|
Post by GreyTear on Jan 21, 2018 4:59:05 GMT
"อยากดูหนังใกล้ๆโรงเรียนบ้าง ทำไมถึงชอบไปดูในเมืองนักล่ะ? ระแวงใครหรือเปล่า"#12
ชิน...
แกรกๆๆ
เสียงนิ้วมือกำลังกระทบลงกับแป้นคีย์บอร์ด
ณ โต๊ะคอมตัวที่ตั้งอยู่ริมสุดของโถงทางเดินซึ่งทอดยาว มีแสงสีขาวจากหลอดไฟติดอยู่ตามแนวเสาทั้งสองที่ขนาบทางเดิน
ขณะนี้ผมกำลังรวบรวมข้อมูลบางอย่างที่ประมวลผลได้จากคอมพิวเตอร์
ขนาดห้องอาจจะไม่ค่อยกว้างมากนักแต่จะหนักไปที่ความยาวของโถงทางเดินและความสูงของเพดาน ถ้าหากไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงแค่ห้องส่วนตัวห้องนึงของผมเท่านั้นที่พ่อสร้างเอาไว้ภายในโรงเรียนโดยใช้สิทธิ์ของการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนหนึ่ง
สาเหตุที่ต้องลำบากลำบนสร้างห้องส่วนตัวให้อยู่ใต้ดินแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจมาก และเพื่อไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนได้บ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือยังตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง มีช่องระบายอากาศก็จริงแต่ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีประตู ไม่มีบล๊อคสี่เหลี่ยมที่มีลักษณะเด่นชัด ถ้าคนด้านบนนั้นไม่ว่างมากพอก็คงไม่มีทางถ่อลงมาชั้นใต้ดินนี้เพื่อมารบกวนคนเพียงคนเดียวหรอก... สมชื่อกับคำว่า 'ห้องส่วนตัว' เป็น 'ห้องส่วนตัว' ที่แทบจะมีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...
นักเรียนด้านบนนั้นหลายๆคนก็มักจะมองว่าผมเป็นเด็กชายผู้ถูกสปอย... ได้รับการตามใจจนมากเกินกว่าเหตุ... หลายคนอิจฉาที่ชีวิตผมมีทุกอย่างเพียบพร้อม เป็นดั่งเจ้าชายปีศาจผู้เคร่งขรึม เก็บตัวเงียบอยู่ภายในวิหารใต้ดินของตนเอง... หลายคนไม่ชอบขี้หน้าผมและต่อว่า ด่าทอผมต่างๆนาๆ
อยากจะบอกคนเหล่านั้นว่า 'ก็คิดถูกแล้ว' แต่ยังไม่ถูกทั้งหมด...
เตาะ แตะ เตาะ แตะ เตาะ แตะ
เสียงฝีเท้ากำลังก้าวลงบันไดที่อยู่สุดทางเดินอีกด้านนึงลงมา...
เสียงฝีเท้านั้นก้าวกระทบกับพื้นปูนและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เสียงใสๆของหญิงสาวนำขึ้นมาก่อนแต่ทว่ามันเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งยากต่อการฟัง... แต่ทว่าภายในเสี้ยววินาทีนั้นเองก็มีเสียงภาษาไทยดังขึ้นมาจากลำโพงที่ติดอยู่ที่คอของเธออย่างชัดเจน เสียงจากเครื่องแปลภาษานั้นเปลี่ยนภาษาญี่ปุ่นของเธอให้กลายเป็นภาษาที่ผมเข้าใจ
กำแพงด้านภาษาระหว่างเราเรียกได้ว่าพังทลายย่อยยับไม่เป็นชิ้นดีด้วยฝีมือการประดิษฐ์ของนักเรียนสาวอัจฉริยะชาวญี่ปุ่นที่ย้ายมาแลกเปลี่ยนที่นี่ ประเทศโลกที่สามแห่งนี้
"ชินคุง... ว...วันนี้เป็นพุทธ...---พ-พวกเราควรที่จะ---" นักเรียนสาวชาวญี่ปุ่นพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักตามสไตล์ของเธอ เธอเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ทีแรกเข้าใจว่าเป็นเพราะเครื่องมือสื่อสารชำรุด แต่อันที่จริงเป็นเพราะเธอเป็นคนขี้อายและยังไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่เนื่องจากอยู่ต่างแดน ซึ่งขัดกับความชอบส่วนตัวของเธอ
"ไปดูหนังกันใช่มั้ย ? ได้... เอาสิ เดี๋ยวเรียกรถให้มารับเดี๋ยวนี้แหละ... อีคึโยะ (ไปกันเถอะ)"
"ไม่ !!!"
แต่ดูเหมือนอันนี้เครื่องมือสื่อสารจะบกพร่องจริง เพราะแสดงผลออกมาเป็นเสียง 'ไม่' ที่ดังเกินจริง
"วาตาชิ (ฉัน)... คิดว่าทำไมเราไม่ลองไปดูหนังในที่ใกล้ๆอย่างโรงหนังในห้างที่ติดโรงเรียนดูบ้างล่ะ... เห็นเวลาที่ ชินอยากจะไปดูหนัง หรือชั้นชวนไปดูหนังทีไรก็จะพาเข้าเมืองตลอดและก็จะต้องดูโรงที่แพงที่สุดที่นั่งที่แพงที่สุดตลอด ลองดูแบบปกติบ้างจะเป็นอะไร"
"อืม... ก็จริงอย่างที่เธอพูดล่ะนะ... ก็ได้..."
ผมกับมิอุตัดสินใจไปดูหนังเรื่องใหม่ที่พึ่งเข้าโรงได้ไม่นาน ต้องบอกก่อนว่าช่วงต้นเดือนสิงหาคมแบบนี้จะไม่ค่อยมีหนังดีๆหรือหนังบล็อคบลัสเตอร์มันส์ๆให้ดูเท่ากับเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้วซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนของอเมริกา พวกเราจึงตัดสินใจเลือกหนังที่น่าจะสนุกที่สุดแล้วในช่วงนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดในเกาะเรือรบแห่งหนึ่ง...
หลังจากดูจบ ออกโรงมาพวกเราก็ตรงดิ่งไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ชั้นล่างลงมาหน่อยเพราะไม่อยากถ่อลงไปถึงชั้น G ที่จะมีร้านอาหารให้เลือกเยอะกว่า
หนังจบประมาณทุ่มนึง ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเวลาสำหรับมื้อเย็นพอดี มิอุเลือกสั่งข้าวแกงกะหรี่แฮมเบิร์กหมูเพิ่มไข่ออนเซน เครื่องดื่มรับเป็นน้ำเปล่า ในขณะที่ผมสั่งแค่ข้าวหน้าหมู+ไข่กุ้งแต่ดื่มน้ำอัดลม
อาหารร้านนี้สำหรับผมถือว่าค่อนข้างถูกเนื่องจากราคาอยู่ที่ประมาณ 130-200 บาทแต่ถ้าเป็นสำหรับคนทั่วไปก็คง... จะเรียกได้ว่าปานกลางล่ะมั้ง
ระหว่างรับประทานอาหารที่มีสีสันสวยงามน่ารับประทาน เนื้อหมูอุ่นๆติดมันเล็กน้อย ไข่กุ้งเย็นๆสีสดใส แกงกะหรี่รสชาติเข้มข้นสีน้ำตาลเข้มตัดกับแครอทบดสีส้มที่ผสมอยู่ในนั้น แฮมเบิร์กเนื้อแน่นเมื่อใช้ลิ้นสัมผัสก็ได้กลิ่นของหัวหอมบดที่ผสมอยู่ด้านใน
หลังจากที่รับประทานอาหารหลักเสร็จ ผู้หญิงอย่างมิอุก็ยังคงมีที่ว่างเหลือไว้สำหรับของหวานเสมอ พวกเราลงไปชั้นใต้ดินหรือชั้น G และตรงดิ่งไปต่อกันที่ร้านไอศกรีมน้ำแข็งใส+เบเกอรี่เค้กซึ่งตั้งใกล้ๆกับประตูทางเข้าออกและบันไดเลื่อนพอดี
สำหรับร้านนี้โทนสีจะออกไปทางสีชมพูตัดกับสีฟ้าอ่อนและมีแซมๆขอบด้วยสีขาว จะค่อนข้างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองพอสมควรไม่เหมือนกับร้านอาหารญี่ปุ่นเมื่อตะกี้ที่โทนสีและการตกแต่งร้านไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากนัก
ไอศกรีมร้านนี้ขึ้นชื่อว่าไขมันต่ำ สาวที่กำลังลดน้ำหนักอยู่อย่างมิอุจึงน่าจะชอบเป็นพิเศษ ทว่า...
ในจานของเธอที่สั่งมากลับประกอบไปด้วยมิกซ์เบอรี่ชีสเค้กก้อนสี่เหลี่ยมเนื้อสีชมพูอ่อน มินิพาร์เฟต์หรือที่เป็นมิกซ์เบอรี่แล้วโปะหน้าด้วยโยเกิร์ตสีขาว มีราสเบอรี่สดประดับตกแต่งจานให้สวยงาม ยิ่งไปกว่านั้นที่ข้างๆจานยังมีแก้วไอศกรีมที่ด้านในเป็นน้ำแข็งใสญี่ปุ่นสีออกทับทิมๆราดซอสมิกซ์เบอรี่ ด้านบนของตัวน้ำแข็งใสมีไอศกรีมสีชมพูอ่อนปนขาวคาดว่าน่าจะเป็นรสสตรอเบอรี่ชีสเค้ก รอบๆปากแก้วมีชีสเค้กและสตรอเบอรี่สดประดับอยู่... ราคารวมเท่าที่ดูแล้วประมาณ 264 บาทได้...
ไหนทีแรกบอกอยากมาเที่ยวในแบบที่ไม่ใช้เงินเปลืองและราคาไม่แพงมากไง...
(ในขณะที่ผมสั่งแค่มัตฉะพาร์เฟ่ท์ราคา 115 บาทแก้วนึงเท่านั้น)
ถึงคนญี่ปุ่นจะขึ้นชื่อเรื่องมารยาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาอยู่บนโต๊ะอาหาร แต่สำหรับมิอุ... แล้วเธอค่อนข้างที่จะรีบใช้ช้อนตัดเค้กที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็นำเอาเข้าปากอย่างรวดเร็ว ทำให้มีรอยเลอะของครีมอยู่บริเวณแก้มของเธอและดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยสังเกตเท่าไหร่
ผมจึงหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาพร้อมกับยื่นให้เธอเพื่อใช้เช็ดปาก
"อะ ! อะริกาโต๊ะ ! ชินคุงนี่ใจดีจริงๆเลย" สาวญี่ปุ่นผมบลอนด์กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส ผมชอบรอยยิ้มนั้นของเธอ
"นี่มิอุ ขืนกินเยอะแบบนี้ระวังจะน้ำหนักขึ้นแล้วก็จะอ้วนเอาได้ง่ายๆนะ ชั้นยังไม่กินมากขนาดนี้เลย"
"ฟุฟุฟุ... สมองของชั้นต้องการพลังงานเอาไว้สำหรับการประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ล้ำยุคต่างๆขึ้นมายังไงล่ะ น้ำตาลนี่แหละช่วยให้รู้สึกกระปี้กระเป่าขึ้นมากๆเลย แค่ต้องระวังอย่าให้ง่วงหลังจากกินของหวานก็พอ... ฟุฟุฟุ" เธอกล่าวอย่างมีอารมณ์ขันเล็กน้อย
"มิอุนี่เก่งจริงๆเลยนะ ที่ประดิษฐ์ของแบบนั้นได้... นี่ขอถามอะไรหน่อยสิ"
"หืมม ? ถามอะไรหรอ ? ว่ามา..." เธอพูดทั้งๆที่ยังมีเนื้อเค้กอยู่ในปากของเธอ
"ก็... อย่างมิอุน่ะ ประดิษฐ์ทั้งเครื่องแปลภาษาระยะประชิดได้ ประดิษฐ์แขนกลบังคับได้ ประดิษฐ์หุ่นยนต์ได้ แล้วก็ยังประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์อัจฉริยะได้... การที่เธอเป็นเด็กอัจฉริยะขนาดนี้น่ะ ก็คงมีแมวมองจากมหาวิทยาลัยหรือไม่ก็องค์กรศูนย์วิจัย องค์กรที่เกี่ยวกับทางด้านวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมมาติดต่อหรือตามดูตัวตั้งแต่ตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้วไม่ใช่หรอ..."
"อ่าหะ..."
"ก็ถ้าอย่างงั้นจะเหนื่อยมาเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศไทยทำไมกันล่ะ... อยู่ที่นู้นเธอก็น่าจะสะดวกสบายกว่าไม่ใช่หรอ..."
"หืมม...?"
"ระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นถ้าให้เปรียบเทียบกันแล้ว... ความเจริญ ความเป็นอยู่ สังคม แตกต่างกันมากเลยนะ หรือแทบจะเรียกได้ว่าคนละชั้น ชั้นเองก็สงสัยมานานแล้วว่าคนที่ดีพร้อมอย่างเธอจะมาสนใจประเทศไทยที่ไม่ได้มีอะไรดีกว่าประเทศบ้านเกิดตัวเองเลยทำไม อะนะ...?"
เมื่อผมถามคำถามนั้นออกไปตรงๆ มิอุก็หยุดทานเค้กไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า
"...หืมม ? ถ้าชินคุงถามถึงขนาดนี้แล้วอะนะ... จะตอบให้ก็ได้... ก็คือว่าจริงๆแล้วเวลาชั้นอยู่ที่นู้นชั้นไม่เคยมีเพื่อนเลยยังไงล่ะ..."
"..."
"ก็เพราะอย่างที่นายเห็นนั่นล่ะชินคุง... ชั้นเป็นพวกเด็กอัจฉริยะ เวลาทำอะไรต่อมิอะไรก็มักจะหมกหมุ่นอยู่แต่กับเรื่องๆนั้น โฟกัสแต่กับเรื่องนั้นๆเป็นพิเศษจนไม่ค่อยได้มีเวลาสนใจใคร หรือใส่ใจสิ่งรอบข้าง... มันก็เลยเป็นเรื่องยากที่จะมีปฏิสัมพันธ์ร่วมใครได้ ชั้นเลยไม่ค่อยมีเพื่อน..."
"แล้วยิ่งไปกว่านั้นชั้นยังมีความชอบ หมกหมุ่นและคลั่งไคล้ในสิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นเรื่องน่าอาย... ต่อให้ชั้นพยายามปิดบังมันแล้วก็เถอะ แต่เมื่อไหร่ที่มีใครรู้เรื่องนั้นของชั้น... ข่าวสารก็มักจะถูกแพร่กระจายออกไปแล้วชั้นก็จะโดนคนทั้งห้องแบนตลอดทุกที..."
"ทุกทีงั้นหรอ..."
"ใช่..."
"งั้นก็แปลว่าเธอย้ายโรงเรียนบ่อยมากเลยสินะ..." ผมถามคำถามนั้นออกไป
"ถูกต้องแล้ว... ทุกๆปีโรงเรียนเอกชนชื่อดังๆของญี่ปุ่นก็มักจะมาติดต่อชั้นพร้อมกับยื่นข้อเสนอต่างๆเพื่อให้ชั้นย้ายไปเรียนในโรงเรียนของพวกเค้า บางโรงเรียนถึงกับตั้งข้อเสนอให้ว่า ชั้นสามารถไปเรียนโดยไม่ต้องเข้าเรียนเลยก็ได้แถมยังมีห้องแลบส่วนตัวให้ชั้นใช้อีกด้วย ขอแค่ในแต่ละปีแต่ละปีมีสิ่งประดิษฐ์ชั้นยอดหรืองานวิจัยเจ๋งๆให้กับพวกเค้าก็พอ... ทั้งแขนกล, คอมพิวเตอร์สอดแนมอัจฉริยะ, Zura the DEEP explorer 3 อย่างนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ล้ำสมัยที่ชั้นมอบให้ในแต่ละโรงเรียนที่ชั้นเข้าไป...และจากออกมา"
"นี่แปลว่าเธอย้ายโรงเรียนมา 3 ครั้งแล้วสินะ..."
"ใช่แล้ว... ม.ต้น ปี 1 ปี 2 ปี 3 ชั้นย้ายทุกครั้งเมื่อขึ้นปีใหม่..."
"อย่างงี้เองสินะ..."
"...ถึงอย่างงั้นก็เถอะ สาเหตุที่ชั้นย้ายก็ไม่ใช่เพราะเงินทอง ความสะดวกสบาย การต้อนรับที่ดีของทางโรงเรียนหรอก... แต่เหตุผลหลักๆก็คือเพราะเรื่องเพื่อนต่างหากล่ะ หึๆๆ น่าตลกใช่ไหมล่ะ..."
น่าตลกตรงไหนกันนะ...
"ทั้งๆที่มีสิ่งสำคัญอย่างอื่นตั้งมากมาย แต่สิ่งหลักๆที่ชั้นให้คุณค่าและมองข้ามของสำคัญพวกนั้น ...กลับเป็นสิ่งเล็กๆที่ทั้งมีความหมายคลุมเครือและไม่แน่นอนอย่างคำว่าเพื่อน... น่าตลกที่สุดเลยคนอย่างชั้น"
"ก็... ก็ไม่หรอกนะ..." ผมพูดออกไป ในขณะเดียวกันก็พยายามเบือนหน้าหนีเธอเล็กน้อย
...
