Post by Niruma ณ จังงัง on Mar 31, 2020 16:44:07 GMT
“คำว่าชีวิตคืออะไรเหรอ”
คำถามดังกล่าวปรากฎขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ราว40นิ้ว ที่แขวนอยู่กับเพดานห้องที่มืดสนิทขนาดกว้างไม่เกิน4เมตร ความมืดที่ปกคลุมห้องใบนี้เสียจนแทบมองไม่เห็นสายไฟที่ระโยงรยางค์อยู่เต็มไปหมด ปรากฏชายคนหนึ่งที่กำลังยืนมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวนั้นอยู่ แสงจากมอนิเตอร์สาดผ่านร่างของเขาไป แสดงชุดกาวน์สีขาวที่แสดงออกถึงความเป็นผู้มีความรู้ซึ่งเป็นได้ทั้งหมดรวมไปถึงนักวิจัยต่างๆ พอเหลือบมองขึ้นไปบนศีรษะก็แสดงถึงความมีอายุของชายคนนั้น มือที่ซูบเซียวจนแทบจะเห็นกระดูกกับผิวหนังที่เหี่ยวย่น ยิ่งเป็นหลักฐานแสดงออกได้อย่างชัดเจนถึงความชราของชายคนนี้ ชายคนนั้นยิ้มออกมามุมปาก ในขณะที่ยังคงจ้องไปยังคำถามในหน้าจอนั่นต่อไป มอนิเตอร์เครื่องดังกล่าวเริ่มแสดงภาพออกมา มันคือภาพตัดปะจากอนิเมะหลายๆเรื่อง รวมไปถึงหนังสือการ์ตูนและเกมด้วยเช่นกัน
“พวกนี้คือชีวิตหรือเปล่า?” มอนิเตอร์ยังคำแสดงคำถามต่อมา ชายชราหัวเราะออกมาในลำคอ มือขวาของเขาดูเหมือนจะถืออะไรแปลกๆอยู่ ตามมาด้วยเสียงวิ่งที่ดังออกมาจากด้านนอกของห้องนั่น…
เสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้นถนนชิบุย่าแห่งนี้แม้จะดังเพียงใดก็ไม่อาจกลบเสียงการสัญจรที่คึกคักในที่แห่งนี้ไปได้เลย ชิบุย่าขึ้นชื่อได้ว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยและสัญจรอยู่มากมาย เราสามารถมองเห็นผู้คนเดินขวั่กไขว่ไปพลางเล่นมือถือไปพลางได้อย่างชัดเจน ยังไม่รวมถึงจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ที่ติดอยู่ตามตึกรามอาคารต่างๆ ที่กำลังแสดงภาพของอนิเมะที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนั้น มือถือของเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนเล่นมันอยู่ใต้ร่มคันใหญ่ตรงทางม้าลายระหว่างรอข้ามถนถน แสดงภาพแฟนอาร์ตของอนิเมะที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ เด็กๆที่กำลังวิ่งตากฝนกลับบ้านเองก็แสดงบทบาทสมมุติเป็นโทคุซัทสึที่กำลังฉายอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ ภาพชายหนุ่มวัยรุ่นที่กำลังอ่านแมกกาซีนอยู่ในร้านสะดวกซื้อที่เกี่ยวข้องกับอนิเมะและการ์ตูนที่กำลังเป็นที่นิยม พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ในย่านที่มีผู้คนคับคั่งแบบชิบุย่านั้นเต็มไปด้วยสินค้าและสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องอนิเมะหรือมังงะ จึงแสดงให้เห็นว่าสื่อบันเทิงกลุ่มนี้นั้นเป็นที่นิยมมากขนาดไหน ไม่ว่าจะกวาดสายตาไปตรงมุมไหนของพื้นที่ ก็ล้วนแต่พบเห็นผู้คนที่กำลังให้ความสนใจในสื่อบันเทิงกลุ่มนี้ ทั้งกลุ่มเด็กสาวที่กำลังเดินคุยดกี่บกับมังงะวายที่พวกเธอชื่นชอบ ชายวัยทำงานที่กำลังนั่งดูอนิเมะแนวสืบสวนเนื้อเรื่องเข้มข้น เด็กหนุ่มที่กำลังแชทกับเพื่อๆของเขาผ่านไลน์ และส่งสติ้กเกอร์ที่เป็นลายอนิเมะท่าทางสวยงาม ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ที่คนหลายคนกำลังนั่งดูอนิเมะที่เขาติดตามอยู่เต็มไปหมด รวมไปถึงร้านค้าที่ต่างพากันขึ้นป้ายสินค้าของอนิเมะและมังงะที่เป็นที่นิยมอยู่เต็มไปหมด
“ดร.เซริซาว่า”
เสียงตะโกนดังขึ้นมา พร้อมกับกลุ่มคนติดอาวุธหนักที่วิ่งมาตั้งกำแพงออรวมกันอยู่หน้า ปากกระบอกปืนทุกกระบอกเล็งไปที่ชายแก่คนนั้น แม้เสียงตะโกนนั้นจะดังเพียงใด ก็ไม่ทำให้ชายแก่คนนั้นสนใจหรือหันมามองเลยแม้แต่นิด เจ้าของเสียงคนเดิมจึงตะโกนเรียกออกไปอีกครั้งหนึ่ง ชายชราคนนั้นค่อยๆหันกลับมาอย่างช้าๆ
“คุณคิดจะทำอะไร” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา ดูเหมือนชายคนนี้จะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนเหล่านี้ แม้เครื่องแต่งกายจะเป็นชุดป้องกันจลาจลเต็มยศเหมือนกันหมดทุกคน แต่จากการที่สามารถออกเสียงคำสั่งออกมาได้ แสดงให้เห็นถึงภาวะอำนาจที่มากกว่าคนอื่น ชายคนนั้นถือปืนไรเฟิลเล็งไปที่ชายคนนั้นอย่างถนัดมือ เผยให้เห็นถุงมือที่มีตราสัญลักษณ์อะไรบางอย่างอยู่
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย มิซึซาว่าคุง” ชายชรากล่าว พร้อมกับไฟห้องที่เปิดออก เผยให้เห็นเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์จำนวนมาก ที่ต่อสายเชื่อมโยงไปยังแคปซูลขนาดใหญ่พอที่จะให้เด็กผู้หญิงม.ปลายเข้าไปอยู่ได้ตรงกลางห้อง ด้านในแคปซูลนั้นว่างเปล่า ชายติดอาวุธทุกคนกวาดสายตาไปทั่วห้อง ก่อนจะสังเกตเห็นปืนพกในมือของชายแก่คนนั้น
“ดร.เซริซาว่า คุณน่ะเป็นอัจฉริยะทั้งในด้านเทคโนโลยีและงานประพันธ์ นิยายของคุณ “ดิ ไฮโพโทนิค”ของคุณติดอันดับขายดีเป็นเทน้ำเทท่าและได้รับรางวัลอนิเมะยอดเยี่ยมตลอดกาล งานวิจัย “อีริส” ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของคุณเองก็ได้รับรางวัลนวัตกรรมล้ำยุคแห่งศตวรรษ” มิซึซาว่าพูดบรรยายสรรพคุณของชายชรา “คุณอยู่ในตำแหน่งที่มีซึ่งทุกสิ่งแล้ว คุณยังต้องการอะไรอีก?” เขาเอ่ยถามไป ก่อนจะพบรอยยิ้มบนปากของชายชราตรงหน้า “ห้องนี้เป็นห้องเก็บโปรเจคต์ไอริส ซึ่งเป็นสมบัติของพวกเรา เป็นความลับสุดยอด คุณกำลังทำอะไรกับมันอยู่”
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย” เขาพูด ก่อนที่มอนิเตอร์ขนาดใหญ่จะเริ่มมีอาการนอยซ์ออกมาอย่างรุนแรง พร้อมกับเครื่องคอมพ์รอบๆที่ทำงานอย่างหนักหน่วงจนได้ยินเสียงประหลาดออกมา เหล่าคนติดอาวุธนั้นเริ่มมีอาการประหลาดใจขึ้น
“ดร.เซริซาว่า!!! คุณกำลังทำอะไรกันแน่!!!” ชายคนนั้นตะโกนเสียงดัง เล็งปืนไปยังชายชราที่กำลังยิ้มเยาะออกมา ไฟฟ้าทั่วทั้งห้องเริ่มลัดวงจรก่อให้เกิดประกายไฟเต็มไปหมด แต่ก็มิอาจทำอะไรชายชราคนนั้นได้
