|
Post by Saraphina on Jan 10, 2018 16:09:26 GMT
Intro : peaceful Knight
- 5 ปีก่อน เกิดเหตุการ์ณนองเลือดที่ Zofia - ท้องฟ้าสีครามสดใสของฤดูใบไม้ร่วง ปุ่ยเมฆจางๆลอยประปรายเต็มท้องฟ้า สายลมเย็นที่พัดไหวเอื่อยๆ วันนี้ก็เป็นวันที่สุขสงบอีกหนึ่งวัน ณ โรงเรียนฝึกทหารภายในเมืองหลวงของ Ylisse เหล่าทหารฝึกหัดกำลังฝึกฝนกันอย่างมุ่งมั่น เพราะว่าเมื่อพวกเขาจบการศึกษาออกไป พวกเขาจะกลายเป็นทหารอาชีพที่เข้าประจำการในกองทัพของ Ylisse โดยตรง ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ใช่ทหารสายบัญชาการ หรือแม่ทัพแต่ทหารอย่างพวกเขานี่แหละจัดได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพอย่างแท้จริง “เฮ้ย !! อีก 10 รอบ อย่าอู้สิโว้ยวิ่งไป !!! ใครเข้าเส้นชัยคนท้ายสุดต้องไปล้างคอกม้าเย็นนี้เข้าใจไหม ?!?” เสียงที่ดุดันและดังกึกก้องของครูฝีกทหารวัยกลางคน ผู้สวมชุดเกราะเหล็กเงินเงาวับราวกับกระจก กำลังตะโกนกดดันเหล่านักเรียนทหารปีสุดท้ายอย่างเอาจริงเอาจัง ที่เขาต้องเข้มงวดถึงขนาดนี้เป็นเพราะว่าเขาต้องการให้ทหารทุกนายที่จบออกไปเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ “โอยยยย ขาจะก้าวไม่ออกอยู่แล้ว ไม่ไหวแล้ววว” เสียงโอดโอยของทหารฝึกหัดหลายคนเริ่มดังขึ้นมาเมื่อระยะทางเริ่มมากขึ้น เหล่าทหารฝึกหัดหลายคนเริ่มอ่อนล้าและวิ่งช้าลง “เฮ้ๆ นิโค่ !! อยู่ท้ายสุดว่ะ !! แกเตรียมตัวเก็บขี้ม้าได้เลย ฮ่าๆๆๆ !!” เสียงของเพื่อนทหารที่มีพละกำลังมากและวิ่งอยู่แถวหน้าๆหันกลับมามองด้านหลังและกล่าวเย้ยหยันผู้ที่วิ่งอยู่ท้ายแถว “ฮ่าๆๆ แค่ล้างคอกม้าไม่เท่าไหร่หรอก ม้าน่ะดูดีๆมันก็น่ารักดีนะเอ้ย !!” ทหารฝึกหัดหนุ่มรูปร่างสันทัดสมส่วน ส่วนสูงราวๆ 170เซนติเมตรกลางๆ ผิวขาว ไว้ผมสั้นรองทรงเส้นผมสีน้ำตาลดูยุ่งๆเล็กน้อย นัยตาสีน้ำตาลเข้มของเขาดูเฉยเมย กล่าวตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สบายๆ ไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย “เฮ้ย !! นอกจากล้างคอกม้าแล้ว วันนี้คนไหนที่เข้าท้ายสุดงดข้าวเย็นด้วยนะเว้ย !!” ครูฝึกทหารกล่าวเพิ่มบทลงโทษเพื่อเสริมความฮึดสู้ของเหล่าทหหารฝึกหัดขึ้นอีก คำสั่งนั้นทำให้เหล่าทหารฝึกหัดส่งเสียงโอดครวญออกมาเซ็งแซ่ “ครูฝึกครับ วันนี้มื้อเย็นมีอะไรครับ !?!” นิโค่ตะโกนถามครูฝึกด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆ แต่ในแว่วตาของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้เต็มที่ ครูฝึกเมื่อได้ยินดันนั้นก็แสยะยิ้มแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ไก่ทอด !! และไม่ใช่ไก่ธรรมดาๆนะ แต่เป็นไก่ของร้านชื่อดังแห่ง Ylisse !! ใช่แล้ว ไก่ของร้าน เซ็นต์ตั๊กกี้ ที่อยู่หน้าทางเข้าประตูเมืองยังไงล่ะ !!” เสียงของครูฝึกกระแทกเข้าโสตประสาทของนิโค่เข้าอย่างจัง ในหัวของเค้าจินตนาการถึงไก่ทอดที่เนื้อนุ่มหนังกรอบ กลิ่นหอมหวนรสอร่อยด้วยเครืองเทศกว่า 170 ชนิด “เหอๆๆๆ แบบนี้สงสัยต้องเอาจริงหน่อยแล้ววววว !!!” นิโค่กล่าวพล่างเร่งฝีเท้าขึ้นหลังจากที่วิ่งช้าๆสบายๆมาตลอดเส้นทาง ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นมากมายจนน่าตกใจ “เห้ยยย นิโค่มันเอาจริงแล้วววว เวรเอ้ย !!!“ เสียงของทหารฝึกหัดที่ถูกนิโค่วิ่งแซงทางตรงทีล่ะคนสองคน โอดครวญขึ้นมาทันที แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดนิโค่ได้ เขาวิ่งแซงทุกคนขึ้นมาเรื่อยๆจนในที่สุดเขาก็วิ่งนำแถวขึ้นเป็นที่หนึ่งในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีท่าทางที่เหนื่อยล้ามากมายเมื่อเทียบกะเพื่อนๆทหารที่วิ่งตามหลังเขามา“นิโค่ !!! นี่แกเป็นปีศาจหรือไงฟร่ะ !!” เสียงของคนที่วิ่งตามหลังเขากล่าวขึ้นในขณะที่พยายามจะวิ่งแซงด้วยท่าทางที่หอบเหนื่อยจนตัวโยน แต่นิโค่ไม่ตอบอะไรกลับไป “รอบสุดท้ายแล้ววว วิ่งเข้า !!” เสียงของตรูฝึกกล่าวเพื่อบอกเหล่าทหารฝึกหัดว่าพวกเขาไกล้จะถึงเส้นชัยแล้ว ทำให้ทหารฝึกหัดทุกคนใส่กำลังที่เหลือทั้งหมดเพื่อวิ่งเข้าเส้นชัย “ตรูมาแล้ว ไก่ทอดดดด !!......” นิโค่วิ่งไปอย่างเต็มกำลังเพื่อหวังเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจอย่างสุดขีดเมื่อปลายเท้าของเขากลับสะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนหนึ่งในลู่วิ่ง ก่อนถึงเส้นชัยไม่กี่สิบก้าว…….. - เย็นวันนั้น - ที่คอกม้าในโรงเรียนฝึกทหารของ Ylisse นิโค่กำลังใช่คราดเกี่ยวฝางแห้งที่ล่ะก้อนๆ วางลงในรางอาหารให้แก่ม้าหลายสิบตัวที่ยืนเรียงรายรอกินอาหารอยู่ในคอก “เอ้าๆๆ กินซะๆ ถึงมันจะเป็นฝางแห้งๆในฤดูไบไม้ร่วง แต่มันก็เป็นของอร่อยที่สุดสำหรับพวกแกในตอนนี้แล้วนะ….” นิโค่กล่าวพลางทำงานไปพลาง ในขณะที่เสียงท้องของเขาก็ร้องระงมด้วยความหิวโหยฟังดูน่าเวทนา “เฮ้…. นิโคลัส…. เป็นแกอีกแล้วเรอะเนี๊ยะ !! คราวที่แล้วก็ถอนหญ้าในสนาม คราวก่อนก็ซ่อมหลังคาโรงฝึกดาบ เชื่อเค้าเลยจริงๆ….” ครูฝึกมาดโหดที่สั่งให้พวกทหารฝึกหัดวิ่งเมื่อกลางวันเข้ามาทักทายนิโค่ที่คอกม้า ในยามนี้เขาถอดเกราะเหล็กเมื่อกลางวันออกและสวมชุดลำลองแขนสั้นที่ทำจากผ้าฝ้ายดูสวมใส่สบาย และมันเผยให้เห็นท่อนแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อดูทรงพลังของเขา “ก็เป็นที่โหล่นี่ครับอาจารย์ ช่วยไม่ได้นี่นา แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดมันนักหรอกนะ ไอ้แบบนี้น่ะ” นิโค่ตอบครูฝึกของเขาด้วยท่าทางที่สบายๆ ครูฝึกเมื่อได้ยินดังนั้นก็เอามืดขวาของเขามาขยี้เส้นผมสีน้ำตาลแดงซึ่งตั้งชี้บนศีรษะของตนเองด้วยอารมณ์ขุ่นมัวก่อนจะกล่าวออกไปว่า “ชั้นก็สอนคนมาหลายรุ่นแล้วนะ จากที่พบเจอมาแกนี่เป็นคนที่แปลกจริงๆ กำลังกาย สมอง ความสามารถต่างๆของแกไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นๆเลย อาจจะดีกว่าพวกนั้นบ้างเล็กน้อยด้วยซ้ำไป แต่ทำไมแกต้องยอมเป็นที่โหล่ไปซะทุกทีด้วยนะ ไม่เข้าใจแกจริงๆ” ครูฝึกกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ปั้นยาก แต่ท่าทางของเขากลับทำให้นิโค่หัวเราะเบาๆ “อาจจะเพราะผมชอบทำอะไรสบายๆล่ะมั้งครับ ? บางทีอาจารย์ก็คิดมากไปนะครับผมว่า ?” นิโค่ตอบกลับมาด้วยท่าทางดูเรียบเฉยแต่น้ำเสียงของเขากลับดูร่าเริงเหมือนเด็กๆที่กำลังเล่นสนุก “อืม….ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะ เอาล่ะหิวแล้วล่ะสิท่า เอ้านี่ !!” ครูฝึกส่งห่อถุงกระดาษสีน้ำตาลใบกลางๆที่ส่งกลิ่นหอมหวนให้แก่นิโค่ นิโค่เมื่อรับถุงใบนั้นมามือของเขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากสิ่งที่อยู่ในห่อ เขารีบแง้มเปิดดูในห่อทันที “นี่มัน ไก่….แถมจากร้าน เซ็นต์ตั๊กกี้ !! อาจารย์ครับ …..” นิโค่กำลังจะกล่าวขอบคุณครูฝึกของเขา“นี่คิดว่าข้าจะให้อดข้าวจริงๆเรอะ ? การอดอาหารไม่ได้ช่วยทำให้คนเราแข็งแกร่งขึ้นมาได้หรอกนะ กินให้อิ่มนอนให้หลับและฝึกฝนให้เยอะๆ นั่นต่างหากคือทางพัฒนาที่ดีที่สุด ไปล้างมือแล้วกินซะ รีบนอนเอาแรงพรุ่งนี้ต้องฝึกกันแต่เช้า ไปได้!!” ครูฝึกพูดเป็นชุดและรีบตัดบทราวกับว่าไม่อยากให้นิโค่เห็นความใจอ่อนที่เขามี เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเขาพยายามเป็นครูฝึกที่เข้มงวดและเข้มแข็ง แต่ถึงเขาจะพยายามทำแบบนั้น แต่ทหารฝึกหัดทุกรุ่นส่วนมากก็รู้ถึงความใจดีเบื้องหลังความเข้มงวดนั้นกันหมดแล้ว
หลังจากที่นิโค่ล้างมือจนสะอาดถูกหลักอนามัยที่ดีแล้ว เขาก็ขึ้นไปนั่งบนกำแพงโรงเรียนฝึกทหารที่สร้างขึ้นมาด้วยหินรูปทรงตามแบบกำแพงป้อมปราการ พร้อมกับถุงไก่ทอดอาหารเย็นของเขา เวลายามนี้พระอาทิตย์เพิ่งจะลับขอบฟ้าไป เหล่าดวงดาวมากมายกำลังค่อยๆปรากฎโฉมประดับประดาเต็มท้องฟ้า นิโค่ค่อยๆทานไก่ทอดในถุงที่มีจำนวนหลายน่องอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาเหม่อมองดวงดาวที่กำลังสุกสกาวบนฝากฟ้า ในใจของเขาพลางคิดไปว่าอยากให้ความสงบสุขของทวีป Ylisse คงอยู่แบบนี้ไปอีกนานแสนนาน - กลางดึกในวันนั้น - ที่ท้องพระคลังมหาสมบัติของกษัตริย์ผู้ปกครองทวีป Ylisse อันเป็นที่เก็บสมบัติต่างๆมากมายทั้ง เงินทองของมีค่า และสมบัติที่เป็นอุปกรณ์เวทมนต์หายากและทรงพลัง คลังสมบัติแห่งนี้มีทหารยามซึ่งคัดมาจากทหารนักรบเวทมนต์ฝีมือดีเฝ้ายามสับเปลี่ยนตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ในค่ำคืนนี้ก็เป็นค่ำคืนที่สงบสุขเฉกเช่นทุกวัน “เหตุการ์ณทุกอย่างปกติดีครับท่านหัวหน้า” เสียงของทหารยามคนหนึ่งกล่าวกับหัวหน้าของเขาอย่างขยันขันแข็ง หัวหน้ายามพยักหน้าเพื่อตอบรับคำรายงานก่อนที่จะเดินจากจุดตรวจไป ดังเช่นทุกๆวันที่เคยปฎิบัติมา แต่ทว่าหลังจากที่หัวหน้ายามเดินจากไปแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทหารยามคนที่กล่าวรายงานนั้นกลับค่อยๆแปลงสภาพร่างกายไป กลายเป็นมนุษย์แมว ซึ่งเป็นเผ่าพันธ์ Beastman ประเภทหนึ่ง มนุษย์แมวคนนี้มี รูปร่างเล็กตามแบบมนุษย์แมวทั่วๆไป ส่วนสูงของเขาอยู่ที่ 120 เซนติเมตรต้นๆ ขนที่ปกคลุมลำตัวของเขาดูอ่อนนุ่มมีสีดำที่ลำตัว และสีขาวที่จมูก คาง ลำคอด้านในและท้อง ดวงตาของเขาใหญ่โตสดใสราวกับอัญมณี Cat’s Eye ที่มีสีแดงดูลึกลับและเฉียบคม มนุษย์แมวคนนั้นค่อยๆย่างกรายเข้าไปในคลังสมบัติอย่างแผ่วเบา …….
To be continued....?
ปล.แฟนฟิกเรื่องนี้รับสมัครตัวละครด้วยนะครับ สามารถหยิบใบสมัครได้จากกระทู้รับสมัครของเรื่องหลักเลยครับ วาป !! >>Click<<
|
|
|
Post by Saraphina on Jan 14, 2018 17:50:30 GMT
|
|
|
Post by Saraphina on Jan 15, 2018 15:51:33 GMT
Kingdom of Vermilion : Heartless Princess EP.1 : Magic Lamp
- เช้าวันถัดมา - ระหว่างที่นิโค่กำลังนั่งขัดดาบประจำตัวของเขาอยู่ในห้องพัก ซึ่งเป็นห้องรวมขนาดพอประมาณสำหรับให้ทหารฝึกหัดพักอยู่ร่วมกันได้ 4 นาย ภายในห้องไม่มีสิ่งของอะไรมากมายนักนอกจากเตียงสองชั้น 2 ทั้ง 2 ตัวที่ตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวาของผนังห้อง โต๊ะไม้สำหรับอ่านหนังสือแลดูเก่าๆ ชั้นหนังสือ และตะเกียงแบบมีหูหิ้วสำหรับไว้ใช้ในยามค่ำคืน ในวันนี้ก็เหมือนเช่นเวลาเช้าของทุกๆวัน นิโค่กำลังลงมือขัดดาบประจำตัวของเขาซึ่งเป็นดาบมือเดียวทำจากเหล็กราคาถูกๆธรรมดาๆ ตัวดาบแบบมี 2 คม ขนาดปานกลางและน้ำหนักกำลังพอมือ เขาค่อยๆบรรจงใช้เปลือกไม้ที่แข็งและสากดุจกระดาษทรายขัดถูตัวดาบจนเงาวับดั่งกระจก “เฮ้…..นิโค่ !! นี่แกยังทำแบบนั้นอยู่อีกหรือ ? เราอยู่ปี 3 แล้วนะ อีกไม่นานเราก็ต้องส่งมันคืนให้รุ่นต่อไปใช้แล้ว ปล่อยมั่งเถอะ !! ถึงสนิมเกาะเดียวพวกรุ่นน้องที่มาใช้ต่อมันก็ขัดกันเองนั่นแหละ” เพื่อนร่วมห้องที่อาศัยอยู่ร่วมกับนิโค่มากว่าสามปีสังเกตุพฤติกรรมของเขามาโดยตลอดเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“ชั้นชอบทำแบบนี้อ่ะ มันก็สนุกดีเหมือนกันนะ ถ้าไม่ได้มาฝึกทหารคงไม่รู้เลยว่าขัดดาบให้เงามันจะเพลินได้ขนาดนี้….” นิโค่ตอบด้วยท่าทางที่เรียบๆและเฉือยชา โดยที่ไม่หันมามองคู่สนทนาของเค้าเลยด้วยซ้ำ “นายนี่พิลึกคนจริงๆนะ ถ้าชอบขัดโลหะขนาดนั้นไม่ไปเป็นช่างตีเหล็ก หรือช่างฝีมือโลหะไปซะเลยล่ะ ? ได้เงินดีกว่ามารับใช้กองทัพเยอะเลยนา….” เพื่อนของนิโค่ตอบกลับด้วยท่าทางที่สงสัย “ช่างตีเหล็กหรือ…..ต้องอยู่หน้าเตาร้อนๆ เหงื่อไหลไคลย้อย ไม่เอาอ่ะ !! แถมช่างตีเหล็กแต่ล่ะคนที่ชั้นเคยเจอมาเป็นพวกคุณลุงไว้หนวดแข็งๆ มาดเถื่อนๆ ขนดกๆ ขี้เมาหัวราน้ำทั้งนั้นเลย ชั้นไม่อยากเป็นแบบนั้นน่ะ….” นิโค่ตอบกลับด้วยท่าทางที่ฟังดูหยะแหยง แต่คำตอบนั้นกลับทำให้เพื่อนของเขาดูโมโหขึ้นมาทันที “โห้ย !! กี้ว่าไงนะ !! แกก็รู้นี่หว่า ชั้นก็เป็นลูกชายของช่างตีเหล็กนะเว้ย !! ขอโทษเดียวนี้เลยนะ ขอโทษช่างทีเหล็กทั้ง Ylisse เดียวนี้เลยนะ !!” เมื่อเห็นเพื่อนสนิทมีท่าทางเป็นอย่างนั้นนิโค่ก็เหงื่อตก รู้สึกว่าพูดล้อเล่นจนเกินพอดีไปซะแล้ว “น่าๆ OK ชั้นขอโทษก็ได้ ช่างตีเหล็กไม่ได้เป็นแบบนั้นกันทุกคนหรอก ฮ่าๆๆๆ ใจร่มๆก่อน…..” นิโค่กล่าวพลางยิ้มเจื่อนๆ ให้แก่เพื่อนของเขาที่กำลังหัวเสีย และเพื่อนของเขาก็มีท่าทางที่สงบลง
“นายนี่ดีนะ….. ชั้นน่ะจริงๆอยากจะเป็นช่างตีเหล็กเหมือนกับพ่อมากกว่า แต่ว่าชั้นไม่มีฝีมือทางด้านนั้นเลยสมัยก่อนตอนช่วยพ่อทำงาน ชั้นตีดาบกี่เล่มๆก็หงิกๆงอๆ ขึ้นรูปโลหะก็บิดเบี้ยวๆ พ่อเลยไล่ให้ชั้นมาเป็นทหารแบบนี้แหละ….” เพื่อนของนิโค่กล่าวพลางถอนหายใจแล้วยิ้มอ่อนๆ พร้อมจ้องมองดาบที่เงาดุจกระจกที่อยู่ในมือของนิโค่ “แล้วนาย….ชอบที่จะเป็นทหารรึป่าวล่ะ ?” นิโค่กล่าวถามเพื่อนของเขาด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆ แต่ฟังดูจริงจัง เพื่อนของเขาเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มยิงฟังออกมาอย่างภูมิใจว่า “ก็ไม่เลวหรอกนะ เพราะว่าชั้นอยากจะปกป้องคนที่ชั้นรักน่ะ…” คำตอบของเพื่อนสนิททำให้นิโค่อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะแสยะยิ้ม “เห….อะไรกันนี่ นี่นายมีแฟนแล้วงั้นสินะ ไหนคายมาซิ ใครเอ่ย ? ลูกสาวลุงร้านขายเหล้าที่ตรงสี่แยกทางไปตลาดใช่ไหม ? เอ๋…..หรือว่า…. พี่สาวคนสวยนมใหญ่ๆที่อยู่ร้านกาแฟข้างโรงเรียนเรา ไหน ? คุยกันเปิดอกแบบลูกผู้ชายหน่อยซิ !!” นิโค่กล่าวพลางยิ้มแสยะจนเห็นฟันขาว น้ำเสียงของเขามีทั้งความเย้าแหย่ปนความอยากรู้อยากเห็น “มะ….ไม่ใช่เว้ย !! ชั้นยังไม่มีหรอกของแบบนั้น ชะ...ชั้นหมายถึงประชาชนใน Ylisse ตะหากล่ะ….ชั้นรักประเทศนี้ เข้าใจไหม !?!” เพื่อนสนิทของนิโค่เมื่อถูกถามจี้จุดก็ถึงกลับลนลาน หน้าแดงตอบปัดแบบแถสีข้างถลอก “อ้อ อ้ออออ อ้อออออออ ปากแข็งเหมือนกันนะนี่…..ดีล่ะถ้าอย่างนั้น…..” นิโค่กล่าวพลางลุกขึ้นยื่นเพื่อจะตรงไปทำอะไรซักอย่างกับเพื่อนของเขาเพื่อให้คายความจริงในใจออกมาแต่ทว่า ก่อนที่นิโค่จะลงมือทำอะไรลงไปเสียงเคาะประตูห้องพักของพวกเขาก็ดังลั่นขึ้น “ก๊อกๆๆๆๆ !!” เสียงเคาะประตูที่ฟังดูหนักแน่นทำให้การสนทนาของสองหนุ่มหยุดชะงักลงทันที เพื่อนของนิโค่เดินหันหลังไปเปิดประตูที่ทำจากไม้เนื้อแข็งซึ่งดูเก่าแก่ แต่ยังคงสภาพดี ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ร่างของครูฝึกผู้กำยำล่ำสันของพวกเขาก็ปรากฎให้เห็น ใบหน้าที่ดุดันไม่เข้ากับบรรยากาศยามเข้าของครูฝึกทำให้ทั้งสองหนุ่มทหารฝึกหัดถึงกับนิ่งอึ่ง “อะ….อรุณสวัสดิ์ครับ ครูฝึก มีอะไรหรือครับมาแต่เช้าเชียว นี่ยังไม่น่าจะไกล้ได้เวลารวมแถว….” เพื่อนของนิโค่เอ่ยปากถามครูฝึกของเขาด้วยท่าทางที่กล้าๆกลัวๆ “นิโคลัส มูราคิน ตามชั้นมาหน่อยซิ !!” ครูฝึกเอ่ยปากเรียกนิโค่ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเยือกเย็น ทำให้นิโค่ถึงกับเย็นสันหลังวาบ แต่ขาของเขาก็เดินก้าวตามครูฝึกออกไปแต่โดยดีราวกับถูกไซ่ที่มองไม่เห็นมาฉุดกระชากเขาให้เดินตามไป “เอ่อ….อาจารย์ครับ ….. ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือครับนี่ ผมจำไม่ได้ว่าไปทำอะไรผิดเอาไว้นะครับ เอ๋..!! เดี่ยวๆๆ !! ถ้าเรื่องแอบกินเหล้ารัมที่อาจารย์ซ่อนไว้ในห้องพักครูจนเกลี้ยงนั้น ผมไม่ใช่คนต้นคิดนะครับ ผมแค่บังเอิญไปเห็นเจ้าพวกนั้นกำลังกระดกกันมันก็เลยให้ผมดื่มด้วยเพื่อให้ไม่กล้าไปปริปากบอกใคร….. แล้วก็ๆ เรื่องที่ลูกสาวอาจารย์….” ก่อนที่นิโค่จะพูดเฉไฉจบ รู้สึกตัวอีกทีเขาและครูฝึกก็มาถึงหน้าประตูบานใหญ่ที่ดูหรูหรา ซึ่งทำมาจากไม้มะฮอกกานีสีแดงอมน้ำตาล ฉลุลายเถาว์อย่างปรานีตและลงทองประดับดูมีราคา “ที่นี่มัน ห้อง….ท่านผู้บัญชาการ…..นี่นา….” นิโค่บ่นพึมพัมก่อนจะกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ สมองของเขาหมุนติ้วราวกับกำลังถูกอะไรบางอย่างมากระชาก “เอ้า !! เข้าไปกันเถอะ” ครูฝึกกล่าวกับนิโค่ก่อนจะเคาะประคูเบาๆอย่างเป็นจังหวะ 3 ครั้งดูมีมารยาท ผิดกับที่มาเคาะประตูหน้าห้องของนิโค่เมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว “เข้ามาได้….” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งทึ่ฟังดูสงบนิ่งและเยือกเย็นกล่าวผ่านบานประตูออกมาอย่างแผ่วเบา ครูฝึกค่อยๆเปิดบานประตูด้วยที่จับเงินลงลายสวยงามแวววาวซึ่งติดอยู่กับบานประตูเข้าไปอย่างช้าๆ
ภายในห้องนั้นมีคนอยู่ ทั้งหมด 5 คน 4 คนกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาและเก้าอี้รับรองแขกตรงกลางห้องและอีกหนึ่งคนกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูซึ่งครูฝึกของนิโค่เปิดเข้าไป
คนที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้นเป็นหญิงสาววัยราวๆ 18 ปี ผู้มีเส้นผมสีแดงเพลิง ยาวสยายและรวบผมเป็นทรงโพนี่เทลด้วยริบบิ้นยาวสีดำสลับขาว ดวงตาของเธอกลมมนนัยต์ตาของเธอสีแดงอมส้มดูเที่ยงตรงเอาจริงเอาจัง รูปร่างของเธอสมส่วนดูสวยงามส่วนสูงของเธออยู่ที่ 160 เซนติเมตรกลางๆ ผิวของเธอมีสีขาวเปลือกใข่ดูสุขภาพดี เธอสวมชุดเบลเซอร์แบบทหารที่ทำจากผ้าไหมสีขาวกริบลายสีแดงและทองดูหรูหรา สายตาของเธอจับจ้องไปยังนิโค่อย่างเอาจริงเอาจังจนนิโค่รู้สึกประหม่า “คนสุดท้ายเข้ามาแล้วสินะ ดีล่ะงั้นเราจะได้เริ่มกันเลย” ผู้บัญชาการและผู้อำนวยการของโรงเรียนทหารฝึกหัด หรือที่เหล่านักเรียนเรียกกันติดปากว่า “ท่านแม่ทัพ” ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาครูฝึกและนิโค่ที่เพิ่งเข้ามาในห้อง ครูฝึกปิดประตูห้องและลงกลอน ก่อนที่ทุกคนจะเข้ามาร่วมกันนั่งที่เก้าอี้รับแขก นิโค่สอดส่ายสายตามองคนอื่นๆนอกจากหญิงสาวผมแดงอย่างสงวนท่าที เพื่อที่จะได้จดจำลักษณะของคนที่เขากำลังสนทนาด้วยให้ชัดเจน แต่ก่อนที่เขาจะได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนนั้น ท่านแม่ทัพก็เอ่ยปากเริ่มบทสนทนาด้วยท่าทางที่รีบเร่ง “เมื่อวานนี้ มีกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปในท้องพระคลังมหาสมบัติของราชวงษ์ Ylisse พวกมันมีฝีมือในการหลบหนี และพรางตัวที่ไม่ธรรมดา หลังจากที่เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานต่างๆมาได้ครบแล้วเราได้ข้อมูลมาดังนี้….” แม่ทัพกล่าวแล้วหยิบกระดาษสีน้ำตาลที่มีรูปสเก็ตขึ้นมาทั้งหมด 2 ใบและวางลงบนโต๊ะ รูปแรกคือรูปของตะเกียงที่หน้าตาประหลาดๆ ราวกับว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเหตุผลอื่นนอกจากการให้แสงสว่าง “สิ่งนี้คือ Heartless Princess หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ องค์หญิงผู้ไร้หัวใจ มันคือตะเกียงที่เจ้าหญิงของแคว้นโบราณพระองค์หนึ่งผู้อำมหิตและโหดร้ายสั่งให้นักเล่นแร่แปรธาตุประดิษฐ์ขึ้นมาเมื่อ 500 ปีก่อน พลังของมันคือสามารถรวบรวมวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วให้เข้ามาวนเวียนอยู่รอบๆแสงของตะเกียง สมัยก่อนที่ทวีป Ylisse จะรวมเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ช่วงนั้นมีการทำสงครามหลั่งเลือดของแคว้นต่างๆอย่างยาวนานและต่อเนื่อง องค์หญิงผู้ปกครองแคว้นนั้นได้ใช้พลังของตะเกียงนี้เรียกวิญญาณของนักรบที่ตายไปในสนามรบ และปลุกขึ้นมาเป็น Undead Knight เพื่อต่อสู้กับทหารแคว้นอื่นๆ จนผู้คนต่างพากันหวาดกลัวนางเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะตะเกียงนี้มีคำสาปหรือเพราะอย่างอื่นกันแน่ ต่อมาอีกไม่กี่ปีนางก็ป่วยและเสียชีวิตไป ตะเกียงนี้ก็ถูกขายและเปลี่ยนมือมาเรื่อยๆ จนกระทั้ง ราชาของเรากษัตริย์แห่ง Ylisse ได้มันมาไว้ในครอบครองและผนึกมันไว้ในคลังสมบัติ” แม่ทัพกล่าวพร้อมจ้องมองรูปตะเกียงในกระดาษด้วยท่าทางที่ดูกังวลใจ จากนั้นเขาก็หันไปมองอีกรูปที่วางอยู่ข้างๆกัน มันคือรูปของมนุษย์แมวซึ่งเป็นเผ่า Beastman จำพวกหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตแถบชายแดนของ Ylisse พวกมนุษย์แมวนี้มักเป็นพ่อค้าเร่ที่เดินทางเป็นคาราวานเพื่อขายของเรื่อยๆ บางครั้งก็เข้ามาในตัวเมืองเพื่อซื้อสินค้าและขายสินค้าหายากที่พวกเขาได้มาจากการรับซื้อตามหมูบ้านอันห่างไกล พวกเขาค่อนข้างเป็นมิตรรักสงบและเป็น Beastman จำพวกหนึ่งที่เข้ากับมนุษย์ได้ดีมาก “นี่คือภาพของคนร้ายที่แอบเข้าไปในคลังสมบัติเมื่อคืนนี้ เราคาดว่าน่าจะมีพรรคพวกอีก 3 ถึง 4 คน พวกเราต้องจับตัวมันกลับมาให้ได้พร้อมทั้งนำ Heartless Princess กลับมาโดยปลอดภัย นี่คือภารกิจที่จะให้พวกเธอทำในครั้งนี้ เอาล่ะ ใครมีอะไรสงสัยอีกไหม….?” แม่ทัพกล่าวจบแล้วก็เอนหลังลงพิงผนักเก้าอี้รับแขกด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้า ดูเหมือนว่าเขาจะแทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน “เอ่อ...แล้วเรื่องมาไล่จับโจรแบบนี้….ไม่ให้กองทหาร หรือสารวัตรทหารตรวจการอะไรนั้นทำ ไม่ดีกว่าครับ ท่านผู้บัญชาการ ?” นิโค่ที่ฟังเรื่องทุกอย่างแล้วก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้ คำถามของเขาทำให้ แม่ทัพยิ้มเจื่อนๆออกมาก่อนจะกล่าวว่า “ฮ่าๆๆๆ เป็นคนตรงไปตรงมาผิดคาดนะ สมแล้วที่ครูฝึกเลือกเธอมา คืออย่างนี้ ตอนนี้น่ะกองทัพหลวงของ Ylisse กำลังอยู่ในช่วงออกปราบปรามเหล่าสัตว์ปีศาจที่ออกอะละวาดในหลายๆพื้นที่ตอนนี้งานแทบจะล้นมืออยู่แล้ว แล้วก็พวกสารวัตรทหารหลังจากที่รวม Ylisse เป็นหนึ่งเดียวได้ พวกครึ่งมนุษย์กับเผ่าต่างๆก็เข้ามาค้าขายกับเรากันยกใหญ่ มากคนก็มากเรื่องดังนั้นประเทศของเราตอนนี้ไม่ปลอดภัยนักหรอก จริงๆองค์ราชาคิดจะจัดตั้ง หน่วยวิเคราะห์ภัยพิบัติ ขึ้นมาเพื่อจัดการปัญหายุ่งยากเป็นกรณีพิเศษอยู่นะ แต่อะไรหลายๆอย่างยังไม่พร้อม….ดังนั้นจับโจรนี่ ให้พวกเธอจัดการดูจะเหมาะสมที่สุด แล้วก็อีกอย่างนะ ถ้าให้กองทัพใหญ่ที่ทหารเป็นร้อยๆไปไล่จับโจรกลุ่มเล็กๆ พวกมันได้ไหวตัวทันเผ่นหายไปกันหมดก่อนพอดี จริงไหมล่ะ ?….” แม่ทัพกล่าวแล้วยิ้มออกมาอย่างมุ่งมั้นทำเอานิโค่เถียงไม่ออกได้แต่คิดในใจว่า 「นี่ตรูโดนเรื่องยุ่งยากเข้าจังๆซะแล้วสินี่」 “แล้วนอกจากรูปวาดนี่…. มีข้อมูลอะไรอีกไหม ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกถามแม่ทัพด้วยท่าทางที่ดูเยือกเย็น แววตาของเขาจับจ้องไปยังแม่ทัพอย่างเฉียบคม เขาเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ 18 ปี รูปร่างสูงโปร่ง ส่วนสูงของเขาประมาณ 170 เซนติเมตร ผิวของเขาสีขาวซีด เส้นผมของเขามีสีน้ำเงินครามเข้ม ที่ตัดสั้นรองทรงดูยุ่งเล็กน้อย ดวงตาของเขากลมเรียวนัยต์ตาสีฟ้าไพลินของเขาดูสงบ เยือกเย็นดุจน้ำแข็งจนชวนเสียวสันหลัง เขาสวมชุดลำลองแขนยาวทำจากผ้าลินสีน้ำเงินแกมดำดูลึกลับ ข้างกายของเขามีดาบเคลย์มอร์เล่มใหญ่สีเงินวางอยู่ “จากทหารลาดตระเวณรายงานว่ามีกลุ่มคนที่ดูมีพิรุทธนั่งเกวียนเทียมม้าวิ่งไปนอกเส้นทางหลวงเมื่อกลางดึก พวกมันมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกราวๆแถวๆนี้….” แม่ทัพนำแผนที่พกพาขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อและวางลงบนโต๊ะก่อนจะชี้นิ้วไปยังจุดที่มีหมึกสีแดงทำเครื่องหมายเอาไว้ ทุกคนในห้องพากันมองไปบนแผนที่อย่างครุ่นคิด “ถ้าพบเจอร่องรอยแถวราวๆนี้ล่ะก็….เวลาเดินทางประจวบเหมาะกันพอดีเลยนะคะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกอีกตัวกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเรียบๆ แต่ในน้ำเสียงที่เรียบๆนั้นกลับให้ความรู้สึกที่ฟังดูอ่อนโยนและสุภาพอย่างน่าอัศจรรย์
