Post by tonklaaaaaawow on Jul 14, 2018 17:41:15 GMT
Chapter 8 : Glorious
ตึกจัตุรัส
คริสเท็นที่ได้มาเจอกับมิทเชล์และเมย์ในห้องบัลลังค์ ในนั้นทั้งสามได้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิ และเพื่อนพ้องของพวกเขา อาลอยและเอมม่า พวกเขาปะทะกับทหารองครักษ์ในนั้น และผลออกมาคือชัยชนะ แต่ด้วยการสูญเสียเมย์ไป มันช่างไม่คุ้มค่าเสียเลย ทั้งสองคนตัดสินใจที่จะออกมาเคลียร์ทางหนีให้อาลอยและเอมม่า รู้อยู่แล้วว่าอาลอยนั้นมีความสามารถที่ขนาดไหน บวกกับการที่พวกเขาคิดว่าจักรพรรดิตายแล้ว จึงปล่อยให้อาลอยช่วยเอมม่าออกมา และตามพวกเขาไปในภายหลัง คริสเท็นและมิทเชล์ที่แบกร่างของเมย์กำลังวิ่งหนีออกมาบนโถงทางเดิน พวกเขากระโจนออกมาอย่างรวดเร็ว ใช้ความได้เปรียบในการโจมตีทหารองค์รักษ์โดยที่พวกเขาไม่ได้ตั้งตัว
’ปังๆ!!’
ทั้งสองยิงปืนฝ่าทหารองค์รักษ์ที่เหลืออยู่ออกไป ด้วยพลังไซโคคิเนซิสของคริสเท็นที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถโจมตีได้ และมิทเชล์ก็สังหารพวกเขาทีละคน ทหารองครักษ์ราวๆสิบนายก็สิ้นชีพอย่างรวดเร็ว ทั้งสองวิ่งฝ่าทางเดินไป แต่หลังจากทหารชุดนั้นหมดแล้ว ก็ไม่พบใครอีกเลย
“แปลกชะมัด” มิทเชล์กล่าวขึ้นมา เขาแบกเมย์ไว้ที่ไหล่หนึ่ง และตั้งปืนไปด้านหน้าด้วยมือหนึ่ง
“ทำไมไม่มีใครรอเราอยู่ข้างนอกเลยล่ะ” เขาพูด เล็งปืนไปมาอย่างระมัดระวัง
“พวกมันรออยู่ข้างล่างนั่น” คริสเท็นเหลือบมองไปนอกหน้าต่างมืดสีดำ เธอเห็นทหารหลายสิบและรถถังรอโจมตีพวกเขาอยู่ด้านล่าง
คริสเท็นสังเกตุเห็นอะไรบางอย่างที่ด้านล่าง ยานรบขนาดเล็กลำหนึ่งกำลังบินเข้ามาทางตึกนี้ด้วยความเร็วสูง เมื่อทหารที่อยู่แนวด้านล่างเห็น พวกเขาก็ตกใจ และเริ่มหันไปโจมตียานลำนั้น แต่มันหยุดยานลำนั้นไม่ได้
’ตู้มมมม!’ ยานรบลำนั้นพุ่งชนเข้าใส่ตึกที่ทั้งสองอยู่เข้าอย่างจัง ทั้งสองโซเซจากแรงกระแทก และต้องหาที่จับไว้ ที่บริเวณชั้นล่างกว่าชั้นที่พวกเขาอยู่ ทำให้ตัวตึกแตกเกิดเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ หัวยานที่พุ่งเข้ามาติดอยู่ในตึก ที่ห้องคนขับเปิดออก ชายผมดำรีบลุกขึ้นมาและกระโจนออกนอกเครื่องยนต์ที่กำลังร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว ทหารด้านล่างยิงปืนขึ้นมาใส่เขา แต่มันไม่โดน ยานรบลำนั้นตกลงไปสู่พื้น สร้างความเสียหายเป็นพื้นที่เล็กๆ และทำให้รูปแบบฟอร์เมชั่นของพวกด้านล่างเสียหาย
“พวกมันแถวแตกแล้ว ไปกันเถอะ!”คริสเท็นพูด
“เดี๋ยวสิ” มิทเชล์โต้ขึ้นมา
“คนขับยานนั่นน่ะ ไม่ว่ามันจะเป็นใคร มันไม่น่าจะอยู่ฝ่ายเดียวกับจักรวรรดิหรอกนะ!”
คริสเท็นเห็นด้วยกับสิ่งที่มิทเชล์คิด เธอพยักหน้าและทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังบันไดด้านล่าง ยานที่ถล่มเข้ามานั้นอยู่สี่ชั้นต่ำกว่าที่พวกเขาอยู่ เมื่อมิทเชล์และคริสเท็นวิ่งลงมาได้สองชั้น พวกเขาก็เจอ คริสเท็นที่วิ่งนำลงมา เมื่อเลี้ยวออกจากบันได เธอก็ถูกชายผมดำคนนั้นเข้ามาโจมตีด้วยดาบยาวของเขา ชายหนุ่มผมสีดำในเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาล
’เพล้ง!!’
เธอยกมีดที่คาล์ให้มาขึ้นมากันไว้ได้พอดี เธอผลักชายคนนั้นกระเด็นออกไปด้วยแรงของเธอและพลังจิต เขาโซเซถอยหลัง คริสเท็นชักปืนขึ้นมาและกำลังจะยิง “หยุดก่อน!!” มิทเชล์ตะโกนหยุดทั้งคู่ไว้ เพราะเขารู้จักชายคนนั้นดี เขากดเปิดหน้ากากของเขาออกเพื่อให้เห็นถึงใบหน้าของตนเอง และค่อยๆเดินออกมาหาชายผมดำที่ทั้งสองกำลังเผชิญหน้าอยู่
“ฟริทซ์ เรมิงตัน!?” มิทเชล์กล่าวขึ้นมา เมื่อฟริทซ์เห็นดังนั้นเขาเองก็ลดดาบลงและเดินเข้ามาด้วยใบหน้าตกตะลึงเช่นกัน
“คุณมิทเชล์!?” ฟริทซ์ตอบกลับ เขาสังเกตุเห็นถึงร่างเมย์ที่อยู่บนไหล่ของมิทเชล์ และแผลกระสุนกลางหลัง “คุณเมย์... คงไม่ใช่ว่า..?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากทั้งคู่ แต่แค่ฟริทซ์เห็นแววตาของทั้งมิทเชล์ และคริสเท็น เขาก็รู้คำตอบนั้นดี ฟริทซ์ก้มหน้าลงด้วยความเศร้า ถึงเขาจะเพิ่งรู้จักทั้งสองคนแค่ไม่นาน แต่พวกเขาแบ่งปันสนามรบ สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแล้วไม่มากก็น้อย การจากไปของเมย์เอง ก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจของฟริทซ์อยู่ระดับหนึ่ง
“ว่าแต่ นายเข้ามาที่นี่ทำไมกัน?” มิทเชล์กล่าวถามฟริทซ์
“ที่ไซอ้อน มีข่าวไฮบริดเทียมหลุดออกอาละวาดเต็มไปหมดเลยน่ะครับ” ฟริทซ์ตอบกลับ
“ผมเลยตามรอยพวกนั้นย้อนกลับมาที่ฐานนี่ เพื่อจะได้สะสางทุกอย่างซะ” เขาหยุดสักครู่
“ไม่ควรจะมีคนตายเพิ่มไปกว่านี้แล้ว” ฟริทซ์กล่าวด้วยสายตาอันเศร้าสร้อย เขานึกถึงเด็กหนุ่มเมื่อครู่ ที่เขาไม่อาจช่วยไว้ได้
“พวกเราต้องรีบไปกันแล้ว!” คริสเท็นกล่าวขึ้นมา เธอเดินนำทางไปอย่างช้าๆ เพื่อที่จะหนีออกไปจากที่นี่
“จักรพรรดิตายแล้วล่ะ มันจบแล้ว ฟริทซ์” มิทเชล์เดินตีคู่กับฟริทซ์มา ฟริทซ์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ดูตกใจเป็นอย่างมาก
“คริสเท็นเป็นคนจัดการน่ะ” มิทเชล์กล่าว ฟริทซ์หันไปมองคริสเท็น พวกเขาทั้งสองทิ้งระยะห่างกับเธอก่อนที่จะรีบตามไป
’โครมมมมมมมมมมม!!’
เพดานด้านบนระหว่างคริสเท็น และ มิทเชล์กับฟริทซ์พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง เธอหันไปมองทั้งสอง แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร เธอเห็นดาบยักษ์สีดำฟาดทะลุลงมาที่ช่องว่างนั้น และความรุนแรงของมันทำให้ฟันทะลุไปถึงชั้นล่างๆด้วย การโจมตีครั้งนี้ทำให้ด้านที่พวกเขาอยู่ของตึกถูกผ่าออกเป็นสองซีก และถล่มลงมาเหมือนดินถล่ม คริสเท็นพยายามทรงตัวอยู่บนพื้นที่ตอนนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ เธอหลบซากตึกที่ถล่มลงมา และสไลด์ลงไปพร้อมๆกับพวกมัน จนกระทั่งเศษตึกพวกนั้นหยุดเคลื่อนไหว
คริสเท็นทรงตัวและลุกขึ้นมายืนบนซากหินและปูนมหาศาลที่กองสูงขึ้นมาเหนือพื้นหลายเมตร มันพังลงมาเป็นสโลปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่จากตึกจตุรัสด้านบน เธอหันกลับไปมองทางนั้น เพื่อหาสาเหตุของมัน และมองหาฟริทซ์และมิทเชล์ที่อยู่อีกฟาก
’เช้งงง!’
ดาบเล่มหนึ่งถูกขว้างมาทางเธอ มันปักลงที่เศษหินที่อยู่ด้านหน้าเธอพอดี คริสเท็นมองดาบเล่มนั้น และรู้ทันทีว่านั่นคือดาบของเธอ ดาบความถี่สูงสีดำที่เธอใช้เป็นอาวุธประจำตัว และรู้ทันทีว่าใครเป็นคนทำ คริสเท็นมองขึ้นไปด้านบนเศษหิน ชายในชุดเกราะคนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ระดับสูงกว่าเธอไม่มาก เป็นชุดเกราะสีดำ หน้ากากเป็นเหมือนแก้วสีฟ้าทึบ และมีหูเล็กๆขึ้นไปสองข้าง ส่วนลำตัวนั้นเป็นเหล็กชนิดพิเศษที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมอยู่ตรงหน้าอก มันเป็นชุดเกราะที่เธอไม่เคยเห็นใครใส่เลย เขาถือดาบสีดำเล่มใหญ่ยักษ์ ยาวกว่าสองเมตร และมีความกว้างที่ใหญ่เกินดาบทั่วไปที่ดูแล้วไม่น่าจะมีใครถือได้ด้วยมือเดียว เธอไม่เคยเห็นดาบแบบนี้มาก่อน ส่วนอีกมือนึงของเขานั้นว่างเปล่า เพราะเขาเพิ่งขว้างดาบคืนคริสเท็นมานั่นเอง
“คาร์ลอส…!” คริสเท็นพูดพร้อมกับคว้าดาบของเธอขึ้นมาถือไว้
“กว่าจะหาจังหวะลากเธอมาคนเดียวได้เนี่ย... นานขนาดไหนรู้ไหม?” คาล์กล่าวอย่างกวนประสาท เขาทำท่าทางถอนหายใจ เพื่อยั่วโมโหคริสเท็น
“ในที่สุดก็ได้ฤกษ์สักทีนะ มีอา” เขากล่าว ยกดาบยักษ์ขึ้นพาดไหล่
“ชั้นรอเวลานี้มานานแล้ว!!” เมื่อพูดจบ คาล์ก็ออกตัววิ่งเข้าใส่คริสเท็น เพื่อโจมตีเธออย่างรวดเร็ว
ทางด้านฟริทซ์ และมิทเชล์
“บ้าเอ้ย เกิดอะไรขึ้นน่ะ!” มิทเชล์กล่าวขึ้นก่อนพยุงตัวขึ้นจากเศษหินที่ทับอยู่ เขาปลอดภัยดีเนื่องจากชุดเอกโซสูทของเขาช่วยป้องกันความเสียหายส่วนใหญ่ได้ มิทเชล์หันไปมองหาฟริทซ์ที่ตกลงมาใกล้ๆกัน และช่วยยกหินที่ทับอยู่ และพยุงเขาขึ้นมา ฟริทซ์มีบาดแผลแค่เล็กน้อยเท่านั้น โชคดีที่เขาสามารถเคลื่อนไหวหลบเศษหินพวกนั้นได้เป็นจำนวนมาก เขาลุกขึ้นมาและเอามือจับไหล่ซ้ายของเขาไว้ หน้าของเขามีเศษฝุ่นและดินสีดำเล็กน้อย
มิทเชล์ส่งสายตาขึ้นไปด้านบน ตามซากปรักหักพังของตึกที่พังลงมา ร่างไร้วิญญาณของเมย์ก็คงจะร่วงออกจากมิทเชล์ไประหว่างเหตุการณ์ทั้งหมด และถูกกลบอยู่ที่ไหนสักที่บนนั้น เขาอยากนำร่างของเธอกลับไปเพื่อทำพิธี ฝังศพให้เรียบร้อย เนื่องจากพวกเขาก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันไปแล้ว แต่ในสถานการณ์นี้คงไม่เป็นใจ และไม่มีเวลาค้นหาเธอแล้ว เขาจึงถอดใจเลิกล้มความตั้งใจไป
“ดูเหมือนพวกเราจะกระเด็นมาไกลเหมือนกันนะ” มิทเชล์กล่าวขึ้นมา
“แล้วเพื่อนของคุณล่ะครับ?” ฟริทซ์มองไปรอบๆเพื่อหาคริสเท็น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ปลอดภัยดีอยู่แล้วล่ะ เธอคนนั้นน่ะเป็นหนึ่งในคนที่ฝีมือดีที่สุดของพวกเราเลยนะ” มิทเชล์กล่าวตอบ
เมื่อสนทนาเสร็จ ทั้งสองคนก็เริ่มวิ่งไปทางเธอ ตำแหน่งของทั้งสองคนอยู่ด้านข้างตึกจัตรุรัส ฝั่งตรงกันข้ามกับคริสเท็น ถ้าพวกเขาจะรวมตัวกัน ก็ต้องฝ่ากองทัพที่ดักอยู่ตรงกลางให้ได้เสียก่อน และจากแรงระเบิดที่เกิดขึ้น มิทเชล์คาดการณ์ว่าพวกทหารกลุ่มนั้นจะเริ่มกระจายตัวออกมาตามหาทั้งสามคนแล้ว แต่เขาคิดผิดมหัณต์
“นี่มัน .. อะไรกันนี่!?” ฟริทซ์กล่าวเมื่อเห็นพวกเขา
เหล่าทหารที่กรูกันอยู่รอบๆตึกจัตุรัสเกือบร้อยนาย ต่างล้มลงไปนอนตัวตรง หงายหน้าขึ้นกันทั้งหมด เป็นภาพที่เห็นแล้วชวนขนลุก เหมือนพวกเขาหมดสติ ไม่ก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว ด้วยความมึนงง มิทเชล์เดินเข้าไปช้าๆ ไปหาชายคนหนึ่งที่ไม่ได้สวมชุดเกราะ เขาใส่ชุดยูนิฟอร์มที่หรูหรากว่าคนอื่นทั่วไป ดูเหมือนจะเป็นผู้บัญชาการของกองทหารกองนี้ ชายคนนั้นนอนนิ่งอยู่กับพื้น มิทเชล์ยกปืนขึ้นเล็งไปทางเขาเป็นการป้องกันตัว ก่อนจะย่อลงไปช้าๆ และสำรวจใบหน้าของเขา
“...นี่มันอะไรกัน?” ฟริทซ์ที่เดินเข้ามาดูก็อึ้งไม่แพ้มิทเชล์
ผู้บัญชาการเป็นชายหนุ่มอายุราวๆสามสิบปลายๆที่ไว้ทรงผมทหารเรียบร้อย นัยน์ตาของเขาเบิกโพลง แววตาของเขานั้นไร้ชีวิต แต่เขายังไม่ตายเนื่องจากยังหายใจอยู่ ผู้บัญชาการหนุ่มเหมือนตกอยู่ในภวังค์บางอย่างที่อยู่ลึก และไม่สามารถปืนขึ้นมาได้ ตัวของเขานั้นแข็งไปทั้งตัว เหมือนกำลังยืนตรงเวลาเข้าแถวทหาร แต่พวกเขากลับนอนหงายไปกับพื้น ทุกๆนายเกือบร้อยคน ไม่ว่ามิทเชล์จะพยายามสะกิด จับตัวตรงไหน พวกเขาก็นอนนิ่งไม่ไหวติง เหมือนเป็นแค่ตุ๊กตาที่ไร้วิญญาณ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไรต่อ ชายสองคนก็เดินเข้ามาล้อมพวกเขา การ์แลนด์ในเกราะสีดำเงา โผล่มาจากบนตึกชั้นสาม ด้วยความพังพินาศของตึก ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่ให้เขาเดินลงมาได้อย่างสบายๆ ดูเหมือนเขาจะอยู่บนนั้นมาสักพักแล้ว อีกด้าน คือมาจากทางไซอ้อน อีโวลต์ในเสื้อคลุมสีดำของเขาก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีเวลาซ่อมอีโวลต์ ไดรฟ์เวอร์ ทำให้เขาต้องมาตัวเปล่า เมื่อเห็นทั้งสองคน ฟริทซ์และมิทเชล์ก็เปิดโหมดเตรียมต่อสู้ และลุกขึ้นมาตั้งท่าพร้อมสู้ทันที
การ์แลนด์มองลงมายังทั้งคู่ระหว่างที่เขาเดินลงมาช้าๆ เขาสังเกตุเห็นที่ทหารนับร้อยที่นอนไม่ได้สติอยู่ด้านล่าง ทำให้เขารู้ทันทีว่านี่มันเป็นฝีมือใคร แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ฟริทซ์และมิทเชล์ หันไปมองหน้ากันชั่วขณะ เหมือนส่งสายตาเพื่ออีกคนว่าตัวเองจะทำอะไร หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มออกวิ่ง มิทเชล์วิ่งขนาบข้างออกไป รัวปืนไรเฟิลของเขาใส่การ์แลนด์ ซึ่งเขาปัดทิ้งได้ทั้งหมด ฟริทซ์ออกตัววิ่งไปด้านหน้า ตรงข้ามกับตึก เข้าหาอีโวลต์ แต่เขาฉีกไปข้างๆเล็กหน่อย เพื่อดึงอีโวลต์มาหาตัวเขาเอง
“คู่ต่อสู้ของแกคือชั้น ! ไอ้เครื่องดูดฝุ่น!!”
ทางเข้าเมืองไซอ้อน
หลังจากเหตุการณ์ที่บิทเทอร์วินด์ นิโนะได้อธิบายทุกอย่างให้อลิเซียที่ตื่นขึ้นมาฟัง พวกเขาตัดสินใจจะบินมา่ที่ไซอ้อน เพื่อช่วยเหลือทั้งกลุ่มชองอาลอยและเอมม่า และพวกคริสเท็นที่ถูกจับไปด้วย ทั้งสองซ่อมยานที่อยู่แถวนั้น และบินออกมาจากบิทเทอร์วินด์ และบัดนี้พวกเขาก็ได้มาถึงไซอ้อนแล้ว อลิเซียสังเกตุเห็นด้านในเมืองที่วุ่นวาย อลหม่านไปด้วยการต่อสู้และการทำลายล้างระหว่างไฮบริดเทียมที่แหกคุกออกมาและทหารจักรวรรดิ เธอเลยฉวยโอกาสนี่ ขับยานดิ่งพุ่งลงใส่พื้น บริเวณป้อมตรวจคนเข้าเมือง
’โครมมมมมม!’
ทั้งสองเปิดประตูหลังของยาน นิโนะกางม่านบาเรียสีเขียวเป็นทรงกลมล้อมรอบทั้งคู่ ทำให้พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ยานที่พวกเขาขับมาไถลไปตามพื้น ระเบิดออก ทำให้ทหารหลายนายตายในกองเพลิงนั้น ทั้งสองวิ่งมุ่งหน้าเข้าไปที่เมืองอย่างรวดเร็ว โดยการใช้บาเรียของนิโนะป้องกันกระสุน และอลิเซียใช้พลังการรควบคุมลมของเธอ ปิดกั้นการหายใจของทหาร ทำให้พวกเขาดิ้นรนอย่างทรมานเนื่องจากขาดอากาศหายใจก่อนตายอย่างช้าๆทีละคน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันคะเนี่ย!” นิโนะปิดการทำงานบาเรียของเธอ และวิ่งขนาบข้างมากับอลิเซีย
“เท่่าที่ชั้นเห็น พวกนั้นใส่ชุดนักโทษนะ”อลิเซียตอบกลับ
“แสดงว่าพวกมันหนีออกจากคุกมาใช่ไหมล่ะ?” เธอหันไปทางนิโนะ เหมือนอยากให้เธอทายปริศนา
“แสดงว่าคุณคริสเท็นก็!” นิโนะตอบกลับด้วยใบหน้าที่มีความหวัง
“ใช่ อยู่ที่ไหนสักที่แถวๆนี้ล่ะ!”
