Post by GreyTear on Mar 20, 2018 12:54:10 GMT
PROLOGUE...
เมื่อท้องฟ้าของชั้นถูกย้อมจนกลายเป็นสีเทา...
สิ่งที่ฉันมองเห็นนั้น มันชัดเจน เนตรนิรยราตรีไม่เคยโป้ปดต่อสิ่งที่ดวงจิตกำลังร่ำร้องแม้นจะกำลังอยู่ในยามที่กำลังหลับใหล...
สุริยคราสสีเลือดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเราคืออสุรเนตรที่ชั่วร้าย พวกรามสูรจากฟากฟ้าพากันโบยบินกรีธาทัพลงมาเพื่อกัดกินและทำลายความรักให้หายไปจากโลก...
ในวันที่ผืนนภามืดสนิท ดวงจิตของชั้นได้ร่ำร้องบอกกับฉันว่าความรักได้สูญสลายไปจากโลกเสียแล้ว... แสงสว่างสีรุ้งถูกจันทราทมิฬดวงนั้นกลืนกินจนหมดสิ้น
เหลือเพียงแต่ความมืดมิดที่แผ่ขยายออกไปจนไม่เหลือแม้แต่แสงสว่างรำไรที่ปลายเส้นขอบฟ้า...
ฉันกำลังยืนอยู่ที่ระเบียง เฝ้ามองกาลวิบัติสูญสิ้นของดวงดาวดวงนี้... เราจะมิสามารถทำอะไรกับมันได้เลยหรือ... จุดประสงค์ของเนตรนิรยราตรีต้องการจะบอกอะไรกับฉันกันแน่
เสียงกระซิบกระซาบ เสียงของหัวใจที่กำลังร่ำร้องกำลังบอกให้ชั้นเห็นถึงอนาคตหรือแค่ต้องการที่จะกล่าวเตือนถึงสิ่งที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นเฉยๆ
ถึงอย่างไรก็ตาม... เขาที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นคือผู้ที่ชะตาได้ถูกผูกมัดผ่านพันธะสัญญาแห่งเลือดเอาไว้แล้ว... เขาคือผู้ที่ฉันจะต้องตามหาและเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ยุติเรื่องราวอันเลวร้ายเหล่านี้...
ชั้นมองเห็นประกายแสงสีไพลินที่เจิดจรัสอยู่รอบตัวเค้า ท่ามกลางแสงแห่งความชั่วร้ายและไอนรกที่กำลังแผดเผาอยู่รอบๆตัว เขาคนนั้นยังคงเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความเยือกเย็นและความนิ่งสงบ ถึงแม้นจะมีออร่าแห่งบาปราคะหลบซ่อนและสะท้อนออกมาให้เห็นอยู่ภายในตัวก็ตาม...
เมื่อท้องนภาไร้ซึ่งแสงตะวันแล้ว ความมืดอันดิบดาลก็มิใช่อุปสรรคต่อการปลดปล่อยพลังของฉันเสียเท่าไหร่...
ไม่... อันที่จริงคือ... ไม่เลย แม้แต่นิดเดียว ยิ่งแสงสว่างดับสูญและถูกกลบหายไปมากเท่าใด พลังอันมหาศาลที่ซ่อนเร้นหลับใหลอยู่ภายในตัวก็จะยิ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
บางทีมันอาจฟังดูน่าตลก... แต่พลังที่กำลังหลับใหลอยู่ภายในตัวฉัน พลังที่นิยามความเป็นเจ้าแห่งรัตติกาลกลับตอบสนองได้ดีกับไอร้อนและรัศมีแห่งความชั่วร้าย... ความมืดยามรัตติกาล เพลิงพิโรธจากเหล่าเดรัจฉานเปรียบเป็นดั่งพันธมิตรของสตรีในชุดดำอย่างชั้น... ทว่าฉันจำเป็นที่จะต้องใช้มันเพื่อปกป้องโลก...
เนตรแม่มดของฉันมองเห็นความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งได้ไม่ต่างอะไรจากนัยน์ตาของมนุษย์ธรรมดา
เมื่อนั้นเอง...