เธอเป็นหญิงสาวที่ดูอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม โดยที่เธอดูมีอายุไม่น่าจะเกิน 15 ปี เธอไว้ผมยาวสลวยสีทองสว่างดูนุ่มนิ่มดุจเส้นไหม รูปโฉมของเธอดูน่ารักน่าเอ็นดู ผิวของเธอขาวสะอาดดุจไข่มุกและมีสีชมพูระเรื่อดูนุ่มนิ่มและบอบบาง รูปร่างของเธอเล็ก ส่วนสูงของเธออยู่ที่ 150 เซนติเมตรต้นๆ ดวงตาของเธอกลมโตนัยต์ตาสีฟ้าแกมเขียวสดใสดั่งสีของน้ำทะเล เธอแต่งกายด้วยชุดเดรซเปิดไหล่และกระโปรงที่ดูพองฟูสีชมพูเชอร์เบท เธอดูไม่เหมือนทหารหรืออัศวินเลย เธอดูเหมือนลูกสาวของชนชั้นสูงเสียมากกว่า “ถ้าอย่างนั้นเราเตรียมตัวแล้วรีบออกเดินทางกันเถอะ ถ้าเร่งตามเราน่าจะทันคนร้ายก่อนค่ำของวันนี้นะ...” หญิงสาวคนสุดท้ายกล่าวขึ้น น้ำเสียงของเธอดูมุ่งมั่นและจริงใจ เธอเป็นอัศวินสาวที่รูปร่างแข็งแรง อายุราวๆ 25-26 ปี ร่างกายของเธอดูมีกล้ามเนื้อให้เห็นพอประมาณ รูปร่างของเธอดูสวยงามได้สัดส่วนแบบนักกีฬา ส่วนสูงของเธออยู่ที่ราวๆ 160 - 170 เซนติเมตร ผิวของเธอมีสีขาวแก้มน้ำตาลอ่อนดูสุขภาพดี เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ไว้ยาวจนถึงกลางหลัง ดวงตากลมรี นัยต์ตาสีน้ำตาลทองของเธอดูจริงจังและจริงใจ เธอสวมชุดเกราะเบาที่ดูกระฉับกระเฉงและสะพายดาบ Broadsword ที่มีสีดำสนิทแต่แวววาวดูน่าเกรงขาม “ถ้าอย่างนั้นทุกท่านไปเตรียมตัวออกเดินทางเถอะขอให้โชคดี และกลับมาโดยสวัสดิภาพ….” แม่ทัพกล่าวกับเหล่าทหารที่จะออกไปตามล่าโจรขโมยสมบัติอย่างฮึกเหิม ทุกคนในห้องลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกจากห้องไป “เดียวก่อนสิ พวกนาย !! นี่ชั้นยังไม่รู้จักพวกนายเลยนะ แต่ตอนนี้เราต้องอยู่ทีมเดียวกันแล้ว ยังไงก็ช่วยแนะนำตัวกันหน่อยได้ไหม ? ชั้นชื่อ นิโคลัส มูราคิน เรียกว่านิโค่ก็ได้นะ เป็นทหารฝึกหัดน่ะ พวกนายล่ะ ?” ก่อนที่ทุกคนจะออกไปจากห้องเพื่อเตรียมสิ่งของของคนเอง นิโค่ก็กล่าวเรียกพวกเขาเพื่อให้ทำความรู้จักกัน “ชั้น เอ็ดวาร์ด ฟรอนเทียร์ เกียร์ไน์ ….. เป็นทหารฝึกหัด แต่อย่าเหมาชั้นรวมกับแกล่ะ ในสนามรบชั้นต่างจากแกแน่…..” ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินผู้มีชื่อว่า เอ็ดวาร์ด กล่าวตอบนิโค่แบบห้วนๆก่อนจะเดินจากไป อย่างรวดเร็วทำเอานิโค่อดขมวดคิ้วเล็กๆไม่ได้ “ชั้น อคาร์ร่า นักเรียนวิชาทหารองค์รักษ์ชั้นปี 3 ยินดีที่ได้รู้จักนะ นิโค่” สาวผมแดง ชื่อ อคาร์ร่ากล่าวแนะนำตัวกับนิโค่ ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังหนักแน่นของเธอทำให้นิโค่รู้สึกเกรงๆเธอเล็กน้อย “ฉัน….ชูเลีย ฟอน นิคาร์ซิโอ้…..เอ่อคือว่า…..เป็นอัศวินเวทมนต์ฝึกหัดชั้นปี 4 ค่ะ” เด็กสาวผู้มีผมยาวสลวยสีทองกล่าวกับนิโค่ด้วยท่าทางที่ดูประหม่าเล็กๆ รอยยิ้มสดใสที่ปรากฎบนใบหน้าของเธอ และน้ำเสียงที่ไพเราะนุ่มนวลทำให้นิโค่ได้แต่ยิ้มตอบกลับอย่างอายๆ 「เด็กขนาดนี้เป็นอัศวินเวทย์ชั้นปี 4 นี่มัน...อัจฉริยะ หรือปีศาจในคราบสาวน้อยกันฟร่ะนี่ !!」นิโค่พลางคิดในใจ “ขั้น เมอรีล หัวหน้าทหารหน่วยจู่โจมแนวหน้า และเป็นหัวหน้าทีมภารกิจนี้ด้วย ยินดีที่ได้รู้จักนะ นิโคลัส” อัศวินสาวเดินเข้ามากล่าวกับนิโค่ด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเองและจริงใจ นิโค่ยืนมือไปเพื่อขอจับมือกับเธอ และเธอก็จับมือกับนิโค่ด้วยท่าทางที่มั่นใจ “เอ่อ….ขอความกรุณาด้วยนะครับ คุณเมอรีล” นิโค่กล่าวด้วยท่าทางที่อ่อนน้อม เมอรีลยิ้มกลับให้่นิโค่ด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร “เอาแหละงั้น ทุกคนแยกย้ายไปเตรียมตัว อีก 30 นาทีเราจะไปเจอกันที่หน้าประตูทางออก รถม้าคอยอยู่แล้ว อย่ามาสายล่ะ !!” เมอรีลกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายเดินออกจากห้องผู้บัญชาการไป - หลังจากที่ทุกคนออกไปหมดแล้ว - “ท่านผบครับ แต่จับโจรคนเดียวทำไมเราถึงต้องใช้บุคลากรที่ความสามารถถึงขนาดนี้ ?” ครูฝึกกล่าวกับแม่ทัพที่นั่งสูบซิกก้าอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งด้วยท่าทางเรียบเฉย “ลองคิดสิ…..โจรกระจอกที่หวังเงินทองมันงัดคลังหลวงเพื่อไปเอาของอันตรายแบบตะเกียงนั่นน่ะหรือ ? ไม่ใช่แล้วล่ะมั้ง ? งานนี้เราไม่ได้ใช้คนเปลืองหรอก ไม่แน่อาจจะตึงมือพวกเขาเสียด้วยซ้ำไป…” แม่ทัพกล่าวพลางพ่นควันบุหรี่ออกมาจากจมูกและปาก ครูฝึกเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก “หวังว่า พวกเขาจะไม่เจอ โชคร้ายหรอกนะ…..” To be continued....?
|
|
|
Post by Saraphina on Jan 30, 2018 17:03:58 GMT
Kingdom of Vermilion : Heartless Princess EP.2 : Nightmare หลังจากที่ได้ฟังภารกิจในห้องประชุมจบแล้วนิโค่ ก็รีบเดินทางตรงไปยังห้องเก็บอาวุธทันทีเขาจำเป็นจะต้องมีชุดเกราะและดาบที่สามารถใช้งานจริงได้ เนื่องจากว่าทหารฝึกหัดในโรงเรียนทุกคนนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการใช้ดาบจริง พวกเขาสามารถใช้ได้เพียงแค่ดาบไม้และเกราะไม้ในการฝึกฝนเท่านั้นอาวุธจริงๆถูกจัดเก็บเอาไว้ในคลังอาวุธและถูกดูแลอย่างแน่นหนา อาคารไม้สีน้ำตาลหลังใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างแน่นหนาและมีทหารยามคอยเดินตรวจตราตลอด 24 ชั่วโมง อาคารแห่งนี้คือสถานที่ที่อาวุธจำนวนมากถูกเก็บไว้มีทั้งดาบที่คมกริบซึ่งถูกตีขึ้นมาอย่างประณีตและเกราะเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรง ร่วมทั้งอุปกรณ์ภาคสนามต่างๆที่จำเป็นในการปฏิบัติภารกิจจะถูกจัดเก็บเอาไว้ที่นี่“ผมนิโคลัส มูราคิน ทหารฝึกหัดชั้นปีที่ 3 ขออนุญาตเบิกอุปกรณ์เพื่อไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายครับ” นิโค่กล่าวกับผู้คุมคลังอาวุธด้วยท่าทางที่ดูเรียบเฉย หลังจากที่ได้ยินคำกล่าวนั้นผู้คุมก็เปิดประตูบานใหญ่ที่ถูกล็อคกุญแจเอาไว้อย่างแน่นหนาเข้าไปอย่างช้าๆ เบื้องหน้าของนิโค่อาวุธมากมายที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นเก็บทั้ง หอก ดาบ ธนู โล่ห๋และเกราะมากมายหลายชนิดที่ถูกดูแลอย่างดีพวกมันถูกขัดเงาจนเป็นประกายราวกับกระจก อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มากมายอย่างนี้บ่งบอกได้ถึงพลังอำนาจทางการทหารของประเทศ Ylisse ได้เป็นอย่างดี “เอาเลยเจ้าหนู !! อยากใช้อันไหนก็หยิบไปได้ตามสบายแต่อย่าลืมเขียนเอกสารรายการไว้ด้วยนะ...” ผู้คุมกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมกำชับกับนิโค่ หลังจากที่ได้ยินคำกล่าวนั้น นิโค่ ก็เดินเข้าไปภายในคลังอาวุธและมองไปรอบๆเขากำลังจะหาดาบที่ดูเหมาะมือซักเล่มและเกราะที่น่าจะช่วยปกป้องชีวิตของเขาได้ “ถ้าอยากได้ดาบดีๆล่ะก็ลองเอาเล่มนี้ไปใช้ดูไหม !!” เสียงของครูฝึกดังขึ้นขณะที่นิโค่กำลังมองไปรอบๆเพื่อหาดาบที่น่าจะเหมาะสมกับตัวเขา ทันทีที่นิโค่หันไปตามต้นเสียงเขาก็พบกับครูฝึกซึ่งกำลังถือดาบเซเบอร์ที่ดูสวยงามและประณีตเล่มหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเขา
“อาจารย์ครับดาบเล่มนี้มัน….” นิโค่มองไปยังดาบเซเบอร์ที่ครูฝึกของเขานำมาให้ มันเป็นดาบเซเบอร์ของทหารม้าที่ดูกลางเก่ากลางใหม่ปลอกของมันทำด้วยหนังสีน้ำตาลเข้ม ตัวด้ามจับของดาบทำจากเหล็กคุณภาพดีถูกตกแต่งด้วยทองคำอย่างสวยงามมันจะเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ค่อนข้างจะดูมีราคา นิโค่รับดาบเล่มนั้นมาและเปลือยฝักออก จากความแวววาวที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขารู้ว่าวัสดุที่ใช้ทำดาบเล่มนี้ไม่ใช่เหล็กธรรมดาๆมันคือแร่ พลาติน่า ซึ่งเป็๋นการหลอมรวมกันของ แพลตตินั่ม และ มิธริล ด้วยศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุชั้นสูง คุณสมบัติของแร่ชนิดนี้คือนอกจากความทนทานที่จะสามารถรักษาความคมเอาไว้ได้เป็นระยะเวลานานแล้วมันยังมีความสวยงามและไม่หมอง ไม่เป็นสนิมจากการเวลา ทำให้มันมีราคาที่แพงมากๆ อีกทั้งตัวดาบยังมีการใช้ทองคำลงสลักอักขระเวทมนต์ด้วยตัวอักษรรูนซึ่งเป็นเวทมนตร์ที่จะสามารถเพิ่มพลังในการฟาดฟันให้กับผู้ที่ถือดาบเล่มนี้ได้ ด้ามดาบเองก็มีการประดับประดาด้วยทองคำที่สลักลวดลายเอาไว้อย่างสวยงามราคาของดาบเล่มนี้ถ้าหากเข้าไปขายน่าจะสามารถซื้อบ้านหลังใหญ่พร้อมที่ดินแต่มีเงินเหลือไว้ใช้อีกนับ 10 ปีเลยทีเดียว “นี่เป็นสมบัติประจำตระกูลของข้า !! จงรักษามันให้ดีหลังจากเสร็จภารกิจแล้วจงนำมันกลับมาคืนข้าด้วย...” ครูฝึกกล่าวกับนิโค่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและหนักแน่น นิโค่รับดาบเล่มนั้นมาและมองใบหน้าของครูฝึกภาพของเขาสะท้อนอยู่บนในตาของครูฝึกอย่างชัดเจน “อาจารย์ครับของสูงค่าแบบนี้….เอามาให้ผมยืมมันจะดีหรือไม่แน่บางทีผมอาจจะไม่สามารถนำกลับมาคืนอาจารย์ได้ก็เป็นได้นะครับ” นิโค่รับดาบเล่มนั้นมาถือเอาไว้เขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักของตัวดำและน้ำหนักของคำพูดจากผู้เป็นอาจารย์ได้เป็นอย่างดี “ชั้นสอนลูกศิษย์มา 20 กว่าปีมีลูกศิษย์ของฉันมากมายหลายร้อยหลายพัน…...ชั้นคิดว่าเธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีความสามารถโดดเด่นไม่แพ้คนๆ อื่นภารกิจครั้งนี้ชั้นรู้ดีว่ามันอันตราย…..อันตรายกว่าครั้งไหนๆที่เธอเคยเจอมาชั้นแค่หวังว่าสิ่งนี้อาจจะช่วยให้เธอรอดกลับมาได้ชั้นหวังว่าจะแบบนั้น” น้ำเสียงของครูฝึกฟังดูหนักแน่นนิโค่ไม่อาจที่จะปฏิเสธน้ำใจของผู้เป็นอาจารย์ในครั้งนี้ได้อีกเลย เขารับดาบเล่มนั้นมาถือไว้และเหน็บมันไว้กับเข็มขัดที่ข้างเอวอย่างแน่นหนาพร้อมกับกล่าวว่า “ถึงผมอาจจะไม่ใช่คนที่มีความสามารถอย่างที่อาจารย์คิดเอาไว้….