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนผมและมิอุรับประทานของหวานกันหมด
ผมพามิอุไปเดินซื้อเสื้อผ้าต่ออีกเล็กน้อย... เราสองคนเดินเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงซึ่งขึ้นชื่อว่ามีเสื้อผ้าสไตล์ญี่ปุ่นน่ารักๆเหมาะสำหรับสาวลุคใสๆที่หน้าตาออกไปทางญี่ปุ่นๆอย่างมิอุไม่น้อย (ก็เธอเป็นคนญี่ปุ่นนี่เนาะ...)
มิอุเป็นคนผิวขาวเนียนแต่ดูเต่งตึงและมีน้ำมีนวลมากๆ ไม่ใช่ขาวซีดแบบไร้ชีวิตชีวา ผมของเธอก็ยังเป็นสีบลอนด์สว่าง เมื่ออยู่ในร้านเสื้อผ้าที่จะมีการจัดแสงให้ส่องลงมาเพื่อเพิ่มโฉมความงามให้กับลูกค้าเพื่อทำให้เค้าเกิดความมั่นใจและมีความต้องการอยากที่จะซื้อเสื้อผ้ามากขึ้นแล้ว ผมสีบลอนด์ของเธอเรียกได้ว่าเปล่งประกายมากๆ ยังไม่นับที่ว่าสีตาของเธอก็เป็นสีออกฟ้าอ่อนๆอีก นี่ถ้าไม่ได้โครงหน้าแบบสาวเอเชียและริมฝีปากที่แดงจ๋าเป็นลูกตำลึงของเธอช่วยเอาไว้คงได้เข้าใจผิดกันว่าเป็นคนญี่ปุ่นแน่ๆ
เธอเดินออกมาจากห้องลองเสื้อในชุดเดรสกีกิสีชมพู ซึ่งเป็น Signature ของร้านนี้อยู่แล้วลักษณะเป็น ชุดเดรสแขนสามส่วน ชายระบาย ผูกโบว์คิ้วท์ๆด้านหลังน่ารักๆ
เมื่อผมเข้าไปช่วยจัดโบว์ด้านหลังของเธอให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้นพร้อมกับมองดูตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะชูหัวแม่โป้งให้เป็นสัญลักษณ์ว่าดีเยี่ยม เธอก็ตัดสินใจซื้อชุดนั้นทันทีโดยที่ไม่ลังเล...
"ลุคใสๆ ก็เหมาะกับเธอดีนะมิอุ..."
"มันจะขัดกับความชอบส่วนตัวของชั้นไหมนะ ชินคุง ?" ถึงแม้จะจ่ายตังค์และซื้อมาแล้ว หญิงสาวก็ยังคงมีความรู้สึกกังวลๆและไม่มั่นใจอยู่นิดๆ
"ไม่หรอก... ผู้หญิงทุกคนน่ะก็ต้องมีด้านที่ลึกลับของตัวเองซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้นแหละ... ไม่ใครคนไหนหรอกนะที่จะเปิดเผยตัวตนของตัวเองออกมาตลอดเวลาได้ บางทีมันก็ต้องมีการปกปิด... การสร้างเปลือกนอก... การสร้างบุคลิกตัวตนให้หลากหลายเพื่อจะได้ถูกมองว่าเป็นมีคนมีหลายด้าน ไม่ซ้ำซากและน่าเบื่อ..."
"หรือพูดง่ายๆก็คือ... คนเราก็ต้องมีการสวมหน้ากากบ้างน่ะหรอ ?"
"ช่าย..."
หลังจากเดินสนทนากันอีกซักพักหลังออกจากร้านเสื้อผ้า... เมื่อผมลากเธอเข้าเรื่องการสร้างเปลือกนอกของตนเองขึ้นมา... มิอุเลยได้ทีอ้อนให้ผมพาเธอไปร้านกระเป๋า ร้านรองเท้า และตบท้ายด้วยร้านหมวกอีก...
บางทีก็ไม่คิดเลยว่ามิอุจะเป็นผู้หญิงที่ชอบของหวานแล้วก็รักการแต่งตัวมากขนาดนี้...
หญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าผม เธอดูมีความสุขและมีรอยยิ้มไปกับการเดินเลือกเสื้อผ้า... ถึงแม้ว่าร้านหลายร้านจะถึงเวลาปิดแล้ว แต่เธอก็ยังส่อยกระเป๋าผ้ามาได้ใบนึง รองเท้าแบรนด์ดังหนึ่งคู่ แล้วก็หมวกปีกกว้างสีขาวซึ่งดูแล้วก็เข้ากับเสื้อผ้าที่เธอพึ่งซื้อมาดี แต่มันยังไม่ใช่เวลาที่จะเอามาใส่ตอนนี้ ! ถอดออกซะ !
...
ตอนนี้เราสองคนกำลังรอคนขับรถจากทางบ้านของผมมารับ พวกเรายืนอยู่ข้างๆป้ายรถเมล์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของตัวห้างพอดี
ฉากหลังของเราคือแสงสี ป้ายโฆษณา จอวิดีโอขนาดยักษ์ที่ติดอยู่ตามตึกห้าง นอกจากนั้นยังมีน้ำพุสวยๆ พุ่มไม้ประดับสวยๆที่ได้รับการตัดแต่งมาอย่างดี
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเวลา 2 ทุ่มครึ่งแล้วแต่ก็ยังมีคนเดินไปมาอยู่ ถึงจะไม่หนาแน่นจนทำให้รู้สึกวุ่นวายหรืออึดอัด แต่ยังพอมีคนเดินอยู่บ้างอย่างเบาบาง ไม่รู้สึกว่าเปลี่ยวหรือเงียบเหงาเสียจนเกินไป...
ด้านหน้าของพวกเราเป็นถนนที่มีรถแล่นไปมา ถัดจากเกาะกลางถนนไปอีกฝั่งก็จะเป็นร้านอาหารข้างทาง ร้านถ่ายรูป ร้านสะดวกซื้อและห้างอีกที่หนึ่งเปิดเรียงรายกัน แสงสีก็ยังคงสว่างไสวไม่มีทีท่าว่าจะดับลงแม้แต่นิดเดียว... ต่อให้จะเป็นพื้นที่แถบบริเวณชานเมือง... แต่ขึ้นชื่อว่ากรุงเทพก็ยังคงเป็นกรุงเทพ ยังคงเป็นเมืองที่ไม่มีวันหลับอยู่ยังไงอย่างงั้น...
ผมวางของที่มิอุซื้อมาลงเก้าอี้ป้ายรถเมล์หลังจากที่แบกมันมาตลอดทาง... เฮ้ออ มันมีถุงกระดาษแข็งหลายใบจริงๆ
"เธอนี่สุดยอดไปเลยมิอุ..." ผมพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ
"ฮะๆๆ เห็นอย่างงี้น่ะ ชั้นเองก็เป็นคนมีไลฟ์สไตล์เหมือนกันนะ ไม่ใช่พวกเนิร์ดคอยแต่อยู่ในห้องแลบอย่างเดียว... หุหุหุ" เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า...
"เห็นก่อนหน้านี้ยังบอกว่าไม่ค่อยมีเวลาไปสังสรรค์หรือมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนๆคนอื่นๆอยู่เลย..." ผมกึ่งถามกึ่งพูดกลับไปโดยที่ไม่ได้มองหน้าเธอ
"หึๆๆ"
"...."
"...ก็มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเองยังไงล่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะได้ใช้มันซักหน่อย หึๆๆ..." เธอก้มหน้ามองลงกับพื้นพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
"อย่างงั้นเองหรอ..."
"นี่ชินคุง..."
"ว่าไง ?"
"แล้วถ้าชั้นเป็นฝ่ายถามชินคุงบ้างล่ะ... ว่ายื่นมือเข้ามาช่วยคนอย่างชั้นในวันนั้นเพราะอะไร... ถ้าชินคุงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินในแบบที่มันกำลังจะเป็นในตอนนั้น มันก็ไม่ได้กระทบอะไรกับชินคุงซักนิดเลยนะ... ชินคุงต้องเป็นฝ่ายตอบชั้นบ้างแล้วล่ะ"
เธอหันหน้ามามองผมพร้อมกับถามคำถามนั้นออกมา สีหน้าของเธอก็ดูเหมือนต้องการคำตอบไม่น้อย แววตาของเธอจ้องเข้ามา
ผมไม่ได้มีทีท่าอ้ำๆอึ้งๆแต่อย่างใด... เพียงแค่ว่าผมไม่ตอบคำถามของเธอ... ผมนิ่งเฉย พร้อมกับมองดูแสงจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้า แน่นอนว่าในกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็คงไม่มีดาวให้ดู
ถ้าขืนผมตอบคำถามออกไปนั่นจะเท่ากับว่าเป็นการโกหกตัวเธอ
จะให้ตอบแบบนี้หรอ... อย่างเช่น 'เพราะอยากรักษารอยยิ้มนั้นของเธอเอาไว้' 'เพราะชั้นอยากมีเพื่อน' 'ชั้นทนเห็นคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากอยู่ไม่ได้' 'ชั้นเป็นผู้ชายชั้นต้องเข้าไปช่วยเหลือผู้หญิงที่กำลังอ่อนแอ'
ไม่... ชั้นไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลยซักนิดเดียว แล้วจะให้ชั้นตอบเธอกลับไปแบบนั้นน่ะหรอ... กระดากปาก น่าอับอาย... คนอย่างชั้นไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษขนาดนั้น...
"จะไม่ตอบก็ไม่เป็นไรหรอกนะชินคุง ฟุฟุฟุ..." เธออมยิ้มและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์ขัน
"จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่สำคัญนักหรอก... แต่แค่การได้มาอยู่เป็นเพื่อนของชินคุง แค่นี้ก็ทำให้ชั้นมีความสุขมากแล้วล่ะ... อีกอย่างนึงที่ว่าทำไมชั้นถึงอยากย้ายมาแลกเปลี่ยนที่ประเทศไทย... นั่นก็เพราะว่าส่วนนึงอยากจะมาพักผ่อนหรือลองหาที่เที่ยวไปด้วยนั่นแหละ... ถึงอย่างงั้นครั้นจะให้เที่ยวอย่างเดียวก็แลดูจะไม่เข้าท่าไปหน่อย เหตุผลหลักๆก็คืออยากลองมาหาเพื่อน ณ ที่ใหม่ๆ ดินแดนใหม่ๆบ้าง ก็เลยมาเข้าเรียนโรงเรียนในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน..."
"โถ่เอ้ย... ที่แท้เธอก็แค่อยากมาเที่ยวเท่านั้นเองหรอ... กรรมเวรจริงๆผู้หญิงคนนี้" ผมพูดแซวเธอออกไปด้วยน้ำเสียงติดตลก
"ไม่ ! ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อยยย ลืมเรื่องเหตุผลอีกข้อนึงแล้วหรอ ! เรื่องเพื่อนน่ะ ! เรื่องเพื่อนน่ะ ! โทโมะดาจิ ! (เพื่อน)"
"จ้า จ้า จ้า ! เข้าใจแล้วๆ แม่คนไร้เพื่อน...หึๆๆ"
"...."
"...."
ผมและมิอุเงียบไปชั่วขณะ... ระหว่างนั้นก็มีรถเมล์ขับผ่านมาหลายสาย... ซึ่งเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าทำไมคนขับรถจึงมาช้าจังนะ... สงสัยจะต้องบอกให้พ่อหักเงินซะแล้ว...
"นี่ชิน... ที่ผ่านมาน่ะ... สนุกมากเลยนะ"
"อืม..."
"ทั้งกลับบ้านด้วยกันทุกวัน ไปกินอาหารที่โรงอาหารด้วยกัน บางวันก็ไปกินที่ห้องของชิน หรือไม่ก็ที่ห้องแลบของชั้น... ได้นั่งรถลีมูซีนส่วนของบ้านชินเที่ยวรอบเมืองกลางดึกนี่เป็นอะไรที่อบอุ่นมากเลยนะรู้มั้ย... ได้ไปตามที่ต่างๆ ดูหนังด้วยกันทุกสัปดาห์... ได้ซื้อของหลายอย่าง ได้ทานของหวานที่ชอบ..."
"อืม..."
"ขอบคุณมากนะ... ที่มาเป็น(เพื่อนกับชั้น)"
เมื่อผมได้ยินสิ่งที่เธอพูดมานั้น... มันก็อดที่จะยิ้มไม่ได้... ป่วยการที่จะฝืนไม่ยิ้มและคงใบหน้าที่ไม่ได้รู้สึกอะไรและเฉยชาแบบนี้...
"อาเร๊ะะะ ! $^*_*+_+()&%%*(^(*^"
อันที่จริงเธอพูดออกมาไม่หมดทั้งประโยคเพราะเครื่องมือสื่อสารของเธอแบตหมด... แค่ผมพอจะรู้อยู่ ว่าเธอต้องการพูดอะไร
'เพื่อน'
"โถ่วว ! ให้ตายสิ ! กำเวรจริงๆ ! แบตหมดซะได้ ! เมื่อไหร่คนขับรถจะขับรถมาถึงกันล่ะเนี่ย ! จะได้รีบพาเธอไปส่งบ้านซักที..."
"&%(&*+)_**+)^%*^("
"ถ้าให้คุยกันตอนนี้ชั้นคงพูดกับเธอไม่รู้เรื่องหรอกนะ ถึงจะฟังภาษาญี่ปุ่นได้บ้างแต่ก็ใช่ว่าจะโปรเฟสชั่นน่อลขนาดนั้น"
"^*(*+))*)&(^(**_+(_(& T____T T____T T_____T"
"กรรมเวรจริงๆ กรรมเวรจริงๆ ว่าแล้วก็เดี๋ยวโทรตามคนขับรถหน่อยดีกว่า นี่ก็จะสามทุ่มละ..."
"ช็อตโตะ ! ช็อตโตะมะเตะ !" (รอก่อนแปปนึง !)
"หืมม...?"
เธอรีบดึงเสื้อผมและก็รั้งผมไว้ก่อนที่ผมจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาคนขับรถ เธอคงรู้ว่าถ้าเมื่อผมคุยโทรศัพท์กับคนขับรถแล้ว เธอคงจะหาโอกาสหาจังหวะที่เหมาะเจาะบอกผมเรื่องนี้ไม่ได้อีก เนื่องด้วยกำแพงทางด้านภาษาที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่
เธอคว้าของบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋าของเธอขึ้นมา...
กล่องทรงสี่เหลี่ยมที่ห่อกระดาษสีสันสวยงามเอาไว้ด้านบนมีริบบิ้นและโบว์ผูกอยู่พร้อมๆกับการ์ดข้อความ...
"ชินคุง ทันโจบิ โอะเมเดโต โงะไซมัส !" (สุขสันต์วันเกิดนะชินคุง)
ใช่แล้วมันคือกล่องของขวัญที่ห่อมา พร้อมกับติดริบบิ้นมาอย่างดี มีการ์ดข้อความสุขสันต์วันเกิดที่เธอบรรจงเขียนด้วยตัวอักษรภาษาไทยขึ้นมาด้วยมือตัวเอง...
กรรมเวร... ผมเกือบที่จะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม...
แต่เธอคนนี้...กลับไปตามหาข้อมูลวันเกิดของผม ทั้งๆที่ผมยังไม่เคยบอกเธอเลยด้วยซ้ำ...
คำว่าเพื่อนของเธอคนนี้ ที่เธอมีให้กับผมและมองว่าผมก็มีให้กับเธอมันมากมายขนาดไหนกันนะ...
ผมรับกล่องของขวัญนั้นมา พร้อมกับมองมันด้วยสายตาที่หย่อนคล้อย... ผมไม่อยากที่จะใช้คำว่าซาบซึ้ง มันดูไม่เท่ห์และขัดกับตัวตนของผมมากเกินไป...
ทั้งชีวิตนี้ผมก็เป็นอีกคนนึงที่ไม่เคยมีเพื่อน...
พ่อของผมเป็นนักการเมือง ที่ซึ่งว่ากันตามตรงก็คือ... โกงกินบ้านเมืองไม่ต่างอะไรจากคนอื่นๆ... ทำธุรกิจเปิดร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างๆตลาดสด ตัดแขนตัดขา ตัดกลุ่มลูกค้าและรายได้ของพ่อค้าแม่ค้าแถวๆนั้น โดยที่พ่อไม่ได้สนใจใยดีเลยแม้แต่นิดเดียว
พ่อสอนให้ผมรู้จักเห็นแก่ตัว เลือดเนื้อเชื้อขัยพวกพ้องของตัวเองสำคัญที่สุด คนเราเกิดมาก็เพื่อแสวงหาความสุขในชีวิต เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิตและยืนหยัดอยู่บนยอดเขาที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเรา คนรอบข้างที่ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อขัยของเราเป็นแค่เบี้ย ที่เอาไว้คอยนำพาตัวเราไปสู่อนาคตความสำเร็จและชัยชนะเท่านั้น... พวกเค้าจะมีคุณค่ากับพวกเราก็ต่อเมื่อพวกเค้ามีประโยชน์ก็เท่านั้น
พ่อกำลังสร้างปีศาจของตัวเองขึ้นมาและ ถูกต้อง...พ่อได้สร้างมันไปแล้ว...
ด้วยความเป็นลูกของผู้มีอำนาจและทรงอิทธิพล... หูและตาของผมนั้นสอดส่องไปได้ไกลทั่วทุกหนแห่ง แขนขาของผมยืดยาวยิ่งกว่าทุกคนในระแวกนี้ ผมคือปีศาจที่พ่อของผมได้สร้างขึ้นมา และแน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปย่อมเกลียดชังปีศาจ
รายล้อมตัวผมไม่ว่าว่าผมจะอยู่ ณ สถานที่แห่งใดทั้งในโรงเรียน นอกบ้าน ในห้างสรรพสินค้าหรือแม้แต่ตลาดใกล้บ้าน
มันก็จะเต็มไปด้วยแววตาอาฆาตของคนรอบข้าง... แววตาอาฆาตที่ปนไปด้วยความกลัว ความขยาด ความเกลียดชัง
ผมเป็นปีศาจที่เคยเชือดไก่ให้ลิงดูมาหนนึงแล้ว และมันยิ่งทำให้ผู้คนระวาดระแวงในปีศาจตนนี้มากขึ้นอีกด้วย...