อาชาของเราก็มิรอช้า ตัวของเขาได้พุ่งออกไป พ้นจากระเบียง ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าราวกับกำลังจะไปแตะดวงจันทร์สีทมิฬดวงนั้น ก่อนที่ร่างของเขาจะม้วนลง ตีลังกาหมุนเป็นกงจักรราวกับเจ้าเม่นสายฟ้า พร้อมกับร่ายรำปล่อยคมดาบแห่งสายลม บันดาลความตายให้แก่เหล่าอสูรกายพวกนั้น
เมื่อร่างของรามสูรถูกตัดขาดวิ่นและร่องลอยอยู่กลางอากาศ เสี้ยววินาทีนั้นเอง... ลูกครึ่งปีศาจก็ได้พุ่งย้ายตำแหน่งร่างกายของตนอย่างรวดเร็วกลางอากาศ เร็วและเกรี้ยวกราดเสียยิ่งกว่าลมพัดยามพิโรธ ! ตัวของเขาพุ่งเข้าไปปลิดชีพมารแต่ละตัวและกำจัดมันอย่างสิ้นซาก
กระบวนท่าของเขาไม่ต่างอะไรจากการตัดสินชีวิตของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าจะให้ดำรงอยู่หรือจะดับสูญและสลายหายไป... ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปชำแหละร่างของอสูรกายปีศาจตัวแล้วตัวเล่า ทีละตัวทีละตัว จนในที่สุดก็ทะยานลงสู่พื้น คุกเข่าย่อตัวลงเพื่อรับแรงกระแทก ก่อนที่จะค่อยๆเสียบดาบเปล่งรัศมีลงในฝัก ในขณะที่เศษซาก เนื้อหนังของเหล่าปีศาจที่เขาได้สังหารไป ค่อยๆลอยลงมา ประดุจดั่งเศษกระดาษที่ถูกบดฉีกและโยนทิ้งให้ร่องลอยกระจัดกระจายอยู่บนท้องฟ้า...
สมรภูมิรบถือกำเนิดขึ้นบนใจกลางนครหลวงของดาวเคราะห์ดวงนี้...
อสูรร้ายและปีศาจโบยบินลงมาจากฟากฟ้าพร้อมกับพาหนะของพวกมัน
เช่นเดียวกัน... ไพร่พลของฝั่งเรา มิตรสหายผู้กล้า ต่างก็ส่งเครื่องจักร ยวดยานพาหานะสำหรับการรบให้ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า พุ่งปลี่ บินโฉบ เข้าปะทะกัน
เกิดลำแสงสีแดงตัดสลับสวนทิศกับลำแสงสีทมิฬ เสียงของกระบอกปืนลำแสง ตามมาด้วยเสียงระเบิดกัมปนาท
ประกายแสงตู้มต้ามที่ปรากฏอยู่บนน่านฟ้า พร้อมกับซากของยวดยานพาหนะที่ร่วงหล่นลงมา ทั้งของฝั่งศัตรูและฝั่งของพวกเรา...
การสู่รบกันระหว่างปืนลำแสง ยานบินที่พริ้วไหวราวกับวิหคเหล็ก ประกอบกับการสู่รบทางภาคพื้นดิน ที่มีทั้งการใช้เวทมนตร์ประกอบกับการใช้เครื่องจักร ราวกับที่เคยเห็นเคยอ่านอยู่ในนิทานก่อนนอนเมื่อครั้งที่ยังเด็ก... สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจและเหล่าจอมเวทซึ่งเป็นมนุษย์...
ณ บัดนี้...
ตัวของฉันจะไม่ขอยืนอยู่เฉยๆอีกต่อไปแล้ว... ฉันจะไม่ยอมให้หยดน้ำตาที่มาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดต้องไหลรินลงสู่พื้นไปมากกว่านี้ เพื่อไม่ให้ดาวดวงนี้ต้องสูญสิ้นความรักไป... ชั้นจะขอแสดงพลังออกมาเพื่อปกป้องมันเอง !
"จงพุ่งทะยานออกไปซะ ! เหล่ามิตรสหายของข้า ! เหล่ากระแอกทมิฬ ! จงฉีกกระฉากเหล่าเดรัจฉานที่ต้อยต่ำเหล่านั้น ให้มันรับรู้ถึงความทรมารที่แท้จริง ! ให้จิตวิญญาณของมันรับรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายของพวกมันและใครกันที่พวกมันจำเป็นต้องเกรงกลัว ! ราตรีของแม่มดจะครอบงำสุริยคราสให้ประจักษ์เอง !"
ปังง !!
แสงไฟระเบิดออกมาเสียงดังปั้งที่ปลายกระบอกปืนคาบศิลา... ฉันยิงมันขึ้นฟ้า เป็นสัญญะเยี่ยงเหล่าแม่ทัพนายกองที่ต้องการจะประกาศศักดา เหล่าอีกาดำบินว่อนไปทั่วเวหาดั่งที่วาจาสั่งของฉันได้ลั่นออกไป...
ร่างของปีศาจพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดร่วงหล่นและโชยลงมา เช่นเดียวกันกับซากศพและขนอีกา มิตรสหายแห่งเรา...
การเสียสละจะมีมากเพียงใด... และนิมิตที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้จะมีบทสรุปลงเช่นใดกันรือ... ฉันเองก็เฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นมันกับตา...
...
...
...
...
พรึงง...
เปลวไฟสีเหลืองอ่อนจากเชิงเทียนสีขาวช่วยให้แสงสว่างแก่ห้องบรรทมที่มืดสนิทภายในยามค่ำคืน...
