|
Post by GreyTear on Jun 7, 2018 12:04:02 GMT
Prologue : "เส้นทางที่เรากำลังเดินอยู่ มีอยู่จริงหรือไม่กันนะ"
"เหมือนกำลังล่องเรืออยู่บนสายน้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด มืดมน ไร้จุดหมาย"
"ได้แต่ไล่ตามแสงจันทร์ที่อยู่เหนือท้องนภาเหล่านั้นไปเรื่อยๆ"
"แต่ก็ไร้ซึ่งปลายทาง เหมือนกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง"
...
...
...
"แต่จากดินแดนที่เคยรกร้างว่างเปล่า จากที่ไม่เคยมีอะไร..."
"ณ วันนี้ ยังคงมีประกายแสงรอเราอยู่..."
"จากที่เชื่อว่าไม่มีวันตามหาพบ ในตอนนี้เราจะคว้ามันไว้ให้ได้ !"
"มองไปที่ปลายขอบฟ้าด้านหน้า ณ ปลายสุดของทะเล พวกเราเกิดขึ้นมาจากที่ตรงนั้น !"
"จุดหมายปลายทางของพวกเราน่ะไม่มีจริงหรอก... เทพนิยายที่กำลังรอเราอยู่ไม่เคยมีอยู่จริงหรอก..."
"...แต่จะสร้างเรื่องราวของพวกเราทั้ง 9 คนให้เป็นจริง..."
"ด้วยประกายแสงที่เราเชื่อมั่นนี้ !"
...
...
...
' [9th Generation Audition] ประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการออดิชั่นรอบแรก ตรวจสอบรายชื่อ : คลิ๊กที่นี่'บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของหญิงสาวกำลังปรากฏรายชื่อของผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกหรือ'เมมเบอร์'ของวงไอด้อลชื่อดังในประเทศไทยที่ผ่านการออดิชั่นรอบแรกได้สำเร็จสาวสวยหน้าคมวัยมัธยมปลายนั่งตัวติดกับเก้าอี้ แววตากำลังจ้องมองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวสีขาวด้านหน้าของเธอ เธอค่อยๆไล่รายชื่อลงมาเรื่อยๆ นิ้วชี้ค่อยๆบรรจงเลื่อนเม้าส์ลงมาอย่างประณีต ในขณะที่ฝ่ามือกำลังสั่นไหวไฟล์เอกสารที่รวมรายชื่อของผู้ที่ผ่านการออดิชั่นรอบแรกนั้นมีประมาณสิบกว่าหน้าได้ โดยก่อนหน้านี้มีผู้สมัครเข้ามาเป็นหมื่นๆคน ทว่าตอนนี้คัดเหลือเด็กสาวเพียงสามร้อยกว่าชีวิตที่มีความใฝ่ฝันอยากที่จะเจิดจรัสบนเวที และแน่นอนว่าความฝันของเด็กสาวอีกกว่าหมื่นคนก็ยังคงไม่เป็นความจริงในวันนี้รายชื่อที่อยู่ตรงหน้ายังคงเลื่อนลงมาอย่างช้าๆ หญิงสาวจ้องมองแสงสีขาวที่อยู่ด้านหน้าอย่างไม่กระพริบตา เธอจะไม่หยุดเลื่อนลงไปจนกว่าจะพบชื่อและนามสกุลย่อๆของเธอบนผนังสีขาวๆรอบๆห้องของเธอนั้นเต็มไปด้วยโปสเตอร์ของวงไอด้อลชื่อดังกลุ่มนี้ติดอยู่หลายใบ ไล่ตั้งแต่โปสเตอร์สีชมพูอ่อนที่มีชื่อซิงเกิ้ลๆแรกของวงไอด้อลกรุ๊ปนี้แปะอยู่ตัวใหญ่ๆด้านหน้าและบริเวณรอบๆตัวอักษรนั้นก็เป็นรูปของสมาชิกหรือ'เมมเบอร์'ที่กำลังยืนโพสท่าด้วยความน่ารักสดใสและเปล่งประกายด้วยบุคลิกเฉพาะตัวที่แตกต่างออกไปของแต่ละคน บางคนมีลุคที่น่ารักและมีรอยยิ้มที่สดใส บางคนมีแววตาที่ดูลึกลับน่าค้นหาชวนให้อยากติดตาม ในขณะที่บางคนก็มีคาแรกเตอร์ที่ดูสุขุมเรียบร้อยเป็นบุคลิกของคนที่มีความเป็นผู้นำหรือ'ลีดเดอร์'ของกรุ๊ปนอกจากแผ่นโปสเตอร์ที่ติดอยู่เต็มผนังห้องแล้ว ก็ยังมีของที่ระลึกต่างๆรวมไปถึงของสะสมที่เกี่ยวกับวงไอด้อลกรุ๊ปนี้วางเรียงรายกันอยู่บนชั้นวางของที่มีอยู่กว่า 9 ชั้น ที่อยู่ข้างๆโต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวนี้ก็เช่นกัน มีภาพโฟโต้เซ็ทที่เธอเก็บสะสมเป็นคอลเล็คชั่นวางเอาไว้อยู่ นอกจากนั้นยังมีแถบข้อมือหรือ'ริสแบนด์'สีสันต่างๆอีกเพียบเธอเชื่อว่าของสะสมและรูปภาพของเด็กสาวผู้เปล่งประกายเหล่านี้ คือรุ่นพี่..ที่จะช่วยเป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังใจ ที่จะนำพาเธอไปสู่ปลายทางและทำความฝันของเธอให้เป็นจริงได้สำเร็จ เธอมองพวกเขาเหล่านั้นเป็นดั่งจุดหมาย ที่ว่าซักวันหนึ่งเธอจะต้องคว้าประกายแสงเหล่านั้นมาไว้ในกำมือและเจิดจรัสอยู่เหนือเวทีแบบหญิงสาวกลุ่มนั้นให้ได้..."ธ--ธารา ! นี่ไงชื่อของชั้น ! ในที่สุด...หลังจากฝึกซ้อมอย่างหนักมาได้กว่า 2 ปี...ในที่สุดก็ติดออดิชั่นรอบแรกแล้ว----- เอ๊ะ !"หญิงสาวชูไม้ชูมือดีใจอยู่คนเดียวจนเกือบจะตกเก้าอี้โต๊ะคอม แต่ทว่าระหว่างที่กำลังจะเฮลั่นให้สุดเสียงด้วยความดีใจนั้น ระหว่างที่เธอกำลังจะปรบมือด้วยความปลื้มปิติอยู่นั้นเอง... เมื่อเสียงแปะจากมือสองข้างที่กระทบเข้าหากันดังขึ้นไปเพียงแค่ครั้งเดียว สาวสวยม.ปลายผมสีดำก็หยุดชะงักลง... ก่อนที่จะพบว่า"น---นามสกุล... ไม่ตรงกันนี่หว่า..."สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเป็นชื่อจริงของเด็กสาวอีกคนที่สะกดตรงกับเธอแต่ทว่านามสกุลที่ต่อท้ายอยู่ด้านหลังอีกช่องนึงนั้นมันไม่ใช่"แค่พยางค์แรกของนามสกุลก็ไม่ตรงกันแล้ว..."บนใบหน้าของหญิงสาวปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมา แต่ว่ามันเป็นรอยยิ้มของความผิดหวังซึ่งมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆเล็กๆ ในขณะที่ความรู้สึกที่อยู่ด้านในของสาวม.ปลายคนนี้ได้แตกสลายและพังทลายลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วน้ำตาคลอออกมาเล็กน้อยที่นัยน์ตาสีม่วงอ่อนๆในแววตาที่เฉียวโค้งได้รูปของเธอ เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายแบบคนที่กำลังพ่ายแพ้ ภายในแววตานั้นยังคงปรากฏความเข้มแข็งที่อยู่ด้านในตัวเธอ...แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ปฏิเสธความคิดที่ปรากฏขึ้นมาภายในจิตใจทันทีที่เธอเห็นว่าท้ายที่สุดบนหน้าจอนั้นก็ไม่มีรายชื่อของเธอความคิดที่มาพร้อมกับคำถาม ที่กำลังดังกึกก้องถามใจของเธออยู่ในตอนนี้ว่า 'ถึงเวลาแล้วยังที่เธอควรจะพอ' ‘พอแล้วดีไหม’‘ถ้าทำแบบนี้จะเรียกว่าเป็นยอมแพ้หรือเปล่านะ’‘มีเรื่องในชีวิตอีกมากมายที่ฉันจะต้องลุกขึ้นไปทำอีกไม่ใช่หรอ...’หญิงผมสีดำยาววัยม.5 ค่อยๆลุกขึ้นยืนจากโต๊ะ เธออยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนสีขาวของโรงเรียนเอกชนนานาชาติย่านชานเมืองของเธอ หญิงสาวผู้มีน้ำตาคลออยู่เต็มเบ้าแต่ที่ริมฝีปากยังคงปรากฏรอยยิ้มที่แสนจะเลือนลาง ค่อยๆเดินไปที่ประตูห้องของเธอเธอยิ้มให้กับแผ่นกระดาษขนาดใหญ่สีขาวที่แปะติดอยู่กับบานประตูห้อง ซึ่งด้านบนนั้นคือตารางซ้อมเต้น ตารางเรียนร้องเพลงรวมไปถึงตารางกิจวัตรประจำวันของเธอ......แกรก......นักเรียนสาวม.ปลายผมดำบิดกลอนประตูห้องก่อนที่จะดึงเข้าหาตัวเอง พร้อมกับค่อยๆเดินออกจากห้องไป...
<l__=o=__{Sailing In The Sunset Story}__=o=__l> เรื่องราวแห่งอาทิตย์อัสดง : ริมรั้วชมรมไอด้อล !
|
|
|
Post by GreyTear on Jun 15, 2018 7:36:37 GMT
|
|
|
Post by GreyTear on Jun 15, 2018 7:46:39 GMT
ตอนที่ 1 : มองไปยังปลายขอบฟ้าสีส้มนั้น
'นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวันสินะ ของช่วงเวลาหลังเลิกเรียน'
นักเรียนสาวคนหนึ่งลำพึงกับตัวเองขึ้นมาระหว่างที่กำลังนำของใช้ภายในโรงเรียนบางอย่างกับหนังสือบางเล่มเก็บเข้าช่องล็อคเกอร์ของเธอ
...
แสงอาทิตย์อัสดงสีคล้ายๆดอกดาวเรืองส่องมาจากทางริมรั้วระเบียง ผ่านหน้าต่างบานเลื่อนเข้ามากระทบกับโต๊ะเรียนไม้สีครีม ด้านนอกห้องเรียนมีป้ายสีน้ำตาลติดอยู่บนกำแพงข้างห้องซึ่งมีตัวอักษรสลักไว้ว่า 'มัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4'
ในขณะที่ภายในห้องเรียนซึ่งมีที่นั่งประมาณสามสิบกว่าที่นั่งก็รายล้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศและพัดลมซึ่งติดอยู่บนเพดานห้อง กระดานอัจฉริยะระบบสัมผัสที่อยู่ด้านหน้า โคมไฟถนอมสายตาแก่เด็กนักเรียนและชั้นล็อคเกอร์ที่อยู่ตรงหลังห้อง
ในช่วงกลางสัปดาห์แบบนี้ เด็กนักเรียนส่วนมากจะไม่นิยมนำเอาหนังสือและของใช้ที่ไม่จำเป็นกลับบ้านเพราะจะทำให้กระเป๋าหนักโดยไม่จำเป็นแต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ชอบที่จะเก็บของเหล่านั้นเอาไว้ในเก๊ะใต้โต๊ะเพราะจะทำให้โต๊ะรกเปล่าๆ
นักเรียนหนุ่มสาวหลายคนจึงกำลังวุ่นวายอยู่บริเวณชั้นล็อคเกอร์เพื่อจัดการสัมภาระของตัวเองให้เรียบร้อย
...
หลังจากที่เธอเก็บข้าวเก็บของเธอเรียบร้อยดีแล้ว เด็กสาวจึงค่อยๆเดินลงบันไดจากชั้นสามลงมา เธอสะพายกระเป๋าเป้ใบสีฟ้าซึ่งทางโรงเรียนอนุญาตให้นำกระเป๋าจากที่บ้านหรือที่ไม่ใช่ของโรงเรียนมาใช้ได้แต่ขอให้ดูสุภาพและไม่มีลวดลายหรือสีสันฉูดฉาดจนเกินงาม แสงอาทิตย์ด้านนอกอยู่ในระนาบที่ส่องเข้าหาตัวเธอพอดี เด็กสาวยกมือขึ้นมาป้องบนใบหน้าเนื่องจากแสงแดดมันกำลังแยงตา แสงอาทิตย์สีส้มนั้นทำให้ผมสีบลอนด์ซึ่งย้อมมาของเธอเกิดประกาย ผิวสีขาวราวกับปุยฝ้ายของเธอก็ดูสว่างสดใสขึ้นมาเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นเด็กสาวยังมีนัยน์ตาสีฟ้าแกมเทา ถ้าหากเป็นคนไม่รู้จักคงจะคิดว่านักเรียนสาววัยแรกแย้มคนนี้ต้องเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ก็ลูกครึ่งแน่ๆ แต่เธอก็เป็นชาวไทยธรรมดาที่ย้อมผมจนมีลุคที่ดูสวยใสสไตล์วัยรุ่นสาวยุโรป
เมื่อเดินลงมาจนถึงชั้นล่างสุดเธอก็เดินตรงไปยังสนามฟุตซอลซึ่งเบื้องหลังของเธอคืออาคารเรียนสีเทาของมัธยมศึกษาปีที่สี่ ในขณะที่ด้านซ้ายของเธอซึ่งอยู่ห่างจากสนามฟุตซอลไปเล็กน้อยโดยมีถนนเล็กๆตัดผ่านคือตึกแถวสีอิฐแดงที่มีขนาดยาวและมีจำนวนชั้นมากที่สุดในโรงเรียนๆนี้ จุดเด่นของมันอยู่ที่การตกแต่งตามสไตล์ตะวันตกและหอนาฬิกาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งขณะนี้เข็มสั้นและเข็มยาวชี้ไปที่เลขห้าและเลขสิบสอง บอกเวลา 5 โมงเย็น
บนสนามฟุตซอลที่ถูกฉาบไปด้วยสีของพระอาทิตย์มีนักเรียนม.ต้นและม.ปลายบางกลุ่ม โดยส่วนมากเหล่านักเรียนชายม.ปลายมักจะมายึดสนามและจัดกลุ่มต่อทีมเล่นฟุตซอลกัน แต่ก็จะมีสนามอีกสนามหนึ่งซึ่งสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับนักเรียนหญิงซึ่งในปัจจุบันนี้ก็เริ่มมีเด็กผู้หญิงหลายคนหันมาสนใจเรื่องกีฬาจนเรียกได้ว่าไม่แพ้เด็กผู้ชายเลยทีเดียว
...
ซึ่งในขณะนั้นเองที่ลูกบอลกำลังลอยอยู่กลางอากาศก่อนที่จะร่วงลงมากระดอนกับพื้น เธอก็เห็นเด็กสาวที่อยู่ในเครื่องแบบม.ปลายเหมือนเธอวิ่งเข้ามาจากไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือมาจากนอกสนามและเธอคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเล่นฟุตซอลมาตั้งแต่แรก ...เธอแทรกเข้ามาระหว่างที่คนอื่นเขากำลังเล่นกันอยู่พร้อมกับกระโดดลอยตัวกลางอากาศ กระโปรงของเธอสยายเปิดออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะแกว่งขาซัดเต็มหลังเท้าซัลโวลูกฟุตซอลหนังเข้าไปอัดเต็มๆหน้าของผู้รักษาประตูที่ไม่ทันตั้งตัว ความแรงของลูกยิง'ฮาร์ฟวอลเล่ย์'ลูกนี้ทำเอาร่างของผู้รักษาประตูคนนั้นถึงกับกระเด็นไปกระแทกกับเสาประตูอีกทีในขณะที่ลูกบอลค่อยๆกระดอนเข้าไปซุกอยู่ตรงก้นตะข่าย
"เฮ้ย ! ยัยหัวโหนกน้ำตาลแดง ! ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย ! พวกเราตามยัยนั่นไปเลยเร็ว !" สาวห้าวที่ดูเหมือนจะเป็นกัปตันทีมฟุตซอลตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ฉุนเฉียวเพราะถูกขัดจังหวะระหว่างเล่นและทำให้ผู้รักษาประตูของทีมถึงกับต้องลงไปนอนกอง
ในขณะที่หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่า'ยัยโหนกน้ำตาลแดง'คนนั้นก็หัวเราะออกมาด้วยรอยยิ้มและแววตาที่ดูกรุ้มกริ่มชั่วร้าย เธอพูดออกมาว่า
"ก็ไม่ยอมให้ฉันเข้าชมรมฟุตบอลเองนี่นา มันก็โดนอย่างงี้นี่แหละ ว๊าย ! หนีดีกว่า..."
"หน็อยแน่ยัยดอกพลับพลึงแดงเอ้ย ! ไปตายซะไป !"
รองเท้าซ้อมลอยไปหานักเรียนสาวผู้เข้ามาก่อกวนคนนั้น เธอกระโดดลงมาจากสนามฟุตซอลที่ถูกยกให้สูงกว่าถนนประมาณหนึ่งเมตรพร้อมกับซอยเท้าๆยิกๆวิ่งข้ามถนนไป ก่อนที่จะมีรถขับตัดผ่านทำให้เธอหนีการไล่ปารองเท้าใส่จากกลุ่มสาวห้าวพวกนั้นมาได้ ผมยาวสลวยสีแดงทึบประกายม่วงโบกสะบัดพัดไหวไปตามสายลม
...
เด็กสาวผมบลอนด์เดินผ่านลานกีฬาออกไป เธอเจอแยกวงเวียนซึ่งมีรูปปั้นน้ำพุแกะสลักเป็นรูปนางฟ้าอยู่ ใกล้ๆตรงนั้นมีลานจอดจักรยานโดยนักเรียนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้มักจะใช้จักรยานในการเดินทางมาที่โรงเรียนและในปัจจุบันก็มีการรณรงค์ประหยัดพลังงานกันอย่างหนักเพื่อต้อนรับทศวรรษที่สามที่กำลังมาถึงของยุคปีสองพัน เธอหยิบจักรยานสีขาวลายชมพูของเธอออกมาพร้อมกับเดินเข็นมันไปเรื่อยๆจนถึงก่อนประตูทางออก
บริเวณก่อนถึงรั้วทางออกของโรงเรียน ทางเดินถูกปูด้วยกระเบื้องคอนกรีตแต่มีสีขาวคล้ายๆกระเบื้องยิปซั่ม จุดเด่นของมันคือมีกำแพงพุ่มไม้สีเขียวเข้มขนาบข้างและมีไม้เลื้อยตกแต่งแทรกอยู่เล็กน้อย ถัดออกไปจากตรงพุ่มไม้ก็จะเป็นสวนหญ้าเทียมซึ่งมีพุ่มไม้แกะสลักสีเขียวเข้มตั้งไว้อยู่ โดยนักเรียนหลายๆคนก็มักจะมาถ่ายรูปที่พุ่มไม้เหล่านั้นหลังเลิกเรียน ถ้าหากแสงแดดยามเย็นจากท้องฟ้าให้บรรยากาศเหมาะแก่การถ่ายรูปแบบเช่นวันนี้
เนื่องจากตอนนี้พึ่งจะสัปดาห์ที่สองหลังจากการเปิดภาคเรียน จึงมีชมรมหลายชมรมที่ออกมาประกาศรับสมัครสมาชิกและโปรโมทชมรมของตัวเอง
"ชมรมวัฒนธรรมและอนิเมะญี่ปุ่นค่าา ! ที่ว่างยังเหลืออีกเพียบเลย มาสมัครกันด้วยนะคะ !"
นักเรียนสาวม.ปลายผมสั้นสีน้ำตาลผู้มีหน้าตาน่ารักและตัวเล็กยืนชูป้ายรับสมัครนักเรียนเข้าชมรมอยู่ข้างๆพุ่มไม้ โดยเธอในตอนนี้ก็กำลังอยู่ในชุดยูกาตะสีส้มอ่อนซึ่งก็เป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่นที่สื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมของฝั่งนั้นได้ดี
"ช—ชมรมทำอาหารค่ะ... มาสมัครกันเยอะๆนะคะ"
ใกล้ๆกับนักเรียนสาวในชุดยูกาตะนั้นเองก็มีนักเรียนหญิงผมดำหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งคนจีนผิวเนียนเป็นสีไข่มุกกำลังยืนประกาศรับสมัครสมาชิกเข้าชมรมอยู่เช่นกัน เพียงแต่ใบหน้าของเธออาจจะดูบูดบึ้งไร้อารมณ์เล็กน้อยและน้ำเสียงที่ดูขาดความมั่นใจแถมไม่ค่อยจะดังเสียเท่าไหร่แต่ก็ออกห้าวๆอยู่พอสมควร
...
เมื่อเด็กสาวผมบลอนด์เข็นจักรยานออกมาจากรั้วโรงเรียน เธอก็เดินเลาะไปตามทางเท้าที่ติดอยู่กับถนนใหญ่ไปเรื่อยๆ แถบที่เธอกำลังอาศัยอยู่ในตอนนี้เป็นเขตย่านชานเมืองซึ่งไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ๆ รถไฟฟ้าก็ยังเข้ามาไม่ถึงและไม่มีหางสรรพสินค้าตั้งอยู่แบบในเมือง จึงทำให้การจราจรค่อนข้างที่จะถ้อยทีถ้อยอาศัย รถไม่ติดมากนัก มลพิษทางอากาศก็น้อยกว่าในเมือง ส่วนมากบริเวณทางเท้าข้างถนนก็จะมีร้านอาหารหรือรถเข็นขายของตั้งไว้อยู่ริมทาง มีเด็กนักเรียนหลายคนที่เดินไปกลับโรงเรียนโดยผ่านเส้นทางๆนี้เพราะส่วนมากผู้คนที่อยู่ในละแวกก็มักจะเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียน'รัมภานาราสมุทร'แห่งนี้อยู่แล้วเนื่องจากว่าเป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง
ถึงอย่างไรก็ตามความเหลื่อมล้ำเรื่องการศึกษาของเด็กไทยในตอนนี้ก็ถือว่าน้อยลงมากเมื่อเทียบกับเมื่อสิบปีก่อน จึงทำให้ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนไม่ค่อยจะเรื่องมากในการเลือกโรงเรียนสำหรับเรียนต่อในระดับม.ปลายของลูกตัวเองเสียเท่าไหร่แล้ว
เด็กสาวยังคงเข็นจักรยานไปเรื่อยๆเพราะเธอพึ่งจะย้ายมาอยู่ในเมืองนี้ได้ไม่นาน จึงอยากที่จะซึมซับบรรยากาศและวิถีชีวิตย่านชานเมืองซึ่งแตกต่างและวุ่นวายน้อยกว่าวิถีชีวิตแบบคนเมืองที่ต้องเร่งรีบกว่านี้มากๆ
...
จนในที่สุด...
เธอก็ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงกระจิบกระจับยามเย็นที่ชวนให้นึกถึงบรรยากาศและความรู้สึกร่มรื่นแบบที่เธอไม่เคยคุ้นเคยมาก่อนตอนที่อยู่ในเมือง แต่ทว่าตอนนี้เริ่มที่จะหลงใหลมันเข้าเสียแล้ว...
เด็กน้อยวัยระรื่นกำลังเล่นวิ่งไล่จับอยู่บริเวณเบื้องหน้าของเธอ ใกล้ๆกับสนามเด็กเล่นมีผู้ชายวัยสูงอายุกำลังวิ่งจ๊อกกิ้งเหยาะๆ มีกลุ่มลุงๆป้าๆกำลังเต้นแอโรบิคอยู่ตรงสนามหญ้าข้างๆ
เธอมองออกไปด้านหน้า เห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีซึ่งถูกย้อมไปด้วยแสงรำไรที่อยู่ตรงเส้นปลายขอบฟ้า ด้านบนนั้นคืออาทิตย์อัสดงรูปร่างกลมกำลังมองมาที่เธออยู่
'คุณพระอาทิตย์กำลังยิ้มมาที่เราอยู่...'
หญิงสาวอ้าแขนรับแสงตะวันที่อยู่เบื้องหน้า เธอยิ้มรับมันออกมาด้วยรอยยิ้มอันแสนจะเปล่งประกาย สายลมยามสนธยาพัดพาเอาลมอุ่นๆและไอชื้นจากทะเลที่อยู่ไกลแสนไกล เส้นผมของเธอโบกสะบัดไปตามกระแสลม ภาพของเธอในตอนนี้นั้นงดงามราวกับนางฟ้าสุรางคนา
เสียงดนตรีอันไพเราะนุ่มนวลดังออกมาใกล้ๆจากตรงนั้น เด็กสาวหันไปเห็นผู้หญิงผมสีขาวมีระเบียบในชุดเครื่องแบบโรงเรียนเดียวกับเธอกำลังนั่งเล่นเปียโนไฟฟ้าที่ต่อปลั๊กกับเครื่องจ่ายไฟอยู่
เธอยิ้มให้กับเสียงดนตรีอันไพเราะนั้น
ก่อนที่จะหันกลับไปมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า... มันคือเนินบันไดที่สูงชันซึ่งมีทางเดินยาวลงไปถึงด้านล่าง ด้านข้างเนินบันไดนั้นมีป้ายเขียนติดเอาไว้ว่า 'ผู้ใช้จักรยานกรุณาระวังคน'
มือทั้งสองข้างของหญิงสาวจับแฮนด์บนจักรยานนั้นไว้ให้แน่น เธอตั้งจักรยานให้อยู่ในระนาบตรงอย่างมั่นคง ตั้งฉากกับพื้นดิน ก่อนที่จะออกแรงถีบก้านเหยียบออกไป แรงส่งทำให้ตัวเธอและจักรยานลอยอยู่กลางอากาศเหนือเนินคอนกรีตด้านล่าง
ปักก !
ล้อจักรยานสัมผัสกับพื้นอันแข็งกระด้างอีกที ก่อนที่ตัวของเธอและจักรยานจะพุ่งจากบนยอดสุดของเนินลงสู่ด้านล่างด้วยความเร็วชนิดที่ว่าเป็นใครเห็นก็ต้องหวาดเสียว
'สายลมที่พัดเข้ามาตีกับใบหน้า
เสียงของสายลมที่พุ่งเข้ามากระแทกที่ใบหู
ความรู้สึกสนุกที่กำลังสัมผัสอยู่ ณ ตอนนี้ สอดประสานเข้ากับความรู้สึกของทุกคนที่อยู่รอบข้าง ที่ตัวของเรากำลังเดินผ่าน... ไม่สิที่กำลังกำลังพุ่งถลาลงมาด้วยความเร็ว ผ่านพวกเขาไป... ภายในสวนสาธารณะอันสงบแต่ไม่เคยเงียบแห่งนี้'
ฉันสัมผัสถึงความรู้สึกของคนที่กำลังสนุกสนาน มีหญิงสาวผมสีน้ำเงินแกมชมพูคนหนึ่งกำลังเอากีต้าร์ไล่หยอกล้อแกล้งเด็กตัวเล็กคนอื่นๆและวิ่งไล่จับกันไปมาอยู่ โดยเธอคนนั้นดูเหมือนจะรับบทเป็นยักษ์ที่ต้องถือกระบองไล่ตีชาวบ้านอยู่
ฉันสัมผัสถึงความรู้สึกของคนที่กำลังมีความหวัง หญิงสาวผมสีเหลืองทองคล้ายๆกับฉันคนหนึ่งก็กำลังนั่งปิกนิคอยู่คนเดียว เธอกำลังมองไปยังแสงตะวันราวกับกำลังรำลึกถึงอดีตอันสวยงามและเคยผิดพลาดอยู่ รอยยิ้มของเธอที่มีให้กับพระอาทิตย์นั้น คล้ายคลึงกับของฉันมากเลยทีเดียว
และฉันก็สัมผัสถึงความรู้สึกเศร้า ความรู้สึกที่ผิดหวังและท้อแท้ของคนที่กำลังนั่งมองแสงตะวันทว่าบนใบหน้านั้นไม่ได้มีรอยยิ้มปรากฏอยู่ด้วยเช่นกัน...'
...
เมื่อเด็กสาวปั่นจักรยานมาถึงหน้าหอพักของเธอ หลังจากจอดจักรยานไว้ในลานจอดของหอพักเรียบร้อยแล้วเธอจึงเดินขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นของห้องของเธอ
แอ๊ดด
เธอใช้กุญแจไขลูกบิดประตูที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับผลักประตูสีขาวเข้าไปด้านใน
เด็กสาวพบว่าห้องของเธอนั้นถูกปิดไฟเอาไว้อยู่ เธอขยับมือไปสัมผัสกับสวิตซ์ที่อยู่บนผนังใกล้ๆกับประตูทางเข้า
แกรกก
แสงสว่างสีสีเหลืองปรากฏขึ้นมา ด้านหน้าของเธอเป็นเตียงนอนสองชั้นที่ไม่มีใครนอนอยู่ นั่นจึงแปลว่าเพื่อนร่วมห้องของเธออาจจะยังไม่กลับจากโรงเรียน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นแบบนั้นเพราะเธอเหลือบไปเห็นกระเป๋าหนังแบนแบบถือของนักเรียนซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นของรูมเมทของเธอ ...อย่างไรก็ตาม ห้องๆนี้มันช่างรกเสียเหลือเกิน...
เด็กสาวเดินลงไปยังห้องฟิตเนสด้านล่าง เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด เพื่อนสาวร่วมห้องของเธอกำลังวิ่งออกกำลังกายบนลู่วิ่งอยู่นั่นเอง...
"แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก !" หญิงสาวด้านหน้ามีรูปร่างดี ตัวของเธอผอมและสูงกว่าเด็กนักเรียนวัยม.ปลายทั่วๆไป เส้นผมสีดำเงางามผูกเป็นหางม้าเอาไว้ด้านหลัง บนใบหน้าและลำตัวของเธอกำลังเปียกปอนไปด้วยเหงื่อจากการออกกำลัง ผิวสีขาวอมชมพูของเธอเริ่มแดงระเรื่อออกมาเล็กน้อยเนื่องจากเลือดที่กำลังสูบฉีด
"แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก ไง 'กุ๊งกิ๊ง'กลับมาแล้วหรอ" สาวสวยในชุดฟิตเนสที่กำลังวิ่งอยู่กล่าวทักทาย'กุ๊งกิ๊ง'หรือสาวผมบลอนด์ที่เดินเข้ามาในห้องฟิตเนสได้ไม่นาน เธอมองมาที่เด็กสาวด้วยนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่ดูจิกขวางเล็กน้อยแต่ก็มีรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนและอบอุ่นดี
"อ่ากลับมาแล้วล่ะ... เสร็จจากนี้แล้วไปกินข้าวด้วยกันนะ" กุ๊งกิ๊งยิ้มรับพร้อมกับตอบกลับเพื่อนร่วมห้องของเธอไปด้วยน้ำเสียงที่สดใส
"กำลังเสร็จพอดีเลยเนี่ย" สาวผมดำเอื้อมมือไปแตะปุ่มลดความเร็วที่อยู่บนลู่วิ่ง ก่อนที่เธอจะค่อยๆเดินลงมานั่งยืดเส้นบนเบาะบริหารหน้าท้อง เธอหอบออกมาพอสมควรเนื่องจากวิ่งติดต่อกันไม่หยุดมาร่วมชั่วโมง
หญิงสาวค่อยๆนำผ้าขนหนูสีขาวมาขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาและปล่อยผมที่ผูกเป็นหางม้าเอาไว้ของเธอลงมา ผมของหญิงสาวนั้นยาวลงไปจนถึงเอวซึ่งจะเรียกว่าเป็นเส้นผมที่ยาวสลวยแบบพวกดาราเลยก็ไม่เกินจริงนัก
กุ๊งกิ๊งยื่นขวดน้ำเปล่าให้ หญิงสาวรับมันมาก่อนที่จะกระดกดื่มอย่างรวดเร็วด้วยความกระหาย
"ขอบคุณมาก"
...
ภายในร้านอาหารชั้นล่างของหอพัก
บนโต๊ะอาหารที่ทำจากไม้มีชามก๋วยเตี๋ยววางไว้อยู่สองชาม
ของสาวผมบลอนด์ด้านในเป็นบะหมี่น้ำซุปสีเหลืองใส มีหมูสับลูกชิ้นและเนื้อเปื่อยกระดูกอ่อนอยู่ด้านในทว่าไม่มีผักโรยแม้แต่นิดเดียว ในขณะที่ทางด้านของหญิงสาวผมดำเป็นเกาเหลาน้ำตกมีถั่วงอก ผัก ลูกชิ้นและเครื่องในสัตว์อยู่ด้านใน
"กินบะหมี่อีกแล้วนะ รู้มั้ยว่ามันแคลอรี่สูงมากแล้วยังชุบสารแต่งสีมาอีกด้วยน่ะ" สาวสวยผมดำพูดขึ้นมาขณะมองไปที่ชามของกุ๊งกิ๊งพร้อมกับซดน้ำสุดที่อยู่ในชามของตัวเอง
"อย่าจ้ำจี้จำไชเรื่องอาหารการกินของชั้นมากเลยน่า'จีจี้' ฉันก็ไม่ได้อ้วนซะหน่อยเผลอๆอาจจะผอมกว่าเธอซะด้วยซ้ำ" สาวผมบลอนด์ใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาพร้อมกับพูดในขณะที่กำลังโซ้ยบะหมี่อยู่เต็มปาก
"เหอะๆ เรื่องนั้นน่ะไม่จริงหรอก ยังไงชั้นก็หุ่นดีกว่าเธออยู่หลายเท่านะจะบอกให้" 'จีจี้'ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่ก็แฝงไปด้วยความมั่นใจอยู่เต็มร้อย
"แหม่... ใครจะสวยเท่าดาวระดับที่เป็นนักกีฬาสุดเพอร์เฟ็คของโรงเรียนได้ล่ะ" ในขณะที่สาวผมบลอนด์ก็ยังคงพูดไปกินไปอยู่เหมือนเดิมจนแก้มเริ่มบวมตุ่ยๆออกมาเล็กน้อย
"แต่เธอนี่ไม่รู้ทำบุญด้วยอะไรนะ เกิดมากินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนน่ะ... ชั้นนี่ต้องคุมทั้งอาหารไหนจะเรื่องตารางการออกกำลังกายอีก แต่เธอนี่วันๆไม่ทำอะไรแต่กลับเพรียวบางร่างเล็กแบบนี้ได้ ไหนจะเรื่องโดนัทที่เธอกินแทบจะทุกวันอีก" จีจี้บ่นงุ๊งงิ๊งๆออกมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเองสาวผมบลอนด์จึงแทรกขึ้นมาว่า...
"อ๋อจริงด้วย ! วันนี้มิสโดนัทลดราคาด้วยล่ะ !" เธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า
...
ภายในร้านโดนัท
สาวสวยม.ปลายวัยแรกแย้มทั้งสองกำลังนั่งหนุงหนิงกันอยู่ในร้านโดนัทซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีโทนอ่อนและโทนสว่างให้ดูสดใสเหมาะกับเป็นร้านขนมหวานสำหรับเด็กสาว
บนถาดด้านหน้าของกุ๊งกิ๊งมีทั้งโดนัทพอน เด ริง โดนัทเคลือบน้ำตาลเจาะรูตรงกลางและที่ขาดไม่ได้เลยคือโดนัทโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ในขณะที่หญิงสาวด้านหน้าหรือจีจี้มีเพียงแค่กาแฟแก้วเดียวเท่านั้น
"ป---เป็นชั้นต้องตายแน่ๆถ้ากินของทั้งหมดนั้นเข้าไปน่ะ... ฮึกก !" สาวผมดำถึงกับสะอึกออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในถาดของกุ๊งกิ๊ง
"ง่ำ ! อร่อยย ! นี่จีจี้ลองบ้างมั้ย ?" สาวผมบลอนด์ผู้สดใสกัดโดนัทที่โรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งจนผงหิมะสีขาวๆเลอะเต็มริมฝีปากของเธอ เด็กสาวหันไปหาจีจี้ที่กำลังนั่งนิ่งตัวแข็งราวกับว่าเธอเป็นโรคภูมิแพ้ขนมหวานยังไงอย่างงั้น
สาวผมบลอนด์หยิบโดนัทเคลือบน้ำตาลของเธอและค่อยๆยื่นไปให้จีจี้ที่กำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสงบเสงี่ยม สาวผมดำเมื่อเห็นดังนั้นจึงเกิดอาการสั่นคลอนออกมาราวกับว่าเธอกำลังจะถูกครอบงำโดยอำนาจมืดของอะไรบางอย่าง
"ไม่ล่ะ ! ชั้นขอบาย ! แล้วเมื่อไหร่เธอจะกินให้หมดซักทีเนี่ย ? ชั้นอยากที่จะขึ้นห้องไปดูวอลเล่ย์บอลแล้วนะ จะสองทุ่มแล้วรีบๆกินหน่อย !" จีจี้แสร้งทำเป็นดุเล็กน้อยแต่ก็ยังคงความอ่อนโยนของเธอเอาไว้อยู่ ก่อนที่เธอจะจิบกาแฟรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ซึ่งดูเหมือนว่าจะจิบอีกกี่รอบยังไงก็ไม่หมด
"รู้แล้วน่า รู้แล้วน่าาา" กุ๊งกิ๊งตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย
...
ระหว่างที่กำลังทานโดนัทไปเรื่อยๆ จีจี้จึงนึกประเด็นคุยขึ้นมาได้ว่า...
"แล้วเรื่องที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ หาเพื่อนได้บ้างหรือยัง ชมรมล่ะมีแล้วใช่มั้ย ? หืม ?" สาวผมดำรัวคำถามใส่เพื่อนสาวผมบลอนด์อย่างกะเป็นพ่อแม่ที่กำลังถามไถ่เรื่องราวภายในรั้วโรงเรียนของลูกตัวเอง
อันที่จริงแล้ว สาวผมดำก็เป็นนักเรียนใหม่ที่ย้ายมาเรียนต่อม.ปลายในรั้วรัมภานาราสมุทรนี้ด้วยเช่นกัน แต่ว่าเธอก็สอบเข้าและเรียนตามปกติมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมหรือภาคเรียนแรกของปีการศึกษา แต่สำหรับกุ๊งกิ๊งนั้นแล้วไม่ใช่
ตอนนี้เข้าสู่สัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายนแล้วซึ่งก็คือภาคเรียนที่สองนั่นเอง
กุ๊งกิ๊งนั้นเป็นเด็กที่ย้ายมาจากในตัวเมืองเนื่องจากพ่อแม่ต้องเปลี่ยนที่ทำงานกะทันหัน ทำให้เธอต้องเข้าเรียนกลางคันตอนภาคเรียนที่สองของปีการศึกษา ถึงอย่างไรก็ตามพ่อแม่ของเธอก็มักจะไม่อยู่บ้านและต้องไปทำงานต่างจังหวัดหรือบางครั้งก็ต้องไปต่างประเทศอยู่เรื่อยทำให้เธอจำเป็นต้องมาอยู่หอพักใกล้ๆโรงเรียน
โชคดีว่ารูมเมทคนก่อนของจีจี้นั้นพึ่งจะย้ายออกไปได้ไม่นานนี้เอง เธอจึงโพสท์ประกาศหาเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ลงเฟสบุ๊คส่วนตัวของเธอ ซึ่งเพราะเธอคือสาวสวยที่เป็นที่นิยมและดังพอสมควรในโรงเรียนอย่างจีจี้ โพสท์ประกาศจึงกระจายออกไปหานักเรียนคนอื่นๆได้ไม่ยากและก็เป็นกุ๊งกิ๊งที่ติดต่อเข้ามาขออยู่หอด้วยคนแรกประมาณหนึ่งเดือนก่อนเปิดภาคเรียน การพบกันของทั้งสองจึงเปรียบดั่งเรื่องราวแห่งโชคชะตา...
การที่ทั้งสองอยู่หอพักเดียวกัน ห้องเดียวกัน เจอกันทุกวันทุกคืนมาร่วมเดือนแบบนี้จึงทำให้สนิทสนมกันมากพอสมควร แต่ดูเหมือนว่ากุ๊งกิ๊งจะยังหาเพื่อนใหม่ๆและยังปรับตัวกับสภาพความเป็นอยู่ย่านชานเมืองได้ไม่คล่องเสียเท่าไหร่ ทำให้จีจี้ต้องคอยประคับประครองดูแลเพื่อนสาวคนใหม่คนนี้ของเธออยู่เรื่อยๆอีกซักระยะ
แต่ทั้งคู่ก็ดูสนิทและคุยกันถูกคอเป็นอย่างมาก
"ยังเลยอะ... ยังหาชมรมอยู่ไม่ได้เลยอะจีจี้" สาวผมบลอนด์ดูเหมือนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อยลงมา ผิดจากเมื่อครู่ที่เธอเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่กำลังร่าเริง
"อ่าวทำไมล่ะ ? อีกวันเดียวก็จะปิดรับสมัครชมรมกันแล้วนะ แล้วถ้าเธอไม่มีชมรมอยู่ก็จะเจอปัญหาในวิชากิจกรรมเสรีเอานะ ยุ่งมากๆด้วย" จีจี้พูดออกมาอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงของความเป็นหวง
"ก็ชมรมมันเต็มจนเกือบหมดแล้วนี่นาาา" กุ๊งกิ๊งคว่ำตัวลงกับโต๊ะร้านโดนัทโดยที่ถาดข้างๆของเธอว่างเปล่าหมดแล้ว
"นี่อย่านอนลงบนโต๊ะอาหารนะเดี๋ยวพอไปนอนบนเตียงก็เปื้อนมดขึ้นหมดหรอก" จีจี้ดุใส่อีก
"จีจี้ช่วยใช้เส้นสายของจีจี้ยัดชั้นเข้าชมรมวอลเล่ย์บอลได้ไหมล่าา" กุ๊งกิ๊งยังคงงอแงอยู่บนโต๊ะโดนัทไม่เลิก
"ไม่ได้หรอก ! ชั้นเป็นแค่เด็กม.4 ขืนทำอย่างงั้นได้โดนรุ่นพี่หมั่นไส้เอาแน่ ชมรมวัฒนธรรมและอนิเมะญี่ปุ่นยังขาดคนอยู่ตั้งเยอะไม่ใช่หรอ ทำไมไม่ไปสมัครล่ะ ?"
"ก็ชั้นไม่ได้ชอบพวกอนิเมะหรืออะไรที่เป็นญี่ปุ่นซะหน่อยนี่นาา แล้วพวกนั้นก็ชอบนัดกันไปกินแต่ปลาดิบไม่ก็ข้าวหน้าเทมปุระซึ่งชั้นไม่ค่อยอยากจะไปด้วยเลย"
"เรื่องมากจริงๆนะเธอเนี่ย !"
"งึมงำ งึมงำ งึมงำ"
"..."
"..."
ปิ๊ดๆ ปิ๊ดๆ เสียงของนาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอลดังขึ้น
"ไปกันได้แล้ว ! นี่สองทุ่มแล้ว ชั้นจะดูวอลเล่ย์บอล" จีจี้พูดขึ้นมาพร้อมกับยืนขึ้นและสะพายกระเป๋าผ้าของเธอไว้บนไหล่
"ฮะ ? จีจี้จะดูวอลเล่ย์บอลหรอกหรอ แต่วันนี้อาจารย์เริ่มสั่งการบ้านแล้วนะ" กุ๊งกิ๊งที่ฉุดคิดขึ้นมาได้จึงกล่าวเตือน
"อีกตั้งนานกว่าจะถึงกำหนดส่ง ช่างมันไปก่อนเถอะ" ทว่าดูเหมือนจีจี้จะไม่ค่อยสนใจเรื่องการบ้านเสียเท่าไหร่...
"...แหม่"
...
บนห้องพักของสองสาว
ทั้งจีจี้และกุ๊งกิ๊งที่ต่างอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้วกำลังนั่งๆนอนๆอยู่บนเตียงของแต่ละคนอยู่ โดยจีจี้อยู่บนเตียงชั้นล่างและกุ๊งกิ๊งอยู่บนเตียงชั้นบน
"จะว่าไปชั้นเหมือนจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับชมรมๆนึงนะ..." จีจี้อยู่ดีๆก็เอ่ยขึ้นมาระหว่างที่กำลังดูวอลเล่ย์บอลทีมชาติไทยอยู่
"...."
"นี่กุ๊งกิ๊ง... ได้ยินชั้นอยู่หรือเปล่า ?" จีจี้ถามด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น
"....งืออ อะไรหรอ ??" สาวน้อยผมบลอนด์ตอบด้วยน้ำเสียงที่งัวเงียดูเหมือนว่าเธอเริ่มที่จะง่วงนอนซะแล้ว ทั้งๆที่มันพึ่งจะสามทุ่ม
"มีเรื่องราวเกี่ยวกับชมรมๆหนึ่งด้วยล่ะ ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ภาคเรียนสมาชิกก็ไม่เคยเต็มน่ะ..." จีจี้พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง เธอลดโทนเสียงให้ดูทุ้มลึกขึ้นราวกับกำลังจะเล่าเรื่องสยองขวัญ
"ห๊ะ... จริงหรอ !" กุ๊งกิ๊งถึงกับตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่กำลังสะลึมสะลืออยู่เมื่อตะกี้นี้
"ใช่... อยากจะให้ชั้นเล่าต่อมั้ย" จีจี้ถามกลับ
"อืมๆ เล่ามาสิ..." สาวผมบลอนด์ถึงกับแหงนหัวลงมาหาจีจี้ เธอจ้องมองสาวผมดำด้วยแววตาที่จดจ่อจริงจัง
"อย่ามองมาที่ชั้นแบบนั้นจะได้มั้ย..."
"แฮะๆๆ"
...
"เรื่องราวมีอยู่ว่า... แต่ก่อนน่ะ ชมรมๆนี้จะมีสมาชิกเต็มตลอดอยู่ทุกๆปี ไม่ว่าจะปีไหนหรือเทอมไหน ก็มักจะมีคนมาสมัครสมาชิกกันจนล้นและเต็มอัตราที่จะสามารถรับไหว ทำให้ชมรมดังกล่าวต้องมีการเปิดรับสมาชิกเพิ่มอยู่ทุกๆครั้ง ในขณะที่ชมรมอื่นๆก็ถูกแย่งเด็กนักเรียนไปเยอะพอสมควร ชมรมดังกล่าว...มีชื่อว่า 'ชมรมไอด้อลโรงเรียน'"
เปรี๊ยง ! ครึ่ม ครึ่ม !
"เฮ้ยยย ! ตกใจ !" สาวน้อยผมบลอนด์ถึงกับสะดุ้งตกใจจนตกเตียงลงมา เนื่องจากเสียงฟ้าร้องช่วงพายุปลายฝนต้นหนาว
"โอ้ยเจ็บๆๆ"
"เธอนี่ซุ่มซ่ามจริงๆเลยนะ"
"แฮะ แฮะ แฮะ" สาวผมบลอนด์หัวเราะพร้อมกับยิ้มแห้งๆออกมา
...
"ชมรมที่ว่าก็คือชมรมสำหรับคนที่อยากเป็นไอด้อล อย่างที่รู้...ในปัจจุบันนี้วงของไอด้อลมีอยู่มากมายทั่วประเทศไทย และอาชีพไอด้อลก็เรียกได้ว่าเป็นอาชีพในฝันของเด็กสาวหลายๆคนที่ชื่นชอบการร้องเพลง การเต้นและอยากที่จะสร้างรอยยิ้มให้กับคนดูพร้อมกับเปล่งประกายเจิดจรัสบนเวที แต่อย่างไรก็ตาม... การแข่งขันมันก็ค่อนข้างสูง และการสร้างที่ยืนภายในชมรมไอด้อลชมรมนี้ก็เป็นอุปสรรคด่านแรกที่เด็กสาวเหล่านั้นจะต้องประสบพบเจอ..."
"เนื่องจากว่ามีคนเข้ามาสมัครกันเยอะและเกินโควต้าทุกๆปีจึงทำให้มีการจัดประกวดหรือการแข่งขันด้านการร้องเพลง การเต้นและบุคลิกรูปร่างหน้าตาของผู้สมัคร ว่าใครกันบ้างที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะมาเป็นไอด้อล หากมองโดยผิวเผินมันก็คงจะเหมือนเรื่องราวแห่งความฝันและมิตรภาพที่ดูสดใสเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นแนวไอด้อลทั่วๆไปแต่ทว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามแบบในนั้น..."
"เกิดการแข่งขันขึ้นอย่างเข้มข้นและดุเดือดภายในกลุ่มผู้สมัคร... และในที่สุด...โศกนาฏกรรมและเหตุสลดที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนก็ได้บังเกิดขึ้น...!"
สาวผมสีดำเค้นน้ำเสียงที่ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นออกมาจนกุ๊งกิ๊งถึงกับกลืนน้ำลาย "อ---อึก !"
"มีนักเรียนสาวม.ปลายผู้ที่มีแววตาแห่งความมุ่งมั่นคนหนึ่งถูกกลั่นแกล้งระหว่างที่กำลังซ้อมเต้นอยู่..."
"ฮะ--ฮึก... อย่างงี้นี่เอง ! ชั้นว่าแล้ว..."
"ใช่... เป็นอย่างที่เธอคิดนั่นแหละ ...หญิงสาวคนนั้นหวังที่จะโชว์ความสามารถด้านยิมนาสติกที่มีไอด้อลน้อยคนนักที่จะทำได้ เพื่อกะโชว์คณะกรรมการถึงความสามารถชนิดหาตัวจับยากของเธอ และในช่วงเย็นของวันหนึ่งระหว่างที่เธอกำลังฝึกซ้อมอยู่ที่โรงยิมของโรงเรียนนั้นเอง... ระหว่างที่หญิงสาวกำลังโหนบาร์และหมุนตัวโชว์ความปราดเปรียวของเธออยู่ ก็มีหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่มีจิตใจอิจฉาริษยาและความคิดแบบเด็กๆที่สุดแสนจะต่ำทรามและชั่วร้าย"
"โห่... ต้องเป็นคนที่แย่ขนาดไหนกันถึงจะทำสิ่งที่ไร้สามัญสำนึกแบบนั้นได้ !" กุ๊งกิ๊งพูดออกมาด้วยความแค้นแทนหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น
"อย่าพึ่งขัด... เมื่อนั้นเองหญิงสาวผู้มีจิตใจชั่วร้ายจึงตัดสินใจสาดผงแป้งฝุ่นใส่สาวน้อยยิมนาสติกคนนั้นจนเธอเกิดอาการตกใจและควบคุมร่างกายของตัวเองไม่อยู่ และโชคร้ายยิ่งนักที่เธอกำลังอยู่ในจังหวะที่กำลังหมุนตัวขึ้นไปด้านบนและลอยตัวอยู่เหนือบาร์พอดี !"
"ฮ---เฮืออก !"
"ร่างของหญิงสาวลอยขึ้นกลางอากาศเหนือพื้นประมาณ 3 เมตร เธอตีลังกาขึ้นไปเนื่องจากควบคุมตัวเองไม่อยู่ ก่อนที่จะพลาดท่าเอาส่วนที่เป็นคอหอยด้านหน้าร่วงลงมากระแทกกับพื้น !"
"บ้า ! บ้าน่าา ! มีเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นในโรงเรียนรัมภานาราสมุทรด้วยหรอ" กุ๊งกิ๊งถึงกับร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่คาดคิด
"ยังมีเรื่องสยองเกิดขึ้นในโรงเรียนนี้อีกเยอะเพื่อนเอ่ย... แต่เท่าที่รู้... เด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ในสภาพศพไม่สวย แขนขางอแบบผิดรูปไปที่ด้านหน้าในขณะที่ส่วนหัวไล่ลงมาจนถึงลำตัวกำลังคว่ำอยู่ในลักษณะคล้ายก้นหอย นับว่าเป็นภาพอันน่าสยดสยองที่ไม่มีใครอยากจะจำ... และทุกๆปีหลังจากวันนั้น สมาชิกชมรมไอด้อลโรงเรียนก็จะถูกลดจำนวนลงไปทีละคน... ทีละคน และเกิดข่าวน่าสลดของนักเรียนสาวที่ตายในสภาพศพที่ไม่สวยอยู่เรื่อยๆ"
"ศพที่ลำตัวโค้งงอเป็นก้นหอยแบบเดียวกับหญิงสาวผู้โดนแกล้งคนนั้น !"
เปรี๊ยงๆ โคร่มๆ !