แต่ถ้าเกิดปีศาจได้สัมผัสสิ่งที่ตนเองไม่เคยได้รับรู้มาก่อนล่ะ... บางครั้งการเป็นปีศาจก็ทำให้เรารู้จักถึงคำว่า 'ความโดดเดี่ยว'
ปีศาจนั้นไร้เพื่อน ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน มีเพียงแค่สมุนเท่านั้น...
แต่คนเราจะมีชีวิตที่มีความสุขได้ยังไงถ้าปราศจากสิ่งเหล่านั้น... คนเราจะเชื่อได้จริงๆหรอว่าจะมีความสุขได้เพียงแค่การอยู่ตัวคนเดียว
ผมแกะกระดาษห่อของขวัญนั้นออกและค่อยๆเปิดฝากล่องมันออกมา...
"มาสกุ(หน้ากาก), อนะตะ กะ โนโซมุ โฮโฮ(อย่างที่นายต้องการไง)" ริมรั้วฤดูสีเทา<<เพื่อนของฉันเป็นคนถูกแบน>>ตอนที่ ๑๒ : นายคือเพื่อนหน้ากากของฉัน...แล้วสำหรับฉันล่ะ...
|
|
|
Post by GreyTear on Jan 22, 2018 2:46:56 GMT
"พรีลู้ดหรอ ! ของแบบนี้จะมีไปทำไมกันล่ะ ! พรีลู้ดทูแชปเต้อ 13 ! มายด์ออกจากโรงพยาบาล"
#Prelude ....
....หลังจากนั้นได้ไม่นาน นร ปราชญ์ และลินก็ช่วยกันพยุงมายด์ไปที่โรงพยาบางที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
แผลส่วนมากเป็นรอยฟกช้ำ โชคดีที่ไม่ได้มีแผลจากการกรีดหรือแผลที่อาจจะติดเชื้อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะส่งไปตรวจในโรงพยาบาลให้แน่ชัดเพราะที่หัวมีรอยแตก เลือดไหลออกมาไม่น้อย ต้องสแกนที่ศีรษะว่ามีเลือดคลั่งในสมองหรือไม่
มายด์ไม่ต้องการให้พ่อแม่ของเธอรู้เรื่องนี้จึงอ้างว่าปราชญ์เป็นพี่ชายของเธอ เพื่อจะได้ให้มีญาติผู้ป่วยได้รับรู้
"พวกเธอรู้ได้ไงว่าเราอยู่ในซอยนั้น..."
ภายในห้องพักคนไข้สี่เหลี่ยมภายในโรงพยาบาล สาวผมดำกำลังนอนอยู่กับเตียง เธอได้แต่แหงนหน้ามองดูเพดานสีขาวที่อยู่เหนือตัวของเธอ
"หึ ! ...อย่าลืมซะสิ... ว่าต่อให้หล่อนไล่พวกชั้นไปยังไง... พวกชั้นก็ไม่เลิกตามติดตัวหล่อนหรอกนะ นี่เป็นความต้องการของนายคนนั้นยังไงล่ะ..."
ลินตอบโดยที่ไม่ได้มองหน้ามายด์ เธอยืนหันหลังกอดอกอยู่ข้างๆเตียงผู้ป่วยขณะเดียวกันก็ชี้ไปที่ปราชญ์
สาวผมดำที่กำลังนอนอยู่บนเตียงหันไปหาชายหนุ่มรูปร่างดีใส่แว่น เขาเบือนหน้าหลบเล็กน้อย... แต่ถึงอย่างงั้น... มายด์ก็อมยิ้มออกมาไม่น้อย เมื่อพบว่ามีเพื่อนที่กำลังคอยเป็นหวงเธออยู่
"ถ...ถ้าเป็นคนอื่นๆก็คงไม่สนใจใยดีเราแล้ว ข...ขอบ----" คำขอบคุณของเธอติดอยู่ที่ลำคอ ทันใดนั้นเองก็ถูกพูดแทรกโดย...
"เก็บคำขอบคุณนั้นไปเถอะ ! พวกเราก็แค่ทำตามจุดประสงค์ของชมรมเท่านั้นเองแหละ... เพื่อที่จะปลดแบนให้กับทุกคน เพราะฉะนั้นจะให้ปล่อยสมาชิกคนใดคนนึงให้หายไปได้ยังไงกันเล่า... เอาล่ะ เห็นหมอก็บอกว่าเธอกลับบ้านได้แล้วนี่... แผลฟกช้ำ มีรอยถลอกเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีแผลหนักหรือเลือดตกยางออกอะไร ที่ศีรษะก็สแกนแล้ว ไม่มีเลือดคลั่งในสมอง ไม่จำเป็นต้องค้างคืน..."
ชายผมเทา นรพูดออกมาแบบไม่รักษาน้ำใจของอีกฝ่ายเท่าไหร่ เขารวบรัดตัดตอนก่อนที่จะก้าวเท้าออกไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง
"ที่เจ้าหงอกสี่ตานั่นพูดก็ถูกต้องแล้วล่ะนะ... แต่ยังไงซะ..."
"พวกเราสี่คนเนี่ย ไม่มีเพื่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะอย่างงั้น... อย่างน้อย...ต่อให้ไม่ใช่เพื่อนแต่ถ้ามีคนที่พอที่จะอยู่เคียงข้างพวกเราไปได้ก็ควรที่จะรักษาไว้ให้มากที่สุดไม่ใช่หรอ..."
ลินส่งหางตามายังมายด์ รอยยิ้มมุมปากปรากฏให้เห็นถึงแม้ว่าเธอจะกำลังยืนหันหลังอยู่
เมื่อนั้นเองแพทย์วัยกลางคนก็เปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมกับบอกว่าผู้ป่วยสามารถให้กลับบ้านได้แล้ว
ทันใดนั้นเองปราชญ์จึงเข้าไปพยุงมายด์ให้ลุกขึ้นมา "ไม่เป็นไรเราลุกเองได้"
ก่อนที่สมาชิกทั้งสี่ของชมรมหน้ากากจะค่อยๆเดินออกจากห้องๆนี้ไป...
อื๊ด อื๊ด อื๊ดข้อความทางแอพแชทสีเขียวปรากฏที่โทรศัพท์มือถือของมายด์ว่า //ลูก ทำไมกลับบ้านช้าจัง วันนี้มีอะไรหรือเปล่า แม่เป็นหวงนะลูก//
|
|
|
Post by GreyTear on Jan 24, 2018 4:50:09 GMT
"ดิฉันต้องการเห็นผลจากการดำเนินกิจกรรมชมรมของพวกคุณ ! ว่าพวกคุณพัฒนากันไปถึงไหนแล้ว ! โดยจะประเมินจากผลงานชมรม , ชั่วโมงกิจกรรมภายนอกห้องเรียน , การทำประโยชน์ให้กับสังคม ! จะดูซิว่าพวกคุณสามารถเข้าถึงสังคมได้แค่ไหนกันบ้างแล้ว !"
"แต่เท่าที่ดูๆแล้ว... ไม่มีรายชื่อของพวกคุณไปปรากฏอยู่บนใบรายชื่อนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมเลยแม้แต่คนเดียว ! นั่นเท่ากับว่าการเข้าร่วมสังคมก็ยังเป็น {ศูนย์} ! ชั่วโมงกิจกรรมเป็น {ศูนย์} ! การทำประโยชน์ให้กับสังคมก็คงเป็น {ศูนย์} ! ไหนจะเรื่องผลงานชมรมอีก... ก็เป็นศูนย์ ! ไม่มีบอร์ดชมรมติดอยู่หน้าห้องเลยซักนิดเดียว ! แผนผังโครงสร้าง ตารางเวลา *โพรซีดัวร์ กิจกรรมชมรมก็ยังไม่มีมาให้เห็นเลยแม้แต่อันเดียว ! ไม่มีอะไรซักอย่าง ! กลวงโบ๋ว ไร้ราคา ! ไร้คุณค่า ! แล้วก็เสียเวลา ค่าเสียโอกาสสูญหายไปเป็นจำนวนมาก !"
พรึ่บบบ !! ก่อนที่ประธานนักเรียนสาวจะเดินออกจากห้องชมรมไป เธอก็ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า "ดิฉันจะคอยจับตาดูการพัฒนา--- ไม่สิ ! การคืบคลานตะเกียกตะกายดิ้นรนของพวกคุณอยู่อย่างห่างๆ... ดูซิว่าอย่างพวกคุณจะทำได้ซักกี่น้ำ ! ถ้าท้ายที่สุดแล้วหลังจบภาคเรียนไม่มีการพัฒนาอะไรเลย ดิฉันจะไม่ยอมนิ่งนอนใจแน่ ! ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็...การเข้ามาวางโครงสร้างกิจกรรมชมรมใหม่โดยทางสภานักเรียนจะเริ่มต้นในภาคเรียนหน้าโดยทันทีอย่างไม่มีข้อแม้ !"
"เดี๋ยวสิ ! นี่ไม่ใช่อย่างที่ตกลงกันไว้เลยนี่นาาาา -----!"ปังงงง !!ประธานนักเรียนสาวปิดประตูเสียงดังพร้อมกับเดินจากไปโดยที่ไม่ฟังเสียงประธานชมรมอย่างนร...
"รู้จักกับความสัมพันธ์แบบสามบวกหนึ่งบ้างไหม" #14 นร... หลังจากผ่านช่วงสอบกลางภาคมาได้ 4 สัปดาห์ พวกเราก็พบว่าชมรมหน้ากากยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่างเลย...
เอาเข้าๆจริงแล้วกิจกรรมชมรมพึ่งจะมาเริ่มอย่างจริงๆจังๆก็คือช่วงที่มายด์กลับมาเข้าร่วมชมรมอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้เอาแต่เสียเวลาไปกับการเทลาะกันกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
แต่ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ... ถ้าจำไม่ผิดกิจกรรมชมรมที่พวกเราทำกันก็มีแต่อะไรไร้สาระ อย่างเช่นเล่นเกม... แข่งขันกันวาดรูป... ลอกการบ้าน(อันนี้พอจะมีสาระอยู่บ้าง)เขียนนิยายเวียน... ร่วมกันวิพากย์วิจารณ์ดราฟท์นิยายของนรินทร์ ลินลัดและร่วมกันอภิปรายข้อที่ควรแก้ไข(อันนี้สนุกมาก หึๆๆ) ทำอะไรพิเลนทร์กินกันก่อนที่จะวนมาเล่นเกมเหมือนเดิม...
ถึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเราสนิทขึ้นกันหลายเท่าตัว... แต่ถึงอย่างงั้นปราชญ์ก็ยังไม่ยอมรับทุกๆคนว่า 'เป็นเพื่อน' อยู่ดี... ส่วนลินก็ยังทำเป็นซึนเดเระด้วยการบอกว่า 'เหอะ... ใช่ว่าจะอยากเป็นเพื่อนกับพวกนายหรอกนะ... เอาเป็นว่า 'คนรู้จักก็พอละกัน' " ในขณะที่มายด์แลดูมีพัฒนาการมากที่สุดโดยที่ผ่านมาเธอเริ่มที่จะมีปฏิสัมพันธ์หัดพูดหัดจากับคนอื่นๆมากขึ้นแล้ว...(อีกเหตุผลนึงก็เพราะว่าลินเริ่มที่ะจะแกล้งเธอน้อยลงแล้ว) ต้องขอบคุณปราชญ์ที่เป็นตัวตั้งตัวตีดึงเธอให้กลับมาเข้าร่วมชมรมอีกครั้ง…
...
ยังไงก็ตาม สิ่งที่ยัยประธานนักเรียนตัวร้ายนั่นพูดก็เป็นเรื่องจริง... ณ ปัจจุบันนี้ชมรมของพวกเรายังไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับสังคมเลย... ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสังคมภายนอก เอาแค่สังคมภายในรั้วโรงเรียน แค่การมีตัวตนอยู่ของพวกเรา ทำได้แล้วหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ !
ถ้าอยากที่จะปลดแบนให้กับตัวเองได้จริงๆ พวกเราควรที่จะทำตัวเองให้มันโดดเด่น มีคุณค่า มีราคามากกว่านี้ เพื่อที่จะได้ทัดเทียมเทียบเท่าและปะปนไปกับพวกคนเพียบพร้อมด้านนอกนั่นได้...
...
"ยัยนั่นนี่จะน่าหมั่นไส้ไปถึงไหน ! ชั้นชักจะเกลียดหนังหน้าเจ้าหญิงประสาทกลับของยัยนั่นเข้าเต็มทนแล้วนะ !" ลินพูดระบายออกมาด้วยความอารมณ์เสียหลังจากที่พบว่ายูว์ได้ออกจากห้องไปไกลแล้ว
"คอยดูนะ ! ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ชั้นจะกลั่นแกล้งยัยนั่นให้ทุรนทุรายจนถึงขีดสุดเลยคอยดู ! จะเอาให้เหมือนตายทั้งเป็น !"
เธอพูดออกมาด้วยแววตาของคนที่เครียดแค้นชนิดที่จะจองล้างจองผลาญกันเลยทีเดียว !
"ทำเป็นพูดไปเถอะ... อย่างเธอแค่ตัวคนเดียว จะไปทำอะไรนังนั่นได้... แค่เข้าไปแตะเนื้อต้องตัวยังยากเลย ประธานนักเรียนคนนั้นน่ะเปรียบเสมือนลาสบอสหรือบอสที่โหดที่สุดในบรรดาเหล่าคนเพียบพร้อมเลยก็ว่าได้... คนรอบข้างคอยสนับสนุนอยู่เพียบ และชั้นขอบอกไว้ก่อนนะว่าชั้นไม่มีทางยื่นมือเข้าไปช่วยเธอเปิดศึกกับพวกสภานักเรียนแน่ๆ... พวกนั้นมีกันเป็นสิบๆพวกเรามีแค่ 4 คนแถมไม่มีพวกคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอีก อันที่จริงพวกเราไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะไปต่อสู้กับพวกเค้าเลยด้วยซ้ำ เพราะแพ้ตั้งแต่แรกแล้ว..."
ผมตอบกลับไป ถึงมันจะแลดูเป็นคำพูดที่สิ้นหวัง แต่นั่นเป็นเรื่องจริงที่ยัยลินคนนี้ควรจะรู้ไว้ว่าเธอในตอนนี้ไม่ใช่คิดอยากจะแกล้งใครก็แกล้งได้อีกแล้ว
"เจ็บใจนัก ! เกลียด ! ชั้นเกลียดพวกเพียบพร้อม ! พวกคนอย่างนั้นน่ะไปตายให้หมดซะได้ก็ดี !"
สาวผมดำแววตาชั่วร้ายได้แต่กัดฟันกรอดๆและกำหมัดภายในมือไว้อย่างแน่น เธอพูดออกมาด้วยความเจ็บใจ !
"พวกคนเพียบพร้อมเนี่ย... หมายถึงใครบ้างนะ..." ในขณะที่สาวผมดำอีกคนแต่แววตาใสซื่อกว่าอย่างมายด์กลับถามคำถามนั้นขึ้นมา
"ก็พวกมันทุกคนนั่นแหละ ! พวกคนในสังคมด้านนอกที่คอยแต่เหยียบย่ำพวกเรา ดูถูกแล้วก็หัวเราะเยาะพวกเราลับหลัง ! พวกคนที่มีแฟนมีคู่น่ะไปตายให้หมด ! พวกที่มียอดไลค์ยอดฟอโล่ว์ในโซเชี่ยลถึงพันขึ้นไปน่ะไปตายให้หมด ! พวกที่มีเพื่อนฝูงเยอะๆน่ะไปตายให้หมด ! พวกสภานักเรียนงี่เง่าก็ไปลงนรกกันให้หมดซะ ! โว้ยยย !!!! .............แต่งนิยายดีกว่า---"
ลินเอ่ยปากตอบมายด์กลับไป... หลังจากที่สาปแช่งบรรดาเหล่าผู้เพียบพร้อมเสร็จเธอก็รวบรัดตัดตอนหันไปแต่งนิยายทันที คำพูดไร้สาระงี่เง่าที่ไม่ได้รับการคิดไตร่ตรองก่อนออกมาจากปากของหญิงสาว มันเป็นเพียงเพราะแค่อารมณ์ชั่ววูบ ใจจริงเธอก็คงไม่ได้อยากให้มีคนตายมากขนาดนั้น... น่าจะนะ...
"ขอบคุณนะ ที่ตอบคำถาม..." ถึงแม้ว่าคำตอบของลินอาจจะดูใช้แต่อารมณ์และไม่มีความจริงใดๆเลยอยู่ภายในนั้น แต่มายด์ก็ยังกล่าวขอบคุณในคำตอบของเธอ พร้อมกับยิ้มขึ้นมาอย่างอบอุ่น...
"หึ... เอาเข้าจริงๆแล้วต่อให้เธอรังเกียจสังคมด้านนอกนั้นขนาดไหน แต่ท้ายที่สุดพวกเราก็ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปง้อคนด้านนอกนั้นไม่ใช่หรือ... เอาเข้าจริงๆแล้วจุดมุ่งหมายของชมรมก็คือการที่จะต้องสวมหน้ากากเพื่อจะได้กลมกลืนและอยู่ร่วมไหลเวียนไปตามกระแสสังคมให้ได้ในท้ายที่สุด... ถ้าไม่อย่างงั้นเราก็จะถูกบังคับจากทางฝั่งสภานักเรียนพวกนั้นอยู่ดี..."