ด้วยความงดงาม โออ่าห์ หรูหราตระการตาของสถานที่แห่งนี้ ทั้งภายในห้องนอนที่ประดับตกแต่งด้วยโคมระย้าที่ทำจากเงิน เตียงนอนขนาดใหญ่มีเสาไม้เนื้อแข็งสีดำตั้งปักรอบอยู่ทั้งสี่มุม ผ้าปูที่นอนสีแดงเข้มทว่าก็มีตัดสลับกับสีดำเล็กน้อยให้พอมีลวดลายแบบโกธิค
จึงอดไม่ได้ที่จะต้องใช้คำราชาศัพท์ในการบรรยายเพราะมันให้ความรู้สึกถึงผู้ที่มีเชื้อสายอันสูงศักดิ์
แสงสว่างอันน้อยนิดจากเชิงเทียนทำให้ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดภายในห้องได้มาก เพียงแค่ทำให้สามารถรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าห้องๆนี้มิใช่ห้องของมนุษย์ธรรมดาหรือแม้แต่ผู้ที่มีเวทมนตร์ธรรมดาทั่วๆไป
เมื่อมองไปทางหน้าตาก็พบว่ามีหัวกะโหลกสีดำสนิทตั้งไว้อยู่ด้านหน้า มีเทียนไขดับสนิทที่หลอมละลายเยิ้มทว่าก็แข็งตัวไปนานแล้ว หนังสือศาสตร์มืดพร้อมกับบทสวดวางตั้งอยู่ข้างๆซึ่งบานหน้าต่างบานนั้นถูกตั้งอยู่ในทิศที่พระจันทร์จะตกดิน
หากมองออกไปนอกหน้าต่างจะพบกับแสงสว่างสีฉูดฉาดของจตุรัสวาเรนท์เอบิส {Varienzt Abyss} ซึ่งมักจะเจิดจรัส เต็มไปด้วยแสงไฟนีออน สีเขียวอมฟ้าตัดสลับกับสีม่วงสีชมพู ราวกับภาพวาดศิลปะที่มองเห็นได้จากหน้าต่าง นี่ยังไม่นับยวดยานพาหนะจำนวนมากที่กำลังโลดแล่นอยู่เหนือพื้นดินทั้งๆที่เป็นเวลาเที่ยงคืน
ใบหน้าของหญิงสาวรูปงามปรากฏอยู่เหนือไฟดวงเล็กๆจากเชิงเทียน พบว่าเธอมีเส้นผมสีชมพูซีดราวกับหิมะสีแดง นัยน์ตาสีฟ้ามหาสมุทรของเธอนั้นกลมโตและสวยงามเป็นธรรมชาติอย่างมนุษย์ธรรมดาเมื่อเทียบกับดวงเนตรที่มีสีประหลาดของหญิงสาวนัยน์ตาสองสีที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนเตียง
"ไฟดับอย่างงั้นรึ..."
สาวน้อยที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงกล่าวพลางรวบผมสีดำเงาสนิทของเธอให้เป็นระเบียบและจัดให้มันปกปิดนัยน์ตาที่มีสีแปลกประหลาดของเธอเอาไว้
"ใช่... คฤหาสน์จู่ๆก็ไฟดับ อีกไม่นานด้านล่างนั่นก็คงจะมืดสนิทไปตามๆกัน--" สาวสวยที่กำลังยืนอยู่ตอบกลับไป เมื่อมองดูเข้าไปในใบหน้าของเธอดีๆจะพบว่าหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่มีอายุมากกว่าอีกฝ่าย
"ด้วยเหตุอันใด..." สาวน้อยที่อยู่บนเตียงรีบถามต่อ ดูเหมือนลักษณะการใช้คำพูดระหว่างทั้งสองจะดูแตกต่างกัน
"พายุอุกกาบาตมิราเคิลสตรอมพึ่งพุ่งผ่านรัศมีวงโคจรดาวเคราะห์ไป ก็เป็นไปตามที่นักดาราศาสตร์ได้คำนวณเอาไว้ ไม่เกิดอันตรายแน่ๆเพียงแต่จะรบกวนสนามแม่เหล็กของดาวนิดหน่อย อาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าดับทั่วทั้งเมืองได้ในบางจุด..."
หญิงสาวที่มีอายุมากกว่าอธิบายด้วยน้ำเสียงปกติพร้อมกับหยิบเอาเครื่องมือที่มีลักษณะเป็นรูปทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าบางๆความหนาไม่มากขึ้นมาเปิดดูโฮโลแกรมสีเขียวอ่อน เพื่อเช็คดูข้อมูลสภาพอากาศของระบบสุริยะ
"ด้วยเหตุเช่นนั้นเองรึ... ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วตัวเราจะขอท่องธาราแห่งรัตติมืดต่อก็แล้วกัน..." เด็กสาวที่กำลังอยู่ในสภาพงัวเงีย พูดอย่างสะลึมสะลือก่อนที่จะขยี้ตาและกำลังเอนตัวหลับต่อ... ในขณะเดียวกันก็พบว่าแสงไฟจากจัตุรัสกลางเมืองก็ได้ดับลงไปทีละส่วนๆตามๆกันอย่างที่หญิงสาวผมสีชมพูกล่าว
"ที่มาปลุกเอากลางดึกก็เพราะเห็นว่าดาวหางมันสวยดีน่ะ... ก็เลยอยากให้มาดู... พี่ของเธอก็ลุกขึ้นมาดูด้วยเหมือนกันนะ"
"อาชาของเราอย่างนั่นหรอ...?" เด็กสาวพยุงตัวขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่แผ่นหลังสีขาวนวลจะแตะเบาะหนุ่มของเตียง
...
