาโลหะนั้นพังทะลาย และโดยรอบทางเข้า มีเครื่อง F37 จำนวนเกือบ 20 เครื่อง คอยทำหน้าที่อารักขา
ตูม!!!
เพียงเสี้ยววินาทีที่กระพริบตา F37 ที่คุ้มกับ Shelter ทั้งหมดก็ระเบิดกระจัดกระจาย ไฟจากแรงระเบิดทำให้น่านฟ้าเป็นสีส้ม ควันไฟโพยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าบดบังทัศนะวิสัย ในขณะนั้น ทั้งคณะรัฐมนตรี และเหล่านายพลกำลังมองภาพเหตุการณ์ภายนอกอยู่ แม้จะเห็นว่า F37 ที่ทำการคุ้มกัน Shelter ให้พวกเขาถูกทำลายลงได้ภายในพริบตา พวกเขากลับไม่ได้หวั่นเกรงอะไร เพราะพวกเขามีความเชื่อมั่นในความแข็งแรงของ Shelter
สิ่งที่นำพาเหตุการณ์มาสู่จุดนี้ เกิดขึ้นจากนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียได้รับแจ้งว่าจะมีการโจมตี พวกเขาจึงสั่งการให้ประชาชนอพยพออกจากตัวเมืองและเข้าหลุมหลบภัยที่เตรียมไว้ และตัวคณะรัฐมนตรีเองก็มายัง Shelter แห่งนี้ โดยสั่งการให้กองทัพทั้งหมดที่มีรับมือศัตรู เหล่านายพลก็มีความมั่นใจว่ากองทัพของพวกเขามีจำนวนมากและแข็งแกร่งพอ อีกทั้งผู้บุกรุกได้นำโมบิลสูทมาเพียง 5 เครื่อง แม้ว่าหนึ่งในเครื่องนั้นเป็น กันดั้มสูท โดยผู้รุกรานจาก Emeria เลือกที่จะไม่เข้าโจมตีตัวเมือง แต่มุ่งหน้าเข้าโจมตีกองทัพแทน
และแล้ว เงาสีดำขนาดใหญ่ของโมบิลสูทสูงราว 26 เมตรก็ได้ปรากฏขึ้นหลังกองไฟที่โพยพุ่ง ทั้งคณะรัฐมนตรีและเหล่านายพลของออสเตรเลียเริ่มมีท่าทีตระหนกหลังจากได้เห็นเงานั้น เพราะมันมีขนาดที่ใหญ่กว่าโมบิลสูททั่วไปมาก เรียกได้ว่า size พ่อกับลูกเลยก็ไม่ผิด หลังจากอึ้งกันอยู่นั้น โมบิลสูทขนาดยักษ์เครื่องนั้นก็ได้แหวกควันไฟออกมาอย่างช้าๆ
โมบิลสูทเครื่องนี้เป็นสีขาวแซมน้ำเงิน มีเอกลักษณ์เด่นที่มีแผงเกราะแบนเป็นสามเหลี่ยมตามจุดต่างๆ จากที่ดูด้วยสายตา มันมีทั้งโล่ มีทั้งปืน มีทั้งช่องปล่อยจรวด ประหนึ่งคลังแสงขนาดยักษ์เคลื่อนที่ และส่วนหัวของมันที่ดุดัน มีเขาสีทองอร่าม บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันเป็น “กันดั้ม!!”
เสียงของอาคเชงดังเข้ามาใน Shelter “ข้าคือผู้สำเร็จราชการในนามมหาจักรพรรดิแห่งเอเมอเรีย” “องค์ชายรัชทายาทลำดับต้น อาคเชง ฟอน เอเมอเรีย ข้าขอสั่งให้เหล่าเจ้ายอมสยบแทบบาท” “หากเจ้าคล้อยตามมิอิดเอื้อน ข้าจักละเว้นพวกเจ้า และจักให้พวกเจ้ามีกิจรับใช้ข้าต่อไป” แต่ผู้บัญชาการทหารบกกลับตอบไปว่า “ไม่มีทางซะหรอก คุณไม่มีทางทำลาย Shelter นี้ได้” “และอีกไม่นาน กองทัพของคุณก็จะพ่ายแพ้ด้วยจำนวนกำลังพลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“ช่างน่าสมเพช ความปราชัยปรากฏซึ่งหน้าแล้วโดยแท้ กลับแสร้งเป็นมิเห็นได้” “ข้าจักทำให้เหล่าเจ้าเห็นว่า ไม่ว่าสิ่งที่มิอาจทำลายได้ก็จักต้องพังทลายยามข้าเอ่ย!!” กันดั้มเครื่องยักษ์ดึงอาวุธดาบออกมาจากแพคหลัง มันเป็นดาบเหล็กขนาดมหึมา ชูขึ้นเหลือหัว ก่อนจะปักมันลงไปบนฝาโลหะของ Shelter อย่างรุนแรงทำให้เกิดแผ่นดินถล่มขึ้นทันที ฝุ่นดินที่กระเด็ดลอยขึ้นเนื่องจากแรงกระแทกฟุ้งกระจาย แต่ไม่นานมันก็จางลง
กันดั้มเครื่องยักษ์ของอาคเชงดึงดาบขึ้นเก็บไว้ที่แพคหลังตามเดิม และมองลงไป ฝาโลหะขนาดใหญ่นั้น ถูกดาบของกันดั้มเครื่องยักษ์ปักลงไปจนฉีกขาดราวกระดาษบางๆ “เหล่าเจ้าจงตระหนักเอาไว้ว่า เบื้องหน้า Gundam Oxiris แห่งข้า มิมีสิ่งใดขัดขืนได้” อาคเชงพูดด้วยสีหน้าเย็นเยือกภายในห้องนักบินของกันดั้มของเขา กันดั้ม โอชีริส
ไม่นานนัก กลุ่มผู้นำของออสเตรเลียก็ต้องออกมามอบตัวและประกาศยอมแพ้ต่ออาคเชง
……………………………………………………….
