|
Post by tonklaaaaaawow on Jun 2, 2018 18:24:08 GMT
|
|
|
Post by tonklaaaaaawow on Jun 4, 2018 5:07:05 GMT
|
|
|
Post by tonklaaaaaawow on Jun 9, 2018 18:24:22 GMT
Chapter 0 : The Girl From Zion
ไซอ้อน เป็นประเทศขนาดใหญ่ จะเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในทวีปเลยก็ได้ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของทวีปทั้งหมด เป็นที่ๆกำเนิดจักรวรดิอันชั่วร้าย ก่อนที่พวกมันจะเปิดสงครามและพยายามยึดโลก ปัจจุบันนี้ไซอ้อนเป็นที่ที่มีเทคโนโลยีสูงมากที่หนึ่งบนโลก เต็มไปด้วยของอำนวยความสะดวกสบาย ตึกสูงเสียดฟ้า สนามกีฬาใหญ่ยักษ์ และเต็มไปด้วยสถานที่ที่เต็มไปด้วยอบายมุข บ่อนคาสิโนขนาดใหญ่ ร้านเหล้า ร้านขายเซ็กส์ที่พบเจอได้บ่อยๆตามถนน ประเทศนี้ถูกแบ่งโซนอย่างชัดเจน เหล่าคนรวย มีอำนาจ คนพวกนั้นจะอาศัยอยู่บนสิ่งก่อสร้างราคาแพง สูงสง่าขึ้นไปกว่าตึกธรรมดา ส่วนคนชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง พวกเขาอาศัยอยู่ตามแฟรตเล็กๆติดพื้นดิน ที่รัฐบาลสร้างมาให้แต่ไม่มีคนดูแล พวกเขาใช้ชีวิตตามถนนที่สกปรกและอันตราย ในขณะที่คนรวยใช้ชีวิตอยู่ในเขตปลอดภัย เต็มไปด้วยการอารักขาของกองทัพ
ท่ามกลางชุมชนที่ชุกไปด้วยผู้คนมากมาย ครึ่งหนึ่งของพวกนั้นเห็นได้ชัดว่าเมาจากเหล้ายา เสียงอึกทึกครึกโครมของการสนทนาที่ดังไปทั่วตลาด ผู้คนหลากหลายเดินไปมา พวกเขานั่งอยู่ตามร้านเหล้า ส่งเสียงดังเฮฮาออกมาจนถึงถนนตรงข้าม ร้านค้าเร่มากมายเปิดขายของตั้งแต่เนื้อสัตว์ไปจนถึงอุปกรณ์ไฮเทคราคาถูกที่ขโมยมา ขยะที่กระจัดกระจายทั่วพื้น ผู้หญิงขายบริการที่เจอได้ทุกหัวมุม หลายคนที่ทำเรื่องอย่างว่ากันตามถนน เสียงของขวดแก้วแตก คนกรีดร้องจากซอยมืดจากการทะเลาะกัน เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่นี่ไปแล้ว พื้นที่ที่ทั้งมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยอันตรายนี้ มีชื่อว่า 'เพอร์เพิล สตรีท' เนื่องจากสีของแสงนีออนแถวนี้เต็มไปด้วยสีแดงและชมพู ออกมาจากร้านขายกามและสุรา
เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุไม่มากกว่า 10 ขวบ เดินอยู่ในเพอร์เพิล สตรีท อย่างไม่เกรงกลัว ที่เป็นอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะเธอชินจนเป็นกิจวัตร เหมือนพวกผู้ใหญ่โหลยโท่ยแถวนี้แล้วก็เป็นได้ เธอมีผมบลอนด์สั้นถึงแค่คอ พ่อแม่ของเธอตัดเพื่อจะได้ให้มันยาวนานๆ จะได้ไม่ต้องมาตัดผมเธอบ่อยๆ เธอมีตาโตสีฟ้าสวยงาม ใส่เสื้อลายการ์ตูนสุดฮิตของเด็กสภาพโทรมๆ คลุมด้วยเสื้อกันฝนสีเขียวอมเหลือง มันทำให้เธอเด่นเหลือเกินในถนนที่เต็มไปด้วยแสงสีม่วงนี้ เธอเดินผ่านถนนที่เต็มไปด้วยเศษขยะและแอ่งน้ำ รองเท้าเก่าๆเปียกชุ่มไปกับแอ่งน้ำสกปรกๆของที่นี่ ตัวตนของเธอสร้างความประหลาดใจให้กับคนแถวนี้เป็นอย่างมาก เธอเดินผ่านร้านค้าต่างๆทำให้เหล่าลูกค้าเพอร์เพิลสตรีทหันไปมองเธอกันใหญ่ ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม
เด็กน้อยหยุดที่ร้านขายเนื้อร้านหนึ่ง เธอยืนต่อคิวอยู่อีก 2 คน จากรถเข็นขายเนื้อเก่าๆของคนขาย ตัวของเธอสูงถึงแค่เอวของคนอื่นๆแถวนี้เท่านั้นเอง คนอื่นๆที่ต่อคิวอยู่ไม่สังเกตุเห็นเธอด้วยซ้ำ ระหว่างรอ เด็กสาวโค้ตเหลืองฮัมเพลงพร้อมกับเต้นเบาๆให้กับเพลงธีมการ์ตูนที่เธอชอบ 'ผู้กล้ากาแลคติก' เธอติดงอมแงม และหวังว่าสักวันนึงเธอจะเป็นฮีโร่เหมือนกับในการ์ตูนบ้าง หลังจากรอลูกค้าซื้อเสร็จทีละรายๆ คิวของเธอก็มาถึง เธอเงยหน้าขึ้นไป แสยะยิ้มเล็กน้อยให้กับคุณลุงคนขายร่างใหญ่ เหมือนเธอมาที่นี่บ่อยแล้ว และทั้งสองคนรู้จักกัน
"อีกแล้วเหรอไอ้หนู!!" ชายร่างใหญ่พูดอย่างเหนื่อยใจ เขาวางมีดปังตอเล่มใหญ่ลง เช็ดมือกับผ้าที่แขวนอยู่ และเกาหัวอย่างช้าๆ ทั้งสองคนจ้องตากัน เด็กสาวไม่ละสายตา ยังคงมองพ่อค้าต่อไปด้วยสายตาอ้อนวอน
ศึกมองตายังดำเนินต่อไปสักครู่ เด็กสาวอยู่นิ่งไม่ไหวติง ทำให้เธอเป็นฝ่ายชนะไป "เห้อ.. ก็ได้ๆ แต่ครั้งหน้าต้องจ่ายเงินนะ" พ่อค้าถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะตักเนื้อก้อนนึงขึ้นมา ขนาดใหญ่กว่ากำมือของชายฉกรรจ์ไม่มาก เขาเทใส่ถุงและยื่นให้เธอ เด็กหญิงเดินเข้ามาใกล้และยื่นมือไปรับ ทั้งสองหยุดนิ่งสักครู่ เนื่องจากมือของเด็กสาวนั้นเอื้อมไม่ถึงมือของพ่อค้า เธอเขย่งเต็มที่แต่ก็ยังเตี้ยเกินไป เมื่อชายร่างใหญ่เห็นดังนั้นจึง เดินอ้อมออกมา และนั่งยองลงไปยื่นถุงที่ใส่ก้อนเนื้อให้เธอ
"ให้มันไปไม่มีประโยชน์หรอกนา.." ชายร่างใหญ่กล่าวกับเด็กน้อย เธอไม่ตอบกลับ แค่ทำขมวดคิ้วใส่ "แค่มันมาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอนาคตแล้ว ปล่อยมันไปเถอะ" พ่อค้ายังคงพยายามพูดต่อ เขามีน้ำเสียงนิ่มนวลและอบอุ่น แต่เด็กสาวยังคงไม่ตอบกลับ เธอถอนหายใจและทำหน้ามุ่ยเหมือนเธอรำคาญ "ให้ตายสิ จะเป็นอาทิตย์แล้วยังไม่พูดอีกกับลุงอีกเรอะ ใจแข็งจริงนะ" เขาเอามือกุมท้ายทอย ท่าทางผิดหวังเล็กๆ
เด็กสาวในชุดคลุมดึงถุงเนื้อออกมาจากมือพ่อค้า ตอนแรกเธอทำไม่สำเร็จ เนื่องจากแรงไม่พอ แต่สักพักเขาก็คลายมือออก และปล่อยให้เธอไป หลังจากเด็กสาวได้ถุงเนื้อสด เธอยิ้มร่าด้วยความดีใจ หันมาให้พ่อค้า และโค้งคำนับเป็นการขอบคุณ ก่อนจะวิ่งออกไปอีกทาง ปล่อยให้เขายืนมองเธออยู่คนเดียว ด้วยสีหน้าเป็นห่วงและกังวล "วิ่งดีๆสิ เดี๋ยวก็ลื่นหรอก!" เขาตะโกนไล่หลัง เนื่องจากเห็นเธอวิ่งบนแอ่งน้ำ น้ำกระจายไปทั่วทิ้งร่องรอยของเธอเอาไว้ เธอไม่ตอบ ไม่แม้แต่หันมาหา เด็กสาวแค่วิ่งไปข้างหน้าเท่านั้น ก่อนที่พ่อค้าจะหันไปเห็นลูกค้าคนต่อไปของเขากำลังเดินเข้ามา พ่อค้าถอนหายใจเล็กๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปประจำที่
"รับอะไรดีครับผม" เขาพูดอย่างร่าเริงและเป็นมืออาชีพ พร้อมรับลูกค้าคนใหม่ ลูกค้าของเขาเป็นผู้หญิงอายุมาก ผมของเธอเริ่มกลายเป็นสีขาว หน้าของเธอเริ่มมีริ้วรอยถึงแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และอายุที่เพิ่มขึ้น เธอหันไปมองทางที่เด็กสาววิ่งไปด้วยสายตาอบอุ่น นั่นทำให้พ่อค้าหันไปมองตามด้วยความสงสัย
"มาทุกวันเลยนะ เด็กนั่นหนะ" หญิงแก่พูดออกมาพร้อมกับชี้ไปที่เนื้อที่เธอต้องการ
"รู้จักเธอหรอครับ?" พ่อค้าหั่นเนื้อที่เธอสั่ง
"แค่เคยเห็นแถวนี้น่ะ" เธอกล่าว
เด็กสาวโค้ตเหลืองวิ่งผ่านร้านขายเนื้อออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนจะได้เจอเพื่อน ยิ่งทำให้เธอเป็นที่สังเกตุมากขึ้นอีก เด็กตัวเล็กวิ่งสีหน้ามีความสุขผ่านตรอกที่อันตราย ถือถุงเนื้อสดอยู่ในมือ แต่เธอไม่ได้สนใจอะไรพวกนั้น เธอตรงไปยังโซนที่ลึกเข้าไปอีก และหยุดที่หน้าร้านขายอาหารร้านหนึ่ง เป็นร้านอาหารประเภทเส้น ที่คนขายกำลังโชว์สกิลการผัดอันเร้าใจ และมีคนดูมากมาย หลายๆคนถือชิพโฟนของพวกเขาขึ้นมา เป็นเครื่องมือสื่อสารมาตรฐานของยุคปัจจุบัน มันเป็นชิพขนาดเล็กเท่าเหรียญสิบบาท ใช้คำสั่งทัชกรีน เจสเจอร์ และควบคุมด้วยเสียงในการควบคุมผ่านหน้าจอโฮโลแกรมที่มันสร้าง คนเหล่านี้ถ่ายการผัดบะหมี่สุดสะเดิดของพ่อครัวตัวเล็ก และอัพโหลดขึ้นไปบน 'เดอะฟีด' โซเชี่ยลมีเดียที่ดังและมีคนใช้กว้างขวางมากที่สุด แน่นอนว่าโดนมอนิเตอร์อย่างหนักโดยเหล่าจักรวรรดิ
เธอไม่รู้จักหรอกว่า ชิพโฟน หรือ เดอะฟีด หรืออะไรไฮเทคที่คนอื่นใช้กัน เธอสนใจแค่อาหารที่พ่อครัวตัวเล็กผัดอยู่เท่านั้น มันทำให้เธอตาโต และรู้ตัวว่าตัวเองหิวแค่ไหน ท้องเธอร้องออกมา นั่นทำให้เธอนึกได้ว่าเธอต้องเอาเนื้อนี่ไปให้เจ้านั่น เพราะมันก็หิวเหมือนกัน เธอมองซ้ายมองขวาหา 'เพื่อน' ของเธอ แต่เธอหาไม่เจอ เธอเดินไปรอบๆด้วยสีหน้าสงสัย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอหามันไม่เจอ แต่เธอก็ยังกังวลอยู่ดี เธอเดินหาไปทั่วๆบริเวณ ทั้งร้านอาหารสุดแพง ร้านเหล้าเมายาที่มีคนแต่งตัวเหมือนหุ่นยนต์เล่นคอนเสริตเพลงร็อคอยู่ จนกระทั่งเธอวิ่งไปเจอมันที่ซอกหลีบเล็กๆ ข้างๆกับชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ เขาสภาพโทรมมาก เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ผมแห้งเละไม่ได้ตัดหรือจัดทรง สีหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่นและความสกปรก หน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่นจนทำให้เธอตกใจเมื่อเธอวิ่งเข้ามาหา และที่สำคัญคือ เขาไม่มีขาทั้งสองข้าง เด็กสาวเห็นแค่เสื้อเปล่าๆ และความว่างเปล่าตรงพื้น
แต่ก่อนที่เธอจะได้ตกใจกับชายไร้ขา เธอหันไปทางสิ่งที่เธอตามหาอยู่ เป็นสุนัขตัวโตสีน้ำตาลที่นอนอยู่ข้างๆชายคนนั้น ขนของมันขาดวิ่น หุ่นผอมโซ นอนแน่นิ่งอยู่ เด็กสาวรีบโผไปหามัน ลูบหัวมันช้าๆและส่งเสียงเรียก
"มันนอนนิ่งแบบนี้มาหลายชั่วโมงแล้วหละหนู" ชายไร้ขาพูด เสียงของเขาแห้งและไม่มีแรง "เดินโซเซมาเมื่อตอนเย็น นั่งตรงข้างๆชั้นเนี่ย นอนให้ชั้นลูบท้อง สักพักมันก็นิ่งไปเลย" ชายไร้บ้านพูด เขาเอามือลูบท้องสุนัขตัวนั้นเบาๆ "ไอ้หมาน้อยเอ้ย.." "มันคงรู้ว่าใกล้ตายแล้ว เลยมาหาเพื่อนคอยอยู่เป็นเพื่อนก่อนมันไปล่ะมั้ง" เขายังคงลูบท้องมันอยู่ แต่น้ำเสียงเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะสังเกตุเห็นเนื้อในมือของเด็กสาว
"นั่นคงเอามาให้เจ้านี่สินะ เด็กดีจริงๆเลยแม่สาว.." ชายแก่พูดด้วยสีหน้าปลื้มปรึ่ม เหมือนเขาเห็นแสงสว่างในโลกที่มีแต่ความมืดมิด เขาดูภูมิใจในตัวเธอมาก ถึงแม้จะเจอกันแค่ครั้งแรก "พ่อแม่เธอต้องภูมิใจมากแน่ๆ ดูซิ ชั้นเดาว่าพวกเขาก็ไม่ได้เลี้ยงดูเธอดีเท่าไหร่ แต่เธอดันเป็นคนจิตใจดี ฮ่าๆๆ" เขากล่าว เด็กหญิงก้มไปมองเนื้อในมือของเธอ ก่อนจะครุ่นคิดสักครู่ เธอเงยหน้ามามองชายไร้ขาด้วยสายตาสงสัยและอยากรู้อยากเห็น เขามองเธอกลับด้วยหน้าตายิ้มแย้ม เด็กสาวมองเนื้อในมืออีกครั้ง ก่อนจะยกมันและยื่นให้กับชายแก่
เขาดูดีใจขึ้นกว่าเดิม น้ำตาเริ่มไหลออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ "ฮ่าๆๆ! ขอบใจมากแม่สาว แต่เนื้อดิบแบบนั้นชั้นกินไม่ได้หรอกนะ อีกอย่าง อีกไม่นานชั้นก็คงจะเป็นแบบเพื่อนเธอแล้วนั่นแหละ ชั้นรู้ตัวดี.." เขาเว้นวรรคสักครู่ “ใช่แล้วหละ อีกไม่นาน...” ชายแก่เช็ดน้ำตา เขาเอามือลูบหัวเด็กสาวเบาๆ หลังจากนั้น เด็กสาวเก็บเนื้อใส่ถุง ม้วนเก็บในกระเป๋าบนเสื้อคลุมของเธอ เธอลุกขึ้นมาและลงไปนั่งระหว่างสุนัขที่ไร้ชีวิตกับชายแก่คนนั้น เธอลงไปนั่งท่าเทพธิดาอย่างขึงขัง และหันไปมองชายแก่ เขาส่ายหัวเบาๆ และหันไปบอกเด็กสา
"...ขอบคุณนะ" ทั้งสามนั่งเรียงกันอยู่พักใหญ่ ชายไร้ขาเล่าเรื่องชีวิตสมัยก่อนของเขาให้เด็กสาวฟัง เขาเป็นพ่อค้าเร่ที่เดินทางไปรอบไซอ้อน ผ่านอะไรมามากมาย ไม่ว่าชายแก่จะถามอะไรเด็กสาว เธอก็ไม่ตอบเขา ได้แต่มองด้วยสายตาฉงนของเด็กที่แสนบริสุทธิ์ บทสนทนาฝ่ายเดียวของชายแก่ดำเนินไปเรื่อยๆ เขามีความสุขมากถึงเธอจะไม่พูดแม้แต่คำเดียว แต่มันก็ทำให้เขาสุขใจเหลือเกิน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เรื่องเล่าเหล่านั้นค่อยๆเบาลง ทั้งสามยังคงนั่งอยู่กับที่ จนกระทั่งเสียงพูดหายไป และเหลือแต่ความเงียบงัน
"ไว้แวะมาใหม่นะครับ" พ่อค้าขายเนื้อกล่าวกับลูกค้าที่เพิ่งเดินออกไป เป็นผู้หญิงวัยกลางคนกับลูกสาวของเธอ ทั้งสองคนโค้งคำนับก่อนจะเดินจากไปจากรถเข็นขายเนื้อ เด็กคนนั้นทำให้พ่อค้านึกถึงเด็กสาวในโค้ตสีเหลือง มันผ่านไปสองชั่วโมงแล้วหลังจากเด็กสาวคนนั้นวิ่งไปข้างใน เขากำลังจะเก็บร้านและเดินทางกลับบ้าน เขาโยกคันโยกบนรถเข็น บริเวณส่วนบนสุดของรถเข็นก็สไลด์ลงมาทับเนื้อสดที่อยู่ข้างล่าง ใส่ซีลสีใสคลุมเนื้อทั้งหมด และสไลด์ขึ้นไป พ่อค้าก้มลงไปเก็บมีดและอุปกรณ์ให้เข้าที่เข้าทาง 'แปะ แปะ' เขาได้ยินเสียงเท้ากระทบน้ำ ฝีเท้าเล็กๆกระชับของเด็ก พ่อค้าร่างใหญ่เงยหน้าขึ้นมาดู เจอเด็กสาวในโค้ตเหลืองยืนอยู่ข้างหน้ารถเข็นของเขา ในมือถือถุงเนื้อสดที่เขามอบให้เธอก่อนหน้านี้อยู่ เธอไม่ได้ดูเศร้า หรือซึมอะไรเลย มีแต่ความสับสนและไม่เข้าใจในแววตา พ่อค้ายังคงประมวลผลกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขารู้ว่าหมาตัวนั้นต้องตายแล้วถ้าเธอเอาเนื้อมาคืน
"ลุงเสียใจด้วยนะ" เขาถอนหายใจ
เด็กสาวโค้ตเหลือง เดินอ้อมรถเข็นเข้ามาหาพ่อค้า เธอเขย่งเท้าและยื่นถุงเนื้อคืนให้กับเขา ครั้งนี้พ่อค้าไม่ต้องก้มลงมารับแล้ว
"เธอจะเอาไปก็ได้น.." ก่อนที่พูดจบประโยค เธอหันหลังกลับ และเดินจากไปโดยไม่พูดสักคำ
เธอมุ่งหน้าออกจากเพอร์เพิลสตรีท ในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆนี้ คนยังคงพลุกพล่าน อาจจะน้อยลงแต่ประเภทของเหล่าคนเดินไปเดินมาได้เปลี่ยนไป ยังคงมีนักท่องเที่ยวไม่ขาดสาย แต่คนเหล่านี้บริโภคอบายมุขมากกว่ามาชมแสงสีเหมือนหัวค่ำ ชายวัยกลางคนมากมายที่นอนไร้สติอยู่ตามถนน หน้าแดงก่ำจากฤทธ์สุรา คนที่ดูเหมือนมีอำนาจหลายคน เดินลงมาถึงเพอร์เพิลสตรีท เพื่อซื้อขายของผิดกฏหมาย ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นโดยไม่มีแม้แต่ตำรวจคนเดียวมาใส่ใจด้วยซ้ำ มันเหมือนเปลี่ยนจากตลาดที่คึกคัก เป็นชุมชนที่รวมอบายมุขและเหล่าคนเสพย์เขาด้วยกัน
เด็กสาวเดินหน้าต่อไป ไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบข้าง หรืออาจจะแค่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นรอบเธอ วันนี้เธอได้เจอกับสุนัขที่เธอเอาของกินมาให้เป็นครั้งสุดท้าย ไม่ได้เรียกว่าเจอด้วยซ้ำ เธอแค่ไปหามันหลังจากมันตายไปแล้ว เธอไปไม่ทันอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของมัน เธอได้เจอคนแก่ไร้บ้านคนหนึ่ง ที่เธอรู้สึกสนิทสนมมากถึงจะรู้จักกันไม่นาน เธอจินตนาการภาพที่เขายังหนุ่มๆ ออกเดินทางรอบไซอ้อนเหมือนในเรื่องเล่าที่เขาเล่าให้ฟัง บางส่วนเธอก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเธอไม่ได้เรียนหนังสือ เธอจึงเติมช่องว่างเหล่านั้นด้วยจินตนาการของเธอเองเธอครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆ สุนัขตัวนั้นมันตายเพราะเธอเอาไปให้มันช้าไปรึเปล่า? ถ้าเธอเจอมันเร็วกว่านี้มันจะรอดไหม? ชายไร้ขาคนนั้นแค่หลับไปรึเปล่า? เขาพูดจริงหรอตอนที่เขาบอกว่ารู้เวลาตายของตนเอง? คำถามเหล่านี้วนเวียนในหัวเด็กสาว เธอแสดงสีหน้ารำคาญออกมาเนื่องจากเธอไม่สามารถหาคำตอบได้ เธอมองโลกแปลกกว่าผู้ใหญ่แถวนี้ เธอไม่ได้เสียใจที่ทั้งสองตาย เธอไม่ได้เศร้าโศก เธอแค่สงสัย ไม่เข้าใจ
'ไฮบริดเทียมบ้าคลั่ง ออกอาละวาด’ เด็กสาวหันไปมองด้านซ้านของเธอ เป็นร้านขายอุปกรณ์อีเล็คทรอนิกส์ที่ปิดแล้ว แต่เวอร์ช่วลเทเลชั่นยังคงเปิดโชว์ให้ลูกค้าดูเป็นตัวอย่างตลอด 24 ชั่วโมง เป็นจอโฮโลแกรมขนาด 50 นิ้ว มันถูกฉายออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมที่ขนาดเล็กกว่าชิพโฟน ตั้งโชว์เรียงกันสี่ถึงห้าอัน พวกมันไม่มีเสียง เด็กสาวเดินเข้าไปใกล้ๆ เอามือเกาะกระจกและมองเข้าไปอย่างสนใจ ดวงตาเธอเบิกโพลง เธออ่านชื่อหัวข้อข่าวไม่ออกหรอก เสียงก็ไม่มีให้เธอได้ยิน เธอเห็นแต่ภาพอย่างเดียว แต่เธอก็ยังคงตั้งใจดูต่อไป
บนจอทีวีเป็นคลิปวิดีโอของชายผู้หนึ่งร่างสูงใหญ่ ที่ชุดเกราะเหล็กสีดำทำให้เขาใหญ่โตน่าเกรงขามขึ้นไปอีก ชายในชุดเกราะไล่ต้อนชายอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นไฮบริดเทียมในหน้าทางเข้าตึกสูงใจกลางเมืองไซอ้อน ถนนสองข้างได้ถูกปิดในระยะ 30 เมตรเพื่อป้องกันคนไม่ให้มาขัดขวาง ตึกนั้นเป็นตึกธนาคารแห่งหนึ่ง ไฮบริดเทียมค่อยๆถอยหลังหนีจากชายในชุดดำจนสุดทางเข้าตึก เขาไม่มีทางหนีต่อแล้ว
ชายในชุดเกราะสะบัดมือข้างขวาของเขาข้างๆตัว ใบมีดมากมายสะบัดออกมาจากเกราะบริเวณแขน จะเป็นใบมีด หรือกรงเล็บก็แล้วแต่ มันเป็นอาวุธที่น่ากลัวและสร้างฝันร้ายให้กับไฮบริดหลายตัวในอดีต หลังจากนั้นชายชุดดำค่อยๆเดินเข้าไปหาไฮบริดเทียม เขาจ้องร่างสีดำนั้นอย่างขึงขัง ไฮบริดเทียมคนนั้นมีผมสีส้ม เขาใส่ชุดคลุมที่เหมือนเพิ่งออกมาจากแลป ข้างหลังมีตัวอักษรเขียนว่า ‘Property of Empire’
ชายผมส้มยื่นมือขวาไปข้างหน้า แบมือออกไปทางชายในชุดเกราะ เขาพูดอะไรบางอย่าง ก่อนที่ลูกไฟยักษ์จะถูกเสกขึ้นมาที่มือของเขา และพุ่งตรงไปหาชายชุดดำ เขาชะงัก ถึงจะรู้ดีกว่าชุดเกราะทำพิเศษของเขามันกันพลังเวทย์มนต์ของพวกไฮบริด แต่ลูกไฟขนาดใหญ่และพลังเข้มข้นขนาดนั้นต้องสร้างความเสียหายได้แน่ๆ เขาโยกตัวหลบขวาอย่างรวดเร็วและยกมือซ้ายขึ้นมาป้องกัน ลูกไฟยักษ์พุ่งชนแชนซ้ายของเขาและเบี่ยงออกไปก่อนที่จะสลายตัว แรงกระแทกทำให้ชายในชุดเกราะกระเด็นออกไป พื้นแตกจากการกระแทกของชายชุดเกราะไหล่ซ้ายของเขาควันขึ้นและเสียหายจากลูกไฟ
เมื่อชายผมส้มเห็นเช่นนั้น เขาจึงตั้งหน้าโจมตีต่อ เขาร่ายเวทย์และยิงลูกไฟออกมาอีกสองลูกไปหาชายชุดเกราะที่นั่งโซเซอยู่ตรงพื้น พื้นคอนกรีตบนถนนแตกและยุบลงไป เป็นผลมาจากเท้าทั้งสองของชายชุดเกราะ เขากระโดดดีดตัวขึ้นไปบนอากาศ สูงโดยที่ด้วยน้ำหนักของชุดไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ชายผู้นี้ทำได้ ลูกไฟสองลูกพุ่งลงไปยังพื้นคอนกรีต สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับมัน เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ‘โครม!’ ร่างของชายในชุดเกราะมาปรากฏตรงหน้าชายผมส้ม เขาช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาอยู่ห่างกันประมาณ 20 เมตร ไม่น่าจะมีมนุษย์คนไหนทำได้ ชายในชุดเกราะเอากรงเล็บในมือขวาแทงเข้าไปที่ท้องของชายผมส้ม เลือดสีแดงเข้มไหลออกมา กระเซนไปทั่วร่าง เขากระอักเลือดออกมา สีหน้าขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด ชายในชุดเกราะ สะบัดแขนซ้าย แสดงให้เห็นถึงกรงเล็บอีกข้างของเขา เขากำลังจะแทงชายผมส้มเพื่อปลิดชีพ แต่เขาก็หยุดซะก่อน เขานิ่งไปสักพักก่อนจะดึงกรงเล็บออกจากท้องชายผมส้ม เก็บทั้งสองเข้าไปในชุดเกราะ และเดินออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจ ชายผมส้มนอนอยู่กับพื้น เลือดอาบนองเต็มหน้าธนาคาร เขาชักดิ้นชักงอ พยายาม ขยับตัว ก่อนที่รถสีขาวแดงคันหนึ่งจะบินลงมาจากฟ้า เป็นรถที่ขนาดเตี้ย ยาว รูปทรงที่เหมาะสมต่อการเหาะเหิน มันค่อยๆเบาไอพ่นที่อยู่ข้างล่างทั้งสี่จุดก่อนจะลงจอดบนถนนไม่ห่างจากทั้งสองคน ประตูเปิดขึ้น มีชายสามคนวิ่งออกมา พวกเขาใส่ชุดสีขาว มีผ้าปิดปากและถือกระเป๋าอุปกรณ์อะไรบางอย่าง ดูเหมือนจะเป็นหน่วยพยาบาล พวกเขาวิ่งไปทางชายผมส้ม สวนทางกับชายในชุดเกราะที่ไม่แม้แต่จะสนใจคนเหล่านั้น เขาเดินขึ้นไปนั่งบนพาหนะลอยได้
หมอทั้งสามคนเมื่อไปถึงร่างของชายผมส้ม พวกเขาจับชายผมส้มพลิกตัวขึ้นนอนหงาย แสดงให้เห็นถึงบาดแผลถูกแทงขนาดใหญ่ แผลเหวอหวะที่น่ากลัว คนถือกระเป๋าวางมันลงกับพื้นและเปิดขึ้นมา เขาหยิบหน้ากากออกซิเจนออกมาจากกระเป๋า มันเป็นแค่หน้ากากที่สามารถปล่อยออกซิเจนได้ด้วยตัวของมันเอง เขานำไปครอบให้กับชายผมส้ม
ชายผมส้มเอามือจับมือของหมอไว้ไม่ให้ เอาหน้ากากมาใส่
จากนั้นชายอีกคนหันไปหยิบเข็มเล็กๆและนำมาจิ้มไปที่แขนของชายผมส้ม
ไม่นานเขาก็สลบไปด้วยฤทธิ์ยา หมอสวมหน้ากากให้เขา และอีกคนก็หยิบแผ่นเจลสีฟ้าขนาดเท่ากระดาษเอสี่ออกมาจากกระเป๋า เขาดึงมันออก มันถูกยืดได้เพราะสมบัติยืดหยุ่นของมัน ชายอีกคนหยิบกระป๋องสเปรย์ออกมาจากกระเป๋า และฉีดมันทั่วๆลงไปในแผ่นเจล ก่อนที่คุณหมอจะวางแปะมันลงไปที่แผลฉกรรจ์บนท้องเขา ทั้งสามคนช่วยกันแบกร่างของชายไร้สติขึ้นบนเปล และนำขึ้นรถลอยได้ของพวกเขา ก่อนที่ประตูจะปิด และเหินขึ้นไปบนอากาศ
เด็กสาวไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นหรอก เธอแค่รู้ว่า ผู้ร้ายได้โดนกำจัดแล้ว เธอไม่รู้หรอกว่าทำไมไฮบริดเทียมคนนั้นถึงบ้าคลั่ง เป็นแค่การจัดฉาก หรือชายผมส้มคนนั้นจะทำเรื่องไม่ดี ปล้นธนาคาร? อะไรจะเป็นความจริงเด็กอย่างเธอไม่มีทางรู้เลย แต่เธอรู้แค่ว่าเธอปลอดภัยจากผู้ร้ายคนนั้นแล้ว หลังจากนั้นภาพตัดไปยังผู้หญิงคนหนึ่งยังสาว ผมสีขาวยาว และดวงตาสีฟ้า ดูเหมือนเธอจะให้สัมภาษณ์อะไรบางอย่างอยู่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทีวีนี้ไม่มีเสียงแต่ภาพก็เห็นมือนักข่าวมากมายที่ยกมือถามคำถามผู้หญิงคนนี้จนเธอตอบไม่ทัน เด็กสาวรู้จักเธอ เธอคือเรนิต้า เบอร์นาร์ด คาเมียล่า เรนิต้าเป็นคนที่เธอชื่นชอบ เนื่องจากเธอหน้าตาสวย และทำงานให้กับฝั่งคนดี โตขึ้นไปเธออยากเป็นแบบเรนิต้า และผู้กล้ากาแลคติก เธอจ้องมองเรนิต้าอยู่สักพักด้วยสายตามีความสุขก่อนที่จะเลิกสนใจเวอร์ช่วลทีวี
เธอเดินหน้าต่อไปยังบ้านของเธอ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเพอร์เพิลสตรีท ก็ได้แต่หวังว่าเด็กสาวโค้ตเหลืองจะไม่เจอกับเหตุการณ์ร้ายๆระหว่างทางกลับบ้านของเธอ โดนทำร้ายร่างกาย โดนจับตัว หรือโดนลูกหลงจากความรุนแรงของผู้ใหญ่ ถ้าเกิดขึ้นจริงเธอก็ได้แต่หวังว่าเหล่าจักรวรรดิ ฮีโร่ของเธอจะมาช่วยเธอไว้ทันก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้ในมุมมองของไฮบริด จักรวรรดิจะเป็นคนเลวที่อยากทำลายล้างเผ่าพันธ์ เป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่สำหรับเด็กน้อยในโค้ตส้ม และเด็กอีกมากมายในไซอ้อน จักรวรรดิคือฮีโร่ของพวกเขา ที่คอยปกป้องพวกเขาจากเหล่าร้าย ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในสลัมที่เละเทะ ไม่มีการรักษากฏหมายหรือความช่วยเหลือจากจักรวรรดิ พวกเธอรู้ดีว่าจักรวรรดิ ยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับเหล่าผู้ร้ายข้างนอก จนไม่มีเวลามาใส่ใจที่นี่ พวกเธอจึงต้องดูแลกันเอง ช่วยเหลือกันเอง ให้มีชีวิตรอดต่อไป
End
|
|
|
Post by tonklaaaaaawow on Jun 9, 2018 18:35:54 GMT
Chapter 1 : Omen of revolution
ซัมเมอร์สตอร์ม
ซัมเมอร์สตอร์มเป็นมืองขนาดกลางที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ในอดีตมันเป็นที่อยู่ของกองโจร และพวกคนเถื่อน จนกระทั่งจักรวรรดิเรฮัลเนมเข้ามายึดครอง ที่นี่เริ่มมีระชาชนธรรมดามาอยู่อาศัย คนเหล่านี้ไม่มีทรัพยากรณ์และความเป็นอยู่ที่ดีเหมือนในเมืองหลวง กองทัพจักรวรรดิมักจะมาพักที่นี่บ่อย เนื่องจากเป็นทางผ่านของเมืองสำคัญๆหลายเมือง และด้วยความกว้างขวาง โล่งแจ้ง และความว่างเปล่าของทะเลทรายสีส้มร้อนระอุ กองทัพจึงใช้ที่นี่เป็นที่ลองอาวุธ และยุโธปกรณ์ใหม่ๆบ่อยครั้ง ทำให้ซัมเมอร์สตอร์มมีบาร์ ร้านเบียร์ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่พิเศษ หาที่ไหนไม่ได้ แน่นอนว่าซัมเมอร์สตอร์มเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมมากๆแห่งหนึ่ง เนื่องจากในทวีปนี้ไม่มีที่ไหนมีสภาพแวดล้อมแบบนี้อีกแล้ว ทำให้เจ้าของธุรกิจที่นี่เจอหน้าผู้คนหลากหลายไม่ซ้ำกัน
ในบาร์แห่งหนึ่ง ใจกลางซัมเมอร์สตอร์ม เป็นบาร์ขนาดเล็ก ดูเหมือนจะไม่ใช่ที่ๆนิยมสำหรับคนส่วนใหญ่สักเท่าไหร่ มีลูกค้าราวๆ 4-5 คน บรรยกาศสบายๆเป็นกันเอง ณ เวลาเที่ยงตรง ชายผมดำคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา เป็นประตูทำจากไม้สองแผ่นขนาดเล็ก มีตัวยึดติดอยู่ที่ปลายทั้งสองข้าง ชายหนุ่มผมดำคนนี้เดินมีสีหน้าเหนื่อยหน่าย เขาใส่ชุดที่เหมือนกับเป็นยูนิฟอร์มของกองทัพอะไรสักอย่างคลุมด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลขนาดใหญ่ มันเปรอะเปื้อนทรายและฝุ่น แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ของชายผู้นี้
“กัปตันฟริทซ์ ! ลูกค้าคนโปรดของผม!” บาร์เทนเดอร์กล่าว เขามีหน้าตาคล้ำจากแดด ผมสีดำปล่อยยาวไปถึงหลัง อายุประมาณสามสิบ ใส่ชุดบาร์เทนเดอร์สุภาพเรียบร้อย
“รับเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มถาม
กัปตันฟริทซ์พยักหน้า และถอดผ้าคลุมสีน้ำตาลออกอย่างเร่งรีบ พาดมันไว้รวมกับที่แขวนเสื้อโค้ต และเดินลงมานั่งที่บาร์ “ขอบคุณมากนะ บลองค์” เขาพูดอย่างเต็มใจ และมองไปรอบๆ
“ไม่มีลูกค้าเหมือนเดิมนะเราเนี่ย” ฟริทซ์พูดติดตลก พร้อมกับหันไปยิ้มแย้มพยักหน้าเป็นการทักทายกลับให้กับคนในร้าน ดูเหมือนพวกเขาจะรู้จักกัน ไม่สิ เหมือนคนในนี้จะรู้จัก ‘กัปตันฟริทซ์’ กันหมดเลยซะมากกว่า
บลองค์ บาร์เทนเดอร์หนุ่มเดินกลับมาพร้อมสปาเก็ตตี้ใส่จาน นำมาเสิร์ฟให้กับฟริทซ์ “ก็มีแต่ขาประจำเหมือนเดิมนั่นแหละครับ ตั้งแต่ตอนนั้น ผมว่าคงไม่มีใครกล้าเข้าแล้วหละ” บลองค์พูดติดตลก และเดินกลับไปเพื่อมิกซ์เครื่องดื่ม เหตการณ์ที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มกล่าวถึง ต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณเกือบปีก่อน ได้มีคนใหญ่คนโตในกองทัพมาดื่มกันที่ร้านนี้ พวกเขาเริ่มเมาและอาละวาด เริ่มพาลไปหาเรื่องลูกค้าคนอื่นๆที่เป็นคนธรรมดา ความรุนแรงเริ่มก่อตัว ฟริทซ์ในตอนนั้นที่ยังไม่ได้เป็นกัปตัน เป็นแค่ทหารธรรมดาเข้าไปขัดขวางและต่อสู้กับพวกคนใหญ่คนโตนั้น
“กัปตันช่วยชีวิตผมไว้เลยนะครับ”
“เอ้า แก้วนี้ผมเลี้ยง” บลองค์ถือแก้วน้ำดื่มมาให้ ถึงฟริทซ์จะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เค้ารู้ว่ามีแอลกอฮอล์แน่นอน เพราะ บลองค์ ชอบพยายามทำให้เขาเมา
“นี่มันเพิ่งเที่ยงเองนะครับ อีกอย่างผมแค่มาพักกลางวันเอง” ฟริทซ์กล่าว ปฏิเสธไปขำๆเหมือนเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่
“อีกอย่างคนที่ช่วยชีวิตใครไว้น่ะมันคุณไม่ใช่รึไง ที่ช่วยผมไว้หนะ” ฟริทซ์กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อตอนนั้น การชกต่อยเป็นไปอย่างระอุ แต่ดูเหมือนฟริทซ์จะเสียเปรียบ เขาโดนพวกนั้นรุมสามถึงสี่คน ลูกค้าคนอื่นก็กลัวที่จะเข้าไปช่วย ‘พลั่ก’ หนึ่งในคนที่รุมสู้กับฟริทซ์ล้มลง เลือดอาบหัว เป็นผลมาจากไม้ที่บลองค์ บาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนั้นเอามาฟาดเต็มหัว นายทหารอีกสามคนหยุดชะงัก มองหน้ากันว่าควรจะทำยังไงกันต่อ บาร์เทนเดอร์หนุ่มชักปืนออกมาจากชุดคลุมของเขา เป็นปืนแบบเก่าที่ยังใช้กระสุนธรรมดาจากดินปืนอยู่ แต่นั่นก็พอที่จะเป่าหัวทหารธรรมดานอกชุดเกราะได้ เขาชี้ปินกระบอกนั้นไปทางทหารที่นอนเลือดอาบอยู่กับพื้น “กรุณาออกไปจากร้านผมด้วยนะครับ” เขายิงปืนลั่นมั่วๆไปสองสามนัดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ชวนสยอง
"โชคดีนะครับเนี่ยที่พวกนั้นไม่พาพวกมาเล่นงานผม” บลองค์กล่าวกับฟริทซ์ ดกน้ำที่ตัวเองทำมาให้เขาซะหมดเกลี้ยง “โชคดีที่ผมยังไม่โดนไล่ออกเหมือนกันนะ” ฟริทซ์กล่าวพร้อมกินสปาเก็ตตี้ “พวกนั้นเก็บเรื่องนี้เป็นความลับหนะ ไม่กล้าบอกเบื้องบน” ฟริทซ์พูดต่อ
“แต่ข่าวลือก็ทำร้านผมเกือบเจ๊งเหมือนกันนะครับ” บลองค์พูดพร้อมกับล้างแก้วนั้นไปด้วย
“แต่ที่นี่ก็บรรยากาศดีที่สุดแล้วแหละนะ ผมคิดว่าทุกคนก็คงชอบ” ฟริทซ์กล่าว “ใช่มั้ยทุกคน?” เขาหันไปยังลูกค้าโต๊ะอื่นๆ บ้างก็อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ หรือเล่นไพ่ “ใช่แล้วกัปตัน!!” พวกเขาเฮและตอบกลับอย่างสนุกสนานให้ฟริทซ์
“เอาหละ ขอบคุณสำหรับอาหารมากครับ ผมคงต้องไปต่อแล้วหละ” ฟริทซ์พูดขึ้น เขาลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ และล้วงกระเป๋าหาของอะไรบางอย่าง “เมื่อไหร่ที่นี่จะรับดิจิตัลแคชสักทีหละเนี่ย ทุกที่เค้าทำกันหมดแล้วนา” ฟริทซ์บ่นขึ้นมา พร้อมกับควักแบงค์ออกมาและวางไปบนโต๊ะ “ผมชอบวินเทจหนะครับ” บลองค์พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และหยิบเงินขึ้นมาจากโต๊ะ “ไว้แวะมาใหม่นะครับกัปตัน หลังเลิกงานจะได้สนุกกันหน่อย” บลองค์กล่าว ฟริทซ์เดินไปหยิบเสื้อโค้ตและเดินออกจากร้าน ลูกค้าทุกคนทักทายโบกมือลาเขาก่อนจะออก บลองค์ คาเฟ่ตั้งอยู่ใจกลางซัมเมอร์สตอร์มก็จริง แต่เป็นโซนลึก และแคบ ทำให้ข้างในนี้คนไม่ผ่าน ก่อนหน้านี้เป็นที่ที่ทำเลดี แต่หลังจากเหตุการณ์ตอนนั้น ข่าวลือว่าเจ้าของร้านเป็นคนบ้าโรคจิตก็เริ่มผุดขึ้นมา ทำให้คนไม่กล้าเดินเข้าเดินออกแถวๆนี้ ด้วยสัญชาติญาณเหนือมนุษ์ของเขา ฟริทซ์รู้สึกว่ากำลังมีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามา ‘ฟู่มมม!!’ ฟริทซ์ก้าวถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็ว ยานบินส่วนตัวขนาดเล็กสีแดงขับผ่านเขาไปด้วยความเร็วสูง
“เฮ้!! นี่มันเขตุชุมชนนะ!!” เขาตะโกนไล่หลังไป “ให้ตายสิ” ฟริทซ์พูดอย่างอารมณ์เสีย เขากำลังมุ่งหน้าไปทางอื่น ก่อนที่จะได้ยินเสียงคนกรีดร้องในทางที่ยานสีแดงขับไป ฟริทซ์หันไปทางนั้นทันที เขาเริ่มออกวิ่งอย่างรวดเร็วไปทางที่ยานสีแดงนั้นอยู่ ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ เขามาถึงเป้าหมาย เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ประตูของมันเปิดอยู่ ฟริทซ์กระโจนเข้าไป ภาพที่เขาเห็นคือชายผมสีดำ ในชุดสีดำเมี่ยม ถือดาบคาตานะคู่ กำลังต่อสู้กับคนกลุ่มนึงอยู่ โดยข้างๆมีประมาณสองศพที่เสียชีวิตอยู่ที่พื้น จากการคาดเดาของเขาแล้ว ชายชุดดำน่าจะมาคนเดียว และกำลังไล่ฆ่าคนพวกนั้นโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว ระหว่างที่กำลังประมวลผลอยู่นั้น กว่าฟริทซ์จะรู้ตัว ชายผมดำก็ปราบศัตรูของเขาจนหมดแล้ว
“อย่าขยับนะ!” ฟริทซ์ยกปืนขึ้นมาจ่อไปที่ชายชุดดำ ปืนนั้นเป็นปืนพกเลเซอร์ธรรมดา สแตนดาร์ดของกองทัพ ฟริทซ์นั้นรู้ตัวดีว่าชายคนนี้นั้นมีความสามารถที่น่าสะพรึง เขาสามารถจัดการคน 6 คนได้อย่างรวดเร็ว ถึงจะเป็นการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว แต่คนๆนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน และสิ่งที่ทำให้เขากล้าเผชิญหน้า เพราะเขาก็รู้เช่นกัน ว่าตัวเขาเองนั้นไม่ใช่ธรรมดา เขาก็เป็นไฮบริด ถึงจะแอบซ่อนพลังของตัวเองใช้แค่ยามขับขัน แต่นี่มันอาจจะถึงเวลาแล้ว ชายชุดหนุ่มดำหันกลับมาหาฟริทซ์ เขามีสีหน้าที่แปลกใจและตื่นเต้นมาก เขายิ้มอย่างน่ากลัวออกมาและค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆ
"น่าสนใจ”
เดอะ กอฟเวิร์น เฮ้าส์, ไซอ้อน
ใจกลางไซอ้อน กอฟเวิร์น เฮาส์ คือตึกขนาดยักษ์ ที่สูงหนึ่งร้อยสิบสองชั้น เป็นตึกที่สูงที่สุดในไซอ้อน มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดของที่นี่เลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการควบคุมและการปกครองทั้งหมด หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับจักรวรรดิและกองทัพ จะอยู่ในนี้หมด ทั้งแผนกการวิจัย การเงิน การปกครอง กองทัพทหาร และอื่นๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับรัฐบาลจะมีที่ตั้งจากที่นี่ ทำให้เหล่าข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือทหาร สามารถพบปะรู้จักกันได้
บนลิฟต์ตัวหนึ่ง บรรจุผู้โดยสารแปดคน เป็นลิฟต์แก้วที่แสดงถึงความก้าวหน้า มันกำลังขึ้น และมาหยุดที่ชั้นหกสิบ หลังจากประตูลิฟต์เปิดออก สาวคนหนึ่งพยายามเบียดคนออกมาจากด้านในสุดของลิฟต์ “หลีกหน่อยสิโว้ย” เด็กสาวผมแดงโวยวายระหว่างแหวกฝูงคนออกมา เธอหันกลับไปทางลิฟต์และส่งสายตาเกลียดขี้หน้าให้กับคนข้างในและบ่นเล็กน้อยเนื่องจากเกือบออกมาไม่ทัน เธอก้มลงไปในมือของเธอที่ถือขนมเค้กช็อคโกแลตอยู่และเห็นว่ามันเละและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหล่นตามทางระหว่างที่เธอเดินออกมา
“อีเวรเอ้ย ซวยชิบเป๋งเลยวันนี้!” เธอสบถ ก่อนจะขว้างเศษขนมลงถังขยะข้างๆและมุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมายของเธอต่อไป
‘แผนกอาวุธยุโธปกรณ์’ หญิงสาวเหลือบไปมองป้ายที่ติดอยู่ข้างหน้าเธอ ทำให้เธอรู้ว่าเธอมาถูกทางแล้ว เธอเดินตรงเข้าไป ผ่านผู้คนมากมาย ชั้นหกสิบนี้ไม่ใช่ที่ที่เธอจะมาบ่อยๆ ทำให้เธอรู้สึกประหม่าคนในนี้อยู่บ้าง เธอแวะเข้าห้องน้ำ เพื่อทำความสะอาดเศษขนมที่ติดเสื้อผ้าเธอ เธอก้มล้างหน้าในอ่างเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเงยขึ้นมาเจอกับกระจก เธอมีผมและดวงตาสีแดงเข้ากัน ใบหน้าอ่อนวัยแต่เต็มไปด้วยความดุดัน เธอใส่ชุดเดรสสีแดงที่เข้ากับรูปลักษณ์ของเธอ เรียกได้ว่าการแต่งตัวไม่เหมือนคนแถวนี้เลย
สาวผมแดงมุ่งหน้าต่อมายังห้องห้องหนึ่ง เธอเดินเข้ามาเจอกับนักวิทยาศาสตร์มากมายกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ เธอเหลือบตาไปเจอกับผู้หญิงผมขาวนัยน์ตาฟ้า และทำท่าเหมือนคนคนนี้แหละที่เธอตามหา จึงเดินเข้าไป
“ไง เรนิต้า ออกสื่อเป็นไงบ้าง” ผู้หญิงผมแดงเดินเข้าไปตบหลังของเธอ เรนิต้ากระตุกเล็กน้อยเนื่องจากเธอโฟกัสงานของเธออยู่ และหันไปมองสาวผมแดง
“การ์แลนด์เกือบฆ่าผู้ร่วมวิจัยคนนั้นแล้ว เธอได้ดูข่าวรึเปล่าหละมิกิ?” เรนิต้ากล่าว ยังคงวุ่นกับงานที่มือ
“ผู้ร่วมวิจัย? เธอหมายถึงหนูทดลองใช่มะเรนิต้า” มิกิกล่าวอย่างกวนประสาท “แม่สาวรักโลก เธอนี่มันใจดีจริงๆเลยน้า อีกอย่างถ้าหมอนั่นมีพลังพอจะหนีออกจากศูนย์วิจัย แถมพลังเยอะขนาดทำการ์แลนด์บาดเจ็บได้ ก็สมควรโดนฆ่าแล้วไม่ใช่หรือไง?”