แอ๊ดด...
ประตูไม้บานคู่ค่อยๆถูกผลักเข้าไป สาวสวยผมสั้นสีชมพูเดินถือเชิงเทียนนำเข้ามาภายในห้องที่มีขนาดใหญ่และหรูหราไม่แพ้กัน... เพียงแต่ว่าห้องๆนี้จะไม่มีโทนสีซึ่งเป็นสีแดงมากเท่ากับห้องของเด็กสาวก่อนหน้านี้... ภายในห้องส่วนมากมักจะประดับตกแต่งด้วยอัญมณีจากไพลินและหินพระจันทร์สีหมอก ซึ่งก็ยังคงเปล่งประกายแวววับแม้อยู่ในความมืด
สิ่งที่เห็นได้ชัดและแตกต่างจากห้องๆนี้คือ มันเป็นเหมือนกับหอคอยชั้นบนสุดของคฤหาสน์ ซึ่งเพดานด้านบนมิได้เป็นผนังทึบกั้นแต่อย่างใด หากแต่เป็นกระจกแก้วรูปร่างโค้งมีรอยหยัก เชื่อว่ามีไว้รับแสงสว่างจากดวงจันทร์และเพื่อเฝ้ามองดูหมู่ดาวในยามค่ำคืน...
ชายหนุ่มรูปร่างสูงผมสีเทากำลังยืนอยู่ที่ตรงระเบียง สายลมโบกสะบัดผ้าคุมสีน้ำเงินเข้มของเขาให้ปลิวไสวท่ามกลางท้องนภาในยามค่ำคืน
ท้องฟ้าคืนนี้ช่างแลดูเปล่งประกายกว่าปกติ... ก็เพราะมันมีดาวหางสีครามถึงเก้าดวงพุ่งเรียงขนาบข้างกันมา นอกจากนั้นยังมีสะเก็ดดาวเป็นประกายแสงสีขาวเปล่งประกายอยู่รายล้อมควบคู่กันไปอีกด้วย...
สาวงามต่างวัยทั้งสองคนเดินเคียงคู่กันไปขนาบข้างชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนที่จะแหงนหน้ามองดูดาวหางและดวงดารา...
สายลมในยามค่ำคืนโบกสะบัดเข้ามาประดุจดั่งลมเป่า ทำให้แสงไฟจากเชิงเทียนดับลง บรรยากาศรอบตัวทั้งสามเหลือเพียงแต่ความมืดมิด...
คงจะเป็นเจตนาแห่งสายลมที่ต้องการจะให้มิตรสหายทั้งสามจ้องมองและดื่มด่ำไปกับขบวนธุมเกตุที่สว่างไสวสวยงามราวกับคณะนางฟ้า
"ผีพุ่งใต้แห่งอวกาศ... ช่างสวยงามยิ่งนักท่านพี่..." เด็กสาวในชุดเดรสแบบชุดนอนกล่าวกับผู้ที่อาจจะเป็นพี่ชายของนางตรงระเบียง สีหน้าของเธอช่างแลดูปลื้มปิติกับความงดงามของรัศมีดาวหาง
ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากพี่ชาย ถึงอย่างไรก็ตามหญิงสาวก็ได้แต่แหงนหน้ามองดูดวงดาวพร้อมกับหลับตาลงก่อนที่จะบันดาลจิตอธิษฐาน
เธอตั้งมั่นไปยังดวงจิตของเธอ หยั่งลึกเข้าไปถึงส่วนที่ดำมืดที่สุดในจิตใจ ก่อนที่จะแผ่ขยายจิตออกไปเพื่อมองออกไปยังสิ่งที่อยู่รอบข้าง... สำหรับเด็กสาว... ความมืดเป็นพันธมิตรของเธอ... เสียงกระซิบกระซาบจากเอเลเมนท์แห่งปีศาจได้พยายามบ่งบอกและส่งมาถึงเธอ... เพียงแต่หญิงสาวยังมิต้องการที่จะรับรู้ในตอนนี้
พายุอุกกาบาตและดาวหาง คงมิได้มีผลกระทบแค่เพียงทำให้ไฟฟ้าดับชั่วคราวเป็นแน่ แต่คงมีบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวข้องกับความฝันของเธอ... ไม่มากก็น้อย
แต่อย่างไรก็ตาม
เธอได้แต่เพ่งจิตภาวนา นึกถึงอยู่แต่ภายในจิตใจของเธอเท่านั้น... เธอจะตั้งจิตอธิษฐานว่าอะไรก็มิมีใครอาจรู้ได้เพราะมันเป็นความลับ
เพียงแต่ภายในใจของเธอได้เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา...
ว่า...
"ดาวหางดวงนี้ทำให้ฉันเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน... และในความฝันนั้น... มันช่างงดงามเสียเหลือเกิน..."