ฐาน ERF เก่า บริเวณอุทยานแห่งชาติฮาคุซัง
การต่อสู้ระหว่างกันดั้มซาวิทาร์กับ F33 ของ ERF ที่เหลืออยู่ 3 เครื่อง กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ในขณะที่ Sephara ได้ออกเดินทางห่างจากจุดปะทะไปเรื่อยๆ ซึ่งเฮลิออสก็รู้ดีถึงข้อนั้น เขาจึงทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เขาทำการต่อสู้กับ F33 ที่ยอมสู้ตาย พร้อมกับพยายามไล่ล่า Sephara
บนยาน Sephara
แฟ๊งซ์มองการต่อสู้อยู่ข้างๆ เอ็คโค่ แต่ตอนนี้เสียงเชียร์อย่างได้ใจได้เงียบลงไปแล้ว เพราะเขาเริ่มตระหนักว่า F33 ของพวกเขาที่เหลือ เริ่มหมดสภาพลงไปเรื่อยๆ ทำให้เขาเริ่มวิตก “ไม่คิดเลยว่า แม้จะผ่านการฝึกหลักสูตรต่อต้าน Emerian ตามที่คุณเลโอได้ทำเอาไว้ให้แล้วก็ตาม” “การต่อสู้กับกันดั้มสูทก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ยากในระดับที่เป็นไปแทบไม่ได้เลย….” “ว่าแต่หัวหน้า ทำไมเราไม่ฝึกนักบินแบบนี้ให้มากกว่านี้ล่ะครับ ถ้าเรามีสัก 15 ไม่สิ 20 เราน่าจะ..”
“ไม่ใช่นายคนเดียวหรอกนะแฟ๊งซ์ ที่มีความคิดแบบนั้น ทุกคนตอนนี้ก็คิดแบบนั้นหมด” เอ็คโค่ตอบแฟ๊งซ์โดยไม่ต้องรอฟังคำถามจนจบ “แต่เวลาที่ใช้ฝึกนักบินให้เก่งกาจนั้นใช้เวลานานมาก” “และเหตุผลอีกประการคือ ก่อนหน้าที่นายเข้าร่วมกับ ERF นักบินทุกคนเคยฝึกหลักสูตรนั้นทุกคนแล้ว” “แต่คนที่มีความสามารถจบหลักสูตรนั้นจริงๆ มีเพียงไม่ถึง 10% อีกทั้งเราจะยื้อพวกเขาเอาไว้ทั้งหมดไม่ได้” “นักบินที่ฝึกสำเร็จหลายคนต้องการออกไปประจำตามภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะบ้านเกิดของตนเองกันทั้งนั้น” “แต่คงอีกไม่นาน ถ้าเราจะต้องทำศึกใหญ่กับ Emerian ชั้นจะเรียกพวกเขาทั้งหมดให้กลับมารวมพลังกัน”
เอ็คโค่ตอบคำถามของแฟ๊งซ์อย่างกระจ่างชัด แต่ดูเหมือนเธอไม่ได้ใส่ใจการต่อสู้ของ F33 ทั้งสามเครื่อง ราวกับเธอรู้อยู่แล้วว่าการต่อสู้จะจบลงแบบไหน โดยท่าทีวิตกกังวลของเธอที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะเหตุอื่น เธอบ่นพึมพำ “ยังอีกหรอ...” พร้อมจ้องมองนาฬิกาอยู่หลายครั้ง ราวกับกำลังรอยคอยบางสิ่งบางอย่าง
และไม่นาน การต่อสู้ระหว่าง F33 กับกันดั้มซาวิทาร์ก็จบลง เมื่อเฮลิออสพุ่งเข้าประชิดวงในได้ เขาใช้ดาบมุรามาสะฟันเข้ากลางลำตัวจน F33 เครื่องที่ 2 ขาดครึ่ง ก่อนจะหันมารับดาบที่โจมตีจากด้านหลัง ทันทีที่ดาบมุรามาสะรับแรงฟันจากดาบโลหะของ F33 เครื่องที่ 3 จากทางด้านหลัง ซาวิทาร์ก็สบัดดาบออก พละกำลังของซาวิทาร์นั้นมากมายมหาศาล มันสบัด F33 เครื่องที่ 3 จนปลิวกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่นักบิน F33 คนที่ 3 พยายามเร่งท่อขับดันทั้งหมดเพื่อต้านแรงเหวี่ยง