ท่ามกลางรังสีอาฆาตแค้น เปลวเพลิงแห่งความอำมหิตที่ลินพึ่งจะปล่อยออกมาเมื่อซักครู่นี้เอง ปราชญ์ก็เป็นคนรดน้ำชำระล้างเปลวไฟนั้นให้สงบลง
แต่ในขณะนั้นเอง
"...ไม่หรอก..." ผมพูดขึ้นมาโดยที่ไม่ได้มองหน้าปราชญ์
"เมื่อกี้ว่ายังไงนะ" ปราชญ์ขอให้ทวนคำพูด...
"...ไม่หรอก... ที่ชั้นไม่ยอมให้พวกสภานักเรียนเข้ามาจัดระเบียบโครงสร้างกิจกรรมภายในชมรมตั้งแต่แรก ก็เพราะชั้นเชื่อว่ามันมีวิธีที่จะรักษาตัวตนของเราไว้อยู่เพื่อที่จะไม่ให้ถูกบิดเบือนไปตามกระแสสังคมเหล่านั้น... ชั้นรู้วิธีที่จะไม่สร้างหน้ากากและยังคงสามารถดำรงอยู่ในสังคมได้... แต่สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คือ... อดทนไปก่อน..."
"...จะวิธีการอะไรก็ตามของนาย ก็ช่างเถอะนะ" ปราชญ์พูดขึ้นมาลอยๆ
...
บรรยากาศภายในห้องเงียบไปซักพักนึง ดูเหมือนแต่ละคนจะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่...
ทว่าเมื่อนั้นเอง คนที่น่าจะเงียบที่สุดและคงไม่มีใครคาดหวังว่าเธอจะออกความคิดเห็นอะไรอย่างมายด์กลับเป็นตัวตั้งตีและพูดขึ้นมาว่า
"ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็น่าจะไปหากิจกรรม หรือโครงการอะไรทำดูนะ... ตามที่ประธานนักเรียนคนนั้นบอกไง"
...
...
...
หลังจากนั้น 1 สัปดาห์...
...
...
...
"โครงการนี้ยังไงล่ะ !"
กระดาษ A4 แผ่นสีขาวแต่ออกเหลืองๆนิดหน่อยเพราะดูเหมือนจะติดประกาศมาไว้นานแล้ว คือใบรับสมัครนักเรียนรุ่นพี่ที่อาสาจะมาเข้าร่วมโครงการ 'รุ่นพี่ติวรุ่นน้อง <<ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ สายสัมพันธ์เซนต์คานาเรีึ่ยน>>'
โดยนักเรียนที่จะมาเป็นผู้ติวหนังสือให้กับรุ่นน้องต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.85 ไม่อย่างงั้นจะไม่ผ่านเกณฑ์ที่จะมาเป็น'ติวเตอร์รุ่นพี่'ของโครงการนี้ได้
มายด์ถือใบรับสมัครใบนั้น เธอยื่นมันออกมาด้วยสีหน้าที่กำลังมีความหวังและมุ่งมั่น ดูท่าเธอคงจะอยากเข้าร่วมโครงการนี้...
"ให้ไปติวเด็กนักเรียนงั้นหรอ... อืม... ก็...คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง"
ผมมองแผ่นกระดาษพร้อมกับครุ่นคิดอยู่หลายนาทีเหมือนกัน... ก็อย่างที่รู้ ว่าคนแอนตี้สังคมขนาดนี้อย่างผม แค่จะให้พบปะกะคนรุ่นเดียวกันก็ลำบากแล้ว ...แต่นี่จะต้องไปเป็นที่พึ่งหรือเป็นความหวังให้ความเด็กรุ่นน้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายละเอียดบอกอีกว่าเป็นเด็กม.1 ที่ขึ้นชื่อเรื่องไม่ฟังใครอยู่แล้วด้วย...
คิดหนักเลยทีนี้...
ทว่าระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเองก็เหมือนสัมผัสได้กับรังสีอันเย็นยะเยือกด้านหลังแปลกๆ... ความหนาวเหน็บนั้นมันแผ่มาจากลินที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังผม
"...ว่าแต่... นร... นายน่ะ... เกรดเฉลี่ยถึงหรอ... ตั้ง 3.85 เชียวนะ..."
ทั้งคำพูดและสีหน้าท่าทางของลินดูไม่ใช่คนที่มั่นใจเหมือนอย่างปกติเท่าไหร่... เอ...หรือว่า... เธอจะได้เกรดไม่ถึง 3.85...(ผมตอบกลับไปก่อนว่า)
"อืมม ใช่ ! เกรดเฉลี่ยชั้นได้ 3.85 พอดีน่ะ จะว่าไปก็สูงใช้ได้นะสำหรับมาตรฐานของโครงการนี้... แต่เกรดม.ต้นมันก็ไม่ได้อยากอะไรขนาดนั้น ถ้าตั้งใจหน่อยก็ แค่ 3.85 เนี่ย... ไม่ได้ยากเย็นอะไรเล๊ย..."
ผมแสร้งทำเป็นว่าเกรด 3.85 นี่ชิลล์ๆมาก แต่อันที่จริงแล้วมันไม่เลย คึกๆๆ ! นานๆทีได้ลองแกล้งยัยนี่คืนดูบ้าง สะใจดี ฮะฮ่าๆๆๆๆ !
"...งั้นหรอ..." สีหน้าของลินนั้นหม่นหมองและดูเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัด... เธอก้มหน้าคอตกมองพื้น... ชัดเลย... สัญญาณแบบนี้ แสดงว่าได้เกรดต่ำกว่า 3.85 แน่ๆ ฮ่าๆๆๆ แพ้ชั้นแล้วนางจิ้งจอก !
"แล้วมายด์กับปราชญ์ล่ะได้เกรดเท่าไหร่กันบ้าง..." ผมขยี้ซ้ำอีกด้วยเอ่ยปากถาม 2 คนนั้น ที่ซึ่งเป็นนักเรียนห้อง GIFTED หรือห้องเรียนดีอยู่แล้ว คงไม่น่าต่ำกว่า 3.85 เช่นกัน
"ชั้นได้ 3.89" ปราชญ์ตอบ
"ส่วนชั้น...พึ่งย้ายมาจากโรงเรียนอื่น แต่เกรดที่โรงเรียนเดิมก็ได้ 3.90 เคยได้ท็อปวิชาภาษาจีนด้วย" และนี่คือคำตอบของมายด์
"โฮยยยย !! สูงๆกันทั้งนั้นเลย !! มาๆ ขอจับมือกับเหล่าคนเก่งกันหน่อย !!" ผมแสร้งทำเป็นเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มชื่นมื่นยินดีกับพวกนั้น อันที่จริงลึกๆภายในใจแล้วกำลังหัวเราะอย่างชั่วร้ายอยู่ ฮ่าๆๆๆ !!
"เน้ๆ ลิน !! แล้วเธอได้เกรดเท่าไหร่บ้างล่ะ" ผมหันกลับไปถามลินด้วยน้ำเสียงอันร้ายกาจ !"...อย่า... อย่ามายุ่งกับช้าาาานนนนนนน ตาบ้าหงอกสีตาาาาาา !!!" สาวสวยหน้าคมค่อยๆถอยห่างแล้วก็วิ่งหนีไป ฮ่าๆๆๆๆๆ ! แผนการประสบผลสำเร็จ !
"หลังๆนี้นายก็ชอบไปแกล้งเธออย่างงั้นเนาะ..." ปราชญ์พูดกับผมด้วยใบหน้าเทม่งทึงเหมือนเดิม
"ฮ่าๆๆ นานๆครั้งก็เอาคืนบ้างไง คิดซะว่าเอาคืนให้มายด์ก็แล้วกัน หุๆๆ" ผมตอบกลับไป
"โรคจิต..." ...แต่ปฏิกิริยาที่บ่งบอกถึงความไม่ซื้อของมายด์ก็ส่งกลับมา...
...
...
...
หลังจากนั้นได้ไม่นาน ลินก็มารู้ในภายหลังว่า จริงๆแล้วเธอก็สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้...
ถึงแม้ว่าเกรดเฉลี่ยนจะต่ำกว่าเกณฑ์ที่วางไว้เยอะ โดยลินได้ GPA เพียงแค่ 3.76 เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม...
เธอทำสถิติได้คะแนนวิชาภาษาไทยมากที่สุดในสายชั้นทุกเทอมตั้งแต่ม.1 - ม.3 !!! นี่เห็นกันชัดๆเลยว่ายัยนี่เอาดีแต่แค่วิชานี้วิชาเดียวจริงๆด้วย !
ด้วยเหตุที่เธอทำคะแนนในวิชานี้ได้สุดโต่งขนาดนั้น เธอจึงผ่านการคัดเลือกให้เข้ามาสอนวิชาภาษาไทยให้แก่เด็กม.ต้นได้...
พวกเรา 4 คนเดินไปติดต่อห้องสภานักเรียนเพื่อยื่นใบสมัครเข้าร่วมโครงการนี้... ทุกๆอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างไม่มีปัญหา
ไม่รู้ด้วยว่าพวกเราคิดไปเองหรือเปล่า แต่สมาชิกสภานักเรียนที่เราเข้าไปติดต่อเรื่องนี้ด้วยไม่ใช่ยัยประธานนักเรียนปากร้ายนั่น... ทำให้ทุกๆอย่างดูราบรื่นกว่าที่คิด
อันที่จริง พวกเรามารู้อีกทีว่าโครงการนี้แทบจะถูกยุบให้ตกไปอยู่แล้วเนื่องจากว่ามีเด็กมาเข้าร่วมโครงการน้อยมาก ! กี่คนไม่รู้แต่ที่สภานักเรียนบอกมาคือน้อยมากๆ มากกว่าที่คิดไว้แน่ๆ !
ผมก็ไม่รู้ว่าจะน้อยเบอร์ไหน แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีใครมาสมัครเป็นติวเตอร์ของโครงการนี้ให้เลยซักคนเดียว... ซึ่งพวกเราก็ค่อนข้างแปลกใจกันเป็นอย่างมาก
...
ทางสภานักเรียนอนุญาตให้ใช้ห้องชมรมหน้ากากเป็นห้องสำหรับใช้ติวได้ ต้องขอขอบคุณทางนั้นจริงๆเพราะมันยิ่งทำให้ทุกอย่างสะดวกยิ่งขึ้นไปอีก... อย่างที่บอก พอไม่ใช่ยูว์แล้วอะไรๆก็ดูง่ายขึ้นเยอะ !
...
แล้ววันแรกสำหรับการเริ่มติวก็มาถึง... ผมเดินลงไปซื้อปากไวท์บอร์ดและชอล์คจากสหกรณ์ใกล้ๆโบสถ์มาเพิ่ม
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการติวในวันนี้...
แกรกก
ผมเลื่อนประตูห้องเข้าไปและพบว่า...
ว่างเปล่า... เมื่อกวาดสายตาไปแล้วก็พบแต่เก้าอี้ที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า... จนกระทั่ง...
เลื่อนไปเจอเด็กตัวเล็กๆ 3 คนนั่งจับกลุ่มกันอยู่ แล้วก็มีเด็กผู้หญิงอีกคนนึงที่แยกตัวออกไปนั่งอยู่คนเดียว...
ผมมองๆดูแล้ว... ก็นึกในใจ... พร้อมกับอมยิ้มขึ้นมา...
เช่นเดียวกันเมื่อผมมองไปที่ปราชญ์ ลิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมายด์... ก็พบว่าพวกเขาทั้งสามคนต่างก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าเหมือนกัน... พวกเราสามคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า...
'แบบนี้แหละ ดีแล้ว...'
...
...
...
ลิน... ...หลังจากที่พบว่ามีเด็กมาเข้าร่วมโครงการรุ่นพี่ติวรุ่นน้องแค่ 4 คนเท่านั้น พวกเราจึงตัดสินใจว่า... จะไม่เน้นติวบนกระดานหรือยืนพูดหน้าห้องให้ดูเป็นพิธีรีตองกันจนเกินไป
เพราะมีเด็กแค่ 4 ซึ่งจัดว่าน้อยแล้วก็ส่วนตัวมากๆ... ก็ควรที่จะเลือกติวหนังสือกันแบบใกล้ชิด ให้บรรยากาศที่เป็นกันเองมากกว่าหรือที่คนเรียกกันว่า 'ติวตามโต๊ะ'
จะให้นักเรียนม.ปลาย 4 คนมายืนพูดให้นักเรียนม.ต้นอีกแค่ 4 คนนั่งฟังเราอยู่ตรงเก้าอี้ก็ดูแปลกๆพิกล เพราะฉะนั้นพื้นที่ใช้สอยมีเยอะก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ซะ นอกจากนั้นการติวแบบถึงเนื้อถึงตัวเนี่ย มักจะได้ผลกว่าเสมอ...
พวกเราเลือกที่จะแบ่งกลุ่มกันติวเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยถามเด็กก่อนว่ามีใครไม่ถนัดวิชาไหนบ้าง จะได้จับกลุ่มติวกันถูก
...
กลายเป็นว่าเด็กแต่ละคนจะไม่ถนัดกันคนละวิชา... พวกเรา 4 คนก็เลยแยกกันไปติวต่อตัวกับทุกๆคนเลย
นรได้ไปติววิชาภาษาอังกฤษให้กับ 'จัซ' เด็ก(หนุ่ม?)ม.ต้นที่ดูไม่ค่อยเป็นม.ต้นเท่าไหร่ เพราะดูจากหน้าตานี่เข้มจนแทบจะเรียกว่าเป็นหนุ่มได้แล้ว แถมยังมีหนวดขึ้นอีกด้วย
ปราชญ์รับหน้าที่ติววิชาตัวเป้งอย่างคณิตศาสตร์ให้กับ 'เพชร' เด็กผู้ชายตัวน้อยใส่แว่นเลนส์กลมไร้กรอบแบบคุณหมอ ดูจากลักษณะท่าทางประกอบกับหน้าตาแล้วน่าจะเป็นพวกคงแก่เรียน ก็เหมาะกับเจ้าหมอนั่นดีนะ
ทางด้านของมายด์ได้ไปติววิชาชีวะหรือวิทย์เพิ่มเติ่มให้กับ 'นก' เด็กผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาน่ารักแต่ทว่าดูเป็นคนเงียบๆเก็บตัวๆชอบกลดูได้จากการที่ไม่ค่อยสุงสิงกับชาวบ้าน อาจจะเป็นเด็กดื้อเงียบก็ได้ต้องระวังซะแล้ว
ส่วนชั้น... ได้ไปติววิชาภาษาไทย ให้กับ 'แก้ม' เด็กม.1 นี่แหละแต่ทำไมรู้สึกแก่แดดๆชอบกล จากสีผมนี่รู้ได้เลยว่าย้อมมาแน่นอนเพราะดูยังไงก็ไม่ใช่สีเหลืองธรรมชาติ แถมที่ตามีการใส่คอนแทคเลนส์สีเขียวอ่อนด้วย... เอาเถอะ แต่ก็น่ารักดีนะ
...
ระหว่างที่สอนๆไปก็พบว่า...
เด็กคนนี้พื้นฐานค่อนข้างอ่อนด้านวิชาภาษาไทย... เธอคนนี้ยังไม่รู้โครงสร้างหรือแผนผังด้วยซ้ำว่าครึ่งเทอมหลังนี้เธอจะต้องเรียนอะไรเข้าไปใช้ในห้องสอบบ้าง... ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเธอไม่สนใจเรียน หรือเพราะอาจารย์ในห้องไร้ประสิทธิภาพกันแน่ เอาเถอะ... ชั้นไม่อยากโยงไปเรื่องการศึกษาไทยมากเดี๋ยวจะยืดยาว...
ระหว่าง ชั่วโมงแรกของการติว เราสองคนยังคงไปไหนได้ไม่ไกล ชั้นแค่อธิบายเนื้อหาคร่าวๆของแต่ละบทว่ามีอะไรบ้าง และจำเป็นต้องเน้นย้ำตรงไหนที่สำคัญ เราพึ่งจะขึ้นบทแรกไปได้ไม่เท่าไหร่
หลังจากนั้นพวกเราตกลงกันว่าจะให้เด็กพัก 15 นาทีแล้วกลับมาติวกันอีก 1 ชั่วโมง...
...
ระหว่างพัก... ชั้นออกไปแวะเข้าห้องน้ำซักพัก
...
"อ่าว... เธอเองหรอ"
แสงอาทิตย์อัสดงสีแสดส่องทะลุกระจกมัวเข้ามาตัดผ่านหน้าบานกระจกเงาที่อยู่เบื้องหน้า
ชั้นแหงนขึ้นมามองที่กระจกหลังจากที่ก้มหน้าล้างหน้าล้างตาตัวเองไป ผู้หญิงผมยาวด้านหลังที่อยู่ในกระจกคือมายด์ เธอเองก็เดินมาเข้าห้องน้ำเหมือนกัน
เธอได้แต่ยิ้มตอบและเดินผ่านแผ่นหลังของชั้นเข้ามา
ชั้นเอ่ยปากถามเธอออกไปว่า...