"ผลข้างเคียงมันเยอะเกินไป จิตใจของเขายังไม่สเถียรก็แค่นั้นเอง” เรนิต้าตอบกลับด้วยท่าทางสุขุม
มิกิกลอกลูกตาและยิ้มเหมือนเป็นเรื่องสนุก เธอชะเง้อหน้าไปดูว่าเรนิต้ากำลังทำอะไรอยู่ “ว่าแต่เรื่องหอกของชั้นหละ เป็นยังไงบ้าง” เธอดูตื่นเต้นกว่าปกติมาก เกาะไหล่ของเรนิต้าเพื่อดูอาวุธของเธอ เรนิต้าหันไปมองอย่างภูมิใจในตัวของตัวเอง
“เราเปลี่ยนใบมีด และตัวกระบองใหม่ทั้งหมด ใช้โลหะแบบใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม” เธอพูดพร้อมกดปุ่มที่คอนโซลที่อาวุธของมิกิวางอยู่ มันมีรูปภาพและข้อมูลของอาวุธของเธอขึ้นมาเป็นแบบโฮโลแกรม
“ตรงส่วนที่จับยาวๆนั่น จากเดิมที่ใช้โซ่ข้างใน เพื่อยืดหดและความยืดหยุ่น พวกเราเปลี่ยนเป็นวัสดุชนิดใหม่ ที่สามารถยืดหด และเลี้ยวไปมาได้ตามใจชอบ” เธอดึงข้อมูลส่วนที่พูดขึ้นมา
“ทีนี้จะได้ขยับได้ทุกองศา ไม่มีจุดบอดอีกต่อไป” เรนิต้าจบการนำเสนอ พูดไม่ทันขาดคำ มิกิหยิบหอกของเธอ สกอร์เปี้ยน เทล ออกมาจากคอนโซลอย่างรวดเร็ว และเริ่มสะบัดมันไปรอบๆ สร้างความตกใจให้กับคนในนั้นเป็นอย่างมาก ยกเว้นเรนิต้า เธอยังคงสงบนิ่ง สังเกตุหน้าตาอันเบิกบานและตื่นเต้นของมิกิต่อไป “ระวังหน่อยมิกิ เดี๋ยวทำของในนี้เสียหาย เงินเดือนเธอจะใช้ไม่หมดนะ” เธอพูด ทำให้มิกิหยุด และหันมายิ้มแปร้นให้กับเรนิต้า “ขอบคุณมากนะ!!” เธอยิ้มอย่างมีความสุข
มิด ไซอ้อน
จากจุดนี้ กอฟเวิร์นเฮ้าส์ สุดหรูหราสูงเสียดฟ้าคงเป็นได้แค่วิวที่ห่างไกลเกินเอื้อม หญิงสาวผมดำคนหนึ่งยืนอยู่บนขอบตึกบรดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่ง เป็นแมนชั่นที่อยู่ระดับกลาง ไม่แพงหรือถูกเกินไป ไม่ได้มีลูกค้าร่ำรวย หรือเป็นคนไร้บ้านจากถนน แต่ตึกหลังนี้ก็เป็นจุดสังเกตุการณ์ที่ดี เนื่องจากมันเห็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างของไซอ้อนอย่างชัดเจน หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ สายตาเธอดูมุมานะและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ก็เย็นชา เหมือนนกอินทรีย์กำลังมองเลือกเหยื่อจากผิวน้ำ ข้างๆเธอนั้นมีถุงสีดำวางพาดระเบียงอยู่ มันเป็นเป้ยาวขนาดใหญ่ที่ใส่ของได้หลายอย่าง หญิงสาวได้ยินเสียงจากบันไดทางขึ้นดาดฟ้า เธอปลุกสัญชาติญาณนักล่าขึ้นมาทันที ถ้าเป็นศัตรู เธอก็พร้อมจะโจมตี
“ขอโทษที่ให้รอครับ!” เด็กผู้ชายผมขาวที่หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงเปิดประตูดาดฟ้าออกมา เขาสะพายเป้ขนาดใหญ่ไว้ข้างหลัง เหมือนกับคนที่กำลังจะย้ายบ้าน “พอดี ผมคุยรายละเอียดกับเจ้าของแมนชั่นอยู่หนะครับแล้วก็...” ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค หญิงสาวก็หันไปมองด้วยสายตาเยือกเย็นเหมือนเธอจะบอกว่าเธอไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอะไรที่เขาจะพูด ก่อนจะหันกลับไปมองวิวของไซอ้อนและรอให้เด็กหนุ่มเดินเข้ามา เด็กหนุ่มผมขาวรีบวิ่งเข้ามายืนข้างๆเธอ และควักบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้ของเขา มันเป็นกล้องส่องทางไกลอเนกประสงค์ เขานำมันมาใส่และมองไปข้างล่าง “อืม....”เด็กหนุ่มเหมือนจะเล็งไปยังตึกแห่งหนึ่งและวิเคราะห์ในหัว “คอนเฟิร์มครับ เป้าหมายไม่อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มหันไปบอกหญิงสาว “คุณคริสเท็น.... จะไปคนเดียวจริงๆหรอครับ?” เด็กหนุ่มยิงคำถามใส่หญิงสาวที่ชื่อคริสเท็นต่อ ระหว่างที่เธอกำลังเปิดเป้ของเธอ
“ก็พวกไฮบริดที่แคนเธอร์อยากให้ไอ้ปีศาจนั่นออกจากไซอ้อนไปก่อนไม่ใช่รึไง? นี่มันก็ไปแล้ว ยังจะมีปัญหาอะไรอีก?” คริสเท็นกล่าวพร้อมกับหยิบดาบสีดำเล่มยาวออกจากเป้ของเธอ
“ถึงจะไม่มีอีโวล์ตแล้ว แต่ว่าทหารนายอื่นๆ...” เด็กหนุ่มผมขาวพูด แต่ยังไม่ทันขาดคำ คริสเท็นก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ไซกะ ยิ่งเราเสียเวลาเท่าไหร่ ไอพวกสวะจักรวรรดิมันก็มีโอกาสรอดมากขึ้นเท่านั้น เพราะงั้นหยุดพูดแล้วเริ่มภารกิจจะดีกว่านะ” สิ้นเสียงคริสเท็น ทำเอาไซกะพูดไม่ออก นิสัยร่าเริงและมองโลกในแง่ดีของเขาก็ไม่สามารถจะเทียบกับความหม่นหมองของคริสเท็นได้ เขาทั้งผิดหวังและเสียใจที่สหายคนเดียวในเมืองแสนอันตรายนี้ไม่เข้ากับเขาเสียเลย ไซกะมองไปทางคริสเท็นในเสื้อแดงและชุดคลุมสีดำที่ปกปิดดาบเล่มใหญ่ที่เธอพก กับปืนพลาสม่าสีดำหลายกระบอกคู่ใจของเธอ “ขอโทษนะเมย์” เขาถอนหายใจและพูดด้วยความผิดหวัง คริสเท็นไม่แม้แต่จะมองไปทางไซกะด้วยซ้ำ หลังจากเธอจัดอุปกรณ์ของเธอเสร็จ เธอก็กระโดดลงจากหลังคาบนดาดฟ้าอย่างคล่องแคล่ว ทำให้ไซกะตกใจเป็นอย่างมาก
“คุณคริสเท็น!!!” ไซกะรีบเอามือเกาะราวตึกและยื่นตัวออกไปมองหาเธอด้วยความเป็นห่วงและความตกใจ และเห็นคริสเท็นยืนอยู่บนขอบตึกที่ยื่นออกมาจากตัวตึก เธอหันมามองไซกะ “ถ้าจะตามมา ก็มาให้เร็วละกัน” ไซกะดีใจกับคำพูดนั้นอย่างบอกไม่ถูก เขารีบหันไปหยิบของที่จำเป็นจากกระเป๋าเป้ และวิ่งลงจากบันไดอย่างรวดเร็ว ไซกะรีบออกไปที่ถนนใหญ่ และเดินไปที่ 'แอร์ไบค์ รับจ้าง’ ไซกะรีบวิ่งไปด้วยความตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนขับแอร์ไบค์ตื่นเต้นตามเขาไปด้วย “ไปไหนจ๊ะแม่สาวน้อย” คนขับแอร์ไบค์ตัวผอมคนนึงกล่าวขึ้นมา เขาอยู่หน้าสุดของคิวคนขับที่จะรับลูกค้า “กอฟเวิร์น เฮ้าส์ ค่ะ!” ไซกะทำเสียงสองและตอบอย่างรวดเร็ว คนขับแอร์ไบค์ใส่หมวกกันน็อคสุดเท่สีเหลืองของเขา “เกาะไว้แน่นๆหละ !” คนขับแอร์ไบค์เร่งเครื่อง รถขนาดเล็กที่นั่งได้สองคนเหมือนมอเตอร์ไซค์ที่ลอยได้ ก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วไปยังจุดหมาย
คริสเท็นกระโดดลงมาบนหลังคาของตึกอีกแห่งหนึ่ง สร้างเสียงกระแทกให้กับคนด้านล่าง พวกเขาตกใจมาก แต่กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็ไปแล้ว คริสเท็นใช้พลังไซโคคิเนซิสของเธอ ประยุกต์กับการเคลื่อนที่ เธอทำงานเป็นสายลับ/นักฆ่าในไซอ้อนมาเป็นเวลานานมากแล้ว ทำให้เธอประยุกต์ใช้พลังอย่างคล่องแคล่ว ร่วมกับความสามารถด้านอาโครแบติกของเธอ และการที่เธอรู้แผนที่แทบทุกซอกทุกมุมของที่นี่ ทำให้เธอเคลื่อนที่ไปมาในเมืองนี้ได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ เธอมาหยุดที่หน้าตึกเปลี่ยวแห่งหนึ่ง มีทหารยามสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นทหารเฝ้ายามให้กับตึกแห่งนี้ เธอสำรวจรอบๆและไม่เห็นคนอื่นในระยะสายตา และมีแอร์ไบค์ของทหารสองคนนั้นอยู่
“ปวดฉี่ชิบเป๋งเลยว่ะไอ้สอง”
“ตัดไข่ดิจะได้หายปวด อิอิ ห้าห้าห้าๆๆ”
ฉั่บ!’ คริสเท็นกระโดดลงมาในเงามืดอย่างเงียบเชียบและเอาดาบคาตานะสีดำตัดผ่าครึ่งตัวตั้งแต่หัวลงมาถึงระหว่างขาของทหารยามนายแรก ถึงตัวจะไม่ขาดเป็นสองท่อนแต่ความเสียหายก็ทำให้เขาเสียชีวิตทันที เลือดสีแดงเข้มสาดไปทั่วสถานที่ ด้วยความตกใจ ทหารยามคนที่สองพยายามคว้าปืนออกมาจากซองที่เอว คริสเท็นยื่นมือของเธอไปข้างหน้า ทำให้ทหารยามคนนั้นกระเด็นไปข้างหลังกระแทกกับกำพังและขยับไม่ได้ ไม่ได้แม้แต่จะพูด
“อะ....อ่ะ....อะ..” ทหารยามมีสีหน้ากลัวสุดขีด เขาพยายามเบ่งเสียงแต่ไม่มีเสียงออกมา คริสเท็นจับคาตานะด้วยสองมือ และแทงมันเข้าไปที่บริเวณท้องของเขา ความเจ็บปวดจะรุนแรงแค่ไหนเขาก็เปล่งเสียงออกมาไม่ได้ คริสเท็นหมุนดาบที่คาท้องเขาขึ้นมาประมาณหกสิบองศาจากแนวนอน และลากดาบตัดขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ เธอปล่อยการจับกุม ร่างของเขาหล่นลงมาที่พื้น ไร้วิญญาณ คริสเท็นเช็ดเลือดออกจากดาบและหน้าของเธอ ขโมยแอร์ไบค์ของทหาร และมุ่งหน้าต่อไปยังกอฟเวิร์น เฮ้าส์
อีกฟากของซัมเมอร์สตอร์ม
อีกฟากของเมืองแห่งทะเลทรายนี้ กำลังทำการก่อสร้างครั้งใหญ่ เพื่อขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้นรองรับนักท่องเที่ยวและความเจริญรุ่งเรื่องที่เข้ามาพร้อมกัน เป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยไซด์ก่อสร้าง รถก่อสร้างมากมายจอดตามถนน สิ่งก่อสร้างที่ยังไม่เสร็จตั้งตระหง่านอยู่ อุปกรณ์หลากชนิดวางระเกะระกะตามที่ทางต่างๆ ในเวลาเที่ยงวัน เหล่าคนก่อสร้างได้พักงาน ได้เวลาเป็นของพวกเขาเอง บ้างก็พากันไปสังค์สรรค์ บ้างก็ไปพักจากงานอันแสนเหนื่อยล้า ในเวลาแบบนี้ที่ไม่มีคนงาน ไซด์ก่อสร้างมันช่างอ้างว้างเหลือเกิน
ข้างใต้ไซด์ก่อสร้าง ที่ตึกใหญ่แห่งหนึ่ง ที่เป็นหลุมขนาดใหญ่ยักษ์ที่ขุดไว้ตั้งเสาดิน และจัดวางอุปกรณ์ คอนเทนเนอร์ต่างๆ มีกลุ่มคนนั่งอยู่ที่นั่น พวกเขาแต่งตัวไม่เหมือนกับคนงานปกติของที่นี่ พวกเขานั่งอยู่เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกมีผู้ชายใส่ชุดคาโมทหารสีทราย เหมือนพวกเขาอยู่ในภารกิจอะไรบางอย่าง กลุ่มแรกนั่งอยู่สามคน เป็นชายวัยประมาณยี่สิบปลายๆ ร่างกายกำยำสมกับการแต่งตัว สะพายปืนไรเฟิลรุ่นใหม่ของกองทัพ อีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกัน แค่ไม่กี่เมตรเป็นผู้ชายอีกคนที่อายุราวสามสิบปี เขาแต่งตัวต่างจากคนในกลุ่มแรกเล็กน้อย เขามีอุปกรณ์บนยูนิฟอร์มมากกว่า แต่เค้าโครงก็เหมือนกัน เขาไว้หนวดเคราเล็กน้อย ผมสีดำเสยไปข้างหลัง ข้างๆชายคนนั้นคือเด็กผู้หญิงอายุราวๆสิบกว่าๆ เธอมีผมสีน้ำตาลอ่อนยาวลงไปถึงเอว ใส่ชุดเดรสสีขาวที่หุ้มด้วยเสื้อเกราะเล็กน้อย ข้างๆเธอมีปืนไรเฟิลขนาดใหญ่วางพาดอยู่ ชายจากกลุ่มแรกลุกและเดินเข้ามาหา
“พวกเราต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนครับหัวหน้า” ชายในเสื้อคาโมสีทรายกล่าว
“จนกว่าจะแน่ใจว่าอีโวล์ตมันตามเรามาถึงที่นี่ ดีไม่ดีได้เก็บมันด้วย”ชายที่ไว้หนวดเคราตอบกลับ
“หวังว่าจะเป็นอย่างงั้นนะครับบอส”ชายในกลุ่มแรกกล่าว ก่อนจะเดินกลับไปที่กลุ่มตนเอง
“ลูกน้องคุณไม่รู้แผนการหรอคะ?” เด็กสาวกล่าวด้วยสีหน้าสุขุม
“ชั้นบอกแบบคร่าวๆหนะเมย์ พวกนี้มันชอบความเซอร์ไพรส์” ชายหนุ่มกล่าว
หญิงสาวที่ชื่อเมย์ยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า เธอครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง เมย์นั่งอยู่บนขอบเสาที่สูงขึ้นมาจากพื้น เธอเปลี่ยนท่านั่งมากอดเข่า และทำสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย จ้องมองไปยังพื้นข้างหน้าของเธอ “ทีมในไซอ้อนจะเป็นยังไงบ้างนะ” เธอพร่ำเพ้อ “เธอรู้จักคริสเท็นดีกว่าทุกคนไม่ใช่รึ พวกนั้นไม่เป็นไรหรอก” ชายหนุ่มกล่าว “หน้าที่พวกเราคือล่ออีโวล์ตออกมา ที่เหลือก็เป็นงานของพวกนั้นแล้ว” เขาพูดเสริม สีหน้าของเมย์ไม่ได้เปลี่ยนไป คำพูดเหล่านี้ของชายหนุ่มไม่ได้โน้มน้าวใจของเมย์ได้เลย เธอยังคงกังวลและครุ่นคิดเกี่ยวกับคริสเท็นอยู่
“จะว่าไป มีเรื่องนึงที่ชั้นอยากจะบอก”ชายหนุ่มกล่าว เขาพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนากับเมย์
“ชั้นรู้สึกได้ว่าที่ซัมเมอร์สตอร์มมีไฮบริดอยู่” “น่าจะสองคน ถ้าคาดไม่ผิด”
“จริงหรอมิทเชล์! พวกเราควรจะไปตามหาพวกเค้านะคะ” เมย์พูด
“ถ้าพวกเราได้สองคนนั้นมาเป็นพวก ก็จะมีโอกาสสู้กับพวกอีโวลต์มากขึ้นนะ” เธอกล่าวเสริม
มิทเชล์นิ่งอยู่สักครู่ ก่อนจะหันไปหาลูกน้องของเขาอีกสองคน และส่งสัญญาณให้พวกเขามาหา ทหารคนหนึ่งลุกและวิ่งขึ้นมาหามิทเชล์ คนละคนกับคนก่อน ทหารคนนี้ยังวัยละอ่อน ดูเหมือนจะแค่ยี่สิบต้นๆ ใบหน้าอ่อนวัยของเขาเป็นจุดเด่นมากในกลุ่มคนกลุ่มนี้ เขาตัดสกินเฮดผมสีแดงเข้ม “บาร์ทซ์ ถ้ามีความเคลื่อนไหวของพวกนั้นเมื่อไหร่ ส่งสัญญาณมาให้ชั้นทันที” มิทเชล์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ครับ หัวหน้า!” บาร์ทซ์กล่าวพร้อมกับตะเบ๊ะมือขึ้นมาทำวัณทยาหัตอย่างเข้มแข็ง มิทเชล์เห็นแบบนั้น ก็เกือบหลุดขำออกมา เขาเอาสองมือแสดงสัญลักษณ์ให้บาร์ทซ์เอามือของเขาลง “เราไม่ทำอย่างนั้นกันที่นี่” มิทเชล์กล่าว บาร์ทซ์มีสีหน้างงงวยเล็กน้อยก่อนจะเอามือลง และหันกลับไปอย่างตะกุกตะกัก ก่อนที่มิทเชล์และเมย์จะเดินออกไปจากไซด์ก่อสร้าง
“หนูนึกว่าลูกน้องของคุณจะอายุเยอะกว่านี้ซะอีกนะ ได้ข่าวว่าหน่วยของคุณปลดประจำการตั้งแต่สิบปีที่แล้วแล้วนี่?” เมย์พูดถึงบาร์ทซ์ นายทหารหนุ่มที่อยู่ในหน่วยรบเล็กๆของมิทเชล์
“ชั้นช่วยชีวิตบาร์ทซ์ไว้เมื่อสี่ห้าปีก่อนหนะ ตอนออกลาดตระเวณหาไฮบริด เด็กนี่หนะเสียพ่อแม่ไปจากการรุกรานของจักรวรรดิ นิสัยดี วินัยเยี่ยม ขัดเกลานิดเดียวก็เป็นทหารยอดฝีมือแล้ว” มิทเชล์อธิบายให้เธอฟัง เขามีสีหน้าภูมิใจเล็กน้อยที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่จนแสดงออกมา
มิทเชล์และเมย์เดินออกมาจากไซด์งาน ตรงไปยังพาหนะที่พวกเขาจอดไว้ มันมีรถหุ้มเกราะขนาดเล็กทั้งหมด สองคัน และอาวุธที่เก็บไว้ในกระบะ ทั้งสองเดินสวนกับคนงานคนหนึ่ง เขาดูอาวุโสและแก่งาน คนงานก้มหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทายมิทเชล์ “พวกชั้นขออยู่ต่ออีกหน่อยนะ ไม่รู้ว่าของที่นัดไว้จะมาเมื่อไหร่” มิทเชล์กล่าวกับคนงาน เขาหยิบชิพโฟนขึ้นมา และสไลด์ให้หน้าโฮโลแกรมเปิดออกมา “โอ้ว... ไม่เป็นไรหรอกครับคุณทหาร” หัวหน้าคนงานกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “รับไปเถอะค่ะ พวกเรารบกวนคุณ” เมย์กล่าวเสริม ทำให้หัวหน้าคนงานหยิบชิพโฟนของตนเองขึ้นมา เปิดหน้าโฮโลแกรมของเขา ‘แบงค์กิ้ง’ ‘มันนี่ ทรานสเฟอร์’ มิทเชล์กดปุ่มบนโฮโลแกรม และโอนเงินจำนวนหนึ่งให้กับหัวหน้าคนงาน เขากล่าวขอบคุณ และเดินจากไป มิทเชล์และเมย์เดินต่อไปยังรถหุ้มเกราะ มิทเชล์ขึ้นขับ เมย์ขึ้นเบาะข้างคนขับ และขับเข้าไปในเมือง
“แล้วเราจะหาไฮบริดสองคนนั้นได้ยังไงกันคะ?” เมย์ถาม เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ชมวิว
“คงต้องถามตามเจ้าถิ่นแถวนี้ดู ชั้นไม่ได้สัมผัสได้ถึงขนาดนั้นหนะ” มิทเชล์ขับรถ และมองซ้ายมองขวา หาที่ที่จะจอด
พวกเขาทั้งสองคนตระเวณขับไปมาตามร้านค้า โรงแรมต่างๆ ถามถึงคนแปลกๆ ที่ปลีกวิเวก หรือดูท่าว่าจะมีพลังในซัมเมอร์สตอร์มไปเรื่อยๆ โดยที่ในขณะเดียวกัน ก็หลบสายตาทหารจักรวรรดิที่อยู่ที่นี่ แต่ข้อมูลที่ได้มานั้นบางอันก็เชื่อถือไม่ได้ หรือกว้างเกินไปที่จะสืบต่อ จนทั้งสองคนมาหยุดที่หน้าบลองค์ คาเฟ่ มิทเชล์จอดรถไว้หน้าร้าน ทั้งสองก็ลงมา บรรยากาศเปลี่ยวแปลกประหลาด มันทำให้เมย์ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก “แวะดื่มอะไรหน่อยมั้ย ชั้นเลี้ยงเอง” มิทเชล์กล่าว เมย์พยักหน้าตอบ ทั้งสองจึงเดินเข้าไป
“ลูกค้าหน้าใหม่!” บาร์เทนเดอร์ผมยาวกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตาตื่นใจ ทั้งสองตรงดิ่งไปยังเคาเตอร์
“แรงๆ หนึ่งแก้ว กับนมให้น้องสาวคนนี้” มิทเชล์กล่าว เขาหยิบชิพโฟนขึ้นมา
“ร้านเราไม่รับดิจิตัลแคชน่ะครับ” บลองค์พูดขึ้นพร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ทั้งคู่ ทำเอามิทเชล์อึ้ง
เมย์รับแก้วนมของเธอมา เธอมองซ้ายมองขวาเล็กน้อย หาจังหวะที่ไม่มีใครมอง เอามืออุงแก้วทั้งสองข้าง จากนั้นนมในแก้วก็เปลี่ยนไปกลายเป็นน้ำผลไม้อย่างอื่น มิทเชล์หันมามอง เมย์ที่เห็นแบบนั้นเลยตอบไปด้วยความเกรงใจ “หนูไม่อยากขัดน่ะค่ะ” มิทเชล์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเป็นการตอบกลับ เค้ากำลังจะจิบเครื่องดื่มที่สั่งมา ก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง
“เมย์ อยู่ใกล้ๆนี่เอง” “กำลังตกที่นั่งลำบาก ไปกันเถอะ”
เมื่อพูดจบ มิทเชล์ลุกขึ้นและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว เมย์ที่เห็นอย่างนั้นเลยทำอะไรไม่ถูก บลองค์กำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้น เมย์หันไปทางบาร์เทนเดอร์หนุ่มแล้วโค้งคำนับเป็นการขอโทษ ด้วยสีหน้ารู้สึกผิดอย่างจริงใจก่อนที่จะวิ่งตามมิทเชล์ออกไป บลองค์ยังคงตามสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ทัน เค้าเห็นว่าเครื่องดื่มยังไม่ถูกกิน และอีกแก้วก็เปลี่ยนจากนมเป็นน้ำผลไม้ เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย “กัปตันเอ้ย...” เขาถอนหายใจ
แคนเธอร์
ถ้าหากซัมเมอร์สตอร์มห่างไกลจากไซอ้อนแล้ว แคนเธอร์นั้นยิ่งไกลกว่า หมู่บ้านเล็กๆในทางเหนือที่มีคนอยู่ไม่ถึงร้อยคน พื้นที่ของแคนเธอร์เต็มไปด้วยทุ่งหญ้ากว้างไกล ลงไปทางใต้จะเจอเหมืองหินขนาดยักษ์ ขึ้นไปทางเหนือจะเป็นป่าและแม่น้ำ สถานที่ที่ไกลปืนเที่ยง มากกว่าที่เงื้อมมือของเรฮัลเนมจะเอื้อมไปถึง เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่บนทวีปนี้ที่ยังเป็นอิสระ และพวกเขาก็มุ่งมั่นจะเป็นอิสระต่อไป คนที่นี่ส่วนมากจะทำงานตามสะภาพแวดล้อมและทำเลของเมืองเอื้ออำนวย ผู้ชายเป็นคนทำงานเหมือง ผู้หญิงปลูกไร่ปลูกนา ใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นปกครองกันแบบครอบครัว
แต่ในความเป็นจริงนั้น แคนเธอร์ ยังมีอีกหน้านึง เป็นหน้าที่เต็มไปด้วยไฟแค้นและความมุ่งมั่น หมู่บ้านนี้เป็นที่อยู่ หรือที่รวมตัวของประชาชนชาวไฮบริดที่เหลืออยู่อย่างน้อยนิด จากกลุ่มเดอะเรมแนนต์ที่พังทลายลงเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่แคนเธอร์ โดยในหมู่บ้านนี้เอง คนที่รู้ความจริงเรื่องนี้ก็มีไม่มาก เหล่าไฮบริดอาศัยอยู่อย่างปกติชน เป็นมิตร เป็นครอบครัวเดียวกับคนในหมู่บ้าน แต่อีกหน้าหนึ่ง พวกเขาก็คอยวางแผน รอว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสแก้แค้น แน่นอนว่าเหล่าไฮบริดในไซอ้อน คริสเท็นและไซกะ ก็เคยอาศัยอยู่ที่แคนเธอร์ รวมทั้งเมย์กับมิทเชล์ที่ซัมเมอร์สตอร์มด้วย
‘เอี๊ยด’ เสียงประตูห้องเปิดขึ้นมา เผยให้เห็นภาพอันเละเทะของห้องนั้น มันมีสิ่งของระเกะระกะอยู่มากมายเต็มพื้น ทั้งหนังสือ และอุปกรณ์ต่างๆ และเจ้าของห้อง ที่กำลังเล่นหมากรุกกับเอไออยู่ เธอมีสีหน้าขุ่นเคือง และดูอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด “มีอะไรเฮเลล!! ชั้นคงเอาชนะสถิติตัวเองไม่ได้สักที ถ้าเอาแต่มีคนมารบกวนที่ห้อง!” หญิงสาวกล่าว เธอมีผมดำที่ผูกเป็นทวินเทลยาว ใส่เสื้อสีดำหลวมๆ ทำให้เห็นถึงร่างกายที่ผอมซีดของเธอ เธอตะโกนใส่เด็กหนุ่มผมสีฟ้า หน้าตาอ่อนโยนคนหนึ่งที่เปิดประตูเข้ามา “ไม่รบกวนก็ได้นะ แค่มีข่าวด่วนมาจากซัมเมอร์สตอร์มกับไซอ้อนเอง แต่มันไม่สำคัญเท่าหมากรุกหรอก ผมไปล่ะ" เขาพูดอย่างประชดประชัน
“ประชดใส่ชั้นเหรอห้ะ ไอ้เด็กน้อยหอยสังค์!” เธอลุกขึ้นมาทำท่าทางโวยวาย แต่เฮเลลรู้ดีว่าเป็นแค่การแสดงออกของเธอ เธอไม่ได้โกรธขุ่นเคืองอะไรเขามากมาย เฮเลลรู้สึกผูกพันธ์กับเธอคนนี้ เพราะมันทำให้เขานึกถึงใครบางคน
“พูดเล่นน่า พี่อลิเซีย ไปได้แล้ว ทุกคนรออยู่” เฮเลลกล่าว เขากำลังจะปิดประตู
“รอชั้นด้วยสิ ประชุมเริ่มไม่ได้หรอกนะถ้าไม่มีหัวหอกหนะ” อลิเซียพูด ก่อนจะรีบลุกและวิ่งออกมาพร้อมกับเฮเลล ทั้งสองเดินออกมาจากห้องนอนของอลิเซีย ออกมาถึงตัวบ้าน ซึ่งก็รกพอๆกันกับในห้องของเธอ มันเป็นบ้านที่ไม่ใหญ่มาก เหมาะสำหรับอยู่คนเดียว หน้าต่างและผ้าม่านถูกปิดเรียบ ทำให้บ้านนี้มืดจนแทบมองไม่เห็น ทั้งสองเดินออกมานอกบ้านแสงสว่างจ้าสาดมาที่ทั้งคู่ อลิเซียยกมือมาบังเล็กน้อย เพราะเธอพยายามทำลายสถิติหมากรุกตัวเอง ไม่ได้นอนหรือออกไปไหนมาสักพักแล้ว ทั้งคู่เดินออกมาจากบ้านของเธอ เลี้ยวออกมาและตรงไปยังถนนหลัก พวกเขาเดินสวนคนในหมู่บ้าน และทักทายกันตามปกติ เนื่องจากเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แทบทุกคนในนี้จึงรู้จักกันหมด อลิเซียและเฮเลลเดินมาถึง บ้านที่ใหญ่ที่สุดในที่นี่ มันถูกตกแต่งอย่างสวยงามทั้งบริเวณข้างนอกและตัวบ้าน มันทำด้วยหินรอบบ้าน แสดงออกถึงความหรูหราและขลังไปพร้อมๆกัน ทั้งสองเปิดประตูเข้าไป มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนเป็นเจ้าของบ้านทักทายทั้งคู่ “อลิเซีย มาสายประจำเลยนะจ๊ะเนี่ย” เธอกล่าว เธอเป็นผู้หญิงวัยประมาณห้าสิบถึงหกสิบ แต่รูปร่างดูดีเกินวัย ใส่เสื้อที่ดูสะอาดสะอ้านมีฐานะ “ทุกคนรออยู่ที่ห้องหลักแล้วหละ” เธอกล่าวอย่างยิ้มแย้ม ทั้งคู่ยิ้มตอบเป็นมารยาทและเดินเข้าไปในห้อง
“สวัสดีตอนเที่ยงค่ะพี่อลิเซีย” เด็กสาวในห้องกล่าวทักทายอลิเซีย เธอมีผมน้ำตาลยาวถึงคอ ใส่ชุดยูนิฟอร์มสุภาพเรียบร้อย
“สวัสดีนิโนะ! สวัสดีลุงมาลิค! วันนี้คุณนายจาเน็ตต์สวยเหมือนเดิมเลยนะ!” อลิเซียกล่าวอย่างร่าเริง ห้องนี้เป็นเหมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่ดูสบายและเป็นกันเอง มันมีโซฟาขนาดยักษ์หนึ่งตัวตั้งอยู่ที่ขอบห้อง และโซฟานั่งคนเดียวที่ดีไซน์สวยเก๋อีกมากมาย นิโนะ หญิงสาวผมน้ำตาลนั่งอยู่บนโซฟาใหญ่ และมาลิค ชายสูงอายุผมสีขาว แต่งตัวหรูหรายืนอยู่เกือบกลางห้อง เฮเลลและอลิเซียเลือกที่นั่งของตนเองก่อนจะเริ่มการประชุมสั้นๆ
“ขอบคุณสำหรับคำชมเมียชั้นนะอลิเซีย” มาลิคกล่าว “แต่คราวหน้าเอาเป็น อย่าหมกตัวอยู่ในบ้านคนเดียวจะดีกว่า” “ปฏิบัติการเราได้เริ่มขึ้นแล้ว”มาลิคพูดอย่างเคร่งเครียด ทุกคนมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะอลิเซีย เธอกำหมัดแน่นด้วยความแค้น เมื่อเห็นแบบนั้นทำให้มาลิคผ่อนคลายลงไม่มากก็น้อย เขาเริ่มการพูดต่อ
“มิทเชล์กับเมย์ล่ออีโวลต์ออกมาแล้ว คอนเฟิร์มจากไซอ้อนว่าหมอนั่นไม่ได้อยู่ที่นั่น” มาลิคกล่าว “ตอนนี้กอฟเวิร์นเฮ้าส์ไม่น่าจะมีตัวอันตราย เท่าที่เรารู้ เหลือแค่การ์แลนด์คนเดียว แต่หมอนั่นถูกส่งไปที่ไหนสักแห่ง เพราะฉะนั้นตอนนี้ เอ็นรีเก้ไม่มีตัวประหลาดมาช่วยแล้ว”
“แล้วถ้าคริสเท็นทำไม่สำร็จหละ” เฮเลลพูดขึ้นมา ทุกคนหันไปมองเขา
“เธอเป็นคนที่เหมาะกับงานนี้ที่สุดแล้ว อีกอย่าง ตอนเราเรียกตัวเธอกลับมาที่นี่ คริสเท็นไม่ยอมกลับมาด้วยซ้ำ เธออยู่ที่นั่นเพื่อทำลายจักรวรรดิให้ได้มากที่สุด” มาลิคบอกกับเฮเลล
“พี่เฮเลลยังไม่เคยเจอเธอใช่ไหมคะ” นิโนะพูดขึ้นมา
ก่อนที่เฮเลลจะได้ตอบ มาลิคก็พูดแทรกขึ้นมา
“เอาน่ะทุกคน พวกเราทำภารกิจให้เสร็จเป็นอย่างๆไป อย่ากังวลไปเลย พวกเธอก็เอาใจช่วยอยู่ที่นี่แหละ”
เฮเลลทำท่าทางไม่เห็นด้วย เขาลุกขึ้นมา “ทำไมพวกเราไม่ไปช่วยล่ะ! ทำไมถึงเอาแต่มาเก็บตัวอยู่ที่นี่ แล้วส่งเพื่อนเราไปเสี่ยง!” เขาตะโกน เหมือนจะแทงใจดำทุกๆคนในห้องนี้ “คุณมาลิคพูดถูกแล้วล่ะค่ะ พี่เฮเลล” นิโนะพูดขึ้นมา
“พวกเราตัดสินใจกันไว้ว่า จะเก็บเรื่องกลุ่มของเราเป็นความลับให้ถึงที่สุด เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบสิบปีที่แล้วซ้ำสอง อีกอย่าง พวกเราต้องอยู่ปกป้องหินของกิฟเตอร์ด้วย” นิโนะกล่าวอย่างละอายใจ เธอก้มหน้าเพื่อหลบตาเฮเลลเธอพูดถึงหินขนาดเท่าฝ่ามือของสีใส ว่ากันว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่กิฟเตอร์ทิ้งไว้ให้มนุษย์ก่อนจะสูญพันธ์ ไม่มีใครรู้ว่าเอาไว้ทำอะไร แต่ชาวแคนธ์ได้อยู่ปกป้องมันมาเป็นเวลานานและปกปิดจากโลกภายนอก
“ใช่แล้วเฮเลล ชั้นเข้าใจนะว่านายอึดอัด แต่เราไม่มีพลังพอจะไปสู้กับพวกมันแบบตรงๆได้หรอก จนกว่าจะถึงเวลา เราก็ต้องค่อยๆเตะตัดขามันทีละจุดๆ” อลิเซียพูดเสริมขึ้นมาด้วยสีหน้ามั่นใจ เธอหันไปมองนิโนะ เพื่อบอกเธอว่าเธอทำดีแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้นิโนะได้กำลังใจเพิ่มขึ้นมา
ระหว่างที่บทสนทนาจะได้ดำเนินต่อไป มีคนมาเปิดประตูที่ห้อง เขาเป็นชายวัยกลางคน ใส่ชุดธรรมดาทั่วไป ไว้หนวดเครา ผิวคล้ำจากการโดนแดด เขาวิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ ทำให้เหงื่อท่วมตัว ข้างๆเขา คุณนายจาเน็ตต์ยืนอยู่ด้วยสีหน้าวิตกกังวล “ผู้ใหญ่บ้านครับ! น้องชายผมที่เพิ่งกลับจากเหมือง บอกมาว่าเห็นกองทัพจักรวรรดิกำลังมุ่งหน้าขึ้นเหนือมาทางแคนเธอร์! ทั้งสี่คนตกใจมาก มาลิควิ่งเข้าไปหาชายคนนั้น “มีข้อมูลอะไรบ้าง!” ชายคนนั้นลุกลี้ลุกลนหยิบชิพโฟนออกมาจากกระเป๋า และเปิดภาพให้มาลิคดู เขาสไลด์ผ่านๆรูปภาพจำนวนมากทีน้องชายของเขาถ่ายไว้ บ้างก็ชัด บ้างก็ดูไม่รู้เรื่อง หลังจากดูไปสักพัก มาลิคก็หยุดอยู่ที่รูปรูปหนึ่ง และหันกลับไปหาเหล่าไฮบริดทั้งสามคน “กองทัพของการ์แลนด์กำลังจะมาที่นี่!”
End
|
|
|
Post by tonklaaaaaawow on Jun 13, 2018 6:21:29 GMT
Chapter 2 : No man left behind
ไซอ้อน
"คุณคริสเท็นอยู่ไหนครับ!” ไซกะที่เพิ่งถึงที่หมายพูดกับคริสเท็นผ่านชิพโฟน เขารีบลงจากแอร์ไบค์และจ่ายค่าโดยสาร “เดินทางปลอดภัยนะน้องสาว!” คนขับตะโกนบอกไซกะอย่างแข็งกร้าวก่อนจะขับออกไปด้วยความเร็วสูง ไซกะมองตามไปติดๆ “โคตรเท่ .... “ “อะไรนะ?” คริสเท็นพูดมาผ่านชิพโฟน “อ่ะ..อ้อ เปล่าครับ คุณคริสเท็นคงยังไม่ได้เข้าไปใช่ไหมครับ ผมเพิ่งมาถึง”ไซกะกล่าว เขาพูดขณะรีบวิ่งไปทางตึกกอฟเวิร์นเฮ้าส์ “ยังเลย ชั้นเข้าไปข้างหน้าไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนจับ ต้องปลอมตัวสักหน่อย”เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ผมรู้ว่าคุณคริสเท็นมีแผน แต่เราจะลอบสังหารชายที่อยู่ในตึกกันกระสุนร้อยชั้นได้ยังไงหรอครับ บอกผมด้วยได้ไหม” ไซกะถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
คริสเท็นนั้นอยู่คนละที่กับไซกะ เธอไม่ได้อยู่บริเวณทางเข้าตึกกอฟเวิร์นเฮ้าส์ ไม่ได้อยู่บริเวณกอฟเวิร์นเฮ้าส์ด้วยซ้ำ เธออยู่ในอีกตรอกนึงซึ่งเป็นซอยที่ครึกครื้นเช่นกันในเมืองแห่งแสงสีนี้ “ชั้นจะเข้าจากใต้ดิน เป็นทางของพวกคนงาน”
“แผนในตอนแรกคือแอบเข้าไปตามหาตัวเอนริเก้แล้วฆ่ามันซะ แต่นายมาก็ดีแล้ว นายจะต้องหาตัวมันให้ชั้น”
“รับทราบครับ ผมจะหาตัวเอนริเก้ให้เร็วที่สุด” ไซกะพูดอย่างขึงขัง เขาจัดทรงผม และเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าทางเข้าตึกไป
ชั้นหนึ่งนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าโต๊ะรีเซพชั่น ห้องน้ำ และลิฟต์มากมายหลายตัว ไซกะเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะรีเซฟชั่นด้วยท่าทางมั่นใจ เนื่องจากทั้งเขาและคริสเท็น ต่างก็เป็นสายลับเหมือนกัน ถึงแม้จะมีวิธีทำภารกิจที่แตกต่างกัน “มีอะไรให้รับใช้คะคุณหนู” พนักงานที่โต๊ะรีเซพชั่นกล่าว เธอเป็นผู้หญิงในชุดยูนิฟอร์มอายุราวๆสามสิบถึงสี่สิบ “มารีย์ เอนริเก้ ค่ะ มาฝึกงาน” ไซกะยื่นบัตรไอดีให้เธอ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เธอใช้ เธอมีหลายตัวตนมาก แบ่งแยกใช้ตามสถานการณ์ “ไม่ทราบว่าคุณ ซามูเอล เอนริเก้ พี่ชายหนู ได้ข่าวว่ามาประชุมที่นี่ อยู่ที่ห้องไหนหรอคะ?” ไซกะถามด้วยสีหน้าซื่อ “ไม่ยักรู้นะคะเนี่ยว่าคุณเอนริเก้มีน้องสาวน่ารักขนาดนี้ อยู่ชั้นสามสิบค่ะ” “ให้แจ้งคุณซามูเอลไหมคะ?”พนักงานตอบด้วยความยิ้มแย้ม “อยากให้เป็นเซอรไพรส์น่ะ!” ไซกะรับไอดีของเธอคืนและมุ่งตรงไปยังลิฟต์ “เข้ามาแล้วครับ ชั้นสามสิบ กำลังมุ่งหน้าไป” เขารายงานกับคริสเท็น
“รับทราบ” คริสเท็นกล่าวจากอีกฟากของถนน ’ปัง!’ เธอใช้ปืนพลาสม่ายิงไปที่หน้าผากของพนักงานคนหนึ่งที่เดินผ่านมาในซอยเปลี่ยวนี้ เอาศพไปทิ้งในถังขยะอย่างรวดเร็ว มั่นใจว่าไม่มีรอยนิ้วมือ หลักฐาน พยาน หรือกล้องวงจรปิดแถวนี้ เธอรีบเปลี่ยนชุดเป็นชุดพนักงานทำความสะอาด มันเป็นยูนิฟอร์มสีขาวที่คล้ายๆกับนางพยายาบาล แต่กางเกงขายาว คริสเท็นนำอาวุธของเธอเก็บในรถเข็นขนอุปกรณ์ มันถูกดัดแปลงมาแบบพิเศษ ทำให้ไม่ถูกตรวจจับด้วยเครื่องมือตรวจจับอาวุธ มีแค่ปืนพกพลาสมาเท่านั้นที่เธอพกติดตัวไปด้วย ในตอนที่เธอกำลังจะขึ้นลิฟต์ไป ไซกะก็ติดต่อมา
“พบเป้าหมายแล้วครับ ในห้องประชุมใหญ่ชั้นสามสิบ” ไซกะพูด
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็นพวกคนใหญ่คนโตของจักรวรรดิมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้!” เขากล่าวต่อด้วยความตื่นเต้น
คริสเท็นเมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอถึงกับมือไม้สั่น ไม่รู้จะด้วยความโกรธ ตื่นเต้น หรือความกลัว เธอรอเวลาแบบนี้มานานแล้ว เวลาที่จักรวรรดิเรฮัลเนมที่เธอเกลียดชังไปถึงกระดูกดำ จะต้องสั่นคลอนด้วยน้ำมือของเธอ เพื่อเป็นการล้างแค้นให้แม่ เธอมุ่งมั่นกับภารกิจนี้มากกว่าเดิม เป้าหมายของเธอไม่ใช่แค่เอนริเก้ แต่เป็นคนในห้องประชุมนี้ทั้งหมด ได้เวลาที่เหล่าไฮบริดจะเริ่มโต้กลับแล้ว หลังจากหลงอยู่ในความคิด เธอสงบสติอารมณ์ลงและโฟกัสกับภารกิจ แต่เธอไม่สามารถสะบัดความแค้นในใจเธอออกไปได้เลย ณ จังหวะนี้ เธอเดินขึ้นไปในลิฟต์ของคนงาน มีตัวหนึ่งที่เปิดอยู่และกำลังจะปิด
“ไงแม่หนู ชั้นไหนจ๊ะ” คุณยายแก่ๆกล่าวกับคริสเท็น เธอเป็นพนักงานเหมือนกัน คุณยายมีสีหน้ายิ้มแย้ม เธอดูมีความสุขกับงานมาก
“สามสิบค่ะ” คริสเท็นตอบ คุณยายเมื่อได้ยินดังนั้นก็เอื้อมไปกดให้
“-.... ขอบคุณค่ะ” “แม่หนูเพิ่งมาใหม่หรอ ยายจำหน้าไม่เห็นได้เลยลูก” เธอกล่าวและจ้องมองมายังคริสเท็น “หรือไม่ก็คงเป็นเพราะยายแก่แล้วเนี่ยแหละน้า” คุณยายกล่าวไปพร้อมกับหัวเราะไป คริสเท็นไม่ได้ใส่ใจ เมื่อถึงชั้นสามสิบ เธอก็เดินออกมาโดยที่ไม่ได้ตอบคุณยายสักคำ เธอมุ่งหน้าต่อไปยังห้องประชุมหลัก หน้าห้องประชุมนั้น ไซกะที่ปลอมตัวเป็นน้องสาวของเอนริเก้ ก็นั่งพักอยู่ใกล้ๆ เธอคอยตรวจสอบว่าใครเข้าใครออกบ้างในห้องนั้น และรอคริสเท็นมา คนที่เดินเข้าออกห้องนั้นไม่ได้สนใจเธอเลย เพราะมองเธอเป็นแค่เด็กสาวไร้ค่าธรรมดา แต่แล้วก่อนคริสเท็น หญิงสาวสองคนก็เดินตรงมาที่ไซกะ
“น้องมาทำอะไรที่นี่หรอคะ พี่ไม่เคยเห็นหน้าเลย” เด็กสาวผมขาวกล่าวกับไซกะ เธอเดินมาคู่กับผู้หญิงอีกคนที่ผมสีแดง ทั้งสองแต่งตัวประหลาดไม่เหมือนคนอื่นแถวนี้
“หนูมารอพี่ชายค่ะ พี่แซม หนูชื่อมารีย์ เอนริเก้” ไซกะยังคงใช้ฉากบังหน้าหลอกทั้งสองคนต่อไป
“เอ... ไม่เห็นรู้เลยว่าไอ้หมอนั่นมันจะมีน้องสาวกับเขาด้วย อุบอิบไว้รึไง รู้รึเปล่าเรนิต้า” หญิงผมแดงที่อยู่ข้างหลังกล่าว เดินมาจ้องหน้าไซกะด้วยสีหน้าสงสัย
“นั่นสิ ไม่รู้เหมือนกันนะว่าคุณซามูเอลมีน้องสาวน่ารักแบบนี้ มิกิ” เรนิต้ากล่าว ในใจเธอยังมีความสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็ปล่อยผ่านไป
ดูเหมือนเรนิต้ากับมิกิเองก็เข้าประชุมเหมือนกัน ทั้งสองเดินเข้าห้องไป ไซกะถอนหายใจเบาๆหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดจบลง ในที่สุดคริสเท็นก็เดินมาถึง เมื่อไซกะเห็นเช่นนั้น เธอลุกและเดินหนีออกไปอีกทาง เพื่อเคลียร์ที่ให้เธอ และหนีออกจากที่เกิดเหตุ คริสเท็นเดินตรงมาที่ห้องประชุมและกำลังจะเปิดเข้าไป
“โชคดีนะครับ” ไซกะกล่าวเบาๆผ่านวิทยุ คริสเท็นเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หยุดเปิดประตู และพยักหน้าเป็นการตอบรับ
’เอี๊ยด’ เสียงประตูไม้ขนาดใหญ่ถูกเปิดออกมา ข้างในนั้นเต็มไปด้วยเหล่าผู้คนจากจักรวรรดิประมาณยี่สิบชีวิต พวกเขานั่งอยู่ในโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ เป็นวงกลม บ้างก็หันมามองต้นตอของเสียง บ้างก็ยังคงสนทนาและถกเรื่องที่เป็นประเด็นหัวข้อสนทนาอยู่ “คุณเข้ามาทำไมมิทราบ” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นมา หลังจากนั้นหลายๆคนเริ่มหันมาทางคริสเท็น บางคนเหมือนจะเริ่มรู้ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ บางคนก็เริ่มจำหน้าของเธอได้ ภาพในหัวของคริสเท็นตอนนี้ช้าไปหมด เธอต้องตัดสินใจให้เร็ว ว่าจะทำยังไง ในไม่กี่วินาทีนี้มันตัดสินทุกๆอย่างได้ เธอกวาดสายตาและวิเคราะห์ใบหน้าของแต่ละคนเพื่อหาเป้าหมาย ซามูเอล เอนริเก้ คริสเท็นมองไปเจอคนที่เธอรู้จักบ้าง บางคนเธอก็ไม่เคยเห็นมาก่อน คำพูดของไซกะแล่นเข้ามาในหัว คนสำคัญของจักรวรรดิที่มารวมตัวกัน ในที่สุดเธอก็เจอเอนริเก้ ขวามือตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเจ้าหน้าที่สงครามระดับสูงของเรฮัลเนมที่เธอรู้จัก เป็นจุดที่ดีในการลงมือ ซ้ายมือตรงกลางเป็นหญิงสาวสองคนที่ดูไม่มีมีพิษมีภัย การสังเกตุทั้งหมดนี่เกิดขึ้นเร็วมาก ในที่สุดคริสเท็นก็ตัดสินใจได้ เธอกระชากผ้าที่คลุมรถเข็นออก และหยิบปืนกลพลาสม่าขึ้นมาถือ สาดกระสุนใส่เอนริเก้ที่อยู่ด้านขวาของโต๊ะ “ปังๆๆๆ!” เสียงกรีดร้องโวยวายของคนในห้องก็ปะทุขึ้นมา เลือดสาดไปทั่วห้อง ผู้คนแตกตื่น หลังจากยิงออกไปได้สักพักเริ่มมีการยิงสวน คริสเท็นคอนเฟิร์มให้แน่ใจว่าเอนริเก้ตายแล้ว จากนั้นเธอก้มลงมาใช้รถเข็นเป็นที่กำบัง เพื่อหลบกระสุนที่ยิงสวนเข้ามา มิกิคอยปกป้องเรนิต้าอยู่ พวกเธอหลบหาจังหวะโต้กลับอยู่ที่มุมห้อง เรนิต้ากวาดสายตาไปรอบๆ มีคนเสียชีวิตทั้งหมดหกราย บาดเจ็บอีกสาม เธอรู้ว่าคนส่วนใหญ่ในห้องนี้เป็นแค่นายทหารนั่งโต๊ะรวมถึงเธอ คนเดียวที่มีโอกาสช่วยพวกเธอออกไปได้มีแค่มิกิเท่านั้น ก่อนที่พวกเธอจะได้พูดอะไร รถเข็นที่คนร้ายใช้เป็นที่กำบังก็ไหลเข้ามาที่โต๊ะ และมีระเบิดพุ่งออกมา ’ตู้มมม!’ พวกเธอสองคนยังคงปลอดภัย แต่ระเบิดดูเหมือนจะคร่าชีวิตทหารไปอีกหลายนาย และก่อให้เกิดควันฟุ้งขึ้นมาบริเวณประตูด้วย
“มันจะหนีไปแล้ว!”นายทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“เรนิต้า ไปช่วยคนบาดเจ็บ ชั้นจะตามไอเวรนั่นไป!” มิกิหันมาบอกเธอ และยื่นปืนพกเลเซอร์ให้ “เอาไว้ป้องกันตัว!” มิกิพูดจบเช่นนั้น ก็ทยานตัวตามคนร้ายออกไป
“เป้าหมายตายแล้ว!” คริสเท็นพูดผ่านวิทยุ หลังจากที่เธอวิ่งออกมา สัญญาณอพยพได้ถูกกด ดูเหมือนไซกะจะเป็นคนทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้คริสเท็น ตอนนี้กอฟเวิร์นเฮ้าส์ตกอยู่ในความโกลาหล “ไปเจอกันที่จุดนัดพบนะครับคุณคริสเท็น!” ไซกะตอบกลับทางวิทยุ แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบกลับ แสงเลเซอร์สีเขียวก็พุ่งมาจากด้านหลัง ใส่เต็มๆไหล่ซ้ายของเธอ ทำให้ชุดยูนิฟอร์มขาดออกบริเวณหัวไหล่ เผยให้เห็นชุดเกราะขนาดเบาข้างใน ชุดเกราะช่วยลดความเสียหายจากปืนเลเซอร์ แต่มันก็ยังเจ็บไม่เบา เธอกระเด็นลงไปนอนกับพื้น
คริสเท็นหงายหน้าขึ้นมา ชักปืนพกและปืนกลพลาสมาของเธอขึ้นมา ยิงไปยังอากาศเปล่าๆ เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ที่ไหนท่ามกลางฝุ่นควันมากมายในความโกลาหลนี้ ร่างเงาสีดำกระโดดขึ้นมา ในมือถืออาวุธด้ามยาวกำลังจะโจมตีมาทางเธอที่อยู่กับพื้น คริสเท็นกลิ้งตัวกลับหลังไปอยู่ในท่านั่งยองหลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด หญิงสาวผมแดงฟาดหอกของเธอลงไปที่พื้นและรีบยกมันออกมาโจมตีต่อ คริสเท็นปาปืนของเธอลงที่พื้นทั้งสองมือและหยิบดาบสีดำออกมาป้องกันการโจมตีครั้งที่สอง ’เพล้งง!’ เสียงอาวุธของทั้งสองปะทะกัน คริสเท็นนั้นมีประสบการณ์ในการสู้ตัวต่อตัวมากกว่า เธออาศัยเหลี่ยมของเธอ กระแทกใบหน้าของสาวผมแดงด้วยสันดาบ และหมุนตัวเพื่อเพิ่มแรง ฟันไปเต็มๆบริเวณหน้าท้อง แต่ร่างนั้นกลับหายไป
เมื่อกี้มันอะไรกัน
คริสเท็นหันไปด้านหลังเนื่องจากได้ยินเสียงแปลกๆ เธอเห็นร่างหญิงสาวผมแดงมากมายยืนอยู่สามร่าง ทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก ไฮบริด?...เทียมงั้นหรือ? คริสเท็นคิดในใจ ก่อนที่ร่างทั้งสามร่างจะพุ่งเข้ามาโจมตีเธอพร้อมกัน “ฮ่าห์!” คริสเท็นกำหมัด มือของเธอมีแสงสีม่วง และต่อยลงไปที่พื้นเกิดคลื่นพลังอย่างรุนแรงออกไปรอบๆตัวเธอ สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีแค่หนึ่งร่างเท่านั้นที่กระเด็นออกไปจากการผลักด้วยพลังจิตของเธอ อีกสองร่างนั้นยังคงพุ่งเข้ามาโจมตีตามปกติ ทำให้คริสเท็นรู้ว่า พลังของหญิงผมแดงไม่ใช่แยกร่าง แต่เป็นภาพลวงตา
ซัมเมอร์สตอร์ม
“ผมไม่ต้องการปํญหาหรอกครับคุณทหาร... ผมแค่มาทำงานหนะครับ” ชายผมดำเดินเข้าใกล้ฟริทซ์เข้ามาเรื่อยๆ แววตาทั้งคู่ล็อคอยู่ด้วยกัน ฟริทซ์ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว เขายืนอย่างมั่นคงและจ่อปืนไปที่ตัวประหลาดนั่นที่กำลังเดินเข้ามา ฟริทซ์ขมวดคิ้วของเขา และลั่นไกออกไป ’ชิ่วว!’ แสงเลเซอร์สีเขียวพุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนพกเลเซอร์ด้วยความเร็วสูงพุ่งไปหาชายที่กำลังเดินเข้ามา ในเสี้ยววินาทีนั้น ฟริทซ์สังเกตุเห็นบางอย่าง ที่มือของชายผู้นั้น สวมถุงมือขนาดใหญ่ ที่เหมือนทำจากเครื่องจักรล้ำยุคอะไรบางอย่าง มันมีแสงขึ้นมา ทันใดนั้นเอง แสงเลเซอร์จากปืนของเขา เบี่ยงออกไปข้างๆ พุ่งไปชนเพดานด้านบน ทำให้หินบนเพดานแตกลงมา สร้างความเสียหายให้ตึก
“เลือกผิดตัวเลือกแล้วคุณทหาร” ชายผมดำยกมือขวาที่ใส่ถุงมือขึ้นมากำหมัด มันมีกระแสไฟฟ้าวิ่งรอบๆมัน ชายผมดำยิ้มอย่างสะใจ เขาใช้มือซ้าย เอื้อมไปจับดาบคาตานะที่เอวข้างตรงข้าม ชักมันออกมาและฟันไปทางฟริทซ์ มันเป็นดาบคาตานะที่มีด้ามจับสีดำอมส้ม การเหวี่ยงดาบด้ยความเร็วที่เหลือเชื่อของชายผมดำ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงโดนหั่นเป็นสองท่อนไปแล้ว แต่ด้วยการตอบสนองเหนือมนุษย์ของฟริทซ์ เขากลิ้งตัวหลบทันออกไปอย่างเฉียดฉิว ใบดาบเฉือนผ่านปืนพกของฟริทซ์ไป ปืนกระบอกนั้นร้อนระอุขึ้นมาจนเป็นสีแดงฉาน ก่อนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
นั่นมันดาบอะไรน่ะ คัสต้อมพิเศษงั้นหรือ? ความร้อนนี่มันอะไรกันเนี่ย!?
ฟริทซ์คิดในใจ เขาเอามือขวาจับมือซ้ายของเค้าไว้และถูอย่างช้าๆ มือซ้ายของเขาพองออกมาด้วยความร้อนจากการโจมตีของชายชุดดำ แต่ก่อนที่ ฟริทซ์จะตั้งตัวได้ ชายผมดำพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เขาเอาสันดาบฟาดไปทางฟริทซ์ เขายกมือสองข้างขึ้นมากันการโจมตี มันกระแทกเขาเต็มๆทำให้ฟริทซ์ กระเด็นออกไปข้างนอกโกดังไปสู่ที่โล่ง ชายผมดำกระโดดตามไปหาฟริทซ์ เขาปักคาตานะไว้กับพื้นข้างๆร่างของฟริทซ์ และลงไปนั่งคร่อมเขา
“คาร์ลอส ไฮเซ็น เรฮัลเนม ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเจ้าหน้าที่... หรือจะเรียกว่า ซี เอช อาร์ก็ได้นะ” เมื่อได้ยินชื่อนั้น ตาฟริทซ์เบิกโพลงด้วยความตกใจ คาล์ใช้มือขวาต่อยลงไปที่หน้าของฟริทซ์ “อั่ก!” เขาเลือดกระอักออกมาจากแรงกระแทกของถุงมือแม่เหล็ก “เหมือนชื่อรุ่นรถเมื่อสมัยก่อนน่ะ” ’พลั่ก!’ คาร์ลอส หรือคาล์ ชกลงไปอีกหมัดด้วยมืออีกข้างของเขา ฟริทซ์นอนไออยู่ที่พื้น ปากและจมูกของเขามีแต่เลือดเต็มไปหมด คาล์ทำท่าจะชกเขาเต็มๆด้วยถุงมือยักษ์ของเขาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นสูงและเตรียมชกลงไป ในเวลาอันสั้นที่คาล์ชกลงมา ฟริทซ์โยกลำตัวส่วนบนของเขาหลบไปด้านข้าง ล็อคแขนขวาของคาร์ลอสไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง และบิดหักมัน และหมุนพลิกตัวขึ้นมาและเหวี่ยงคาล์ลงไปนอนกับพื้น เขาใช้แขนซ้ายกดคอของคาล์ไว้ และง้างหมัดขวาขึ้นมา
“ฟริทซ์ เรมิงตัน ยินดีที่ได้รู้จัก!” ฟริทซ์ต่อยหน้าของคาล์เข้าอย่างจัง จนหน้าเขาสะบัดไปตามแรงชก ก่อนที่ ฟริทซ์จะชกคาล์ต่อ ‘ปัง!’ กระสุนดินปืนขนาดใหญ่พุ่งผ่านฟริทซ์และคาลที่นอนอยู่ไปอย่างฉิวเฉียด ทั้งสองคนหันไปมองต้นตอของเสียงนั้น ฟริทซ์ลุกขึ้นมาและตั้งท่าพร้อมต่อสู้ คาลค่อยๆลุกขึ้นมา เขาถ่มเลือดออกมาจากปากตนเอง ทั้งสองเอาแขนเสื้อปาดบริเวณปากเพื่อเช็ดรอยเลือดออก คาลดึงดาบคาตานะขึ้นมาจากพื้น เขามีสีหน้าถึงพอใจกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี่เป็นอย่างมาก
ทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้ที่เกิดเหตุ มิทเชล์และเมย์ พวกเขาต่างถืออาวุธไว้ข้างกายเป็นการเตรียมเผื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่ควบคุมไม่ได้ เมย์ถือสไนเปอร์ไรเฟิลของเธอด้วยสองมือ มิทเชล์ถือปืนกลเล็กด้วยมือขวา เขาเดินเข้ามาช้าๆอย่างระมัดระวังตัว เขายกมือซ้ายขึ้นมาแบมือไปทางฟริทซ์และคาร์ลอส เป็นการส่งสัญญาณให้ใจเย็นๆ
“พวกเรามาดี...ที่ผู้หญิงคนนี้ยิงนัดเมื่อกี้ ก็แค่ทำเพื่อให้หยุดทะเลาะวิวาท” “พวกนายสองคนเป็นไฮบริดใช่มั้ย?” มิทเชล์กล่าวกับทั้งคู่ ฟริทซ์เหลือบไปมองคาร์ลอส เขาไม่นึกว่าชายคนนั้นจะเป็นไฮบริดเหมือนกัน คาล์เองก็แปลกใจเล็กน้อยที่ฟริทซ์เป็นไฮบริด แต่เขาก็พอเดาได้จากการตอบสนองเหนือมนุษย์ต่อการโจมตีของตนเอง
ก่อนที่จะมีใครตอบอะไร ก็มีเสียงเพลงริงโทนแปลกๆดังขึ้นมาจากใครสักคน พวกเขาทั้งหมดหันไปมองทางต้นเสียง ซึ่งก็คือนายซีเอชอาร์นี่เอง ‘เธออย่ามาจิ๊จ๊ะให้มันมากไป มันจะเป็นบ้าเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่’ คาล์ ก้มลงหยิบชิพโฟนของเขาอย่างเฉยเมย และหยิบขึ้นมาคุย ไม่มีใครทำอะไรระหว่างการสนทนานี้
“ผมรับจ๊อบอยู่ไหมล่ะ” “ก็เป็นทหารมันน่าเบื่อโคตรๆเลยไง” “นานๆทีไม่ได้อะไรมากซะหน่อย คิดถึงกันขนาดนั้นเลยหรอครับ” “เข้าใจแล้วครับๆ ฝากบอกแกด้วยว่าอย่าตายก่อนผมกลับไปถึงละกัน” “บายครับ”
สิ้นเสียงสนทนา คาล์ รีบเก็บชิพโฟนของตนเองใส่กระเป๋ากางเกง เก็บดาบคาตานะใส่ปอกดาบข้างๆเอว และเดินเข้ามาใกล้ๆมิทเชล์กับเมย์ “เป็นไฮบริดครับ แต่อย่าไปบอกใครล่ะ ลุงหนวด” คาล์พูดอย่างกวนประสาทใส่มิทเชล์ พร้อมกับเอานิ้วชี้ขึ้นมาปิดปากของตัวเอง “ฝากความคิดถึงให้แม่สาวนักฆ่าที่ไซอ้อนด้วยนะทั้งสองคน” คาล์กระพริบตาข้างเดียวใส่เมย์ ก่อนจะหันหลังกลับ “วันนี้สนุกโคตรเลย โชคดีจริงๆที่มา แล้วก็คุณฟริทซ์ เรมิงตัน หมัดหนักไม่เบาเลยนะครับ” เขาพูดอย่างร่าเริง ตบไหล่ฟริทซ์แรงๆสองที ทำเอาฟริทซ์ทำอะไรไม่ถูก คาลเดินออกไปสักพัก ก่อนจะหันกลับมา
“ผิดทาง” เขากล่าวอย่างเขินอาย ก่อนจะรีบเดินผ่านมิทเชล์ และเมย์ กลับไปทางโกดังที่ตอนแรกเขาปะทะกับฟริทซ์
“เดี๋ยวสิคะ!”เมย์ตะโกนไล่หลังคาล์ไป แต่มันไม่ทำให้คาล์แม้แต่หันมามอง
“ปล่อยเจ้าหมอนั่นไปเถอะ เมย์” มิทเชล์หันไปพูดกับเมย์ “มันเป็นตัวอันตราย หลานชายแท้ๆของจักรพรรดิ ทายาทบัลลังค์เรฮัลเนม , คาร์ลอส ไฮเซ็น” มิทเชล์กล่าวต่อ
“แล้วเราจะปล่อยให้เขาไปเฉยๆเหรอคะคุณมิทเชล์!” เมย์หันไปทางคาล์ที่กำลังเดินไป
ฟริทซ์ที่เห็นท่าทางที่เมย์กำลังยกปืนไรเฟิลของเธอขึ้นมา จึงเดินเข้าไปหาทั้งคู่ “ไม่มีประโยชน์หรอกครับ หมอนั่นสวมถุงมือบางอย่าง ที่หักเหแสงเลเซอร์จากปืนผมได้ ถ้าให้ผมเดาคงเป็นถุงมือที่ควบคุมสนามแม่เหล็กระดับสูง กระสุนคงทำอะไรมันไม่ได้หรอก” ฟริทซ์บอกทั้งสองคน เมย์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ลดปืนของเธอลง “ว่าแต่พวกคุณเป็นใครกัน” ฟริทซ์กับเมย์เก็บอาวุธของทั้งคู่ “ไปหาที่คุยกันดีๆเถอะค่ะ” เมย์กล่าวกับฟริทซ์
“ผมรู้จักที่” ฟริทซ์พูด
แคนเธอร์
หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวการบุกรุกของเรฮัลเนมก็ลามไปถึงหูชาวบ้าน ทุกคนต่างแตกตื่น ชาวแคนเธอร์เป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ถึงสายเลือด พวกเขารักบ้านเกิดและแผ่นดินที่พวกเขาสร้าง และเติบโตขึ้นมา แล้วเหตุอะไรพวกเขาถึงจะยอมสูญเสียสิ่งสำคัญแบบนี้ไปง่ายๆ ถึงพวกเขาจะเป็นแค่ชาวนาชาวไร่ แต่ก็ใช่ว่าจะสู้ไม่เป็น ชาวแคนเธอร์หลายคนเตรียมตัวพร้อมสู้ พวกเขาเตรียมอาวุธออกมาจากบ้าน มีการพูดคุยวางแผนการโต้ตอบ บางคนก็สวดมนต์ขอพรจากครีเอเตอร์ บางคนก็มายืนรอคำสั่งจากมาลิคที่หน้าบ้านของเขา
“เราจะทำยังไงกันดีคะ” นิโนะกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แสดงถึงความกลัวของเธอ
“เราควรจะโต้กลับ เราได้เปรียบด้านทำเล” อลิเซียพูดขึ้นมา เธอส่งสายตาโดยตรงไปให้มาลิค เพื่อให้เขาเห็นด้วยกับเธอ และออกคำสั่ง
เฮเลลยังคงไม่ออกความเห็นอะไร เนื่องจากเป็นอดีตทหารจักรวรรดิ เขาประเมิณและวิเคราะห์กองทัพที่เข้ามาจากรูปภาพทั้งหลายอยู่ เขาสไลด์ผ่านรูปหลายสิบด้วยความเร่งรีบ จาเน็ตต์ ภรรยาของมาลิควิ่งเข้ามาในห้อง “ชาวบ้านเริ่มแตกตื่นแล้วนะคะคุณ พวกเราจะเอายังไงดี!” เธอกล่าวด้วยความวิตกกังวล ในขณะที่มาลิคยังคงใจเย็นและให้โอกาสเฮเลลดูรูปภาพพวกนั้นก่อนที่จะตัดสินใจอะไร เขาอยากได้ความเห็นของทุกคนก่อน พวกเขา 4 คนยืนต่อกันเป็นวงกลม ล้อมกันไว้เพื่อวางแผน
“ทำไมการ์แลนด์ถึงมาที่นี่กัน...” เฮเลลกล่าวขึ้นมา ดึงความสนใจของทุกคนไป “กองทัพของการ์แลนด์ รวมถึงตัวหมอนั่นเอง ขึ้นชื่อเรื่องการล่าไฮบริด ทำไมมันถึงมาที่นี่” เฮเลลพึมพำและคิดอยู่ในหัว
“หรือว่าพวกนั้นจะรู้แล้วคะ ว่ามีกลุ่มต่อต้านเหลืออยู่ที่นี่” นิโนะกล่าว
“เป็นไปได้ อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลย เรามาวางแผนโต้ตอบก่อนดีกว่า” มาลิคพูดขึ้นมา ดึงความสนใจกลับมาที่เขาอีกครั้ง
อลิเซียเดินแยกออกมานอกวง เธอเดินตรงไปที่กระดานตรงกลาง บนกระดานใหญ่นั้น มีแผนที่ทางเหนือของทวีปอยู่ ณ ที่นี่ เธอโฟกัสไปบนเหนือสุด ซึ่งก็คือเหมืองผู้สร้าง แคนเธอร์ และบนสุด คือป่าไวท์วู๊ดนั่นเอง เธอชี้ไปยังเหมือง และลากขึ้นมาที่แคนเธอร์ซึ่งอยู่เหนือจากนั้นระยะทางหนึ่ง “พวกมันห่างจากเหมืองอยู่ประมาณสิบกิโลเมตร มีทหารราบมาด้วย ประมาณไม่เกินสองชั่วโมงมันจะถึงเหมือง บวกระยะที่มาถึงแคนเธอร์อีกสิบสองกิโลเมตร เราคงพอมีเวลาอีกสามชั่วโมงบวกลบ” ทุกคนฟังเธออย่างตั้งใจ เธอชูสองนิ้วขึ้นมา “ตอนนี้เรามีสองทางเลือก คือตั้งหลักอยู่ที่นี่ หรือจะถอยขึ้นไวท์วู๊ด เจ็ดกิโล เรามีเวลาเหลือเฟือ”
“พอขึ้นไปแล้วเราจะทำยังไงต่อคะ?” นิโนะถาม
“ชาวบ้านที่นี่ไม่ยอมอพยพขึ้นไปแน่ พวกเขาไม่ยอมเสียแคนเธอร์ไปหรอก” มาลิคกล่าว ซึ่งอลิเซียและนิโนะก็เห็นด้วย
“พวกเขาไม่ได้มาเพื่อรบ!” เฮเลลนึกออก เขาดีดนิ้วและพูดขึ้นมา ทำให้คนอื่นๆหันมามอง
“นายหมายความว่ายังไง?”