“เธอต่างหาก ที่ต้องการที่จะมีชีวิต” เขาพูดออกมา ยกมือขวาข้างที่ถือปืนขึ้นมาช้าๆ “ไอริสจาก ดิไฮโพโทนิคน่ะ อยากจะมีชีวิต”
สิ้นเสียง เขายกปืนขึ้นมา แต่ก็ไม่ทันไรถูกมิซึซาว่ายิงเข้าที่ท้องอย่างจัง เหล่าคนติดอาวุธรีบพุ่งตัวเข้าไปรวบชายชราอย่างรวดเร็ว โดยมีคนหนึ่งแยกตัวไปจัดการกับคอมพ์หมายที่จะหยุดประกายไฟที่กำลังลัดวงจรอย่างน่ากลัวในเวลานี้ มิซึซาว่าเอามือตบไปที่หน้าของชายชราสองสามทีเพื่อเรียกสติ แต่ร่างของชายชรานั้นไม่อาจทันบาดแผลจากการถูกยิงได้อย่างแน่นอน
“ตอบผมก่อน คุณกำลังทำอะไรกันแน่ ไอริส?คืออะไร ตอบผม!!!” มิซึซาว่าตะคอกใส่เสียงดัง ชายชรายิ้มออกมา
“ไม่มีอะไรหยุดมันได้อีกแล้ว” เขาพูด ก่อนจะหันไปมองที่แคปซูลขนาดใหญ่นั่น สายตาทุกคู่จับจ้องตามไปในที่เดียวกัน เพื่อพบกับสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอมาก่อนในชีวิตนี้ ภาพโฮโลแกรมค่อยๆก่อตัวรวมกันในแคปซูลดังกล่าว ประจุไฟฟ้าทั้งห้องมุ่งเป้าไปในที่เดียวกัน มันค่อยๆก่อให้เกิด ร่าง ของเด็กสาวออกมาอย่างช้าๆ และนั่นคือภาพสุดท้ายที่ทุกคนได้มองเห็น ก่อนที่ไฟฟ้าทั้งอาคารจะดับไป จากแรงระเบิดที่รุนแรงจนแทบไม่มีสิ่งใดรอดไปได้
หลังจากเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นไม่นาน เสียงรถฉุกเฉินและรถดับเพลิงดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ทั้งห้องนี้เหลือผู้รอดชีวิตอยู่เพียงแค่สองคนที่ฉายเงาปรากฏอยู่หลังม่านควันจากแรงระเบิดนั่น มิซึซาว่าค่อยๆคลานตัวเองมาหาที่เกาะเกี่ยวพยุงร่างที่บอบช้ำเอาไว้ แรงระเบิดส่งผลให้ชุดป้องกันของเขาขาดกระจุยเผยเนื้อหนังมังสาที่อาบไปด้วยเลือด ตาซ้ายของเขาปิดเพราะรอยเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะจนท่วมไปหมด เขาพยุงตัวเองขึ้นนั่งได้สำเร็จ ก่อนจะหันไปหาเจ้าของเงาที่เหลือนั่น เสียงหายใจดังหอบออกมาจากความเจ็บปวดนั่นเต็มไปด้วยความสั่นกลัวกับสิ่งที่ไม่สามารถระบุได้ เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายเอื้อมมือขวาไปหยิบปืนพก.35ของเขาออกมา แล้วเล็งไปที่เงาตรงหน้าของเขา
“แก...เป็...ตัวอะ....ร” น้ำเสียงของเขาดูติดขัด ไม่รู้ว่าด้วยความหวาดกลัวหรือความเจ็บปวดที่ทำให้เขามีอาการแบบนั้น แต่แทนที่จะได้รับการสงสัย เขากลับได้รับเสียงหัวเราะดังออกมาจากเงาเบื้องหลังม่านควันนั่น มันค่อยๆเดินผ่านม่านควันมาหาเขา ม่านควันค่อยๆจางออกทีละเล็กเปิดเผยให้เห็นผิวหนังที่เนียนนุ่มและสวยงามของเด็กสาวเยาว์วัย วัตถุรอบๆตัวเธอลอยขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลและหมุนวนอยู่รอบตัวเธอ เศษฝุ่นควันตรงหน้าเธอค่อยๆผสมผสานกัน กลายสภาพเป็นดาบคาตานะอันเขื่องที่ดูคมกริบ และแล้วเมื่อม่านควันหายไปจนหมด ก็เปิดเผยให้เห็นเจ้าของเงานั่น