เมื่อท้องฟ้าของชั้นถูกย้อมจนกลายเป็นสีเทา...
สิ่งที่ฉันมองเห็นนั้น มันชัดเจน เนตรนิรยราตรีไม่เคยโป้ปดต่อสิ่งที่ดวงจิตกำลังร่ำร้องแม้นจะกำลังอยู่ในยามที่กำลังหลับใหล...
สุริยคราสสีเลือดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเราคืออสุรเนตรที่ชั่วร้าย พวกรามสูรจากฟากฟ้าพากันโบยบินกรีธาทัพลงมาเพื่อกัดกินและทำลายความรักให้หายไปจากโลก...
ในวันที่ผืนนภามืดสนิท ดวงจิตของชั้นได้ร่ำร้องบอกกับฉันว่าความรักได้สูญสลายไปจากโลกเสียแล้ว... แสงสว่างสีรุ้งถูกจันทราทมิฬดวงนั้นกลืนกินจนหมดสิ้น
เหลือเพียงแต่ความมืดมิดที่แผ่ขยายออกไปจนไม่เหลือแม้แต่แสงสว่างรำไรที่ปลายเส้นขอบฟ้า...
ฉันกำลังยืนอยู่ที่ระเบียง เฝ้ามองกาลวิบัติสูญสิ้นของดวงดาวดวงนี้... เราจะมิสามารถทำอะไรกับมันได้เลยหรือ... จุดประสงค์ของเนตรนิรยราตรีต้องการจะบอกอะไรกับฉันกันแน่
เสียงกระซิบกระซาบ เสียงของหัวใจที่กำลังร่ำร้องกำลังบอกให้ชั้นเห็นถึงอนาคตหรือแค่ต้องการที่จะกล่าวเตือนถึงสิ่งที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นเฉยๆ
ถึงอย่างไรก็ตาม... เขาที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นคือผู้ที่ชะตาได้ถูกผูกมัดผ่านพันธะสัญญาแห่งเลือดเอาไว้แล้ว... เขาคือผู้ที่ฉันจะต้องตามหาและเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ยุติเรื่องราวอันเลวร้ายเหล่านี้...
ชั้นมองเห็นประกายแสงสีไพลินที่เจิดจรัสอยู่รอบตัวเค้า ท่ามกลางแสงแห่งความชั่วร้ายและไอนรกที่กำลังแผดเผาอยู่รอบๆตัว เขาคนนั้นยังคงเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความเยือกเย็นและความนิ่งสงบ ถึงแม้นจะมีออร่าแห่งบาปราคะหลบซ่อนและสะท้อนออกมาให้เห็นอยู่ภายในตัวก็ตาม...
เมื่อท้องนภาไร้ซึ่งแสงตะวันแล้ว ความมืดอันดิบดาลก็มิใช่อุปสรรคต่อการปลดปล่อยพลังของฉันเสียเท่าไหร่...
ไม่... อันที่จริงคือ... ไม่เลย แม้แต่นิดเดียว ยิ่งแสงสว่างดับสูญและถูกกลบหายไปมากเท่าใด พลังอันมหาศาลที่ซ่อนเร้นหลับใหลอยู่ภายในตัวก็จะยิ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
บางทีมันอาจฟังดูน่าตลก... แต่พลังที่กำลังหลับใหลอยู่ภายในตัวฉัน พลังที่นิยามความเป็นเจ้าแห่งรัตติกาลกลับตอบสนองได้ดีกับไอร้อนและรัศมีแห่งความชั่วร้าย... ความมืดยามรัตติกาล เพลิงพิโรธจากเหล่าเดรัจฉานเปรียบเป็นดั่งพันธมิตรของสตรีในชุดดำอย่างชั้น... ทว่าฉันจำเป็นที่จะต้องใช้มันเพื่อปกป้องโลก...
เนตรแม่มดของฉันมองเห็นความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งได้ไม่ต่างอะไรจากนัยน์ตาของมนุษย์ธรรมดา
เมื่อนั้นเอง...
อาชาของเราก็มิรอช้า ตัวของเขาได้พุ่งออกไป พ้นจากระเบียง ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าราวกับกำลังจะไปแตะดวงจันทร์สีทมิฬดวงนั้น ก่อนที่ร่างของเขาจะม้วนลง ตีลังกาหมุนเป็นกงจักรราวกับเจ้าเม่นสายฟ้า พร้อมกับร่ายรำปล่อยคมดาบแห่งสายลม บันดาลความตายให้แก่เหล่าอสูรกายพวกนั้น
เมื่อร่างของรามสูรถูกตัดขาดวิ่นและร่องลอยอยู่กลางอากาศ เสี้ยววินาทีนั้นเอง... ลูกครึ่งปีศาจก็ได้พุ่งย้ายตำแหน่งร่างกายของตนอย่างรวดเร็วกลางอากาศ เร็วและเกรี้ยวกราดเสียยิ่งกว่าลมพัดยามพิโรธ ! ตัวของเขาพุ่งเข้าไปปลิดชีพมารแต่ละตัวและกำจัดมันอย่างสิ้นซาก
กระบวนท่าของเขาไม่ต่างอะไรจากการตัดสินชีวิตของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าจะให้ดำรงอยู่หรือจะดับสูญและสลายหายไป... ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปชำแหละร่างของอสูรกายปีศาจตัวแล้วตัวเล่า ทีละตัวทีละตัว จนในที่สุดก็ทะยานลงสู่พื้น คุกเข่าย่อตัวลงเพื่อรับแรงกระแทก ก่อนที่จะค่อยๆเสียบดาบเปล่งรัศมีลงในฝัก ในขณะที่เศษซาก เนื้อหนังของเหล่าปีศาจที่เขาได้สังหารไป ค่อยๆลอยลงมา ประดุจดั่งเศษกระดาษที่ถูกบดฉีกและโยนทิ้งให้ร่องลอยกระจัดกระจายอยู่บนท้องฟ้า...