“ผมคาดคะเนจากขนาดกองทัพนะครับ การที่ส่งการ์แลนด์มาแบบนี้ แสดงว่ามาทำภารกิจเกี่ยวกับไฮบริด แต่กองทัพขนาดเท่านี้ ตอนที่ผมยังอยู่ ยังไม่เคยเห็นเลย ถ้าไม่มาล่าไฮบริดที่หลุดหนีไป ก็มาตามหาอะไรบางอย่าง...”
“ยะ..แย่แล้ว ทุกคน!” นิโนะเหมือนจะนึกอะไรออก
“หรือว่า จะเป็นหินกิฟเตอร์!”
เหมืองผู้สร้าง
บนแผ่นดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ห่างไกลจากเมืองหลวง ทางใต้ของเมืองที่อยู่เหนือที่สุดของแผนที่ เหมืองผู้สร้าง เป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด มีอายุหลายพันปี ยืนยาวจากสมัยมนุษย์ยังอยู่ร่วมกับอมนุษย์อย่างสันติ ยังคงผลิตแร่ออกมาให้มนุษย์โลกมาตลอด สิ่งสำคัญที่สุดที่ยังคงทำให้ที่นี้ยังศักดิ์สิทธิ์อยู่คือ ’หินกิฟเตอร์’ หรือครีเอเตอร์ เป็นอัญมณีสีใสบริสุทธิ์ ส่องแสงเจ็ดสีออกมาเมื่อสัมผัสแสงอาทิตย์ เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ผู้สร้างทิ้งไว้ให้กับมนุษย์รุ่นหลัง มันคงอยู่ที่เหมืองมาเป็นเวลาหลายพันปี อัญมณีก้อนนี้ไม่เคยทำประโยชน์ หรือโทษให้ใคร มันไม่เคยออกฤทธิ์อะไรเหมือนกับคนที่ให้มันมา เป็นแค่หินธรรมดาที่ไม่เคยผุกร่อน
กลุ่มทหารขนาดกลางมาถึงสถานที่นี้ พวกเขาใส่ชุดเกราะเอ็กโซสูทสีดำทมิฬ มีจำนวนราวๆแค่สี่สิบถึงห้าสิบคน และรถหุ้มเกราะสี่ถึงห้าคัน พวกเขาไม่ได้ถืออาวุธ เนื่องจากในหน่วยพิเศษ ปืนกลและอาวุธถูกติดอยู่ตามชุดเกราะ ทำให้เพิ่มความเร็วในการเดินทาง พวกเขาเดินตามชายหนึ่งคนที่ใส่ชุดเกราะสีดำเหมือนกัน แต่เท็กซ์เจอร์นั้นไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง เกราะของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยส่วนแหลมคม ดูน่าเกรงขามกว่าคนอื่นๆมากนัก เขาใส่หมวกที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจและพลัง ชื่อของเขาคือการ์แลนด์ นักล่าไฮบริด เป็นหนึ่งในทหารที่ขึ้นชื่อและแข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ และบัดนี้เขามาเหยียบพื้นดินเดียวกับไฮบริดที่หลงเหลืออยู่แล้ว
พื้นที่ทางเหนือของทวีปนี้นั้นเต็มไปด้วยพื้นดินขรุขระ เขาซิกแซก ป่าไม้ เทือกเขามากมาย ทำให้ยากแก่การลงจอดของเครื่องบินหรือพาหนะขนาดใหญ่ ทำให้พวกเขาต้องเดินเท้า ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของหน่วยพิเศษหน่วยนี้อยู่แล้ว พวกเขาเดินมาถึงทางเข้าเหมือง การ์แลนด์ทำสัญลักษณ์ให้ทุกคนหยุดโดยการยกกำปั้นขึ้นมา เขาชี้นิ้วออกไปสองฝั่ง เพื่อแยกทหารของเขาออกเป็นกลุ่มๆแยกกันไปในเหมือง มีทหารสิบกว่าคนเฝ้าอยู่ข้างนอก สิบห้าคนแบ่งเป็นกลุ่มสามกลุ่มแยกไปสามทาง การ์แลนด์เข้าไปคนเดียวในทางสุดท้าย กลิ่นไฮบริด
พวกเขาใช้เวลาในการสำรวจเหมืองอย่างรวดเร็วด้วยอุปกรณ์ไฮเทค ถึงมันจะมีขนาดใหญ่ แต่ด้วยการสเก๊าต์พื้นที่ของกลุ่มสี่กลุ่ม และกลุ่มใหญ่ที่แบ่งกันแสกนพื้นที่ด้านนอก ทำให้เหล่าเรฮัลเนมได้แผนที่คร่าวๆที่ถูกต้องของเหมืองผู้สร้างทั้งหมดมาในเวลาอันรวดเร็ว และด้วยประสบการณ์และสัญชาติญาณของการ์แลนด์ เขารู้ทันทีหลังจากวิเคราะห์แผนที่ที่สมบูรณ์ ว่าของที่พวกเขาตามหามันอยู่ที่ไหน
“สี่คน มาตำแหน่งชั้น”
หลังจากการ์แลนด์ออกคำสั่ง ลูกน้องในเอ็กโซสูทวิ่งมาที่ตำแหน่งเขาอย่างรวดเร็วและพร้อมเพรียง พวกเขาหยุดข้างหลังเป็นแถวเรียง ทำวัณทยาหัตและกระแทกส้นเท้าสองข้างเข้าด้วยกันอย่างขึงขัง เพื่อเป็นการเคารพการ์แลนด์ นักล่าไฮบริดเดินหน้าลึกต่อเข้าไปในเหมือง ลูกน้องทุกคนเดินตาม กลิ่นไฮบริดมันแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาสัมผัสได้ “วนสังเกตุรอบๆเหมือง” การ์แลนด์ออกคำสั่งผ่านวิทยุ ในที่สุด เวลาผ่านไปสักครู่ ทั้งห้าคนก็มาถึงจุดลึกสุดของเหมืองผู้สร้าง มันเป็นห้องว่างๆขนาดใหญ่ มีน้ำตกไหลผ่านตรงกลาง เกิดเป็นบึงในน้ำที่สวยงาม ทหารหนึ่งนายลงไปนั่งดูบ่อน้ำ เขาเห็นปลาเล็กๆมากมายที่ว่ายผ่านสายตาเขาไป การ์แลนด์กวาดสายตาหาของที่พวกเขาถูกส่งมา หินกิฟเตอร์นั่นเอง “หัวหน้า!” ทหารนายหนึ่งเรียกการ์แลนด์ เขาชี้ไปตรงที่ที่หนึ่ง ตรงข้ามกับน้ำตก มีแพลตฟอร์มหินที่ตั้งขึ้นมาสวยงาม มีอัญมณีสีใสวางอยู่ตรงกลาง มันทะลุปรุโปร่งมากจนอาจจะพลาดได้หากมองผ่านๆเร็วเกินไป การ์แลนด์เดินไปหยิบมันขึ้นมา และยกมันขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์ มันเกิดประกายสีรุ้งมากมายหลังจากถูกสาดด้วยแสงอาทิตย์ นั่นทำให้เขารู้ว่า นี่แหละสิ่งทีเขาตามหา
จนกระทั่งกลิ่นไฮบริดมันเตะจมูกเขาให้อย่างแรง
‘ปัง!’
ไม่มีใครรู้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงกระสุนปืนที่ระเบิดออกมาจากปืนไรเฟิล หรือเป็นเสียงกระสุนปืนกระแทกเข้ากับโล่ของการ์แลนด์กันแน่ ในเสี้ยววินาทีที่กระสุนปืนปริศนายิงออกมา สัญชาติญาณของการ์แลนด์ทำให้เขาหันไปป้องกันได้แทบจะทันที มีโล่ขนาดเล็กยื่นออกมาจากเกราะแขนขวา เขาหยิบกระสุนออกมาจากโล่ มันเกือบทะลุโล่จนทะลุไปอีกฟาก เขายกกระสุนขึ้นมาวิเคราะห์ เนื่องจากมีคอมพิวเตอร์คอยตรวจสอบว่ากระสุนประเภทไหน มาจากปืนแบบไหน และทิศทางของกระสุนที่มา ในขณะที่ลูกน้องทั้งสี่คนกำลังตั้งฟอร์เมชั่นการต่อสู้และหาตำแหน่งคนยิง การ์แลนด์ชี้ไปทางกำแพงในเหมือง หลังจากเขาวิเคราะห์วิถีกระสุน เหล่าสมุนของเขา ยกมือขวาขึ้นมาตั้งฉากกับพื้นกำหมัดไปข้างหน้า ชี้ไปทางที่หัวหน้าพวกเขาชี้ พวกนั้นเอามือซ้ายกดเพื่อกันการดีดกระสุน ’ปังๆๆๆ!!’ กระสุนจำนวนมากถูกยิงออกจากปืนที่ติดข้อมือของพวกเขา ถล่มใส่กำแพงจนมันเป็นรูเหวอะ และถล่มออกมา เผยให้เห็นชั้นในอีกชั้นของถ้ำ แต่มันไม่มีใครอยู่ ดูเหมือนพวกเขาจะหนีไปได้ การ์แลนด์ประชิดเข้าไป เขาสังเกตุเห็นเลือดสดใหม่ที่พื้น เขายกมือทำสัญญาณให้เดินต่อ และตามรอยเลือดไป
“อดทนไวนะพี่อลิเซีย!” เฮเลลกล่าว เขาฉีกปลายเสื้อออกมาและพันมันรอบๆเอวของอลิเซีย เธอโดนยิงจากการสาดกระสุนของเหล่าทหารเมื่อกี้ ทั้งสองหลบอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ เนื่องจากพวกเขารู้ที่ทางมากกว่า ถึงจักรวรรดิจะมีแผนที่ แต่พวกเขาก็ไม่เคยมาที่นี่ “โชคดีที่โดนแค่นัดเดียว แถมไม่โดนจุดอันตราย กระสุนพุ่งผ่านตัวพี่ไปเลย เดี๋ยวกลับไปให้นิโนะรักษานะไม่เป็นไรหรอก” “ไม่น่าเชื่อว่ามันจะกันได้ ทั้งที่กะว่านัดเดียวจุดตายแล้วแท้ๆ!” อลิเซียกล่าวอย่างเจ็บใจ “เจ้านั่นไม่โดนเรียกว่านักล่าไฮบริดโดยไม่มีเหตุผลหรอก” เฮเลลกล่าว เขาได้ยินเสียงก้องของการเดิน จึงส่งสัญญาณให้ทั้งคู่เงียบ
“มันตามรอยเลือดมา” อลิเซียกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่
“เวรเอ้ย!” เฮเลลทำท่าทางครุ่นคิด
“ผมจะออกไปถ่วงเวลา พี่รีบออกไปจากที่นี่นะครับ!” เฮเลลกล่าว
ก่อนที่อลิเซียจะได้ขัดขวางหรือโต้ตอบ เฮเลลก็วิ่งออกไปพร้อมกับหยิบอาวุธคู่ใจเขาไปด้วย มันเป็นกึ่งดาบกึ่งปืน อาวุธอันแสนภูมิใจของเฮเลลที่เข้าสร้างขึ้นมาเอง อลิเซียพยายามลุกขึ้นตามไปช่วย แต่ก็ไม่ทันแล้ว “กรูอยู่นี่ไอพวกกระป๋อง!” เฮเลลตะโกนล่อ หลังจากคิดว่าอยู่ในระยะที่อลิเซียจะปลอดภัยแล้ว “หัวหน้าครับ” ทหารคนหนึ่งเรียกการ์แลนด์เพื่อจะดูว่าจะทำยังไงต่อไป “มันมีอย่างต่ำสองคน สองคนพวกนายไปตามหาคนที่บาดเจ็บ พวกมันแยกกัน ไอหมอนี่เป็นคนล่อ สองคนนายมากับชั้น ไปฆ่าไอฮีโร่นี่กัน” การ์แลนด์ออกคำสั่ง ทหารทุกนายตะเบ๊ะรับคำสั่ง และพวกเขาก็แยกกันออกเป็นสองกลุ่ม
ระหว่างที่การ์แลนด์และลูกน้องทั้งสองกำลังเดินหาเฮเลลอยู่นั่นเอง ’โครม!’ ดินและหินถล่มลงมา ทำให้การ์แลนด์และลูกน้องสองคนแยกออกจากกัน เป็นผลมาจากปืนเลเซอร์ยิงใส่ ทำให้ดินถล่มลงมากั้น กว่าทั้งสองจะได้ทันตั้งตัว ชายหนุ่มผมน้ำเงินก็เข้ามาจู่โจมอย่างรวดเร็ว! ’ฉึก!’ “อ้ากกก!” เฮเลลพุ่งมาจากมุมบอด และใช้กันเบลดของเขาเสียบเข้าไปที่ช่องว่างระหว่างเกราะเอ็กโซสูท ถึงจะเป็นเกราะรุ่นใหม่ แต่เฮเลลก็รู้ดีว่าจุดที่ไม่มีเกราะมันอยู่ตรงไหนบ้าง เขาสังหารคนแรกไปอย่างรวดเร็ว ทหารคนที่สองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พยายามจะโต้กลับ แต่ก่อนที่จะทำได้ เฮเลลเปลี่ยนกันเบลดเป็นโหมดปืน ยิงเลเซอร์ใส่บริเวณหมวก ความร้อนและแรงกระแทกทำให้มันกระเด็นออกไป เฮเลลยิงซ้ำอีกครั้ง ครั้งนี้ลำแสงเข้าศีรษะของเขา ทำให้ตายทันที
“ชั้นก็ว่าอยู่ว่าเสียงแกคุ้นๆ” เสียงอันน่าเกรงขามของการ์แลนด์ถูกส่งมาจากอีกฟากของเหมืองที่ถูกหินกั้น “เฮเลล มอร์นิ่งสตาร์” “ไอ้คนทรยศ”
สิ้นเสียงของการ์แลนด์ หินจำนวนมากที่ขวางทางกระเด็นออกมาจากแรงกระแทก สร้างช่องว่างให้การ์แลนด์เดินผ่านออกมา เขาเผชิญหน้ากับเฮเลลตัวต่อตัว เฮเลลมีท่าที่เกรงกลัวอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากรูปร่างและเกราะของการ์แลนด์ มันคือสัญลักษณ์ของยมทูตที่มาเยี่ยมเยือนไฮบริดนั่นเอง และเขาก็รู้ดียิ่งกว่าใครๆ
“ไม่ได้เจอกันนานนะ .... หัวหน้า” เฮเลลพูดด้วยน้ำเสียงเกรงกรัว แต่เขาก็ยังพยายามแสดงให้เห็นว่าเขาจะสู้ไม่ถอย
ไม่พูดให้เสียเวลา การ์แลนด์ สะบัดมือออกทั้งสองข้าง กรงเล็บใบมีดก็พุ่งออกมาจากข้อมือของชุดเกราะทมิฬของเขา เฮเลลกลืนน้ำลาย เขารู้ดีว่านี่คือการต่อสู้ที่เอาชีวิตเข้าแลก ไม่ใครสักคนก็ต้องตาย เขาเปลี่ยนกันเบลดเป็นแบบดาบ เพื่อจะบอกการ์แลนด์ว่า เขาพร้อมแล้ว การ์แลนด์โจมตีก่อน เขาใช้มือซ้ายทำท่าเหมือนจะต่อฮุคเข้ามาจากด้านข้าง แต่ด้วยกรงเล็บและใบมีดอันแหลมคม มันจึงกลายเป็นการฟันอย่างรุนแรงแทน “โอเวอร์ไดรฟ์!” เฮเลลพูด เขาใช้พลังไฮบริดเทียมของเขา ณ วินาทีนี้ เขาเห็นการเคลื่อนไหวของการ์แลนด์ช้าลงกว่าปกติ ทำให้เขาสามารถบล็อคการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย ’โครมมม!’ เสี้ยววินาทีที่เฮเลลตั้งกันเบลดขึ้นมาบล็อคนั่นเอง เกราะที่ศอกของการ์แลนด์ มีบูสเตอร์ออกมาเพื่อเพิ่มพลังกระแทก เขารู้อยู่แล้วว่าเฮเลลจะใช้ ‘โอเวอร์ไดรฟ์’ ต่อด้วยการบล็อค เฮเลลที่รับการโจมตีอันหนักหน่วงกระเด็นทะลุหินไปหลายชั้น เมื่อการ์แลนด์เห็นเช่นนั้น เขาก็ตามไปเพื่อจะเผด็จศึก
“ความกลัว มันบดบังความคิดของแก แกไม่มีทางชนะชั้นหรอก”
ทางด้านอลิเซีย ทั้งกำลังหนีออกมาจากเหมือง เนื่องจากทางออกอยู่ใกล้เธอตั้งแต่ตอนแรก เธอจึงวิ่งหลอกล่อให้ทหารเข้ามาลึกขึ้น และเธอจะวนกลับไปและวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเธอวิ่งกลับมา เธอกลับเจอศพทหารสองคน ทั้งสองนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น และมีลูกธนูปักอยู่ที่หัวทั้งสองคน เธอรู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของใคร หลังจากเธอออกมาที่ปากทางเหมือง เธอสังเกตุเห็ตทหารของการ์แลนด์หลายนาย พวกเขารวมตัวเตรียมรบกันอยู่อีกฟากของเหมือง
“พี่อลิเซีย!” อลิเซียได้ยินเสียงกระซิบอยู่ใกล้ๆเธอ เธอหันซ้ายหันขวาก่อนจะเจอนิโนะที่หลบอยู่บริเวณเนินเขา อลิเซียรีบเดินไปหานิโนะให้เร็วที่สุดเท่าที่เธอทำได้เนื่องจากบาดแผลของเธอ เมื่อถึงแล้ว นิโนะแกะผ้าพันแผลที่เฮเลลเอามาพันให้ออกและเอามือสองมืออุงบริเวณแผลไว้ แสงสีเขียวๆออกมาจากมือ “ขอบคุณมากนะนิโนะ เราต้องรีบไปช่วยเฮเลลแล้วล่ะ! ไอเวรนั่นมันดื้อด้านไปสู้กับการ์แลนด์ เพื่อให้ชั้นหนีออกมา!” อลิเซียพูด เธอโกรธเคืองตัวเองที่ทำให้เพื่อนตกที่นั่งลำบาก “คุณอาลอยเข้าไปแล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง” นิโนะตอบด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แต่อลิเซียไม่ได้สบายใจขึ้นเลย เธอต้องการไปช่วยเฮเลลจนถึงที่สุด การ์แลนด์แหวกเศษหินและดินเพื่อเดินเข้าไปหาเฮเลลที่นอนบาดเจ็บอยู่ แขนขวาที่บล็อคการโจมตีของเขาหัก ข้อศอกพลิกไปคนละข้างเป็นภาพที่ไม่น่าดู การ์แลนด์เดินเข้ามาและเหยียบแขนข้างที่หักของเฮเลล “จุดจบของฮีโร่น้อย” การ์แลนด์บีบคอเฮเลล และยกเขาลอยขึ้นมา เฮเลลไม่มีแม้แต่แรงจะดิ้น หน้าตาเขาเต็มไปด้วยฝุ่นและเลือด การ์แลนด์เอากรงเล็บที่ข้อมือของเขา แทงบริเวณท้องของเฮเลลจนทะลุ “อ้ากกกกก!!” เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เลือดไหลนองออกมาจากท้อง หยดลงเต็มพื้นข้างล่าง นอกนั้นยังไม่พอ การ์แลนด์ยังบิดใบมีดที่อยู่ในท้องของเฮเลล เพื่อทรมาณเขา “อ้ากกกกกกก!!” เขายังคงกรีดร้องอย่างทรมาณ
ทันใดนั้นเอง ลูกธนูพุ่งเข้ามาหาการ์แลนด์ เขาปล่อยมือที่บีบคอเฮเลล เฮเลลยังคงลอยอยู่ด้วยใบมีดที่เสียบท้องของเขา การ์แลนด์ใช้มือที่ว่างอยู่จับลูกธนูนั้น เฮเลลดันตัวออกจากมีดที่เสียบคาร่างของเขาอย่างทรมาณ เขาพยายามคลานหนี การ์แลนด์เมื่อเห็นดังนั้นกำลังจะหันไปเพื่อแทงเฮเลลอีกครั้ง ก่อนที่ลูกธนูจะระเบิด 'ตู้มมมมม’แรงระเบิดทำให้การ์แลนด์เสียหลักการยืน มันไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมาก แต่ธนูอีกสามดอกก็พุ่งเข้ามา เสียบทะลุชุดเกราะ และระเบิดออกอีกครั้ง การ์แลนด์ลงไปคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด เขาเงยหน้าขึ้นไปมองเห็นร่างหญิงสาวคนหนึ่ง อายุราวๆยี่สิบต้นๆ เธอมีผมสีแดงธรรมชาติ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยกระ ใส่ชุดที่เหมือนทำจากหนังสัตว์ และที่สำคัญ เธอถือธนู หญิงสาวพุ่งผ่านการ์แลนด์ไปอย่างรวดเร็ว เธอเข้าไปคว้าเฮเลลที่ร่างอาบไปด้วยเลือด หมดสติ และแบกเขาไปยังทางออก
“ทั้งหมด มาเจอชั้นที่ทางออกห้า!” การ์แลนด์ออกคำสั่ง
เขาเองกำลังจะพุ่งตามออกไป แต่ทันใดนั้นเอง หญิงผมยาวดำหน้าซีด อลิเซียก็โผล่มาต่อหน้า ยิงปืนแรงดันอากาศสูงใส่การ์แลนด์ ทำให้ร่างเขากระเด็นถอยไปข้างหลัง ชนหินดินมากมาย ซื้อเวลาให้เหล่าไฮบริดหนีออกไปจากบริเวณนี้ได้ เขารีบตั้งหลัก และออกไปจากเหมืองนรกนี่ให้เร็วที่สุด แต่บาดแผลที่เขาไม่ได้รับมานาน ส่งผลให้เขาช้าลงกว่าปกติ กว่าเขาจะออกมาได้ เหล่าไฮบริดทั้งสี่คน ก็หายไปแล้ว ทิ้งไว้แค่กองเลือดขนาดใหญ่ ที่นำไปสู่เมืองป้อมปราการสุดท้าย การ์แลนด์สำรวจตัวเอง และพบว่าอัญมณีที่ตนมาตามหานั้น ได้หายไปแล้ว
“ติดต่อจักรพรรดิ บอกว่าเราเจอกุญแจสองดอกสุดท้ายแล้ว ..... ที่แคนเธอร์”
End
|
|
|
Post by tonklaaaaaawow on Jun 25, 2018 19:11:55 GMT
Chapter 3 : Knight of prophecy
หญิงสาวผู้ถือครองมณีสีขาว ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากษัตริย์ยักษ์ที่ดินแดนอันห่างไกล ในคืนราตรีสีชาด ห้องโถงสีนิลที่ไร้แสงไฟ เธอผู้ถือครองมณี และเหล่าสหายร่วมใจ จะปลดแอกเหล่าผู้ถูกกดขี่ เศษซากของอดีต ก่อนที่ราชาผู้ยิ่งใหญ่จะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางซากศพ และดวงอาทิตย์สีเลือด
สถานที่ปริศนา
“ผมมาแล้วครับคุณปู่” ชายผมดำเดินเข้ามาจากเงามืดในชุดสีเดียวกัน ดวงตาสีฟ้าของเขาฉายเด่นออกมาจากชุดสีดำ คาร์ลอส ไฮเซ็น เรฮัลเนม ทายาทหนึ่งเดียวของชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของเขา จักรพรรดิ ซิกมันด์ เรฮัลเนม จักรพรรดิผู้น่าเกรงขามนั่งอยู่บนบัลลังค์ใหญ่สีขาวที่ทำจากหินอ่อน พนักพิงของมันนั้นสูงสองเมตรกว่าได้ เป็นบัลลังค์ที่แสดงที่อำนาจได้อย่างดี ร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังค์หินนั่น เป็นชายอายุราวเก้าสิบ ผมและหนวดสีขาว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่น ประสบการณ์ทั้งชีวิตถูกฝังอยู่ในสีหน้าอันยิ่งใหญ่นั้น ดวงตาที่ทั้งมุ่งมั่นและเหนื่อยล้า เมื่อได้ยินเสียงของหลานชาย แววตาเหล่านั้นไม่ได้เปลี่ยนไป มันกลับดุดันขึ้นมากกว่าเดิม
“ไปเถลไถลที่ไหนมาอีกแล้วล่ะ” ชายบนบัลลังค์กล่าวขึ้น เสียงของเขาก้องกังวาลไปทั่ว
คาร์ลอสไม่ได้ตอบ เขาแค่ยืนมองจักรพรรดิอยู่แบบนั้นด้วยสีหน้ากวนประสาท แค่นั้นก็เป็นคำตอบให้ปู่ของเขาได้อย่างดี
“ชั้นไม่เคยว่าอะไรแก แต่อย่าให้มันมารบกวนหน้าที่! และความรับผิดชอบ!” ซิกมันด์กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่คาล์ก็ไม่ได้ไหวติง เขาแค่แสยะยิ้ม และขำเล็กๆออกมาทางจมูก
จักรพรรดิใช้มือทั้งสองข้างดันที่พาดแขนเพื่อพยุงตัวขึ้นมายืน เขายังแข็งแรงเมื่อเทียบกับคนที่อยู่ในบั้นปลายชีวิตอย่างเขา ซิกมันด์ก้าวลงมาจากบัลลังค์ ผ่านบันไดห้าก้าวลงมายังระดับเดียวกับคาล์ เขาเดินตรงไปหาหลานชายในชุดดำอย่างช้าๆ ท่าทางนี้ของจักรพรรดิทำให้คาร์ลอส จริงจังขึงขังขึ้นมาทันที เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าหลานชาย สายตาจ้องไปยังดวงตาสีฟ้าของชายหนุ่ม ร่างเกือบสองเมตรของซิกมันด์ ทำให้คาร์ลอสตัวเล็กลงไปทันที
“การ์แลนด์เจอเด็กหญิงในคำทำนายแล้ว พร้อมกับมณี ที่แคนเธอร์” มือไขว้หลัง จักรพรรดิกล่าวกับคาล์
“อย่างกับละครเลยนะ หึ ปู่จะให้ผมทำอะไรล่ะครับ?” คาล์กล่าวอย่างทีเฉยๆ และหันหน้าหลบตาของซิกมันด์
“ชั้นมอบหน้าที่นี้ให้แก คาร์ลอส เวลาใกล้จะหมดแล้ว” จักรพรรดิหันหลังกลับเมื่อเห็นท่าทีของคาล์ เขารู้ว่าเขากุมหลานชายตนเองได้อยู่หมัด
“ทำไมต้องเป็นผมล่ะ? ผมไม่ถ่อไปบ้านนอกอย่างแคนเธอร์หรอกนะ ไกลเกิ๊น ให้คนอื่นจัดการสิ”
ซิกมันด์หยุดชะงัก เขายังคงหันหน้าไปทางบัลลังค์ “แค่พวกการ์แลนด์เอาไม่อยู่หรอก การเตรียมตัวน้อยเกินไป ไฮบริดสามถึงสี่คนเป็นอย่างต่ำ หนึ่งในนั้นเป็นอดีตทหารเรา”
“อีโวลต์ก็มัวยุ่งอยู่กับการตามล่าพวกแมลงหวี่ที่ซัมเมอร์สตอร์ม” เมื่อคาล์ได้ยินเช่นนี้เขาก็ยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัยขึ้นมาทันที เขาดูมีความสุขอย่างมาก
“ชั้นไม่สนใจว่าแกจะทำยังไง เอาสองอย่างนั้นมาให้ชั้นก็พอแล้ว!” สิ้นเสียงนั้น ซิกมันด์ก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนบัลลังค์ เสียงฝีเท้าของเขาก้องกังวาลไปทั่ว มันช่างหนักแน่นและน่าเกรงขาม
คาล์เองก็กำลังเดินออกไป เขาในตอนนี้นั้นพึงพอใจกับข้อมูลที่ได้รับเป็นอย่างมาก เขาปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้แล้ว ทั้งไฮบริดที่เจอที่ซัมเมอร์สตอร์ม อีโวลต์ และเหตุร้ายที่กอฟเวิร์นเฮ้าส์ แน่นอนว่าเขารู้ถึงกลุ่มก่อการร้าย เขารู้จักดีเลยล่ะ ชื่อ รูปร่างหน้าตา แต่คาร์ลอสเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ไม่บอกข้อมูลกับปู่ตนเอง หรือกองทัพของจักรวรรดิ เนื่องจากมันทำให้เขาสนุกเหลือเกิน ที่ได้เกิดมาในยุค ในสถาณการณ์ ครอบครัว และเรื่องราวอันโกลาหลนี้
ทางเหนือ
ระหว่างแคนเธอร์และเหมืองผู้สร้าง เป็นพื้นที่กว้างขวางที่เต็มไปด้วยพืชพรรณ ต้นไม้สูงใหญ่ ทุ่งหญ้าเขียวขจี สัตว์ป่าหลายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ ทั้งดุร้ายและเป็นมิตร เป็นสถานที่แห่งธรรมชาติ มันสร้างประโยชน์มากมายหลากหลายให้กับมนุษย์และโลก สร้างที่พักพิง อากาศ เป็นร่มโพธร่มไทร เมื่อยามที่มนุษย์ต้องตกทุกข์ได้ยาก ธรรมชาติมักยื่นมือมาช่วยเราเสมอ ในที่นี้ก็เช่นกัน ป่าไม้ สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ช่วยปกปิด เป็นช่องทางหนีของเหล่าไฮบริดที่บาดเจ็บสาหัส จากการปะทะกับกองทัพพิเศษของจักรวรรดิเมื่อครู่
เฮเลล มอร์นิ่งสตาร์ ชายหนุ่มผมสีฟ้า ที่ตกอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัส จากการต่อสู้กับอดีตหัวหน้าของเขา ชายที่ได้ชื่อว่านักล่าไฮบริด ทหารที่เหล่าผู้ลี้ภัยหวั่นเกรง การ์แลนด์ เฮเลลนอนพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ ที่ล้อมรอบไปด้วยป่าทึบ ทำให้ช่วยจากการสังเกตุเห็นจากระยะไกลด้วยตาเปล่า ข้างๆเขานั้น มีเด็กหญิงผมสั้นสีน้ำตาลนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ นิโนะ เซเลสเทีย เธอใช้มืออังบาดแผลฉกรรย์ของสหายผมสีฟ้า หลับตาทำสมาธิ ใช้พลังของเธอเพื่อรักษาบรรเทาสิ่งที่เกิดขึ้น อลิเซีย โวลเทนิส หญิงสาวผมดำยาว ที่บาดแผลหายจากการรักษาของนิโนะ ยืนอยู่ไม่ห่างจากทั้งสองมาก คอยดูลาดเลาและระวังภัยให้ทั้งคู่
'แกร่กๆ!’ เสียงใบไม้ดังขึ้นจากด้านบนเป็นระยะ ทำให้ทั้งสามหันขึ้นไปมอง ต้นตอของเสียงปรากฏขึ้น อาลอย ดาเวนพอร์ท หญิงสาวผมส้ม ผู้ช่วยชีวิตเฮเลล นั่งยองอยู่บนก้านใหญ่ของต้นไม้ยักษ์ ดูเหมือนเธอเพิ่งจากเคลื่อนที่ผ่านต้นไม้จำนวนมากกลับมาจากทิศใต้ อาลอยค่อยๆทิ้งตัวลงมาจากต้นไม้อย่างระมัดระวัง
“พวกมันไม่เคลื่อนไหวแล้วล่ะค่ะ ดูเหมือนจะรวมพลและประเมินสถาณการณ์กันอยู่น่ะ” อาลอยพูดอย่างสุภาพและมองไปยังเฮเลล
“คุณเฮเลลอาการเป็นยังไงบ้างคะ นิโนะจัง?” เธอคุกเข่าลงและลงไปจับมือเฮเลลเป็นการให้กำลังใจ
นิโนะลืมตาขึ้นมา และผ่อนคลายกล้ามเนื้อของเธอจากการเกร็งเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปตอบอาลอย อลิเซียเมื่อเห็นทุกคนมาครบจึงเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย “อาการสาหัสมากเลยค่ะ ได้แต่ชะลออาการบาดเจ็บ ต้องใช้เวลานานอยู่ในการรักษา” นิโนะตอบด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “หนูขอโทษนะคะทุกคน!” เธอกำหมัดสองข้างที่หัวเข่า แสดงความเสียใจออกมาทางใบหน้า
“ถ้าพวกมันไม่เคลื่อนพลต่อก็ดีแล้วล่ะ ” อลิเซียเดินเข้ามา ลูบหัวของนิโนะอย่างอ่อนโยน
“ชั้นกับนิโนะจะอยู่ดูเฮเลลที่นี่เอง อาลอย เธอช่วยกลับไปที่แคนเธอร์บอกเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ด้วยนะ” เธอพูดเสริม
“ถ้าเฮเลลดีขึ้น จะรีบตามไปให้เร็วที่สุด” หญิงสาวนักวางแผนกล่าวต่อ
อาลอยพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น เธอล้วงไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า อัณมนีสีใส หินกิฟเตอร์ ที่เธอชิงมาจากการ์แลนด์ และเอาออกมาให้ทุกคนดู เมื่อเห็นดังนั้น นิโนะและอลิเซีย มีสีหน้าที่ดีใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เจ๋งไปเลยอาลอย! ไปจกมาตอนไหนเนี่ย!” อลิเซียกล่าวอย่างคึกคัก “ฝากเธอเก็บไว้ด้วยนะ ยิ่งไกลจากเงื้อมมือไอ้พวกนั้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ!” อาลอยกล่าว ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางเหนือขึ้นไปยังแคนเธอร์
เดอะ กอฟเวิร์น เฮ้าส์
ชั้นสามสิบของตึกสูงตระหง่านใจกลางเมืองหลวงไซอ้อน บริเวณทางเดินกว้างขวางที่ฝุ่นคลุ้งเต็มไปหมด ผู้คนโหวกเหวกโวยวาย วิ่งพลั่นกันให้ทั่วจากเหตุร้ายที่เพิ่งเกิด ผู้ก่อการร้ายแฝงตัวเข้ามาในตึกและสังหารหมู่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจักรวรรดิ คริสเท็น มีอา แลนนิสเตอร์ สายลับของกลุ่มไฮบริดที่เหลืออยู่ เธอตัดสินใจที่จะฆ่าเป้าหมายอย่างอึกกะทึก ขณะที่เป้าหมายยังอยู่ในห้องประชุม ท่ามกลางฝูงชน สร้างความโกลาหลไปทั่ว เนื่องจากในห้องนั้นมีคนอยู่มากมาย แทนที่จะสังหารเอนริเก้ได้อย่างเงียบๆ การตัดสินใจครั้งนี้ของเธอ อาจจะนำพาไปสู่ความหายนะก็เป็นได้ เนื่องจากเธอกำลังเผชิญหน้ากับหนึ่งในทหารไฮบริดเทียมของกองทัพอยู่ และล้อมรอบไปด้วยทหารจักรวรรดิมากมาย
ทั้งสองยืนคุมเชิงกันอยู่ หลังจากการโจมตีด้วยร่างเงาของมิกิไม่ได้ผล ทั้งคู่กำลังประเมิณสถาณการณ์กันอยู่ มิกิใช้อาวุธเป็นหอกขนาดยาว ทำให้ได้เปรียบในการดวล เนื่องจากระยะของหอกนั้นยาวกว่า แต่บริเวณทางเดินที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันอยู่นั้น มีขนาดกว้างกว่าความยาวของหอกของมิกิไม่มาก ทำให้การโจมตีจากด้านข้างของเธอนั้นยากที่จะทำมาก หากคริสเท็นเข้าประชิดได้ เกมก็จบ ทั้งสองรู้เรื่องนี้ดี คริสเท็น ก้าวขาขวาไปข้างหลัง และตั้งดาบขึ้นมา เตรียมตัวพุ่งตัวไปโจมตี เพื่อเผด็จศึก
’พลั่ก!’ ลูกเตะจากทางขวา หวดเข้าไปยังซี่โครงซ้ายที่ไม่ถูกปกปิดด้วยชุดเกราะของคริสเท็นเต็มๆ เธอไม่เห็นการโจมตีนี้ด้วยซ้ำ มันทำให้เธอเสียหลักและล้มลง เฉียงอะไรกัน ภาพลวงตาอีกแล้วรึ!? เธอเอามือซ้ายกุมบาดแผล ใช้ดาบในการพยุงตัวขึ้นมา ทันใดนั้นเองหอกของมิกิก็พุ่งเข้ามา เธอตวัดดาบขึ้นมาป้องกัน แต่หอกของมิกิก็มีเสียง และแยกตัว หมุนรอบดาบของคริสเท็นเพื่อล็อคมันเอาไว้ แต่มันทำอะไรเธอไม่ได้ เนื่องจากดาบคลื่นความถี่สูงมหาศาล สามารถหนีออกมาจากการล็อคของมิกิได้อย่างง่ายดาย ทั้งสองปะดาบกัน เนื่องจากด้ามหอกใหม่ของสกอร์เปี้ยน เทลล์นั้นทำจากโลหะพิเศษ จึงสามารถใช้เป็นอาวุธเพื่อสู้กับดาบได้ แต่แล้วคริสเท็นก็เห็นโอกาสฟันไปที่ต้นขาของมิกิ เลือดกระเซ็นออกมา เป็นบาดแผลไม่ลึกมาก แต่ก็ทำให้เธอบาดเจ็บ เมื่อเห็นเช่นนั้นมิกิตกใจเป็นอย่างมาก ทำให้เธอเสียสมาธิ คริสเท็นเห็นจังหวะโจมตีต่อ คราวนี้เธอเล็งไปที่ลำคอของมิกิ คมดาบของคริสเท็นฟาดผ่านคอของมิกิไป แต่เป็นแค่ภาพลวงตา หญิงสาวผมแดงกลิ้งตัวหลบการโจมตีอย่างเฉียดฉิว เฉียง’ตึ่กตั่กๆ’ เสียงฝีเท้าวิ่งมาจากทางที่มิกิอยู่ ในที่สุดทหารก็มาถึง คริสเท็นเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มวิ่งออกไปอีกทาง ถ้าหากเธอไม่ปะทะกับมิกิก็คงหนีออกไปได้นานแล้ว แบบแพลนของตึกๆนี้ อยู่ในหัวของคริสเท็นอย่างละเอียด เธอรู้ทุกซอกทุกมุม บันไดหนีไฟ ลิฟต์ ทางออกลับต่างๆ เธอมั่นใจว่าต้องออกไปจากที่นี่ได้ แต่มันไม่เป็นไปอย่างที่เธอคิด เธอใช้เวลากับทหารสาวผมสีแดงมากเกินไป
“หยุด อย่าขยับ!” หลังจากคริสเท็นเลี้ยวซ้าย อีกแค่ไม่กี่สิบเมตรจะถึงทางออก ภายหน้าของเธอนั้น มีทหารจักรวรรดิกว่าสิบคน ยืนประจำตำแหน่ง เรียงแถวไม่มีช่องให้วิ่งผ่าน ถือปืนจ่อมาทางเธอ คริสเท็นเห็นเช่นนั้นก็หันหน้าไปด้านหลัง แต่ทหารที่เหลือก็วิ่งตามมาทัน และปิดทางหนีเธอจนหมดสิ้น เธอรู้ตัวแล้วว่าไม่มีทางหนี คริสเท็นเอามือล้วงกระเป๋า เพื่อทำอะไรบางอย่าง เธอมองไปทางซ้าย เป็นกำแพงหนาที่ไม่สามารถพังทลายได้ ซ้ายมือของเธอ เป็นหน้าต่างขนาดยักษ์ ที่กันกระสุนและหนาพิเศษ ถ้าจะทำลาย คงต้องใช้เวลาสักพัก ซึ่งไม่ทันแน่ๆ ในสถาณการณ์นี้ ท่ามกลางเหล่าทหารในชุดเกราะเบื้องหน้าของนักฆ่าสาว มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินแหวกเหล่าชายฉกรรจ์ในชุดเกราะออกมา เธอมีผมสีขาวและดวงตาสีฟ้า “ถ้าให้ชั้นแนะนำ ชั้นจะไม่กระโดดลงไปนะ” หญิงสาวผมสีขาวกล่าวขึ้น ทำให้คริสเท็นหันขึ้นมามองทันที เธอไม่โต้ตอบอะไร มีแค่สายตาที่เย็นชาและดุร้ายเท่านั้น “พวกเราได้รับคำสั่งให้จับเป็นเธอ อย่าทำให้เราต้องขัดขืนคำสั่งเลย” หญิงสาวกล่าวต่อ คริสเท็นได้ยินดังนั้นก็เกิดอยากจะขัดขืนขึ้นมาทันที แค่ความคิดที่ว่าต้องเล่นเกมตามคำสั่งของพวกจักรวรรดิมันก็ทำให้เธอคลื่นไส้แล้ว แต่เธอไม่โง่ขนาดจะเอาชีวิตของตัวเองไปแลกกับการพิสูจน์ว่าเธอนั้นเกลียดชังจักรวรรดิง่ายๆแบบนี้หรอก เธอมุ่งมั่นกว่านั้น คริสเท็นต้องการเห็นพวกมันมอดไหม้
“เรนิต้า!” เสียงดังขึ้นจากด้านหลังของคริสเท็น มาจากหญิงผมแดงที่เธอสู้ด้วยก่อนหน้านี้นี่เอง
“มิกิ! ไม่เป็นไรมากใช่มั้ย!?” เรนิต้ากล่าว
มิกิเดินผ่านคริสเท็นไปหาเรนิต้า ต้นขาของเธอนั้นมีผ้าพันแผลอยู่ “จับตัวเธอไป!” มิกิคำรามใส่ทหาร ทหารสองคนเดินเข้ามาพร้อมกับโซ่ตรวนข้อมือ อีกคนเข้ามาพร้อมกับริบอาวุธของเธอไป คริสเท็นต้องยอมด้วยดี พวกเขาตรวนเธอ และพาเธอออกจากเดอะกอฟเวิร์นเฮาส์ ด้านนอกของตึก เกิดความวุ่นวายมากมาย นักข่าว สื่อมวลชน ประชาชนมหาศาลมาล้อมรอบตึกหลังนี้ ทหารและตำรวจหลายสิบนายมาเพื่อกั้นคนเหล่านั้นไม่ให้รุกล้ำอาณาเขตจนเกินไป เรือเหาะมากมายมาเพื่อถ่ายทำ ถ่ายรูป ผู้คนต่างสงสัยและต้องการคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น เหล่าเจ้าหน้าที่ พนักงานอพยพออกมาจากตึกที่เพิ่งเกิดเหคุร้ายต่างวิ่งกรูกันออกมาอย่างไร้ระเบียบ เบียด แย่งชิง รีบหนีออกมาให้เร็วที่สุด มีผู้รักษากฏหมาตะโกนบอกว่าให้เรียงแถว แต่มันก็ไม่ได้ผล ผู้คนเหล่านี้หวาดกลัวเกินไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หนึ่งในฝูงชนเหล่านั้น ก็คือคุโรซากิ ไซกะ เพื่อนร่วมงานของคริสเท็น แลนนิสเตอร์ ในการก่อการร้ายครั้งนี้ เป็นคนโลเคตเป้าหมาย เพื่อให้นักฆ่าสาวลงมือ และตอนนี้เขากำลังกลับไปยังจุดรวมพล ไซกะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคริสเท็นในหลายๆเรื่อง แต่เขารู้ว่าถ้าจะมีใครเกลียดชังและต้องการโค่นล้มจักรวรรดิมากที่สุด ก็มีเธอเนี่ยแหละ ไซกะจึงยอมรับ และก้าวเดินเส้นทางเดียวกับที่คริสเท็นเลือก
’ตี๊ดดดดด--’ เสียงอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงของไซกะดังขึ้นมา เขารีบหยิบขึ้นมาดูอย่างตื่นตระหนก มันเป็นเครื่องมือเล็กๆรูปร่างคล้ายนาฬืกาจับเวลา มีรูไฟแอลอีดีอยู่บริเวณด้านบน และปุ่มสามปุ่มเท่านั้น แอลอีดีมีสัญญาณสีแดงกระพิบถี่อยู่ “มะ….ไม่นะ!?” ไซกะกล่าวขึ้น เขาเอามือมาปิดปากด้วยความตกใจ และรีบยัดอุปกรณ์นั้นกลับเข้ากระเป๋า “เดินหน้าเร็วเข้าสิวะ!!” เสียงคนโหวกเหวกโวยวายมาจากด้านหลัง ให้เขารีบเดินออกไปจากที่เกิดเหตุนี้ ไซกะต้องรีบเคลื่อนที่ออกมาจากฝูงชนที่โกรธเคือง สับสน และหวาดกลัว.