"ฟ้าร้องอีกแล้ว ! เป็นเพราะเธอไปพูดเรื่องของผู้หญิงคนนั้นจนวิญญาณนางไม่พอใจหรือเปล่าจีจี้" สาวผมบลอนด์ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
"ชั้นไม่รู้... แต่ยังมีเสียงร่ำลือจากรุ่นพี่คนอื่นเล่ามาอีกว่า... เด็กสาวผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นจะปรากฏตัวด้วยการคลานออกมาจากความมืดด้วยท่าก้นหอยแบบเดียวกับที่ศพของเธอเป็น ว่ากันว่าวิญญาณผู้น่ากลัวและยังคงสิงสถิตไม่ไปไหนจะปรากฏตัวพร้อมกับเส้นผมสีแดงเปื้อนเลือดรอวันที่จะได้ล้างแค้นผู้ที่ทำให้เธอต้องตายอย่างเวทนาและน่าอนาถ และเมื่อใดที่นางสามารถจ้องตาเธอด้วยนัยน์ตาอันเครียดแค้นสีแดงก่ำของนาง ให้รู้ไว้เลยว่าชะตาของเธอได้ขาดลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว... นี่ล่ะเรื่องราวทั้งหมดที่ชั้นได้ยินมาก็มีเท่านี้ เธอว่ายังไงล่ะกุ๊งกิ๊ง"
"ร---เรื่องแบบนี้... แล้วนี่เธอจะให้ชั้นเข้าไปสมัครในชมรมต้องคำสาปอย่างงั้นหรือไงนังบ้า ! นี่แน่ !" เมื่อกุ๊งกิ๊งได้ฟังเรื่องราวของจีจี้เสร็จเธอก็โยนหมอนของเธออัดเข้าเต็มหน้าของเพื่อนสาว เมื่อนั้นเองจีจี้จึงเหวี่ยงหมอนข้างและตุ๊กตารูปแมวอีกตัวสวนกลับ
กลายเป็นสงครามหมอน ดูเหมือนทั้งสองสาวจะไม่สนใจดูวอลเล่ย์บอลกันซะแล้ว
...
23.30 น.
ผ่านมาจนเกือบจะถึงเที่ยงคืน หญิงสาวทั้งสองก็เริ่มรู้สึกว่าหนังตาของพวกเธอเริ่มที่จะหย่อนคล้อยลงแล้ว...
หลังจากวอลเล่ย์บอลจบ กุ๊งกิ๊งก็ขยั้นขยอให้จีจี้ทำการบ้านเพื่อที่จะได้ไม่เกิดเป็นงานค้างคา หลังจากทำไปได้ประมาณครึ่งนึงจีจี้ก็ลุกออกจากโต๊ะทำการบ้านและพุ่งเข้าหาเตียงนอนเพื่อเล่นโทรศัพท์และตอบไลน์จากคนที่ทักมา ซึ่งเมื่อเพื่อนสาวของเธอแหงนไปดูการบ้านที่จีจี้ทำก็พบว่าจริงๆแล้วทำไปได้ไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่เลยด้วยซ้ำ
"เน้จีจี้ ! ตั้งนานทำได้แค่นี้เองหรอ ทำไมเธอถึงขี้เกียจแบบนี้ ตอนออกกำลังกายเธอขยันกว่านี้ไม่ใช่หรอ ! ?" คราวนี้เป็นสาวผมบลอนด์ที่เป็นฝ่ายดุอีกฝ่ายขึ้นมาบ้าง
"ก็ชั้นเอาแรงทั้งหมดไปลงกับการฟิตเนสแล้วนี่นา ต่อจากนี้ขอหลับก่อนละกัน บาย... ครอกก !" สาวผมดำทำเป็นฟุบหลับในขณะที่กุ๊งกิ๊งก็ได้แต่ส่งเสียงงุ๊งงิ๊งๆอยู่ด้านหลัง
"เอาเถอะ... ไว้วันหลังก็ได้... ที่เธอเขียนในใบรับสมัครรูมเมทว่า'อยากได้คนที่ขยันทำการบ้านและตั้งใจเรียนมาอยู่ด้วย'ก็คงเพราะอย่างงี้เองสินะ" สาวผมบลอนด์เอ่ยปากถามออกมาก่อนที่จะเดินไปปิดไฟเพื่อเตรียมตัวเข้านอน
"ที่พูดมาก็ถูกนั่นแหละ รูมเมทคนก่อนของชั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ตั้งใจเรียนมากๆคนนึงเลยล่ะ ...พอดีชั้นเป็นคนที่ขี้เกียจเรื่องการเรียนนิดหน่อยอะนะ... ได้เธอมาคอยช่วยแบบนี้ก็ถือว่าดีมากๆเลยล่ะ ขอบคุณนะ หลับล่ะ ครอกก"
"อย่าพึ่งหลับสิมาคุยกันก่อน..." กุ๊งกิ๊งดูเหมือนจะรั้งเอาไว้เพราะอยากคุยกับเพื่อนสาวของเธอก่อนนอนตามแบบฉบับของพวกผู้หญิง
"ทีตอนดูวอลเล่ย์บอลนี่เธอจะหลับเอาให้ได้ แต่พอใกล้เที่ยงคืนกลับไม่อยากจะหลับซะอย่างงั้น..."
"ก็ชั้นไม่ใช่คนที่ชอบกีฬาเท่าไหร่หนิ แฮะ แฮะ"
"..."
"..."
ทั้งสองเงียบไปซักพักหนึ่งเนื่องจากว่าไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรกันเพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำก็คุยกันไปหลายสิบเรื่องแล้ว อย่างที่บอก เป็นคนที่คุยกันถูกคอตั้งแต่แรกพบจริงๆ
"นี่จีจี้..."
"หืม ?"
"ชั้นน่ะ...อยากเปล่งประกายให้ได้แบบเธอจัง"
"เปล่งประกาย ? พูดอะไรของเธอน่ะ ทำเป็นเหมือนพวกการ์ตูนญี่ปุ่นไปได้"
"ที่ชั้นอยากจะบอกก็คือ จีจี้น่ะเป็นดาวของโรงเรียน มีเพื่อนเยอะ มีกิจกรรมที่ต้องทำ มีจุดมุ่งหมายและรู้ตัวอยู่เสมอว่าเธอจำเป็นที่จะต้องทำอะไรและเดินต่อไปเพื่ออะไร..."
"อืม..."
"ในขณะที่ตัวฉันที่เฉยชาไปหมด... ถูกพัดให้เลื่อนหายไปหมด"
"อย่างงั้นเองหรอ..."
"ก็แค่อยากจะมีความรักและหลงใหลเป็นของตัวเองบ้างเท่านั้นเองล่ะ...” น้ำเสียงของสาวผมบลอนด์นั้นแผ่วเบา แต่ก็ยังคงแฝงไปด้วยความรู้สึกของคนที่มองไปข้างหน้าเสมอ...
“ แต่แค่ชมรมชั้นก็ยังหาไม่ได้เลยจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย จีจี้จะต้องช่วยชั้นนะ" กุ๊งกิ๊งงอแงออกมาอีกครั้งก่อนที่เธอจะห้อยหัวลงไปหาเพื่อนสาวแบบเดิม
"หิหิหิ..." สาวสวยผมดำหัวเราะออกมา เมื่อเป็นยามค่ำคืนแสงสว่างสีฟ้าครามภายในดวงตาของเธอก็ส่องสว่างเป็นประกายออกมามากขึ้นอันเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเธอ
"อย่าหัวเราะสิ !"
"ได้... นี่ยื่นมือมาที่ฉันสิกุ๊งกิ๊ง..." จีจี้ยืนมืออันเรียวบางของเธอออกไป
"หืม ? ทำไมหรอ" สาวน้อยผมบลอนด์ก็ได้แต่ยื่นมือสีซีดๆของเธอออกไปสัมผัสกับฝ่ามืออันนุ่มนวลของเพื่อนสาวของเธอ
"เชื่องจังนะเธอเนี่ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า !"
"อะไรกันล่ะเนี่ย ! ยังจะมาแกล้งกันอีก เวลาหน้าสิวหน้าขวานแบบนี้" กุ๊งกิ๊งถึงกับงอนปุดๆออกมา
"ก็ได้... เดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นจะพาเธอไปหาชมรมจะได้สมัครอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งก็แล้วกัน นี่เห็นว่าสนิทกันนะเนี่ยถึงได้ช่วยเนี่ย"
เมื่อนั้นเองกุ๊งกิ๊งจึงยิ้มแก้มปริขึ้นมาและห้อยหัวลงไปบอกว่า
"ขอบคุณมากนะ ! ดีจังเลยที่ได้มาอยู่หอเดียวกับเธอ ...ว่าแต่...'สนิท'งั้นหรอ...อย่างงั้นชั้นก็มีเพื่อนสนิทแล้วอย่างงั้นสิ"
"เธอนี่โง่จังเลยนะ" จีจี้แซวใส่
"เอ๋ ??? !!!"
...
"ก็ใช่น่ะสิ... ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วยังไงล่ะ"
"อ--อ๋อ..."
...
หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่าง พบว่าพระจันทร์วันนี้ช่างสวยเหลือเกิน ไม่มีเมฆหมอกมาคอยบดบังแถมยังเกือบเต็มดวงอีกด้วย
ทว่าในขณะที่สาวผมบลอนด์กำลังเชยชมแสงสีเหลืองนวลของจันทราอยู่นั้นเอง เพื่อนสาวของเธอก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเจ้าเล่ห์พร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่มว่า
"เรื่องชมรมสยองที่ชั้นเล่าให้เธอฟังน่ะ ไม่ใช่เรื่องจริงหรอกนะ พอดีแต่งขึ้นมาสดๆจะได้หลอกเธอนั่นแหละ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เดี๋ยวจะพาไปสมัครที่ชมรมนั้นก็แล้วกันนะ ฮะๆๆ"
"อะไรของเธอน่ะจีจี้ !!!"
...
...
...
วันต่อมา...
นักเรียนสาวทั้งสองกำลังอยู่เบื้องหน้าของประตูไม้บานหนึ่งซึ่งดูมีอายุการใช้งานมาพอสมควร
ป้ายที่แปะอยู่ด้านหน้าเขียนหมายเลขห้องเอาไว้ว่า '959' หรือก็คือห้องที่อยู่ตรงหัวมุมสุดทางเดิน ของชั้นที่ห้าอาคารเรียนที่เก้าซึ่งก็คือตึกอิฐแดงที่มีหอนาฬิกาอยู่ตรงกลางนั่นเอง นอกจากนั้นใกล้ๆกับหมายเลขห้องก็มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า 'ชมรมไอด้อลโรงเรียน'
"นี่น่ะหรอชมรมไอด้อลที่เธอพูดถึงน่ะ" กุ๊งกิ๊งหรี่ตาลงพร้อมกับอ่านป้ายเล็กๆเก่าๆที่ดูแสนจะธรรมดาไม่ได้ดูส่องประกายหรือมีสง่าราศีน่าเข้าแบบที่เธอจินตนาการไว้เมื่อคืนนี้
"อืม... ก็ประมาณนั้นแหละนะ ชั้นเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไอด้อลมากน่ะ เท่าที่ได้ยินมาจากรุ่นพี่ก็แค่ชื่อชมรมกับเลขห้องนี่แหละแล้วก็รู้มาอีกว่าชมรมนี่น่ะพักหลังๆสมาชิกชมรมเหลือน้อยมากจนแทบจะยุบชมรมกันอยู่แล้ว แต่ไอ้เรื่องสยองที่เล่ามานี่ไม่ใช่เรื่องจริงนะแค่แต่งเล่นขำๆ" จีจี้อธิบายสิ่งที่เธอรู้ทั้งหมด ซึ่งก็มีเท่านี้จริงๆ
"อืม... งึมงำๆ... นี่ถ้าเธอไม่บอกว่าเป็นแค่เรื่องเล่าชั้นคงจะเชื่อจริงๆแล้วล่ะ ดูทางเดินนี่สิ เป็นทางสามแพร่งแถมบรรยากาศหน้าห้องก็ดูหม่นหมอง แต่ก่อนเคยเป็นชมรมไอด้อลจริงๆได้ยังไงเนี่ย"
แอ๊ด..
ทว่าทันใดนั้นเอง บานประตูไม้ก็เลื่อนออกมาเอง แปลว่าไม่ได้มีคนล็อค
"เอ๋ ? ไม่มีใครล็อคห้องเอาไว้หน่อยหรอ..." สาวผมบลอนด์มองไปที่ลูกบิดประตูด้วยความสงสัย
"ชั้นว่า... เราอาจจะมาผิดห้องจริงๆก็ได้นะกุ๊งกิ๊ง... เรากลับกันเถอะ" แต่จู่ๆจีจี้ก็ดันชวนให้กลับซะอย่างนั้น
"เฮ้ ! เดี๋ยวก่อนสิ ! ถ้ากลับตอนนี้แล้วชั้นจะมีชมรมอยู่ได้ยังไงเล่า เข้าไปก่อนดีกว่า" ถึงอย่างนั้นกุ๊งกิ๊งก็ไม่สนใจเธอจิกหัวลากเพื่อนสาวของเธอเข้าห้องชมรมที่จู่ๆบานประตูก็เปิดเองออกมา
"เดี๋ยวก่อนนน---" สาวสวยผมดำโดนลากเข้าห้องไปอย่างทุลักทุเล
เมื่อเข้ามาแล้ว กุ๊งกิ๊งก็เอามือคลำหาสวิตซ์ไฟทันที เนื่องจากห้องๆนี้เป็นห้องทึบและมืด ไม่มีหน้าต่างให้แสงอาทิตย์เข้ามา
แกรก
จู่ๆแสงไฟสีขาวก็ค่อยๆสว่างขึ้นมา ไล่ไปทีละช่องๆบนเพดาน มือของกุ๊งกิ๊งอาจจะเผลอไปโดนสวิตซ์ที่อยู่ตามผนังโดยบังเอิญ
เมื่อไฟสว่างครบทุกดวงเด็กสาวทั้งสองก็พบว่าห้องๆนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน มีเพียงแต่พื้นไม้ปาร์เก้สีเหลืองออกทองๆและกระจกเงาติดผนังยาว คล้ายๆกับห้องซ้อมเต้นทั่วๆไป
"ค่อยดูเหมือนชมรมไอด้อลขึ้นมาหน่อย มีไม้ปาร์เก้ปูพื้นอย่างดีเลยด้วย ดูนี่สิจีจี้" กุ๊งกิ๊งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่กลับมาแจ่มใสดังเดิม
"แต่ชั้นว่า... บรรยากาศมันดูชวนขนหัวลุกชอบกลๆนะกุ๊งกิ๊ง... ไม่รู้สิด้วยความที่เป็นทางสามแพร่งอย่างที่เธอบอกด้วย ชั้นคงคิดมากไปเอง" ทว่าจีจี้ซึ่งกำลังยืนตัวตรงอยู่ค่อนข้างที่จะรู้สึกประหม่ากับห้องที่เธอไม่ค่อยคุ้นเคย ถึงอย่างงั้นเธอก็อดเห็นด้วยไม่ได้ว่าห้องๆนี้เป็นห้องซ้อมเต้นที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ทั้งพื้นที่ปูด้วยไม้ปาร์เก้เป็นอย่างดีทนต่อแรงขีดขวดและลดแรงเสียดทาน ผนังห้องที่หุ้มด้วยวัสดุและฝ้ากันเสียง เท่านั้นไม่พอยังมีแผงไข่จำนวนมากมาแปะเสริมอีกชั้นนึงด้วย กระจกเงาติดทั่วผนังห้องด้านหลัง ตัวห้องมีพื้นที่กว้างขวางสามารถซ้อมกันเป็นสิบๆคนได้สบาย แสงสว่างก็ทั่วถึง และที่รอบครอบที่สุดก็คือตรงบริเวณตัวห้องที่ปูเป็นพื้นปาร์เก้หรือพื้นที่ที่เอาไว้สำหรับซ้อมเต้นยังมีผนังกระจกลามิเนตและประตูเก็บเสียงแยกไว้ต่างหากอีกด้วย ในขณะที่ช่องว่างระหว่างประตูไม้ด้านหน้าห้องกับห้องซ้อมเต้นมีระบบเครื่องเสียงตั้งเอาไว้อยู่และยังมีเครื่องดนตรีกองไว้อยู่มากมาย เรียกได้ว่าองค์ประกอบค่อนข้างครบคันสำหรับไอด้อลระดับโรงเรียน
"ก็ไม่ใช่กระจอกๆนะ ห้องชมรมห้องนี้" จีจี้พูดขึ้นหลังจากมองดูไปรอบๆ
"ทำไมหรอจีจี้" กุ๊งกิ๊งที่เป็นคนไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่จึงเอ่ยปากถามจีจี้เนื่องจากสำหรับเธอมันก็แค่ห้องซ้อมเต้นธรรมดาไม่ได้มีอะไรให้น่าสะดุดตาเท่าไหร่
"ถึงอาจจะดูรกแล้วก็มีฝุ่นเขรอะจนดูเหมือนไม่ค่อยมีคนดูแลเท่าไหร่ แต่องค์ประกอบของห้องๆนี้ก็จัดว่าใช้ได้ กลุ่มคนที่เคยสร้างห้องๆนี้ขึ้นมาคงจะตั้งใจทำมันด้วยใจที่รักจริงๆนั่นแหละ" สาวผมดำอธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก
"หืมม...งั้นเองหรอ"
"เพียงแต่ว่าตอนเข้ามามันมีอะไรแปลกๆหน่อย...ก็เท่านั้นเอ-----เฮ้ ! เดี๋ยวก่อน ! เธอทำอะไรน่ะ !" จีจี้ถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นมาเมื่อพบว่าอยู่ดีๆไฟห้องก็ดับมืดลง
"ชั้นไม่ได้ปิดไฟนะ อยู่ดีๆมันก็ดับเอง" กุ๊งกิ๊งตอบกลับ
"ไฟมันคงจะตกล่ะมั้ง ชั้นว่าเรารีบๆออกจากห้องนี้แล้วไปบอกภารโรงหรือคนคุมระบบไฟกันเถอะ"
"จะไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละจนกว่าจะได้เข้าชมรม---" เมื่อสิ้นเสียงของสาวผมบลอนด์นั้นเอง
พรึ่บบ !
ไฟสีขาวสว่างขึ้น.. ทว่าคราวนี้มันสว่างแค่ภายในห้องซ้อมเต้นในขณะที่บริเวณโดยรอบยังถูกปกคลุมไปด้วยเงาสีดำ นักเรียนสาวทั้งสองยังคงอยู่ในความมืดมิด
ภายในห้องซ้อมเต้นไม่ได้ปรากฏอะไร นอกจากรองเท้าผ้าใบสีชมพูคู่หนึ่งที่วางไว้บนพื้นตรงกลางห้อง
"อะไรกันเนี่ย สัญลักษณ์ของไอด้อลหรือยังไง" กุ๊งกิ๊งพูดขึ้น
"ฉันว่าแล้วว่าที่นี่มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล" จีจี้กล่าว
แปะ...
ไฟดับลง
"อ---อ่าว"
"งานงอกล่ะสิ..."
พร่างง !
"เฮ้ยย ! อะไรเนี่ย !" สาวผมบลอนด์ร้องออกมา
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย" สาวผมดำพูดด้วยน้ำเสียงที่กลับมาประหม่าอีกครั้ง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของนักเรียนสาวทั้งสองก็คือรองเท้าผ้าใบคู่เดิม ทว่าคราวนี้มันเปื้อนไปด้วยเลือด และกลิ่นเลือดที่โชยมาก็เป็นกลิ่นเลือดของคนจริงๆ นอกจากนั้นยังมีไมโครโฟนไร้สายวางเพิ่มเข้ามาอีกตัวหนึ่ง
"ออกไปจากที่นี่กันเถอะ !" จีจี้ตะโกนออกมาเพื่อเรียกให้กุ๊งกิ๊งออกจากห้อง
"นั่นมันเลือดของใครกันน่ะ ? !"
"อย่าพึ่งมาสงสัยเลย ! รีบๆเปิดประตูซะ !"
กึก กึก กึก
"ป--ประตูเปิดไม่ได้ !"
"ว่าไงนะ !"
"ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ !"
"ส--เสียง เสียงอะไรน่ะ..."
สิ่งที่นักเรียนสาวทั้งสองคนได้ยินเป็นเสียงเดียวกันก็คือเสียงหัวเราะอันแหลมจนแสบแก้วหู ซึ่งดังออกมาจากเสียงลำโพง ราวกับว่ากำลังมีใครคนใดคนหนึ่งกำลังพูดผ่านไมค์ แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อไมโครโฟนตัวนั้นวางไว้อยู่ข้างๆรองเท้าซึ่งตรงนั้นไม่มีผู้ใดอยู่เลยซักคนเดียว
"ออกไม่ได้ ! ยังไงก็เปิดประตูไม่ได้ มันจะถูกล็อคได้ยังไงกันนะในเมื่อพวกเราอยู่ด้านในกันน่ะ !" กุ๊งกิ๊งที่กำลังยุ่งอยู่กับประตูอยู่ ทำยังไงก็เปิดประตูไม่ออกราวกับว่าพวกเธอถูกล็อคไว้อยู่ด้านใน
"เป็นอย่างที่ชั้นคิดจริงๆด้วย ห้องๆนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ตอนที่ก้าวเข้ามาแล้ว..." จีจี้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เธอกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความกลัว
"นั่นเธอหมายความว่ายังไง ! ?" กุ๊งกิ๊งต้องการคำอธิบาย
"ตอนที่พวกเราเดินเข้าห้องมา ฉันเห็นลูกบิดประตูไม้บานนั้นจู่ๆมันก็ถูกบิดด้วยตัวของมันเอง ทีแรกชั้นก็ไม่คิดอะไรแต่พอสังเกตดูดีๆก็พบว่าปุ่มล็อคประตูมันอยู่ด้านหน้าห้องซะอย่างนั้นทั้งๆที่ควรจะอยู่ด้านในห้อง..."
"แล้วที่เธอต้องการจะสื่อคืออะไร ! ?" สาวผมบลอนด์ยังคงถามต่อ
"ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ !"
"ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ !"
"ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ !"
"เย้ยย !" กุ๊งกิ๊งแทบจะทรุดตัวลงไปด้วยความหวาดกลัว ตัวเธอสั่นระรัวไม่เหลือคราบหญิงสาวผู้ร่าเริงอีกแล้ว
ในขณะที่สาวนักกีฬาอย่างจีจี้ยังคงตั้งสติและพูดต่อไป ถึงแม้ว่าจะพูดอย่างติดๆขัดๆก็ตาม
"ต--ตามโบราณเขากล่าวเอาไว้ว่า ประตูที่ล็อคจากด้านนอกเพื่อไม่ให้คน...หรือ'สิ่ง'ที่อยู่ด้านในนั้นออกมาได้ ก็คือประตูที่เอาไว้กักขังวิญญาณหรือภูตผีปีศาจนั่นเอง.."
"ฮือออ ! ไม่เอานะ !" กุ๊งกิ๊งอยากที่จะร้องไห้ออกมาเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่เพื่อนสาวของเธอเล่าให้ฟัง
"แต่อย่ากลัวไปเลย... ฉันจะปกป้องเธอเอง"
แปะ แปะ...
ไฟสีขาวดับลงไปอีกครั้ง ห้องซ้อมเต้นกลับเข้าสู่ความมืดไปชั่วขณะ
"เงียบ...อย่าพูดอะไร" จีจี้ก้มลงไปกับพื้นพร้อมกับกระซิบบอกกุ๊งกิ๊งและใช้มือของเธอปิดปากเพื่อนสาวผมบลอนด์
และทุกๆอย่างก็เงียบจริงๆ กุ๊งกิ๊งที่ได้ยินดังนั้นจึงพยายามเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ ถึงขั้นกั้นลมหายใจ
ทุกอย่างเงียบราวกับอยู่ในสุญญากาศไปร่วมๆกว่าสองนาที นักเรียนสาวทั้งสองแทบที่จะได้ยินหัวใจเต้นของตัวเอง
พรึ่บบ
ไฟสว่างขึ้นมาอีกครั้งรองเท้าผ้าใบและไมโครโฟนที่อยู่ตรงหน้าหายไป
แปะ แปะ
ไฟดับ...
...
...
...
พร่างง
ไฟสว่างทั่วห้อง แต่ทว่าคราวนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอสองคนอีกต่อไป
หญิงสาวผมสีแดงปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง เธอยืนหันหลังอยู่ สาวผมดำตะโกนออกไปอย่างใจดีสู้เสือว่า
"เธอเป็นใคร ! ?"
ทันใดนั้นเองหญิงสาวปริศนาผมสีแดงจึงค่อยๆหันหลังมาอย่างช้าๆและพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกว่า...
"วิญญาณที่อาฆาตแค้นยังไงล่ะ !"
ชวิ้ง !
มีดปลายแหลมคมกริบชักขึ้นมา หญิงสาวผมแดงผู้มีใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดวิ่งเข้ามาพร้อมกับมีดที่เตรียมจะพุ่งเข้าไปเชือดคอหอยของเหยื่อตรงหน้าอย่างเลือดเย็น
"ตายซะ ฮ่าๆๆๆๆ !"
แววตาของเธอนั้นโค้งโฉบเฉียวจนดูน่ากลัว ขอบตาที่คมลึก นัยน์ตาสีบุษราคัม เธอพุ่งเข้ามาพร้อมกับมีดและเตรียมตัวจะสังหารสาวสวยผู้ที่เข้ามาในอาณาเขตห่วงห้ามของเธอ
ปึง ปึง ปึง !
จีจี้พยายามใช้เท้าถีบลูกบิดประตูออกไป แต่ทว่าเธอทำไม่ได้ มันช้าเกินไป ในขณะที่นักเรียนสาวผมบลอนด์ได้แต่ยืนเอามือกุมหน้าอกตัวเองและสั่นแบบเจ้าเข้า เธอทำอะไรไม่ถูกนอกจากร้อง "ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย...!"
เมื่อนั้นเองเมื่อสาวผมดำนักกีฬาเห็นว่าเธอไม่สามารถพาตัวเองและเพื่อนของเธอหนีออกไปได้ทัน เธอจึงตัดสินหันหลังกลับมาและเตรียมพร้อมที่จะสู้...
แต่ทว่าทันใดนั้นเอง... สถานการณ์กลับแปลกประหลาดมากขึ้นไปอีก
หญิงสาวผมแดงผู้ซึ่งเป็นวิญญาณร้ายตัวนั้นได้เอามีดแทงเข้าไปในเสื้อของตัวเอง
เลือดสีแดงอาบท้องของเธอออกมาก่อนที่จะหยดไหลนองเต็มพื้น
จีจี้ที่เห็นเลือดสีแดงจำนวนมากขนาดนั้นจึงทนไม่ไหว เธอยอมแพ้ศิโรราบให้กับความกลัวด้วยการทรุดตัวลงไปนอนเป็นลมอย่างอ่อนปวกเปียกกับพื้น เหลือกุ๊งกิ๊งตัวคนเดียวที่ต้องรับมือกับวิญญาณร้ายตนนี้...เพียงลำพัง
หญิงสาวผมแดงชะงักลงไปชั่วขณะก่อนที่มันจะควักมีดเล่มเดิมออกมาจากท้อง เธอเดินเข้ามาหากุ๊งกิ๊งอย่างช้าๆเพื่อเตรียมปลิดชีพ
แต่...
ดูเหมือนว่าคราวนี้ สาวผมบลอนด์จะไม่ยอมกลัวตัวสั่นเป็นแค่ลูกไก่อีกต่อไปแล้ว...
'เธอทำร้ายเพื่อนของฉัน... ได้ ! ฉันจะปกป้องเพื่อนของฉันเอง !'
สาวผมบลอนด์ฮึดสู้ เธอพุ่งเข้าไปอย่างไม่กลัวคมมีด
หญิงสาวขย้ำใส่ร่างวิญญาณร้ายผมสีแดง ตัวของวิญญาณร้ายร่วงลงไป มีดเล่มนั้นหลุดออกจากมือ
กุ๊งกิ๊งใช้พลังทั้งหมดที่มีรัวฝ่ามือตบเข้าไปที่หน้าของหญิงสาวผมแดงอย่างไม่ยั้ง เนื่องจากว่าเพื่อนคนเดียวตอนนี้ของเธอถูกทำร้าย เธอจะยอมไม่ได้
เปี๊ยะ เปี๊ยะ เปี๊ยะ
"ตายซะ ! ยัยผีบ้า ! ตาย ตาย ตาย ตาย ! เดี๋ยวก่อนนะ เธอเคยตายไปแล้วนี่นา ! งั้นก็ไปลงนรกซะ ! ไปลงนรก ไปลงนรก ไปลงนรก ไปลงนรก ! นี่ชั้นทำบ้าอะไรของชั้นกันอยู่เนี่ย ตบกับผีเนี่ยนะ ! ?" กุ๊งกิ๊งกู่ร้องออกมาเพื่อข่มขวัญ ผีสาว(?)ที่อยู่ตรงหน้า โดยที่เธอกำลังพูดอะไรออกไปก็ไม่รู้
"ด---เดี๋ยว ! โอ้ยย เจ็บ !"
"อะไรนะ ! ? เธอขอความเมตตาอย่างงั้นหรอ ! ไม่ให้ ! นี่แน่ ไปลงนรกซะยัยผีบ้า !" สาวผมบลอนด์ยังคงรัวฝ่ามือใส่อีกฝ่ายไม่ยั้ง ทว่าเมื่อนั้นเอง...
"เดี๋ยวๆๆ ! ชั้นเป็นคน ! ชั้นเป็นคน ! ชั้นเป็นคน !"
เมื่อสาวผมบลอนด์ได้ยินดังนั้นจึงพูดออกมาอีกว่า
"อ่าวเป็นคนงั้นหรอ ! ? แปลว่าตายได้ ! งั้นไปตายซะ ยัยผีบ้า ! ตาย ตาย ตาย ตาย !"
"ก็บอกว่าเป็นคนไงไม่ใช่ผี ! ออกมาไปจากตัวชั้นได้แล้วนังสมองน้อยปัญญานิ่มเอ้ย !"
"เอ๊ะ...!"
...
เมื่อสาวผมบลอนด์ตั้งสติได้... เธอจึงพบว่าผู้หญิงผมแดงที่เธอกำลังขึ้นคร่อมและรัวฝ่ามือใส่ไม่ยั้งจนหน้าเต็มไปด้วยรอยฝ่าสีแดงลูกตำลึงอยู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นนักเรียนสาวม.ปลายอีกคน ซึ่งอันที่จริงแล้วเธอพึ่งจะเห็นเมื่อวานนี้นี่เอง
"นี่เธอคือผู้หญิงที่วิ่งเข้าไปก่อกวนชมรมฟุตซอลหญิงเมื่อวานนี่นา !" กุ๊งกิ๊งถึงบางอ้อทันทีพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เด็กสาวคนนั้น
"ก็เออน่ะสิ ยัยปัญญาอ่อน ! โถ่เอ้ย...กะจะแกล้งเล่นขำๆซักหน่อย แต่ยัยคนนั้นดันบอบบางแล้วก็สลบเป็นลมไปก่อนซะได้ แบบนี้ก็ต้องรีบพาไปเข้าห้องพยาบาลแล้วสิเนี่ย" นักเรียนสาวผมแดงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพูขึ้นมาก่อนที่จะใช้มันเช็ดเลือดปลอมที่อยู่บนหน้าและบนท้องของเธอ
"นี่ลงทุนถึงขนาดนี้... ไม่ใช่แกล้งกันเล่นๆแล้วมั้งเนี่ย..." สาวผมบลอนด์มองไปยังพร็อบต่างๆที่สาวผมแดงเตรียมเอาไว้ นี่ยังไม่พูดถึงทักษะการเปิดปิดระบบไฟ ทักษะการล็อคประตู และการหายตัวขั้นเทพที่ทำเอาซะพวกเธอขนหัวลุกและไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว
"จะลงทุนทำอะไรซักอย่างก็ต้องทำให้เต็มที่สิยะ... เอ้านี่ ! เอาไปเช็ดหน้าซะ บ่อน้ำตาแตกหมดแล้ว.. แล้วก็ห้ามฉี่ราดเด็ดขาดนะ ไม่งั้นเธอจะต้องเป็นคนเช็ดเองด้วย จะบอกให้" นักเรียนสาวผมแดงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดให้ ซึ่งของอย่างงี้ใครเค้าจะเอาไปใช้ต่อกัน
"ได้ข่าวว่าเธอกำลังหาชมรมอยู่สินะ... เอาล่ะ ไม่ต้องเป็นพิธีรีตองอะไรมาก ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวและเป็นประธานชมรมแต่เพียงผู้เดียว... แต่ก็อยากได้สมาชิกใหม่เหมือนกัน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ชมรมโรงเรียนไอด้อลก็แล้วกัน 'โรงเรียนไอด้อล' ไม่ใช่ 'ไอด้อลโรงเรียน' เรียงใหม่ให้ถูกด้วย"
เมื่อสาวผมบลอนด์ได้ยินเสียงที่พูดออกมาจากปากของนักเรียนสาวผมแดงทึบประกายม่วงที่อยู่ตรงหน้านั้น เธอจึงเกิดคำถามมากมายและเกิดความสับสนขึ้นภายในจิตใจ สิ่งที่หญิงสาวสามารถส่งเสียงออกมาจากปากในตอนนี้ได้มีเพียงแค่...
"เอ๊ะ ?"
|
|
|
Post by GreyTear on Jun 27, 2018 9:55:14 GMT
ตอนที่ 2 : สายฝนแห่งความรู้สึก
สัปดาห์ต่อมา...
ณ ศูนย์อาหารของโรงเรียนรัมภานาราสมุทร
ที่โต๊ะอะลูมิเนียมตัวยาวสีเงินเงาวับ สาวผมบลอนด์หน้าตาคล้ายลูกครึ่งกำลังนั่งทานอาหารกลางวันกับสาวสวยหน้าคมผมดำอยู่ โดยบรรยากาศรอบๆตัวนั้นค่อนข้างพลุกพล่านเพราะว่าเป็นช่วงเที่ยงตรงพอดีซึ่งเวลานี้เป็นช่วงพักครึ่งตอนกลางวันที่ทั้งนักเรียนและคุณครูต่างพากันมารับประทานอาหาร ณ โรงอาหารแห่งนี้ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆของประเทศโดยมีเนื้อที่มากกว่าคอร์ดเทนนิสสี่คอร์ดรวมกันเสียอีก
"อ่าว สรุปแล้วเธอก็ไม่เข้าชมรมไอด้อลโรงเรียนอย่างงั้นหรอ ?" จีจี้เอ่ยปากถามกุ๊งกิ๊งด้วยสีหน้าที่กำลังสงสัยก่อนจะใช้ไม้เล็กๆจิ้มสับปะรดหั่นสามเหลี่ยมพร้อมกับค่อยๆนำใส่เข้าปาก ข้างๆถุงสับปะรดมีสลัดทูน่าและน้ำเปล่าหนึ่งขวด
"จริงๆมันชื่อว่าชมรม’โรงเรียนไอด้อล แต่ถึงยังไงก็ขอผ่านล่ะนะ ก็ชมรมนั้นไม่มีสมาชิกคนอื่นอยู่เลยซักคน แถมประธานชมรมก็ดูเป็นคนเพี้ยนๆอีกด้วย... เหมือนชมรมเถื่อนยังไงก็ไม่รู้ ไม่แปลกใจเลยที่มีข่าวว่าจะโดนปิดน่ะ" กุ๊งกิ๊งตอบไปตามตรงก่อนที่จะใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่สีเหลืองอร่ามในชามก๋วยเตี๋ยวของเธอ
"ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเธอยังไม่มีชมรมอยู่น่ะสิ แบบนี้น่ะมีปัญหาแน่ๆเลยนะ" จีจี้เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มหนักขึ้น แววตาของเธอดูไม่สบายใจเล็กน้อยกับปัญหาของเพื่อนสนิทของเธอ
"ก็ชั้นไม่อยากไปอยู่ในชมรมอะไรก็ไม่รู้แบบนั้นน่ะสิ๊" กุ๊งกิ๊งพยายามอธิบายเหตุผลของเธอออกมา
"เธอนี่เอาแต่ใจจริงๆนะ แค่วิชาชมรมไม่ต้องไปจริงจังมากก็ได้ ไม่แน่นะ ถ้าเธอยอมไปอยู่ชมรมนั้นเธออาจจะได้คาบว่างมาฟรีๆหนึ่งคาบเลยก็ได้น่ะ เพราะชมรมที่ไม่มีคนอยู่แบบนั้นจะจัดกิจกรรมอะไรกันก็ลำบาก ครั้นจะสั่งงานหรือการบ้านให้ไปทำก็ไม่ใช่เรื่อง---" จีจี้กำลังจะพูดต่อแต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยสาวผมบลอนด์
"แต่จีจี้นี่จริงจังแล้วก็ตั้งใจทำงานของชมรมวอลเล่ย์บอลมากเลยนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคำพูดขี้เกียจๆแบบนี้จะออกมาจากปากของจีจี้ะน่ะ" กุ๊งกิ๊งพูดแบบแอบผิดหวังเล็กน้อย
"ท---ที่ชั้นทำแบบนั้นก็เพราะว่าทุกๆคนในชมรมร่วมแรงร่วมใจ--ต--ตั้งใจกันทำงานยังไงล่ะ ในเมื่อทุกคนพยายามกันขนาดนั้นชั้นจะทำแบบขอไปทีได้ยังไงกันเล่า" สาวสวยผมดำพูดติดๆขัดๆเล็กน้อย แต่ก็พอแก้ตัวไปได้
"..." สาวผมบลอนด์ยังคงนั่งทานอาหารกลางวันของตัวเองต่อ ก่อนที่เธอจะเกริ่นๆออกมาว่า
"ถ้าเป็นไปได้ชั้นขอไปอยู่ชมรมวัฒนธรรมและอนิเมะญี่ปุ่นแทนก็แล้วกันหรือไม่ก็ชมรมทำอาหารก็ได้"
"สุดท้ายก็ต้องยอมไปอยู่ชมรมที่ตัวเองไม่ได้ชอบแบบขอไปทีสินะ...เธอน่ะ ไม่มีอะไรที่สนใจเป็นพิเศษบ้างเลยหรอ..." จีจี้ถามด้วยน้ำเสียงที่แลดูจริงจัง เธอวางขวดน้ำที่พึ่งยกดื่มลงพร้อมกับจิกตามองไปที่เพื่อนสาวของเธอ
สาวผมบลอนด์นิ่งไปซักพัก เธอกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามของจีจี้ก่อนที่จะบอกกลับไปว่า
"นั่นน่ะสินะ..."
"..." ทั้งสองเงียบไปซักพักเนื่องจากไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกันต่อ
ก่อนที่สาวผมดำจะพูดขึ้นมาอีกว่า
"เฮ้อ... ยังไงก็ต้องช่วยเธอจัดการเรื่องชมรมซะก่อนไม่งั้นถ้าปล่อยไว้เรื่อยๆจะโดนพวกสภานักเรียนตรวจสอบเอาได้ นักเรียนที่ไม่มีชมรมอยู่จะถือว่าเป็นนักเรียนที่ไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งสภานักเรียนรุ่นนี้มีนโยบายที่มุ่งเน้นเรื่องการทำกิจกรรมมากๆ คนที่ไม่เข้าร่วมกิจกรรมจะถือว่ามีความผิดนะ"
"เอ๋ ? ! ทำไมโรงเรียนนี้ถึงโหดเรื่องการทำกิจกรรมจังล่ะเนี่ย" สาวผมบลอนด์ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ...
"รีบๆกินซะ เดี๋ยวชั้นจะพาไปห้องสภานักเรียนจะได้ติดต่อเรื่องชมรม"
"ง่ำๆๆๆๆ" เมื่อโดนสาวผมดำเร่ง กุ๊งกิ๊งจึงรีบโซ้ยบะหมี่ของเธอด้วยความรวดเร็ว...
...
ณ ห้องสภานักเรียน...
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ สองสาวก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องๆหนึ่งซึ่งมีกระจกสีดำทึบ หน้าตาดูคล้ายๆกับห้องพักครูแต่มีป้ายติดเอาไว้ว่า 'ห้องประชาสัมพันธ์ / ห้องพักสภานักเรียน'
จีจี้เคาะกระจกห้องก่อนที่จะค่อยๆเปิดประตูบานเลื่อนอย่างช้าๆ เมื่อเข้าไปก็พบว่าขนาดห้องนั้นไม่กว้างมากนัก ภายในห้องมีโต๊ะทำงานขนาดเล็กตั้งเรียงรายขนานกันโดยมีทางเดินแคบๆอยู่ตรงกลางห้อง ตรงสุดทางเดินหรือเบื้องหน้าของสองสาวมีโต๊ะทำงานที่มีแจกันดอกไม้ซึ่งภายในนั้นมีดอกทานตะวันสีเหลืองสดตั้งเอาไว้อยู่อย่างโดดเด่น แน่นอนว่าโต๊ะที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งหัวมุมแบบนี้จะต้องเป็นโต๊ะของ'ประธานนักเรียน'
ด้านหน้าโต๊ะมีป้ายชื่อเขียนเอาไว้ว่า 'ประธานนักเรียน : นายตะวัน คีรีปารีชาติ'
บรรยากาศภายในห้องดูไม่อึมครึมอย่างที่คิดถ้าหากพิจารณาจากกระจกทึบแสงด้านหน้าห้อง ด้านหลังโต๊ะประธานนักเรียนมีกระจกใสรูปวงกลมเป็นช่องให้แสงแดดส่องเข้ามาได้ บริเวณผนังห้องที่เป็นลายไม้นอกจากชั้นวางของหรือชั้นวางเอกสารแล้วก็ยังมีแจกันดอกไม้ประดับตกแต่งพอสวยงาม มีโคมไฟเล็กๆติดอยู่บนเพดาน เรียกได้ว่าเป็นห้องที่บรรยากาศดีและเหมาะแก่การทำงานใช้ได้
"ขอโทษนะคะ... พอดีเพื่อนของหนูยังไม่มีชมรมอยู่น่ะค่ะ จะขอรบกวนสภานักเรียนให้ช่วยเดินเรื่องให้หน่อย...ได้ไหมคะ"
จีจี้ค่อยๆเดินเข้าห้องมาด้วยกริยานอบน้อมพร้อมกับจูงมือกุ๊งกิ๊งที่ยังไม่เคยเข้าห้องสภานักเรียนของโรงเรียนนี้มาก่อน
...เพราะว่าพวกสภานักเรียนเป็นรุ่นพี่ม.5 ตามธรรมเนียมรุ่นน้องม.4 จึงควรให้ความเคารพกันบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นพิธี
ทว่าในตอนนี้โต๊ะประจำตำแหน่งประธานนักเรียนนั้นไม่มีคนอยู่ แต่ที่โต๊ะตัวข้างๆซึ่งอยู่ด้านขวามีสมาชิกสภานักเรียนอีกคนหนึ่งกำลังนั่งจิบถ้วยกาแฟอยู่
เธอเป็นนักเรียนสาวผิวเนียนสีหิมะ ผมสีขาวแกมม่วงยาวไปจนถึงกลางหลัง ดวงตากลมโตนัยน์ตาเป็นสีขมิ้นอ่อน ใบหน้าของเธอกลมมนดูน่ารักยิ่งกว่านั้นยังมีรูปร่างตัวเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมราวกับเป็นตุ๊กตานางฟ้าไม่มีผิด นอกจากนั้นเครื่องแบบนักเรียนของเธอยังแลดูสะอาดสะอ้านราวกับเป็นพวกลูกคุณหนูยังไงยังงั้น
เมื่อหญิงสาวร่างเล็กได้ยินคำขอของจีจี้จึงเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรว่า
"ไม่มีชมรมอยู่งั้นหรอ อืม...นั่งรอก่อนสิ"
เมื่อได้ยินดังนั้น สองสาวจึงค่อยๆนั่งลงตรงเบาะนั่งด้านหน้า ระหว่างรอสภานักเรียนคนนั้นค้นเอกสารในลิ้นชักอยู่นั้นเอง กุ๊งกิ๊งก็แอบกระซิบกับจีจี้ว่า
"โห้ สภานักเรียนคนนี้น่ารักสุดๆไปเลยอะ"
เมื่อจีจี้ได้ยินดังนั้นจึงกระซิบกลับไปว่า "นี่น่ะคือพี่'มิว'อยู่ม.5 ห้อง 3 ดูเป็นคนเงียบๆซื่อๆใสๆ แต่ก็เป็นรุ่นพี่ที่ให้คำแนะนำได้ดีทีเดียวเลยล่ะ เพื่อนคนอื่นเค้าว่ามาอย่างงี้อะนะ"
"เป็นรุ่นพี่งั้นหรอ นี่ถ้าไม่บอกนึกว่าเป็นรุ่นเดียวกันซะอีก เพราะตัวเล็กเหมือนเด็กม.3 เลย แฮะๆๆ" สาวผมบลอนด์แอบแซวมิวหรือหญิงสาวคนนั้นอยู่ห่างๆ
"อย่าเผลอไปล้อพี่เค้าอย่างงั้นล่ะ แต่ก็อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ เป็นผู้หญิงไซส์มินิมากๆหึๆๆ แต่ก็ดูเป็นลูกคุณหนูพอตัวเลยล่ะ"
ระหว่างที่สองสาวกำลังกระซิบนินทาเกี่ยวกับมิวพร้อมกับหัวเราะคิกๆอยู่นั้นเอง สาวผมขาวก็พูดขึ้นมาว่า
"ตอนนี้ชมรมที่ว่างอยู่มีแค่ชมรมเดียวนั่นก็คือชมรม'โรงเรียนไอด้อล'น่ะนะ ไม่รู้ว่าเธอสนใจหรือเปล่าแต่ตอนนี้มันก็มีแค่ชมรมเดียวที่เข้าได้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะส่งชื่อไปให้ประธานชมรมรับรองก็แล้วกัน"
"เอ๊ะ ? ! เดี๋ยวก่อนนะ ชมรมวัฒนธรรมและอนิเมะญี่ปุ่นกับชมรมทำอาหารเต็มแล้วอย่างงั้นหรอคะ ? !" เมื่อสาวผมบลอนด์ได้ยินดังนั้นจึงเกิดอาการหน้าตื่นพร้อมกับรีบถามสภานักเรียนกลับไปทันที
"ชมรมที่มีคอนเซปเกี่ยวกับอะไรๆที่เป็นญี่ปุ่นน่ะมีอยู่เยอะแล้วอะนะ ทางฝ่ายกิจกรรมเลยจำเป็นต้องจำกัดจำนวนชมรมแนวๆนี้เพื่อจะได้ไม่ซ้ำกันเกินไป ชมรมๆนั้นน่ะมีสมาชิกน้อยเกินเพราะอย่างงั้นถึงถูกตัดออกและไม่อนุมัติให้ตั้งชมรม ส่วนชมรมทำอาหารน่ะสมาชิกเต็มแล้ว" มิวอธิบาย
"อ--อ่าว ! แต่ชมรมโรงเรียนไอด้อลน่ะมีสมาชิกแค่คนเดียวเองนะคะ"
"เอ๊ะ..."
"ถ้าชมรมญี่ปุ่นไม่ได้รับการอนุมัติเพราะสมาชิกน้อยเกินไป แล้วทำไมชมรมที่มีสมาชิกเพียงแค่คนเดียวถึงตั้งเป็นชมรมได้กันล่ะคะ" กุ๊งกิ๊งยิงคำถามออกไป สีหน้าและน้ำเสียงของเธอดูตื่นตระหนกจนเกินเหตุเพราะว่าเธอไม่อยากไปอยู่ชมรมโรงเรียนไอด้อลจริงๆ
"นี่เธอไม่อยากอยู่ชมรมนั้นขนาดนี้เลยหรอกุ๊งกิ๊ง" จีจี้กระซิบถามจากด้านหลัง
เมื่อสภานักเรียนสาวได้ยินดังนั้น เธอจึงนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่จะหลับตาและถอนหายใจ...พร้อมกับหันหลังไม่สบตาสาวผมบลอนด์แล้วค่อยๆพูดออกมาว่า
"พอดีชมรมที่มีคอนเซปเกี่ยวกับไอด้อลของโรงเรียนนี้ มีแค่ชมรมเดียวเท่านั้นเองน่ะ แล้วฉันเห็นว่ามันก็น่าสนใจดี ก็เลยไม่อยากยุบ...แต่อยากที่จะเก็บเอาไว้ก็แค่นั้น... แล้วอันที่จริงชมรมนี้ไม่ได้มีสมาชิกแค่คนเดียวนะ เมื่อเทอมที่แล้วน่ะมีนักเรียนหญิงอีกคนเข้ามาสมัครด้วย ถ้าเธอเข้าไปอยู่ด้วยก็จะเท่ากับว่ามีสมาชิกครบสามคน ได้เป็นผู้ก่อตั้งชมรมไอด้อลและสร้างเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของตนเองขึ้นมา เหมือนในอนิเมะเลยนะ..."
สภานักเรียนสาวกำลังพูดโน้มน้าวรุ่นน้องคนนี้อยู่ แต่ดูเหมือนสิ่งที่เธอพูดออกมา กุ๊งกิ๊งจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว
"ค---เค้าพูดอะไรของเค้าน่ะ" สาวผมบลอนด์กระซิบกับเพื่อนสาว
"ช---ชั้นก็ไม่รู้ พอดีไม่ได้ติดตามอะไรพวกนั้น" จีจี้กระซิบกลับ
บรรยากาศภายในห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบไปร่วมนาที ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายอาจจะสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่นัก ...ทันใดนั้นเองสาวผมขาวก็พูดขึ้นมาอีกว่า...
"เอาเป็นว่า... ฉันช่วยเธอได้เพียงเท่านี้ล่ะนะ ก็ไม่ยอมรีบไปหาชมรมอยู่เองนี่นาก็ต้องเจอปัญหาแบบนี้นี่แหละ นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเรียนภาคบ่ายแล้ว ขอตัวก่อนนะ"
"เอ๋ ? ! ตัดบทแบบนี้เลย ? !" กุ๊งกิ๊งร้องออกมา
แกรก
สภานักเรียนสาวเลื่อนประตูออกพร้อมกับเดินออกจากห้องไป เมื่อเหลือเพียงแค่สองสาวรุ่นน้องภายในห้อง จีจี้จึงได้โอกาสดุเพื่อนสาวของเธอขึ้นมาว่า
"ก่อนหน้านี้ชั้นก็เตือนเธอแล้ว... เห็นมั้ยล่ะ พึ่งเข้าเรียนได้แค่สองสัปดาห์ก็เจอปัญหาที่จะต้องติดตัวไปตลอดทั้งเทอมแล้ว ...ได้อยู่ชมรมที่ตัวเองไม่อยากจะเข้า"
"ฮือๆ ชั้นรู้สึกไม่ถูกชะตากับนังผมแดงคนนั้นเลย" กุ๊งกิ๊งได้แต่ร้องโอดโอยออกมา
"ชมรมนั้นมีอะไรให้ทำก็พยายามทำๆส่งๆไปเถอะน่ะ วิชาชมรมมีเกรดแค่ผ่านกับไม่ผ่านไม่ต้องทุ่มเททำเต็มที่อะไรอยู่แล้ว..." สาวผมดำพยายามแนะนำด้วยวิธีในแบบของเธอ
"พูดจาขี้เกียจๆอีกแล้วนะ อย่าทำให้ชั้นเสื่อมศรัทธาในตัวเธอสิจีจี้"
"โอ้ยย เธอจะมาศรัทธาอะไรกับคนอย่างชั้นกันนะ"
แกรก...
เมื่อพูดคุยกันไปได้ซักพักทั้งสองก็เดินออกจากห้องสภานักเรียนมาเพื่อไปเข้าเรียนภาคบ่ายต่อ แต่ทว่าทันทีที่สาวผมบลอนด์ก้าวเท้าออกมาจากห้องนั้นเอง...
เธอก็สัมผัสกับอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วทั้งร่าง
"อร้าาย !"