เขาก็ถูกอาวุธมีดร่อนโจมตี มีดร่อนของซาวิทาร์ที่ปาตามออกไป ปักเข้าไปบริเวณช่วงอกของ F33 เครื่องที่ 3 ที่เป็นห้องนักบิน นักบินคนนั้นตายในทันที ทำให้ F33 เครื่องที่ 3 ร่วงลงจากอากาศสู่พื้นดิน ตอนนี้เหลือ F33 เพียงเครื่องเดียว และ F33 เครื่องสุดท้ายก็พุ่งเข้าหาซาวิทาร์ด้วยความเร็วสูงสุดโดยมีเจตนาใช้ดาบโลหะฟันเข้าใส่เต็มแรง “หึ...” เฮลิออสกระแทกลมหายใจเชิงเหยียดหยามออกมาเบาๆ เขาพุ่งสวนกลับไปด้วยความเร็วเช่นกัน ในช่วงวินาทีที่เข้าปะทะกันนั้น ดาบมุรามาสะได้ฟันผ่านดาบโลหะ แขน และลำตัวของ F33 ไปในทีเดียว
“เป็นการสู้รบที่ยอดยุทธ แม้นจะเป็นการสู้ของเศษต่ำตมเช่นเหล่ามนุษย์” เฮลิออสเก็บดาบมุรามาสะเข้าฝัก “ครานี้ก็ไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้อีกแล้ว ซาฮาร่า ไฮเซีย…..อะไรกัน!! …..เป็นไปมิได้” เฮลิออสประหลาดใจขึ้น เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือสัญญาณของ Sephara ในหน้าจอของเขานั้นหายไป นอกจากนั้นแล้ว ทุกอย่างก็หายไป ในหน้าจอจับสัญญาณของเขา มันไม่มีอะไรขึ้นแสดงออกมาเลย ทั้งวัตถุ ความร้อน แม้กระทั่งสภาพบรรยากาศ “รึว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์นั้น….” เฮลิออสนึกถึงอุปกรณ์ตัดสัญญาณเมื่อครั้งอดีตที่วัลดัสเคยรายงานเอาไว้
เมื่อเขามองผ่านกล้องออกไปด้านนอก เขาก็พบโมบิทสูทเครื่องหนึ่งนั่งอยู่ที่ริมหน้าผา มันดูลึกลับและจ้องมองมาที่ซาวิทาร์ ในมือของข้างของโมบิลสูทเครื่องนั้นถืออาวุธเคียวขนาดใหญ่ 2 เล่ม มันเป็นโมบิลสูทที่ปกปิดร่างกายของมันทุกส่วนด้วยผ้าคลุมสีขาว และวินาทีต่อมา มันก็หายลับไป “หุ่นรบเครื่องนั้นมันเป็นเช่นไรกันแน่ เหตุใดจึงมิเปิดเผยตัวตน และหายลับไปได้อย่างรวดเร็ว” เฮลิออสพูดขึ้น
เขากัดฟันด้วยความแค้นอย่างหาที่สุดไม่ได้ เพราะเขาคลาดกับ Sephara และไฮเซียเป็นหนที่สองแล้ว
……………………………………………………….
ฐาน Emeria กลางมหาสมุทรอินเดีย
ภายในห้องนอนห้องหนึ่งซึ่งตกแต่งหรูหรา มีเครื่องนอนชั้นเลิศครบทุกสรรพสิ่ง พร้อมระเบียงรับลม ประตูสู่ระเบียงถูกเปิดออก ท่ามกลางแสงสลัวจากดวงจันทร์ในยามพลบค่ำ สายลมพัดม่านข้างประตูปลิวไหว วัลดัสยืนอยู่ที่ขอบระเบียงของห้องนอนห้องนั้น เขาใช้ศอกซ้ายเท้าที่ขอบระเบียงพร้อมคีบบุหรี่ที่มือซ้าย ส่วนมือขวาวางพาดไปตามราวระเบียงและถือแก้วไวน์ที่จิบไปเล็กน้อยแล้ว ลำตัวโน้มไปข้างหน้า เขาอยู่ในท่าทีที่ผ่อนคลายในขณะที่กำลังใช้ความคิด ในหัวของเขาคิดแต่เรื่องข่าวที่ได้รับมา