สีเขียว หมายถึงภารกิจลุล่วง และสำเร็จไปด้วยดี เพื่อให้คู่หูรู้ว่าภารกิจสำเร็จ และพร้อมปฏิบัติการขั้นต่อไป ไซกะจะได้ส่งข้อมูลนี้ไปให้เหล่าไฮบริดที่แคนเธอร์ และเตรียมแผนต่อ สีฟ้า คือพบปัญหานิดหน่อย หนีออกมาไม่ได้ โดนปิด ต้องใช้เวลา หรือซ่อนตัวอยู่ ต้องการความช่วยเหลือและแทรกแซงอย่างเร็วที่สุด และสีแดง คือ เจอปัญหาใหญ่ โดนจับตัว พ่ายแพ้ ภารกิจไม่สำเร็จ เป็นสถาณการณ์ที่แย่ที่สุด
คริสเท็นบอกไซกะมาแล้ว ว่าเอนริเก้ถูกสังหาร สิ่งที่ทั้งคู่ค้องทำมีแค่ไปเจอกันที่จุดนัดพบเท่านั้น ไซกะหนีออกมาได้ เหลือแค่คริสเท็นที่เป็นคนลงมือหนีออกมาจากตึก แต่สัญญาณสีแดงถูกกดออกมา ไซกะจึงรู้ว่าเธอถูกจับ มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภารกิจที่ผ่านมาไม่เคยลงมืออย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ คริสเท็นและไซกะไม่เคยมีปัญหาในการหนีออกจากที่เกิดเหตุ แต่ตอนนี้มันผิดพลาด ตอนนี้เขาอยู่คนเดียว สหายคนเดียวของเขาถูกจับ ที่ถิ่นของศัตรู ไม่มีความช่วยเหลือเข้ามาในเวลาอันใกล้แน่ๆ
หลังจากไซกะหนีออกมาจากบริเวณตึกยักษ์ เขาหนีออกมาที่ที่ผู้คนเบาบางลง เมื่อเขาเดินผ่าน ทุกๆที่ที่มีทีวี เปิดข่าวก่อการร้ายที่กอฟเวิร์นเฮ้าส์ทุกที่ เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ มีรายชื่อของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ภาพของบริเวณที่เกิดเหตุ การให้สัมภาษณ์ของคนในเหตุการณ์ ไซกะเห็นแล้วก็ได้แต่โกรธตัวเอง ที่ช่วยเพื่อนเอาไว้ไม่ได้ เขาหยิบเครื่องมีสื่อสารขึ้นมา “มาลิค นี่ไซกะนะครับ แผนสีงหารสำเร็จด้วยดี แต่คุณคริสเท็น” เขาหยุดสักพัก “น่าจะโดนจับตัวไปแล้วครับ” “ผมขอโทษทุกคนด้วยจริงๆ ถ้ายังไงติดต่อกลับมาให้เร็วที่สุดนะครับ ผมต้องการคำสั่ง” เขาเก็บเครื่องมือสื่อสารไว้ในแบคแพค ไซกะอยู่บนดาดฟ้าของอพาร์ตเม้นท์ ที่เดียวกับที่ๆเขาและคริสเท็นคุยกันอยู่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน ก่อนภารกิจจะเริ่ม ไซกะได้แต่ยืนรอต่อไป เขามองขึ้นฟ้า รอการติดต่อจากแคนเธอร์อย่างเศร้าหมอง
บลองค์ คาเฟ่ , ซัมเมอร์สตอร์ม
“อ้าวกัปตัน! กลับมาแล้วหรือครับ!” บาร์เท็นเดอร์หนุ่มกล่าว เขาสังเกตุเห็นคนสองคนที่มากับฟริทซ์ด้วย “อ้าว คุณสองคนเมื่อตอนนั้น” ทั้งสามทักทายบลองค์กลับ และตรงไปนั่งที่โต๊ะกลมโต๊ะหนึ่งที่ขอบร้าน ซึ่งเป็นการแปลกใจชายหนุ่มเจ้าของร้านอย่างมาก เนื่องจากที่ปกติของลูกค้าคนโปรดของเขาคือหน้าเคาน์เตอร์ เค้าเซ็งเล็กน้อย และเดินไปรับออเดอร์ของลูกค้าทั้งสาม
“น้ำเปล่าสามแก้วครับ” ฟริทซ์หันไปบอกบลองค์ เขาชูสามนิ้วขึ้นมา ฟริทซ์นั่งหันหน้าออกไปทางประตูทางเข้า เมย์และมิทเชล์ นั่งอยู่ตรงข้ามเขา
บลองค์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเป็นการตอบรับและเดินกลับไปเตรียมเครื่องดื่ม เขาสังเกตุถึงบาดแผลฟอกช้ำและรอยเลือดจางๆบนใบหน้าของฟริทซ์ แต่เขาก็ไม่ได้ทักอะไร เขาพอเดาเหตุการณ์ได้อยู่แล้ว ว่าลูกค้าคนโปรดของเขาชอบเข้าไปยุ่ง ช่วยเหลือคนอื่น และลงเอยในการทะเลาะเบาะแว้งอยู่บ่อยๆ
“อย่างที่บอกไปคร่าวๆระหว่างที่เดินทางมานั่นแหละ นายจะเอายังไง” มิทเชล์พูดขึ้นมา สีหน้าของเขานั่นจริงจัง ท่าทางการนั่ง เอนตัวไปข้างหน้า ศอกเท้าโต๊ะ
“อีโวลต์กับพรรคพวกของมันจะมาที่นี่ในอีกไม่นานแล้วนะคะ! ถ้ามีโอกาสสวนกลับ ก็เป็นตอนนี้นี่แหละ !” เมย์เสริม
บลองค์เดินมาเสริฟน้ำเปล่าทั้งสามแก้ว ทำให้การสนทนาหยุดชะงัก หลังจากบาร์เท็นเดอร์หนุ่มกลับไป ฟริทซ์ก็หยิบน้ำมาจิบ เขามีท่าทีครุ่นคิด ถึงแม้เขาจะเป็นไฮบริด แต่เขาก็ทำงานให้กับกองทัพ เขากำลังไตร่ตรองว่า การเปิดศึกครั้งนี้มันคุ้มค่ารึไม่ ที่เขาจะเป็นกบฏเต็มตัว
“โอกาสที่พวกคุณจะชนะมัน มีน้อยมากๆเลยนะ คุณมิทเชล์” ฟริทซ์พูดขึ้นมาด้วยท่าทางจริงจัง
“พวกเรารู้อยู่แล้ว แต่ที่นี่เป็นสมบัติของจักรวรรดิ มันใช้พลังไม่ได้เต็มที่แน่ๆ ถ้าไม่อยากทำลายบ้านเมืองและคนบริสุทธิ์” มิทเชล์พูดขึ้นมา เขาหันไปมองเมย์
“... และถ้าอีโวลต์เลือกจัดการพวกเราเหนือชีวิตคนบริสุทธิจริงๆ .... อย่างน้อยก็จะเกิดกระแสต่อต้านทางสังคมค่ะ” เมย์พูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ทำเอาฟริทซ์อึ้งไปกับความมุ่งมั่นของคนเหล่านี้
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง และเกิดข่าวแพร่กระจายออกไปละก็ เมืองหลวงวุ่นวายแน่ๆ ... แต่การควบคุมสื่อของที่นั่นรัดกุมมาก” ’ปั่ก!’ มิทเชล์เอาแก้วน้ำกระแทกโต๊ะเบาๆ สีหน้ามองไปยังฟริทซ์ “นายจะเข้าร่วมกับพวกเรารึเปล่า แค่นั้นแหละ” มิทเชล์ยื่นคำขาด แต่ก่อนที่ฟริทซ์จะได้ตอบอะไร ก็มีคนติดต่อมาที่มิทเชล์ เขาใช้มือจับที่หู เพื่อให้ได้ยินเสียงชัดเจน มิทเชล์ฟังอยู่สักพัก “รับทราบ กำลังไปเดี๋ยวนี้แหละ” มิทเชล์หันไปพยักหน้าให้เมย์ เป็นการบ่งบอกเธอว่า ศัตรูกำลังมาถึงแล้ว พวกเขาต้องรีบไปเตรียมตัว ทั้งสองลุกยืนขึ้น
“ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปหรอกนะ” มิทเชล์พูดใส่ฟริทซ์ ด้วยสีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อย เหมือนเค้านึกถึงประสบการณ์ที่เลวร้ายในอดีต ก่อนที่จะเดินกลับไป
“ชาวไฮบริดด้วยกัน ต้องไม่ทิ้งกันนะคะ พวกเราที่เหลืออยู่ตอนนี้ทุกคนกำลังต่อสู้อยู่ หนูอยากให้คุณฟริทซ์มาร่วมกับพวกเราค่ะ” เมย์พูด เธอก้มลงไปเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะใส่กระดาษใบเล็กๆ และยื่นให้ฟริทซ์ ก่อนจะรีบเดินออกมาจากร้าน ตามมิทเชล์ไป ฟริทซ์รับกระดาษแผ่นนั้นมาหยิบดู มันเป็นพิกัดที่อยู่ เขาเดาว่ามันคงเป็นที่ที่ทั้งมิทเชล์และเมย์ซ่อนตัวอยู่ เขาคิดหนักว่าจะทำยังไงต่อไป ที่ผ่านมาฟริทซ์เองก็คอยส่งข้อมูลภายในของจักรวรรดิให้กับเหล่าไฮบริดที่เหลือรอดทางอ้อมๆหลายครั้ง เพื่อเป็นการช่วยเหลือ แต่เค้ารู้ดีกว่าสักวันเขาต้องลุกขึ้นสู้ ฟริทซ์แค่ยังไม่มั่นใจว่าสักวันนั้นมาถึงรึยัง “ปัญหาหนักหรือครับกัปตัน” บลองค์เดินมาเก็บแก้วทั้งสาม ฟริทซ์ไม่ได้หันไปมอง เขายังคงจ้องมองไปยังประตูทางออก ที่มิทเชล์และเมย์ ไฮบริดจากกลุ่มก่อการร้ายสองคนเพิ่งเดินออกไป เขาดูเหม่อลอยและครุ่นคิด
“ผมอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้วก็ได้”
ไซด์ก่อสร้าง , ซัมเมอร์สตอร์ม
มิทเชล์และเมย์ขับรถหุ้มเกราะขนาดเล็กกลับมาที่ฐานทัพของพวกเขา ณ เวลานี้ คนงานที่ไซด์ก่อสร้างกำลังทำงานกันอยู่ เสียงเครื่องมือ รถต่างๆ ดังว่อนกันไปทั่ว ทั้งสองขับมาจอดในที่ๆเดิมที่พวกเขาจอดไว้ตั้งแต่ตอนแรก มิทเชล์ยังคงอารมณ์เสียจากการที่ฟริทซ์ไม่ยอมตกลงเข้าร่วมกับพวกเขา “หนูคิดว่าเขาจะมานะคะ” เมย์กล่าวกับมิทเชล์ระหว่างการเดินกลับไปที่รวมพล “ถ้าหนูดูคนไม่ผิด ฟริทซ์ เรมิงตัน เป็นคนดีค่ะ” มิทเชล์ได้แต่ฟัง เขาไม่ได้ตอบสนองอะไร แต่เมย์รู้ว่ามิทเชล์ได้ยิน และรับฟังเธออยู่
ในที่สุดทั้งสองก็เดินมาถึงจุดรวมพล ใต้ตึกก่อสร้างขนาดใหญ่ ลูกน้องของมิทเชล์ทั้งหมดเตรียมตัวเรียบร้อย ทุกคนอยู่ในชุดเอ็กโซสูทพร้อมรบ มันเป็นชุดเกราะสีเทาที่ครอบคลุมทั้งตัว มีจุดที่เป็นผ้า ข้อต่อที่ไม่มีเกราะแค่ไม่กี่จุดบนร่างกาย เป็นชุดเกราะรบของทหารจักรวรรดิ ถึงจะเป็นรุ่นที่เก่าแล้ว แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพ รอยบนชุดเกราะบ่งบอกถึงความโชกโชนที่ทุกคนผ่านการต่อสู้มา ทั้งสามคนมีแถบสีที่ต่างกันบนชุดเกราะ เพื่อบ่งบอกตัวตนของแต่ละคน ‘อัลฟ่า’ มีแถบสีแดงพาดที่เกราะหน้าอก เป็นรูปตัวเอ็กซ์ ‘บราโว่’ เป็นแถบแนวนอนสีฟ้าที่หน้าอก และไหล่ขวา และ ‘ชาร์ลี’ มีแถบแนวตั้งสีเขียวยาวตั้งแต่หน้าอกจนถึงเข็มขัด และบริเวณหมวก
ชายในชุดเกราะสีเขียว-ดำ เดินมาหาทั้งคู่ เขากดปุ่มตรงบริเวณหูขวาที่หมวก ทำให้กลไกหมวกทำงาน และเลื่อนเปิดออกมา ให้เห็นใบหน้าข้างใน เขาคือทหารหนุ่ม บาร์ทซ์ นั่นเอง “พวกมันจะมาถึงในอีกสิบห้านาทีครับ ผ่านบริเวณบาร์เอคโค่เป็นที่แรก และจุดที่เราอยู่เป็นที่สุดท้าย” บาร์ทซ์กล่าว มิทเชล์และเมย์ยังคงเดินต่อไปที่รถอีกคันของพวกเขาที่อยู่อีกมุมหนึ่ง บาร์ทซ์เดินตามพวกเขามา และอธิบายข้อมูลให้ฟัง “จำนวนล่ะ?” มิทเชล์กล่าว ทั้งสองเดินมาถึงรถอีกคัน มิทเชล์เสื้อกันกระสุนออก เหลือแค่เสื้อยืดที่อยู่ข้างใน และหยิบเพลตเกราะหน้าอกออกมา เขาแปะมันไว้ที่หน้าอกของตนเอง จากนั้นก็กดปุ่ม ทำให้เพลตขยายออกมาด้านหลัง กลายเป็นเกราะเอ็กโซสูทที่สวมบริเวณลำตัว “ราวสามสิบนายนั่งรถหุ้มเกระมา และรถถังสามคันครับ” บาร์ทซ์หยิบเกราะที่เอาไว้ใส่ต้นขาออกมาสองอันและสวมมันเข้ากับขาของมิทเชล์ พวกมันก็ขยายกลายเป็นเกราะให้ขาทั้งสองข้าง “บอกให้สองคนนั้นไปเตรียมฮาส” มิทเชล์พูดในขณะที่ยังเตรียมชุดเกราะอยู่ต่อไป ฮาส หรือ เฮฟวี่ อาร์เมอร์ สูท ชุดเกราะขนาดยักษ์ที่ทำให้คนควบคุมเหมือนกลายเป็นป้อมปราการเดินได้ที่แข็งแกร่ง มันสามารถยืนสู้กับรถถังได้อย่างสูสี
เอ็กโซสูทของมิทเชล์นั้นแตกต่างจากของอัลฟ่า บราโว่ และชาร์ลี ทั้งเท็กซ์เจอร์ สี และคุณสมบัติ มันเป็นชุดเกราะสีดำด้าน ที่เป็นแบทช์พิเศษเมื่อห้าปีก่อน ที่ทำให้สเปเชี่ยลฟอร์ซของกองทัพเท่านั้น ที่ได้มาจากการเข้าไปไฮแจ็คยุทโธปกรณ์ของเหล่ากลุ่มก่อการร้ายเมื่อหลายปีก่อน สมัยที่เหล่าไฮบริดรวมตัวกันใหม่ๆ ภายใต้การดูแลของมาลิค เมย์เองก็สวมชุดเกราะ แต่ไม่ใช่แบบเดียวกับของมิทเชล์และผองเพื่อน เป็นชิ้นส่วนเกราะเล็กๆที่ติดตามตัวซะมากกว่า เพลตบนลำตัว แขน และขา
ทั้งสามคนเดินกลับไปรวมตัวกับคนที่เหลือ ทั้งหมดสี่คน มิทเชล์ในเกราะดำ อัลฟ่าเทาแดง บราโว่เทาฟ้า และบาร์ทซ์ ชาร์ลีเทาเขียว พวกเขาต่างเตรียมอาวุธติดตัวมากมาย ด้วยสมรรถภาพของเอ็กโซสูท ทำให้สามารถแบกอาวุธได้หลายรูปแบบในทีเดียว แต่สำหรับทหารจักรวรรดิส่วนใหญ่ ต่อคนนั้น จะพกแค่ปืนกล และปืนเลเซอร์ที่ติดอยู่ที่ข้อมือเท่านั้น มิทเชล์หยิบปืนกลคู่ใจของเขา ปืนพกอีกสองกระบอก ลูกน้องอีกสามคนก็พกยุทโธปกรณ์ต่างกันไปเพื่อสนับสนุนกันและกัน เมย์กับืนสไนเปอร์ไรเฟิลของเธอ นอกจากนั้นพวกเขายังมีฮาส เกราะยักษ์ รถหุ้มเกราะอีกหลายคันมาด้วย
“เอาล่ะทุกคน!” มิทเชล์กล่าวเรียกทุกคน เพื่อเตรียมรวมประชุม พวกเขาปิดหมวกของตนเองเพื่อง่ายต่อการสื่อสาร “เราจะดักซุ่มโจมตีพวกมัน” “เมย์จะเป็นคนเล็งเป้าไปที่อีโวลต์ พวกเราที่เหลือให้ตัดแข้งตัดขากองทัพมันซะ” มิทเชล์กล่าวแผน และชี้ไปยังจุดยุทธศาสตร์ต่างๆบนแผนที่ซัมเมอร์สตอร์ม “ทำลายรถถังมันเป็นอย่างแรก ให้มันลงมาเล่นไล่จับกับเรา” เขายังคงกล่าวต่อ
ทันใดนั้นเอง มีชายคนหนึ่งวิ่งมาจากด้านหลัง “หัวหน้าครับ!” อัลฟ่าชี้ไปทางชายคนนั้นให้ทุกคนหันไปดู ชายที่วิ่งเข้ามานั้น ใส่ยูนิฟอร์มของจักรวรรดิ และผ้าคลุมสีน้ำตาล “ให้ยิงเลยไหมครับ!” บราโว่ยกปืนไรเฟิลขึ้นมาและเล็งไปทางชายหนุ่มคนนั้น มิทเชล์ยิ้มอย่างภูมิใจ และส่งสัญญาณให้ทุกคนลดอาวุธ และค่อยๆเดินไปหาชายผู้นั้น ชายในชุดจักรวรรดิหยุดเดินเมื่อมาถึงที่รวมพล เขาสะพายกระเป๋าขนาดยาวมาด้วย เขามีผมสีดำ และมีสีหน้าที่มุ่งมั่น มิทเชล์เดินเข้ามาหาเขา
“คุณฟริทซ์ หนูว่าแล้วว่าคุณต้องมา!” เมย์พูดอย่างดีอกดีใจ
“ตกลง ตัดสินใจหรือยังล่ะ” ชายในชุดเกราะสีดำถาม
“ผมมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือคนบริสุทธิ์” ฟริทซ์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สงครามเล็กๆของพวกคุณ จะทำให้คนที่ผมดูแล และห่วงใยต้องอยู่ในอันตราย” เขากล่าว
“ตะ..แต่ว่า” เมย์ยังไม่ทันพูดจบ มิทเชล์ก็พูดขัดขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอกเมย์ พวกเราต้องรีบไปเตรียมตัวแล้วล่ะ” มิทเชล์กล่าว เขาเดินตรงกลับไปยังจุดที่คนอื่นๆอยู่
เมื่อพูดเสร็จ ทั้งคู่ก็แยกย้ายกันออกไป ฟริทซ์เดินทางกลับไปที่บริเวณชุมชน มิทเชล์เดินกลับมาที่รวมพลและวางแผนกันต่อ
ทางเข้าเมือง ซัมเมอร์สตอร์ม
คาราวานของทหาร เดินทางผ่านทะเลทรายมา เป็นรถหุ้มเกราะสีน้ำตาลจำนวนหลายคัน บรรจุทหารราบในชุดเอ็กโซสูทพร้อมรบเต็มคัน และรถถังอีกสามคัน รุ่นใหม่ ที่ทนทานแรงระเบิด และประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง ทันสมัย บนรถคันหน้าสุด นั่งอยู่สี่คน มีชายคนหนึ่งที่แต่งตัวผิดแปลกไปจากชาวบ้าน คนอื่นนั้นสวมชุดเกราะกันกระสุน บ้างก็เป็นเอ็กโซสูท ชุดที่เหมาะสำหรับการต่อสู้ แต่ชายผมดำที่มีแววตาเย็นชาคนนี้ สวมเสื้อโค้ตสีดำเท่านั้น เขานั่งอยู่บนเบาะหลังของรถคันแรกของคาราวานที่มาถึง
“ถึงที่หมายแล้วครับ” ทหารคนขับกล่าว เขานำรถมาจอดไว้ที่หน้าประตูเมือง ทำให้คนมากมายตกใจที่เห็นกองทัพจำนวนมากมาลงจอดที่นี่ ถึงจะมีการซ้อมรบบ่อย แต่ครั้งนี้ไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทำให้ผู้คนหวาดกลัวกันอย่างมาก หลังจากรถทุกคนลงจอด เหล่าทหารราบก็ลงมาจากรถ และมาต่อแถวเรียงกัน ทั้งหมดสามสิบห้านาย ชายชุดดำเดินอยู่ข้างหน้าแถวพวกเขา ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าของเหล่าทหารนี้
“แยกย้ายกันไป กลุ่มละสี่คน ตามหาพวกมันให้เจอ ใช้วิธีไหนชั้นไม่สน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เขาอย่างข้ามไปถึงจุดที่ต่อสู้กันแล้ว ไม่ใช่ต้องมาเล่นไล่จับกันแบบนี้
“นายสามคนมากับชั้น” ชายชุดดำชี้มือเรียกนายทหารสามคนที่อยู่ข้างหน้า
เหล่าทหารจำนวนมากของกองทัพ ก็เริ่มเดินทางเข้าไปในเมืองซัมเมอร์สตอร์ม เพื่อหาตัวพวกมิทเชล์และเมย์ กองทหารของชายชุดดำคนนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องความป่าเถื่อนและความโหด พวกเขาไม่สนวิธีการ หัวหน้าของพวกเขาบอกว่าให้ทำอะไรก็ได้ ทหารเหล่านี้จึงทำทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ ขอแค่เป้าหมายสำเร็จก็พอแล้ว ทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปบริเวณตลาดที่ผู้คนพลุกพล่าน คนที่ดูเหมือนเป็นคนที่อำนาจมากสุดในกลุ่มนี้ชักปืนพกขึ้นมา และยิงมันขึ้นฟ้าหลายนัด เฉียง’ปังๆๆ!!’ ผู้คนเหล่านั้นต่างตกใจและหันมามอง ทั้งเด็กและคนแก่ ผู้หญิงผู้ชายมากมาย
“เอาหละ พวกชั้นก็ไม่ได้อยากมาที่นี่นักหรอกนะ ชั้นไม่ชอบทราย..มันร่วนและหยาบทำให้ผิวหนังแสบ และมันก็เข้าไปทุกที่... เพราะฉะนั้น พวกแกให้ความร่วมมือกันหน่อยละกันนะ” ชายผู้ยิงปืนกล่าว
ในอีกหลายๆที่ก็เช่นกัน ทหารเหล่านี้ทำตามใจชอบ พวกมันชอบความรุนแรงและป่าเถื่อน ใช้ชื่อของหัวหน้าของมัน เพื่อทำเรื่องเลวทรามแค่ไหนก็ได้ ทหารทั้งเก้ากลุ่มกระจัดกระจายกันไปทั่วเมืองซัมเมอร์สตอร์ม สร้างความวุ่นวายและความหวาดกลัวให้กับประชาชน ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ฟริทซ์ เรมิงตัน ก็วิ่งว่อนไปทั่วเมือง เพื่อเตือนภัยประชาชนของซัมเมอร์สตอร์ม ให้เข้าบ้านและระวังตัว เนื่องจากชื่อเสียงของเขา ทำให้ประชาชนเชื่อถือและรู้ว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น
ฟริทซ์มาหยุดอยู่ที่บ้านแห่งหนึ่ง คุณป้าคนหนึ่งอายุราวๆหกสิบ ผมหงอก ผิวหนังเหี่ยวย่น สวมเสื้อคลุมสีม่วง กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน เป็นบ้านหลังเล็กๆที่อยู่กันราวสามคน ฟริทซ์วิ่งเข้ามาถึง “คุณยายครับ ตอนนี้เมืองไม่ปลอดภัยนะครับ คุณยายเข้าบ้าน ล็อคประตูตอนนี้เลยจะดีกว่านะครับ” เขากล่าวกับคุณยาย “หืม มีเรื่องอะไรหรอพ่อหนุ่มน้อย.. “ คุณยายตอบกลับ “ผมบอกไม่ได้ แต่คุณยายพาหลานๆและตัวเองไปหลบจะดีกว่าครับ” ฟริทซ์กล่าวเช่นนั้น เมื่อเหลือบไปเห็นเด็กน้อยอายุราวๆสามสี่ขวบสองคนอยู่ภายในตัวบ้าน เป็นผู้หญิงกับผู้ชาย ที่มีใบหน้าสดใส สนุกกับการเล่นของเล่นอยู่ข้างใน
’ปังๆ!’ เสียงปืนลั่นขึ้นหลายนัด บริเวณไม่ไกลไปจากนี้ เสียงปืนเกิดขึ้นถี่มากรอบเมือง เนื่องจากทหารของชายชุดดำ “คุณยาย เข้าไปเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ได้ยินเสียงปืนรึเปล่า!” ฟริทซ์เร่ง และพาคุณยายเข้าไปในบ้าน เธอมีท่าทางงงๆ แต่ก็ยอมโดยดีเพราะเธอกับหลานๆหวาดกลัวกับเสียงปืน เมื่อเห็นเช่นนั้น ฟริทซ์จึงมุ่งหน้าเข้าไปทางหมู่บ้านนั้นต่อ แต่เขาเจอทหารสี่คนอยู่ข้างหน้ากำลังเดินมาทางเขา
“เห้ย เอ็งเป็นใครวะ!?” ทหารคนหนึ่งเอ่ย เขาชี้มาที่ฟริทซ์ และเดินเข้ามาทั้งสี่คน ชายคนหนึ่งดูเสื้อผ้าของฟริทซ์ เลยรู้ว่าเป็นหน่วยลาดตระเวณของจักรวรรดิ “เห่อะ! ไอพวกยาม ตอนนี้เค้าเรียกรวมพลไม่รู้เรื่องรึไงวะ! รีบๆไปได้แล้ว!” นายทหารคนนั้นพูด และถุยน้ำลายใส่ฟริทซ์ ทำให้เขาโกรธ แต่ยังคงใจเย็นอยู่ ทั้งสี่คนเดินผ่านฟริทซ์ไป และตรงไปยังบ้านคุณยาย ฟริทซ์เห็นดังนั้นจึงรีบตรงตามไปทันที
’โครมมม!’ นายทหารคนหนึ่งพังประตูเข้าไปหลังจากที่พยายามบิดกลอนอยู่หลายครั้ง และบุกรุกเข้าไปในบ้าน ฟริทซ์ที่กำลังเดินเข้าไปได้ยินเสียงโวยวายข้างใน และเสียงกระแทก หลังจากที่เขาเดินตามมาถึงในตัวบ้าน ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาโกรธแค้นเป็นอย่างมาก และพร้อมปะทุออกมา คุณยายคนเมื่อสักครู่นี้ล้มลงกับพื้น นิ่ง ไม่ไหวติง ร่างกายของเธอไม่มีบาดแผล ดูเหมือนคอของเธอจะกระแทกอะไรบางอย่างเข้า ทำให้เสียชีวิต หลานๆสองคนข้างๆเห็นภาพยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาลงไปนั่งจับตัวคุณยาย และช่วยกันปลุกให้ตื่น “ยายจ๋าตื่นสิยาย” “คุณยายเป็นอะไรไปหรอคุณทหาร” มันทำให้ฟริทซ์โกรธขึ้นไปยิ่งกว่าเดิม
“ไอ้ชิบหายเอ้ย! ทำไมมันไม่มีใครรู้เลยวะ โคตรอารมณ์เสียเลย” ทหารคนหนึ่งสบถขึ้นมา เขาเป็นคนที่อยู่หน้าสุด ใล้ร่างไร้วิญญาณของยายผู้โชคร้ายมากที่สุด
“มึงหัวร้อนไปทำไมวะ เนี่ย ยัยแก่เนี่ยตายไปแล้วมั้ง บางอย่างกับทิชชู่ ฮ่าๆๆๆ” เพื่อนเขาเขากล่าวขึ้นมา
“กูไม่ได้ตั้งใจนะเว้ย แม่งอารมณ์เสีย ร้อนก็ร้อน มีแต่คนบอกไม่รู้ค่ะๆ ไม่รู้ค่ะบ้านมึงสิ!” ทหารคนแรกพูดขึ้นมา
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ฟริทซ์เดินเข้าไปอย่างช้าๆและเยือกเย็น “เห้ยเอ็งมันไอ้ยามนั่นนี่หว่า บอกให้ไปรวมพลไง!” ทหารอีกนายกล่าวขึ้น แต่ฟริทซ์ไม่ได้โต้ตอบกับคำพูดนั้นเลย เขาเดินผ่านทั้งสี่มา ลูบหัวเด็กทั้งสองคน เขาอุ้มร่างของคุณยาย และเดินตรงออกไปข้างนอกบ้าน หลานทั้งสองคนก็เดินตามไป “เห้ย อะไรของมึงวะ อยากตายรึไง” ทหารนายหนึ่งพยายามเดินตามฟริทซ์ออกไป แต่ก่อนที่เขาจะได้ก้าวออกจากประตูบ้านนั้น ก็มีบางสิ่งบางอย่างแทงทะลุตัวของเขา เข้าบริเวณหัวใจ เป็นดาบสีดำ-เงินของฟริทซ์นั่นเอง การโจมตีเพียงครั้งเดียวทำให้เขาตายทันที ฟริทซ์ดึงดาบออกมา และก้าวเข้าไปในบ้าน
“ไอ้เวรเอ้ย มึงอยากตายใช้มั้ย!!?” ทหารคนอื่นกล่าวขึ้น ยกปืนขึ้นมาจ่อทางฟริทซ์ด้วยความตกใจ
ฟริทซ์ปิดประตูข้างหลังเขา ล็อคทั้งสามคนในบ้านกับเขาคนเดียว และตั้งดาบขึ้นมา สามต่อหนึ่งในที่แคบๆ มันทำให้เขานึกถึงคาร์ลอส ที่สังหารพวกคนในโกดังเมื่อหลายชั่วโมงก่อนที่เขาไปเจอจริงๆ มันเป็นความรู้สึกตลกร้าย ที่ไม่กี่อึดใจผ่านมา เขาก็มาตกที่นั่งเดียวกับชายที่เขาเพิ่งแลกหมัดกันไปเมื่อไม่นานมานี้ “ย้ากกกกก!!” ด้วยความโกรธแค้น ฟริทซ์พุ่งเข้าไปโจมตีทหารผู้โชคร้ายทั้งสามคน ปืนของพวกเขาถูกยิงออกมา แต่มันไม่ได้ผล ฟริทซ์ปลดปล่อยพลังไฮบริดในตัวเขาออกมาเต็มที่แล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะสู้ให้ใคร
เด็กน้อยทั้งสองคนยังคงนั่งอยู่ที่สวนดอกไม้ข้างนอกบ้าน ร่างของคุณยายนั่งพึงต้นไม้อยู่ข้างๆพวกเธอ ทั้งสองคนยังริคิดว่าคุณยายของพวกเขาหลับไป จึงเล่นกับดอกไม้เพื่อรอคุณยายตื่นขึ้นมา ฟริทซ์เดินเข้ามาหาเด็กน้อยทั้งสองคน เขายังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อไป เขาทิ้งเด็กทั้งสองคนนี้ไปไม่ได้ “พี่ชายเลอะอะไรหรอคะ สีแดง” เด็กสาวกล่าวขึ้น ฟริทซ์นั่งยองลงไปคุยกับเด็กทั้งสองคน “อ้อ.. นี่น่ะหรือ” เขาใช้นิ้วปาดเลือดบนใบหน้าของเขาออก เลือดของชายสามคนที่เขาเพิ่งสังหารไป “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่คงจะเปื้อนกว่านี้เยอะเลย” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเพื่อกล่อมเด็กทั้งคู่ แต่ในใจเขานั้นทั้งเจ็บปวดและเสียใจ
“คุณยายแกเหนื่อยน่ะ!” เขาลุกขึ้นยืน “ให้คุณยายนอนกับต้นไม้ตรงนี้ก่อนนะ พวกเราหาอะไรเล่นที่อื่นกันมั้ย!” ”อยากกินขนมรึเปล่า!?” ฟริทซ์ยื่นมือไปให้เด็กทั้งสองจับ “ไม่พาคุณยายไปนอนในบ้านหรอครับ?” เด็กชายกล่าวขึ้นมาอย่างไร้เดียงสา “… คุณยายเขาคงอยากนอนตรงนี้มากกว่าน่ะ เธอชอบดอกไม้ใช่ไหมล่ะ!” เด็กทั้งสองมองหน้ากันและหัวเราะ พวกเขาสองคนหันไปโบกมือลาคุณยายและเดินไปกับฟริทซ์
แคนเธอร์
หลังจากเดินทางมาระยะหนึ่ง อาลอยก็ใกล้ถึงแคนเธอร์ เธอรู้สึกแปลกๆกับเรื่องทั้งหมดนี่ ไม่ใช่ความหวาดกลัว เธอรู้ว่าสักวันเธอจะนำหายนะไปสู่จักรวรรดิ แต่เธออดห่วงเพื่อนๆไม่ได้ ทั้งเฮเลล อลิเซีย นิโนะ และคนอื่นๆ เมื่อเธอเดินทางมาถึง เธอก็รู้ว่าสัมผัสแปลกๆนั่นคืออะไร แคนเธอร์พังพินาศ ย่อยยับ มีแต่ควันฟุ้งเต็มไปหมด กลิ่นเลือดและดินปืนคลุ้งเต็มอากาศ เป็นกลิ่นที่เธอคุ้นเคยดี เนื่องจากเธอเคยโดนไล่ล่าด้วยสิ่งนั้นตอนเด็กๆ อาลอยสังเกตุเห็นเรือเหาะบนฟ้า จำนวนหลายลำ ไม่มีเวลาให้นับ เธอรีบถอยกลับเข้ามาหลบซ่อนในป่าทันที และคอยเฝ้าสถาณการณ์อยู่ห่างๆ
ทำไมกัน? ถ้าพวกมันต้องการจับเป็น แล้วก็มณี ทำไมมันถึงทำแบบนี้ ?
เธอคิดในใจ ตอนนี้ในหัวเธอมีแต่คำถาม และความเศร้า ความเคียดแค้น มาลิคและชาวแคนเธอร์รับเธอมาเลี้ยงดูเหมือนเป็นครอบครัว แต่บัดนี้ครอบครัวที่สองของเธอได้พังทลายลงไปแล้ว อาลอยรอจนเรือเหาะบินออกไป จึงเข้าไปในเมืองที่มีแต่ซากศพ
เธอเดินผ่านหมู่บ้าน หมู่บ้านที่คุ้นเคย มันเคยเป็นที่ที่สงบ ผู้คนเป็นมิตร มีความสุข และร่มเย็น แต่ในตอนนี้นั้นมีแต่ซากปรักหักพัง และความพังทลาย เรือเหาะของจักรวรรดิปล่อยระเบิดและใช้ปืนยิงจากบนฟ้าใส่คนเหล่านี้โดยที่ไม่ทันตั้งตัว พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะสู้กลับ หนีไปที่อื่น หรือแม้กระทั่งบอกลาคนที่พวกเขารัก แค่วูบเดียวเท่านั้น ทุกอย่างก็หายไป เธอยังคงเดินต่อไปเพื่อหาผู้มีชีวิตรอด อาลอยเดินผ่านบ้านของมาลิค ที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของชุมชน ที่พักทั้งร่างกายและจิตใจ บัดนี้มันไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีทางที่คนจะรอดชีวิตจากความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ก่อนที่เธอจะได้เข้าไปลึกกว่านี้ เธอสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ มนุษย์ที่ยังมีชีวิต เธอรีบหันไปมอง ปฏิกิริยาของร่างกายเธอ ทำให้เธอชักธนูและเตรียมลูกศรมา เล็งไปยังจุดที่คนๆนั้นอยู่พอดี แต่เมื่อเธอหันไปมอง เธอก็ลดคันธนูลง และถอนหายใจอย่างโล่งใจ อย่างน้อยก็มีผู้รอดชีวิต ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นคนในหมู่บ้านที่เธอรู้จัก เด็กหญิงสาวผมสีขาว นัยน์ตาสีฟ้าอ่อน เธอมีสีหน้าที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์ เธอเด็กสาวผมขาวนั้นใจสลายกับภาพที่เธอได้เห็น ดอกไม้จำนวนมากที่เธอโอบมาที่นี่ตกลงกับพื้น เธอลงไปคุกเข่าและช็อคอย่างรุนแรงกับภาพที่เธอเห็น เกินกว่าที่น้ำตาจะไหลออกมา
“เอมม่า!” อาลอยตะโกนเรียกชื่อเธอ เธอเก็บคันธนูและรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“เป็นยังไงบ้าง! ไปไหนมา!” อาลอยเข้าไปโอบกอดเอมม่าไว้ น้ำตาของเอมม่าเริ่มไหลออกมา เธอกอดอาลอยกลับ
“หนู....ไป ... หนูไปเก็บดอกไม้ ... มาให้พ่อ !” เธอพูดไปพร้อมกับสะอึกสะอื้น ร้องไห้
“เพิ่งกลับมาจากไร่ของ.... พวกเรา .. มันเกิดอะไรขึ้น”
อาลอยลูบหัวเอมม่าอย่างนุ่มนวล เธอพยายามปลอบประโลมเอมม่าให้ได้มากที่สุด ทั้งสองไม่สนิทกันมาก แต่ทั้งคู่ก็รู้จักกัน “จักรวรรดิมาโจมตีน่ะ พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่ ต้องหนี!” อาลอยพยายามพูดกล่อมเธอ ให้เธอฟัง “ทำไม!! ทำไมจักรวรรดิต้องมาทำลายบ้านเรา พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด!!” เธอโวยวายจากความเสียใจ อาลอยรู้ว่าต้องบอกความจริงให้เธอฟัง ทั้งเรื่องไฮบริด มณี และเรื่องตัวของเธอ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ “เอมม่า พี่จะเล่าทุกอย่างให้เธอฟังเอง แต่เราต้องไปจากที่นี่ก่อน” “พวกคุณอลิเซียยังมีชีวิตอยู่ เราต้องไปสมทบกันนะ” เมื่อรู้ว่ายังมีคนรอดอยู่ ท่าทางของเอมม่าก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย “พี่เองก็อยากเข้าไปทำความเคารพ บอกลาคนที่เรารักเป็นครั้งสุดท้าย .... แต่ไม่มีเวลาแล้วล่ะ” อาลอยกล่าว เธอยังคงให้เอมม่าซบไหล่และลูบหัวเธอเบาๆ “เราต้องไปแล้ว .. ไปกันเถอะนะ” เมื่อพูดจบ อาลอยก็จับมือเอมม่า และพาเธอเดินออกมาจากซากปรักหักพัง ที่เคยมีชื่อว่าแคนเธอร์
End
|
|
|
Post by tonklaaaaaawow on Jun 29, 2018 19:38:53 GMT
Chapter 4 : Land of the dread
คฤหาสถ์เรฮัลเนม
นอกไซอ้อน ห่างไกลจากความวุ่นวายและความโสมม เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ที่มีคฤหาสถ์ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ มันถูกล้อมรอบด้วยธรรมชาติ และที่โล่งกว้าง คฤหาสถ์เรฮัลเนมไม่ใช่ที่ที่ดีที่สุดเมื่อพูดถึงความปลอดภัย แต่มันสวยงาม และมีความเป็นส่วนตัว นี่เป็นครั้งแรก ที่บ้านหลังนี้เปิดรับแขกมากที่สุด หลังจากเหตุการณ์ก่อก่ารร้ายที่ไซอ้อน ได้มีการบำรุงรักษากอฟเวิร์นเฮ้าส์ครั้งใหญ่ ทำให้ไม่สามารถใช้ที่นั่นได้ จักรพรรดิจึงเลือกที่นี่เป็นการประชุมของเหล่าคนยศสูง และทหารพิเศษหลายสิบนาย
ในห้องโถงใหญ่ยักษ์ ที่มีโต๊ะทรงวงรีขนาดใหญ่มโหฬารตั้งอยู่ตรงกลาง บรรจุคนได้หลายสิบคน มันคนใหญ่คนโตนั่งอยู่มากมาย ถึงจะมีที่นั่งว่างอยู่เยอะ เพราะคนยังมาไม่ครบ หญิงสาวผมขาวในชุดฟ้าคนหนึ่งเดินขึ้นมาที่หัวโต๊ะ เธอดูเหมือนจะเป็นคนที่จะคอยจัดการงานประชุมนี้ เรนิต้า เบอร์นาร์ด คามิลล่านั่นเอง “สวัสดีค่ะ ขอบคุณทุกคนที่มาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้” เธอกล่าวขึ้น แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากคนดูไม่ค่อยเป็นใจเธอสักเท่าไหร่ ดูเหมือนในกองทัพเธอจะไม่ใช่คนที่ถูกโปรดปรานนัก “ทุกคนคงรู้ใช่ไหมคะ เหตุการณ์ก่อการร้ายที่ผ่านมา” เธอกล่าวต่อ เรนิต้ามองไปยังหญิงผมแดงที่นั่งอยู่บนโต๊ะ กำลังกินขนมอยู่ เธอส่งสายตาให้เธอหยุดกิน
“อย่างที่เรารู้กันดีว่า ผู้พันการ์แลนด์ ได้ออกลาดตระเวณเพื่อตามหาศิลากิฟเตอร์” เธอกล่าวต่อ “ท่านได้เจอกับกลุ่มไฮบริดที่หมู่บ้านแคนเธอร์” คำพูดนี้ดูเหมือนจะทำให้หลายๆคนในห้องตื่นตัวขึ้นมา
“หนึ่งในนั้น เป็นอดีตคนของชั้น” การ์แลนด์ ที่นั่งอยู่โต๊ะบริเวณด้านหน้าพูดขึ้นมา เขายังคงสวมชุดเกราะ ทำให้น่าเกรงขามมากในห้องประชุม คำพูดนี้ทำให้มิกิเด้งตัวขึ้นมาฟัง จากเดิมนั้นเธอนั่งท่าทีเหม่อลอยไม่สนใจ “ชั้นส่งข้อมูลกลับไปยังจักรพรรดิ เพื่อหวังเข้าจับตัว ... แต่ดันมีเด็กโหลยโท่ยทำลายเมืองนั่นไปซะก่อน” การ์แลนด์กล่าว เขามองตรงไปยังข้างหน้าของเขา คาร์ลอส เรฮัลเนม ที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่แบบไม่สนใจใคร “ปู่บอกว่าให้ทำยังไงก็ได้นี่นา” เขาพูดอย่างสบายใจเฉิบและกวนประสาท “แกนี่นะ....” ก่อนที่จะทะเลาะกันชายคนหนึ่งในนั้นก็ตะโกนขึ้นมา “แล้วท่านจักรพรรดิอยู่ไหน!! พวกเราไม่ได้เห็นท่านมานานแล้วนะ!” คำพูดนี้เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมาก “ใจเย็นนะคะทุกคน” เรนิต้าพยายามคลี่คลายสถานการณ์ “ท่านปู่ผมแกเล่นซ่อนหาอยู่น่ะ ... แก่แล้ว ไม่อยากให้ใครเห็นล่ะมั้ง?” คาล์พูดขึ้นมาอีกครั้งอย่างกวนประสาท ทำให้พวกหัวโบราณแต่ละคนในนั้นอารมณ์เสียขึ้นมา “เดี๋ยวสิ!การ์แลนด์ ที่คุณบอกว่าอดีตลูกน้องคุณน่ะ เขาเป็นใคร!” มิกิลุกขึ้นมาทุบโต๊ะ ความต้องการที่อยากฆ่าเฮเลลมันแล่นเข้ามาในหัว ถึงเธอจะไม่แน่ใจก็ตามว่าชายคนนั้นเป็นเฮเลล การ์แลนด์หันไปมองเธออย่างรอบคอบ “เฮเลล มอร์นิ่งสตาร์” เขาตอบอย่างเยือกเย็น เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็หูผึ่งขึ้นมาทันที เรนิต้ารู้ตัวว่าเธอกำลังสูญเสียผู้ฟังไป จึงพยายามดึงความสนใจอีกครั้ง เธอเปิดสไลด์ขึ้นบนจอข้างหลังเธอ เป็นภาพถ่ายจับกุมของคริสเท็น แลนนิสเตอร์ “นี่คือนักฆ่าที่มาลงมือที่กอฟเวิร์นเฮ้าส์ เราควรจะจับตาย แต่คุณคาร์ลอส สั่งให้ไว้ชีวิตเธอไว้” เรนิต้าหันไปมองคาล์ “เราไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ไม่มีชื่อ ประวัติ พ่อแม่ ไม่รู้อะไรเลย”เธอยังคงกล่าวต่อ “คุณคาล์คงไม่ใช่ว่ารู้ข้อมูลอะไรใช่ไหมคะ?” เรนิต้าหันไปถามคาล์ เขาเมื่อได้ยินดังนั้น ก็ทำมือเป็นซิบรูดปาก และยักไหล่หนึ่งครั้ง การ์แลนด์เมื่อเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นมา
“ไอเด็กน้อย ... แกคงไม่อยากมีปัญหาใช่ไหม” เขากล่าวใส่คาล์
’ไอ แฮฟ อะ เพน ไอ แฮฟ อะ แอปเปิ้ล.....แอปเปิ้ล เพน—‘ ริงโทนของเขาดังขึ้นมา
“ว้า แย่จัง คนโทรมา ผมขอตัวก่อนนะครับทุกคน” คาล์ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้องประชุมหน้าตาเฉย ทำให้การ์แลนด์หัวเสียเป็นอย่างมาก “ชั้นคิดว่า ผู้หญิงคนนี้กับพวกที่แคนเธอร์อาจจะมีความเกี่ยวข้องกัน” เขากล่าวขึ้นมา และลบอารมณ์เกี่ยวกับคาร์ลอสไปจนหมดสิ้น “นั่นแหละค่ะคือสิ่งที่พวกเราสงสัย” เรนิต้ากล่าวต่อ เธอเลื่อนสไลด์ต่อไป เป็นรูปมิทเชล์บนจอ “มิทเชล์ แอนเดอร์สัน อดีตหัวหน้ากลุ่ม แบนด์ออฟเอรีส” “ตอนนี้อีโวลต์กำลังตามล่าตัวอยู่” “เราสงสัยว่า ทั้งสามกลุ่มนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกันทั้งหมด”..
หลังจากประชุมจบลงทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไป บ้างก็อยู่เที่ยวชมสถานที่ บ้างก็กลับที่พักของตนเอง มิกิและเรนิต้า ยืนคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกของคฤหาสถ์
“ชั้นเจอออกตามหามัน” มิกิกล่าว
“เฮเลล... มอร์นิ่งสตาร์น่ะหรือ” เรนิต้าถามกลับ
“เค้าเป็นเพื่อนสมัยเด็กน่ะ.... ชั้นต้องคุยกับมันให้รู้เรื่อง!” มิกิกล่าวอย่างมุ่งมั่น เรนิต้าถึงกับตกใจ
“ในฐานะทหารของจักรวรรดิ หรือของเพื่อนสมัยเด็กล่ะ”
“... ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน” มิกิครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบออกมาด้วยแววตาอันเศร้าสร้อย เมื่อเรนิต้าเห็นเช่นนั้น เธอก็รู้แล้ว ว่าไม่มีทางรั้งเพื่อนของเธอไว้ได้ ยังไงมิกิก็จะต้องไปในที่สุด "อย่างน้อยชั้นก็ต้องรู้ให้ได้ ว่าทำไมเฮเลลถึงหักหลังความเชื่อใจกันได้แบบนี้ .." เธอกล่าวต่อ "ไม่ว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อก็ตาม"
“แล้วเธอจะหาเฮเลลเจอได้ยังไงกัน พวกนั้นหนีออกจากแคนเธอร์แล้วนะ” เรนิต้าถาม มิกิพักสักครู่ ก่อนตอบด้วยสีหน้าที่มั่นใจ
“ชั้นไม่รู้หรอก รู้แค่ว่า ยังไงก็ต้องเจอมันแน่ๆ”
ซัมเมอร์สตอร์ม
ด้านในเมืองซัมเมอร์สตอร์ม ท่ามกลางฝูงลาดตระเวณของกองทัพจักรวรรดิ ที่เดินว่อนตามถนน ซอกซอยเพื่อตามหาตัวผู้ก่อการร้ายที่อยู่ในเมือง กลุ่มไฮบริดที่ออกจู่โจมสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศ พวกเขาถูกส่งมาเพื่อกำจัดและปราบปรามผู้คนเหล่านี้ แต่ในที่สุดการตามล่าจะต้องจบลง เพราะพวกเขา ได้ตั้งหลักคอยซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆ รอจังหวะที่เหมาะสมอยู่นี่เอง บนตึกสูงสี่ชั้น อพาร์ตเมนท์เช่าราคาถูก เมย์ รีด หนึ่งในสมาชิกกลุ่มไฮบริด นั่งซุ่มอยู่ในห้องหัวมุมตึก ชั้นบนสุด ที่สามารถมองเห็นวิวถนนกว้างจากหน้าต่างของห้องได้
สภาพในห้องนั้นเงียบเชียบ มืด เรียบร้อย เป็นห้องเช่าเปล่าๆที่มีเฟอร์นิเจอร์ตามสมควร เตียง ตู้ โคมไฟ โต๊ะ และอื่นๆที่พบเจอได้ตามห้องเช่าทั่วไป มันแทบไม่ได้ถูกเคลื่อนที่หรือขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนเมย์จะเข้ามาเพื่อใช้ห้องนี้ซ่อนตัว และใช้เป็นจุดซุ่มโจมตีเท่านั้น ไม่ได้เปิดไฟ หรืออุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ต่างๆ หน้าต่างและผ้าม่านถูกปิดอย่างมิดชิด มีแค่กล้องส่องและปากกระบอกปืนสไนเปอร์ไรเฟิลสีขาวของเธอเท่านั้นที่ยื่นออกไปโดนแสงแดดและอากาศภายนอก และตัวเมย์เองที่กำลังมองผ่านกล้องส่องนั้นอยู่
“พบอีกกลุ่มแล้วค่ะ สี่คน มุ่งหน้าไปทางไซด์” เมย์พูดขึ้นมาลอยๆ ผ่านวิทยุสื่อสารที่ติดอยู่ที่หูของเธอ
“รับทราบ ทางนี้เพิ่งเจอกลุ่มแรก สี่คนเหมือนกัน ไม่มีวี่แววอีโวล์ต” มิทเชล์พูดตอบผ่านวิทยุคลื่นเดียวกัน มิทเชล์และทหารอีกคนในเอ็กโซสูท สีเทา-แดง ซุ่มตัวอยู่บริเวณไซด์ก่อสร้างที่รกรุงรัง มันมีอุปกรณ์เต็มไปหมด ทำให้พวกเขากลืนกับสภาพแวดล้อมอย่างลงตัว มิทเชล์พกปืนไรเฟิลที่เขาสะพายและเตรียมเหนี่ยวไกทุกเมื่อ และปืนพกเล็กๆสองกระบอกที่เอวของเขา ด้วยความสามารถในการรต่อสู้ ทำให้เขาเป็นมันสมองของทีม และไม่จำเป็นต้องพกอาวุธมากมายนัก อัลฟ่า ทหารชุดแดงที่สแตนด์บายอยู่ข้างๆมิทเชล์ พกปืนกลเล็กหนึ่งกระบอก และปืนต่อต้านรถถังขนาดกลาง ที่พัฒนาจนขนาดเล็กพอๆกับปืนไรเฟิล ทั้งสองเหล่มองไปยังนอกไซด์ก่อสร้าง บริเวณที่มีบ้านคนอาศัยอยู่ กลุ่มทหารของอีโวลต์สี่คน กำลังใช้กำลังในการหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขา เสียงปืนยังคงดังว่อนทั่วเมือง แต่ทุกคนในทีมรู้ดีว่ายังไม่ควรจะใช้โอกาสโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวกับลูกน้องไร้ค่าของพวกมัน
“ผมเจอมันแล้วครับ หน้าเมือง”ทหารอีกคนพูดขึ้นทางวิทยุ ชาร์ลี หรือบาร์ทซ์ นั่นเอง ทหารในเกราะสีเขียว ชาร์ลีและบราโว่ อยู่ในโรงเก็บรถขนาดยักษ์ ที่พวกเขาเช่าเอาไว้ที่นี่ เพื่อไว้ซ่อนฮาส เกราะขนาดยักษ์ที่เอาไว้สู้กับรถถังนั่นเอง เขาใช้กล้องส่องทางไกลขนาดใหญ่ ส่องจากชั้นบนสุดของโรงเก็บรถไปยังหน้าเมือง เป็นระยะทางที่ไกลมาก “ตำแหน่งผมไม่สามารถยิงได้ครับหัวหน้า” ทหารในเกราะเทา-เขียวกล่าวผ่านวิทยุ ตำแหน่งของทั้งสามจุดนั้น เป็นจุดสามจุดที่เรียงกันได้เป็นสามเหลี่ยม ตึกที่เมย์อยู่ อยู่เกือบบริเวณกลางเมือง ซ้ายล่างลงมาจากแผนที่ เป็นไซด์ก่อสร้างที่มิทเชล์และอัลฟ่าอยู่ และขวาล่างคือโรงรถที่บราโว่และชาร์ลีอยู่ เพื่อให้ง่ายต่อการโรเทชั่น และครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด
“ขอคำสั่งยิงด้วยค่ะ!” เมย์พูดผ่านทางวิทยุ
“ชาร์ลี ส่งตำแหน่งไปให้เมย์” หลังจากมิทเชล์คิดอยู่สักพัก เขาก็ออกคำสั่ง “ถ้าได้โลเคชั่นมาแล้ว หามุมยิง แล้วรายงานด้วย”เขาพูดต่อ
“รับทราบครับ!” ชาร์ลีกล่าวผ่านวิทยุ เขาหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เล็งหาไปยิงชายชุดดำที่เดินเตร่ดเตร่อยู่หน้าเมือง และกดปุ่มบางอย่างบนกล้อง ’ตืดดด—‘ เสียงอะไรบางอย่างสั่นขึ้นมา เมย์หยิบอุปกรณ์ขึ้นมา มันเป็นอุปกรณ์คล้ายๆแท็ปเล็ตขนาดเล็กกว่าเอสี่ มันระบุรายละเอียดและตำแหน่งบนแผนที่จำลองของตัวเธอเอง เมืองๆนี้และเป้าหมายของเธอ อีโวลต์ เมื่อเมย์เห็นดังนั้น เธอจึงรีบเก็บปืนของเธอจากหน้าต่าง ถือมันขึ้นมาและวิ่งออกจากห้องที่เธออยู่ออกมายังโถงทางเดิน พวกเขาได้เช่าชั้นนี้ไว้ทั้งชั้นแล้ว เป็นสถานีลอบฆ่าของเด็กสาวคนนี้นั่นเอง เธอรีบวิ่งไปที่ห้องตรงข้าม และหยุดเพื่อมองไปยังหน้าต่างสักครู่ เมย์วิเคราะห์ทิศทางองศาของตำแหน่งห้อง และแผนที่ของเธอ ก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง เธอหันซ้ายหันขวา และวิ่งไปทางขวา ตรงไปยังห้องอีกห้องหนึ่ง ถัดจากห้องเมื่อครู่สามห้อง และเป็นห้องก่อนริมสุด เมย์วิ่งเข้าไปในห้องนั้น พาดปืนสไนเปอร์ของเธอบนหน้าต่างที่มีผ้าม่านกั้นอยู่อย่างมิดชิด และนั่งคุกเข่าลงไปและเอาหน้าแนบกับกล้องส่อง เธอมองเห็นถนนคนเดินที่ว่างเปล่า แต่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังไปหมด เธอเล็งเป้าหมายเคลื่อนซ้ายขวาเพื่อหาเป้าหมายของเธอ และแล้วเธอก็เจอ ชายผมดำในเสื้อโค้ตสีดำ เขามีนัยน์ตาที่เย็นชาและอันตราย อีโวล์ตยืนมือไขว้หลังและเดินไปมาอยู่ข้างหลังทหารอีกสามคนที่อยู่ข้างหน้าเขา พวกเขาถือปืนทั้งสามคน และจ่อไปทางประชาชนผู้ไร้ทางสู้สามสี่คน ที่นั่งยองเหมือนเป็นตัวประกันอยู่ตรงพื้น เธอมั่นใจว่าเคยเจอพวกเขามาก่อน อาจจะเดินผ่านกันก่อนหน้านี้นั่นเอง แต่เธอไม่รู้จักพวกเขาหรอก
“เป้าหมายอยู่ในระยะยิงแล้วค่ะ!” เธอพูดผ่านวิทยุ
มิทเชล์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ลังเลเล็กน้อยที่จะสั่งยิง มีโอกาสมากที่กระสุนนัดนี้จะไม่ได้ผล และศึกก็จะเริ่มอย่างเต็มตัว พวกเขากำลังจะต่อสู้กับหนึ่งในทหารที่เลื่องชื่อ และอันตรายมากที่สุดในโลก เขาหันไปมองอัลฟ่า ซึ่งพยักหน้าตอบกลับมาเป็นสัญญาณให้เขา มิทเชล์กดปุ่มที่คอเพื่อให้เกราะหมวกทำงาน กลายเป็นชุดเกราะเต็มตัว เมื่อเห็นเช่นนั้น อัลฟ่าเองก็เปิดหมวกของเขาเช่นกัน ทั้งสองกดปิดเซฟตี้ที่ปืนของตนเอง และเตรียมตัวรบ “ยิงได้”
เวลามันผ่านไปช้าเหลือเกิน เมย์เล็งเป้าของเธอ ให้ครอสตรงกลาง อยู่ตรงหัวของชายชุดดำพอดี เธอเลื่อนเป้าให้เหมาะสมกับระยะทาง และลมภายนอก ก่อนที่จะลั่นไกออกไป เธอสาบานได้ ว่าเสี้ยววินาทีนั้น ไม่ว่าจะบังเอิญหรือไม่ ไอ้ปีศาจนั่นมันหันขึ้นมามองทางเธอ ’ปัง!!’ “กรี๊ดด!” “เห้ย!!” “ระวัง!” กระสุนปืนสไนเปอร์ พุ่งทะลวงผ่านกระแสลม ลงจากตึกชั้นสี่ ยิงจากใจกลางเมืองตรงดิ่งไปยังอีกฟาก ประชาชนตกใจหวาดกลัวกับเสียงปืน ทหารทั้งสามคนมองซ้ายมองขวาหาที่มา ทุกคนลุกลี้ลุกลน แต่ไม่ใช่กับชายผู้นี้ อีโวลต์ เขายืนนิ่งไม่ไหวติง มีแค่มือซ้ายของเขาเท่านั้น ที่ยกขึ้นมา ยื่นออกไปข้างหน้าของเขา กระสุนนัดนั้นได้หายไปแล้ว เมย์ตกใจเป็นอย่างมาก ที่เธอมองผ่านกล้อง กระสุนนัดนั้นต้องไม่ใช่แค่พุ่งชนมือซ้ายของมัน แต่มันต้องทะลุเข้าไปที่กลางหน้าผากของมันด้วย แต่มันกลับหายไป
“...มันดูดเข้าไปแล้ว!?” เมย์กล่าวด้วยความตกใจผ่านวิทยุ
“หลบเร็วเข้าเมย์!!!” มิทเชล์ตะโกน
ตั้งสติได้ เมย์รีบคว้าปืนของเธอและวิ่งออกมาจากห้องๆนั้น อีโวลต์หันตรงมาทางที่เมย์อยู่ เขาชูมือซ้ายขึ้นมาอีกครั้ง และทันใดนั้นเอง กระสุนนัดนั้น ก็พุ่งออกมาจากมือของเขา ตรงไปยังทิศทางเดิมที่มันเคยพุ่งออกมา แต่มันไม่มีเสียง มันเหมือนเขาดูดกระสุนนัดนั้นเข้าไป เก็บความเร็วและพลังงานจลน์ของมันไว้ และปล่อยออกมาด้วยพลังงานเท่าเดิม ‘เพล้ง!’ กระสุนนัดนั้นพุ่งผ่านหน้าต่างที่เมย์เคยอยู่ไป เธอหลบมันได้อย่างฉิวเฉียด มันบินต่อ และทะลุออกจากหลังคา แสดงให้เห็นถึงอนุภาพความแรงของอาวุธของเธอได้อย่างดี เมย์รู้ตัวว่าเธอไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ศึกได้เริ่มขึ้นแล้ว เธอรีบวิ่งลงมาข้างล่างและหาจังหวะวิ่งหนี ก่อนที่พวกมันจะกรูกันมาที่นี่
’ปังๆๆ!’ ในเวลาเดียวกันนั้น กระสุนจำนวนมากถูกยิงออกไปยังทหารของอีโวลต์ที่ยังไม่ได้ตั้งตัว มิทเชล์และอัลฟ่า พุ่งออกมาจากที่ซ่อน ทั้งสองลั่นไกไปยังทหารกลุ่มที่อยู่ใกล้ที่สุดประมาณสองร้อยเมตรจากตำแหน่งพวกเขา กระสุนนัดแรกๆโดนแค่คนเดียว เขาล้มลงไปกับพื้นและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เพื่อนอีกสามคนหลบเข้าไปหลังตึกทัน ทำให้ทั้งสองคนไม่สามารถยิงทำความเสียหายต่อได้ “ไปคุ้มกันเมย์!” มิทเชล์ตะโกนใส่อัลฟ่าและชี้มือไปยังทางที่เธออยู่ ก่อนที่จะหันไปเห็นทหารที่ล้มลงกำลังคลานขึ้นมา มิทเชล์ตั้งกระบอกปืนเตรียมยิง และยิงกระสุนเข้าใส่หัวชายผู้นั้น ทำให้เสียชีวิตทันที เมื่อเห็นแบบนั้น มิทเชล์รีบพุ่งตัวไปที่ที่กำบังที่ใกล้ที่สุดทันที ก่อนที่จะมีเสียงยิงสวนโดยนายทหารอีกสามคน “บราโว่! ไปกันเถอะ” ชาร์ลีพูดกับบราโว่ ก่อนที่จะกดเปิดประตูโรงรถ ประตูเหล็กขนาดยักษ์ค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ ฮาสในตอนนี้ถูกผ้าคลุมรวมกับอุปกรณ์อื่น ทำให้สำหรับคนข้างนอก ไม่รู้ว่าข้างในเป็นอะไร “แผนเดิมนะไอน้อง อย่าพลาดล่ะ” บราโว่กล่าว เขามีเสียงเหมือนคนวัยกลางคน ที่ขรุขระและดุดัน ก่อนที่ประตูจะเปิดจนสุด ทั้งคู่เอามือกดปุ่มที่คอเพื่อเกิดใช้งานหมวก ชาร์ลีหยิบอุปกรณ์บางอย่างที่รูปร่างเหมือนก่อนเหล็กขนาดประมาณฝ่ามือขึ้นมา มันหน้าตาเหมือนอุปกรณ์อะไรบางอย่าง เขาจับมันกดใสบริเวณลำแขนซ้าย และกดปุ่มที่มัน ก้อนเหล็กก้อนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง ขยายออกมาเป็นโล่ขนาดใหญ่สูงและกว้างเท่าตัวคน บราโว่เองก็เตรียมปืนของเขาออกมาเหมือนกัน เป็นปืนกลสองมือขนาดใหญ่ ทันทีที่ระตูเปิด พวกเขากระโจนออกไปข้างนอก บราโว่สาดกระสุนใส่ทหารกลุ่มแรกที่เจอ ถึงพวกเขาจะยิงกลับ แต่ชาร์ลีก็เอาโล่มากันกระสุนพวกนั้นไว้ได้หมด ทำให้ทหารทั้งสองคนตายเรียบ อีกสองคนในกลุ่มนั้นอยู่บริเวณไม่ใกล้ไม่ไกล กว่าทั้งสองคนจะหาตำแหน่งเจอ ก็หนีไปแล้ว
“พวกเราโดนซุ่มโจมตีครับ! มีเสียงปืนแถวนี้เต็มไปหมด!” ทหารนายหนึ่งกล่าวใส่วิทยุรวมของกองร้อย เขาอยู่คนเดียวเพราะเหตุผลบางอย่าง และกำลังวิ่งหนีกลับเข้าหน้าเมืองเพื่อไปรวมตัวกับคนอื่นๆ .”หัวหน้าสั่งให้รวมพลหน้าเมือง! กลับมาเร็วเข้า!!” เสียงจากวิทยุส่งมา การดักโจมตีของทีมไฮบริด สร้างความวุ่นวายให้กองทัพเป็นอย่างมาก ทำให้ทหารราบที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมต้องกลับไปรวมพล ไม่เช่นนั้นจะโดนพวกผู้ก่อการร้ายไล่จัดการโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้โมเมนตัมไหลไปทางพวกเขา แต่น่าเสียดายที่พวกเขาใช้ความได้เปรียบนี้ แต่ไม่สามารถกำจัดศัตรูไปได้มากพอ นายทหารนายนี้วิ่งผ่านถนนต่างๆ เขาใส่แค่เสื้อคาโมและชุดเกราะกันกระสุนเท่านั้น พวกเขาพลาดไป ที่ให้พวกเขาออกมาไกลจากจุดนัดพบขนาดนี้ พวกเขาไม่ได้สามเอ็กโซสูท คนธรรมดาแทบไม่มีโอกาสรอดจากคนที่สวมเอ็กโซสูทแน่นอน เขาได้ยินเสียงปืนลั่นไม่ใกล้ไม่ไกลเป็นพักๆและหยุด ไม่รู้ว่ามาจากฝั่งไหน แต่มันทำให้เขาวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆเพื่อกลับไปรวมพล แต่ระหว่างทาง นายหทารผู้อับโชคคนนี้เจอชายคนหนึ่งอยู่ข้างหน้า เขาวิ่งตรงมาสวนกัน ทันใดนั้นเอง ทหารคนนี้เลือกทางเดินผิด ที่จะทำให้เขาเสียใจไปจนตาย ’ปังๆ!!’ ทหารหนุ่มลั่นไกออกไปห้านัด ฝีมือเขาไม่ได้แย่ ทุกคนผ่านการฝึกการยิงมากันหมด ในระยะแค่นี้เขาไม่พลาดแน่ๆ แต่ชายผมดำตรงหน้าเขาหลบกระสุนที่ยิงออกไปทุกนัด ด้วยการโยกตัวหลบเสี้ยววินาทีที่ทหารหนุ่มกดทริกเกอร์ และกำลังพุ่งมาที่เขาแล้วง้างดาบขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทหารหนุ่มคนนี้จะได้เห็น ชายหนุ่มผมดำเข้าประชิดตัวด้วยความเร็วอันเหลือเชือ เขาตวัดดาบขึ้นเป็นแนวทะแยงและฟันจากบริเวณท้องขึ้นมาถึงคอ เกิดเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ ก่อนที่ทหารหนุ่มจะได้กรีดร้อง เขาก็พลิกข้อมือและฟันอีกครั้งในแนวนอนที่ท้อง มันลึกมากจนลำไส้เล็กปลิ้นออกมาพร้อมกับเลือดสีแดงเข้มมากมาย แค่สองครั้ง ร่างของเขาก็ลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