ทั้งเส้นผม ชุดนักเรียนและกระโปรงของหญิงสาวต่างเปียกโชกไปด้วยน้ำใสๆ จู่ๆเธอก็ถูกสาดน้ำเย็นจัดเข้าใส่แบบชนิดที่ไม่ได้ทันตั้งตัว
"นั่น !" เมื่อนั้นเองจีจี้จึงชี้ไปที่กำแพงซึ่งอยู่ติดกับประตูห้องสภานักเรียน
ปรากฏว่ามีสาวผมแดงคนหนึ่งกำลังยืนถือถังน้ำขนาดใหญ่พร้อมกับหัวเราะคิกๆด้วยความสะใจอยู่ นัยน์ตาสีบุษราคัม แววตาดูแอบร้าย เธอคือคนเดียวกับที่ดักแกล้งกุ๊งกิ๊งและจีจี้ในห้องชมรมโรงเรียนไอด้อลวันนั้น
"ธ---ธ---ธ" สาวผมบลอนด์ถึงกับปากสั่นพร้อมกับพูดออกมาไม่เป็นภาษาเนื่องจากโดนน้ำเย็นมากๆสาดเข้าจนเปียกไปทั้งตัว
เธอมองไปที่สาวผมแดงด้วยแววตาที่ไม่พอใจอย่างมาก
"แแแบร่ !! ไปล่ะ... วิชาหายตัว ! ‘VANISHED !’" เมื่อนั้นเอง สาวจอมแก่นจึงไม่รอช้า เธอแลบลิ้นล้อเลียนใส่ทางด้านของกุ๊งกิ๊งก่อนที่จะปาระเบิดแป้งที่อยู่ในมือลงพื้น
ฝุ่นแป้งฟุ้งกระจายออกมาเลอะเต็มบริเวณหน้าห้องสภานักเรียนและเปื้อนชุดนักเรียนของกุ๊งกิ๊งและจีจี้ไปเต็มๆ
"หน็อยแน่ ! จะมากไปแล้วนะ !" สาวผมบลอนด์ถึงกับตะคอกออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อฝุ่นจางก็พบว่าสาวผมแดงทึบคนนั้นได้โหนเชือกที่ผูกไว้กับระเบียงและหนีลงจากตึกไปแล้ว
"นี่ลงทุนปีนตึกขึ้นมาเพื่อแกล้งเธอเลยหรือเนี่ย... จะทุ่มเกินไปแล้ว แค่กๆ" จีจี้พูดออกมาพรางปัดแป้งฝุ่นที่เปื้อนเต็มบนใบหน้า เธอไอออกมาเล็กน้อยเนื่องจากฝุ่นเข้าคอ
"แค่กๆ แค่กๆ หน็อยยย มันจะมากเกินไปแล้ว แล้วนี่ถ้าชั้นไปอยู่ชมรมด้วยจะไม่โดนแกล้งแบบนี้ไปตลอดทั้งเทอมหรือยังไงเนี่ย แค่กๆ" กุ๊งกิ๊งที่ตอนนี้หน้าขาวโพลนเพราะเลอะไปด้วยแป้งก็ไอออกมาไม่น้อยเช่นกัน
"โอ้ย ! แค่กๆๆๆ ชั้นแพ้ฝุ่น" อาการไอของสาวผมบลอนด์ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เล่นๆ
"ไปห้องพยาบาลดีมั้ย" จีจี้อาสาพาเพื่อนสาวไปดูอาการที่ห้องพยาบาล
"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนดีกว่า" กุ๊งกิ๊งตอบ
...
ตอนเย็นหลังเลิกเรียน
เพราะตอนเที่ยงกุ๊งกิ๊งเสียเวลาไปกับการเปลี่ยนชุดนักเรียนทำให้ไปเข้าเรียนภาคบ่ายสาย แล้วเผอิญคาบที่กุ๊งกิ๊งต้องเรียนหลังช่วงพักเที่ยงเป็นวิชาประวัติศาสตร์ซึ่งอาจารย์ประจำวิชานี้ค่อนข้างที่จะเคร่งเรื่องเวลามาก ทำให้หลังเลิกเรียนกุ๊งกิ๊งต้องไปพบอาจารย์คนนั้นส่วนจีจี้ที่อยู่คนละห้องโชคดีที่คาบบ่ายเป็นคาบของอาจารย์ใจดี สาวผมดำจึงล่วงหน้ากลับหอไปก่อน ในขณะที่ทางด้านของกุ๊งกิ๊งกว่าอาจารย์จะอบรมเสร็จก็ปาเข้าไปห้าโมงกว่าๆแล้ว
"ฉันได้ข่าวมาว่าเธอเป็นเด็กนักเรียนที่พึ่งย้ายมาใหม่แล้วเข้าเรียนตอนกลางปีซะด้วย เธออาจจะไม่ได้ผ่านการอบรมเรื่องกฎระเบียบของโรงเรียนมาแบบนักเรียนคนอื่นๆสินะ งั้นก็ขอให้รู้ไว้ละกัน ว่าที่นี่เรื่องเวลาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ โรงเรียนของเราเด็กนักเรียนไม่ได้เยอะแบบในเมือง เพราะฉะนั้นเราจึงอยู่กันแบบใกล้ชิด ที่นี่เราจะไม่ปล่อยปละละเลยและอะลุ่มอล่วยแบบโรงเรียนในเมืองหรอกเข้าใจไหม?"
อาจารย์วัยสูงอายุสวมแว่นกลมเลนกระจกกล่าวกับนักเรียนสาวผมบลอนด์ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวจริงจัง
"เข้าใจค่ะอาจารย์ คราวหลังหนูจะไม่เข้าเรียนสายอีกแล้ว" กุ๊งกิ๊งได้แต่ทนฟังคำพูดน่าเบื่อนี้ไปก่อนที่จะตอบกลับแบบลากเสียง
"ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปได้"
...
ที่สวนสาธารณะ
สถานที่ที่หญิงสาวต้องเดินผ่านเป็นประจำอยู่ทุกวัน ณ ตอนนี้บนท้องฟ้าเหนือทุ่งหญ้าที่เธอยืนอยู่ คุณพระอาทิตย์ไม่ได้อยู่ยิ้มรอเธอเหมือนวันก่อนๆเนื่องจากเขาพึ่งจะลับขอบฟ้าไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ว่ากันว่าพักหลังๆตั้งแต่ขึ้นค.ศ 2022 เป็นต้นมา ประเทศไทยก็เริ่มมืดเร็วขึ้นและยิ่งเมื่อเป็นฤดูหนาวช่วงเดือนพฤศจิกา เรียกได้ว่าท้องฟ้ายาม 5 โมงก็แทบจะไม่มีแสงอาทิตย์อัสดังหลงเหลืออยู่แล้ว
เสาโคมไฟที่ตั้งอยู่บริเวณทางเดินและทางปั่นจักรยานภายในสวนสาธารณะค่อยๆสว่างขึ้นพร้อมๆกัน แสงสีส้มอ่อนๆมีแมงหวี่แมงวันเข้ามาบินรายล้อม
นักเรียนสาวเดินเข็นจักรยายลายสีชมพูตัดขาวมาจากโรงเรียนเหมือนทุกวัน ถึงจะเป็นย่านชานเมืองแต่ถนนหนทางหรือสวนสาธารณะก็ไม่ได้เปลี่ยวแบบในชนบท มีแสงไฟส่องสว่างตลอดทางเดิน นอกจากนั้นชาวบ้านแถวๆนี้ก็ค่อนข้างไว้ใจได้เนื่องจากอยู่กันแบบเพื่อนบ้านหรือแบบพี่ๆน้องๆเรียกได้ว่าหายห่วงได้เรื่องโจรหรือพวกวิ่งราว อีกทั้งจริงๆแล้วช่วงห้าโมงเย็นก็ยังมีคนออกกำลังกาย วิ่งจ๊อกกิ้ง เต้นแอโรบิคหรือไม่ก็นั่งกินลมชมวิวอยู่พอประมาณ
'เสียเวลาจริงๆเลย ต้องมานั่งฟังยายแก่บ่นอะไรไม่รู้อยู่ร่วมชั่วโมง จีจี้ก็ไม่ยอมรอกันเลย งอนแล่ว' สาวน้อยผมบลอนด์คิดในใจ
ทว่าระหว่างที่เธอกำลังนึกคนเดียวอยู่ในใจนั้นเอง เสียงเปียโนอันไพเราะซึ่งลอยละล่องมาตามสายลมที่กำลังโบกสะบัดให้กลีบดอกไม้ปลิวไสวผ่านเข้ามาที่ใบหน้าของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง... สาวน้อยอาจจะไม่ได้ทันสังเกต แต่ที่ที่เธอกำลังยืนอยู่นั้นคือจุดเดียวกันกับที่เธอได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะนี้เมื่อหลายวันก่อน นักเรียนสาวอาจจะลืมไปแต่ด้วยจังหวะและท่วงทำนอง กลิ่นอายที่ไม่สามารถสัมผัสได้ซึ่งล่องลอยมาพร้อมกับเสียงดนตรี... ท่วงทำนองและความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดและร้อยเรียงออกมาดังเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง... มันจึงทำให้นักเรียนสาวจดจำและนึกถึงท่วงทำนองที่เธอเคยได้ยินเมื่อหลายวันที่แล้วได้
"เอ๊ะ ! นั่นคุณสภานักเรียนหรือเปล่าคะ ? !"
"..."
หยุด
ท่วงทำนองที่กำลังบรรเลงผ่านความรู้สึกยามกลีบดอกไม้ร่วงโรยนั้นถูกขัดจังหวะและหยุดนิ่งโดยพลัน
สาวผมบลอนด์เอ่ยปากร้องเรียกหญิงสาวตัวเล็กคนนั้น ที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนแต่อยู่ในชุดเสื้อผ้าที่เรียกได้ว่าราวกับเด็กสาวตัวเล็กใสซื่อบริสุทธิ์ที่หลุดออกมาจากเทพนิยาย เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้ม กระโปรงสั้นลายหมากรุกสีองุ่น ถุงเท้าสีขาวร้องเท้าหนังหุ้มส้นสีดำ บนบ่าของเธอมีชุดคลุมไหล่ผ้าเรียบสีลาเวนเดอร์ขอบสีม่วงเข้มนอกจากนั้นยังมีโบว์สีชมพูผู้ตรงกลางทับคอซองแฟชั่นด้านในอีก ที่ศีรษะสวมหมวกเบเร่ต์
และเมื่อประกอบกับท่าทีที่เคลิบเคลิ้มหลงใหลไปตามบทเพลง บนทุ่งหญ้าที่ถูกเงายามตะวันคล้อยกลบทับแบบนี้ก็เปล่งประกายราวกับกลับมาเขียวขจีอีกครั้งเช่นในตอนกลางวัน
แต่ทว่าเมื่อเสียงดนตรีถูกขัดให้หยุดลง เงาสีดำยามตะวันคล้อยก็กลับมาอีกครั้ง...
"ไง... เธอคือคนที่เพื่อนพามาทำเรื่องเข้าชมรมเมื่อตอนเที่ยงใช่มั้ย ? หิหิหิ ฉันจัดการเรื่องให้เรียบร้อยแล้วนะ" หญิงสาวผมสีขาวแกมม่วงกล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม เธอกำลังอารมณ์ดีอยู่เนื่องจากกำลังเล่นดนตรีซึ่งเป็นงานอดิเรกของเธอ
"คุณสภานักเรียนนี่เล่นเปียโนเพราะมากเลยนะคะ ถึงจะเป็นเสียงเปียโนไฟฟ้าแต่กลับเพราะเหมือนกับเสียงเปียโนจริงเลยค่ะ" สาวผมบลอนด์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่กำลังเริงร่าอยู่เช่นกัน
"อืม... เล่นเปียโนท่ามกลางพระอาทิตย์ตกแบบนี้ เป็นงานอดิเรกของฉันอยู่แล้วล่ะ..." หญิงสาวตอบกลับ
"ว่าแต่... ชื่อว่า'มิว'ใช่มั้ยคะ พอดีเพื่อนแนะนำให้รู้จักน่ะค่ะ... ถ้าอย่างงั้นขอเรียกว่าพี่มิวได้มั้ยคะ" นักเรียนสาวรุ่นน้องพยายามทำความรู้จักอย่างเป็นมิตรด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
"อื้ม...ใช่ แต่เรียกว่ามิวเฉยๆก็ได้นะฉันไม่ค่อยเคร่งเรื่องรุ่นพี่รุ่นน้องอยู่แล้วน่ะ แล้วก็ไม่ต้องเป็นทางการกับฉันมากก็ได้ สภานักเรียนก็เป็นเด็กนักเรียนม.ปลายเหมือนกับทุกๆคนนั่นแหละ หึหึหึ" หญิงสาวผู้เป็นรุ่นพี่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและคำพูดที่เป็นมิตร เธอพูดติดตลกเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนอารมณ์ดี
"แล้วเธอชื่อว่าอะไรล่ะ รู้จักกันไว้ก็ดีเหมือนกันนะ" เป็นฝ่ายของหญิงสาวในชุดตุ๊กตาที่เอ่ยปากถามชื่อของนักเรียนสาวผมบลอนด์
"อ๋ออ...หนูชื่อว่ากุ๊งกิ๊งน่ะค่ะ แฮะๆๆเป็นนักเรียนที่พึ่งย้ายมาตอนกลางเทอม ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับสภานักเรียนด้วยนะคะ" กุ๊งกิ๊งโค้งให้รุ่นพี่เล็กน้อยแบบพอเป็นพิธี เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ สาวน้อยเริ่มที่จะรู้สึกว่ารุ่นพี่คนนี้ถึงแม้จะตัวเล็กแต่ก็ดูน่าเคารพแบบที่จีจี้ว่า
"แหม่ๆๆ บอกแล้วไงว่าอย่าเป็นทางการมากก็ได้... ชื่อกุ๊งกิ๊งหรอ... งั้นขอเรียกว่า'กิ๊ง'ก็แล้วกันนะ เวลาแทนตัวไม่ต้องใช้คำว่า'หนู'ก็ได้ จะใช้คำว่า'เรา''ฉัน''ชั้น'หรือจะอย่างอื่นก็ได้นะไม่ว่า หิหิหิ"
"อ---อ๋อ...ฮะๆๆ" สาวผมบลอนด์หัวเราะแห้งๆออกมาอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อยเนื่องจากรู้สึกเขินอายพร้อมกับเอามือเกาหัว
"..."
"อ๋ออ... คือว่าพี่มิ---เอ้ย--- มิวมาเล่นเปียโนที่สวนแบบนี้ทุกๆวันเลยหรอ หืม...แล้วมาเล่นคนเดียวเองหรอ เล่นดนตรีเก่งอย่างนี้แปลว่าอาจจะมีวงดนตรีอยู่ด้วยใช้มั้ยล่ะ มิวอยู่ชมรมดนตรีหรืออะไรทำนองๆนี้หรือเปล่า" กุ๊งกิ๊งเริ่มทยอยถามคำถามสาวผมขาวแกมม่วงเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำความรู้จักมากขึ้น
"หึหึหึ... เมื่อก่อนน่ะเคยมีเพื่อนเล่นด้วยอยู่หลายคนแหละนะ แต่พอขึ้นม.ปลายมาก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่แล้ว..." มิวหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่กำลังย้อนรำลึกถึงความหลัง
"อ๋อออ อย่างงั้นเองหรอ... แย่หน่อยนะ คนเราส่วนมากพอขึ้นม.ปลายแล้วก็จะไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเก่าๆเป็นธรรมดา... แม้แต่ที่นี่ก็เป็นสินะ" สาวผมบลอนด์เออออหอหมกตาม เธอเลื่อนลูกตามองด้านบนพร้อมกับเอานิ้วชี้ขึ้นมาจิ้มที่ริมฝีปากเหมือนเป็นท่าทีแบบคนกำลังขบคิด
"ก็...น่าเสียดายอย่างที่เธอว่านั่นแหละ แต่จะให้ไปมัวคิดถึงแต่เรื่องอดีตมันก็น่าเบื่อแย่แหละนะ เล่นเปียโนคนเดียวแบบนี้มันก็ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องราวดีๆในอดีตน่ะ แต่อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้ไปจมติดอยู่กับมันเท่าไหร่หรอกนะ พยายามอยู่กับปัจจุบันและมองไปข้างหน้าดีกว่าน่ะ..." หญิงสาวพูดพลางมองออกไปที่แสงสีส้มแดงที่หลบอยู่หลังเนินเล็กๆซึ่งคือแสงของดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว
"งั้นนน... หนู---เอ้ย ! อีกแล้ว---กิ๊งขอตัวไปก่อนนะ ขอให้โชคดีล่ะมิว บ๊ายบาย"
"จ้าา... กลับบ้านดีๆนะ"
สาวผมบลอนด์ค่อยยกตัวเองขึ้นอานนั่งบนจักรยานพร้อมกับออกแรงถีบเพื่อให้ล้อหมุนและเคลื่อนตัวออกไป เธอโบกมือลาหญิงสาวผู้ซึ่งก็โบกมือตอบเช่นเดียวกัน
...ก่อนที่จะพลันเล่นบทเพลงของเธอต่อไปเรื่อยๆจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน
...
สาวน้อยถีบจักรยานไปเรื่อยๆ สวนสาธารณะวันนี้ก็ไม่แตกต่างจากวันก่อนๆมากนัก บรรยากาศยังคงเป็นเหมือนเช่นเคย... มีนักเรียนสาวผมสีดำตัดกับสีชมพูวิ่งไล่จับกับฝูงเด็กน้อย โดยที่ตัวเองรับบทเป็นยักษ์เหมือนกับทุกๆวัน สาวผมบลอนด์เห็นภาพเด็กวิ่งไล่จับกันแบบนี้จนชินแล้ว
กิ๊งๆ กิ๊งๆ
ด้านหน้าของเธอ มีคนๆหนึ่งที่อยู่ในชุดวอร์มมีฮู้ดคลุมหัวกำลังวิ่งจ๊อกกิ้งขวางทางเดินของจักรยานอยู่
ยิ่งเป็นทางลงแบบนี้ จึงค่อนข้างอันตรายเมื่อมีใครมาวิ่งขวางทาง อาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็เป็นได้...
นักเรียนสาวพยายามกดกิ่งเพื่อส่งสัญญาณให้หลีก
กิ๊งๆ กิ๊งๆ
"คุณคะ คุณคะ ช่วยอย่าขวางทางวิ่งของจักรยานด้วยนะคะ" นักเรียนสาวพยายามตะโกนออกไป เธอพยายามเบรคจักรยานและใช้เท้าถูกับพื้นเอาไว้เพื่อไม่ให้จักรยานไถลลงไปชน
"คุณคะ คุณคะ ช่วยหลบออกไปด้วย" ทว่าดูเหมือนคนที่กำลังวิ่งขวางเดินคนนั้นจะไม่ได้ยิน ...หรือจะไม่ได้ฟังกันนะ
"นี่คุณคะ !"
"เอ๊ะะะ !!"
ทว่าเสี้ยววินาทีนั้นเอง คนในชุดวอร์มคนนั้นก็หันมาพร้อมกับไม้เบสบอลในมือ ก่อนที่จะ...
เปรี๊ยงง !!
คนๆนั้นหวดเข้าใส่จักรยานเต็มๆ จนล้อหลังยกตัวขึ้น ร่างของกุ๊งกิ๊งลอยออกมาจากอานนั่งก่อนที่จะเหินทะยานออกไปกลางอากาศ ไม่กี่อึดใจเธอก็ร่อนถลาลงมาหน้าคว่ำกระแทกกับพื้นและตัวไถลไปอีกไม่น้อย โชคยังดีที่หัวไม่กระแทกกับพื้นและพื้นด้านหน้าก็เป็นสนามหญ้าเทียมทำให้ไม่บาดเจ็บมากอะไร...
แต่แน่นอนว่ามันทำให้เด็กสาวหัวเสียเป็นอย่างมาก
เธอลุกขึ้นมาพร้อมกับหันไปตะโกนด่าคนที่จงใจทำร้ายเธอว่า
"นี่จะบ้าหรือไง ! จะฆ่ากันให้ตายเลยหรอ ! เอ๊ะะะ !!"
...ทว่า ทันทีที่เธอหันไป เธอก็พบกับใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ภายใต้ฮู้ดคลุม...
ปอยผมสีแดงเบอร์กันดี้ที่ดูลึกลับ ไม่ผิดแน่... เธอคนนั้นก็คือคนเดิมกับที่แกล้งเธอเมื่อตอนเที่ยงและในห้องชมรมโรงเรียนไอด้อลเมื่อวันก่อน
"น---นี่เธอ ! ชั้นไม่ไหวแล้วนะ ! เธอจะทำไปเพื่ออะไรกันน่ะ ! ค่อยดูนะ เดี๋ยวชั้นจะไปฟ้องสภานักเรียนเลยล่ะคอยดู !"
สาวผมบลอนด์ตะโกนร้องเสียงหลง น้ำตาของเธอซึมออกมาเล็กน้อยและสีหน้าในตอนนี้คือไม่เล่นด้วยแล้วก็โมโหโกรธามากๆ
"เชิญฟ้องไปเลยยัยสมองทึ่ม แแแบร่ ! ชั้นเองก็รู้จักกับสภานักเรียนเหมือนกัน ไปล่ะ !"
ทว่าสาวผมแดงทึบคนนั้นกลับไม่สนใจใยดี มิหน่ำซ้ำเธอยังกระโดดขึ้นไปขี่คร่อมจักรยานคันนั้นพร้อมกับขับออกไปแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรมอีก...
ใช่แล้ว... กุ๊งกิ๊งโดนขโมยจักรยานไปต่อหน้าต่อตา
"เฮ้ยย ! นั่นมันจักรยานชั้นนะ ! ใครก็ได้ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย ! ขโมย !"
เธอพยายามร้องหาความช่วยเหลือแต่คนแถวๆนั้นก็มีแต่เด็กหรือไม่ก็คนแก่ทำให้ไม่มีใครสามารถช่วยได้...
...
'ฮือๆๆ โดนขโมยจักรยานจนได้ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยโดนใครขโมยจักรยานตัวโปรดต่อหน้าต่อตามาก่อนเลย ฮือๆๆ ไปฟ้องสภานักเรียนดีกว่า'
สาวน้อยได้แต่เดินคอตกกลับขึ้นเนินไป เพื่อหวังจะกลับไปฟ้องสภานักเรียนหรือมิวที่น่าจะนั่งเล่นเปียโนไฟฟ้าอยู่
...ทว่าทันทีที่มาถึง... เธอก็พบแต่ความว่างเปล่า เมื่อหันหลังกลับไปก็พบกับท้องฟ้ายามพลบค่ำที่ตอนนี้ไม่เหลือแสงอาทิตย์อีกต่อไปแล้ว...
'พระอาทิตย์ตกแล้วงั้นหรอ... ปัดโถ่ววเอ้ย ! ฉันนี่ก็โง่ ! ทำไมไม่ขอเบอร์เค้าไว้ตั้งแต่แรกวะเนี่ย !'
เธอได้แต่หงุดหงิดกับตัวเอง... สิ่งที่ทำได้ก็มีแต่เดินน้ำตาซึมกลับหอ... กลับไปหาเพื่อนสาวของเธอ
เมื่อกลับไปถึงหอพักแล้ว จีจี้ที่พบว่าเพื่อนสาวของเธอกลับหอค่ำแถมยังมีรอยแผลถลอกที่แขนจึงเกิดอาการเป็นห่วงอย่างมาก เธอรีบวิ่งเข้ามากอดกับกุ๊งกิ๊งพร้อมกับรีบทำแผลให้ จนกุ๊งกิ๊งที่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากแทบจะตั้งตัวไม่ทันเมื่อเจอความเป็นห่วงขั้นรุนแรงพุ่งเข้าใส่อย่างฉับพลันแบบนี้ สาวผมบลอนด์จึงงอนสาวผมดำไม่ลง...
...
เย็นของวันถัดมา
ในวันนี้กุ๊งกิ๊งที่เรียนม.ปลายสายวิทย์-คณิตจะต้องทำแลปวิชาชีววิทยา โดยสิ่งที่เธอต้องทำก็คือการใช้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงส่องดูเซลล์ชนิดต่างๆที่อยู่ในแผ่นสไลด์ ซึ่งอาจารย์ประจำวิชานี้ค่อนข้างที่จะจริงจังและไม่ปล่อยให้นักเรียนผ่านหรือกลับบ้านไปได้ง่ายๆถ้าสิ่งที่มองเห็นจากกล้องจุลทรรศน์นั้นยังไม่ชัดเจนพอ
ทำให้นักเรียนสาวจำเป็นต้องอยู่โรงเรียนจนถึงเย็นเลยห้าโมงครึ่งและต้องกลับหอค่ำกว่าเมื่อวานอีก ในขณะที่จีจี้ซึ่งเรียนอยู่สายศิลป์-ภาษานั้นเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายสามโมงแล้วและก็ได้กลับหอพักไปฟิตเนสก่อนตามเคย
"อ๊ะะ ! เซลล์แตกอีกแล้วอะเฟิร์สท์ท์ท์... ฮือๆ ขอโทษด้วยนะ ทำพลาดเป็นรอบที่ 19 แล้ว..." สาวผมบลอนด์ที่ตอนนี้เปลี่ยนสภาพกลายมาเป็นสาวแลปในชุดกาวและสวมแว่นเลนส์กลมน่ารักอุทานขึ้นมาก่อนจะกล่าวขอโทษคู่แลปซึ่งเป็นผู้ชายของเธอ
"ไม่เป็นไรหรอก ค่อยๆทำไปนั่นแหละ กลุ่มอื่นเค้าก็ยังไม่เสร็จกัน... สู้ๆนะ <3 " คู่แลปหนุ่มตาตี่พูดให้กำลังใจพร้อมกับยิ้มหวานให้
"ถ้าเซลล์แตกหรือไม่ติดสีหรือผิดรูปหรือไม่สวยงาม...จะถือว่าไม่ผ่าน ถ้าไม่ผ่านครบทั้งห้าเซลล์ก็ยังไม่ต้องกลับบ้าน !" อาจารย์วัยสูงอายุกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
...
หลังจากทำแลปเสร็จ
คู่แลปของกุ๊งกิ๊งอาสาเดินไปส่งถึงที่หอพักแต่สาวแว่น(ชั่วคราว)ผมบลอนด์ปฏิเสธอย่างเป็นมิตรเนื่องจากว่าไม่อยากรบกวน
"หอชั้นอยู่ใกล้ๆนี่เองน่ะไม่เป็นไรหรอก บ๊ายบายนะเฟิร์สท์ กลับบ้านดีๆ ! <3 "
...
ตรงน้ำพุข้างๆที่จอดจักรยาน...
นักเรียนสาวเดินไปพบจักรยานตัวเดิมของเธอวางตั้งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ นอกจากนั้นยังดูใหม่ขึ้นเหมือนกับพึ่งได้รับการขัดมันมา โดยที่ตรงตะกร้าด้านหน้าจักรยานมีแผ่นโน้ตสีขาวเล็กๆพับแนบเอาไว้ กุ๊งกิ๊งไม่รอช้า เธอหยิบมันขึ้นมาและเปิดอ่านดู...พบว่าข้อความที่เขียนอยู่บนนั้นเป็นลายมือของผู้หญิง
[ถึง ยัยผมบลอนด์เซ่อซ่า
นี่ชั้นเอง สาวผมแดงที่แกล้งเธอ พอดีเมื่อวานกะจะตีให้โดนตัวเธอน่ะ เธอจะได้หงายหลังล่วงลงจากจักรยาน แต่ดั๊นนตีพลาดไปหวดโดนล้อจักรยานเข้าซะได้ ตอนนั้นเองชั้นก็เห็นว่ายางมันแบนแล้วก็มีบางส่วนที่พัง...ก็เลยขโมยจักรยานไปซ่อมให้ ตอนนี้จักรยานเธอก็กลับมาสมบูรณ์แล้วนะ แถมเอาไปล้างให้ด้วย ขอบใจชั้นซะสิ อิอิอิ ยังไงซะ...วันนี้ให้มารายงานตัวที่ห้องชมรมหลังเลิกเรียนด้วย ! ชั้นได้รับเอกสารขอเข้าชมรมจากสภานักเรียนแล้วนะ ถ้าไม่มาจะส่งคนไปลักพาตัวเลยถึงที่เลยล่ะจะบอกให้ ชั้นน่ะรู้นะว่าเธออยู่หอพักอะไร จงมาเข้าร่วมชมรมโรงเรียนไอด้อลแต่โดยดีซะ ปล.ไม้เบสบอลที่ใช้ตีน่ะเป็นไม้เบสบอลยาง ของปลอมน่ะ กะจะแกล้งเธอเล่นๆเฉยๆไม่ได้จงใจจะให้เจ็บจริงๆ ทิ้งปีโป้ไว้ให้นะ หวังว่าจะไม่โกรธกัน งุงงิ๊งๆๆ
จาก ไอด้อลสายลับสาวกระฉากใจ999]
เมื่อกุ๊งกิ๊งอ่านข้อความที่ถูกเขียนโน้ตเอาไว้เสร็จ เธอก็ขยำและโยนมันทิ้งลงถังขยะพร้อมกับสบถออกมาว่า
"ไร้สาระที่สุดเลย ! ตบหัวแล้วลูบหลังหรอ... แกล้งกันเป็นเด็กๆไปได้ ปัญญาอ่อนที่สุด ! บ้าบอที่สุดเลย ! ไร้สาระ ! ชมรมบ้าบอคอแตกนั่นน่ะชั้นไม่อยู่หรอก ยังไงก็ไม่เข้า ไม่ทำ ไม่สน เธอทำอะไรชั้นไม่ได้หรอกนังผมแดงประหลาด...ผ---ผีบ้า !"
ก่อนที่นักเรียนสาวจะเข็นจักรยานตัวโปรดของเธอและเดินจากไปอย่างไม่สนใจใยดี... โดยเธอหารู้ไม่ว่า กำลังมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเธอด้วยความไม่พอใจ
...
ที่สวนสาธารณะ
เวลาตอนนี้ก็ประมาณหกโมงกว่าๆได้แล้ว ซึ่งคนที่อยู่ในสวนสาธารณะก็เริ่มเบาบาง แทบจะไม่มีใครซักคนเหลืออยู่เพราะเวลานี้ในช่วงหน้าหนาวนั้นท้องฟ้าจะมืดเร็วมาก ช่วงเวลาหกโมงเย็นมืดกว่าช่วงหนึ่งทุ่มของฤดูฝนกับฤดูร้อนด้วยซ้ำ พอฟ้ามืดพวกยุงที่ก่อความรำคาญก็จะเริ่มมา ทำให้ส่วนมากจะแยกย้ายกันกลับบ้านกันตั้งแต่ช่วงห้าโมงครึ่ง
นักเรียนสาวไม่เห็นรุ่นพี่สภานักเรียนนั่งเล่นดนตรีอยู่ ไม่เห็นคนกำลังนั่งปิกนิกอยู่แบบทุกวัน
แสงไฟสลัวๆตามทางเดินก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยขึ้นมาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าแถวนี้จะไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วงก็เถอะ แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ยังไม่คุ้นเคยและไว้ใจกับเมืองนี้ขนาดนั้น
หญิงสาวค่อยๆปั่นจักรยานลงเนินมาอย่างช้าๆ ไม่ถีบส่งให้วิ่งลงมาเร็วๆแบบวันก่อนๆ เพราะกลัวว่าอาจจะเผลอขับไปชนคนโดยไม่รู้ตัว
อย่างหนึ่งที่หญิงสาวสังเกตได้ชัดเจนว่าแตกต่างไปจากวันก่อนๆนั่นก็คือ... วันนี้ไม่มีเด็กมาเล่นวิ่งไล่จับกับนักเรียนสาวที่รับบทเป็นยักษ์แบบวันก่อนๆ
อันที่จริงเธอจะเห็นพวกเด็กๆเล่นกับผู้หญิงคนนั้นไม่เว้นแต่ละวัน ที่สำคัญคือเล่นกันอยู่อย่างนั้นจนพระอาทิตย์ตกดินก็ยังไม่กลับ
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเค้าจะไม่เล่นกัน...
'เฮ้ออ... แม้แต่เด็กพวกนั้นยังกลับบ้านไปแล้วหรอเนี่ย... วังเวงจริงๆเลยบรรยากาศแบบนี้'
เท้าทั้งสองข้างของกุ๊งกิ๊งค่อยๆถีบก้านปั่นไปอย่างช้าๆ เธอปั่นลงจากเนินๆหนึ่งไปยังไหล่ของอีกเนินๆหนึ่ง เมื่อปั่นลงไปถึงก้นเนินเธอก็ปั่นเลาะไปตามทางเท้าซึ่งมีทางสำหรับปั่นจักรยานอยู่โดยเฉพาะ
'มืดมากแล้ว... รีบๆปั่นดีกว่า จะได้ถึงหอไวๆ'
หวืด หวืด หวืด
ล้อจักรยานหมุนถี่ขึ้น กุ๊งกิ๊งเริ่มออกแรงถีบให้ไวขึ้น ไวขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปถึงหอให้เร็วที่สุด
แต่ทว่าเมื่อนั้นเอง...
เอี๊ยด !
เธอก็ต้องหยุดเบรคกะทันหันเนื่องจากเธอขับเพลินจนไปถึงทางแยก ซึ่งถนนด้านหน้านั้นมีรถวิ่งเร็วขับผ่าน ไฟจราจรบนท้องถนนตอนนี้เป็นสีเขียวอยู่ หญิงสาวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเพราะถ้าหากพลาดไปนิดเดียวอาจจะเกิดอุบัติเหตุถึงชีวิตได้
'เกือบไปแล้วสิ...'
หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่บนอานนั่งจักรยาน เธอเห็นว่าสัญญาณไฟของคนเดินข้ามถนนยังเป็นสีแดงอยู่จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อคและไล่ดูข้อความ
มีข้อความแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับ 9 สายซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นของจีจี้ทั้งหมด เธอไม่แปลกใจเลยเพราะว่าตอนนี้ก็ปาเข้าไป 6 โมงครึ่งแล้ว เธอไม่เคยกลับหอค่ำขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่ย้ายมาอยู่ในเมืองนี้ เพื่อนสาวของเธอคงจะเป็นห่วงไม่เบาแล้วยิ่งโทรไปไม่รับสายอีก
ระหว่างที่เธอกำลังนั่งนิ่งๆอยู่บนจักรยานนั้นเอง...
จริงๆแล้วมีหญิงสาวผมสีดำยาวกำลังยืนอยู่ข้างๆเธอตลอดเวลาโดยที่เธอไม่ทันสังเกตเนื่องจากทางเท้าที่เธออยู่ตรงนี้ไม่มีแสงไฟ
เมื่อเหลือบหันไปทางด้านข้าง หญิงสาวก็เกิดอาการตกใจขึ้นมาเล็กน้อยเนื่องจากอยู่ดีๆก็มีใครไม่รู้มายืนอยู่ใกล้ๆราวกับจู่ๆเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมา ณ ที่ตรงนั้น...
"อ๊ะะ !"
เสียงอุทานของกุ๊งกิ๊งทำให้หญิงสาวผมดำที่ยืนหันหลังอยู่นั้นรู้สึกตัว
เธอค่อยๆหันข้างมา เมื่อนั้นเองกุ๊งกิ๊งก็ได้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งเดียวของหญิงสาวผมดำ
ในมือของสาวผมดำคนนั้นมีถุงขยะขนาดใหญ่ที่สามารถใส่ขยะที่อยู่ในถังขยะสีเขียวๆได้ทั้งหมด
ผู้หญิงคนนี้อยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนทว่าด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างจึงทำให้กุ๊งกิ๊งรู้สึกว่าเธอคนนี้มีความแตกต่างไปจากผู้หญิงในเครื่องแบบนักเรียนคนอื่นๆ
เหมือนกับรู้สึกว่าคนที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เด็กนักเรียนยังไงยังงั้น...
'กลิ่น...กลิ่นแปลกๆนี่มัน...'
สาวผมบลอนด์รู้สึกได้ถึงกลิ่นที่แตกต่างจากกลิ่นน้ำหอมปกติของเด็กสาวทั่วๆไป
ทันใดนั้นเอง...
บรื๋นน !
มีรถสปอร์ตคันหนึ่งแล่นผ่านไปด้วยความเร็ว แสงสว่างจากรถคันนั้นส่องกระทบกับบริเวณข้างทางที่เธอกำลังยืนอยู่
เมื่อแสงสว่างหายไป เพียงชั่วพริบตาเดียว กุ๊งกิ๊งก็สัมผัสได้ว่าหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างๆเธอนั้น
กำลังยืนหันหน้าตรงมาทางเธอแล้ว ทั้งๆที่เมื่อตะกี้นี้ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝีเท้า ราวกับว่าเธอคนนั้นพลิกร่างได้...โดยไม่ต้องขยับหรือก้าวเท้า...
เพียงแสงไฟแค่แว๊บเดียว... แต่หางตาของกุ๊งกิ๊งก็เหลือบไปเห็นว่าผิวพรรณของสาวผมดำคนนี้ช่างซีดเผือด มันไม่ได้ขาวนวลกระจ่างใสมีชีวิตชีวาแบบของเธอหรือขาวอมชมพูแบบของจีจี้ แต่มันเป็นสีขาวซีดแบบคนแพ้แสงแดด ราวกับร่างของคนที่ไร้วิญญาณ... แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไร
'ผมยาวจนถึงเอว ผิวขาวซีด หืมม...?'
สาวผมบลอนด์รู้สึกอึดอัดเธอจึงตัดสินใจว่าจะรองหันหน้าไปมองดู... เพราะเป็นไปได้ว่าสาวผมดำคนนั้นอาจจะเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกับเธอ
ทว่า...
พร่างง
พริบตาแรกที่เธอหันไปนั้นเอง เธอก็พบกับความว่างเปล่า...
"อยู่ทางนี้..." เสียงเย็นยะเยือกของผู้หญิงพูดออกมาอย่างแผ่วเบาจากด้านหลัง หญิงสาวหันหลังกลับไปก็พบกับ...
"สวัสดี..."
เธอพบกับนักเรียนสาวคนนั้นนั่นเอง... นักเรียนสาวที่รับบทเป็นยักษ์และเล่นวิ่งไล่จับกับพวกเด็กๆที่สวนสาธารณะทุกๆเย็น
เธอมีรูปร่างสูงผอมคล้ายๆกับจีจี้ แต่ผิวค่อนข้างซีดเผือด
แสงสว่างจากรถที่อยู่บนท้องถนนส่องเข้ามาอีกครั้งทำให้เธอเห็นชัดขึ้น...
นัยน์ตาสีชมพูดอกบานเย็น...ทว่ามันช่างเป็นดอกบานเย็นที่มัวหมองและดูแข็งกร้าว
...
เมื่อหญิงสาวได้เห็นใบหน้าของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆชัดขึ้น เธอจึงเข้าใจว่าทำไมเธอถึงรู้สึกแตกต่าง นั่นก็เพราะนักเรียนสาวคนนี้เป็นผู้หญิงที่แต่งตัวและแต่งหน้าจัดจ้านมากนั่นเอง
ถึงแม้ว่าผิวที่แขนของเธอจะซีดเผือดแต่บนใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยเครื่องสำอาง มาสคาร่าและคนตาปลอม นอกจากนั้นผู้หญิงคนนี้ยังมีสีผมที่ดูโดดเด่นไม่ซ้ำใครนั่นก็คือผมสีดำแต่ตัดสลับสีเทาและตรงกลางหน้าผากก็ไว้เป็นผมหน้าม้าแต่ย้อมเป็นสีชมพูตัดสลับกับสีน้ำเงินแทน แล้วก็ยังมีอุปกรณ์เสริมใส่อยู่เต็มตัวทั้งปอกแขนข้างเดียวที่มีแถบสีชมพูตัดสลับกับดำ กำไรข้อมือ เข็มขัดและสร้อยคอแบบพั้งค์ ที่เป็นจุดเด่นที่สุดก็คือตรงบริเวณปากด้านซ้ายของเธอมีการเจาะแล้วเอาเครื่องประดับเหล็กใส่เข้าไปด้วย
กุ๊งกิ๊งชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนรัมภานาราสมุทรจริงๆหรือเปล่า เพราะเธอเชื่อว่าทางโรงเรียนคงไม่อนุญาตให้แต่งตัวจัดจ้านถึงขนาดนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกอึดอัดจากการที่ถูกนัยน์สีชมพูสองข้างนั้นจ้องมองมาจึงทำให้เธอต้องเอ่ยปากทักทายผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ว่า...
"ง---ไง... เธอเป็นนักเรียนโรงเรียนรัมภานาราสมุทรหรือเปล่า..."
"ชัดเจน !"
"ห๊ะ ? !"
"ฉันพูดผิดน่ะ... ฉันหมายถึง... ถูกต้อง !"
หญิงสาวสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงพูดภาษาไทยผิด แต่เธอก็ไม่ได้ติดใจอะไร
"ช--ชั้นเห็นเธอเล่นวิ่งไล่จับกับเด็กทุกๆวันเลยน่ะ แต่วันนี้ไม่เห็นเธอเลยนะ อันที่จริงก็ไม่เคยเห็นเธอที่โรงเรียนด้วย...อย--อยู่ชั้นไหนห้องไหนหรอ...?"
สาวผมบลอนด์พยายามถามสาระทุกข์สุขดิบออกไปด้วยน้ำเสียงค่อยๆ
"พอดีวันนี้ไม่มีเด็กให้วิ่งไล่จับน่ะ... แล้วก็มีคำบัญชา---เอ้ย ! คำสั่ง...จากเบื้องบนมาว่า ให้ไปไล่จับคนอีกคนหนึ่งแทน..."
สาวปริศนาตอบกลับมาอย่างตะกุกตะกัก เห็นได้ชัดว่าเธอมีปัญหาเรื่องการใช้คำ เหมือนกับยังใช้ภาษาไทยได้ไม่คล่อง...
'หรือว่าเธอจะเป็นชาวต่างชาติ นักเรียนแลกเปลี่ยนหรือลูกครึ่ง ?'
กุ๊งกิ๊งรู้สึกอึดอัดไม่เบากับการที่ต้องสนทนากับคนที่ไม่รู้จักแล้วก็ยังพูดจาอะไรแปลกๆแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความสอดรู้สอดเห็น เธอจึงถามต่อไป...
"อ๋ออ ! แฮะๆๆๆ ต้องไปไล่จับใครแทนงั้นหรอ ?"
"ผู้หญิงผมบลอนด์ที่ชอบปั่นจักรยานผ่านสวนสาธารณะตอนเย็น"
ชั่วพริบตาเดียวนั้นเอง...รถยนต์ก็แล่นผ่านข้างทางไปอีกครั้ง แล้วคราวนี้สัญญาณไฟสำหรับเดินข้ามถนนก็กลายเป็นสีเขียว
"ก็เธอไง"
ทันใดนั้นเอง สาวปริศนาก็เอื้อมมือไปคว้าขาของกุ๊งกิ๊งในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งใช้บีบคอพร้อมกับพลิกตัวของหญิงสาวแบกขึ้นบ่าอย่างง่ายดายแล้วยัดร่างอันบอบบางของสาวผมบลอนด์ใส่ถุงขยะสีดำที่วางเอาไว้ที่พื้นทันที
กุ๊งกิ๊งพยายามดิ้นแต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถแหกถุงขยะออกมาได้เนื่องจากสาวปริศนาคนนั้นมัดปิดปากถุงไว้อย่างดีจึงทำให้ภายในนั้นไม่มีอากาศหายใจ
หญิงสาวได้แต่ทำเสียงอู้อี้ๆและออกแรงอย่างเปล่าประโยชน์
เธอโดนลักพาตัวแบบที่ในแผ่นโน้ตได้กล่าวเอาไว้จริงๆ
...
ณ ห้องชมรมโรงเรียนไอด้อล
หญิงสาวสัมผัสได้ว่าร่างของเธอถูกโยนลงกระแทกกับพื้นห้อง เธอรู้สึกตัวและได้สติ
ฉึก
ปากถุงถูกมีดคัทเตอร์ผ่าออก กุ๊งกิ๊งรีบกลิ้งตัวออกมาจากถุงเพื่อหาอากาศหายใจ เมื่อนั้นเองเธอจึงรู้ว่าเธอถูกนำตัวกลับมายังห้องชมรมโรงเรียนไอด้อลอีกครั้ง
และแน่นอน...ผู้หญิงที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอในตอนนี้ก็คือนักเรียนสาวผมแดงที่ไม่รู้จะตามจองล้างจองผลาญเธอไปถึงเมื่อใดกัน
"ธ---เธอ---เธอ---" สาวผมบลอนด์หอบถี่เพราะว่าเธอขาดอากาศหายใจมาได้พอสมควร สายตาของเธอจ้องมาสาวผมแดงด้วยความแค้น
"นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ" หญิงสาวพยายามชี้หน้าด่าสาวผมแดงแต่ทว่า...
"เอ๊ะะ---!"
สาวผมแดงเข้ามาจับตัวเธอขึ้นมาแล้วมัดแขนทั้งสองข้างและล็อคไว้กับเชือกบนเพดาน ส่วนลำตัวและขาก็ปล่อยให้ห้อยเอาไว้อย่างนั้น เธอไม่พูดอะไรซักคำในขณะที่กุ๊งกิ๊งกำลังโวยวายออกมาพร้อมกับดิ้นไม่หยุด
"หยุดนะ ! ปล่อยชั้น !”
สาวผมแดงไม่สนใจอะไรเมื่อเธอล็อคตัวกุ๊งกิ๊งเสร็จเธอก็ไปหยิบแส้หนังมา...
"ด---เดี๋ยวนะ ! เธอจะเฆี่ยนชั้นหรือยังไงนังบ้า ! หยุดนะ ! แบบนี้มันผิดกฎหมายแล้วนะรู้มั้ย ! ถ้ารอดกลับไปได้ชั้นจะแจ้งตำรวจจับเธอแล้วก็จะบอกให้สภานักเรียนไล่เธอออกจากโรงเรียนซะเลย ! จะแกล้งอะไรกันก็ให้มันมีลิมิตบ้างสิ !”
“ชั้นขอล่ะ...อย่าทำชั้นเลย..."
สาวผมบลอนด์เมื่อเห็นอุปกรณ์ที่มีไว้ใช้สำหรับการทรมารซึ่งเข้าข่ายทารุณกรรมแบบนั้นจึงหน้าถอดสี เธอเข่าอ่อนพร้อมกับอ้อนวอนขอให้ความเมตตาจากสาวผมแดง
"ชั้นไม่ได้จะใช้แส้เฆี่ยนเธอหรอกยัยผมบลอนด์... แต่ชั้นจะใช้มันเฆี่ยนสิ่งนี้ต่างหาก..."
"อะไรน่ะ !"
เมื่อนั้นเองสาวผมแดงก็ชี้ไปที่ลังกระดาษสีน้ำตาลกล่องหนึ่ง ซึ่งบนกล่องนั้นมีสติ๊กเตอร์ที่หญิงสาวซึ่งโดนจับห้อยแขนอยู่คุ้นตาดี...นั่นก็คือ...
"ด้านในกล่องนี้คือโดนัทและขนมหวานทุกชนิดจากร้านขนมหวานแบรนด์ดังหรือที่เธอรู้จักดีในชื่อ 'มิสโดนัท'" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ร้ายกาจพร้อมกับใช้แส้ที่อยู่ในมือเฆี่ยนลงไปที่พื้นเพื่อเป็นการข่มขู่
"ฮะ !! บ้าน่า !!" สาวผมบลอนด์ไม่เชื่อในสิ่งที่เธอได้ยิน
"ถ้าเธอไม่เชื่อล่ะก็... งั้นดูให้เต็มตา"
สาวผมแดงยื่นลังกระดาษให้กุ๊งกิ๊งดู... เป็นอย่างที่เธอพูดทุกประการ ด้านในนั้นคือขนมหวานชนิดต่างๆไม่ได้มีเพียงแต่โดนัทแต่ยังมีขนมหวานชนิดอื่นๆซึ่งไม่ได้มีอยู่ในเมนูของทุกๆสาขารวมไปถึงขนมหวานนำเข้าจากต่างประเทศ
'เนื้อขนมปังเนียนละเอียด น้ำตาลไอซิ่งโรยทั่วผิวแป้งเปื้อนขอบลังกระดาษ แยมทาหน้าขนมปังเยิ้มๆ ครีมเนื้อแน่นสอดไส้ด้านในขนมปัง...'
ขนมเหล่านี้คือสิ่งที่กุ๊งกิ๊งรักมันเป็นอันดับต้นๆในชีวิต ปกติเธอก็แวะร้านโดนัทแทบจะทุกวันในสัปดาห์อยู่แล้ว... ร้านขนมหวานที่เธอไปส่วนมากก็มักจะเป็นร้านเล็กๆขายขนมราคาถูกๆซึ่งเพียงแค่นี้มันก็ทำให้เธอสุขใจแล้ว
แต่สิ่งที่กำลังวางอยู่ตรงหน้าของเธอในตอนนี้เป็นของหวานราคาแพงทั้งแยมโรลจากต่างประเทศ คุ้กกี้รสแปลกๆที่หาซื้อไม่ได้ที่ประเทศไทย ขนมสอดไส้เกรดพรี่เมี่ยมและตัวชูโรงอย่างโดนัทโรยน้ำตาลไอซิ่งสูตรพิเศษในตำนานที่ในชีวิตนี้คงเป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้นที่หญิงสาวจะได้เข้าใกล้มัน แต่ทว่า ณ ขณะนี้มันกำลังอยู่ตรงหน้าของเธอเพียงแค่ไม่กี่เซน กลิ่นหอมหวนของมันโชยเข้ามาแตะที่จมูกของเธอ...แต่แขนทั้งสองข้างของเธอถูกพันธนาการไว้เธอจึงไม่สามารถเอื้อมไปสัมผัสมันได้...
"น---นี่ ! เธอจะทำอะไรกับโดนัทพวกนี้น่ะ ! ก่อนที่เธอจะทำอะไรเธอลองคิดถึงราคาที่ซื้อมันมาก่อนจะได้มั้ย ! แล้วนี่เธอไม่อยากทานมันบ้างหรือไง ? ! มันเสียของนะ !"
สาวผมบลอนด์พูดออกมาเสียงดัง น้ำตาลของเธอเริ่มคลอเบ้าเพราะกำลังจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง หญิงสาวพยายามโน้มน้าวไม่ให้สาวผมแดงทำในสิ่งที่เธอกำลังคิด
"ของไร้สาระพวกนี้น่ะ... ชั้นไม่สนใจหรอกนะ เพราะมันทำให้อ้วนแล้วก็ให้พลังงานสูงเกินความจำเป็น เรียกได้ว่ามันเป็นศัตรูกลายๆของชั้นเลยล่ะ---" สาวที่อยู่ตรงหน้าตอบกลับไป ทันใดนั้นเองก็โดนสาวผมบลอนด์แทรกขึ้นมาว่า
"ศัตรูงั้นหรอ ! หุบปากเน่าๆของเธอไปเลย ของพวกนี้น่ะเป็นเพื่อนของเรานะ ! พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมอบรอยยิ้มให้กับพวกเรา เธอจงเห็นคุณค่าของพวกมันสิ !" กุ๊งกิ๊งพูดทั้งน้ำตา
"เธอนั่นแหละหุบปาก ! มันจะเป็นเพื่อนของเราได้ยังไงในเมื่อมันนำพามาซึ่งโรคร้ายต่างๆ เช่นความดัน เบาหวาน โรคอ้วน ! อย่างที่เธอกำลังจะเป็นในอีก 40 ปีข้างหน้ายังไงล่ะ !" สาวผมแดงสวนกลับ กลายเป็นการปะทะคารมระหว่างทั้งสอง
"เอาล่ะ ! แต่ถ้าเธออยากที่จะรักษาชีวิตของเพื่อนตัวน้อยๆเหล่านี้... ชั้นจะให้โอกาสสุดท้าย... จงยอมมาเข้าร่วมชมรมโรงเรียนไอด้อลกับชั้นแต่โดยดีซะ ไม่งั้นชั้นจะเฆี่ยนและฉีกผิวขนมปังเนื้อเนียนละเอียดพวกนี้ให้ขาดออกเป็นชิ้นๆเลย เข้า...ใจ...มั้ย หึหึหึหึหึ !!!"
นักเรียนสาวหยิบโดนัทชิ้นหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับกัดหนึ่งคำก่อนที่จะขยี้ทิ้งให้แหลกคามือต่อหน้าหญิงสาวผู้รักของหวาน...
"ย---อย่านะ... ถ้าเธอจะทำร้ายขนมปังพวกนั้นน่ะ ให้มาทำร้ายชั้นซะจะดีกว่า---" กุ๊งกิ๊งพยายามอ้อนวอน
"ไม่ได้ ! ...เพราะว่าทำร้ายเธอน่ะมันผิดกฎหมายแล้วก็ผิดกฎโรงเรียน... แต่ทำร้ายพวกขนมอันไร้ค่าเหล่านี้น่ะไร้ชีวิตไร้จิตวิญญาณเหล่านี้น่ะ...ไม่มีความผิดเลยซักกะติ๊ดเดียว ! วึฮะฮะฮะฮะ !"
สาวผมแดงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้ายพร้อมกับลงแส้ฟาดใส่ขนมปังชิ้นแรก แส้หนังพุ่งเข้าไปตัดเนื้อเนียนๆของผิวขนมจนผ่าครึ่งออกมา ภายในนั้นมีแยมสีแดงสตรอว์เบอรรี่ไหลเยิ้มออกมาราวกับเลือดของมนุษย์ที่ถูกผ่าครึ่งร่าง
กุ๊งกิ๊งได้แต่ทนดูภาพที่เกิดขึ้นพร้อมกับกัดฟันกรอดๆ ด้วยความเจ็บปวด...
เปี๊ยะ !
ขนมปังอีกชิ้นถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกับโดนแส้เฆี่ยนจนเนื้อของมันกระจุยกระจายออกมา
แผละ !
แยมโรลอีกชิ้นถูกหยิบขึ้นมาแล้ววางลงกับพื้นก่อนที่จะถูกฝ่าเท้าของสาวผมแดงเหยียบขย้ำบี้มันจนแหลกเละไม่เหลือชิ้นดี
ฉึก
คุ้กกี้รูปวงรีถูกหยิบขึ้นมาก่อนที่จะถูกขยี้ให้สลายกลายเป็นผุยผงคามือของเพชฌฆาตสาวผมแดง...