วัลดัสได้รับรู้ว่าอาคเชงได้บุกยึดประเทศออสเตรเลียสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เขายังไม่ได้ข่าวของไฮเซีย เขาจึงคิดวิเคราะห์หลายสิ่งในหัวของเขา พลางสูบบุหรี่ และจิบไวน์ไปเรื่อย ในช่วงเตรียมตัวเข้านอน “เสด็จพี่อาคเชงดำเนินแผนในชั้นแรกลุล่วงแล้ว กระนั้น เมื่อไร้ซึ่งทัพจักรพรรดิ ก็ยังไม่เกรียงไกร” “กองทัพส่วนพระองค์พร้อมกันดั้มโอซีริสแข็งแกร่งไร้ผู้เทียม แต่หากเหล่ามนุษย์รวมทัพกันได้เมื่อใด” “ก็มิอาจโค่นล้มได้โดยง่าย ในกาลนี้ เหล่าทัพมนุษย์บัญชาโมบิลสูท มิได้อ่อนแอเช่นเมื่อศตวรรษที่ล่วงเลย”
“ด้วยประการอันมิอาจเลี่ยง พระองค์จักต้องดำเนินทุกหนทางเพื่อขวางขัดมิให้เหล่ามนุษย์ผนวกกันเป็นหนึ่ง” “ไม่ช้านี้ UN จะชุมนุมเพื่อการนั้นเสียด้วย….บัดนี้เสด็จพี่ได้ยึดครองออสเตรเลียแล้ว ไม่นานคงทราบเรื่อง” “การจู่โจมเพื่อขวาดขัดย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่แท้ ผู้นำแห่งเหล่ามนุษย์อาจะดับสูญในคราเดียว….” วัลดัสเหล่ไปมอง tablet อุปกรณ์สื่อสาร หน้าที่เขาเปิดค้างไว้คือรายชื่อผู้ติดต่อ และมันค้างอยู่ที่ชื่อ “อัลม่า” คิ้วของวัลดัสขมวดเข้าหากัน กัดฟันเล็กน้อย มือซ้ายบีบบุหรี่จนแบน มือขวากำแก้วไวน์แน่นจนขาแก้วเริ่มปริร้าว
วัลดัสดีดบุหรี่ทิ้งลงไปจากระเบียง และวางแก้วไวน์ไว้ที่ขอบระเบียง ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะไม้เล็กที่ระเบียง เขาหยิบ tablet บนโต๊ะไม้ขึ้นมา และใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ปุ่มเริ่มการติดต่อไปยังอัลม่า แต่เขากลับหยุดปลายนิ้วไว้ วัลดัสยืนแน่นิ่ง สายตาของเขามองไปที่ชื่อของอัลม่าในรายชื่อผู้ติดต่อไม่ละสายตา จากนั้นเขาก็ดึงมือลง “หากข้าบอกกล่าวทุกสิ่งแก่เสร็จพี่บาส เล็กเซนเทล ย่อมเป็นการช่วยเหลือผู้เข้าร่วมสงคราม….” “มันจักทำให้ข้ากลับเข้าไปสู่วังวนแห่งการรบอีกคราหรือไม่….” วัลดัสเบือนหน้าหนีแล้ววาง Tablet ลงที่เดิม “ข้ารู้เห็นทุกสิ่ง แต่ข้ากลับมิกล้ากระทำเสียสักสิ่ง ช่างผะอืดผะอมยิ่งนัก…รึข้ากลัวสิ่งใดอยู่เช่นนั้นหรือ...”
หลังจากวาง Tablet ลง เขาก็ลากสายตาไปตามสวนที่อยู่ด้านล่างจนไปหยุดอยู่สถานที่หนึ่ง มันเป็นเหมือนตู้นิรภัยโลหะที่ขนาดความสูงของมันสูงร่วม 20 เมตร มันตั้งอยู่ที่สุดมุมของสวน ตู้เหล็กนั้นไม่ได้เป็นตู้ทึบ มันมีช่องให้มองผ่านได้ และเมื่อมองเข้าไปจะเห็นโมบิลสูทเครื่องหนึ่งอยู่ในนั้น
มันเป็นโมบิลสูทสีขาวสลับแดง มีแพคหลังเป็นเครื่องยนต์ขับดันแรงสูง 2 เครื่อง สูง 17.5 เมตร รูปร่างปราดเปรียว มีเขา 4 แฉก ดวงตาสีเขียว ใบหน้าดุดัน มันเป็นกันดั้มสูทประจำตัวของวัลดัส แต่ทั้งร่างของมันกลับถูกชิ้นส่วนโลหะจำนวนมากของตู้นิรภัยพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา พร้อมป้ายชื่อที่ถูกสลักเอาไว้เป็นอนุสรณ์สถานบนตัวตู้นิรภัยยักษ์ “Gundam Setanta”
“จงอย่าเรียกหาข้าอีกเลย เซตันทา…...”
