TO THE ELLAS CHAPTER 8.5 "งานรับเชิญ" (ตอนพิเศษ)
_______________
หลายวันต่อมา ณ เมืองอตอมอส อาณาจักรโบเรเนีย "ครึกครื้นดีจริง ๆ นะเนี่ย" ชายผมสีน้ำตาลว่ากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มในขณะที่ตนกำลังควบม้าสีน้ำตาลอยู่
"คิดเหมือนกันมั้ย? อาร์มันโด้" เขาหันกลับมาถามชายสวมหน้ากากสีดำติดอาวุธปืนครบมือที่ควบม้าอยู่ข้างกาย
ชายที่ถูกเรียกว่าอาร์มันโด้เมื่อได้ยินก็หาได้ตอบกลับอย่างไร เพียงแค่หันกลับมามองชายผมสีน้ำตาลด้วยสายตาดูรำคาญเขาก่อนจะกลับมาหันมองทางเบื้องหน้าดังเดิมซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนสวมเครื่องแบบพื้นเมืองแถบนี้ เดินเบียดเสียดกันมากมายตรงหน้าทางเข้าเมือง
จากที่ชายผมสีน้ำตาลและอาร์มันโด้รู้มาจากจดหมายรับเชิญที่เมืองเรเวน ก็คือที่แห่งนี้มีงานพิเศษบางอย่าง ชายผมสีน้ำตาลจำไม่ค่อยได้นักหรอกว่ามันเกี่ยวกับอะไร ที่จำได้ก็แค่ เจ้าชายมีลูก แล้วก็จัดงานประหลาดนี่ขึ้นมาเท่านั้น โดนชายผมสีน้ำตาลและอาร์มันโด้เดินทางมาที่เมืองนี้เพื่อเป็นตัวแทนของเมืองเรเวน และมาสำรวจสภาพแวดล้อมในดินแดนแถบนี้เสียด้วยไปเลย
ถึงก่อนหน้านี้เดวิดจะทำท่าเตือนชายผมสีน้ำตาลว่าลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีก็เถอะ แต่เขาก็ยังยืนยันที่จะเดินทางมา มิใช่เพราะเจ้าเมืองอย่าง อเล็กซิส แนะนำให้ลองไปดู แต่เพราะสัญชาตญาณของเขาเอง มันพยายามลากให้ชายผมสีน้ำตาลเดินทางมายังเมืองนี้ แม้เพียงแค่ได้ยินชื่อ 'อตอมอส' แต่มันกลับทำให้ชายผมสีน้ำตาลชวนหลงใหลอย่างน่าประหลาด
เขามองไปที่รอบกำแพงซึ่งสูงใหญ่และมีอัศวินคอยเดินเฝ้าดูอย่างแน่นหนาพลางคิดถึงเรื่องทั้งหลายนี้ในหัวอย่างเคร่งเครียด แม้ปากจะยังยิ้มอยู่ก็ตามที แต่หากลองพินิจคิดดูดี ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะยิ้มในขณะนี้หรอก
"อาร์มันโด้.. คิดว่าไง?" เขายิ้มขึ้นด้วยความตะลึงหลังจากที่สะบัดเรื่องปวดหัวออกจากสมองไปได้หมด อาร์มันโด้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองตามชายผมสีน้ำตาลไป
"..." แม้จะไร้ซึ่งวาจาใดออกจากปาก แต่ดวงตาที่เบิกโพลนเช่นนั้นคงสื่อได้เพียง ความสุข เท่านั้นแหละ
"พวกเราเป็นผู้บุกเบิกเชียวนะ.. สองคนแรกในโลกที่ได้เหยียบเมืองอตอมอสแห่งนี้.." ชายผมสีน้ำตาลคว้าบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายหนัง ซึ่งก็คือกล้องถ่ายรูปนั่นเอง
ชายผมสีน้ำตาลจัดการถ่ายรูปของผู้คนจำนวนมากพลุกพล่านเดินผ่านเข้าไปในเมืองแห่งนี้ พร้อมกับสภาพบ้านเรือนที่ราวกับทั้งสองชายหนุ่มหลุกเข้ามาในโลกยุคกลางอะไรอย่างนั้น เมื่อเขามองดูภาพในกล้องดิจิตอลของตนจึงยิ้มขึ้นมาด้วยความสุขและความตื่นเต้นที่ดีดดิ้นไปทั่วร่าง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบกับประสบการณ์เช่นนี้
"ดีนะที่เลือกงานนี้" เขาภาคภูมิใจในตนเองที่ตัดสินใจถูกโดยถ่องแท้
"อาร์มันโด้ เราลองไปดูรอบเมืองก่อนมั้ย?" เขาหันมาหาอาร์มันโด้แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางดูตื่นเต้นอย่างไรไม่รู้ ส่วนอาร์มันโด้นั้นก็เงียบกริบตายด้านดังปกติ หาได้ร้องวื้อวาวแต่อย่างใด
"ไม่" เขาตอบกลับไปสั้น ๆ หาได้สนใจชายผมสีน้ำตาลแต่อย่างใด
"แค่เล็กน้อยเอ๊ง ไม่เถลไถลไปไกลหรอก จริงจริ๊งงง" ชายผมสีน้ำตาลทำเสียงสูงราวกับอ้อนวอน แต่น้ำเสียงและท่าทางดูราวกวนประสาทอาร์มันโด้อยู่
"ทำธุระให้เสร็จก่อน แล้วจะทำอะไรต่อก็ได้"
"ก็มันน่าเบื่อนี่หว่า แค่ห้านาทีเองไม่เป็นไรหรอก" ทั้งสองถกเถียงกันราวกับพ่อเถียงกับลูกชาย
"นี่เพื่อความปลอดภัยของแกเอง ดิลเลี่ยน-"
"เอาเถอะ มึงพูดอะไร กูก็จะไปอยู่ดีแหละ ตามมาเร็ว ๆ แล้วกันนะเพื่อน" ชายผมสีน้ำตาลที่ถูกอาร์มันโด้เรียกว่าดิลเลี่ยนพลันตัดบทสนทนาโดยพลันก่อนจะรีบควบม้าตรงต่อไปอย่างรวดเร็ว ส่วนอาร์มันโด้ยังคงอยู่บนหลังม้าอย่างเงียบ ๆ อยู่
"เห้อ.." อาร์มันโด้ถอนหายใจออกมา
"ฟัค.." แล้วเปล่งความในใจของตนเอง ณ ปัจจุบันพลางมองไปที่ดิลเลี่ยน
หลังจากนั้นไม่นานนัก ภายในห้องโถงที่ตั้งของบัลลังก์แห่งพระราชวังกลางเมืองอตอมอส..