เปี๊ยะ เปี๊ยะ เปี๊ยะ !
ขนมหวานชิ้นแล้วชิ้นเล่าค่อยๆถูกนำเข้าไปสู่ลานประหารของมัน เศษซากของมันกระจุยกระจายเลอะเต็มพื้นห้อง
ครีมเนื้อเนียน นมข้นสีขาวขุ่น กระเด็นเปื้อนบนใบหน้าและเสื้อผ้าของสาวผมบลอนด์มากขึ้นเรื่อยๆในขณะที่มือและแส้ของสาวผมแดงก็เปื้อนแย้มสตรอว์เบอรรี่เยอะไม่แพ้กัน
ส่วนที่พื้นปาร์เก้ด้านล่างก็เลอะไปด้วยซากของขนมหวานมากมายราวกับเป็นซากศพ...สิ่งที่หลงเหลือจากการประหัตถ์ประหาร การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การทำลายล้างอันไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งภาพอันน่าเศร้าและน่าสยดสยอง(ในสายตาของกุ๊งกิ๊ง)เหล่านี้มันทรมานเกินกว่าที่หญิงสาวผมบลอนด์จะรับได้ไหว... เธอคร่ำครวญออกมาว่า
"ฉัน---ฉันจะไม่มอง..." เธอเบือนหน้าหนี ไม่ยอมมองเหล่าสหายของเธอถูกปู้ยี่ปู้ยำด้วยน้ำมือของจอมมารผมแดงที่ชั่วร้าย
"เธอไม่ยอมมองงั้นหรอ... ได้ ! ไม่เป็นไร---งั้นกินเข้าไปซะ !" สาวผมแดงนำโดนัทโรยน้ำตาลไอซิ่งของโปรดของกุ๊งกิ๊งยัดเข้าปากของสาวผมบลอนด์
ลิ้นของกุ๊งกิ๊งรับรสและสัมผัสถึงความหวานของน้ำตาลผงที่เธอคุ้นเคย ดวงตาของเธอเบิกโพลนเมื่อเนื้อเนียนละเอียดแข็งๆกรอบๆน่ากัดสีน้ำตาลพุ่งเข้าปากไป ทว่าชั่วพริบตาเดียวนั้นเองสาวผมแดงก็กระชากมันออกมาไม่ให้หญิงสาวกลืนมันลงคอพร้อมกับขยี้มันให้แหลกเละคามือของเธอ...
สาวผมแดงยังคงทรมานสาวผมบลอนด์ด้วยวิธีที่โหดร้ายทารุณ เธอยัดขนมปังกรุบกรอบและโดนัทรูปแท่งเข้าปากหญิงสาวและดึงมันออกมา ทำอย่างนั้นอยู่หลายรอบจนกุ๊งกิ๊งเริ่มที่จะเหนื่อยล้า ดวงตาของเธอเริ่มที่จะอิดโรย เพชฌฆาตสาวเห็นว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องเผด็จศึกแล้ว... เมื่อนั่นเอง
"จงดูสิ่งนี้ไว้ให้ดีๆซะยัยหัวทอง !"
สาวผมแดงเดินไปหยิบกะละมังที่วางไว้อยู่ตรงมุมห้องมาถึงหนึ่ง ด้านในนั้นมีน้ำโคลนสีดำสกปรกอยู่ประมาณครึ่งถังได้
"ธ--เธอจะได้ทำอะไร..." กุ๊งกิ๊งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอิดโรย
พรึ่บบ !
ทันใดนั้นเอง สาวผมแดงก็เทขนมหวานทั้งหมดที่อยู่ในลังลงน้ำโคลนที่อยู่ในกะละมังนั้น เธอเรียกสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นี้ว่า
'ลากไปลงบ่อแห่งความตายยังไงล่ะ ! วึฮะฮะฮะฮะ !'
"ม่าาาายยยย ! ม่าาาายยยย ! เธอทำอะไรลงไป !" กุ๊งกิ๊งได้แต่ร้องห่มร้องให้กับสิ่งที่สาวผมแดงพึ่งจะทำลงไป
เพชฌฆาตสาวเดินเข้าไปตัดเชือกที่มัดแขนกุ๊งกิ๊งออก สาวผมบลอนด์หลุดออกมาจากห้วงพันธนาการ เธอคลานมาดูเศษซากของเหล่าขนมหวานนอนจมบ่อแห่งความตายหรือน้ำโคลนด้วยแววตาแห่งความโศกเศร้าและเจ็บปวด สาวผมแดงยิ้มเยาะอย่างสะใจก่อนที่จะพูดออกมาว่า
"เอาล่ะ... เพื่อนๆของเธอตายหมดแล้ว เธอจะยอมเข้าร่วมชมรมโรงเรียนไอด้อลของชั้นได้หรือยัง หึหึหึ"
แต่ดูเหมือนสาวผมบลอนด์จะไม่สนใจอะไรอีกต่อไป... เธอเดินดุ่มๆไปหยิบกระเป๋าของเธอที่วางไว้อยู่ตรงมุมห้อง เธอไม่แม้แต่จะแหงนมองหน้าของคนที่กำลังยิ้มเยาะเธอจากด้านหลัง หญิงสาวเดินตรงไปที่ประตูห้อง เธอจะกลับบ้าน เมื่อสาวผมแดงเห็นดังนั้นจึงวิ่งตามไป
สาวผมบลอนด์ผลักประตูไม้ออกไป สาวผมแดงพยายามคว้ามือของสาวผมบลอนด์ไว้และในวินาทีที่หญิงสาวผลักบานประตูออกไปนั้นเอง...
สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามา
ณ ขณะนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มและดูเหมือนสภาพอากาศด้านนอกจะมีฝนฟ้าคะนอง
พายุฝนโหมกระหน่ำเข้ามาในคืนฤดูหนาว...
ทว่าในขณะที่สายลมกรรโชกพัดเข้ามากระทบบนใบหน้าทำให้เส้นผมของหญิงสาวทั้งสองปลิวไสว ณ ตอนนั้นเองก็มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งยืนกอดอกรออยู่หน้าห้อง
สาวผมยาวสีดำอีกคนซึ่งมีนัยน์สีม่วงเปล่งประกายประดุจดั่งอัญมณีอเมทิสต์ ส่องสว่างและทรงพลังแม้อยู่ในความมืด
แววต่างของหญิงสาวปริศนาอีกคนนั้นกำลังบ่งบอกว่าเธอมายืนรอ รับฟังและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องชมรมมาได้ระยะนคงแล้ว...
กุ๊งกิ๊งดูเหมือนจะตื่นตกใจกับหญิงสาวผู้มากับสายฝนคนนี้เนื่องจากเมื่อเธอเปิดประตูออกไปเธอก็พบกับเสียงฟ้าผ่าซึ่งมาพร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวโดยทันที
ดวงตาที่คมดุจเหยี่ยวของเธอจ้องเข้ามาที่นักเรียนสาวทั้งสองซึ่งอยู่ภายในห้อง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวและสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างหนักว่า...
"ไม่ทราบว่าพวกเธอทั้งสองคนคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ...คิดว่าที่ฉันทิ้งสถานที่อันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกและความตั้งใจแห่งนี้เอาไว้เพื่ออะไรกัน... เอาไว้เพื่อเป็นสนามเด็กเล่นให้พวกเธอมาทำเรื่องไร้สาระและสร้างความเสื่อมเสียให้อย่างงั้นหรอ..."
แววตาของเธอราวกับกำลังดูถูกเหยียดหยาม ทว่าก็แฝงและปนไปด้วยความรู้สึกเอือมระอา...และลึกๆด้านในนั้นคือแววตาแห่งความเศร้า
กุ๊งกิ๊งไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวปริศนาพูด ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้วผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นก็ไม่ได้ส่งสายตามาที่ตัวเธอซักเท่าไหร่...
ดูเหมือนทุกๆคำที่พูดออกมา เธอจะพยายามส่งผ่านตัวเธอ...ไปยังสาวผมแดงที่อยู่ด้านหลังเสียมากกว่า... ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
กุ๊งกิ๊งหันหลังไปดูที่สาวผมแดง... เธอกำลังยืนก้มหน้าราวกับรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำผิด ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกหรอก...แต่ที่สงสัยก็คือ...
ทั้งสองคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกันอย่างงั้นหรือ
"เสียแรงจริงๆ... ที่ฉันอุตส่าห์ฝากความหวังสุดท้ายเหล่านั้นไว้กับเธอ... สุดท้ายมันก็คงเป็นได้แค่ความหวังล้มๆแรงๆ ตกยุคล้าสมัยและเชยเกินไปสำหรับโลกแห่งความเป็นจริงในตอนนี้แล้วสินะ... ฉันคงจะโลกสวยเกินไป หึหึหึ ไม่เป็นไรหรอก..."
"พ---พี่ธาราคะ" 'ธารา'นั่นคือชื่อที่สาวผมแดงเอ่ยออกมาเพื่อใช้เรียกหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า รอยยิ้มอย่างสะใจที่อยู่บนใบหน้าของสาวผมแดงเมื่อซักครู่นี้ได้เลือนหายไปหมดเหลือเพียงสีหน้าของความรู้สึกผิดและพยายามจะเอ่ยปากขอโทษผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของเธอ...
"ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพี่หรอก... ก็เคยบอกไปแล้วไง ว่าไม่ต้องมาเรียกพวกฉันว่าเป็นรุ่นพี่... พวกเรายึดถือธรรมเนียมนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
"แต่ในเมื่อทุกๆอย่างมันเน่าเฟะแบบนี้.. สิ้นหวัง ไร้แสงสว่าง หมดสิ้นหนทาง... ก็ปล่อยให้มันเป็นแค่เทพนิยายที่ไม่มีอยู่จริงก็แล้วกัน... จะทำยังไงกับชมรมนี้ก็เชิญ แล้วต่อไปจะเรียกฉันว่าเป็นรุ่นพี่เหมือนเดิมก็ได้... เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างเรา มันคงไม่มีอีกต่อไปแล้ว..."
"มันก็คงเป็นได้เพียงแค่เรื่องแต่งที่ไม่มีวันเป็นจริงเท่านั้นแหละ"
เมื่อพูดจบ...หญิงสาวก็ค่อยๆเดินจากไป ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย
...
...
...
...
ซ่าาาา
เสียงหยาดน้ำฝนกำลังกระทบลงกับบานกระจกพร้อมกับแทรกด้วยเสียงฟ้าร้องโคร่มๆ
‘ผู้หญิงคนนั้นคือใครกันหรอ’
หลังจากที่ผู้หญิงปริศนาคนนั้นเดินจากไป บรรยากาศภายในห้องชมรมก็เข้าสู่ความเงียบงัน ทั้งสองฝ่ายต่างทำบรรยากาศอึมครึมใส่กันและกันราวกับว่าต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไม่ติดและทำอะไรไม่ถูก
กุ๊งกิ๊งเองที่ยังไม่ยอมไปไหนก็เนื่องจากเห็นปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนจนน่าขนลุกของสาวผมแดง จากรอยยิ้มสุดแก่นและแววตาแห่งความยียวนกวนประสาทภายในชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังบึ้งตึง แววตาของคนที่ไร้ชีวิต ไร้ความรู้สึกเหมือนกับแววตาของคนที่ไม่มีจุดหมาย กำลังหลงทาง
'หรือว่านั่นจะเป็นสิ่งที่นิยามตัวตนที่แท้จริงของเด็กผู้หญิงคนนี้'
เมื่อโดนหญิงสาวผมดำปริศนาต่อว่าอย่างรุนแรง เธอก็ได้แต่หันหลังกลับไปเก็บข้าวเก็บของที่อยู่ภายในห้องชมรม ให้กลับมาเรียบร้อย ดังเดิม
สาวผมบลอนด์เห็นท่าทีที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ไล่ตั้งแต่การที่เธอคนนั้นหยิบไม้ม็อบมาถูพื้นที่เปื้อนขนม เสร็จแล้วยังเอาไม้ขนไก่มาปัดฝุ่นแล้วก็เช็ดทำความสะอาดกระจกทุกๆบานราวกับว่าเธอกำลังทำกิจวัตรประจำวันของเธอ...
"เธอควรจะกลับบ้านไปได้แล้วนะ... นี่มันก็ค่ำแล้ว เพื่อนเธอไม่เป็นหวงแย่แล้วหรอ" สาวผมแดงเอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆพลางเช็ดถูกทำความสะอาดห้องไปเรื่อยๆ
[19.30 น.]
กุ๊งกิ๊งมองนาฬิกาข้อมือดิจิตัลของเธอก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความ มีข้อความของจีจี้ส่งเข้ามาทางไลน์เป็นจำนวนมาก ข้อความสุดท้ายเขียนเอาไว้ว่า
[ถ้าอีก 10 นาทีเธอยังไม่มาชั้นจะออกไปตามที่โรงเรียนแล้วนะ]
เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวจึงกดเข้าไปอ่านข้อความพร้อมกับพิมพ์ตอบกลับไปเป็นครั้งแรกว่า 'กำลังจะกลับแล้ว ไม่ต้องเป็นหวง'
"แค่สงสัยน่ะว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ..." สาวผมบลอนด์ตอบหญิงสาวที่กำลังเช็ดถูกระจกอยู่กลับไปตรงๆ
"หึ... เธอนี่เป็นคนชอบจุ้นจ้านอย่างที่คิดไว้เลยจริงๆ" สาวผมแดงพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะตอบกลับไปว่า
"เมื่อกี้น่ะก็ไม่มีอะไรหรอก... แค่เป็นรุ่นพี่ที่ก่อตั้งชมรมนี้น่ะ..." เธอพูดทั้งๆที่มือของเธอกำลังสั่นไหว... หญิงสาวไม่ยอมสบสายตากับกุ๊งกิ๊งเพราะว่าตอนนี้ตัวของเธอเหมือนกำลังเก็บกดอะไรบางอย่าง...
"เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาน่ะ...ก็ต้องขอโทษแล้วก็ขอบคุณเธอด้วยนะ" สาวผมแดงยังคงพูดต่อ
"มันแน่อยู่แล้วล่ะ เรื่องที่เธอต้องขอโทษน่ะ... ว่าแต่มาขอบคุณฉันเรื่องอะไรกัน" กุ๊งกิ๊งถามกลับไป
"ที่ยอมมาเป็นเพื่อนเล่นให้ฉันแกล้งยังไงล่ะ..."
"เอ๊ะ"
...
"ฉันน่ะบังคับใครไม่ได้หรอกนะ ที่ผ่านมาก็แค่ต้องการจะหาเพื่อนเล่นด้วยเฉยๆ ก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าฉันพยายามใส่ลูกล่อลูกชนเข้าไปบ้างเผื่อจะชวนเธอให้เข้ามาช่วยฟื้นฟูกิจกรรมชมรมนี้ขึ้นมาได้..."
"...แต่ก็รู้อยู่เต็มอกแหละว่าความคิดนั้นมันคงจะเป็นอะไรเชยๆที่ยังไงก็คงไม่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว... ฉันน่ะอยู่ชมรมนี้คนเดียวมาได้ปีครึ่งแล้ว เมื่อตอนที่ฉันอยู่ม.2 ฉันเข้าชมรมนี้มาแล้วก็พบว่ามีสมาชิกอยู่เป็นจำนวนมาก...แต่พอหลังจากนั้นได้ปีเดียวก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น ทำให้แต่ละคนพากันแยกย้ายออกจากชมรมไปกันหมด ...บ้างก็ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นสิ่งอื่นๆที่ตัวเองพบว่าชื่นชอบมากกว่า บางคนก็เห็นว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นและเป็นย้ำอยู่กับที่ซะเปล่าๆก็เลยไปทำอะไรอย่างอื่น ในขณะที่บางคนก็หมดความสนุกกับมัน..."
"จนสุดท้ายเหลือฉันอยู่แค่คนเดียว ...จริงอยู่ที่ชมรมนี้ยังมีสมาชิกอีกคนหนึ่งแต่เผอิญฉันก็คุยกับเธอคนนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ฉันเป็นคนให้เจ้าหมอนั่นไปจับตัวเธอยัดใส่ถุงขยะมาเองนั่นแหละ"
"อย่างงี้เองสินะ..." กุ๊งกิ๊งพูดขึ้นมา
...
"ฉันเองน่ะ ไม่มีอะไรพรสวรรค์อะไรและก็ไม่ได้มีอะไรที่สนใจเป็นพิเศษ เพื่อนก็ไม่มีเพราะว่าเที่ยวไปแกล้งชาวบ้านเค้าไว้เยอะ"
"เอ๊ะ..." คำพูดอะไรบางอย่างจากสาวผมแดง เข้าไปทำให้สาวผมบลอนด์รู้สึกสะดุดใจขึ้นมา แต่เธอก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
"เรื่องนั้นก็เห็นๆกันอยู่แหละนะ" เธอไม่ได้ใส่น้ำหนักอะไรเข้าไปในคำพูดนั้นถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นคำพูดที่ฟังดูเหมือนกำลังสมน้ำหน้าอยู่ก็ตาม
"หึ... เธอเองก็คงกำลังสมเพชในตัวฉันไม่ต่างจากคนอื่นๆหรอกสินะ..."
"..."
"ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่าสภานักเรียนจะแอบสนับสนุนและคอยช่วยเหลือชมรมๆนี้อยู่เบื้องหลัง ทั้งๆที่มันจะเหลือเพียงแค่ฉันคนเดียวก็ตาม ไม่รู้ว่าพวกเค้าเห็นอะไรในตัวฉัน..."
"ยังไงซะ ฉันว่าเราพอแค่นี้กันดีกว่านะ... เวลาเล่นสนุกของเรามันคงจะจบลงแต่เพียงเท่านี้แล้วล่ะ เธอเองก็ควรกลับบ้านได้แล้วเพราะฉันเองก็จะกลับเหมือนกัน..."
สาวผมแดงกล่าวบอกลา
'แยกย้ายกันกลับบ้านเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน'
"ว่าแต่ฉันเองจะขอถามอีกครั้งหนึ่ง... สนใจจะมาทำกิจกรรมชมรมร่วมกับฉันจริงๆมั้ยล่ะ หึๆๆ" ทว่าก่อนที่จะลากันจริงๆสาวผมแดงก็พูดออกมาในเชิงติดตลกนิดหน่อย แววตาของเธอในตอนนี้ช่างแลดูอ่อนโยนและไร้เดียงสา
"ฮ๊ะฮะฮ่าา ! แค่หยอกขำๆเล่นๆเท่านั้นแหละ... กลับกันเถอะนะ..."
...
เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ใบหน้าที่บูดบึ้ง อารมณ์ที่ผันเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและเรื่องราวบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในห้องชมรมโรงเรียนไอด้อลอันน่าฉงนแห่งนี้ ต่างพุ่งเข้ามาถาโถมใส่หญิงสาว
กุ๊งกิ๊งแทบที่จะตั้งรับมันไม่ทัน คำถามต่างๆเกิดขึ้นมากมายภายในหัวของเธอ...
หลังจากที่สาวผมแดงระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในจิตใจของเธอออกมาจนหมด ถึงแม้ว่าสาวผมบลอนด์จะไม่เข้าใจมันก็ตาม... ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่การระบายอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรงหรือหนักหน่วง เธอคนนั้นไม่ได้พยายามที่จะยัดเยียดความรู้สึกให้กับสาวผมบลอนด์... เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย... แต่เพราะถ้อยคำและความรู้สึกของอะไรบางอย่างที่แผ่ซ่านเข้ามา ...มันจึงทำให้กุ๊งกิ๊งรับรู้ถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้เป็นรูปเป็นร่าง...
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ลืมที่จะถามชื่อของหญิงสาวผมแดงคนนั้นว่า...
"แล้วเธอชื่ออะไรกันล่ะ...ย---ยังไม่รู้ชื่อของเธอเลย ฉันชื่อกุ๊งกิ๊งนะ รู้จักกันไว้ก็คงไม่เสียหายอะไรหรอก---มั้ง" น้ำเสียงของเธอดูลังเลไม่เบา
...
...
สาวผมแดงนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
แววตาของเธอคู่นั้นดูอ่อนโยนลง ก่อนที่จะมีรอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ…
เธอตอบกลับไปว่า...
“ฉันชื่อ'เซี๊ยะ' ยินดีที่ได้รู้จักนะ"
...
|
|
|
Post by GreyTear on Jul 5, 2018 11:55:46 GMT
'...โลกแห่งจินตนาการนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เค้ามาโดยตลอด...'
เด็กสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายอนิเมะของประเทศญี่ปุ่นอยู่
'...ตั้งแต่เด็กๆ เค้าคิดมาตลอดว่าศิลปินที่ร้อยเรียงเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้และถ่ายทอดมันออกมาได้ จะต้องมีเวทมนตร์คอยนำทางหัวใจอยู่แน่ๆ... เช่นมีเสียงกระซิบคอยบอกว่าควรที่จะเริ่มต้นเรื่องราวของตัวเองอย่างไร ผจญภัยไปที่ใดและระหว่างการเดินทางจะต้องพานพบกับผู้ใด...'
เด็กสาวคนเดิม...กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องสมุด บนหน้าปกของหนังสือมีตัวอักษรเล็กๆเขียนเอาไว้อยู่ว่า [หมวดนิยาย : เรื่องราวยามพระอาทิตย์ตกดิน]
'...เคยคิดอยากที่จะสร้างเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาบ้างเหมือนกัน'
เด็กสาว...กำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ข้างๆตัวเธอมีแผ่นกระดาษ ดูเหมือนเธอกำลังจะพิมพ์เรื่องสั้นหรือเรื่องเล่าหรือนิยายอะไรบางอย่างตามแบบร่างที่อยู่ภายในแผ่นกระดาษของเธอ
'...แต่เมื่อลองทำดู ก็พบว่านั่นมันก็ยากเกินไปสำหรับเค้าสินะ ฮะๆๆ... เค้าตัดสินใจเลิกล้มความคิด ไม่สิ...แค่หยุดพักความคิดนั้นเอาไว้ก่อน แล้วหันไปลองสวมบทบาทเป็นสิ่งที่อยู่ในแรงบันดาลใจของตัวเองดูบ้าง... เพื่อจะรู้และเข้าใจว่าพวกนั้นคิดยังไง เผื่อว่าซักวันหนึ่งเค้าจะกลับมาสวมบทบาทที่เป็นตัวตนของตัวเองอีกครั้งและวันนั้นเค้าค่อยเริ่มเขียนเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาใหม่ก็ได้...'
เข็มหมุดเย็บผ้า ด้ายไหม ของตกแต่งและอุปกรณ์จำนวนมากวางเกลื่อนกราดอยู่ภายในห้องของเด็กสาว อุปกรณ์เหล่านั้นต่างมีลวดลายแบบเดียวกับที่เคยเห็นในอนิเมะหรือคล้ายคลึงกับพวกวัฒนธรรมญี่ปุ่น
...
'...แต่ดูเหมือนว่าเมื่อพอทำอย่างงี้แล้ว ...เรื่องราวที่เค้าพยายามไขว่คว้ามาโดยตลอด มันชักจะค่อยๆอยู่ไกลออกไป ไกลออกไป... เรื่องราวของเค้าตอนนี้มันอยู่ที่ใดกันแน่'
ตอนที่ 3 : เรื่องราวที่พร้อมจะเริ่มต้น...
'ตอนนี้เธอก็เรียกได้ว่าเป็นสมาชิกชมรมโรงเรียนไอด้อลอย่างเป็นทางการแล้ว แต่แค่เป็นเฉยๆก็พอแล้วล่ะ...ไม่ต้องเข้าชมรม ไม่ต้องทำกิจกรรม เพียงแค่ช่วยอะไรฉันนิดๆหน่อยๆในคราวที่ฉันต้องการให้ช่วยก็พอ คิดซะว่าเราเป็นหุ้นส่วนกันก็แล้วกัน ...เพราะกับสมาชิกอีกคนนึงฉันก็ทำแบบนี้'
'แบบนี้น่ะ... มันดีแล้วจริงๆหรอ ฉันเองก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ...แต่ทำแบบนี้น่ะ ความหวังและการสนับสนุนที่สภานักเรียนมีให้กับตัวเธอ มันจะสูญเปล่าเอานะ...'
'...แล้วพวกนั้นต้องการอะไรจากฉันกันแน่หรอ... สิ่งที่พวกนั้นทำก็แค่คาดหวัง แต่ไม่ทำอะไรซักอย่าง ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างฉันต้องเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองหรือยังไง... ว่าแต่ตัวเธอเองเถอะ... ที่พูดมาแบบนี้ ยังกะว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างงั้นแหละ'
...
ที่สนามวอลเล่ย์บอล
กุ๊งกิ๊งนั่งนึกถึงบทสนทนาระหว่างตัวเองกับ'เซี๊ยะ'ประธานชมรมโรงเรียนไอด้อลหรือ'สาวผมแดงจอมแก่น'ที่แกล้งเธอหลายครั้งก่อนหน้านี้
ระหว่างที่สาวน้อยผมบลอนด์กำลังเหม่อลอยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีอะไรเย็นๆเข้ามาสัมผัสที่แก้มของเธอทำเอาตัวของสาวน้อยสะดุ้งเฮือกขึ้นมาเพราะความเสียว
เมื่อกุ๊งกิ๊งหันไปก็พบกับเพื่อนสาวหน้าสวยตาคมของเธอหรือจีจี้
"อ่าวจีจี้ ? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงอะ" สาวผมบลอนด์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเนื่องจากว่านี่มันกำลังในอยู่ช่วงของคาบพละซึ่งปกติแต่ละห้องก็จะเรียนแยกกันอยู่แล้ว แต่จีจี้ซึ่งอยู่ห้องอื่นกลับมาปรากฏตัวที่นี่ได้
"อาจารย์ปล่อยให้พักน่ะก็เลยกะว่าจะเอ้อระเหยแล้วก็ขึ้นห้องเรียนช้าซักนิดนึง" สาวสวยผมดำดูเหมือนกำลังจะอารมณ์ดี เธอพูดตรงๆแบบนั้นออกมาพร้อมกับทำเป็นผิวปาก ดูเหมือนหญิงสาวจะกำลังชิลล์อยู่มากๆ
"เห๋ ? ! เธอเป็นคนแบบนี้จริงหรือเนี่ยจีจี้... ชั้นชักจะต้องมองเธอใหม่ซะแล้ว (กระซิบกับตัวเอง)'รู้จักกันมาเดือนกว่าๆธาตุแท้เริ่มออกแล้วสินะ'" สาวผมบลอนด์หรี่ตาลงพร้อมกับชำเลืองมองไปที่จีจี้ด้วยสายตาที่แปลกไป
"เธออย่ามองชั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอย่างงั้นสิ ! ชั้นก็แค่แวะออกมาเจอเพื่อนสนิทเฉยๆเอง" สาวผมดำตอบกลับไป เมื่อนั้นเองก็มีกลุ่มเพื่อนๆจากห้องของจีจี้ลงมาตามหญิงสาวให้กลับไปขึ้นเรียน "เน้...จีจี้อาจารย์ให้ลงมาตามน่ะ กลับเข้าห้องเรียนได้แล้ว"
"อ๊ะะ ! เพื่อนในห้องลงมาตามแล้วไปก่อนน๊าา... จ้าๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ" เพื่อนสาวบอกลาก่อนที่จะรีบวิ่งกลับขึ้นอาคารเรียนไป เธอทิ้งกระป๋องเกลือแร่สีเหลืองไว้ข้างๆตัวสาวผมบลอนด์ ดูเหมือนจะจงใจซื้อมาฝากเนื่องจากเห็นว่าเสื้อพละของสาวผมบลอนด์เปียกโชกไปด้วยเหงื่อหมดแล้ว
กุ๊งกิ๊งหยิบกระป๋องเกลือแร่นั้นขึ้นมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดฝากระป๋องและค่อยๆยกดื่ม ขณะนี้ก็เป็นช่วงพักของคาบพละที่นักเรียนสาวกำลังเรียนอยู่เหมือนกัน
สำหรับเด็กนักเรียนชั้นม.4 ถ้าเป็นสายวิทย์-คณิตจะได้เรียนวิชาพละทั้งหมดหนึ่งคาบต่อสัปดาห์หรือ 50 นาที โดยวิชาเรียนในเทอมที่สองก็คือ 'วอลเล่ย์บอล' แต่ทว่า...
ตึก ตึก ตึก ตึก
จู่ๆก็มีเสียงลูกบาสเก็ตบอลกำลังกระทบอยู่กับพื้นดังขึ้นมา กุ๊งกิ๊งได้ยินจากในระยะใกล้ทว่ามันไม่ได้อยู่ด้านหน้าของเธอ
"เน้ !! อย่าเอาลูกบาสมาเล่นแทนลูกวอลเล่ย์อย่างงั้นสิ ! มันอันตรายนะ" เสียงใสๆของนักเรียนสาวคนหนึ่งกำลังตะโกนบอกเด็กผู้ชายที่กำลังเล่นพิเรนทร์เอาลูกบาสที่มีความแข็งมากกว่าลูกวอลเล่ย์หลายเท่ามาตบข้ามตะข่ายกันซะอย่างงั้น แต่จะมีหรือที่น้ำเสียงอันนุ่มนวลของหญิงสาวจะห้ามชายหนุ่มวัยกำลังคะนองได้
ตึก ตึก ตึก ตึก พรึ่บบ !
และทันใดนั้นเองลูกบาสทรงกลมขนาดมาตรฐานลมเต็มลูกก็พุ่งเข้าไปอัดใส่เต็มใบหน้าของนักเรียนหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ชายหนุ่มคนนั้นล่วงลงไป
"เฮ้ยย ! ไอ้เฟิร์สท์เป็นอะไรหรือเปล่า" เสียงตะโกนจากเพื่อนๆดังตามมา แต่ดูเหมือนลูกบาสเจ้ากรรมจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันกระดอนลอยไปในทิศทางที่ตรงกับศีรษะของอาจารย์ประจำวิชาในอัตราเร็วที่แทบไม่ลดลงเลย
"เฮ้ยย ! ลูกบาสจะลอยไปโดนหัวอาจารย์ พวกมึงรีบๆไปสกัดไว้ก่อนเร็ว ไม่งั้นโดนแน่ๆ !" เสียงนักเรียนหนุ่มให้สัญญาณกันแต่ทว่า...
"ฮึบบ !" "ย้าาากกก !" "หยาาาา !" "ฮึ่ยยย่าา !" นักเรียนชายกว่าเจ็ดคนที่พยายามกระโดดลอยตัวเข้าไปสกัด กลับไม่มีใครที่สามารถทะยานเข้าไปสัมผัสลูกบาสลูกนั้นได้เลย ต่างคนต่างจั่วลมกันหมด
สถานการณ์กำลังเข้าขั้นวิกฤต อีกไม่กี่คืบลูกบาสลูกนั้นก็จะพุ่งเข้าไปหาศีรษะของอาจารย์ท่านนั้นอยู่แล้ว...
...แต่ทว่าทันใดนั้นเอง ณ เสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่ลูกบาสเก็ตบอลจะโดนศีรษะ ก็มีนักเรียนสาวผมสั้นคนหนึ่งสวมบทวีรสตรีพุ่งเข้ามาชกบอลให้ลอยออกไปจากหัวอาจารย์คนนั้นได้อย่างหวุดหวิด เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆแต่สามารถทำให้นักเรียนชายทั้งแปดคนที่เล่น'วอลเล่ย์บาสเก็ตบอล'รอดพ้นจากการถูกอาจารย์ทำโทษได้...
...ซะเมื่อไหร่
โป้กกก !!
"กุ๊งกิ๊ง !!"
ลูกบาสลูกนั้นลอยพ้นออกจากหัวของอาจารย์คนนั้นก็จริงแต่มันดันเปลี่ยนทิศทางและพุ่งไปกระแทกเข้าที่หัวของสาวผมบลอนด์ที่มีชื่อว่า'กุ๊งกิ๊ง'อย่างเต็มๆ
ทั้งนักเรียนชายและนักเรียนหญิงที่ปัดลูกบาสเมื่อตะกี้ต่างยืนตาค้างและช็อคสินิม่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น... เสียงเอะอะโวยวายจากคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ค่อยๆดังขึ้นมาเมื่อเห็นรอยเลือดของกุ๊งกิ๊งไหลออกมาจากศีรษะที่พึ่งแตกและร่างที่นอนราบแน่นิ่งลงไปกับพื้น
"ไหน ! ใครมันทำบ้าอะไรกันวะ !" อาจารย์วิชาพละเมื่อรู้ตัวก็กล่าวขึ้นมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวก่อนที่จะสั่งให้นักเรียนชายพวกนั้นวิดพื้นไปร้อยกว่าทีเพื่อเป็นการทำโทษ
ในขณะที่นักเรียนสาวผมสั้นซึ่งเป็นคนที่วิ่งเข้าไปสกัดลูกบาสแล้วเผอิญมันลอยไปโดนหัวกุ๊งกิ๊งโดยอุบัติเหตุเป็นคนอาสาอุ้มสาวน้อยที่กำลังหมดสติไปห้องพยาบาลด้วยตัวของเธอเอง
...
ที่ห้องพยาบาล
"อ---อะ---โอ้ย...เจ็บจัง" นักเรียนสาวผมบลอนด์รู้สึกตัวขึ้นมาก่อนที่จะค่อยๆเอามือกุมไปที่ศีรษะของตัวเองพร้อมกับพูดออกมาด้วยเสียงอ่อนระทวย เธอรู้สึกราวกับว่ามีอะไรหนักๆมากดทับอยู่บนหัวของเธอ สิ่งที่หญิงสาวจำความได้คือเธอกำลังนั่งดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่อยู่ดีๆและทันใดนั้นเองก็มีเหตุการณ์อะไรก็ไม่รู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแต่เธอจำได้ว่ามันมีเสียง'ปักก !'หรือ'โป้กก !'หรืออะไรบางอย่างที่เป็นเสียงของการกระทบที่หนักหน่วงแต่หลังจากนั้นทุกๆอย่างก็มืดไปหมด
กุ๊งกิ๊งสัมผัสได้ถึงเตียงนอนเรียบๆแต่ไม่ได้เป็นเตียงนอนที่ชวนให้รู้สึกอยากหลับแบบปุยนุ่นอันแสนสบายที่บ้านของเธอ หญิงสาวมองเห็นผ้าห่มสีขาวๆเหนือตัวของเธอเมื่อนั้นเองเธอจึงรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในห้องพยาบาล
'เอ๊ะ...ห้องพยาบาลงั้นหรอ' สาวน้อยจำได้เนื่องจากเคยพาเพื่อนสาวอย่างจีจี้มาที่ห้องนี้แล้วครั้งนึง
ฟรึ่บบ
เสียงผ้าม่านที่กั้นเตียงอยู่ถูกเลื่อนออก กุ๊งกิ๊งพบกับใบหน้าของนักเรียนสาวผมสั้นสีน้ำตาลโอ๊คคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ศีรษะของเธอ นัยน์ตาของเธอเป็นสีโกเมน ดวงตากลมโตหางตางอนลงดูน่ารัก โครงหน้าค่อนข้างกลมแต่ก็เข้ากันดีกับทรงผมและแววตาน่ารักขี้เล่นของเธอ
"อ๊ะ ! เธอตื่นแล้วหนิ"
สาวหน้าตาน่ารักคนนั้นกล่าวขึ้นมา
"งัวเงียๆๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรออว์ว์----หาวววว" กุ๊งกิ๊งพูดขึ้นมาอย่างงัวเงียไม่เป็นภาษาพร้อมกับขยี้ตาของเธอเล็กน้อยก่อนที่จะหาวออกมาหนึ่งหวอดใหญ่ๆ ลักษณะอาการของเธอไม่เหมือนกับคนที่พึ่งโดนอะไรแข็งๆกระแทกหัวจนสลบไปซักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนคนที่พึ่งจะตื่นนอนเสียมากกว่า
"อ้ออ แฮะๆๆ คือว่า...ในเมื่อเธอตื่นแล้ว...ก่อนอื่นเลย...---ต้องขอโทษด้วยนะคะ !" สาวผมน้ำตาลอยู่ดีๆก็ก้มหัวไหว้ขอโทษกุ๊งกิ๊งอย่างกะทันหัน หญิงสาวที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและเพราะเหตุใดที่จู่ๆสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าก็มากล่าวขอโทษจึงเกิดอาการงงงวยไม่เบาก่อนที่จะถามว่า
"อ---เอ๊ะ ! เกิดอะไรขึ้นหรอ ทำไมอยู่ดีๆก็มาขอโทษชั้นล่ะ ! ? แล้วก็อย่าไหว้คนรุ่นเดียวกันสิ เดี๋ยวชั้นก็อายุสั้นหรอก"
สาวผมสั้นเมื่อได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับไปว่า
"พอดีชั้นชกลูกบาสไปชนหัวของเธอน่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะ เค้าขอโต๊ดดด !" เมื่อพูดเสร็จเธอก็พนมมือขึ้นมาพร้อมกับก้มหัวไหว้สาวผมบลอนด์อีกครั้ง กุ๊งกิ๊งเมื่อเห็นดังนั้นจึงต้องรีบเข้าไปประครองตัวของสาวผมสั้นขึ้นเพราะรู้สึกเกรงใจและไม่อยากให้ตัวเองอายุสั้นไปมากกว่านี้ เธอเอ่ยปากถามสาวผมสั้นกลับไปอีกครั้งว่า
"เอ๋ ? เธอจะเป็นคนชกลูกบาสมาชนหัวของชั้นได้ยังไงน่ะ เพราะถ้าจำไม่ผิด เป็นพวกผู้ชายไม่ใช่หรอที่เล่นพิเรนทร์ไปเอาลูกบาสมาตบข้ามตะข่ายกันน่ะ" หญิงสาวดูเหมือนจะจำสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่ลูกบาสจะมาชนหัวเธอได้ลางๆ เห็นอย่างงี้เธอก็เป็นผู้หญิงที่ความจำแม่นเอาเรื่องเหมือนกัน
"จริงๆมันก็เป็นอย่างที่เธอพูดนั่นแหละ... แต่เผอิญพวกนั้นไม่ได้เป็นคนตบลูกบอลมาโดนหัวของเธอหรอกนะ ทีแรกมันกำลังจะพุ่งไปโดนหัวของอาจารย์น่ะ ชั้นก็เลยรีบวิ่งเข้าไปสกัดแล้วมันดันสกัดไปโดนหัวของเธอแทนน่ะสิ ยังไงก็ขอโทษอีกรอบนะ.....เค้าขอโต๊ดดด !"
เป็นรอบที่สามแล้วที่สาวน้อยผมสั้นกล่าวขอโทษกุ๊งกิ๊งด้วยท่าทีที่รู้สึกผิดมากๆ ซึ่งเมื่อสาวผมบลอนด์ได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วเธอก็เอากำปั้นทุบกับมือตัวเองพร้อมกับบอกกลับไปว่า
"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของเธอนี่นา ! เป็นความผิดของพวกผู้ชายล้วนๆที่ไปเล่นพิเรนทร์ๆแบบนั้นตั้งแต่แรก...แถมพวกนั้นยังโยนความผิดมาให้เธอคนเดียวอีก ไม่รู้จักรับผิดชอบกันเลย ! อย่างงี้ต้องกลับไปสั่งสอนแล้วเจ้าพวกผู้ชายบ้า ! พวกนั้นมีใครกันบ้างนะ ?"
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"อ---เอ่อ คือว่า...มีพวกเฟิร์สท์แล้วก็เพื่อนๆ...--ต--แต่ว่าพวกนั้นก็โดนอาจารย์ลงโทษไปแล้วนะ ทางทีดี ชั้นว่าปล่อยพวกนั้นไปเถอะ แฮะๆๆ"
สาวผมสั้นพูดชื่อตัวการที่ทำกุ๊งกิ๊งหัวแตกออกมาแต่เธอก็พยายามห้ามปรามสาวผมบลอนด์ว่าอย่าไปเอาเรื่องผู้ชายพวกนั้นเลยจะดีกว่า
"เหอะว์ว์ !! เจ้าพวกนั้นเองเหรอ... ได้เวลาเช็คบิลแล้ว..."
หญิงสาวยิ้มกรุ้มกริ่มออกมาพร้อมกับแสดงแววตาแห่งด้านมืดภายในจิตใจซึ่งแทบไม่มีใครเคยเห็นด้านนี้ในตัวเธอมาก่อน เธอบีบกระดูกนิ้วมือตัวเองดังเป็นเสียงกร็อกๆก่อนที่จะเดินสยาย อกผายไหล่ผึ่งออกจากห้องพยาบาลไป... เท่านั้นไม่พอเธอยังปัดผ้าพันแผลบนหัวของเธอให้ล่วงลงพื้นราวกับตัวเองไร้ซึ่งบาดแผลใดๆอีกด้วย สาวผมสั้นเมื่อเห็นท่าทีที่ราวกับหลุดออกมาจากในตระกูลนักเลงอย่างนั้นจึงถึงกับตะลึงขึ้นมา
"นี่เธอ(ชี้ไปที่สาวผมสั้น)...สหายสาวของข้า...ได้เพลาที่พวกเราจะต้องไปทวงสิทธิของสตรีกลับคืนมาแล้ว ! จงไปแสดงพลังของหญิงแกร่งให้ผู้ชายพวกนั้นรู้กัน !" กุ๊งกิ๊งพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่น ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เธอตื่นขึ้นมาจากห้องพยาบาล หญิงสาวก็เปลี่ยนกลายเป็นคนละคน
"น---นี่คุณคะ ! (ถึงกับต้องเปลี่ยนสรรพนามจากเธอเป็นคุณเพื่อเพิ่มความห่างเหิน) ไม่ทราบว่าแรงกระแทกทำให้สมองกระทบกระเทือนหรือเปล่า..." สาวผมสีน้ำตาลต้องรีบวิ่งตามสาวผมบลอนด์ผู้ที่ไฟแห่งเฟมินิสต์กำลังลุกโชนอยู่คนนั้นไป
...
หลังจากนั้นได้ไม่นาน... ที่สนามวอลเล่ย์บอล ณ จุดเดิมที่เธอถูกลูกบาสอัดใส่ กุ๊งกิ๊งที่หายไปร่วมๆครึ่งชั่วโมง เมื่อกลับมาก็พบว่าคาบเรียนพึ่งจะหมดเวลาไปและก็กำลังเข้าสู่ช่วงพักเที่ยงแล้ว คนก็เริ่มพลุกพล่าน
อาจารย์ประจำวิชาพึ่งจะปล่อยนักเรียนให้ไปทานข้าวได้ไม่นาน หญิงสาวก็เดินดุ่มๆเข้ามาพร้อมกับสาวน้อยผมสีน้ำตาลที่พยายามเกาะแขนและรั้งเอาไว้จากด้านหลัง
"อย่าเลยนะคะ ! อย่าไปหาเรื่องกับพวกเด็กผู้ชายเลย เราเป็นแค่เด็กผู้หญิงอ่อนแอนะคะ !" สาวผมสั้นพยายามห้ามแต่กุ๊งกิ๊งนั้นไม่ฟัง เธอพุ่งเข้าไปคว้าร่างของนักเรียนชายคนหนึ่งไว้ พร้อมกับ...
"ตายซะเจ้าเฟิร์สท์ ! กระบวนท่ามฤตยูปรับทัศนคติถล่มดวงดาว !!!" [SUPER Planet Neptunia ATTITUDE ADJUSTMENT !]
บึ้มมม !!
ทันใดนั้นเองร่างของนักเรียนชายคนนั้นก็นอนหงายแน่นิ่งเนื่องจากถูกสาวผมบลอนด์จับแบกไว้บนบ่าแล้วก็ทุ่มลงมาอย่างรุนแรงจนพื้นคอนกรีตแทบทะลุ
"โอ้โห้ ! รุนแรงมาก !" สาวน้อยผมสั้นถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นรัศมีและพลังแห่งการทำลายล้างนั้น ออร่าแห่งนักสู้สาวเปล่งประกายออกมาจนคนที่อยู่แถวๆนั้นเมื่อได้ประจักษ์เห็นก็ถึงกับพากันปรบมือรัวๆ
"เฮืออกกก ! เจ้าพลังนี้มัน...! ?" รัศมีแห่งพลังของกุ๊งกิ๊งแผ่ไปถึงห้องชมรมโรงเรียนไอด้อลที่อยู่ไกลออกไปจนสาวลักพาตัวก็ถึงกับอึ้งออกมาเหมือนกันเมื่อสัมผัสถึงพลังนั้น
แม้แต่ชั้นบนสุดของอาคารเรียน...
"ยัยผมบลอนด์สมองทึ่มเป็นพวกบ้าพลังขนาดนี้เชียวหรอนี่" เซี๊ยะที่กำลังยืนสังเกตการณ์อยู่บนด่านฟ้าก็ถึงกับพูดออกมาด้วยความอึ้งและปรบมือให้
แม้แต่ช่วงเวลาถัดจากนี้ไปอีกประมาณสิบห้านาทีก็มีคนมาบอกข่าวเรื่องนี้กับจีจี้ สาวผมดำจึงมีปฏิกิริยากับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “ฮะ ! กุ๊งกิ๊งต่อยกับเด็กผู้ชายจนอีกฝ่ายล่วงลงไปนอนกองหรอ ! ?”
...
...
แต่ภายในมุมมืดใต้อาคารเรียนที่อยู่ใกล้ๆกับที่เกิดเหตุนั้นเอง...
"หึ... ผู้หญิงคนนี้เองอย่างงั้นหรอ"
นักเรียนชายผิวขาวใบหน้าเหม่อลอยแต่กลับแฝงไปด้วยแววตาแห่งความน่ากลัวคนหนึ่งกำลังมองรูปภาพของหญิงสาวที่อยู่บนหน้าจอแท็บเล็ทของตัวเองอยู่... เขามองผู้หญิงที่อยู่ในรูป สลับกับกุ๊งกิ๊งที่เค้ากำลังแอบมองดูอยู่
"คนนี้เองสินะ... ที่จะนำชมรมโรงเรียนไอด้อลกลับมา"
...
...
หลังเลิกเรียน
เข็มสั้นและเข็มยาวบนหอคอยนาฬิกาชี้ที่เลขสี่และเลขเจ็ดบอกเวลาสี่โมงสามสิบห้านาที
บรรยากาศยามเย็นของวันนี้ก็เป็นเหมือนกับช่วงเวลาหลังโรงเรียนเลิกเรียนของทุกๆวัน ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีส้มเช่นเดียวกับพื้นดินที่ฉาบไปด้วยแสงตะวัน
กุ๊งกิ๊งเดินลงบันไดอาคารเรียนมาพร้อมกับเพื่อนสาวคนใหม่ของเธอซึ่งก็คือสาวผมสั้นที่พาเธอไปส่งที่ห้องพยาบาลเมื่อตอนที่เธอสลบไปในคาบพละ
ที่ทางเดินใต้อาคารเรียนมีสาวผมดำกำลังยืนกอดอกรออยู่ตรงบริเวณม้านั่ง ผู้หญิงคนนั้นก็คือจีจี้ เธอกำลังจ้องมองมาที่กุ๊งกิ๊งด้วยแววตาขมึงทึงราวกับพ่อแม่ที่ทราบข่าวมาว่าลูกตัวเองพึ่งไปทำความผิดอะไรมาซักอย่าง
เมื่อกุ๊งกิ๊งเห็นเพื่อนสาวคนสนิท เธอจึงรีบจูงมือพาเพื่อนใหม่คนนั้นลงบันไดมาก่อนที่จะแนะนำให้จีจี้รู้จักว่า...
"งาายยย จีจี้ นี่คือเพื่อนร่วมห้องของชั้นเองชื่อว่า---" สาวผมบลอนด์กำลังจะพูดชื่อของสาวผมสั้นคนนั้นแต่ก็โดนเธอชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า
"---ชื่อว่า'รัน'จะ ส่วนเธอก็คงจะเป็นจีจี้สินะ แหม่คนดังของโรงเรียนแบบนี้ใครก็รู้จัก..." สาวผมสั้นสีน้ำตาลโอ๊คกล่าวแนะนำตัวด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม เสียงใสๆของสาวผมสั้นคนนั้นทำเอาเคลิบเคลิ้มไม่เบาเลยทีเดียว เมื่อจีจี้ได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เธอยิ้มขึ้นมาก่อนที่จะตอบกลับไปว่า
"อ๋ออแฮะๆ ยินดีที่ได้รู้จัก ...ชั้นเองก็ไม่ได้เป็นคนเด่นคนดังอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ว่าเธอเองก็ระวังตัวดีๆด้วยนะเพราะไปเลือกคบกับผู้หญิงอันตรายอย่างยัยคนนี้น่ะ"
"เอ๋ ? ! ทำไมถึงมาว่าว่าชั้นเป็นผู้หญิงอันตรายอย่างงั้นล่ะจีจี้ !" สาวผมบลอนด์ทำหน้าเหวอออกมาพร้อมกับชี้หน้าไปที่เพื่อนสาวคนสนิทของเธอ เมื่อนั้นเองสาวผมดำจึงมองจิกเข้าไปในดวงตาของกุ๊งกิ๊งพร้อมกับพูดออกมาว่า
"แหม่...ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไร้เดียงสานะเธอน่ะ เมื่อตอนเที่ยงได้ข่าวว่าไปชกกับผู้ชายจนทางนั้นล่วงลงไปนอนกองเลยไม่ใช่หรอ นี่เธอระวังตัวไว้ให้ดีๆเถอะ พวกอันธพาลในโรงเรียนนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆนะ" หญิงสาวบ่นออกมาแต่ความจริงแล้วเธอก็แค่เป็นหวงเพื่อนสนิทของเธอ
"ไม่ได้ชกซะหน่อย แค่จับทุ่มเฉยๆ" ทว่าสาวผมบลอนด์กลับแก้ตัวอย่างงี้
"คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง..." แม้แต่รันที่เป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ยังถึงกับต้องพูดอวยพรขึ้นมาอีกครั้ง
"เฮ้ออ...เอาเถอะ--- ไหนๆก็ได้เพื่อนใหม่ทั้งที วันนี้ไปหาอะไรกิน...หรือหาร้านอะไรนั่งชิลล์ๆนอกหอกันดีมั้ย" จีจี้ถอนหายใจ ก่อนที่เธอจะเสนอให้หญิงสาวทั้งสามไปหาอะไรกินกันที่ร้านอาหารหรือไม่ก็ร้านกาแฟสวยๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
"ได้ๆ ! ชั้นรู้จักอยู่ร้านนึงน่ะเป็นร้านคาเฟ่แต่ไกลจากหอของเรานิดหน่อยอะนะ บ้านของรันอยู่ไหนหรอเผื่อว่าถ้ามันไกลจากบ้านรันเกินจะได้ไม่ไป" กุ๊งกิ๊งเหมือนจะไปรู้จักร้านคาเฟ่ที่ไหนซักร้านซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจเหมือนกันที่เด็กสาวที่พึ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นานจะรู้พิกัดร้านน่านั่งเร็วขนาดนี้
"บ้านชั้นอยู่ในหมู่บ้านเนเบอร์สคลับน่ะ" รันบอกชื่อหมู่บ้านของเธอ
"อ๋ออ...หมู่บ้านเนเบอร์สคลับสินะ...หืมมม...ไกลหรือเปล่านาาา" สาวผมบลอนด์ทำท่าเหมือนคนกำลังครุ่นคิดแต่ความจริงแล้วเธอไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าหมู่บ้านเนเบอร์สคลับนั้นมันอยู่ตรงไหน ทันใดนั้นเองจีจี้ก็พูดแทรกขึ้นมาว่า
"ชั้นไม่แน่ใจหรอกนะว่าใช่หรือเปล่า แต่ร้านที่เธอว่าน่ะใช่ร้านที่ชื่อว่า 'Sky Cafe' หรือเปล่า"
"ใช่ๆ ! ชื่อร้านนั้นแหละ !" กุ๊งกิ๊งตอบรับด้วยน้ำเสียงเริงร่าทันทีที่ได้ยินชื่อร้านๆนั้น
"---ไม่ทราบว่าหล่อนไปรู้จักร้านที่อยู่ไกลแสนไกลอย่างงั้นได้ยังไงกัน... แต่ก็เอาเถอะ สำหรับชั้นน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แถมร้านนั้นก็อยู่ติดๆกับหมู่บ้านเนเบอร์สคลับอีกด้วย ถ้าอย่างงั้นไปลองนั่งที่คาเฟ่ร้านนั้นดูก็ได้เพราะชั้นเองก็ไม่เคยไปเหมือนกัน"
สาวผมดำรู้สึกประหลาดใจไม่เบาที่กุ๊งกิ๊งดันไปรู้จักร้านกาแฟที่แม้แต่เธอก็ไม่เคยเข้าแบบนั้น ถึงอย่างไรก็ตาม ก็เป็นอันตกลงว่าสามสาวจะไปลองสนุกสนานกันที่ร้านกาแฟร้านนั้นดู
...