"เป็นไงบ้างล่ะ... ติวหนังสือให้กับเด็ก" ...เธอเปิดวาล์วน้ำพร้อมกับชะล้างทำความสะอาดมือของเธอ ขณะเดียวกันก็มองดูใบหน้าของตัวเองในกระจกเพื่อตรวจสอบจุดบกพร่อง
"อืม... ก็ดีนะ น้อง'นก' ค่อนข้างตั้งใจเลยล่ะ" เธอตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้หันมามองชั้น
"งั้นหรอ... ก็ดีแล้วล่ะนะ" ชั้นตอบกลับไป
"แล้วเด็กของเธอล่ะ เป็นยังไงบ้าง แรงน่าดูเลยนิเด็กคนนั้นหึๆๆ"
"อืม... ก็ใช่ ยัยหนู'แก้ม' เนี่ย โตขึ้นอาจจะเป็นเซเลปหรือพวกเพียบพร้อมได้ไม่ยากนะ"
"ทำไมถึงคิดอย่างงั้นล่ะ?"
"ก็เจ้าหนูคนนี้ดูเป็นคนช่างพูดช่างจา มนุษยสัมพันธ์ดูเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เก่งเรื่องการเออออห่อหมกหรือการไหลตามน้ำไปกับชาวบ้านอะนะ เท่าที่เห็น... ระหว่างที่ชั้นติวหนังสือให้อยู่ ก็ใช่ว่าเด็กคนนี้จะไม่ตั้งใจเรียนเลยอะไรอย่างงั้นนะ แต่ก็แอบมีวอกแวกๆชวนชั้นวกเข้าเรื่องซุบซิบๆภายในโรงเรียนหรือไม่ก็เรื่องผู้ชาย 'พี่มีแฟนแล้วหรือยังคะ ?' อะไรอย่างงี้ ชั้นก็ต้องตามน้ำไปก่อนแล้วค่อยดึงสมาธิกลับมาทีหลัง... ลักษณะแบบนี้น่ะเป็นแบบเดียวกะพวกคนที่เพียบพร้อมจริงไหมล่ะ นี่ยังไม่นับเรื่องที่ว่าเด็กคนนั้นหน้าตาดีตั้งแต่ยังเล็ก แถมยังดูแลตัวเองดีอีกด้วย..."
เราสองคนเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมๆกัน ผ่านระเบียงที่อยู่ด้านข้างโถงทางเดินที่ทอดยาว... ระหว่างนั้นเองก็เหมือนจะเห็นนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเดินผ่านมาแถวๆนี้ด้วย ถ้าจำไม่ผิดเธอคนนั้นจะชื่อว่า 'มิอุ' มั้ง
ชั้นไม่ได้สนใจอะไรและพูดคุยกับมายด์ต่อ
"...พวกลักษณะอย่างงั้นไม่ใช่หรอที่นายนร นิรนันท์ไม่ค่อยชอบน่ะ... เห็นจะพูดอยู่เรื่อยๆว่า เป็นการประจบสอพอหรือสิ่งที่เรียกว่า 'หน้ากากๆ' อะไรเทือกๆนั้น"
"ชั้นน่ะ ไม่ได้โลกแคบแบบเจ้าหมอนั่นหรอกนะ... บางครั้งเราก็ต้องมีการยอมกลมกลืนไปกับคนที่เราไม่รู้จักก่อนบ้างเพื่อที่จะได้สามารถเข้าไปอยู่ในโลกเดียวกันกับเค้า ถ้ายึดติดอยู่แต่กับตัวเอง เป็นตัวของตัวเองตลอดเวลา ตัวตนของเรานั่นแหละที่จะทำร้ายตัวของเราเอง"
"เหมือนกับที่ชั้นยึดติดอยู่แต่กับโลกของตัวเองอะนะ..."
"ใช่... คล้ายๆกันนั่นแหละ ปิดกั้นคนอื่น จมปลักอยู่แต่กับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่จนไม่นึกถึงคนรอบข้าง... นายกับนรน่ะมีอะไรหลายๆสิ่งที่คล้ายคลึงกันนะ โรคจิตเหมือนๆกันด้วย หุๆๆ"
"หาาาา !!"
...
"แล้วทางด้านของ 'นก' ล่ะ...?"
...
ครืดดด
ชั้นเลื่อนบานประตูห้องชมรมหน้ากากพร้อมกับเดินเข้ามาอีกครั้ง
เมื่อกี้เดินไปเข้าห้องน้ำประมาณ 5 นาที ยังเหลือเวลาพักอีก 10 นาที
เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาทั้ง 3 คนต่างจับกลุ่มคุยกัน... โดยมีเด็กชายสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหาเด็กหญิงที่ชื่อว่าแก้มซึ่งดูเหมือนจะเป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่ม
จัซเด็กน้อยหน้าเข้มได้แต่นั่งหลังตรง ใบหน้าขมึงตึงรับฟังสิ่งที่แก้มกำลังพูดอย่างไร้อารมณ์และความรู้สึก แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังมีตอบรับสิ่งที่แก้มพูดกลับไปบ้าง
ในขณะที่เพชรซึ่งเป็นผู้ชายที่ดูแหยๆ เนิร์ดๆ คงแก่เรียนๆหน่อย ค่อนข้างที่จะให้ความสนใจและมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งที่แก้มกำลังโชว์ให้เห็นผ่านหน้าจอโทรศัพท์
...
"นี่ๆ ชั้นว่าจะไปย้อมผมให้เป็นสีแดงดูบ้างล่ะ ! พวกนายคิดว่ายังไงกันบ้างล่ะ ! ถ้าแดงแบบในรูปนี้น่ะ" เด็กหญิงตัวน้อยยื่นรูปในโทรศัพท์ให้กับเด็กชายทั้ง 2 ดู
จัซ : หนานิ ! (อะไรน่ะ !)
เพชร : ไม่แรงไปหน่อยหรอแก้ม... ถึงโรงเรียนเราจะไม่ห้ามเรื่องการย้อมผมก็เถอะ แต่แบบนี้มันออกแรงๆไปหน่อยนะ ชั้นเคยรู้จักกับพี่สาวที่มีผมแดงๆแบบนี้เหมือนกันได้ข่าวว่าโดนคนทั้งระดับชั้นแบนเลยนะเพราะคนมองว่าแรงมาก
แก้ม : เอ๊ะะ ! ขนาดนั้นเลยหรอ ! ตายแล้วว !
จัซ (พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เรียบเฉยสุดๆ) : คงจะไม่เหมาะสมกระมั้งครับ...
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าจะมีเด็กอีกคนหนึ่งที่ปลีกวิเวกออกไปนั่งอยู่คนเดียว ไม่ยอมมารวมกลุ่มกับเพื่อนอีก 3 คนนั้น เธอได้แต่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่คนเดียว เลื่อนหน้าจอฟีดข่าวโดยที่ไม่ได้สนใจอะไร
อย่างที่คิดชั้นคิดไว้เลย
เธอเองก็กำลังแอบจ้องมองดูเด็กคนนั้นอยู่เหมือนกันใช่ไหมมายด์ ดูตัวเธอสิเหมือนเด็กคนนั้นไม่มีผิดเลย...
...
แปะ แปะ แปะ
"เอ้าา หมดเวลาพัก ! ทุกคนมาติวกันต่อได้แล้ว" นรตะโกนบอกทุกๆคนในห้องให้กลับมาติวกันได้แล้ว...
...
เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังของการติว ก็เป็นธรรมดาที่เด็กจะเสียสมาธิไปบ้างหลังจากที่พึ่งพักเล่นโทรศัพท์ไป... ทำให้ชั้นต้องดึงเธอคนนั้นกลับมาด้วยการวกเข้าไปพูดเรื่องชีวิตส่วนตัวอีกครั้ง...
"นี่... แก้ม พี่ถามหน่อยสิ... น้องคนนั้น--...ชื่ออะไรนะ---"
"นก ! ใช่ปะพี่ !!" แก้มรีบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
"ชู่วว ! อย่าดังสิ ! เดี๋ยวเจ้าตัวก็รู้หรอก ! เงียบๆไว้ หัดกระซิบบ้างน่ะเป็นมั้ย !"
"โทดๆๆๆ โทดทีค่ะพี่... ว่าแต่... ทำไมหรอคะ ?" (เธอกระซิบเบาๆถามชั้น)
"ก็น้องคนนั้นน่ะสิ... ทำไมถึงไม่สุงสิงกะใครเลย นั่งอยู่คนเดียวแบบนั้นนี่เหงาแย่เลยเนอะ..."
"โอ้ยยพี่... นังคนนั้นอะนะ เป็นผู้หญิงที่มืดหม่น โลกส่วนตัวสูง จืดชืด ไร้ชีวิตชีวา ไร้แรงดึงดูด... เป็นพวกกลวงโบ๋วน่ะพี่ ในห้องเรียนก็ไม่มีใครคุยกะมันหรอก เพราะวันๆเอาแต่ทำตัวน่าเบื่ออยู่แต่ในโลกส่วนตัวอย่างงั้นไง... แถมสีหน้าแววตานี่ก็ไม่รับแขกสุดๆ เหมือนกำลังโกรธใครอยู่ตลอดเวลายังไงอย่างงั้น ใครเห็นหน้าบึ้งๆตึงๆแบบนั้นก็ไม่อยากเข้าไปคุยด้วยเล่าาา อีกหน่อยอะนะ ต้องโดนแบนแน่ๆ ซึ่งหนูก็คงช่วยอะไรไม่ได้..."
"แย่จังเลยเนาะ... แต่ว่า... หึๆๆ"
"หัวเราะอะไรหรอพี่ ?"
"หึๆๆ มันน่าตลกที่ว่าน้องคนนั้นน่ะ เหมือนนนนนนน กับยัยติวเตอร์รุ่นพี่ที่กำลังติวให้อยู่คนนั้นเด๊ะเลย คิกๆๆๆ"
"เอ๋ !!!! ???? พี่คนนั้นก็ออกจะสวย ! ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนอย่างงั้น !"
"เหอะๆๆ ทีแรกพี่ก็คิดอย่างนั้นแหละ... แต่เอาเป็นว่า เรานอกเรื่องกันมาเยอะละ มาติวกันต่อดีกว่า แล้วอีกอย่างนึงนะถึงพี่คนนั้นจะสวยยังไงแต่พี่ก็เป็นคนที่สวยกว่าเสมอนั่นแหละย่ะ..."
"แหม่ๆๆๆ นี่เค้าเรียกว่าเทคนิคดึงสมาธิเด็กนักเรียนใช่มั้ยเนี่ย..."
...
...
...
ผ่านไปอีก 1 ชั่วโมง...
เมื่อติวเสร็จ พวกเราก็ปล่อยให้เด็กทั้งสาม + หนึ่งคนเดินกลับบ้านตามอัธยาศัย... นร และ ปราชญ์สั่งการบ้านเด็กด้วยการให้โจทย์ไปทำก่อนที่จะเดินมาถามไถ่กันว่าเด็กที่ติวเป็นยังไงบ้าง...
นร : เด็กที่ติวเป็นไงบ้างล่ะ
ปราชญ์ : ตั้งใจดีมากเลยนะเด็กคนนั้นแล้วก็หัวไวใช้ได้เลยล่ะ แค่วันแรกก็ติวไปได้ไกลพอสมควรเลย แล้วนายล่ะ
นร : จัซหรอ... ก็ดูมึนๆ ตึงๆอะ ไม่รู้เข้าใจบ้างหรือเปล่า...
...
ในขณะเดียวกันมายด์ก็เดินผ่านหน้าชั้นไป ชั้นจึงเอ่ยปากเรียกเธอพร้อมกับถามว่า...
"เน้ ! ยัยมายด์ ! ติวเด็กเป็นยังไงบ้างล่ะ !"
เธอค่อยๆเดินมาที่ชั้นพร้อมกับตอบว่า...
"อืม... น้องก็เข้าใจดีน่ะ มีบางจุดที่อาจจะงงๆแล้วก็ตามไม่ทันบ้าง แต่ชั้นก็เข้าไปช่วยดึงกลับมาได้... แค่วันแรกก็ยังได้อะไรไม่เยอะมากนักหรอก หึๆๆ คงต้องมีการปรับจูนจังหวะกันไปซักพัก แล้วเธอล่ะเป็นยังไง"
"อ๋ออย่างนั้นหรอ... อืม ชั้นเองก็เหมือนกันล่ะนะ วันแรกยังไปได้ไม่ค่อยไกล... อย่างที่บอก เด็กคนนั้นชอบพาวกออกนอกเรื่องก็เลยนอกเรื่องไปนอกเรื่องมาอยู่หลายครั้ง แต่ถามว่าดื้อมั้ยก็ไม่นะ จังหวะให้เรียนก็เรียนอยู่เพียงแต่แค่ถ้าพาออกนอกเรื่องเมื่อไหร่ นางจะดึงพาไปไกล"
"อ๋ออ... อย่างงั้นหรอ ตลกดีนะ หึๆๆ"
"หล่อนจะหัวเราะอะไรเยอะแยะไม่ทราบ..."
"ก็... ถ้าเด็กที่ลินติวให้แลดูจะเป็นคนเพียบพร้อมในอนาคต..."
"อืม"
"เด็กที่ชั้นติวให้ก็แลดูจะเป็นคนที่ถูกแบนในอนาคตเหมือนกัน เพราะเป็นเหมือนชั้นเลย ทั้งโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ชอบทำหน้าบึ้ง เหมือนโกรธใครมาตลอด... ก็อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ หึๆๆ"
"เหอะๆๆ อย่างงั้นเองหรอ... แต่คงไม่ใช่อย่างที่เธอคิดแล้วล่ะนะ---"
ณ เสี้ยววินาทีนั้นเอง ชั้นกับมายด์ก็หันหน้าไปหากลุ่มเด็กพวกนั้น พร้อมกับเห็นว่า...
"เน้ !!! นังนก ! ไปดูหนังกับพวกเราไหม !"
เด็กผู้หญิงผมสีเหลืองหน้าตาน่ารักพูดเสียงแจ้วๆ พร้อมกับพุ่งปลี่เข้าไปกอดคอเด็กผู้หญิงมืดหม่นคนนั้น ในขณะที่เด็กผู้ชายอีกสองคนก็เดินเข้ามาชวนเช่นกัน
"เอ๊ะ ! อะไรของเธอน่ะ ! ถอยออกไปไกลๆเลยนะ ! อย่ามายุ่งกับชั้น ! อยู่ดีๆก็---"
"ไม่เอาน่าาานก ! ไปด้วยกันเถอะ ! ขืนเธอยังดื้อด้าน เอาแต่โลกส่วนตัวสูงแบบนี้ไปเรื่อยๆเธอจะไม่มีเพื่อนเอาได้นะในอนาคต หุๆๆ"
"พูดอะไรของเธอน่ะ !"
"ไปด้วยกันเถอะนะนก" เพชรเอ่ยปากชวน
"ไปดูหนังด้วยกันเถอะครับ... วันนี้ CAR 3 น่าดูมากเลยนะครับ..." จัซผู้ด้วยน้ำเสียงคมเข้มเช่นเคย
ถึงแม้ว่านกจะพยายามขัดขืนยังไง แต่เพื่อนอีก 3 คนของเธอก็ลากตัวเธอให้ไปดูหนังด้วยกันได้ในท้ายที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้มที่จับนกไว้ไม่ปล่อย
"นี่เธอทำอะไรของเธอน่ะลิน..." มายด์หันมามองหน้าชั้นด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
"ชั้นก็แค่ใส่ไฟให้ยัยแก้มไปลองชวนเด็กคนนั้นดู ก็แค่...ให้ลองเข้าไปรบกวนหรือลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเด็กคนนั้นดู ก่อนที่โลกส่วนตัวใบนั้นจะแข็งแกร่งเกินและทำร้ายตัวของเด็กคนนั้นเอง..."
"...." มายด์ไม่ได้พูดอะไรอีก
"ทำไมเธอถึงชอบเข้าไปทำร้ายโลกส่วนตัวของชาวบ้านจัง !" เธอเงียบไปพักนึงก่อนที่จะพูดขึ้นมาเสียงแข็ง
"ชั้นไม่ได้ทำลาย... แค่ให้เข้าไปรบกวน... ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก... แค่ให้เข้าไปรบกวนโลกส่วนตัวเล็กน้อย กำแพงพึ่งจะก่อตัวอย่างเบาบาง มีช่องว่างให้คนอื่นๆเดินผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ บางที เด็กคนนั้นเมื่อพบว่ามีเพื่อนคนอื่นๆเดินเข้ามาเล่นภายในปราสาทตัวเองด้วยแล้ว อาจจะรู้สึกสนุกขึ้นมาก็เป็นได้... แล้วถ้าเด็กคนนั้นค้นพบความสุขที่อยู่ตรงนั้นแล้ว เธอก็จะรู้เองว่าควรที่จะเปิดหรือปิดประตูปราสาทของตัวเองตอนไหน... เธอจะค้นพบเองว่าโลกส่วนตัวของเธอก็สามารถยืดหยุ่นได้"
...
...
ระหว่างที่ติวกันอยู่เมื่อไม่กี่สิบนาทีที่แล้ว
ชั้นเป็นคนบอกให้แก้มลองเข้าไปชวนนกที่วันๆเอาแต่อยู่นิ่งๆคนเดียว ไม่สนใจโลกหรือสนใจใคร... โดยชั้นให้เหตุผลว่า ถ้าไม่เข้าไปรบกวนโลกส่วนตัวของเธอคนนั้น โลกใบนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นแล้วจะทำร้ายตัวของเธอเอง
เด็กน่ะ... มีความไร้เดียงสา มีความคิดที่บอบบาง ชักจูงได้ง่ายและยังเห็นแก่ตัวน้อยกว่าคนที่โตๆแล้วอย่างพวกเราเยอะ...