ทั้งสองวิ่งเข้ามาในตัวเมืองไซอ้อนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ควันไฟลอยอยู่ทั่วทุกที่ หากมองไปบนฟ้าก็จะเจอไฮบริดเทียมหลายคนเคลื่อนไหวไปมา อลิเซียเดาว่าทั้งหมดคงมีหลายสิบคน ตามด้วยกระสุนและยานรบที่ไล่ล่าตามหลังพวกเขาไป ประชาชนในเมืองหนีเอาตัวรอดกันอย่างโกลาหล ไม่มีที่ๆปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว
เป้าหมายของทั้งสองคือการตามหาพรรคพวกของตนเอง อลิเซียเลยเสนอให้ทั้งคู่ขึ้นไปดูจากจุดที่อยู่สูงเพื่อมองลงมาด้านล่าง จะได้เห็นภาพสถานการณ์โดยรวม และพวกเขาก็หาตึกที่อยู่ใกล้ที่สุด และรีบขึ้นบันไดหนีไฟขึ้นไปจนอยู่ชั้นดาดฟ้า พวกเขาสำรวจด้านล่างรอบๆเมือง
“นี่หรือเนี่ย….การสู้ของไฮบริด” นิโนะกล่าวระหว่างสังเกตุไปรอบๆเมือง ถึงเธอจะเคยเข้ารร่วมการต่อสู้ระหว่างไฮบริดกับทหาร แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นสเกลเล็กๆ ไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่ใช้เมืองทั้งเมืองเป็นสนามรบ และปล่อยพลังเต็มที่โดยที่ไม่ต้องระวังอะไรแบบนี้มาก่อน
“นั่นมัน!!” อลิเซียที่ใช้กล้องจากปืนสไนเปอร์ของเธอเล็งไปรอบๆ ก็หยุดอยู่ที่หนึ่ง
“ผู้หญิงผมแดงนั่น!” เธอกล่าว ทำให้นิโนะวิ่งเข้ามา
“คนที่ปล่อยเราไปนี่นา เราต้องเค้นข้อมูลจากเธอนะคะ!” นิโนะดูจากกล้องส่องทางไกล
มิกิและเรนิต้าทั้งสองหลังจากขับยานออกมาจากฐานลับ ได้ถูกไฮบริดเทียมทำลายยานก่อนที่พวกเขาจะออกไปจากเมืองนี้ได้ พวกเขาลงจอดอย่างรุนแรง ทำให้ยานรบนั้นระเบิดไม่เป็นชิ้นดี พวกเขารอดมาได้ แต่ก็กำลังต่อสู้อยู่กับไฮบริดเทียมคนหนึ่ง เขาเป็นผู้ชายอายุราวๆสามสิบร่างสูง ผอม มีแววตาที่หน้ากลัว และหัวล้าน
“หลบหลังชั้นไว้นะเรนิต้า!” มิกิกล่าว เธอยื่นมือหนึ่งไปข้างๆเป็นการปกป้องเรนิต้า อีกมือหนึ่งถือหอกสกอร์เปี้ยนเทล์
มิกิและชายหัวล้านดูเชิงกันอยู่ พวกเขาสู้กันมาสักพักแล้ว และดูเหมือนมิกิจะเสียเปรียบ เธอมีแผลปากแตก และตามตัวมีเศษฝุ่นเล็กน้อย
“มิกิ หมอนี่คือไฮบริดเทียมเบอร์ศูนย์หกเก้า พลังของมันคือการหักเหแสง” เรนิต้ากล่าวเบาๆ
“การควบคุมแสงอันไร้ที่ติของมันทำให้เรามองไม่เห็นการโจมตีอะไรของมันเลย”
“หึ ชั้นเองก็ทำได้เหมือนกัน!!” มิกิพุ่งเข้าไปโจมตีพร้อมสร้างร่างปลอมออกมา เธอใช้พลังภาพลวงตาจากคลื่นความร้อนเพื่อหลอกศัตรูว่าจะโจมตีด้านหนึ่ง แต่จริงๆแล้วโจมตีอีกด้านหนึ่ง
หมายเลชหกเก้าหลบการโจมตีของมิกิได้อย่างเหลือเชื่อ เหมือนเขามองเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาหลบและสวนด้วยหมัดเปล่าๆเข้าเต็มหน้าของมิกิทำให้เธอปลิวกลับมา จากนั้นเขาก็พุ่่งเข้ามาเพื่อจะเผด็จศึกใส่สองสาวที่ไร้การป้องกัน
’ปังงง!’
’ฉึกก!’ กระสุนสไนเปอร๋ไรเฟิลพุ่งเข้าใส่กะโหลกของชายหัวล้านเข้าอย่างจังระหว่างที่เขาไม่ได้สังเกตุ มันพุ่งเข้ากระหม่อมขวาและทะลุออกอีกด้านพร้อมกับเศษสมองเล็กๆที่กระเด็นออกมาพร้อมกัน ทำให้เขาล้มลงด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง แต่ยังหายใจหืดหาดอย่างดิ้นรนและทรมาณ มิกิตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และใช้หอกของเธอแทงเข้าที่กลางหลังของหกเก้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าเขาตาย
มิกิที่ยังตกตะลึงกับกระสุนที่ถูกยิงมา เธอหันไปทางซ้ายของเธอ บนยอดตึกสูง หญิงสาวผมสีดำยาวพร้อมปืนสไนเปอร์ของเธอ ทั้งสองมองตากันในช่วงเวลาสั้นๆ มิกิเมื่อจำได้ว่าเธอเป็นใคร ก็รีบดึงมือเรนิต้าและวิ่งหนีออกไปทันที เรนิต้าถึงจะยังมึนๆกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอไม่ได้มองเห็นคนยิงเหมือนมิกิ แต่ก็วิ่งตามเธอไป
“อะ...อะไรกันน่ะ มิกิ!?” เธอถามอย่างงุนงง
“เดี๋ยวจะอธิบายทีหลัง! รีบไปกันก่อนเถอะ!”
อลิเซียเมื่อเห็นว่ามิกิวิ่งหนีออกไป เธอก็รีบเก็บปืนสไนเปอร์ของเธอเป็นสองส่วน และรีบวิ่งลงไปทันที “พวกนั้นหนีไปแล้ว เราต้องรีบตามไป!” นิโนะเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งตามอลิเซียไป ทั้งสองลงมาจากตึกอย่างรวดเร็ว และรีบมุ่งหน้าไปยังทางที่มิกิและเรนิต้าไป เนื่องจากพวกอลิเซียนั้นเพิ่งเข้ามาจากทางเข้าเมือง และพวกมิกิต้องการออกจากเมือง ทำให้ทั้งคู่วิ่งมาเจอกันในที่สุด
“หยุดนะ!!” อลิเซียและนิโนะหยิบปืนพกขึ้นมาจ่อทั้งสองคน
มิกิเตรียมสกอร์เปี้ยนเทลล์ขึ้นมาสู้ แต่เรนิต้าเขามาขวางระหว่างทั้งสองฝั่ง
“พวกคุณช่วยเราไว้เมื่อครู่นี้ คงไม่ฆ่าเราตอนนี้หรอกใช่ไหมคะ?” เธอกล่าวอย่างใจเย็น ราวกับควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้
“ชั้นเดาว่าพวกคุณต้องการข้อมูลอะไรบางอย่างจากเรา” เธอกล่าว
เรนิต้าหันไปมองมิกิ ทำให้เธอลดอาวุธของเธอลง และจากนั้นนิโนะเองก็ลดปืนของเธอเช่นกัน แต่อลิเซียนั้นยังคงถือปืนพกจ่อไปยังมิกิอยู่อย่างเดิม เธอเดินเข้าไปช้าๆ “บอกที่อยู่ของเพื่อนเรามาซะ! ไม่งั้นพวกแกสองคนได้กลายเป็นศพแน่!” เธอตะโกนด้วยความโกรธ จ้องเขม็งไปยังตาของมิกิ ที่ดุดันไม่แพ้กัน
“คุณช่วยชีวิตพวกเราไว้ คุณเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นใช่ไหมคะ?” นิโนะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม เป็นเหมือนด้านตรงข้ามกับอลิเซีย
“ตอนที่พี่เฮเลล… ตาย … หนูเห็นคุณเข้าไปโอบกอดพี่เขานะคะ” เธอพูดจาอย่างเจ็บช้ำ
“พี่เฮเลลก็สำคัญกับพวกเราเหมือนกัน และเขาก็คงอยากช่วยเพื่อนของเราที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเหมือนกันค่ะ”
มิกิดูตกอยู่ในห้วงความคิด เธออยากจะหนีปัญหาทุกอย่างไป แต่เธอก็อยากสานต่อสิ่งที่เฮเลลทำไว้เช้นกัน แต่ถ้าหากเธอยอมช่วยสองคนนี้ หมายความว่าเธอนั้นทรยศจักรวรรดิที่เฮเลลเกลียดชัง ที่เธอทำงานให้ แต่มันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของเธอคนเดียว เพราะเรนิต้าเองก็ถูกกพามาเกี่ยวพันเช่นกัน
“เรนิต้า… ถ้าเธอจะแยกกับชั้นตอนนี้ก็ได้นะ” มิกิกล่าวขึ้นมาอย่างอึดอัด เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเพื่อนของเธอด้วยซ้ำ
“ชั้นไม่อยากเอาหน้าที่การงาน หรือชีวิตของเธอมาเสี่ยงกับชั้น”
เรนิเต้าจับไหล่ทั้งสองข้างของมิกิอย่างหนักแน่น และจ้องตาของเธอ
“ตั้งแต่ชั้นตัดสินใจมากับเธอ มันก็ไม่ใช่ปัญหาของคนๆเดียวแล้ว มิกิ”
“ชั้นไม่มีทางทิ้งเธอหรอก”
คำพูดนั้นทำให้มิกิมั่นใจ ว่าตอนนี้เธอยังมีคนที่ให้กลับไปได้เสมอ มั่นใจว่าการตัดสินใจของเธอยังมีคนสนับสนุนและพร้อมเดินหน้าไปด้วยกันเสมอ แววตาที่สับสนของเธอกลายเป็นแววตาที่มุ่งมั่น และพร้อมจะทำสิ่งที่ะถูกต้อง เธอหันไปทางอลิเซีย และนิโนะ ด้วยความปราถนาใหม่ และเป้าหมายที่ชัดเจน
“ไปกันเถอะ พวกเราจะพาไปเอง”
“เดี๋ยว!” อลิเซียจับไหล่ของมิกิไว้ รั้งเธอ
“ชั้นจะรู้ได้ยังไงว่าแกจะไม่ทรยศ ไอไฮบริดเทียม”
ปกติคำพูดนั้นจะทำให้เธอโมโหและทำร้ายร่างกายผู้พูดแล้ว แต่ในสถานการณ์นี้เธอรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
“ชั้นเชื่อในตัวเฮเลล… เชื่อมาตลอด ที่ผ่านมาชั้นแค่ไม่ยอมรับเท่านั้นเอง”
“แต่ตอนนี้ชั้นรู้แล้ว และชั้นก็จะทำตามใจบ้าง ชั้นจะทำสิ่งที่ถูกต้อง”
ด้วยคำพูดที่มาจากใจเหล่านั้น มิกิได้ซื้อใจอลิเซียและนิโนะไปแล้วกว่าครึ่ง ถึงจะยังมีความระแวงอยู่ก็ตาม แต่สัญชาติญาณของทั้งคู่ บอกว่าเธอคนนี้เชื่อใจได้ ทั้งสองมองกันสักพัก นิโนะก็อมยิ้มออกมาและใช้ศอกสะกิดอลิเซียเบาๆ เธอหันไปมองนิโนะและเหมือนรู้ว่าต้องทำอะไร
“เฮ้ออ ชั้น… ขอโทษ” เธอดูพูดอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็เขินอายเล็กน้อย
“ที่พูดจาไม่ดี แล้วก็ขู่ฆ่าเมื่อกี้” เธอพูด หลบตาทั้งสอง
“พอใจรึยัง ไอเด็กน้อย!!” อลิเซียหันไปตวาดนิโนะ ทำให้ความกดดันและความตึงเครียดของทั้งสี่คนลดลง
“เอาล่ะ ไปกันเถอะค่ะ พวกเราต้องหายาน” เรนิต้ากล่าว ทั้งสี่มุ่งหน้าไปหายานรบ เพื่อเดินทางเข้าสู่ฐานลับ
ทางด้านคริสเท็นและคาร์ลอส
ทั้งที่ดาบใหญ่ขนาดนั้น
แต่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ
’เพล้งงง!!’ คริสเท็นตั้งดาบของเธอขึ้นมาป้องกันการฟันของคาร์ลอส แต่ด้วยแรงที่ห่างกันเกินไป ทำให้เธอกระเด็นกลับหลังมา เธอไม่เคยเห็นคาล์ในชุดเกราะและอาวุธแบบนี้มาก่อน คริสเท็นลุกขึ้นมาและตั้งท่าพร้อมสู้อีกครั้ง คาร์ลอสเดินเข้ามาท่ามกลางฝุ่นควันที่ฟุ้งเต็มบริเวณ พวกเขาปะดาบกันมาสักครู่ จนกระทั่งลงมาถึงพื้น
ทำไมถึงไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยล่ะ คริสเท็นมองไปรอบๆ หาทหารที่มาตามล่าเธอ แต่เธอเห็นแค่คนที่นอนหงายไม่ได้สติอยู่เท่านั้น “แกทำขนาดนี้เลยงั้นหรือ คาล์?” เธอหันไปถามชายในเกราะค้างคาว “แหม่ ชั้นไม่เสี่ยงให้ใครมาขัดขวางการดวลระหว่างเราหรอกนะ มีอา” คาล์พุ่งเข้าไปโจมตี ทั้งสองดวลกันอยู่สักพัก ถึงจะยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะพวกเขาผลัดกันรุกรับอย่างสูสี แต่เป็นคริสเท็นที่เสียเปรียบอย่างชัดเจน ถึงทักษะของทั้งคู่จะเท่ากัน แต่ความได้เปรียบด้านพละกำลัง อุปกรณ์ ของคาล์นั้นทำให้คริสเท็นลำบากเป็นอย่างมาก เธอต้องหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเกราะเบาที่เธอใส่นั้น หากโดนโจมตีเต็มๆแค่ครั้งเดียว เธอก็ตายได้เลย
ถ้าเป็นแบบนี้เดี๋ยวได้เสียท่าแน่ๆ
คริสเท็นยื่นมือไปข้างหน้า มือของเธอสั่น เธอโฟกัสเต็มที่ จ้องไปยังด้านหน้าของเธอตาไม่กระพริบ เหงื่ออไหลออกมาจากหน้าของเธอ ที่ที่คาล์ยืนอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเขากำลังลอยไปข้างหน้า เหมือนถูกดูดไปช้าๆ
“แรงกว่านี้อีกสิ น้องสาว!!” คาล์กล่าวอย่างเยาะเย้ยใส่คริสเท็น เขาย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อทรงตัวจากแรงดึงของคริสเท็น
คริสเท็นกำหมัดด้วยมือที่เธอยื่นออกไปด้านหน้า แรงดึงที่คาล์รู้สึกนั้นได้หายไป เขารู้แล้วว่าคริสเท็นไม่ได้พยายามจะเคลื่อนที่เขาเข้าไป แต่เป้าหมายของเธออยู่ด้านหลังเขาต่างหาก คาล์หันหลังกลับไปดูอย่างรวดเร็ว เศษหินขนาดยักษ์หลายสิบก้อน ขนาดใหญ่ที่ว่าแค่ก้อนๆเดียวสามารถทับคนธรรมดาให้ขยับไม่ได้ได้ทั้งตัว เศษหินเหล่านั้นพุ่งมาหาคาล์อย่างรวดเร็ว “ต้องให้ได้แบบนี้สิ..” คาล์คว้าดาบยักษ์ของเขาด้วยสองมือ ฟาดมันไปด้านหน้าในแนวนอนอย่างรุนแรง คมดาบอาบไปด้วยความร้อนสูงจนเปลี่ยนให้มันมีเงาสีแดงออกมา ผ่าก้อนหินเหล่านั้นจนแตกกระจายเละเทะ
’โครมมมม!!’
จังหวะที่เขาหันหลังนั่นเอง คริสเท็นพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็วและฉับไว แววตาของเธอนั่นมุ่งมั่นและตั้งใจ แต่คาล์เองก็ไม่แปลกใจกับการโจมตีครั้งนี้ เขาหันมาและเตรียมรับคมดาบของเธอด้วยดาบยักษ์ของเขา แต่เวลามีไม่พอที่เขาจะสร้างโมเมนตัมเพื่อฟันกลับ คาล์ตั้งดาบยักษ์ไว้กับพื้นและใช้มันเป็นโล่ห์ที่กันตัวเขาเอง
เสร็จชั้นล่ะ!
แต่คริสเท็นคำนวณไว้หมดแล้วว่าเขาจะทำอย่างนั้น เมื่อตั้งเป็นโล่ห์ เขาเองจะสูญเสียองศาการมองเห็นไปชั่วครู่ เธอใช้จุดนั้นเป็นข้อได้เปรียบ กลิ้งตัวออกด้านข้าง และฟันเข้าไปที่ลำตัวของคาล์เต็มๆ ’เคร้งง!’ เสียงดาบฟาดฟันเกราะอันแข็งแกร่งของเขา เมื่อโจมตีเสร็จ คริสเท็นก็กระโจนถอยหลัง ไปรักษาตำแหน่งที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ไม่ให้คาล์ได้สวนกลับ คมดาบที่ฟันเกราะของคาล์นั้น มันผ่าเกราะของเขาแตกเป็นรอยเล็กๆตามการฟัน มันเฉือนไปโดนเนื้อด้านในนั้นอย่างฉิวเฉียด
คริสเท็นมองไปรอบๆ เธอสังเกตุเห็นตึกตึกหนึ่งที่สูงราวๆสิบชั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ คริสเท็นเริ่มถอยร่นไปยังตึกนั้น ค่อยๆถอยลงไปทุกครั้งที่ป้องกันการโจมตีของคาล์ จนในที่สุดเธอก็หาจังหวะพุ่งเข้าไปในตึกนั้นได้ เพื่อพักหายใจ และเตรียมลอบโจมตี
เมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็ตามเข้าไป เมื่อคาล์เข้ามาในตึก มันเป็นเหมือนตึกก่อสร้างเก่าๆ ที่ยังทำไม่เสร็จ ที่มีบันไดขึ้นไปสูง และกำแพงมากมาย เขาเข้ามาเห็นศพทหารที่อยู่ในนี่ ท่ามกลางเหตุวุ่นวาย ที่นี่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ และน่าจะถูกคริสเท็นสังหารไปเมื่อสักครู่ ’ตึกๆ’ คาล์เงยหน้าขึ้นไป เสียงฝีเท้าก้องกังวาลอยู่ด้านบนอย่างเร่งรีบ เขาจึงเดินขึ้นไปช้าๆ
คาล์เดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุดก่อนดาดฟ้า มันเป็นห้องโถงใหญ่ๆโล่งๆ มีทางเดินตรงกลาง และกำแพงยาวขนาบสองข้างตามแนวทางเดิน ด้านหลังกำแพงมันเป็นบล็อคๆแบ่งเป็นหลายสิบห้อง คาล์เดินไปช้าๆทีละเก้า เสียงเท้าของเขาก้องกังกวาลไปทั่วทั้งชั้น และเขามาหยุดตรงที่หนึ่ง เขาหันไปด้านขวาของเขา หลังจากมองไม่นาน เขาก็รู้
ด้านหลังกำแพงที่คาล์จ้องอยู่นั้น คริสเท็นยืนรออยู่พร้อมโจมตี ทั้งคู่ไม่ขยับ เหมือนวัดใจกันอยู่ ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงข้าม เหลือเพียงว่าใครจะโจมตีก่อนเท่านั้น ทั้งสองกำอาวุธของตนเองไว้แน่น ไม่มีใครหายใจ ไม่มีใครพูดอะไร เหมือนกับว่าถ้าพวกเขาส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ทำ คริสเท็นค่อยๆยกดาบของเธอขึ้นมาช้าๆอย่างระมัดระวังในท่าเตรียมแทง เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรจากด้านนอกเลยตั้งแต่เสียงฝีเท้ามาหยุดเบื้อหน้าเธอ เหงื่อเธอไหลด้วยความกดดัน
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงลม
’ตู้มมมมม!’