ร้านกาแฟ 'Sky Cafe'
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
เสียงกระดิ่งที่ห้อยอยู่กับประตูทางเข้าร้านกาแฟดังขึ้นเมื่อมีลูกค้าเดินเข้ามา
หลังประตูกระจกของร้านมีป้ายเขียนห้อยเอาไว้ว่า 'OPEN' หันออกไปด้านนอกร้าน
ร้านกาแฟขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่แห่งนี้มีลักษณะคล้ายๆบ้านเดี่ยวสองชั้นโดยด้านหน้าร้านมีก้อนเมฆและพระอาทิตย์ขนาดใหญ่ติดไว้อยู่บนหลังคาเป็นสัญลักษณ์ประจำร้าน เนื้อที่ด้านในดูไม่กว้างมากนัก เป็นร้านกาแฟที่มีที่นั่งพอสำหรับคนประมาณยี่สิบกว่าคน โดยมีทั้งที่นั่งที่เป็นโซฟา ที่นั่งเอนหลังแบบสบายและก็มีเป็นโต๊ะไม้เหมือนโต๊ะอาหารธรรมดาเพราะนอกจากร้านนี้จะขายกาแฟแล้วยังมีเมนูอาหารตามสั่งราคาปานกลางอีกด้วย ซึ่งโทนสีการตกแต่งของร้านๆนี้ก็ออกไปทางสีฟ้าคราม สีเหลืองแบบหาดทรายแล้วก็สีขาวนอกจากนั้นยังมีสติ๊กเกอร์รูปเมฆและรูปภาพของท้องฟ้า นภา อากาศใส่กรอบรูปแขวนไว้บนผนังอย่างดีเพื่อให้บรรยากาศสบายๆชวนให้นึกถึงการดื่มกาแฟอยู่ภายในม่านหมอกท่ามกลางท้องนภาตามชื่อของร้าน...ข้างๆร้านมีลานจอดรถเล็กๆซึ่งมีที่ว่างให้ประมาณสี่ถึงห้าคันได้โดยใช้ร่วมกับลูกค้าของร้านล้างรถข้างๆ
ถัดออกไปจากร้านล้างรถที่อยู่ติดกันก็มีร้านปลาดิบหรือร้านซูชิตั้งอยู่ ซึ่งร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทนี้จัดว่าหาได้ยากมากๆถ้าเป็นย่านชานเมืองแบบนี้ ร้านๆนั้นจึงมีลูกค้าเต็มตลอดเวลาในขณะที่ร้านกาแฟค่อนข้างมีลูกค้าเบาบางแต่ก็บรรยากาศกำลังดี
ที่โต๊ะไม้โต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหน้าเคาน์เตอร์ภายในร้าน นักเรียนสาวม.ปลายสามคนกำลังนั่งคุยกันอย่างกระหนุงกระหนิงและระหว่างนั้นเองบริกรหนุ่มคนหนึ่งก็เดินถือถาดซึ่งบนนั้นมีแก้วกาแฟอยู่ทั้งหมดสามแก้วมาเสิร์ฟที่โต๊ะของเหล่าเด็กสาว
"กาแฟของคุณลูกค้าได้แล้วนะครับรอเค้กและของหวานอื่นๆซักครู่นะครับ"
นอกจากร้านกาแฟร้านนี้จะขายกาแฟและเครื่องดื่มชนิดต่างๆแล้วยังมีพวกเค้กหรือขนมหวานอื่นๆอยู่อีกด้วยและเนื่องจากยังไม่ถึงช่วงเวลาของอาหารเย็นเหล่าเด็กสาวจึงยังไม่สั่งอาหารหนักๆมา
"หืมม... ร้านนี้บรรยากาศดีใช้ได้เลยนะ อาจจะไม่ค่อยเหมือนร้านกาแฟสไตล์โมเดิร์นทั่วไปซักเท่าไหร่แต่ก็ตกแต่งได้มีสีสันสดใสดี" จีจี้พูดขึ้นมาระหว่างกำลังมองดูบรรยากาศรอบๆตัวของเธอ
"ใช่มั้ยล่ะ พอดีชั้นเบื่อบรรยากาศร้านกาแฟที่เน้นโทนสีทึบๆเข้มๆแล้วน่ะ ก็เลยมาลองบรรยากาศร้านที่ชวนให้รู้สึกคลายเครียดแบบนี้ดูบ้าง" กุ๊งกิ๊งพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า
"จริงๆร้านนี้น่ะ ถ้าคนที่ไม่รู้จักแล้วก็ไม่ได้ผ่านมาแถวนี้บ่อยๆไม่น่าจะรู้จักนะ เธอไปรู้มาจากไหนหรอกุ๊งกิ๊ง ...คาเฟ่ร้านนี้น่ะ" รันพูดระหว่างที่กำลังนั่งดมกลิ่นกาแฟภายในแก้วของเธออยู่ กลิ่นหอมของมันชวนให้รู้สึกผ่อนคลายดีๆจริงๆ เมื่อสาวผมสั้นเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมของกาแฟจนพอใจแล้วเธอจึงค่อยๆยกขึ้นดื่มอย่างช้าๆ กลิ่นของกาแฟคั่วบดผสานเข้ากับความมันของนมสดได้อย่างลงตัวเสริมด้วยความหวานของน้ำตาลกรวดเล็กน้อย เกิดเป็นรสชาติที่นุ่มละมุนกลิ่นไอหอมของกาแฟตลบอบอวลไปทั่วทั้งปาก รันหลับตาลงพลันนึกถึงรสชาติของกาแฟที่ตัวเองกำลังสัมผัสก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่กำลังมีความสุขว่า
"หืม... คนที่ชงกาแฟแก้วนี้ต้องใส่ความรักลงไปแน่ๆ...---เย้ยย !"
"ค่อกแค่ก !" จีจี้ถึงกับสำลักกาแฟออกมานิดหน่อย
"ค--เค้าขอโทษ...นะ ! พอดี...ไม่น่าพูดอะไรอย่างนั้นออกมาเลย แฮะๆๆ" รันเมื่อเห็นดังนั้นจึงกล่าวขอโทษออกมาเพราะคิดว่าตัวเองอาจจะไปพูดอะไรที่น้ำเน่าเกินไปจนไม่เข้าหูจีจี้
"ม--ไม่ ไม่เป็นไรหรอกเมื่อกี้แค่หายใจผิดจังหวะเฉยๆ ไม่ได้เป็นอะไร" สาวผมดำพูดออกมาพรางเช็ดปากที่พึ่งสำลักกาแฟไปด้วย
"ที่รู้จักร้านนี้ก็เพราะว่าคนๆนั้นยังไงล่ะ !"
""เฮ๋ ?""
เมื่อนั้นเองสาวผมบลอนด์ก็ชี้ไปยังชายหนุ่มรูปร่างสูงที่กำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์คนหนึ่ง เขาเป็นผู้ชายผมยาว นัยน์สีน้ำตาลแดงดูมีเสน่ห์...ชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนคนนั้นกำลังชงกาแฟด้วยรอยยิ้มซึ่งบ่งบอกว่าเขากำลังมีความสุขและกำลังเพลิดเพลินไปกับมัน แน่นอนว่าเขาเป็นบาริสต้าประจำร้านนี้และคือเบื้องหลังรสชาติหอมหวนกลมกล่อมของกาแฟทุกแก้ว
"นั่นคือเพื่อนสมัยเด็กของชั้นเองน่ะ เคยอยู่ห้องเดียวกันสมัยประถม ...พอดีเห็นในเฟซบุ๊คว่าย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้แล้วที่บ้านก็เปิดร้านกาแฟเป็นธุรกิจประจำครอบครัวด้วยน่ะ นายคนนั้นก็เลยมาทำงานพาร์ทไทม์เป็นบาริสต้าอยู่ที่ร้านด้วย" กุ๊งกิ๊งอธิบายออกมา เมื่อรันได้ยินดังนั้นจึงกระจ่างว่าทำไมเธอถึงรู้จักคาเฟ่ร้านนี้ได้แต่จีจี้ดูเหมือนจะมีสีหน้าและแววตาแห่งความสงสัยอยู่
"...นี่เธอรู้จักคนที่หน้าตาดีอย่างงี้ด้วยหรอเนี่ยกุ๊งกิ๊งเอ่ย..." หญิงสาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและเย็นยะเยือกพร้อมกับส่งสายตาแปลกๆมาทางเพื่อนสาวอีก
"เอ๋...ก็ทำไมล่ะ ! ? ทีจีจี้ยังรู้จักคนไปทั่วโรงเรียนเลยหนิ" กุ๊งกิ๊งโวยออกมาเล็กน้อย
จังหวะนั้นเอง บาริสต้าหนุ่มคนนั้นก็ดูเหมือนจะหันมาพอดี สาวผมบลอนด์จึงโบกมือพร้อมกับทักทายว่า
"ฮาาายยย... เป็นไงบ้าง'เมฆขลาโยนแก้วแววไว' นี่ชั้นเอง"
"เฮ๋ ? ! นายคนนั้นชื่ออย่างงี้จริงๆหรอ !" จีจี้สำลักกาแฟอีกครั้งพร้อมกับแสดงอากัปกิริยาตื่นตกใจจนเกินกว่าเหตุเล็กน้อย
"เปล่าหรอก แค่เป็นชื่อเรียกเล่นๆเฉยๆ จีจี้นี่หลอกง่ายจริงๆเลยนะ แบร่..." ทว่าสาวผมบลอนด์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนๆพร้อมกับแลบลิ้นใส่จีจี้อีกด้วย
"โถ่ยัยคนนี้ ขี้แกล้งเหมือนกันนะเราน่ะ" เป็นฝ่ายสาวผมดำที่โวยกลับบ้าง
"หวัดดีกุ๊งกิ๊ง ไม่เจอกันนานเลย ตัวจริงน่ารักกว่ารูปในเฟซบุ๊คอีกนะ" บาริสต้าหน้าหล่อคนนั้นทักทายกลับมาพร้อมกับหยอดสาวผมบลอนด์เล็กน้อย เมื่อกุ๊งกิ๊งได้ยินดังนั้นจึงหน้าแดงระเรื่อออกมา
"โถ่วว เจ้าเมฆบ้าา !" กุ๊งกิ๊งหยอกล้อชายรูปหล่อกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ขี้เล่น ทว่าเธอไม่ได้สนใจสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องเขม่นมาที่เธอเลยแม้แต่น้อย
'เฮือก ! สนิทกันด้วยหรอ... อาจจะเป็นไปได้ว่าสองคนนี้เคยแชทคุยกันผ่านไลน์กันแล้ว... หรืออาจจะมีเบอร์โทรคุยเสียงกันแล้ว... หรือไม่ก็แชทหน้าจอ... ก็เพื่อนสนิทสินะ... เฮือก !"
ระหว่างที่ใครบางคนกำลังคิดมากอยู่คนเดียวนั้นเอง กุ๊งกิ๊งก็หันกลับมา...เมื่อนั้นจีจี้จึงหลบเอาสายตาที่กำลังจ้องเขม่นเพื่อนสาวของเธอออกก่อนที่จะกลับมานั่งตัวตรงอยู่ในท่าทีสงบเสงี่ยมพร้อมกับจิบกาแฟเบาๆและพูดขึ้นมาว่า
"อ---อ๋ออ... ดูเหมือนจะสนิทกันพอสมควรเลยหนิ...หึ" สาวผมดำพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆราวกับเธอไม่ได้รู้สึกอะไร
"ใช่แล้วล่ะ ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้วอะนะ ตอนประถมเคยนั่งข้างกันด้วย ยิ่งตอนป.2 เนี่ยเคยเล่นเป็นแฟนกันด้วยนะ---"
ฟู้ดดด !!
จีจี้ถึงกับสำลักและพ่นน้ำกาแฟออกมาอีกรอบ เมื่อเมฆเห็นดังนั้นจึงถามจากด้านหลังเคาน์เตอร์ว่า "เอ่ออ ขอโทษนะครับคุณลูกค้า... กาแฟรสชาติผิดปกติตรงไหนหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมชงแก้วใหม่ให้" ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลซึ่งมาพร้อมกับแววตาที่อ่อนโยน
"ม---ไม่เป็นไรค่ะ แค่หายใจผิดจังหวะน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ..." จีจี้รีบตอบกลับไปทันควันโดยที่ไม่มองหน้าของชายหนุ่มพลันหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก
"เอ๋ ? จีจี้วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่าดูอาการไม่ค่อยดีเลย" กุ๊งกิ๊งเมื่อเห็นเพื่อนสาวของเธอดูผิดปกติไปจึงเอ่ยปากถามขึ้นมา
"เปล่าหรอก... หึๆ ไม่เป็นอะไรหรอก แค่อากาศเปลี่ยนเฉยๆน่ะ...หึๆ" สาวผมดำพยายามพูดกลบเกลื่อน (ว่าแต่กลบเกลื่อนอะไร ?)
"แค่ชั้นรู้สึกแปลกใจเฉยๆ---ก็เท่านั้นเองแหละนะ ทีแรกเห็นเธอที่พึ่งย้ายมาอยู่ในเมืองนี้ดูตัวคนเดียว นึกว่าจะไม่ค่อยมีเพื่อนแต่อันที่จริงก็รู้จักคนเยอะเหมือนกันหนิ... อืมๆดีแล้วล่ะ ไม่เป็นไร" สาวผมดำพูดต่อ
"ไม่เป็นไรอะไรงั้นหรอ" กุ๊งกิ๊งถามกลับพร้อมกับแหงนหน้ามามองตาของเพื่อนสาวด้วยความสงสัย
"ก็บอกว่าไม่มีอะไรยังไงเล่านังบ้า !" กลายเป็นจีจี้ที่อยู่ดีๆก็วีนใส่ซะอย่างงั้น
"น่ะ ! วันนี้มีอาการแปลกๆไปจริงๆด้วย !" สาวผมบลอนด์ชี้ไปที่หน้าของจีจี้อีกครั้งซึ่งเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติเวลาที่เธอเจออะไรไม่ปกติ
"ร---หรือว่า....จะผีเข้า..." รันที่นั่งดูสองคนนี้พูดกันไปมาอยู่นานจึงเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง เธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว
"ไม่ใช่ผีเข้าหรอก...อาจจะแค่ดวงตกเฉยๆ สงสัยวันนี้คงต้องกลับบ้านไปดูดวงเสียแล้ว" เสร็จแล้วก็เป็นฝ่ายจีจี้ที่พูดตัดบท
...
[18.45 น.]
"อ๋อ พอดีครัวร้านเราปิดแล้วนะครับ เหลือแค่กาแฟและเครื่องดื่มเท่านั้นนะครับที่สั่งได้" 'เมฆ'กล่าวกับลูกค้าคนหนึ่งที่พึ่งจอดรถข้างๆก่อนที่จะตรงดิ่งเข้ามาภายในร้านเพื่อมาหาอาหารหนักรับประทาน เมื่อลูกค้าคนนั้นเห็นว่าตัวเองเข้ามาช้าไปจึงสั่งลาเต้แก้วเล็กหนึ่งแก้วเพื่อแก้เขินก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป
อีกไม่ถึงชั่วโมง'สกายคาเฟ่'ก็จะปิดร้าน ลูกค้าคนอื่นๆต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปหมดแล้วเหลือเพียงนักเรียนสาวทั้งสามที่ยังคงนั่งแช่กันอยู่ไม่ไปไหน
บนโต๊ะไม้สีขาวที่พวกเธอนั่งอยู่เต็มไปด้วยจานขนมหวานซึ่งมีเค้กที่บางอันก็กินไม่หมดอยู่ภายในจาน แล้วก็แก้วกาแฟอีกหลายแก้ว จีจี้ได้แต่มองของเหลือเหล่านั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปยังสาวผมบลอนด์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ สาวผมดำพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงตาจิกว่า
"เน้เธอ ! ไม่เสียดายหรือไงกินของเหลือทิ้งเหลือเทแบบนี้ แล้วไม่เกรงใจเจ้าของร้านเค้าบ้างหรอ...?"
กุ๊งกิ๊งที่ได้ยินเสียงบ่นแบบพ่อแม่บ่นลูกของจีจี้จนชินแล้วจึงทำเป็นหูทวนลมไม่พูดอะไร ในขณะนั้นเองเมฆที่กำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์โดยกำลังทำความสะอาดอยู่ก็พูดขึ้นมาว่า
"ไม่เป็นหรอกไม่เป็นไร... ในเมื่อจ่ายเงินแล้วก็ถือว่าหายกันนะ แฮะๆ" ชายหนุ่มหน้าตาดีพูดติดตลกออกมาเล็กน้อย
"แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะกลับกันซักทีล่ะ นั่งอยู่ในร้านมาจะร่วมสองชั่วโมงแล้วนะ ข้างนอกก็มืดหมดแล้ว หอก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ" สาวผมดำเริ่มคะยั้นคะยอให้กุ๊งกิ๊งกลับบ้านแต่ดูเหมือนสาวผมบลอนด์ก็ยังทำเป็นหูทวนลมและนั่งฮัมเพลงอย่างสบายใจอยู่เหมือนเดิม
"ง่าวววว" ก่อนที่เธอจะหาวออกมาดื้อๆ
"นี่ทำเป็นหาวใส่คำพูดของชั้นหรอ ? เธอนี่มันจริงๆเล๊ย !" จีจี้เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์
"ผู้หญิงคนนี้นี่ขี้บ่นมากเลยเนาะ ...ว่ามั้ยรัน?" ดูเหมือนกุ๊งกิ๊งจะพยายามกวนประสาทแกล้งจีจี้ด้วยการหาพรรคพวก
"อ---เอ่ออ---แฮะๆๆ" สาวผมสั้นได้แต่อ้ำๆอึ้งๆพูดอะไรไม่ออกเนื่องจากนี่ก็พึ่งวันเดียวที่ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ทั้งสอง แต่เธอก็คิดอยู่ซักพักก่อนที่จะพูดออกมาว่า
"...จริงๆเค้าน่ะยังไงก็ได้เพราะบ้านอยู่ใกล้ๆ แต่พวกเธอสองคนบ้าน---ไม่สิ-หอพักอยู่ไกลจากที่นี่อยู่นะ ถ้าไม่รีบกลับระวังฝนตกแล้วจะกลับกันลำบากนะ--"
"---จริงด้วย กรมอุตุบอกว่าสัปดาห์นี้พายุเข้าทั้งสัปดาห์เลยนะ แล้วก็จะมีฝนตกหนักช่วงหกโมงถึงสองทุ่ม ...ชั้นว่าพวกเธอรีบๆกลับบ้านก็ดีนะ เพราะอีกเดี๋ยวร้านก็จะปิดแล้ว" เมฆที่กำลังเช็ดถูถ้วยกาแฟอยู่เมื่อได้ยินรันพูดดังนั้นจึงเสริมขึ้นมาด้วยความเป็นหวง
เมื่อกุ๊งกิ๊งได้ยินสิ่งที่เพื่อนสมัยเด็กพูด เธอจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับทำเป็นเก็บข้าวเก็บของ จีจี้ที่เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
แต่กระนั้นสาวผมบลอนด์ก็พุ่งตรงไปหาชายหนุ่มที่อยู่หลังเคาน์เตอร์พร้อมกับบอกว่า "งั้นขอโดนัทชิ้นนึงก่อนจากก็แล้วกัน อิอิ" เธอฉีกยิ้มออกมาอย่างร่าเริง
"อะ... ให้ฟรีเลยละกัน รีบๆกลับกันได้แล้ว" ชายหนุ่มผู้ใจดีใช้ที่คีบคีบโดนัทพอนด์เดอริงขึ้นมาจากตู้เก็บขนมหวานก่อนที่จะนำมันใส่ถุงกระดาษและยื่นให้กับกุ๊งกิ๊ง สาวผมบลอนด์เมื่อเห็นดังนั้นจึงยิ้มแก้มปริพร้อมกับบอกว่า
"โอ้ ! ขอบคุณมากเลย ไปล่ะโชคดี บ๊าย บาย !"
"ไปกันได้แล้ว..." เสียงของจีจี้ พร้อมกับคว้าแขนของกุ๊งกิ๊งมาเพื่อที่จะรีบพาเดินออกจากร้าน
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
เสียงกระดิ่งของประตู…
รันที่ออกจากร้านเป็นคนสุดท้ายก็มีน้ำใจพลิกป้ายเปลี่ยนให้เป็นคำว่า [CLOSED] ให้
ทว่าไม่กี่วินาทีที่หญิงสาวทั้งสามเดินออกจากร้าน
เปรี้ยง เปรี้ยง โคร่ม โคร่ม !!
เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องก็ดังขึ้น ทำเอาสาวน้อยทั้งสามตกใจจนวิ่งหนีกลับเข้าไปในร้านแทบไม่ทัน และในเวลาเดียวกันนั้นเองสายฝนก็ค่อยๆโหมกระหน่ำเทกระจาดลงมา...
ซ่าาาา
"โอ้ยยย ! ตั้งนานไม่ตก มาตกอะไรเอาตอนนี้เนี่ย !" สาวผมดำถึงกับโวยวายออกมาด้วยอารมณ์ที่เริ่มฉุนเฉียว
สายฝนโหมกระหน่ำลงมาหนักมาก จนทุกอย่างด้านนอกแทบจะมืดฟ้ามัวดินมองไม่เห็นอะไรซักอย่าง นอกจากต้นไม้ที่โดนลมพัดอย่างรุนแรงจนไม่รู้ว่าจะหักโค่นลงมาตอนไหน
"ข---ขอโทษ เป็นเพราะชั้นเองที่มัวแต่เอ้อระเหย ก็เลย..." กุ๊งกิ๊งเมื่อเห็นดังนั้นจึงเกาหัวพร้อมกับกล่าวขอโทษออกมา สาวผมดำเมื่อเห็นดังนั้นจึงทำเป็นเชิดใส่ก่อนที่จะพูดออกมาว่า
"เฮ้ออ... หวังว่าฝนจะตกไม่นานมากนะ"
"ระหว่างนี้ก็อยู่รอในร้านไปก่อนก็ได้ ชั้นไม่ถือหรอก" ชายหนุ่มผมยาวเมื่อเห็นสถานการณ์ที่เป็นอยู่จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นมาอีกครั้ง
"เฮ้ออ รู้สึกเกรงใจยังไงก็ไม่รู้..." กุ๊งกิ๊งหันกลับไปบอก
"อ้ออ... นี่ๆ ถ้าอย่างงั้นเค้าโทรให้แม่ขับรถออกมารับกลับเข้าบ้านก่อนละกันนะ ...จะว่าไป เธอมาค้างที่บ้านเค้าจนกว่าฝนจะหยุดตกก่อนก็ได้ ที่บ้านเค้านอนดึกกันทุกคนอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก" รันเสนอทางเลือกออกมาด้วยความใจดี ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างเธอกับเพื่อนใหม่อีกสองคนก็ตาม
"เอ๋.. ถ้าอย่างงั้นนี่เกรงใจทางบ้านเธอแย่เลยนะ ไม่ดีกว่าชั้นอยู่รอฝนหยุดที่คาเฟ่ก็ได้" สาวผมบลอนด์พยายามที่จะปฏิเสธกลับไปเช่นเดียวกับเพื่อนสาวผมดำของเธอ
"อืมใช่... ชั้นว่าอีกเดี๋ยวฝนก็หยุดเองแหละ เธอกลับไปก่อนก็ได้ไม่เป็นไรหรอก"
"เถอะน่าา ที่บ้านเค้าไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว" รันพยายามคะยั้นคะยอ
ท้ายที่สุดแล้วกุ๊งกิ๊งกับจีจี้ก็ไม่อยากให้เพื่อนใหม่คนนี้เสียน้ำใจพวกเธอจึงยอมติดรถแม่ของรันที่ขับมารับและไปค้างอยู่ที่บ้านของเธอเพื่อรอฝนหยุดตก
...
"ทำตัวตามสบายเลยนะจ๊ะ นานๆทีจะมีเพื่อนมาเล่นที่บ้านของรันน่ะ ส่วนเวลาอยู่ที่โรงเรียนก็ขอฝากรันด้วยนะจ๊ะ" แม่ของรันพูดกับจีจี้และกุ๊งกิ๊งอย่างเอ็นดู เธอต้อนรับเพื่อนใหม่ของลูกสาวเข้ามาภายในบ้าน
""ขอบคุณมากๆเลยนะคะ"" เด็กสาวกล่าวขอบคุณขึ้นมาพร้อมๆกัน
"ตามขึ้นมาเลย ห้องของเค้าอยู่ด้านบนน่ะ" สาวผมสั้นเรียกให้เพื่อนๆของเธอขึ้นบันไดบ้านมาชั้นบน
บ้านของรันนั้นเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นเนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวาได้ซึ่งก็ถือว่าเป็นบ้านขนาดกลางถ้าเทียบกับบ้านเดี่ยวตามโครงการหมู่บ้านจัดสรรค์ทั่วๆไป
ผลักก
เมื่อหญิงสาวทั้งสองเดินผ่านประตูห้องของรันเข้ามาพวกเธอก็พบกับห้องที่ดูสะอาดสะอ้าน ทุกๆอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งเมื่อเทียบกับห้องพักที่พวกเธออยู่ด้วยกันที่หอแล้วเรียกได้ว่าต่างกันราวกับฟ้ากับเหว แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเด่นของห้องของสาวผมสั้นก็คือ...ผ้าลายญี่ปุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งของรัน นอกจากนั้นยังมีเสื้อผ้าลายญี่ปุ่น ชุดกิโมโน ชุดยูกาตะที่ผ่านการตัดมาอย่างดีแขวนไว้อยู่ตามผนัง ซึ่งฝีมือในการตัดระดับนี้คงไม่สามารถหาซื้อตามท้องตลาดทั่วไปได้แน่ๆ
แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะสะดุดตาจีจี้มากที่สุดก็คือเครื่องรางของขลังของชาวญี่ปุ่นเช่นสร้อยคอ แผ่นยันต์ เชือกผูกกระดิ่ง
กุ๊งกิ๊งที่กำลังมองดูเสื้อผ้าตัดเองของรันอยู่นั้นก็ถึงกับตาลุกวาว ราวกับว่ากำลังจ้องมองไปที่ประกายแสงหรือรูปปั้นทองคำที่ต้องกราบไหว้บูชาอะไรอย่างงั้น เมื่อทั้งสองสาวเห็นดังนั้นเธอจึงรู้ทันทีว่าเพื่อนสาวคนใหม่คนนี้น่าจะหลงใหลและชื่นชอบในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นอย่างมากแน่
สาวผมบลอนด์เอ่ยปากถามขึ้นมาว่า
"โห้วว ! นี่ชุดพวกนี้รันตัดเองหรอเนี่ย? สวยมากๆเลยอะ...เอ๊ะ แต่ว่าก็คุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่โรงเรียนมาก่อนนะ"
"ชุดพวกนี้เค้าเอาไว้ใส่ทำกิจกรรมชมรมวัฒนธรรมญี่ปุ่นน่ะ แล้วก็...ยังมีพวกนี้อีก" สาวผมสั้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของเธอ
ด้านในนั้นเผยให้เห็นชุดคอสเพลย์หรือชุดเสื้อผ้าและเครื่องแบบที่เหล่าตัวละครในอนิเมะสวมใส่กัน ซึ่งคนที่แต่งตัวเลียนแบบตัวละครในอนิเมะจะถูกเรียกว่า'เลเยอร์' รันเองก็เป็นถึงหนึ่งในเหล่าเลเยอร์ชื่อดังในอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกัน
"อ๋ออ ! รันคือคอสเพลเยอร์นี่เอง---" กุ๊งกิ๊งยังคงตื่นเต้นและดวงตาลุกวาวอยู่ไม่เลิก ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กจากในเมืองแต่เธอก็ไม่ค่อยได้คลุกคลีอยู่กับพวกวงการนี้เท่าไหร่ แต่ลึกๆแล้วเธอก็แอบสนใจและมองว่ามันน่ารักดี
"เค้าเรียกว่าเลเยอร์จะ..." จีจี้ต้องแก้คำผิดให้
"แป่ว..."
"เค้ามีงานอดิเรกคือการคอสเพลย์น่ะ ชื่อในฐานะเลเยอร์ของเค้าคือ'คาริน'ถ้าสนใจก็ลองไปเสิร์จหาเพจหรือหาบล็อคของเค้าในอินเตอร์เน็ตดูก็ได้ในนั้นน่ะมีรูปของเค้าอยู่เพียบเลย---" รันพูดแนะนำงานอดิเรกแล้วก็ตัวตนของเธอในฐานะเลเยอร์ออกมาพอสังเขป ...แต่จู่ๆเธอก็หยุดพูด
"ต--แต่ว่าพวกเธอคงไม่ใช่สายทางนี้อยู่แล้วสินะ...ใช่มั้ยล่ะ แฮะๆๆ" เธอเกาหัวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะกำลังคิดว่าตัวเองอาจจะไปพูดเรื่องที่คนอื่นไม่ได้สนใจมากเกินไปหน่อย
"ชั้นว่ามันก็น่ารักดีนะพวกที่คอสเพลย์น่ะ ฮิๆๆ เคยแอบสนใจอยู่นิดหน่อยด้วยแหละ เคยมีคนบอกกับชั้นว่าชั้นหน้าเหมือนตัวละครในอนิเมะเรื่องนึงด้วยแหละแต่เผอิญพอไปเสิร์จหาชื่อดูแล้วก็ดันไปเจอว่าตัวละครตัวนั้นตายตอนจบก็เลยไม่ค่อยอยากแต่งตัวเป็นคนที่ตาย---เอ้ย ตัวละครที่ตายซักเท่าไหร่น่ะ" กุ๊งกิ๊งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เริงร่า เมื่อรันได้ยินดังนั้นก็แอบมีสีหน้าปลื้มปลิ่มเล็กน้อย
"ก็ไม่ได้ติดตามอะไรพวกนี้จริงๆนั่นแหละ แต่ฝีมือในการตัดชุดของเธอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆเลยนะ เรียกได้ว่าสุดยอดเลย" ทางด้านของจีจี้ไม่ได้ออกท่าทีกระดี๊กระด๊าแบบสาวผมบลอนด์แต่เธอก็ยืนกอดอกพรางมองดูชุดที่ผ่านการตัดอย่างประณีตพวกนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ...พร้อมกับแอบเหล่ๆพวกเครื่องรางนำโชคพวกนั้นไปพลางๆ
"ดีใจนะที่พวกเธอเข้ากับรันได้น่ะ" สาวผมสั้นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงใสๆที่แผ่วเบา
เมื่อนั้นเองหญิงสาวทั้งสองจึงหันมาพร้อมๆกันเนื่องจากได้ยินระดับของน้ำเสียงที่แตกต่างออกไป... กุ๊งกิ๊งมองเข้าไปในตาของรันอย่างครุ่นคิด
"จะว่าไป... รันอยู่ชมรมวัฒนธรรมญี่ปุ่นหรอกหรอ ? ไม่ใช่ว่าชมรมนั้นสมาชิกน้อยเกินจนไม่สามารถตั้งเป็นชมรมได้หรอกหรอ ?" กุ๊งกิ๊งนึกถึงชื่อชมรมที่สภานักเรียนหรือมิวบอกเอาไว้ได้ 'ชมรมวัฒนธรรมและอนิเมะญี่ปุ่น'
"อ๋อ จริงๆก่อนหน้านี้รันก็ตั้งชมรมอยู่เป็นของตัวเองนั่นแหละ แต่ก็คนน้อยเกินอย่างว่าทำให้ต้องยุบชมรมไป แล้วพอดีมีรุ่นพี่ที่ตั้งชมรมแนวญี่ปุ่นๆอะไรแบบนี้ด้วยเหมือนกันมาทาบทามตัวไปเพื่อจะได้ช่วยโปรโมทชมรมด้วย ...ก็เป็นอย่างนั้นแหละนะ" หญิงสาวอธิบายออกไป น้ำเสียงของเธอดูเหมือนจะซ่อนความรู้สึกเสียดายอะไรบางอย่าง
เมื่อสองสาวได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร ...รันเงียบไปซักพัก... ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้งว่า
"จริงๆก็น่าเสียดายนะ..."
"เอ๊ะ ? เสียดายอะไรหรอ" กุ๊งกิ๊งถามกลับไป
"รันเองก็อยากสร้างชมรมในแบบที่เป็นตัวของรันเองขึ้นมามากกว่าน่ะ ...รู้สึกเสียดายที่ต้องไปเป็นตัวประกอบให้กับชมรมของคนอื่น ไม่ได้เป็นในแบบที่ตัวอยากให้เป็น ...อีกแล้ว"
"หืม..."
...
หลังจากที่คุยสัพเพเหระกันอยู่ร่วมๆกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดฝนก็หยุดตกซักที
"อ๊ะ ฝนหยุดแล้ว" กุ๊งกิ๊งพูดขึ้นมา
"จริงด้วย" จีจี้มองออกไปที่นอกหน้าต่าง สายฝนพึ่งจะหยุดลง
...
"ขอบใจมากนะรัน เดี๋ยวไว้มีโอกาสคราวหน้าขอมาอีกได้มั้ย" กุ๊งกิ๊งโบกมือลาเพื่อนใหม่ของเธอ
"ได้เสมอเลยจ้าา ! กลับบ้านดีๆนะ" รันกล่าวลา ก่อนที่เพื่อนสาวทั้งสองจะเดินออกไปรอรถประจำทางรอบดึกที่หน้าหมู่บ้าน
...
บนทางเท้าชื้นๆ เปียกปอนไปด้วยไอน้ำ
ความชื้นในอากาศผสานรวมกับลมหนาวยามค่ำคืนทำเอาสาวผมบลอนด์ถึงกับหนาวสั่น เธอไม่ใช่คนที่ชื่นชอบอากาศหนาวๆอยู่แล้ว บางคนอาจจะบอกว่ามันเป็นอากาศที่เย็นสบายแต่สำหรับกุ๊งกิ๊งแล้วเธอชอบไออุ่นของพระอาทิตย์มากกว่า สีผมที่อยู่บนหัวของเธอก็บ่งบอกอยู่แล้วชัดเจน
จีจี้ที่เห็นเพื่อนสาวยืนสั่นอยู่จึงถือวิสาสะไปค้นเป้ที่สะพายหลังของกุ๊งกิ๊งซะอย่างนั้น เมื่อสาวผมบลอนด์เห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากถามออกมาว่า
"เห๋ ? จีจี้จู่ๆก็มาค้นอะไรในเป้ชั้นเนี่ย----ฮะ--ฮัดชิ่วว !"
สาวน้อยจามออกมาพร้อมกับมีน้ำมูกใสๆตามมาด้วย
"เอ๋ ? ! น้ำมูกเลอะเต็มไปหมดแล้ว !!" เธอโวยวายออกมาแบบเด็กๆ
"ชั้นจำได้ว่าแอบใส่สเวทเตอร์เข้าไปในกระเป๋าเป้ของเธอน่ะ... ก็เห็นว่าเธอเป็นคนขี้หนาวขนาดนี้" สาวผมดำพูดออกมา ทันใดนั้นเองเธอก็หยิบเสื้อสเวทเตอร์สีชมพูอ่อนออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับนำมันมาห่มไว้บ่นไหล่ของกุ๊งกิ๊ง
"เอาไปใส่ซะนะ"
"อ๊ะ ! ขอบคุณนะ" สาวน้อยรับมันมา
เมื่อนั้นเองจีจี้จึงแหงนหน้าขึ้นไปมองดูพระจันทร์เนื่องจากไม่มีอะไรจะทำระหว่างรอรถเมล์เที่ยวสุดท้าย
แต่เพราะบรรยากาศดูเหมือนจะเงียบเชียบจนเกินไปเธอจึงเปิดประเด็นคุยขึ้นมา...
"นี่กุ๊งกิ๊ง... เพื่อนใหม่ของเราคนนี้น่ะต้องเป็นคนมีอารมณ์ศิลปินแน่ๆ"
สาวผมบลอนด์เมื่อได้ยินดังนั้นจึงถามกลับไปด้วยสีหน้าที่กำลังสงสัย
"เอ๋ ? ทำไมถึงคิดอย่างงั้นล่ะ ?"
"ก็ไม่เห็นงานอดิเรกของเธอหรอ... ตอนที่พวกเราคุยกันวันนี้น่ะ" จีจี้ตอบกลับไป
"เอ่อ... พอดีชั้นก็เริ่มลืมๆไปบ้างแล้วเหมือนกันน่ะ แฮะๆๆ" กุ๊งกิ๊งยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ
"โอ้ยย เธอนี่ใช้ไม่ได้จริงๆนะ... จำอะไรซักนิดเดียวไม่ได้เลยหรอ หรือว่าสมองของเธอจะกระทบกระเทือนกันน่ะ"
"ป่าวซะหน่อย ! ที่จำได้ก็มีอยู่นะ เช่นเป็นเลเยอร์ ชอบดูอนิเมะ เย็บปักถักร้อย อ๊าา ! แล้วก็เห็นเธอบอกว่าเคยเขียนนิยายด้วยหนิ !" สาวผมบลอนด์ค่อยๆทยอยทวนความจำออกมา คงจะเร็วเกินไปหน่อยถ้าเธอจะลืมงานอดิเรกของเพื่อนคนใหม่ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
"อืม... ก็นั่นแหละที่ชั้นกำลังพูดถึงน่ะ" จีจี้พูดต่อ
"เอ๊ะ ?"
"รันน่ะเป็นผู้หญิงช่างฝัน แค่เห็นแว๊บแรกก็รู้เลยทันที... เธอคนนั้นน่ะมีความฝันอยากที่จะสร้างเรื่องราวของตัวเองขึ้นมา อย่างเรื่องชมรมก็อยากจะสร้างขึ้นมาในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง" สาวผมดำพูดไปเรื่อยๆระหว่างที่กำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน
"เอ๋ ? แล้วมันยังไงหรอ ?" กุ๊งกิ๊งก็ยังทำน้ำเสียงแบบคนไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้น
"ที่ชั้นพยายามจะบอกก็คือ... เธอไม่เคยคิดอยากที่จะสร้างจุดเด่นหรืออะไรที่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาบ้างเลยหรอ หรือสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆก็ได้ ชีวิตวัยเรียนตอนม.ปลายน่ะ มีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนะ ถ้าไม่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำในตอนนี้ พอเวลาผ่านไปแล้วจะมาเสียดายเอาในภายหลังนะ... ถ้ามีอะไรอยากให้ชั้นช่วยทำร่วมกับเธอน่ะ บอกชั้นได้นะ ชั้นพร้อมเสมอ" จีจี้พูดจบก่อนที่จะหันมายิ้มสบสายตากับเพื่อนสาว
"ที่เธอพูดมามันก็ถูกนะจีจี้... แต่ชั้นยังหาจุดเด่นหรือหาสิ่งที่อยู่ภายในตัวชั้นไม่เจอเลย จีจี้น่ะหาเจอแล้วสินะ นั่นก็คือการเป็นนักวอลเล่ย์บอล......สินะ ?"
น้ำเสียงของกุ๊งกิ๊งคือเจตนาที่จะถามให้แน่ใจ และทันใดนั้นเอง
"เปล่า..." สาวผมดำก็ปฏิเสธออกมาทันควัน
"จริงๆชั้นเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสิ่งที่อยู่ภายในตัวเองนั้นมันคืออะไร... แต่ชั้นก็แค่ลงมือทำ ทำทุกๆอย่างไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเรื่องบางเรื่องชั้นจะทำมันแบบชุ่ยๆหรือทำแบบขอไปทีก็เถอะ ...แต่ชั้นก็แค่เดินหน้าแล้วก็ก้าวออกไป ...สิ่งไหนที่มันอยู่ตรงหน้าถ้ามันน่าสนใจพอชั้นก็จะเข้าไปทำอย่างไม่ลังเล อย่างน้อยที่สุดก็แค่ได้ลอง"
"บางครั้งเธออาจจะไม่จำเป็นต้องทำมันก็ได้ แค่ลองเฉยๆก็พอ... ถ้าเป็นคำว่าลองก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหนิ จริงมั้ย ?"
แสงไฟสีขาวสว่างจ้าส่องเข้ามาตรงป้ายรถเมล์ที่หญิงสาวทั้งสองกำลังยืนอยู่
รถเมล์เที่ยวสุดท้ายของค่ำคืนนี้ขับเข้ามาจอดตรงด้านหน้าของหญิงสาว
กุ๊งกิ๊งกับจีจี้เดินขึ้นบันไดรถเมล์ไป ทั้งสองเดินเข้าไปนั่งข้างกันตรงที่นั่งหลังสุดของคันรถ รถเมล์คันนี้เรียกได้ว่าแทบจะร้างผู้คนเพราะนอกจากพวกเธอแล้วก็มีแค่นักเรียนชายอีกคนเท่านั้นที่กำลังนั่งอยู่
ล้อทั้งสี่ล้อค่อยๆหมุนอีกครั้งก่อนที่รถโดยสารคันนี้จะเคลื่อนตัวจากหน้าหมู่บ้านของรันออกไป มุ่งหน้าไปยังหอที่พวกเธออยู่
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ห้องของรัน
สาวผมสั้นกำลังเลื่อนมองดูรูปที่เธอกับเพื่อนใหม่ทั้งสองของเธอพึ่งจะถ่ายเซลฟี่เล่นๆกันไปหมาดๆภายในห้อง
หญิงสาวไล่ดูวิดีโอสตอรี่ที่อยู่ในแอพโซเชี่ยลซึ่งเป็นวิดีโอสั้นๆเพียงแค่ไม่กี่วินาที
หญิงสาวมองดูมันด้วยรอยยิ้ม...
'นานแล้วที่ไม่มีใครเข้ามาแวะเวียนภายในโลกของหญิงสาว แต่อยู่ๆมาวันหนึ่งก็กลับมีประกายแสงสีฟ้าและสีทองเข้ามาสร้างความสุกสกาวให้กับโลกของหญิงสาวคนนี้อีกครั้ง หญิงสาวรู้สึกมีความสุขที่มีคนเข้าใจและให้ความสนใจเกี่ยวกับตัวตนของหญิงสาว อาจจะไม่เข้าใจมันอย่างท่องแท้ แต่แค่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆก็สุขใจพอแล้ว'
'ถ้าหากคิดแบบพวกคนช่างฝันนี่ก็อาจจะเป็นการพบกันแห่งปาฏิหาริย์ก็ได้ ...ไม่แน่ว่า เรื่องราวของเค้าอาจจะกำลังเริ่มต้นใหม่ในอีกไม่ช้านี้ เพราะมีผู้คนเดินเข้ามาพานพบมันแล้ว...'
'เค้าได้แต่นึกถึงและเฝ้ารอมัน'
‘บนท้องฟ้าที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตกดิน’
|
|
|
Post by GreyTear on Jul 16, 2018 2:06:25 GMT
...
…
---
ที่สวนสาธารณะ...
'เคยสงสัยไหมว่าเพราะเหตุใดดวงตะวันที่อยู่บนท้องฟ้าจึงสวยงาม'
---
สาวผมบลอนด์ในชุดเครื่องแบบนักเรียนม.ปลายที่เปียกโชกกำลังปั่นจักรยานฝ่าสายฝนอยู่ สายฝนตกลงมาไม่หนักเท่าไหร่นัก เป็นเพียงแค่สายฝนโปรยปรายแต่ก็มากพอที่จะทำให้ตัวของหญิงสาวเปียกปอนไปทั้งตัว
บนทางเดินที่ลาดลงตรงเนินที่อยู่ในสวนสาธารณะ ผู้คนที่อยู่รอบๆต่างก็พากันวิ่งหนีหลบสายฝนกันจ้าละหวั่น ทั้งเด็กๆ คนแก่หรือวัยรุ่นที่มาผ่อนคลาย ณ สถานที่แห่งนี้ต่างก็ไม่มีใครคิดว่าฝนจะตกลงมาทั้งๆที่พระอาทิตย์ยังคงส่องสว่าง ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเหลืองทองและไม่มีเมฆฝนที่ไหนมาบดบัง
แสงเรืองรองทอประกาย ส่องทะลุผ่านม่านไอน้ำ สะท้อนออกมาเป็นสีสันอันสวยงาม
หญิงสาวยังคงปั่นจักรยานสู้กับสายฝนต่อไปทว่าดูเหมือนสายฝนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
ซ่าาา...
"อ้ากกกก !"
"แอะ...."
เพราะทางที่ลื่นและชันบวกกับสายลมที่พัดเอาหยดน้ำมาเข้าที่ดวงตาของหญิงสาว จึงทำให้เธอเสียหลักและปั่นจักรยานไปล้มเอาตรงสนามหญ้าข้างทาง กุ๊งกิ๊งกระเด็นลงไปนอนราบอยู่บนผืนหญ้าอย่างหมดสภาพโดยข้างๆตัวของเธอมีจักรยานสีขาวลายชมพูตัวโปรดล้มอยู่ ซึ่งเป็นภาพที่ดูเจ็บไม่เบาแต่ก็ชวนให้รู้สึกตลกแบบแปลกๆ
โชคดีที่ตัวหญิงสาวไม่มีตรงไหนบาดเจ็บ แต่เธอก็ต้องกะเสือกกะสนเพื่อที่จะแบกร่างของเธอขึ้นมาพร้อมกับยกจักรยานที่กำลังนอนอยู่กับพื้นให้กลับมาตั้งตรงก่อนที่จะค่อยๆเข็นมันไปหาที่หลบฝนซึ่งน้ำหนักของมันก็ถือว่าหนักพอสมควรสำหรับสาวน้อยร่างบางอย่างเธอ
กุ๊งกิ๊งพบว่ากระโปรงนักเรียนสีเทาของเธอเปื้อนดินที่อยู่บนพื้นหญ้าไปหมดแล้ว หญิงสาวจึงเดินเข็นจักรยานไปพลางปัดดินสกปรกที่เปื้อนบริเวณบั้นท้ายไปด้วย และเมื่อนั้นเองเธอก็เห็นฝูงเด็กๆที่กำลังวิ่งไปบนสนามหญ้าโดยกำลังไปหาที่หลบฝนอยู่เช่นกัน กุ๊งกิ๊งไล่มองเด็กตัวน้อยๆแต่ละคน
ณ ตอนนั้นเองเธอก็เหลือบไปเห็นนักเรียนสาวคนหนึ่งที่กำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าเด็กๆ เครื่องแบบที่นักเรียนสาวคนนั้นสวมอยู่คุ้นตาเธอดี เครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนรัมภานาราสมุทรซึ่งก็เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำฝนไม่แตกต่างอะไรจากของสาวผมบลอนด์
เธอคนนั้นก็คือนักเรียนสาวผู้มีนัยน์ตาเป็นสีชมพูเข้มและมีสีผมที่ดูแปลกตาหรือก็คือหญิงสาวลึกลับที่มาลักพาตัวเธอให้ไปโดนเกมลงทัณฑ์ที่ห้องชมรมโรงเรียนไอด้อลเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งสาวผมบลอนด์ยังไม่รู้จักชื่อของเธอคนนั้น
...แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากตอนที่ได้พบกันครั้งแรกก็คือ บนใบหน้าของสาวลึกลับคนนั้นกำลังเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสนุก ความสนุกที่ได้วิ่งเล่นไปบนพื้นหญ้าสีเขียวขจี...
สาวผมบลอนด์ยังไม่ได้คิดอะไร เธอค่อยๆแบกสังขารและจักรยานของตัวเองไปอย่างช้าๆเพื่อไปหลบฝนใต้ต้นไม้ ทว่าระหว่างที่หญิงสาวกำลังค่อยๆเดินอยู่นั้นเอง สาวลึกลับคนนั้นก็หันกลับมายืนนิ่ง เธอคนนั้นหยุดวิ่งพร้อมกับส่งสายตามายังตัวของหญิงสาวก่อนที่จะชี้นิ้วมาที่เธอและตะโกนบอกเด็กๆว่า
"นั่น... ! --ยักษ์ผมสีทราย-- ! –พวกเรา...ไปต้อนรับ-- !"
ทันใดนั้นเองเด็กตัวเล็กๆต่างก็แบ่งกลุ่มกันมาวิ่งรายล้อมตัวของกุ๊งกิ๊ง สาวผมบลอนด์งงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อย แต่การที่มีเด็กตัวเล็กๆที่พละกำลังเต็มพิกัดมาวิ่งรอบตัวๆแบบนี้แล้วจึงพลันทำให้หญิงสาวต้องเร่งฝีเท้าตัวเองให้รวดเร็วตามเหล่าเด็กๆไปด้วย
"เอ๋ ! ? นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย ?" เธอร้องออกมาเล็กน้อยเมื่อจู่ๆก็มีเด็กมาวิ่งล้อมรอบเป็นวงกลม
"คึคึคึ ! --วงแหวนเด็กน้อย--!" สาวลึกลับคนนั้นเอามือขึ้นมาแตะกันและทำสัญลักษณ์เป็นรูปวงกลมพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางประหลาดๆซึ่งสาวผมบลอนด์ก็ไม่สามารถเข้าใจท่าทางนั้นได้เหมือนกัน
หลังจากที่ฝูงเด็กๆและหญิงสาวพากันมาหลบฝนกันอยู่ใต้ต้นไม้ กุ๊งกิ๊งก็หอบออกมาด้วยความเหนื่อยล้า ไม่บ่อยครั้งที่เธอต้องมาออกกำลังแบบนี้ ระหว่างที่สาวผมบลอนด์กำลังเหนื่อยหอบและเอามือกุมหัวเข่าอยู่นั้นเอง นักเรียนสาวผู้มีสีผมฉูดฉาดก็พูดขึ้นมาว่า
"--เหนื่อยแล้วรึ-- --รับน้ำไปซะ--" เธอยื่นขวดน้ำเปล่าให้กับกุ๊งกิ๊ง เมื่อสาวผมบลอนด์เห็นดังนั้นจึงกล่าวขอบคุณไป
"ข--ขอบคุณนะ"
"--ยินดีเสมอ-- คึคึคึ !" นักเรียนสาวคนนั้นตอบกลับไป การพูดของเธอค่อนข้างที่จะสั้นๆห้วนๆ น้ำเสียงค่อนข้างแข็งๆแบบคนที่พูดจาไม่ค่อยถนัด
"นี่เธอชื่ออะไรหรอ? เราเคยเจอกันแล้วหนิ แล้วชั้นก็เห็นเธอมาเล่นวิ่งไล่จับกับเด็กๆที่นี่หลายครั้งแล้วแต่ยังไม่รู้จักชื่อของเธอเลย" สาวผมบลอนด์เริ่มที่จะทำความรู้จักกับผู้หญิงลึกลับคนนี้ เธอเป็นคนที่สาวน้อยเห็นแทบจะทุกวันหลังเลิกเรียนแต่ก็ไม่เคยเห็นอยู่ที่โรงเรียนเลยซักครั้งเดียว แถมการแต่งตัวยังเรียกได้ว่าแปลกแหวกแนวกว่าชาวบ้านเค้าอีก ซึ่งเรียกได้ว่าผิดกฎโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ
"--ตัวของฉันมีชื่อว่า'ซาโกะ อัครมณีเทวา'-- --เรียกสั้นๆว่า'ซาโกะ'ก็ได้-- --แล้วตัวเธอล่ะ?--" ซาโกะแนะนำตัวเองพร้อมถามชื่อสาวผมบลอนด์กลับไป
"ชั้นชื่อว่า'กุ๊งกิ๊ง'น่ะ นี่เธอเป็นลูกครึ่งหรือนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างชาติสินะ ที่ประเทศไทยน่ะถ้าเป็นเพื่อนกันเฉยๆไม่นิยมเรียกชื่อจริงกันหรอกนะ ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จัก" กุ๊งกิ๊งพูดชื่อตัวเองพร้อมกับตั้งคำถามอย่างหนึ่งกับซาโกะ
"--ฉลาดมาก-- --รู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ใช่คนไทยแท้ๆ--"
"ก็แหม่... แค่ดูจากชื่อกับวิธีการพูดแค่นั้นก็รู้แล้ว"
"--พ่อของฉัน-- --เป็นคนไทย-- --แต่ทำงานอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น-- --ส่วนแม่เป็นคนญี่ปุ่น-- --ฉันพึ่งจะอยู่ที่ไทยมาได้ไม่นาน-- --พึ่งจะมาเข้าเรียนได้แค่หนึ่งภาคเรียน-- --โยโรชิกุ โอเนไง อิตาชิ มัส(ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย)--"
สาวผิวขาวซีดที่ชื่อว่าซาโกะกล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกับโค้งคำนับแบบชาวญี่ปุ่น กุ๊งกิ๊งเมื่อเห็นท่าทีที่เป็นพิธีรีตองขนาดนั้นจึงรู้สึกเกรงใจไม่เบาถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนเดียวกับที่จับเธอยัดเข้าใส่ถุงขยะแล้วเอาไปให้เซี๊ยะแกล้งก็ตาม
"อ๊ะ... อืมๆๆ" เธอทำอะไรไม่ค่อยถูกนักจึงทำเป็นโค้งรับไป
"--เรื่องในวันนั้น-- --ต้องขอโทษด้วย-- --พอดีเพื่อนของเรา-- --บอกให้ทำ-- --เซี๊ยะเป็นเพื่อนคนเดียวของเรา-- --ถึงเราจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม--" ซาโกะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเล่าเรื่องระหว่างตัวเองกับเซี๊ยะหรือประธานชมรมโรงเรียนไอด้อลออกมาสั้นๆ
เมื่อกุ๊งกิ๊งได้ยินดังนั้นจึงตอบรับกลับไปพร้อมกับถามสิ่งที่ตัวสงสัยขึ้นมาว่า "อย่างงี้เองสินะ ว่าแต่ทำไมชั้นถึงไม่เห็นเธอที่โรงเรียนบ้างเลยล่ะ เคยเห็นแต่ตอนอยู่นอกโรงเรียน เช่นออกมาเล่นวิ่งไล่จับกับเด็กๆแบบในตอนนี้"
ซาโกะที่ได้ยินดังนั้นจึงนิ่งเงียบลงเล็กน้อย เธอกระพริบตาหยุดมองดูพระอาทิตย์ก่อนที่จะหันมาสบสายตากับสาวผมบลอนด์
เธอค่อยๆตอบกลับไปด้วยเสียงที่ไม่ค่อยจะชัดถ้อยชัดคำแบบเดิมว่า
"--เราย้ายจากกรุงเทพ-- --เราไปอยู่ที่ญี่ปุ่นตั้งแต่อายุหกขวบ-- --ตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านมาแล้วสิบปี-- --เราแทบจะจำภาษาไทยไม่ได้-- --เราลืมวิถีชีวิตแบบคนไทยไปหมดแล้ว-- --โดยเฉพาะของเด็กนักเรียน--"
"--ในแต่ละวัน-- --เราจึงเอาแต่ละนั่งเรียน-- --มีเพื่อนเข้ามาคุยเล่น-- --ให้ความสนใจบ้าง-- --อาจจะเป็นเพราะคนชื่นชอบและสนใจ-- --ความเป็นญี่ปุ่นของเรา-- --แต่เราก็ไม่มีเพื่อนกลุ่มไหนอยู่เป็นหลัก-- --การจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มของคนอื่น-- --มันไม่ง่ายเลย--"
"--แต่วันหนึ่ง-- --เซี๊ยะก็เดินเข้ามา-- --และชวนเรามาอยู่ชมรมไอด้อลลุสคูล-- --ทั้งชมรมนี้มีแค่เราสองคน-- --ไม่มีคนอื่นเลย-- --และในตอนนั้นเรา-- --พูดไทยได้น้อยกว่าตอนนี้อีก-- --ทำให้ยังไม่ได้เริ่มทำอะไร-- --เป็นอันเป็นชิ้น--" นักเรียนสาวพูดออกมาอย่างทุลักทุเลจนแม้แต่คนที่นั่งฟังอย่างกุ๊งกิ๊งยังรู้สึกเหนื่อยแทน สาวผมบลอนด์เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกต้องจึงแก้ให้ว่า "เป็นชิ้นเป็นอันจะ.."