“ชั้นชื่อว่าไอริส ไอริส เอเดนเบิร์ก” เด็กสาวพูดขึ้นมา ร่างกายเพรียวบางของเธอกับผิวที่ขาวดูสะอาดตาเข้ากับใบหน้าที่สละสรวยของเธอเป็นอย่างมาก เครื่องแต่งกายที่ไม่คุ้นตาของเธอแสดงให้เห็นถึงความไม่ปกติและไม่เป้นธรรมชาติ ส่งผลให้มิซึซาว่าสามารถพิจารณาได้ทันที ว่าเธอตรงหน้านี้ไม่ใช่คนในโลกนี้อย่างแน่นอน เธอก้าวขาขวาของเธอมายังมิซึซาว่า รองเท้าบู้ทส้นเข็มนั้นเหยียบไปที่ขาของมิซึซาว่าอย่างแรง ชายหนุ่มกัดฟันไม่แสดงอาการออกมาใจดีสู้เสือ และเล็งปืนไปหาเด็กสาวตรงหน้า
“ไอริส” เขาพูด ก่อนจะนึกอะไรออกบางอย่าง เด็กสาวตรงหน้าของเขานั้น ช่างเหมือนกับตัวเอกของนิยายเซริซาว่าที่ชื่อเรื่องว่า ดิ ไฮโพโทนิคเหลือเกิน “บ้าชัดๆ บ้าชัดๆ!!!” เขาตะโกนออกมาอย่างสั่นกลัว ลั่นไกปืนกระหน่ำกระสุนใสเด็กสาวไปหลายนัด แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย เสียงปืนที่ไร้ซึ่งลูกกระสุนดังออกมา ความสิ้นหวังได้มาเยือนเขาแล้ว ดาบคาตานะที่ลอยอยู่ข้างกายเด็กสาวคนนั้นจ่อคมมายังคอของเขา เด็กสาวจ้องมองไปยังสภาพอันน่าเวทนาของชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา ก่อนที่ดาบคาตานะตรงคอของชายคนนั้นจะแยกตัวเองออกมาเป็นหลายสิบอัน และรุมกระหน่ำแทงใส่เขาจนตาย เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งห้องและแน่นอนใส่ตัวของเธอด้วย เธอถอดถุงมือของเธอออก ก่อนจะใช้มือนั่นลูบไปที่รอยเลือดตามตัวเธอ สัมผัสได้ถึงความอุ่นที่คงอยู่ในเลือดหยุดนั้น เธอมองดูเลือดนั่นด้วยความสงสัย ก่อนจะเอามือข้างเดียวกัน เอื้อมไปจับร่างไร้วิญญาญของชายตรงหน้า
“นี่สินะ ที่เรียกว่าชีวิต” เธอยิ้ม และก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “นี่สินะชีวิต คุณพ่อ” เธอหันไปมองร่างไร้วิญญาญของดร.เซริซาว่า ก่อนที่ก้อนหินรอบๆตัวเธอจะลอยสูง แล้วร่วงใส่ร่างนั้นจนแหลกเหลว
“ด้านนอกนั่น ก็มีชีวิตอยู่สินะ” เธอพูดขึ้นมา เดินออกไปเรื่อยๆจนถึงบริเวณที่เพดานเปิดโล่ง เผยให้เห็นบรรยากาศข้างนอกที่วุ่นวายไปหมด ทั้งรถพยาบาลรถฉุกเฉินวิ่งกันขวั่กไขว่ แรงระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงมากจนส่งผลให้อาคารทั้งอาคารนั้นทรุดตัว สร้างความโกลาหลให้กับคนทั่วไปจนหมด เหล่าแพทย์และเจ้าหน้าที่ต่างพากันทำงานกันอย่างวุ่นวายไปหมด ไอริสจ้องมองลงไปยังคนเหล่านั้น ก่อนจะยิ้มออกมาเบาๆ เธอก้าวขาออกนอกพื้นไป แต่แทนที่เธอจะร่วงหล่นตามธรรมชาติของโลก กลับกันเธอเหมือนกับกำลังเหยียบอยู่บนวัตถุ เธอค่อยก้าวลงไปราวกับลงบันไดจากสวรรค์ สร้างความงุนงงให้กับผู้คนที่มองเห้นอย่างมาก สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเธอ ราวกับว่ากำลังจ้องมองเทพธิดาที่มาสถิตบนโลก
และนั่น ก็คือภาพสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาที่ได้มองเห็นมัน...