"ฝ่าบาทครับ.." อัศวินในชุดเกราะสีเงินคุกเข่าลงและทูลกล่าวให้กษัตริย์เบื้องหน้าบนบัลลังก์ได้รับฟัง
"แขกจากเมืองเรเวนมาถึงแล้วครับ.." เขากล่าวต่อถึงสาเหตุที่เรียกหาพระองค์
"จำนวน?" เสียงทุ้มของกษัตริย์ดังถามต่ออย่างนุ่มนวล ในขณะที่เขาค่อย ๆ ถอดมงกุฏออกจากหัวมาวางไว้บนบัลลังก์แทน พลางลุกขึ้นยืนเต็มตัว
"สองครับ.." อัศวินคนนั้้นตอบคำถามของกษัตริย์ไปโดยพลัน ท่าทางกังวลตัวสั่นเพียงเล็กน้อยจนแทบสังเกตุไม่ออก
"สองเหรอ..? น้อยกว่าที่ข้าคิดอีกนะน่ะ"
"..ต.. ตอนนี้กระหม่อมให้ทั้้งสองรออยู่หน้าห้องโถง.. จะให้เข้ามามั้ยครับ หรือจะให้พาไปที่ห้องพักเลย-"
"ไม่ต้องรีบหรอก.. พาพวกเขาเข้ามา"
มือของกษัตริย์ตบไหล่ของอัศวินคนนี้เล็กน้อยอย่างเป็นมิตรก่อนจะถอยกลับมามองไปที่บัลลังก์ของตนซึ่งมีตราของหมาป่าประจำอยู่ตรงกลางกำลังแสยะเขี้ยวอย่างน่าหวาดหวั่น มันคือสัญลักษณ์ของตระกูลซาเอทัจ แม้แท้จริงแล้วมันหาใช่เป็นหมาป่า แต่เป็นหนึ่งในสามสิบสองอสูรแห่งขุมนรกเซเซมอร์ซึ่งมีนามว่า "บาฮามอส" ต่างหาก
"ค-.. ครับ ฝ่าบาท" ตัวอัศวินค่อย ๆ ลุกขึ้นมาแล้วเดินถอยล่นกลับไปอย่างเร่งรีบผ่านอัศวินที่ประจำอยู่บริเวณเสาค้ำยันของห้องโถงอยู่นับสิบ ตรงไปยังประตูห้องโถงชนาดใหญ่แล้วจึงค่อย ๆ เปิดมันขึ้นมาในขณะที่กษัตริย์องค์นี้ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ของตน ต้อนรับแขกทั้งสองแห่งเมืองเรเวนด้วยรอยยิ้ม มือข้างซ้ายกุมถือกระดาษม้วนเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งอยู่
'อีกา (เรเวน) ตนนี้นั้นแตกต่าง มันเป็นพรรคพวกของเรา - แพทริเซีย' มันถูกส่งมาจากแพทริเซีย เมอร์ด็อก หนึ่งในสองมือสังหารที่กษัตริย์บาร์เนส ซาเอทัจองค์นี้รับจ้างนั่นเอง
"ครืดดด.." บานประตูขนาดใหญ่ยักษ์ค่อย ๆ ถูกเหล่าอัศวินจากด้านนอกดันเปิดเข้ามา
แสงสว่างของดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้องโถงมากขึ้นแม้เดิมทีจะมีแสงพอประมาณจากหลอดไฟและกระจกเพดานก็ตามที เช่นเดียวกับดิลเลี่ยน และอาร์มันโด้ที่ยังคงยืนตะลึงอยู่กับความงดงามและเจิดจรัสของห้องโถงบัลลังก์แห่งนี้ แสงสีทองของเสาทองคำสาดส่องทแยงตาของชายทั้งสองเล็กน้อย
"..โอ.."
ดิลเลี่ยนค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามาด้วยท่าทางยังคงตกใจกับขนาดของห้องนี้ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาเคยมาเหยียบสถานที่เช่นพระราชวังเลยด้วยเสียไป และพระราชวังแรกที่เหยียบกลับเป็นพระราชวังในแดนต่างโลกเสียด้วย.. ดิลเลี่ยนเผลออุทานออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดเช่นนี้ก่อนจะปิดเสียงของตนไป ส่วนอาร์มันโด้ก็เดินไล่หลังตามมาเรื่อย ๆ หาได้คิดอะไรมากมาย
"ส-.. สวัสดี-.. สวัสดีครับ..." ดิลเลี่ยนที่ทำตัวไม่ถูกจึงทักทายแบบปกติไปพลางโค้งคำนับลงเล็กน้อย อาร์มันโด้ที่เห็นก็หาได้โค้งคำนับตามแต่อย่างใด แต่กลับกำลังมองไปรอบ ๆ นับจำนวนอัศวินและเสาค้ำสำหรับการหลบการโจมตีไปเรื่อย
ตัวกษัตริย์บาร์เนสที่เห็นท่าทีตื่นตัวของดิลเลี่ยนดังนั้นจึงหัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสก่อนจะกล่าวต้อนรับกลับไป
"อาณาจักรโบเรเนีย ยินดีต้อนรับ.. พวกท่านคงจะเป็นตัวแทนจากเมืองเรเวนสินะ"
"ค-.. ครับผม" ดิลเลี่ยนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นชายวัยห้าสิบปี ผมสีน้ำตาลกำลังจ้องมองอยู่อย่างเป็นธรรมชาติและเป็นมิตร ส่วนสูงของกษัตริย์คนนี้พอ ๆ กับดิลเลี่ยน จึงทำให้ระดับสายตาอยู่ในระดับเดียวกันโดยพอดิบพอดี
"ข้าว่าตัวข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนนะ.. เจ้าชื่ออะไรล่ะ?"