ซาโกะพูดต่อ...
"--อืม-- --ขอโทษที--"
"--อย่างที่พูดออกไป-- --ทุกๆวันเราเอาแต่นั่งเรียน-- --พอพักเที่ยงก็จะอยู่แต่ในห้อง-- --เอาข้าวกล่องขึ้นมากิน-- --หลังเลิกเรียนก็มาเล่นที่สวนสาธารณะ-- --ได้มาเจอเด็กๆพวกนี้-- --เราว่าเด็กๆพวกนี้น่ารักดี-- --เราชอบเล่นวิ่งไล่จับ-- --ทีแรกเราอยากจะรับบทเป็นเจสัน-- --แต่เด็กๆไม่เข้าใจ-- --เราเปิดรูปเจสันให้ดู-- --เด็กๆจึงตั้งชื่อให้เราว่า'ยักษ์'แทน-- --ชีวิตของเราอาจจะฟังดูน่าเบื่อไปหน่อย--"
เมื่อกุ๊งกิ๊งฟังเสร็จเธอก็ถอนหายใจออกมาฟอดใหญ่เนื่องจากลุ้นอยู่นานว่าจะพูดจบไหม
แต่เมื่อฟังเสร็จแล้วหญิงสาวก็พูดเรื่องของตัวเองขึ้นมาเหมือนกันว่า...
"เห้ออ... เธอกำลังจะบอกว่าชีวิตตัวเองมันเพลนๆ จืดๆ น่าเบื่อใช่มั้ยล่ะ..."
"--ใช่-- --กิจวัตรเป็นแบบเดิมตลอดทุกๆวัน-- --ทุกอย่างเป็นเส้นตรง-- --ตีกรอบ--"
สาวผมบลอนด์แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีส้ม... เธอมองไปยังพระอาทิตย์ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีสายฝนโปรยปรายผ่านมันไปอยู่
และทันใดนั้นเอง...
"เน้ ยักษ์ !" เด็กน้อยคนหนึ่งพูดขึ้นมา
"--หืม--"'ยักษ์'เป็นชื่อที่เหล่าเด็กๆใช้เรียกซาโกะเพราะทุกๆเย็นเธอจะมารับบทเป็นยักษ์วิ่งไล่จับเด็กๆ
"ทำไมฝนตกขนาดนี้แต่พระอาทิตย์ยังส่องแสงได้ล่ะ ? ! พระอาทิตย์น่ะคือไฟไม่ใช่หรอ ทำไมไม่โดนน้ำฝนดับไปล่ะ ? !"
เด็กผู้ชายตัวน้อยคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทว่ามันช่างเป็นคำถามที่สุดแสนจะไร้เดียงสาผ่านแววตาอันใสซื่อบริสุทธิ์
กุ๊งกิ๊งเมื่อได้ยินดังนั้นจึงแอบหัวเราะเบาๆให้กับความใสซื่อของเด็กน้อย เช่นเดียวกับซาโกะแต่ถึงอย่างนั้นสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นก็ยังคงแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าอีกครั้งคราวนี้เธอชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ทรงกลมที่อยู่ตรงสุดเส้นขอบฟ้า สาวผิวขาวซีดตอบกลับไปว่า
"--จริงๆแล้วพระอาทิตย์-- --ไม่ได้อยู่บนฟ้าเดียวกับเรา-- --เขาอยู่ไกลออกไปจากที่เราเห็นมาก-- --หยดน้ำฝนจึงไม่โดนตัวของเขา--"
"ถ้าอยู่ไกลออกไปขนาดนั้นทำไมถึงยังส่องแสงมาหาเราได้ล่ะ ยักษ์โกหกหรือเปล่าเนี่ย ? !" เด็กน้อยคนนี้ช่างมากไปด้วยคำถาม เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความใคร่รู้เหมือนกับเมื่อครั้งที่นักเรียนสาวม.ปลายทั้งสองคนยังเป็นเด็ก ไม่ต่างอะไรกัน...
เมื่อได้ยินคำถามดังนั้นซาโกะก็ไม่ลำบากที่จะตอบกลับไปอีกครั้งว่า
"--เพราะพระอาทิตย์เป็นดวงดาวที่สุกสกาว-- --แสงสว่างถือกำเนิดขึ้นมา-- --และเปล่งประกายจากภายในตัวของเขาเอง-- --เหมือนกับดวงดาวทุกๆดวงบนท้องฟ้า-- --ที่เห็นได้ยามค่ำคืน-- --ถึงจะอยู่ไกลซักเพียงไหน-- --ถึงแม้จะตัวเล็กซักเพียงใด-- --แต่เราก็ยังคงมองเห็นแสงอันสวยงามของพวกเค้า-- --เพราะทุกๆดวงต่างมีประกายแสงเป็นของตัวเอง--"
"--และถึงแม้ว่าฝนจะตกหนักซักเพียงใด-- --ประกายแสงแห่งปาฏิหาริย์ก็ยังคงขจัดความขุ่นหมองบนท้องฟ้า-- --ได้เสมอ--"
เธอพูดจบพร้อมกับยิ้มสวยๆส่งประกายให้กับเด็กน้อยคนนั้นไป
"พระอาทิตย์ก็เป็นดาวหรอ... พึ่งรู้นะเนี่ย" เด็กน้อยพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
"เขาเรียกว่าดาวฤกษ์จะ หิหิ" กุ๊งกิ๊งเข้ามาเสริมให้เด็กน้อยคนนั้นพร้อมกับแอบหัวเราะแบบพี่สาวผู้น่ารัก
"หืม..."
"..."
"ว่าแต่ทำไมถึงเรียกว่าประกายแสงแห่งปาฏิหาริย์ล่ะ มันเกี่ยวอะไรกันหรอ ?" เด็กตัวน้อยถามคำถามสุดท้ายที่อยู่ในหัวของเขา
ทันทีที่ฟังคำถามนั้นเสร็จซาโกะก็ชี้ออกไปที่สิ่งๆหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏอยู่บนท้องฟ้าก่อนที่หญิงสาวจะพูดออกมาว่า "--เคยเห็นสิ่งนั้นมั้ยล่ะ--"
เด็กตัวน้อยมองออกไปตามเส้นทางที่หญิงสาวชี้... บนท้องฟ้าผืนนั้น ตอนนี้กำลังปรากฏเป็นรัศมีของแสงเจ็ดสี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ไล่ตั้งแต่วงในออกไปยังวงนอกสุด แสงสว่างผสานกันและร้อยเรียงกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า'สะพานสายรุ้ง' ตามตำนานคนเคยเล่าขานเอาไว้ว่า สะพานสายรุ้งคือเส้นทางที่เชื่อมระหว่างดินแดนมนุษย์กับสรวงสวรรค์ ในบางครั้งก็อาจจะมีสรรพสัตว์จากเบื้องบนเล็ดรอดหลุดออกมาวิ่งเล่นอยู่บนสะพานนั้นได้ อย่างไรก็ตาม...คนโบราณเชื่อว่าถ้าหากเราขี่ม้าไปตามเส้นทางสายรุ้งนั้น ที่ปลายทางก็จะพบกับประตูสวรรค์และสามารถขอพรให้เทพพระเจ้าดลบันดาลปาฏิหาริย์ได้ประการหนึ่ง
...
|
|
|
Post by GreyTear on Jul 16, 2018 12:34:38 GMT
ตอนที่ 4 : สายลมแห่งปาฏิหาริย์
“ฉันน่ะ... เชื่อว่าเธอมีพรสวรรค์อยู่แล้ว”
"เอ๊ะ..?"
"ยังไงซะ ชั้นก็ขอฝาก...ชมรมโรงเรียนไอด้อลนี้ ...ด้วยก็แล้วกัน"
ภายในห้องซ้อมเต้นที่มีเพียงแสงสว่างอันริบหรี่จากพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน นักเรียนสาวผมสีเหลืองทองกล่าวกับเด็กสาวผมสีแดงที่กำลังยื่นอยู่ตรงหน้าของเธอ ภายในแววตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ทั้งความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ปนเศร้า เคล้าไปด้วยความเจ็บปวด... และความรู้สึกผิดจากการที่ตนเองได้ทอดทิ้งความฝันอย่างหนึ่งไปด้วยต้นเหตุที่ว่าไม่สามารถทำมันให้เป็นจริงได้สำเร็จ ...และยังมิสามารถทำตามคำสัญญาที่ให้เอาไว้กับเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าได้
สาวผมแดงที่ผูกเป็นหางม้าไว้เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของเธอจึงเริ่มสั่นคลอนขึ้นมา ปากของเธอสั่นระรัว น้ำเสียงที่ขาดๆหายๆเล็ดลอดออกมาจากภายในลำคออันเป็นสัญญาณที่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายเช่นเดียวกับหญิงสาวผมทอง ...ทว่าความรู้สึกเหล่านั้นคือคนที่เหมือนกำลังถูกหักหลัง ...หรือถ้าหากจะให้ใช้คำที่ดูเบาบางและรุนแรงน้อยลงก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นความรู้สึกของคนที่กำลังถูกพลัดพราก ทอดทิ้ง และกำลังไม่เข้าใจ
สาวผมแดงพยายามที่จะเอื้อมมือออกไปคว้าตัวของรุ่นพี่ผมสีทองคนนั้น...ทว่าอะไรบางอย่างภายในจิตใจของเธอกระซิบบอกตัวของเด็กสาวว่าจงอย่าทำ เธอรั้งมือข้างนั้นเอาไว้ ทำตามเสียงของหัวใจ... มันอาจจะเป็นเสียงกระซิบกระซาบแห่งโชคชะตาหรือว่าถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็อาจจะเป็นแค่เพียงเสียงของหัวใจที่กำลังลังเลซึ่งมักจะบอกอะไรที่ผิดพลาดออกมาอยู่เรื่อย ถึงอย่างไรก็ตาม... รุ่นพี่สาวผมสีเหลืองทองคนนั้นก็ได้ก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป ประกายแสงบนแผ่นหลังของเธอค่อยๆเรือนลางออกไป จางหายไปเช่นเดียวกับแสงตะวันที่ค่อยๆลับขอบฟ้า...
'นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบสองปีทีแล้ว...'
…
…
...หลังเลิกเรียน
‘ความรู้สึก...อยากที่จะเริ่มต้นบางสิ่งบางอย่าง'
---
กุ๊งกิ๊งกำลังเดินตรงไปยังห้องชมรมของเธอ โดยหญิงสาวอยากจะพบกับประธานชมรมหรือเซี๊ยะเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง ทว่านอกจากจะเธอจะไม่มีเฟสบุ๊คส่วนตัวหรือเบอร์โทรศัพท์ของสาวผมแดงแล้ว เพื่อนสาวคนสนิทที่เรียกได้ว่าเป็นคนกว้างขวางและรู้จักคนไปทั่วอย่างจีจี้ก็ยังไม่มีช่องทางในการติดต่อเช่นกัน เป็นไปได้ว่านักเรียนสาวขี้แกล้งคนนี้อาจจะไม่ค่อยชอบเข้าสังคมและเล่นโซเชี่ยลเสียเท่าไหร่
...ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครคบอีกด้วยเพราะถึงแม้จะมีหลายคนที่รู้จักกับเธอเช่นเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนที่นั่งข้างๆ แต่คนเหล่านั้นต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้สนิทด้วย บางคนถึงขั้นบอกว่าไม่ค่อยชอบขี้หน้าสาวผมแดงเพราะเป็นคนที่ชอบแกล้งคนอื่นแถมยังทำเรื่องวุ่นวายไปทั่ว
--"เซี๊ยะน่ะหรอ ? จริงๆก็พอรู้จักนะ เป็นเพื่อนกับชั้นตอนม.ต้นน่ะ แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้น ประมาณม.3 ก็ย้ายห้องกันแล้วก็แทบไม่ได้คุยกับนางอีกเลยน่ะ"--
--"เซี๊ยะที่ผมสีแดงๆ หน้าตาออกหมวยๆคนนั้นอะนะ... อืม... จะว่าไปผู้หญิงคนนี้ก็เห็นมีเพื่อนหลายคนอยู่นะตอนม.ต้น เคยมาเป็นเพื่อนอยู่ในกลุ่มของพวกชั้นด้วย แต่ก็ไม่ค่อยสนิทกันมากเท่าไหร่อะนะ จริงๆนางตานางออกจะสวยนะแต่ดูไม่ค่อยมีใครคบเท่าไหร่ ไม่เข้าใจเหมือนกัน"--
--"ยัยนั่นน่ะหรอ ! อย่าให้พูดเลย ! ตอนม.ต้นก็ดูมีเพื่อนมีฝูงเยอะอยู่แหละ แต่เป็นเพราะว่าตอนนั้นเรายังเด็กกันแล้วก็โดนยัยนั้นชวนให้ไปทำเรื่องเกเร ไร้สาระ แหกกฎโรงเรียนอยู่เรื่อย วันๆเอาแต่เล่นสนุกอย่างเดียว จริงๆแล้วไม่ได้มีใครสนิทกับยัยจริงๆซักคนหรอก แถมพอขึ้นม.ปลายมาก็ยังไม่เลิกสร้างปัญหาทำให้ไม่มีใครเค้าอยากคบด้วยยังไงล่ะ ! ถ้ารู้จักกับยัยล่ะก็ช่วยฝากบอกนางว่าหัดโตได้แล้ว !"--
--"เพื่อนของคุณเป็นคนถูกแบน... พยายามอย่าไปยุ่งกับยัยนั่นเลยนะคะ เดี๋ยวจะโดนคนอื่นมองไม่ดีไปด้วย... อันนี้เตือนด้วยความหวังดี คุณยิ่งเป็นเด็กใหม่ด้วยควรจะหาพรรคหาพวกที่มันน่าคบกว่าคนๆนั้นนะคะ"--
เมื่อได้ยินชื่อเสียงด้านไม่ดีของสาวผมแดง กุ๊งกิ๊งจึงได้แต่หัวเราะแห้งพร้อมกับตอบกลับไปว่า... "อ๋อแฮะๆๆ ไม่ได้เป็นเพื่อนอะไรกันขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่อยู่ชมรมเดียวกันเฉยๆ"
หลังจากที่สาวผมบลอนด์ได้ไปไล่ถามเพื่อนแต่ละคนในห้องมาก็พอจะได้คำตอบว่าเซี๊ยะนั้นไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นๆเสียเท่าไหร่ จริงอยู่ว่าอาจจะมีคนรู้จักอยู่พอสมควรแต่ส่วนมากชื่อเสียงหรือวีรกรรมที่ออกมาจากปากของคนที่รู้จักก็จะออกไปในด้านลบซะส่วนใหญ่
--"เซี๊ยะน่ะหรอ... ไม่ได้รู้จักอะไรเป็นการส่วนตัวหรอก แต่เห็นมีคนบอกมาว่านังนั่นน่ะจะชอบไปทำอะไรอยู่คนเดียวก็ไม่รู้ที่ห้องชมรม ทุกๆเย็นเลยนะ"-- นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่พอจะทำให้สาวผมบลอนด์ได้อะไรคืบหน้าขึ้น
--"จำได้ว่าเคยมีอยู่วันหนึ่ง... มีนักเรียนสาวผิวซีด สีผมแปลกๆเป็นสีดำปนเทา สีตาน่ากลัวๆเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในห้องเดียวกันกับเซี๊ยะด้วยน่ะ... หูยย พูดแล้วขนลุก !"—ส่วนนี่ก็เป็นอีกข้อมูลหนึ่งซึ่งฟังดูแปลกๆและสร้างความสงสัยให้กับกุ๊งกิ๊งไม่เบา
…
กิก กิก กิก
สาวผมบลอนด์กำลังพิมพ์ข้อความหาเพื่อนสาวคนสนิทของเธอ
...
[นี่จีจี้ วันนี้กลับก่อนได้เลยนะ ว่าจะแวะไปที่ห้องชมรมซักหน่อยน่ะ](อ่านแล้ว 16.59น.)
JeeJee : [รีบๆกลับนะ]
JeeJee : [เป็นห่วง]
JeeJee : ส่งสติ๊กเกอร์
... สติ๊กเกอร์รูปหัวใจปรากฏตรงช่องข้อความที่จีจี้ส่งมา เมื่อกุ๊งกิ๊งเห็นดังนั้นจึงตอบกลับไปด้วยสติ๊กเกอร์รูปปลาโลมาซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะสื่อความหมายว่าอะไร
...
...
ตึกเรียนของนักเรียนชั้นม.4 ค่อนข้างที่จะไกลกับห้องชมรมของกุ๊งกิ๊ง เนื่องจากเป็นตึกใหม่ที่สร้างอยู่ด้านหลังตึกศูนย์อาหารอาหารในขณะที่ตึกกลางหรือตึกที่มีหอนาฬิกาซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องชมรมโรงเรียนไอด้อลอยู่เยื้องถัดออกไปจากด้านหน้าศูนย์อาหารแถมยังอยู่คนละฟากกับตึกม.4อีกด้วย ซึ่งศูนย์อาหารที่เป็นตัวขวางกั้นระหว่างโซนสองโซนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมีขนาดเล็กๆเนื่องจากเป็นศูนย์อาหารที่กินเนื้อที่มากที่สุดเป็นอันดับต้นๆเมื่อเปรียบเทียบกับของโรงเรียนๆอื่น
เพื่อให้สะดวกที่สุดสาวผมบลอนด์จึงต้องเดินผ่านทางเชื่อมและลัดไปทางตึกของพวกสภานักเรียนก่อน เพื่อที่จะได้เดินไปใช้สะพานลอยซึ่งเชื่อมระหว่างตึกกลางและตึกของสภานักเรียนซึ่งอยู่กันคนละฟาก โดยสะพานลอยที่สร้างอยู่เหนือสนามฟุตซอลและเชื่อมระหว่างตึกสองตึกนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของโรงเรียนรัมภานาราสมุทรเช่นกัน เพราะว่าเป็นสะพานยาวไม่ใช่สะพานเล็กๆและไม่ได้มีให้เห็นทุกๆโรงเรียน
ทว่าระหว่างที่สาวผมบลอนด์กำลังเร่งฝีเท้าก้าวเดินไปอยู่นั้นเอง... ทันทีที่เธอเดินผ่านหน้าห้องสภานักเรียน หญิงสาวก็ได้ยินบทเสียงสนทนาดังออกมาจากห้องๆนั้น…
"ช่วงที่ผ่านมานี้ได้ข่าวความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมที่ดูมีพิรุธของ'คีย์' บ้างไหม ?" น้ำเสียงเล็กๆของชายหนุ่ม
"ไม่ได้ข่าวเลยค่ะ จะว่าไป...ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วกับชมรมโรงเรียนไอด้อล เขาก็แทบจะเงียบหายไปเลย ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรที่น่าสงสัยเป็นพิเศษ ตั้งแต่ตอนนั้นมา..." เสียงใสๆนุ่มนิ่มๆราวกับน้ำเสียงจากตุ๊กตา...
'เสียงแบบนี้... พี่มิวหนิ' เมื่อสาวผมบลอนด์ได้ยินเสียงของรุ่นพี่ที่คุ้นเคย เธอจึงหยุดก่อนและมาแอบยืนฟังอยู่ข้างๆกำแพงหน้าห้อง
"อืม... ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆก็ดีแล้ว แต่อย่าให้คาดสายตาเด็ดขาด เจ้าหมอนั่นเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวมันก็สามารถทำให้คนที่เคยเป็นเพื่อนกันมานานมองหน้ากันไม่ติดได้ ชั้นไม่อยากให้ใครต้องมาแตกคอกันเพราะเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว" เสียงเล็กๆฟังดูแล้วชวนให้รู้สึกจักจี้ยังคงดังออกมาเรื่อยๆ ถึงอย่างงั้นก็ฟังออกว่าเป็นเสียงของผู้ชาย
"เรื่องนั้นชั้นเข้าใจดี และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเราก็คอยแอบติดตามตัวเค้าแบบลับๆมาโดยตลอด เชื่อว่าเหตุการณ์แบบครั้งนั้นคงจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกแน่ๆ---"
โคร่ม !
'อ๊ะ ! เสียงฟ้าร้องหนิ'
ด้านนอกห้องเมื่อกุ๊งกิ๊งได้ยินเสียงฟ้าร้องเช่นเดียวกับคนที่อยู่ด้านในห้อง เธอจึงรีบมองออกไปที่ตรงระเบียง สาวน้อยพบว่าจู่ๆฝนก็ตกลงมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงแถมเป็นสายฝนที่ตกลงมาทั้งๆที่แสงแดดยามโพล้เพล้ยังคงส่องสว่างอยู่แท้ๆ สาวผมบลอนด์เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งแจ้นกลับหอทันที
'โถ่ววว ! เจ้าฝนบ้ามาตกอะไรเอาตอนนี้ ได้ตัวเปียกอีกแน่ๆเลย ! ไว้วันหลังค่อยไปที่ห้องชมรมก็แล้วกัน'
...
ภายในห้องสภานักเรียน
"...." สาวน้อยน่ารักผมสีขาวนัยน์ตาสีขมิ้นเงียบไปชั่วขณะ สีหน้าของเธอดูตื่นๆเล็กน้อย นักเรียนหนุ่มที่อยู่ในห้องเมื่อเห็นดังนั้นจึงตั้งข้อสันนิษฐานได้ไม่ยากว่าสภานักเรียนคนนี้คงจะกลัวเสียงฟ้าผ่า
"กลัวเสียงฟ้าผ่าสินะ..." ชายคนนั้นพูด
มิวเมื่อได้ยินดังนั้นจึงตั้งสติได้ เธอยิ้มขึ้นมาก่อนที่หันไปหาผู้ชายที่กำลังยืนอยู่หลังโต๊ะที่มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า 'ตำแหน่ง : ประธานนักเรียน' นักเรียนชายคนนั้นมีรูปร่างค่อนข้างเตี้ย น่าจะต่ำกว่า 170 ซม.และมาตรฐานชายไทยได้พอสมควร นอกจากนั้นก็มีผมหยักโศกปิดหน้าปิดตาเล็กน้อย นัยน์ตาสีดำซึ่งมาพร้อมกับแววตาที่ดูเฉยเมยและดูธรรมดาๆไม่มีอะไรโดดเด่นจนแทบไม่มีออร่าของการเป็นประธานนักเรียนอยู่เลยก็ว่าได้
...ถ้าหากพูดถึงประธานนักเรียนที่เป็นผู้ชาย หลายคนคงจะนึกถึงนักเรียนชายหน้าตาดี สูงหล่อ อกผายไหล่ผึ่ง ลุคแลดูเท่ห์สมาร์ท... ทว่าสำหรับประธานนักเรียน'ตะวัน คีรีปารีชาติ'ผู้นี้กลับไม่มีรัศมีที่เปล่งปลังออกมาแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาดูเป็นแค่ผู้ชายจืดๆธรรมดา มิหนำซ้ำรองประธานนักเรียนอย่างมิวยังจะดูมีสง่าราศีกว่าและรัศมีกลบประธานนักเรียนอย่างเค้าเสียด้วยซ้ำ ทว่าเขายังมีปณิธานและอะไรดีๆซ่อนอยู่ในตัวของเค้าอีกเยอะ…
"แล้วเรื่องของชมรมโรงเรียนไอด้อลล่ะคะ... จะยังคงให้การสนับสนุนต่อไปมั้ย ? มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยนะคะที่รู้ว่าพวกเราสภานักเรียนแอบให้การหนุนหลังชมรมนั้นอยู่ห่างๆ บางคนก็ไม่ค่อยพอใจแล้วก็ร้องเรียนมาเข้าน่ะ... ในเรื่องของการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่ที่ตัวคุณนะ คุณประธานนักเรียน" สาวผมสีขาวส่งสายตามองชายร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า เธอยิ้มกรุ้มกริ่มออกมาเล็กน้อยราวกับว่ากำลังลองเชิงประธานนักเรียนคนนี้อยู่
"หึ..." เสียงหัวเราะของชายร่างเล็กนำขึ้นมาก่อน สีหน้าของเขาดูไม่ใช่เรื่องหนักใจอะไรนักกับการที่ต้องตัดสินใจเรื่องๆนี้ ประธานนักเรียนหนุ่มตอบกลับไปว่า...
"จริงๆแล้วเธอเองก็มีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วไม่ใช่หรอ"
"คำตอบอะไรหรอคะ... กรุณาช่วยเจาะจงด้วย" มิวยังคงยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่และถามประธานนักเรียนคนนั้นกลับไป
"...ก็ที่ว่าจะยังคง... รักษาเรื่องราวทุกๆอย่าง... ที่เธอ --ไม่สิ... ที่เธอกับเพื่อนๆสร้างกันขึ้นมายังไงล่ะ" ตะวันหลับตาลงพร้อมกับตอบกลับไปโดยที่ไม่สบสายตา
เมื่อนั้นเองนักเรียนสาวตัวเล็กก็พูดต่อจากประโยคของชายที่อยู่ตรงหน้าทันทีว่า... "ก่อนที่จะถูกทำลายลงโดยการเข้ามาของคีย์น่ะหรอคะ..."
มิวแหงนหน้าขึ้น เธอมองไปยังแสงตะวันที่เล็ดลอดเข้ามาผ่านกระจกที่อยู่หลังโต๊ะประธานนักเรียน "เพราะเรื่องราวถูกสร้างขึ้นมาก่อน มันจึงได้จบลงหรือถูกทำลายลง ถ้าไม่เคยมีมันตั้งแต่แรกก็จะไม่ต้องมาพานพบกับจุดจบเหล่านั้น"
"แต่ก็เพราะเรื่องราวเหล่านั้นไม่ใช่หรอที่ทำให้เธอได้พบกับอะไรหลายๆอย่างน่ะ... ได้เจอกับชั้น ได้พบกับเพื่อนๆเหล่านั้น ได้ร่วมฝันไปกับผู้คนเหล่านั้น... เรื่องราวพาให้เรามาเจอกับปาฏิหาริย์อะไรหลายๆอย่างไม่ใช่หรอ..."
"แต่ตอนจบของเรื่องราวน่ะ มันแสนเจ็บปวดเสมอนะคะ"
ตะวันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ถึงแม้ว่าประเด็นที่ทั้งสองกำลังพูดกันอยู่นั้นเป็นเพียงประเด็นยิบย่อยที่ไม่ได้มีความสำหลักสำคัญอะไรเมื่อเทียบกับการประเมินพฤติกรรมนักเรียนที่น่าสงสัยหรือไล่ตรวจสอบนักเรียนที่มีปัญหาและกำลังหนีเรียนอยู่ก็ตาม...แต่มันก็เป็นเรื่องที่ชวนให้ขบคิดและต้องสะดุดทุกๆครา เมื่อมีการพูดถึงประเด็นๆนี้ขึ้นมาซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สภานักเรียนสาวหยิบยกมันขึ้นมาพูด ทว่าถึงอย่างงั้นเธอเองก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจัง ให้อารมณ์เหมือนจะชวนคุยเล่นๆขำๆเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดประธานนักเรียนหนุ่มก็ให้คำตอบกลับไปว่า
"เอาไว้เดี๋ยวชั้นจะเอาไปลองคิดดู หึๆๆ"
"ว่าแต่... อีกสองสัปดาห์กว่าๆก็จะถึงวันชาติแล้วนี่นา ทางโรงเรียนของเราจะมีจัดงานอะไรบ้าง"
เมื่อประเด็นเก่าตกไปชายหนุ่มผมหยักโศกก็ยกประเด็นใหม่ขึ้นมาแทนที่ คราวนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังมากกว่าเดิมเล็กน้อยเนื่องจากว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและใกล้วันเข้ามาเรื่อยๆแล้ว ซึ่งงานในวันนั้นจะแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของโรงเรียน
"ก็... ตามนโยบายของพวกเรานั่นแหละค่ะ สนับสนุนเรื่องการทำกิจกรรมอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นก็ว่าจะจัดให้ชมรมแต่ละชมรมจัดโชว์ การแสดงหรืออะไรก็ได้ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพหรือผลงานของกิจกรรมที่พวกเค้ากำลังทำอยู่ แต่ก็ไม่ได้บังคับทุกชมรมนะคะ ถ้าหากชมรมไหนไม่พร้อมก็ไม่จำเป็นต้องจัดก็ได้ งานนี้เราไม่ได้บังคับขนาดนั้น แล้วนอกจากนั้นก็ว่าจะจ้างวงดนตรีเล็กๆ จัดเวทีคอนเสิร์ต อะไรทำนองนั้นอยู่ล่ะค่ะ"
สภานักเรียนสาวอธิบายแผนการที่อยู่ในหัวออกมา ซึ่งดูเหมือนประธานนักเรียนหนุ่มจะค่อนข้างพอใจอยู่พอสมควร...
…
…
…
เย็นของวันถัดมา
สาวน้อยเดินตามเส้นทางเดิมเช่นเดียวกับเมื่อวาน หญิงสาวเดินตรงข้ามสะพานลอยที่เชื่อมระหว่างตึกหอนาฬิกากับตึกสภานักเรียน ด้านล่างของเธอคือสนามฟุตซอลที่มีเด็กนักเรียนหลายคนกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ ถึงบรรยากาศข้างล่างจะดูชุกไปด้วยผู้คนทั้งคนที่กำลังเล่นกีฬาและคนที่กำลังเดินเดินกลับบ้าน แต่ด้านบนอาคารเรียนกลับเงียบเชียบไร้ผู้คน กุ๊งกิ๊งมองไปยังทางเดินที่ว่างเปล่าเพราะต่างคนต่างลงจากอาคารเรียนไปกันหมดแล้วในขณะที่เธอกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องชมรม
แสงอาทิตย์ของวันนี้กลับมาสดใสและสว่างจ้าย้อมทุกอย่างให้กลายเป็นสีส้มอีกครั้ง พายุฤดูหนาวอาจจะหยุดลางานไม่มาสร้างความลำบากใจในการเดินทางและบรรยากาศแห่งความขุ่นมัวในวันนี้
เธอเดินเข้าไปในตึกหอนาฬิกาโดยนี่เป็นครั้งแรกที่สาวน้อยได้ย่างก้าวเข้ามาในอาคารเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็นเอกลักษณ์หรือจุดเด่นอย่างหนึ่งของโรงเรียนรัมภานาราสมุทร บรรยากาศภายในตึกสีแดงอิฐนั้นเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง ไออุ่นแห่งวัยว้าวุ่นที่กำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่อีกขั้นหรือก็คือรุ่นพี่ม.6 นั่นเอง ...กลิ่นอายแห่งความฝัน ภาพอันเลือนลางของอนาคตที่รุ่นพี่แต่ละคนวาดเอาไว้ต่างล่องลอยไปตามอากาศและโบยบินไปตามสายลม ซึ่งความรู้สึกเหล่านั้นสามารถถ่ายทอดมายังสาวผมบลอนด์ตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอเดินเข้ามา...
สาวน้อยเดินไปจนสุดทางเดินก่อนที่ขึ้นบันไดไปอีกชั้น จนในที่สุดเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าของห้องชมรมโรงเรียนไอด้อล
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
กุ๊งกิ๊งเคาะประตูสามครั้งก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป และสิ่งที่หญิงสาวเห็นนั่นก็คือ...
"One...Two...Three...Four ! One...Two...Three...Four ! One...Two...Three...Four ! One...Two...Three...Four !"
'นั่น... เซี๊ยะหนิ เธอกำลัง...ซ้อมเต้น? อยู่หรอกหรอ'
ทันใดนั้นเอง เมื่อสาวน้อยก้าวเท้าเข้ามาในห้องเธอก็หยุดนิ่งราวกับต้องมนต์สะกดอย่างฉับพลัน ฝีเท้าแน่นิ่งติดอยู่ที่พื้น สายตาราวกับคนที่ถูกหยุดเวลาเอาไว้ไม่ขยับไปไหนหรือไม่แม้แต่เพียงจะกระพริบตา ริมฝีปากเปิดออกมา... สาวน้อยกำลังอ้าปากค้างและตกตลึงอยู่กับสิ่งที่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ...ทว่าแฝงไปด้วยความสง่างาม แต่ก็ร้ายกาจแลเชือดเฉือนประดุจดั่งศรธนูที่แปดเปื้อนไปด้วยหยดเลือดมลทิน
แสงไฟสีเหลืองนวลจากบนเพดานสาดส่องลงมากระทบกับพื้นไม้ปาร์เก้ที่อยู่ด้านล่าง ภายในห้องซ้อมเต้นเหมือนจะถูกย้อมไปด้วยสีดอกดาวเรืองแต่ทว่า...ที่ตรงกลางห้องๆนั้น กลับมีเส้นผมสีแดงเข้มยาวสลวยกำลังปลิวไสวไปมา ซึ่งมันมาพร้อมกับรัศมีอะไรบางอย่างที่แอบแฝงทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังซึ่งไม่สามารถอธิบายออกมาได้เป็นรูปธรรมหรือสัมผัสได้ด้วยมือเปล่า... รัศมีเหล่านั้นกำลังเปล่งปลังและเจิดจรัสออกมาโดยมีศูนย์กลางมาจากเจ้าของเส้นผมนั้น... แสงที่ส่องลงมาเข้าหาศีรษะของหญิงสาวผู้กำลังเต้นอยู่ตรงกลางห้องถูกสะท้อนออกมาแต่ทว่าสิ่งที่ตามมาด้วยนั้นคือประกายแสงที่หาไม่ได้จากใครอื่นนอกจากภายในตัวของหญิงสาว
ประกายแสงอันทรงสเน่ห์ ชวนให้รู้สึกหลงใหล ถูกถ่ายทอดส่งมายังสาวผมบลอนด์ด้วยจังหวะและท่วงท่าการเต้นที่กระฉับกระเฉงควบคู่ไปกับท่วงท่าอันหนักแน่นและทรงพลังแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความนุ่มลึกและเสน่ห์อันเย้ายวนแบบหญิงสาว ถ้าหากจะให้อธิบายผ่านการอุปมาแล้วก็คงเปรียบดั่งการได้เข้าไปติดอยู่ในห้องทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสทึบแสงแคบๆห้องหนึ่ง ซึ่งภายในนั้นจะประกอบไปด้วยแสงไฟนีออนฉูดฉาดสีชมพูเข้มตัดสลับกับสีม่วงแวววับ โดยมีหญิงสาวผู้ทรงสเน่ห์คนหนึ่งกำลังเย้ายวนคุณอยู่ตลอดเวลา การกระทำของเธอไม่ใช่การกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือว่าทำร้าย ทว่าคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถแหกแหวกหนีออกไปที่ไหนได้ เมื่อปล่อยให้เวลาเดินไปเรื่อยๆคุณจะตกอยู่ในห้วงของพันธนาการ ราวกับมีปมเชือกที่ทำจากเส้นผมสีแดงผุดขึ้นมาจากพื้นและฉุดรั้งคุณไว้จนในที่สุดก็ไม่สามารถขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว เมื่อถึงครานั้นคุณก็ต้องยอมจำนนให้กับดวงตาสีมรกตและรอยยิ้มอันปนเปื้อนไปด้วยมลทินเสน่หาเหล่านั้น ก่อนที่จะต้องจองจำอยู่ภายในห้องๆนั้นจนกว่าหญิงสาวผู้ทรงเสน่ห์จะพอใจ
...
เพลงที่เซี๊ยะใช้ซ้อมเต้นเป็นเพลงเคป็อปสไตล์อีดีเอ็มที่เน้นจังหวะเต้นเร็วๆรัวๆ และเต็มไปเสียงบีทที่กระชากวิญญาณ ทันทีที่เธอเต้นเสร็จหญิงสาวก็ค่อยๆหยิบผ้าขนหนูสีชมพูอ่อนขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนลำคอและบนใบหน้า โดยตอนนี้เธอกำลังอยู่ในชุดวอร์มสีชมพูและมินิสเกิร์ตสีน้ำเงินเพื่อความคล่องตัว
เหงื่อของสาวผมแดงกำลังเปียกปอนไปทั่วตัวซึ่งในขณะนั้นเองเธอไม่ทันสังเกตเลยว่ามีดวงตาสีฟ้าเทาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเข้ามาที่ตัวเธอด้วยความตกตะลึง
'ส--สุด--สุดยอดไปเลย !'
กุ๊งกิ๊งที่กำลังยืนมองอยู่พึ่งจะหลุดจากภวังค์ เธอยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเนื่องจากยังทำอะไรไม่ถูกเพราะภาพการเต้นเมื่อกี้ยังคงติดตาตรึงใจของเธอ
เมื่อนั้นเองเซี๊ยะก็หันมาพลางดื่มน้ำไปด้วยแล้วก็ได้สบตากับสาวผมบลอนด์โดยทันใด...
'ม---เมื่อกี้ เธอเห็นทั้งหมดอย่างงั้นหรอ ! ? ฮึ่ยยย ! ตายแล้วเรา !"
พรึ่บบ !
สาวนักเต้นผู้ทรงสเน่ห์รีบวิ่งไปออกแรงดันประตูเอาไว้ในขณะนั้นเองสาวผมบลอนด์ก็พลันพุ่งเข้าไปเพื่อที่จะเปิดประตูห้องซ้อมเข้าไปหาสาวผมแดง
"อย--อย่า อย่าเข้ามานะ ! ออกไป !" ในตอนนี้หน้าของเซี๊ยะกลายเป็นสีแดงระเรื่อแทบไม่ต่างอะไรจากสีผมของเธอ ดูเหมือนว่าสาวสวยคนนี้จะรู้สึกเขินอายที่ว่ามีคนอื่นมาแอบดูเธอซ้อมเต้นตั้งแต่ต้นเพลงยันจบ
"ทำไมล่ะ ! ? เธอเต้นสวยจะตายไป เมื่อกี้น่ะแทบจะถูกเธอสะกดจิตเอาไว้เลยนะ ! แล้วนี่ทำไมต้องไล่ให้ชั้นออกไปด้วย !" กุ๊งกิ๊งตะโกนข้ามประตูไปด้วยน้ำเสียงที่สงสัยว่าทำไมสาวผมแดงถึงห้ามไม่ให้เธอเข้าไปในห้อง
"อย่ามายุ่งเลย ! มาแอบมองคนอื่นตอนซ้อมแบบนี้น่ะ เสียมารยาทแล้วก็น่าอายมากนะรู้มั้ย !" สาวหน้าหมวยตาเฉี่ยวยังคงแสดงอาการเขินอายออกมาไม่เลิก โดยตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างของเธอกำลังปิดมิดจนเป็นรูปสามเหลี่ยมเนื่องจากไม่กล้าสบสายตากลับสาวผมบลอนด์
"นี่สินะคือกิจกรรมของชมรมโรงเรียนไอด้อล ! น่าจะบอกกันดีๆแบบนี้ตั้งแต่แรก ! นี่เธอ ! การจะเป็นไอด้อลต้องมีความกล้าแสดงออกไม่ใช่หรอ ? แล้วจะมาเขินอายอะไรกับแค่การซ้อมแบบนี้ ! ?" กุ๊งกิ๊งที่ยังคงทุลักทุเลอยู่กับการออกแรงดันประตูได้ยกหลักของการเป็นไอด้อลข้อหนึ่งออกมาพร้อมกับยิงคำถามใส่สาวผมแดงที่กำลังยันประตูอยู่อีกฝั่ง
"ชั้นจะกล้าแสดงออกก็ต่อเมื่อพร้อมที่จะแสดงเท่านั้นไม่ใช่ตอนที่ยังไม่สมบูรณ์อย่างเช่นในตอนซ้อมแบบนี้ ! ...ส่วนเรื่องไอดงไอด้อลอะไรน่ะ ชั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับของพวกนั้นหรอก ! ที่ชั้นมาติดอยู่ในชมรมนี้ก็มีรุ่นพี่ชวนให้มาอยู่ด้วยเฉยๆ เธอออกไปได้แล้ว ออกไป !" เซี๊ยะยังคงดันประตูสู้กับกำลังของสาวผมบลอนด์อยู่ไม่เลิก เธออายจนแทบจะไม่ได้ลืมตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ
"แต่ที่เต้นเมื่อตะกี้ก็สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ชั้นเคยเห็นมาในโรงเรียนนี้เลยนะ" กุ๊งกิ๊งพูดกลับไป
"เธอพึ่งจะมาเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ได้แค่ไม่กี่สัปดาห์เองไม่ใช่หรอนางบ้า !" ทว่าก็โดนสาวผมแดงสวนกลับทันควัน...
"อ๊ะ... เอ่อก็จริงนะ แฮะๆๆ" เมื่อได้ยินคำพูดที่ซึ่งก็เป็นความจริงอย่างงั้นเข้าไปสาวผมบลอนด์จึงหยุดชะงักลงพร้อมกับหัวเราะแห้งๆออกมาและเกาหัวแกรกๆ เธอหยุดออกแรงดันประตูในขณะที่สาวผมแดงซึ่งกำลังหลบสายตาอยู่นั้นไม่ทันได้มอง... เธอยังคงออกแรงอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้เมื่อนั้นเองประตูกระจกลามิเนตบานใหญ่จึงถูกเปิดออกมาจากด้านในของห้องซ้อม สาวผมแดงทรงตัวไม่อยู่และกลายเป็นตัวเธอเองที่พุ่งออกมาจากห้องซ้อมเข้าไปหาทางด้านของสาวผมบลอนด์แทน
เมื่อร่างของสาวผมแดงพุ่งไปปะทะกับร่างของสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าจึงทำให้ตัวของทั้งสองร่วงลงไปนอนทับกันอยู่บนพื้นและเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ริมฝีปากสีชมพูกุหลาบอันอวบอิ่มของเซี๊ยะก็ได้เข้าไปสอดประสานสัมผัสกับริมฝีปากบางๆสีครีมเนียนนุ่มของกุ๊งกิ๊ง ดวงตาของทั้งสองต่างลุกโพลนเนื่องจากกำลังตกใจอยู่กับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่หรือจะเรียกได้ว่าเป็นการฝากรอยจูบที่สุดแสนจะดูดดื่มให้ซึ่งกันและกันราวกับกำลังอยู่ในวิมานใจกลางทุ่งลิลลี่ซากุระ
ผ่านไปประมาณสามวินาทีดวงตาของกุ๊งกิ๊งยังคงลุกโพลนให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นทว่ากลับกัน... ทางด้านของสาวผมแดงทึบกลับไม่เป็นดังนั้น
'อย่า...อย่าทำตาเคลิ้มแบบนั้น ! กลับมาก่อน !'
สาวน้อยผมบลอนด์นึกอยู่ในใจเพียงแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้เนื่องจากที่ริมฝีปากของเธอยังไม่ว่างพอที่จะทำหน้าที่นั้น เธอมองเห็นดวงตาที่เริ่มจะหย่อนคล้อยลงของฝั่งตรงข้าม นัยน์ตาสีมรกตที่เริ่มจะหรี่เล็กลงเรื่อยๆเพราะหนังตาค่อยๆตกลงมาจากที่กำลังเบิกโพลนเมื่อสามวินาทีก่อน ผมสีบลอนด์สว่างเส้นบางๆสอดประสานเข้ากับเส้นผมสีแดงทึบประกายม่วงราวกับสัญลักษณ์แห่งการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างด้านมืดกับด้านสว่าง... แต่เมื่อแสงสว่างถูกความมืดเข้าครอบงำก็จะกลายเป็นแสงสว่างที่ปนเปื้อน... ดวงตาของสาวผมแดงเริ่มที่เรียวเล็กลงเรื่อยๆจนกลายเป็น... สายตาแห่งเพชฌฆาตกระชากวิญญาณหรือสายตาเปื้อนมลทินดั่งมโนภาพที่สาวผมบลอนด์ได้เห็นก่อนหน้านี้ตอนที่เซี๊ยะกำลังเต้นอยู่
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม...
'ไม่...เดี๋ยวก่อน... ดึงสติกลับมาก่อนเซี๊ยะ !'
จวบ
สาวผมแดงค่อยๆตั้งสติก่อนที่จะกดไหล่ของกุ๊งกิ๊งลงไปที่พื้นเพื่อที่จะดึงริมฝีปากของอีกฝ่ายให้ออกห่างจากตัวเธอ ก่อนที่เธอจะค่อยๆลงไปนอนหงายราบกับพื้นด้วยความหมดแรงเนื่องจากใช้พลังงานไปมากทั้งจากการเต้นและจากการ...จูบแบบเปื้อนมลทิน เมื่อชั่วครู่นี้ด้วย
'แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก !'
ส่วนอีกฝ่ายหรือกุ๊งกิ๊งก็ถึงกับหอบในใจเพราะช็อคมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อตะกี้
...
...
"เธอชอบมาซ้อมเต้นแบบนี้ทุกๆวันสินะ...? แฮะๆๆ"
หลังจากที่คืนสติกันได้ทั้งสองฝ่ายแล้ว ทั้งสองสาวจึงก็มานั่งจับเข่าคุยกันโดยเว้นระยะห่างกันประมาณหนึ่งไม้บรรทัดเนื่องจากรอยจูบที่ได้บังเกิดขึ้นเมื่อตะกี้นี้ยังคงหลอกหลอนและติดอยู่ในหัวสมอง กุ๊งกิ๊งถามขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนๆเช่นเดียวกับเซี๊ยะที่ตอบกลับไปแบบเจื่อนๆเช่นกันว่า...
"อ๋อ... ชะ...ใช่ ฮะๆๆ"
"เห้ออ..."
หญิงสาวแหงนคอหันไปทางหน้าต่างเพื่อมองดูแสงตะวัน ซึ่งเวลานี้แสงอาทิตย์รำไรก็ใกล้ที่จะลับขอบฟ้าไปอีกเช่นทุกวัน เหลือเพียงแต่แสงทะมึนสีแดงๆตรงเส้นขอบฟ้า
พระอาทิตย์ที่กำลังตกดินเป็นสัญญาณของเวลาที่ล่วงเลย
สาวผมแดงถอนหายใจออกมาก่อนที่จะสูดกลับเข้าไปใหม่ เธอรีบสลัดความเขินอายทิ้งและกลับมาเป็นสาวจอมแก่นผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจดังเดิม สาวหน้าหมวยตาเฉี่ยวพูดย้อนความหลังขึ้นมาว่า
"...ตอนที่ชั้นเข้าร่วมชมรมนี้เมื่อปีก่อนน่ะเพราะรุ่นพี่ของชั้นเห็นว่าชั้นมีความสามารถด้านการเต้น ใช่...ชั้นพูดได้อย่างมั่นใจว่ามันเป็นพรสวรรค์ของชั้นมาตั้งแต่ยังเด็ก มิหนำซ้ำมันยังเป็นสิ่งที่ชั้นชอบมากที่สุดอีกด้วย"
เธอเริ่มที่จะเข้าเรื่องในขณะเดียวกันกุ๊งกิ๊งก็ตั้งใจฟัง
"ตั้งแต่เล็กๆชั้นก็เป็นเด็กที่ซุกซนทำโน้นทำนี่ไปเรื่อย... ทดลองสิ่งใหม่ๆตลอด ไม่เกรงกลัวสิ่งที่ไม่รู้จักที่อยู่ตรงหน้า พร้อมเข้าไปเผชิญกับมัน..."
"สมัยม.ต้นน่ะ ชั้นเป็นจอมทำกิจกรรมของโรงเรียนเลยล่ะรู้มั้ย... ทั้งเล่นกีฬาแทบจะทุกชนิด เต้นโคฟเวอร์เพลงเคป็อป เป็นสตาฟช่วยจัดค่ายให้กับยุวกาชาติ เล่นสนุกไปกับทุกๆสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ก็เผอิญว่าชั้นเป็นคนรักสนุกอะนะ... แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง วันที่รุ่นพี่คนนั้นของชั้นชวนให้มาเข้าชมรมโรงเรียนไอด้อล... ในวันที่ได้เข้ามาเจอกับเพื่อนๆชั้นรู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญ ...ตอนที่รุ่นพี่ชวนเข้ามาเธอบอกกับชั้นว่า..."
'เธอน่ะเต้นเก่งมากๆเลยนะ... พรสวรรค์สุดๆเลยล่ะ ! สนใจที่จะมาเข้าชมรมโรงเรียนไอด้อลกับชั้นมั้ย ชั้นกับเพื่อนๆตั้งขึ้นมาเอง มีเพื่อนคนอื่นๆอยู่ด้วยเยอะเลยนะ ถ้ามาอยู่ชมรมนี้จะต้องได้เจอเพื่อนใหม่ๆเยอะแน่'
"รุ่นพี่ที่ว่าคนนั้นเป็นคนที่เต้นเก่งเลยเห็นชั้นเป็นเหมือนเงาของตัวเองก็เลยพยายามที่จะปั้นชั้น..."
ทันใดนั้นเองกุ๊งกิ๊งก็พูดแทรกพร้อมกับถามขึ้นมาว่า "ที่ว่าปั้นนี่หมายถึงจะปั้นเป็นอะไรหรอ ?" สาวผมบลอนด์ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าที่งงงวยตามประสาคนที่ไม่เข้าใจ
"หึ... ถามมาได้ก็ปั้นเพื่อที่จะได้เป็นไอด้อลยังไงล่ะ"
สายลมพัดผ่านเข้ามา... ทันทีที่หญิงสาวพูดคำๆนั้น
"เธอก็เห็นว่าชมรมๆนี้ชื่อว่าอะไร'โรงเรียนไอด้อล' ...หรือก็คือสถานที่ที่จะทำให้นักเรียนอย่างเราๆให้กลายเป็นไอด้อลในชีวิตจริงได้ยังไงล่ะ"
"ไอด้อลแบบที่เห็นตามทีวีอย่างพวกวง 84 อะไรอย่างงั้นน่ะหรอ"
"ใช่ !"