ดาบยักษ์สีดำฟันเข้ามาเต็มแรงในแนวนอน มันกวาดกำแพงที่บังทั้งสองอยู่จนพังทะลายไม่มีชิ้นดี คริสเท็นก้มลงต่ำเพื่อหลบวสวิงอันรุนแรงของคาล์ เธอสปริงตัวและฟันเข้ากลางอกเป็นแนวเฉียง ครั้งนี้ลึกกว่าเดิม มันทะลุเกราะอกไป และสร้างบาดแผลที่จะกลายเป็นแผลเป็นให้เขาแน่นอนในอนาคต เธอหันหลัง ใช้พลังของเธอทำลายกำแพงที่อยู่ด้านหลังของเธอ และกระโดดออกไปจากชั้นห้า ลงไปยังดาดฟ้าของตึกที่อยู่ข้างๆ ห่างกันไปประมาณเจ็ดเมตรที่ความสูงพอๆกัน เธอใช้พลังยกหินขึ้นมาเป็นขั้นบันได และก้าวผ่านอากาศไป
ถ้าเกิดหนีแล้วค่อยๆตอดมันไปเรื่อยๆ ก็พอชนะได้อยู่!
ทันใดนั้นเอง คริสเท็นก้มลงไปคุกเข่ากับพื้นและกุมหัวด้วยความเจ็บปวด เธอมองคาล์ที่อยู่ตึกตรงข้าม ตาองเธอนั้นพร่ามัว
พลังของ ... หมอนั่น!?
เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ภาพความทรงจำอันเลวร้ายของคริสเท็นมันย้อนกลับมาในหัวของเธอ วันนั้นเมื่อสิบปีก่อน วันที่เธอสูญเสียครอบครัวไป ทั้งแม่ในสายเลือดของเธอ และครอบครัวชาวไฮบริด วันสุดท้ายกลุ่มเรมแนนต์ วันที่เธอสาบานว่าจะแก้แค้น คริสเท็นส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดที่หัวของเธอ คาล์พยายามแทรกแทรงความทรงจำของเธออยู่ เขาปั่นป่วนมัน ทำให้เธอทรมาน ภาพของเมย์เด้งขึ้นมา พร้อมกับเหตุการณ์ในห้องนั้น เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้เมย์ตายอย่างนั้นหรือ
“น่าเสียดายนะ” คาล์ที่อยู่อีกฟากหัวเราะขึ้นมา
“เธอคงคิดว่ามันจบไปแล้วล่ะสินะ”
เขาถอยหลังไปหลายก้าว สร้างพื้นที่ให้ตนเอง และเริ่มก้าวออกมาข้างหน้าทีละก้าว เมื่อถึงขอบ เขาก็กระโดดออกมา ไม่ใช่แค่ระยะเจ็ดเมตร เพราะเขาไม่ได้ลงจอดที่ขอบตึก เขากระโดดเลยมาอีก มุ่งตรงใส่คริสเท็นที่นั่งกุมหัวอยู่ในความเจ็บปวด มือสองข้างของคาล์อยู่ด้านหลัง เขากำลังง้างดาบยักษ์ และกำลังจะฟันลงที่คริสเท็น
’โครมมมมมมมมม!’
คาล์ฟันลงมาอย่างจัง ตึกถล่มลงไปจากการฟันของเขา เพดานและพื้นของตึกชั้นนี้และชั้นล่างๆถล่มลงเละเทะ คาล์นั้นทะลุลงมาสามชั้นที่พื้นข้างล่าง เศษหิน เศษฝุ่นเต็มอากาศไปหมด ทำให้ตึกนี้ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่และพร้อมจะถล่มตลอดเวลา เป็นการโจมตีที่รุนแรงและมีความทำลายล้างสูงมาก “ช้าไป!” เสียงของคริสเท็นดังขึ้นจากบนฟ้า เธอสะบัดตนเองออกจากกรงขังทางจิตของคาล และกระโดดหลบการโจมตีได้อย่างฉิวเฉียดเธอลอยอยู่เหนือดาดฟ้า สูงจากเขามากนัก และกำลังจะหล่นลงมา ใช้โมเมนตัมนั้นในการโจมตีคาล์ พวกเขาจ้องตากันระหว่างที่เธออยู่บนฟ้า กำลังจะปะทะกันด้วยแรงอันมหาศาล
“ย้ากกกกก!”
’ครืมมมมมม!”
คาล์ฟันสวนเข้ามาหาคริสเท็นตอนที่เธอลงมาพอดี แต่คริสเท็นใช้พลัง ดึงแผ่นหินยักษ์มาป้องกันแทนตัวเธอไว้ คริสเท็นกลิ้งตัวเมื่อถึงพื้น เพื่อลดความเสียหาย ตอนนี้ร่างของชายในชุดเกราะ โล่งปราศจากการป้องกันใดๆ มีเวลามากพอที่เธอจะเผด็จศึก
’เพล้งง!’
คริสเท็นขว้างมีดสีฟ้าที่คาล์ให้เธอไว้ มันปักเข้าไปที่กลางหน้ากากของเขา ทะลุกระจกสีฟ้าบนหน้ากาก จากนั้นด้วยความรวดเร็วไม่ให้เขาตั้งตัว คริสเท็นพุ่งเข้าไป ใช้ดาบสีดำของเธอแทงเข้าไปกลางท้องของคาล์ ณ จุดที่เธอตัดเกราะขาดไปก่อนหน้านี้
’โครมม!’
คริสเท็นดันคาล์ไปชนกับกำแพงด้านล่างและกำลังจะแทงดาบของเธอเข้าไปจนมิดด้าม คาล์ที่สูญเสียบาลานซ์ และปล่อยดาบยักษ์ของเขาตกพื้นเนื่องจากความบาดเจ็บที่ได้รับ ถูกคริสเท็นผลักร่างชนกับกำแพง และด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตึกนี้ แรงกระแทกครั้งนี้ทำให้กำแพงนั้นพังเละเทะ ร่างของคาล์ร่วงลงไปพร้อมๆกันกับแรงผลัก คริสเท็นกระโดดถอยหลังออกมา เธอเกือบตกลงไปเช่นกัน เมื่อเห็นว่าตึกนี้กำลังจะถล่ม เธอจึงรีบหาทางออกมา
ทางด้านมิทเชล์และการ์แลนด์
’ปังๆ!’
มิทเชล์วิ่งต่อเนื่องไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับยิงไรเฟิลใส่การ์แลนด์ที่วิ่งตามเขามาอย่างต่อเนื่อง แต่มันไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำความเสียหายได้บ้าง จนกระทั่งกระสุนของมันหมด เขาปาปืนไรเฟิลนั้นทิ้งข้างๆ และชักปืนพกขึ้นมาเพื่อยิงต่อ แต่เขารู้ดีว่ามันทำอะไรการ์แลนด์ไม่ได้ จึงเก็บมันไป และหยิบมีดคารัมบิทคู่ขึ้นมา ถือด้วยสองมือโดยให้คมมีดอยู่ด้านนอกของหมัด และตั้งการ์ดสองข้างขึ้นมาพร้อมสู้
การ์แลนด์เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เปิดใบมีดของเขาออกมาและเริ่มเดินไปด้านหน้า ทั้งสองคนเป็นนักสู้ระยะประชิดที่ประสบการณ์มากและมีฝีมือ มันไม่ง่ายแน่ๆสำหรับทั้งคู่ มิทเชล์เปิดใช้หน้ากากของเขาขึ้นมา และพุ่งเข้าชาร์จใส่การ์แลนด์ทันที
มิทเชล์ปล่อยหมัดขวาเหนือหัวใส่การ์แลนด์ ที่ป้องกันได้ทันทีด้วยปฏิกิริยาของกล้ามเนื้อ แต่มิทเชล์กระแทกเขาด้วยไหล่อีกข้าง ทำให้การ์แลนด์เสียการทรงตัว มิทเชล์พยายามแทงเขาด้วยมีด แต่การ์แลนด์ถอยกลับมาได้ ทำให้มันเฉี่ยวเกราะเท่านั้น ทั้งสองทิ้งระยะ และเปิดช่องว่างให้พักหายใจชั่วครู่
“สุนัขผู้ซื่อสัตย์ของจักรพรรดิ”
“การ์แลนด์สินะ จะเอาแบบนี้จริงๆรึไง? มันจะจบไม่สวยนา” มิทเชล์พูดขึ้นมาพร้อมกับตั้งการ์ดขึ้น
เขาไม่ตอบ การที่ต้องจ้องมองชายในชุดเกราะสีดำที่ดูไม่เหมือนมนุษย์มันน่าเกรงกลัวแล้ว กลับชุดเกราะของเขาคนนี้ที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเคยเห็นภายใต้หน้ากากนั่น มันเหมือนกับสู้กับปีศาจที่ไม่รู้ว่ามีทางตายหรือไม่ มันน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก มิทเชล์เหนื่อยเหลือเกินกับวันที่ยาวนานนี้ เขาต่อสู้มายังไม่หยุด ร่างกายอันเหนื่อยล้ามันเริ่มที่จะไม่ฟังเขาแล้ว สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ การ์แลนด์เองก็เช่นกัน เขาเองก็ต่อสู้ ไล่ล่าไฮบริดมาทั้งวัน สภาพร่างกายของทั้งคู่ใกล้ถึงขีดสุดแล้ว
การ์แลนด์โจมตีเข้ามา หมัดของเขาปล่อยออกมาพร้อมกับใบมีดอันแหลมคม นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่มิทเชล์เคยเจอมาก่อน มันไม่เหมือนการดวลดาบ หรือการแลกหมัด เขาต้องระมัดระหว่างอย่างมากที่จะหลบการโจมตีอันรวดเร็วและต่อเนื่องนี้ เขาคิดว่าถ้าหากไม่มีใบมีดเหล่านี้ เขามั่นใจว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่เขาชนะได้อย่างแน่นอน
มิทเชล์ใช้สัญชาติญาณในการรับหมัด และสวนกลับไปเรื่อยๆ ชุดเกราะของทั้งคู่ทำให้ใบมีดของแค่ละคนไม่ทำความเสียหายมากนักต่อพวกเขา จนกว่าจะมีคนพลาดพลั้งขึ้นมา
จนมันมาถึงจุดเปลี่ยนอย่างแรก การ์แลนด์ออกหมัดตรงมา หวังจ้วงเข้าที่หัวใจของมิทเชล์ เขาโยกหลบและล็อคแขนของการ์แลนด์ไว้ด้านหน้า และใช้แชนอีกข้างหักใบมีดพวกนั้นจนเละเทะ
’เพล้ง!’
’ฉึก!’ การ์แลนด์อาศัยจังหวะที่ทั้งคู่ล็อคอยู่ด้วยกัน แทงเข้าไปที่ซี่โครงของมิทเชล์ที่สปริงตัวออกทัน ทำให้บาดแผลไม่สาหัส แต่ก็แลกมากับการที่การ์แลนด์สูญเสียใบมีดไปข้างหนึ่ง
ถ้าเราทำลายใบมีดมันได้ทั้งสองฝั่งล่ะก็ ยังไงก็มีหวัง
ชั่วขณะนั้น มิทเชล์ก็เห็นภาพลางๆโผล่มาเสี้ยววินาทีเดียว มันเป็นภาพในอนาคตที่เขาสามารถมองเห็นได้ มันช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งแล้ในสนามรบ แต่มันพึ่งพาไม่ค่อยได้ เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าจะรับรู้ได้ตอนไหน มันทำให้เขาก้มหลบอย่างทันที และสิ่งที่ผ่านหัวของเขานั่นคือใบมีดขนาดใหญ่ที่การ์แลนด์ยิงออกมาจากมือที่โดนทำลาย
การ์แลนด์ไล่ต้อนมิทเชล์จนเขาหลังชิดกำแพง และปล่อยหมัดตรงออกไปอีกครั้งหวังจะแทงกลางหน้าอก แต่มิทเชล์หลบได้ การ์แลนด์ยิงตาข่ายขนาดเล็กออกมาใส่ไหล่ข้างหนึ่งของเขา มิทเชล์เห็นการเคลื่อนไหวนั้นแต่มันไม่มีช่องให้เขาหลบอีกต่อไป ตาขายรัดไหล่ของมิทเชล์ไว้และตรึงเขาไว้กับกำแพงด้านหลังด้วยหมุดขนาดใหญ่ ทำให้เขาขยับออกไปไม่่ได้
ภาพจากอนาคตมาให้มิทเชล์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้มาช่วย มันเหมือนมาหลอกหลอนเขามากกว่า ภาพที่เขาถูกการ์แลนด์แทงเข้าที่หน้าท้อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาค่อยๆหมดลมอย่างทรมาน เขาตกอยู่ในความกลัวและตกใจสุดขีด เขายังไม่อยากตาย
เขาว่ากันว่า เวลามนุษย์ใกล้ตายนั้น เวลาแค่เจ็ดวินาที มันยาวนานเหมือนเจ็ดชั่วโมง มันอาจจะจริงก็ได้ ในเวลาที่ช้าลงนั้น มิทเชล์มองผ่านการ์แลนด์ไป เขาเห็นคนยืนอยู่หลายคนมากมายด้านหลัง มันดูสมจริง และปลอมในเวลาเดียวกัน มันเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคน ทั้งลูกน้องที่เคยอยู่ทีมเดียวกับเขา พวกเขายืนมองมิทเชล์อยู่ด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย
“หัวหน้า เอาหน่อยสิครับ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น
“อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ ผมว่าหัวหน้าไม่น่ารอดแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะอย่างสนุกสนานกับคนอื่นๆ มันไม่ใช่การเยาะเย้ย มันเหมือนเป็นการยอมรับความจริง และพูดขำขันกันเหมือนครอบครัวมากกว่า
“ช่าย ระเบิดที่เอวนั่นน่ะ ของดีนะหัวหน้า” ทหารอีกคนกล่าวขึ้นมา
“เสียดายหน้าหล่อๆของหัวหน้าแทนเลยครับ” ชายข้างหลังพูดขึ้น พวกเขายืนมองมิทเชล์ด้วยท่าทางที่อบอุ่นเหลือเกิน
ด้านหลังของทีมของมิทเชล์ เป็นชายอายุราวๆหกสิบ เขาไว้หนวดเคราสีเทา ร่างกายกำยำเหมือนทหารเก่า พ่อของมิทเชล์นั่นเอง
“แกไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้วล่ะ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจแล้ว”
“แกไม่ใช่จักรวรรดิแล้วนะ แกคือเรมแนนต์”
เขาซาบซึ้ง เขาคิดถึงครอบครัวเหล่านี้เหลือเกิน ระหว่างการสนทนานี่เอง มิทเชล์ก็สังเกตุได้ว่า ร่างของเขาน้ันโดนการ์แลนด์แทงทะลุไปเรียบร้อยแล้ว แต่ความเจ็บปวดนั้นยังมาไม่ถึงเขาในตอนนี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างไร มิทเชล์เงยหน้าขึ้นไปมองสหายเก่าที่จากไปแล้วของเขาอีกครั้ง แต่พวกเขากลับหายไป เขาเห็นเมย์ยืนอยู่ลำพัง บนถนนอันว่างเปล่า เธอไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่มองเขาด้วยสายตาอันอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะถูกลากกลับมาที่ความเป็นจริงอีกครั้ง
“เก่งใช้ได้เลยนะ เวเดอร์”
เขากดปุ่มเพื่อใช้งานระเบิดด้วยมือเดียว และโยนมันตรงๆขึ้นเหนือหัว การ์แลนด์เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็พยายามหนีออกมา แต่มิทเชล์ดึงแขนที่การ์แลนด์แทงทะลุกลางอกของเขาอยู่ ทำให้การ์แลนด์ไปไหนไม่ได้
“หนอยแก!!!”
’ตู้มมมมมมมมมมมม!’
แรงระเบิดมันรุนแรงมาก ส่งแสงสีขาวไปทั่วเมือง มันทำให้ตึกในรัศมีห้าเมตรถล่มลงมาได้อย่างสบายๆ มิทเชล์เลือกที่จะเสียสละตนเองเพื่อกำจัดการ์แลนด์ ซึ่งมันก็ได้ผล สิ้นสุดการระเบิด ทั้งร่างของมิทเชล์ และการ์แลนด์ ก็มอดไหม้ไม่มีชิ้นดี ซากของทั้งสองถูกระเบิดจนไม่เหมือนคน ไม่มีเค้าโครงของสิ่งที่พวกเขาเคยเป็นอีกต่อไป
ทางด้านฟริทซ์ และอีโวลต์
ฟริทซ์ยืนถือดาบพลังงานของเขาอยู่ กำมันแน่นพร้อมจะใช้งานทุกเมื่อ เขาเต็มไปด้วยความแค้น เขาอยากฆ่าหมอนี่เหลือเกิน เนื่องจากมันทำลายเมืองที่เขาอาศัย เพื่อนๆ คนที่เขารู้จัก และยังมีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อีก ยิ่งเขามองหน้ามัน เขาก็ยิ่งขุ่นเคืองจากสายตาที่เย็นชา และออร่าที่ชั่วร้ายรอบๆตัวมัน
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าแกจะรอดมาได้ แมลงสาบ” เขาพูดอย่างเย็นชา หารู้ไม่ว่าตนเองกำลังจะเจอกับอะไร
“แกโยนเด็กคนนั้นลงมาจากหน้าต่างอย่างงั้นรึ!” ฟริทซ์ถามอย่างโกรธเกรี้ยว
“น้องชายชั้นน่ะรึ? มันเป็นสวะไฮบริด เหมือนกับแกไงล่ะ” เขาพูด มือล้วงกระเป๋า
“น้องชาย?” ฟริทซ์ดูงุนงงกับความโหดร้ายของมัน เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“แกฆ่าน้องชายของตัวเอง?”
“เหมือนที่ชั้นจะฆ่าแกไง”
เมื่อพูดจบ อีโวลต์ก็สร้างหลุมดำขึ้นข้างหลังฟริทซ์ มันไม่ไดมีขนาดใหญ่มาก แต่มันก็เริ่มดูดเขาเข้าไป ฟริทซ์เมื่อเห็นดังนั้นก็ปักดาบลงที่พื้น และใช้มันยันตัวเขาไว้ อีโวลต์พยายามเพิ่มความแรง แต่เมื่อไม่มีชุด มันก็ยากสำหรับเขา เขาจึงปิดมันลง
“หมดแรงแล้วรึไง?” ฟริทซ์ถาม
อีโวลต์ดูรำคาญ เมื่อเห็นว่าการดูดไม่ได้ผล เขาสร้างหลุมดำที่มือและยิงกระสุนปืนออกไปหลายนัด ด้วยจำนวนของสิ่งของในมิติหลุมดำนั้น ทำให้เขาเป็นเหมือนคลังอาวุธเดินได้เลย เพราะกระสุนจำนวนมากก็ยังคงวิ่งอยู่ในนั้น เขาแค่ต้องเลือกมันออกมาเท่านั้นเอง มันไม่รัวเท่าปืนกล เพราะเขาต้องเลือกออกมาทีละนัด แต่มันก็ต่อเนื่องและสร้างความลำบากให้ฟริทซ์ถึงจุดหนึ่ง
’ปัง ! ปัง !’
ฟริทซ์หลบกระสุนพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย บางทีก็ปัดออกด้วยดาบ มันเป็นเรื่องง่ายเหลือเกินสำหรับเขาในตอนนี้ หัวของเขามีแต่ความโกรธและความแค้น อยากระเบิดมันออกไปเหลือเกิน เขาค่อยๆเข้าใกล้อีโวลต์ทีละนิด ถ้าเขาสร้างหลุมดำไม่ได้ แบบในซัมเมอร์สตอร์ม เขาก็ไม่มีที่น่ากลัว
อีโวลต์ดูเริ่มกังวลกับสถานการณ์ของตนเอง ฟริทซ์เดินเข้าประชิดตัวกับอีโวลต์ และง้างดาบมาฟันไปที่เขา อีโวลต์เรียกดาบจากหลุมดำมาป้องกันไว้ได้ แต่ระดับฝีมือมันต่างกัน เพียงไม่กี่อึดใจ ฟริทซ์ก็เอาชนะอีโวลต์ในการดวลดาบ และปัดมันออกจากมือเขาได้ เริ่มประชิดเข้าไปอีก อีโวลต์พยายามเรียกกระสุนปืนจากหลุมดำ แต่ฟริทซ์มองออกทั้งหมด เขาเอาดาบมากันไว้ที่หลุมดำที่เสกขึ้นมา ทำให้มันทำอะไรเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
นี่งั้นหรือ ความกลัว
อีโวลต์ รู้สึกถึงความกลัวเป็นครั้งแรก จากชายที่อยู่ตรงหน้าเขา มันเหมือนฟริทซ์เป็นปีศาจที่ไม่มีทางหยุดได้ และตอนนี้เขาก็จนมุมแล้ว ฟริทซ์มีโอกาสปลิดชีวิตเขาหลายครั้งเหลือเกิน แต่เขาไม่ทำ อีโวลต์ใช้จังหวะนี้ในการร่ายหลุมดำที่ใหญ่ที่สุด เขาไม่สนแล้วว่าใครหน้าไหนจะโดนลูกหลง ไม่ว่าจะเป็นพวกเดียวกัน ทหารระดับสูง หรือแม้กระทั่งจักรพรรดิ เขาแค่อยากหลุดพ้นจากความกลัวนี้
’ฉับ!!’