"ด-.. ดิลเลี่ยน อาร์วิเนลครับ ฝ่าบาท.. ส่วนเขาชื่อ อาร์มันโด้.. ดิอ้อนครับ" ดิลเลี่ยนพลันรีบแนะนำตัวของตนเองและอาร์มันโด้กลับไปโดยเร็วด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อยกว่าปกติ
"ยินดีที่ได้รู้จัก ดิลเลี่ยน.. และอาร์มันโด้.. อย่างที่รู้กัน ข้าคือบาร์เนส ซาเอทัจ... กษัตริย์แห่งอาณาจักรโบเรเนียแห่งนี้"
"ตัวข้ายินดีมากที่พวกท่านมาร่วมงานมอบพระราชนามหลานชายของข้ากันได้.. ตัวข้าปลาบปลื้มจริง ๆ" ตัวบาร์เนสหัวเราะออกมาราวกับปู่ข้างบ้านแสนดี ภาพลักษณ์ของกษัตริย์ที่เคร่งขรึมในหัวของดิลเลี่ยนเมื่อก่อนหน้านี้หายไปทันตา
ตัวเขาจำได้แล้วว่ามันเป็นงานอะไร งานมอบพระราชนามนี่เอง.. ในจดหมายที่เมืองเรเวนส่งมาว่า เจ้าชายชื่อ.. อะไรสักอย่าง กับเจ้าหญิง.. อะไรสักอย่าง.. ได้มีบุตรขึ้นมาเมื่อหลายเดือนก่อน จึงได้ส่งจดหมายรับเชิญไปที่เมืองต่าง ๆ ซึ่งปลอดสงครามมายังงานแห่งนี้ แม้ตัวเจ้าหญิงเองจะไม่ทรงพระทัยนัก แต่มันเป็นประเพณีของตระกูลซาเอทัจซึ่งสืบต่อกันมา ทว่าโดยปกติก็จะเป็นแค่เรียกเครือญาติมา มิใช่เมืองจากอาณาจักรทั้งหลายนั่นแหละนะ
"ค-.. ครับ" ดิลเลี่ยนตอบไปสั้น ๆ ห้วน ๆ ก่อนจะเสริมต่อกลับไปดังว่า "เป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานนี้เช่นกันครับ"
"ก็นะ.. จะเริ่มงานกันในช่วงบ่ายวันนี้.. ตอนนี้พวกเจ้าจะไปเดินชมเมืองก่อนก็ได้" บาร์เนสกล่าวแนะนำขึ้นมาพร้อมบอกเวลาเริ่มงาน
"จริง ๆ แล้ว.. อ่า.. พวกเราเดินดูรอบเมืองแล้วน่ะครับ.. สองสามรอบได้ ฮ่า ๆๆ.." ดิลเลี่ยนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบกลับไปด้วยท่าทีตลกเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองอาร์มันโด้ ซึ่งตัวอาร์มันโด้ก็ส่ายหน้าด้วยแววตาเหมือนจะสื่อประโยคดังเช่นว่า "กูบอกแล้ว" อะไรเช่นนี้
"ฮ่า ๆๆ.. นั้นเหรอ" บาร์เนสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะเสริมต่อ "ถ้าอย่างนั้นข้าจะหาที่พักให้แล้วกัน"
"อ่า.. เกรก! ที่ 'แมรี่ฮู้ด' ยังมีห้องพักให้แขกเราเหลือมั้ย !?" บาร์เนสหันกลับไปหาอัศวินร่างใหญ่คนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับกษัตริย์บาร์เนส
"ไม่เหลือเลยครับ" อัศวินนามเกรกค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ และตอบกลับไปอยย่างสงบเสงี่ยม
"แล้ว.. 'บรันเดล' ล่ะ?" บาร์เนสเปลี่ยนสถานที่
"ไม่เหลือเช่นกันครับ" เกรกตอบกลับด้วยน้ำเสียงดังเดิม
"นั้นมีเหลืออยู่สักที่มั้ย?"
"มี 'เซ็ตส์วอลล์' เหลืออยู่ห้องหนึ่งครับ" เกรกที่ได้ยินคำถามจึงตอบกลับไปโดยพลันราวมั่นใจ
"ใช่ตรงแถว ๆ ร้านอาหารอาร์ธีร์มั้ย?" บาร์เนสที่ได้ยินชื่อสถานที่นั้นจึงถามเพื่อความแน่ชัด
"ครับผม"
"โรงแรมนั้นไม่ค่อยดีนัก.. ข้าว่าควรจะให้ประสบการณ์ดี ๆ กับทั้งสองหนุ่มในการมาเมืองของเราครั้งแรกนี้หน่อยนะ"
"เอาอย่างนี้.. ข้าให้พวกเจ้าพักในพระราชวังข้าก็แล้วกัน"
"พรวด! .. ท-ท่านครับ!" ทั้งสองสนทนากันโดยเร็วจนคนอื่น ๆ ทั้งดิลเลี่ยน อาร์มันโด้และอัศวินคนอื่น ๆ ที่เฝ้าห้องโถงอยู่พากันงงไม่น้อย
"ตัวกระหม่อมว่ามันดูไม่ค่อยเหมาะสม-"
"เอาเถอะน่า เอาเถอะน่า.. พวกเจ้าก็อารักขากันแน่นหนาอยู่แล้วมิใช่หรือไง?" ตัวบาร์เนสพูดจาอย่างสบายใจหาได้เคร่งเครียดอะไรแม้แต่น้อย
"พวกเจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจหรอก คิดเสียว่าเป็นบ้านของพวกเจ้าเลยก็ได้ ข้าไม่ว่า" บาร์เนสหันมาพูดกับพวกของดิลเลี่ยนอีกคราวหนึ่ง
เขาคงจะดีใจที่ได้มีหลานอยู่ล่ะมั้ง ถึงพูดจายิ้มแย้มได้บานสะพรั่งขนาดนี้ เอาเถอะ ขออะไรสบาย ๆ หน่อยคงไม่ว่ากันแหละนะ อย่างไรเราก็พวกอีซีไลฟ์ (EASY LIFE) อยู่แล้วนี่.. ดิลเลี่ยนครุ่นคิดกับตนเองในใจพลางใช้มือข้างหนึ่งกุมคางของตนราวกับนักสืบในภาพยนตร์ยุค 50'
'จะจริงใจไปไหนวะน่ะ' อีกด้านหนึ่งในหัวของอาร์มันโด้..