"การที่จะเป็นไอด้อลแบบนั้นได้ก็จะต้องผ่านการคัดเลือกหรือออดิชั่นก่อน สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความฝันของรุ่นพี่ผู้ก่อตั้งว่าจะช่วยเหลือฝึกซ้อมกันและพากันก้าวขึ้นไปเป็นไอด้อลที่เปล่งประกายมีแต่คนรักพร้อมๆกันให้ได้..." เซี๊ยะพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความหวัง... ก่อนที่จะลดน้ำเสียงให้ทุ้มต่ำลงและดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด เธอพูดต่อไปว่า
"...แต่โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างนั้นน่ะสิ... ตอนที่ชั้นเข้ามาจู่ๆก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างจนท้ายที่สุดก็เหลือแค่ชั้นคนเดียวในชมรม ไม่รู้อะไรเข้าไปสะกิดทุกๆคนจนทำให้ทุกๆอย่างกลายเป็นอย่างนี้ จากที่แต่ก่อนมีสมาชิกชมรมจนเกือบจะเต็มห้อง พอมาตอนนี้กลับกลายไปห้องที่รกร้างว่างเปล่า...เหลือแต่เพียงเศษซากของความฝันอย่างเช่นเครื่องเสียงพวกนี้ ห้องซ้อมห้องนี้แล้วก็กรอบรูปแตกๆที่อยู่ติดอยู่ด้านบนนั้น"
หญิงสาวก้มมองลงไปที่พื้นพร้อมกับเล่าอดีตอันมัวหมองของชมรมนี้ขึ้นมา พร้อมกับชี้ไปที่กรอบรูปที่ติดอยู่บนเพดานรูปหนึ่ง
มันเป็นกรอบรูปที่ไร้รูปภาพอยู่ด้านใน มีเพียงแต่กระจกที่แตกร้าวซึ่งหญิงสาวก็ไม่รู้ว่ามันมีที่มาอะไร
"แล้วต่อจากนั้นเธอทำยังไงหรอ ? ทำไมถึงไม่ย้ายไปอยู่ชมรมอื่นล่ะ ? อยู่แบบนี้คงเหงาแย่" กุ๊งกิ๊งถาม
"เธอก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว เรื่องนิสัยขี้แกล้งของของชั้น...ขึ้นม.4 มาได้ไม่นาน รู้ตัวอีกทีก็โดนแบนซะแล้ว ไปชมรมไหนก็ไม่มีคนรับเลยต้องถูกขับใสไล่ส่งให้มาอยู่ชมรมนี้เหมือนเดิม... จนท้ายที่สุดก็มีสภานักเรียนคนนึงเข้ามา แล้วก็บอกว่าพวกเขายังให้การสนับสนุนชมรมนี้อยู่ ถึงแม้ว่าจะเหลือสมาชิกเพียงแค่หนึ่งคนก็ตาม..."
"ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างชั้นก็ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ดูเหมือนว่าสภานักเรียนคนนั้นเค้าจะตั้งความหวังอะไรบางอย่างกับตัวชั้น---"
ทันใดนั้นเองสาวผมบลอนด์ก็พูดขัดขึ้นมาว่า
"คนพวกนั้นหวังที่จะให้เธอสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว... สินะ" กุ๊งกิ๊งลุกขึ้นยืน เงาของเธอปกคลุมเซี๊ยะที่กำลังนั่งอยู่
"ปาฏิหาริย์เป็นสิ่งที่สร้างได้ถ้าหากมีความหวังมากพอ...”
“... แต่ไม่ใช่สิ่งไขว่คว้าได้ด้วยตัวคนเดียว"
เมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของกุ๊งกิ๊งแล้วดวงตาของสาวผมแดงก็สั่นระรัว เธอแหงนหน้าขึ้นมามองหญิงสาวที่ยืนอยู่เหนือหัวของเธอ สาวผมแดงไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครกล้าพอที่จะพูดคำพูดที่ฟังดูราวกับมาจากเทพนิยายแบบนี้ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงเป็นคำพูดที่จุดประกายอะไรบางอย่างให้กับภายในหัวใจของเธอ คำพูดที่เธอต้องการ คำพูดที่เธอเสาะหาเรื่อยมาตั้งแต่ที่เธอเหลืออยู่ตัวคนเดียว
สายลมจากบานประตูที่เปิดค้างทิ้งไว้พัดผ่านซ้ำเข้ามาเป็นครั้งที่สอง สายลมที่พัดพาให้เส้นผมสีทองของหญิงสาวปลิวไสวเปล่งประกาย
เซี๊ยะนั่งนิ่งรอคำพูดต่อไปของหญิงสาวผู้ที่เปรียบดั่งประกายแสงที่สุกสกาวและกำลังจะเข้ามาทำให้ประกายแสงที่เคยดับมอดไปแล้วของเธอกลับมาจุติโชติช่วงชัชวาลขึ้นอีกครั้ง...
"ชั้นน่ะ นั่งคิดมาได้หลายวันแล้ว... ว่าชีวิตม.ปลายในรั้วโรงเรียนที่เหลือเวลาอยู่เพียงแค่ 2 ปีกว่าๆนี้จะทำอะไรดี ท้ายที่สุดแล้วก็คิดไม่ออก... ไม่รู้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเองคืออะไรกันแน่... แต่ลึกๆภายในจิตใจของชั้นมันบอกให้ลอง บอกให้ลองพุ่งชนกับอะไรซักอย่างและอ่าแขนรับมันอย่างไม่เกรงกลัว"
"ชั้นตัดสินใจแล้วว่าอยากจะลองร่วมทำกิจกรรมชมรมๆนี้กับเธอดู เผื่อว่าท้ายที่สุดแล้วเราสองคน---ไม่สิ เผื่อว่าอาจจะมีมากกว่านั้น ...ท้ายที่สุดแล้วพวกเราทุกคนอาจจะช่วยกันสร้างปาฏิหาริย์บางอย่างขึ้นมาให้เป็นจริงได้โดยเริ่มต้นจากการสร้างเรื่องราวของตนเองขึ้นมา !"
เธอพูดจบพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นฟ้า เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งการประกาศศักดา
"เรามาเริ่มต้นกิจกรรมชมรมโรงเรียนไอด้อลตั้งแต่วันนี้กันเถอะ !"
ตั้งแต่วันนั้นเอง กุ๊งกิ๊งจึงเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมชมรมอย่างเป็นทางการ โดยคนที่ฝึกสอนก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซี๊ยะสาวผมแดงเท้าไฟผู้ที่มีสกิลการเต้นเข้าขั้นระดับเซียน เธอไล่ฝึกซ้อมตั้งแต่พื้นฐานเบสิคการเต้น การเปล่งเสียงในการร้องเพลง การกะจังหวะในการหายใจเนื่องจากว่าเวลาแสดงบนเวทีเธอจะต้องร้องเพลงไปพร้อมๆกับเต้นไปด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อนทว่า...
"นี่เธอก็เคยมีพื้นฐานมาก่อนเหมือนกันหรอเนี่ย ! ? ปกติถ้าคนธรรมดาไม่เคยทำมาก่อนไม่มีทางจะเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้"
เซี๊ยะพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าหญิงสาวที่ดูซุ่มซ่าม เฟอะฟะ 'เหมือนจะ'เป็นคนสมองกลวงแบบสาวผมบลอนด์คนนี้จะสามารถเต้นออกมาได้สง่าผ่าเผยและตรงจังหวะได้เร็วขนาดนี้
"อย่าลืมนะว่าชั้นมาจากในเมืองเชียวนะ ของอะไรแบบนี้ชั้นก็ต้องเคยผ่านมาบ้างแล้วล่ะ ฮะฮะฮ่า" กุ๊งกิ๊งหัวเราะออกมาด้วยความภาคภูมิ สาวน้อยกำลังยืดอย่างสุดๆ
"สุดยอดเลย... พลังแห่งคนเมืองนี่มัน [OP] มากขนาดนี้เลยหรอเนี่ย... ต---แต่ก็จะอย่าพึ่งได้ใจไปนะยัยหัวทองปัญญานิ่ม ! สกิลของเธอน่ะยังห่างชั้นกับนักเต้นเท้าไฟคนนี้อีกเยอะ ฝึกอีกสิบปีก็ตามไม่ทันหรอก แบร่ !"
สาวผมแดงจอมแก่นคนเดิมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับท่าแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกที่กุ๊งกิ๊งเจอมาบ่อยแล้วตอนที่โดนแกล้ง
"คอยดูต่อไปเรื่อยๆละกัน !"
…
สาวผมบลอนด์มาฝึกซ้อมร่วมกับเซี๊ยะอยู่เรื่อยๆแทบจะทุกเย็นหลังเลิกเรียน จะมีบ้างบางวันที่เพื่อนสาวอย่างจีจี้ชวนไปร้านกาแฟบ้าง แต่ก็ถือว่าเธอกำลังไฟติดและเครื่องร้อนอย่างสุดๆกับการเริ่มต้นทำกิจกรรมชมรมในครั้งนี้
เมื่อทุกๆอย่างดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีเซี๊ยะจึงชวนให้'ซาโกะ'หญิงสาวปริศนาผู้ที่เคยทำหน้าที่ลักพาตัวสาวผมบลอนด์มาให้เธอแกล้งเล่นเมื่อครั้งก่อนมาร่วมทำกิจกรรมชมรมด้วย
...
หลังจากการฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงผ่านไปได้ราวๆหนึ่งสัปดาห์ เด็กสาวทั้งสามจึงมีความคิดที่จะจัดไลฟ์ของตัวเองขึ้นมาในงานวันชาติของโรงเรียนที่จะมีการแสดงโชว์ของชมรมแต่ละชมรมด้วย ซึ่งนี่จะเป็นครั้งแรกในรอบปีครึ่งที่ชมรมโรงเรียนไอด้อลจะมีการเพอร์ฟอร์มบนเวที แต่ปัญหาใหญ่ๆที่อยู่ตรงหน้ามีถึงสามอย่างนั่นก็คือ...
"จะไปหาชุดมาจากไหน ? !" เซี๊ยะร้องลั่นออกมา
"--ใช้ชุดนักเรียนไม่ได้หรือ?--" ซาโกะถามขึ้นมา...
"จะบ้าหรอ ! ? แบบนั้นมันก็ดูธรรมดาเกินไปน่ะสิ ! จะเป็นไอด้อลก็ต้องใส่ชุดที่มันสวยๆ อลังการๆ สดใสๆสิ จะให้ใส่ชุดนักเรียนเต้นเนี่ยนะ ไม่เอาด้วย !" สาวผมแดงปฏิเสธกลับไปอย่างสุดกู่ ดูเหมือนว่าเธอกำลังตั้งใจและต้องการที่จะให้การแสดงครั้งนี้ออกมายอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับคนสามคนที่พึ่งจะมาฝึกซ้อมร่วมกันได้เพียงสองสัปดาห์แบบนี้
"เรื่องนั่นน่ะไม่มีปัญหาหรอก..."
"เหอะ ! ให้ชั้นจัดการเอง..." กุ๊งกิ๊งสยายผมของตัวเองให้ปลิวไปตามกระแสลมพร้อมกับยืนยืดอกด้วยท่าทางที่เหมือนพยายามจะทำให้ตัวเองดูเท่ห์
"...อี ท่าทีแบบนี้... นี่มันอะไร" เซี๊ยะหรี่ตามองพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆใส่กุ๊งกิ๊ง ทว่าเมื่อนั้นเองสาวผมบลอนด์ก็ชูโทรศัพท์ขึ้นมาซึ่งบนหน้าจอกำลังปรากฏหน้าโปรโฟล์ของ 'คาริน' อยู่
...
"ว่าแต่จะคิดท่าเต้นยังไง ! ?" ถัดมาวันต่อมา ก็กลายเป็นทางด้านของสาวผมบลอนด์ที่ตะโกนลั่นห้องซ้อมเต้นออกมา โดยเธอถามถึงท่าเต้นซึ่งเป็นหัวใจหลักของการแสดงของพวกเธอ
ทว่าปัญหาข้อนี้กลับถูกคลี่คลายลงได้ภายในเวลาไม่ถึงนาที...
"ตลอดหนึ่งเทอมที่ชั้นอยู่ชมรมนี้ตัวคนเดียว ชั้นแอบซุ่มออกแบบท่าเต้นมาตั้งหลายท่า เอาไว้ใช้เป็นท่าเต้นประกอบได้หลายๆเพลง แล้วทุกๆอย่างมันอยู่ในสมุดสีชมพูเล่มนี้แล้วสาวน้อยเอ๋ย เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัว" สาวผมแดงหลับตาพูดด้วยน้ำเสียงและทีท่าแห่งความเยือกเย็นราวกับว่าปัญหาในข้อนี้ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรตัวเธอเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็เพราะว่าเธอได้เตรียมการมันมาก่อนตั้งนานแล้ว
...
"แล้วเนื้อเพลงล่ะ ! จะทำยังไง ! ?" ทว่าจนแล้วจนรอด... เมื่อถึงวันต่อมา ปัญหาใหม่ๆก็ยังคงผุดขึ้นมาไม่หยุด ซึ่งคราวนี้เป็นเรื่องของเนื้อเพลง... ต่อให้เต้นเป็น มีชุดใส่แต่ถ้าไม่มีเนื้อเพลงที่จะออกไปร้อง การแสดงก็จะถือว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ทว่า... สาวผมแดงก็ยังคงมีท่าทีที่เฉยชาราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว เธอพูดพลางจิบน้ำชาและฟังเพลงผ่านหูฟังพร้อมกับดื่มด่ำบรรยากาศยามเย็นไปว่า
"จะไปยากอะไรล่ะ..."
"ก็ให้ซาโกะแต่งสิ..."
"--นานิ !!--"
"ฮ๊ะ ! ? พูดอะไรของเธอน่ะ !"
บรรยากาศที่ดูเหมือนจะผ่อนคลายเหมือนวันก่อนๆ พอเป็นปัญหาข้อนี้ทุกๆอย่างดูเหมือนจะไม่ง่ายดายอย่างที่คิด
เมื่อสาวผมแดงเห็นปฏิกิริยาตอบกลับดังนั้นจึงถอดหูฟังออกพร้อมกับถามกลับไปว่า
"เอ้า ? ก็ซาโกะเคยเป็นถึงคอมโพสเซอร์แต่งเพลงให้กับวงไอด้อลที่ญี่ปุ่นมาก่อน อีแค่เรื่องแต่งเพลงง่ายๆซัก แบบนี้มันจะไปยากอะไร"
"ซาโกะเคยเป็นถึงระดับคอมโพสเซอร์แต่งเพลงเชียวหรอเนี่ย จะอัจฉริยะเกินไปแล้ว ทำไมถึงไม่บอกกันก่อนเลยล่ะ" กุ๊งกิ๊งเมื่อได้ยินเซี๊ยะพูดดังนั้นจึงดวงตาลุกวาวพร้อมกับหันไปหาซาโกะด้วยสีหน้าแววตาแบบกำลังเหลือเชื่อ
"---ฉ---ฉันจะ---ฉันจะไปแต่งเพลง---ภาษาไทย---ได้ยังไง---กันเล่า !!!"
""เเฮ๋ฮ๋ !! ??""
"---ฉันเคยแต่งแต่เพลงญี่ปุ่นนะ---หัดคิดมั่งสิ !!!"
"แย่แล้ว ! แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงกันดี !"
"เธอชิลล์ไม่ได้แล้วนะเซี๊ยะ ! แบบนี้ต้องหาวิธีแก้แล้วเหลืออีกแค่สัปดาห์เดียว..."
เมื่อได้ยินสิ่งที่ออกมาจากปากของสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ทุกคนก็เป็นบ้ากันไปหมดทันที
...
แต่ในขณะนั้นเอง ระหว่างที่หญิงสาวทั้งสามยังคงส่งเสียงวี๊ดว๊ายอยู่นั้น
สายลมแห่งปาฏิหาริย์ก็ได้พัดผ่านเข้ามา...
ปังง !!
บานประตูห้องชมรมถูกแรงลมซัดเข้าใส่เต็มๆจนเปิดออกทว่าไม่ได้มีเพียงแค่สายลมเท่านั้น มันพัดพามาซึ่งปาฏิหาริย์ที่ลอยละลิ่วมาพร้อมๆกับมันด้วย
นั่นก็คือ...
แกรกก
ซาโกะหยิบสิ่งที่ปลิวมาตกลงด้านหน้าของเธอ
มันคือแผ่นกระดาษเอสี่สีขาวธรรมดา แต่ตรงด้านในของมันกลับเป็น
"--โคเร ว่า (นี่มัน)-- --เนื้อเพลง !!!--"
"เฮ๋ ! ? เนื้อเพลงปลิวลงมาจากฟ้าหรอ !"
|
|
|
Post by GreyTear on Jul 19, 2018 6:08:05 GMT
วันที่ 4 ธันวาคม... 'งานวันชาติ'
ประเทศไทยประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกๆปีเป็นวันสำคัญซึ่งมีชื่อว่า 'วันชาติไทย' โดยจะเป็นวันหยุดราชการซึ่งโรงเรียนส่วนมากก็จะจัดงานเฉลิมฉลองก่อนวันจริงหนึ่งวันหรือในวันใกล้เคียงที่สะดวกที่สุด โดยสำหรับโรงเรียนรัมภานาราสมุทรนั้นจัดก่อนวันชาติจริงๆหนึ่งวันหรือก็คือวันที่ 4 ซึ่งตรงกับวันศุกร์พอดี
โดยกิจกรรมที่ทางสภานักเรียนเป็นคนเสนอนั่นก็คือให้ชมรมทุกๆชมรมภายในโรงเรียนจัดการแสดงโชว์ของตัวเองโดยไม่มีการจำกัดหรือกำหนดเวลาตายตัวและรูปแบบโชว์ของตัวเองจะเป็นแบบไหนก็ได้ซึ่งเรื่องสถานที่สามารถไปทำเรื่องขอสภานักเรียนได้และทางนั้นจะจัดหาให้เหมาะสมที่สุด
เช่นทางชมรมมายากลก็แสดงโชว์มายากลให้คนดูโดยใช้เพียงซุ้มเล็กๆจัดในที่ร่มเพื่อประหยัดพื้นที่ ชมรมคริสตจักรก็ใช้โบสถ์ของโรงเรียนในการสวดมนต์และจัดนิทรรศการด้านหน้าโบสถ์ ชมรมทำอาหารก็ยืมครัวจากศูนย์การเรียนรู้วิชาการงานอาชีพมาใช้
ส่วนทางด้านชมรมกีฬานั้นมักจะมีประเพณีจัดเป็นทัวร์นาเม้นกระชับมิตรกับทางโรงเรียนอื่นที่อยู่ข้างเคียงอยู่แล้ว โดยในปีนี้โรงเรียนรัมภานาราสมุทรเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจีจี้ก็เป็นมือตบที่ฟอร์มร้อนแรงมากคนนึงในการแข่งขันวอลเล่ย์บอลวันชาติกระชับมิตร
ภายในหอประชุมนั้นจะเป็นแหล่งรวมชมรมที่จะเกี่ยวข้องกับการแสดงบนเวทีต่างๆ เช่นชมรมวัฒนธรรมญี่ปุ่นก็มีการแสดงรำญี่ปุ่นโดยรันก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมนั้น ซึ่งการแสดงของเธอเรียกได้ว่างดงามจนเป็นที่จับตามองของนักเรียนที่เข้ามาดูมากๆ
"และการแสดงต่อไป เป็นของชมรม'โรงเรียนไอด้อล' เชิญรับชมได้เลยค่าา !!"
สาวสวยทั้งสามปรากฏตัวในชุดผ้าฝ้ายแขนกุดเนื้อบางแต่ทนทานสีขาวตัดกับกระโปรงสีฟ้าอ่อนซึ่งตัวกระโปรงถูกตัดออกมาให้ชายกว้างเป็นพิเศษและเลยเหนือเข่าขึ้นไปเพื่อความง่ายต่อการเต้นมีสีฟ้าตัดสลับตามจีบเพื่อความสวยงาม โดยทั้งสามจะใส่กางเกงขาสั้นไว้ด้านในเพื่อความปลอดภัยอันเป็นพื้นฐานของการแสดงบนเวที
โทนชุดค่อนข้างโชว์ความน่ารักใสๆของสาวน้อยโดยมีตีมเป็นบรรยากาศริมทะเล ซึ่งแต่ละคนก็จะมีอุปกรณ์เสริมหรือเครื่องประดับส่วนตัวแตกต่างกันไปเล็กน้อยเช่นเซี๊ยะจะมีพวงดอกไม้ริมทะเลคล้องไว้เหนือหน้าผากโดยมีทั้งดอกผการองสีขี้ไก่ ดอกต้อยติ่งสีม่วง ดอกกัลปังหาสีเหลืองที่ดูมีสีสันน่ารักมากๆ ทางด้านของกุ๊งกิ๊งนั้นดูแฟนตาซีไปเลยเนื่องจากมีที่คาดผมเขายูนิคอร์นในขณะที่ซาโกะก็สวมกำไรดอกไม้อยู่ที่ข้อมืิอและมีกิ๊ฟท์รูปเลม่อนติดอยู่ที่ผมอีกด้วยซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับความช่วยเหลือจากดีไซน์เนอร์วัยใสอย่างรันล้วนๆ
ดนตรีเริ่มขึ้นมาเป็นจังหวะกลางๆชวนให้รู้สึกโยกย้ายแบบเบาๆก่อน ในตอนแรกจะเป็นกุ๊งกิ๊งที่ยืนอยู่ตรงกลางเพราะจังหวะเต้นยังไม่มีอะไรมาก เธอน่าจะเต้นไปได้อย่างไม่มีปัญหา ท่าเต้นของเพลงนี้ไม่ได้รวดเร็วหรืออาศัยประสบการณ์ในการเต้นมากนักส่วนมากจะโชว์ความน่ารักของคนเต้นซะมากกว่า
ในด้านของการร้องนั้นกุ๊งกิ๊งร้องเพลงออกมาได้น่ารักมาก ซึ่งการใช้โทนเสียงสำหรับเพลงนี้ก็เหมาะสำหรับคนที่มีน้ำเสียงร่าเริงอย่างเธออยู่แล้วเช่นเดียวกับซาโกะที่ร้องเพลงภาษาไทยออกมาได้ดีกว่าที่คิด ทว่าเซี๊ยะที่มีน้ำเสียงค่อนข้างทุ้มกว่าสองคนนั้นจำเป็นที่จะต้องดัดเสียงของตัวเองให้แหลมขึ้นจึงทำให้มีร้องเพี้ยนบ้างเล็กน้อยแต่ในเรื่องการเต้นเธอเรียกได้ว่าเป็นเดอะแบก
จังหวะและดนตรีของเพลงไม่ได้เน้นความหวือหวาอลังการชวนให้หลงใหลอะไรมากแต่ก็สามารถชักจูงให้คนดูเพลิดเพลินและเคลิ้มไปตามจังหวะเสียงเปียโน และเมื่อประกอบเข้ากับความสดใสน่ารักบนเวทีแล้ว... พวกเขาก็เกิดรอยยิ้มขึ้นมา
'พวกเราสร้างรอยยิ้มให้กับคนดูได้สำเร็จ !'
รอยยิ้มของเหล่าเด็กสาวที่อยู่บนเวทีสามารถส่งต่อความรู้สึกไปยังผู้คนที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้นได้ และความรู้สึกเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความสุขซึ่งปรากฏอยู่ภายในรอยยิ้มบนใบหน้า สำหรับการเป็นไอด้อลแล้ว ความสุขของคนดูจัดเป็นจุดมุ่งหมายอันดับต้นๆและในวันนี้พวกเธอสามารถสร้างมันขึ้นมาได้สำเร็จ
เนื้อเพลงที่พวกเธอร้องอยู่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวหนังสือในหนังสือนิทาน ถ้าหากจะบอกเล่าเรื่องราวที่อยู่ภายในหนังสือแล้วจำเป็นที่จะต้องส่งความรู้สึกเข้าไปภายในตัวหนังสือ และเมื่อนั้นเองแสงสว่างที่อยู่ภายในแผ่นกระดาษก็จะสุกสกาวมากพอที่จะทำให้เหล่าตัวหนังสือทั้งหลายออกมาโลดแล่นภายในโลกแห่งความจริง
...เหล่าตัวหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวอันเปล่งประกายของผู้ที่อ่านมัน หรือก็คือเรื่องราวอันเปล่งประกายบทแรกของพวกเธอนั่นเอง
เมื่อเข้าสู่ท่อนโซโล่ดนตรีเริ่มบรรเลงเร็วขึ้นและก็เป็นหน้าที่ของคนที่เต้นเก่งที่สุดอย่างเซี๊ยะในการโชว์สเตปการเดินไปเต้นหมุนตัวไปคล้ายๆกับบัลเล่ต์ล้อมรอบเพื่อนอีกสองคนซึ่งภาพที่ออกมานั้นงดงามและดูไร้เดียงสาแบบเด็กๆมาก ไม่มีรัศมีออร่าแบบเปื้อนมลทินอันเป็นเอกลักษณ์ของเซี๊ยะหลุดออกมาให้เห็น ถือว่าเธอทำหน้าที่ได้เพอร์เฟคสุดๆเลยทีเดียว
เพลงเริ่มเดินเข้าสู่ช่วงท่อนฮุกสุดท้าย เหล่าหนุ่มๆที่ดูอยู่ด้านล่างเวทีต่างพากันชี้ไม้ชี้มือและคุยกันว่าผู้หญิงคนไหนสวยที่สุดในสามคนนั้นและเผอิญว่าอิมเมจของหญิงสาวทั้งสามคนก็ดันแตกต่างอย่างลงตัวพอดี กุ๊งกิ๊งมีผมสีบลอนด์บุคลิกดูสดใสร่าเริงแบบแสงสว่าง เซี๊ยะมีลุคที่ดูสวยแซ่บ มั่นใจและมีความเท่ห์แอบแฝงอยู่ไม่น้อย ในขณะที่ซาโกะจะมีความน่ารักซ่อนอยู่ควบคู่ไปความแปลกแบบปลาผิดน้ำของเธอ ไม่แน่ว่าหลังจากจบเพลงนี้ไปอาจจะมีสงครามกองอวยเกิดขึ้นมาก็เป็นได้
...และในขณะเดียวกันนั้นเองก็มีชายหนุ่มรูปหล่อหน้าคมผมรองทรงต่ำคนหนึ่งกำลังชมการแสดงด้วยรอยยิ้มและใบหน้าที่กรุ้มกริ่มราวกับกำลังมองความสำเร็จอะไรบางอย่าง แววตาที่เจ้าเล่ห์และแฝงไปด้วยเลศนัยเหล่านั้น... ไม่มีผู้ใดมองเห็นเพราะเขาแอบมองดูอยู่ภายในมุมมือของหอประชุม
ตอนจบเพลงเป็นซาโกะที่เปลี่่ยนมาอยู่ด้านหน้าบ้างพร้อมกับประสานมือเป็นรูปหัวใจไว้ที่อกพร้อมกับสองสาวที่อยู่ด้านหลังที่เอามือมาประกบกันเป็นรูปหัวใจหรือท่า'ซารางเฮโย'นั่นเอง นับเป็นท่าจบที่เต็มไปด้วยน่ารักและปิดท้ายได้อย่างสวยงาม
แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือเกลียวจากคนดู การแสดงร้องและเต้นของพวกเธอทั้งสามคนนั้นเป็นโชว์สุดท้ายของวันพอดีซึ่งพวกเธอทำมันออกมาได้ประสบความสำเร็จ สาวน้อยทั้งสามกล่าวขอบคุณคนดูก่อนที่จะโบกมือลาและจากเวทีไป นับว่าเป็นก้าวแรกที่สวยงามของพวกเธอ
คนดูที่อยู่ด้านล่างถ้าเป็นผู้ชายต่างก็จะพูดคุยและกรี๊ดกร๊าดกันถึงความน่ารักของสามสาว
"เฮ้ยนายว่าใครสวยที่สุดวะในสามคนนั้น"
"ชั้นว่าคนผมแดงอะ รอยยิ้มและดวงตาตากระฉากใจสุดๆ"
"เออๆชั้นก็ว่างั้นเหมือนกันว่ะ แถมคนนั้นยังเต้นเก่งสุดๆเลยอีกด้วย"
"แต่ชั้นว่าผู้หญิงที่ผมบลอนด์อะ เออคนนั้นก็น่ารักดีนะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยน่ะ สวยขนาดนี้ไม่เคยเห็นได้ยังไงวะเนี่ย"
"สงสัยอาจจะพึ่งย้ายมาล่ะมั้ง"
"ไม่มีใครเชียร์สาวลูกครึ่งคนนั้นบ้างเลยหรอวะ ชั้นว่าสวยแบบแปลกๆดีนะเว้ย แอคเซสเซอรรี่ก็ดูเยอะกว่าคนอื่น"
"อืม ก็ดูฉูดฉานมีสีสันดี แล้วนายไปรู้มากจากไหนวะว่าเธอเป็นลูกครึ่ง"
...
ในขณะที่คนดูที่เป็นผู้หญิงก็...
"โห้ว ! ชมรมไอด้อลกลับมาแล้วหรอเนี่ย คราวนี้เป็นสมาชิกใหม่ทั้งวงเลย ทุกคนน่ารักสุดๆไปเลยอะ !"
"เห็นปีที่แล้วเหมือนจะยุบชมรมแล้วก็หายไปเลย จู่ๆก็กลับมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ"
"ว่าไงล่ะเธอ ! สนใจจะย้ายชมรมมั้ยล่ะ ! ได้ข่าวว่าสนใจอยากเป็นไอด้อลเหมือนกันไม่ใช่หรอ ทางสภานักเรียนเค้าอนุญาตให้มีการเลือกชมรมใหม่ได้นะในช่วงนี้"
"เอ๊ะ ? ! ชั้นยังไม่เคยพูดแบบนั้นซักหน่อย แหม่...ก็น่ารักดีนั่นแหละ แต่ขออยู่ชมรมวอลเล่ย์บอลต่อไปก็แล้วกัน อิอิ"
...
ถ้าด้านสภานักเรียนที่ยืนดูโชว์อยู่บนชั้นลอยของหอประชุมหรือก็คือที่นั่ง VIP ที่เป็นเบาะโซฟา เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ออกมาท่านประธานตะวันเมื่อเห็นดังนั้นจึงกล่าวกับมิวว่า
"ถ้าผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้คงรู้อยู่แล้วล่ะนะว่าควรสนับสนุนต่อไปหรือเปล่า หึๆ" ก่อนที่เขาจะเดินจากไป...
...
ด้านหลังเวที
สามสาวกำลังกอดกันกลมเนื่องจากกำลังปลื้มปลิ่มกับการแสดงที่พึ่งจบลงไปของพวกเธอ
กุ๊งกิ๊งกับซาโกะแปะมือกันอย่างมีความสุขเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า 'พวกเราทำสำเร็จแล้ว !' ในขณะที่ทางด้านของเซี๊ยะ...ความรู้สึกของเธอนั้นดูเหมือนจะอ่อนไหวมากกว่าทั้งคู่ เธอร้องให้ออกมา เมื่อกุ๊งกิ๊งเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปกอด
เซี๊ยะเอาหน้าของเธอซบไปที่ไหล่ของสาวผมบลอนด์พร้อมกับพูดออกมาว่า "ขอบใจมากนะกุ๊งกิ๊ง... ที่มาเข้าร่วมชมรมของชั้น"
"ไม่เป็นไรหรอกน่า... ชั้นเองก็ขอบใจเธอเหมือนกัน ที่มาชวนชั้นเข้าชมรม"
'เรือของพวกเราพร้อมที่โลดแล่นแล้ว'
'เรื่องราวแห่งประกายแสงกำลังรอเราอยู่เบื้องหน้า'
'มาลงเรือลำนี้ด้วยกับเรา และก้าวไปสู่อนาคตด้วยกัน !'
...
"เนื้อเพลงที่ทั้งสามคนนั้นใช้เต้นน่ะ... มันเคยมีคนแต่งขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้เอาไปใช้ไม่ใช่หรอ" "ใช่... เมื่อปีที่แล้ว..." มิวพูดกับสาวผมดำคนหนึ่งบนชั้นลอย
|
|
|
Post by GreyTear on Jul 28, 2018 11:21:13 GMT
'บททุ่งหญ้าเขียวขจี สถานที่ที่เราทั้งสามคนเคยนอนประสานมือเข้าหากัน ใต้สายลมที่พัดผ่านเนินทุ่งหญ้าแห่งนี้ไป'
...
นักเรียนสาวทั้งสามคนกำลังนอนประสานมือของกันและกันเอาไว้บนเนินทุ่งหญ้าที่มีต้นโอ๊คแฝดปลูกอยู่ข้างๆ สายลมฤดูหนาวที่พัดแรงเข้ามาทำให้ใบไม้สีเขียวชอุ่มที่อยู่บนนั้นโปรยปราย ล่วงโรยลงมาสู่พื้นดินและกระทบกับฝ่ามือบางๆที่กำลังกุมกันไว้อยู่
ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของหญิงสาวทั้งสามคนคือพระอาทิตย์ที่กำลังลอยลงต่ำและด้านล่างเป็นบ้านเรือนในเขตย่านชานเมือง ซึ่งบนเนินๆนั้นเป็นจุดชมวิวที่จะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกดินได้พอดิบพอดีและเป็นจุดที่นับว่าสวยมากๆซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามันยังคงอยู่ในอาณาเขตของเมืองหลวงที่ขึ้นชื่อเรื่องความวุ่นวายและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยมลพิษอย่างกรุงเทพมหานคร
น่าเสียดายเล็กน้อยที่มันเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลแต่ก็มีที่ว่างเพียงพอสำหรับเป็นที่ปิกนิกของสาวน้อยวัยใสม.ต้นซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันทั้งสามคนนี้
เส้นผมสั้นๆสีขาวประบ่าปลิวไสวไปตามสายลม เมื่อนั้นเองสาวน้อยก็จามออกมาอย่างแรงเนื่องจากถูกลมหนาวพัดเข้าที่ศีรษะ
"ฮ--ฮัดชิ่วว !!" น้ำมูกใสๆออกมาเปื้อนบริเวณใบหน้าของเธอ เมื่อนั้นเองสาวน้อยจึงพยายามควานหากระดาษทิชชู่ แต่ทว่า...
ฟิ้ววว
กระดาษทิชชู่เหล่านั้นก็ถูกสายลมพัดปลิวออกไป ทำให้สาวน้อยต้องลำบากวิ่งลงเนินเพื่อตามไปไล่เก็บกระดาษทิชชู่เหล่านั้น
...
"แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก " เธอหอบออกมาด้วยความเหนื่อยล้าเนื่องจากไม่สามารถวิ่งตามเก็บแผ่นกระดาษเหล่านั้นได้ และที่จมูกของเธอก็ยังคงจามออกมาไม่หยุด โรคภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัวที่สาวน้อยตัวเล็กๆคนนี้แก้ไม่หายจริงๆ
"ฮ--ฮัดชิ่วว !!"
"เฮ้ ? มิว จามหนักขนาดนี้น่ะใช้ผ้าเช็ดหน้าของชั้นมั้ย ?" เพื่อนสาวผมดำที่นั่งรออยู่บนเนินหญ้า เมื่อเห็นสาวน้อยผมขาวกำลังทุลักทุเลเธอจึงเอ่ยปากให้ความช่วยเหลือ
เมื่อได้ยินดังนั้นมิวจึงรีบเดินขึ้นมาบนเนินหญ้าก่อนที่จะรับผ้าเช็ดหน้าผืนสีม่วงอ่อนนั้นไป
เธอสั่งน้ำมูกออกมาจนหมด ซึ่งดูเหมือนเพื่อนสาวผมดำจะไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากทั้งสองเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมานานตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็กและต่างก็เติบโตขึ้นที่เมืองๆนี้มาด้วยกัน และในขณะนั้นเอง สาวสวยอีกคนซึ่งมีผมสีเหลืองทองประกายสะท้อนกับแสงตะวันก็เอ่ยปากขึ้นมาถามบ้างว่า
"ชั้นพกยาแก้แพ้มาอยู่นะ เธอใช้ของชั้นก่อนก็ได้" เธอพูดพลางหยิบแผงยาขึ้นมาแกะและยื่นเม็ดยาสีขาวให้กับมิว
"ข--ขอบคุณนะ ฮะ--ฮัดชิ่วว!!" มิวยังคงจามไม่หยุด ดูเหมือนว่าอาการแพ้นี้จะค่อนข้างรุนแรงพอสมควร
มิวแบมือรับเม็ดยาเม็ดเล็กก่อนที่จะนำเข้าปากไป เธอกลืนเม็ดยาลงคอและในไม่ช้าเธอก็หายจากอาการภูมิแพ้ของเธอ
"ดีขึ้นแล้ว ! ขอบคุณนะโรส" เธอกลับมายิ้มอย่างสดใสอีกครั้งพร้อมกับกล่าวขอบคุณเพื่อนสาวที่ชื่อว่าโรสไป
"You're welcome !" ทันใดนั้นเองโรสก็เอ่ยปากรับคำขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาบ้านเกิดของเธอขึ้นมา สาวผมสีทองคนนี้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางในประเทศอังกฤษ ถึงแม้ว่าครอบครัวของเธอจะเป็นแค่ตระกูลสาขารองๆค่อนข้างที่จะห่างจากตระกูลขุนนางหลักๆไปไกลโขแถมยังได้รับการเปลี่ยนนามสกุลตอนที่แม่ได้แต่งงานกับพ่ออีก ...แต่เธอก็ยังถือว่ามีสายเลือดอันสูงศักดิ์อยู่เหมือนกัน
โดยโรสหรือโรสสรินทร์ในตอนเด็กได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่และศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษและพึ่งจะถูกส่งให้มาเรียนต่อที่ประเทศไทยตอนม.ต้น โดยเธอได้ย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ตากอากาศที่อยู่ห่างไกลและไม่มีใครอยู่ในกรุงเทพมหานคร คฤหาสน์หลังนี้เป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินของย่าทวดของเธอ ซึ่งปัจจุบันนี้มีอายุกว่าร้อยปีได้แล้ว
โรสได้พบกับความลำบากในการปรับตัวอยู่มากมายหลายเรื่องไล่ตั้งแต่เรื่องทั่วไปอย่างวิถีชีวิตและสังคมแบบคนไทยที่แตกต่างจากสังคมตะวันตกไปจนถึงเรื่องการวางตัวอย่างไรให้เหมาะสม โชคยังดีที่เธอไม่มีปัญหาเรื่องภาษาเนื่องจากพ่อแม่ของเธอที่อังกฤษจะคอยพูดภาษาไทยอยู่เสมอเวลาสื่อสารกันภายในบ้านและยังให้โรสเรียนภาษาไทยออนไลน์อยู่เรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม การที่ได้มาพบกับเพื่อนที่ไว้ใจได้ทั้งสองอย่างมิวและธาราก็ทำให้โรสไม่มีชีวิตวิตม.ปลายที่โดดเดี่ยว เธอได้เรียนรู้วิถีชีวิตแบบยืดหยุ่นของคนไทย การที่จะวางตัวกับคนอื่นอย่างไรให้เหมาะสม ได้เล่นสนุก ได้ท่องเที่ยวผจญภัยและ...ได้มีความฝันร่วมกัน
...
เมื่อนั้นเอง หญิงสาวทั้งสามคนก็ค่อยๆเอนแผ่นหลังลงไปสัมผัสกับพื้นหญ้า ปลายยอดหญ้าที่มีความแข็งทำให้รู้สึกคันยิบๆเล็กน้อย ระหว่างที่กำลังมองพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไป มิวก็เอ่ยขึ้นมาว่า...
"พวกเราสามคนน่ะจะเป็นไอด้อลไปด้วยกันใช่มั้ย ?" เธอพูดพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งเห็นนกพิราบสีขาวกำลังโบยบินอยู่สามตัวขนาบข้างไปพร้อมๆกัน
"แน่นอนอยู่แล้วสิ พวกเราทั้งสามคนน่ะจะไปยื่นใบสมัครออดิชั่นพร้อมๆกันแล้วก็จะผ่านออดิชั่นไปพร้อมๆกันแล้วก็จะเป็นไอด้อลที่โด่งดังไปพร้อมๆกันให้ได้เลยล่ะ พอได้เป็นไอด้อลแล้วก็จะตั้งยูนิตที่มีซิกเนเจอร์เป็นของตัวเอง ยอดเลยใช่มั้ยล่ะ ? อนาคตเนี่ย !" ธาราลุกเดินขึ้นไปยังยอดเนินก่อนที่จะกางแขนโอบรับสายลมที่กำลังพัดผ่านเข้ามาเป็นพยาน เธอพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าอีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจราวกับว่าตัวเธอได้เขียนอนาคตไว้บนแผ่นกระดาษเรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้นเอง โรสที่นอนเอนหลังอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองก็ยื่นมือออกมา แสงอาทิตย์อัสดงสะท้อนกลับมาสว่างเป็นแสงสีแดงอมเหลืองเข้ามากระทบกับระนาบของเนินหญ้าย้อมพวกเธอให้กลมกลืนกับแสงไปพร้อมๆกับผีตากผ้าอ้อม สาวผมทองพูดขึ้นมาว่า
"พวกเราสามคนลองประสานมือกันดูอีกครั้งสิ มือซ้ายของชั้นจะประสานเข้ากับมือขวาของธารา และมือขวาของชั้นก็จะประสานเข้ามือขวาของมิว ส่วนพวกเธอทั้งสองคนน่ะก็เอามือที่เหลืออีกข้างนึงของตัวเองเข้ามาประสานเข้าด้วยกัน"
"ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันหรอ" ธาราเอ่ยปากถามขึ้นมาเนื่องจากสงสัยกับสิ่งที่โรสกำลังบอกให้ทำ
สาวผมทองเมื่อได้ยินดังนั้นจึงหลับตาก่อนที่ค่อยๆเล่าเรื่องของเธอให้กับเพื่อนสาวทั้งสองฟังด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนว่า
"ย่าทวดของชั้นน่ะเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อประสานมือเข้าด้วยกันแล้ว...ความรู้สึกระหว่างคนสองคนจะสามารถส่งต่อไปถึงกันและกันได้ เหมือนกับว่าเราสามารถเชื่อมต่อความรู้สึกเข้าหากันเพื่อแลกเปลี่ยนความทุกข์ ความสุข...ความเศร้าและปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้รวมเข้าด้วยกัน...กลายเป็นความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียว ความรู้สึกที่เป็นประกายแสงที่ส่องสว่างภายในจิตใจของพวกเรา"
เมื่อได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวเล่าออกมาแล้วทั้งสามคนก็นำฝ่ามือของแต่ละคนเข้ามาสัมผัสกันพร้อมกับนิ้วมือทั้งห้าที่สอดประสานเข้าระหว่างกันและกัน
ท่ามกลางแสงตะวันที่ย้อมทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นผืนผ้าสีเดียว หลอมรวมทุกความรู้สึกของหญิงสาวทั้งสามให้กลายเป็นความรู้สึกที่รวมเข้าด้วยกัน
"ความรู้สึกเอ๋ย...จงเป็นหนึ่งเดียว..."
|
|
|
Post by GreyTear on Jul 28, 2018 16:39:21 GMT
ตอนที่ 5 : หน้ากระดาษแผ่นต่อไป ห้องชมรมโรงเรียนไอด้อล
หลังจากที่เข้ามาอยู่ชมรมนี้ได้ร่วมๆหนึ่งเดือน กุ๊งกิ๊งก็เห็นว่าห้องห้องนี้มีพื้นที่ที่แบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน นั่นก็คือส่วนของห้องซ้อมที่จะมีประตูกระจกลามิเนตและวัสดุกันเสียงกั้นกับส่วนที่อยู่นอกห้องซ้อมซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับห้องเรียนธรรมดาทั่วไปซึ่งก่อนหน้านี้ประธานชมรมผู้โดดเดี่ยวอย่างเซี๊ยะก็ใช้มันเป็นห้องควบคุมระบบเครื่องเสียง ถึงแม้ว่าเซี๊ยะจะคอยทำความสะอาดดูแลห้องอยู่เรื่อยๆก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนสาวผมแดงคนนี้จะไม่ค่อยมีระเบียบเรียบร้อยซักเท่าไหร่ เพราะเธอปล่อยให้มันรกยังกับรังหนู...
เมื่อเห็นดังนั้นกุ๊งกิ๊งจึงจัดห้องซะใหม่ให้น่าอยู่กว่าเดิม โดยย้ายพวกเครื่องเสียงที่วางระเกะระกะอยู่เต็มห้องไปจัดไว้ในส่วนมุมสุดของห้องอย่างเป็นระเบียบเพื่อประหยัดเนื้อที่ ส่วนพื้นที่ที่เหลือเธอก็เอาโต๊ะเก้าอี้และโซฟามือสองราคาถูกๆมาวาง เพื่อจัดให้เป็นห้องรับรองสำหรับสมาชิกชมรม ส่วนด้านหน้าห้องก็มีกระดานจออัจฉริยะติดตั้งเอาไว้อยู่แล้ว และเนื่องในโอกาสจัดห้องใหม่นี้เองกุ๊งกิ๊งจึงได้ทำการประกาศสมาชิกชมรมคนใหม่อย่างเป็นทางการ...
เซี๊ยะและซาโกะถูกบังคับให้มานั่งที่โต๊ะนักเรียนตัวใหม่ที่กุ๊งกิ๊งจัดหามา ซาโกะเป็นคนที่ว่านอนสอนง่ายอยู่แล้วจึงไม่มีท่าทีขัดขืนอะไรมากมิหนำซ้ำเธอยังนั่งตัวตรงและจ้องมองไปด้านหน้าห้องด้วยแววตาที่ตื่นเต้นว่าใครกันที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกชมรมคนใหม่ ในขณะที่เซี๊ยะค่อนข้างแสดงสีหน้าเบื่อๆเซ็งๆออกมาเนื่องจากเธอก็พอเดาออกอยู่แล้วว่าคนๆนั้นคือใคร สาวผมแดงนั่งเอามือเท้าคางพร้อมกับเล่นโทรศัพท์ไปพลางๆ
ในระหว่างนั้นเอง...
"ขอแนะนำให้รู้จักกับสมาชิกชมรมคนใหม่ เธอคนนั้นก็คือ....!"
ที่ด้านหน้าห้อง กุ๊งกิ๊งกำลังถือผ้าทึบแสงอยู่ผืนหนึ่งซึ่งกำลังปกปิดรูปร่างและใบหน้าของสมาชิกปริศนาคนนั้นอยู่
"คนนั้นก็คือ....!"
สาวผมบลอนด์พูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามบิ้วท์อารมณ์ของสองสาวที่กำลังนั่งฟังอยู่อย่างสุดๆ ซึ่งแต่ละคนต่างมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทางด้านซาโกะนั้นกุมมือเข้าหากัน ดวงตาเป็นประกายพร้อมกับบอกว่า "---จะเป็นใครกันนะ ! สมาชิกคนใหม่ !---"
ในขณะที่ทางด้านเซี๊ยะ "เห้ออ... รีบๆประกาศออกมาเถอะน่า เบื่อจะตายอยู่แล้ว... ใครๆเค้าก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่าสมาชิกใหม่คนนั้นเป็นใคร อย่างหล่อนน่ะไม่มีปัญญาหาสมาชิกที่ผิดคาดไปจากนี้ได้หรอก----"
ป้าปป !
จู่ๆซาโกะก็ใช้ฝ่ามือฟาดเข้ากลางหลังของเซี๊ยะพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า "--เธอ ! กรุณานั่งหลังตรงๆและรับฟังอย่างมีมารยาทด้วยค่ะ !--"
"นี่ ! เธอจะเคร่งเรื่องมารยาทอะไรนักหนา ! แล้วจู่ๆมาตบหลังชั้นทำไม ! ?"
"คน คนนั้นก็คือ....!" กุ๊งกิ๊งยังคงบิ้วท์ไม่หยุด จนสาวผมแดงเริ่มที่จะทนไม่ไหว
"นี่ถ้าเธอประกาศสมาชิกเสร็จเมื่อไหร่ก็ช่วยเดินมาปลุกชั้นด้วยละกันนะ เดี๋ยวชั้นจะนอนรอ" เซี๊ยะทำเป็นฟุบลงไปกับโต๊ะทว่าไม่ทันที่หน้าของเธอจะได้สัมผัสกับแผ่นไม้ ซาโกะก็เอาท่อนแข่นมาสับเข้าที่กลางกระหม่อมของสาวน้อย ปลุกให้เธอต้องสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง
"--ห้ามนอน ! ไม่มีมารยาท !--" ซาโกะพูดเสียงแข็ง
"เฮ้ !! รำคาญแล้วนะโว้ย !" เซี๊ยะตะคอกใส่
...
"แล้วคน คนนั้นก็คือ........'รัน !' นั่นเอง...!"
ผ้าทึบแสงถูกสะบัดออก หญิงสาวที่อยู่เบื้องหลังผ้าผืนนั้นก็คือนักเรียนสาวผมสั้นสีน้ำตาลโอ๊ค นัยน์ตาสีโกเมนหรือรัน เลเยอร์ชื่อดังในอินเตอร์เน็ตที่มีนามแฝงว่า 'คาริน'
"สวัสดีทุกๆคน" รันกล่าวทักทายทุกคนด้วยท่าทีเป็นมิตร เธอรู้สึกแอบเขินๆเล็กน้อยเนื่องจากไม่เคยพบกับสองสาวที่อยู่ตรงหน้าเป็นการส่วนตัวมาก่อน เมื่อรันกล่าวแนะนำตัวเองเสร็จกุ๊งกิ๊งก็พูดเสริมด้วยน้ำเสียงเริงร่าขึ้นมาว่า
"ต่อจากนี้รันจะเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกับชมรมของเรารวมทั้งจะประจำตำแหน่งผู้จัดการเรื่องคอสตูมด้วย ถือว่าเป็นสมาชิกคนสำคัญที่เราต้องพึ่งพามากที่สุดคนนึงเลยนะจะบอกให้ ...เอาล่ะพวกเธอรีบๆเข้ามาประจบรันเร็วๆละกันจะได้มีชุดสวยๆใส่เวลาแสดง ฮ่าๆๆ"
"เอ๊ะ !" รันถึงกับผงะออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินกุ๊งกิ๊งพูดแปลกๆออกมาแบบนั้น
"ล้อเล่นน่าา ล้อเล่น" ทว่าดูเหมือนสาวผมบลอนด์จะแค่พูดติดตลกในแบบที่ขำไม่ออกเท่านั้น
เซี๊ยะที่เห็นดังนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าเอือมๆออกไปว่า "นี่เธอต้อนรับสมาชิกใหม่ภาษาไหนกันเนี่ย..."
ในขณะที่ซาโกะก็แสดงปฏิกิริยาเว่อร์ๆเกินจริงออกมา "---โอ๊ะ !!--- --สมาชิกใหม่ล่ะ !-- --สุดยอดเลย !-- --สมาชิกใหม่ ! สุโค่ย !-- --ปรบมือๆๆ-- --นี่เธอ(หันไปหาเซี๊ยะ)-- --ปรบมือเร็ว !"
เซี๊ยะที่โดนบังคับให้มานั่งอยู่ข้างๆกับสาวเพี้ยนจึงต้องฝืนปรบมือไปตามน้ำพร้อมกับทำสีหน้าเจื่อนๆไปด้วย
แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ
"ต่อจากนี้พวกเราก็มาพยายามกันเถอะนะทุกๆคน แฮะๆๆ" รันที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อก็ได้แต่น้อมรับเสียงปรบมือนั้นไปพร้อมกับโค้งคำนับให้ทุกคน
...
กุ๊งกิ๊งที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าห้องค่อยๆรอให้เสียงปรบมือเบาลง ก่อนจะพูดประกาศแบบเป็นพิธีรีตองออกมาอีกว่า
"เอาล่ะ ! ทุกๆคน... ยังไม่จบแค่นี้นะ ! เย็นนี้เราจะมีนัดประชุมชมรมกัน---" ระหว่างที่เธอกำลังพูดอยู่นั้นเอง ก็โดนขัดโดยเซี๊ยะว่า
"ตกลงใครเป็นประธานชมรมกันแน่ยะหล่อน !"
"หุบปาก ! เงียบไปเลยเจ้าตัวร้ายหัวทุ่งลิลลี่ ! เธอน่ะเป็นประธานชมรมที่ไม่น่าเชื่อถือ แค่ห้องชมรมยังรักษาให้เป็นระเบียบไม่ได้เลยแล้วจะเป็นผู้นำชมรมได้ยังไง ! ?" ทว่าก็โดนสาวผมบลอนด์สวนกลับทันควัน
"ห่ะ ! นี่เธอกล้าด่าชั้นเสียๆหายๆหรอนังสมองโดนัทเคลือบน้ำตาล !" แต่เซี๊ยะก็ดูเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ เธอตอกกลับใส่ทางด้านกุ๊งกิ๊งไปเหมือนกัน
"หึ่ยยย !"
"หนอยแน่ !"
หลังจากที่ส่งเสียงหึ่มๆกันพอเป็นพิธีเสร็จ... กุ๊งกิ๊งก็กลับมายืนอยู่ที่หน้าห้องดังเดิมและประกาศต่อไปว่า... "เย็นนี้ชั้นจะประกาศสมาชิกชมรมอีกคนหนึ่ง ซึ่งคนนี้มีความสำคัญมากเพราะเค้าจะเข้ามาเป็นผู้จัดการให้กับชมรมของพวกเรา ที่สำคัญคือเป็นผู้ชาย หล่อด้วย !"