“อ๊ากกก!” แขนขวาของเขาถูกตัดออกโดยฟริทซ์ ทำให้การร่ายหลุมดำนั้นหยุดทันที เขาล้มตัวลงแล้วร้องด้วยความเจ็บปวด ฟริทซ์ปักดาบองเขาลงข้างๆและลงไปนั่งคร่อมตัวของอีโวลต์ไว้
“ไอ้ปีศาจ!”
’ผัวะ!’
ฟริทซ์ซัดเข้าไปเต็มหน้าของอีโวลต์ ทำให้หน้าของเขาสะบัดไปอย่างรุนแรง เลือดพุ่งออกมาจากปากและจมูก
’ผัวะ!’
เขาปล่อยหมัดที่สอง และสาม และสี่ และห้า ฟริทซ์ตกอยู่ในความบ้าคลั่ง เขาไม่สามารถหยุดตัวเองจากการทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้นี้ได้ แต่ในใจเขาก็ไม่อยากหยุด เขาอยากทำให้มันเจ็บปวดแสนสาหัสจนถึงที่สุด อีโวลต์เองก็ไม่คาดคิดถึงสิ่งนี้เช่นกัน ที่ผ่านมาเขาคือทหารปีศาจที่ไร้เทียมทาน เมื่อไปที่ไหน ก็มีแต่ความหายนะ แต่ตอนนี้ เขาไม่สามารถสู้กับชายคนนี้ได้ เขาแพ้ให้แมลงสาบตัวนี้อย่างง่ายดาย มันไม่ใช่การต่อสู้ด้วยซ้ำ มันคือการทำร้ายฝ่ายเดียว
และตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเขาจะระเบิดออกมา
“อ้ากกกกก!”
แสงสีขาวส่องออกมาจากร่างของอีโวลต์ มันทำให้ฟริทซ์รู้ตัว ร่างของชายที่นอนอาบเลือดอยู่ร้อนระอุขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
“อะไรน่ะ..!” ฟริทซ์อุทาน แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร ร่างของอีโวลต์ก็ปะทุขึ้นมา มันระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เปิดเป็นแสงสีขาวกระจายไปทั่ว
'ตู้มมมม!'
เขากระโดดออกมาจากการระเบิดได้ทันท่วงที แต่ฟริทซ์รู้สึกๆชา อุ่นๆที่แขนของเขา เมื่อเขามองลงไป มันทำให้เขาเกือบอาเจียน ตั้งแต่ข้อศอกแขนขวาลงไป แขนเขาได้หายไป ทิ้งไว้แค่รอยแผลขนาดใหญ่ เหมือนโดนตัดด้วยมีดเล่มยักษ์เท่านั้น มันเหมือนกับระเบิดสีขาวเมื่อครู่มันเผาทำลายแขนเขาไปจนหมดสิ้น ฟริทซ์ตั้งสติ เขามีเวลามากก่อนจะหมดสติจากการขาดเลือด
“ตู้มมมม!!”
“โครมมม!”
เขามองขึ้นไปด้านบน ท้องฟ้ามันไม่เหมือนกับที่เคยเป็นอีกต่อไป ไม่ใช่แค่ท้องฟ้า แต่พื้นดิน และอากาศด้วย ทุกอย่างมันดูวุ่นว่ายยุ่งเหยิงไปหมด ฟริทซ์ได้ยินเสียงระเบิดอีกครั้งที่บริเวณตึกจตุรัส บนชั้นบนที่เป็นห้องประตูมิติ มันเป็นระเบิดสีขาวแบบเดียวกับที่ร่างอีโวลต์เพิ่งระเบิดไป พื้นดินแตกแยกอย่างบ้าคลั่ง ท้องฟ้าคำรามอย่างรุนแรง สายฟ้ากัมปนาตฟาดฟันลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด ลมพายุที่ผันแปรอย่างผิดปกติ ภัยธรรมชาติรุนแรงที่เกิดขึ้นหลายๆอย่างพร้อมกัน
ถ้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ตายแน่
เขาเริ่มวิ่งออกมา เร็วแบบที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน ออกจากระเบิดสีขาวของอีโวลต์และตึกจตุรัส ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะดูเหมือนความบ้าคลั่งจะเกิดจากทั้งสองจุดนั้น เขาวิ่งออกมาเรื่อยๆจนมาเจอกับคริสเท็นที่มาทางนี้
“คุณคริสเท็น! ใช่ไหม?” ฟริทซ์ตะโกนหาเธอ ทั้งสองวิ่งเข้าหากัน คริสเท็นสังเกตุเห็นแผลแขนขาดของฟริทซ์
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ!
คริสเท็นพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว เรื่องในห้องบัลลังค์นั่น สิ่งที่เธอเห็น และประตูมิติที่ระเบิดออกมา เธอไม่อยากจะคิด แต่เป็นไปได้ที่อาลอยและเอมม่ายังไม่ได้ออกมาจากที่นั่น และเรื่องร้ายได้เกิดขึ้น ชั้นน่าจะรอออกมาพร้อมสองคนนั้น เธอคิด แต่มันก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้ต้องหนีอย่างเดียวเท่านั้น
“เราต้องหาคุณมิทเชล์!” ฟริทซ์พูดขึ้นมา หน้าเขาดูซีดเผือกอย่างมากจากการเสียเลือด
“เราต้องปฐมพยาบาล” คริสเท็นกล่าว เธอฉีกเสื้อของฟริทซ์และพันรอบๆแผลของเขาท่ามกลางความบ้าคลั่งของธรรมชาติ
“เราไม่ต้องหามิทเชล์แล้วล่ะ” เธอกล่าวกับเขา และยื่น ด๊อก แทค ของมิทเชล์ที่เธอไปเจอมาให้ฟริทซ์ดู
ทันใดนั้นเอง ยานรบลำใหญ่ก็พุ่งฝ่าพายุและเข้ามา ลงมาหาทั้งสองคน พวกเขาลอยอยู่กับพื้น ไม่สามารถจอดได้เนื่องจากพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ประตูเปิดขึ้น เป็นอลิเซียที่ตะโกนเรียกทั้งสองคน “คริสเท็น!!” คริสเท็นหันไปหาพวกเขาทันที และรีบขึ้นยานมา “นิโนะ รักษาชายคนนี้ที!” คริสเท็นออกคำสั่ง นิโนะตอบรับอย่างทะมัดทะแมงและเริ่มรักษาแผลทันที
“อาลอยกับเอมม่ายังอยู่ในนั้น เราต้องวนกลับไป” คริสเท็นพูดกับมิกิและเรนิต้า ที่ขับยานอยู่
“ชั้นไม่อยากบอกเลยนะคะ แต่เราไม่มีเวลาแล้วค่ะ” เรนิต้ากล่าว เธอขับยานอยู่
“สภาพแวดล้อมมันแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่รีบออกไป ตายกันหมดแน่”
สายฟ้าฟาดผ่าลงมาเรื่อยๆ ถี่ขึ้นและถี่ขึ้น มันเฉี่ยวยานไปหลายครั้ง นอกจากนั้นลมยังแรงเหมือนมีพายุอยู่ทุกที่ พื้นดินยังคงแตกเพิ่มขึ้น น้ำร้อนพุ่งออกมาจากรอยแยก บ้างก็เป็นลาวา เหมือนโลกกำลังจะแตกลง
“พวกเรามาสายไปแล้วล่ะ” อลิเซียกล่าวอย่างเศร้าใจ แม้แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“พวกเราช่วยได้สองคนไม่ใช่รึไง แค่นี้ก็ไม่สายเกินไปแล้วล่ะ” มิกิกล่าว ปลอมประโลมทุกๆคน เธอมองคริสเท็น และจำเธอได้ คริสเท็นเองก็เช่นกัน แต่พวกเขาไม่พูดอะไร
ยานลำนี้ขับฝ่ามรสุมออกมาอย่างรวดเร็วจากฐานทัพยักษ์นั้น คริสเท็นเดินไปทีหลังยาน มองกระจกถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฐานทัพนั้นกำลังพังทลายลงช้าๆ แต่เธอเห็นบางอย่าง เดินขึ้นมาบนดาดฟ้า ไมใช่บางอย่าง สิ่งนั้นคือร่างของมนุษย์ ชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบห้า ในชุดสูทสีดำที่ไร้รอยฝุ่น เขามีผมสีดำสนิท นัยน์ตาสีดำที่ดูบ้าคลั่งและน่ากลัว ใบหน้าที่คุ้นเคย แต่นั่นไม่ใช่คาล์ ถึงคริสเท็นจะรู้สึกว่าเหมือนแค่ไหน ชายหนุ่มคนนั้นอุ้มร่างของเอมม่าเหมือนอุ้มเจ้าสาวอยู่ ร่างของเธอที่สลบไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ชายหนุ่มคนนั้นมองความพังพินาศรอบๆตัวเขาอย่างไร้ความกลัว
จนกระทั่งเขาสบตากับเธอ ในระยะไกลหลายร้อยเมตร ทั้งสองสบตากันชั่วขณะ คริสเท็นก็จำได้ว่าคนๆนั้นคือใคร ภาพที่เธอเคยเห็นในหนังสือประวัติศาสตร์ บุคคลที่เปลี่ยนโลก บุคคลที่ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ไฮบริด บุคคลที่ครอบครองจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
จักรพรรดิ ซิกมันด์ เรฮัลเนม
“ทุกคน!! รัดเข็มขัดเร็วเข้า!!” เรนิต้าตะโกนบอกทุกคนบนยาน เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็เขานั่งที่ และรัดเข็มขัดอย่างเรียบร้อย พวกเขาบินขึ้นสูงบนฟ้า เพื่อหลบหลีกไฮบริดเทียมบนพื้น และเหตุการณ์อันวุ่นวายบนไซอ้อน แต่ก็ต้องระวังดินฟ้าอากาศด้านบนเหมือนกัน
’ตู้มมมม!!’ สายฟ้าผ่าลงมาใส่ยาน มันไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา มันรุนแรงจนกระทั่งปีกของเครื่องบินหักออกไป และมันกำลังร่วงลงช้าๆ
“สูญเสียการควบคุมค่ะ! ต้องดีดตัวแล้ว!” เรนิต้ากล่าวกับทุกๆคนในยาน
“ว่าไงนะ!?”
“ถ้ากระแทกพื้นแบบนี้ ความสูง ความเร็ว ไม่รอดแน่ค่ะ!” เธอกล่าวเสริม
“ก่อนที่…..”
’ตู้ม!!’ สายฟ้าอีกเส้นผ่าลงมาใส่ยาน มันทำให้ยานแตกครึ่งหนึ่ง แต่ยังติดกันได้อยู่ ทุกคนสั่นเครือด้วยความกลัว
“ขอโทษนะทุกคน.. “เรนิต้ากล่าวเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะกดปุ่มดีดตัวกับทุกคน หลังคาที่ใกล้พังเปิดออก ที่นั่งทั้งห้าที่ถูกดีดออกไปนอกยานอย่างรวดเร็ว
“เรนิต้า!! นี่เธอ!!” มิกิตะโกนอย่างสุดเสียงด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่เธอจะบินออกไปเช่นกัน
เรนิต้ากลับมาควบคุมยานอย่างตั้งใจอีกครั้ง เธอไม่ยอมให้มันระเบิดกลางไซอ้อน คร่าชีวิตคนอีกไม่รู้เท่าไหร่ เธอพยายามบังคับยานลำนี้เพื่อจะไปลงที่ภูเขาโล่งๆข้าง เธอบังคับอย่างสุดฝีมือ มันยากเหลือเกินท่ามกลางธรรมชาติอันบ้าคลั่ง และยานที่ใกล้พังนี้ ในที่สุดเธอก็บังคับยานจนพ้นไซอ้อนจนได้ เธอกำลังจะดีดตัวออก แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เป็นใจเธอเสียแล้ว
’ตู้มมมมมมมมมม!’
สายฟ้าเส้นที่สามผ่าลงมา ครั้งนี้มันฟาดใส่ที่นั่งคนขับเต็มๆ ยานลำนั้นระเบิดคาอากาศไปพร้อมกับเรนิต้า ซากยานปลิวกระจายไปทั่ว แต่ไม่มีส่วนไหนที่ลงไปที่เมือง อย่างที่เธอตั้งใจไว้
คริสเท็นที่โดนดีดออกมา ปลิวมาไกลแสนไกลจากลมพายุที่คาดการณ์ไม่ได้ของโลกตอนนี้ ความเวียนหัวและปวดหัวเริ่มเข้ามาเยือน เมื่อถึงระยะที่เธอว่าเหมาะสม เธอก็กางร่มชูชีพออกมา แต่เธอไม่สามารถควบคุมมันได้ในตอนนี้ ร่างของเธอพุ่งลงในแม่น้ำใหญ่ โชคดีที่ร่มชูชีพลดแรงกระแทก ทำให้เธอไม่เป็นไร
คริสเท็นพยายามตะเกียกตะกายในสายน้ำที่เชี่ยวเกรี้ยวกราดนี้ มันเหมือนมีใครไปยั่วโมโหเทพเจ้าแห่งท้องทะเล เธอพยายามแหวกว่าย พยายามต้านกระแสของมัน แต่ก็ไม่ไหว ร่างกายของเธอเหนื่อยล้าเกินไป เธอต่อสู้แล้วสู้เล่าในเวลาไม่นาน ร่างกายของเธอที่ยังไม่ได้พักผ่อน เธอปล่อยตัวให้ไหลไปตามสายน้ำ คริสเท็นสู้ต่ออีกไม่ไหวแล้ว
หลังจากนั้น
คริสเท็นตื่นขึ้นมาที่กระท่อมหลังเล็กๆ เธอมองไปรอบๆ มันเป็นกระท่อมเล็กๆที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พัดลมตัวใหญ่หมุนช้าๆบนกำแพง น้ำชาหนึ่งแก้ววางบนโต๊ะ มันหายร้อนแล้ว เธอนอนบนโซฟาเก่าๆ ล้อมรอบด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ บ้านหลังนี้ไม่ได้เปิดไฟ แต่มันสว่างเหลือเกิน เธอดันตัวลุกขึ้นมา มันช่างเหนื่อยล้าและปวดร้าวไปทั้งตัว
“ตื่นแล้วงั้นรึหนู” เสียงชายวัยกลางคนพูดขึ้นมา เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ข้างหน้า คริสเท็นหันไปมอง เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“... คุณ มาดูอีน!” คริสเท็นกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ เขาคนนี้คือรองหัวหน้ากลุ่มเรมแนนต์ ที่แม่ของเธอเคยเป็นผู้นำนั่นเอง
มาดูอีนยังคงหน้าตาคล้ายเดิม คริสเท็นไม่สามารถเห็นหน้าเขาชัดๆได้ ผมสีดำของเขากลายเป็นสีขาวจากอายุที่เพิ่มขึ้น ดูเหมือนเขาจะไม่ได้โกนหนวดมาสักพักแล้ว หน้าของเขามีรอยย่นตามกาลเวลา เขาใส่ชุดเสื้อยืดและกางเกงขายาวธรรมดา ดูไม่เหมือนเลยว่าเคยเป็นอดีตนักรบที่แข็งแกร่งชาวไฮบริด
เขาดูแปลกใจที่ได้ยินชื่อนั้นมาก เขาหยุดเอนเก้าอี้ และเอนมาด้านหน้า “ชั้นไม่ได้ยินชื่อนั้นมานานแล้ว” เขากล่าวอย่างเงียบเชียบ มีความเจ็บปวดอยู่ในเสียงของเขา “ชั้น… คริสเท็นเองนะคะ!” เมื่อได้ยินดังนั้น มาดูอีนแทบจะล้มจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ ความเงียบได้มาเยือน
“คริสเท็น…”
“มีอา?”
“แลนนิสเตอร์ น่ะหรือ? ชั้นฟังไม่ผิดใช่ไหม?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน
“ใช่แล้วค่ะ มีแต่คนบอกว่าชั้นหน้าเหมือนแม่ คุณจำได้หรือเปล่า” น้ำเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยอารมณ์เช่นกัน
“ชั้นเสียดวงตามานานแล้วล่ะ ตั้งแต่วันนั้น” เขาพูดอย่างเศร้าสร้อย เธอสังเกตุเช่นกันว่าแววตาของเขานั้นว่างเปล่า เธอตกใจเป็นอย่างมาก ที่มาดูอีนกลายเป็นคนตาบอด
“ชั้นถือว่ามันเป็นบทลงโทษ ที่ช่วยเธอเอาไว้ไม่ได้..” เขาพูดอย่างซึมเศร้า แต่ก็หัวเราะขึ้นมา
“แต่เธอยังอยู่ที่นี่! น่าเสียดายที่ชั้นไม่ได้เห็นเธอโตขึ้นมา” เขากล่าวอย่างเศร้าสร้อย
“เรามีเวลาคุยกันอีกเยอะ ตอนนี้เธอคงสงสัยสินะว่ามาที่นี่ได้ยังไง”
“ภรรยาของชั้น โจแอนน่า เจอเธอลอยมากับแม่น้ำ”
“ถือเป็นโชคดีจริงๆเลยนะ”
คริสเท็นสังเกตุเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาจากตาที่ใช้งานไม่ได้ของมาดูอีน เธอเองก็ซาบซึ้งเช่นกัน สิบปีก่อนเธอเองก็สนิทกับเขา เวลาแม่ของเธอว่างๆ เขานี่แหละจะเป็นคนพาเธอไปเล่น สอนเรื่องต่างๆ ทั้งการต่อสู้ และการใช้พลัง คริสเท็นตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เธอเจอให้มาดูอีนฟัง ทั้งเรื่องมิติที่เธอเห็น สถานการณ์ของกลุ่มในตอนนี้ เรื่องจักรพรรดิ และเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น
“ดีใจจริงๆที่เธอยังต่อสู้อยู่”
“ยังมีคนที่จิตใจแข็งแกร่งเหมือนเธอและคริสเจ็นอยู่เต็มไปหมดสินะ..”
มาดูอีนลุกขึ้นยืนช้าๆ คริสเท็นเองก็รีบลุกเช่นกัน ไปประคองเขาไว้ “ระวังนะคะ!” มาดูอีนหันมามองเธอ เหมือนจะบอกเธอว่ามันไม่เป็นไร เขาพาคริสเท็นเดินเข้ามาลึกในบ้าน เป็นตู้ที่เขาตั้งเก็บรูปภาพเอาไว้ รูปภาพของกลุ่มเรมแนนต์เมื่อสิบปีก่อน ที่มีเขาและแม่ของเธออยู่ตรงกลาง คริสเท็นเมื่อเห็นรูปนั้น ความทรงจำดีๆสมัยก่อนก็กลับมา
มาดูอีนยื่นมือไปด้านบน คลำหาอะไรบางอย่าง ดาบสีแดงของเขานั่นเอง คริสเท็นจับมือของมาดูอีน และนำมือเขาไปจับดาบ “ขอบคุณมากนะ” เขาหยิบมันลงมาจากที่แขวน
“ชั้นไม่ได้ต่อสู้มาสิบปีแล้ว เจ้านี่มันไม่ได้ใช้งานเลย”
“ถ้าเธอจะสู้ต่อไป คริสเท็น ชั้นอยากให้เธอไว้” เขายื่นมาให้เธอด้วยท่าทางที่มั่นใจในตัวเธอ
“ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจค่ะ” คริสเท็นกล่าว และรับดาบนั่นไว้
คริสเท็นเหลือบมองไปยังนอกหน้าต่าง ดูเหมือนว่าสภาพอากาศยังไม่ได้ดีขึ้นเลย เธอยังคงเห็นสายฟ้าฟาดอยู่บนฟ้า เธอเกรงว่าโลกนี้จะได้เปลี่ยนไปแล้ว คริสเท็นนึกถึงคนอื่นๆ อลิเซีย นิโนะ คนจากฝั่งจักรวรรดิสองคนนั้น และฟริทซ์ที่เธอเพิ่งเจอ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาจะรอดอยู่ไหม
“เป็นอะไรหรือ คริสเท็น?”