และมัน... จะไม่หยุด....
คำถามดังกล่าวปรากฎขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ราว40นิ้ว ที่แขวนอยู่กับเพดานห้องที่มืดสนิทขนาดกว้างไม่เกิน4เมตร ความมืดที่ปกคลุมห้องใบนี้เสียจนแทบมองไม่เห็นสายไฟที่ระโยงรยางค์อยู่เต็มไปหมด ปรากฏชายคนหนึ่งที่กำลังยืนมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวนั้นอยู่ แสงจากมอนิเตอร์สาดผ่านร่างของเขาไป แสดงชุดกาวน์สีขาวที่แสดงออกถึงความเป็นผู้มีความรู้ซึ่งเป็นได้ทั้งหมดรวมไปถึงนักวิจัยต่างๆ พอเหลือบมองขึ้นไปบนศีรษะก็แสดงถึงความมีอายุของชายคนนั้น มือที่ซูบเซียวจนแทบจะเห็นกระดูกกับผิวหนังที่เหี่ยวย่น ยิ่งเป็นหลักฐานแสดงออกได้อย่างชัดเจนถึงความชราของชายคนนี้ ชายคนนั้นยิ้มออกมามุมปาก ในขณะที่ยังคงจ้องไปยังคำถามในหน้าจอนั่นต่อไป มอนิเตอร์เครื่องดังกล่าวเริ่มแสดงภาพออกมา มันคือภาพตัดปะจากอนิเมะหลายๆเรื่อง รวมไปถึงหนังสือการ์ตูนและเกมด้วยเช่นกัน
“พวกนี้คือชีวิตหรือเปล่า?” มอนิเตอร์ยังคำแสดงคำถามต่อมา ชายชราหัวเราะออกมาในลำคอ มือขวาของเขาดูเหมือนจะถืออะไรแปลกๆอยู่ ตามมาด้วยเสียงวิ่งที่ดังออกมาจากด้านนอกของห้องนั่น…
เสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้นถนนชิบุย่าแห่งนี้แม้จะดังเพียงใดก็ไม่อาจกลบเสียงการสัญจรที่คึกคักในที่แห่งนี้ไปได้เลย ชิบุย่าขึ้นชื่อได้ว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยและสัญจรอยู่มากมาย เราสามารถมองเห็นผู้คนเดินขวั่กไขว่ไปพลางเล่นมือถือไปพลางได้อย่างชัดเจน ยังไม่รวมถึงจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ที่ติดอยู่ตามตึกรามอาคารต่างๆ ที่กำลังแสดงภาพของอนิเมะที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนั้น มือถือของเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนเล่นมันอยู่ใต้ร่มคันใหญ่ตรงทางม้าลายระหว่างรอข้ามถนถน แสดงภาพแฟนอาร์ตของอนิเมะที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ เด็กๆที่กำลังวิ่งตากฝนกลับบ้านเองก็แสดงบทบาทสมมุติเป็นโทคุซัทสึที่กำลังฉายอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ ภาพชายหนุ่มวัยรุ่นที่กำลังอ่านแมกกาซีนอยู่ในร้านสะดวกซื้อที่เกี่ยวข้องกับอนิเมะและการ์ตูนที่กำลังเป็นที่นิยม พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ในย่านที่มีผู้คนคับคั่งแบบชิบุย่านั้นเต็มไปด้วยสินค้าและสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องอนิเมะหรือมังงะ จึงแสดงให้เห็นว่าสื่อบันเทิงกลุ่มนี้นั้นเป็นที่นิยมมากขนาดไหน ไม่ว่าจะกวาดสายตาไปตรงมุมไหนของพื้นที่ ก็ล้วนแต่พบเห็นผู้คนที่กำลังให้ความสนใจในสื่อบันเทิงกลุ่มนี้ ทั้งกลุ่มเด็กสาวที่กำลังเดินคุยดกี่บกับมังงะวายที่พวกเธอชื่นชอบ ชายวัยทำงานที่กำลังนั่งดูอนิเมะแนวสืบสวนเนื้อเรื่องเข้มข้น เด็กหนุ่มที่กำลังแชทกับเพื่อๆของเขาผ่านไลน์ และส่งสติ้กเกอร์ที่เป็นลายอนิเมะท่าทางสวยงาม ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ที่คนหลายคนกำลังนั่งดูอนิเมะที่เขาติดตามอยู่เต็มไปหมด รวมไปถึงร้านค้าที่ต่างพากันขึ้นป้ายสินค้าของอนิเมะและมังงะที่เป็นที่นิยมอยู่เต็มไปหมด