แต่ผมขอสัญญาว่าผมจะนำดาบเล่มนี้กลับมาคืนให้กับอาจารย์ให้ได้ครับ” นิโค่กล่าวกับครูฝึกด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่คำพูดนั้นกลับแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างที่เขาเองก็แทบไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถกล่าวคำเช่นนั้นออกมาได้หลังจากที่รับดาบของครูฝึกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนิโค่ก็เดินหาดูเกราะภายในคลังอาวุธเขาเลือกที่จะใช้เกราะเบาธรรมดาๆในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้เพราะว่า เกราะหนักเต็มตัวแบบอัศวินมีน้ำหนักมากเกินไปไม่เหมาะสำหรับการเดินทางเพื่อไล่ล่า - 30 นาทีต่อมา - ในที่สุดก็ถึงเวลาที่นัดหมายนิโค่เตรียมเกาะ ดาบ เสบียง สัมภาระเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาก็เดินถือสิ่งของต่างๆออกมายังหน้าประตูของโรงเรียนฝึกทหารตามเวลาที่กำหนด ซึ่งในตอนนี้รถม้าที่เขาจะต้องนั่งไปมาจอดรออยู่แล้วและเพื่อนๆร่วมทีมของเขาก็มาคอยเขาอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน“อะไรกันเนี่ยนี่ผมเป็นคนสุดท้ายงั้นเหรอ ?” นิโค่กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆและเดินเข้าไปหาเพื่อนร่วมทีมของเขาท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาที่เขาอย่างไม่กระพริบ“พวกเราเตรียมทุกอย่างก่อนที่จะมาที่โรงเรียนฝึกทหารแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวผมทองวัย 14 ปีที่ชื่อว่าชูเลียกล่าวกับนิโค่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและเรียบง่าย เธอในตอนนี้สวมชุดเกราะที่ทำมาจากโลหะหายากสีขาวแกมเงินประกายแวววาวเกาะนี้ถูกตกแต่งด้วยทองและอัญมณีหลากสีดูสวยงามและดูมีราคา ที่เอวของเธอมีดาบเซเบอร์ที่ท่าทางจะราคาแพงเหน็บอยู่ 2 เล่มเธอในยามนี้ไม่เหมือนกับหญิงสาวที่เป็นลูกของขุนนางผู้ดีอีกต่อไปแต่เธอดูราวกับอัศวินเวทมนตร์ผู้สูงศักดิ์ และสง่างาม“เอาล่ะ !! ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้วพวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ” เสียงของอัศวินหญิงผู้เป็นหัวหน้าทีมนามว่า เมอรีล กล่าวขึ้นทันทีเมื่อเห็นสมาชิกในทีมทุกคนมาพร้อมกันแล้วเมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนจึงพากันทยอยขึ้นรถม้าที่ถูกจัดเตรียมไว้และมันก็ออกเดินทางไปตามทิศตะวันตก ตรงไปยังจุดที่คาดว่าเหล่าโจรจะหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว - ชายป่าทางทิศตะวันตก จากเมืองหลวงของทวีป Ylisse -
“นี่ลุงเมมฟิส !!พวกเราหนีกันมากว่าค่อนวันแล้วยังไม่เห็นมีใครตามมาเลยพวกเราน่าจะหนีพ้นแล้วนะทำตัวสบายๆกันหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ ??” ลูกครึ่งมนุษย์แมวเด็กหนุ่มผู้มีผมสีขาว อายุของเขาอยู่ที่ราวๆ 17 ปี เขาไว้ผมสั้นดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยสีขาวราวกับปุยเมฆ ส่วนสูงของเขาอยู่ที่ราวราว 160 cm ปลายๆ ผิวของเขาเป็นสีขาวซีดราวกับหิมะดวงตาที่กลมเรียวของเขาดูแข็งกระด้างและมุ่งมั่นนัยย์ตาสีเขียวสดราวกับมรกตของเขาเปล่งประกายดูลึกลับและมีความเป็นอิสระ ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งระหว่างมนุษย์แมวกับมนุษย์ปกติทำให้เขามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมนุษย์ทุกประการเพียงแต่ว่าเขามีหูแมวขนาดใหญ่อยู่บนศีรษะด้วยเท่านั้นเอง เขากล่าวขึ้นขณะที่กำลังเดินถือผ้าห่อของซึ่งทำจากผ้าไหมเนื้อดีใบเล็กเอาไว้ในกำมือ เขามีอาการเหนื่อยล้าเล็กน้อยแสดงออกมาทางสีหน้า ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เมมฟิสมนุษย์แมวผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรก็หันกลับไปมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่เรียกเฉยเขาทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตอบกลับไปว่า“งั้นหรือ ลิงค์ นั่นสินะ….ตั้งแต่เมื่อคืนเราก็เดินทางกันตลอดไม่ได้หยุดพักเลย นี่ปาเข้าไปจะบ่ายของอีกวันแล้วพวกเจ้ายังไม่ได้นั่งพักแม้แต่กระทั่งกินอาหารเลย….ตกลง !! ข้าว่าเราน่าจะหาที่พักกันสักแป๊บนึงจะดีกว่า” เมมฟิสมนุษย์แมวสายเลือดแท้และหัวหน้ากลุ่มโจรผู้มีขนสีดำปกคลุมร่างกายและสวมชุดคลุมทำจากผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีเทาดูเก่าและมีรอยขาดรุ่งริ่งที่ชายผ้า เขามีส่วนสูงราวๆ 120 เซนติเมตรต้นๆมีขนหนาฟูสีดำและสีขาวขึ้นปกคลุมร่างกายสลับกันเหมือนกับมนุษย์แมวคนอื่นๆทั่วไป กล่าวขึ้นกับเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกครึ่งมนุษย์แมวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนจากนั้นเขาก็กวาดสายตาไปรอบๆเพื่อจะหาที่พักให้กับสมาชิกในทีมของเขาและแล้วเมมฟิสก็สะดุดตาเข้ากับต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่งที่มีร่มเงาอันร่มรื่นและกว้างขวางเหมาะแก่การหยุดพักผ่อนระหว่างการเดินทางหลบหนีของพวกเขา เมมฟิสจึงบอกให้สมาชิกในทีมของเขาที่ประกอบด้วยลิงค์และมนุษย์แมวเพศหญิงอีกคนหนึ่งว่า“นัวร์ !! ลิงค์ !! พวกเราพักกันที่นี่ก่อนเถอะ….ดูท่าทางจะไม่มีใครตามพวกเรามาทันแล้วล่ะ เพราะงั้นเรามาพักกินข้าวกันสักมื้อแล้วค่อยเดินทางต่อไปที่จุดนัดพบก็ได้….แต่ว่าอย่าประมาทนะ นัวร์ !! ใช้ความสามารถพิเศษของเจ้าคอยระวังรอบๆเอาไว้ด้วย“ เมมฟิสออกคำสั่งให้เพื่อนร่วมกลุ่มของเขาหยุดพักที่ต้นไม้ต้นนั้นจากนั้นมนุษย์แมวทั้งสามคนก็เดินเข้าไปพักยังใต้ต้นไม้ใหญ่ เมมฟิสและลิงค์วางสัมภาระทั้งหมดลงที่ใต้ต้นไม้จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆหยิบเสบียงอาหารซึ่งประกอบด้วยขนมปัง ปลาแห้งและเนื้อสัตว์รมควันขึ้นมาจัดเตรียมเพื่อที่จะรับประทานประทังความหิว แต่ในขณะนั้นมนุษย์แมวหญิงสาวสมาชิกในกลุ่มอีกคนกลับยืนสงบนิ่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้เธอในตอนนี้อยู่ในสภาพเหมือนกำลังทำสมาธิ“ท่านอาเมมฟิส พี่ลิงค์ หนูลองตรวจสอบดูรอบๆแล้วไม่มีใครอยู่ในระยะสายตาของหนูเลยดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ถูกใครตามมาอย่างแน่นอนค่ะ…..“ หญิงสาวลูกครึ่งมนุษย์แมวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เล็กๆ แผ่วเบา และอ่อนนุ่ม แต่น้ำเสียงนั้นกับฟังดูรู้สึกได้ถึงความมั่นใจที่แฝงอยู่ภายใน ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เมมฟิส และ ลิงค์ก็ยิ้มเล็กๆออกมาอย่างสบายใจ“ความสามารถของเธอนี่พึ่งพาได้เสมอเลยนะนัวร์” ลิงค์ กล่าวชมมนุษย์แมวสาวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงจากน้ำเสียงฟังดูทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขาทั้งสองคนสนิทกันมากนั่นก็เพราะว่า ลิงค์และนัวร์ เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันนั่นเอง นัวร์ผู้เป็นน้องสาวนั้นมีความแตกต่างจากลิงค์พี่ชายของเธอเป็นอย่างมาก เธอเป็นลูกครึ่งมนุษย์แมวที่มีเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทราวกับรัตติกาล ดวงตาของเธอกลมโตดูน่าหลงไหลนัยตาของเธอเป็นสีเหลืองนวลแกมทองเรากับดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเป็นสง่าประดับอยู่บนฟากฟ้ายามราตรี ผิวของเธอสีขาวอมชมพูดูสุขภาพดี เธอมีส่วนสูงอยู่ที่ราวๆ 150 เซนติเมตรต้นๆรูปร่างของเธอดูน่ารักสมวัยเนื่องจากเธอนั้นเป็นเด็กสาวที่มีอายุเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้น เธอสวมชุดซี่งทำจากผ้าไหมสีดำแลดูลึกลับ และน่าหลงใหลมันช่างเข้ากับบุคลิกของเธอเสียจริงๆ“อืม ในเมื่อเป็นแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ นัวร์...เธอก็มากินอาหารบ้างเถอะถ้าเธอไม่พักผ่อนเลยเราจะไม่มีแรงที่จะเดินทางต่อกันนะ ” เมมฟิส กล่าวกับเพื่อนร่วมกลุ่มตัวน้อยของเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นมิตรและอ่อนโยน นัวร์พยักหน้าเบาๆจากนั้นเธอก็นั่งลงข้างๆพี่ชายของเธอและหยิบชิ้นปลาแห้งขึ้นมาคบเคี้ยวด้วยท่าทางที่ดูหิวโหย “นี่ลุงเมมฟิส ถ้าเราเอาของที่เราขโมยมานี่ไปส่งให้เจ้านั้นสำเร็จแล้วพรรคพวกของเราทุกคนก็จะเป็นอิสระใช่ไหม ?”ลิงค์ยิงคำถามขึ้นมาใสเมมฟิสซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มของเขาคำถามนั้นทำให้ เมมฟิสหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาสีแดงของเขาจากที่เคยแลดูอ่อนโยนอยู่ๆก็รู้สึกได้ถึงไอสังหารแผ่ออกมาอย่างแรงกล้าจากนั้นเมมฟิสก็กล่าวออกมาว่า“พวกเรายอมลงทุนลงแรงมาจนถึงขนาดนี้แล้วถ้ามันคิดจะเบี้ยวพวกเราละก็…..ต่อให้ต้องตายกลายเป็นภูตผีปีศาจจากขุมนรกข้าก็จะต้องให้มันชดใช้อย่างสาสมแน่นอน !!” เมมฟิสกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาและโหดเหี้ยม ใบหน้าของเขาบ่งบอกได้ถึงความกดดันและความรู้สึกไม่ชอบใจอย่างรุนแรงแสดงออกมาอย่างชัดเจน“ท่านอา….ใจเย็นไว้เถอะค่ะ ถ้าเชื่อว่าความพยายามของพวกเราจะต้องไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน” นัวร์กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและใจเย็น คำพูดของเธอทำให้เมมฟิส คลายความรู้สึกโกรธลงไปได้ไม่น้อยแต่ถึงอย่างนั้นนัยตาของเขาก็ยังคงแสดงออกถึงความไม่ชอบใจแฝงอยู่ภายในอยู่ดี“ท่านอา ท่านพี่ พวกท่านเหนื่อยกันมามากแล้วบางทีพวกท่านน่าจะงีบหลับสักครู่หนึ่งบางทีอาจจะทำให้พวกท่านคลายความกังวลใจไปได้บ้าง….ไม่ต้องห่วงนะคะ !! หนูจะเป็นคนเฝ้าระวังความปลอดภัยให้เอง” นัวร์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปด้วยความกระตือรือร้น“นั่นสินะบางทีข้า….อาจจะเหนื่อยล้าเกินไปก็ได้ ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็ต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จและช่วยพรรคพวกของเราให้ได้…. ดีละ !! ถ้าอย่างนั้นข้ากับลิงค์ขอพักสักหน่อยก็แล้วกันนะนัวร์ฝากเจ้าด้วยนะ ถ้าหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลรีบปลุกพวกเราทันทีเข้าใจนะ” เมมฟิสกล่าวย้ำกับนัวร์เพื่อความมั่นใจ นัวร์พยักหน้าเบาๆเป็นสัญญาณว่ารับรู้ถึงคำสั่งที่เมมฟิสกล่าวออกมา หลังจากนั้น เมมฟิส และลิงค์ก็งีบหลับเพื่อพักผ่อนเอาแรง ส่วนนัวร์นั้นเธอก็กลับเข้าสู่สมาธิเพื่อใช้พลังพิเศษของเธอตรวจสอบรอบๆบริเวณเป็นการระวังภัยไม่ให้ใครที่ตามมาเพื่อหวังจับตัวพวกเธอมาพบพวกเธอเข้า หลังจากที่สมาชิกในทีมทั้งสองพากันหลับไหลบรรยากาศรอบรอบต้นไม้ก็กลับสู่ความเงียบสงัด ภายในความเงียบนี้จิตใจของนัวร์ ก็หวนรำลึกไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านๆมาเรื่องราวตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาทั้งสามคนจะต้องมาขโมยสิ่งของภายในราชสำนักของราชวงศ์ Ylisse - 1 สัปดาห์ก่อน - ณ ถนนซึ่งเชื่อมต่อหมู่บ้านที่อยู่ในบริเวณดินแดนอันทุรกันดารของทวีป Ylisse กองคาราวานของเหล่ามนุษย์แมวกำลังเดินทางผ่านถนนลูกรังที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ เศษกิ่งไม้ และก้อนหินประปรายไปเต็มระยะทาง แม้ว่าจะเดินทางบนถนนที่แสนจะยากเย็นแต่มนุษย์แมวหลายสิบคนที่โดยสารอยู่ในตู้รถม้าของกองคาราวานกับมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม“พวกเราซื้อไข่มุกจากแถบชายฝั่งทะเลมาได้เยอะแยะเลยนะ !! แบบนี้ถ้าเอาไปขายในเมืองหลวงได้ล่ะก็มันคงทำกำไรได้มากโขเลยล่ะ !!....