"ถ้าเช่นนั้นก็.. ตามแต่ที่ฝ่าบาทประสงค์เลยครับ" ดิลเลี่ยนที่ตัดสินใจสำเร็จจึงตอบกลับไป
"เยี่ยม! เกรก ข้าฝากเจ้าพาทั้งสองไปห้องพักชั้นสี่ด้วย ส่วนนี่คือกุญแจ อย่าลืมเอามาคืนด้วย" บาร์เนสพูดรวบรัดขึ้นก่อนจะหันไปหาเกรกและโยนกุญแจให้โดยพลัน ตัวอัศวินร่างยักษ์คว้าเอาไว้ก่อนจะรีบโค้งคำนับรับคำสั่งโดยพลัน
"ครับ ฝ่าบาท"
เกรกค่อย ๆ ก้าวเดินออกห่างจากตัวกษัตริย์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์ แล้วตรงไปหาตัวดิลเลี่ยนและอาร์มันโด้ที่ยืนจ้องสายตากันอยู่ คนหนึ่งงุนงง และอีกคนหนึ่งไม่สบอารมณ์ด้วย คงไม่ยากที่จะบอกว่าอารมณ์ไหนเป็นของใครหากบอกว่าตัวดิลเลี่ยนยังคงงุนงงว่าทำไมตัวอัศวินร่างใหญ่คนนี้จึงจ้องตาเขาเขม็งราวไม่สบอารมณ์ด้วย
"เอิ่ม... เชิญนำไปเลยครับ" ดิลเลี่ยนที่นึกได้จึงพูดป่วนประสาทอัศวินคนนี้เล็กน้อย
"ท-.. ทางนี้เลยครับ" เขาหันกลับมากัดฟันยิ้มให้ดิลเลี่ยนและอาร์มันโด้ มือข้างซ้ายถือกุญแจ อีกข้างกำลังกุมดาบเอาไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งแน่แท้ว่าไม่พ้นสายตาของอาร์มันโด้เลย
อาร์มันโด้ก็ค่อย ๆ ดึงกระบอกปืนขึ้นมาเล็กน้อยราวกับกระตุ้นสติให้เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ แม้จะมิได้ขนาดโต้งเต้งเล็งปืนไปหาอัศวินนามเกรกแต่อย่างใด
เมื่อนั้นทั้งสามจึงค่อย ๆ เดินออกจากห้องโถงไป เพื่อตรงไปยังภายในพระราชวัง.. บาร์เนสซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็ค่อย ๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางกรอกสายตาขึ้นไปมองเหนือหัวของเขา ราวกับเหนื่อยล้าอะไรอย่างนั้น มิใช่เพราะใช้แรงขยับตัวเดินไปมามากเกินไป.. แต่เป็นแสดงมากเกินไปจนน่ารำคาญ
"เฮ้อ.. ข้าล่ะเหนื่อยจริง ๆ" เขายิ้มขึ้นมาเล็กน้อย หาใช่รอยยิ้มที่เป็นมิตร แต่เป็นรอยยิ้มของพวกคนเห็นแก่ตัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการหลอกลวงอันเต็มไปด้วยชั้นเชิง
"สายของเราก็บอกมาว่ามีพวก.. คนต่างโลก.. สินะ?" เขาพูดกับตนเองขึ้นมาเบา ๆ
ท่าทางลังเล กระวนกระวาย.. แถมยังดูไม่ค่อยหวาดกลัวเราด้วย ราวกับไม่รู้สมญานามและความน่ากลัวของเรา.. มิหนำซ้ำก็ดูไม่เหมือนกับพวกคนของเมืองเรเวนเลย หากนี่ไม่ใช่สัญญาณว่าแขกจากต่างโลกมาเยือนแล้วจะหมายความได้เช่นไรล่ะ? เมืองเรเวนส่งพวกคนโง่มาร่วมงานของข้าเช่นนั้นหรือ? .. นี่คิดจะหยามเกียรติของข้าให้ถึงที่สุดเลยใช่มั้ย? ไอพวกเอลลาส.. สงสัยคราวหน้าต้องฆ่าไอราชินีของพวกมันให้สิ้น จะได้จำใส่กระโหลกหนา ๆ ของมันได้ว่า โบเรเนียไม่ใช่ที่เล่นของมัน..
บาร์เนสคิดคำนวณถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวอันปั่นป่วนและโกลาหลของเขา
"หึหึ.. ก็ดี ขอบใจมาก.. แพทริเซีย.."
"ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าทำอะไรลงไป... ช่างฉลาดล้ำเลิศเสียจริง"
..เวลายามบ่าย..