สมรภูมิรบถือกำเนิดขึ้นบนใจกลางนครหลวงของดาวเคราะห์ดวงนี้...
อสูรร้ายและปีศาจโบยบินลงมาจากฟากฟ้าพร้อมกับพาหนะของพวกมัน
เช่นเดียวกัน... ไพร่พลของฝั่งเรา มิตรสหายผู้กล้า ต่างก็ส่งเครื่องจักร ยวดยานพาหานะสำหรับการรบให้ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า พุ่งปลี่ บินโฉบ เข้าปะทะกัน
เกิดลำแสงสีแดงตัดสลับสวนทิศกับลำแสงสีทมิฬ เสียงของกระบอกปืนลำแสง ตามมาด้วยเสียงระเบิดกัมปนาท
ประกายแสงตู้มต้ามที่ปรากฏอยู่บนน่านฟ้า พร้อมกับซากของยวดยานพาหนะที่ร่วงหล่นลงมา ทั้งของฝั่งศัตรูและฝั่งของพวกเรา...
การสู่รบกันระหว่างปืนลำแสง ยานบินที่พริ้วไหวราวกับวิหคเหล็ก ประกอบกับการสู่รบทางภาคพื้นดิน ที่มีทั้งการใช้เวทมนตร์ประกอบกับการใช้เครื่องจักร ราวกับที่เคยเห็นเคยอ่านอยู่ในนิทานก่อนนอนเมื่อครั้งที่ยังเด็ก... สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจและเหล่าจอมเวทซึ่งเป็นมนุษย์...
ณ บัดนี้...
ตัวของฉันจะไม่ขอยืนอยู่เฉยๆอีกต่อไปแล้ว... ฉันจะไม่ยอมให้หยดน้ำตาที่มาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดต้องไหลรินลงสู่พื้นไปมากกว่านี้ เพื่อไม่ให้ดาวดวงนี้ต้องสูญสิ้นความรักไป... ชั้นจะขอแสดงพลังออกมาเพื่อปกป้องมันเอง !
"จงพุ่งทะยานออกไปซะ ! เหล่ามิตรสหายของข้า ! เหล่ากระแอกทมิฬ ! จงฉีกกระฉากเหล่าเดรัจฉานที่ต้อยต่ำเหล่านั้น ให้มันรับรู้ถึงความทรมารที่แท้จริง ! ให้จิตวิญญาณของมันรับรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายของพวกมันและใครกันที่พวกมันจำเป็นต้องเกรงกลัว ! ราตรีของแม่มดจะครอบงำสุริยคราสให้ประจักษ์เอง !"
ปังง !!
แสงไฟระเบิดออกมาเสียงดังปั้งที่ปลายกระบอกปืนคาบศิลา... ฉันยิงมันขึ้นฟ้า เป็นสัญญะเยี่ยงเหล่าแม่ทัพนายกองที่ต้องการจะประกาศศักดา เหล่าอีกาดำบินว่อนไปทั่วเวหาดั่งที่วาจาสั่งของฉันได้ลั่นออกไป...
ร่างของปีศาจพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดร่วงหล่นและโชยลงมา เช่นเดียวกันกับซากศพและขนอีกา มิตรสหายแห่งเรา...
การเสียสละจะมีมากเพียงใด... และนิมิตที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้จะมีบทสรุปลงเช่นใดกันรือ... ฉันเองก็เฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นมันกับตา...
...
...
...
...
พรึงง...
เปลวไฟสีเหลืองอ่อนจากเชิงเทียนสีขาวช่วยให้แสงสว่างแก่ห้องบรรทมที่มืดสนิทภายในยามค่ำคืน...