“ดร.เซริซาว่า”
เสียงตะโกนดังขึ้นมา พร้อมกับกลุ่มคนติดอาวุธหนักที่วิ่งมาตั้งกำแพงออรวมกันอยู่หน้า ปากกระบอกปืนทุกกระบอกเล็งไปที่ชายแก่คนนั้น แม้เสียงตะโกนนั้นจะดังเพียงใด ก็ไม่ทำให้ชายแก่คนนั้นสนใจหรือหันมามองเลยแม้แต่นิด เจ้าของเสียงคนเดิมจึงตะโกนเรียกออกไปอีกครั้งหนึ่ง ชายชราคนนั้นค่อยๆหันกลับมาอย่างช้าๆ
“คุณคิดจะทำอะไร” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา ดูเหมือนชายคนนี้จะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนเหล่านี้ แม้เครื่องแต่งกายจะเป็นชุดป้องกันจลาจลเต็มยศเหมือนกันหมดทุกคน แต่จากการที่สามารถออกเสียงคำสั่งออกมาได้ แสดงให้เห็นถึงภาวะอำนาจที่มากกว่าคนอื่น ชายคนนั้นถือปืนไรเฟิลเล็งไปที่ชายคนนั้นอย่างถนัดมือ เผยให้เห็นถุงมือที่มีตราสัญลักษณ์อะไรบางอย่างอยู่
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย มิซึซาว่าคุง” ชายชรากล่าว พร้อมกับไฟห้องที่เปิดออก เผยให้เห็นเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์จำนวนมาก ที่ต่อสายเชื่อมโยงไปยังแคปซูลขนาดใหญ่พอที่จะให้เด็กผู้หญิงม.ปลายเข้าไปอยู่ได้ตรงกลางห้อง ด้านในแคปซูลนั้นว่างเปล่า ชายติดอาวุธทุกคนกวาดสายตาไปทั่วห้อง ก่อนจะสังเกตเห็นปืนพกในมือของชายแก่คนนั้น
“ดร.เซริซาว่า คุณน่ะเป็นอัจฉริยะทั้งในด้านเทคโนโลยีและงานประพันธ์ นิยายของคุณ “ดิ ไฮโพโทนิค”ของคุณติดอันดับขายดีเป็นเทน้ำเทท่าและได้รับรางวัลอนิเมะยอดเยี่ยมตลอดกาล งานวิจัย “อีริส” ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของคุณเองก็ได้รับรางวัลนวัตกรรมล้ำยุคแห่งศตวรรษ” มิซึซาว่าพูดบรรยายสรรพคุณของชายชรา “คุณอยู่ในตำแหน่งที่มีซึ่งทุกสิ่งแล้ว คุณยังต้องการอะไรอีก?” เขาเอ่ยถามไป ก่อนจะพบรอยยิ้มบนปากของชายชราตรงหน้า “ห้องนี้เป็นห้องเก็บโปรเจคต์ไอริส ซึ่งเป็นสมบัติของพวกเรา เป็นความลับสุดยอด คุณกำลังทำอะไรกับมันอยู่”
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย” เขาพูด ก่อนที่มอนิเตอร์ขนาดใหญ่จะเริ่มมีอาการนอยซ์ออกมาอย่างรุนแรง พร้อมกับเครื่องคอมพ์รอบๆที่ทำงานอย่างหนักหน่วงจนได้ยินเสียงประหลาดออกมา เหล่าคนติดอาวุธนั้นเริ่มมีอาการประหลาดใจขึ้น
“ดร.เซริซาว่า!!! คุณกำลังทำอะไรกันแน่!!!” ชายคนนั้นตะโกนเสียงดัง เล็งปืนไปยังชายชราที่กำลังยิ้มเยาะออกมา ไฟฟ้าทั่วทั้งห้องเริ่มลัดวงจรก่อให้เกิดประกายไฟเต็มไปหมด แต่ก็มิอาจทำอะไรชายชราคนนั้นได้