งานพระราชทานนาม หรือเดิมเมื่อหลายพันปีก่อนถูกเรียกว่า ฟอร์เกรซ์ เป็นงานประเพณีที่จัดขึ้นในตระกูลทั้งหมดสองตระกูล ซึ่งก็คือตระกูลฟอร์นัส ซึ่งเป็นตระกูลหลัก และตระกูลซาเอทัจ ซึ่งเป็นตระกูลย่อย ทั้งสองตระกูลนี้เป็นพันธมิตรกันมานานตั้งแต่ในยุคที่เวทมนตร์เป็นของพื้นบ้านที่ผู้คนในทุก ๆ เมืองต้องมี ทว่าในปัจจุบันมีเพียงผู้มีปัญญาและผู้พากเพียรเท่านั้นท่สามารถใช้เวทมนตร์ได้
โดยหากจะถามถึงจุดเริ่มต้นของประเพณีนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อนในสมัยที่ทั้งสองตระกูลยังมิใช่ราชวงศ์ เมื่อหนึ่งในตระกูลฟอร์นัสนาม แอรอน ฟอร์นัส ได้สมรสกับหนึ่งในตระกูลของซาเอทัจ.. ซึ่งเป็นปริศนา.. แล้วมีบุตรสองคนเป็นแฝดขึ้นมา ทว่าทั้งสองหาได้รู้ว่าจะตั้งชื่อบุตรของตนเช่นไร พวกเขาจึงได้เชิญชวนญาติพี่น้องมาช่วยกันคิดชื่อขึ้นมาหนึ่งชื่อต่อคนลงในแผ่นกระดาษ แล้วให้ตัวเด็กทารกคลานไปเลือกว่าจะเอาชื่อไหน หากเด็กแตะกระดาษชื่อแผ่นใด เด็กจะชื่อนั้น
โดยชื่อแรกและรองลงมาในประเพณีนี้นั้นคือ 'ซีนอส' และ 'ซีน่อน' นั่นเอง
โดยประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมาเรื่อย ๆ ในตระกูลทั้งสอง จนต่อมาเมื่อตระกูลฟอร์นัสเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จึงเริ่มที่จะเชิญชวนคนจากตระกูลอื่นมาบ้างเช่นตระกูลริห์ม และตระกูลเมอร์ซิอ้อส และเริ่มมีการจัดเป็นงานการกุศลต่าง ๆ นานาขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบัน.. แม้ตระกูลฟอร์นัสจะสูญสิ้นแล้ว แต่ตระกูลซาเอทัจยังคงอยู่และยังคงสืบทอดประเพณีต่อไป โดยงานพระราชทานนามนี้เป็นงานแรกในรอบยี่สิบปีเลยทีเดียวที่ได้จัดขึ้นมา งบประมาณต่าง ๆ ถูกทุ่มเทลงไปในงานนี้มากโดยคำสั่งของกษัตริย์เพื่อต้องการให้งานพระราชทานนามตามประเพณี "ฟอร์เกรซ" นั้นเป็นที่น่าจดจำมากที่สุด ถึงขนาดมีการจัดการแสดงยิ่งใหญ่ต่าง ๆ นานาถึงประวัติตระกูล และแม้แต่ตำนานอันลือลั่นของ "โอฟิรอธ มังกรตนแรกแห่งผืนโลกา" ก็จะถูกจัดแสดงขึ้นด้วยควบคู่กับ "ความโง่เขลาของโรสแมรี่" ซึ่งถูกประพันธ์โดย เคไซ ก็อดเฟรย์ นักกวีในตำนานแห่งโดเรียร์นั่นเอง
โดยในตอนนี้หลังจากที่ผม อาร์มันโด้ ดิอ้อน ต้องทนดูละครเวทีนี่จนจบก็มิได้รู้สึกอะไร ไม่ได้ตลกอะไร แถมเวลาที่เหมือนจะทำให้น่ากลัว โหดร้ายทารุณมันก็ไม่ได้โหดอะไรเลยในสายตาผม ขณะที่อีกด้านหนึ่งของผมซึ่งคือดิลเลี่ยนกับตื่นตาตื่นใจกับมันมาก พอถึงจุด ๆ หนึ่ง จู่ ๆ ก็มาเขย่าตัวผมไปเรื่อย จนผมต้องหลังแหวนไปทีหนึ่งมันถึงจะเงียบได้ ตอนนี้มันก็ยังคงเขย่าตัวผมอยู่เลยราวกับไม่เข็ดหลาบ แต่ช่างมันไปเถอะ มันไม่ได้สำคัญอะไร
จากที่ผมสังเกตุก็เห็นเจ้าชาย เจ้าหญิง และกษัตริย์บาร์เนสนั่น.. ไม่ว่าอย่างไรก็จะไว้ใจกษัตริย์นั่นไม่ได้ แววตาแบบนั้นน่ะมันดูเป็นมิตรเกินไป ไม่ธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย คงต้องหาโอกาสบอกกับเจ้าดิลเลี่ยนก่อนที่มันจะเถลไถลไปไกลล่ะนะ
ตอนนี้ก็เริ่มมีการแจกกระดาษแล้วจากทางด้านซ้ายของแถวแขกรับเชิญของเรา คงต้องคิดชื่อไว้ก่อนสินะ.. นามสกุลซาเอทัจ ก็คงจะต้องคิดชื่อที่น่าจะเข้ากับนามสกุลเอาไว้ให้.. นี่ผมจริงจังกับเรื่องนี้เกินไปหรือเปล่าล่ะเนี่ย? .. เขียนไปมั่ว ๆ ก็พอล่ะมั้ง
"ให้เขียนชื่อเหรอ? ..หืม.." ตัวกระดาษถูกแจกไปเรื่อยจนถึงตัวดิลเลี่ยน
"นี่ครับ" สาวใช้ผู้คอยแจกกระดาษยื่นมาให้ตัวผมเขียนอีกคนหนึ่ง ในขณะเดียวกันดิลเลี่ยนก็ส่งกระดาษนั่นให้กับหญิงสาวคนนั้นโดยพลัน
ตัวผมที่เขียนชื่อเสร็จอย่างรวดเร็วก็ส่งคืนไปให้หญิงสาวคนนั้นก่อนจะกลับมาจ้องมองตรงกลางเวทีดังเดิม ในขณะที่ดิลเลี่ยนก็ทำท่าทีเหมือนจะเข้ามาถามผมว่าเขียนชื่ออะไรลงไป ตรงกลางเวทีตอนนี้กำลังแสดงเรื่อง "ความโง่เขลาของโรสแมรี่" ใกล้จะจบแล้ว หากให้เดาพวกเขาก็คงไม่รอช้าที่จะเริ่มการสุ่มชื่อให้เด็กน้อยไร้นามนั่นแล้ว
"นายเขียนชื่ออะไรเหรอ? อาร์มันโด้" ดิลเลี่ยนหันมาถามตัวผมทีกำลังพักผ่อนสายตาและสมองอยู่..