คราวนี้จะได้ซื้อปลาแห้งกับเนื้อสัตว์ตุนเอาไว้ให้เต็มคลังเสบียงไปเลย” หัวหน้ากองคาราวานซึ่งเป็นมนุษย์แมวเพศชายวัยชราซึ่งนั่งอยู่ที่รถม้าคันหน้าสุด กล่าวขึ้นกับผู้ช่วยของเขาซึ่งเป็นลูกครึ่งมนุษย์แมววัยหนุ่มพวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกันไปและยิ้มออกมาอย่างร่าเริงและสบายใจ“ตั้งแต่มีการรวบรวมแผ่นดินของทวีป Ylisse ได้เป็นหนึ่งเดียวพวกเราก็ทำมาค้าขายได้อย่างอิสระ ข้าชอบช่วงเวลาแบบนี้จริงๆเลยครับ หัวหน้า” เสียงของลูกครึ่งมนุษย์แมววัยหนุ่มตอบกลับมนุษย์แมววัยชราซึ่งเป็นหัวหน้าของเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเบิกบานใจ“พวกเรามนุษย์แมวเคยอาศัยอยู่ที่เกาะอันห่างไกล พวกเราแทบจะไม่ได้พบกับผู้คนด้านนอกเลยอีกทั้งพวกมนุษย์ยังรู้สึกกับเราแบบไม่เป็นมิตรแต่มาตอนนี้พวกเรากับมนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้ถึงแม้จะมีเรื่องเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นบ้าง แต่ถ้าเทียบกับสมัยก่อนแล้วข้าว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ” หัวหน้ากองคาราวานกล่าวตอบกลับผู้ช่วยของเขาจากนั้นก็หยิบไหเหล้าที่วางอยู่ข้างๆตัวขึ้นมาซดเข้าไปหนึ่งอึก และหัวเราะออกมาอย่างสำราญใจ“ถ้าหากพวกเรามีกำลังทรัพย์มากพอข้าว่าจะหาบ้านดีๆสักหลังในเมืองหลวงข้าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ในประเทศ Ylisse แห่งนี้ให้เหมือนกับเป็นบ้านหลังที่สองของข้าเลยล่ะ !! แล้วหลังจากนั้นเราเด็กๆและคนรุ่นหลังของพวกเราอาจจะเป็นที่ยอมรับในสังคมและมีการศึกษาที่ดีก็เป็นได้นะ พวกเขาจะได้ไม่ต้องมาลำบากรอนแรมเหมือนกับข้าในตอนนี้” หัวหน้ากองคาราวานกล่าวขึ้นกับผู้ช่วยของเขาจากนั้นเขาก็หันกลับไปมองยังตู้รถม้าขบวนหลังๆซึ่งภายในนั้นมีเหล่ามนุษย์แมวที่ยังเป็นเด็กเป็นวัยรุ่นรวมทั้งยังมีมนุษย์แมวซึ่งเป็นสมาชิกของกองคาราวานอีกมากมายที่เดินทางทิ้งบ้านเกิดมาเพื่อค้าขายและแสวงโชคยังทวีป Ylisse แห่งนี้ร่วมกันกับเขา“หัวหน้า !! หยุดรถเดี๋ยวนี้มีบางอย่างผิดปกติ !!” เมมฟิสตะโกนบอกให้หัวหน้ากองคาราวานให้หยุดรถ ในขณะที่เขารีบกระโดดลงจากรถม้าพร้อมกับดาบคาตานะคู่ใจลงไปยังด้านล่างและเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ข้างทางในความมืด ในตอนนั้นเหล่ามนุษย์แมวซึ่งเป็นนักรบมีหน้าที่คุ้มกันกองคาราวานอีกหลายสิบคนก็พากันทยอยลงมาจากรถพร้อมอาวุธในมือพวกเขาทั้งหมดอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมรับศึก“ลูกพี่เมมฟิส กลิ่นอายแบบนี้มัน !!” มนุษย์แมวผู้เป็นทหารคุ้มกันคนหนึ่งกล่าวขึ้นกับเมมฟิส ในขณะที่เขากำลังกำดาบเหล็กยาวไว้ในมือด้วยท่าทางดูหวาดกลัวแสดงออกมาจากสีหน้าได้อย่างชัดเจน“พวกเราทุกคนเตรียมตัวมันกำลังจะเข้ามาแล้ว !!” เมมฟิสตะโกนออกมาเสียงดังเพื่อเป็นสัญญาณให้ทหารคุ้มกันกองคาราวานทุกคนครับมือจากการโจมตีจากสิ่งที่หมายตาพวกเขาอยู่ในความมืด ภายในวินาทีนั้นสิ่งที่อยู่ในความมืดก็ปรากฏกายออกมาให้กับทหารผู้คุ้มกันของคาราวานทุกคนประจักษ์เห็นด้วยสายตา สิ่งที่จ้องโจมตีพวกเขาอยู่คือกองทัพของทหารโครงกระดูก (Skeleton Warrior) พวกมันเป็น Monster ระดับกลางที่ถูกอัญเชิญด้วยศาสตร์แห่งความตายและวิญญาณของเหล่านักรบที่ไม่ได้ไปสู่สุคติพวกมันจะทำตามคำสั่งของจอมเวทย์ผู้เป็นนายดังนั้นเมื่อพวกมันโจมตีกองคาราวานของเหล่ามนุษย์แมวเช่นนี้นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังถูกหมายตาจากจอมเวทย์ที่มีความสามารถในด้านศาสตร์แห่งความตายอย่างมากคนหนึ่ง “คุ้มกันรถโดยสารที่มีพวกเด็กๆเอาไว้เป็นอันดับแรกเจ้าพวกนี้ไม่ใช่โจรมันไม่หวังสินค้าของพวกเราอยู่แล้ว !! รับมือ !!” เมมฟิสตะโกนสั่งการออกมาอย่างรวดเร็วจากนั้นเขาก็พุ่งกระโจนเข้าไปฟาดฟันกับเหล่าทหารโครงกระดูกอย่างรุนแรงและกล้าหาญ วิชาดาบของเมมฟิสซึ่งใช้ดาบคาตานะเป็นหัวใจหลักมีความรวดเร็ว เฉียบคม อีกทั้งยังดูพริ้วไหวและมีพลังทำลายอันเหลือล้นเขาสามารถล้มทหารโครงกระดูกนับ 10 ตัวได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา อีกทั้งเหล่าทหารมนุษย์แมวซึ่งเป็นผู้คุ้มกันกองคาราวานนั้นจัดว่าเป็นนักรบผู้ผ่านศึกที่ได้รับการฝึกฝนในการต่อสู้กับเหล่า Monster มาเป็นอย่างดีพวกเขามีความสามารถในเชิงดาบไม่ด้อยไปกว่าอัศวินชั้นหัวกะทิในกองทัพเลย แม้จำนวนของเขาจะมีน้อยกว่าทหารโครงกระดูกในอัตราส่วน หนึ่งต่อหลายสิบแต่ว่าพวกเขากลับคุมชั้นเชิงในการศึกครั้งนี้ให้เหนือกว่าได้อย่างไม่ยากเย็น“สมแล้วกับที่เป็นบิสแมนเผ่าพันธุ์มนุษย์แมว !! ช่างน่าประทับใจเสียจริงๆนี่แหละที่ชั้นกำลังต้องการ !! แต่ว่าถ้าปล่อยให้พวกทหารโครงกระดูกชั้นต่ำแบบนี้ลงมือต่อไปก็คงจะไม่ได้เรื่องถ้าอย่างนั้นล่ะก็…..” เสียงบ่นพึมพำของชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมทำจากผ้าไหมสีดำประดับประดาด้วยเครื่องประดับที่ทำจากเศษกระดูกดูแปลกตา เขายืนมองการต่อสู้ของเหล่ามนุษย์แมวจากระยะไกลด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด จากนั้นเขาก็หยิบมีดสั้นซึ่งทำจากหินภูเขาไฟซึ่งมีลักษณะเป็นแก้วผลึกสีดำออกมาจากด้านในของเสื้อคลุม เขาใช้มีดเล่มนั้นกรีดที่ปลายนิ้วของตนเองจนทำให้เขามีหยดเลือดสีแดงไหลออกมาจากปาดบาดแผลที่ปลายนิ้วของเขา ทันทีที่เลือดของเขาหยดสัมผัสลงสู่พื้นดินก็ปรากฏเป็นทหารโครงกระดูกซึ่งสวมเกราะหนักทำจากเหล็กที่หนาและมีสีดำสนิท มันถือดาบมือเดียวขนาดใหญ่ดูคมกริบและหนักพร้อมทั้งมีโล่ที่ใหญ่และหนาติดมือมาด้วยภายในร่างกายของมันมีเปลวไฟสีน้ำเงินพวยพุ่งออกมาจากทั้งเบ้าตา ปาก และช่องว่างระหว่างกระดูกซี่โครง“Undead Knight…..ถ้าเป็นเจ้านี้แล้วล่ะก็คงจะสมน้ำสมเนื้อกับเจ้าแมวดำที่ถือดาบคาตานะเล่มนั้นอยู่หรอกนะ….เอาล่ะไปได้ !!” To be continued....?
|
|
|
Post by Saraphina on Jun 8, 2018 18:14:18 GMT
Kingdom of Vermilion : Heartless Princess EP : 3 Mission “Undead Knight…..ถ้าเป็นเจ้านี้แล้วล่ะก็คงจะสมน้ำสมเนื้อกับเจ้าแมวดำที่ถือดาบคาตานะเล่มนั้นอยู่หรอกนะ….เอาล่ะไปได้ !!” ชายลึกลับในชุดผ้าคลุมไหมสีดำที่ประดับประดาไปด้วยกระดูก กล่าวสั่งการนักรบโครงกระดูกตัวใหม่ซึ่งเขาอัญเชิญขึ้นมามันดูแข็งแกร่งกว่านักรบโครงกระดูกทั่วไปมาก ทันทีที่ได้ยินคำสั่งการของผู้เป็นนายอัศวินโครงกระดูกก็มุ่งหน้าเข้าไปโจมตีกลุ่มกองคาราวานของมนุษย์แมวทันทีราวกับเครื่องจักรสังหารที่ไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ เมมฟิสซึ่งในขนาดนี้กำลังติดพันต่อสู้กับเหล่านักรบโครงกระดูกจำนวนมากที่เข้ามารายล้อมกองคาราวานจากทุกทิศทุกทาง เขาแม้จะไม่รู้สึกตึงมือแต่ว่าการต่อสู้นี้คงจะไม่สามารถจบลงได้โดยง่าย เขาจะต้องหาทางทำลายต้นต่อของเหล่านักรบโครงกระดูกนั่นก็คือจอมเวทย์ซึ่งอัญเชิญพวกมันขึ้นมา เมมฟิสค่อยๆใช้จมูกอันเป็นเลิศของเขานั้นดมกลิ่นที่ลอยมาตามกระแสลม พวกนักรบโครงกระดูกนั้นจะมีกลิ่นเหม็นสาบของความตาย แต่ถ้าหากเป็นจอมเวทย์ที่อัญเชิญพวกมันขึ้นมาน่าจะต้องมีกลิ่นที่แตกต่างออกไปใช่แล้วมันจะต้องเป็นกลิ่นของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก่อนที่เมมฟิสจะได้ลงมือค้นหาตัวการที่เข้ามาโจมตีกองคาราวานของเขา อัศวินโครงกระดูกซึ่งถูกอัญเชิญมาก็เข้ามาสู่สนามรบอย่างรวดเร็ว พละกำลังของมันมหาศาลมันตวัดดาบเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถที่จะทำให้เรามนุษย์แมวซึ่งเป็นบอดี้การ์ดระดับทั่วไปต้องกระเด็นกระดอนเสียหลักกันอย่างไม่เป็นท่าเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าหากต้องการที่จะรักษาชีวิตของเพื่อนร่วมเดินทางเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเมมฟิสไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องกำจัดมันเสียก่อน“ทุกคนถอยไปก่อนเหมียว !! ตรงนี้ให้ข้าจัดการเอง !!” เมมฟิสกล่าวขึ้นในขณะที่วิ่งพุ่งเข้าใส่อัศวินโครงกระดูกอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว เขาใช้ดาบคาตาน่าในมือตวัดเข้าใส่อัศวินโครงกระดูกในทันทีที่เข้าประชิดตัวได้ คมดาบของเมมฟิสถูกตวัดออกไปอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดเสียงแหวกอากาศดังลั่นราวกับสายฟ้าฟาด เคร๊ง !!! เสียงเหล็กกระทบกันดังลั่น อัศวินโครงกระดูกใช้โล่ที่หนาและหนักของมันเป็นเกราะกำบังคมดาบของเมมฟิสเอาไว้ได้ มันแตกต่างจากนักรบโครงกระดูกตัวอื่นๆจากที่ดูแล้วมันมีทักษะการต่อสู้ที่ค่อนข้างดีเยี่ยมและที่สำคัญกว่านั้นคือมันไม่กลัวความตาย เมมฟิสนั้นรับรู้ได้ทันทีว่าศัตรูตัวนี้แตกต่างจากนักรบโครงกระดูกใช้แล้วทิ้งที่บุกเข้ามาก่อนหน้านี้ลิบลับ “ไอ้เจ้าตัวนี้ท่าทางจะล้มไม่ได้ง่ายๆแน่เหมียว !! ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ !!” เมมฟิสเปลี่ยนจากการบุกเข้าไปฟันกลายเป็นยืนนิ่งอยู่เฉยๆด้านหน้าของอัศวินกระดูกราวกับจะเชื้อเชิญให้มันโจมตีเข้ามา แล้วก็เป็นอย่างที่เมมฟิสคาดเอาไว้อัศวินโครงกระดูกบุกเข้ามาโจมตีเขาในทันทีมันฟาดดาบโค้งอาวุธประจำกายของมันเข้าใส่เมมฟิสอย่างรุนแรง เมมฟิสนั้นรอจังหวะนี้อยู่แล้วเพราะเขานั้นเล็งไว้ที่การโจมตีสวนกลับ ในวินาทีที่ดาบของอัศวินโครงกระดูกถูกฟาดลงมาเมมฟิสก็ชักดาบคาตานะของเขาฟันสวนออกไป การทำเช่นนี้จะทำให้ผลการต่อสู้วัดกันที่ความรวดเร็วเป็นหลักไม่ใช่กำลังหรือพลังป้องกันแต่อย่างใด อัศวินโครงกระดูกนั้นแม้จะแข็งแกร่งแต่ก็จัดว่าเชื่องช้ากว่าเมมฟิสมาก ฉับ !! เสียงของคมดาบตัดผ่านกระดูกที่หนาแข็งเกิดเสียงดังลั่น การโจมตีของเมมฟิสนั้นได้ผลเขาสามารถที่จะตัดแขนขวาของอัศวินโครงกระดูกซึ่งเป็นมือข้างที่ถือดาบอยู่จนขาดออกได้ เมมฟิสไม่รอให้โอกาสที่เขาได้รับมานี้สูญเปล่า เขารีบกระโดดสูงขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับศีรษะของอัศวินโครงกระดูกหลังจากนั้นเขาก็ถือดาบเอาไว้ในท่าเตรียมพร้อมที่จะโจมตี “เพลงดาบชาวเกาะแมว กระบวนท่าปลิดวิญญาณที่ 2 คมดาบอสูร !!” เมมฟิสตวัดดาบคาตานะของเขาออกไปอย่างรวดเร็วจนทุกคนที่มองเห็นกระบวนท่านั้น เห็นเพียงแค่แสงสีแดงหลายเส้นวิ่งไปวิ่งมาถาโถมเข้าใส่อัศวินโครงกระดูก หลังจากกระบวนท่าฟันสิ้นสุดลงเมมฟิสก็ทิ้งตัวลงมายืนที่พื้นอย่างแผ่วเบา อัศวินโครงกระดูกไม่ขยับเขยื้อนใดๆมันแน่นิ่งไปราวกับว่าต้องมนต์สะกด หลังจากนั้นสิ่งที่ตระการตาก็เกิดขึ้นร่างของอัศวินโครงกระดูกค่อยๆหลุดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนี่คือผลของการฟันอย่างรวดเร็วหลายสิบหลายร้อยครั้งในช่วงเวลาอึดใจเมมฟิสเก็บดาบของเขาเข้าฝักและสั่งการให้นักรบมนุษย์แมวตัวอื่นๆเข้าโจมตีนักรบโครงกระดูกที่เหลือให้หมดสิ้น แต่ว่าความตั้งใจนี้ของเขากลับต้องล้มเหลวลงเมื่อจอมเวทย์ผู้เป็นชายหนุ่มลึกลับที่สวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำและมีโครงกระดูกประดับประดาอยู่ปรากฏตัวลอยขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา เมมฟิสนั้นรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้คือผู้ที่เป็นเจ้านายของอัศวินโครงกระดูกที่เข้ามาโจมตีพวกเขา เมมฟิสจึงตั้งท่าเตรียมที่จะต่อสู้ “ใจเย็นๆก่อนสหายมนุษย์แมวที่น่ารักทั้งหลาย ข้าไม่ได้ต้องการชีวิตของพวกเจ้า ทรัพย์สมบัติของเจ้าข้าก็ไม่ต้องการเช่นกัน” ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยันอยู่ในที เมมฟิสนั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายออกมาจากชายผู้นี้ ชายผู้นี้นั้นจะต้องเป็นจอมเวทย์ระดับสูงที่มีฝีมือไม่ธรรมดาแน่ๆมนุษย์แมวอย่างเขานั้นมีจุดอ่อนตรงที่ไม่มีพลังเวทมนตร์จะมีก็เพียงแค่ร่างกายที่รวดเร็วว่องไวและความชำนาญในการใช้อาวุธที่เหนือกว่าเผ่าอื่นๆก็เท่านั้น ถ้าหากต้องมาเจอกับจอมเวทย์ที่มีพลังอำนาจมากมายเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายคนนี้“เหมียว !! พูดจาวกไปวนมาอยู่ได้ต้องการอะไรจากพวกเราก็รีบๆบอกมา” เมมฟิสจึงตัดสินใจที่จะเจรจากับชายผู้นี้ เขาเปิดคำถามที่ตรงประเด็นออกไปซึ่งๆหน้าคำถามของเมมฟิสทำให้ชายหนุ่มผู้สวมชุดคลุมผ้าไหมสีดำยิ้มออกมาอย่างพอใจมันเป็นรอยยิ้มที่ดูน่าสะอิดสะเอียนชวนขนลุก “ข้าต้องการสมบัติ …..