“รายงานสถานะด้วย! ใครยังไม่มารวมพลที่หน้าเมือง รีบมารวมพลเดี๋ยวนี้!” เสียงจากวิทยุของทหารที่เสียชีวิตดังขึ้น ดาบของฟริทซ์ได้ไปตัดสายหูฟังออกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เสียงวิทยุดังออกลำโพงออกมา เมื่อเขาได้ยินดังนั้นเขาจึงรู้ว่ากองทัพของพวกมันนั้นรวมพลกันที่ไหน เขาไม่เคยได้ยินเสียงของคนๆนี้ และและหน่วยลาดตระเวณที่ฟริทซ์เป็นหัวหน้านั้น ถูกกักกันอยู่อีกที่หนึ่งจากคำสั่งของอีโวล์ต ฟริทซ์หันไปมองอีกฝั่ง หลายร้อยเมตรก่อนจะถึงหน้าเมือง เขาตัดสินใจจะไล่เก็บกวาดทหารราบตามพื้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาทำได้ เขามีสองตัวเลือก คือนำไปก่อน หรือกลับไปรวมตัวกับพวกมิทเชล์
ที่รวมพลหน้าเมือง ทหารสิบกว่าคนพร้อมเอ็กโซสูทยืนอยู่เป็นรูปแบบตั้งรับ โดยชายที่คอยบัญชาการอยู่ข้างหลังนั้น เป็นชายที่อยู่ในชุดเกราะสีขาว มีผ้าคลุมบริเวณเอว มีเขาที่ไหล่ทั้งสองข้าง เป็นชุดเกราะพิเศษที่หน้าตาดูแปลกประหลาด เขาลอยอยู่บนพื้นประมาณสองเมตร ข้างหลังเขามีรถถังทั้งสามคันที่เปิดเครื่องและพร้อมลุย เหล่าทหารยังคงทะยอยวิ่งกลับมาทีละคนๆ จำนวนตอนนี้อยู่ที่ยี่สิบแปดนาย และพวกเขาพร้อมลุย
“หัวหน้าครับ! เอายังไงกันดี!!” ทหารในสูทคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาทางอีโวลต์ในเกราะสีขาวที่เหาะขึ้นไปประมาณห้าเมตรแล้ว อีโวลต์ดูเหมือนจะมองหาอะไรบางอย่าง เขาเคลื่อนศีรษะช้าๆผ่านเมือง “ทำไมหัวหน้าไม่ทำงี้แต่แรกอ่ะ .. “ เสียงกระซิบกระซาบของลูกน้องข้างล่าง หยุดลงเมื่ออีโวลต์หันมามองหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมาและยังคงมองหาต่อไป และในที่สุดเขาก็เจออะไรบางอย่าง ท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย ผู้คนวิ่งหนีกระจัดกระเจิง บ้างก็วิ่งเข้าบ้าน บ้างก็ใช้โอกาสชุลมุนขโมยของและทำเรื่องผิดกฏหมาย บ้างก็นั่งสวดมนต์อ้อนวอนครีเอเตอร์ มีชายคนหนึ่งกำลังวิ่งไปข้างหลัง การวิ่งของเขาไม่ใช่การวิ่งของคนที่กำลังหนีเอาตัวรอด มันเป็นการเคลื่อนที่อย่างมีจุดหมาย ชายในชุดทหารลาดตระเวณ วิ่งตรงไปยังไซด์ก่อสร้างด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ ทันใดนั้นเอง อีโวลต์รู้แล้ว ว่ากองทัพของเขาต้องไปที่ไหนต่อ
“มุ่งหน้าไปที่ขอบเมือง” ชายในเกราะขาวกล่าวขึ้น หลังเขาลอยลงมาอยู่เหนือพื้นราวไม่กี่สิบเซ็นติเมตร ทหารในเอ็กโซสูทลูกน้องของเขา หลังจากได้รับคำสั่งก็หันไปตะโกนส่งต่อคำสั่งให้กับคนอื่นๆเพื่อเตรียมการเคลื่อนย้าย พวกเขาไม่ใช้รถเกราะที่เตรียมมาแล้ว แต่เป็นการเดินเท้าไปยังท้ายเมือง บริเวณไซด์ก่อสร้างที่พวกมิทเชล์ตั้งฐานอยู่ โดยมีทหารเดินเท้ายี่สิบสี่นายและรถถังสามคัน
ทางด้านเหล่าไฮบริด แผนการโจมตีแบบไม่ตั้งตัวถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาพลาดในการลอบสังการหัวหน้าของอีกฝ่าย และเก็บทหารที่ไม่รู้ตัวไปได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ก่อนที่ตำแหน่งของแต่ละคนจะเริ่มเละเทะ มิทเชล์สั่งให้ทุกคนอยู่ตำแหน่งเดิม บราโว่กับชาร์ลีถอยกลับเข้าไปในโรงรถเพื่อเตรียมฮาสสูท อัลฟ่ากับเมย์มารวมพลกับมิทเชล์ที่บริเวณใกล้ๆไซด์ก่อสร้างอย่างปลอดภัย พวกเขารู้ดีว่าแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่า
“อัลฟ่า เช็คฮีทแมพว่าพวกมันจะบุกมาทางไหน” มิทเชล์ออกคำสั่ง “แล้วติดต่อให้บราโว่กับชาร์ลีเตรียมฮาสไปดักยิงมัน อย่าลืมล่ะ! รถถังเป็นเป้าหมายอันดับแรก!” เขาพูดจบก่อนที่อัลฟ่าจะหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาและเช็คสิ่งนั้น “เมย์ มากับชั้น อย่าคลาดสายตาล่ะ” มิทเชล์เดินออกมาอีกทาง พร้อมกับเมย์ที่เดินตามเขาไป
ทั้งสองเดินออกมาไม่ไกล มิทเชล์ยิงปืนขึ้นฟ้าหลายนัดเพื่อขู่คนงานที่ไซด์ก่อสร้างและบอกให้พวกเขาไปซ่อนที่อื่น ตรงนี้คือตึกที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มันสูงราวๆห้าหกชั้น ยังไม่มีชั้นไหนเสร็จดี เป็นแค่แผ่นคอนกรีตและแท่งเหล็กจำนวนมากเท่านั้น ทั้งสองเดินขึ้นลิฟต์คนงานที่อยู่ใกล้ๆ และขึ้นไปบนชั้นสูงสุด มันเป็นพื้นที่ดาดฟ้าขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมาย ทั้งหินทีวางซ้อนกัน กล่องใส่อุปกรณ์ คอนเทนเนอร์มากมาย ซึ่งมีประโยชน์มากในการใช้เป็นทีกำบังในการยิงปืนสู้ ข้อเสียของมันคืออยู่ไกลจากเมือง ทำให้มองไม่เห็นข้างในเมือง แต่ถ้ากองทัพของพวกมันออกมาที่โล่ง จะได้เปรียบอย่างสูง
“พวกเราจะรอที่นี่ แล้วปล่อยให้คนอื่นๆสู้อยู่ข้างล่างหรอคะ” เมย์ถามขึ้นมา
มิทเชล์ไม่ตอบ เขาแค่พยักหน้า “ฮาสสูทตรียมเรียบร้อยแล้วครับ!” เสียงจากวิทยุดังขึ้น “พวกมันจะมาจากสิบนาฬิกา ถ้ามองจากตำแหน่งของหัวหน้า” ชาร์ลีพูดต่อ “ปล่อยเต็มที่เลยไอ้หนุ่ม” มิทเชล์กล่าวกับชาร์ลี ก่อนที่จะตั้งปืนขึ้นมา ทั้งสองเห็นกองทัพของอีโวลต์ที่เดินทางมาแต่ไกลแล้ว รถถังสามคัน วิ่งปิดล้อมทหารยี่สิบนายที่อยู่ตรงกลาง และปีศาจในเกราะขาวลอยอยู่เหนือพวกเขา
เมย์เหลือบขวาไปมอง เธอมองเห็นชุดเกราะขนาดยักษ์ที่มีทหารหมวกสีเทาเขียวควบคุมอยู่ด้านบน มันเป็นชุดเกราะรบที่ใหญ่กว่าคนธรรมดาสองเท่า มือขวาของมันติดปืนกลแกตลิ่งขนาดยักษ์ ตัวของมันนั้นหนาไปด้วยเกราะ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ซ่อนอยู่ภายใน มันคือเอ็กโซสเกเลตัน เฮฟวี่ อาร์เมอร์สูท หรือฮาสนั่นเอง ’ฟิ้ววววว----‘ ฮาสยิงมิซไซล์พุ่งออกไปจากเกราะบริเวณไหล่ มันพุ่งหลบผ่านตึกหลายหลัง ก่อนจะพุ่งเข้าไปชนรถถังคันหน้าสุดของคาราวานเข้าบริเวณข้างๆของรถถังทันที
‘ตู้มมมม!!—‘ รถถังคันนั้นระเบิดออกมา ตัวรถของมันนั้นยับยู่ยี่ กลายเป็นสีดำจากการไหม้ ไฟลุกท่วม เมื่อเห็นแบบนั้น กองทัพทหารราบ จึงหันไประดมยิงใส่ฮาสสูท แต่มันไม่ค่อยส่งผลกับชุดเกราะยักษ์ที่ถูกทำมาเพื่อโค่นรถถังเท่าไหร่ ฮาสยกแขนขวาของมันขึ้นมา ปืนแกตลิ่งเริ่มหมุนช้าๆ และเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่กระสุนปืนจะระเบิดออกมาอย่างล้นหลาม ’ปังงๆๆๆๆ!!’ แต่ก่อนที่กระสุนเหล่านั้นจะทำความเสียหายอะไรได้ ชายในชุดเกราะสีขาวก็ลอยเข้ามาขวางทาง เขายื่นมือขวาออกมา ทันใดนั้นเอง ก้อนกลมๆสีดำก็เกิดขึ้นมาจากสูญญากาศ มันเหมือนหลุมดำขนาดเล็ก ที่สามารถดูดซึมทุกอย่างเข้าไปได้ และกระสุนพวกนั้น เป็นร้อยๆนัด ก็หายไปในพริบตา แต่ว่าฮาสก็ยังคงไม่หยุดยิงเขายังยิงต่อไปเรื่อยๆถึงมันจะไม่ได้ผล
“เวรเอ้ย! เราต้องช่วยแล้ว! เมย์!” มิทเชล์กล่าวขึ้น เขารีบเดินเข้าไปให้ใกล้ขึ้น ยกปืนมาตั้งบนที่กำบัง และเริ่มยิ่งไปยังเหล่าทหารข้างล่าง เมย์เองก็เช่นกัน ทหารหลายนายล้มลงไปนอนจากการยิงของทั้งสอง เนื่องจากหลุมดำของอีโวล์ตนั้นบังคนละทาง ’ตู้มมม!’ รถถังคันที่สอง ยิงปืนใหญ่ไปทางฮาส ทำให้มันล้มลง แล้วตึกแถวนั้นพังทลายลงมา มันยังคงยิงนัดที่สองและสามออกไปเรื่อยๆ เพื่อบดบังวิสัยทัศน์และทำลายการเคลื่อนที่ของฮาส “ผมต้องถอยแล้วครับหัวหน้า!” ชาร์ลีพูด เขาค่อยๆถอยจากตำแหน่งในขณะที่กำลังโดนระดมยิงอยู่ “เดี๋ยวจะวนมาใหม่!” เขากล่าว ในขณะที่อัลฟ่า และบราโว่คอยวิ่งป่วนเหล่าทหารอยู่บนพื้น ทำให้พวกนั้นต้องกระจายออกไปจากกลุ่มใหญ่
ทันใดนั้นเอง เมื่อฮาสไม่อยู่แล้ว เป้าหมายถัดไปของพวกเขาคือเมย์และมิทเชล์ที่อยู่บนตึกสูง อีโวลต์หันมา และสร้างหลุมดำอีกหลุมด้วยมืออีกข้าง “หมอบเร็ว!!” มิทเชล์กล่าว ทั้งสองพุ่งลงไปหมอบที่พื้นที่เต็มไปด้วยที่กำบังทันที ก่อนที่กระสุนแกตลิ่งจากปืนของฮาสจะพุ่งออกมาทิศทางพวกเขาด้วยจำนวนมหาศาล “เป็นอะไรไหมเมย์!” มิทเชล์ตะโกนเสียงดังท่ามกลางห่ากระสุน “ปลอดภัยดีค่ะ!!.. เหวอ!” เธอตะโกนตอบ จู่ๆพื้นที่พวกเขาอยู่ก็เอียงลงอย่างฉับพลัน มันเกิดแรงแปลกๆขึ้น ทั้งคู่เกาะสิ่งของบนตึกไว้เพื่อไม่ให้ร่วงลงไปจากชั้นหก มิทเชล์สังเกตุเห็นว่าห่ากระสุนนั้นหยุดแล้วจึงลุกขึ้นมาดู ปรากกฏว่าตึกที่พวกเขาอยู่นั้น กำลังหักเป็นสองท่อนและถูกดูดเข้าไปในหลุมดำขนาดใหญ่
“เวรแล้ว!!” มิทเชล์กล่าว ถ้าเกิดว่ายังไม่หยุด พวกเขาทั้งสองต้องโดนดูดเข้าไปในนั้นด้วยแน่ พวกเขาพยายามเร่งตัวออกไปอีกทาง แต่แรงดึงดูดมันมากเกินไป ’ตู้มมมม!’ เสียงปืนใหญ่ถูกยิงออกมา มันพุ่งเข้าโดนอีโวลต์เต็มๆ ร่างในเกราะขาวที่ลอยอยู่กระเด็นไปไกล มันทำให้หลุมดำหายไป แต่ตึกก็กำลังจะถล่มอยู่ดี มิทเชล์คว้าตัวเมย์ และกะจังหวะที่ตึกใกล้พื้นและปลอดภัยที่สุด พวกเขากำลังจะลงถึงพื้น อยู่ดีๆ ทรายบริเวณพื้นจำนวนมากก็เปลี่ยนกลายเป็นโฟม ทำให้การลงจอดของทั้งคู่นั้นแทบไม่มีการกระแทก “สวยมากเมย์!” มิทเชล์กล่าว เขายื่นมือไปข้างหน้า เพื่อให้เมย์ช่วยดึงเขาขึ้นมาจากทะเลโฟม เธอมีอาการเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัดหลังจากใช้พลังของเธอ
“ไอหมอนั่นมันใครกันน่ะ” มิทเชล์กล่าวขึ้น ทั้งสองจ้องมองไปยังรถถังรุ่นเก่าสีทรายที่กำลังยิงสู้กับรถถังของฝั่งตรงข้ามอยู่ “หนูมีไอเดียค่ะ” เมย์พูดขึ้นมา ทำให้มิทเชล์หันไปมอง “หืม..ว่ามาสิ” ทั้งสองคุยกันอยู่สักพักก่อนจะเริ่มวิ่งไปทางรถถังคันนั้น โดยที่มิทเชล์ช่วยยิงคุ้มกันให้ทั้งคู่ฝ่าดงกระสุน จนกระทั่งใกล้ถึงที่หมาย คนขับข้างในขึ้นมาเปิดประตูไว้ให้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะเข้าไป สภาพภายในนั้น เป็นเหมือนรถถังเก่าๆสมัยก่อน เมื่อทั้งสองลงไปก็ต้องประหลาดใจ เนื่องจากคนที่ขับและยิงอยู่นั้นคือฟริทซ์ เรมิงตันนั่นเอง
“คุณฟริทซ์!! คุณกลับมาช่วยพวกเรา!” เมย์กล่าวอย่างดีใจ “นี่ไม่ใช่เวลามาดีใจ เมย์ รีบพาเราออกจากที่นี่!” มิทเชล์พูด เขาต้องเอามือพยุงกำแพงไว้ เนื่องจากรถถังคันนี้โดนโจมตีหนักเหลือเกิน “ของยุคปู่แบบนี้จะทนทานแค่ไหนกันเชียว!?” เขากล่าว “อย่างน้อยพวกเราก็คงไม่ตายหรอกมั้ง!!” ฟริทซ์พูดขึ้น เขารีบหันรถออกไปทางอื่น เพื่อหนีออกจากดงกระสุนนี้ มิทเชล์เมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ขึ้นไปด้านบนเพื่อใช้ปืนกลเบายิงสู้กับทหารและรถถังที่ตามมา ทันใดนั้นเองจรวดจากรถถังฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้ามา แต่ฟริทซ์หันเอาด้านหน้าไปรับ เกราะมหาศาลที่บริเวณหน้ารถถัง ทำให้จรวดแทบจะไม่ทำความเสียหาย “เกือบไปแล้วสิ! คุณเมย์ สนใจลองยิงจรวดไหมครับ?” ฟริทซ์กล่าวติดตลก เมย์ลงไปนั่งข้างที่นั่งคนขับ และยิงจรวดออกไป ’ตู้มมมม!’ มันพุ่งไปโดนด้านใต้ของรถถังฝั่งศัตรู ทำให้มันระเบิดและพังในที่สุด “สวยมากครับเมย์!ได้เวลาแว๊นแล้ว!” รถถังวินเทจของฟริทซ์ แล่นออกไปจากบริเวณที่โล่งบริเวณนั้น ด้วยการยิงสนับสนุนของเมย์ และมิทเชล์ที่โอเปอเรตปืนกลเบาอยู่ด้านบนก่อนที่พวกเขาจะหนีออกมาจากพื้นที่ ท่ามกลางห่ากระสุนปืนกลที่ยิงเข้ามา แต่ปืนระดับนั้น ทำอะไรรถถังไม่ได้อยู่แล้ว
หลังจากเห็นว่าไม่มีคนตามหลังแล้ว มิทเชล์ก็ลงมาในห้องควบคุม “ไม่น่าเชื่อว่ารถถังรุ่นพ่อจะต้านทานระเบิดพวกนั้นได้” เขากล่าวขึ้นและกดปุ่มเพื่อถอดหมวกออก มันสไลด์เก็บเข้าไปในชุด “โชคดีน่ะที่เราทำลายรถถังของพวกมันได้ก่อน ไม่งั้นล่ะก็มีเสียวแน่” ฟริทซ์กล่าว มิทเชล์เอามือแตะหูเพื่อสื่อสารวิทยุกับลูกน้องของเขา “ทุกคน รายงานด้วย” มิทเชล์กล่าว
“ชาร์ลี กำลังวนกลับไปด้วยฮาสสูทครับ!”
“อัลฟ่า กำลังหลบห่ากระสุนอยู่ที่ทีกำบังครับ!”
เสียงสัญญาณจากอัลฟ่านั้นเต็มไปด้วยเสียงปืนลั่นสนั่นมากมาย พวกเขารอสักครู แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากบราโว่ เมย์และมิทเชล์มองหน้ากัน “เจ้าหมอนั่นหายไปไหนนะ” มิทเชล์กล่าว “บราโว่ ถ้าได้ยินให้ตอบเดี๋ยวนี้!” เขาพูดผ่านวิทยุ แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ “ผมแยกทางกับบราโว่เมื่อหลายนาทีก่อนครับ พวกเราโดนโจมตีหนักมาก เลยต้องหนีออกมา” อัลฟ่าพูดผ่านวิทยุ “พวกเราต้องไปช่วยทั้งสองคนนั้นนะคะ” เมย์กล่าวขึ้นมา มิทเชล์พักคิดสักครู่ ก่อนจะพูดออกมา “ฟริทซ์ จอดรถถัง พวกเราจะออกไปตามหาเพื่อนของพวกเรา” เมื่อฟริทซ์ได้ยินดังนั้นก็ชะงัก และหันมาหาทั้งคู่ “พวกคุณจะรับมือทหารราบพวกนั้นไหวหรือ” “บอกรูปร่างลักษณะของเพื่อนนายมาสิ ผมจะออกไปเอง” ฟริทซ์กล่าวขึ้นมา เขารู้ว่าตัวเองนั้นมีโอกาสรอดข้างนอกนั่นมากกว่าทั้งสองคน “คุณขับรถถังเป็นรึเปล่า มิทเชล์?” ฟริทซ์ถามขึ้นมา
“หึ ล้อกันเล่นรึไง ไอน้องชาย” มิทเชล์ตอบอย่างกวนประสาท
ฟริทซ์ ขึ้นมาจากประตูด้านบนของรถถังวินเทจของเขา และกระโดดออกมายังพื้นข้างล่าง และเริ่มวิ่งออกไปอีกทาง สภาพเมืองตอนนี้นั้นมีควันดำคลุ้งมากมาย ตึกสิ่งก่อสร้างต่างๆเริ่มพังยับเยินจากการต่อสู้ ผู้คนต่างหวาดกลัว บ้างก็หลบอยู่ในบ้าน ส่วนใหญ่ก็กบดานอยู่ในที่หลบภัยที่สร้างขึ้นมากันภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งลูกน้องในหน่วยของฟริซต์กับทหารประจำที่ซัมเมอร์สตอร์มก็คุ้มกันอยู่ที่นั่น พวกเขาได้รับคำสั่งไม่ให้มาวุ่นวายกับภารกิจของกองทัพที่ส่งมาจากไซอ้อน ฟริทซ์จับหูของเขา
“เอาล่ะ นำทางผมด้วยครับ” ฟรืทซ์พูดผ่านทางวิทยุ
“เอาล่ะค่ะ ที่สุดท้ายที่อัลฟ่าอยู่กับบราโว่ หกร้อยเมตรจากคุณฟริตซ์” เมย์กล่าวตอบทางวิทยุ
“ตรงไปจนสุดหัวมุมถนน และเลี้ยวขวาค่ะ”
ฟริทซ์วิ่งตรงไปตามทางที่เมย์บอก และเลี้ยวขวา เมื่อเขาเลี้ยวไปนั้น เขาเจอทหารราบในชุดเกราหลายคนที่กำลังยิงสู้กับฮาส และอัลฟ่าที่อยู่ห่างไกลอยู่ เขาถอยกลับมาและใช้ตึกเป็นที่กำบังในการตั้งหลัก “ผมเจอทหารที่ตำแหน่งผม ! ชาร์ลี อัลฟ่า คุ้มกันผมด้วย!” ฟริทซ์พูดผ่านวิทยุ เขาได้ยินเสียงตอบรับว่ารับทราบจากสองคนที่กล่าวถึง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งครั้ง และชักปืนพกคู่สีขาวดำของเขาขึ้นมาถือไว้ในสองมือ และพุ่งตัวออกไปจากมุมตึก และเริ่มยิงไปพร้อมๆกับวิ่งไปข้างหน้า
เบื้องหน้าฟริทซ์นั้นเป็นทหารมากมายหลายนาย พวกเขาโดนระดมยิงจากฮาสและอัลฟ่าที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และจากตัวฟริทซ์เองด้วย เอ็กโซสูทของพวกเขาสามารถทำให้รับการกระแทกได้มาก ถึงจะโดนกระสุนเหล่านั้นไป อาจจะไม่ถึงตาย และในเวลาไม่นานพวกเขาก็จะกลับมาสู้ได้ใหม่ ฟริทซ์ฉีกตัวและวิ่งออกข้างๆ ทหารเหล่านั้นถูกดึงความสนใจไปด้านอื่น ทำให้เขาวิ่งฝ่าออกมาได้ในที่สุด “ผมอยู่ที่คาสิโนแล้ว!” ฟริทซ์กล่าวผ่านวิทยุในขณะที่เขายังวิ่งเต็มฝีเก้า “คุณฟริทซ์มองไปทางหนึ่งนาฬิกา จะเห็นหอคอยสัญญาณสูงๆนะคะ มุ่งตรงไปตรงนั้นเลยค่ะ!” เธอตอบ “ที่นั่นคือที่สุดท้ายที่อัลฟ่าเห็นบราโว่ค่ะ!”
ฟริทซ์วิ่งตรงไปยังเสาสัญญาณยักษ์ เนื่องจากเขาใส่ชุดจักรวรรดิ ทำให้อาศัยความชุลมุนหลบหลีกฝูงทหารมาได้ จนกระทั่งเขาวิ่งมาถึง เขามองหาบราโว่และวิ่งไปยังที่รอบๆ ทันใดนั้นเอง ฟริทซ์ก็โยกตัวหลบกระสุนไปอย่างฉิวเฉียด มีทหารยิงมาที่เขา ฟริทซ์กลิ้งตัวล้มลง และลุกขึ้นมาใช้ปืนพกสีดำยิงไปยังศัตรู ทหารนายนั้นล้มลงจากแรงกระแทก กระสุนทะลุเกราะของเขาเข้าไปบริเวณไต ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมา ฟริทซ์ก็รีบวิ่งมาและใช้ดาบแทงลงไปที่บริเวณคอ ที่ที่เกราะเบาบางที่ดาบเจาะเข้าไปได้ ฟริทซ์เหลือบมองไปข้างหน้า เป็นตึกเก่าๆแห่งหนึ่ง บริเวณทางเข้าของมันนั้นมีคราบเลือดเหมือนใครบางคนทีมีบาดแผลลากตัวเองเข้าไปในนั้น “ผมเจอบางอย่าง” ฟริทซ์รายงานให้กับคนอื่น ก่อนที่จะวิ่งเข้าไป
เขาวิ่งเขาไปในตึกนั้น ที่พื้นมีรอยเลือดลากยาวไปตามทาง เขาวิ่งตามรอยเลือดนั้นไปเข้าไปข้างใน เข้าไปในห้องนั่งเล่นเก่าๆ เหมือนห้องรับแขกของคอนโดที่ไม่มีคนอยู่ คนในนี้คงหนีเข้าไปในเชลเตอร์กันหมดแล้ว แต่ยังเหลืออีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องห้องนี้ บนโซฟาที่ตั้งอยู่ติดกำแพง ชายวัยอายุประมาณสามสิบ ผมสีดำ หน้าเหลี่ยมและดุดัน สีหน้าไร้วามรูสึกและสีซีด แววตาไร้วิญญาณสีน้ำตาลนนอนหงายอยู่บนโซฟา ครึ่งบนของเขาสวมเสื้อกล้ามสีขาว ท่อนล่างสวมเอ็กโซสูทครบเซ็ต บริเวณหน้าท้องของเขามีบาดแผลกระสุเหวอหวะเต็มไปหมด เลือดสีแดงไหลท่วมเสื้อสีขาวของเขาจนมันเป็นสีชมพูอ่อน เพลตเกราะเอ็กโซสูทด้านบนถูกวางอยู่บนพื้น ฟริทซ์เดินเข้าไปหาร่างนั้น
ชุดเกราะสีเทาที่มีลายสีฟ้าขีดอยู่บนเกราะอก นี่คือชายที่พวกมิทเชล์ตามหาอย่างแน่นอน ฟริทซ์ใช้นิ้วจับไปที่ชีพจรบริเวณคอของชายผู้นี้ และค้นพบว่าชีพจรของเขาไม่เต้นอีกแล้ว ฟริทซ์สังเกตุที่บาดแผลและเพลตเกราะของเขา ดูเหมือนกระสุนเจาะเกราะรุ่นพิเศษจะทะลุเกราะและพังระบบรักษาของชุดเกราะ ทำให้เขาต้องมาซ่อน และถอดเกราะออกและสมานแผลเพื่อหยุดเลือด แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปสำหรับเขา ทำให้เขาสิ้นใจไปเสียก่อน “เสียใจด้วยนะ แต่เพื่อนของคุณตายไปแล้ว” ฟริทซ์กล่าวผ่านวิทยุอย่างผิดหวัง
“งั้นหรือ.... ขอบใจมากนะฟริทซ์ กลับมาให้ปลอดภัยล่ะ” มิทเชล์กล่าวอย่างเศร้าสร้อย เขาและทีมนั้นทำงานร่วมกันเป็นสิบปีแล้ว การสูญเสียครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาเลย
การสูญเสียครั้งนี้ของมิทเชล์ทำให้ฟริทซ์นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเองก็มีลูกน้องเหมือนกัน หลายปีที่ประจำการอยู่ที่นี่ เขาได้รู้จักทหารจักรวรรดิมากมาย บางคนก็เลวเหมือนที่เจอที่ร้านของบลองค์ บางคนก็เป็นคนนิสัยดีที่เขาถือว่าเป็นเพื่อน เขากังวลอยู่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ทหารของจักรวรรดิไม่ได้เป็นคนเลวทุกคน เขารู้เรื่องนั้นดี หลังจากล่องลอยไปกับความคิด ฟริทซ์ก็เดินเข้าไปยังศพของบราโว่อย่างช้าๆ และใช้มือของเขาปิดเปลือกตาของชายผู้นั้นลง อย่างน้อยก็ให้เขาไปอย่างสงบ ก่อนที่จะวิ่งออกมาจากตึกนั้น
ฟริทซ์ที่กำลังมุ่งหน้ากลับไปยังรถถังวินเทจของเขา เจอกับชายผู้หนึ่งที่เขารู้จัก เพื่อนในหน่วยของเขานั่นเอง “กัปตันฟริทซ์!” ชายในชุดจักรวรรดิเรียก เขาตัดผมรองทรงสั้นสีดำ ใบหน้าอ่อนเยาว์ น่าจะอายุน้อยกว่าฟริทซ์ปีถึงสองปี “โบบ้า! นายมาทำอะไรที่นี่ ไม่หลบอยู่กับคนอื่นล่ะ!” ฟริทซ์กล่าว ทั้งสองคนมาหลบอยู่ใกล้ๆตึกแห่งหนึ่ง “พ่อแม่ของผมไม่อยู่ในเชลเตอร์ครับ ผมเลยออกมาตามหา” โบบ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นท่ามกลางเสียงกระสุน ฟริทซ์มองไปข้างหน้าด้วยสีหน้ากังวล เขากำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับสถาณการณ์นี้ดี ’ตู้มมมม!’ ปืนใหญ่จากรถถังคันสุดท้ายของกองทัพยิงมาใส่ใกล้ๆจุดที่ทั้งสองคนอยู่ มันเล็งไปที่ฮาสที่อยู่ใกล้ๆ แต่พลาดจังๆ กระสุนพุ่งเข้าใส่ตึกใกล้ๆจนมันถล่มลงมาเละ
“นะ...นั่นมัน!! แม่งเอ๊ยยย!!-------“ โบบ้าตะโกนขึ้นมาอย่างเจ็บปวดและพุ่งตัวออกไปข้างหน้า แต่ฟริทซ์ดึงตัวเขาไว้ก่อน
“นายจะทำบ้าอะไรของนาย!” ฟริทซ์ดึงตัวโบบ้าลงมา แต่เขาสะบัดมือฟริทซ์ออกและวิ่งออกไปใกล้ๆซากปรักหักพังนั้น
ฟริทซ์วิ่งตามเพื่อนรวมงานของเขาไป โบบ้าหยุดลงที่ขอบซาก เขาหยิบป้ายเหล็กแผ่นนึงขึ้นมา เป็นเหมือนป้ายชื่อบ้าน ’คุณและคุณนายเฟ็ตต์’ โบบ้าถือป้ายนั้นอย่างใจสลาย “บ้านพ่อกับแม่ผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เขาหันมาทางฟริทซ์ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ!? ทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น!!?” โบบ้าถามขึ้นมา เป็นคำถามที่ฟริทซ์เองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ได้ เนื่องจากเขาเองก็หาคำตอบนั้นอยู่เหมือนกัน “นายกลับไปที่เชลเตอร์เถอะนะ ไว้เรื่องพวกนี้จบ พวกเราจะมาแสดงความเคารพให้พ่อแม่ของนายกัน..” ฟริทซ์ตบไหล่ของโบบ้า ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
“กัปตันจะไปไหนครับ?” โบบ้าถาม
“ไปตัดหัวไฮดร้าไงล่ะ”
ทางด้านมิทเชล์และเมย์บนรถถัง ได้ไปรับอัลฟ่า และขับรถถังมาเสริมทัพของฮาส ทำให้ฝั่งทีมไฮบริดนั้นได้เปรียบเป็นอย่างมาก ทั้งสี่คนรุมยิงกดดันฝั่งกองทัพเข้าไปเรื่อยๆ พวกมันเหลือแค่รถถังหนึ่งคันที่สภาพยับเยินและทหารราบยี่สิบคนต้นๆเท่านั้น ส่วนอีโวลต์ที่ถูกฟริทซ์ยิงจนกระเด็นไปไกลยังไม่กลับมา แต่แล้วสิ่งเลวร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อชาร์ลีโดนยิงเข้าที่บริเวณหมวก “อ้ากก! บ้าเอ๊ย!” ด้วยความตื่นตระหนก เขาถอดมือสองข้างจากการคุมเกราะยักษ์ และพยายามมาจับแตะที่บริเวณบาดแผล ซึ่งจังหวะนั้นเอง ทุกคนก็เลยมุ่งเป้าหมายไปยังฮาสที่ไร้การป้องกัน ’ปังง!—‘ กระสุนปืนใหญ่นัดแรกพุ่งเข้าใส่ขาของมัน จรวดและปืนเจาะเกราะมากมายก็ถูกยิงตามเข้าไป “แย่แล้ว!” มิทเชล์กล่าว ระดมยิงไปที่รถถังนั่นเร็ว! “รับทราบครับ/ค่ะ!” ทั้งเมย์และอัลฟ่ากล่าวก่อนจะระดมยิงไปยังรถถังของศัตรู
แต่มันก็ช้าเกินไป ฮาสรับความเสียหายมากเกินไปจนมันระเบิดออกมา “ไม่นะ!!” อัลฟ่าตะโกนก่อนจะเปิดประตูรถออกไปข้างบน เขากระโดดออกจากรถถังหวังจะไปช่วยชาร์ลีที่อาจจะยังมีชีวิตอยู่ “เวรเอ้ย! ชั้นจะออกไปยิงคุ้มกันนะ! ระวังตัวด้วย!” มิทเชล์กล่าว เมย์ก้มไปดูบริเวณคอนโซล และใช้สวิตช์บางอย่าง ’กึ่ก!’ บริเวณข้างๆตัวรถถังเกิดควันมหาศาลขึ้นมา หมอกควันพวกนั้นเริ่มปกคลุมไปทั่ว ช่วยทำให้ศัตรูคลาดสายตาจากมิทเชล์และอัลฟ่าที่วิ่งออกไป มิทเชล์ยังคงวิ่งตามอัลฟ่า และยิงปืนทะลุควันไปทางกองทัพอย่างไม่หยุดหย่อนไม่ว่ามันจะโดนหรือไม่ก็ตาม เมย์ตัดสินใจออกจากรถถังตามมา เธอใช้ตัวเครื่องเป็นที่พาดปืนสไนเปอร์ของเธอและพาดใบหน้าของเธอเข้าที่กล้องส่อง ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ควันข้างหน้าของเธอหายไปและกลายเป็นอากาศเปล่าๆ ’ปัง!!’ เมย์ใช้เวลาอันสั้นนั้นยิงกระสุนปืนออกไป เข้าจุดตายของทหารราบนายหนึ่ง เธอชักกระสุนและพื้นที่เปล่าๆข้างหน้าเธอก็กลับกลายเป็นหมอกควันอีกครั้ง
“อัลฟ่า กลับมาเดี๋ยวนี้!” มิทเชล์ตะโกนไล่หลังอัลฟ่าไป “ตะ..แต่ว่า!” เขากล่าวกลับมา ’ปังๆๆ!-‘ กระสุนปืนกลยิงกราดมาข้างหน้า ทำให้ทั้งสองคนไม่สามารถวิ่งไปข้างหน้าได้ กระสุนยังกราดเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ทั้งสองคนต้องร่นกลับมาหลบอยู่ที่ใต้ตึกสูงตึกหนึ่ง “นายคิดอะไรของนายฮะ ! จะพาพวกเราไปตายกันหมดหรือไง!” มิทเชล์ตวาดใส่อัลฟ่า “ผม... “ อัลฟ่ากล่าวอย่างเสียใจ เขาไม่มีคำพูดจะให้มิทเชล์ด้วยซ้ำ ’ตู้มมมมมมมมม--!!!’ เสียงสะนั่นดังขึ้น ทั้งสองหันไปทางขวาเพื่อหาต้นเสียง รถถังวินเทจของฟริทซ์โดนยิงจนไม่สามารถรับความเสียหายได้มากกว่านี้อีก และระเบิดออกมาจนไฟลุกท่วม “เมยยยย์! บ้าเอ้ย!” มิทเชล์ตะโกนออกมา ท่ามกลางควัน เขาเห็นเงาคนๆหนึ่ง
“แค่กๆๆ” เมย์ล้มลงคุกเข่ากับพื้น หน้าของเธอมีควันดำจากการระเบิด เธอรอดจากการระเบิดมาได้อย่างฉิวเฉียด
เมื่อเห็นดังนั้น มิทเชล์รีบวิ่งเข้าไปช่วยเมย์ทันที “เป็นอะไรรึเปล่า” เขาจับแขนของเธอ พวกช่วยพยุงตัวเธอขึ้นมา “ไม่เป็นไร...แค่กๆ ไม่เป็นไรค่ะ” ’ปังงๆๆ!’ เสียงปืนดังขึ้นและกระสุนที่พุ่งเข้ามา ทำให้มิทเชล์ต้องดึงตัวเมย์เข้าไปยังที่กำบังลึกขึ้น และอัลฟ่าที่คอยยิงคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ “หัวหน้าครับ... พวกมันเข้ามาล้อมเราแล้ว!” อัลฟ่าพูดอย่างสิ้นหวัง มิทเชล์แอบมองไปรอบๆ เขาเห็นทหารหลายสิบนาย ที่เหลืออยู่กำลังเข้ามาล้อมพวกเขาอย่างช้าๆ และไม่มีทางหนีเลย
อีโวลต์ในเกราะสีขาว ที่โดนฟริทซ์ยิงจนกระเด็นออกมาจากสนามรบ กำลังพุ่งเข้าไปด้วยความเร็ว ในอีกไม่กี่วินาที เขาจะกลับไปยังตำแหน่งของมิทเชล์ เมย์ และอัลฟ่าได้เลย เขากำลังแล่นผ่านอากาศด้วยชุดเกราะต้านแรงโน้มถ่วงด้วยความเร็วสูง แต่ในวินาทีนั้นเอง เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง อีโวลต์หันไปทางซ้ายมือในเมือง ฟริทซ์ขับรถเหาะพุ่งเข้ามาทางเขาด้วยความเร็วสูง มันเร็วเกินไปที่เข้าจะหลบได้
“ย้ากกกกกกก!!---“ ’โครมมมม!’ ทั้งสองคนพุ่งเข้าหากันเต็มๆ แรงกระแทกบวกกับพลังงานจลน์ในตัวของอีโวลต์ที่มากอยู่แล้ว ทำให้พวกเขาทั้งสองปลิวออกไปในระยะไกลมาก
ทั้งสองกระแทกลงมาที่พื้น ด้วยความเร็วที่จะต้องฆ่าคนธรรมดา แต่ด้วยความที่อยู่ในชุดเกราะ ทำให้อีโวลต์แทบไม่ได้รับบาดเจ็บ ในทางกลับกัน ฟริทซ์ที่อยู่บนรถเหาะ ได้รับความเสียหายปานกลางจากแรงกระแทก ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความรวดเร็ว สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธของฟริทซ์ ทำให้อีโวลต์รู้แน่ๆว่า หมอนี่มันไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆแน่ อีโวลต์ยกแขนซ้ายขึ้นมาเพื่อจะสร้างหลุมดำจากมือเขา 'เพล้งง!!’ ยังไม่ทันจะร่าย ฟริทซ์ใช้ดาบของเขาฟันไปที่มือของอีโวลต์ที่กำลังร่ายหลุมดำอยู่ ทำให้มือของเขาสะบัดไปด้านหลัง เขาพยายามใช้มืออีกข้างร่ายหลุมดำ แต่ฟริทซ์ที่เห็นอย่างงั้นเขาก็ฟันลงไปที่มืออีกข้าง มันไม่สามารถฟันผ่านเกราะได้ แต่มันก็หยุดการร่ายหลุมดำของอีโวลต์
เมื่ออีโวลต์เห็นว่าในระยะใกล้เขาไม่สามารถใช้พลังได้ จึงหันมาใช้หมัดมวยแทน เขาหาจังหวะต่อยไปข้างหน้า แต่ฟริทซ์หลบได้ด้วยความเร็วสูง ฟริทซ์ใช้ดาบฟันที่ลำตัวกลับมาเป็นการสวน ทำให้เขาชะงักเล็กน้อย อีโวลต์ชกอีกหมัดเข้าเต็มๆหน้าของฟริทซ์ แต่เขาไม่ร่นถอยแม้แต่น้อย เหมือนเขาเคยชินกับความเจ็บปวดแล้ว ทั้งสองยังคงผลัดกันโจมตีต่อไป แต่ไม่มีใครถดถอยเลย อีโวลต์ที่มีชุดเกราะบังอยู่ ฟริทซ์ที่มีรอยฟกช้ำเต็มไปหมด แต่เขาไม่ยอมแพ้
“แกนี่มันเหมือนแมลงสาบเลยนะ” อีโวลต์กล่าวอย่างเยือกเย็น
“ถ้าฆ่าแกได้ ชั้นคงรู้สึกสำเร็จน่าดู”
“แมลงสาบ..? นั่นมันชื่อกลางชั้นเลยว่ะ” ฟริทซ์แสยะยิ้มชอบใจ เขากำดาบแน่น เหมือนกับชาร์จดาบของเขาไว้
“ยังไม่ยอมแพ้อีกรึไง.. แต่ก็ดี แบบนี้แหละ ชั้นชอบ!!” อีโวลต์พุ่งเข้าไป อย่างรวดเร็วเข้าหาฟริทซ์ “ให้สู้ทั้งวันก็ทำได้เว้ยย!!” ฟริทซ์ฟันดาบของเสยขึ้นจากข้างล่างขึ้นข้างบนเข้าตอนที่อีโวลต์พุ่งเข้ามาพอดี การฟันของเขานั้นสร้างคลื่นดาบสีขาว และคลื่นไฟสีแดงฉานพุ่งออกไปจากดาบ มันเป็นดาบที่ดูดซับพลังงานของไฮบริดและพลังงานต่างๆเข้าไปไว้ และในการโจมตีครั้งนี้ ฟริทซ์ปล่อยมันออกมาในทีเดียว ’โครมมมมม!’ ร่างของอีโวลต์กระเด็นออกไปถูกับทรายที่พื้น ทำให้เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ทรายบริเวณรอบๆกระเด็นขึ้นสูงและกระจัดกระจายไปทั่ว การโจมตีครั้งนี้สร้างความเสียหายให้มือของฟริทซ์ทั้งสองข้างเป็นอย่างมาก มือของเขากระดูกแตกและบิดเบี้ยว แต่นั่นไม่ทำให้เขาหยุด เขาคว้าดาบขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดและวิ่งตรงไปหาอีโวลต์
“บัดซบเอ้ย!! เริ่มอารมณ์เสียแล้วนะ!!” การฟันเมือสักครู่ทำให้เกราะบริเวณอกของเขานั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นรอยแตกแนวทะแยงตามการฟันของฟริทซ์ เผยให้เห็นเสื้อสีดำที่อยู่ภายใน หมวกของมันนั้นพังทลายลงไปแล้ว รวมถึงเกราะที่แขนทั้งสองข้างด้วย “ย้ากกก!!” อีโวลต์ตะโกนขึ้นมาด้วยสีหน้าโกรธสุดขีด เกิดการสั่นอย่างรุนแรงที่พื้นข้างหน้าเขา อีโวลต์ลอยตัวขึ้น ฟริทซ์ที่วิ่งเข้ามาโซเซจากแผ่นดินไหว ทันใดนั้นเอง ทรายรอบๆฟริทซ์ก็ลอยขึ้นมาทางเขา ขาของฟริทซ์ค่อยๆจมลงไปในทรายอย่างช้าๆ “อะ.... อะไรกัน!!” เขากล่าวๆ พยายามจะดึงตัวเองออกมาจากทราย แต่ก็ไม่มีผล “แกไม่น่ายั่วโมโหชั้นเลย ไอ้แมลงสาบ” สิ้นเสียงยั่วยวนของอีโวลต์ ทรายที่ลอยอยู่รอบๆก็พุ่งเข้าไปหาฟริทซ์ ร่างของเขาถูกฉุดเข้าไปในทราย และแผ่นดินไหวก็หยุดลง
มิทเชล์ เมย์ และอัลฟ่า ที่ถูกล้อมรอบโดยทหารราบของอีโวลต์ พวกเขาหลบอยู่ในตึกแห่งหนึ่ง แต่รอบๆ ทหารราบของอีโวลต์สิบหกนาย กำลังล้อมรอบพวกเขาอย่างช้าๆด้วยท่าทางพร้อมยิง พวกมันค่อยๆขยับเข้ามาเรื่อยๆ ชะตากรรมของพวกเขาใกล้ขาดแล้ว มันเหลือเวลาอีกไม่นาน อัลฟ่ากำลังหลับตา เหมือนเขากำลังภาวนาเพื่อขอให้โชคชตาช่วยเหลือ มิทเชล์ นั่งหลบอยู่ด้วยสีหน้ากังวลสุดขีด เขายังคงอยากออกไปจากที่นี่ เมย์เป็นคนที่ดูสงบที่สุด ไม่รู้ว่าเธอไม่กังวล หรือยอมรับชตากรรมแล้วกันแน่ ทั้งสามไม่พูดกันสักคำ มันเป็นสภาณการณ์ที่แย่จนเกินไป
“...เราไม่น่ามาที่นี่เลยนะครับหัวหน้า…” อัลฟ่ากล่าวขึ้นมา
ไม่มีเสียงตอบรับจากทั้งคู่ แต่อัลฟ่ารู้ว่าพวกเขาได้ยินแน่ๆ ทหารสิบคนที่กำลังเข้ามาอย่างช้าๆ สร้างความกดดันและความหวาดเสียวให้พวกเขามาก ทุกเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มันทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นๆ ’ปังงงๆๆๆ!!’ เสียงปืนดังลั่นขึ้นจากหลายทาง มันมากมายเหลือเกิน จากทุกทิศทุกทาง มันไม่ได้มาจากคนที่ล้อมพวกเขาอยู่ ทั้งสามคนชะเง้อหน้าออกมาดูภายนอก ทหารจักรวรรดิกำลังโดนรุมโจมตีจากทุกด้าน และพวกเขากำลังล้มตายทีละคนๆ ก่อนที่จะรู้ตัว พวกมันก็ล้มนอนกันไปหมดทุกคนแล้ว
ทั้งสามคนลุกขึ้นมา ทหารในชุดจักรวรรดิวิ่งเข้ามาหลายสิบคนจากทุกทิศทาง พวกเขาไม่ได้ใส่เกราะครบเซ็ตแบบอีโวลต์ พวกเขาแต่งตัวคล้ายๆฟริทซ์ เรมิงตัน กัปตันของหน่วยลาดตระเวณ อัลฟ่าและมิทเชล์จ่อปืนกลไปที่พวกเขา แต่เมย์ส่งสัญญาณให้ทุกคนเอาปืนลง เมื่อเหล่าทหารเหล่านั้นเห็นทั้งสามคน ก็รู้ว่าพวกเขาไม่เป็นภัยอันตราย ทุกคนส่งเสียงเฮดีใจออกมา ทำให้ชาวบ้านที่หลบซ่อนอยู่ และคนที่อยู่ในเชลเตอร์ ทยอยออกมากันทีละน้อย พวกเขาส่งเสียงแห่งความดีใจและความโล่งอก พ่อแม่พี่น้องมากอดกัน โอบกันและกัน ร้องไห้กับความสูญเสีย เมย์เดินออกไปและคุยกับบทหารนายหนึ่งที่อยู่แถวนั้น “ทำไมพวกคุณถึงได้ ....” เธอถามขึ้นมา “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ..โบบ้าคนนี้น่ะ เป็นคนชักจูงพวกเรา” เขาชี้ไปยังนายทหารหนุ่มข้างหลังเขา “พวกเราทนกับสิ่งที่มันทำกับครอบครัวและเมืองของเราไม่ได้” “ถึงจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศก็ยอม” เขาพูด “จากนี้ไปซัมเมอร์สตอร์มจะปกครองกันเอง ใช่ไหมพวกเรา!!” นายทหารคนนั้นตะโกน ทำให้ชาวบ้านและทุกๆคนส่งเสียงฉลองออกมา
ทั้งสามคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าเป็นห่วง คนพวกนี้ไม่รอดแน่ถ้าจักรวรรดิรู้ความจริงทั้งหมด พวกเขาต้องช่วยกันปกปิด แต่ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลายใดๆ อีโวลต์ก็ได้มาถึง ระบบต้านแรงโน้มถ่วงของเขาเสียหายหนัก ทำให้เขาร่วงลงมากับพื้น ลงมาใกล้กับที่ที่ทุกคนอยู่ เขาลุกขึ้นมาช้าๆ “...ไอพวกสวะเอ้ย” เขากล่าว เมื่อทุกคนเห็นชายผู้นี้ ก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ชาวบ้านวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ทหารประจำการและทั้งสามคนเริ่มลั่นไกใส่เขา แต่มันก็ไม่เป็นผล เขาร่ายหลุมดำและดูดกระสุนเข้าไปได้ทั้งหมด แต่ครั้งนี้เขาไม่ปล่อยมันกลับออกมา
ชายผู้สามารถลบเมืองเมืองหนึ่งไปได้ด้วยตัวคนเดียว
อีโวลต์ยกมือของเขาขึ้นมา มันสั่นระริกๆ สีหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เกิดแผ่นดินไหวขนาดยักษ์ขึ้น ทำให้ตึกราบ้านชองที่เสียหายจากการรบ พังหนักเข้าไปกว่าเดิม คราวนี้แม้แต่เหล่าทหารประจำการก็เริ่มหวาดกลัว ผู้คนแตกตื่นมากไปกว่าเดิม ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือไม่พวกเขาก็รู้อยู่แล้ว เพียงแต่ปฏิเสธความจริงเท่านั้น หลุมดำขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นที่ใจกลางเมือง ความกว้างของมันนั้นกว้างกว่าตึกขนาดใหญ่เสียอีก และมันค่อยๆดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในตัวมัน ผู้คนที่ปลิวเข้าไปเหมือนเป็นสิ่งของไร้น้ำหนัก ทรายจำนวนมากลอยเข้าไปในหลุมดำอันน่ากลัว ตึกที่ทำจากอิฐแตกเป็นชิ้นๆ และปลิวเข้าไปในสิ่งนั้น ผู้คนที่อยู่แถวนั้นเริ่มถูกดูดเข้าไปทีละคนทีละคน มิทเชล์ในเอ็กโซสูท กดปุ่มที่ชุดของเขา ทำให้เกิดล็อคที่เท้าทั้งสองข้าง ล็อคเขาไว้กับพื้น เมย์ก็เกาะเขาไว้อย่างแน่นหนา ถ้าเผลอนิดเดียว จะต้องหลุดเข้าไปอย่างแน่นอน
“หึๆ.....ฮ่าๆๆๆ” ชายในเสื้อดำหัวเราะอย่างมีความสุข เขาค่อยๆเดินเข้ามาหามิทเชล์อย่างช้าๆ ดูเหมือนตัวเขาจะไม่ได้รับผลจากมันเลย “ในที่สุดเราก็เจอกันสักทีนะ ไฮบริด การที่ชั้นฆ่าแกเนี่ยแหละ ปราณีที่สุดแล้ว..” ทั้งสองจ้องตากันด้วยความแค้น “ชั้นคงยึดไว้อยู่ไม่ได้นานมาก... เมย์” มิทเชล์พูดกับเมย์ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ... พวกเราทำเต็มที่แล้ว” เธอกล่าวอย่างเศร้าหมอง “ขอโท....” ไม่ทันสิ้นเสียงมิทเชล์ เกราะเท้าของมิทเชล์ก็ขาดออกมา ร่างของทั้งคู่ปลิวขึ้นไป ถูกดูดเข้าไปในหลุมดำนั่น ณ ตอนนั้นไม่เหลือคนสักคนในเมืองนี้ ทุกคนถูกหลุมดำกลืนกินเข้าไป สิ่งก่อสร้างเองก็เช่นกัน มันค่อยๆถูกกลืนกินไปทีละนิด จนกระทังหลุมดำมรณะนั่นหยุดลง และชายที่สร้างมันขึ้นมา ก็ล้มลงไปด้วยความเหนื่อยล้า
End
|
|
|
Post by tonklaaaaaawow on Jul 3, 2018 16:31:39 GMT
Chapter 5 : A change of pace
คฤหาสถ์เรฮัลเนม
“ผู้พัน!” ระหว่างที่การ์แลนด์กำลังขึ้นยานของเขาเพื่อเดินทาง มิกิก็วิ่งไล่หลังตามมา การ์แลนด์หยุดและหันมามอง “ชั้นขอไปตามหากลุ่มไฮบริดด้วย!!” มิกิตะโกนอย่างแน่วแน่เพื่อสู้เสียงเครื่องยนต์ของยาน ด้านในนั้นนอกจากการ์แลนด์แล้วยังมีทหารไฮบริดเทียมอยู่บนยานเต็มไปหมด ดูเหมือนพวกเขาจะพร้อมต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว การ์แลนด์เดินลงมาจากยานนั้น มายืนข้างหน้ามิกิ
“มิกิ เดย์เบรก! ไฮบริดเทียม! พร้อมรับคำสั่ง!” เธอรายงานกับการ์แลนด์ มิกินั้นเป็นทหารประจำพิเศษ เธอสามารถออกปฏิบัติการได้อย่างอิสระ แต่ครั้งนี้เธอขอเข้าร่วมหน่วยการ์แลนด์ เพื่อออกตามหาเฮเลล เรนิต้าบอกว่าการ์แลนด์นั้นบินกลับมาจากแคนเธอร์เพื่อร่วมประชุมด่วน และจะบินกลับไปในอีกไม่ช้า มิกิเลยใช้จังหวะนี้ในการออกตามหาตัวเฮเลลไปด้วย “เฮเลล มอร์นิ่งสตาร์” มิกิกล่าวขึ้นมา “ชั้นจะตามหาตัวเฮเลลมอร์นิ่งสตาร์!!” การ์แลนด์นิ่งเงียบสักครู่ก่อนจะตอบออกมา “เธอนี่เอง ชั้นจำได้ว่าคุ้นๆหน้าเธอจากไหน” การ์แลนด์กล่าวขึ้น เขาจำได้แล้ว ถึงเด็กผู้หญิงผมสีแดง ที่ลูกน้องของเขานั้นเคยสุงสิงอยู่ด้วยบ่อยๆสมัยก่อน “เธอเตรียมใจจับตายเพื่อนรักของเธอรึยังล่ะ” มิกิมองตรงไปยังการ์แลนด์ด้วยนัยน์ตาอันมุ่งมั่น “ถ้าชั้นได้คำตอบจากมันแล้ว...” เธอหยุด “ก็พร้อม!!” เสียงของเธอครั้งนี้ขาดความแน่วแน่ไม่เหมือนในประโยคอื่นๆ ซึ่งการ์แลนด์สังเกตุเห็นเช่นกัน เขาหันกลับและกำลังเดินขึ้นยาน “อย่าให้ความรู้สึกมาขัดขวางภารกิจแล้วกัน”
หลังจากที่มิกิขึ้นมาบนยาน ด้านในเป็นพื้นที่กว้าง มีที่นั่งสองฝั่งชิดกำแพงเป็นแนวยาว เธอก็เห็นทหารไม่นับการ์แลนด์แค่ห้าคนเท่านั้น พวกเขาทุกคนสวมเอกโซสูทสีขาว คนที่อยู่ใกล้ที่สุดส่งสัญญาณให้เธอสวมเกราะเหมือนกัน “เราจะไปที่ไหนกันหรือ?” เธอส่งเสียงถามทหารใกล้ๆระหว่างสวมเกราะ “บิทเทอร์วินด์ พวกเราจะไปรวมตัวกับทหารประจำการที่นั่น แล้วลงสำรวจแคนเธอร์” ทหารคนนั้นกล่าว
บิทเทอร์วินด์ คือชื่อหมู่บ้านที่ใหญ่กว่าแคนเธอร์ ทั้งสองอยู่ห่างกันหลายสิบกิโลเมตร แต่ถ้ามองจากแผนที่โลก ก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน ที่แห่งนี้ไม่เหมือนแคนเธอร์ มันถูกรุกรานและครอบครองโดยจักรวรรดิเรฮัลเนมไปเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาเข้ายึดครองที่นี่เมื่อไม่กี่ปีก่อน
“อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงแล้ว” ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกล่าว “รีบรัดเข็มขัด เตรียมอุปกรณ์ให้เรียบร้อย” “ไม่งั้นเดี๋ยวปลิวไม่รู้ด้วยนะ” เขาเตือน ยานลำนี้จะแล่นด้วยความเร็วสูง เพื่อให้ถึงที่หมายก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
เศษซากของซัมเมอร์สตอร์ม
ไม่กี่ชั่วโมงหลังการต่อสู้จบลง ทีมเก็บกู้ของจักรวรรดิก็เดินทางมาถึง พวกเขามาพร้อมรถพยาบาลสองคัน พวกเขาลงจอดที่หน้าเมือง ทีมเก็บกู้ลงมาสามคน พวกเขาเป็นชายวัยยี่สิบปลายๆสองคน และอายุสามสิบปลายๆหนึ่งคน พวกเขาสวมชุดสีขาวที่เหมือนชุดปลอดสารพิษ แขนยาวขายาว แต่ไม่ได้คลุมหัว พวกเขาถึงกับตกตะลึงกับภาพที่เขาเห็น เมืองทั้งเมืองที่เงียบเชียบและปราศจากผู้คน ตึกราบ้านช่องที่หายไปเกือบหมด เหลืออยู่แค่โครงสร้างของมันเท่านั้น พวกมันถูกส่งหายไปในหลุมดำของอีโวลต์จนหมดสิ้น “ไปวนดูรอบๆ” ชายคนหนึ่งบนพื้นพูดคุยผ่านวิทยุ ทั้งสามเดินขึ้นรถพยาบาลคันนั้นไป และเริ่มขับออกช้าๆ “ไม่เห็นผู้รอดชีวิตเลยนะหัวหน้า” ชายบนที่นั่งข้างคนขับกล่าวขึ้นมา “อีโวลต์นี่อันตรายเหมือนที่เค้าล่ำรือกันจริงๆนะ” ชายอีกคนกล่าว ชายที่ขับรถอยู่หัวเราะขึ้นมา “หึ ข้าเคยมาเก็บซากเมืองๆนึงเมื่อหลายปีก่อน” ชาวที่ดูสูงอายุที่สุดกล่าวขึ้นมา “ที่สุมหัวพวกหัวรุนแรง ก่อการร้าย” เขาพูดต่อ “ขู่จะระเบิดหอคอยที่ไซอ้อน ถ้าไม่ลดภาษีค่าครองชีพ” “ตอนข้าไปถึงที่นั้น ข้าไม่เจออะไรเลย” ชายคนขับกล่าว
“หมดเกลี้ยงเมืองเลยหรอครับหัวหน้า?”ชายในเบาะหลังกล่าว
“เกลี้ยงเลยไอหนุ่ม เหลือแต่พื้นดินโล่งๆ” หัวหน้าตอบ
“ดินยังหายไปเยอะเลย ตอนข้าเห็นครั้งแรก นึกว่าอุกกาบาตตก เป็นหลุมหยั่งใหญ่เลย!” เขากล่าวต่อ
ทั้งสามขับรถไปต่อเรื่อยๆเข้าไปยังตัวเมือง มันมีกลิ่นเลือดและดินปืน แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่าเคยมีศึกสงครามเกิดขึ้นที่นี่ มันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน รถพยายบาลแล่นจนมาถึงด้านหลังของเมือง ที่ๆเคยเป็นไซด์ก่อสร้าง แต่มันไม่เหลืออะไรนอกจากโครงเหล็กเล็กๆน้อยๆที่ยึดอยู่กับพื้นเท่านั้น พวกเขาขับวนรอบๆเมือง ตามซอกจนกระทั่งมาที่จุดที่ทุกคนสู้กันเป็นที่สุดท้าย เพียงแต่ในคราวนี้มันโล่งแจ้งว่างเปล่า ร่างที่ไร้สติของอีโวลต์นอนหงายอยู่กับพื้น ชุดเกราะส่วนบนของเขาแตกไม่มีชิ้นดี เขาสวมเสื้อยืดสีดำ และเหมือนใส่เกราะสีขาวแค่ขาทั้งสองข้างเท่านั้น หน้าของเขาช้ำจากการต่อสู้กับฟริทซ์ เสื้อยืดของเขาเองก็ขาดเป็นทางยาว และมีเลือดอาบข้างใน
ทั้งสามคนเมื่อเห็นดังนั้น ก็รีบจอดรถ และลงไปช่วยเหลือทันที “เปล , เครื่องช่วยหายใจ , เจล!” หัวหน้ากล่าวก่อนจะรีบลงและวิ่งไปยังร่างของชายผมดำ ในระหว่างที่อีกสองคนไปเตรียมอุปกรณ์ หัวหน้ามาถึง เขาเอานิ้วแตะที่ชีพจรบริเวณคอ เพื่อเช็คว่ายังมีชีวิตอยู่รึไม่ ทั้งสองวิ่งมาถึง หัวหน้าหยิบเจลรักษามา ยืดมันออก พ่นสเปรย์ ระหว่างที่ลูกน้องของเขาถอดเสื้อยืดของอีโวลต์ออก เผยให้เห็นถึงรอยถูกฟันขนาดใหญ่ หัวหน้าแปะเจลรักษาลงไปและกดลงไปที่แผล เขาเอาหน้ากากออกซิเจนมาสวมให้อีโวลต์ และช่วยกันหามขึ้นเปล ไปยังรถพยาบาล หลังจากขนย้ายร่างเสร็จแล้ว ลูกน้องหนึ่งคนกำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้อีโวลต์ ในขณะที่อีกสองคนที่เหลือออกมาอยู่ห่างๆ สูบบุหรี่อยู่ “หัวหน้าครับ แล้วทำไมซัมเมอร์สตอร์มถึงมีศึกแบบนี้เกิดขึ้นอย่างหรือครับ?” ลูกน้องกล่าว “อดีตทหารของพวกเราน่ะ” หัวยหน้ากล่าว “ข้าก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมาก แต่เหมือนจะทรยศ แล้วกลายเป็นผู้ก่อการร้ายแทน” เขากล่าวต่อ “บางทีพวกนี้มันก็โหดร้ายนะครับผมว่า” ลูกน้องกล่าว เขาหันกลับไปมองซากเมือง “นี่แหละชีวิต ดีแล้วล่ะที่เราไม่ต้องไปเสี่ยงชีวิตแบบพวกทหาร” ”หัวหน้าครับ เจอคน!” วิทยุสื่อสารของหัวหน้าดังขึ้นมา เขาหยิบขึ้นมาตอบทันที “รายงานซิ!” เขากล่าว “ชายผมดำอายุยี่สิบกว่าๆ สวมยูนิฟอร์มของทหารพวกเรา เจออยู่กลางทะเลทรายครับ! ร่างของเขาเกือบทั้งร่างถูกฝังอยู่ แต่ยังหายใจ!” เสียงจากวิทยุกล่าว ร่างของฟริทซ์นั้นถูกพบ ก่อนที่เขาจะหมดสติ เขาได้พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากหลุมศพทรายของเขา แต่ไม่สำเร็จ แต่เนื่องจากหลุมดำยักษ์ของอีโวลต์ที่ใช้ลบเมืองๆนี้ ทำให้ทรายรอบๆถูกดูดขึ้นมาด้วย ทำให้ร่างของเขาโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน
“แล้วจะรออะไรอยู่ รีบดึงเขาขึ้นมาสิ!” หัวหน้าออกคำสั่ง “เสร็จแล้วก็รีบกลับล่ะ พวกข้าจะเอาตัวอีโวลต์กลับไปก่อน!” เขากล่าว ก่อนจะทิ้งก้นบุรี่ลงพื้นและเหยียบให้มันดับ พวกเขากลับขึ้นรถ และเริ่มขับออกไป
ซากปรักหักพัง แคนเธอร์
หลังจากอาลอยได้กลับมาพบกับหมู่บ้านของพวกเธอที่พังทลายจากการทิ้งระเบิดจากยานของจักรวรรดิ เธอได้พบกับผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว เอมม่า ฟีนิกซ์ ลูกสาวชาวไร่ธรรมดาๆที่อาศัยอยู่ที่แคนเธอร์ ใช้ชีวิตตามปกติ เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่สงครามหรือเรื่องราวอะไรที่เอมม่าจะมาเกี่ยวข้องด้วยเลย ลูกสาวที่ต้องเสียพ่อแม่ ครอบครัวและบ้านเกิดไปเพราะเรื่องที่พวกเขาหรือตัวเธอเองนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ มันทำให้อาลอยรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างแสนสาหัส อาลอยเดินเอามือโอบประคองเอมม่าไว้อย่างช้าๆ ทั้งสองค่อยๆมุ่งหน้ากลับทางที่อาลอยมา กลับไปหาเหล่าไฮบริดที่ซ่อนตัวอยู่ในป่านั้น ทั้งคู่เดินอยู่ท่ามกลางพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินจากเส้นขอบฟ้า แสงสลัวๆและบรรยากาศอันอึมครึม เอมม่ายังคงจมอยู่กับความสิ้นหวัง เธอไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป แต่ยังคงเดินก้มหน้า ใจจดใจจ่ออยู่กับเหตุการณ์ร้ายที่เธอเพิ่งประสบกับตา อาลอยมองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ถึงในนัยน์ตานั้นจะมีความเศร้าอยู่ แต่เธอรู้ดีว่าหน้าที่ของเธอมันหนักหนากว่าที่อาลอยจะมาอาลัยอะไรตอนนี้ได้
“ไม่ต้องกังวลหรอก พี่จะคอยปกป้องเธอเอง” อาลอยพูดปลอบประโลม เอมม่าไม่ได้มีท่าทางดีขึ้นนัก เธอไม่ได้กลัวถูกทำร้าย เนื่องจากเธอไม่เคยรู้ว่าชาวแคนเธอร์มีปัญหากับใคร เธอแค่ยังสับสนอยู่เท่านั้น ทั้งสองเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งฝูงกระต่ายฝูงหนึ่ง ประมาณสี่ถึงห้าตัว วิ่งสวนทางทั้งคู่มาอย่างว่องไว บนฟ้าฝูงนกก็บินหนีออกมาอย่างพร้อมเพรียง อาลอยส่งสัญญาณบอกให้ทั้งคู่ก้มลงยอง เธอนั่นเชียวชาญการเดินป่าและการล่าสัตว์ แต่ถึงแม้ไม่ใช่นักล่าสัตว์ก็รู้ว่าสัตว์พวกนี้หนีอะไรบางอย่างจากด้านหน้าพวกเขามา อาลอยใช้ทักษะของเธอปืนขึ้นบนต้นไม้ใกล้ๆอย่างรวดเร็ว เพื่อขึ้นไปมองหาสาเหตุจากด้านบน “รีบไปกันเถอะ! พวกนั้นกำลังแย่!” อาลอยกระโดดลงมา เธอคว้ามือของเอมม่าไว้ และออกวิ่งออกไปพร้อมกัน เอมม่ายังคงงงๆแต่เธอก็ออกวิ่งไปพร้อมอาลอย สักพักพวกเธอก็เข้ามาใกล้จนมองเห็นกลุ่มของเฮเลลอยู่ลางๆ ทั้งสามคนกำลังยืนหลบทหารราบของจักรวรรดิราวๆแปดคน นิโนะนั้นยืนอยู่ตรงกลาง เฮเลลและอลิเซียนั้นยืนประกบข้างๆเธอ พวกเขาหันหลังให้กับทหารจักรวรรดิ ด้านหลังของพวกเขานั้นมีม่านบาเรียรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงราวสองเมตร ดูเหมือนนิโนะจะเป็นคนใช้พลังของเธอในการสร้าง เฮเลลที่ใช้มือนึงกุมบาดแผลที่ดูเหมือนจะสมานขึ้นมา และอลิเซีย กำลังยิงสู้กับทหารอยู่ด้วยปืนแรงดันอากาศ และกันเบลดโหมดปืนของพวกเขา ม่านบาเรียของนิโนะนั้นช่วยปกป้องทั้งสามจากกระสุนของทหารได้อย่างดี แต่พวกเขากำลังล้อมเข้ามาช้าๆ
“หลบอยู่หลังต้นไม้นี้ก่อนนะ อย่าให้พวกมันเห็นล่ะ!” อาลอยกล่าวระหว่างหลบอยู่หลังต้นไม้ เธอบอกกับเอมม่าที่มีสีหน้าตกใจและมึนงงมากกับสิ่งที่เธอเห็นอยู่ เด็กวัยรุ่นใกล้ๆเธอสามคน ชาวแคนธ์ที่เธอรู้จัก ตอนนี้กำลังต่อสู้อยู่กับทหารจักรวรรดิผู้ชั่วร้าย เธอรู้สึกเหมือนเธอถูกปิดบัง ถูกหลอกด้วยคนที่เธอเชื่อใจเล็กน้อย อาลอยค่อยๆย่องออกไปข้างๆ อาลอยง้างธนูของเธอขึ้นมา เล็งไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีทหารจักรวรรดิสองนายหลบอยู่ข้างหลัง
“ซุส เวรทธ์!”