ผมว่าแล้ว.. แต่พูดถึง ชื่อที่ตัวผมเขียนลงไปมันสามารถเป็นได้ทั้งชื่อผู้ชายและชื่อผู้หญิงด้วยล่ะนะ เผลอ ๆ มันฟังดูเหมือนชื่อผู้หญิงมากกว่าด้วยซ้ำไป
"..." ผมควรจะตอบสินะ.. ก็ได้ เล่นจ้องตาเขม็งเสียขนาดนั้นถ้าไม่ตอบก็คงจะโดนด่าหยอกว่าหยิ่งล่ะมั้ง แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็คงจะมีลุ้นว่าจะโดนหลังแหวนอีกสักรอบมั้ยล่ะนะ
"แซม.. ชื่อเต็ม ซาแมนทัส.."
"อ้อ.. ก็เพราะดีนี่" ดิลเลี่ยนพูดชื่นชมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตายด้าน
'เกือบจะด่าหยอกเล่นว่าไอหยิ่งแล้วไง' ตัวดิลเลี่ยนครุ่นคิดขึ้นในใจ
"แล้วแก?" ผมถามมันกลับไป
"อ่า.... ดิลเลี่ยน"
".. ?" หมอนี่พูดว่าอะไรนะ?
"ใช่.. เขียนไปว่าดิลเลี่ยน"
"..." ไม่คาดคิดว่าหมอนี่จะเขียนชื่อตัวเองลงไป.. ผมนี่ปวดหัวตามเลย หากพวกเขาไม่รูัว่าคนที่เขียนชื่อดิลเลี่ยนก็ได้น่ะแหละ แต่หากถามขึ้นมาว่าใครเขียนแล้วถามชื่อต่อล่ะก็ หมอนี่คงตายสถานเดียว
"ก็มันเขียนอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ?"
"....."
ตัวผมไม่ได้ตอบกลับอะไร เพียงแค่โยกหน้าไปมาเท่านั้นด้วยความรำคาญ ขี้เกียจเสียน้ำลายพูดกับมัน เอาจริง ๆ ก็ไม่อยากเสียน้ำลายพูดกับใครหน้าไหนทั้งนั้นแหละหากเอาเข้าจริง นอกจากตอนรำคาญหรือจำเป็นเท่านั้นล่ะนะ
โอ้.. เริ่มพล่ามกันแล้ว สงสัยงานใหญ่จะเริ่มแล้วล่ะมั้ง เพราะการแสดงก็จบหมดแล้วด้วย
"ตัวข้าขอต้อนรับท่านทั้งหลายที่ได้เป็นเกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ข้า เอการ์ ซาเอทัจ และมเหสีของข้า ไดอาน่า ล้วนขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง" เจ้าชายผมสีทอง ร่างสมส่วนราวอัศวิน แต่แตกต่างด้วยใบหน้าอันคมกริบและหล่อเหลา กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีเสน่ห์กว่าชายอื่น
"ตัวข้า.. พูดอภิปรายอะไรไม่เก่งเสียด้วยสิ ฮ่าๆๆ.." ดูเหมือนเจ้าหมอนี่จะคล้ายเจ้าบาร์เนสนั่นแฮะ แต่แตกต่างที่ฟังดูเป็นธรรมชาติกว่าเท่านั้น อย่างกับเจ้าชายในนิทานอะไรอย่างนั้น
"ก็.. ตอนนี้แขกทั้งหลายได้เขียนชื่อทั้งหมดมาแล้ว เราจะนำมาเรียงไว้ตรงพื้นนี้ แล้วให้ลูกของเราเลือกว่าจะเอาชื่อไหนติดตัวตนเองไปตลอดชีวิต"
"หวังว่าพวกท่านจะ.. จริงจังในการเขียนชื่อแล้วนะครับ" จู่ ๆ ก็เปลี่ยนน้ำเสียงแล้วหันมาทางฝั่งเราราวกับมองเห็นสัจธรรมที่แท้จริงแม้จะยังมิได้เปิดอ่านชื่อก็ตาม
"เขาคงไม่รู้หรอกว่าใครเขียน-" ดิลเลี่ยนหันมาพูดกับผมเบา ๆ ทว่าถูกใครบางคนขัดจังหวะ
"เรารู้นะครับว่าใครเขียน" น่ะ.. ไม่ทันไร ซวยแล้ว ไอหมอนี่
"ฉิบหายล่ะ.." ดิลเลี่ยนพูดอุทานขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังแท้แน่นอน
เอาเถอะ ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็คงไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไร กับอีแค่การตั้งชื่อให้เด็กทารกคนหนึ่ง ทำไมเราจะต้องจริงจังและทุ่มเทกับมันด้วยล่ะ? เสียเวลาทำมาหากินเปล่า ๆ แค่มาร่วมงานนี่ก็บุญแค่ไหนแล้ว เผลอ ๆ เราก็ไม่อยากจะมาด้วยซ้ำแต่เป็นหน้าที่ที่ต้องปกป้องไอหมอนี่ ปัดโธ่เอ้ย..