เด็กน้อยนั้นเชื่อเรื่องมิตรภาพมากกว่า เชื่อในสิ่งที่ไร้รูปร่างมากกว่าเรา... เพราะพวกเค้ายังไร้เดียงสา ที่พูดมานี่ชั้นไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ เพราะชั้นก็เคยเป็นเด็ก
และพบว่าตอนที่เป็นเด็กเนี่ย เด็กรุ่นเดียวๆกันนี่หลอกง่ายมาก ทำให้โดนชั้นแกล้งอยู่เรื่อย แต่นั่นมันก็เป็นเบื้องหลังและด้านมืดแย่ๆของชั้น...
ถ้าเราชักจูงให้เด็กที่ไร้เดียงสาคนนั้น ยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กที่กำลังหลงทางและอยู่คนเดียวตั้งแต่เนิ่นๆ
เด็กที่กำลังหลงทางอยู่คนนั้นก็จะได้ไม่โตขึ้นมาอยู่ในสังคมอย่างโดดเดี่ยว เพราะพวกเค้าได้เพื่อน... เช่นกัน เด็กที่ไร้เดียงสาอีกคนก็ได้เพื่อนใหม่เช่นกัน มีความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย...
โลกของเราเมื่อโตขึ้นๆ ก็จะพบว่ามันจะยิ่งโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ ฤดูกาลสีเทาจะพัดผ่านมาเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ตกแต่ง จัดสรรค์ บูรณะโลกของเราให้สวยงามและเพียบพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆจะดีกว่านะ...
ในวันนี้ชั้นได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กตัวเล็กๆคนนึงเพื่อให้เค้ามีเพื่อนและจะไม่เติบโตขึ้นไปในฐานะหญิงสาวผู้ถูกแบน... <<รุ่นน้องคนนี้ของชั้นไม่ใช่คนถูกแบน>>
เป็นครั้งแรกที่ชั้นทำอะไรที่เป็นการช่วยเหลือคนอื่นจริงๆ ไม่ใช่เสแสร้งทำเป็นช่วยแต่อันที่จริงก็เพื่อเข้าไปแกล้งเค้า...
การที่ชั้นได้เห็นเด็กตัวเล็กๆอายุประมาณ 12-13 เหล่านี้... มันทำให้ชั้นนึกถึงอดีตและความหลังเกี่ยวกับตัวชั้น...
ตอนที่ชั้นยังคงมีอายุรุ่นๆเดียวกับพวกเค้า... ตอนที่ชั้นยังคงเป็นยัยปีศาจจิ้งจอกตัวร้าย...
ชั้นนึกถึงความหลังตอนที่ตัวของชั้นยังคงเยาว์วัย...
--กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง--
เสียงพวงกระดิ่งที่ติดอยู่กับด้านหลังของกระเป๋าเป้ของเด็กๆพลันทำให้ชั้นนึกถึงภาพเก่าๆ
ริมรั้วฤดูสีเทา<<เพื่อนของฉันเป็นคนถูกแบน>> ตอนที่ : ๑๔ "ภาพสะท้อนสีเทายามที่แหงนมองกระจก ...หลังดวงตะวัน"
|
|
|
Post by GreyTear on Jan 31, 2018 17:56:07 GMT
ปราชญ์... เหลืออีกประมาณ 2 สัปดาห์จะถึงช่วงสอบปลายภาค... ซึ่ง ณ ช่วงเวลานี้อาจารย์แต่ละวิชาจะเริ่มสรรหาเวลาว่างหรือไม่ก็เอาเวลาของคาบเรียนตัวเองมาใช้ในการ 'จัดสอบย่อย'
ส่วนมากถ้าเป็นวิชาหลักๆอย่างเช่นคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์เพิ่มเติม วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เพิ่มเติม ภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ เกณฑ์การเก็บคะแนนจะมาจากสอบกลางภาคและสอบปลายภาครวมกัน 50% ใบงาน, งานกลุ่ม, การเข้าเรียนในห้องเรียนรวมกัน 30% (ซึ่งส่วนมากก็จะได้เท่าๆกันอยู่แล้ว นั่นก็คือเต็มหรือเกือบเต็มทุกคน เว้นแต่จะเจออาจารย์โหดๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงตัวใครตัวมัน)
ส่วนที่เหลืออีก 20% จะมาจากการสอบย่อยที่จะจัด 2 ครั้งนั่นก็คือก่อนกลางภาค 1 ครั้ง แล้วก็หลังปลายภาคอีก 1 ครั้ง ครั้งละ 10 คะแนน...
เพราะฉะนั้นช่วงนี้พวกเราจึงอัดเนื้อหาให้กับเด็กที่มาติวอย่างหนัก ทุกคนจะได้มีความพร้อมและสามารถทำคะแนนข้อสอบย่อยได้เต็มหรือเกือบเต็ม...
เพราะจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการเก็บคะแนนมักจะอยู่ตรงนี้... ข้อสอบสอบย่อยนั้นมีความยากน้อยกว่าข้อสอบปลายภาค แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ไม่พร้อมหรือกะหวังอ่านเอาก่อนสอบปลายภาคทีเดียวก็จะเสียคะแนนไปเป็นจำนวนมากแถมยิ่งจะทำให้รู้สึกกดดันมากขึ้นด้วย
ในทางกลับกันถ้าหากทำข้อสอบสอบย่อยได้คะแนนดี ความมั่นใจในการทำข้อสอบปลายภาคก็จะมากขึ้นและความกดดันก็จะลดน้อยลงตามลำดับ
ตลอดการติวเสริมพิเศษในโครงการรุ่นพี่ติวรุ่นน้อง<<ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ สายสัมพันธ์เซนต์คานาเรี่ยน>>ที่ผ่านมา 2 สัปดาห์ พวกเราค่อนข้างที่จะทำได้ตรงตามแผน...
เนื้อหาต่างๆที่ต้องรู้ตอนทำข้อสอบพวกเราได้สอนให้น้องๆกันไปหมดแล้ว บางวิชาถึงกับสอนเลยในห้องเรียนไปแล้วด้วยซ้ำ ที่ติวกันไปได้ไกลแล้วก็เร็วขนาดนี้ส่วนนึงก็ต้องขอบคุณในความขยันของพวกเค้า... ที่มาติวตรงเวลาทุกครั้งและยังมาเรียนทุกๆครั้งที่มีการนัดเพิ่มนอกสถานที่...
ใช่แล้ว... พวกเราไม่ได้จัดติวกันแค่ในห้องทำกิจกรรมชมรมหน้ากากอย่างเดียว ยังมีการหาเวลาไปนัดเพิ่มและติวนอกสถานที่เช่นตามร้านกาแฟในห้างใกล้ๆโรงเรียน ตามร้านอาหารเวลาที่คนเงียบๆ หรือตามหอสมุดที่อยู่ใกล้ๆโรงเรียน แน่นอนว่าพวกเราคงติวทั้ง 5 วิชาหลัก + 7 วิชาเสริมไม่ไหว เพราะแต่ละคนก็ต้องหาเวลาไปเตรียมอ่านหนังสือสอบม.ปลายของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ได้ข่าวว่านรินทร์ ลินลัดถึงกับทำการดร็อปนิยายตัวเองทิ้งไปเลยเพื่อมาติวให้เด็กๆที่มาเข้าร่วมโครงการนี้และจะได้มีเวลาอ่านหนังสือสอบของตนเอง...
ส่วนมากพวกเราจะเน้นติวในวิชาที่พวกเด็กๆบ่นว่าไม่ค่อยถนัดเช่น วิทย์เพิ่มเติม(ชีวะ) ภาษาไทย คณิตศาสตร์เพิ่มเติม ภาษาอังกฤษเข้มข้น โดยจะให้เด็กแต่ละคนสลับกันไปติวกับรุ่นพี่แต่ละคนได้แก่ตัวผม มายด์ ลินและนร ผลัดกันไปคนละวิชาๆ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อจะได้ตอบโจทย์เรื่องเวลาว่างของแต่ละคน และบางคนก็ไม่จำเป็นต้องเสริมบางวิชาเพิ่มเพราะเก่งวิชานั้นอยู่แล้ว...
"เราจะทำยังไงกันดีเนี่ย ! มิไรโว้ ! โตชิโยกะนาา !"#15
ณ ห้องชมรมหน้ากาก"โถ่ววว... ทำไมเธอทำไมไม่ได้กันล่ะเนี่ย...!" หญิงสาวหน้าคมกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด สายตาที่ไม่สบอารมณ์ของเธอจ้องเขม็งไปที่กระดาษข้อสอบเก่าวิชาภาษาไทยก่อนที่จะหันมามองหน้าของสาวน้อยน่ารักผมสีเหลืองที่ชื่อว่าแก้ม"ฮืออๆๆๆ มันไม่เห็นเหมือนกับที่หนูอ่านมาเลย" สาวน้อยโอดครวญพลางมองข้อสอบปรนัยบนแผ่นกระดาษด้วยความสิ้นหวัง"เธอต้องหัดมีจินตนาการบ้างสิ ! ข้อสอบแบบนี้มันต้องรู้จักจินตนาการ ! แค่ท่องจำในตำราอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ ! เธอต้องลองนึกสมมุติว่าตัวเองเป็นผู้ประพันธ์บทกลอนบทนี้ เธอจะมีความรู้สึกยังไงเวลาแต่ง ! เธอต้องฝึกจินตนาการแบบนี้ !" หญิงสาวชี้ไปที่กระดาษพร้อมกับกำลังจะสาธิตว่าวิธีการทำข้อสอบแบบนี้ต้องทำอย่างไร"ก็หนูไม่ได้เป็นนักเขียนแบบพี่นี่ ! จะไปเข้าใจอะไรอย่างนั้นได้ยังไงเล่า !" "สวมบทบาทสิ๊ ! สวมบทบาท ! ลองจินตนาการ !"...... ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง "คุณพี่นรครับ... กระผมไม่เข้าใจโจทย์ข้อนี้ครับ..." เด็ก(หนุ่ม ?)ม.ต้น พูดด้วยสีหน้าซังกะตายราวกับคนไร้ความรู้สึก เขานั่งตัวตรงแน่นิ่งยังกะพระพุทธรูปพร้อมกล่าวกับรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้าเขา...นรที่ดูเหมือนกำลังจะเผลอหลับเนื่องจากว่าบรรยากาศการติวหนังสือให้กับเด็กผู้ชายคนนี้มันช่างซังกะตาย เอื่อยเฉื่อย ไร้อารมณ์เสียเหลือเกิน 'รู้สึกเหมือนติวหนังสือให้กับต้นไม้' คือสิ่งที่เค้าคิด... ทว่าเขาก็ถูกปลุกด้วยน้ำเสียงทุ้มๆของเด็กม.1 ที่ชื่อว่าจัซ "อ๊ะ...อะ...อ่าา สงสัยตรงไหนหรอ..." ชายผมเทาสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา"นี่น่ะครับ..." เด็กน้อยที่มีหนวดชี้ไปที่ข้อความๆหนึ่งบนพารากราฟภาษาอังกฤษ"ไม่... นั่นไม่ใช่ Keyword หรอกนะ... Keyword น่ะอยู่ตรงนี้... ไอ้ส่วนนั้นมันก็เป็นส่วนขยายหรือน้ำเท่านั้น อย่าไปโดนหลอก" รุ่นพี่หัวเทาสวมแว่นอธิบาย"หนานิ""เอ๊ะ ? หนาหนิเรื่องอะไร ?""ยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดีน่ะครับ..." ...... "พี่ปราชญ์ครับ ! โจทย์พวกนี้มันยากเกินไปสำหรับผมน่ะครับ !" เด็กตัวกระเปี๊ยกยืนตัวตรงแต่คอตก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังกดดันและอัดอั้นอะไรบางอย่าง ตัวของเขาดูสั่นๆในขณะเดียวกันที่มือของเขาก็กำลังยื่นข้อสอบอะไรบางอย่างให้กับรุ่นพี่ที่รับหน้าที่ติววิชาคณิตศาสตร์ให้กับเค้า"อย่างงั้นหรอ..." หนุ่มแว่นหน้าตาดีรับแผ่นกระดาษนั้นมาพร้อมกับเปิดไล่ดูด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์"หืมม์..." ปราชญ์ไล่มองดูโจทย์ไปเรื่อยๆก่อนที่เขาจะพูดไปพลางๆว่า..."อืม... อันนี้เป็นข้อสอบคัดเลือก IJSO ของเด็กม.ต้นก็จริง... แต่ชั้นว่าความยากมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอกนะ... ไม่รู้สิ... อย่างเธอชั้นก็ว่าน่าจะทำได้นะ ชั้นคิดว่าเธอทำได้ดีกว่านี้""ผ....ผม...ขอโทษครับ...!""...แต่ก็เอาเถอะ... ไม่เป็นไรหรอก... แค่นี้ จากเท่าที่ผ่านมาเธอก็ทำได้ดีมากพอแล้ว----""เอ๊ะ ! ?" ปราชญ์ถึงกับแสดงสีหน้าตกกระใจเมื่อเค้าก้มมองลงไปแล้วพบกับเด็กตัวน้อยใส่แว่นที่กำลังยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ !
เตาะแตะๆๆๆๆ เด็กน้อยผู้จริงจังกับการเรียนพยายามเช็ดและเก็บซ่อนน้ำตาของตนเองพลันวิ่งหนีปราชญ์ไปต่อหน้าต่อตา.........ณ ห้องชมรมหน้ากาก (นอกเวลาติว)นรผู้เป็นประธานชมรมถึงกับเรียกประชุมด่วน ! โดยจะมาหารือเกี่ยวกับเรื่องที่รุ่นน้องของพวกเค้าเริ่มที่จะไม่เข้าใจเนื้อหาที่ติว !"นี่พวกเราจะทำยังไงกันดี ! ยัยหนูแก้มทำข้อสอบเก่าไม่ได้เลย ! ขืนเป็นแบบนี้แย่แน่เลย ! พวกเราจะทำยังไงกันดี !"หญิงสาวผมดำที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะนักเรียน ลินถึงกับร้องออกมาด้วยอาการตื่นตระหนกจนเกินเหตุ นรที่เห็นดังนั้นก็แสดงสีหน้าฉงนงงงวยเหมือนกันว่าอะไรมันจะตกใจกลัวขนาดนั้น"เธอก็ใจเย็นๆก่อน ! จะกระโตกกระตากอะไรขนาดนั้น... ...ไอ้เรื่องติวเด็กแล้วเด็กไม่เข้าใจไม่ว่าจะเป็นติวเตอร์คนไหนก็เคยเจอกันมาทั้งนั้น ที่ชั้นเรียกให้ทุกคนมาประชุมกันในวันนี้ก็เพื่อจะมาปรึกษากันนั่นแหละว่าจะทำยังไง ใครมีไอเดียอะไรเสนอบ้างไหม"หนุ่มแว่นผมเทาที่นั่งหันข้างอยู่ตรงเก้าอี้ นรดูเหมือนจะใจเย็นกว่า เขาค่อยๆสงบสติอารมณ์ของลินลงพร้อมกับเปิดประเด็นเริ่มการประชุม"เอาอย่างงี้... ลูกศิษย์ของนาย... 'จัซ'ดูมีปัญหาตรงไหนหรอ น้องเค้าไม่ค่อยเข้าใจตรงไหนลองเล่ามาซิ๊" ปราชญ์ที่กำลังยืนพิงกำแพงอยู่ถามนรกลับ"คือ... จะว่ายังไงดีล่ะ ไอ้เจ้าจัซเนี่ย น้องเค้าเป็นเด็กที่นิ่ง เงียบ... คือน้องเค้าไม่ได้ดูเกร็งหรืออะไรนะ... แต่น้องเค้าดูเป็นคนแข็งๆ แข็งแบบหินผาเลยก็ว่าได้ เวลาติวอะไรสอนอะไร น้องเค้าก็ดูรับฟังนะ แต่ก็จะบอกมาแค่... 'เข้าใจครับๆ' ""ชั้นก็เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าที่บอกว่าเข้าใจๆเนี่ย เข้าใจจริงหรือป่าว แล้วพอเวลาทำโจทย์ก็ถึงรู้ว่าน้องเค้ายังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเลย !" นรที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะใจเย็น แต่พอได้โอกาสสาธยายเกี่ยวกับปัญหาที่เค้าประสบแล้ว เรียกได้ว่ามีอาการตื่นตระหนกไม่ต่างจะนรินทร์ ลินลัดเลย"...เครียดจนหัวหงอกหมดแล้วนายน่ะ..." ลินพูดขึ้นมา..."เวลาอย่างงี้ยังจะมีอารมณ์มาแซวกันอีกหรอ !" นรตวาดใส่ลินกลับไป ก่อนที่หญิงสาวจะแอบไปหัวเราะคิกๆต่อ"อืม... ของชั้นน่าจะหนักกว่านายอีก" ปราชญ์หลับตาลงพร้อมกับเลื่อนแว่นตาขึ้น ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาต่อ"...เครียดจนเก๊กไปหมดแล้วนายน่ะ..." นรพูดแบบลินบ้าง..."เพชรหรือเด็กที่ชั้นติวให้น่ะ เอาจริงๆเป็นเด็กเก่งนะ พอถามถึงผลการเรียนตอนกลางภาคแล้วนี่เรียกได้ว่าเป็นปีศาจตัวนึงเลยก็ว่าได้ คะแนนเต็มเกือบทุกวิชา... ซึ่งวิชาที่น้องเค้าได้ไม่เต็มวิชาเดียวก็คือคณิตศาสตร์ซึ่งได้ 'แค่' 19 เต็ม 20---""โอ้โห่ววววว ! ได้ 19 เต็ม 20 ! แล้วยังบอกว่าแค่ ! ป้าดๆๆๆๆ เดี๋ยวแม่จะตบให้เลยหนินายเด็กคนนี้ !" ลินถึงกับเกิดอาการฉุนขึ้นมาเมื่อรู้ถึงเบื้องหลังของเด็กคนนี้... ทว่าทันใดนั้นเองมายด์ที่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวข้างๆก็รีบเข้ามาล็อคตัวไว้ให้สงบสติอารมณ์"ก็นั่นแหละ... พอดีชั้นเห็นว่าเด็กคนนี้เก่งมาก ก็เลยรีบๆติวให้จบเนื้อหาโดยไวที่สุด แล้วก็ยัดข้อสอบเก่าปลายภาคของโรงเรียนให้เลย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คืออะไรรู้มั้ย..." ปราชญ์ทิ้งช่วงให้ถาม"ได้คะแนนไม่ดีสินะ ?" มายด์ตอบ"ไม่ ! สิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กคนนี้ทำข้อสอบเก่า 4 ปีย้อนหลังได้ 30 คะแนนเต็มทุกๆชุด !" "ปีศาจ... ปีศาจชัดๆ" นรพึมพำกับตัวเอง... "ข้อสอบของโรงเรียนนี้ง่ายเกินไปสำหรับน้องเค้าแล้ว... ชั้นเลยลองให้ทำข้อสอบแข่งขันจากสถาบันต่างๆ รวมไปถึงโจทย์ข้อสอบยากๆจากโรงเรียนกวดวิชาสมัยที่ชั้นเรียนตอนม.ต้น ผลที่ออกมาก็คือเพชรก็ยังคงทำได้คะแนนสูงอยู่ดี ท้ายที่สุดชั้นก็เลยลองให้ข้อสอบ *IJSO ไปลองทำดู... ซึ่งสุดท้ายแล้วเพชรก็ทำได้ไม่ถึงครึ่ง..." (IJSO -คือการแข่งวิทยาศาสตร์โอลิมปิคระหว่างประเทศสำหรับเยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 15 ปี โดยมีการสอบวิชาคณิตศาสตร์ด้วย)"หืม...อย่างงี้นี่เอง" มายด์เอ่ย ขณะเดียวกันก็กำลังล็อคตัวลินอยู่"เด็กคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่จริงจังกับการเรียนมาก ครอบครัวคงจะคาดหวังอะไรไว้หลายอย่าง แค่การสอบได้คะแนนเต็มตอนสอบปลายภาคก็คงยังไม่มากพอสำหรับเค้า... เพชรคงต้องการมากกว่านั้น และแน่นอน ชั้นก็อยากที่จะผลักดันเค้า" หนุ่มแว่นหน้าตาดีผมสีดำ กล่าวถึงความพยายามของตนเอง..."อืม..." นรที่กำลังนั่งอยู่ได้แต่อืม ดูเหมือนเขาเองก็กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างทั้งห้องเงียบไปอยู่พักนึงก่อนที่มายด์จะเอ่ยออกมาว่า"ก็... ถ้าพูดถึงปัญหาของปราชญ์น่ะ ก็ไม่ต้องไปซีเรียสจริงจังกับน้องเพชรมากขนาดนั้นก็ได้... แค่ไปปลอบใจน้องเค้าหน่อยก็น่าจะดีขึ้นแล้ว ...ล่ะมั้ง" เธอพยายามจะเสนอความคิดเห็น พลางยิ้มเจื่อนๆให้ปราชญ์หนุ่มแว่นผมดำไม่ได้พูดอะไร แต่ในขณะเดียวกันลินก็พูดแทรกขึ้นมาว่า..."เดี๋ยวก่อนนะ ! แล้วหล่อนล่ะ ! ไม่เจอปัญหาอะไรเลยหรอ ! เด็กหล่อนก็ดูเป็นพวกเงียบๆทื่อๆเหมือนกับเจ้าจัซของนรไม่ใช่หรือไง ! อาจจะเป็นพวกไม่พูดไม่จาเหมือนกันก็ได้ !" ลินชี้ไปที่มายด์พร้อมกับถามถึงเด็กของเธอ"ไม่นะ... นกค่อนข้างที่จะเข้ากับชั้นได้ดีเลยทีเดียวล่ะ พอนกอยู่กับชั้นแล้ว จะบอกยังไงดีล่ะ ดูเป็นธรรมชาติ ช่างพูดช่างคุย แล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าเวลาที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนซะอีก แล้วพอให้ทำข้อสอบ น้องเค้าก็ทำได้คะแนนดีเลยทีเดียวล่ะ !" หญิงสาวกล่าวถึงเด็กของเธอด้วยสีหน้าที่ดูสบายใจและภาคภูมิใจในลูกศิษย์ของตัวเอง"ชิ !...พวกโลกส่วนตัวสูงเหมือนกันก็เลยเข้าใจกัน... อย่างงี้เองสินะ..." ลินเดาะปากพลางหลีตาลงพร้อมกับจ้องไปที่หน้าของมายด์ ..."เห้อออ ! จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย ! ถ้ายัยแก้มยังทำข้อสอบเก่าไม่ได้อยู่อย่างงี้ต้องแย่แน่ๆเลย" เธอถอนหายใจออกมา... ลินดูเหมือนจะห่อเหี่ยว ท้อแท้กับการติวให้กับลูกศิษย์ของเธอมาก"อะไรจะกังวลเบอร์นั้นนะ เธอเนี่ย" นรถึงกับถามออกมาเบาๆ...ท้ายที่สุดแล้วการประชุมของพวกเค้าก็ยังคงไม่มีอะไรคืบหน้า เมื่อถึงเวลา 5 โมง 45 นาที ยามที่ท้องฟ้ากำลังเข้าสู่ช่วงแดนสนธยา พวกเขาก็พากันแยกย้ายกันกลับบ้านและก็ประชุมกันในแชทกลุ่มของตัวเองต่อ.........วันต่อๆมา...ข้างๆสนามฟุตซอลที่กำลังมีกลุ่มเด็กนักเรียนเล่นบอลกันอยู่บนมานั่งสีไม้สน เด็กผู้ชายตัวน้อยสวมแว่นผมยาวแสกกลางกำลังนั่งอยู่คนเดียว...แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆส่องลงมากระทบกับพื้นคอนกรีตที่อยู่เบื้องหน้า แกรกๆเสียงถุงก๊อบแก๊บ 2 ถุงกระทบกัน"อะนี่..." นักเรียนหนุ่มม.ปลายยื่นถุงพลาสติกที่ด้านในมีไข่นกกระทาทอดเสียบไม้ราดน้ำจิ้มให้กับเด็กผู้ชายคนนั้น แสงอัสดงยามเย็นวันนี้ช่างจ้าเสียเหลือเกิน มันส่องเข้ามาทำให้เด็กตัวน้อยผู้กำลังนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวมองไม่เห็นแววตาแห่งความเป็นหวงของรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ติววิชาคณิตศาสตร์ให้กับเค้า"อะ ! ขอบคุณครับ ! พี่ปราชญ์..."หนุ่มน้อยรับไข่นกกระทาพวกนั้นไป ในขณะเดียวกันชายหนุ่มก็พูดว่า "ขอนั่งด้วยคนสิ"
เด็กน้อยกระเถิบให้รุ่นพี่ม.ปลายนั่ง สายตาของทั้ง 2 จ้องมองไปอย่างเลื่อนลอย เด็กตัวน้อยก้มมองลงไปยังพื้นคอนกรีตที่ถูกฉาบไปด้วยแสงตะวันด้านหน้า ปราชญ์นั่งมองกลุ่มเด็กนักเรียนชายกำลังเล่นฟุตซอลกันเป็นกลุ่มอยู่ที่สนามขนาดเล็ก"กำลังรอพ่อแม่มารับอยู่สินะ" ชายหนุ่มเอ่ยปากถามลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆเขา..."ใช่ครับ..." เด็กตัวน้อยตอบกลับไป"อืม...""....""แล้ววันนี้ไม่ได้อยู่กับเพื่อนๆหรอ พวกแก้ม จัซแล้วก็นกหายไปไหนหมดล่ะ" ปราชญ์พยายามชวนเด็กคนนี้คุย เป็นปกติที่คนซึ่งไม่ค่อยได้เข้าสังคมบ่อยมากนักแบบเขาซึ่งก็เป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมหน้ากากผู้ถูกแบนจะมีอาการเกร็งๆ หรือเคอะๆเขินๆบ้างเวลาที่ต้องชวนคนอื่นคุย"พอดีวันนี้นก จัซ แก้มบอกมีนัดติวกับพี่มายด์ พี่นรแล้วก็พี่ลินน่ะครับ" "อ๋อ... จริงด้วยสินะ วันนี้พี่บอกว่าจะพักวันนึงนี่นะ..." อันที่จริงปราชญ์รู้อยู่แล้วว่าสมาชิกชมรมหน้ากากที่เหลือมีนัดติวกับเด็กของแต่ละคนอยู่แล้ว"...."เด็กน้อยเงียบไป ปราชญ์เมื่อเห็นดังนั้นจึงต้องรีบหยิบยกประเด็นขึ้นมาเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดช่วง"นี่... เพชร... ทำไมถึงจริงจังกับการเรียนขนาดนั้นล่ะ หึ?" เขาถามคำถามนั้นออกไปตรงๆ"ที่บ้านพ่อกับแม่เปิดโรงพยาบาลหรือเป็นคนใหญ่คนโตอะไรเทือกนั้นน่ะสินะ... เธอก็เลยต้องโตขึ้นไปเป็นหมอ เป็นอาจารย์หรือเป็นอะไรที่ใหญ่โตๆแบบพวกเค้าด้วย..." เขาพูดส่งเสริมคำถามของเค้า"เปล่าหรอกครับ... พ่อของผมทำธุรกิจส่วนตัวนี่แหละ รายได้ถามว่าดีไหมก็ดีอยู่ ทางบ้านฐานะปานกลางค่อนไปทางรวย แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโตหรือผู้สูงศักดิ์อะไร..." เด็กน้อยตอบกลับมา"อ่าว... อย่างงั้นหรอกหรอ...""แต่พ่อของผมน่ะ คาดหวังกับตัวผมไว้มากๆ ว่าในอนาคตผมจะต้องเป็นหมอให้ได้ จะต้องมีอาชีพที่มีผู้คนนับหน้าถือตา จะต้องเป็นคนที่ใครๆก็เคารพนับถือ... พ่อของผมต้องการให้ผมเป็นอย่างนั้น""อย่างงี้นี่เอง...""จบม.3 ผมจะต้องไปสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังเพื่อที่จะได้มีโอกาสสอบติดคณะแพทย์มากกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากว่าเฉพาะโรงเรียนดังๆบางแห่งเท่านั้นที่อัตราการสอบติดแพทย์จะสูงกว่าโรงเรียนอื่นๆ" "แล้วนายเหนื่อยมั้ย... หึ?" ชายหนุ่มถามเด็กที่อยู่ข้างๆเค้า"ถามว่าเหนื่อยมั้ยก็เหนื่อยครับ...""เหนื่อยมากๆเลย..." เด็กตัวน้อยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า เค้าจ้องมองลงไปที่พื้นคอนกรีตที่หากเมื่อมองในแนวที่ขนานกับพื้นแล้ว จะพบว่าคอนกรีตตันๆที่อยู่ด้านหน้านั้น เปรียบเสมือนกำแพงที่ใกล้ประชิดเข้ามาและไม่มีวันที่จะก้าวผ่านไปได้ ประดุจดั่งอุปสรรค...'อย่างงี้เองสินะ... ผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบันนี้ ก็เป็นเหมือนกันทั้งหมด... พวกเค้าเห็นลูกของตัวเองเป็นดั่งหุ่นเชิดในวัยเด็กของพวกเค้า... ในอดีตเขาเคยฝันอะไร เคยอยากที่จะเป็นอะไร อยากที่จะได้อะไรแต่แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ พวกเขาก็จะประเคนความฝันในวัยเด็กของพวกเค้าให้กับเด็กตัวน้อยๆในวันนี้ ให้ผลผลิตของพวกเค้านำไปสานต่อเอง ให้ฝันของเค้าเป็นจริงให้จงได้อย่างที่พวกเขาต้องการ... ให้เด็กของพวกเค้าแบกรับความฝันที่ผิดพลาดในอดีตและบรรลุความฝันให้ได้อย่างที่เค้าต้องการแทน' นี่คือสิ่งที่ปราชญ์กำลังคิดอยู่ในหัวหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่ลูกศิษย์ของเค้าพูด"แต่ผมก็รู้สึกยินดีที่จะแบกรับความหวังของพ่อกับแม่เอาไว้... ถ้านึกถึงความสุขที่พ่อแม่จะได้รับหลังจากที่ผมทำสำเร็จ มันก็ช่วยบรรเทาความเหนื่อยของผมไปได้มากโขแล้ว..." เพชรหันมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและสดใสขึ้น...ปราชญ์เมื่อมองเห็นแววตาแห่งความมุ่งมั่นในตัวของหนุ่มน้อยคนนี้แล้ว ก็ทำให้พลันรู้สึกนึกถึงตัวของเค้าเองในวัยเด็กเหมือนกัน..."เพราะอย่างงี้เองสินะ เธอถึงผลักดันแล้วก็จริงจังกับการเรียนมากขนาดนั้น..." ปราชญ์กล่าวรวบยอด"ใช่แล้วล่ะครับ ความฝันของพ่อแม่ก็เป็นความฝันเดียวกับของผม" เพชรกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่นปราชญ์เมื่อมองลงไปยังเด็กน้อยที่แลดูอ่อนแอ ไม่สู้คน ขี้แยแล้วก็ดูแหยๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีความแข็งแกร่งบางอย่างซ่อนอยู่ภายในตัวของเค้า... ทว่าขณะเดียวกันเขาก็พลางคิดไปว่า... ยามที่เราเป็นเด็กเราก็มักจะพูดอย่างนั้นอยู่เสมอนั่นแหละ... สมัยที่ยังเด็กๆพ่อแม่เป็นสิ่งที่เรารักมากที่สุดแล้ว ซึ่งก็เป็นจริงอยู่อย่างงั้นเสมอมา แต่ถึงอย่างนั้นบางครั้งความฝันที่ซ่อนอยู่ภายในตัวตนของเราก็สำคัญไม่แพ้กัน... เด็กคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กคนอื่นๆที่ยังไร้เดียงสา ยังคงก้าวไปบนทางเดินที่ผู้ปกครองของเค้าวางไว้ให้อยู่... ยังไม่ถึงวันที่เค้าค้นพบเส้นทางเดินของตัวเอง... แต่ถึงอย่างนั้นความไร้เดียงสานี้ มันก็น่าชื่นชม และก็สวยงาม..."งั้นชั้นจะขอเป็นกำลังใจให้เธออยู่อย่างไม่หาง แต่หวงๆละกัน... โจทย์คราวที่แล้วน่ะ มันยากมากเลยนะ ข้อสอบเข้าของโรงเรียนที่เธอจะไปสอบไม่ยากถึงขนาดนั้นหรอก... ถึงเธอจะทำไม่ได้มันก็ไม่แปลก... อย่ากดดันตัวเองมากเลย หัดรีแลกซ์ ชิลล์ๆแล้วก็ทำอะไรตามใจตัวเองซะบ้าง...""อ๋อครับ... ขอบคุณนะครับที่เป็นกำลังใจให้" เด็กตัวน้อยยิ้มรับอย่างสดใส"...