เธอยิงธนูออกไป ลูกศรนั้นถูกล้อมรอบด้วยสายฟ้าสีเหลือง สายฟ้าขยายมากขึ้นจนหุ้มลูกศรไปทั้งดอก มันกลายเป็นเหมือนลูกบอลสายฟ้าขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่ต้นไม้ต้นนั้น ’ตู้มมมม!” ต้นไม้นั้นระเบิดออกมาเละเทะ ทหารสองคนเบื้องหลังนั้นล้มลงไปหมดสติจากแรงระเบิด การโจมตีนั้นทำให้คนที่เหลืออยู่หันมาทางเธอ ทั้งสามคนโล่งอกขึ้นเมื่อเห็นอาลอย ทหารนายหนึ่งหันมาและกำลังจะยิงไปที่อาลอย เธอตอบโต้อย่างรวดเร็ว เอื้อมมือไปด้านหลังและจับด้ามขวานขนาดปานกลางของเธอออกมา ทันทีที่มือของเธอสัมผัสกับขวานด้ามนั้น มันก็มีสายฟ้าปะทุอย่างรุนแรงที่ใบมีดของมัน เธอใช้โมเมนตัมที่เธอกระชากขวานเล่มนั้นขึ้นมาจากที่เก็บ และขว้างมันไปข้างหน้า ไปยังทหารคนที่เล็งเธออยู่
’ฉั่บบ!’ ขวานสายฟ้าพุ่งทะลุชุดเกราะเข้าไปปักกลางอกของทหารนายนั้น เธอกางมือออก และทำให้ขวานนั้นพุ่งกลับมาเข้ามือของเธอ ทหารนายหนึ่งที่หลบอยู่หลังต้นไม้อีกมุมขยับตัวและกำลังจะยิงปืนพกเข้าใส่อาลอยที่อยู่ห่างไปราวๆร้อยเมตร เฮเลลเมื่อเห็นว่าอาลอยไม่ได้สังเกตุเห็นเช่นนั้น จึงตัดสินใจออกไปช่วย “ไทม คอนโทรล!” เฮเลลใช้พลังของเขาในการเร่งความเร็วร่างกายและการรับรู้ถึงสี่เท่า ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดของเขา เฮเลลมีเวลาประมาณหนึ่งวินาทีสำหรับเขา ก่อนที่กระสุนจะพุ่งเขากลางอกของอาลอย เขาสปรินท์เข้าไประหว่างคนยิงกับอาลอย เปลี่ยนกันเบลดให้อยู่ในโหมดดาบ และตั้งกันเบลดของเขาในองศาที่ เมื่อกระสุนเข้ามากระทบมันเด้งออกไปทางอื่น
ทหารนายนั้นยิงกระสุนปืนพกออกมาสามนัด เฮเลลสามารถปัดมันออกได้ทั้งหมดด้วยความเร็วสี่เท่าของเขา ก่อนที่พลังจะหยุดทำงาน ’ปัง!’ อลิเซียยิงปืนออกมาจากหลังม่านบาเรียเข้าใส่ทหารนายนั้น ทำให้เขาตายในทันที ทั้งสี่คนมองหน้ากัน เหมือนรู้ดีว่าแผนต่อไปคืออะไร ทันใดนั้นเอง อลิเซียควักระเบิดทรงกลมออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเธอ นิโนะปิดม่านบาเรียที่บังทั้งสองอยู่ กลิ้งตัวหลบไปข้างๆ เธอขว้างระเบิดก้อนนั้นขึ้นไปบนฟ้าไม่ใกล้ไม่ไกลจากเธอ ทั้งสี่คนหันหน้าหลบ และพยายามปิดหูตนเองเท่าที่ทำได้ ระเบิดลูกนั้นระเบิดออกเป็นระเบิดสตั้นทำให้เหล่าทหารที่ไม่ทันตั้งตัวโดนแฟลชกันไปเต็มๆ อย่างรวดเร็ว อลิเซีย เฮเลล และอาลอยกระโจนออกมาจากที่กำบัง และเล็งไปยังทหารแต่ละคน อลิเซียยิงปืนไรเฟิลทะลุต้นไม้ที่ทหารนายแรกหลบอยู่ มันทะลวงทั้งต้นไม้และหมวกของเขา อาลอยกลิ้งตัวออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อหาองศายิงธนู ถึงทหารนายที่สองจะหลบอยู่หลังที่กำบัง เธอก็หามุมส่งลูกศรผ่านหัวใจเขาไปได้ เฮเลลใช้พลังไทม์ คอนโทรลอีกครั้งในการเข้าประชิดและปลิดชีวิตทหารนายที่สามอย่างว่องไว ในเวลาพร้อมๆกัน เหลือเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
เอมม่าที่หลบอยู่อีกฟากค่อยๆย่องอ้อมเข้ามา เธอเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด เธออ้อมจนมาถึงนิโนะที่หลบอยู่ใกล้ๆ “พะ... พี่เอมม่า!!” นิโนะกล่าวด้วยความตกใจ เอมม่าใจจดใจจ่ออยู่กับการต่อสู้ของทั้งสาม ทำให้ไม่ได้ตอบรับการเรียกขานของนิโนะ แต่ทั้งสองก็คอยนั่งดูอยู่ด้วยกัน นายทหารนายสุดท้ายเดินออกมาจากทีซ่อน ชุดเกราะของเขานั้นแตกต่างจากเจ็ดคนก่อนหน้านี้เล็กน้อย มีกรอบสีแดงๆตามชุด แสดงให้เห็นว่าเขานั้นอยู่คนละระดับกับคนพวกนั้น เขาใช้มือซ้ายชักกระบองขนาดเล็กออกมา มันขยายขึ้นมาเป็นกระบองยาวขนาดเท่ากับดาบที่มีพลังงานล้อมรอบ
“คนทรยศ!!”
ทหารนายสุดท้ายกล่าว อาลอยเห็นดังนั้นจึงง้างธนูเตรียมยิงไปทางเขา ทหารนายนั้นใช้มือขวาต่อยอากาศลงมาเป็นแนวดิ่ง โล่ขนาดยาวปรากฏลงมาต่อหน้า ลูกศรสองดอกที่อาลอยยิงไปอย่างรวดเร็วนั้นเจาะทะลุโล่เหล็กนั้น แต่ไม่พอที่จะทำอันตรายอะไรแก่ทหารสีแดง ส่วนบนของโล่เปิดออก ยิงอะไรบางอย่างออกไปทางอาลอยที่อยู่ด้านหนึ่ง ทำให้เธอกระเด็นล้มและน็อคไป
“อลิเซีย... ผมขอจัดการหมอนี่เอง” คำพูดของเขา ทำให้อลิเซียที่กำลังเตรียมต่อสู้ ปล่อยตัวลง
ทั้งสองค่อยๆก้าวไปหากันและกันช้าๆ และเริ่มก้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ “ย้ากกกก--!” ทั้งสองตะโกนพร้อมง้างอาวุธของตนเองมาจากระยะไกล อีกสองสามก้าวพวกเขาจะปะทะกัน เฮเลลเหวี่ยงกันเบลดเหมือนจะฟันหนึ่งจังหวะเร็วเกินไป แต่เขาไม่ได้กะจะประดาบกันตั้งแต่แรกแล้ว ’ปัง!!’ เฮเลลเปลี่ยนโหมดในชั่วพริบตามาใช้โหมดปืน และยิงเข้าไปที่ลำตัวของทหารในระยะพ้อยน์แบล๊งค์ ทำให้มันทะลุเกราะเข้าไปเล็กน้อยและตัวเขาเสียหลัก “ไทม์ คอนโทรล!” เฮเลลฉวยโอกาสนั้นเปลี่ยนโหมดกลับเป็นดาบอีกครั้ง และเสียบดาบเข้าไปในท้องของทหาร จากช่องแตกที่เขาสร้างด้วยการยิง “อ้ากกกก!” เฮเลลบิดใบมีดในลำท้องของทหารหนุ่ม ทำให้เขาทรมาณหมดเรี่ยวแรงจะฟันสู้ อาวุธหลุดออกจากมือ “พวกการ์แลนด์อยู่ที่ไหน!!” เฮเลลตะโกนใส่หน้าของทหารและบิดใบมีดหนักเข้าไปกว่าเดิมอีก “ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเขาก็มากำจัดแกเอง ไอ้แมลงทรยศ!!” เฮเลลเมื่อได้ยินดังนั้นก็ดึงดาบของเขาออกและถีบร่างของทหารออก เขาเปลี่ยนโหมดเป็นปืนและยิงใส่หมวกของทหารนายนั้นซ้ำๆ เนื่องจากนัดแรกๆนั้นไม่ทะลุหมวก จนชายคนนั้นแน่นิ่งไป
“ไอบ้านั่นมันไปโกรธใครมาจากไหนนั่น” อลิเซียกล่าวลอยๆขึ้นมา
“ทุกคน! แล้วพี่อาลอยล่ะ!” เอมม่า ตะโกนพรวดออกมาจากที่ซ่อน ทำให้อลิเซีย และเฮเลลตกใจเป็นอย่างมาก “อะ...เอมม่า!?” ระหว่างนั้น นิโนะที่วิ่งเข้าไปเพื่อช่วยอาลอย อาลอยก็ได้สติลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ “ชั้นไม่เป็นไรค่ะ” “กลับมาทำไมล่ะอาลอย หรือว่าเกิดอะไรขึ้น...” อลิเซียพูดขึ้นมา อาลอยมองหน้าเพื่อนๆของเธอไปรอบๆ มันช่างยากเหลือเกินสำหรับเธอที่จะเป็นคนบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับคนเหล่านี้ “... หมู่บ้าน” “โดนทำลายไปแล้วค่ะ” เธอกล่าวออกมาอย่างกล้ำกลืน
มีแต่ความเงียบเป็นการตอบรับเธอ ทุกคนต่างใจสลาย แม้แต่เฮเลลที่เพิ่งมาพักพึงอาศัยที่นี่ได้ไม่กี่ปีเท่านั้น หลายๆคนถึงจะไม่ได้มีพ่อแม่ที่อาศัยและตายในแคนเธอร์ แต่ทุกคนก็เหมือนครอบครัว “ผมอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะพูด” เฮเลลกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด “แต่นี่ไม่ใช่เวลามาเศร้านะครับ” เขาหันไปรอบๆ มองทุกคน อลิซียพยักหน้าเห็นด้วยอย่างช้าๆ สีหน้าของเธอเสียใจไม่แพ้กัน “ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้พวกเราต้องวางแผน” อลิเซียเสริมขึ้นมา “ขอเดาว่าเอมม่าคือคนเดียวที่รอดออกมาสินะ” เธอกล่าวต่อ และหันไปหาเอมม่าที่พยักหน้าตอบ
“แล้วพวกเราจะมีที่ไหนให้ไปต่อกันคะ” นิโนะกล่าวขึ้นมา
“ไซอ้อน?”อาลอยเสนอความคิด
“ผมคิดว่าตอนนี้หน้าตาพวกเรา คงรู้จักกันทั่วไซอ้อนแล้วล่ะครับ ถ้าจะผ่านด่านตรวจไป ไม่รอดแน่ๆ” เฮเลลกล่าวขึ้น
“แล้วถ้าเราขโมยเอกโซสูทของพวกมันมาใส่ แล้วปลอมตัวเข้าไปล่ะ?” อลิเซียพูดขึ้น
“จะมีใครบอกหนูได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น!!?” จากความเศร้าเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง เอมม่าระเบิดออกมา “ครอบครัวหนูต้องตาย คนในหมู่บ้านต้องตาย แล้วพวกคุณ.... นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!!” “พวกเราทั้งหมด เป็นไฮบริด” อลิเซียกล่าว แต่เอมม่าก็พอเดาได้อยู่แล้วจากสิ่งที่เธอเห็นเมื่อสักครู่ “นิโนะจังเองก็ด้วยสินะ..” เอมม่าหันไปทางนิโนะ “ชะ..ใช่ค่ะ” เธอตอบอย่างลำบากใจ “แคนธ์ เป็นเหมือนฐานทัพลับๆของพวกคุณอย่างงั้นหรือ?” เอมม่าเหมือนจะเข้าใจอะไรเร็วมาก เธอเป็นเด็กผู้หญิงหัวไว เข้าใจอะไรง่าย “แล้วทำไมถึงไม่บอกคนอื่นๆล่ะ ชาวแคนธ์ก็เหมือนครอบครัวไม่ใช่หรือไง?” เธอถามต่อ “พวกเราไม่อยากให้คนอื่นเป็นอันตรายน่ะค่ะ...” อาลอยตอบ รู้ดีว่าเธอนี่แหละเป็นคนที่มีความลับที่สำคัญที่สุดในกลุ่ม ที่ยังไม่มีใครรู้ “แล้วตอนนี้ทุกคนปลอดภัยแล้วใช่มั้ย?” เอมม่ากล่าว เธอมองตรงไปยังเฮเลล
เมื่อเห็นว่าการสนทนามีแต่จะทำให้อารมณ์ทุกคนที่แย่อยู่แล้วติดลบเข้าไปอีก นิโนะจึงเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา “ทุกคน เรารีบไปกันเถอะค่ะ แปดคนนั้นคงไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ถูกส่งมาหรอก ถ้าเกิดแคนเธอร์ถูกทำลายไปแล้ว” เธอนั้นสามารถดึงความสนใจของทุกคนออกมาได้ “นั่นสินะ ยิ่งถ้ามันมาตามหาหินนั่นแล้ว มันคงส่งคนมาตามหาที่ภาคพื้นดิน” อลิเซียกล่าวต่อ เอมม่าพอปะติดปะต่อเรื่องได้แล้ว เธอเลือกที่จะไม่พูดอะไร
“ทหารพวกนั้นน่าจะมาที่นี่ด้วยยาน ไม่ก็รถเหาะล่ะนะ” เฮเลลกล่าวขึ้น
“งั้นพวกเราก็แค่หาพาหนะของพวกมันให้เจอ” อลิเซียพูดต่อ
“ชั้นจะแฮคเครื่องมัน และเราก็จะใช้บินไปทีไหนก็ได้” เธอกล่าว มั่นใจในทักษะด้านเทคโนโลยีของตนเอง
“เรื่องนั้นให้ผมช่วยอีกแรงนะครับ” เฮเลลกล่าวเสริม
“แล้วพี่เอมม่าล่ะคะ?” นิโนะถามขึ้นมา เธอเป็นห่วงว่าคนธรรมดาอย่างเอมม่า ถ้าติดร่างแหเดินทางไปกับพวกเธอด้วย จะเป็นอันตราย “ชั้นไม่มีที่ไหนให้ไปแล้วล่ะ..” เอมม่ากล่าวขึ้นมา “ไม่ต้องห่วง พวกเราจะปกป้องเธอเอง” อาลอยพูด หลังจากนั้นทั้งห้าคนก็ถอดเอ็กโซสูทจากทหารที่เสียชีวิตแถวนั้นและนำมาใส่กับตัวเองเพื่อปลอมตัว เตรียมเข้าไปยังเมืองหลวง
“จะดีจริงๆหรือคะ ที่เราจะเข้าไซอ้อน” นิโนะถามขึ้นระหว่างใส่เกราะ
“พวกมันไม่คิดหรอก ว่าเราจะบุกไปหามันแบบนี้น่ะ” อลิเซียกล่าวต่อ
“ถ้ารบกันซึ่งๆหน้าไม่รอด ก็ต้องลอบเข้าไปทำลายพวกมันจากข้างในนี่แหละค่ะ” อาลอยเสริม
เฮเลลนั้นไม่ได้พูดอะไร เขามีทั้งความทรงจำที่ดีและร้ายกับไซอ้อน หญิงสาวที่เขารู้จักและสนิทสนมอยู่ที่นั้น เขาครุ่นคิดว่าตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่ เขาจะอธิบายยังไงกับเธอดีถ้าทั้งสองพบปะกัน โดยที่เฮเลลไม่รู้เลย ว่าทั้งคู่กำลังจะได้เจอกันเร็วกว่าที่เขาคิดมากแค่ไหน
ทั้งห้าคนหลังจากเปลี่ยนไปใส่ชุดเกราะของจักรวรรดิ เดินไปอีกไม่ไกลจากที่ๆพวกเขาอยู่ ก่อนจะเจอยานขนาดเล็กของจักรวรรดิจอดอยู่ ซึ่งทุกคนก็คาดการณ์ว่าเป็นยานของทั้งแปดคนนั้นที่พวกเขาเจอเมื่อครู่ ทั้งห้าค่อยๆย่องเข้าไปช้าๆอย่างระแวง อลิเซียควักปืนพกประจำตัวที่เธอสร้างขึ้นมาและค่อยๆเดินไปใกล้ๆห้องนักบิน เธอกระชากประตูเปิด เห็นชายที่นั่งอยู่บนนั้น เป็นชายวัยกลางคนผมสีดำ เป็นชายธรรมดาที่ดูไม่เคยผ่านสงคราม เป็นแค่นักบินเท่านั้น และเอาปืนจ่อหัวเขาไว้ “ยกมือขึ้น!!” เธอกล่าว เธอหันไปทางเอมม่า เอมม่าในชุดเกราะขอบแดงเดินขึ้นไปอีกฝั่งของยาน และนั่งตรงที่นั่งคนขับ อลิเซียหยิบปืนอีกกระบอกให้เธอ และบอกให้เธอเอาปืนจ่อนักบินคนนั้นไว้ “ทำไมพวกแกถึงมาลงจอดที่นี่ แล้วคนอื่นๆอยู่ไหน” อลิเซียซักถาม “ยานพวกเราพังระหว่างทางไปบิทเทอร์วินด์ เลยลงจอด” “พวกนั้นบอกให้ชั้นรอที่นี่ แล้วออกไปข้างนอก” ชายนักบินกล่าว เขาดูท่าทีนึ่งเฉยมาก “เอมม่า จับตาดูไว้” อลิเซียหันไปคุยกับนักบิน “พวกเราจะซ่อมยานลำนี้ แล้วแกต้องพาพวกเราไปที่ไซอ้อน ไม่งั้นตาย”
อลิเซียเดินขึ้นไปบนยาน และเดินผ่านที่นั่งนักบินมาส่วนด้านหลัง ที่เป็นที่นั่งสองฝั่งยาวชิดกำแพง เป็นตำแหน่งที่ทหารทั้งแปดนั่งเตรียมตัว เธอกดปุ่มเปิดประตูด้านหลัง ประตูใหญ่ด้านหลังยานเปิดขึ้น และอีกสามคนที่เหลือจึงเดินเข้ามา “ชั้นจะลองตัดล็อกวิทยุสื่อสารพวกมัน แล้วจูนกับคลื่นของแคนเธอร์ดู เผื่อจะได้รับสัญญาณจากคนอื่นๆ” อลิเซียเดินไปจัดการกับคอนโซล เธอสวมหูฟังพร้อมไมค์ และเริ่มกดปุ่มและทำนู่นทำนี่ “.... “ เธอทำสีหน้าตกใจ และถอดหูฟังออก
“คริสเท็นโดนจับ ตอนนี้ไซกะซ่อนตัวอยู่ที่ไซอ้อน!” อลิเซียยื่นหูฟังให้เพื่อนคนอื่นๆฟังสิ่งที่เธอได้ยิน อาลอยนำไปสวม “แย่แล้วล่ะสิ... “ เธอกล่าว “แล้วสถาณการณ์จากทางน้องเมย์และคุณมิทเชล์ล่ะคะ” นิโนะถามขึ้นมา ทำให้เอมม่าตกใจเล็กน้อย ที่แม้แต่เมย์ก็เป็นไฮบริดเหมือนกัน “ข้อมูลสุดท้ายคือพวกเขาเจอกองทัพของอีโวลต์แล้วค่ะ” อาลอยตอบ มือข้างนึงของเธอจับหูฟัง “ไม่มีเวลามานั่งเล่นแล้วล่ะ! ต้องรีบซ่อมแล้วไปสมทบกับคนอื่นๆแล้วล่ะ” เธอกับเฮเลลจึงเริ่มลงมือซ่อมยาน ด้วยความรู้เกียวกับเทคโลโยลีของจักรวรรดิของเฮเลล และทักษะด้านนี้ของอลิเซีย ทำให้พวกเขาหาสาเหตุ และซ่อมยานนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง มันก็พร้อมบินออกอีกครั้ง
คุกใต้ดิน
ลึกลงมาจากพื้นดินหลายสิบเมตร เป็นที่คุมขังที่สร้างพิเศษเพื่อพวกไฮบริดเทียมที่ผิดพลาดจากการทดลองของจักรวรรดิ มันเป็นคุกที่มีความไฮเทคสูง มียามรักษาการณ์ กล้องวงจรปิด และเทคโนโลยีเหนือขั้นที่เอาไว้ป้องกันการจลาจลและความรุนแรงที่เกิดจากเหล่านักโทษอันตรายเหล่านี้ ไฮบริดแท้ในคุกนี้ถือว่าหาได้ยาก เพราะจักรวรรดิมักจะจับตายคนเหล่านั้น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ คริสเท็น แลนนิสเตอร์ ผู้ก่อการร้ายที่สร้างความสะพรึงกลัวให้ชาวไซอ้อน ด้วยการแฝงตัวเข้าไปในกอฟเวิร์นเฮ้าส์ และสังหารหมู่เจ้าหน้าที่หลายสิบนายคาที่ระหว่างการประชุม ได้ถูกหลานชายแท้ๆของจักรพรรดิ ออกคำสั่งให้จับเป็น และนำมาขังที่นี่ รวมกับเหล่าไฮบริดเทียมทั้งหลาย ห้องที่คริสเท็นอยู่นั้น เป็นห้องโล่งๆสีขาวที่ไม่มีแม้แต่เฟอร์นิเจอร์ใดๆ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการพลังไซโคคิเนซิสของเธอ พวกมันยังไม่เข้าใจพลังของเธออย่างแน่ชัด ชื่อของเธอพวกมันยังไม่รู้ด้วยซ้ำ พวกมันจึงเรียกเธอว่า ‘เดอะ เกิร์ล’
’ครืดดดด’ ประตูเหล็กหนาข้างหน้าห้อง บานด้านล่างสุดถูกสไลด์เปิดออกมา ถาดอาหารถูกส่งมาจากด้านนอก มันเป็นถาดเปล่าๆที่มีขวดน้ำอยู่สามขวด เป็นเทคโนโลยีที่นำสารอาหารที่เพียงพอใส่ในของเหลว เพื่อให้ง่ายต่อการกิน ใช้กับนักโทษและทหารที่ออกรบ คริสเท็นที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ริมห้องอย่างเงียบเชียบลืมตาขึ้นกับเสียงประตูและเห็นอาหารของเธอถูกส่งมา เธอยังคงใส่ชุดพนักงานทำความสะอาดที่ใช้ในการลอบสังหาร ‘แกร่ก’ โซ่ตรวนที่ขาของเธอที่ยาวหนึ่งเมตรถูกคลาย ทำให้มันสามารถยืดออกไปได้ไกลกว่านั้น เพื่อให้เธอเดินไปหยิบอาหารจากทางเข้าได้
แน่นอนว่ามีคนดูเธอตลอดเวลาผ่านกล้องวงจรปิด “กินซะ มีคนกำลังจะมาเยี่ยม” ’เพล้ง!’ เธอใช้พลังจิตของเธอผลั่กถาดอาหารนั่นกระจุยอย่างไม่ใยดี เวลาผ่านไปสักพัก ประตูเหล็กก็เปิดออก ชายที่เดินเข้ามานั้นมีผมสีดำ ใบหน้าที่ดูมีเล่ศนัย และที่เธอคุ้นเคย คาร์ลอส ไฮเซ็น เรฮัลเนม เดินเข้ามาอย่างช้าๆ เมื่อเธอเห็นเช่นนั้น เธอจึงตกใจมาก
“มีอา... ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“สุดท้ายเธอก็โดนจับ ชั้นเตือนแล้วแท้ๆเลยน้า—“ เขาพูดอย่างกวนประสาท
ไม่มีเสียงตอบรับจากคริสเท็น คาล์จึงเข้าใจว่าคริสเท็นคงไม่อยากพูดอะไรในระหว่างที่มีคนจับตามองเธออยู่ คาล์หัวเราะชอบใจ “ไม่ต้องห่วง ชั้นโน้มน้าวพวกการ์ดข้างนอกเรียบร้อยแล้ว” “ไม่มีกล้อง ไม่มีคนเฝ้า ชั้นพาเธอออกไปตอนนี้ยังได้เลย” คริสเท็นได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “นายต้องการอะไร” เธอกล่าวอย่างขึงขัง “เอ..? ก็ไม่มีอะไรนี่นา ถ้าเธอโดนขังอยู่แบบนี้มันก็ไม่สนุกน่ะสิ” คาล์พูดต่อ “แต่ว่าไป ชั้นประทับใจจริงๆนะเนี่ย ถึงจะรู้ว่าเธอเป็นสายลับก็เถอะ แต่ตัวตนเธอนี่มันเหมือนผีจริงๆเลยนะมีอา ขนาดพวกอ้วนนั่งโต๊ะยังหาตัวตนของเธอไม่ได้เลย” ทั้งสองจ้องหน้ากัน คริสเท็นไม่สามารถเข้าใจความต้องการของหมอนี่ได้เลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา “หลานชายของจักรพรรดิ จะช่วยผู้ก่อการร้ายด้วยเหตุผลปัญญาอ่อนนั่นน่ะนะ” เธอกล่าว พยายามจะเค้นความจริงจากเขา “ชั้นอาจจะได้หวดกับเธอแบบจริงๆจังๆด้วยสักทีล่ะนะ...” คาล์พูดลอยๆขึ้นมา เลี่ยงประเด็นที่คริสเท็นกล่าวก่อนหน้านี้
คาล์หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเป้เล็กๆของเขา มันถูกห่อด้วยผ้าหนาสีฟ้า เขาค่อยๆคลี่มันออกมา ด้านในนั้นคือมีดอันคมกริบสีฟ้า “เธอนี่นะ เคร่งเครียดตลอดเวลาเลยจริงๆ” เขายิ้มและปามีดนั้นไปทางคริสเท็น ’ปั่ก!’ มีดสีฟ้านั้นปักไปที่กำแพงด้านหลังคริสเท็น ไม่ห่างจากศีรษะของเธอ ตัวเธอนั้นไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว “ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป กล้องวงจรปิดนั่นจะไม่ทำงาน” เขาชี้ไปด้านบนไปยังกล้องวงจรปิด “พรุ่งนี้ตอนเช้าๆ ประตูเหล็กนี่จะเปิดออก” คาล์พูดต่อ “ระดับเธอแล้ว แค่มีดเล่มเดียวก็คงหนีออกไปได้อยู่แล้วล่ะนะ” เขาพูดอย่างกวนประสาท ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง “ยอมรับเถอะมีอา เธอตัดสินใจพลาดไปหน่อยนะ”
คาร์ลอส เดินออกจากห้องขังไป คริสเท็นหันไปดึงมีดเล่มนั้นออกจากผนังมาดู เธอครุ่นคิดถึงตัวเลือกที่เธอทำไป เธอเลือกจำนวนก่อนความปลอดภัยของตัวเธอเองกับไซกะ แต่ตอนนี้ไซกะคงปลอดภัยดี เธอหวังว่าอย่างนั้น คริสเท็นสังเกตุไปยังใบมีด มันมีความว่า เบส เฟรนด์ ฟอร์เอฟเวอร์ สลักอยู่
เนื่องจากที่นี่เป็นคุกลับที่จักรวรรดิเอาไว้ขังพวกตัวทดลองผิดพลาด คริสเท็นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน เธอไม่เคยได้ยินชื่อมันมาก่อน ทำให้เธอไม่รู้แบบแปลนของสิ่งก่อสร้าง ทำให้วางแผนได้ไม่ละเอียด พวกเขาจับเธอใส่รถเกราะสีดำพิเศษ ทำให้เธอไม่รู้ทางและที่ตั้ง แต่ตั้งแต่เธอได้วิช่วลกลับมาจนถึงตอนที่เธอถูกจับเข้าห้องขังนั้นเธอจำแผนที่ได้อย่างคร่าวๆ คริสเท็นจึงเริ่มลงมือวางแผนการหนีออกจากที่นี่ ตามที่คาร์ลอสบอก เธอนำมีดสีฟ้านั้นมา และค่อยๆซ้อมฟันอากาศเพื่อเรียนรู้น้ำหนักและองศา การใช้งานต่างๆของมีด เธอลองปามันไปปักกำแพงและซ้อมต่างๆนาๆ เพื่อให้เธอใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเมื่อเวลามาถึง
ทางด้านคาล์นั้น หลังจากเดินออกมา ประตูเหล็กนั่นก็ปิดลง ทหารที่ยืนเฝ้าประตูอยู่นั้น ยืนตรงๆอยู่ด้วยแววตาที่ไร้ชีวิต มันเหมือนเขาไม่มีสติอยู่ คาล์หยุดอยู่ใกล้ๆ เขายื่นนิ้วไปด้านหน้าและดีดนิ้วใส่หน้าของทหารคนนั้น นัยน์ตาของเขากลับมา เขาสะดุ้งเหมือนเพิ่งตื่นจากการนอนหลับ เมื่อเขาเห็นคาล์ เขาก็ทำมือวันทยาหัตทันที “ตั้งใจทำงานนะไอหนุ่ม” คาล์ตบไหล่แปะๆอย่างกวนประสาทก่อนจะเดินออกไป เขาตรงเข้าไปในห้องควบคุมใกล้ๆ มันเป็นห้องเล็กๆที่มีคอนโซลอยู่ตรงกลาง และมีเก้าอี้อยู่สองตัว เป็นห้องควบคุมที่สร้างมาเพื่อจับตาดูห้องของคริสเท็นโดยเฉพาะ คุกชั้นล่างสุดชั้นนี้นั้นมีห้องแบบนี้ทุกๆห้อง ทหารทั้งสองคนนั้นนั่งจ้องจอมอนิเตอร์อยู่ แต่จอนั้นเป็นแค่ภาพดำๆสแตติกๆเหมือนทีวีที่ไม่มีสัญญาณเท่านั้น พวกเขานั่งมองภาพวงจรปิดที่ปิดการทำงานอยู่ “อย่าลืมล่ะหนุ่มๆ พรุ่งนี้สิบโมง ปลดโซ่ เปิดประตู” คาร์ลอสกล่าว “แล้วอย่าถ้ำมองแม่สาวสวยล่ะ” เขาพูดขำขันก่อนจะเดินออกไป จากนั้นคาร์ลอสก็เดินขึ้นไป และออกมาจากตึกแห่งนั้น
ตึกที่เขาเดินออกมานั้นเป็นตึกสี่เหลี่ยมจตุรัสใหญ่สีดำ มันตั้งสูงหลายสิบเมตร ที่บริเวณที่ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่ แต่ที่นี่เหมือนจะล้อมรอบไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย หุ่นรบ รถถังและเครื่องบิน เหมือนที่นี่จะเป็นฐานลับของจักรวรรดินั่นเอง ตึกที่คาล์ออกมานั้นมันไม่ใช่แค่คุกขังไฮบริดเทียม มันยังเป็นที่สร้างไฮบริดเทียมอีกด้วย
เขากำลังจะขึ้นรถเพื่อออกจากที่นี่ แต่เจอคนคนหนึ่งเสียก่อน “คุณคาร์ลอส!” เรนิต้า หญิงสาวผมสีขาววิ่งเข้ามาหา เธอแสดงอาการเหนื่อยอย่างชัดเจน “หืมม คุณเรนิต้า มีธุระอะไรกับผมหรือครับ?” เรนิต้าพักหายใจสักครู่ ก่อนจะต่อการสนทนา “คุณคาร์ลอส ชั้นรู้ว่าคุณปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ และชั้นต้องการรู้สิ่งเหล่านั้นค่ะ” เรนิต้ากล่าวอย่างแน่วแน่เหมือนมองทะลุจิตใจของคาล์หมดสิ้น “ปฏิกิริยาของคุณในการประชุมเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา ชั้นสังเกตุเห็น” เธอกล่าวต่อ “ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคุณถึงเลือกจะปิดมันไว้” คาล์ยิ้มอย่างพอใจ ดูเหมือนเขาจะเจอคนที่น่าสนใจอีกคนแล้ว “เหตุผล? ก็เพราะผมสนุกยังไงล่ะครับ” เขากล่าว “ถ้าคุณเรนิต้า อ่านปฏิกิริยาของผมออกจริงๆ ก็คงจะรู้ว่า ผมคงไม่บอกอะไรอยู่แล้วนะครับ” เขาพูดต่อ เรนิต้าไม่พอใจกับคำตอบที่เขาได้อย่างมาก “ถ้าคุณไม่เลือกฝั่ง เล่นเกมนี้แบบครึ่งกลางๆล่ะก็ ระวังมันจะจบไม่สวยนะคะ” ประโยคนี้ของเรนิต้า เป็นสิ่งที่คาร์ลอสคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก เขาหันมาหาเรนิต้า และจ้องเธอสักพัก เรนิต้ารู้สึกมึนหัวเล็กน้อย เหมือนมีอะไรบางอย่างมาเล่นกับสมองของเธอ คาร์ลอสมองหน้าเรนิต้าอยู่พักหนึ่ง เขาเข้าแทรกแทรงความทรงจำของเธอด้วยพลังของเขา ก่อนที่จะเสร็จ
“น่าตลกจริงๆนะ” เขากล่าว “ผู้สูงส่งเรนิต้า มาบอกให้ผมเลือกฝั่งอย่างนั้นหรือ” คาร์ลอสกล่าว เขาค่อยๆหันหลังและเดินออกมา “เมื่อเวลามาถึง คุณนั่นแหละ ที่จะต้องเลือกข้าง” เขากล่าว ก่อนจะเดินจากไป
End
|
|
|
Post by tonklaaaaaawow on Jul 7, 2018 11:42:31 GMT
Chapter 6 : Into darkness
ไซอ้อน คืนวันนั้นเอง ท่ามกลางเหตุการณ์อันวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วทวีป ณ ไซอ้อน เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินอยู่ตามลำพัง เขาเป็นสายลับจากดินแดนที่ห่างไกล คุโรซากิ ไซกะ เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักเหมือนผู้หญิงผมสีขาวนัยน์ตาสีเงิน ได้แค่คอยเฝ้ามองการติดต่อกลับจากพรรคพวกของเขา จากบ้านที่เขายังไม่รู้ว่าไม่มีอีกแล้ว มันผ่านไปยังไม่ถึงวันด้วยซ้ำตั้งแต่เขาและคริสเท็นออกปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ แค่ไม่กี่อึดใจ ตอนนี้เขาก็ไม่เหลือใครเลย
ความเหงาและความกลัวเริ่มครอบงำจิตใจไซกะ แต่เขาจะไม่ปล่อยให้มันกลืนกิน ถึงเขาจะอายุยังน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครอื่นด้านประสบการณ์ ไซกะสะบัดความรู้สึกลบทิ้งไป เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่อยู่เฉยๆรอความช่วยเหลือ เขาเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นแพคใส่กระเป๋าเป้ และเตรียมออกจากห้องเช่าที่เช่าไว้กลางเมือง ก่อนจะเดินออกไซกะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ปืนพกกระบอกเล็กที่วางอยู่ที่หัวเตียง ไซกะเดินไปหยิบมันขึ้นมา และเสียบไว้ที่เอวของเขา ก่อนจะเอาชายเสื้อมาปิด เขาย่อตัวลงไปจับที่ข้อเท้าขวา เพื่อเช็คว่ามีดคารัมบิทที่เขาซ่อนไว้นั้นยังอยู่ดีหรือไม่ เมื่อเตรียมการเสร็จแล้ว ไซกะมุ่งหน้าลงมาจากชั้นบนที่เขาอยู่ และออกมาหน้าตึก เขามองไปรอบๆ ถึงจะผ่านมาหลายชั่วโมง ผู้คนยังคงวุ่นวายจากเหตุการณ์นั้น ไซกะเริ่มเดินทางไปยังศูนย์กลางความวุ่นวายเพื่อหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด ทันใดนั้นเอง เขาได้ยินเสียงบางอย่าง ไซกะหันไปมอง เห็นรถเหาะได้คันสีขาว ที่มีไฟกระพริบสีแดงน้ำเงินสลับกัน มาพร้อมเสียงไซเรนที่ดังก้อง รถพยาบาลนั่นเอง รถพยาบาลคันนั้นมีการเก็บล้อ และใช้การลอยตัวขึ้นไป มันสูงจากพื้นประมาณเกือบห้าเมตรได้ เป็นความสูงที่ขับได้แค่รถพยาบาลหรือรถของข้าราชการระดับสูง และกรณีเหตุด่วนเหตุร้ายเท่านั้น ในเวลานี้มีหลายคันที่ฉวยโอกาสขับในระดับความสูงเท่านี้ แต่รถพยาบาลคันนี้ก็เด่นออกมาจากคันอื่นๆมาก ไม่ห่างไปจากไซกะมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ไม่ยากที่จะเดาว่าที่นั่นคือเป้าหมายของรถคันนี้ รถพยาบาลแล่นไปถึงหน้าโรงพยาบาลในเวลาไม่ช้า พนักงานสองคนลงมาจากรถอย่างว่องไว เปิดประตูด้านหลังรถ ทั้งสองรีบเดินและมาช่วยแบกเปลผู้บาดเจ็บลงจากหลังรถ เริ่มมีพยาบาลและเจ้าหน้าที่หลายคนวิ่งออกมาจากโรงพยาบาลเพื่อมาช่วยชายผู้นั้น ไซกะเกือบที่จะละสายตาไปแล้ว แต่เขามองเห็น แค่วินาทีเดียว ใบหน้าที่คุ้นเคยของชายผมสีดำที่นอนหมดสติอยู่บนเปล เขาหลับตาและสวมหน้ากากช่วยหายใจ แต่ไซกะไม่ลืมแน่ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน มันเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยกับสิบปีที่ห่างหายกันไป “เรย์จิ” ไซกะกล่าวขึ้นด้วยสายตาที่จ้องมองไปยังชายผู้นั้น เขาชั่งใจระหว่างภารกิจและเรื่องส่วนตัว แต่จะมีน้องชายที่ไหนที่จะไม่อยากเจอพี่ตัวเองหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานนับปี เขารีบวิ่งไปทางโรงพยาบาลอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง “พี่เรย์จิ!” ไซกะพยายามวิ่งเข้าไปหาร่างที่อยู่บนเปลระหว่างที่ทำการเคลื่อนย้าย แต่ถูกพยาบาลและเจ้าหน้าที่กันไว้ เขาตะเกียกตะกายเข้าไปแต่ก็ไม่พ้น ตลอดทางตั้งแต่หน้าทางเข้าจนถึงห้องฉุกเฉิน ไซกะนั่งรออยู่บริเวณส่วนรวมของโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยผู้คน เขาได้แต่นั่งรออย่างมีความหวังที่จะได้พบกับพี่ชายของเขา หลายสิบนาที ไซกะเดินขึ้นไปที่เค้าเตอร์ “ผมมาพบ คุโรซากิ เรย์จิ ครับ” เขาพูด “สักครู่นะคะ” พนักงานสาวที่เค้าเตอร์กล่าว ก่อนจะเริ่มทำการค้นหาประวัติผู้ป่วยที่ฐานข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ของเธอ “ขออภัยด้วยนะคะ” เธอกล่าวขึ้นมา “ไม่มีผู้ป่วยชื่อนี้น่ะค่ะ ..” ไซกะตอบกลับอย่างทันควัน “แต่เมื่อกี้ผมเพิ่งเห็นเขาเข้ามาเองนะครับ!” “ผู้ชายผมสีดำ ที่มาพร้อมกับรถพยาบาลเมื่อหลายสิบนาทีก่อน!” ไซกะยังคงพยายามต่อ
“อ้อ คุณอีโวลต์ เขาพักอยู่ชั้นบนสุดค่ะ”พนักงานอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินจึงพูดออกมา
“แต่ทางเราไม่อณุญาติให้ใครเข้าเยี่ยมนะคะ” เธอกล่าวเสริม “..ขอบคุณครับ ไม่เป็นไรครับ” ไซกะกล่าว ที่ผ่านมาเขาไม่อยากยอมรับว่าพี่ของเขาคืออีโวลต์ แต่นี่อาจจะถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริง แน่นอนว่าเขาไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว เขารีบตรงดิ่งไปยังลิฟต์ และมุ่งหน้าไปยังชั้นบนสุดทันที เขากดลิฟต์ที่ชั้นยี่สิบห้า ไซกะรอแทบไม่ไหวที่จะได้เจอพี่ชาย ระหว่างทางลิฟต์แวะรับคนมากมาย หยุดหลายชั้น ทำให้รบกวนใจเขาไม่น้อย ’กรึ๊งง’ เสียงของลิฟต์ดังขึ้น ไซกะได้ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดแล้วในที่สุด ชั้นนี้ถูกสำรองไว้สำหรับบุคคลสำคัญทางการเมืองและการทหาร และด้วยเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น มันจึงไม่แปลกเลยที่มีคนเข้าออกเดินไปมาเต็มไปหมดทั้งพยาบาล หมอ และญาติๆของคนไข้ ไซกะเดินออกมาจากลิฟต์และเริ่มไปตามทางเดินทันที เกินครึ่งห้องของชั้นนี้ มีตำรวจหรือคนในชุดสูทยืนเฝ้าอยู่ ไซกะมองไปยังห้องๆหนึ่ง ที่ริมสุดของทางเดิน ซึ่งมีคนเฝ้าอยู่ถึงสามคนหน้าห้อง ทำให้เขาเดาว่านี่อาจจะเป็นห้องที่ตามหา เขาเพ่งสายตาไปยังป้ายชื่อ “อีโวลต์” นี่แหละคือห้องทีพี่ชายของเขาอยู่ ไซกะเดินไปข้างๆห้องริม เป็นห้องที่ไม่มีใครเฝ้า เขาเปิดประตูเข้าไปช้าๆ ผู้ป่วยคนนี้นั้นไม่มีคนมาเยี่ยม เขาเป็นคนชราคนหนึ่งที่นอนเจ็บปวดอยู่บนเตียงด้วยโรคบางอย่าง ไซกะเดินผ่านร่างของชายคนนั้นช้าๆ เหลือบตาไปมองเขา ดูเหมือนชายชราจะเห็นไซกะเช่นกัน แต่เมื่อความตายใกล้มาถึงเขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ไซกะตรงไปยังกระจก เขาเปิดออกและเข้าไปที่ระเบียง และหันไปทางระเบียงห้องข้างๆนั้น และถอดกระเป๋าเป้ และโยนข้ามไปยังอีกฝั่ง ไซกะขึ้นมายืนบนขอบระเบียงที่สูงเท่าอกเขาอย่างช้าๆ ขาของเขาสั่นเล็กน้อย เขาอดใจไม่ได้ที่จะมองลงไปข้างล่าง สามสิบชั้น เป็นความสูงที่น่ากลัวเหลือเกิน มันทำให้เขาเข่าอ่อน แต่ระเบียงถัดไปนั้นไม่ไกลมาก กระโดดถึงสบายๆอยู่แล้ว นอกซะจากความกลัวจะทำให้เขาทำพลาดเสียเอง เขาหลับตาทำสมาธิและเป่าลมออกมาเฮือกใหญ่ ใช้มือจับตัวตึกไว้ และขึ้นมายืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง และกำลังจะกระโดด เขาสังเกตุอะไรได้ก่อนหน้านั้น “ฮึ้บบ.. “ ไซกะใช้สองมือเกาะตึกไว้และเอียงตัวยืดขาข้างหนึ่งไปเหยียบระเบียงอีกฝั่ง เขาขยับตัวช้าๆและเกาะจนกระทั่งข้ามมาอีกฝั่งได้โดยไม่ต้องกระโดด “เกือบแล้วไง...” เขาพึมพำกับตัวเอง ผ้าม่านของห้องๆนี้นั้นถูกปิดอยู่ทำให้เขามองไม่เห็นอะไรภายใน ไซกะพยายามเปิดกระจกแต่มันก็ล็อค เขาจึงหยิบเข็มเล็กๆสองอันออกมาจากกระเป๋าเป้ และเริ่มพิคล็อคอย่างเชี่ยวชาญและเงียบเชียบ
’แกร่ก’ ไซกะสไลด์บานเลื่อนออกอย่างช้าและระมัดระวังที่สุดในชีวิตของเขา โชคดีที่คืนนี้นั้นลมไม่แรง เป็นใจให้ไซกะเป็นอย่างมาก เขาเปิดบานเลื่อนออกเล็กๆแค่ให้ตัวเขาผ่านไปได้ ไซกะนั่งยองลง และเปิดผ้าม่านเป็นช่องเล็กๆและส่องเข้าไป เนื่องจากอยู่ที่มุมต่ำ ทำให้เขามองไม่เห็นอีโวลต์ที่นอนอยู่บนเตียง แต่เขาก็ไม่เห็นใครคนอื่นในห้องเช่นกัน ไซกะสอดตัวผ่านผ้าม่านเข้ามาอย่างระมัดระวัง เมื่อเขาเข้ามา เขาก็ปิดบานเลื่อน และรีบย่องไปล็อคประตูอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ มันเป็นห้องพักผู้ป่วยที่หรูหราเหมาะกับตำแหน่งของผู้พัก เตียงรุ่นล่าสุด โซฟาใหญ่โอ่อ่า เวอร์ช่วลทีวี ตู้เย็น โต๊ะ ทุกอย่างพร้อม เขาค่อยๆเดินไปยังเตียงผู้ป่วย อีโวลต์ ชายหนุ่มผมดำนอนหลับตาอยู่ เขาไม่ได้ใส่หน้ากากช่วยหายใจอีกต่อไป อีโวลต์อยู่ในชุดคนป่วยสีเขียวอ่อน มีเข็มเจาะจากมือเขาไปสู่เครื่องมือที่หัวเตียง
“..พี่เรย์จิ .. จริงๆด้วย”
ทางเหนือ
หลังจากเฮเลลและอลิเซียช่วยกันซ่อมยานที่พวกเขาขโมยมาจากทหารจักรวรรดิ ทั้งห้าคนกำลังอาศัยอยู่ในยานและให้คนขับที่พวกเขาจี้เป็นตัวประกันพาไปยังไซอ้อน พวกเขาบินมาได้ระยะหนึ่ง โดยที่เอมม่านั้นเป็นคนนั่งข้างๆคนขับแลคอยเอาปืนจ่อตัวเขาไว้ และไฮบริดทั้งสี่คนกำลังนั่งวางแผนอยู่ด้านหลังเครื่อง บิทเทอร์วินด์ หมู่บ้านใหญ่ๆใกล้ๆที่เป็นที่ตั้งของจักรวรรดิ ยานที่พวกเขานั่งกำลังมุ่งหน้าเข้าใกล้บิทเทอร์วินด์ และลดระดับลงเรื่อยๆ อาลอยรู้สึกได้ถึงระดับความสูงที่ลดลง เธอรู้ว่าพวกเขายังไม่ถึงไซอ้อนแน่ๆ “นี่นายกำลังจะไปไหนน่ะ!!” เธอหันไปทางคนขับและตะโกนขึ้นมา ทำให้ทุกคนตกตื่น “อะไรกัน!” “เอมม่า!!” อลิเซียตะโกน เอมม่าเองก็ตื่นตกใจเช่นกัน เธอยกปืนขึ้นจ่อหัวคนขับด้วยมือที่สั่นระรึก “ยะ...หยุดนะ!” เอมม่าตะโกนด้วยความตกใจ คนขับยานไม่สะทกสะท้านอะไร เขารู้ว่าเอมม่าไม่กล้ายิงเขาอยู่แล้ว อีกไม่กี่สิบเมตรพวกเขาจะถึงพืนและลงจอด “เอมม่า มัวแต่ทำอะไรอยู่!!” อลิเซียตะโกน ทั้งห้าคนต่างตื่นตระหนัก อลิเซียควบคุมสติและชักปืนออกมายิงเข้ากลางหัวของคนขับ ทำให้เขาตายในทันที กระสุนนัดนั้นมันทำให้สถาณการณ์วุ่นวายเข้าไปมากกว่าเดิม ยานที่ไร้คนขับ กำลังจะดิ่งพุ่งลงไปยังบิทเทอร์วินด์ด้วยความเร็วสูง เฮเลลรีบวิ่งเข้าไปที่ที่นั่งคนขับ เขาพยายามจะเชิดหัวยานขึ้นและบินออกไป
“บ้าเอ๊ย!”