แต่ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองธรรมดา ข้าต้องการ Item เวทย์มนต์มีของอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า Heartless Princess หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ องค์หญิงผู้ไร้หัวใจ มันเป็นตะเกียงต้องคำสาปที่จะเรียกเอาวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วมาวนเวียนอยู่รอบๆแสงของตะเกียง มันเป็นหนึ่งในสมบัติที่อยู่ในท้องพระคลังมหาสมบัติของจักรพรรดิ Ylisse พวกเจ้าจงไปเอามันมาให้ข้า….” ชายหนุ่มผู้สวมผ้าคลุมไหมสีดำกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ เมมฟิสเมื่อได้ฟังสิ่งที่ชายผู้นั้นต้องการเขาก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบชายผู้นั้นกลับไปว่า“นี่แกต้องการสมบัติของจักรพรรดิ Ylisse อย่างนั้นเหรอเหมียว ? แกก็รู้นี่ว่าท้องพระคลังมหาสมบัติที่อยู่ในเมืองหลวงมีการป้องกันดีขนาดไหน ต่อให้พวกเรามี 9 ชีวิตก็คงจะไม่พอที่จะไปเอามันมาให้แกได้หรอกไปวานคนอื่นแทนเถอะ !!” เมมฟิสตอบกลับชายหนุ่มซึ่งสวมชุดคลุมผ้าไหมสีดำไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ชายคนนั้นเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่เมมฟิสพูดนั้นเป็นความจริง แต่ว่าความโลภในใจของชายผู้นั้นไม่อาจจะทำให้เขาต้องลามือได้แค่นี้ “จะไม่ทำอย่างนั้นเหรอ ? ถ้าอย่างนั้นเห็นทีคงจะต้องเพิ่มแรงกระตุ้นสักหน่อยแล้ว !!” ชายในชุดคลุมผ้าไหมสีดำสะบัดมือออกไปในอากาศรถม้าคาราวานของพวกมนุษย์แมวซึ่งภายในนั้นเต็มไปด้วยมนุษย์แมวที่ยังเป็นเด็กและผู้หญิงไร้ทางต่อสู้ก็ลอยขึ้นในอากาศ เสียงของมนุษย์แมวที่อยู่ภายในรถม้าพากันร้องออกมาระงมด้วยความรู้สึกหวาดกลัว เมมฟิสมีท่าทางแตกตื่นขึ้นมาทันทีเขารีบตะโกนบอกชายในชุดผ้าไหมสีดำว่า “เด็กกับผู้หญิงพวกนั้นไม่เกี่ยวต่อให้แกจะฆ่าพวกเค้า แกก็ไม่มีวันได้ของที่จะอยากได้หรอกหยุดซะเหมียว !!” เมมฟิสที่แสนฉลาดกล่าวตอบออกไปนั่นคือความจริง แต่ชายหนุ่มผู้นั้นเองก็มีความฉลาดที่ไม่แพ้กันเขาจึงตอบเมมฟิสกลับมาว่า“ใช่ !! ถึงข้าจะฆ่าเจ้าพวกไร้ประโยชน์นี้ไปก็ไม่ทำให้ข้าได้ของที่ต้องการหรอก แต่ว่าถ้าข้ายังไม่ฆ่ามันตอนนี้แล้วบอกกับแกว่าจงไปเอาตะเกียงนั่นมาแล้วข้าจะปล่อยพวกมันไปล่ะจะว่ายังไง ?” ชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมสีดำจ้องมองเข้าไปในแววตาของเมมฟิส ซึ่งแสดงออกมาได้ถึงความกังวลและความหวาดกลัวอย่างเต็มที่เขาแสยะยิ้มออกมาเนื่องจากรู้ว่าการต่อรองนั้นเป็นผลสำเร็จแล้ว “ก็ได้เหมียว !! เราตกลงเราจะไปนำตะเกียงนั่นมาให้เจ้า แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะต้องไม่มีคนของเราแม้แต่คนเดียวตาย...” ชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมสีดำเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาดังลั่นเหมือนกับเด็กที่ได้ของเล่น เขาหัวเราะอย่างพอใจอยู่อย่างนั้นสักครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าเจ็ดวัน พวกเจ้าต้องนำมันมาส่งให้ข้าตามแผนที่ที่กำหนดเอาไว้นี่ ถ้ามาช้าแม้แต่วันเดียวพวกของแกทุกคนจะต้องกลายเป็นบริวารของข้า” ชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมสีดำกล่าวจบเขาก็ทิ้งแผนที่ซึ่งเป็นกระดาษสีน้ำตาลใบเล็กลงมาจากมือของ เขากระดาษใบน้อยร่วงลงมาสู่พื้นดินตามแรงโน้มถ่วงปกติ เมมฟิสตรงเข้าไปหยิบกระดาษแผนที่ขึ้นมาและก็มองดูมันเป็นถ้ำที่อยู่กลางป่าไม่ไกลจากเมืองหลวงของทวีป Ylisse อีกทั้งถ้ำแห่งนี้ยังปลอดคนและสะดวกมากต่อการซ่อนตัวจัดว่าชายหนุ่มผู้นี้เลือกสถานที่แลกเปลี่ยนสิ่งของได้อย่างแยบยล “อีก 7 วันข้างหน้าข้าจะรอฟังข่าวดีจากพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังแล้วพบกันใหม่ !!” ชายหนุ่มผู้ใส่ชุดคลุมผ้าไหมสีดำสะบัดมือในอากาศเบาๆด้านหลังของเขาก็เกิดประตูมิติบานใหญ่ปรากฏขึ้นมา เขาค่อยๆจมหายไปในประตูมิติพร้อมกับรถม้าที่บรรทุกเหล่ามนุษย์แมวเด็กและผู้หญิงซึ่งเขาจับไว้เป็นตัวประกัน หลังจากที่นักเวทย์หนุ่มผู้ชั่วร้ายกลับไปแล้ว มนุษย์แมวที่เหลือซึ่งเป็นพวกนักรบและผู้ชายที่เป็นพ่อค้าก็มารวมตัวประชุมกันเพื่อที่จะวางแผนในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดจะทำก็คือการขโมยของของราชวงศ์ Ylisse “เหมียว !! พวกเราปกติแล้วก็มักจะตั้งร้านค้าเร่อยู่ที่ด้านหน้าประตูเมืองการหาข้อมูลจากพวกทหารนั้นไม่ยากเลยสำหรับพวกเรา เรื่องการเข้าเวรยามรักษาพระคลังข้อมูลทั้งหมดเราขอเป็นคนนำมันมาให้เอง” พ่อค้าชาวมนุษย์แมวตัวหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกของกองคาราวานกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มันอกมันใจ เขานั้นค้าขายอยู่ภายในเมืองหลวงของทวีป Ylisse มานานหลายปีเรื่องการหาข้อมูลจากทหารยามจึงไม่ใช่เรื่องที่ลำบากเลยสำหรับเขา“อืม…..ถ้าเราได้ข้อมูลมาแล้วจะลงมือกันยังไงนี่สิท้องพระคลังมหาสมบัติของจักรพรรดิ Ylisse มีอัศวินเวทมนตร์ฝีมือร้ายกาจคอยเฝ้ายามตลอด 24 ชั่วโมง ต่อให้รู้ช่วงการสลับเวรยามก็เป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆไม่ถึง 10 นาทีเราต้องลงมืออย่างรวดเร็วและเฉียบขาดมากพอ” เมมฟิสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกังวลหลังจากที่เขาพูดเช่นนั้นก็มีลูกครึ่งมนุษย์แมว 2 ตัวมาขออาสาร่วมทีมในการเข้าโจรกรรมครั้งนี้ ลูกครึ่งมนุษย์แมวนั้นเกิดจากการผสมกันระหว่างมนุษย์แมวและคนปกติ พวกเขาจะมีรูปร่างเหมือนคนปกติเพียงแต่ว่าจะมีใบหูของแมวปรากฏขึ้นบนศรีษะและบางตัวก็ยังมีหางของแมวอยู่ที่บริเวณกระดูกก้นกบ พวกลูกครึ่งมนุษย์แมวนั้นจัดว่าเป็นเผ่าพันธุ์ผสมที่มีความน่ารักน่าชังและมีเสน่ห์ดึงดูดมากเป็นอันดับต้นๆของเหล่าบรรดาเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหลาย “ลุงเมมฟิสเรื่องการขโมยของครั้งนี้ขอผมมีร่วมด้วยเถอะ พลังพิเศษของผมก็คือ Gift of Speed ถ้าเรื่องความเร็วล่ะก็ผมไม่เป็นสองรองใครแน่นอน ถึงจะมีเทคนิคในด้านการต่อสู้เทียบกับลุงเมมฟิสไม่ได้ แต่ถ้าเป็นด้านความเร็วเราก็ผมไม่แพ้แน่” ชายหนุ่มลูกครึ่งมนุษย์แมวซึ่งมีนามว่าลิงค์กล่าวขึ้นเพื่อที่จะขอร่วมทีมในการโจรกรรมเขามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเขามากพอสมควรเมมฟิสนั้นรู้ดีว่าพวกที่มีพลังพิเศษหรือที่เรียกว่า Gift จะเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไปถ้าหากว่ารู้จักใช้พรสวรรค์ที่ได้รับมาอย่างถูกต้องและลิงค์ก็เป็นหนึ่งในคนที่มีคุณสมบัตินั้นอย่างครบถ้วน “เอ่อ…..ถ้าอย่างนั้นคุณอาเมมฟิสหนูขอไปด้วยคนได้ไหมคะลิงค์ชอบทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เรื่อย ถ้าหากว่าไม่มีหนูคอยอยู่ใกล้ๆหนูเชื่อว่าเขาจะต้องทำอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่...” ลูกครึ่งมนุษย์แมวสาวน้อยซึ่งมีนามว่านัวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเขินอาย เมมฟิสนั้นค่อนข้างจะรู้สึกดีใจเมื่อรู้ว่านัวจะเข้ามาช่วยเหลือเขาในการโจรกรรมสิ่งของ เมมฟิสนั้นเคยเป็นครูฝึกหัดสอนอาวุธให้กับมนุษย์แมวมาแล้วหลายรุ่น และนัวนั้นก็จัดว่าเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่มีฝีมือดีเป็นอันดับต้นๆของเขาเลยทีเดียวพลังพิเศษของเธอก็คือ Gift of Sense ประสาทสัมผัสของเธอนั้นเป็นเลิศไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น หรือแม้แต่การสัมผัส เธอนั้นสามารถที่จะได้ยินเสียงจากที่ไกลๆได้ ดวงตาของเธอมองเห็นในความมืดได้ดีเยี่ยม ลิ้นของเธอนั้นสามารถที่จะแยกแยะยาพิษซึ่งไร้สีไร้กลิ่นออกมาได้อย่างแม่นยำ และประสาทสัมผัสที่น่ากลัวที่สุดของพลังพิเศษของเธอนั้นก็คือสัมผัสที่ 6 หรือที่เรียกกันว่าลางสังหรณ์การขโมยนั้นไม่จำเป็นจะต้องใช้กำลังมาก แต่จำเป็นที่จะต้องใช้สมาชิกที่มีประสิทธิภาพ เมมฟิสคิดว่าพวกเขาเพียงแค่ 3 คนนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับที่จะโจรกรรมตะเกียงต้องคำสาปที่ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมสีดำต้องการออกมาได้ และแล้วเมื่อถึงวันที่จะต้องลงมือข้อมูลการสับเปลี่ยนเวรยามก็ถูกส่งมาอย่างแม่นยำ พวกของเมมฟิสจึงสามารถที่จะขโมยตะเกียงต้องคำสาปออกมาได้อย่างไม่ยากเย็น ในระหว่างการขโมยนั้นเมมฟิสใช้สันของดาบคาตานะคู่กายของเขาฟันเข้าที่อัศวินเวทมนตร์ 2 คนซึ่งเป็นเวรยามรักษาท้องพระคลัง ลิงค์ที่สังเกตการกระทำของเมมฟิสอยู่ห่างๆรู้สึกสงสัยและยิงคำถามใส่กับเขาว่า “ลุงเมมฟิสทำไมลุงถึงใช้สันดาบล่ะครับ ถ้าใช้คมดาบและล่ะก็น่าจะสังหารมันได้ง่ายๆ แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะฟื้นขึ้นมาในระหว่างที่พวกเราเตรียมตัวจะหลบหนีกันด้วย” ลิงค์กล่าวคำถามขึ้นเช่นนั้นเมมฟิสเมื่อได้ยินคำถามเขาก็กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสีหน้าที่เรียบเฉยว่า“เราแค่มาขโมยของ เราไม่ได้มาฆ่าคน ความสูญเสียน่ะ อย่าให้เกิดขึ้นเลยจะดีกว่านะเหมียว” ลิงค์เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นจากปากของเมมฟิส เขาก็รู้ว่าอาจารย์ของเขาคนนี้เป็นคนที่อ่อนโยนขนาดไหน ลิงค์คิดในใจว่าสักวันหนึ่งความอ่อนโยนนี้อาจจะกลับมาทำร้ายอาจารย์ของเขาในสักวันก็เป็นได้ และถ้าหากถึงเวลานั้นเขานี่แหละที่จะเป็นคนปกป้องอาจารย์ของเขาเองหลังจากที่มนุษย์แมวและลูกครึ่งมนุษย์แมวทั้งสามคนขโมยตะเกียงต้องคำสาปออกมาจากท้องพระคลังได้สำเร็จ พวกเขาก็รีบรุดหน้าตรงไปยังสถานที่นัดพบที่ชายหนุ่มผู้ใส่ชุดคลุมสีดำกำหนดเอาไว้ทันที แต่ว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นที่สะดุดตา พวกเขาทั้งสามคนนั้นจึงตัดสินใจเดินทางกันด้วยเท้าและทำตัวเหมือนกับเป็นนักเดินทางทั่วไป แม้การเดินทางนี้จะช้าหน่อยแต่ก็รับรองความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่งว่าจะไม่ถูกตรวจจับจากทหารรักษาการลาดตระเวนตามท้องถนนด้านนอกตัวเมือง เพราะว่าที่ทวีป Ylisse แห่งนี้เต็มไปด้วยนักเดินทางมากมายหลายเผ่าพันธุ์จนแทบที่จะเรียกได้ว่าไม่อาจจะนับตัวกันได้เลยทีเดียว - กลับมาสู่ช่วงเวลาปัจจุบัน - เมมฟิสและลิงกำลังนอนหลับพักผ่อน โดยที่มีนัวเป็นคนคอยใช้พลังพิเศษเพื่อตรวจจับสิ่งที่เข้ามาใกล้ๆเป็นการรักษาความปลอดภัย พวกเขาตั้งใจว่าจะพักผ่อนกันเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็จะเดินทางต่อ การที่มีของร้อนอยู่ในมือจะมาเอ้อระเหยลอยลมก็ดูจะไม่ใช่ที่ หลังจากที่ทานอาหารเสร็จทั้งสองคนก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว การนอนหลับง่ายนั้นเป็นหนึ่งในลักษณะที่ดีของพวกมนุษย์แมวและลูกครึ่ง พวกเขากินง่ายอยู่ง่ายและสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มตื่นแม้ว่าจะอยู่ในสภาวะตึงเครียด ดังนั้นคุณสมบัตินี้จึงดีต่อร่างกายของพวกเขายามเมื่อต้องเดินทางหรือปฏิบัติภารกิจที่ยากลำบาก แต่ว่านัวซึ่งกำลังใช้พลังพิเศษของเธอตรวจจับความเคลื่อนไหวต่างๆรอบๆที่พักของพวกเขา เธอกลับพบความผิดปกติบางอย่างขึ้นจมูกของเธอได้กลิ่นของมนุษย์ หูของเธอนั้นได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ๆกับที่พักของพวกเธอ จำนวนของคนที่มาเยือนนั้นมีประมาณ 5 - 6 คนเป็นไปได้ว่านี่คือเจ้าหน้าที่ของทางการที่กำลังจะมาตามจับตัวพวกเธอซึ่งก่ออาชญากรรม “คุณอาเมมฟิส พี่ลิงค์ตื่นเถอะค่ะ !! เรากำลังถูกล้อมมีคนประมาณ 5 - 6 คนกำลังตีวงโอบล้อมพวกเราอยู่” คำกล่าวของนัวนั้นทำให้ทั้งสองคนตื่นขึ้นจากนิทรา เมมฟิสซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในการขโมยครั้งนี้กำลังคิดหาทางที่จะหลุดไปให้พ้นจากการล้อมจับกุมครั้งนี้ให้ได้ “ว่าไงนะเหมียว !! ล้อมเข้ามาจากทุกทิศทุกทางเลยหรอพวกมันอยู่ห่างจากเราเท่าไหร่ ?” เมมฟิสสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูของพวกเขาจากนัว แต่ว่าหญิงสาวนั้นยังไม่ทันจะได้ตอบคำถามของ เมมฟิสเลยแม้แต่คำเดียว ชายหนุ่มคนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับจุดที่พวกเขาทั้งสามคนยืนอยู่ ภายในมือของเขานั้นถือดาบดาบเคลย์มอร์เล่มยาวเอาไว้ ชายหนุ่มคนนั้นก็คือเอ็ดวาร์ดนั่นเอง เอ็ดวาร์ดนั้นเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงดังนั้นเมื่อเห็นเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าเขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าจู่โจมทันทีโดยที่ไม่ได้สนใจแผนซึ่งได้วางเอาไว้ก่อนหน้านี้มากนัก การที่จะต้องต่อสู้กับมนุษย์แมวเพียงแค่ 3 คนจะต้องวางแผนอะไรให้มันดูยุ่งยากวุ่นวายราวกับมือไม่พายเอาเท้าราน้ำเขานั้นไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ การใช้กำลังจับกุมให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้นเป็นสิ่งที่เขาเลือกและเขาก็ลงมือทำในทันที “ไอ้เจ้าพวกโจรชั่ว !! จงมารับผลกรรมที่พวกแกก่อเอาไว้ซะ !!” เอ็ดวาร์ดตะโกนออกมาด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมก่อนจะพุ่งเข้าใส่เมมฟิสซึ่งกำลังยืนมองเขาด้วยความตกตะลึง ในชั่วพริบตานั้นเองเอ็ดวาร์ดก็ได้ตวัดดาบเข้าใส่เมมฟิสอย่างเต็มแรงหมายที่จะทำให้เขาถึงแก่ชีวิตไม่ก็บาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว ชิ้ง !! เสียงของโลหะ 2 ชิ้นกระทบกันดังลั่นไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่จะต้องเป็นดาบอย่างแน่นอนเพียงแต่ว่าของใครและใครเป็นผู้ที่มีชัยในการลงดาบครั้งนี้ ......to be continued !!