“ชั้นสัมผัสได้ถึงความกังวล” มาดูอีนเอานิ้วจับกระหม่อม เหมือนเขาเป็นนักพลังจิต
คริสเท็นนั่งลงกับโซฟาที่เดิม หลังจากสองคนเดินออกมา
“อย่างที่เล่าไปนั่นแหละค่ะ หลายๆอย่าง มัน.. ควรจะเป็นไปในทางที่ดีกว่านี้”
มาดูอีนครุ่นคิดสักครู่ เขานั่งลงข้างๆคริสเท็น
“อย่าได้ตั้งข้อสงสัยกับตัวเอง คริสเท็น”
“ถ้าเธอทำเรื่องผิด ยอมรับมันซะ แต่อย่างสงสัยตัวเองเป็นอันขาด”
“ยอมรับมัน เตรียมใจที่จะแก้ไข เชิดคางขึ้น แล้วเดินต่อไปซะ”
“คำถามก็เหลือแค่ หลังจากนี้ เธอจะก้าวต่อไปในทางไหนเท่านั้นเอง” มาดูอีนกล่าว คำพูดเหล่านั้นมันทำให้เธอคิดได้ขึ้นมา
“ชั้นจะจบเรื่องที่พวกเราได้เริ่มเอาไว้ แต่ชั้นไม่คิดว่าชั้นจะทำได้ด้วยตัวคนเดียว” คริสเท็นกล่าว ในน้ำเสียงของเธอยังคงลังเลเล็กน้อย
ตึกจัตุรัส
คริสเท็นที่ได้มาเจอกับมิทเชล์และเมย์ในห้องบัลลังค์ ในนั้นทั้งสามได้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิ และเพื่อนพ้องของพวกเขา อาลอยและเอมม่า พวกเขาปะทะกับทหารองครักษ์ในนั้น และผลออกมาคือชัยชนะ แต่ด้วยการสูญเสียเมย์ไป มันช่างไม่คุ้มค่าเสียเลย ทั้งสองคนตัดสินใจที่จะออกมาเคลียร์ทางหนีให้อาลอยและเอมม่า รู้อยู่แล้วว่าอาลอยนั้นมีความสามารถที่ขนาดไหน บวกกับการที่พวกเขาคิดว่าจักรพรรดิตายแล้ว จึงปล่อยให้อาลอยช่วยเอมม่าออกมา และตามพวกเขาไปในภายหลัง คริสเท็นและมิทเชล์ที่แบกร่างของเมย์กำลังวิ่งหนีออกมาบนโถงทางเดิน พวกเขากระโจนออกมาอย่างรวดเร็ว ใช้ความได้เปรียบในการโจมตีทหารองค์รักษ์โดยที่พวกเขาไม่ได้ตั้งตัว
’ปังๆ!!’
ทั้งสองยิงปืนฝ่าทหารองค์รักษ์ที่เหลืออยู่ออกไป ด้วยพลังไซโคคิเนซิสของคริสเท็นที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถโจมตีได้ และมิทเชล์ก็สังหารพวกเขาทีละคน ทหารองครักษ์ราวๆสิบนายก็สิ้นชีพอย่างรวดเร็ว ทั้งสองวิ่งฝ่าทางเดินไป แต่หลังจากทหารชุดนั้นหมดแล้ว ก็ไม่พบใครอีกเลย
“แปลกชะมัด” มิทเชล์กล่าวขึ้นมา เขาแบกเมย์ไว้ที่ไหล่หนึ่ง และตั้งปืนไปด้านหน้าด้วยมือหนึ่ง
“ทำไมไม่มีใครรอเราอยู่ข้างนอกเลยล่ะ” เขาพูด เล็งปืนไปมาอย่างระมัดระวัง
“พวกมันรออยู่ข้างล่างนั่น” คริสเท็นเหลือบมองไปนอกหน้าต่างมืดสีดำ เธอเห็นทหารหลายสิบและรถถังรอโจมตีพวกเขาอยู่ด้านล่าง
คริสเท็นสังเกตุเห็นอะไรบางอย่างที่ด้านล่าง ยานรบขนาดเล็กลำหนึ่งกำลังบินเข้ามาทางตึกนี้ด้วยความเร็วสูง เมื่อทหารที่อยู่แนวด้านล่างเห็น พวกเขาก็ตกใจ และเริ่มหันไปโจมตียานลำนั้น แต่มันหยุดยานลำนั้นไม่ได้
’ตู้มมมม!’ ยานรบลำนั้นพุ่งชนเข้าใส่ตึกที่ทั้งสองอยู่เข้าอย่างจัง ทั้งสองโซเซจากแรงกระแทก และต้องหาที่จับไว้ ที่บริเวณชั้นล่างกว่าชั้นที่พวกเขาอยู่ ทำให้ตัวตึกแตกเกิดเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ หัวยานที่พุ่งเข้ามาติดอยู่ในตึก ที่ห้องคนขับเปิดออก ชายผมดำรีบลุกขึ้นมาและกระโจนออกนอกเครื่องยนต์ที่กำลังร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว ทหารด้านล่างยิงปืนขึ้นมาใส่เขา แต่มันไม่โดน ยานรบลำนั้นตกลงไปสู่พื้น สร้างความเสียหายเป็นพื้นที่เล็กๆ และทำให้รูปแบบฟอร์เมชั่นของพวกด้านล่างเสียหาย
“พวกมันแถวแตกแล้ว ไปกันเถอะ!”คริสเท็นพูด
“เดี๋ยวสิ” มิทเชล์โต้ขึ้นมา
“คนขับยานนั่นน่ะ ไม่ว่ามันจะเป็นใคร มันไม่น่าจะอยู่ฝ่ายเดียวกับจักรวรรดิหรอกนะ!”
คริสเท็นเห็นด้วยกับสิ่งที่มิทเชล์คิด เธอพยักหน้าและทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังบันไดด้านล่าง ยานที่ถล่มเข้ามานั้นอยู่สี่ชั้นต่ำกว่าที่พวกเขาอยู่ เมื่อมิทเชล์และคริสเท็นวิ่งลงมาได้สองชั้น พวกเขาก็เจอ คริสเท็นที่วิ่งนำลงมา เมื่อเลี้ยวออกจากบันได เธอก็ถูกชายผมดำคนนั้นเข้ามาโจมตีด้วยดาบยาวของเขา ชายหนุ่มผมสีดำในเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาล
’เพล้ง!!’
เธอยกมีดที่คาล์ให้มาขึ้นมากันไว้ได้พอดี เธอผลักชายคนนั้นกระเด็นออกไปด้วยแรงของเธอและพลังจิต เขาโซเซถอยหลัง คริสเท็นชักปืนขึ้นมาและกำลังจะยิง “หยุดก่อน!!” มิทเชล์ตะโกนหยุดทั้งคู่ไว้ เพราะเขารู้จักชายคนนั้นดี เขากดเปิดหน้ากากของเขาออกเพื่อให้เห็นถึงใบหน้าของตนเอง และค่อยๆเดินออกมาหาชายผมดำที่ทั้งสองกำลังเผชิญหน้าอยู่
“ฟริทซ์ เรมิงตัน!?” มิทเชล์กล่าวขึ้นมา เมื่อฟริทซ์เห็นดังนั้นเขาเองก็ลดดาบลงและเดินเข้ามาด้วยใบหน้าตกตะลึงเช่นกัน
“คุณมิทเชล์!?” ฟริทซ์ตอบกลับ เขาสังเกตุเห็นถึงร่างเมย์ที่อยู่บนไหล่ของมิทเชล์ และแผลกระสุนกลางหลัง “คุณเมย์... คงไม่ใช่ว่า..?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากทั้งคู่ แต่แค่ฟริทซ์เห็นแววตาของทั้งมิทเชล์ และคริสเท็น เขาก็รู้คำตอบนั้นดี ฟริทซ์ก้มหน้าลงด้วยความเศร้า ถึงเขาจะเพิ่งรู้จักทั้งสองคนแค่ไม่นาน แต่พวกเขาแบ่งปันสนามรบ สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแล้วไม่มากก็น้อย การจากไปของเมย์เอง ก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจของฟริทซ์อยู่ระดับหนึ่ง
“ว่าแต่ นายเข้ามาที่นี่ทำไมกัน?” มิทเชล์กล่าวถามฟริทซ์
“ที่ไซอ้อน มีข่าวไฮบริดเทียมหลุดออกอาละวาดเต็มไปหมดเลยน่ะครับ” ฟริทซ์ตอบกลับ
“ผมเลยตามรอยพวกนั้นย้อนกลับมาที่ฐานนี่ เพื่อจะได้สะสางทุกอย่างซะ” เขาหยุดสักครู่
“ไม่ควรจะมีคนตายเพิ่มไปกว่านี้แล้ว” ฟริทซ์กล่าวด้วยสายตาอันเศร้าสร้อย เขานึกถึงเด็กหนุ่มเมื่อครู่ ที่เขาไม่อาจช่วยไว้ได้
“พวกเราต้องรีบไปกันแล้ว!” คริสเท็นกล่าวขึ้นมา เธอเดินนำทางไปอย่างช้าๆ เพื่อที่จะหนีออกไปจากที่นี่
“จักรพรรดิตายแล้วล่ะ มันจบแล้ว ฟริทซ์” มิทเชล์เดินตีคู่กับฟริทซ์มา ฟริทซ์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ดูตกใจเป็นอย่างมาก
“คริสเท็นเป็นคนจัดการน่ะ” มิทเชล์กล่าว ฟริทซ์หันไปมองคริสเท็น พวกเขาทั้งสองทิ้งระยะห่างกับเธอก่อนที่จะรีบตามไป
’โครมมมมมมมมมมม!!’
เพดานด้านบนระหว่างคริสเท็น และ มิทเชล์กับฟริทซ์พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง เธอหันไปมองทั้งสอง แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร เธอเห็นดาบยักษ์สีดำฟาดทะลุลงมาที่ช่องว่างนั้น และความรุนแรงของมันทำให้ฟันทะลุไปถึงชั้นล่างๆด้วย การโจมตีครั้งนี้ทำให้ด้านที่พวกเขาอยู่ของตึกถูกผ่าออกเป็นสองซีก และถล่มลงมาเหมือนดินถล่ม คริสเท็นพยายามทรงตัวอยู่บนพื้นที่ตอนนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ เธอหลบซากตึกที่ถล่มลงมา และสไลด์ลงไปพร้อมๆกับพวกมัน จนกระทั่งเศษตึกพวกนั้นหยุดเคลื่อนไหว
คริสเท็นทรงตัวและลุกขึ้นมายืนบนซากหินและปูนมหาศาลที่กองสูงขึ้นมาเหนือพื้นหลายเมตร มันพังลงมาเป็นสโลปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่จากตึกจตุรัสด้านบน เธอหันกลับไปมองทางนั้น เพื่อหาสาเหตุของมัน และมองหาฟริทซ์และมิทเชล์ที่อยู่อีกฟาก
’เช้งงง!’
ดาบเล่มหนึ่งถูกขว้างมาทางเธอ มันปักลงที่เศษหินที่อยู่ด้านหน้าเธอพอดี คริสเท็นมองดาบเล่มนั้น และรู้ทันทีว่านั่นคือดาบของเธอ ดาบความถี่สูงสีดำที่เธอใช้เป็นอาวุธประจำตัว และรู้ทันทีว่าใครเป็นคนทำ คริสเท็นมองขึ้นไปด้านบนเศษหิน ชายในชุดเกราะคนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ระดับสูงกว่าเธอไม่มาก เป็นชุดเกราะสีดำ หน้ากากเป็นเหมือนแก้วสีฟ้าทึบ และมีหูเล็กๆขึ้นไปสองข้าง ส่วนลำตัวนั้นเป็นเหล็กชนิดพิเศษที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมอยู่ตรงหน้าอก มันเป็นชุดเกราะที่เธอไม่เคยเห็นใครใส่เลย เขาถือดาบสีดำเล่มใหญ่ยักษ์ ยาวกว่าสองเมตร และมีความกว้างที่ใหญ่เกินดาบทั่วไปที่ดูแล้วไม่น่าจะมีใครถือได้ด้วยมือเดียว เธอไม่เคยเห็นดาบแบบนี้มาก่อน ส่วนอีกมือนึงของเขานั้นว่างเปล่า เพราะเขาเพิ่งขว้างดาบคืนคริสเท็นมานั่นเอง
“คาร์ลอส…!” คริสเท็นพูดพร้อมกับคว้าดาบของเธอขึ้นมาถือไว้
“กว่าจะหาจังหวะลากเธอมาคนเดียวได้เนี่ย... นานขนาดไหนรู้ไหม?” คาล์กล่าวอย่างกวนประสาท เขาทำท่าทางถอนหายใจ เพื่อยั่วโมโหคริสเท็น
“ในที่สุดก็ได้ฤกษ์สักทีนะ มีอา” เขากล่าว ยกดาบยักษ์ขึ้นพาดไหล่
“ชั้นรอเวลานี้มานานแล้ว!!” เมื่อพูดจบ คาล์ก็ออกตัววิ่งเข้าใส่คริสเท็น เพื่อโจมตีเธออย่างรวดเร็ว
ทางด้านฟริทซ์ และมิทเชล์
“บ้าเอ้ย เกิดอะไรขึ้นน่ะ!” มิทเชล์กล่าวขึ้นก่อนพยุงตัวขึ้นจากเศษหินที่ทับอยู่ เขาปลอดภัยดีเนื่องจากชุดเอกโซสูทของเขาช่วยป้องกันความเสียหายส่วนใหญ่ได้ มิทเชล์หันไปมองหาฟริทซ์ที่ตกลงมาใกล้ๆกัน และช่วยยกหินที่ทับอยู่ และพยุงเขาขึ้นมา ฟริทซ์มีบาดแผลแค่เล็กน้อยเท่านั้น โชคดีที่เขาสามารถเคลื่อนไหวหลบเศษหินพวกนั้นได้เป็นจำนวนมาก เขาลุกขึ้นมาและเอามือจับไหล่ซ้ายของเขาไว้ หน้าของเขามีเศษฝุ่นและดินสีดำเล็กน้อย
มิทเชล์ส่งสายตาขึ้นไปด้านบน ตามซากปรักหักพังของตึกที่พังลงมา ร่างไร้วิญญาณของเมย์ก็คงจะร่วงออกจากมิทเชล์ไประหว่างเหตุการณ์ทั้งหมด และถูกกลบอยู่ที่ไหนสักที่บนนั้น เขาอยากนำร่างของเธอกลับไปเพื่อทำพิธี ฝังศพให้เรียบร้อย เนื่องจากพวกเขาก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันไปแล้ว แต่ในสถานการณ์นี้คงไม่เป็นใจ และไม่มีเวลาค้นหาเธอแล้ว เขาจึงถอดใจเลิกล้มความตั้งใจไป
“ดูเหมือนพวกเราจะกระเด็นมาไกลเหมือนกันนะ” มิทเชล์กล่าวขึ้นมา
“แล้วเพื่อนของคุณล่ะครับ?” ฟริทซ์มองไปรอบๆเพื่อหาคริสเท็น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ปลอดภัยดีอยู่แล้วล่ะ เธอคนนั้นน่ะเป็นหนึ่งในคนที่ฝีมือดีที่สุดของพวกเราเลยนะ” มิทเชล์กล่าวตอบ
เมื่อสนทนาเสร็จ ทั้งสองคนก็เริ่มวิ่งไปทางเธอ ตำแหน่งของทั้งสองคนอยู่ด้านข้างตึกจัตรุรัส ฝั่งตรงกันข้ามกับคริสเท็น ถ้าพวกเขาจะรวมตัวกัน ก็ต้องฝ่ากองทัพที่ดักอยู่ตรงกลางให้ได้เสียก่อน และจากแรงระเบิดที่เกิดขึ้น มิทเชล์คาดการณ์ว่าพวกทหารกลุ่มนั้นจะเริ่มกระจายตัวออกมาตามหาทั้งสามคนแล้ว แต่เขาคิดผิดมหัณต์
“นี่มัน .. อะไรกันนี่!?” ฟริทซ์กล่าวเมื่อเห็นพวกเขา
เหล่าทหารที่กรูกันอยู่รอบๆตึกจัตุรัสเกือบร้อยนาย ต่างล้มลงไปนอนตัวตรง หงายหน้าขึ้นกันทั้งหมด เป็นภาพที่เห็นแล้วชวนขนลุก เหมือนพวกเขาหมดสติ ไม่ก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว ด้วยความมึนงง มิทเชล์เดินเข้าไปช้าๆ ไปหาชายคนหนึ่งที่ไม่ได้สวมชุดเกราะ เขาใส่ชุดยูนิฟอร์มที่หรูหรากว่าคนอื่นทั่วไป ดูเหมือนจะเป็นผู้บัญชาการของกองทหารกองนี้ ชายคนนั้นนอนนิ่งอยู่กับพื้น มิทเชล์ยกปืนขึ้นเล็งไปทางเขาเป็นการป้องกันตัว ก่อนจะย่อลงไปช้าๆ และสำรวจใบหน้าของเขา
“...นี่มันอะไรกัน?” ฟริทซ์ที่เดินเข้ามาดูก็อึ้งไม่แพ้มิทเชล์
ผู้บัญชาการเป็นชายหนุ่มอายุราวๆสามสิบปลายๆที่ไว้ทรงผมทหารเรียบร้อย นัยน์ตาของเขาเบิกโพลง แววตาของเขานั้นไร้ชีวิต แต่เขายังไม่ตายเนื่องจากยังหายใจอยู่ ผู้บัญชาการหนุ่มเหมือนตกอยู่ในภวังค์บางอย่างที่อยู่ลึก และไม่สามารถปืนขึ้นมาได้ ตัวของเขานั้นแข็งไปทั้งตัว เหมือนกำลังยืนตรงเวลาเข้าแถวทหาร แต่พวกเขากลับนอนหงายไปกับพื้น ทุกๆนายเกือบร้อยคน ไม่ว่ามิทเชล์จะพยายามสะกิด จับตัวตรงไหน พวกเขาก็นอนนิ่งไม่ไหวติง เหมือนเป็นแค่ตุ๊กตาที่ไร้วิญญาณ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไรต่อ ชายสองคนก็เดินเข้ามาล้อมพวกเขา การ์แลนด์ในเกราะสีดำเงา โผล่มาจากบนตึกชั้นสาม ด้วยความพังพินาศของตึก ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่ให้เขาเดินลงมาได้อย่างสบายๆ ดูเหมือนเขาจะอยู่บนนั้นมาสักพักแล้ว อีกด้าน คือมาจากทางไซอ้อน อีโวลต์ในเสื้อคลุมสีดำของเขาก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีเวลาซ่อมอีโวลต์ ไดรฟ์เวอร์ ทำให้เขาต้องมาตัวเปล่า เมื่อเห็นทั้งสองคน ฟริทซ์และมิทเชล์ก็เปิดโหมดเตรียมต่อสู้ และลุกขึ้นมาตั้งท่าพร้อมสู้ทันที
การ์แลนด์มองลงมายังทั้งคู่ระหว่างที่เขาเดินลงมาช้าๆ เขาสังเกตุเห็นที่ทหารนับร้อยที่นอนไม่ได้สติอยู่ด้านล่าง ทำให้เขารู้ทันทีว่านี่มันเป็นฝีมือใคร แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ฟริทซ์และมิทเชล์ หันไปมองหน้ากันชั่วขณะ เหมือนส่งสายตาเพื่ออีกคนว่าตัวเองจะทำอะไร หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มออกวิ่ง มิทเชล์วิ่งขนาบข้างออกไป รัวปืนไรเฟิลของเขาใส่การ์แลนด์ ซึ่งเขาปัดทิ้งได้ทั้งหมด ฟริทซ์ออกตัววิ่งไปด้านหน้า ตรงข้ามกับตึก เข้าหาอีโวลต์ แต่เขาฉีกไปข้างๆเล็กหน่อย เพื่อดึงอีโวลต์มาหาตัวเขาเอง
“คู่ต่อสู้ของแกคือชั้น ! ไอ้เครื่องดูดฝุ่น!!”
ทางเข้าเมืองไซอ้อน
หลังจากเหตุการณ์ที่บิทเทอร์วินด์ นิโนะได้อธิบายทุกอย่างให้อลิเซียที่ตื่นขึ้นมาฟัง พวกเขาตัดสินใจจะบินมา่ที่ไซอ้อน เพื่อช่วยเหลือทั้งกลุ่มชองอาลอยและเอมม่า และพวกคริสเท็นที่ถูกจับไปด้วย ทั้งสองซ่อมยานที่อยู่แถวนั้น และบินออกมาจากบิทเทอร์วินด์ และบัดนี้พวกเขาก็ได้มาถึงไซอ้อนแล้ว อลิเซียสังเกตุเห็นด้านในเมืองที่วุ่นวาย อลหม่านไปด้วยการต่อสู้และการทำลายล้างระหว่างไฮบริดเทียมที่แหกคุกออกมาและทหารจักรวรรดิ เธอเลยฉวยโอกาสนี่ ขับยานดิ่งพุ่งลงใส่พื้น บริเวณป้อมตรวจคนเข้าเมือง
’โครมมมมมม!’
ทั้งสองเปิดประตูหลังของยาน นิโนะกางม่านบาเรียสีเขียวเป็นทรงกลมล้อมรอบทั้งคู่ ทำให้พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ยานที่พวกเขาขับมาไถลไปตามพื้น ระเบิดออก ทำให้ทหารหลายนายตายในกองเพลิงนั้น ทั้งสองวิ่งมุ่งหน้าเข้าไปที่เมืองอย่างรวดเร็ว โดยการใช้บาเรียของนิโนะป้องกันกระสุน และอลิเซียใช้พลังการรควบคุมลมของเธอ ปิดกั้นการหายใจของทหาร ทำให้พวกเขาดิ้นรนอย่างทรมานเนื่องจากขาดอากาศหายใจก่อนตายอย่างช้าๆทีละคน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันคะเนี่ย!” นิโนะปิดการทำงานบาเรียของเธอ และวิ่งขนาบข้างมากับอลิเซีย
“เท่่าที่ชั้นเห็น พวกนั้นใส่ชุดนักโทษนะ”อลิเซียตอบกลับ
“แสดงว่าพวกมันหนีออกจากคุกมาใช่ไหมล่ะ?” เธอหันไปทางนิโนะ เหมือนอยากให้เธอทายปริศนา
“แสดงว่าคุณคริสเท็นก็!” นิโนะตอบกลับด้วยใบหน้าที่มีความหวัง
“ใช่ อยู่ที่ไหนสักที่แถวๆนี้ล่ะ!”