ตัวผมคิดในใจก่อนจะเบนสายตาไปมองรอบ ๆ อย่างเรื่อยเปื่อยก็เห็นสีหน้าของแขกคนอื่น ๆ ที่จริงจังและเคร่งเครียดกันมากจนน่าตกใจ ราวกับว่าพวกเขากำลังลุ้นและตื่นเต้นไปกับมัน แม้มันแทบจะไม่มีอะไรนอกจากการที่เด็กคลานไปหยิบกระดาษทรงประหลาดตรงหน้าเท่านั้นแต่พวกเขาก็เกรงจนตัวสั่น ปากไม่พูดอะไร แทบจะมิได้หายใจด้วยซ้ำ คาดหวังให้หนึ่งในสามสิบความเป็นไปได้ เป็นชื่อที่ตนมอบให้เหรอ?
คนอย่างเราอาจไม่มีวันเข้าใจ แต่ก็เหมือนเดิม.. มันสำคัญอะไร?
...
อ้อ.. สุดท้ายเด็กเลือกชื่อ ซาแมนทัส ของผมเอง กลายเป็นว่าบุตรของเอการ์ ซาเอทัจ และ ไดอาน่า การ์เซส มีนามว่า ซาแมนทัส ซาเอทัจ.. น่าขันใช่มั้ยล่ะ?
ณ สถานที่ปริศนาแห่งหนึ่ง
ความมืดมิด.. มีเพียงความมืดมิดเบื้องหน้าดวงตาทั้งสองของเขา เขามิอาจมองเห็นมือ แขน ขา ทุก ๆ ส่วนประกอบของร่างกายเขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาพยายามก้าวขาขยับกายกลับไปชนกับกำแพงบางอย่างเข้าเบื้องหน้า แม้จะเปลี่ยนทิศทางไปที่ไหนก็ต้องชนกับกำแพงทางตันเสมอ มันคับแคบ มืดมิด และยังเริ่มรู้สึกถึงลมหนาวขึ้นมา
"ที่นี่มันที่ไหน?" ชายวัยห้าสิบเอ่ยขึ้นมา มิได้หวังให้ใครตอบกลับมาหรอก เพียงแค่ถามขึ้นมาลอย ๆ เท่านั้น
เขายังคงพยายามกรอกสายตาไปทั่วเพื่อมองหาแสงสว่าง แต่ไม่ว่าจะทำเพียงใดเขาก็มิอาจมองเห็นอะไรเลย ทว่าทันใดนั้นเองก็มีแสงบางอย่างสาดส่องลงมาเบื้องหน้าของชายคนนี้ ทำให้เขามองเห็นพื้นสีขาวที่ว่างเปล่า หาได้มีสิ่งใดอยู่ตรงนั้นเลย
"บาร์เนส! .. บาร์เนส!"
"เป็นอะไรไปเหรอ.. ที่รัก?" เสียงที่ชวนดูคุ้นเคยนี้.. เป็นของใครกัน ไม่ใช่เสียงภรรยาของข้า ทาเรียลแน่.. แล้วมันคือเสียงของใครกันล่ะ? ตัวบาร์เนสครุ่นคิดขึ้นมาก่อนจะค่อย ๆ ก้าวขาเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่ากำแพงนั้นหายไปแล้ว
"ก็ที่บ้านฉันไงที่รัก เป็นอะไรไป" จู่ ๆ เสียงนี้ก็พร่ามประโยคแปลก ๆ ออกมา แม้ว่าบาร์เนสจะยังไม่ทันพูดอะไรด้วยซ้ำ ในขณะเดียวกันก็ยังหาได้มีอะไรโผล่ออกมา ณ บริเวณที่แสงตกกระทบแม้แต่น้อย
"เจ้าเป็นใคร" บาร์เนสถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเคร่งเครียด สีหน้าจริงจังกว่าคราวก่อน ๆ และหาได้มีความกลัวใดบนสีหน้าแม้แต่น้อย
"ร.. รีอาไงคะ ที่รั-" จู่ ๆ ก็เหมือนต้นเสียงถูกบางอย่างขัดจังหวะ
"คุณไม่สบายอะไรรึเปล่าคะ?" นามถามขึ้นต่อ
ทำไมประโยคทั้งหลายเหล่านี้จึงดูคุ้นเคยเหลือเกินกัน? นางเป็นใคร? และเกี่ยวข้องอะไรกับตัวข้า.. บาร์เนสตั้งคำถามขึ้นมามากมายในหัว ในขณะที่เขาก้าวเดินไปเรื่อยจนถึงหน้าบริเวณที่แสงตกกระทบโดยพอดิบพอดี แต่ก็เช่นเคยกับที่รอมาก่อนหน้านี้ มันหาได้มีอะไรอยู่เลย
"..." ความเงียบงันเข้าปกคลุมชั่วขณะ ในช่วงเวลาที่บาร์เนสกำลังตั้งสติครุ่นคิดขึ้นถึงบางอย่างที่ขาดหายไปในหัวของเขา
"สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อโรส เป็นน้องสาวของ------" มีเสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังแทรกขัดความเงียบนี้ ทว่าเมื่อกำลังจะแนะนำตัวกลับมีเสียงขูดขีดของผืนกระดานดังขัดจังหวะออกมาแทนมิให้ได้ยินนามของใครบางคน
"พอลูกคลอดออกมา เจ้าก็ต้องดูแลเหมือนเอการ์น้อยนะ" เสียงของชายหนุ่มผู้น่าเคารพอันคุ้นเคยดังแทรกเข้ามาให้บาร์เนสได้ยิน
"หรือว่า... ซาเอ็น?" บาร์เนสจำเสียงของชายคนนั้นได้ มันคือเสียงของพี่ชายของตน ซาเอ็น ซาเอทัจ นักปฏิวัติในตำนาน
"แน่นอน.. ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าพี่อยู่ประจำที่นั่น พวกกองทัพเอลลาสก็ขี้หัวหดหมดแล้ว"