|
|
|
Post by Saraphina on Jun 14, 2018 5:58:58 GMT
Kingdom of Vermilion : Heartless Princess EP : 4 Encouter
สิ้นเสียงดาบ 2 เล่มที่เข้าประทะกันดาบเคลย์มอร์ ซึ่งเคยอยู่ในมือของเอ็ดวาร์ดก็ลอยละลิ่วขึ้นสู่อากาศราวกับว่ามันไร้น้ำหนัก หลังจากนั้นมันก็ตกลงสู่พื้นและปักตั้งตรงอยู่ด้านหลังของเขาด้วยน้ำหนักของมัน
เมมฟิสคือผู้ชนะในการลงดาบครั้งนี้ ทักษะดาบของเขานั้นมีความรวดเร็วที่สูงมากและแน่นอนมันสูงกว่าเอ็ดวาร์ดหลายเท่า ถึงแม้ว่าเอ็ดวาร์ดจะเข้าโจมตีเมมฟิสโดยที่ไม่ทันตั้งตัว แต่ข้อได้เปรียบนั้นก็ไม่อาจทำให้เขาชดเชยความเร็วที่ด้อยกว่าอย่างมากได้
“ไอ้เจ้าบ้านั่งคิดจะทำอะไร !! ถึงได้พุ่งออกไปคนเดียวแบบนั้น” เมอรีลกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่หงุดหงิดและตกใจเมื่อเห็นการกระทำของเอ็ดวาร์ด เพราะว่าพวกเธอนั้นวางแผนกันไว้แล้วว่าจะเข้าทำการจู่โจมพร้อมๆกัน และจับเป็นสมาชิกกลุ่มโจรที่ขโมยสมบัติไปทุกคนให้ได้
เมมฟิสจ่อดาบคาตานะ ชี้ตรงไปที่เอ็ดวาร์ดด้วยแววตาที่ดุดันและเฉียบคมก่อนที่จะถามขึ้นมาว่า “คิดอะไรของเจ้านี้เหมียว …… ถึงได้ออกมาคนเดียวแบบนี้ อยากตายหรือไง ? หรือว่าประเมินพวกเราเอาไว้ต่ำขนาดนั้นเชียวหรือดูถูกกันชัดๆเลยนี่เหมียว !!” เมื่อได้ยินเมมฟิสพูดแบบนั้นคนอื่นๆซึ่งร่วมปฏิบัติภารกิจเดียวกันกับเอ็ดวาร์ด ก็ออกมาจากที่ซ่อนและเข้าล้อมพวกเมมฟิส โดยที่มีเมอรีลเป็นผู้นำ
นิโค่ ชูเลีย อคาร่า และเมอรีล นั้นชักอาวุธประจำกายขึ้นมาเตรียมพร้อมเอาไว้ในมือ เพื่อที่จะเข้าต่อสู้จับกุมพวกเมมฟิสและชิงเอาสมบัติที่ถูกขโมยไปกลับคืนมา สีหน้าท่าทางของเมมฟิสนั้นดูเปลี่ยนไปเมื่อเห็นว่าจำนวนของคู่ต่อสู้ของเขามีมากกว่า แต่ถึงสถานการณ์จะเสียเปรียบเขาก็ยังไม่เสียความใจเย็นและความเฉียบคมไปเลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าคือกลุ่มของมนุษย์แมวต้องสงสัยที่เข้าไปขโมยสมบัติในท้องพระคลังมหาสมบัติของจักรพรรดิ Ylisse เมื่อคืนนี้ พวกเราในนามอัศวินแห่งอาณาจักรจงให้พวกเราจับกุมแต่โดยดี หากไม่อย่างนั้นเราจะใช้กำลังเพื่อทำการจับกุมพวกเจ้า !!” เมอรีลกล่าวขึ้นกับเมมฟิสเพื่อทำการข่มขวัญและมันก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนการเข้าจับกุมใจเธอนั้นรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องมีการใช้กำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“หึหึหึ น่าตลกดีนะเหมียว ! ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าจะต้องใช้กำลังจะมามัวพูดอยู่ทำไมถ้าคิดว่าจับเราได้ก็เข้ามาเลย !!” เมมฟิสหัวเราะและกล่าวขึ้นมาอย่างตรงประเด็น เมอรีลรู้ได้ทันทีว่ามนุษย์แมวผู้นี้เป็นผู้ที่ผ่านการต่อสู้มาแล้วนับไม่ถ้วนเธอจึงไม่กล้าประมาทแต่การต่อสู้นั้นดูเหมือนจะเริ่มขึ้นแล้ว
เพราะว่าทันทีที่กล่าวจบเมมฟิสก็กระโดดขึ้นม้วนตัวและใช้สันของดาบคาตานะฟาดเข้าที่ด้านของลำคอเอ็ดวาร์ดความรู้สึกมึนงงและเจ็บปวดอย่างรุนแรงแน่นตรงไปยังสมองของเขา จนเขาต้องทรุดตัวล้มลงถึงแม้ว่าเขาจะไม่สลบแต่ก็ชาไปทั้งตัวจนไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาได้ระยะเวลาหนึ่ง
“นิโค่นายมากับฉัน เราจะรับมือกับเจ้าแมวตัวนี้กัน !!” เมอรีลกล่าวขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาเมมฟิสด้วยความเร็วเต็มฝีเท้าของเธอ นิโคลนั้นได้แต่ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายเล็กๆก่อนที่จะตามเธอไปอย่างติดๆเขากำดาบซึ่งอาจารย์ของเขานั้นให้ยืมมาเอาไว้ในมือด้วยท่าทางที่พร้อมจะต่อสู้เต็มที
“ถ้าอย่างนั้นคุณอคาร่า ดิฉันจัดการลูกครึ่งมนุษย์แมวผู้หญิงที่มีผมสีดำนะคะ ทางด้านคนที่มีผมสีขาวขอฝากให้คุณจัดการด้วยนะ” ชูเลียกล่าวขึ้นกับอัศวินสาวผู้มีเส้นผมสีแดงเพลิงที่ปฏิบัติตัวราวกับเป็นผู้ติดตามของเธอ อคาร่าพยักหน้าและโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมก่อนที่จะตอบกลับไปว่า
“รับทราบเพคะฝ่าบาท ฝ่าบาทเองก็โปรดระวังพระวรกายด้วย” อคาร่ากล่าวจบก็รีบวิ่งเข้าไปประกบลิงค์ ซึ่งเขากำลังทำท่าจะเข้าไปช่วยเหลือเมมฟิสจากการถูกรุมโจมตีโดยเมอรีลและนิโค่ ส่วนชูเลียนั้นเธอก็วิ่งเข้าไปประกบนัวซึ่งกำลังจะเข้าไปช่วยเหลือเมมฟิสเช่นกัน
ทันใดนั้นเสียงปะทะกันของอาวุธก็ดังสนั่นขึ้นมาภายในป่าที่เงียบสงบ เมมฟิสนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่เก่งกาจในด้านการต่อสู้จนเรียกได้ว่าอาจจะถึงชั้นระดับปรมาจารย์แต่ว่า เมอรีลเองก็เป็นหนึ่งในอัศวินที่มีฝีมือดีเป็นอันดับต้นๆของภาคีอัศวินแห่งอาณาจักร Ylisse การต่อสู้จึงดำเนินไปอย่างดุเดือด ดาบสีดำของเมอรีลซึ่งใหญ่และมีความคมมากถูกวัดแกว่งไปในอากาศอย่างรวดเร็วและชำนาญ เพลงดาบของเมอรีลนั้นมีความเฉียบคมและความดุดัน แต่เมมฟิสก็ใช้ว่าจะไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของเมอรีลได้ เขาใช้ดาบคาตานะของเขาปัดป้องวิถีดาบของเมอรีลได้อย่างฉิวเฉียดแทบจะทุกครั้ง
แต่ว่าสิ่งที่สร้างความลำบากให้กับเมมฟิสอย่างแท้จริงน่าจะเป็นนิโค่ซะมากกว่า เนื่องจากว่าเขานั้นจะคอยสังเกตการณ์อยู่วงนอกจากนั้นเมื่อเมมฟิสมีช่องว่างเมื่อไหร่ เขาจะทำการเข้าโจมตีที่ช่องว่างนั้นอย่างแม่นยำและรวดเร็วอีกทั้งการเคลื่อนไหวของเขานั้นยังไม่ขัดจังหวะกระบวนท่าของเมอรีลเลยแม้แต่น้อย
「ลำพังแค่อัศวินผู้หญิงผมสีน้ำตาลนี้ก็แย่แล้ว ยังจะมีเจ้าหนุ่มที่ลับลับล่อๆโจมตีเราอีก แบบนี้ลำบากแย่เอายังไงดีนะ….」เมมฟิสกำลังพิจารณาถึงสถานการณ์ลำบากของเขา เมื่อขืนต่อสู้แบบนี้ต่อไปตัวเขาเองก็คงจะลำบากแน่และโอกาสชนะก็จะน้อยลงทุกทีๆ เมมฟิสจึงตัดสินใจที่จะจัดการกับ 1 ใน 2 คนที่รุมโจมตีเขาก่อน เมื่อตัดสินใจได้ เมมฟิสจึงพุ่งเข้าไปหานิโค่อย่างรวดเร็วในระยะประชิด การเปลี่ยนเป้าหมายของเขานั้นสร้างความตกใจให้กับนิโค่เป็นอย่างมาก
เมมฟิสตวัดดาบคาตานะของเขาเข้าใส่นิโค่อย่างรวดเร็วและรุนแรงสิ่งที่เมมฟิสนั้นเล็งไว้ก็คือดาบภายในมือของนิโค่ เมมฟิสนั้นต้องการที่จะปลดอาวุธของนิโค่และทำให้เขาหมดสภาพที่จะสามารถต่อสู้ได้เช่นเดียวกับเอ็ดวาร์ด นิโค่รู้สึกตกใจเมื่อเห็นท่าทางของเมมฟิส เขานั้นรับรู้ได้ทันทีเลยว่าเมมฟิสนั้นต้องการที่จะทำอะไรเขาจึงรีบใช้ดาบเซเบอร์ซึ่งอยู่ภายในมือของเขาขึ้นมาตั้งท่าป้องกันในทันที
“ปฏิกิริยาตอบกลับฉับไวดีนี่เจ้าหนุ่ม แต่ว่าถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่พอหรอกนะเหมียว !!” เมมฟิสกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่ดูชื่นชมหลังจากนั้นเขาก็ตวัดดาบคาตานะเข้าใส่นิโค่อย่างรวดเร็ว นิโค่นั้นสัมผัสได้ถึงพลังที่รุนแรงซึ่งเข้ามาประทะกับตัวดาบของเขา ทิศทางที่ประทะนั้นทำให้ดาบเซเบอร์ของเขากระเด็นออกจากมืออย่างง่ายดายและลอยละลิ่วไปในอากาศ นิโค่ถูกเมมฟิสปลดอาวุธได้อย่างง่ายดาย
“นอนหลับฝันดีนะเจ้าหนุ่ม !!” เมมฟิสฝากดาบคาตานะเข้าไปที่ขมับด้านซ้ายของนิโค่อย่างแม่นยำ นิโค่รับรู้ได้ถึงแรงกระแทกที่ถูกส่งตรงไปยังสมองจากนั้นสติของเขาก็ดับลงทันที เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที เมมฟิสสามารถที่จะจัดการกับสมาชิกในทีมของเมอรีลได้อย่างง่ายดาย เอ็ดวาร์ดและนิโค่อยู่ในสภาพที่ไม่อาจต่อสู้ได้อีกแล้วจึงเหลือเพียงแค่การต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น
“ตัวต่อตัวแบบนี้ค่อยดูยุติธรรมหน่อยเหมียว !! เอาละจะมาจากพวกเราไม่ใช่เหรอเข้ามาเลยสิ !!” เมมฟิสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับจะเยาะเย้ยถากถางเมอรีลอยู่ในที แต่ว่าเมอรีลนั้นมีความใจเย็นมากพอที่จะไม่หลงกลไปกับคำพูดยั่วยุของเมมฟิส เธอค่อยๆบุกเข้าไปโจมตีอย่างระมัดระวังเนื่องจากเธอรู้แล้วว่าศัตรูตรงหน้าของเธอนั้นมีฝีมืออยู่ในระดับที่ไม่อาจจะประมาทได้
“คุณอาเมมฟิสเก่งจริงๆแป๊บเดียวก็จัดการไปได้ 2 คนแล้ว ทางคุณเองก็ยอมตัดใจเสียเถอะนะคะพวกคุณไม่มีทางที่จะจับพวกเราได้หรอก” นัวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูชื่นชมจากนั้นเธอก็หันกลับมามองคู่ต่อสู้ของเธอนั่นก็คือชูเลีย ชูเลียในตอนนี้มีท่าทางที่ดูเหน็ดเหนื่อยเธอมีเม็ดเหงื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าและหายใจเร็วขึ้น ราวกับว่าเธอไปทำกิจกรรมอะไรบางอย่างซึ่งใช้การเคลื่อนไหวจำนวนมากมาก่อนหน้านี้
“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ เธอเองก็เอาแต่หลบการโจมตีของฉันมาตั้งแต่ตอนแรกเลยนี่นา ตั้งใจจะให้ฉันเหนื่อยจนยอมแพ้ไปเองสินะ คิดง่ายไปหน่อยไหมคะ” ชูเลียกล่าวขึ้นมาในขณะที่เธอกำลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อที่จะปรับจังหวะการหายใจให้กลับมาเป็นปกติ เนื่องจากในการต่อสู้ที่ผ่านมานั้นเธอเป็นฝ่ายโจมตีอยู่ข้างเดียวโดยที่ นัวงั้นเอาแต่หลบหลีกการโจมตีของเธอตลอดและไม่ว่าจะพยายามโจมตีอย่างไรชูเลีย ก็ไม่สามารถที่จะโจมตีได้เข้าเป้าหมายเลยสักครั้งเหมือนกับว่านัวงั้นกำลังเล่นกลหลอกล่อเธออยู่
「ถ้าหากเรายังใช้พลังของ Gift of Sense อยู่แบบนี้ ผู้หญิงคนนี้คงจะทำอะไรเราไม่ได้หรอก เพราะเรารู้ว่าเธอจะโจมตีมาทางไหนก่อนที่เธอจะโจมตีมานี่นา แบบนี้คงจะพอถ่วงเวลาให้กับคุณอาได้สักระยะ เอาล่ะ !!」นัวคิดในใจพลางใช้สายตาจับจ้องไปยังชูเลียแบบไม่กระพริบ ชูเลียนั้นเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น
「ไม่ว่าเราจะโจมตียังไงก็ไม่มีทางโจมตีโดนเลย ลูกครึ่งมนุษย์แมวคนนี้เหมือนกับว่าจะรู้ล่วงหน้าว่าเราจะโจมตีไปแบบไหน แบบนี้ไม่ธรรมดาแล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ Gift มีอย่างนั้นเหรอ ? ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ !!」ชูเลียเริ่มจะหาสาเหตุของสิ่งที่เธอทำผิดพลาดได้พบจากนั้นเธอจึงหาวิธีแก้ไขโดยการ