ทั้งสองวิ่งเข้ามาในตัวเมืองไซอ้อนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ควันไฟลอยอยู่ทั่วทุกที่ หากมองไปบนฟ้าก็จะเจอไฮบริดเทียมหลายคนเคลื่อนไหวไปมา อลิเซียเดาว่าทั้งหมดคงมีหลายสิบคน ตามด้วยกระสุนและยานรบที่ไล่ล่าตามหลังพวกเขาไป ประชาชนในเมืองหนีเอาตัวรอดกันอย่างโกลาหล ไม่มีที่ๆปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว
เป้าหมายของทั้งสองคือการตามหาพรรคพวกของตนเอง อลิเซียเลยเสนอให้ทั้งคู่ขึ้นไปดูจากจุดที่อยู่สูงเพื่อมองลงมาด้านล่าง จะได้เห็นภาพสถานการณ์โดยรวม และพวกเขาก็หาตึกที่อยู่ใกล้ที่สุด และรีบขึ้นบันไดหนีไฟขึ้นไปจนอยู่ชั้นดาดฟ้า พวกเขาสำรวจด้านล่างรอบๆเมือง
“นี่หรือเนี่ย….การสู้ของไฮบริด” นิโนะกล่าวระหว่างสังเกตุไปรอบๆเมือง ถึงเธอจะเคยเข้ารร่วมการต่อสู้ระหว่างไฮบริดกับทหาร แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นสเกลเล็กๆ ไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่ใช้เมืองทั้งเมืองเป็นสนามรบ และปล่อยพลังเต็มที่โดยที่ไม่ต้องระวังอะไรแบบนี้มาก่อน
“นั่นมัน!!” อลิเซียที่ใช้กล้องจากปืนสไนเปอร์ของเธอเล็งไปรอบๆ ก็หยุดอยู่ที่หนึ่ง
“ผู้หญิงผมแดงนั่น!” เธอกล่าว ทำให้นิโนะวิ่งเข้ามา
“คนที่ปล่อยเราไปนี่นา เราต้องเค้นข้อมูลจากเธอนะคะ!” นิโนะดูจากกล้องส่องทางไกล
มิกิและเรนิต้าทั้งสองหลังจากขับยานออกมาจากฐานลับ ได้ถูกไฮบริดเทียมทำลายยานก่อนที่พวกเขาจะออกไปจากเมืองนี้ได้ พวกเขาลงจอดอย่างรุนแรง ทำให้ยานรบนั้นระเบิดไม่เป็นชิ้นดี พวกเขารอดมาได้ แต่ก็กำลังต่อสู้อยู่กับไฮบริดเทียมคนหนึ่ง เขาเป็นผู้ชายอายุราวๆสามสิบร่างสูง ผอม มีแววตาที่หน้ากลัว และหัวล้าน
“หลบหลังชั้นไว้นะเรนิต้า!” มิกิกล่าว เธอยื่นมือหนึ่งไปข้างๆเป็นการปกป้องเรนิต้า อีกมือหนึ่งถือหอกสกอร์เปี้ยนเทล์
มิกิและชายหัวล้านดูเชิงกันอยู่ พวกเขาสู้กันมาสักพักแล้ว และดูเหมือนมิกิจะเสียเปรียบ เธอมีแผลปากแตก และตามตัวมีเศษฝุ่นเล็กน้อย
“มิกิ หมอนี่คือไฮบริดเทียมเบอร์ศูนย์หกเก้า พลังของมันคือการหักเหแสง” เรนิต้ากล่าวเบาๆ
“การควบคุมแสงอันไร้ที่ติของมันทำให้เรามองไม่เห็นการโจมตีอะไรของมันเลย”
“หึ ชั้นเองก็ทำได้เหมือนกัน!!” มิกิพุ่งเข้าไปโจมตีพร้อมสร้างร่างปลอมออกมา เธอใช้พลังภาพลวงตาจากคลื่นความร้อนเพื่อหลอกศัตรูว่าจะโจมตีด้านหนึ่ง แต่จริงๆแล้วโจมตีอีกด้านหนึ่ง
หมายเลชหกเก้าหลบการโจมตีของมิกิได้อย่างเหลือเชื่อ เหมือนเขามองเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาหลบและสวนด้วยหมัดเปล่าๆเข้าเต็มหน้าของมิกิทำให้เธอปลิวกลับมา จากนั้นเขาก็พุ่่งเข้ามาเพื่อจะเผด็จศึกใส่สองสาวที่ไร้การป้องกัน
’ปังงง!’
’ฉึกก!’ กระสุนสไนเปอร๋ไรเฟิลพุ่งเข้าใส่กะโหลกของชายหัวล้านเข้าอย่างจังระหว่างที่เขาไม่ได้สังเกตุ มันพุ่งเข้ากระหม่อมขวาและทะลุออกอีกด้านพร้อมกับเศษสมองเล็กๆที่กระเด็นออกมาพร้อมกัน ทำให้เขาล้มลงด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง แต่ยังหายใจหืดหาดอย่างดิ้นรนและทรมาณ มิกิตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และใช้หอกของเธอแทงเข้าที่กลางหลังของหกเก้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าเขาตาย
มิกิที่ยังตกตะลึงกับกระสุนที่ถูกยิงมา เธอหันไปทางซ้ายของเธอ บนยอดตึกสูง หญิงสาวผมสีดำยาวพร้อมปืนสไนเปอร์ของเธอ ทั้งสองมองตากันในช่วงเวลาสั้นๆ มิกิเมื่อจำได้ว่าเธอเป็นใคร ก็รีบดึงมือเรนิต้าและวิ่งหนีออกไปทันที เรนิต้าถึงจะยังมึนๆกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอไม่ได้มองเห็นคนยิงเหมือนมิกิ แต่ก็วิ่งตามเธอไป
“อะ...อะไรกันน่ะ มิกิ!?” เธอถามอย่างงุนงง
“เดี๋ยวจะอธิบายทีหลัง! รีบไปกันก่อนเถอะ!”
อลิเซียเมื่อเห็นว่ามิกิวิ่งหนีออกไป เธอก็รีบเก็บปืนสไนเปอร์ของเธอเป็นสองส่วน และรีบวิ่งลงไปทันที “พวกนั้นหนีไปแล้ว เราต้องรีบตามไป!” นิโนะเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งตามอลิเซียไป ทั้งสองลงมาจากตึกอย่างรวดเร็ว และรีบมุ่งหน้าไปยังทางที่มิกิและเรนิต้าไป เนื่องจากพวกอลิเซียนั้นเพิ่งเข้ามาจากทางเข้าเมือง และพวกมิกิต้องการออกจากเมือง ทำให้ทั้งคู่วิ่งมาเจอกันในที่สุด
“หยุดนะ!!” อลิเซียและนิโนะหยิบปืนพกขึ้นมาจ่อทั้งสองคน
มิกิเตรียมสกอร์เปี้ยนเทลล์ขึ้นมาสู้ แต่เรนิต้าเขามาขวางระหว่างทั้งสองฝั่ง
“พวกคุณช่วยเราไว้เมื่อครู่นี้ คงไม่ฆ่าเราตอนนี้หรอกใช่ไหมคะ?” เธอกล่าวอย่างใจเย็น ราวกับควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้
“ชั้นเดาว่าพวกคุณต้องการข้อมูลอะไรบางอย่างจากเรา” เธอกล่าว
เรนิต้าหันไปมองมิกิ ทำให้เธอลดอาวุธของเธอลง และจากนั้นนิโนะเองก็ลดปืนของเธอเช่นกัน แต่อลิเซียนั้นยังคงถือปืนพกจ่อไปยังมิกิอยู่อย่างเดิม เธอเดินเข้าไปช้าๆ “บอกที่อยู่ของเพื่อนเรามาซะ! ไม่งั้นพวกแกสองคนได้กลายเป็นศพแน่!” เธอตะโกนด้วยความโกรธ จ้องเขม็งไปยังตาของมิกิ ที่ดุดันไม่แพ้กัน
“คุณช่วยชีวิตพวกเราไว้ คุณเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นใช่ไหมคะ?” นิโนะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม เป็นเหมือนด้านตรงข้ามกับอลิเซีย
“ตอนที่พี่เฮเลล… ตาย … หนูเห็นคุณเข้าไปโอบกอดพี่เขานะคะ” เธอพูดจาอย่างเจ็บช้ำ
“พี่เฮเลลก็สำคัญกับพวกเราเหมือนกัน และเขาก็คงอยากช่วยเพื่อนของเราที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากเหมือนกันค่ะ”
มิกิดูตกอยู่ในห้วงความคิด เธออยากจะหนีปัญหาทุกอย่างไป แต่เธอก็อยากสานต่อสิ่งที่เฮเลลทำไว้เช้นกัน แต่ถ้าหากเธอยอมช่วยสองคนนี้ หมายความว่าเธอนั้นทรยศจักรวรรดิที่เฮเลลเกลียดชัง ที่เธอทำงานให้ แต่มันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของเธอคนเดียว เพราะเรนิต้าเองก็ถูกกพามาเกี่ยวพันเช่นกัน
“เรนิต้า… ถ้าเธอจะแยกกับชั้นตอนนี้ก็ได้นะ” มิกิกล่าวขึ้นมาอย่างอึดอัด เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเพื่อนของเธอด้วยซ้ำ
“ชั้นไม่อยากเอาหน้าที่การงาน หรือชีวิตของเธอมาเสี่ยงกับชั้น”
เรนิเต้าจับไหล่ทั้งสองข้างของมิกิอย่างหนักแน่น และจ้องตาของเธอ
“ตั้งแต่ชั้นตัดสินใจมากับเธอ มันก็ไม่ใช่ปัญหาของคนๆเดียวแล้ว มิกิ”
“ชั้นไม่มีทางทิ้งเธอหรอก”
คำพูดนั้นทำให้มิกิมั่นใจ ว่าตอนนี้เธอยังมีคนที่ให้กลับไปได้เสมอ มั่นใจว่าการตัดสินใจของเธอยังมีคนสนับสนุนและพร้อมเดินหน้าไปด้วยกันเสมอ แววตาที่สับสนของเธอกลายเป็นแววตาที่มุ่งมั่น และพร้อมจะทำสิ่งที่ะถูกต้อง เธอหันไปทางอลิเซีย และนิโนะ ด้วยความปราถนาใหม่ และเป้าหมายที่ชัดเจน
“ไปกันเถอะ พวกเราจะพาไปเอง”
“เดี๋ยว!” อลิเซียจับไหล่ของมิกิไว้ รั้งเธอ
“ชั้นจะรู้ได้ยังไงว่าแกจะไม่ทรยศ ไอไฮบริดเทียม”
ปกติคำพูดนั้นจะทำให้เธอโมโหและทำร้ายร่างกายผู้พูดแล้ว แต่ในสถานการณ์นี้เธอรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
“ชั้นเชื่อในตัวเฮเลล… เชื่อมาตลอด ที่ผ่านมาชั้นแค่ไม่ยอมรับเท่านั้นเอง”
“แต่ตอนนี้ชั้นรู้แล้ว และชั้นก็จะทำตามใจบ้าง ชั้นจะทำสิ่งที่ถูกต้อง”
ด้วยคำพูดที่มาจากใจเหล่านั้น มิกิได้ซื้อใจอลิเซียและนิโนะไปแล้วกว่าครึ่ง ถึงจะยังมีความระแวงอยู่ก็ตาม แต่สัญชาติญาณของทั้งคู่ บอกว่าเธอคนนี้เชื่อใจได้ ทั้งสองมองกันสักพัก นิโนะก็อมยิ้มออกมาและใช้ศอกสะกิดอลิเซียเบาๆ เธอหันไปมองนิโนะและเหมือนรู้ว่าต้องทำอะไร
“เฮ้ออ ชั้น… ขอโทษ” เธอดูพูดอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็เขินอายเล็กน้อย
“ที่พูดจาไม่ดี แล้วก็ขู่ฆ่าเมื่อกี้” เธอพูด หลบตาทั้งสอง
“พอใจรึยัง ไอเด็กน้อย!!” อลิเซียหันไปตวาดนิโนะ ทำให้ความกดดันและความตึงเครียดของทั้งสี่คนลดลง
“เอาล่ะ ไปกันเถอะค่ะ พวกเราต้องหายาน” เรนิต้ากล่าว ทั้งสี่มุ่งหน้าไปหายานรบ เพื่อเดินทางเข้าสู่ฐานลับ
ทางด้านคริสเท็นและคาร์ลอส
ทั้งที่ดาบใหญ่ขนาดนั้น
แต่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ
’เพล้งงง!!’ คริสเท็นตั้งดาบของเธอขึ้นมาป้องกันการฟันของคาร์ลอส แต่ด้วยแรงที่ห่างกันเกินไป ทำให้เธอกระเด็นกลับหลังมา เธอไม่เคยเห็นคาล์ในชุดเกราะและอาวุธแบบนี้มาก่อน คริสเท็นลุกขึ้นมาและตั้งท่าพร้อมสู้อีกครั้ง คาร์ลอสเดินเข้ามาท่ามกลางฝุ่นควันที่ฟุ้งเต็มบริเวณ พวกเขาปะดาบกันมาสักครู่ จนกระทั่งลงมาถึงพื้น
ทำไมถึงไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยล่ะ คริสเท็นมองไปรอบๆ หาทหารที่มาตามล่าเธอ แต่เธอเห็นแค่คนที่นอนหงายไม่ได้สติอยู่เท่านั้น “แกทำขนาดนี้เลยงั้นหรือ คาล์?” เธอหันไปถามชายในเกราะค้างคาว “แหม่ ชั้นไม่เสี่ยงให้ใครมาขัดขวางการดวลระหว่างเราหรอกนะ มีอา” คาล์พุ่งเข้าไปโจมตี ทั้งสองดวลกันอยู่สักพัก ถึงจะยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะพวกเขาผลัดกันรุกรับอย่างสูสี แต่เป็นคริสเท็นที่เสียเปรียบอย่างชัดเจน ถึงทักษะของทั้งคู่จะเท่ากัน แต่ความได้เปรียบด้านพละกำลัง อุปกรณ์ ของคาล์นั้นทำให้คริสเท็นลำบากเป็นอย่างมาก เธอต้องหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเกราะเบาที่เธอใส่นั้น หากโดนโจมตีเต็มๆแค่ครั้งเดียว เธอก็ตายได้เลย
ถ้าเป็นแบบนี้เดี๋ยวได้เสียท่าแน่ๆ
คริสเท็นยื่นมือไปข้างหน้า มือของเธอสั่น เธอโฟกัสเต็มที่ จ้องไปยังด้านหน้าของเธอตาไม่กระพริบ เหงื่ออไหลออกมาจากหน้าของเธอ ที่ที่คาล์ยืนอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเขากำลังลอยไปข้างหน้า เหมือนถูกดูดไปช้าๆ
“แรงกว่านี้อีกสิ น้องสาว!!” คาล์กล่าวอย่างเยาะเย้ยใส่คริสเท็น เขาย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อทรงตัวจากแรงดึงของคริสเท็น
คริสเท็นกำหมัดด้วยมือที่เธอยื่นออกไปด้านหน้า แรงดึงที่คาล์รู้สึกนั้นได้หายไป เขารู้แล้วว่าคริสเท็นไม่ได้พยายามจะเคลื่อนที่เขาเข้าไป แต่เป้าหมายของเธออยู่ด้านหลังเขาต่างหาก คาล์หันหลังกลับไปดูอย่างรวดเร็ว เศษหินขนาดยักษ์หลายสิบก้อน ขนาดใหญ่ที่ว่าแค่ก้อนๆเดียวสามารถทับคนธรรมดาให้ขยับไม่ได้ได้ทั้งตัว เศษหินเหล่านั้นพุ่งมาหาคาล์อย่างรวดเร็ว “ต้องให้ได้แบบนี้สิ..” คาล์คว้าดาบยักษ์ของเขาด้วยสองมือ ฟาดมันไปด้านหน้าในแนวนอนอย่างรุนแรง คมดาบอาบไปด้วยความร้อนสูงจนเปลี่ยนให้มันมีเงาสีแดงออกมา ผ่าก้อนหินเหล่านั้นจนแตกกระจายเละเทะ
’โครมมมม!!’
จังหวะที่เขาหันหลังนั่นเอง คริสเท็นพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็วและฉับไว แววตาของเธอนั่นมุ่งมั่นและตั้งใจ แต่คาล์เองก็ไม่แปลกใจกับการโจมตีครั้งนี้ เขาหันมาและเตรียมรับคมดาบของเธอด้วยดาบยักษ์ของเขา แต่เวลามีไม่พอที่เขาจะสร้างโมเมนตัมเพื่อฟันกลับ คาล์ตั้งดาบยักษ์ไว้กับพื้นและใช้มันเป็นโล่ห์ที่กันตัวเขาเอง
เสร็จชั้นล่ะ!
แต่คริสเท็นคำนวณไว้หมดแล้วว่าเขาจะทำอย่างนั้น เมื่อตั้งเป็นโล่ห์ เขาเองจะสูญเสียองศาการมองเห็นไปชั่วครู่ เธอใช้จุดนั้นเป็นข้อได้เปรียบ กลิ้งตัวออกด้านข้าง และฟันเข้าไปที่ลำตัวของคาล์เต็มๆ ’เคร้งง!’ เสียงดาบฟาดฟันเกราะอันแข็งแกร่งของเขา เมื่อโจมตีเสร็จ คริสเท็นก็กระโจนถอยหลัง ไปรักษาตำแหน่งที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ไม่ให้คาล์ได้สวนกลับ คมดาบที่ฟันเกราะของคาล์นั้น มันผ่าเกราะของเขาแตกเป็นรอยเล็กๆตามการฟัน มันเฉือนไปโดนเนื้อด้านในนั้นอย่างฉิวเฉียด
คริสเท็นมองไปรอบๆ เธอสังเกตุเห็นตึกตึกหนึ่งที่สูงราวๆสิบชั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ คริสเท็นเริ่มถอยร่นไปยังตึกนั้น ค่อยๆถอยลงไปทุกครั้งที่ป้องกันการโจมตีของคาล์ จนในที่สุดเธอก็หาจังหวะพุ่งเข้าไปในตึกนั้นได้ เพื่อพักหายใจ และเตรียมลอบโจมตี
เมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็ตามเข้าไป เมื่อคาล์เข้ามาในตึก มันเป็นเหมือนตึกก่อสร้างเก่าๆ ที่ยังทำไม่เสร็จ ที่มีบันไดขึ้นไปสูง และกำแพงมากมาย เขาเข้ามาเห็นศพทหารที่อยู่ในนี่ ท่ามกลางเหตุวุ่นวาย ที่นี่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ และน่าจะถูกคริสเท็นสังหารไปเมื่อสักครู่ ’ตึกๆ’ คาล์เงยหน้าขึ้นไป เสียงฝีเท้าก้องกังวาลอยู่ด้านบนอย่างเร่งรีบ เขาจึงเดินขึ้นไปช้าๆ
คาล์เดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุดก่อนดาดฟ้า มันเป็นห้องโถงใหญ่ๆโล่งๆ มีทางเดินตรงกลาง และกำแพงยาวขนาบสองข้างตามแนวทางเดิน ด้านหลังกำแพงมันเป็นบล็อคๆแบ่งเป็นหลายสิบห้อง คาล์เดินไปช้าๆทีละเก้า เสียงเท้าของเขาก้องกังกวาลไปทั่วทั้งชั้น และเขามาหยุดตรงที่หนึ่ง เขาหันไปด้านขวาของเขา หลังจากมองไม่นาน เขาก็รู้
ด้านหลังกำแพงที่คาล์จ้องอยู่นั้น คริสเท็นยืนรออยู่พร้อมโจมตี ทั้งคู่ไม่ขยับ เหมือนวัดใจกันอยู่ ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงข้าม เหลือเพียงว่าใครจะโจมตีก่อนเท่านั้น ทั้งสองกำอาวุธของตนเองไว้แน่น ไม่มีใครหายใจ ไม่มีใครพูดอะไร เหมือนกับว่าถ้าพวกเขาส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ทำ คริสเท็นค่อยๆยกดาบของเธอขึ้นมาช้าๆอย่างระมัดระวังในท่าเตรียมแทง เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรจากด้านนอกเลยตั้งแต่เสียงฝีเท้ามาหยุดเบื้อหน้าเธอ เหงื่อเธอไหลด้วยความกดดัน
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงลม
’ตู้มมมมม!’