ถ้าอยากสอบเข้าโรงเรียนดังๆตอนม.4ได้น่ะ เดี๋ยวพี่ช่วยวางแผนการอ่านหนังสือแล้วก็แนะนำที่เรียนพิเศษให้..." ปราชญ์เสนอตัวเข้าไปให้ความช่วยเหลือ..."ขอบคุณมากนะครับพี่ !" ปักกก !ลูกฟุตบอลขนาดเล็กพุ่งเข้าตะข่ายไป... เด็กนักเรียนชายผู้ยิงประตูพุ่งเข้าไปสไลด์กับพื้นพร้อมกับทำท่าดีใจเลียนแบบนักบอลชื่อดัง ทั้งๆที่ไม่มีใครซักคนมองดูเค้าอยู่ แต่เค้าก็ยังทำท่าเท่ห์อยู่อย่างนั้น... เพียงเพราะเค้าสนุกไปกับมันปราชญ์และเพชรต่างแยกย้ายกัน... รถเก๋งคันสีขาวขับมาชะลอหน้าม้านั่งก่อนที่เด็กน้อยจะก้าวขึ้นรถไป ขณะเดียวกันปราชญ์ก็พนมมือไหว้คุณแม่ของเพชรที่ขับรถมารับ หญิงวัย 40 กว่าๆยิ้มรับอย่างอบอุ่น...“อ๋อ... เธอคนนี้เองหรอคือคนที่ติวให้กับเพชร... หืมม์ ดูเป็นเด็กเรียนน่าดูมากๆเลยนะคะ ขอบคุณมากๆที่ช่วยสอนการบ้านลูกชั้น” ผู้เป็นแม่ของเพชรกล่าวกับปราชญ์ผู้เปรียบดั่งอาจารย์ของเด็กตัวน้อย...ชายหนุ่มโค้งรับแม่ของลูกศิษย์ของเขา... ก่อนที่รุ่นพี่กับรุ่นน้องต่างแยกกันไปคนละทางท่ามกลางท้องฟ้าที่ตลบอบอวลไปด้วยสีเข้มแห่งตะวัน“ชั้นเองก็เหมือนกับเธอนั่นแหละ....” เขาลำพึงขึ้นมาอย่างแผ่วเบา.........ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าใกล้โรงเรียน"นี่จัซ..." "ครับ" "ถ้าเหนื่อยหรือไม่ไหวยังไงเนี่ย ก็บอกกันได้นะถ้าอยากพักน่ะ...""อ๋อครับ""แล้วก็ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็บอกกันตรงๆเลยนะ อย่าเก็บไว้อยู่คนเดียว...""เข้าใจดีครับ""แล้วข้อสอบพวกนี้ล่ะ... เป็นยังไงบ้าง ทำได้มั้ย...""ก็... ยังมีบางข้อที่ยังไม่เข้าใจอยู่น่ะครับ...""ไหนพี่ดูซิ" หนุ่มแว่นผมสีเทา กระเถิบเข้าไปหาเด็กม.ต้นผู้มีใบหน้าคมเข้ม ก่อนที่จะใช้ดินสอจิ้มชี้ไปที่ข้อความภาษาอังกฤษที่อยู่บนพารากราฟ... เขาอธิบายถึงหลักแกรมม่าในข้อความๆนั้นว่ามันผิดตรงไหนและควรเลือกช้อยส์ข้อไหนที่บอกถึง Error ในพารากราฟ..."งั้นเดี๋ยวเราลองทำไปด้วยกันก็แล้วกัน นายจะได้เห็นแนวทางมากขึ้น""หนาหนิ""จะมาหนาหนิอะไรอีกเล่า !"ผ่านไป 90 นาที..."ก็อย่างที่สอนไปในวันนี้อะนะ... จะว่าไปนายก็ดูดีขึ้นเยอะแล้ว ให้ลองทำข้อสอบเก่าอีกชุดเมื่อตะกี้ก็ได้คะแนนเกินครึ่งมาตั้งเยอะแล้ว... อย่าลืมไปทำโจทย์ที่ฝากไว้ไปให้ทำด้วยล่ะ" นักเรียนหนุ่มม.ปลายหันไปกล่าวกับลูกศิษย์ของตน..."ท่านอาจารย์ครับ...""เฮ๋ ? !" นรถึงกับสะดุ้งเมื่อพบว่าลูกศิษย์ของเขาเรียกเขาว่าอาจารย์"ลาล่ะนะครับ..." เด็กม.ต้นพูดด้วยรอยยิ้มเล็กๆ น้ำเสียงของเขาก็ยังคงทุ้มเข้มราวกับเสียงผู้ใหญ่อายุ 30 เหมือนเดิม... นรเมื่อเห็นดังนั้น จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างดลใจเค้า เค้ากล่าวออกไปว่า..."เฮ้ ! เดี๋ยวก่อน !""หนาหนิ !""...นี่จัซ... ได้ข่าวว่าชอบดูหนังไม่ใช่หรอ... ก่อนกลับไปดูหนังด้วยกันซักเรื่องมั้ยล่ะ..." หนุ่มผมเทากล่าวชวนลูกศิษย์ของตนเองพร้อมกับชักชวนให้เขาไปดูภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่ที่พึ่งเข้ามาในระบบ IMAXเด็กหนุ่ม(แต่หน้า)หยุดคิดไปซักพัก... ก่อนที่จะตอบว่า..."จริงๆผมก็ขี้เกียจอยู่น่ะครับ... แต่ถ้าอาจารย์นรจะพาไปเลี้ยงผมก็จะดู" เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆแววตาก็นิ่งเฉยไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม... ทว่าลึกๆแล้วภายในใจต้องเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์แน่ๆ !.........ภายในห้องชมรมหน้ากาก...เช่นเดียวกัน... ลินก็กำลังติวหนังสือให้กับรุ่นน้องหรือลูกศิษย์ของเธออยู่...ซึ่งดูเหมือนสถานการณ์มันก็ไม่ได้จะดีขึ้นไปกว่าเดิมเท่าไหร่ เด็กหญิงหน้าตาน่ารักผมสีเหลืองทานตะวันก็ยังคงไม่เข้าใจในบทเรียนวิชาภาษาไทยเหมือนเดิม...แอร์เย็นๆจากเครื่องปรับอากาศไม่ช่วยให้ความรู้สึกร้อนรนภายในจิตใจของหญิงสาวผมดำผ่อนลงได้...มันเริ่มที่จะแผดเผาร่างกายของตัวเธอเอง... หญิงสาวร่างบางเริ่มที่จะอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อย เธอทำทุกวิถีทางและงัดกลยุทธต่างๆในการสอนออกมาใช้จนหมดแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ลูกศิษย์ของเธอแตกฉานได้...เวลาในการติวประจำวันนี้ใกล้ที่จะหมดลง... หญิงสาวเริ่มที่จะถอดใจ ถึงอย่างไรก็ตาม เธอก็มีสติพอและไม่ได้ดุด่าสาวตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเธอ อันที่จริงเธอจะออกไปทางโทษตัวเองซะมากกว่าที่ไม่สามารถทำให้เด็กเข้าใจได้..."พี่ลินๆ..." หญิงตัวน้อยดึงแขนเสื้อนักเรียนของลินพร้อมกับบอกต่อด้วยน้ำเสียงแห่งความเป็นหวงว่า"หนูว่าพี่น่าจะเหนื่อยมากแล้ว... หนูว่าพี่ไม่ต้องพยายามกับหนูมากถึงขนาดนั้นหรอก หนูว่าหนูน่าจะหัวทึบเองมากกว่า พี่ลินทำเต็มที่แล้วก็สุดความสามารถของพี่แล้วล่ะ... นะ..."เด็กน้อยส่งสายตาของความหวงใยไปหาลิน... แม้แต่ตัวของหญิงสาวเอง นัยน์สีม่วงพลอยของเธอเมื่อมองเห็นนัยน์ตาสีเขียวอ่อนที่ส่งเข้ามา เธอก็รับรู้ได้ถึงความเป็นหวงของลูกศิษย์ที่มีให้... ถึงอย่างงั้นเธอก็ยังปากไม่ตรงกับใจตัวเอง เธอยังคงตัดบทพร้อมกับพูดออกไปว่า"...เธอพูดอย่างงั้นก็เพื่อจะขอให้ชั้นหยุดติวแค่นี้ใช่มั้ยล่ะ ! ไม่ได้ผลหรอก ! เรามาพยายามกันต่อเถอะ !" หญิงสาวยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบห้าวและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างงั้นก็ตาม แก้มก็อดเป็นหวงความพยายามที่สูญเปล่าของรุ่นพี่ของเธอไม่ได้..."พี่ลิน..." เธอลำพึงออกมา...ทันใดนั้นเอง...แกรก...
เสียงเลื่อนเปิดประตูดังขึ้นมา... สิ่งที่ปรากฏอยู่หลังบานประตูเมื่อเลื่อนไปจนสุดแล้วก็คือมายด์และลูกศิษย์ของเธอ... ‘นก’ ผู้ที่ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนใหม่ของแก้มก็ได้..."ได้ยินว่าเธอสองคนกำลังแย่กันน่ะ... ชั้นก็เลยว่าจะมาช่วย..." มายด์พูดพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น แววตาของเธอดูมุ่งมั่น"ชั้นซื้อขนมมาฝากด้วยนะแก้ม... นะ...นี่" นกยื่นถุงขนมก็อบแก็บไปหาเพื่อนใหม่ของเธอ... ถึงท่าทีของเธอจะดูกล้าๆกลัวเหมือนเดิม แต่เธอก็มีรอยยิ้มส่งไปหาเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า...ลินหันไปมองสมาชิกร่วมชมรมของเธอ เธอยังคงหน้าบูดหน้าบึ้งแบบปกติอยู่ซักพัก...ก่อนที่จะมีรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยๆของเธอ... ขณะเดียวกันแก้มก็อ้าปากออกมาพร้อมกับมีแววตาแห่งความซาบซึ้ง...ชั่วขณะนั้นเอง... หญิงสาวผมยาวในชุดกันหนาวสีดำตัวโปรดก็เดินเข้าไปพร้อมๆกับเด็กตัวน้อยๆข้างๆกายเธอผู้หญิงต่างวัยทั้ง 4 คน... สุมหัวจับกลุ่มกันช่วยกันทบทวนและติวเนื้อหาวิชาภาษาไทย จนค่ำมืด............ท้องฟ้าเป็นสีดำ... ทรงกลมของจันทราปรากฏอยู่ด้านบนนั้น... วันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างโล่ง ไร้ซึ่งเมฆหมอกมาคอยบดบังทัศนีย์ที่สวยงามบนผืนนภา ...ทว่า ณ เวลานี้กลุ่มหญิงสาวทั้ง 4 คนต่างอยู่ภายในร้านหมูกระทะที่มีมาสคอตเป็นรูปปั้นดราก้อนสีเขียวอ่อนตั้งอยู่หน้าร้าน เสียงส่าๆของเนื้อหมูที่กระทบกับผิวกระทะและกำลังสุกปรากฏขึ้นมาเช่นเดียวกันกับผักที่ต้มอยู่ในน้ำเดือดปุดๆภายในกระทะทองเหลือง...หญิงสาวทั้ง 4 คนต่างพูดคุยกันอย่างถูกคอและดูมีความสุขกับ ณ ช่วงเวลานี้..."ขอบใจมากเลยนะที่มาช่วยติวให้ชั้นน่ะนก" แก้มกล่าวขอบคุณเพื่อนของเธอพลางคีบเนื้อย่างบนกระทะ จิ้มซอสบาร์บีคิวก่อนที่จะนำเข้าปาก เธอพูดพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่ร่าเริง"พอดีสงสารรุ่นพี่ที่ติวให้กับเธอเท่านั้นเองแหละนะ... ไม่ได้เป็นหวงอะไรเธอซักนิด อย่าเข้าใจผิดไป..." สาวน้อยหน้าบึ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ทว่าลึกๆแล้วเธอก็อาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น เธอพูดตัดบทพร้อมกับรีบใช้ตะเกียบคีบหมูย่างจุ่มซอสเข้าปากข้างๆเด็กสาวทั้งสองคนนั้นเอง... ลินและมายด์ต่างส่งยิ้มให้กับกันและกัน... แววตาที่เฉียวขวางของหญิงสาวบอกเป็นนัยๆว่าเธอรู้สึกขอบคุณที่มายด์เข้ามาช่วยติวให้กับลูกศิษย์ของเธอ ในขณะเดียวกันพวกเธอทั้งสองก็พลางพลิกเนื้อหมูด้านที่ยังไม่สุกลงบนกระทะไปด้วย...เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน... ภาพของรอยยิ้ม กลิ่นตลบอบอวลของมิตรภาพ ทุกๆอย่างผสมผสานลงเข้าด้วยกันอย่างลงตัวไปพร้อมๆกับกลิ่นของเนื้ออย่างที่หอมหวล ไอร้อนๆที่แผ่ออกมาจากกระทะ รวมกันเป็นภาพแห่งความสุขภายใต้บรรยากาศของร้านอาหาร แสงไฟสีเหลืองออกส้มหม่นๆ สะท้อนเข้ากับกระทะสีเหลืองทอง............1 สัปดาห์ต่อมา...ผลสอบย่อยของพวกเด็กๆถูกประกาศคะแนนออกมาแล้ว ปรากฏว่าทั้งแก้ม นก จัซและเพชร ต่างได้คะแนนในระดับที่ดีมากๆ ทางด้านของเพชรนั้นเรียกได้ว่าไร้ซึ่งข้อบกพร่องทุกประการเนื่องจากสอบได้คะแนนเต็มหมดทุกวิชา ในขณะที่นกมีพลาดเล็กน้อยให้กับวิชาคณิตศาสตร์ที่ได้ไป 8/10 หรือเสียไปเพียงแค่ 2 คะแนน ส่วนจัซและแก้มถึงจะไม่เต็มซักวิชาแต่คะแนนก็ไล่เลี่ยกันไปไม่ต่ำกว่า 7 คะแนน ...ส่วนมากจะอยู่ที่ 8-9 คะแนน...ด้วยความที่คะแนนของเด็กกลุ่มนี้โดดเด่นเป็นพิเศษ อาจจะพูดได้ว่าโดดเด่นที่สุดในห้องเรียนเลยก็ว่าได้... ทำให้เด็กอีกหลายๆกลุ่มที่ยังคงทำคะแนนได้ไม่ดีต่างหันมาให้ความสนใจ ทางด้านของนก แก้ม จัซและเพชรจึงพากันชวนให้เด็กคนอื่นๆมาติวกับรุ่นพี่ทั้ง 4 คนของพวกเค้า หรือเหล่าสมาชิกชมรมหน้ากากด้วยกัน...เหล่าสมาชิกชมรมหน้ากากเมื่อเห็นว่ามีคนมาติวเพิ่มเยอะขนาดนี้... ใจนึงพวกเค้าก็รู้สึกดีและภูมิใจ ที่ผลงานของพวกเค้าเป็นที่ประจักษ์และออกดอกออกผลจนทำให้มีคนอยากเข้ามาติวเพิ่ม... แต่อีกใจนึง... ก็พบว่าความคาดหวังที่พวกเค้าต้องแบกรับมันสูงขึ้น... ความกดดันที่เพิ่มพูนเข้ามาหลายเท่าทีแรกเด็กเพียงแค่ 4 คน มันทำให้พวกเค้าสามารถจดจ่อและดูแลเด็กเหล่านั้นได้อย่างทั่วถึง... แต่ในตอนนี้พวกเขาพบว่าจาก 4 คน... กลายเป็น 20 เกือบ 30 คนที่นั่งอยู่เต็มห้องชมรมของพวกเค้า... แถมวิชาที่เด็กๆเรียกร้องกันมาให้ช่วยติวเพิ่มยังได้แก่วิชาประวัติศาสตร์ วิชาสังคมศึกษาและปิดท้ายด้วยวิชาสุขศึกษา...ซึ่งเป็นวิชาที่มีรายละเอียดยิบย่อยเยอะ ลำพังแค่เหล่าสมาชิกชมรมหน้ากากไม่สามารถติววิชาพวกนี้ทั้งหมดได้... จึงมีการรับสมัครคนมาช่วยติวเพิ่ม......ก่อนที่จะเริ่มการติวเข้มครั้งใหญ่ 30 นาที... ภายในห้องชมรมหน้ากากที่คนยังโล่งๆอยู่..."นี่นร... คนที่จะให้เข้ามาช่วยติวอยู่ไหนแล้วล่ะ... อีก 30 นาทีจะเริ่มติวแล้วนะยังไม่โผล่มาให้เห็นหน้าเลย..." ลินที่กำลังนั่งไขว่ห้างพูดขึ้นมาพลางส่งสายตาที่ไม่สบอารมณ์"ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ! ชั้นนัดแนะผ่านทางแชทเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นมันก็มาเอง !" นรตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่กระโชกโฮกฮากเล็กน้อย เพราะเค้าเองก็ไม่ค่อยสบายใจเหมือนกัน...ก๊อก ก๊อก ก๊อก..."นั่นไงมาแล้ว ! เข้ามาได้ !" นรเรียกให้คนที่เคาะประตูอยู่หน้าห้องเดินเข้ามา...แกรก...เสียงประตูเลื่อนเปิดออก...ชายหนุ่มรูปร่างดี ส่วนสูงน่าจะมากกว่านรประมาณ 2-3 เซนได้ หน้าตาหล่อเหลาแล้วยังออกไปทางยุโรปเล็กน้อยดูท่าน่าจะเป็นลูกครึ่ง นัยน์สีฟ้าครามจางๆ ผมสีทรายที่ได้รับการจัดทรงมาอย่างดี บุคลิกดูทะมัดทะแมงและมีกล้ามเนื้อจนเสื้อนักเรียนที่ใส่อยู่คับแน่นไปเลย อารมณ์คล้ายๆกับพวกนักกีฬา... สีหน้ายิ้มแย้มดูเป็นมิตรเขาเดินมาพร้อมกับนักเรียนหนุ่มผมสีน้ำตาลกับสาวสวยผิวขาวผมสีบลอนด์ที่อยู่ด้านหลัง"ใงครับ""สวัสดีผมชื่อเจมส์เป็นคนที่เข้ามาช่วยติวเด็กให้นะครับ... ยินดีที่ได้รู้จักนะ" เขากล่าวอย่างเป็นมิตร แน่นอนว่าน้ำเสียงของชายรูปหล่อคนนี้ดูเป็นปกติแบบที่สุดของที่สุด... ไร้ซึ่งความประหม่า รวมไปถึงสีหน้าแววตานั่นด้วย ไร้ซึ่งความกังวลหรือความไม่คุ้นเคยใดๆเลยแม้แต่น้อย... เขาแลดูมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม...ใช่ ! นั่นมันรัศมีของคนที่เพียบพร้อม..."ส...สวัสดีค่ะ..." แม้แต่ลินที่ปกติจะไม่ทักทายใครแบบดีๆเท่าไหร่ ยังถึงกับต้องพ่ายแพ้ให้กับรัศมีความเพียบพร้อมนั้นพลันกล่าวสวัสดีค่ะแบบที่ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยทำออกมา เธอพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักแถมยังแลดูประหม่าเล็กน้อย เธอประหม่าให้กับเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่เธอไม่คุ้นเคย...หรืออาจจะประหม่าให้กับความหล่อเหล่าของชายหนุ่มคนนี้กันแน่นะ..."ฮึ ! กลิ่นของพวกเพียบพร้อมโชยออกมากลบกลิ่นห้องของคนอย่างพวกเราหมดแล้ว..." นรพึมพำกับตัวเอง...
ริมรั้วฤดูสีเทา<<เพื่อนของฉันเป็นคนถูกแบน>> ตอนที่ : ๑๕ "ท้องฟ้ายามสนธยา ท้องฟ้ายามค่ำคืน ท้องฟ้าที่เพียบพร้อมเป็นเช่นใดกัน..."
... ... "วาตาชิ มิอุ เดส !" (ชั้นมิอุค่ะ !) "ส่วนผมชื่อเอกนะครับ..." ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังกล่าวแนะนำตัวเองตามมา
|
|