เขาจำช่วงเวลานี้ได้.. มันเป็นช่วงเวลาก่อนสงครามปฏิวัติได้ไม่นาน ในคราวที่บาร์เนสตื่นขึ้นมาในห้องของสาวโสเภณี และพยายามจะหนีออกมาแต่เจอพี่ชายของตนก่อน เขาจำได้ดีว่าความรู้สึกของตนในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร.. อับอาย.. อับอายขายขี้หน้าที่สุด.. แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี คู่กับเด็กในท้องคนนั้นที่บาร์เนสได้พาไปยังที่ปลอดภัยแล้ว.. แต่ว่าทำไมล่ะ? ทำไมเขาถึงได้ยินเสียงในเหตุการณ์เหล่านี้ล่ะ? มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
"ตอนนั้นข้ากำลังเดินออกจากร้านตัดเสื้อ แล้วท่านก็เดินมาชนกับข้าที่เดินอยู่ ท่านขอโทษข้า แล้วก็มองมาที่ใบหน้าของข้าโดยไม่ละสายตา ท่านบอกว่าตัวข้างดงามเหมือนกับมารดาของท่าน แล้วก็ลูบใบหน้าของข้าก่อนที่จะจูบข้าที่แก้มซ้าย.." เสียงของหญิงสาวปริศนาคนนั้นอีกแล้ว.. มิหนำซ้ำคราวนี้ก็ดูเหมือนจะเล่าเรื่องในคราวที่บาร์เนสและนางได้พบเจอกัน
บาร์เนสจำได้ว่านางเป็นโสเภณี .. แต่ทำไม เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้ และอารมณ์ในน้ำเสียงนี้เขากลับคิดว่ามันไม่ใช่กัน เขากลับคิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ทั้ง ๆ ที่มันไม่ควรจะมีแต่อย่างใด
"แล้วทำไมข้าถึงมาจำช่วงเวลานี้ได้ตอนนี้..."
"ถึงตอนนั้นข้าต้องเห็นเจ้าสนิทสนมกับผู้หญิงที่เจ้านอนด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่ใช่น้องข้าแน่นอนเข้าใจมั้ย" เสียงของซาเอ็นดังกระทบเข้ามาในหูอีกครั้ง.. หากเขาจำไม่ผิด นี่เป็นช่วงเวลาที่เขากำลังจะเอ่ยนามของโสเภณีคนนั้นให้พี่ชายของตนรับรู้
"เธอชื่อรีอาครับ ท่านพี่"
รีอา.. นางมีชื่อว่ารีอา.... ทันใดนั้นเองที่บาร์เนสนึกถึงชื่อของโสเภณีคนนี้ได้กลับมีใครบางคนค่อย ๆ ก้าวเข้ามายังบริเวณที่แสงกระทบเช่นเดียวกัน
"ข-..ข-..ข้าขอโทษ... ข-...ข้าไม่ได้ตั้งใจ.." เสียงคร่ำครวญของรีอาดังขึ้นมาเมื่อนั้นจึงปรากฎให้เห็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลดำ ดวงตาสีฟ้าครามจ้องมองมาที่บาร์เนสทั้งน้ำตาบนใบหน้าและเลือดทั่วร่างกาย
"นี่มันเรื่องบ้าอะไร-" บาร์เนสที่เห็นภาพตรงหน้าจึงตกใจขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อนั้นจึงมีลมแรงกระหน่ำของฝนฟ้าคะนอง หยดน้ำฝนมากมายที่เปียกแฉะไปทั่วร่างและผืนดิน เสียงฟ้าผ่าอันคึกคะนองและรุนแรงที่ดูอันตรายอย่างบอกไม่ถูก สภาพอากาศโดยรอบเปลี่ยนแปลงไปกะทันหันอย่างเห็นได้ชัดเจนกว่าสิ่งใด แต่บางสิ่งที่บดบังสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเช่นนี้คือน้ำตาที่เริ่มคลอออกมาจากดวงตาทั้งสองของบาร์เนส.. อย่างไร้เหตุผล
"ข้าน้อยดาร์เซลคงต้องอำลาเจ้าเพียงแค่นี้แล้ว บาร์เนส.." เสียงอันแหบแห้นของบางอย่างดังขึ้นมาจากข้างหูของบาร์เนส พร้อมกับแขนกอดด้านหลังของบาร์เนสซึ่งกำลังจดจ้องมองรีอาอยู่
"ขอให้เจ้าอยู่รอดถึงรุ่งอรุญได้แล้วกันนะ บาร์เนส ซาเอทัจ ฮ่า ๆๆๆๆ!" เสียงหัวเราะอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นมาอย่างน่าขนหัวลุก เมื่อบาร์เนสหันกลับไปจึงพบกับชายไร้ใบหน้า มีเพียงปากที่แสยะยิ้มจนกว้างฉีกออกมาอย่างน่าสยดสยองกำลังหัวเราะอยู่ด้านหลังของเขาพลางกอดเยี่ยงคนรัก
"เฮือก!"
"......" ความฝัน.. บาร์เนสสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายอันช่างหลอกหลอนและพิศวงนี้ได้
"รีอา... นางชื่อรีอา.." บาร์เนสพยายามจดจำมันเอาไว้ในหัว ในขณะที่ตัวเขากำลังหายใจเสียงดังออกมาทางปากอย่างเหน็ดเหนื่อย
ตัวบาร์เนสค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงของเขาก่อนจะหันมองรอบตัวของเขาอย่างสะรึมสะรือ หากให้เดานี่มันคงจะยังเป็นยามค่ำอยู่ จากการที่เขาหาได้เห็นแสงไฟใด ๆ ด้านนอกเลยแม้แต่น้อย
"เฮ้อ.. เอาเถอะ ค่อยไปลองสืบค้นดูทีหลัง.."
"ตอนนี้ข้าไปขี้ก้อนโต ๆ ก่อนดีกว่า.."