……………………………………………………...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jan 27, 2020 5:41:36 GMT
น่านน้ำสากลใกล้ชายฝั่งเกาหลีใต้
“เทคโนโลยีเมื่อร้อยปีก่อนอย่างนั้นหรอ?” มาซามิถามขึ้น เธอนั่งคุยกับยามาโตะ และมินาโตะในห้องอาหาร ตอนนี้สถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว สมาชิก ERF ต่างก็เริ่มมีสภาวะทางอารมณ์ที่ดีขึ้น จึงเริ่มทำกิจวัตรตามปกติ ยามาโตะเลือกที่จะดื่มกาแฟ เขานั่งตรงข้ามมาซามิ และตอบว่า “ใช่แล้วล่ะ มันเป็นการสร้างสนามอับสัญญาณ” ยามาโตะได้อธิบายภาพที่พวกเขาเห็นผ่านกล้องหน้าของซาก F33 ที่บังเอิญจับภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาได้
“UN เคยประดิษฐ์อาวุธชนิดนี้ขึ้นมาใช้ต่อสู้กับ Emerian เมื่อร้อยปีก่อน แต่มันไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไร” “เนื่องจากการสร้างสนามอับสัญญาณจะต้องอาศัยตัวยิงคลื่นความถี่หลายเครื่องจากโดยรอบพื้นที่ที่กำหนด” “คลื่นชนิดพิเศษนี้จะทำการปิดกันคลื่นทุกชนิดไม่ให้ผ่านเข้าหรือออกไปจากกำแพงความถี่ที่ถูกสร้างขึ้นได้” “แต่สมัยนั้น ถึงจะตัดสัญญาณไป แต่พวก Emerian ในสนามอับสัญญาณก็สามารถเอาชนะ UN และออกมาอยู่ดี” ยามาโตะพูดจบเขาก็ยกกาแฟขึ้นจิบ มาซามิพยักหน้าขณะทำความเข้าใจว่าเหตุใดอาวุธชนิดนี้จึงไม่แพร่หลายนัก
มินาโตะที่เลือกจะกินแฮมเบอร์เกอร์ก็ฉุกถามขึ้นว่า “จริงสิ แล้วหัวหน้ากับมาซามิคิดยังไงกับโมบิลสูทลึกลับนั่นน่ะ” มาซามิเหลือบมองบนพลางนึกคำตอบ “จริงด้วย ลืมนึกไปเลย ตอนนั้นเห็นโมบิลสูทสวมผ้าคลุมสีขาวด้วยนี่นา” ยามาโตะวางแก้วกาแฟลง “มันก็เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าโมบิลสูทเครื่องนั้นเป็นพวกเรา แถมยังช่วยเราออกมาอีกด้วย” “พูดอีกอย่างก็คือ โมบิลสูทผ้าคลุมสีขาวเครื่องนั้นเป็นคนติดตั้งอุปกรณ์สร้างสนามอับสัญญาณขึ้นรอบๆ ฐาน”
“ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะรู้ว่า แรกเริ่มเดิมที หัวหน้าเอ็คโค่นำยาน Sephara มุ่งหน้าลงทิศใต้ เพื่อหลอกล่อศัตรู” “ในตอนนั้น เครื่องของศัตรูจะจับสัญญาณได้ว่ายานของเรากำลังมุ่งหน้าของไปทางทิศใต้อย่างชัดเจน” “แต่หลังจากที่สร้างสนามอับสัญญาณถูกเปิดใช้งาน Sephara ก็เปลี่ยนทิศทางไปตะวันตกอย่างกระทันหัน” “โดยระหว่างที่อยู่ในสนามอับสัญญาณ สัญญาณทุกอย่างของศัตรูจะถูกปิดกั้น Sephara ก็จะหายไปจากจอภาพ” “พอเจ้ากันดั้มเครื่องนั้นไหวตัวและหลุดออกมาจากสนามอับสัญญาณได้ Sephara ก็พ้นระยะตรวจจับไปแล้ว” “ดังนั้น หากเจ้ากันดั้มเครื่องนั้นตั้งใจจะไล่ล่าพวกเราต่อ มันก็จะมุ่งหน้าลงไปทางใต้จากข้อมูลที่มีล่าสุดแน่นอน”
มินาโตะพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าเครื่องนั่นจะเป็นศัตรูแล้วสินะ” ยามาโตะลุกขึ้น “ก็แหงล่ะสิ นี่นายยังไม่รู้อีกหรอว่าอีกไม่นาน เจ้าเครื่องนั้นจะขอลงจอดบน Sephara ด้วย” “ตอนนี้น่าจะใกล้ถึงแล้ว หัวหน้าเอ็คโค่จึงเรียกตัวอินาโฮกับคุณคอร์เดเลียไปพบกับนักบินคนนั้นด้วยล่ะ” มาซามิเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน เธอและมินาโตะถึงอุทานพร้อมกันว่า “เอ๋!! นักบินคนนั้นจะลงจอดบนยานหรอ!!” ยามาโตะ “ก็ฟังกันชัดแล้วไม่ใช่รึไง ชั้นเองก็ต้องไปที่สะพานเดินเรือ พวกนายจะตามมาก็ได้นะ” มาซามิถึงหันมาพูดกับมินาโตะว่า “ชั้นเริ่มอยากรู้แล้วสิว่านักบินคนนั้นเป็นใคร เขาต้องเจ๋งมากแน่ๆ เลย” มินาโตะเห็นท่าทีตื่นเต้นของมาซามิ เขาก็ยิ้มแห้งๆ “อาการติ่งไอดอลกำเริบอีกแล้วสินะ….”