ดาบยักษ์สีดำฟันเข้ามาเต็มแรงในแนวนอน มันกวาดกำแพงที่บังทั้งสองอยู่จนพังทะลายไม่มีชิ้นดี คริสเท็นก้มลงต่ำเพื่อหลบวสวิงอันรุนแรงของคาล์ เธอสปริงตัวและฟันเข้ากลางอกเป็นแนวเฉียง ครั้งนี้ลึกกว่าเดิม มันทะลุเกราะอกไป และสร้างบาดแผลที่จะกลายเป็นแผลเป็นให้เขาแน่นอนในอนาคต เธอหันหลัง ใช้พลังของเธอทำลายกำแพงที่อยู่ด้านหลังของเธอ และกระโดดออกไปจากชั้นห้า ลงไปยังดาดฟ้าของตึกที่อยู่ข้างๆ ห่างกันไปประมาณเจ็ดเมตรที่ความสูงพอๆกัน เธอใช้พลังยกหินขึ้นมาเป็นขั้นบันได และก้าวผ่านอากาศไป
ถ้าเกิดหนีแล้วค่อยๆตอดมันไปเรื่อยๆ ก็พอชนะได้อยู่!
ทันใดนั้นเอง คริสเท็นก้มลงไปคุกเข่ากับพื้นและกุมหัวด้วยความเจ็บปวด เธอมองคาล์ที่อยู่ตึกตรงข้าม ตาองเธอนั้นพร่ามัว
พลังของ ... หมอนั่น!?
เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ภาพความทรงจำอันเลวร้ายของคริสเท็นมันย้อนกลับมาในหัวของเธอ วันนั้นเมื่อสิบปีก่อน วันที่เธอสูญเสียครอบครัวไป ทั้งแม่ในสายเลือดของเธอ และครอบครัวชาวไฮบริด วันสุดท้ายกลุ่มเรมแนนต์ วันที่เธอสาบานว่าจะแก้แค้น คริสเท็นส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดที่หัวของเธอ คาล์พยายามแทรกแทรงความทรงจำของเธออยู่ เขาปั่นป่วนมัน ทำให้เธอทรมาน ภาพของเมย์เด้งขึ้นมา พร้อมกับเหตุการณ์ในห้องนั้น เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้เมย์ตายอย่างนั้นหรือ
“น่าเสียดายนะ” คาล์ที่อยู่อีกฟากหัวเราะขึ้นมา
“เธอคงคิดว่ามันจบไปแล้วล่ะสินะ”
เขาถอยหลังไปหลายก้าว สร้างพื้นที่ให้ตนเอง และเริ่มก้าวออกมาข้างหน้าทีละก้าว เมื่อถึงขอบ เขาก็กระโดดออกมา ไม่ใช่แค่ระยะเจ็ดเมตร เพราะเขาไม่ได้ลงจอดที่ขอบตึก เขากระโดดเลยมาอีก มุ่งตรงใส่คริสเท็นที่นั่งกุมหัวอยู่ในความเจ็บปวด มือสองข้างของคาล์อยู่ด้านหลัง เขากำลังง้างดาบยักษ์ และกำลังจะฟันลงที่คริสเท็น
’โครมมมมมมมมม!’
คาล์ฟันลงมาอย่างจัง ตึกถล่มลงไปจากการฟันของเขา เพดานและพื้นของตึกชั้นนี้และชั้นล่างๆถล่มลงเละเทะ คาล์นั้นทะลุลงมาสามชั้นที่พื้นข้างล่าง เศษหิน เศษฝุ่นเต็มอากาศไปหมด ทำให้ตึกนี้ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่และพร้อมจะถล่มตลอดเวลา เป็นการโจมตีที่รุนแรงและมีความทำลายล้างสูงมาก “ช้าไป!” เสียงของคริสเท็นดังขึ้นจากบนฟ้า เธอสะบัดตนเองออกจากกรงขังทางจิตของคาล และกระโดดหลบการโจมตีได้อย่างฉิวเฉียดเธอลอยอยู่เหนือดาดฟ้า สูงจากเขามากนัก และกำลังจะหล่นลงมา ใช้โมเมนตัมนั้นในการโจมตีคาล์ พวกเขาจ้องตากันระหว่างที่เธออยู่บนฟ้า กำลังจะปะทะกันด้วยแรงอันมหาศาล
“ย้ากกกกก!”
’ครืมมมมมม!”
คาล์ฟันสวนเข้ามาหาคริสเท็นตอนที่เธอลงมาพอดี แต่คริสเท็นใช้พลัง ดึงแผ่นหินยักษ์มาป้องกันแทนตัวเธอไว้ คริสเท็นกลิ้งตัวเมื่อถึงพื้น เพื่อลดความเสียหาย ตอนนี้ร่างของชายในชุดเกราะ โล่งปราศจากการป้องกันใดๆ มีเวลามากพอที่เธอจะเผด็จศึก
’เพล้งง!’
คริสเท็นขว้างมีดสีฟ้าที่คาล์ให้เธอไว้ มันปักเข้าไปที่กลางหน้ากากของเขา ทะลุกระจกสีฟ้าบนหน้ากาก จากนั้นด้วยความรวดเร็วไม่ให้เขาตั้งตัว คริสเท็นพุ่งเข้าไป ใช้ดาบสีดำของเธอแทงเข้าไปกลางท้องของคาล์ ณ จุดที่เธอตัดเกราะขาดไปก่อนหน้านี้
’โครมม!’
คริสเท็นดันคาล์ไปชนกับกำแพงด้านล่างและกำลังจะแทงดาบของเธอเข้าไปจนมิดด้าม คาล์ที่สูญเสียบาลานซ์ และปล่อยดาบยักษ์ของเขาตกพื้นเนื่องจากความบาดเจ็บที่ได้รับ ถูกคริสเท็นผลักร่างชนกับกำแพง และด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตึกนี้ แรงกระแทกครั้งนี้ทำให้กำแพงนั้นพังเละเทะ ร่างของคาล์ร่วงลงไปพร้อมๆกันกับแรงผลัก คริสเท็นกระโดดถอยหลังออกมา เธอเกือบตกลงไปเช่นกัน เมื่อเห็นว่าตึกนี้กำลังจะถล่ม เธอจึงรีบหาทางออกมา
ทางด้านมิทเชล์และการ์แลนด์
’ปังๆ!’
มิทเชล์วิ่งต่อเนื่องไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับยิงไรเฟิลใส่การ์แลนด์ที่วิ่งตามเขามาอย่างต่อเนื่อง แต่มันไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำความเสียหายได้บ้าง จนกระทั่งกระสุนของมันหมด เขาปาปืนไรเฟิลนั้นทิ้งข้างๆ และชักปืนพกขึ้นมาเพื่อยิงต่อ แต่เขารู้ดีว่ามันทำอะไรการ์แลนด์ไม่ได้ จึงเก็บมันไป และหยิบมีดคารัมบิทคู่ขึ้นมา ถือด้วยสองมือโดยให้คมมีดอยู่ด้านนอกของหมัด และตั้งการ์ดสองข้างขึ้นมาพร้อมสู้
การ์แลนด์เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เปิดใบมีดของเขาออกมาและเริ่มเดินไปด้านหน้า ทั้งสองคนเป็นนักสู้ระยะประชิดที่ประสบการณ์มากและมีฝีมือ มันไม่ง่ายแน่ๆสำหรับทั้งคู่ มิทเชล์เปิดใช้หน้ากากของเขาขึ้นมา และพุ่งเข้าชาร์จใส่การ์แลนด์ทันที
มิทเชล์ปล่อยหมัดขวาเหนือหัวใส่การ์แลนด์ ที่ป้องกันได้ทันทีด้วยปฏิกิริยาของกล้ามเนื้อ แต่มิทเชล์กระแทกเขาด้วยไหล่อีกข้าง ทำให้การ์แลนด์เสียการทรงตัว มิทเชล์พยายามแทงเขาด้วยมีด แต่การ์แลนด์ถอยกลับมาได้ ทำให้มันเฉี่ยวเกราะเท่านั้น ทั้งสองทิ้งระยะ และเปิดช่องว่างให้พักหายใจชั่วครู่
“สุนัขผู้ซื่อสัตย์ของจักรพรรดิ”
“การ์แลนด์สินะ จะเอาแบบนี้จริงๆรึไง? มันจะจบไม่สวยนา” มิทเชล์พูดขึ้นมาพร้อมกับตั้งการ์ดขึ้น
เขาไม่ตอบ การที่ต้องจ้องมองชายในชุดเกราะสีดำที่ดูไม่เหมือนมนุษย์มันน่าเกรงกลัวแล้ว กลับชุดเกราะของเขาคนนี้ที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเคยเห็นภายใต้หน้ากากนั่น มันเหมือนกับสู้กับปีศาจที่ไม่รู้ว่ามีทางตายหรือไม่ มันน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก มิทเชล์เหนื่อยเหลือเกินกับวันที่ยาวนานนี้ เขาต่อสู้มายังไม่หยุด ร่างกายอันเหนื่อยล้ามันเริ่มที่จะไม่ฟังเขาแล้ว สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ การ์แลนด์เองก็เช่นกัน เขาเองก็ต่อสู้ ไล่ล่าไฮบริดมาทั้งวัน สภาพร่างกายของทั้งคู่ใกล้ถึงขีดสุดแล้ว
การ์แลนด์โจมตีเข้ามา หมัดของเขาปล่อยออกมาพร้อมกับใบมีดอันแหลมคม นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่มิทเชล์เคยเจอมาก่อน มันไม่เหมือนการดวลดาบ หรือการแลกหมัด เขาต้องระมัดระหว่างอย่างมากที่จะหลบการโจมตีอันรวดเร็วและต่อเนื่องนี้ เขาคิดว่าถ้าหากไม่มีใบมีดเหล่านี้ เขามั่นใจว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่เขาชนะได้อย่างแน่นอน
มิทเชล์ใช้สัญชาติญาณในการรับหมัด และสวนกลับไปเรื่อยๆ ชุดเกราะของทั้งคู่ทำให้ใบมีดของแค่ละคนไม่ทำความเสียหายมากนักต่อพวกเขา จนกว่าจะมีคนพลาดพลั้งขึ้นมา
จนมันมาถึงจุดเปลี่ยนอย่างแรก การ์แลนด์ออกหมัดตรงมา หวังจ้วงเข้าที่หัวใจของมิทเชล์ เขาโยกหลบและล็อคแขนของการ์แลนด์ไว้ด้านหน้า และใช้แชนอีกข้างหักใบมีดพวกนั้นจนเละเทะ
’เพล้ง!’
’ฉึก!’ การ์แลนด์อาศัยจังหวะที่ทั้งคู่ล็อคอยู่ด้วยกัน แทงเข้าไปที่ซี่โครงของมิทเชล์ที่สปริงตัวออกทัน ทำให้บาดแผลไม่สาหัส แต่ก็แลกมากับการที่การ์แลนด์สูญเสียใบมีดไปข้างหนึ่ง
ถ้าเราทำลายใบมีดมันได้ทั้งสองฝั่งล่ะก็ ยังไงก็มีหวัง
ชั่วขณะนั้น มิทเชล์ก็เห็นภาพลางๆโผล่มาเสี้ยววินาทีเดียว มันเป็นภาพในอนาคตที่เขาสามารถมองเห็นได้ มันช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งแล้ในสนามรบ แต่มันพึ่งพาไม่ค่อยได้ เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าจะรับรู้ได้ตอนไหน มันทำให้เขาก้มหลบอย่างทันที และสิ่งที่ผ่านหัวของเขานั่นคือใบมีดขนาดใหญ่ที่การ์แลนด์ยิงออกมาจากมือที่โดนทำลาย
การ์แลนด์ไล่ต้อนมิทเชล์จนเขาหลังชิดกำแพง และปล่อยหมัดตรงออกไปอีกครั้งหวังจะแทงกลางหน้าอก แต่มิทเชล์หลบได้ การ์แลนด์ยิงตาข่ายขนาดเล็กออกมาใส่ไหล่ข้างหนึ่งของเขา มิทเชล์เห็นการเคลื่อนไหวนั้นแต่มันไม่มีช่องให้เขาหลบอีกต่อไป ตาขายรัดไหล่ของมิทเชล์ไว้และตรึงเขาไว้กับกำแพงด้านหลังด้วยหมุดขนาดใหญ่ ทำให้เขาขยับออกไปไม่่ได้
ภาพจากอนาคตมาให้มิทเชล์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้มาช่วย มันเหมือนมาหลอกหลอนเขามากกว่า ภาพที่เขาถูกการ์แลนด์แทงเข้าที่หน้าท้อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาค่อยๆหมดลมอย่างทรมาน เขาตกอยู่ในความกลัวและตกใจสุดขีด เขายังไม่อยากตาย
เขาว่ากันว่า เวลามนุษย์ใกล้ตายนั้น เวลาแค่เจ็ดวินาที มันยาวนานเหมือนเจ็ดชั่วโมง มันอาจจะจริงก็ได้ ในเวลาที่ช้าลงนั้น มิทเชล์มองผ่านการ์แลนด์ไป เขาเห็นคนยืนอยู่หลายคนมากมายด้านหลัง มันดูสมจริง และปลอมในเวลาเดียวกัน มันเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคน ทั้งลูกน้องที่เคยอยู่ทีมเดียวกับเขา พวกเขายืนมองมิทเชล์อยู่ด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย
“หัวหน้า เอาหน่อยสิครับ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น
“อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ ผมว่าหัวหน้าไม่น่ารอดแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะอย่างสนุกสนานกับคนอื่นๆ มันไม่ใช่การเยาะเย้ย มันเหมือนเป็นการยอมรับความจริง และพูดขำขันกันเหมือนครอบครัวมากกว่า
“ช่าย ระเบิดที่เอวนั่นน่ะ ของดีนะหัวหน้า” ทหารอีกคนกล่าวขึ้นมา
“เสียดายหน้าหล่อๆของหัวหน้าแทนเลยครับ” ชายข้างหลังพูดขึ้น พวกเขายืนมองมิทเชล์ด้วยท่าทางที่อบอุ่นเหลือเกิน
ด้านหลังของทีมของมิทเชล์ เป็นชายอายุราวๆหกสิบ เขาไว้หนวดเคราสีเทา ร่างกายกำยำเหมือนทหารเก่า พ่อของมิทเชล์นั่นเอง
“แกไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้วล่ะ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจแล้ว”
“แกไม่ใช่จักรวรรดิแล้วนะ แกคือเรมแนนต์”
เขาซาบซึ้ง เขาคิดถึงครอบครัวเหล่านี้เหลือเกิน ระหว่างการสนทนานี่เอง มิทเชล์ก็สังเกตุได้ว่า ร่างของเขาน้ันโดนการ์แลนด์แทงทะลุไปเรียบร้อยแล้ว แต่ความเจ็บปวดนั้นยังมาไม่ถึงเขาในตอนนี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างไร มิทเชล์เงยหน้าขึ้นไปมองสหายเก่าที่จากไปแล้วของเขาอีกครั้ง แต่พวกเขากลับหายไป เขาเห็นเมย์ยืนอยู่ลำพัง บนถนนอันว่างเปล่า เธอไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่มองเขาด้วยสายตาอันอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะถูกลากกลับมาที่ความเป็นจริงอีกครั้ง
“เก่งใช้ได้เลยนะ เวเดอร์”
เขากดปุ่มเพื่อใช้งานระเบิดด้วยมือเดียว และโยนมันตรงๆขึ้นเหนือหัว การ์แลนด์เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็พยายามหนีออกมา แต่มิทเชล์ดึงแขนที่การ์แลนด์แทงทะลุกลางอกของเขาอยู่ ทำให้การ์แลนด์ไปไหนไม่ได้
“หนอยแก!!!”
’ตู้มมมมมมมมมมมม!’
แรงระเบิดมันรุนแรงมาก ส่งแสงสีขาวไปทั่วเมือง มันทำให้ตึกในรัศมีห้าเมตรถล่มลงมาได้อย่างสบายๆ มิทเชล์เลือกที่จะเสียสละตนเองเพื่อกำจัดการ์แลนด์ ซึ่งมันก็ได้ผล สิ้นสุดการระเบิด ทั้งร่างของมิทเชล์ และการ์แลนด์ ก็มอดไหม้ไม่มีชิ้นดี ซากของทั้งสองถูกระเบิดจนไม่เหมือนคน ไม่มีเค้าโครงของสิ่งที่พวกเขาเคยเป็นอีกต่อไป
ทางด้านฟริทซ์ และอีโวลต์
ฟริทซ์ยืนถือดาบพลังงานของเขาอยู่ กำมันแน่นพร้อมจะใช้งานทุกเมื่อ เขาเต็มไปด้วยความแค้น เขาอยากฆ่าหมอนี่เหลือเกิน เนื่องจากมันทำลายเมืองที่เขาอาศัย เพื่อนๆ คนที่เขารู้จัก และยังมีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อีก ยิ่งเขามองหน้ามัน เขาก็ยิ่งขุ่นเคืองจากสายตาที่เย็นชา และออร่าที่ชั่วร้ายรอบๆตัวมัน
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าแกจะรอดมาได้ แมลงสาบ” เขาพูดอย่างเย็นชา หารู้ไม่ว่าตนเองกำลังจะเจอกับอะไร
“แกโยนเด็กคนนั้นลงมาจากหน้าต่างอย่างงั้นรึ!” ฟริทซ์ถามอย่างโกรธเกรี้ยว
“น้องชายชั้นน่ะรึ? มันเป็นสวะไฮบริด เหมือนกับแกไงล่ะ” เขาพูด มือล้วงกระเป๋า
“น้องชาย?” ฟริทซ์ดูงุนงงกับความโหดร้ายของมัน เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“แกฆ่าน้องชายของตัวเอง?”
“เหมือนที่ชั้นจะฆ่าแกไง”
เมื่อพูดจบ อีโวลต์ก็สร้างหลุมดำขึ้นข้างหลังฟริทซ์ มันไม่ไดมีขนาดใหญ่มาก แต่มันก็เริ่มดูดเขาเข้าไป ฟริทซ์เมื่อเห็นดังนั้นก็ปักดาบลงที่พื้น และใช้มันยันตัวเขาไว้ อีโวลต์พยายามเพิ่มความแรง แต่เมื่อไม่มีชุด มันก็ยากสำหรับเขา เขาจึงปิดมันลง
“หมดแรงแล้วรึไง?” ฟริทซ์ถาม
อีโวลต์ดูรำคาญ เมื่อเห็นว่าการดูดไม่ได้ผล เขาสร้างหลุมดำที่มือและยิงกระสุนปืนออกไปหลายนัด ด้วยจำนวนของสิ่งของในมิติหลุมดำนั้น ทำให้เขาเป็นเหมือนคลังอาวุธเดินได้เลย เพราะกระสุนจำนวนมากก็ยังคงวิ่งอยู่ในนั้น เขาแค่ต้องเลือกมันออกมาเท่านั้นเอง มันไม่รัวเท่าปืนกล เพราะเขาต้องเลือกออกมาทีละนัด แต่มันก็ต่อเนื่องและสร้างความลำบากให้ฟริทซ์ถึงจุดหนึ่ง
’ปัง ! ปัง !’
ฟริทซ์หลบกระสุนพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย บางทีก็ปัดออกด้วยดาบ มันเป็นเรื่องง่ายเหลือเกินสำหรับเขาในตอนนี้ หัวของเขามีแต่ความโกรธและความแค้น อยากระเบิดมันออกไปเหลือเกิน เขาค่อยๆเข้าใกล้อีโวลต์ทีละนิด ถ้าเขาสร้างหลุมดำไม่ได้ แบบในซัมเมอร์สตอร์ม เขาก็ไม่มีที่น่ากลัว
อีโวลต์ดูเริ่มกังวลกับสถานการณ์ของตนเอง ฟริทซ์เดินเข้าประชิดตัวกับอีโวลต์ และง้างดาบมาฟันไปที่เขา อีโวลต์เรียกดาบจากหลุมดำมาป้องกันไว้ได้ แต่ระดับฝีมือมันต่างกัน เพียงไม่กี่อึดใจ ฟริทซ์ก็เอาชนะอีโวลต์ในการดวลดาบ และปัดมันออกจากมือเขาได้ เริ่มประชิดเข้าไปอีก อีโวลต์พยายามเรียกกระสุนปืนจากหลุมดำ แต่ฟริทซ์มองออกทั้งหมด เขาเอาดาบมากันไว้ที่หลุมดำที่เสกขึ้นมา ทำให้มันทำอะไรเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
นี่งั้นหรือ ความกลัว
อีโวลต์ รู้สึกถึงความกลัวเป็นครั้งแรก จากชายที่อยู่ตรงหน้าเขา มันเหมือนฟริทซ์เป็นปีศาจที่ไม่มีทางหยุดได้ และตอนนี้เขาก็จนมุมแล้ว ฟริทซ์มีโอกาสปลิดชีวิตเขาหลายครั้งเหลือเกิน แต่เขาไม่ทำ อีโวลต์ใช้จังหวะนี้ในการร่ายหลุมดำที่ใหญ่ที่สุด เขาไม่สนแล้วว่าใครหน้าไหนจะโดนลูกหลง ไม่ว่าจะเป็นพวกเดียวกัน ทหารระดับสูง หรือแม้กระทั่งจักรพรรดิ เขาแค่อยากหลุดพ้นจากความกลัวนี้
’ฉับ!!’