“เธอต่างหาก ที่ต้องการที่จะมีชีวิต” เขาพูดออกมา ยกมือขวาข้างที่ถือปืนขึ้นมาช้าๆ “ไอริสจาก ดิไฮโพโทนิคน่ะ อยากจะมีชีวิต”
สิ้นเสียง เขายกปืนขึ้นมา แต่ก็ไม่ทันไรถูกมิซึซาว่ายิงเข้าที่ท้องอย่างจัง เหล่าคนติดอาวุธรีบพุ่งตัวเข้าไปรวบชายชราอย่างรวดเร็ว โดยมีคนหนึ่งแยกตัวไปจัดการกับคอมพ์หมายที่จะหยุดประกายไฟที่กำลังลัดวงจรอย่างน่ากลัวในเวลานี้ มิซึซาว่าเอามือตบไปที่หน้าของชายชราสองสามทีเพื่อเรียกสติ แต่ร่างของชายชรานั้นไม่อาจทันบาดแผลจากการถูกยิงได้อย่างแน่นอน
“ตอบผมก่อน คุณกำลังทำอะไรกันแน่ ไอริส?คืออะไร ตอบผม!!!” มิซึซาว่าตะคอกใส่เสียงดัง ชายชรายิ้มออกมา
“ไม่มีอะไรหยุดมันได้อีกแล้ว” เขาพูด ก่อนจะหันไปมองที่แคปซูลขนาดใหญ่นั่น สายตาทุกคู่จับจ้องตามไปในที่เดียวกัน เพื่อพบกับสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอมาก่อนในชีวิตนี้ ภาพโฮโลแกรมค่อยๆก่อตัวรวมกันในแคปซูลดังกล่าว ประจุไฟฟ้าทั้งห้องมุ่งเป้าไปในที่เดียวกัน มันค่อยๆก่อให้เกิด ร่าง ของเด็กสาวออกมาอย่างช้าๆ และนั่นคือภาพสุดท้ายที่ทุกคนได้มองเห็น ก่อนที่ไฟฟ้าทั้งอาคารจะดับไป จากแรงระเบิดที่รุนแรงจนแทบไม่มีสิ่งใดรอดไปได้
หลังจากเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นไม่นาน เสียงรถฉุกเฉินและรถดับเพลิงดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ทั้งห้องนี้เหลือผู้รอดชีวิตอยู่เพียงแค่สองคนที่ฉายเงาปรากฏอยู่หลังม่านควันจากแรงระเบิดนั่น มิซึซาว่าค่อยๆคลานตัวเองมาหาที่เกาะเกี่ยวพยุงร่างที่บอบช้ำเอาไว้ แรงระเบิดส่งผลให้ชุดป้องกันของเขาขาดกระจุยเผยเนื้อหนังมังสาที่อาบไปด้วยเลือด ตาซ้ายของเขาปิดเพราะรอยเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะจนท่วมไปหมด เขาพยุงตัวเองขึ้นนั่งได้สำเร็จ ก่อนจะหันไปหาเจ้าของเงาที่เหลือนั่น เสียงหายใจดังหอบออกมาจากความเจ็บปวดนั่นเต็มไปด้วยความสั่นกลัวกับสิ่งที่ไม่สามารถระบุได้ เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายเอื้อมมือขวาไปหยิบปืนพก.35ของเขาออกมา แล้วเล็งไปที่เงาตรงหน้าของเขา
“แก...เป็...ตัวอะ....ร” น้ำเสียงของเขาดูติดขัด ไม่รู้ว่าด้วยความหวาดกลัวหรือความเจ็บปวดที่ทำให้เขามีอาการแบบนั้น แต่แทนที่จะได้รับการสงสัย เขากลับได้รับเสียงหัวเราะดังออกมาจากเงาเบื้องหลังม่านควันนั่น มันค่อยๆเดินผ่านม่านควันมาหาเขา ม่านควันค่อยๆจางออกทีละเล็กเปิดเผยให้เห็นผิวหนังที่เนียนนุ่มและสวยงามของเด็กสาวเยาว์วัย วัตถุรอบๆตัวเธอลอยขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลและหมุนวนอยู่รอบตัวเธอ เศษฝุ่นควันตรงหน้าเธอค่อยๆผสมผสานกัน กลายสภาพเป็นดาบคาตานะอันเขื่องที่ดูคมกริบ และแล้วเมื่อม่านควันหายไปจนหมด ก็เปิดเผยให้เห็นเจ้าของเงานั่น