จากนั้น มินาโตะ และมาซามิ ก็ตัดสินใจเดินตามยามาโตะไปที่สะพานเดินเรือเพื่อพบเลโอ
……………………………………………………..
สะพานเดินเรือ ยานรบ Sephara
ไม่นานหลังจากที่ยานรบ Sephara ลดความเร็วจนหยุดนิ่งลอยตัวอยู่เหนือทะเลเหลืองใกล้ชายฝั่งจีน Hatch ส่วนหน้าของยานรบก็เปิดออกรับแสงแดดยามเช้า ก่อนจะมีโมบิลสูทเครื่องหนึ่งลอยตัวเข้ามา มันถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมสีขาวฝืนใหญ่ยักษ์ทั่วตัวเครื่องทำให้ไม่อาจมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันได้ โมบิลสูทใต้ผ้าคลุมลงจอดอย่างนิ่มนวล และเดินไปตามทางที่เจ้าหน้าที่ของยานโบกแท่งไฟนำทางให้ จนได้จอดในท่ายืนที่ช่องจอดโมบิลสูทที่กำหนดไว้ และเปิดฝาครอบห้องนักบินออกภายใต้ผ้าคลุม
อินาโฮมองไปยังโมบิลสูทที่เพิ่งเข้ามาถึงสะพานเดินเรือ “ทำไมถึงต้องคลุมผ้าเอาไว้ด้วยละครับ” เอ็คโค่ที่ยืนอยู่ข้างไฮเซียและแฟ๊งซ์ก็ตอบว่า “ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงจะมีเหตุผลส่วนตัวอยู่น่ะ” ยามาโตะ มินาโตะ และมาซามิก็เพิ่งเดินมาถึง พวกเขาทั้งสามคนเดินไปสมทบกับกลุ่มของเอ็คโค่ “นี่น่ะหรอ โมบิลสูทเครื่องนั้นที่ช่วยพวกเราเอาไว้ นักบินชื่อเลโอสินะ” มาซามิพูดขึ้นลอยๆ และในที่สุดนักบินของโมบิลสูทลึกลับก็หย่อนสายโรยตัวและโรยตัวลงมาภายใต้ผ้าคลุมสีขาว
“นั่นน่ะหรอ...เลโอ” มาซามิพูดด้วยความตกตะลึง ในขณะที่คนอื่นที่ไม่ใช่เอ็คโค่ก็ตกใจไม่แพ้กัน เหตุก็เพราะคนที่ชื่อเลโอ สวมใส่ชุดคลุมฮู๊ดสีดำปกคลุมทั้งร่างกาย และยังสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ด้วยความที่หน้ากากนั้นมีรูปร่างคล้ายกระโหลกปีศาจ ประกอบกับท่าทางที่อยู่เหมือนคนหลังค่อม ส่วนสูงของเลโอเท่าที่เห็นจะอยู่ประมาณ 168 c.m. ลักษณะท่าทางดูลุ่มล่ามเหมือนคนแก่ ทำให้ภายลักษณ์ของเลโอที่ทุกคนเห็นไม่ได้ตรงตามที่พวกเขาแต่ละคนได้จินตนาการเอาไว้เลย
เมื่อเลโอลงมาจากเครื่อง ก็ได้มองไปที่เจ้าหน้าที่ของยานซึ่งเหมือนจะกำลังขึ้นไปตรวจเช็คโมบิลสูท เลโอควักปืนที่เหน็บไว้บริเวณต้นขาภายใต้ผ้าคลุมสีดำและเล็งไปทางเจ้าหน้าที่ของยานคนนั้นทันที เอ็คโค่เห็นท่าไม่ดี เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปห้าม ทำให้พวกของอินาโฮต้องวิ่งตามไปด้วยความตระหนก ระหว่างที่เจ้าหน้าที่คนนั้นยืนขาสั่นทำอะไรไม่ถูก เอ็คโค่ก็พูดขึ้นว่า “ลดปืนลงเถอะเลโอ เขาหวังดีน่ะ” จากนั้นเอ็คโค่ก็มองไปที่เจ้าหน้าที่ของยาน “นายไปทำหน้าที่อย่างอื่นของนายต่อเถอะ” “เลโอไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับโมบิลสูทเครื่องนี้ และก็ฝากไปบอกเพื่อนๆ คนอื่นด้วยนะ”
เมื่อเจ้าหน้าที่คนนั้นทำตัวลีบๆ เดินหนีบๆ หลบจากวิถีปืนของเลโอไป เลโอก็ลดปืนลงและหันมาหาเอ็คโค่ เอ็คโค่ยิ้มและทักทาย “ไม่เจอกันนานนะเลโอ ขอบใจมากที่ช่วยเอาไว้ นึกว่าจะไม่ทันแล้วนะในตอนแรก” และเลโอก็ตอบกลับมาว่า “ขอโทษทีนะมิราจที่ทำให้ใจหายใจคว่ำ ชั้นต้องให้แน่ใจว่าเป้าหมายนั้นไม่รู้ตัว” “การจะเปิดเครื่องสร้างอาณาเขตอับสัญญาณเพื่อกักขังกันดั้มไว้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้จริงๆ”
