Post by GreyTear on Nov 12, 2017 14:27:49 GMT
โมโนล็อคของฉัน... {My monologue...}
นะ...
เนื่องจากว่าในชีวิตวัยเรียนของคนเราช่วง 10 ปีแรกหรือช่วงของ อนุบาลถึงชั้นประถม จะเป็นช่วงเวลาแห่งความไร้เดียงสา ฟังดูอาจจะเป็นเพียงช่วงเวลาที่ไร้สาระและไม่มีคุณค่าอะไร แต่หึ หึ หึ... ผมอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงกับคนที่คิดแบบนั้น
ช่วงเวลาที่พวกเรายังเยาว์วัยอยู่นั่นแหละคือช่วงที่ชีวิตมีความสวยงามมากที่สุด... ผมอาจจะพูดเกินจริงไปและไม่ได้คำนึงถึงเด็กส่วนน้อยที่ชีวิตในวัยเด็กอาจจะไม่ค่อยราบรื่นนัก เอาเป็นว่าในจุดๆนี้ขอหยวนๆไปบ้างละกัน... ที่พูดมามันก็ตามประสบการณ์และเรื่องราวในอดีตที่หล่อหลอมความคิดของตัวผม...
เอาเป็นว่าในวัยเด็กนี่แหละถึงแม้ว่ามันจะช่วงเวลาที่มีเรื่องราวน่าขายหน้า การกระทำที่หน้าอายเกิดขึ้นมากที่สุดเพียงใด อาจจะมีประวัติศาสตร์ดำมืด {Black History} ถูกจารึกขึ้นมาเป็นจำนวนไม่น้อยในช่วงของวัยๆนี้ที่เมื่อครั้งที่นึกขึ้นมาได้ยามโตขึ้นก็อาจจะถึงกับลงไปนอนกลิ้งเกลือกๆอยู่กับพื้นว่า 'ทำไมชั้นถึงทำเรื่องปัญญาอ่อนๆแบบนั้นลงไปได้กันนะ !'
...แต่...
ทำไมสุดท้ายแล้ว...ใครหลายๆคนก็มักจะย้อนกลับมาคิดและพูดออกมาเสมอว่า 'ช่วงในวัยเด็กนี่แหละมีความสุขที่สุดแล้ว... เจ็บสุดก็แค่หกล้ม'
...มันจะไม่เป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ... ก็เพราะว่าในวัยเด็กนี่แหละที่เราเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดแล้ว... ทำอะไรไม่ต้องคิดถึงความรู้สึกคนอื่น อยากที่จะทำอะไรก็ทำได้อย่างตามใจ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากเข้าหาใครเพราะสุดท้ายถึงแม้ว่าการกระทำนั้นๆจะส่งผลกระทบในแง่ลบ ถ้ามันไม่เลวร้ายเกินไป ในตอนจบมันก็จะถูกลบทิ้งและถูกลืมเรือนไป... ราวกับว่าชีวิตในวัยนั้นมันเป็นเพียงแค่เกม... เริ่มต้น ดำเนินไป ทำผิดพลาด 'รีเซ็ท' เริ่มต้นใหม่ได้ในโอกาสหน้า...
เป็นวัยที่เรากล้าพูดกับเพื่อนของเราออกมาได้เต็มปากเต็มคำและที่สำคัญคือออกมาจากใจจริงที่สุดแสนจะบริสุทธิ์ว่า 'นายคือเพื่อนที่ดีที่สุด' 'เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป'
ซึ่งสุดท้ายแล้วมันอาจจะเป็นเพียงแค่ลมปากหรือไม่ก็ตาม... แต่นั่นก็ไม่ได้บิดเบือนความจริงที่ว่า ในตอนๆนั้นเราพูดคำๆนี้ออกมาด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความบริสุทธิ์ 'ความรัก' อย่างแท้จริง ถึงแม้สุดท้ายเราจะรักษาสิ่งๆนั้นเอาไว้ไม่ได้ก็ตาม !
...
เมื่อช่วงเวลาแห่งความไร้เดียงสาสิ้นสุดไป ทุกๆอย่างถูกจารึกกลายเป็นประวัติศาสตร์บ้างก็กลายเป็นตำนานของใครหลายๆคน... แต่มันก็เปรียบเสมือนเป็นเพียงแค่หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งเท่านั้น... ซึ่งหน้าตาของมันก็คงจะคล้ายๆสมุดเฟรนด์ชิพในตอนจบการศึกษาชั้นประถม 6 ไม่น้อย...
ท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก เป็นเพียงเทพนิยาย เรื่องราวในอดีตที่ใครหลายๆคนมองว่ามันเป็นแค่เรื่องตลก ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญหรือควรที่จะให้คุณค่าแต่อย่างใด และไม่แปลกที่ว่ามันจะเลือนหายไปตามกาลเวลา... เพราะถึงแม้ว่ามันจะงดงามเพียงใดก็ไม่ได้บิดเบือนความจริงอยู่ดีที่ว่าทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวของความ 'ไร้เดียงสา'
และมันไม่สามารถเรียกได้ว่าเลยว่า เรื่องราวเหล่านั้น 'เป็นของจริง...'
...