“ชั้นชื่อว่าไอริส ไอริส เอเดนเบิร์ก” เด็กสาวพูดขึ้นมา ร่างกายเพรียวบางของเธอกับผิวที่ขาวดูสะอาดตาเข้ากับใบหน้าที่สละสรวยของเธอเป็นอย่างมาก เครื่องแต่งกายที่ไม่คุ้นตาของเธอแสดงให้เห็นถึงความไม่ปกติและไม่เป้นธรรมชาติ ส่งผลให้มิซึซาว่าสามารถพิจารณาได้ทันที ว่าเธอตรงหน้านี้ไม่ใช่คนในโลกนี้อย่างแน่นอน เธอก้าวขาขวาของเธอมายังมิซึซาว่า รองเท้าบู้ทส้นเข็มนั้นเหยียบไปที่ขาของมิซึซาว่าอย่างแรง ชายหนุ่มกัดฟันไม่แสดงอาการออกมาใจดีสู้เสือ และเล็งปืนไปหาเด็กสาวตรงหน้า
“ไอริส” เขาพูด ก่อนจะนึกอะไรออกบางอย่าง เด็กสาวตรงหน้าของเขานั้น ช่างเหมือนกับตัวเอกของนิยายเซริซาว่าที่ชื่อเรื่องว่า ดิ ไฮโพโทนิคเหลือเกิน “บ้าชัดๆ บ้าชัดๆ!!!” เขาตะโกนออกมาอย่างสั่นกลัว ลั่นไกปืนกระหน่ำกระสุนใสเด็กสาวไปหลายนัด แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย เสียงปืนที่ไร้ซึ่งลูกกระสุนดังออกมา ความสิ้นหวังได้มาเยือนเขาแล้ว ดาบคาตานะที่ลอยอยู่ข้างกายเด็กสาวคนนั้นจ่อคมมายังคอของเขา เด็กสาวจ้องมองไปยังสภาพอันน่าเวทนาของชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา ก่อนที่ดาบคาตานะตรงคอของชายคนนั้นจะแยกตัวเองออกมาเป็นหลายสิบอัน และรุมกระหน่ำแทงใส่เขาจนตาย เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งห้องและแน่นอนใส่ตัวของเธอด้วย เธอถอดถุงมือของเธอออก ก่อนจะใช้มือนั่นลูบไปที่รอยเลือดตามตัวเธอ สัมผัสได้ถึงความอุ่นที่คงอยู่ในเลือดหยุดนั้น เธอมองดูเลือดนั่นด้วยความสงสัย ก่อนจะเอามือข้างเดียวกัน เอื้อมไปจับร่างไร้วิญญาญของชายตรงหน้า
“นี่สินะ ที่เรียกว่าชีวิต” เธอยิ้ม และก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “นี่สินะชีวิต คุณพ่อ” เธอหันไปมองร่างไร้วิญญาญของดร.เซริซาว่า ก่อนที่ก้อนหินรอบๆตัวเธอจะลอยสูง แล้วร่วงใส่ร่างนั้นจนแหลกเหลว
“ด้านนอกนั่น ก็มีชีวิตอยู่สินะ” เธอพูดขึ้นมา เดินออกไปเรื่อยๆจนถึงบริเวณที่เพดานเปิดโล่ง เผยให้เห็นบรรยากาศข้างนอกที่วุ่นวายไปหมด ทั้งรถพยาบาลรถฉุกเฉินวิ่งกันขวั่กไขว่ แรงระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงมากจนส่งผลให้อาคารทั้งอาคารนั้นทรุดตัว สร้างความโกลาหลให้กับคนทั่วไปจนหมด เหล่าแพทย์และเจ้าหน้าที่ต่างพากันทำงานกันอย่างวุ่นวายไปหมด ไอริสจ้องมองลงไปยังคนเหล่านั้น ก่อนจะยิ้มออกมาเบาๆ เธอก้าวขาออกนอกพื้นไป แต่แทนที่เธอจะร่วงหล่นตามธรรมชาติของโลก กลับกันเธอเหมือนกับกำลังเหยียบอยู่บนวัตถุ เธอค่อยก้าวลงไปราวกับลงบันไดจากสวรรค์ สร้างความงุนงงให้กับผู้คนที่มองเห้นอย่างมาก สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเธอ ราวกับว่ากำลังจ้องมองเทพธิดาที่มาสถิตบนโลก
และนั่น ก็คือภาพสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาที่ได้มองเห็นมัน...
และมัน... จะไม่หยุด....