แม้ว่าเนื้อหาของคำตอบของเลโอนั้นจะเป็นประโยคที่ฟังดูกระจ่างชัด แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ “ผะผะ...ผู้หญิงงั้นหรอเนี่ย” มาซามิพูดขึ้นเบาๆ มินาโตะยิ้มแห้งๆ “นั่นสินะ...งงในงงเลยนะเนี่ย” แฟ๊งซ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังมาซามิและมินาโตะ ก็โค้งตัวแทรกหน้าของเขาเข้าไประหว่างเพื่อนทั้งสอง “ฮอบบิทสองตัวนี้แอบนินทาอะไรกันมิทราบ เก็บอาการหน่อย เสียมารยาทชะมัด” แฟ๊งซ์พูด ยามาโตะหรี่ตาลงเล็กน้อย “เครื่องแปลงเสียงงั้นหรอ คงเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ สินะ” เขานึกใจในเนื่องจากได้ยินเสียงของเลโอที่เป็นเสียงของผู้หญิงที่แปลงให้ฟังดูมีอายุราว 40 ปี
เอ็คโค่เบี่ยงตัวออกไปทางขวา ก่อนจะผายมือเพื่อแนะนำสมาชิกคนอื่นๆ ให้เลโอได้รู้จัก “เด็กผู้หญิงคนนี้คือองค์หญิงรัชทายาทลำดับที่ 6 แห่ง Emeria องค์หญิงซาฮาร่า ไฮเซีย คอร์เดเลีย” “ส่วนทั้ง 4 คนนี้เป็นสมาชิกหน่วยรบที่ 42 แห่งกองกำลังสหประชาติที่ช่วยเหลือองค์หญิงเอาไว้” “สุดท้ายก็ เจ้าโง่นี่คือแฟ๊งซ์ ผู้ช่วยส่วนตัวของชั้นเอง พวกเราทั้งหมดเป็นพวกเดียวกันแล้ว รู้จักกันไว้นะ” จากนั้นเธอก็หันมาทางกลุ่มของอินาโฮ “และนี่ก็คือเลโอ แนวร่วมของ ERF คนที่ช่วยเราไว้เมื่อคราวก่อน”
เลโอเดินหลังค่อมๆ เข้ามาหาไฮเซียเป็นคนแรก “เป็นเกียรติของดิฉันมากที่ได้รับใช้เพคะ องค์หญิง” ไฮเซียมีท่าทีที่กระสับกระส่าย เธอรู้สึกขนลุกและหวั่นๆ กับภาพลักษณ์ของเลโอ ซ้ำร้ายยังเข้ามาใกล้มาก “ยินดี...ที่ได้พบค่ะ….ดิฉัน จะ ให้ความช่วย เหลือ อย่าง เต็มที่ค่ะ” ไฮเซียตอบพร้อมก้าวถอยออกห่างช้าๆ “ดิฉันทำให้พระองค์กลัวอย่างนั้นหรอเพคะ ดิฉันขออภัยด้วย” เลโอพูดพร้อมกับถอยออกมาเว้นระยะให้ไฮเซีย คำพูดของเลโอทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกเล็กๆ ราวกับขณะที่แม่มดมาลิฟิเซ้นต์ที่ยื่นแอปเปิ้ลให้เจ้าหญิงออโรร่า
จากนั้นเลโอก็มองไปรอบๆ ตัวยาน Sephara “ฮื่ม...น่าทึ่งมากๆ เลยนะยานลำนี้ ดูน่าเกรงขามเอามากๆ” “สถาปัตยกรรมและวิศวกรรมแบบนี้ ถ้าจำไม่ผิด นี่คงเป็นยานเรือธงของ Emeria เมื่อ 100 ปีก่อนแน่ๆ” “จากข้อมูลที่มีมาตั้งแต่ถือกำเนิดเลโอรุ่นแรก ยานลำนี้เป็นยานรบที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดของ Emeria” “มันมีอาวุธทำลายล้างที่รุนแรงกว่าโมบิลสูทหลายเท่าตัว และยังแข็งแกร่งราวกับไม่มีอะไรทำลายมันได้” “ดูเหมือนแผนการปฏิวัติโลกใบใหม่ของ ERF จะมีตัวช่วยที่สร้างความหวังขึ้นมาอีกขั้นแล้วล่ะนะงานนี้” “คงต้องขอบคุณองค์หญิงอัลม่ามากๆ เลยนะ ที่นำยานลำนี้มาให้องค์หญิงตัวน้อยและพวกเราได้ใช้กัน”