“แย่แล้วสิ!”
“ไม่นะ!!” ’ครืดดดดดด!’ ยานลำนั้นไถลลงมากับพื้น เฮเลลช่วยทำให้ยานไม่กระแทกลงมาที่พื้นเต็มๆได้ แต่มันก็ยังได้รับความเสียหายอยู่ พวกเขากระเด็นกระจัดกระจายเต็มยานจากแรงกระแทก “นะ..นี่มัน” นิโนะกล่าวขึ้น เธอมองไปยังกระจกด้านหน้า “บิทเทอร์วินด์” อาลอยพูด “พวกเรายังมีโอกาสรอดไปได้นะครับ” เฮเลลกล่าวขึ้น ถึงจะรู้ดีว่าตอนนี้เอายานขึ้นไม่ได้แล้ว “ต้องลงไปทางเดียวแล้วล่ะ..” เฮเลลกล่าวเสริม ทุกคนเมื่อได้ยินดังนั้นก็สวมหมวกของพวกเขาให้ดูเหมือนปลอมตัวเป็นทหารจักรวรรดิ ทุกคนช่วยกันยกศพของคนขับคนเก่าไปหลบไปซอกหลืบ และเอาผ้าหรืออะไรก็ตามมาปิดคอนโซลเพื่อปิดรอยเลือดไม่ให้ถูกเห็นง่ายๆ ก่อนที่อลิเซียจะกดปุ่มเปิดประตู ประตูที่ท้ายยานค่อยๆยกขึ้นช้า เพราะการลงจอดอันรุนแรงและผิดปกติของยานพวกเขา ทำให้ทหารหลายๆคนที่อยู่ที่นั่นกรูกันเข้ามาดูสถานการณ์ พวกเขาอยู่ในชุดเอ็กโซสูทพร้อมรบเหมือนกับทั้งห้าคนที่ใช้มันปลอมตัว คนในหมู่บ้านหลายๆคนก็ออกมาดูสถานการณ์กับเขาด้วย บิทเทอร์วินด์ถูกรุนรานเมื่อปีที่แล้ว และมีทหารจักรวรรดิประจำการอยู่ที่นี่จำนวนหนึ่ง แต่คนในหมู่บ้านก็ยังไม่ชินและยังคงหวาดกลัวและต่อต้านเสมอมา พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเงียบๆหลบๆซ่อนในบ้านและกลุ่มเล็กๆของตนเอง “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ทหารหนึ่งในกลุ่มที่เดินเข้ามากล่าว ทั้งห้าคนมองหน้ากัน พวกเขาสักคนต้องเป็นคนก้าวออกมาเป็นอธิบายอะไรสักอย่าง “ยานพวกเราขัดข้องน่ะ” เอมม่าในชุดเกราะขอบแดงกล่าวขึ้น เธอหัวไวพอที่จะสร้างเรื่องขึ้นมายื้อเวลา และเสื้อเกราะที่เธอใส่มันแตกต่างจากคนอื่นๆ เหมือนกับเธอเป็น”กัปตัน” ของทีมทีมนี้ เธอก้าวออกมาหน้าทุกคน เอมม่านั้นไม่ได้ตัวใหญ่กำยำเหมาะกับเป็นทหาร แต่ในสมัยนี้ เอ็กโซสูทมันไม่ได้แบ่งแยกคนอ่อนแอกับแข็งแกร่งอีกแล้ว การมีกล้ามเนื้อเป็นแค่ส่วนเสริม โบนัสเท่านั้นเมื่อเทียบกับการไม่มี
“ยานของพวกเราพังเมื่อชั่วโมงก่อน” เธอกล่าวต่อ
“ถ้าจำไม่ผิด พวกเราเองก็ส่งสัญญาณมารายงานแล้วนี่” เอมม่ากล่าว เธอหันไปหาคนที่เหลืออีกสี่คน เพื่อบอกให้พวกเขาเข้ามาแจมด้วย
“ใช่แล้วค่ะหัวหน้า” อาลอยกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง ทำให้มันดูน่าเชื่อเข้าไปอีก พวกเขาได้แต่หวังว่ากลุ่มเก่าที่เป็นเจ้าของยาน จะส่งรายงานมาที่นี่ เนื่องจากมันเป็นที่หมาย เมื่อพวกเขาได้ยินดังนั้น ทหารคนที่มาถามก็หันกลับไป “ดูล็อกซิ๊” เขากล่าวกับอีกนายหนึ่ง ชายคนนั้นหยิบอุปกรณ์บางอย่างขึ้นมาและเลื่อนมันเพื่อหาประวัติการสื่อสาร “เจอแล้วครับหัวหน้า” เขายื่นให้หัวหน้าของเขาดู ชายคนนั้นหันกลับไปดูสักครู่ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้เอมม่า “ขอประทานโทษที่เสียมารยาทครับ!” เขากล่าว ดูเหมือนชายคนนี้จะยศต่ำกว่าใครก็ตามที่เป็นเจ้าของชุดเก่านี่ “เดี๋ยวจะส่งช่างเราไปซ่อมยานให้นะครับ!” เขากล่าว “ไม่เป็นไร! พวกเราจัดการกันเองได้!” อลิเซียพูดออกมา พวกเขาปล่อยให้คนพวกนั้นเข้าไปเจอศพและรอยเลือดที่พวกเขาซ่อนไว้อย่างชุ่ยๆไม่ได้ และถ้าตรวจสอบยานอย่างละเอียดจริงๆ ก็จะพบว่าทั้งห้าเคยใช้วิทยุสื่อสารตรงไปยังแคนเธอร์ ทำให้พวกเขาตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน “รับทราบครับ!” ชายคนนั้นกล่าว ก่อนจะเดินกลับไปพร้อมพรรคพวก หลังจากพวกเขาออกไปพ้นระยะหนึ่ง ทั้งห้าก็โล่งใจขึ้นมาระดับหนึ่ง “จะเอายังไงต่อดีคะ” นิโนะกล่าวขึ้นมา
“พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างกับยานลำนี้” เฮเลลกล่าว
“ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย!” อลิเซียพูดขึ้นมาอย่างกวนประสาท
“เดี๋ยวนะคะ” อาลอยกล่าวขึ้นมา
“ทหารพวกนั้น รวมถึงเราด้วย ถ้าเดาไม่ผิด พวกนั้นคงมาเพื่อสำรวจแคนเธอร์ หา.. หินกิฟเตอร์ และพวกเราอยู่”
“แสดงว่า อีกไม่นาน ถ้ารวมตัวเสร็จ เราอาจจะมีโอกาสได้อยู่ที่นี่โดยลำพังก็ได้นะ” “งั้นพวกเราก็ต้องเฝ้ายานลำนี้ไว้สินะคะ” นิโนะเอ่ย “พวกเราต้องแบ่งเป็นสองกลุ่ม” อลิเซียออกคำสั่งขึ้นมา เธอชี้ไปอีกทางของหมู่บ้าน ทหารหลายๆนายเริ่มตั้งแถวรวมตัวกัน พวกเขามีจำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบนาย “นิโนะ กับอมม่า เธอสองคนอยู่ที่ยาน คอยเผ้ามันเอาไว้” “พวกเราที่เหลือจะไปรวมกลุ่มกับพวกนั้น และหาจังหวะแยกตัวออกมา” อลิเซียเสนอแผน “ชั้นไม่เห็นด้วยนะคะ” อาลอยกล่าว “คุณอลิเซีย ควรจะอยู่ที่นี่ เผื่อเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทักษะของคุณอลิเซียสามารถป้องกันได้ค่ะ” ทั้งห้าดูจะเห็นด้วย รวมถึงอลิเซีย “งั้นผมกับอาลอย จะไปรวมตัวกับคนอื่นๆ” เฮเลลกล่าว อาลอยเดินขึ้นไปบนยานและหยิบถุงสีดำยาวออกมา เธอเก็บธนูและลูกศรของเธอไว้ที่นั่น รวมถึงขวานด้วย เพื่อไม่ให้ใครเห็นมัน ทั้งสองในชุดเกราะเดินแยกกลุ่มออกมาเพื่อไปรวมตัวกับคนอื่นๆ “ระวังตัวด้วยล่ะทุกคน” อลิเซีย เอมม่า และนิโนะนั้นอยู่ที่ยานกลางเมืองที่ลงจอดอย่างเละเทะ อลิเซียเดินเข้าไปในยาน “นิโนะ มาช่วยชั้นหน่อย” เธอกล่าว “ได้ค่ะ” นิโนะตอบ เธอหันไปทางเอมม่าทีอยู่ข้างๆ “พี่เอมม่า ระวังตัวด้วยนะคะ ถ้ามีอะไรให้ตะโกนเรียกพวกเราทันที” นิโนะกล่าวก่อนจะเดินขึ้นไป เอมม่ายังคงไม่พอใจเหล่าคนเหล่านี้ เธอรู้สึกเหมือนเป็นแค่เครื่องมือ เป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกลากมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด บางทีเธอก็มีความคิดในหัวว่า ถ้าเธอตายไปพร้อมคนในหมู่บ้านมันอาจจะดีกว่า เธออาจจะไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทางด้านอาลอยและเฮเลลที่มาถึงที่รวมพล ดูเหมือนทหารจะมีเยอะกว่าที่พวกเขาทั้งสองคิดไว้ น่าจะถึงสามสิบกว่าคนได้ และดูเหมือนจะมีมาเพิ่มอีก ยานลำหนึ่งกำลังบินลงมาจากฟ้า ดูเหมือนจะเป็นลำสุดท้ายแล้ว ทั้งสองยืนอยู่ด้วยความตื่นตัว พร้อมตลอดเวลาเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น ‘ฟู่มมมมมม’ ยานลำสุดท้ายลงจอด มันดูไม่ต่างจากยานลำอื่นๆที่จอดอย่างเป็นระเบียบแถวนี้เลย ดูเหมือนเป็นแค่ยานอีกลำหนึ่งที่ขนทหารธรรมดาเท่านั้น แต่ท่าทางของทหารรอบๆพวกเขาดูตัวเกร็งขึ้นอย่างชัดเชน พวกเขายืดตัวตรง เกร็งจากการผ่อนคลาย และแล้วเหล่าผู้โดยสารของยานลำนั้นก็ลงมา ทั้งสองไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปฏิกิริยาของทุกคนจึงเป็นแบบนี้ โดยเฉพาะเฮเลล เขาขนลุกซ่านด้วยความกลัว ความโกรธ และความตื่นเต้น ชายที่เกือบคร่าชีวิตของเขาไปเมื่อครึ่งวันก่อน ณ ตอนนี้แผลที่เขาทิ้งไว้ยังคงแสบทั้งร่างกายและจิตใจ การ์แลนด์ เดินลงมาจากยานลำนั้นพร้อมกับทหารในชุดเกราะสีขาวหกคนตามหลังเขามา เฮเลลรู้ดีว่าพวกนั้นคือใคร หน่วยอีลีทของการ์แลนด์ เป็นกลุ่มทหารที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆของจักรวรรดิ พวกเขาไม่เหมือนกลุ่มของอีโวลต์ ที่ชอบความรุนแรง และต่อสู้ด้วยความกระหายเลือด หน่วยอีลีทนั้นมีจำนวนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเขานั้นมีระเบียบวินัย ฝีมือ และทีมเวิร์คอันแข็งแกร่งเหลือเชื่อ ถ้าไฮบริดคนไหนโดนการ์แลนด์ไล่ล่า ก็ถือว่าพวกเขาชิบหายแล้ว แต่ถ้าการ์แลนด์มาพร้อมทีมอีลีทของเขา ถือว่าชิบหายวายวอดกันเลยทีเดียว เฮเลลเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เขาสู้เพื่อเหล่าไฮบริดแล้ว การ์แลนด์เดินลงมาช้าๆ เขามองไปรอบๆและสังเกตุเห็นยานของพวกอลิเซีย “นั่นเกิดอะไรขึ้นน่ะ” เขาชี้ไปทางยานนั้น เอมม่าเห็นการ์แลนด์ที่ชี้มา เธอตื่นตระหนกมาก แต่พยายามนิ่งที่สุดเท่าที่ทำได้ “แย่ล่ะสิ..” เฮเลลกระซิบกับอาลอย อาลอยยกมือขึ้นมา “ยานของพวกเราขัดข้องค่ะ! ทำให้การลงจอดผิดพลาด!” การ์แลนด์เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหันไปหาลูกน้องเขาทั้งหกคนและออกคำสั่งบางอย่าง การ์แลนด์และทหารชุดขาวอีกสองคนเดินลงมา พวกเขาตรงไปยังยานของพวกไฮบริดทั้งห้าคน เมื่ออาลอยและเฮเลลเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็รีบออกจากแถวแล้วเดินก้าวฝีเท้าตามทั้งสามไปอย่างว่องไว ‘ปังๆ!’ เอมม่าทุบข้างๆของยานสองครั้ง เพื่อให้สัญญาณว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้ การ์แลนด์และลูกน้องชุดขาวของเขาอีกสองคน กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยอาลอยและเฮเลล ประตูเปิดขึ้นอย่างช้าๆอีกครั้ง อลิเซียและนิโนะออกมาและมองเห็นการ์แลนด์ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อลิเซียคำนวณในหัวว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน ระหว่างชิงโจมตีก่อน หรือรอให้ความแตก หัวของเธอนั้นสั่งให้ชิงโจมตีก่อน เพราะเธอไม่คิดว่าจะรอดพ้นสายตาของการ์แลนด์ไปได้ แต่นั่นจะทำให้เอมม่าที่ไม่มีการป้องกันเป็นอันตรายไปด้วย “รายงานชื่อ และหน่วยมา” การ์แลนด์เกล่ากับเอมม่า เธอนิ่งสนิท เพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร ณ ตอนนั้นเฮเลลและอาลอยได้มาถึงแล้ว “ไม่ได้ยินหรือไง คนเขาถามคำถามน่ะ!!” ทหารคนหนึ่งในชุดขาวพูดขึ้นมา เฮเลลถึงกับหยุดชะงัก เขารู้จักเสียงนั้นดี เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่สำคัญกับเขามากๆในอดีต เมื่อเขายังเคยทำงานเป็นทหารของจักรวรรดิอยู่ มิกิ เดย์เบรก เธออยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่มันดูห่างไกลเหลือเกิน เฮเลลอยากที่จะเอิ้มมือไปสะกิดเธอ และบอกเธอว่าเขาเป็นใคร อาลอยเห็นสถาณการณ์ไม่ดี เธอค่อยๆล้วงมือไปด้านหลัง จับขวานของเธอไว้แน่น เตรียมพร้อมทุกเมื่อ ไม่เหมือนกับเฮเลล ที่หลงอยู่ในความคิด อลิเซียเองก็เตรียมตัวต่อสู้เช่นกัน “ชั้นจะถามอีกครั้ง ... “ “รายงานมาซะ” การ์แลนด์ย้ำ “...” ไม่มีเสียงตอบรับจากใครสักคน การ์แลนด์เมื่อเห็นดังนั้น เขาสะบัดมือ เรียกมีดที่แขนของเขาออกมาและเตรียมใช้งานมัน “ถอดหมวกออกซะ” ‘วี๊ดดดดด’… ‘ปัง!!’ อลิเซียหยิบปืนแรงดันอากาศของเธอออกมา ชาร์จมันด้วยพลังลมของเธอและยิงออกไป กระสุนที่อัดแน่นไปด้วยกระแสลมรุนแรงที่เธออัดไว้พุ่งตรงไปยังการ์แลนด์ และนั่นเป็นสัญญาณให้พวกเขาเปิดศึก ชายชุดขาวเองเมื่อเห็นดังนั้น เขาชักดาบเลเซอร์สีแดงขึ้นมา มันเป็นอาวุธพิเศษที่สร้างมาเพื่อหน่วยอีลีทโดยเฉพาะ เป็นดาบพลังงานสูงที่สามารถตัดได้ทุกสิ่ง ชายชุดขาวใช้ดาบเลเซอร์สีแดงมาป้องกันกระสุนลมของอลิเซีย หน่วยอีลีทอีกสี่คนที่อยู่อีกฟากเมื่อเห็นดังนั้นต่างก็ชักดาบเลเซอร์สีแดงของพวกเขาออกมา และเริ่มวิ่งมาทางนี้ เหล่าทหารสามสิบนายไม่ได้กระโจนเข้ามาร่วมวงด้วย มันเป็นกฏหรือธรรมเนียมที่พวกเขารู้กันว่าเมื่อหน่วยอีลีทต่อสู้เมื่อไหร่ จะไม่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ
“สไตรค์ ออฟ วัลคีรี่ย์!” อาลอยหันไปทางสี่คนที่กำลังวิ่งเข้ามา เธอหยิบคันธนูโบราณและเทลูกศรจำนวนมากออกมาที่พื้น เธอหยิบขึ้นมาหนึ่งดอก และยิงออกไปอย่างรวดเร็ว ลูกศรที่มีสายฟ้าสีเหลืองครอบ มันกระจายออกกลายเป็นร่างที่ดูเหมือนมนุษย์ผู้หญิงเก้าตน ร่างของพวกเธอเป็นสีเหลือง และมีออร่าสายฟ้ารอบๆตัว พุ่งเข้าใส่อีลีททั้งสี่คน ในเวลาเดียวกัน การ์แลนด์พุ่งเข้าโจมตีเอมม่าที่อยู่ข้างหน้าเธอด้วยใบมีดของเขา นิโนะพุ่งตัวมาใกล้ๆเอมม่า และกางม่านบาเรียเพื่อป้องกันเธอไว้ ใบมีดของการ์แลนด์แทงทะลุบาเรียพวกนั้นเข้าไปทำให้มันเกิดเป็นรอยแตกร้าว แต่มันไม่แรงมากพอที่จะทำให้บาเรียแตกสลายไปได้ อลิเซียกระโจนเข้ามาตรงกลาง “ไป!!” เธอตะโกนบอก เอมม่าและนิโนะกระโจนตัวออกไปข้างๆ ทำให้บาเรียสลายไป ทันใดนั้นเองอลิเซียที่รออยู่แล้ว ใช้พลังไฮบริดของเธอ ปล่อยคลื่นลมแรงเข้าใส่การ์แลนด์ ความหนาแน่นที่ทำให้คนธรรมดาปลิวไปหลายเมตรได้ แต่การ์แลนด์ทรงตัวอยู่กับพื้น เขาสไลด์ถอยหลังไปไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง มิกิในชุดเกราะอีลีท เห็นจังหวะนั้นจึงคว้าสกอร์เปี้ยนเทล์ของเธอออกมา และเล็งเป้าหมายไปยังนิโนะและอลิเซีย เธอพุ่งตัวเข้าไป และใช้หอกฟาดลงมา ‘เพล้งงง!’ เฮเลลใช้พลังไทม์คอนโทรลในการเข้าตำแหน่งและกันการโจมตี เขาใช้กันเบลดเพื่อกันสกอร์เปี้ยนเทลล์ไว้ เฮเลลจ้องมองมิกิมานานแล้ว เขารู้ว่าภายใต้เกราะสีขาวนั้นเป็นเธอ และทางด้านมิกิเองก็เช่นกัน เมื่อเธอเห็นอาวุธนั้นเธอก็รู้ทันที ว่าภายใต้หน้ากากนั้น เธอกำลังสู้อยู่กับใคร กลับมาที่อาลอย นักรบทั้งเก้าในร่างสายฟ้าพุ่งเข้าหากลุ่มอีลีททั้งสี่อย่างว่องไว ทหารในชุดขาวพยายามใช้ดาบเลเซอร์ของพวกเขาฟันมัน แต่มันทะลุไปเหมือนเป็นอากาศธาตุ ร่างสายฟ้าพุ่งเข้าชนพวกเขา แต่มันไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นเลยนอกจากควัน ชุดเกราะของพวกเขาถูกสร้างให้ป้องกันความเสียหายจากพลังของไฮบริดได้ พวกเขาวิ่งเข้ามาใส่อาลอยต่อทั้งสี่คน อาลอยเมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงหยิบขวานสายฟ้าออกมา และทุบมันลงไปที่พื้น ทำให้เกิดสายฟ้ากัมปนาตฟาดลงมาจากฟ้า และสาดใส่ทั้งสี่คน ‘เปรี้ยงง!!’ แต่พวกเขาใช้ดาบเลเซอร์ปัดป้องมันออกได้หมด อาลอยร่นถอยเพื่อทิ้งระยะห่างจากทั้งสี่คน และเริ่มง้างธนูของเธอและยิงออกไปด้วยลูกศรแบบต่างๆ แต่มันแทบไม่เป็นผลเลยเมื่อเจอกับพวกเขาเหล่านี้ ทหารชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้าประชิดเธออย่างรวดเร็วและง้างดาบเลเซอร์เพื่อจะฟันลงมา อาลอยใช้ขวานของเธอมาป้องกันได้ทัน “อั่กก!” เขาใช้หลังมือฟาดไปเต็มหน้าของเธอ ทำให้เธอเสียหลัก ฟันดาบไปทางเธอ ‘ซึ่สสสสส’ อาลอยพุ่งตัวหลบออกมาได้ แต่ดาบนั้นมันฟันโดนเอวของเธอ เธอจับแผลด้วยความเจ็บปวด ด้วยความร้อนของดาบทำให้เลือดที่ไหลออกมานั้นไม่มากนัก แต่แผลที่เธอโดนมันไม่ใช่แผลเฉี่ยวๆ
“พวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?” เอมม่าพูด เธอนั้นอยู่บริเวณหลังยานกับนิโนะ “ชุดนี่น่าจะมีอาวุธอะไรสักอย่างนะคะ” นิโนะเอ่ยออกมา พวกเธอทั้งสองคนกดปุ่มหาวิธีใช้อาวุธในชุดเกราะนี้ ‘แกร่กๆๆ’ “เจอแล้วล่ะ!” เอมม่ากล่าว ชุดเกราะที่ข้อมือของเธอนั้นมีกลไก ทำให้ปืนกลขนาดเล็กโผล่ออกมา และเธอก็ทำให้ชุดของนิโนะด้วยเช่นกัน “แบบนี้จะไหวจริงๆหรอนิโนะจัง” เอมม่ากล่าวด้วยความลังเล “เราไม่มีทางเลือกแล้วค่ะ ทุกคนกำลังแย่!” ทั้งสองโผล่หน้าออกมาดูสถานการณ์และเห็นอาลอยกำลังตกที่นั่งลำบาก นิโนะและอาลอยยิงปืนกลที่มือไปยังทหารอีลีทกลุ่มนั้น โดนบ้างไม่โดนบ้าง แต่มันก็ทำให้พวกเธอดึงความสนใจของพวกนั้นมาได้ กระสุนปืนกลที่ยิงออกไปกระทบเกราะของทหารอีลีท มันไม่ได้ทำความเสียหายมากนัก แค่ทำให้พวกเขากระตุกและกระเด้งกลับไปเท่านั้น หนึ่งในสี่คนที่สู้อยู่กับอาลอย เขาใช้อีกมือที่ไม่ไดถือดาบเลเซอร์ ชักปืนขนาดเล็กจิ๋วขึ้นมา เหมือนเป็นอาวุธสำรองที่พวกเขาแทบไม่ได้ใช้ เขารอจังหวะที่ทั้งสองคนนั้นยืนตัวออกมายิง และยิงสวนกลับไป ‘ตู้มมม!’ “อ๊า!!” มือของเอมม่านั้นถูกทหารอีลิทนายนั้นยิงใส่จากระยะไกล มันแม่นยำจนขนาดที่เข้าไปโดนจุดที่ทำให้ส่วนนั้นระเบิดได้ เกราะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ มือของเธอนั้นอาบไปด้วยเลือด เธอลงไปนั่งแอบและกุมมือด้วยความเจ็บปวด ทางอลิเซียนั้น เธอกำลังหลบหลีกการ์แลนด์และทหารอีลีทอีกหนึ่งคนอยู่ ตัวเธอนั้นมีความเร็วที่ดีเยี่ยมและพลังที่สามารถผันแปลงลมได้ดั่งใจ ในที่กว้างแบบนี้ทำให้เธอเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัวและฉับไว เป็นงานยากมากที่พวกเขาจะจับตัวเธอได้ แต่การ์แลนด์นั้นมีประสบการณ์มากอยู่แล้วกับการต่อสู้กับไฮบริด พวกเขาเล่นไล่จับกันมาแค่ไม่ถึงนาที แต่การ์แลนด์สามารถดักการเคลื่อนไหวของเธอได้แล้ว การ์แลนด์พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้งด้วยน้ำหนักและความเร็วเต็มที่ ซึ่งอลิเซียก็กระโจนหลบได้ ตามที่การ์แลนด์ได้กะเอาไว้ ‘กึ่ก’ จังหวะที่อลิเซียลงพื้นนั้น เท้าของเธอได้ไปเหยียบกับดักที่การ์แลนด์เซ็ตไว้ก่อนหน้านี้
’เปรี้ยยยยะ!!!’ กับดักของการ์แลนด์ทำงาน มันส่งกระแสไฟฟ้าแรงสูงเข้าไปในตัวผู้ติด ถึงแม้จะมีชุดเกราะป้องกัน แต่มันก็ทะลุทะลวงไปได้ ร่างของเธอกระตุกอย่างรุนแรงก่อนที่จะล้มพับหมดสติลงไปกับพื้น การ์แลนด์เดินเข้าไปยังร่างไร้สติของอลิเซีย และกระชากหมวกของเธอออกมาอย่างรุนแรง ใบหน้าที่ซีดขาวจากการโดนช็อต และบาดแผลช้ำตามใบหน้า ไม่ทำให้เขาลืมใบหน้านี้ที่เพิ่งเห็นตอนกลางวันไปได้ หนึ่งในไฮบริดที่เขาต่อสู้ด้วยในถ้ำผู้สร้าง ที่ๆเขาเจอกุญแจทั้งสองดอก มณีของกิฟเตอร์ และสายเลือดอันเก่าแก่ของอีฟ... ทางด้านเฮเลลและมิกิ อาวุธประจำตัวของทั้งคู่ที่มีแค่แบบเดียวในโลกยังคงชนประสานกันอยู่ ตอนนี้ทั้งคู่รู้แล้วว่าพวกเขากำลังสู้อยู่กับใคร “ดาบนั่น.... “ มิกิพึมพำ ในตอนแรกนั้นเฮเลลไม่อยากให้มิกิรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่นิโนะและเอมม่ากำลังตกอยู่ในสถาณการณ์ลำบาก ทำให้เขาต้องเข้ามาช่วย “มิกิ..! นั่นเธอใช่ไหม!” เฮเลลกล่าวขึ้นมา เขาถอดหมวกของเขา เผยให้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคย เพราะการปกปิดตัวตนมันก็สายไปแล้ว “ฮ่าห์!” มิกิสะบัดดาบขึ้น และใช้ปลายด้ามหอกกระแทกทำให้เฮเลลกระเด็นกลับไป “ในที่สุดชั้นก็เจอนายสักทีนะ เฮเลล!” ถึงในใจพวกเขาทั้งคู่จะมีคำถามมากมายที่อยากถาม อยากคุย อยากเข้าใจอีกฝ่ายมากขนาดไหน โดยเฉพาะมิกิ แต่พวกเขากลับไม่เอ่ยมันออกมาเลย เพราะทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบเหล่านั้นมันคืออะไร และทั้งคู่รู้ดีว่าในสถานการณ์ที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้นั้น มันหมายความว่ายังไง
“ทำไม...” มิกิพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “ทำไมกันล่ะ!! เฮเลล!!” ทุกความสงสัยในหัวของเธอมันกลั่นออกมาเป็นคำพูดคำเดียวที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกอันเจ็บปวด ซึ่งเฮเลลก็รู้สึกเช่นกัน มิกิพุ่งเข้าไปโจมตีเฮเลลด้วยสกอร์เปี้ยนเทลล์ ’เคร้งงง!’ เฮเลลรับการโจมตีของเธอไว้ได้ มันไม่ใช่การโจมตีที่หวังผลเอาชีวิต แต่เป็นเหมือนการระบายอารมณ์ที่อัดอั้นไว้ในใจออกมามากกว่า “มิกิ เธอก็รู้ดีว่าทำไมชั้นถึงเลือกทางนี้!” เฮเลลผลักดาบกลับไป ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับ โจมตีป้องกันสวนกันไปเรื่อยๆ แต่ในคมดาบเหล่านั้นยังคงไม่มีเจตนาทำอันตรายใดๆ ทั้งคู่เหมือนพยายามสื่อสารกันด้วยเพลงดาบ และยื้อเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันนานต่อไปอีก ถึงแม้มันจะใกล้หมดลงก็ตามที... การ์แลนด์ที่จัดการอลิเซียเสร็จแล้ว สั่งให้ลูกน้องอีลีทของเขาจับมัดคุมขังไว้ เขาหันหลังกลับไป ในระยะไม่ไกล เขาเห็นอาลอยที่อยู่ในเอ็กโซสูท ถึงเขาจะไม่เห็นหน้า แต่ธนูคันนั้น เขาจำได้ไม่ลืมแน่ๆ อาลอยถูกล้อมโดยทหารอีลีทอีกสี่คน พวกเขาถูกสั่งให้จับเป็นคนเหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่งานที่ถนัดที่สุดของพวกเขา หลังจากลูกน้องอีลีทที่จับอลิเซียทำงานเสร็จ เขาก็อ้อมไปด้านหลัง ที่ยานบริเวณที่นิโนะและเอมม่าซ่อนตัวอยู่ “นะ...นั่นมัน!!” เอมม่าตะโกนกล่าวเมื่อเห็นชายในชุดขาวพร้อมกับดาบเลเซอร์สีแดงกำลังใกล้เข้ามา “รีบไปเถอะค่ะ!!” นิโนะควงแขนของเอมม่าและวิ่งออกมาด้านนอก หารู้ไม่ว่า การ์แลนด์และอีลีททั้งห้านั้น พยายามล้อมรอบพวกเขาอยู่ “วันนี้ชั้นมาที่นี่พร้อมคำสั่งให้ฆ่านาย มอร์นิ่งสตาร์!” มิกิกล่าว เธอถอดหมวกของเธอเช่นกัน เฮเลลเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ไม่แปลกใจ แต่เขาเจ็บใจลึกๆเมื่อได้ยินออกจากปากของเพื่อนรักของเขาขึ้นมาจริงๆ “พวกเราจะหนีออกไปจากที่นี่.. มิกิ” เขากล่าวอย่างมั่นคง “ถ้าเธอมีเลือกของเธอแล้ว” เฮเลลพูดขึ้นมา “ชั้นเองก็จะไม่ลังเลเหมือนกัน!!” ทั้งคู่ตั้งท่าต่อสู้ “รอสโซ่ แฟนธาสม่า!!” มิกิตะโกน เธอสร้างร่างแยกปลอมออกมาสองร่างข้างๆ มันทำให้เฮเลลชะงักเล็กน้อย เนื่องจากชื่อท่านั้นเป็นชื่อที่เขาตั้งให้ ร่างทั้งสามพุ่งเข้ามาโจมตีเฮเลล แต่เขาป้องกันการโจมตีนั้นได้ โดยที่รู้ว่าร่างจริงคือร่างใด “ไม่ได้ผลหรอกนะ!” เฮเลลพยายามโจมตีกลับ เขาใช้พลังเร่งความเร็วของตัวเองเพื่อจะโจมตีไปที่มิกิ แต่เขาหยุดซะก่อน ก่อนหน้านี้เฮเลลมัวแต่เหม่อลอย และโฟกัสไปที่การต่อสู้ แต่เมื่อเขาใช้ไทม์คอนโทรล มันทำให้เขาเห็นอะไรๆชัดขึ้น เฮเลลมองหน้ามิกิ และสิ่งที่เขาเห็นนั้น คือเธอกำลังร้องไห้ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ตาของเธอนั้นแดงและบวมเล็กน้อย ถึงจะไม่ชัด แต่เฮเลลรู้ดีเพราะพวกเขารู้จักกันมานาน ภาพมิกิ เด็กผู้หญิงที่เขาแอบชอบร้องไห้ มันทำให้เฮเลลไม่มีความกล้าในการโจมตีครั้งนี้ ’โครมมม!’ มิกิที่เห็นว่าเฮเลลชะงัก ใช้จังหวะนี้เตะเขาล้มลง มิกิยืนคร่อมตัวเฮเลล และใช้สกอร์เปี้ยนเทลล์จ่อเขาไว้ การ์แลนด์มุ่งหน้าไปทางอาลอย เธอสัมผัสการ์แลนด์ได้ และหันมาง้างธนูและยิงลูกศรไปหาเขา ’ฟิ้วววว!’ การ์แลนด์คว้าลูกศรไว้ได้อย่างรวดเร็ว เขาบีมหัวลูกศรอย่างรุนแรงทันทีที่เขาจับได้ มันระเบิดออกมาแต่ไม่ส่งผลมากนักต่อการ์แลนด์ “ลูกเล่นเดิมใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ” เขากล่าว อาลอยยิงลูกศรออกมาอีกด้วยความเข้าตาจน ตอนนี้เธอสะบักสะบอมและบาดเจ็บจากการถูกโจมตี การ์แลนด์คว้าลูกศรนั้นไว้ และปากลับไปด้วยความเร็วสูง มันปักไหล่ซ้ายของเธอ ถึงจะไม่แรงเท่าศรที่ออกมาจากคันธนู แต่ก็เจ็บไม่น้อย การ์แลนด์ใช้จังหวะที่เธอเสียหลัก ยิงสายเคเบิลบางอย่างออกไปจากข้อมือของเขาใส่ไปยังคันธนูของอาลอย และดึงกลับมา อาลอยจับคันธนูนั้นแน่น มันทำให้เธอลอยเข้ามาหาการ์แลนด์ด้วย 'หมับ!!’ การ์แลนด์บีบคอเธอและยกเธอขึ้นมา เกราะที่คอที่โดนการ์แลนด์บีบนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้คันธนูหลุดออกจากมือของเธอ การ์แลนด์กระชากหน้ากากของเธอออก “ส่ง..มณี..มา!!” การ์แลนด์กล่าว “ไม่.มี...ทาง..” อาลอยพูดกลับด้วยเสียงที่แหบและไร้พลัง การแลนด์ขว้างเธอไปข้างหลังเขา อาลอยลงไปนอนสลบอยู่รวมกับนิโนะและเอมม่าที่อยู่รวมตัวกัน “ฆ่ามันซะ!!” การ์แลนด์หันกลับมาหามิกิที่กำลังเอาปลายหอกของเธอจ่อคอเฮเลลอยู่ มิกิมือสั่น เธอไม่กล้าที่จะลงมือฆ่าผู้ชายคนนี้ “เฮเลล...” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือและเต็มไปด้วยน้ำตา เฮเลลเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเช่นกัน แต่เขาตัดสินใจ “ไทม์ คอนโทรล!!” ครั้งสุดท้าย เฮลลใช้เร่งความเร็วสูงสุดเท่าที่เขาจะทำได้ ไม่ว่าร่างกายของเขาจะรับไหวหรือไม่ เฮเลลดีดตัวขึ้นมา เปลี่ยนเป้าหมาย และพุ่งเข้าไปโจมตีการ์แลนด์อย่างรวดเร็ว หวังว่าจะจัดการเขาได้ และยุติเรื่องทั้งหมดนี้ เพื่อมาหาทางออกกับมิกิ
“ย้ากกกกกก!!” ’ฉึก ฉึก ฉึก!’ แต่เขายังพุ่งไม่ถึงตัวของนักล่าไฮบริด ทหารอีลีทสามคนที่อยู่รอบตัวการ์แลนด์นั้นเข้าประชิดตัวเฮเลลซะก่อน ดาบเลเซอร์สีแดงสามเล่มเสียบทะลุร่างของเขาที่ท้อง กลางลำตัว และ ต้นขา เฮเลลหยุดชะงักอยู่กับที่ เลือดไหลออกมาจากปากและจมูกจากความเสียหายภายในร่างกาย ตาของเขานั้นแดงก่ำด้วยความเศร้าและความโกรธ การ์แลนด์เดินเข้ามาช้าๆ “แกไม่มีทางชนะชั้นหรอก..” “คนทรยศ” มิกิกรีดร้องออกมา เธอช็อคและเสียใจเป็นอย่างมาก และวิ่งเข้าไปหาร่างของเฮเลลที่ค่อยๆร่วงหล่นสู่พื้น ในความวุ่นวายนั้นเองแสงสีรุ้งก็ส่องสว่างออกมาจากตัวของอาลอยที่นอนบาดเจ็บและไร้สติอยู่ การ์แลนด์กำลังเดินเข้ามาใกล้ๆเพื่อหาต้นตอของแสงนั้น ทำให้เบี่ยงความสนใจจากมิกิที่ลงไปพยุงร่างเฮเลลที่นอนเลือดอาบอยู่ เธอร้องไห้ออกมาไม่หยุด แต่เฮเลลนั้นไม่ตอบสนองแล้ว เธอซุกหน้าลงไปสัมผัสกับศีรษะของเฮเลล ขอร้องให้เขาตื่นกลับขึ้นมา “เฮเลล ชั้นขอโทษ!!” มิกิกล่าวอย่างเจ็บปวด แต่มันสายไปแล้ว
ขณะเดียวกัน นิโนะพยายามตะโกนเรียกอาลอยที่ไร้สติอยู่ให้ตื่นขึ้นมา แต่เธอไม่ตอบ เหมือนเธอหลุดอยู่ในภวังค์บางอย่าง
. .
อาลอย
สายเลือดของข้า
อาลอยเห็นอะไรบางอย่าง เธอลืมตาขึ้นมาอยู่ในที่อีกที่หนึ่งที่ต่างออกไป ตัวเธอนั้นลอยอยู่อากาศสีทองรอบๆเธอ มันมีหมอกควันมากมาย เธอแหวกว่ายไปบนอากาศเหมือนนกที่เป็นอิสระ อาลอยมองไปรอบๆเธอเห็นเงาของคนมากมายที่ลอยอยู่ล้อมรอบเธอ พวกเขาตัวสูงกว่าคนทั่วไป แต่เธอมองเห็นไม่ชัดนัก
เธอลอยไปข้างหน้าช้าๆ ตามเสียงที่เธอได้ยินเรียกเธอเมื่อสักครู่ เธอเห็นบุคคลหนึงยืนอยู่ด้านหน้าเธอไม่ใกล้ไม่ไกล เห็นเงาอันชัดเจนแต่แล้วกลับเลือนลาง เธอกำลังจะแหวกว่ายเข้าไป แต่ไม่สามารถไปลึกกว่านี้ได้ เหมือนมีกำแพงล่องหนมากั้นทั้งสองไว้อยู่
เจ้าต้องปล่อยมันไปซะ
ว่าไงนะ? . .
อาลอยลืมตาขึ้นมา มือของเธอนั้นกำหินกิฟเตอร์อยู่ เธอก้มไปมอง จากหินสีใส ตอนนี้มันกลายเป็นสีรุ้งที่แวววาว เธอเงยหน้าขึ้นมาดูรอบๆ เห็นทหารอีลีทและการ์แลนด์กำลังเข้ามาหาเธอ เธอจึงหันไปทางนิโนะและเอมม่า “รับไป!!” และขว้างมณีสีรุ้งออกจากมือของเธอไปทางสองคนนั้น มันลอยช้าๆ เข้าไปยังมือที่เปื้อนเลือดของเอมม่า ทันใดนั้นเอง เมื่อมันแตะกับมือของเอมม่า หินก้อนนั้นสลายไปกับตา กลายเป็นละอองสีทองกระจายไปทั่ว “แกทำอะไรน่ะ!” การ์แลนด์กล่าวขึ้นมา เขาเดินมากระชากเอมม่าที่หวาดกลัวและสับสนขึ้นมา “จับนางนี่กับนักธนูไป ที่เหลือฆ่าให้หมด” เขากล่าวก่อนที่จะโยนตัวเอมม่าไปใหหนึ่งในลูกน้องของเขา การ์แลนด์และทหารอีลีทอีกสี่คนเดินกลับขึ้นยานไปช้าๆ พร้อมกับอาลอยและเอมม่า ทิ้งไว้แค่มิกิที่นั่งเศร้าอยู่กับทหารอีลีทอีกหนึ่งคนเท่านั้น ทำให้เหล่าทหารธรรมดาสามสิบกว่าคนแยกย้ายและเริ่มเดินทางกลับตามเขาเช่นกัน เขาเปิดดาบเลเซอร์สีแดงขึ้นมา เตรียมลงมือสังหารนิโนะ และอลิเซียที่หมดสติอยู่ “ชั้นจัดการเอง” มิกิเดินเข้ามาหาทหารคนสุดท้าย เธอสะบัดอารมณ์เศร้าโศกออกไปจนหมดสิ้น “ถ้าชั้นไม่ได้เป็นคนทำ.. ชั้นคงทำหน้าที่นี้ต่อไปไม่ได้แน่ๆ” มิกิกล่าว ชายผู้นั้นหยุดสักพัก ก่อนปิดดาบของตนเอง “อย่าทำให้ผิดหวังล่ะ” เขาไม่เห็นปฏิกิริยาของมิกิกับเฮเลล ทำให้เขายอมให้มิกิเป็นคนสังหารทั้งสองคน และเขาเองก็เดินกลับเข้าไปในยานเช่นกัน
“หนีไปซะ และอย่ากลับมาอีก” มิกิกล่าว เธอทำท่าแกล้งแทงทั้งสองคนด้วยหอก และทั้งสองก็ล้มลงตามไป นิโนะเจ็บปวดเป็นอย่างมากที่เธอช่วยเพื่อนของเธอไม่ได้ และยังช็อคกับการตายอันรวดเร็วของเฮเลล แต่เธอต้องเล่นละครไปก่อน เพื่อความอยู่รอดของทั้งคู่ นิโนะแกล้งนอนอยู่กับพื้นเธอนั้นร้องไห้ด้วยความเสียใจ ในขณะที่อลิเซียยังคงหมดสติ ระหว่างที่มิกิและทหารจักรวรรดิคนอื่นๆรวมถึงการ์แลนด์และอีลีทของเขา นั่งยานจากไป
? ? ? ? ณ ที่ปริศนา ที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด ท้องฟ้าไม่มีแสงแม้แต่เส้นเดียว มันเป็นที่ที่กว้างใหญ่มหาศาลสุดลูกหูลูกตา มันมืดจนมองไม่เห็นขอบฟ้า หรืออะไรใดๆว่ามีอะไรอยู่ในที่นี้ แต่ที่พื้นนั้น มีร่างมนุษย์หลายสิบ ไม่สิ หลายร้อยร่างนอนอยู่ พวกเขาไม่มีสติ หรือชีวิตด้วยซ้ำ ท่ามกลางกองซากศพนั้นเอง มีบางสิ่งบางอย่างขยับอยู่ ชายคนหนึ่งตะเกียกตะกายลุกขึ้นมามีสติอีกครั้งในสถานที่แห่งความตายนี้ เขาคือมิทเชล์ แอนเดอร์สันนั่นเอง มิทเชล์ลืมตาตื่นขึ้นมา เขามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เขารู้แค่ว่าตัวเขากำลังจะตายจากการขาดอากาศหายใจ มิทเชล์ใช้มือขวารีบหาปุ่มที่ชุดเกราะของเขาอย่างดิ้นรนและทรมาณ จนกระทั่งเขาเจอ หมวกเกราะของเขาเปิดทำงาน มันทำให้เขากลับมาหายใจได้อีกครั้ง มิทเชล์ล้มตัวลงนอนและหายใจเข้าออกอย่างแรงจากความเหนื่อย จนกระทั่งเขานึกขึ้นได้ว่า เขานั้นโดนหลุมดำของอีโวลต์ดูดเข้ามา “เมย์!?” มิทเชล์ตื่นตระหนก เขาเปิดปุ่มไฟฉายบนชุดของเขาให้เต็มหลอด มันสร้างแสงไฟให้เขาเห็นได้ในระยะสั้นๆรอบๆ รอบๆเขามีซากปรักหักพังมากมาย ศพทหารหลายสิบนายทั้งพวกกลุ่มที่เขาสู้ด้วยเมื่อครู่ หรือศพที่เน่าเฟะนานแล้วที่เขาไม่รู้จัก มิทเชล์เจอเมย์ในกองคน พวกเขาอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ สีหน้าเธอขาวซีดจากการขาดอากาศ เขารีบหยิบหน้ากากออกซิเจนเสริมที่เขามีมาสวมให้เมย์ทันที ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเดียว พวกเขาทั้งคู่คงตายไปแล้ว ได้ด้วยพลังของมิทเชล์ ทำให้ร่างกายของเขาบังคับทำให้เขาตื่นขึ้นมา ช่วยชีวิตทั้งคู่ไว้ได้ หลังจากมิทเชล์มั่นใจว่าเมย์ปลอดภัย เขานั่งลงบนกองศพนับร้อยเพื่อพักหายใจ เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามีอีกฟากหนึ่งของหลุมดำด้วย เขานั่งไตร่ตรองอีกครั้ง การรบครั้งนี้ทำให้เขาสูญเสียคนในทีมไปทั้งหมด รวมถึงเมืองทั้งเมืองเลยด้วย และมันจบลงที่ความพ่ายแพ้
มันคุ้มแล้วอย่างนั้นหรือ?
“มิทเชล์..?” เมย์ที่ได้สติลุกขึ้นมา มิทเชล์รีบไปประคองเธอทันที “พวกเรา อยู่ในหลุมดำนั่นหรอคะ?” เมย์ถามขึ้นมา มิทเชล์ประคองเธอให้ขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ “ไม่อยากจะเชื่อเลยใช่ไหมล่ะ?” เขาตอบ เมย์กดปุ่มเปิดไฟฉายที่หน้ากากของเธอ ทำให้เธอเห็นภาพเบื้องหน้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อีโวลต์เคยดูดเข้ามา มันเข้ามาอยู่ในนี้ ไร้ชีวิต และเน่าเฟะ “เราต้อง... หาทางออกจากที่นี่!” เมย์พูดและพยายามลุกขึ้นมายืน พวกเขาควานหาอาวุธของตนเองสักพักก่อนจะออกมา “ค่อยๆนะเมย์” ทั้งสองช่วยกันประคองเพื่อลงมาจากกองซากศพมหาศาล มิทเชล์รู้ว่าไม่มีเวลาหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยชีวิตคนทุกคน เขาต้องรีบไปก่อนที่ออกซิเจนจะหมดซะก่อน ทั้งสองลงมากับพื้นและค่อยๆเดินสำรวจพื้นที่ มันไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแต่ซากปรักหักพังและศพเท่านั้น “มวลอากาศที่นี่มันคืออะไรก็ไม่รู้นะคะ ชั้นเองก็เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้เลย” เมย์กล่าว เธอพยายามใช้พลังที่นี่ แต่ไม่เป็นผล เมย์ยกปืนของเธอและส่องไปรอบๆด้วยไฟฉาย
“เหมือนชั้นจะเห็นอะไรบางอย่าง!” เมย์กล่าว “ประมาณ ....หลาย .... กิโลเมตร?” “บอกยากมากค่ะ แต่มันมีแสงไฟ .. หรี่ๆออกมา” เมย์พูด “หืม ไหนชั้นดูซิ๊” มิทเชล์หยิบกล้องส่องทางไกลออกมาและส่องไปทางที่เมย์เห็น “พวกเราลองไปที่นั่นกันเถอะ” มิทเชล์เมื่อเห็นแสงไฟแบบเดียวกับเมย์ ก็แนะนำขึ้นมา “ได้ค่ะ” ทั้งสองเริ่มเดินทางผ่านดินแดนแห่งความตายนี้ พวกเขาใช้เวลาเดินเป็นเวลานาน ถึงจะไม่รู้ว่าผ่านไปแล้วกี่ชั่วโมง แต่พวกเขามีแค่ความหวังเดียวเท่านั้น ที่จะออกไปจากที่นี่
. . . เวลาผ่านไปพอสมควร หลังจากการเดินทางไกลอันเหนื่อยล้า แสงไฟนั้นก็อยู่ในระยะสายตา ความมืดเริ่มจางลง มีแสงสลัวๆอยู่เบื้องหน้าเขาทั้งสอง บริเวณนี้นั้นไม่มีซากใดๆ หรืออะไรก็ตามที่อีโวลต์ดูดเข้ามาด้วยหลุมดำเลย มันเป็นพื้นที่โล่งๆมืดๆเท่านั้น ทั้งสองเดินเข้าไปอีก พวกเขาเห็นอะไรบางอย่าง
“นั่นมัน...บันไดหรือนั่น!” มิทเชล์กล่าว
“ใหญ่มากเลยนะ” เมย์พูด เบื้องหน้าทั้งสอง เป็นบันไดขนาดยักษ์ ที่แค่ความกว้างก็เกือบสิบเมตร มันขึ้นไปหลายสิบขั้น สูงจากพื้นดินห้าถึงหกเมตรได้ มันถูกสร้างด้วยหินสีดำที่สลักสลวยสวยงาม ปราณีตเหมือนเป็นงานศิลปะ ตัวขั้นบันไดนั้นเรียบและคมกริบ ไม่มีร่องรอยการผุพังใดๆ มันเป็นเหมือนพื้นที่แห่งการสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้ ด้านบนปลายทางของขั้นบันไดนั้น คือประตูหินยักษ์ ที่สูงลิบฟ้า และกว้างใหญ่ มันเช่นกันก็มีการสลักรูปสวยงามดั่งศิลปะชั้นดี เป็นประตูสีดำที่น่าหลงไหล แสงที่ทั้งสองเห็นมันอยู่เหนือประตูบานนั้น ราวกับสาดส่องมาจากสรวงสวรรค์เลยก็เป็นได้ มิทเชล์และเมย์มองหน้ากัน ทั้งสองเห็นว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีออร่าที่แปลกประหลาด ยั่วยวนและน่ากลัวที่สุดในดินแดนนี้แล้ว มันอาจจะพาพวกเขาออกไป หรือนำพวกเขาสู่ความตายก็ได้ แต่ระหว่างติดอยู่ในนี้ กับการตายจากโลกนี้ไป มันมีอะไรแตกต่างกันอย่างนั้นหรือ?