แล้วต่อจากนี้จะเอายังไงต่อกันล่ะ ! แน่นอน ! คำๆเดียวที่อธิบายเรื่องราวต่อจากนี่ก็คือคำว่า 'รีเซ็ท' {Reset} หรือว่า 'เริ่มต้นใหม่' ยังไงล่ะ !
3 ปีในวัยม.ต้น เปรียบเสมือนเกมเวอร์ชั่น DEMO เพื่อที่จะให้เด็กที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นได้ทดลองและเรียนรู้กับตัวตนและชีวิตของตัวเองก่อน...
แล้วแต่คนว่าจะสามารถใช้ช่วงเวลานี้ให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุดเพียงใด... บ้างถึงกับใช้มันเพื่อค้นหาตัวเองได้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองชื่นชอบอะไร ควรที่จะเป็นคนยังไง อะไรกันที่มันใช่เรา คือตัวตนของเรา... บางคนก็ใช้มันเพื่อสร้างรากฐานให้กับสังคมในอนาคตของตัวเองนั่นก็คือช่วงเวลาในระดับชั้นม.ปลาย
ถ้าหากจะพูดว่าในระดับชั้นมัธยมศึกษา การเป็นคนที่มีเพื่อนหรือมีสังคมที่มากมายเปรียบเสมือนการสร้างเกราะกำบังและกำแพงที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง ก็ไม่ผิดเพี้ยนนัก... เพราะคนที่เป็นที่รู้จักมากๆหรือมีพรรคพวกมากๆ เวลาเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยอยู่คนเดียว มีเพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้... ซึ่งสิ่งๆนี้ผมจะเอาไว้ไปพูดอีกทีนึง กลับมาสู่เรื่องราวในม.ต้นกันก่อน...
ในขณะเดียวกันก็มีผู้คนอีกมากมายที่นำเอาช่วงเวลา 3 ปีในช่วงม.ต้น ไปโยนทิ้งๆขว้างๆอย่างไร้ความหมาย เช่นเอาเวลาเหล่านั้นไปทำเรื่องที่ไร้สาระไม่ต่างจากตอนประถมหรืออนุบาลเรียกได้ว่าเด็กคนนั้นอาจจะยังไม่รู้สึกตัวว่าช่วงเวลาของความไร้เดียงสามันได้สิ้นสุดลงไปตั้งแต่ตอนที่ก้าวเท้าออกมาจากโรงเรียนตอน ป.6 แล้ว... ถ้าอาการหนักหน่อยอาจจะใช้เวลาช่วง 3 ปี สร้างประวัติศาสตร์เรื่องราวฉาวโฉด สิ่งที่จะทำให้ตนเองถูกสังคมรุมประณามและตราหน้าว่า 'แกมันไอ้คนรกโรงเรียน คนอย่างแกไม่ควรอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้' ซึ่งจำเลยของสังคมหรือผู้ที่กระทำความผิดคนนั้นก็จะพบสัจธรรมอีกข้อนึงได้ว่า... 'มันไม่ได้รีเซ็ทชีวิตได้ง่ายแบบในตอนประถมซะแล้ว..."
แน่นอนว่าสุดท้ายมันก็ยังพอมีวิธีที่จะชำระล้างมลทินในตอนม.ต้นทิ้งไปได้แต่ก็ใช่ว่ามันจะทำกันได้ง่ายๆราวกับว่าอัตโนมัติเหมือนกับตอนประถม... มันขึ้นอยู่ 3 อย่างนั่นก็คือ 1.) โชค 2.) สติปัญญาของตนเองว่ามีความพริ้วไหวและคล่องตัวมากขนาดไหนในการที่จะหลบหลีกหลบซ่อนกระแสสังคมที่หนักหน่วงนั่นได้ และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ... 3.) เพื่อนที่ไว้ใจได้ ! (ขอไม่พูดถึงวิธีอีกวิธีนั่นที่จะสามารถลบล้างมลทิยได้อย่างปลิดทิ้ง นั่นก็คือ 'การย้ายโรงเรียน' เอาจริงๆนั่นดูไม่เหมือนวิธีแก้ปัญหาแต่เป็นการหนีปัญหาซะมากกว่า)
...
ถึงอย่างงั้นก็เถอะ... สุดท้ายจนแล้วจนรอด มันก็ต้องหาวิธีซักวิธีได้แหละน่าา ที่จะรีเซ็ทและลบล้างเรื่องราวที่ผิดพลาดทุกๆอย่างตอนม.ต้นให้ทิ้งไปได้... หรือจะให้กล่าวโดยสรุปก็คือ... สุดท้ายแล้วเรื่องราวในตอนม.ต้นมันก็ยังคงไม่ใช่ 'ของจริง' อยู่ดี... แต่สำหรับผมอาจจะพอเรียกได้ว่าเป็น บทเรียนที่ดีอย่างนึงสำหรับการใช้ชีวิตในม.ปลาย เลยทีเดียว... ที่ว่าจะเรียนรู้กับสิ่งที่ผิดพลาดและไม่กระทำการผิดซ้ำเป็นครั้งที่ 2...
...
...และแล้วก็ดำเนินมาสู่เรื่องราวที่ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในปัจจุบัน... ชีวิตนักเรียนม.ปลายที่แท้ทรู...
เพียงแค่เริ่มเรียนมาได้เดือนกว่าๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงม.ปลายอาจจะเรียกได้ว่า 'เป็นของจริงก็ได้ !'