เอ็คโค่จึงพูดขึ้นว่า “ชั้นว่าเราเข้าไปข้างในกันเถอะเลโอ ยังมีเรื่องที่ต้องวางแผนกันอีกมาก” “ชั้นไม่อยากปล่อยเวลาดีๆ ให้เสียเปล่าไปกับการเห่อของใหม่หรอกนะ” เอ็คโค่พูดจบก็เดินนำไป เลโอถอนหายใจ “ยังคงมุ่งมั่นจริงจังเหมือนเดิมเลยนะแม่คนนี้...งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะเพคะองค์หญิง” “เรายังมีเวลาอีกมากบนยานลำนี้ ดิฉันมีหลายเรื่องอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะกับองค์หญิงด้วยล่ะ” ไฮเซียได้แต่ยิ้มแหยๆ เธอยังแอบกลัวเลโออยู่ไม่น้อย จึงได้แต่ตอบไปสั้นๆ เสียงสั่นๆ ว่า “ค่ะ” จากนั้นเลโอก็เดินตามเอ็คโค่ไป และเสียงของเอ็คโค่ก็แผดพุ่งกลับมา “แฟ๊งซ์!! จะยืนบื้ออีกนานมั้ย!!” “เจี๊ยกกกก!!” แฟ๊งซ์สะดุ้งเฮือกและหลุดจากอาการเหม่อลอย ก่อนจะวิ่งตามเอ็คโค่ไปอย่างไม่คิดชีวิต
มินาโตะหรี่ตาลงเล็กน้อย “เลโอรุ่นแรกอย่างนั้นหรอ มันหมายความว่ายังไงกันน่ะครับหัวหน้า” ยามาโตะจึงตอบกลับว่า “เท่าที่ชั้นรู้มา มันก็หมายความอย่างนั้นนั่นแหละ เลโอน่ะไม่ใช่ชื่อของคน” “ในที่นี้หมายถึง ชื่อของคนจริงๆ น่ะนะ มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์สำหรับคนที่ทำหน้าที่นี้ซะมากกว่า” “เขาจะทำหน้าที่เป็นคนคอยประสานงานและคอยเก็บข้อมูลของ Emerian และทำมาตลอด 100 ปี” “ที่เขาเล่ากันมา ไม่แน่ชัดว่ามีกี่คนแล้วที่เข้ามาเป็นเลโอ และก็ยังไม่มีใครรู้ตัวจริงของพวกเขาเลยสักคน” ยามาโตะได้อธิบายสิ่งที่เขาเคยได้ยินมา และได้พิสูจน์ด้วยตนเองจากการได้ยินเสียงดัดแปลงเมื่อครู่
ไฮเซียจึงถามขึ้นว่า “แสดงว่า เลโอ มีหลายคน เขา จะมี ตัวตาย ตัวแทน เสมอ อย่างนั้น หรอคะ” ยามาโตะตอบกลับสั้นๆ ว่า “ใช่ครับคุณคอร์เดเลีย” “แต่ ดิฉัน ก็ยัง ไม่เข้าใจ ว่าทำไม ต้องปกปิด ตัวตน ด้วย” มินาโตะยิ้มมุมปาก “ก็เพราะการเป็นฮีโร่จะเปิดเผยตัวตนไม่ได้เนื่องจากคนรอบข้างอาจได้รับอันตรายน่ะสิครับ” มาซามิเบะปาก “ชั้นว่าไม่เห็นจริงเลย โทนี่ สตาร์ก ยังบอกกับนักข่าวในงานแถลงข่าวเลยว่าตัวเองเป็นไอร่อนแมน” มายาโตะส่ายหน้าและใช้ฝ่ามือขวาตบไปที่หน้าผากของตัวเอง “ให้ตายเถอะ พวกนายสองคนนี่เลอะเทอะจริงๆ” “ที่เลโอต้องการปกปิดคงไว้คงเพราะเขาอยากให้คนมองเลโอเป็นสัญลักษณ์มากกว่าตัวบุคคลตะหากล่ะ”
อินาโฮกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งๆ “เอาจริงๆ แค่ใส่แว่นตาก็น่าจะปกปิดใบหน้าหลอกคนอื่นได้แล้วนะครับ” “ร้อยตรีโฮรูโตะ….นี่นายก็เป็นไปกับเขาด้วยหรอเนี่ย….” มุมปากของยามาโตะกระตุกยิกๆ ประโยคของอินาโฮแม้จะไม่ได้จะตั้งใจทำให้มันฟังดูตลก แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากมาซามิและมินาโตะได้ ส่วนไฮเซียที่ไม่ได้เข้าใจมุกตลกของมนุษย์ก็งงว่า โทนี่ สตาร์ก คือใคร แล้วทำไมแค่ใส่แว่นคนอื่นก็จำไม่ได้” ระหว่างที่ทุกคนกำลังหัวเราะเฮฮาอยู่นั้น อินาโฮก็เหลือบมองตาม เอ็คโค่ เลโอ และ แฟ๊งซ์ที่เดินห่างออกไป
จังหวะนั้นเอง เลโอก็หันมาสบตากับอินาโฮเข้าพอดี “นายเองงั้นหรอ มนุษย์ที่ขึ้นขับกันดั้มได้...”
つづく.
|
|