“อ๊ากกก!” แขนขวาของเขาถูกตัดออกโดยฟริทซ์ ทำให้การร่ายหลุมดำนั้นหยุดทันที เขาล้มตัวลงแล้วร้องด้วยความเจ็บปวด ฟริทซ์ปักดาบองเขาลงข้างๆและลงไปนั่งคร่อมตัวของอีโวลต์ไว้
“ไอ้ปีศาจ!”
’ผัวะ!’
ฟริทซ์ซัดเข้าไปเต็มหน้าของอีโวลต์ ทำให้หน้าของเขาสะบัดไปอย่างรุนแรง เลือดพุ่งออกมาจากปากและจมูก
’ผัวะ!’
เขาปล่อยหมัดที่สอง และสาม และสี่ และห้า ฟริทซ์ตกอยู่ในความบ้าคลั่ง เขาไม่สามารถหยุดตัวเองจากการทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้นี้ได้ แต่ในใจเขาก็ไม่อยากหยุด เขาอยากทำให้มันเจ็บปวดแสนสาหัสจนถึงที่สุด อีโวลต์เองก็ไม่คาดคิดถึงสิ่งนี้เช่นกัน ที่ผ่านมาเขาคือทหารปีศาจที่ไร้เทียมทาน เมื่อไปที่ไหน ก็มีแต่ความหายนะ แต่ตอนนี้ เขาไม่สามารถสู้กับชายคนนี้ได้ เขาแพ้ให้แมลงสาบตัวนี้อย่างง่ายดาย มันไม่ใช่การต่อสู้ด้วยซ้ำ มันคือการทำร้ายฝ่ายเดียว
และตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเขาจะระเบิดออกมา
“อ้ากกกกก!”
แสงสีขาวส่องออกมาจากร่างของอีโวลต์ มันทำให้ฟริทซ์รู้ตัว ร่างของชายที่นอนอาบเลือดอยู่ร้อนระอุขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
“อะไรน่ะ..!” ฟริทซ์อุทาน แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร ร่างของอีโวลต์ก็ปะทุขึ้นมา มันระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง เปิดเป็นแสงสีขาวกระจายไปทั่ว
'ตู้มมมม!'
เขากระโดดออกมาจากการระเบิดได้ทันท่วงที แต่ฟริทซ์รู้สึกๆชา อุ่นๆที่แขนของเขา เมื่อเขามองลงไป มันทำให้เขาเกือบอาเจียน ตั้งแต่ข้อศอกแขนขวาลงไป แขนเขาได้หายไป ทิ้งไว้แค่รอยแผลขนาดใหญ่ เหมือนโดนตัดด้วยมีดเล่มยักษ์เท่านั้น มันเหมือนกับระเบิดสีขาวเมื่อครู่มันเผาทำลายแขนเขาไปจนหมดสิ้น ฟริทซ์ตั้งสติ เขามีเวลามากก่อนจะหมดสติจากการขาดเลือด
“ตู้มมมม!!”
“โครมมม!”
เขามองขึ้นไปด้านบน ท้องฟ้ามันไม่เหมือนกับที่เคยเป็นอีกต่อไป ไม่ใช่แค่ท้องฟ้า แต่พื้นดิน และอากาศด้วย ทุกอย่างมันดูวุ่นว่ายยุ่งเหยิงไปหมด ฟริทซ์ได้ยินเสียงระเบิดอีกครั้งที่บริเวณตึกจตุรัส บนชั้นบนที่เป็นห้องประตูมิติ มันเป็นระเบิดสีขาวแบบเดียวกับที่ร่างอีโวลต์เพิ่งระเบิดไป พื้นดินแตกแยกอย่างบ้าคลั่ง ท้องฟ้าคำรามอย่างรุนแรง สายฟ้ากัมปนาตฟาดฟันลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด ลมพายุที่ผันแปรอย่างผิดปกติ ภัยธรรมชาติรุนแรงที่เกิดขึ้นหลายๆอย่างพร้อมกัน
ถ้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ตายแน่
เขาเริ่มวิ่งออกมา เร็วแบบที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน ออกจากระเบิดสีขาวของอีโวลต์และตึกจตุรัส ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะดูเหมือนความบ้าคลั่งจะเกิดจากทั้งสองจุดนั้น เขาวิ่งออกมาเรื่อยๆจนมาเจอกับคริสเท็นที่มาทางนี้
“คุณคริสเท็น! ใช่ไหม?” ฟริทซ์ตะโกนหาเธอ ทั้งสองวิ่งเข้าหากัน คริสเท็นสังเกตุเห็นแผลแขนขาดของฟริทซ์
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ!
คริสเท็นพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว เรื่องในห้องบัลลังค์นั่น สิ่งที่เธอเห็น และประตูมิติที่ระเบิดออกมา เธอไม่อยากจะคิด แต่เป็นไปได้ที่อาลอยและเอมม่ายังไม่ได้ออกมาจากที่นั่น และเรื่องร้ายได้เกิดขึ้น ชั้นน่าจะรอออกมาพร้อมสองคนนั้น เธอคิด แต่มันก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้ต้องหนีอย่างเดียวเท่านั้น
“เราต้องหาคุณมิทเชล์!” ฟริทซ์พูดขึ้นมา หน้าเขาดูซีดเผือกอย่างมากจากการเสียเลือด
“เราต้องปฐมพยาบาล” คริสเท็นกล่าว เธอฉีกเสื้อของฟริทซ์และพันรอบๆแผลของเขาท่ามกลางความบ้าคลั่งของธรรมชาติ
“เราไม่ต้องหามิทเชล์แล้วล่ะ” เธอกล่าวกับเขา และยื่น ด๊อก แทค ของมิทเชล์ที่เธอไปเจอมาให้ฟริทซ์ดู
ทันใดนั้นเอง ยานรบลำใหญ่ก็พุ่งฝ่าพายุและเข้ามา ลงมาหาทั้งสองคน พวกเขาลอยอยู่กับพื้น ไม่สามารถจอดได้เนื่องจากพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ประตูเปิดขึ้น เป็นอลิเซียที่ตะโกนเรียกทั้งสองคน “คริสเท็น!!” คริสเท็นหันไปหาพวกเขาทันที และรีบขึ้นยานมา “นิโนะ รักษาชายคนนี้ที!” คริสเท็นออกคำสั่ง นิโนะตอบรับอย่างทะมัดทะแมงและเริ่มรักษาแผลทันที
“อาลอยกับเอมม่ายังอยู่ในนั้น เราต้องวนกลับไป” คริสเท็นพูดกับมิกิและเรนิต้า ที่ขับยานอยู่
“ชั้นไม่อยากบอกเลยนะคะ แต่เราไม่มีเวลาแล้วค่ะ” เรนิต้ากล่าว เธอขับยานอยู่
“สภาพแวดล้อมมันแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่รีบออกไป ตายกันหมดแน่”
สายฟ้าฟาดผ่าลงมาเรื่อยๆ ถี่ขึ้นและถี่ขึ้น มันเฉี่ยวยานไปหลายครั้ง นอกจากนั้นลมยังแรงเหมือนมีพายุอยู่ทุกที่ พื้นดินยังคงแตกเพิ่มขึ้น น้ำร้อนพุ่งออกมาจากรอยแยก บ้างก็เป็นลาวา เหมือนโลกกำลังจะแตกลง
“พวกเรามาสายไปแล้วล่ะ” อลิเซียกล่าวอย่างเศร้าใจ แม้แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“พวกเราช่วยได้สองคนไม่ใช่รึไง แค่นี้ก็ไม่สายเกินไปแล้วล่ะ” มิกิกล่าว ปลอมประโลมทุกๆคน เธอมองคริสเท็น และจำเธอได้ คริสเท็นเองก็เช่นกัน แต่พวกเขาไม่พูดอะไร
ยานลำนี้ขับฝ่ามรสุมออกมาอย่างรวดเร็วจากฐานทัพยักษ์นั้น คริสเท็นเดินไปทีหลังยาน มองกระจกถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฐานทัพนั้นกำลังพังทลายลงช้าๆ แต่เธอเห็นบางอย่าง เดินขึ้นมาบนดาดฟ้า ไมใช่บางอย่าง สิ่งนั้นคือร่างของมนุษย์ ชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบห้า ในชุดสูทสีดำที่ไร้รอยฝุ่น เขามีผมสีดำสนิท นัยน์ตาสีดำที่ดูบ้าคลั่งและน่ากลัว ใบหน้าที่คุ้นเคย แต่นั่นไม่ใช่คาล์ ถึงคริสเท็นจะรู้สึกว่าเหมือนแค่ไหน ชายหนุ่มคนนั้นอุ้มร่างของเอมม่าเหมือนอุ้มเจ้าสาวอยู่ ร่างของเธอที่สลบไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ชายหนุ่มคนนั้นมองความพังพินาศรอบๆตัวเขาอย่างไร้ความกลัว
จนกระทั่งเขาสบตากับเธอ ในระยะไกลหลายร้อยเมตร ทั้งสองสบตากันชั่วขณะ คริสเท็นก็จำได้ว่าคนๆนั้นคือใคร ภาพที่เธอเคยเห็นในหนังสือประวัติศาสตร์ บุคคลที่เปลี่ยนโลก บุคคลที่ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ไฮบริด บุคคลที่ครอบครองจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
จักรพรรดิ ซิกมันด์ เรฮัลเนม
’ตู้มมมม!!’ สายฟ้าผ่าลงมาใส่ยาน มันไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา มันรุนแรงจนกระทั่งปีกของเครื่องบินหักออกไป และมันกำลังร่วงลงช้าๆ
“สูญเสียการควบคุมค่ะ! ต้องดีดตัวแล้ว!” เรนิต้ากล่าวกับทุกๆคนในยาน
“ว่าไงนะ!?”
“ถ้ากระแทกพื้นแบบนี้ ความสูง ความเร็ว ไม่รอดแน่ค่ะ!” เธอกล่าวเสริม
“ก่อนที่…..”
’ตู้ม!!’ สายฟ้าอีกเส้นผ่าลงมาใส่ยาน มันทำให้ยานแตกครึ่งหนึ่ง แต่ยังติดกันได้อยู่ ทุกคนสั่นเครือด้วยความกลัว
“ขอโทษนะทุกคน.. “เรนิต้ากล่าวเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะกดปุ่มดีดตัวกับทุกคน หลังคาที่ใกล้พังเปิดออก ที่นั่งทั้งห้าที่ถูกดีดออกไปนอกยานอย่างรวดเร็ว
“เรนิต้า!! นี่เธอ!!” มิกิตะโกนอย่างสุดเสียงด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่เธอจะบินออกไปเช่นกัน
เรนิต้ากลับมาควบคุมยานอย่างตั้งใจอีกครั้ง เธอไม่ยอมให้มันระเบิดกลางไซอ้อน คร่าชีวิตคนอีกไม่รู้เท่าไหร่ เธอพยายามบังคับยานลำนี้เพื่อจะไปลงที่ภูเขาโล่งๆข้าง เธอบังคับอย่างสุดฝีมือ มันยากเหลือเกินท่ามกลางธรรมชาติอันบ้าคลั่ง และยานที่ใกล้พังนี้ ในที่สุดเธอก็บังคับยานจนพ้นไซอ้อนจนได้ เธอกำลังจะดีดตัวออก แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เป็นใจเธอเสียแล้ว
’ตู้มมมมมมมมมม!’
สายฟ้าเส้นที่สามผ่าลงมา ครั้งนี้มันฟาดใส่ที่นั่งคนขับเต็มๆ ยานลำนั้นระเบิดคาอากาศไปพร้อมกับเรนิต้า ซากยานปลิวกระจายไปทั่ว แต่ไม่มีส่วนไหนที่ลงไปที่เมือง อย่างที่เธอตั้งใจไว้
คริสเท็นที่โดนดีดออกมา ปลิวมาไกลแสนไกลจากลมพายุที่คาดการณ์ไม่ได้ของโลกตอนนี้ ความเวียนหัวและปวดหัวเริ่มเข้ามาเยือน เมื่อถึงระยะที่เธอว่าเหมาะสม เธอก็กางร่มชูชีพออกมา แต่เธอไม่สามารถควบคุมมันได้ในตอนนี้ ร่างของเธอพุ่งลงในแม่น้ำใหญ่ โชคดีที่ร่มชูชีพลดแรงกระแทก ทำให้เธอไม่เป็นไร
คริสเท็นพยายามตะเกียกตะกายในสายน้ำที่เชี่ยวเกรี้ยวกราดนี้ มันเหมือนมีใครไปยั่วโมโหเทพเจ้าแห่งท้องทะเล เธอพยายามแหวกว่าย พยายามต้านกระแสของมัน แต่ก็ไม่ไหว ร่างกายของเธอเหนื่อยล้าเกินไป เธอต่อสู้แล้วสู้เล่าในเวลาไม่นาน ร่างกายของเธอที่ยังไม่ได้พักผ่อน เธอปล่อยตัวให้ไหลไปตามสายน้ำ คริสเท็นสู้ต่ออีกไม่ไหวแล้ว
หลังจากนั้น
คริสเท็นตื่นขึ้นมาที่กระท่อมหลังเล็กๆ เธอมองไปรอบๆ มันเป็นกระท่อมเล็กๆที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พัดลมตัวใหญ่หมุนช้าๆบนกำแพง น้ำชาหนึ่งแก้ววางบนโต๊ะ มันหายร้อนแล้ว เธอนอนบนโซฟาเก่าๆ ล้อมรอบด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ บ้านหลังนี้ไม่ได้เปิดไฟ แต่มันสว่างเหลือเกิน เธอดันตัวลุกขึ้นมา มันช่างเหนื่อยล้าและปวดร้าวไปทั้งตัว
“ตื่นแล้วงั้นรึหนู” เสียงชายวัยกลางคนพูดขึ้นมา เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ข้างหน้า คริสเท็นหันไปมอง เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“... คุณ มาดูอีน!” คริสเท็นกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ เขาคนนี้คือรองหัวหน้ากลุ่มเรมแนนต์ ที่แม่ของเธอเคยเป็นผู้นำนั่นเอง
มาดูอีนยังคงหน้าตาคล้ายเดิม คริสเท็นไม่สามารถเห็นหน้าเขาชัดๆได้ ผมสีดำของเขากลายเป็นสีขาวจากอายุที่เพิ่มขึ้น ดูเหมือนเขาจะไม่ได้โกนหนวดมาสักพักแล้ว หน้าของเขามีรอยย่นตามกาลเวลา เขาใส่ชุดเสื้อยืดและกางเกงขายาวธรรมดา ดูไม่เหมือนเลยว่าเคยเป็นอดีตนักรบที่แข็งแกร่งชาวไฮบริด
เขาดูแปลกใจที่ได้ยินชื่อนั้นมาก เขาหยุดเอนเก้าอี้ และเอนมาด้านหน้า “ชั้นไม่ได้ยินชื่อนั้นมานานแล้ว” เขากล่าวอย่างเงียบเชียบ มีความเจ็บปวดอยู่ในเสียงของเขา “ชั้น… คริสเท็นเองนะคะ!” เมื่อได้ยินดังนั้น มาดูอีนแทบจะล้มจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ ความเงียบได้มาเยือน
“คริสเท็น…”
“มีอา?”
“แลนนิสเตอร์ น่ะหรือ? ชั้นฟังไม่ผิดใช่ไหม?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน
“ใช่แล้วค่ะ มีแต่คนบอกว่าชั้นหน้าเหมือนแม่ คุณจำได้หรือเปล่า” น้ำเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยอารมณ์เช่นกัน
“ชั้นเสียดวงตามานานแล้วล่ะ ตั้งแต่วันนั้น” เขาพูดอย่างเศร้าสร้อย เธอสังเกตุเช่นกันว่าแววตาของเขานั้นว่างเปล่า เธอตกใจเป็นอย่างมาก ที่มาดูอีนกลายเป็นคนตาบอด
“ชั้นถือว่ามันเป็นบทลงโทษ ที่ช่วยเธอเอาไว้ไม่ได้..” เขาพูดอย่างซึมเศร้า แต่ก็หัวเราะขึ้นมา
“แต่เธอยังอยู่ที่นี่! น่าเสียดายที่ชั้นไม่ได้เห็นเธอโตขึ้นมา” เขากล่าวอย่างเศร้าสร้อย
“เรามีเวลาคุยกันอีกเยอะ ตอนนี้เธอคงสงสัยสินะว่ามาที่นี่ได้ยังไง”
“ภรรยาของชั้น โจแอนน่า เจอเธอลอยมากับแม่น้ำ”
“ถือเป็นโชคดีจริงๆเลยนะ”
คริสเท็นสังเกตุเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาจากตาที่ใช้งานไม่ได้ของมาดูอีน เธอเองก็ซาบซึ้งเช่นกัน สิบปีก่อนเธอเองก็สนิทกับเขา เวลาแม่ของเธอว่างๆ เขานี่แหละจะเป็นคนพาเธอไปเล่น สอนเรื่องต่างๆ ทั้งการต่อสู้ และการใช้พลัง คริสเท็นตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เธอเจอให้มาดูอีนฟัง ทั้งเรื่องมิติที่เธอเห็น สถานการณ์ของกลุ่มในตอนนี้ เรื่องจักรพรรดิ และเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น
“ดีใจจริงๆที่เธอยังต่อสู้อยู่”
“ยังมีคนที่จิตใจแข็งแกร่งเหมือนเธอและคริสเจ็นอยู่เต็มไปหมดสินะ..”
มาดูอีนลุกขึ้นยืนช้าๆ คริสเท็นเองก็รีบลุกเช่นกัน ไปประคองเขาไว้ “ระวังนะคะ!” มาดูอีนหันมามองเธอ เหมือนจะบอกเธอว่ามันไม่เป็นไร เขาพาคริสเท็นเดินเข้ามาลึกในบ้าน เป็นตู้ที่เขาตั้งเก็บรูปภาพเอาไว้ รูปภาพของกลุ่มเรมแนนต์เมื่อสิบปีก่อน ที่มีเขาและแม่ของเธออยู่ตรงกลาง คริสเท็นเมื่อเห็นรูปนั้น ความทรงจำดีๆสมัยก่อนก็กลับมา
มาดูอีนยื่นมือไปด้านบน คลำหาอะไรบางอย่าง ดาบสีแดงของเขานั่นเอง คริสเท็นจับมือของมาดูอีน และนำมือเขาไปจับดาบ “ขอบคุณมากนะ” เขาหยิบมันลงมาจากที่แขวน
“ชั้นไม่ได้ต่อสู้มาสิบปีแล้ว เจ้านี่มันไม่ได้ใช้งานเลย”
“ถ้าเธอจะสู้ต่อไป คริสเท็น ชั้นอยากให้เธอไว้” เขายื่นมาให้เธอด้วยท่าทางที่มั่นใจในตัวเธอ
“ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจค่ะ” คริสเท็นกล่าว และรับดาบนั่นไว้
คริสเท็นเหลือบมองไปยังนอกหน้าต่าง ดูเหมือนว่าสภาพอากาศยังไม่ได้ดีขึ้นเลย เธอยังคงเห็นสายฟ้าฟาดอยู่บนฟ้า เธอเกรงว่าโลกนี้จะได้เปลี่ยนไปแล้ว คริสเท็นนึกถึงคนอื่นๆ อลิเซีย นิโนะ คนจากฝั่งจักรวรรดิสองคนนั้น และฟริทซ์ที่เธอเพิ่งเจอ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาจะรอดอยู่ไหม
“เป็นอะไรหรือ คริสเท็น?”
“ชั้นสัมผัสได้ถึงความกังวล” มาดูอีนเอานิ้วจับกระหม่อม เหมือนเขาเป็นนักพลังจิต
คริสเท็นนั่งลงกับโซฟาที่เดิม หลังจากสองคนเดินออกมา
“อย่างที่เล่าไปนั่นแหละค่ะ หลายๆอย่าง มัน.. ควรจะเป็นไปในทางที่ดีกว่านี้”
มาดูอีนครุ่นคิดสักครู่ เขานั่งลงข้างๆคริสเท็น
“อย่าได้ตั้งข้อสงสัยกับตัวเอง คริสเท็น”
“ถ้าเธอทำเรื่องผิด ยอมรับมันซะ แต่อย่างสงสัยตัวเองเป็นอันขาด”
“ยอมรับมัน เตรียมใจที่จะแก้ไข เชิดคางขึ้น แล้วเดินต่อไปซะ”
“คำถามก็เหลือแค่ หลังจากนี้ เธอจะก้าวต่อไปในทางไหนเท่านั้นเอง” มาดูอีนกล่าว คำพูดเหล่านั้นมันทำให้เธอคิดได้ขึ้นมา
“ชั้นจะจบเรื่องที่พวกเราได้เริ่มเอาไว้ แต่ชั้นไม่คิดว่าชั้นจะทำได้ด้วยตัวคนเดียว” คริสเท็นกล่าว ในน้ำเสียงของเธอยังคงลังเลเล็กน้อย
End