“ข้าแต่ที่แห่งกาลเวลาผู้ยิ่งใหญ่โครนอส ขอจงโปรดฟังคำวิงวอนของผู้อยู่ในกระแสแห่งกาลเวลาอันยิ่งใหญ่ของท่าน โปรดจงช่วยประทานความเร็วซึ่งอยู่เหนือกฎของกาลเวลาให้กับข้า Haste !!” หลังจากใช้คาถาจบชั่วพริบตานั้น ร่างกายของชูเลียก็มีประกายออร่าสีเหลืองทองอ่อนๆเรืองรองออกมาดูสวยงาม เธอยิ้มออกมาอย่างพอใจจากนั้นก็กล่าวกับนัวว่า
“ไม่ว่าคุณจะล่วงรู้การโจมตีล่วงหน้าของดิฉันได้ หรือว่าคุณจะใช้เล่ห์กลอะไรก็แล้วแต่….แต่ว่าขอลองดูอีกสักตั้งนึงนะคะ เตรียมรับมือ !!” ชูเลียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสนุกสนาน จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าไปหานัวอย่างรวดเร็วเป็นความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นกว่าตอนแรก 2 เท่าและร่างกายของเธอนั้นยังดูเบาลงราวกับขนนก เธอใช้ดาบ 2 เล่มในมือกวัดแกว่งไปในอากาศอย่างชำนาญและรวดเร็วเข้าโจมตีนัวอยากเป็นจังหวะไม่ขาดสาย
นัวนั้นสามารถที่จะอ่านทางดาบของชูเลียได้บ้างแล้วจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่ว่าความเร็วของชูเลียที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวตอนนี้ทําให้เธอหลบหลีกได้ยากลำบากขึ้นมาก ไม่นานนักเธอก็ได้แผลตามแขนขาและลำตัวแม้จะเป็นแผลที่ไม่ลึก ในที่สุดความอดทนของนัวก็มาถึงขีดจำกัดการที่เธอไม่ตอบโต้ชูเลียเลยแม้แต่น้อยก็เพราะว่าเธอเชื่อในคำพูดของเมมฟิสที่ว่า “เรามาขโมยของ เราไม่ได้มาฆ่าคนดังนั้นความเสียหายอย่าให้เกิดขึ้นเลย เสียจะดีกว่า” นั่นเอง
“ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถทำตามที่คุณอาพูดได้แล้วล่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” นัวกล่าวออกมาเบาๆกับตนเองก่อนที่เธอจะหยิบมีสั้นแบบญี่ปุ่นซึ่งใช้สำหรับขว้าง (Kunai) ขึ้นมาในมือจำนวนข้างละ 4 เล่มอย่างราวเร็ว ชูเลียเมื่อเห็นนัวหยิบอาวุธขึ้นมาเธอก็เปลี่ยนท่าจากโจมตีมาเป็นเตรียมตัวป้องกันทันที นัวกระโดดหมุนตัวในอากาศอย่างรวดเร็วก่อนที่จะปามีดคูไนซึ่งอยู่ในมือของเธอออกมาอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ชูเลียนอกจากที่จะมีความสามารถด้านการต่อสู้ด้วยดาบแล้ว เธอยังมีความรู้ด้านอาวุธต่างแดนอยู่ไม่น้อย เธอย่อมรู้จักมีดซึ่งอยู่ในมือของนัวเป็นอย่างดีว่ามันมีเอาไว้ใช้สำหรับทำอะไร ทันทีที่มีดถูกปาออกมาเธอก็ใช้ดาบในมือของเธอทั้งสองเล่มนั้นปัดป้องการโจมตีของนัวเอาไว้ได้อย่างหมดสิ้น แต่เธอนั้นไม่รู้เลยว่าการปามีดมาใส่นั้นเป็นเพียงแค่การโจมตีหลอกการโจมตีที่แท้จริงของนัวก็คือ
“ปัดมีดของฉันได้หมดเลยหรอคะ ? คุณนี้เก่งไม่เบาเลยนะถ้าอย่างนั้นแบบนี้ล่ะ ?!?” ร่างของนัวไปปรากฏขึ้นด้านหลังของชูเลีย ภายในมือของเธอนั้นถือดาบคาตานะแต่มีขนาดสั้นกว่าของเมมฟิสประมาณ 2 ใน 3 ซึ่งเรียกว่า วากิซาชิ นัวใช้ดาบภายในมือของเธอแทงเข้าไปที่ด้านหลังของชูเลียในบริเวณที่เป็นรอยต่อของเกราะอย่างรวดเร็วและแม่นยำการโจมตีครั้งนี้เกินวิสัยที่ชูเลียจะสามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้
“องค์หญิงเพคะ !!” อคาร่าที่ถึงแม้จะต่อสู้อยู่กับลิงค์แต่เธอก็คอยสังเกตการต่อสู้ของชูเลียอยู่ตลอดเวลากล่าวขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สายเกินไปแล้ว ใบมีดของดาบซึ่งอยู่ในมือนัวแทงเข้าไปที่บริเวณเอวด้านหลังของชูเลีย แต่ดูเหมือนว่าคนที่จะต้องตกใจนั้นไม่ได้มีแค่ อคาร่าคนเดียวเท่านั้นคนที่ตกใจมากที่สุดจริงๆแล้วก็คือนัวนั่นเองเนื่องจากว่า
ใบมีดที่แทงเข้าไปควรจะต้องได้ดื่มเลือดของชูเลียไปบ้างแล้วไม่มากก็น้อยแต่ว่านี้ กลับไม่มีแม้แต่เลือดสักหยดไหลออกมาจากการแทงเข้าไปเลย อีกทั้งตอนที่โจมตีเข้าไปนัวรู้สึกได้ถึงแรงต้านมหาศาลราวกับว่ามีเกราะที่มองไม่เห็นกำลังห่อหุ้มตัวของชูเลียอยู่
“อันตรายจังเลยนะคะเธอเนี่ย…...ไม่นึกเลยว่าสาวน้อยน่ารักอย่างคุณเธอจะเป็นนินจาไปซะได้….” ชูเลียกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนิ่มและก็หันมาวาดดาบเข้าใส่นัวซึ่งอยู่ด้านหลังของเธอทันที นัวซึ่งอยู่ในภาวะตกตะลึงจึงไม่สามารถที่จะหลบการโจมตีที่สุดแสนจะเรียบง่ายครั้งนี้ได้ เธอจึงได้แผลที่ค่อนข้างลึกบริเวณลำตัวเข้าไปทันที
“อะ….อะไรกัน…..” นัวมีท่าทางตกใจในขณะที่กำลังกุมบาดแผลซึ่งเกิดจากดาบของชูเลียที่ฟันเข้าตรงบริเวณลิ้นปี่มันไม่สาหัสถึงขนาดทำให้เธอถึงแก่ชีวิตแต่ก็ทำให้เธอเจ็บปวดได้ไม่น้อย ชูเลียเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ จากนั้นก็กระซิบบอกกับเธอเบาๆว่า
“การเล่นไล่จับของพวกเธอจบลงแล้วล่ะค่ะ ยอมจำนนซะโดยดี !!” เมมฟิส และ ลิงค์ซึ่งตกใจจากการที่นัวได้รับบาดแผลแม้จะไม่สาหัสมากนักแต่นี้ก็อยู่ในสิ่งที่เกินความคาดหมายของพวกเขา เมมฟิสจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแผน จากการที่ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะทำให้กลุ่มผู้จับกุมซึ่งมาตามล่าเขาทุกคนต้องหมดสภาพการต่อสู้และไม่กลับมาตอแยกับพวกเขาอีก แต่ตอนนี้เขาต้องเลือกที่จะหนีไปที่จุดนัดพบ ซึ่งชายในผ้าคลุมไหมสีดำได้กำหนดเอาไว้ จากนั้นก็ส่งมอบตะเกียงให้ชายคนนั้นและจบเรื่องนี้ไปสักที ถ้าหากของกลางไม่อยู่ในมือของเขาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าหน้าที่จับกุมจะต้องไล่ล่าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
“นัว ลิงค์ เปลี่ยนแผนแล้วพวกเราไปจากที่นี่เถอะ !!” เมมฟิสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรีบร้อน ลูกทีมของเขาทั้งสองคนพยักหน้ารับทราบในสิ่งที่เขากำลังจะทำ ในทันใดนั้นเมมฟิสก็หยิบเอาลูกระเบิดชนิดหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันเป็นลูกระเบิดทรงกลมซึ่งพันเอาไว้ด้วยผ้าหลายชั้นเขารีบจุดไฟที่ชนวนของมันอย่างรวดเร็วก่อนที่จะปาลงพื้น
บรึ้ม !!! ควันจำนวนมากซึ่งเกิดจากแป้งฝุ่นและขี้เถ้า ฟุ้งกระจายในอากาศไปเป็นบริเวณกว้าง นี่คือระเบิดควันซึ่งใช้ในการพรางตัวและหลบหนีของชาวเกาะอันห่างไกลแห่งหนึ่ง แต่ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่เมมฟิสจะรู้จักและใช้อาวุธประเภทนี้
“แค่กๆๆๆ อะไรกันเนี่ยมองอะไรไม่เห็นเลยแถมแสบจมูกชะมัด” เมอรีลบ่นออกมาอย่างรำคาญใจเนื่องจากว่าเธออยู่ใกล้จุดที่ระเบิดแตกตัวมากที่สุดดังนั้นควันจำนวนมากจึงพุ่งเข้าไปหาเธออย่างช่วยไม่ได้ หลังจากผ่านไปประมาณ 5 - 6 นาทีวันที่อยู่รอบๆก็เริ่มสลายตัวไป แต่ว่าในที่นั้นก็ไม่พบเงาของโจรทั้ง 3 คนเรียบร้อยแล้วพวกเขาหลบหนีไปแล้ว
“เราต้องมาเจอกับพวกมนุษย์สัตว์ที่ใช้วิชาการต่อสู้และอาวุธจากเกาะอันห่างไกลแบบนี้ก็ลำบากเหมือนกันนะคะเนี่ย…..” ชูเลียกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่ายแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกยินดีที่ได้ประมือกับคู่ต่อสู้ซึ่งใช้วิชาที่แตกต่างออกไป จากการฝึกซ้อมเดิมๆที่เคยเจอในโรงเรียนของอัศวินเวทมนต์
“แล้วคราวนี้พวกเราจะเอายังไงกันต่อดีล่ะกัปตันเมอรีล …. แล้วก็พวกนายสองคนน่ะจะนอนไปถึงเมื่อไหร่ลุกขึ้นมาได้แล้ว !! “ อคาร่ากล่าวถามเมอรีล ในขณะที่สายตาของเธอก็มองไปยังชายหนุ่มทั้งสองของทีมซึ่งกำลังนอนสลบไสลอยู่ที่พื้นหญ้า เอ็ดวาร์ดนั้นค่อยๆลุกขึ้นมาด้วยท่าทางที่หัวเสียร่างกายของเขานั้นหายชาและกลับมาเป็นปกติดีแล้วแต่ก็ยังเดินเซไปมาอยู่นิดหน่อย
“เออขอโทษนะครับ…..รู้สึกว่าผมจะบาดเจ็บสาหัสขอลากลับไปแนวหลังตอนนี้เลยได้ไหม !!” นิโค่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงจากนั้นก็หัวเราะแหะๆออกมา จริงๆแล้วเขานั้นฟื้นตัวจนสามารถกลับมาต่อสู้ได้ก่อนที่เมมฟิสจะปาระเบิดควันเสียอีก แต่ว่าเขากับนอนอู้อยู่บนพื้น และดูการต่อสู้ของเพื่อนร่วมทีมอย่างเฉยเมย ทันทีที่เมอรีลได้ยินดังนั้นเธอก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบๆว่า
“เอาอย่างนั้นเหรอ ? นิโคลัส มูราคิน แบบนั้นก็ได้นะ แต่ว่าฉันจะกราบทูลเรื่องทั้งหมดกับองค์ราชาให้ออกประกาศิตให้นายห้ามสวมกางเกงไปตลอดชีวิต นายจะสามารถสวมได้แต่กระโปรงเท่านั้น เอาแบบนั้นไหมล่ะ ?” นิโค่เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหน้าซีดและยิ้มออกมาอย่างเจือนๆก่อนที่เขาจะตอบว่า
“ไม่เป็นไรครับ !! ดูเหมือนบาดแผลของผมหายดีแล้วพวกเราไปกันต่อเถอะ !!” ชูเลียเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็หัวเราะคืกๆในลำคออย่างรู้สึกตลกขบขัน แต่ว่าทันใดนั้นอคาร่าก็ส่งเสียงขึ้นมาบอกกับทุกคนว่าเธอพบอะไรบางอย่างอยู่ที่บริเวณนั้นมันเป็นแผ่นกระดาษสีน้ำตาลอ่อนขนาดเล็ก ภายในกระดาษแผ่นนั้นบันทึกแผนที่ซึ่งน่าจะเป็นของพวกเมมฟิสที่ทำตกไว้ เมอรีลรีบตรงเข้าไปดูกระดาษแผ่นนั้นด้วยความสนอกสนใจทันทีก่อนที่เธอจะทำคิ้วขมวดและกล่าวขึ้นมาว่า
“เจ้ามนุษย์แมวเจ้าเล่ห์…...ฝีมืออย่างมันไม่มีทางหรอกที่จะลืมของแบบนี้เอาไว้ที่นี่ได้ มันตั้งใจจะทิ้งเจ้านี่ไว้เพื่อให้เราไปตามแผนที่อันนี้ไปล่ะสิ เพราะนี้เป็นเบาะแสอย่างเดียวที่เรามีเกี่ยวกับพวกมัน ดีล่ะในเมื่อยื่นบัตรเชิญมาให้แบบนี้เราก็จะไปตามที่มันคาดหวังเอาไว้สักหน่อย !!” เมอรีลกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นและจริงจัง หลังจากนั้นกลุ่มไล่ล่าขโมยก็ออกเดินทางไปตามแผนที่ ซึ่งชายปริศนาในชุดคลุมผ้าไหมสีดำได้กำหนดไว้เป็นจุดนัดพบในการแลกเปลี่ยนตะเกียงต้องคำสาบกับตัวประกันของพวก เมมฟิส……
to be continued !!
|
|