ด้วยความงดงาม โออ่าห์ หรูหราตระการตาของสถานที่แห่งนี้ ทั้งภายในห้องนอนที่ประดับตกแต่งด้วยโคมระย้าที่ทำจากเงิน เตียงนอนขนาดใหญ่มีเสาไม้เนื้อแข็งสีดำตั้งปักรอบอยู่ทั้งสี่มุม ผ้าปูที่นอนสีแดงเข้มทว่าก็มีตัดสลับกับสีดำเล็กน้อยให้พอมีลวดลายแบบโกธิค
จึงอดไม่ได้ที่จะต้องใช้คำราชาศัพท์ในการบรรยายเพราะมันให้ความรู้สึกถึงผู้ที่มีเชื้อสายอันสูงศักดิ์
แสงสว่างอันน้อยนิดจากเชิงเทียนทำให้ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดภายในห้องได้มาก เพียงแค่ทำให้สามารถรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าห้องๆนี้มิใช่ห้องของมนุษย์ธรรมดาหรือแม้แต่ผู้ที่มีเวทมนตร์ธรรมดาทั่วๆไป
เมื่อมองไปทางหน้าตาก็พบว่ามีหัวกะโหลกสีดำสนิทตั้งไว้อยู่ด้านหน้า มีเทียนไขดับสนิทที่หลอมละลายเยิ้มทว่าก็แข็งตัวไปนานแล้ว หนังสือศาสตร์มืดพร้อมกับบทสวดวางตั้งอยู่ข้างๆซึ่งบานหน้าต่างบานนั้นถูกตั้งอยู่ในทิศที่พระจันทร์จะตกดิน
หากมองออกไปนอกหน้าต่างจะพบกับแสงสว่างสีฉูดฉาดของจตุรัสวาเรนท์เอบิส {Varienzt Abyss} ซึ่งมักจะเจิดจรัส เต็มไปด้วยแสงไฟนีออน สีเขียวอมฟ้าตัดสลับกับสีม่วงสีชมพู ราวกับภาพวาดศิลปะที่มองเห็นได้จากหน้าต่าง นี่ยังไม่นับยวดยานพาหนะจำนวนมากที่กำลังโลดแล่นอยู่เหนือพื้นดินทั้งๆที่เป็นเวลาเที่ยงคืน
ใบหน้าของหญิงสาวรูปงามปรากฏอยู่เหนือไฟดวงเล็กๆจากเชิงเทียน พบว่าเธอมีเส้นผมสีชมพูซีดราวกับหิมะสีแดง นัยน์ตาสีฟ้ามหาสมุทรของเธอนั้นกลมโตและสวยงามเป็นธรรมชาติอย่างมนุษย์ธรรมดาเมื่อเทียบกับดวงเนตรที่มีสีประหลาดของหญิงสาวนัยน์ตาสองสีที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนเตียง
"ไฟดับอย่างงั้นรึ..."
สาวน้อยที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงกล่าวพลางรวบผมสีดำเงาสนิทของเธอให้เป็นระเบียบและจัดให้มันปกปิดนัยน์ตาที่มีสีแปลกประหลาดของเธอเอาไว้
"ใช่... คฤหาสน์จู่ๆก็ไฟดับ อีกไม่นานด้านล่างนั่นก็คงจะมืดสนิทไปตามๆกัน--" สาวสวยที่กำลังยืนอยู่ตอบกลับไป เมื่อมองดูเข้าไปในใบหน้าของเธอดีๆจะพบว่าหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่มีอายุมากกว่าอีกฝ่าย
"ด้วยเหตุอันใด..." สาวน้อยที่อยู่บนเตียงรีบถามต่อ ดูเหมือนลักษณะการใช้คำพูดระหว่างทั้งสองจะดูแตกต่างกัน
"พายุอุกกาบาตมิราเคิลสตรอมพึ่งพุ่งผ่านรัศมีวงโคจรดาวเคราะห์ไป ก็เป็นไปตามที่นักดาราศาสตร์ได้คำนวณเอาไว้ ไม่เกิดอันตรายแน่ๆเพียงแต่จะรบกวนสนามแม่เหล็กของดาวนิดหน่อย อาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าดับทั่วทั้งเมืองได้ในบางจุด..."
หญิงสาวที่มีอายุมากกว่าอธิบายด้วยน้ำเสียงปกติพร้อมกับหยิบเอาเครื่องมือที่มีลักษณะเป็นรูปทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าบางๆความหนาไม่มากขึ้นมาเปิดดูโฮโลแกรมสีเขียวอ่อน เพื่อเช็คดูข้อมูลสภาพอากาศของระบบสุริยะ
"ด้วยเหตุเช่นนั้นเองรึ... ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วตัวเราจะขอท่องธาราแห่งรัตติมืดต่อก็แล้วกัน..." เด็กสาวที่กำลังอยู่ในสภาพงัวเงีย พูดอย่างสะลึมสะลือก่อนที่จะขยี้ตาและกำลังเอนตัวหลับต่อ... ในขณะเดียวกันก็พบว่าแสงไฟจากจัตุรัสกลางเมืองก็ได้ดับลงไปทีละส่วนๆตามๆกันอย่างที่หญิงสาวผมสีชมพูกล่าว
"ที่มาปลุกเอากลางดึกก็เพราะเห็นว่าดาวหางมันสวยดีน่ะ... ก็เลยอยากให้มาดู... พี่ของเธอก็ลุกขึ้นมาดูด้วยเหมือนกันนะ"
"อาชาของเราอย่างนั่นหรอ...?" เด็กสาวพยุงตัวขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่แผ่นหลังสีขาวนวลจะแตะเบาะหนุ่มของเตียง
...