End
|
|
|
Post by tonklaaaaaawow on Jul 11, 2018 7:49:03 GMT
Chapter 7 : Sanctuary of the Timeless
เช้าวันถัดมา เวลาถัดมาหลังจากเขาแอบเข้ามาในห้องพักของอีโวลต์ไซกะกำลังยืนอยู่ข้างๆเตียงผู้ป่วย ที่พี่ชายของเขา หรือที่รู้จักกันในนามอีโวลต์ นอนไม่ได้สติอยู่ ไซกะนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรดี ใจนึงเขาก็อยากปลุกพี่ชายขึ้นมา อยากรู้ว่าทำไมพี่ที่พลัดพรากกันไปถึงไปอยู่ฝ่ายจักรวรรดิได้ อีกใจก็อยากจะหนีไปให้พ้นๆซะตอนนี้ อีโวลต์ลืมตาขึ้นมา เขาเหลือบไปเห็นไซกะที่ยืนอยู่ข้างๆ เขายังบาดเจ็บซี่โครงและไหล่ซ้ายจากการโจมตีของฟริทซ์ ทำให้ขยับตัวได้ไม่ดีนัก “นาย... ใคร” อีโวลต์กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง ไซกะทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา “ผมเองครับพี่! ไซกะไง!!” เขาเกาะแขนของพี่ชายไว้และเขย่าหวังจะให้เขาจำได้ “คุโรซากิ ไซกะ! พี่ลืมไปแล้วงั้นหรือ!?” คุโรซากิ ไซกะ ชื่อนี้ทำให้อีโวลต์จำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาคุ้นเคยกับชื่อนี้มากๆ แต่ม่านหมอกมันบังภาพในความทรงจำของเขาอยู่
“ชั้น.... จำไม่ได้” เขากล่าว “ชื่อชั้นคือ ... อีโวลต์” อีโวลต์หลับตาและกล่าวออกมา
“ไม่! เรย์จิต่างหาก!” ไซกะโต้ขึ้น “คุโรซากิ เรย์จิ!” ชื่อนั้นมันเหมือนจะไปทริกเกอร์อะไรบางอย่างในหัวของเขา เขาหลับตาและขมวดคิ้วเหมือนเขากำลังเจ็บปวด เขากำข้อมือของไซกะที่จับเขาไว้อย่างแน่นหนา ภาพในอดีตมากมายมันย้อนกลับเข้ามา ก่อนที่เขาจะถูกจับ สมัยที่เขายังอยู่กับครอบครัวที่แท้จริง กับน้องชายของเขา การถูกพลัดพรากจากครอบครัว และการถูกนำมาทดลอง จนสูญเสียตัวตนของตัวเองไป “มันเกิดอะไรขึ้นกับพี่กันแน่!?” ไซกะกล่าวขึ้น เรย์จิไม่ได้หันไปตอบ เขาเองก็ถามคำถามนี้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน ตอนนี้เขาเป็นแค่สุนัขรับใช้จักรพรรดิอย่างนั้นหรือ? “ตอนที่พ่อกับแม่โดนฆ่าน่ะ” เรย์จิพูดขึ้นมา นัยน์ตาสีดำของเขายังจ้องไปข้างหน้า ไม่ได้โฟกัสใดๆทั้งสิ้น เหมือนเลื่อนลอยและไร้สติ “นายหนีไปได้สินะ ไซกะ” เขากล่าวต่อ ไซกะตกใจกับคำถาม เขาไม่รู้จะตอบอะไร “ผม.. ขอโทษ ที่ทิ้งพี่ไว้!!” เรย์จิเงยหน้าขึ้นมองเพดานสีขาว เขาครุ่นคิดอยู่ ถึงทุกๆอย่าง ทั้งตัวเขา และพลังของเขา ตอนที่เขาถูกนำมาทดลอง ดัดแปลงร่างกายให้เป็นไฮบริดเทียม เขาคือหนึ่งในเด็กหลายสิบคนที่ถูกคัดเลือก หรือ บังคับ ข่มขี่ให้เข้ามาทำการทดลองซะมากกว่า พ่อแม่ของเขาเป็นไฮบริด รวมถึงน้องชายเขาด้วย แต่ตัวเขานั้นกลับเป็นคนธรรมดา เพราะเหตุนี้จักรวรรดิที่เพิ่งเริ่มโครงการไฮบริดเทียม คิดว่าจุดนี้จะเป็นข้อได้เปรียบ ที่ทำให้เรย์จิผ่านการดัดแปลง ‘มิติดำ’ ถูกค้นพบขึ้น ที่ๆไร้ชีวิต ไม่มีใครอาศัยอยู่ได้ ที่ๆร่างกายจะไม่เติบโต อวัยวะจะไม่เสื่อมถอยตามกาลเวลา หลังจากสร้างประตูมิติไปที่นั่นได้ พวกเขาเลือกเด็กคนหนึ่ง เพื่อเชื่อมต่อกับมิติแห่งความตายนั้น ใช้คนๆนั้น เป็นผู้เปิดประตูสู่โลกแห่งความหายนะ เขาคือผู้ถูกเลือก เขาถูกปรับแต่งมาให้ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า ที่ขัดขวางจักรพรรดิ มันคือตัวตนที่เขาเป็นแล้ว และไม่มีอะไรมาเปลี่ยนสิ่งนั้นได้ เขาหันไปกดปุ่มที่แผงควบคุม เพื่อฉีดสารลดความเจ็บปวดใส่ร่างกาย เขาตั่วชักเล็กน้อยจากอาการยา หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก็ลุกขึ้นมา
“ดีแล้วล่ะไซกะ” เรย์จิหันไปมองน้องชายด้วยสายตาเย็นชา “ที่ทำให้ชั้นได้เกิดใหม่...” ’หมับ!!’ เรย์จิบีบคอน้องชายตัวเองอย่างรุนแรง ทำให้เขาหายใจไม่ออก และตะเกียกตะกายหาอากาศ ไซกะพยายามใช้มือคู่เล็กและอ่อนนุ่มของเขากระชากมือของเรย์จิออกแต่มันไม่เป็นผล ความแข็งแรง และระดับกล้ามเนื้อ มันแตกต่างกันเกินไป “ชั้นไม่ใช่คุโรซากิ เรย์จิ อีกต่อไป” เขากล่าวอย่างเยือกเย็น ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม
“ชั้นคือ อีโวลต์” คุกใต้ดิน ในห้องขังใต้ดินชั้นล่างสุดในตึกจัตุรัสสีดำ ในมุมที่ลึกที่สุด ห้องคุมขังของอาชญากรที่คร่าชีวิตไปนับสิบ ศัตรูที่ไม่รู้นามของจักรวรดิ คริสเท็น แลนนิสเตอร์ ตั้งอยู่ที่ปลายทางเดิน ยามที่คุมขังเธอนั้นถูกพลัง ‘สะกดจิต’ ของคาร์ลอส หลานชายของจักรพรรดิ เพื่อช่วยให้คริสเท็นหนีออกมา เธอนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้องขังอย่างเงียบเชียบ ทำสมาธิและวิเคราะห์วางแผนความเป็นไปได้ทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย รอเวลาที่ประตูเหล็กกล้าเบื้องหน้าของเธอจะเปิดออก มือขวาของเธอนั้นกำมีดสีฟ้าที่คาร์ลอสให้มาอย่างรัดกุม
’กึ่ก’ โซ่ตรวนที่ขาของคริสเท็นถูกปลดออก เธอลืมตาขึ้นมาเพราะรู้แล้วว่าไม่กี่วินาทีข้างหน้า จะได้เวลาที่เธอต้องหนีออกไปจากที่นี่ ‘เอี๊ยดด’ เสียงประตูเหล็กค่อยๆเปิดออกช้าๆด้วยกลไกอัตโนมัติที่ควบคุมโดยคอนโซล คริสเท็นเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็นและเริ่มเดินออกไปเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อตัวเธอเดินผ่านประตูนั้นมาแล้ว ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก็เหมือนเพิ่งได้สติและสังเกตุเห็น “เห้ยย อะไรกัน!” เขาหันมาและพยายามจะยกปืนมาขู่คริสเท็น คริสเท็นเห็นเช่นนั้น เธอเตะสะบัดข้อมือของยามหนุ่ม ทำให้ปืนกระเด็นหลุดมือเขาไป ใช้ช่องว่างนั้น คริสเท็นเอามีดเล่มนั้น และจ้วงเข้าไป แทงทะลุขั้วหัวใจของยามหนุ่มคนนั้นทำให้เขาตายทันทีโดยที่ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง เธอลากศพเปื้อนเลือดเข้าไปในห้องขังของเธอ หยิบปืนของเขามาและเดินหน้าลุยต่อ คริสเท็นอารมณ์เสียเล็กน้อย เนื่องจากคาล์นั้น มีพลังที่จะทำให้ทุกคนในคุกนี้ปล่อยเธอไปง่ายๆโดยที่ไม่ต้องเปื้อนเลือดเลยด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ทำ เนื่องจากอยากเล่นสนุกกับเธอ มันทำให้เธอรู้สึกว่าต้องลงไปเต้นอยู่ในกำมือของหลานชายจักรพรรดิคนนี้ เธอวิ่งผ่านห้องควบคุมกรงขังของเธอ เห็นยามสองคนนั่งอยู่เฉยๆ เธอรู้ว่าพวกเขาเองก็ถูกล้างสมองเหมือนกัน เพราะเขาทั้งสองเป็นคนเปิดประตูให้เธอ คำสั่งปล่อยให้คริสเท็นเป็นอิสระ คือสิ่งที่คาล์ลงโปรแกรมไว้ แต่ไม่ใช่ให้ปล่อยออกไปเฉยๆ ทั้งสองคนหันมาและชักปืนกำลังจะยิงเธอ เธอไม่สามารถเสี่ยงให้พวกเขายิงปืนออกไปได้ เนื่องจากเสียงดินปืนระเบิด จะทำให้คนอื่นๆรู้ว่ามีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นทีนี่ นั่นรวมถึงปืนที่เธอขโมยมาด้วย เธอมองหาจังหวะ และย้ายไปอยู่ตำแหน่งที่ทั้งสองคนนั้นยืนในแนวเดียวกันจากมุมมองของเธอ
’ฟิ่วววว!’ คริสเท็นขว้างมีดของเธอไปอย่างรุนแรงก่อนที่ทั้งสองจะเล็งเป้าได้ มันแทงทะลุคอของยามคนแรก ปลายใบมีดนั้นทะลุออกมาจากหลังคอของเขา คริสเท็นผลักมือตนเองไปข้างหน้า ใช้พลังจิตของเธอผลักร่างยามคนแรกให้กระเด็นถอยหลังไป ’ฉึก!’ มีดที่อยู่ที่คอของยามคนแรกนั้น ปักทะลุร่างของอีกคนนึงด้วย เนื่องจากแรงผลักทำให้ร่างทั้งสองกระแทกหากัน ทำให้พวกเขาเสียชีวิตทั้งคู่โดยที่ยังไม่มีการยิงเกิดขึ้น คริสเท็นรีบวิ่งเข้าไปในห้องควบคุม และตรวจสอบคอมพิวเตอร์เพื่อหาแบบแปลนและแผนที่ของตึกนี้ เธอใช้นิ้วของยามที่เสียชีวิตไปในการเข้าถึงแผนที่ คริสเท็นจดจำแบบแปลนภายในไม่กี่วินาที และเริ่มมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ขึ้นไปด้านบน เธอหยุดชะงักและหลบที่มุมเสาก่อนเนื่องจากเห็นยามคนหนึ่งกำลังเดินมา เมื่อเขาเข้ามาใกล้ คริสเท็นจึง พุ่งตัวออกไป ใช้มีดแทงเข้าที่คอ ดึงตัวเขาเข้ามาและปิดปากไม่ให้ส่งเสียง ก่อนจะแทงซ้ำที่จุดตาย แต่ที่เธอไม่ได้สังเกตุนั้นคืออีกด้านหนึ่ง ยามที่เพิ่งเดินเข้ามาเห็นคริสเท็นกำลังฆ่าชายคนนั้น เขาโวยวายขึ้นมาก่อนที่พยายามหยิบปืนมายิง ’ปัง!!’ คริสเท็นไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ปืนยิงยามคนนั้นก่อน เธอรีบดึงมีดที่ปักอยู่ตรงศพข้างๆเธอออกมาและวิ่งออกไป หลังจากนั้นไม่นาน สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น ’ตืดดดดด’ แสงสีแดงกระพริบขึ้นรอบๆตึก เสียงสัญญาณดังออกมาเป็นช่วงๆ ยามหลายๆคนออกมาไล่ล่าคริสเท็น ’ปัง! ๆ’ เธอหาที่กำบังและยิงสวนไปแบบไม่หวังผล คริสเท็นเสียเปรียบเนื่องด้วยจำนวนฝั่งตรงข้ามที่มากกว่า ที่สำคัญเธอต้องรีบออกไปจากที่นี่ ก่อนที่ทหารหรือพวกคนที่แข็งแกร่งกว่าจะเข้ามาตามล่าเธอ คริสเท็นนึกภาพแผนที่ตึกในหัว เธอสามารถสร้างตัวเบี่ยงเบนได้จากการทำให้นักโทษในนี้เป็นอิสระ ทำให้เป้าหมายของพวกจักรวรรดิกว้างขึ้น เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ และรีบพุ่งตัวออกไปทางห้องควบคุมที่ใกล้ที่สุดทันที เธอถูกยามยิงปืนใส่จากระยะกลายหลายนัด แต่โชคดีที่กระสุนพวกนั้นไม่โดนเธอ แค่เพิ่มความกดดันเท่านั้น เธอมาถึงที่หมาย ห้องควบคุมกรงขังถัดจากห้องของเธอเอง คริสเท็นชักปืนขึ้นมาและยิงใส่คนเฝ้าทั้งสามคนตายอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เธอเข้าไปในห้องควบคุมในช่วงเวลาอันโกลาหล และเปิดประตูที่คุมขังไว้ โดยใช้นิ้วของผู้ตายเช่นเดิม ’ครืดดดด’ ประตูเหล็กบานนั้นเปิดออก เผยให้เห็นชายร่างกำยำที่อยู่ข้างใน เขารูปร่างสูงใหญ่และมีผิวหนังที่เต็มไปด้วยบาดแผล คอของเขามีปลอกคอสีขาวที่มีไฟสีเขียวครอบอยู่ เขาเดินออกมาเห็นคริสเท็นที่ถือปืน พร้อมกับศพยามของจักรวรรดิสามศพ และสัญญาณเตือนภัยที่เปิดอยู่ ทำให้เขารู้สถานการณ์ในทันที
“ช่วยพังไอนี่ให้หน่อยสิครับ คุณผู้หญิง” ชายตัวใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงกำยำและน่าเกรงขาม เขาชี้ไปที่ปลอกคอนั่น คริสเท็นรีบเข้ามาและปลดมันออกให้ “เราไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีบเปิดกรงขังพวกนี้ออกให้ได้เยอะที่สุด” เธอกล่าว ชายร่างกำยำยิ้ม ร่างกายของเขาเปลี่ยนจากผิวหนังกลายเป็นเกล็ดเหมือนเกล็ดปลา และวิ่งออกไปด้านหน้า ดึงความสนใจและกระสุนไปจากคริสเท็น แต่กระสุนพวกนั้นชนเกล็ดของเขาเหมือนมันเป็นกำแพงเหล็กกล้า และกระเด็นออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คริสเท็นใช้ชายร่างใหญ่เป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจและวิ่งไปที่ห้องควบคุมอื่นๆอีกสองถึงสามห้อง ฆ่าคนเฝ้า และปล่อยไฮบริดเทียมออกมาจากกรงขัง คนเหล่านั้นพร้อมใจกันทำลายตึกนี้อย่างพร้อมเพรียง “พวกมันมีมากเกินไป!!” ยามกล่าวกับพรรคพวก พวกเขาตั้งป้อมจับเหล่าไฮบริดเทียมอยู่ แต่ชายร่างยักษ์ป้องกันกระสุนไว้ได้หมด หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง พวกคริสเท็นและไฮบริดเทียมที่เธอปล่อยออกมารวมเกือบสิบคน ก็มารวมตัวกัน และถล่มพวกเขาเหล่านี้จนเละเทะ ก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นไปด้านบนด้วยบันไดหนีไฟ ฝ่าดงกระสุนและทหารมากมาย แต่พวกเขาก็รอดมาได้ “ข้างหน้าคงมีรถถังกับทหาร หุ่นรบรอเราเต็มไปหมด เราออกไปไม่ได้หรอกนะ” คริสเท็นกล่าวกับคนในกลุ่ม “พวกเราต้องขึ้นไปชั้นบนกว่านี้ แล้วแยกย้ายกันไป” เธอกล่าวต่อ ทุกๆคนมองออกไปด้านนอก ตอนนี้พวกเขาออกมาถึงชั้นพื้นดินแล้ว มันมีกองทัพรอสาดกระสุนใส่พวกเขาทันทีที่พวกเขาออกไปอยู่ “งั้นก็รีบไปกันเถอะ!!” ไฮบริดเทียมคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา ก่อนจะใช้พลังในการสร้างม่านควันปิดบังพวกเขาจากการมองเห็นด้านของคนด้านนอก ทั้งกลุ่มวิ่งขึ้นมาจนถึงชั้นบน พวกเขากำลังจะแยกย้ายกันไป และหนีออกจากที่นี่ แต่คริสเท็นหันไปเห็นห้องๆหนึ่ง มันเป็นห้องที่อยู่ริมสุดของกำแพง ประตูทางเข้านั้นใหญ่กว่าประตูปกติทั่วไป มันทำจากเหล็กสีดำสนิท เธอเหมือนถูกดูดเข้าไปในนั้นโดยไม่รู้ตัว “นี่เธอ!!” คนในกลุ่มตะโกนเรียกคริสเท็น แต่เธอไม่แม้แต่หันไปมองด้วยซ้ำ สัญชาติญาณและความรู้สึกแปลกๆในตัวเธอบางอย่างมันบอกให้เธอไปที่นั้น
“ไปกันก่อนเลย..” คริสเท็นหันไปคุยกับคนเหล่านั้น ไฮบริดเทียมพวกนั้นรีบแยกย้ายกระโจนกันออกไปจากชั้นบนที่สูงจากพื้น ต่างใช้พลังของตัวเองเพื่อหนีเอาชีวิตรอด บ้างก็ลงไปเพื่อปล่อยพวกอื่นๆออกมาจากคุกอีก จากการแหกคุกของคนๆเดียว ส่งผลให้มีนักโทษหนีออกมาจากคุกนี้ได้หลายสิบชีวิต ยามกว่าแปดในสิบเสียชีวิต และยังจะมีนักโทษแหกคุกออกมาเพิ่มเรื่อยๆ เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่จะเป็นข่าวหน้าหนึ่ง และเป็นที่พูดถึงกันไปอีกนาน
คริสเท็นเดินไปยังประตูนั้นช้าๆ ยื่นมือของเธอไปจับลูกบิดอย่างระวัง ก่อนที่จะเปิดมันเข้าไป ลมแรงพัดตัวของเธอ ผมสีดำยาวของเธอปลิวว่อนไปด้านหลัง ภาพที่เธอเห็นด้านหน้านั้น เป็นเครื่องอะไรบางอย่าง ที่ตั้งอยู่กลางห้องสีดำนี้ เครื่องยนต์ปริศนาทรงสี่เหลี่ยมที่วางอยู่ตรงพื้น มันมีเขี้ยวยาวสูงขึ้นไปสองด้านซ้ายขวา ตรงกลางของเขี้ยวนั้นและด้านบนของเครื่องสี่เหลี่ยม เป็นอะไรบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
ประตูมิติ? มันเป็นมวลอากาศปริศนาสีดำ-ม่วงที่ลอยอยู่ใจกลางเครื่องนั้น เป็นทรงวงรีขนาดใหญ่ที่ขยับเคลื่อนไหวตลอดเวลา คริสเท็นจ้องมองไปยังด้านในของมัน มันดูเหมือนเธอจะถูกดูดเข้าไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่และว่างเปล่า เธอรู้ว่ามันต้องมีอะไรสำคัญอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน ถึงจะอันตราย แต่คริสเท็นตัดสินใจที่จะก้าวเข้าไป..
หลายชั่วโมงก่อนหน้านั้น อาลอยและเอมม่านั้นนอนไร้สติอยู่บนยานลำใหญ่ที่พวกการ์แลนด์ใช้เดินทางกลับฐานทัพ ทั้งสองยังไม่ตื่นหลังจากที่หินกิฟเตอร์สลายไปในมือของเอมม่า การ์แลนด์ อีลีททั้งห้าคน และมิกิเองก็อยู่ในยานลำเดียวกัน หลังจากที่เฮเลลตาย เธอก็ไม่ได้พูดอะไรกับใครอีกเลย ตอนนี้สภาพจิตใจเธออยู่ในขั้นย่ำแย่ มันเหมือนเธอเพิ่งจะมายอมรับความรู้สึกตนเองที่มีต่อเฮเลลหลังจากที่เขาได้จากไปแล้ว มิกิรู้ดีว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เฮเลลต่อสู้ ความถูกต้อง ความยุติธรรม เขานั้นเป็นคนจิตใจอ่อนโยนเสมอ ถึงจะไม่ค่อยโชว์ออกมาก็เถอะ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หลังจากเด็กผู้ชายที่เธอรักมาตลอดได้จากเธอไปต่อหน้า มันทำให้มิกิเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นี่คือสาเหตุที่เธอตัดสินใจช่วยนิโนะและอลิเซียที่บิทเทอร์วินด์ แต่อาจจะเป็นแค่เพราะว่าเธออยากทำอะไรบางอย่างให้เฮเลลก็ได้ พวกเขากำลังกลับฐานทัพ ไปหาจักรพรรดิ เพื่อมอบกุญแจทั้งสองดอกให้กับเขา อาลอยและมณี อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้า และไม่นานหลังจากนี้ทั้งสองคนนี้ก็จะถึงมือจักรพรรดิ “ว่าแต่หัวหน้า” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกับหินกันแน่” เขาถามการ์แลนด์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ
“เรื่องนั้นพวกเราที่เป็นคนธรรมดาคงไม่รู้หรอก” การ์แลนด์ตอบ “แค่ส่งให้ท่านได้ ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จ” ยานลำนี้และลำอื่นๆจากบิทเทอร์วินด์ เดินทางมาเรื่อยๆจนถึงฐานทัพลับของจักรวรรดิที่อยู่เลยไซอ้อนไปอีก ในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ยานของพวกเขาจอดอยู่ที่ตึกจัตุรัสสีดำชั้นบนสุด การ์แลน์ มิกิ และอีลีททั้งห้าพาอาลอยและเอมม่าที่ยังคงหมดสติ ลงเข้าไปในตึกนั้น พวกเขาหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่งที่มีประตูเหล็กสีดำสนิท
“พวกนายรออยู่ข้างนอก” “เธอมากับชั้น นายด้วย” การ์แลนด์บอกกับอีลีทลูกน้องของเขา การ์แลนด์อุ้มอาลอยที่หมดสติในโซ่ตรวน และอีลีทหนึ่งคนที่อุ้มเอมม่า กับมิกิ พวกเขาเดินเข้าไปในประตูสีดำนั่น ทั้งสามคนและอีกสองร่างที่ไร้สติ มุ่งตรงเข้าไปยังประตูมิติวงรี สีดำที่ใจกลางห้อง
ฟู่มมมมม เหมือนเดินผ่านไอน้ำที่เป่าเข้ามาใส่ร่างอย่างรุนแรงและเกรี้ยวกราด ไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็ผ่านประตูนั้นออกมา ในที่ที่ดูเหมือนอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างออกไป ถึงรอบๆจะเห็นแต่ความมืด แต่บรรยากาศที่น่าขนลุกมันทำให้มิกิตัวสั่น เธอเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก และแน่นอนมันไม่ใช่ครั้งแรกของการ์แลนด์ ที่เข้ามายัง ‘ห้องบัลลังค์’ ห้องนี้ เบื้องหน้าของเขานั้นคือบัลลังค์หินอ่อนสีขาว ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ทั้งสามคนเดินเข้าไปช้าๆ ยังบัลลังค์นั้น การ์แลนด์และทหารอีลีทอีกหนึ่งคนวางร่างอาลอยและเอมม่าลงต่อหน้าบัลลังค์ และเดินกลับหลัง ออกไปจากประตูมิตินี้
’แปะ แปะ’ เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างช้าๆ เป็นจังหวะ มันไม่ได้มาจากบนบัลลังค์ แต่ว่าอยู่ข้างๆต่างหาก หลานชายของจักรพรรดินยืนอยู่ข้างๆปู่ของเขา “ทำดีมากครับ คุณนักล่าไฮบริด ...” คาร์ลอสกล่าว “แล้วก็... เอ่อ” เขาดูจะไม่รู้จักมิกิที่อยู่ข้างๆ การ์แลนด์หันไปให้มิกิแนะนำตัว “มิกิ เดย์เบรก... ไฮบริดเทียม” เธอกล่าวอย่างไร้วิญญาณ ทั้งสองนั่งคุกเข่าลงหนึ่งข้าง “มณี ... มันสลายหายไปครับท่าน” การ์แลนด์กล่าวกับจักรพรรดิ เขายืนขึ้นทันที เนื่องจากร่างกายสูงใหญ่ของจักรพรรดิ และความสูงของบันไดที่ตั้งบัลลังค์นั้น เมื่อจักรพรรดิซิกมันด์ยืนขึ้น มันทำให้แสงสว่างเส้นเดียวที่ส่องมาจากด้านบนหลังบัลลังค์นั้น ถูกบดบังด้วยร่างของจักพรรดิ ทำให้มิกิและการ์แลนด์ไม่สามารถเห็นหน้าของเขาได้ เห็นแค่เงาดำๆเหมือนสุริยปราคาเท่านั้น
“ดีแล้ว การ์แลนด์” จักรพรรดิกล่าว “แล้วก็เธอด้วย มิกิ เดย์เบรก” “ทั้งสองคนไปพักผ่อนซะเถอะ ชั้นเป็นหนี้พวกเธอสองคนจริงๆ” จักรพรรดิกล่าว การ์แลนด์เมื่อได้ยินดังนั้น ก็ลุกขึ้นมาและโค้งตัวคำนับหนึ่งครั้ง มิกิเองก็เช่นกัน “เป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งครับท่าน” การ์แลนด์กล่าว ก่อนจะเดินออกไปพร้อมมิกิ ทิ้งเอมม่ากับอาลอยไว้ ทั้งสองเดินออกมาจากประตูมิติ และประตูสีดำ “แยกย้าย ไปพักได้” การ์แลนด์กล่าวกับอีลีททั้งห้า พวกเขาวัณทยาหัตและแยกย้ายกันไป การ์แลนด์และมิกิค่อยๆเดินออกมา ดูเหมือนเธอในตอนนี้นั้นสูญเสียความตั้งใจจะทำอะไรไปแล้ว
“ชั้นเห็นความลังเลในตาเธอ” การ์แลนด์กล่าวระหว่างทั้งสองเดิน “หวังว่าเธอจะตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องได้นะ เดย์เบรก” เขากล่าว
“....” มิกิไม่ได้ตอบ ในห้องบัลลังค์ คาร์ลอสกับจักรพรรดิ กำลังคุยกันอยู่ “มณีหายไปแล้ว มันหมายความว่ายังไง?” เขาถามจักรพรรดิ พร้อมกับเดินไปใกล้ๆทั้งสองที่สลบอยู่ มองหน้าและสำรวจสิ่งต่างๆ “ทำเป็นไม่สนใจมาทั้งชีวิต” จักรพรรดิกล่าวอย่างดุดัน “แล้วมาถามชั้นเอาตอนนี้งั้นรึ? คาร์ลอส” จักรพรรดิกล่าวตอบ
“ก็แหม ไหนๆก็ไหนๆ” “’อาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลก’ ผมก็อยากรู้นาว่ามันคืออะไรกันแน่น่ะ?”
“เมื่อหลายพันปีก่อน” จักรพรรดิเล่าขึ้นมา หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ “ก่อนที่พวกกิฟเตอร์จะตายหมดไปจากโลกนี้” “แกรู้รึเปล่าว่าทำไมถึงไม่มีใครเคยเจอศพหรือซากของพวกนั้นเลย” จักรพรรดิกล่าว เหมือนเล่านิทานให้เด็กฟัง คาล์ไม่ได้ตอบ แต่รอคำพูดจากปากซิกมันด์ เขาคิดว่าเขาพอเดาได้แล้วว่าคำตอบนั้นคืออะไร “พลังที่พวกมันมีไม่ได้ตายไปกับมัน” จักรพรรดิชี้ไปยังร่างของเอมม่าที่นอนอยู่ คาล์หันไปมองเธอตาม “พลังเวทย์มนต์ พลังชีวิตของพวกมัน อยู่ในนั้น” จักรพรรดิกล่าว คาล์เดินไปดูเอมม่าใกล้ๆ “หินนั่นเป็นแค่ภาชนะสินะ แล้วเด็กสาวคนนี้ก็เช่นกัน...?” คาล์ถาม เขารู้คำตอบอยู่แล้ว
“มันถึงเวลาที่พวกเรารอคอยแล้ว คาร์ลอส” จักรพรรดิกล่าว คาล์เดินวนมาด้านหลังบัลลังค์อย่างสุขุม “เวลาที่คุณรอคอย ต่างหากล่ะ” เขาเดินไปพูดข้างๆหูจักรพรรดิ และชักมีดขึ้นมาจ่อคอของเขา “ถ้าผมฆ่าปู่ซะตอนนี้ แล้วเอาเด็กนั่นไปใช้เองล่ะก็นะ?” จักรพรรดิเหล่ตามองคาล์ เขาไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย “อย่าได้หันคมมีดมาที่ชั้นอีกเป็ดอันขาด” เขากล่าว “ออกไปได้แล้ว แกน่ะ พิธีกำลังจะเริ่มแล้ว” เขากล่าว คาล์เมื่อได้ยินคำเหล่านั้น ก็เก็บมีดและเดินออกไปด้วยท่าทางพอใจที่ยั่วโมโหปู่ของเขาสำเร็จ “ว่าแต่ เรื่องโบราณพวกนี้น่ะ ไปรู้มาจากไหนเยอะแยะน่ะ?” คาล์หันไปถามจักรพรรดิ “ถ้าแกเอาเวลามาสนใจประวัติสายเลือดไฮบริดเก่าแก่ของเรา แกก็จะรู้เหมือนกันนั่นแหละ” เขาตอบ “แกจะทำยังไงต่อ คาร์ลอส” จักรพรรดิถาม
“ผมมีนัดน่ะ ..... คงไปเตรียมอาวุธชุดเกราะสักหน่อย” เขาหันมายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และเดินออกไป
โรงพยาบาล ห้องพักชั้นสิบห้า หลังจากเหตุการณ์ที่ซัมเมอร์สตอร์ม แคนเธอร์ และไซอ้อน ทั้งทวีปได้ตระหนักถึงภัยความรุนแรงและการก่อการร้ายต่างๆ ข่าวล่อล่วงของจักรวรรดิทำให้เกิดความหวาดกลัวไปทั่ว สำนักข่าวทุกช่องทำข่าวเหตุการณ์เหล่านี้สลับกันไปมาตลอดเวลา และเนื่องจากการที่มันเกิดภายในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้หลายๆคนสะพรึงเข้าไปใหญ่ ฟริทซ์ เรมิงตัน นายทหารที่ลุกขึ้นสู้ต่อต้านอีโวลต์และกองทัพในเหตุการณ์ซัมเมอร์สตอร์ม ผู้เหลือรอดหนึ่งเดียวเท่าที่โลกรู้ ถูกช่วยไว้และอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้เช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้ว ฟริทซ์นั้นสู้เพื่อฝั่งไหน เพราะคนที่รู้ความจริงนั้นก็มีแค่เขากับอีโวลต์เท่านั้น ฟริทซ์ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล เขาปวดหัวอย่างรุนแรงและเจ็บไปทั่วร่างกาย
“ตื่นแล้วหรือครับ คุณเรมิงตัน?” ฟริทซ์หันไปทางต้นเสียง เป็นชายอายุราวๆสี่สิบ สีหน้าใจดี หน้าเกลี้ยงจากหนวดเครา ใส่แว่นกลมดูมีประสบการณ์ เขาสวมชุดคลุมสีขาว ฟริทซ์พยักหน้าตอบคุณหมอ ดูเหมือนเขาจะตรวจสอบเอกสารอยู่ ฟริทซ์มองไปรอบๆ ทำให้เขารู้ว่าเขาอยู่ที่ไซอ้อน เขากดเปิดทีวีขึ้นมาดู แล้วก็พบกับข่าวเหตุการณ์จากซัมเมอร์สตอร์ม มันกล่าวถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เกณฑ์คนในเมืองมาโจมตีไซอ้อน แน่นอนว่าเรื่องพวกนั้นมันเหลวไหลสิ้นดี มันยังกล่าวถึงผู้รอดชีวิตแค่สองคน คืออีโวลต์ และฟริทซ์ เรมิงตันด้วย ตามสื่อที่ออก ทั้งเขาและอีโวลต์ถูกยกย่องให้เป็นฮีโร่
“ก็เรียบร้อยนะครับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับการดูแลจากกองทัพ” คุณหมอกล่าวขึ้นมา “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ คุณเรมิงตัน!” คุณหมอกล่าวก่อนจะออกไปจากห้อง น้ำเสียงของเขานั้นจริงใจและโอบอ้อม ดูเหมือนคนที่นี่จะคิดว่าเขาเป็นฮีโร่จริงๆ ฟริทซ์รู้สึกสับสนและทำอะไรไม่ถูก เขาเจอกลุ่มไฮบริดที่เขาเคยแอบช่วยเหลืออย่างลับๆ ร่วมการศึกกับทั้งคู่ แต่พวกเขาพ่ายแพ้ ตอนนี้ถูกกลับสรรเสริญให้เป็นฮีโร่ โดยที่ความจริงถูกบิดเบือนโดยสื่อ เขาไม่รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปทางไหนต่อดี เขารู้ดีว่าตัวเองคงไม่สามารถกลับไปทำหน้าที่เดิมได้แล้วหลังจากเรื่องซัมเมอร์สตอร์มเกิดขึ้น เขาไม่สามารถทนกับการหลอกลวงเหล่านี้ได้ ฟริทซ์ลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ และค่อยๆเดินไปยังระเบียง เขาเลื่อนบานกระจกออกและเดินอออกไปนอกห้อง ฟริทซ์เอาศอกทั้งสองข้างวางบนระเบียง เท้าคาง และครุ่นคิด เขาใจจดใจจ่ออยู่กับความคิดของเขา จนไม่ได้สังเกตุอะไรบางอย่าง ผู้คนด้านล่างโหวกเหวกโวยวาย ชี้ขึ้นมายังตึกนี้ เขาได้ยินเสียงคนนอกห้องคุยกัน เสียงฝีเท้า และที่สำคัญที่สุด เสียงที่เขาได้ยิน แต่ปล่อยมันผ่านไป
เพล้ง! ฟริทซ์เงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนของเขา ไม่ผิดแน่ๆ ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังร่วงหล่นลงมา เศษกระจกที่ปลิวว่อนไปทั่วอากาศ เด็กหนุ่มผมสีขาวที่มีใบหน้าสวยราวหญิงสาว ฟริทซ์คิดว่าเขาตาฝาด แต่ไม่ใช่ เขารีบยื่นมือออกไป หวังจะรับเด็กหนุ่มคนนั้นไว้ให้ได้ เด็กหนุ่มผมสีขาวเองก็ยื่นมือมาทางเขาเช่นกัน เขาคว้ามือเธอเอาไว้ ในเสี้ยววินาทีที่ตาของทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน ฟริทซ์เห็นนัยน์ตาสีเงินนั่นจ้องมาที่เขาด้วยสายตาที่หวาดกลัวและเต็มไปด้วยน้ำตา และมันจะหลอกหลอนเขาไปอีกนาน ’แกร่ก’ ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสถาโถมใส่ฟริทซ์ ร่างกายเขานั้นยังไม่แข็งแรงดี และถึงจะเป็นร่างกายของคนที่แข็งแรงที่สุด การดึงแขนของคนที่ตกลงมาด้วยความเร็วเจ็ดสิบห้ากิโลเมตรต่อชั่วโมงก็เป็นเรื่องที่แทบจะเหลือเชื่ออยู่แล้ว “อ้ากกกกก” ด้วยความเจ็บปวด เขาไม่สามารถรั้งชายหนุ่มคนนั้นได้อีก มือทั้งสองหลุดจากกัน และชายหนุ่มผมขาวก็ร่วงหล่นลงไปด้านล่าง ใจเขาเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เขาตื่นตระหนกเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมา ถึงเขาจะไม่อยากแต่ฟริทซ์ก็มองลงไปด้านล่างประมาณยี่สิบห้าเมตร ร่างของชายหนุ่มตกลงที่พื้น ถึงเขาจะมองเห็นไม่ชัด ร่างอันน่าเวทนาของชายหนุ่มร่วงลงไปกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง
ฟริทซ์ยืนใจหายอยู่ที่ระเบียง เขาตัวสั่นไปทั้งตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟริทซ์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปยังด้านบนเพื่อหาต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น บนระเบียงของห้องที่สูงกว่าห้องที่เขาอยู่สิบห้าชั้น เขามองเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างกายของเขายื่นออกมาให้ฟริทซ์เห็นแค่นิดเดียวเท่านั้น ผู้ชายผมสีดำที่มีดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวา ฟริทซ์ถอยหลังช้าๆและเสียหลักล้มลงไปนั่งกับพื้น หลังจากตั้งสติได้ เขาก็รีบลุกขึ้นมา กระชากอุปกรณ์ทุกอย่างที่ติดรักษาตัวเขาอยู่ และตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เขาเปิดออกมาพบกับชุดยูนิฟอร์มใหม่เอี่ยมอ่องที่มีลวดลายมากกว่าเดิม เขาถูกเลื่อนยศ แต่เขาขอปฏิเสธที่จะใส่เสื้อนี้อีกต่อไป เขาเลือกชุดที่ไม่เกี่ยวข้องกับจักรวรรดิ แค่เสื้อยืดกับแจ็คเก็ตหนัง พร้อมกับกางเกงขายาวธรรมดาๆเท่านั้น เขาเหลือบมองในซอกหลีบของตู้ และพบกับอุปกรณ์ของเขาทั้งหมด ทั้งปืนและยุทโธปกรณ์ประจำการของทหาร และดาบพลังงานพิเศษของเขาเองด้วย ฟริทซ์คว้าดาบเล่มนั้นมาใส่ฝัก และมุ่งหน้าออกไปด้านนอกห้องอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นกลางท้องฟ้าในวันนี้เป็นสีแดงฉาน ทำให้ท้องฟ้ามืดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ หมอและพยาบาลมากมายกำลังวุ่นวายกับเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้เขาสามารถอาศัยจังหวะนี้ในการหนีออกไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตุได้ ฟริทซ์มุ่งหน้าตรงไปยังบันไดหนีไฟ เขารีบวิ่งลงไปด้านล่างให้เร็วที่สุด หลังจากเขาออกมาจากตึก เขาก็มองหาจุดเกิดเหตุ และรีบวิ่งเข้าไปทันที ร่างของเด็กชายคนนั้นมีฝูงชนมากมายล้อมรุมอยู่ ทั้งนักข่าว สื่อ ผู้คนต่างหยิบชิพโฟนของพวกเขาขึ้นมาถ่ายรูป แชร์เรื่องราวอันโหดเหี้ยมนี้กัน เหมือนเป็นแค่เครื่องมือที่ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจมากขึ้นเท่านั้น ฟริทซ์แหวกฝูงชนอันลายร้อมนี้เข้าไป
“ขอโทษนะครับ!” “ขอทางด้วย!” ในที่สุดเขาก็แหวกเข้าไปจนถึงร่างของชายหนุ่มผมขาว มีทีมแพทย์พยายามเรียกชีพจรของเขากลับมา ทั้งๆที่รู้กันอยู่แล้วว่ามันสายเกินไป ร่างของเขานั้นแทบจะไม่มีบาดแผลใดๆเลย เลือดเล็กน้อยออกมาจากตา จมูก และปากของเขาเท่านั้น ถ้าไม่นับนัยน์ตาที่ยังเปิดอยู่ เขาเหมือนแค่คนที่นอนหลับไปไม่มีผิด ด้านหลังศรีษะของเขาแตกเผยให้เห็นเลือดและกระดูกด้านใน ของบางอย่างที่ดูเหมือนสมองไหลออกมาเล็กน้อย ภาพที่เขาเห็นมันทำให้ฟริทซ์คลื่นไส้
เขาเกือบจะช่วยเอาไว้ได้แล้ว
“ขอทางหน่อยครับ!!” เสียงกลุ่มคนหลายคนแหวกทางเข้ามาจากด้านหลัง พวกเขามาพร้อมกับเปล และถุงห่อศพ ฟริทซ์หลีกทางให้พวกเขาเก็บศพของเด็กผมขาวนั่นไป “ฆ่าตัวตายรึไง สามสิบชั้นเนี่ย” ชายคนหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่กล่าวขึ้นมา “อีโวลต์น่ะ เด็กนี่มันไฮบริด” ชายหนุ่มอีกคนกล่าว “ว่าไงนะ! ชั้นไม่รู้จะพูดอะไรเลยว่ะ โหดชิบเป๋ง” เมื่อได้ยินดังนั้น ฟริทซ์ยิ่งเจ็บใจมากขึ้นไปอีก ทั้งโมโหและเคียดแค้น เขามองขึ้นไปด้านบนสุดของโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถมองเห็นมันได้ เขาคิดอยู่แล้วว่าคนที่เขาเห็นบนนั้นมันหน้าตาคุ้นๆ ’ตู้มมม!’ เสียงระเบิดปะทุขึ้นจากระยะไกล ทำให้ฝูงชนเหล่านั้นหันไปมอง ความสนใจของพวกเขาถูกเบี่ยนเบนจนหมดสิ้น ’ตู้มมมม!!’ ตึกและเมืองถูกระเบิดหลายที่พร้อมๆกัน ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกและวิ่งหนีไปอีกทิศทางนึง ฟริทซ์เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็วิ่งสวนทางฝูงคนมากมายเหล่านั้น ลึกเข้าไปในตัวเมืองทันทีทันใด “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!” เขาวิ่งผ่านกับทหารจักรวรรดิในเอกโซสูท เมื่อนายทหารเห็นฟริทซ์ เขาก็รู้ทันทีว่าฟริทซ์เป็นใคร “พวกตุ๊กตาเทียมหนีออกมาจากฐานลับ!” “ผมเองก็ไม่ค่อยรู้มากเหมือนกันครับ คำสั่งคือให้จัดการพวกมันซะ!” เขาตะโกนท่ามกลางเสียงอันดังให้ฟริทซ์ฟัง ฟริทซ์สังเกตุเห็นทหารอีกหลายนายที่ตามล่าคนพวกนั้น “ขอบใจมาก!” เขาตะโกนกลับ และเดินแยกออกมา ฟริทซ์วิ่งฝ่าลึกเข้าไปอีก เป้าหมายของเขาคือฐานทัพลับที่เลื่องลือ เขาอยากจบสงครามพวกนี้เข้าเสียที ฟริทซ์วิ่งตามทางที่เหล่าไฮบริดเทียมทิ้งไว้ หวังว่ามันจะนำเขาไปยังฐานนั่น ฐานทัพลับของจักรวรรดิ เนื่องด้วยเหตุกาอลหม่านที่เกิดขึ้นทั้งหมด เรนิต้า เบอร์นาร์ด เจ้าหน้าที่สาวของจักรวรรดิได้ถูกส่งมาที่นี่พร้อมกับหน่วยรบเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยที่เธอนั้นเป็นคนออกคำสั่งบัญชาการ ยานของพวกเขาลงจอดจุดจุดหนึ่งห่างจากตึกจัตุรัสสดำ มีนายทหารหลายสิบบนาย รถถังและอาวุธสงครามนั่งซุ่มรอดักยิงไฮบริดเทียมที่ยังอยู่ด้านใน พวกเขาถล่มตึกไม่ได้เนื่องจากมีสิ่งล้ำค่าอยู่
เรนิต้าเดินเข้ามา ผ่านแนวตั้งปืนของเหล่าทหาร เพื่อมาคุยกับผู้บัญชาการของที่นี่ เขาเป็นผู้ชายอายุราวๆสามสิบปลายๆ ผมทรงทหาร ใส่ยูนิฟอร์มจักรวรรดิ และหมวกเบเร่ต์
“สถาณการณ์เป็นยังไงบ้างคะ?” เธอถามขึ้น
“นักโทษยังคงออกมาจากห้องขังเรื่อยๆครับ” “มีบางส่วนหลุดออกไปและมุ่งหน้าไปทางไซอ้อน” “เราส่งทีมเข้าไปในนั้น แต่ก็ไม่มีใครกลับออกมาได้เลย...” ผู้บัญชาการกล่าว
“หน่วยอีลีทล่ะคะ?” เรนิต้าถาม
“ไซอ้อนครับ. ตอนนี้คนของจักรวรรดิมีแค่สองคนเท่านั้นที่อยู่ในตึก” ผู้บัญชาการหนุ่มกล่าว เรนิต้าจึงหันไปมอง
“สองคน?”
“ผู้พันการ์แลนด์ และท่านคาร์ลอส” เขากล่าว
ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ของเรนิต้าก็ดังขึ้น เธอเดินออกมาในจุดที่ไร้ผู้คน ก่อนจะรับมัน
“นี่เธออยู่ไหนน่ะ มิกิ! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เรนิต้าพูดกับโทรศัพท์ คนที่โทรมาหาเธอก็คือมิกิ เดย์เบรก เพื่อนรักของเธอนั่นเอง
“พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ เรนิต้า ... “ มิกิกล่าวขึ้นผ่านโทรศัพท์
“เธอพูดอะไรของเธอน่ะ!” เรนิต้าตะโกนขึ้นมา
“ชั้นเหนื่อยกับทุกอย่างแล้ว! ใช้จังหวะนี้แหละ หนีไปกันเถอะ!” มิกิตอบกลับ ในน้ำเสียงของเธอนั้นมีความเจ็บปวดอยู่เต็มไปหมด เรนิต้าได้แต่จินตนาการว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ในช่วงที่เธอเดินทางไปหาเฮเลลกับพวกการ์แลนด์ มิกิถึงจะดูห้าวๆเหมือนผู้ชาย แต่เธอก็จริงใจและมีจุดที่อ่อนไหวอยู่ภายในเช่นกัน เธอรู้จักมิกิดี เป็นคนหัวรั้นที่ไม่ฟังใคร ถึงมิกิจะชอบทำอะไรห้าวๆ แต่ในที่สุดเธอก็จะทำสิ่งที่ถูกเสมอ เรนิต้านิ่งไปชั่วครู่ เธอต้องเลือกระหว่างเพื่อนหรือหน้าที่
“ตอบชั้นหน่อยสิ เรนิต้า!...”
หลังจากความเงียบ เธอก็ตอบขึ้นมา
“รอเดี๋ยวนะ ส่งสถานที่มา ชั้นจะไปรับเธอเอง”
เรนิต้าวางสายลง เธอรีบวิ่งกลับไปที่ชุมนุมอีกครั้ง และแหวกทางเข้าไปหาผู้บัญชาการอย่างรวดเร็ว “กองทหารภายใต้การบังคับคัญชาของชั้น จะทำการโอนย้ายการบัญชาการให้คุณค่ะ” เธอกล่าว “ชั้นมีภารกิจด่วนต้องไปทำ ขอฝากด้วยนะคะ” เธอกล่าวอย่างทมัดทะแมง ผู้บัญชาการทำความเคารพเธอ เรนิต้าวิ่งออกมา และขับยานของเธอออกไปเพื่อไปหามิกิ
ณ ห้องบัลลังค์
จักรพรรดิ ซิกมันด์ เรฮัลเนม ลุกขึ้นมาจากบัลลังค์หินอ่อน และค่อยๆเดินไปยังร่างทั้งสองที่นอนอยู่อย่างช้าๆ อาลอยที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมา เธอค่อยๆเห็นภาพข้างหน้าเธอเบลอๆ
นี่มัน ... ที่ไหนกัน?
“ตื่นแล้วรึ บุตรสาวแห่งอีฟ” จักรพรรดิกล่าวกับเธออย่างเยือกเย็น
อาลอยพยายามขยับตัว แต่ความเหนื่อยล้ามันมากเกินไป รวมที่โซ่รัดแขนและขาเธออยู่ ทำให้เธอไม่มีทางหนีออกไปได้เลย อาลอยหันไปเห็นเอมม่าข้างๆเธอ จึงตกใจอย่างมาก
“นี่แก! เธอคนนั้นเกี่ยวอะไรด้วย!” อาลอยตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเคือง
“หึ ดูท่าเธอเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนกันสินะ” “แต่มันไม่จำเป็นอะไรแล้วล่ะ” “ได้เวลาเติมเต็มคำทำนายแล้ว”
หลังจากพูดเสร็จ มันก็มีออร่าอะไรบางอย่างแผ่ขยายออกมาจากเท้าของจักรพรรดิ มันขยายตัวไปรอบๆเขา จากพื้นและบันไดบัลลังค์ที่เป็นสีดำเมี่ยม เมื่อนถูกออร่านั้นกลืนกิน มันกลับกลายเป็นสีขาว เหมือนสีของกระจกแก้วในพระราชวัง ออร่านั้นขยายแผ่ตัวออกไปเรื่อยๆ จนครอบคลุมทั้งห้องๆนี้ มันเปลี่ยนจากห้องสีดำทมิฬ กลายเป็นห้องโถงพระราชวังสีขาวที่ดูสะอาดตาและหรูหรา เหมือนวิหารในสมัยกรีกเลยก็เป็นได้
“อะ.. อะไรกัน!”
ร่างของอาลอยค่อยๆลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างช้าๆ จนหยุดที่ระดับความสูงที่ว่า ถ้าตกลงมาอาจจะทำให้คอหักและเสียชีวิตได้เลย
“ในที่สุด!” จักรพรรดิตะโกนออกมาอย่างมีความสุขและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาดูรอคอยกับสิ่งนี้มานานมากแล้ว จักรพรรดิชูมือขึ้นฟ้า ลำแสงสีแดงถูกปล่อยออกมาจากมือของเขา ’ฟู่มมมม’ พุ่งใส่คนเบื้องบน เมื่อสัมผัส มันไม่ได้ทำความเสียหายอะไร มันแค่ครอบคลุมอยู่รอบๆตัวเธอเท่านั้น
นี่มันอะไรกันน่ะ ทำไมเราถึงไม่มีแรงเลย!?
จักรพรรดิลงนั่งลงไปบนบัลลังค์และหลับตา ลำแสงสีแดงนั้นเชื่อมต่อตัวเขาไว้กับทั้งคู่ ราวกับมันค่อยๆดูดพลังชีวิตของอาลอยไปให้เขา
’เอี๊ยยยยยดดดด’
เสียงประตูเปิดขึ้นจากด้านหน้าและด้านข้างพร้อมๆกัน เสียงของลำแสงนั้นมันดังเกินกว่าที่จักรพรรดิจะได้ยินประตู คนที่เข้ามาด้านหน้าก็คือคริสเท็น ส่วนข้างๆนั้นเป็นมิทเชล์กับเมย์นั่นเอง มิทเชล์กับเมย์นั้นอึ้งกับวิวทิวทัศน์ที่ได้เห็น มันเป็นสถาปัตยกรรมที่เหมือนหลุดมาจากโลกยุคอื่น ก่อนที่เขาจะสังเกตุเห็นจักรพรรดิ และคริสเท็น คริสเท็นเองนั้นตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาก็สำรวจทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิ มิทเชล์กับเมย์ รวมถึงอาลอยและเอมม่าด้วย แต่เธอโฟกัสไปที่จักรพรรดิ กำปืนของเธอแน่นพร้อมจะเหนี่ยวไก เพราะถ้าไม่มีเขา จักรวรรดิก็ล่มสลาย
มิทเชล์และเมยรีบเคลื่อนที่เข้ามาหาคริสเท็นด้วยความระมัดระวัง พวกเขายังไม่ถูกเห็น
“พี่คริสเท็น!! ปลอดภัยดีไหมคะ”
“นี่มัน.. อะไรน่ะ คริสเท็น!?” มิทเชล์ถาม ทั้งสามแหงนมองไปด้านหน้า มันเป็นภาพที่เหลือเชื่อจริงๆ จักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังค์ยักษ์ มีแสงสีแดงขนาดใหญ่เชื่อมต่อทั้งสาม เสียงของมันดังสนั่นหวั่นไหวดั่งสายน้ำอันเกรี้ยวกราด
“แล้วทำไมเธอใส่ชุดภารโรงแบบนั้นล่ะ?” มิทเชล์ถามกวนๆ
“นั่นมันคุณอาลอย... กับพี่เอมม่านี่!!” เมย์สังเกตุและพูดออกมาอย่างตกใจ “พวกเราต้องช่วยพวกเขานะคะ!!” เมย์กล่าว
“เมย์ พวกเราไม่รู้ว่าจักรพรรดิมีพลังอะไร ควรจะถอยไปวางแผนกันก่อน เรายังมีเวลา!” มิทเชล์พูดขึ้นมา
“ไม่” “ชั้นจะฆ่ามันซะตอนนี้” คริสเท็นยื่นคำขาด
“แล้วสองคนนั้นล่ะ พวกเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขานะ!” เมย์โต้
“เพราะงั้นไงถึงต้องคิดให้รอบคอบ!” มิทเชล์กล่าว
นี่เป็นโอกาสที่สำคัญ ในที่สุด หนูก็จะสานต่องานของแม่ให้สำเร็จ
คริสเท็นยกปืนขึ้นมาเล็งเป้าหมายด้วยสองมือ และเหนี่ยวไกออกไป
“ปัง!!”
กระสุนพุ่งทะลุหน้าผากของจักรพรรดิ เลือดกระเซ็นเต็มศีรษะของเขาไปหมด ทำให้เขานอนแน่นิ่งไป ทั้งสามคนคิดว่าทำสำเร็จแล้ว เขาตายแล้ว มิทเชล์และเมย์ได้แต่ยืนช็อคกับสิ่งที่พวกเขาเห็น เมย์สังเกตุขึ้นไปด้านบน ลำแสงสีแดงที่ค่อยๆจางหายไป ทำให้ร่างของอาลอยร่วงลงมาจากระดับความสูงที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์
“ไม่นะ!!”
เมย์ตะโกนและเริ่มออกวิ่งไปด้านหน้าเข้าหาร่างของเธอที่กำลังร่วงหล่น “เมย์!” มิทเชล์ตะโกนด้วยความเป็นห่วงและวิ่งไล่หลังเธอไป แต่ประตูด้านหลังของคริสเท็นถูกเปิดออกมาอย่างรุนแรง ทหารจำนวนสี่ถึงห้าคนพังประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ใช่ทหารธรรมดา เป็นทหารองค์รักษ์ที่มารักษาจักรพรรดิช้าไปหน่อยนึง เพราะที่อยู่ของจักรพรรดิเป็นความลับ จึงไม่สามารถให้ทหารองค์รักษ์มาประจำการรอได้
“ปังๆ!!”
กระสุนหลายสิบนัดพุ่งเข้าไปทางเมย์ ที่กำลังวิ่งเข้าไปหน้าบัลลังค์และเป็นเป้าหมายที่ง่าย โล่ง และดูชัดเจนที่สุด คริสเท็นเมื่อเห็นเช่นนั้นเธอก็รีบหันไปและยิงสู้ใส่ทหารเหล่านั้นทันที แต่มันก็หยุดกระสุนที่ยิงออกไปแล้วไม่ได้ กระสุนจำนวนมากพุ่งตรงเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ไม่มีนัดไหนที่ไม่เข้าเป้า
“ระวัง!!”
มิทเชล์ตะโกนใส่เมย์ เขาหยุดวิ่งตามเมย์และหันมายิงใส่เหล่าทหารพวกนั้นเช่นกัน เมย์ที่รู้ตัวทันก็โบกมือไปข้างๆเธอ เมื่อรู้ว่าอากาศรอบๆห้องนี้เป็นอ็อกซิเจน 'ไอรอน คาร์บอน' เธอใช้พลังของเธอปรับเปลี่ยนมวลอากาศเหล่านั้นให้กลายเป็น สร้างแผ่นเหล็กหนาขนาดใหญ่ขึ้นมาบนอากาศ ป้องกันกระสุนส่วนใหญ่เอาไว้ได้ แต่มันไม่พอ กระสุนหนึ่งนัดพุ่งผ่านแผ่นเหล็กที่เมย์ใช้ป้องกันตัวไปโดนด้านหลังของเธอ และมันทะลุเข้าไปโดนปอด เมย์ล้มลงไปนอนกับพื้น เลือดไหลออกมาจากหลังและปากของเธอ ดูเหมือนกระสุนจะเข้าไปติดอยู่ด้านใน “ชั้นคุ้มกันไว้เอง!” คริสเท็นกล่าว บอกให้มิทเชล์วิ่งไปดูอาการเมย์
“เธอเร็วกว่าชั้น ชั้นคุ้มกันเอง!” มิทเชล์สาดกระสุนใส่ทหารองค์รักษ์ทำให้พวกเขากระเด็นกลับหลังไป
คริสเท็นรีบวิ่งไปยังร่างของเมย์ที่นอนอยู่เธอเข้าไปแตะไหล่ของเมย์ ผมสีทองยาวสวยงามของเธอเปื้อนเลือดที่ปลายๆ หลังจากเห็นบาดแผล คริสเท็นพยายามจะปฐมพยาบาลเธอ แต่เนื่องจากขาดอุปกรณ์ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย พวกเขาทั้งสองคนรู้จักกันดี เป็นทั้งเพื่อน และเพื่อนร่วมงานที่ดีให้กันและกัน คริสเท็นแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงใจขึ้นมาอย่างแท้จริง เธอดูตื่นตระหนกอย่างมาก “ชั้น.. ขอโทษนะเมย์!!” คริสเท็นกล่าว นัยน์ตาเธอเบิกโพลง
“.... “
เมย์เหมือนพยายามจะพูดอะไรบอกกับคริสเท็น แต่มันไม่มีเสียงออกมา ทั้งสองมองหน้ากัน ในแววตาของเมย์ไม่มีความโกรธหรือความแค้นใดๆทั้งสิ้น สีหน้าของเธอยังคงสวยงามและบริสุทธิ์เหมือนที่คริสเท็นจำได้เมื่อสมัยที่ทำงานด้วยกัน มันเหมือนเมย์กำลังปลอบประโลมคริสเท็นอยู่ด้วยซ้ำไป มันไม่เป็นไร เหมือนเธอกำลังจะบอกคริสเท็นแบบนั้น ก่อนที่เธอจะสื้นใจ และหลับไปตลอดกาล คริสเท็นกำหมัดด้วยความแค้น
ร่างของอาลอยที่ตกลงมานั้น อยู่ดีๆก็ลอยชะงักก่อนถึงพื้น ทำให้เธอไม่เป็นอะไร อาลอยที่ได้สติค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า เธอเหมือนจะไม่มีแรง แต่ก็พยายามต่อสู้ถึงที่สุด “ทุกคน! ก้มลง!”อาลอยตะโกน เธอกุมมือทั้งสองเข้าด้วยกัน เมื่อมิทเชล์และคริสเท็นได้ยินดังนั้น พวกเขาก็หาที่กำบังและก้มลงต่ำ คริสเท็นหมอบข้างๆเมย์ คอยปกป้องร่างของเธอเอาไว้
’ซูมมมมมมมมมม!!’
อาลอยปล่อยพลังสายฟ้าสีเหลืองกัมปนาตไปด้านหน้า มันรุนแรงและพุ่งเข้าใส่ทหารที่กรูเข้ามาจนพวกเขาเละเทะกันไปหมด “ไป!! เร็วเข้า!” อาลอยตะโกน “เดี๋ยวชั้นจะช่วยเอมม่าออกไปเองค่ะ!” เธอตะโกนไล่หลังไป มิทเชล์เมื่อได้ยินดังนั้นก็วิ่งกลับมาทางเมย์และคริสเท็น เขาแบกร่างไร้ชีวิตของเมย์ขึ้นไว้บนไหล่ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน และเริ่มวิ่งออกไปจากห้องบัลลังค์ ทั้งสองไม่มีเวลาคิดแล้ว ก่อนที่เหล่าทหารจะกรูกันเข้ามา คริสเท็นและมิทเชล์ จะออกไปเคลียร์ทางด้านนอกให้อาลอยและเอมม่าเพื่อเปิดทางหนีให้พวกเขา
“ฝากด้วยนะอาลอย!” มิทเชล์หันไปพูด
“รีบๆตามมาเร็วเข้าล่ะ” คริสเท็นกล่าว
อาลอยล้มลงด้วยความเจ็บปวด พลังของเธอนั้นจะทำให้ร่างกายบอบช้ำมากเมื่อไม่มีคันธนูโบราณคันนั้น เธอไอออกมาเป็นเลือดจำนวนมาก แต่อาลอยกัดฟันลุกขึ้นสู้ และวิ่งไปหาร่างเอมม่าที่นอนอยู่ที่พื้นไม่กี่นิ้วอย่างสะบักสะบอม
’ฉึก’
ดาบเคลย์มอร์สีขาวยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุตัวอาลอยไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว มันพังเครื่องในของเธอจนหมดสิ้นด้วยแรงของการแทงและรูปทรงของดาบ
อะไรกัน ห้องนี้ไม่มีมีคนแล้วนี่นา
อาลอยล้มลงคุกเข่าลงกับพื้นโดยที่มีเคลย์มอร์เล่มนั้นเสียบทะลุตัวเธออยู่ มันป้องกันเธอจากการล้มลงไปนอน ร่างของเธอตั้งตรง เหมือนถูกลอคอยู่แบบนั้น เธอเหลือบตาที่แดงฉานไปข้างๆเธอ จักรพรรดิ ที่ถูกยิงกลางศีรษะ และควรจะเสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง
“ดูเหมือนเรื่องราวของเธอจะจบลงแล้วนะ แม่นักธนู”
จักรพรรดิกล่าวอย่างเลือดเย็น ดวงตาที่พร่ามัวของอาลอยเหลือบมองไปเห็นหน้าของเขา หน้าที่ไม่มีแม้แต่รอยแผลการโดนยิง มันเหมือนเขาสามารถรักษาบาดแผลที่ถึงตายได้ภายในชั่วครู่ จักรพรรดิดึงดาบเคลย์มอร์เล่มยักษ์นั่นออกมาจากร่างของอาลอย แผลขนาดยักษ์ถูกทิ้งไว้ ลำไส้และซี่โครงของเธอพังทลายไม่มีชิ้นดี เมื่อไม่ให้อะไรค้ำจุนแล้ว ทำให้เธอล้มลงกระแทกพื้น เลือดไหลนองไปทั่วร่างของเธอ เธอไอออกมาอย่างรุนแรง พยายามตะเกียกตะกายอย่างสิ้นหวัง แต่มันก็ไม่เป็นผล เปลือกตาของเธอนั้นหนักเหลือเกิน
จักรพรรดิปล่อยร่างที่กำลังสูญเสียเลือดของอาลอยไว้อย่างเมินเฉย และต่อมา ร่างของเอมม่าก็ลอยขึ้นมาช้าๆเหมือนกับที่อาลอยโดนเมื่อครู่ เขายิงลำแสงสีแดงขึ้นไปเพื่อดูดพลังชีวิตของเธอเช่นกัน ก่อนที่จะนั่งลงไปยังบัลลังค์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่หน้าประตูห้องนั้น มีศพของทหารอยู่เต็มไปหมด และรวมถึงศพของบุตรสาวของอีฟ ที่นอนอยู่เบื้องหน้าบัลลังค์ของเขาด้วย
"ได้เวลาเมนคอร์สแล้วสินะ"
End
|
|