แอ๊ดด...
ประตูไม้บานคู่ค่อยๆถูกผลักเข้าไป สาวสวยผมสั้นสีชมพูเดินถือเชิงเทียนนำเข้ามาภายในห้องที่มีขนาดใหญ่และหรูหราไม่แพ้กัน... เพียงแต่ว่าห้องๆนี้จะไม่มีโทนสีซึ่งเป็นสีแดงมากเท่ากับห้องของเด็กสาวก่อนหน้านี้... ภายในห้องส่วนมากมักจะประดับตกแต่งด้วยอัญมณีจากไพลินและหินพระจันทร์สีหมอก ซึ่งก็ยังคงเปล่งประกายแวววับแม้อยู่ในความมืด
สิ่งที่เห็นได้ชัดและแตกต่างจากห้องๆนี้คือ มันเป็นเหมือนกับหอคอยชั้นบนสุดของคฤหาสน์ ซึ่งเพดานด้านบนมิได้เป็นผนังทึบกั้นแต่อย่างใด หากแต่เป็นกระจกแก้วรูปร่างโค้งมีรอยหยัก เชื่อว่ามีไว้รับแสงสว่างจากดวงจันทร์และเพื่อเฝ้ามองดูหมู่ดาวในยามค่ำคืน...
ชายหนุ่มรูปร่างสูงผมสีเทากำลังยืนอยู่ที่ตรงระเบียง สายลมโบกสะบัดผ้าคุมสีน้ำเงินเข้มของเขาให้ปลิวไสวท่ามกลางท้องนภาในยามค่ำคืน
ท้องฟ้าคืนนี้ช่างแลดูเปล่งประกายกว่าปกติ... ก็เพราะมันมีดาวหางสีครามถึงเก้าดวงพุ่งเรียงขนาบข้างกันมา นอกจากนั้นยังมีสะเก็ดดาวเป็นประกายแสงสีขาวเปล่งประกายอยู่รายล้อมควบคู่กันไปอีกด้วย...
สาวงามต่างวัยทั้งสองคนเดินเคียงคู่กันไปขนาบข้างชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้นก่อนที่จะแหงนหน้ามองดูดาวหางและดวงดารา...
สายลมในยามค่ำคืนโบกสะบัดเข้ามาประดุจดั่งลมเป่า ทำให้แสงไฟจากเชิงเทียนดับลง บรรยากาศรอบตัวทั้งสามเหลือเพียงแต่ความมืดมิด...
คงจะเป็นเจตนาแห่งสายลมที่ต้องการจะให้มิตรสหายทั้งสามจ้องมองและดื่มด่ำไปกับขบวนธุมเกตุที่สว่างไสวสวยงามราวกับคณะนางฟ้า
"ผีพุ่งใต้แห่งอวกาศ... ช่างสวยงามยิ่งนักท่านพี่..." เด็กสาวในชุดเดรสแบบชุดนอนกล่าวกับผู้ที่อาจจะเป็นพี่ชายของนางตรงระเบียง สีหน้าของเธอช่างแลดูปลื้มปิติกับความงดงามของรัศมีดาวหาง
ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากพี่ชาย ถึงอย่างไรก็ตามหญิงสาวก็ได้แต่แหงนหน้ามองดูดวงดาวพร้อมกับหลับตาลงก่อนที่จะบันดาลจิตอธิษฐาน
เธอตั้งมั่นไปยังดวงจิตของเธอ หยั่งลึกเข้าไปถึงส่วนที่ดำมืดที่สุดในจิตใจ ก่อนที่จะแผ่ขยายจิตออกไปเพื่อมองออกไปยังสิ่งที่อยู่รอบข้าง... สำหรับเด็กสาว... ความมืดเป็นพันธมิตรของเธอ... เสียงกระซิบกระซาบจากเอเลเมนท์แห่งปีศาจได้พยายามบ่งบอกและส่งมาถึงเธอ... เพียงแต่หญิงสาวยังมิต้องการที่จะรับรู้ในตอนนี้
พายุอุกกาบาตและดาวหาง คงมิได้มีผลกระทบแค่เพียงทำให้ไฟฟ้าดับชั่วคราวเป็นแน่ แต่คงมีบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวข้องกับความฝันของเธอ... ไม่มากก็น้อย
แต่อย่างไรก็ตาม
เธอได้แต่เพ่งจิตภาวนา นึกถึงอยู่แต่ภายในจิตใจของเธอเท่านั้น... เธอจะตั้งจิตอธิษฐานว่าอะไรก็มิมีใครอาจรู้ได้เพราะมันเป็นความลับ
เพียงแต่ภายในใจของเธอได้เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา...
ว่า...
"ดาวหางดวงนี้ทำให้ฉันเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน... และในความฝันนั้น... มันช่างงดงามเสียเหลือเกิน..."