"---อ๊ะ !!--- --ผู้จัดการวงล่ะ !-- --ใครกันนะ-- --น่าตื่นเต้นจังเลย !--" ซาโกะยังคงแสดงท่าทีตื่นเต้นเกินกว่าเหตุไม่เลิกจนเป็นทางเซี๊ยะที่เข้ามาสับท่อนแขนไปที่กลางหลังบ้าง พร้อมกับพูดออกมาว่า
"หยุดโอเวอร์แอ๊คติ้งอย่างงี้จะได้มั้ย ! ?"
ทว่าชั่วพริบตาเดียวนั้นเอง...
พรึ่บบ !!
แขนของเซี๊ยะก็โดนซาโกะพลิกและจับเหวี่ยงข้ามโต๊ะทุ่มลงกับพื้นทันที นับว่าเป็นการจู่โจมสวนกลับที่ฉับพลันและรุนแรงมาก ซึ่งเซี๊ยะก็ได้แต่ร้องโอดโอยออกมา
กุ๊งกิ๊งไม่ได้สนใจอะไร เธอประกาศต่อไปว่า "เดี๋ยวเย็นนี้ชั้นพาไปหาผู้จัดการคนนั้นถึงสถานที่เลยดีกว่า..."
"ส--สถานที่ที่ว่านี่หมายถึงที่ไหนงั้นหรอ... อ--โอ้ยเจ็บ ! คราวหลังห้ามเล่นอย่างงี้อีกนะซาโกะ !" เซี๊ยะถามขึ้นมาพลางหันไปตวาดใส่ซาโกะพร้อมกับกุมไปที่หัวไหล่ตัวเอง
"หึ หึ หึ ! สถานที่ที่ว่านั่นก็คือ....!"
...
...
สกายคาเฟ่ !
ท้ายที่สุดแล้ว ในเย็นของวันนั้น นักเรียนสาวทั้งสามก็ถูกกุ๊งกิ๊งพามานั่งอยู่ในร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอ่อนที่ชื่อว่า'สกายคาแฟ่'นั่นเอง ซึ่งรันที่เคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้แล้ว จึงรู้ทันทีว่าผู้จัดการชมรมที่ว่านั่นคือใคร
"นี่ยังไงล่ะ ! ผู้จัดการชมรม รันเคยเจอแล้วสินะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวชั้นจะแนะนำอีกรอบก็แล้วกันสำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก" กุ๊งกิ๊งผ่ายมือทั้งสองข้างไปยังชายผมยาวรูปร่างสูงหน้าตาดีที่ยืนอยู่ข้างๆราวกับกำลังจะเปิดตัวพรีเซนเตอร์สิ้นค้าอะไรอย่างงั้น
"สวัสดีชั้นชื่อเมฆน่ะ โดนกุ๊งกิ๊งบังคับขู่เข็ญให้มาเป็นผู้จัดการชมรมเองแหละ แฮะๆๆ" เป็นชายหนุ่มที่ชิงแนะนำตัวขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง เมฆชูมือทักทายในระดับหัวไหล่พร้อมกับหัวเราะแห้งๆติดตลกออกมา
"บังคับขู่เข็ญหรอ ! ? ไหนทีแรกเมฆบอกว่าเต็มใจมาไม่ใช่หรอ ! ?" กุ๊งกิ๊งทำหน้าเหวอพร้อมกับร้องออกมา น้ำเสียงของเธอแลดูผิดหวังเล็กน้อย
"ทีแรกชั้นเข้าใจว่าจะชวนให้ชั้นเข้ามาทำงานพาร์ทไทม์ ไปช่วยขนข้าวขนของหรือไปเป็นแบ็คอัพสตาฟให้กับวงไอด้อลซักวงเฉยๆ ไม่นึกว่าจะให้มาเข้าร่วมชมรมอะไรแบบนี้" เมฆพูดหันข้าง และทำเป็นไม่มองหน้ากุ๊งกิ๊ง ซึ่งเมื่อสาวผมบลอนด์เห็นดังนั้นก็แสดงอาการงอนแก้มป่องออกมา ก่อนที่จะดิ้นและพูดกลับไปว่า
"อ่าวว ! นี่เมฆไม่สนใจคำขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสมัยเด็กบ้างเลยหรือไงงะ ! ?"
"เหอะ ! แต่ถึงยังไงซะ ชั้นก็ให้เมฆเซ็นใบสมัครเข้าร่วมชมรมไปแล้ว เมฆหลงกลชั้นแล้วล่ะ ฮะ ฮะ ฮ่าา !" สาวน้อยชี้นิ้วชี้ไปที่เมฆและหัวเราะแบบผู้ชนะ แต่ทว่า...
พรึ่บบ
เมฆคว้ากระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งขึ้นมา ปรากฏว่ามันก็คือใบสมัครเข้าชมรมโรงเรียนไอด้อลซึ่งกุ๊งกิ๊งปลอมแปลงให้มันดูคล้ายๆกับสัญญาว่าจ้างงาน ซึ่งมันไม่เนียนเอาซะเลย
"อ๋ออ หรือว่าเธอหมายถึงสัญญาว่าจ้างปลอมๆใบนี้..." ชายหนุ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขึ้นมาก่อนที่จะชูแผ่นกระดาษขึ้นเหนือหัว ซึ่งด้วยส่วนสูงที่มากกว่า 180 เซนติเมตร และมากกว่าของกุ๊งกิ๊งกว่ายี่สิบเซ็นจึงทำให้สาวผมบลอนด์ที่พยายามจะกระโดดคว้าแผ่นกระดาษใบนั้นเท่าไหร่ก็เอื้อมไม่ถึง
"เเเเเเฮ๋ !! อย่าแกล้งกันอย่างงี้สิเมฆ !"
'ส--สวย... ดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่นั่น... สวย แล้วก็มีสเน่ห์มากๆ' ระหว่างที่กุ๊งกิ๊งกับเมฆกำลังหยอกเล่นกันเป็นเด็กๆอยู่นั้นเอง เซี๊ยะที่นั่งใกล้กับเมฆที่สุดนั้นก็กำลังตกตะลึงและหลงในความงดงามภายในดวงตาของบาริสต้าหนุ่มคนนี้... เธอจ้องมองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นพร้อมกับอ้าปากค้างออกมา
ปักกก !
ทว่าระหว่างนั้นเองซาโกะก็ใช้ท่อนมือสับเข้าที่คอของเซี๊ยะอีกครั้ง สาวผมแดงกุมไปตรงจุดที่ถูกโจมตีพร้อมกับสบถออกมาว่า
"เฮ้ ! อะไรนักหนาเนี่ย ! วันนี้เธอจะทำร้ายร่างกายชั้นไปถึงไหน ?" สีหน้าของเธอฉุนเฉียวไม่เบา
"--เธอคิดดัง-- --เกินไปแล้ว-- --คิดเบาๆบ้างก็ได้--" ทว่าซาโกะดันพูดออกมาแบบนั้น เซี๊ยะจึงเกิดอาการพูดไม่ออกเพราะเจอซาโกะพูดแทงใจดำ
เธอพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วนว่า "พ--พูดบ้าอะไรของเธอ เธออ่านใจชั้นได้หรือยังไงกัน ! ไหนชั้นคิดอะไรลองบอกซิ ?"
"--เธออยากลองกิน-- --เค้กมันฝรั่ง-- --ของร้านนี้ใช่มั้ย--" ทั้งนั้นทั้งนี้ซาโกะก็ชี้ไปที่เมนูที่ติดอยู่บนกำแพงหลังเคาน์เตอร์ภายในร้าน เซี๊ยะเมื่อเห็นดังนั้นก็หรี่ตามองตามเล็กน้อยจนเห็นว่าที่ร้านนี้มีเมนูเค้กมันฝรั่งโปะชีสขาย ซึ่งเธอก็ไม่เคยกินมาก่อน อย่างไรก็ตามสาวผมแดงก็บอกปัดไปว่า
"เหอะ ! ที่แท้ก็แค่อยากหาเพื่อนแชร์ค่าของกินด้วยนี่เอง ไม่ล่ะ... ชั้นไม่กินของพวกนั้นหรอก มันทำให้อ้วนเปล่าๆ"
"--ตามใจ-- --สั่งเองก็ได้-- --อย่ามาขอแบ่งด้วยละกัน--" ซาโกะงอนปุดๆออกมาก่อนที่จะลุกเดินไปสั่งเค้กมันฝรั่งที่หน้าเคาน์เตอร์
ระหว่างนั้นเองรันก็กำลังใช้ปากกาสไตลัสวาดอะไรบางอย่างบนหน้าจอแท็บเล็ทอยู่ เซี๊ยะที่เหลือบไปมองก็พลันถามขึ้นมาว่า
"นี่รัน กำลังทำอะไรอยู่หรอเห็นขีดๆเขียนๆลงบนหน้าจอมาได้พักนึงแล้ว"
สาวผมสั้นเมื่อได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวานๆว่า "อ๋อ... รันกำลังหาไอเดียแล้วก็ดีไซน์ชุดเต้นสำหรับอีเว้นท์ในงานฉลองวันคริสมาสต์อีฟของโรงเรียนอยู่น่ะ ถึงจะพึ่งผ่านอีเว้นท์งานวันชาติมาแต่ชมรมของพวกเซี๊ยะก็คงอยากแสดงต่อในอีเว้นท์ใหญ่ๆอย่างงานวันคริสต์มาสต์อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ ถ้าเกิดแสดงออกมาได้ดีแบบพลุแตกก็อาจจะกลายเป็นที่นิยมของคนในโรงเรียนขึ้นมาเลยก็ได้น่าา"
เซี๊ยะเมื่อพบเจอเข้ากับความมุ่งมั่นนั้นเข้าไปก็ถึงกับคิดในใจออกมาเสียงดังอีกครั้งว่า
'เฮือก ! เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นนี่มันอะไรกัน ! ? นี่พึ่งเข้าชมรมมาได้แค่แปปเดียวแต่ก็พยายามช่วยงานชมรมมากขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย ! ทั้งๆที่ก่อนอีเว้นท์งานวันคริสมาสต์จะมีการสอบกลางภาคก่อนแท้ๆ แต่เธอคนนี้ก็ยังคงเยือกเย็นดุจสายน้ำและกล้าแกร่งดั่งภูผาอีกเหรอะ ! ? ในฐานะประธานชมรม ชั้นจะแพ้ไม่ได้ !'
...
ส่วนทางด้านเพื่อนสนิทหนุ่ม-สาวในวัยเด็กก็ยังคงเถียงแล้วก็แกล้งกันไม่เลิก ซึ่งดูเหมือนทั้งสองจะเถียงกันเสียงดังโดยไม่เกรงใจคนอื่นเลยแม้แต่น้อย ...แต่ก็เป็นเพราะ ณ เวลานี้ยังไม่มีลูกค้าคนอื่นๆอยู่ในร้านนอกเสียจากนักเรียนรัมภานาราสมุทรทั้งห้าคน
"ฮึ่ยย ! เอามันลงมาเดี๋ยวนี้นะเมฆ ยอมยื่นให้ชั้นดีๆเดี๋ยวนี้ ทำไมถึงไม่ยอมเอาไปให้สภานักเรียนกันนะ !" กุ๊งกิ๊งยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะเอื้อมมือไปคว้าแผ่นกระดาษแผ่นนั้น ทว่าส่วนสูงของทั้งสองนั้นมันต่างกันจนเกินไป
"ชั้นจะคิดค่าจ้างยังไงดีน่าาา... กับการต้องมาเป็นผู้จัดการชมรมๆนี้" เมฆพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่กรุ้มกริ่ม แววตาดูมีเลศนัย แต่ทว่าจริงๆแล้วก็แค่อยากจะแกล้งเพื่อนสมัยเด็กเล่นๆเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆแล้วเมฆก็มีคำตอบอยู่ในใจของเค้าอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
"เอาลงมานะ เอาลงมา... เน้ ! พวกเธอไม่คิดจะช่วยอะไรกันเลยหรอออ ! ?" กุ๊งกิ๊งหันไปร้องใส่เพื่อนๆ ซึ่งรันเองก็กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการออกแบบเสื้อผ้า ส่วนทางด้านซาโกะ... เค้กมันฝรั่งร้อนๆเนื้อเนียนละเอียดสีเหลืองราวกับทองคำผิวนุ่มน่าสัมผัสโปะด้วยชีสเยิ้มๆบนหน้าเค้กที่ขอบเป็นสีน้ำตาลเกรียมๆเล็กน้อย พึ่งจะเอามาเสิร์ฟได้ไม่นาน ซึ่งกลิ่นหอมหวนเย้ายวนน่าหลงใหลของมันก็ทำให้กุ๊งกิ๊งเสียสมาธิบ้างเล็กน้อย แต่เธอก็หันกลับไปเถียงกับเมฆต่อเพราะนั่นไม่ใช่ของโปรดของเธอ
เซี๊ยะที่นั่งอยู่ข้างๆซาโกะเมื่อเห็นความน่าลิ้มรองอันยากที่จะต้านทานของเค้กชิ้นนั้นก็เกิดน้ำลายสอขึ้นมา แต่ว่าเธอก็ยังพยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้ได้ สาวผมแดงพยายามหันไปมองรันที่กำลังนั่งวาดรูปชุดเต้นอยู่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง แต่ทว่า...
"--เน้ๆ-- --เซี๊ยะจัง-- --มากินด้วยกันมั้ย?--" ทว่าทันใดนั้นเองซาโกะก็พูดประโยคต้องห้ามหรือประโยคชวนเพื่อนให้มากินด้วยออกมา เซี๊ยะเมื่อได้ยินดังนั้นจึงหันควับไป เธอเห็นเนื้อเค้กสีเหลืองทองกำลังเด้งดึ่งๆอยู่บนช้อนเงินในมือของซาโกะ สาวลูกครึ่งญี่ปุ่นพยายามเอาขนมเค้กมาหลอกล้อและยั่วตบะของสาวผมแดง โดยเธอเอาเค้กชิ้นนั้นมาจ่อหน้าของเซี๊ยะไว้เลย
"ม--ไม่ล่ะ... เค้กมันฝรั่งหรอ... ของแปลกๆแบบนั้น ไม่เคยได้ยิน ม--ไม่กินหรอก" เซี๊ยะพยายามฝืนปฏิเสธกลับไปอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เธอทำเป็นสยายผมเชิดหยิ่งพร้อมกับหันหลังหลบหน้าซาโกะและหลบเค้กน่ากินชิ้นนั้นไปด้วย
ทว่าชั่วพริบตาเดียว ซาโกะก็พุ่งเข้าไปอยู่ตรงหน้าของเซี๊ยะพร้อมกับเลื่อนช้อนตักเค้กไปมา
"---ปู้นปู้น!!-- --ฉึกฉัก!!-- --ปู้นปู้น!!-- --รถไฟมากำลังมาเทียบท่าแล้ว-- --ง่าาามมม!!-- --เข้าปากไปแล้ว-- --หืมมม โออิชิ(อร่อย)!!--"
...ก่อนที่จะค่อยๆนำขนมเค้กที่อยู่ในช้อน เคลื่อนไปทีละนิดทีละนิดอย่างช้าๆ ให้โลหะสีเงินไปแตะที่ริมฝีปากสีซีดๆก่อนที่จะค่อยๆออกแรงดันช้อนให้เข้าไปภายในปากและพลันใช้เพดานปากอันอ่อนนุ่มรูดสิ่งที่อยู่ในช้อนจนหมด เนื้อเค้กค่อยๆละลายภายในปาก กลิ่นหอมกระจายไปทั่วและฟุ้งลอยไปถึงโพรงจมูก ซาโกะใช้ลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอย่างช้าๆและทำให้มันเป็นการรับประทานที่ดูเย้ายวนทางด้านของเซี๊ยะมากที่สุด
"นี่หล่อน ! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ....อ่าา ! ได้ๆ ชั้นขอกินด้วยคนก็แล้วกัน !" สาวผมแดงเหมือนจะทนไม่ไหว เธอจึงยอมหันมาพูดกับซาโกะพร้อมกับขอทานเค้กด้วยแบบห้วนๆ ซึ่งแน่นอนว่าสาวลูกครึ่งก็ไม่ยอมให้แต่โดยดี เธอแกล้งเซี๊ยะต่อด้วยการบอกว่า
"--จุ๊จุ๊-- --ช็อตโตะมัตเตะ-- --กรุณาขออย่างสุภาพ-- --และน่าเอ็นดูกว่านี้ด้วยค่ะ-- --คึ คึ คึ!!--"
สาวผมสีฉูดฉาดกล่าวกลับไปอย่างนั้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่กวนประสาทไม่เบา
"หนอยย ! เออๆ ก็ได้..." เซี๊ยะพยายามสงบสติอารมณ์ลง ก่อนที่จะค่อยๆเริ่มขออย่างสุภาพ
"ข--ขอ...ขอทานเค้กด้วยกัน ...ได้ไหมคะ... ?"
สาวผมแดงก้มตัวลงขอซาโกะที่เป็นเจ้าของเค้ก เธอชำเลืองมองสาวลูกครึ่งด้วยดวงตาที่พยายามจะทำให้กลมโตดูอ่อนโยนและน่าเอ็นดูให้มากที่สุดเพื่อกลบเกลื่อนแววตาที่เฉียวโค้งแลดูเปื้อนมลทินของเธอ เมื่อซาโกะเห็นดวงตาสีเหลืองใสสดอันน่ารักน่าชังแบบแมวสวาทตัวน้อยๆนั้นประกอบกับเสียงอ้อนอันนุ่มนวลแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนของเซี๊ยะเข้ามาก้องกังวาลอยู่ภายในหูแล้ว เธอก็ยอมตักเค้กและค่อยๆป้อนเข้าปากแมวสวาทที่มีนามว่าเซี๊ยะอย่างเบามือที่สุด
"---ง่าาามมม!!--- --อ๊ะ!!-- --รถไฟเข้าปากไปแล้ว!-- --เย้!!--"
ซาโกะค่อยๆป้อนเค้กเข้าปากเซี๊ยะไป เธอหุบๆอ้าๆปากแบบคุณแม่ที่กำลังป้อนข้าวเด็กยังไงอย่างงั้นก่อนที่จะปรบมือแปะๆเมื่อเค้กชิ้นนั้นเข้าไปในปากเซี๊ยะได้สำเร็จ
แก้มเรียวๆของเซี๊ยะแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากที่ได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นเด็กอ่อนที่ซาโกะรับมาเลี้ยงดูอย่างงั้น
...
ส่วนทางด้านของกุ๊งกิ๊งกับเมฆนั้น นักเรียนหนุ่มหยุดหยอกล้อกับสาวผมบลอนด์ก่อนที่จะหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาอ่านผ่านๆก่อนที่จะพลันมองหน้ากุ๊งกิ๊ง เขายิ้มแบบไม่ได้คิดอะไรมากนัก ยังไงซะในใจของเขาก็อยากที่จะช่วยเหลือเพื่อนสนิทในวัยเด็กผู้สดใสร่าเริงเป็นดั่งพระอาทิตย์ในวันวานของเขามาตลอดอยู่แล้ว การที่สาวน้อยคนเดียวกับเมื่อสิบปีที่แล้วได้มายืนอยู่ตรงหน้าของเค้าในตอนนี้และขอความช่วยเหลือจากเขา...เมฆแทบจะตัดสินใจยื่นมือเข้าไปช่วยตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอร้องขอเข้ามาเลยด้วยซ้ำ
มิตรภาพในวันวาน จู่ๆก็ถูกสายลมยามพระอาทิตย์อัสดงพัดพาเรื่องราวแห่งการจากลา ให้กลับเข้ามาหาเขาและเธอทั้งสองคนอีกครั้ง เรื่องราวแห่งการจากลากลับเปลี่ยนผันกลายเป็นเรื่องราวแห่งปาฏิหาริย์ที่กำลังได้รับการเริ่มต้นใหม่ ...ไม่สิกำลังจะได้มีหน้ากระดาษแผ่นต่อไปอีกต่างหาก
เมฆไม่ได้กลั่นกรองคำพูดอะไรจากภายในใจออกมามากนัก เค้าเพียงแค่ตอบกลับไปสั้นๆว่า
"...ถ้าเกิดชั้นยอมช่วยเธอแล้ว... เธอต้องจ่ายค่าจ้างด้วยการมาแวะที่ร้านกาแฟของชั้นบ่อยๆนะ อิอิ" พร้อมกับโปรยรอยยิ้มอันอ่อนโยนออกไป
เมื่อกุ๊งกิ๊งได้ยินดังนั้นเธอจึงฉีกยิ้มขึ้นมา ใบหน้าของเธอกลับมาสดใสและเปล่งประกายดั่งพระอาทิตย์ที่เมฆคุ้นเคยอีกครั้ง สาวน้อยกำลังวิ่งเข้าไปหาเพื่อนสมัยเด็กเพื่อโอบกอดแต่ทว่าโดนรันดึงกระชากให้มาดูอะไรบางอย่างที่แท็บเล็ทของเธอก่อน
"กุ๊งกิ๊งมาดูนี่หน่อยสิ" สาวผมสั้นพูดขึ้นมา
"อะไรหรอรัน ?"
"เธอว่าชุดที่รันดีไซน์ดูดีมั้ย ? ติดขัดตรงไหนหรือเปล่า ว่าจะใช้ในงานวันคริสมาสต์น่ะ"
"อ๋อๆ ไหนดูหน่อยซิ งืมๆๆ..."
...
หลังจากนั้นเหล่าสมาชิกชมรมไอด้อลก็ประชุมกันไป ทางด้านกุ๊งกิ๊งก็เข้ามาคุยเรื่องชุดกับรันอย่างจริงจัง ซึ่งทั้งสองดูเหมือนจะคุยกันได้ออกรสออกชาติเพราะว่าต่างคนก็สนใจพวกเรื่องเสื้อผ้าเหมือนกัน ในขณะที่ทางด้านของซาโกะและเซี๊ยะทั้งสองคนเหมือนกำลังเล่นรถไฟเหาะเข้าปากหรือก็คือกำลังป้อนเค้กกันอย่างสนุกสนานกระหนุงกระหนิง ส่วนเมฆก็กลับไปประจำสเตชั่นของตัวเองที่หลังเคาน์เตอร์ ปล่อยให้สาวๆเล่นกันต่อไป
...
"สมาชิก ! เรียกประชุม ! ทุกคนสุ่มหัว !" หลังจากที่คุยกับรันกันอย่างออกรสออกชาติกุ๊งกิ๊งก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอลั่นวาจาออกมาให้ทุกคนมารวมตัวสุ่มหัวกัน
"--นานิ?--"
"อะไรหรอกุ๊งกิ๊ง ?"
"ตกลงใครเป็นประธานชมรมกันแน่ฮะ ยัยหัวทองปัญญานิ่ม"
นักเรียนสาวอีกสามคนเข้ามาสุ่มหัวด้วยตามลำดับ ทว่าดูเหมือนจะยังขาดสมาชิกชมรมอีกคนหนึ่ง คนที่เป็นผู้ชายอยู่คนเดียว
"สมาชิกเมฆ ! เรียกประชุม ! เข้ามาเร็ว !" กุ๊งกิ๊งเรียกเมฆที่กำลังประจำสเตชั่นอยู่หลังเคาน์เตอร์ให้ออกมา ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งดิ้กๆออกมา ก่อนที่จะมายืนอยู่นอกวงใกล้ๆกับสี่สาว
"อย่างแรกเลย... อีเว้นท์งานวันคริสมาสต์ที่จะมาถึงในอีกสามสัปดาห์ ชมรมโรงเรียนไอด้อลของเราก็จะขึ้นแสดงด้วย เพื่อเป็นการแสดงพลังของพวกเราให้ทุกคนเห็น ถ้าการไลฟ์ของเราออกมาดี พวกเราก็จะเป็นที่จับตามองและอาจจะมีชื่อเสียงมากขึ้นได้ เข้าใจที่ชั้นพูดใช่มั้ยทุกๆคน" กุ๊งกิ๊งเริ่มเปิดการประชุม
"อ...เอ่อ กุ๊งกิ๊งจ๊ะ ! รันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนจะได้มั้ย ? ยังไงรันก็รับผิดชอบแค่ส่วนชุดอย่างเดียวอยู่แล้ว หิหิ" รันขัดจังหวะขึ้นมา กุ๊งกิ๊งเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอตอบกลับว่า "อ๋ออ ไปเข้าก่อนได้เลยรัน... ไว้ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวจะสรุปรวมๆทีหลังให้" "เครแต้งกิ้วจ้าา !"
เมื่อรันเดินออกไปกุ๊งกิ๊งก็พูดต่อว่า
"ตอนนี้พวกเรามีกันอยู่แค่สี่คน ไม่นับเมฆอยู่แล้วอะนะเพราะเป็นผู้จัดการ... เพราะฉะนั้นเราจะจับคู่กันได้แบบไม่มีเศษเพราะเป็นเลขคู่ ในงานอีเว้นท์วันคริสมาสต์เนี่ย ชั้นอยากที่จะให้การแสดงของเรามีเซนเตอร์ ไลฟ์ที่ออกมาจะได้สวยงาม"
ทันใดนั้นเองเซี๊ยะก็พูดเสริมขึ้นมา... "จริงด้วย... เพราะเวลาเต้นถ้าเต้นกันสี่คนแบบหน้ากระดานอย่างเดียวทั้งเพลงก็จะดูธรรมดาจนเกินไป หรือถ้าแบ่งออกเป็นสองคู่ก็จะดูขัดๆเขินๆแปลกๆ แล้วพวกเราไม่ใช่มืออาชีพที่จะสามารถผลัดกันมาโซโล่เดี่ยวกันได้ทีละคนๆแบบเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีโปรๆแบบนั้น เวลาไลฟ์ยังจำเป็นที่จะต้องช่วยกันแบก ช่วยๆเกาะกันเด่น ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเรื่อยๆจะดีกว่า การจะหาเซนเตอร์ซักคนก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดี"
"และคนๆนั้นก็ควรเป็นชั้นเอง..." เซี๊ยะพูดจบพร้อมกับชูมือขึ้นมากลางวงอย่างมั่นใจ เธอหลับตาไม่มองคนอื่นพร้อมกับยิ้มมุมปากด้วยความรู้สึกที่แสดงผ่านสีหน้าออกมาว่า 'หึ ! ชั้นนี่แหละเก่งที่สุดในวงแล้ว เดอะแบกล้วนๆค่ะ !' โดยที่เธอไม่ได้สนใจแววตาอันเต็มไปด้วยความรู้สึกครหาของกุ๊งกิ๊งและซาโกะเลยแม้แต่น้อย
โป้กก !
ซาโกะใช้ท่อนแขนสับเข้าไปที่กลางหน้าผากเต็มๆ
"เฮ้ย ! เอาอีกแล้วนะ ! หยุดทำแบบนี้ได้แล้ว !" กุ๊งกิ๊งโวยวายใส่คู่กรณีเดิม
"---หมั่นไส้---" ทว่าก็โดนซาโกะตอกกลับมาอย่างเฉยชา
"ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องการหาสมาชิกใหม่ ส่วนเรื่องว่าใครจะเป็นเดอะแบกหรือใครจะเป็นเซนเตอร์ ค่อยว่ากันทีหลัง... ที่ชั้นจะพูดหลักๆก็คือจะมาแบ่งหน้าที่ให้ทุกคนนั่นแหละ..." กุ๊งกิ๊งเอามือกุมไปที่ปากพร้อมกับพูดด้วยท่าทีแบบคนกำลังใช้ความคิด ในขณะที่นักเรียนสาวอีกสองคนก็กำลังเถียงกันอยู่ แถมดูท่าจะเถียงกันไม่ค่อยรู้เรื่องอีกด้วย
"--เธอน่ะ !-- --ไม่เหมาะกับวันคริสมาสต์หรอก!-- --ซานต้าจะไปชอบ-- --ผู้หญิงที่มีรอยยิ้มชั่วร้าย-- --แล้วก็ชอบแกล้งคนอื่น-- --แบบเธอได้ไง! ?-- --เด็กไม่ดี!--" ซาโกะชี้หน้าว่าว่าเซี๊ยะว่าเป็นเด็กไม่ดี ซึ่งไม่เหมาะสมกับการเป็นเซนเตอร์ในวันคริสมาสต์ที่ซานต้าคลอสจะเลือกให้ของขวัญแต่เด็กที่มีนิสัยดีเท่านั้น
"โถ่วๆๆ เธอเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าชั้นนักหรอก ! อย่าให้ชั้นต้องพูดถึงเรื่องรสนิยมและก็ความชื่นชอบส่วนตัวของหล่อนนะ ดูชั่วร้ายแล้วก็โหดร้ายทารุณซาดิสกว่าชั้นตั้งหลายเท่าเชียวล่ะ ! ถ้าอย่างเธอได้เป็นเซนเตอร์ล่ะก็ 'ปาร์ตี้คริสมาสต์' คงได้กลายเป็น 'บลัดดี้คริสมาสต์'{BLOODY Christmas} แน่ๆ" ทางเซี๊ยะก็ไม่ยอม เธอเถียงกลับไปพร้อมก็พูดถึงรสนิยมอะไรบางอย่าง ซึ่งกุ๊งกิ๊งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
"---อ๊ะ !!--- --แต่อย่างน้อยชั้นก็รักเด็กๆนะ!-- --ฮึ่ยยย!--"
"ยึยยย!"
แล้วสาวบ้าบอทั้งสองก็กัดฟันหึ่มๆใส่กันโดยมีเมฆคอยมายืนเป็นกำแพงคั้นกลาง หลังจากที่สังเกตพฤติกรรมมาได้ระยะนึงกุ๊งกิ๊งก็เริ่มจะพอเดาออกแล้วว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองคนคงจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ถึงขนาดที่อยู่ชมรมด้วยกันแค่สองคนก็ยังแทบไม่คุยกันอย่างว่า
"งั้นเอาเป็นว่า ชั้นจะแบ่งงานดังนี้ เอาล่ะทุกคนฟัง !" กุ๊งกิ๊งพูดดึงความสนใจของทุกคนให้กลับมาอยู่ที่เธออีกครั้ง
สองสาวเลิกเทลาะกัน ก่อนที่จะหันมาจรดสายตาไปที่กุ๊งกิ๊ง และเมื่อนั้นเองสาวผมบลอนด์ก็เริ่มแจกจ่ายหน้าที่ของแต่ละคน
"ชั้นกับเซี๊ยะจะช่วยกันคิดท่าเต้นกับเนื้อร้องเอง ส่วนรันก็จะรับผิดชอบในเรื่องของคอสตูมไป ซึ่งเดี๋ยวชั้นจะคอยประสานงานให้ด้วยไม่ต้องหวง ส่วนเรื่องดนตรี คงจะต้องรบกวนเธอให้เป็นคอมโพสเซอร์ให้อีกครั้งแล้วล่ะนะซาโกะ เอาเป็นว่านี่เป็นตำแหน่งประจำของเธอเลยละกัน"
"--รับทราบ--" ซาโกะตอบรับกลับมาอย่างเสียงดังฉะฉาน
"เออออ..." แต่เซี๊ยะได้แต่ลากเสียงยาวๆแบบคนเบื่อโลก
"ส่วนเมฆ !" กุ๊งกิ๊งชี้ไปที่เมฆ
"ฮะ ! ? อะไร ?" เมฆถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเนื่องจากคิดว่าตัวเองคงจะไม่มีบทบาทอะไรมากนอกจากเดินยกของ ส่งของอะไรทำนองนั้นไปมา
"เมฆต้องเป็นคนหาสมาชิกใหม่เข้าวง ! ขอเป็นผู้หญิงสวยๆ ถ้าผมดำได้ยิ่งดี เพราะวงเรายังไม่มีสาวผมดำธรรมชาติเลย" กุ๊งกิ๊งมอบหมายภาระอันหนักอึ้งให้กับเมฆผู้ซึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกชมรมได้แค่ไม่ถึงสามสิบนาที เท่านั้นไม่พอ...เซี๊ยะก็ได้จังหวะเข้ามากำชับติวเข้มกับเมฆอีกว่า
"หน้าที่นี้น่ะเหมาะสมกับนายที่สุดแล้ว ! อย่างแรกเลยนะ นายต้องใช้เสน่ห์อันเปี่ยมล้นของนายในการเข้าหาหญิงสาว แล้วจีบมาเป็นแฟนให้ได้ภายในสองวันเลย ! อย่าใช้วิธีมักง่ายแบบฉุดกระชากลากจูงหรือตีหัวลากเข้าถ้ำนะ... ให้ค่อยๆใช้คำพูดหว่านล้อม คำพูดปลอมๆ แล้วก็หลอกใช้ให้มาเป็นแฟน ! หล่อๆอย่างนายน่ะทำได้อยู่แล้ว เอาไลน์มาเดี๋ยวชั้นจะติวเข้มนายเรื่องวิธีการใช้คารมหลอกผู้หญิงให้ พอจีบติดแล้ว เข้ามาเป็นสมาชิกชมรมแล้ว นายก็ฟันแล้วทิ้ง ! ไปหาคนใหม่ต่อ... ง่ายจะตาย อีซี่---"
โป๊กก !
ซาโกะใช้ท่อนแขนสับไปที่กลางกบาลเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวันนี้ ซึ่งตอนนี้ที่ศีรษะของสาวผมแดงระบมไปหมดแล้ว
"--เธอคือเด็กไม่ดี--" ซาโกะพูดออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
กุ๊งกิ๊งที่เห็นปฏิกิริยาและการกระทำของสองคนนั้นจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆขึ้นมา พร้อมกับบอกทุกคนว่า
"เอ่อ... แฮะๆๆ (หัวเราะแห้งๆ) พวกเราไม่ต้องทำอะไรถึงขนาดนั้นก็ได้ แค่หาสมาชิกชมรมใหม่อีกคนเอง... เมฆทำได้อยู่แล้วใช่มั้ย"
"อืมๆทำได้อยู่แล้ว" เมฆตอบรับ
"--ขอขัดจังหวะอะไรบางอย่าง-- --เรื่องสเกาท์สมาชิกชมรมคนใหม่น่ะ-- --ชั้นขอช่วยด้วยจะได้มั้ย-- --เรื่องคอมโพสดนตรีน่ะ-- --ไม่ได้ยากขนาดนั้น-- --ไว้ใจได้-- --บางทีเมฆซังอาจจะ-- --ต้องการคนที่เป็นผู้หญิง-- --แนะนำ--"
ซาโกะเสนอตัวเองขึ้นมาเพื่อขอแบ่งเบาหน้าที่สมาชิกใหม่อย่างเมฆ ซึ่งกุ๊งกิ๊งก็ตอบตกลง
"บ้าไปแล้ว ! อย่างเธอน่ะจะไปช่วยอะไรเมฆเค้าได้ ผู้หญิงไทยกะผู้หญิงญี่ปุ่นทั้งวิธีคิด ความชื่นชอบและก็ไลฟ์สไตล์น่ะแตกต่างกันลิบลับเลยนะ ต้องให้ผู้หญิงที่มีประสบการณ์เรื่องพรรค์นี้อย่างชั้นช่วยสิถึงจะถู----!"
"---เธอน่ะต้องมาช่วยชั้นแต่งเนื้อเพลงกับคิดท่าเต้นเซี๊ยะ!" ไม่ทันที่สาวผมแดงจะพูดจบเธอก็โดนกุ๊งกิ๊งเข้ามาปิดปากและล็อคแขนล็อคคอเอาไว้ไม่ให้พูดอะไรอีก
"แอ้กก แอ้กก แอ้กก !! ท--ทำไมวันนี้ชั้นถึงโดนรุมเล่นงานอยู่คนเดียวกันล่ะเนี่ย ! ?" เซี๊ยะร้องเสียงหลงออกมาพร้อมกับพยายามดิ้นรนให้หลุดจากท่า {CrossFaceCHICKENWING!} ที่กุ๊งกิ๊งกำลังใส่อยู่ด้วยและระหว่างนั้นเอง รันก็พึ่งกลับออกมาจากห้องน้ำพอดี
สาวผมสั้นเมื่อเดินมาถึงที่โต๊ะก็ถามขึ้นมาก่อนเลยว่า "รันกลับมาแล้ว ! สรุปมีงานอะไรที่รันต้องทำเป็นพิเศษมั้ย ?"
กุ๊งกิ๊งตอบกลับไปทั้งๆที่กำลังใช้ท่า {CrossFaceCHICKENWING!} อยู่ "อ๋ออ ในส่วนของรันน่ะก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ดีไซน์ชุดในธีมของวันคริสมาสต์ต่อไปนั่นแหละ ส่วนเรื่องเย็บปักถักร้อยอะไรก็ต้องขอฝากด้วยนะ เชื่อใจรันอยู่แล้ว ฮิฮิ" เธอยิ้มส่งกำลังใจให้กับรันหลังพูดจบ
"อื้ม ! เชื่อมือได้เลย"
"อ้อๆๆ แล้วก็ช่วยหาเวลามาซ้อมเต้นกับพวกเราด้วยนะ เพราะรันจะต้องขึ้นแสดงในงานวันคริสมาสต์ด้วย นี่น่ะถือว่าเป็นเวทีเดบิ้วต์สมาชิกใหม่อย่างรันเลยนะ..." สาวผมบลอนด์พูดต่อ
"หืมม... เดบิ้วต์เลยงั้นหรอ" รันขานรับขึ้นมาอย่างไม่ได้คิดอะไรเพราะกำลังเพ่งความสนใจไปที่แบบดีไซน์ซึ่งอยู่บนหน้าจอแท็บเล็ตอยู่
"เอ๊ะ... เดบิ้วต์ ?" ทว่าท้ายที่สุด ดูเหมือนจะมีคำพูดอะไรบางอย่างที่ไปสะกิดเข้าที่สมองของเธอ
"อื้ม ช่าย เดบิ้วต์" กุ๊งกิ๊งก็ทวนคำพูดให้กับรัน เธอค่อยๆปล่อยเซี๊ยะออกจากท่าล็อคแขนล็อคคอ ซึ่งทางด้านซาโกะก็ดูเหมือนอยากจะแกล้งสาวผมแดงคนนี้อีกจึงมารับช่วงต่อด้วยกับจับใส่ท่า {CrossFaceCHICKENWING!} ซ้ำอีกรอบนึง...
ส่วนทางด้านรันก็ยังคงทวนคำพูดที่ติดอยู่ภายในหัวของตัวเองต่อไปว่า... "เดบิ้วต์... ซ้อมเต้น... ขึ้นแสดง..."
"ช่าย เดบิ้วต์ ซ้อมเต้น แล้วก็ขึ้นแสดง" กุ๊งกิ๊งเองก็ดูเหมือนจะไม่มีความคิดที่จะขยายความอะไรให้กับรัน เธอก็ได้แต่พูดซ้ำในสิ่งที่สาวผมสั้นพูดอยู่อย่างนั้น
"นี่รันต้อง... นี่รันต้องขึ้นแสดงด้วยหรอเนี่ยย !!!"
"ใช่"
"เเเเเเเเฮ๋ !!! ???"
"นี่เธอไม่รู้มาก่อนหรอเนี่ย ! ? เเเเเเเฮ๋ !!! ???"
จู่ๆสถานการณ์ก็พลิกผันกลายเป็นความช็อคของหญิงสาวทั้งสองคน รันเข้าใจผิดมาตลอดเนื่องจากเธอนึกว่าเธอมาเป็นแค่คนจัดการเรื่องคอสตูมเฉยๆไม่ต้องขึ้นแสดงบนเวทีด้วย ส่วนกุ๊งกิ๊งก็มโนไปเองว่าสมาชิกใหม่ของเธอรู้บทบาทของตัวเองหมดทุกอย่างแล้ว
"นี่เธอเป็นประธานชมรมภาษาอะไรกันเนี่ยกุ๊งกิ๊ง ! ? รับสมัครคนเข้ามาทำไมถึงไม่เคลียร์ให้รู้เรื่องก่อนว่าต้องขึ้นแสดงด้วย" เซี๊ยะที่โดนซาโกะล็อคแขนล็อคคออยู่นั้นตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ๆ
"--เงียบไปเลยเด็กไม่ดี--" ซาโกะศอกไปที่หน้าผากของเซี๊ยะก่อนที่จะรัดแน่นกว่าเดิม
"นี่ชั้นทำอะไรผิดเนี่ย ! ?" เซี๊ยะร้องลั่นออกมา
ส่วนทางด้านของรัน หน้าของเธอเริ่มซีดลงก่อนที่จะตาลายเป็นก้นหอยทาก เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนละทวยว่า
"ห--เห้อออ...รันขอแกล้งเป็นลมไปซักพักก่อนละกัน ไปล่ะ แอกกก" รันทำเป็นพลิกคอตัวเองแล้วก็แลบลิ้นและทำตาค้างแบบคนสิ้นใจ
"รันนนนนนนนนนนนน !!" กุ๊งกิ๊งที่เห็นดังนั้นจึงคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อ เธอจึงได้แต่ตะโกนชื่อของรันขึ้นมา
สถานการณ์ภายในร้านกาแฟเริ่มที่จะวุ่นวาย เมฆที่เห็นความปั่นป่วนของสาวๆชมรมไอด้อลนี้ก็เริ่มที่จะคิดหนักแล้วว่าตัวเขาตัดสินใจถูกหรือไม่ที่เลือกสมัครเข้ามาเป็นผู้จัดการของชมรมๆนี้ เพราะการที่จะต้องรับมือกับสาวๆจอมเพี้ยนและบ้าบอทั้งสี่คน มันคือการยัดปูใส่กระด้งชัดๆ
ระหว่างที่ทุกๆอย่างกำลังปั่นป่วนวุ่นวายอยู่นั้นเอง เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านก็ดังขึ้นมา
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง...
นักเรียนสาวทั้งสี่นิ่งลงทันที พร้อมกับหยุดทำกิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความปัญญาอ่อนของพวกเธอและกลับมานั่งที่ด้วยกิริยาที่สงบเสงียมเนื่องจากมีลูกค้าคนใหม่เข้ามา
ลูกค้าผู้หญิงคนนั้น... เป็นนักเรียนสาวม.ปลายอยู่ในชุดเครื่องแบบโรงเรียนรัมภานาราสมุทร รูปร่างไม่เตี้ยไม่สูง หุ่นดูสุขภาพดีไม่ผอมแห้งจนเกินไป เส้นผมสีดำของเธอแลดูมีน้ำหนักและยาวลงมาปรกที่หน้าผากเห็นเป็นหน้าม้าบางๆเล็กน้อยส่วนผมด้านหลังยาวลงไปถึงกลางหลัง ดวงตากลมรีสีม่วงเม็ดมะปรางดูมีน้ำหนักให้ความรู้สึกหนักแน่นและแข็งแกร่งแต่ก็แอบซ่อนความอ่อนโยนและบอบบางอยู่ภายในนั้น โครงหน้ายาวแต่ก็มีแก้มนุ่มนิ่มเต่งตึงน่ารักน่าหยิกอยู่ทั้งสองข้าง หน้าตาชวนให้นึกถึงชาวไทยทางภาคเหนือซึ่งอีกจุดเด่นอย่างหนึ่งของเธอก็คือผิวที่ขาวเนียนดูเป็นธรรมชาติประดุจเนื้อไข่มุก มันไม่ได้ขาวซีดแบบผีจูออนอย่างซาโกะอีกทั้งยังไม่ได้ขาวหมวยอมชมพูเกาหลีแบบเซี๊ยะ และก็ไม่ได้ขาวแบบฝรั่งอย่างกุ๊งกิ๊งหรือเป็นสีแทนแบบของรันอีกด้วย เนื้อผิวของเธอนั้นเป็นแบบของคนไทยทางภาคเหนือแท้ๆหรือที่เรียกว่าสวยแบบธรรมชาติ
ใบหน้าของหญิงสาวค่อนข้างบึ้งตึงไร้ซึ่งรอยยิ้มและไร้อารมณ์ แต่ถึงอย่างงั้นรัศมีออร่าแห่งความสวยก็ยังคงแผ่ออกมาไม่เบา ซึ่งสาวๆสัมผัสได้
'เธอคนนี้ล่ะ... ที่จะเข้ามาเป็นเมมเบอร์คนที่ห้าของชมรมเรา'
...
...
...
...
ดิ๊ง ด๊อง...
เสียงกริ่งดังออกมาจากภายในบ้าน
เบื้องหน้าของหญิงสาวทั้งสองคนคือคฤหาสน์หลายชั้นหลังใหญ่ซึ่งรายล้อมไปด้วยสวนย่อมขนาดกลาง บริเวณด้านหน้ามีพื้นหญ้าสีเข้มปูสลับกับแผ่นกระเบื้องเป็นตารางหมากรุก เพียงแค่มองจากด้านนอกรั้วเหล็กที่มีลวดลายแบบยุโรปก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ต้องมีฐานะร่ำรวยไม่เบา ...ภายในนั้นมีทั้งศาลากลางสวน พุ่มไม้แกะสลัก บ่อน้ำพุที่มีรูปปั้นม้าสีขาวและของประดับตกแต่งราคาสูงอีกมากมาย
สองสาวที่กำลังยืนกดกริ่งอยู่หน้าประตูรั้วก็คือมิวสภานักเรียนสาวซึ่งมาพร้อมกับเพื่อนเก่าของเธออย่างธารา โดยพวกเธอต่างอยู่ในชุดไปรเวทของตัวเอง มิวยังคงแต่งตัวราวกับเป็นตุ๊กตาที่หลุดออกมาจากเทพนิยายเหมือนเดิม ส่วนธาราสาวสวยผมดำแกมม่วงผู้มีรูปร่างผอมนั้นแต่งตัวง่ายๆแต่ก็ดูมิดชิดและเป็นผู้ใหญ่ โดยเธอใส่เสื้อโค้ทคอปกคลุมเสื้อยืดคอกว้างตัวยาวและกางเกงขายาวรัดรูปคุมโทนทุกๆอย่างให้เป็นสีดำ โดยจะมีแต่รองเท้าผ้าใบที่เป็นสีขาวและริบบิ้นสีแดงผูกบนศีรษะ
เมื่อก่อนทั้งสองเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน และในวันนี้มิวได้ชวนให้เพื่อนเก่าของเธอมาเยี่ยมคฤหาสน์หลังหนึ่งที่เป็นอีกหนึ่งในความทรงจำของพวกเธอ
...ความทรงจำของพวกเธอสองคน...และเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้...
กรึก...
ประตูรั้วเหล็กค่อยๆเปิดออกมาเองเป็นสัญญาณเชื้อเชิญให้ทั้งสองเดินเข้าไป
...ก่อนที่มันจะปิดลงด้วยตัวของมันเองอีกครั้ง
บนพื้นหญ้าที่ปูด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนเป็นทางเดินทอดยาวไปยังประตูทางเข้าบานยักษ์ สิ่งที่ขนาบข้างหญิงสาวทั้งสองคือทุ่งดอกกุหลาบสีแดงสด ซึ่งในวันที่แสงอาทิตย์ถูกปิดบังด้วยก้อนเมฆมืดครึ้มและท้องฟ้าปรากฏเป็นสีเทา ออร่าแห่งความสวยงามและลึกลับของมันจะยิ่งเปล่งปลั่งออกมาจนเห็นได้ชัดเฉกเช่นเสน่ห์ที่น่าค้นหาของสตรี ...ซึ่งแน่นอนว่าขวากหนามและพิษภัยที่ซ่อนอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
นอกจากทุ่งดอกไม้อันแสนเย้ายวนสายตาและช่วยโฉลมจิตใจแล้ว ก็ยังมีต้นโอ๊คขนาดใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าโล่ง ทว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวหากแต่เป็นต้นโอ๊คแฝดที่ตั้งอยู่ข้างๆกันโดยมีเปลผ้าและเชือกผูกชิงช้าเชื่อมอยู่ระหว่างต้นไม้สองต้นนี้ ราวกับเป็นสายใยสัมพันธ์เชื่อมระหว่างกันและกัน
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปถ้าได้เดินเข้ามาเห็นความหรูหราและความสวยงามอลังการทั้งของพืชพันธุ์ธรรมชาติและสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตกแบบนี้ก็คงจะต้องหลงใหลและตกหลุมรักมันพร้อมกับพร่ำเพ้อพรรณนาว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ท่ามกลางวิมานในฝันเป็นแน่...
ทว่าไม่ใช่กับหญิงสาววัยแรกแย้มสองคนนี้ มิวและธาราต่างเดินขนาบข้างเคียงคู่กันมาด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยราวกับภูผาเพราะเมื่อครั้งอดีตทั้งสองเคยก้าวผ่านรั้วประตู ทุ่งกุหลาบหรือแม้กระทั่งต้นโอ๊คแฝดเหล่านั้นมาแล้ว
มิวเดินนำธาราไปยืนอยู่ด้านหน้าประตูพร้อมกับยกที่เคาะประตูเคาะเป็นเสียงก๊อก ก๊อก ก๊อก ประตูไม้ที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นเรียกได้ว่ามีขนาดมหึมาและน่าจะมีอายุมากพอๆกับตัวคฤหาสน์หลังนี้ ทันทีที่สิ้นเสียงเคาะประตู เสียงกลอนและลูกบิดก๊อกแก๊กที่อยู่หลังประตูบานนั้นก็ปรากฏขึ้นตามมา ก่อนที่จะมีคนผลักประตูออกมาจากด้านใน
เธอคนนั้นคือสาวน้อยร่างเล็กที่อยู่ในเสื้อยืดลายฟ้าขาวหลวมๆ กางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงินและมีแจ๊คเก็ทสีตานกเป็ดน้ำคลุมอยู่ด้านนอก ผมสีเทาเปลือกไม้ที่สั้นเพียงประบ่าของเธอกำลังกระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงราวกับคนพึ่งตื่นนอนทั้งๆที่ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ที่มือของสาวน้อยกำลังถือถุงมันฝรั่งกรอบเอาไว้อยู่ แววตาของเธอดูงัวเงียแบบคนตากำลังจะปิดจนทำให้แทบไม่เห็นลูกตาดวงน้อยๆสีเขียวซีดของเธอ ทั้งสภาพและใบหน้าของเธอในตอนนี้ไม่ค่อยจะดูรับแขกเสียเท่าไหร่
"เอ๊ะ... เดี๋ยวนี้ยัยนั่นเอาญาติที่อยู่เมืองนอกมาอยู่ด้วยแล้วหรอเนี่ย" ธาราพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบห้าวของเธอ นัยน์ตาสีม่วงจิกขวางไปที่สาวน้อยผมสีเทาคนนั้น อันเป็นท่าทีปกติของหญิงสาวที่มักจะทักทายใครอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรเสียเท่าไหร่
แต่ดูเหมือนว่าสาวน้อยซึ่งยืนอยู่หลังประตูนั้นจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ธาราพูดซักเท่าไหร่หรืออาจจะเป็นเพราะพึ่งจะตื่นนอนจริงๆจึงทำให้เธอได้แต่พูดว่า "แอ๊ะ ?" ออกมา
มิวเมื่อเห็นคนแปลกหน้าอยู่ใต้หลังคาคฤหาสน์หลังนี้ ชั่วพริบตาแรกเธอก็รู้สึกแปลกใจไม่เบาแต่หญิงสาวก็ตั้งสติได้ก่อนจะค่อยๆนึกและทันใดนั้นเองเธอก็รู้ว่าผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังของบานประตูเป็นหนึ่งในเด็กนักเรียนโรงเรียนรัมภานาราสมุทร ซึ่งขึ้นบัญชีว่าเป็น'เด็กหนีเรียน'และตกเป็นเป้าหมายตามล่าของสภานักเรียนอยู่ ณ ตอนนี้
แต่จุดประสงค์ที่เธอมาในวันนี้ไม่ใช่มาเพื่อตามหาเด็กหนีเรียน เธอแค่อยากจะพาเพื่อนเก่าของเธอมาเยี่ยมกับอดีตเพื่อนสนิทอีกหนึ่งคน ซึ่งนั่นก็คือหญิงสาวผู้ที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ ทว่าตอนนี้เธออยู่ไหนกัน…
"ช่ายแล้ว... ชั้นเป็นญาติของโรสเอง พวกเธอสองคนเปนครายกาน ?" สาวน้อยที่อยู่หลังบานประตูถามออกมาด้วยน้ำเสียงลากยาวแบบคนกำลังง่วงนอน ดูเหมือนว่าการมาของทั้งสองจะเป็นการเข้ามารบกวนเวลานอนของเธอ
"พวกชั้นเป็นเพื่อนของโรสสรินทร์ ว่าจะมาขอเยี่ยมซักหน่อยน่ะ ไม่ทราบว่าวันนี้เธออยู่มั้ย ?" สาวผมขาวถามสาวน้อยผมสีเทาไป เมื่อได้ยินดังนั้นเธอจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงลากยาวๆขี้เกียจๆของเธออีกครั้งว่า
"โรสงั้นหรอ... งึมงำงึมงำงึมงำ... ห--หาาาาวววว--" สาวน้อยยังไม่ทันจะได้พูดจบเธอก็หลุดหาววอดใหญ่ออกมาซะก่อนพร้อมกับขยับปากเป็นเสียงแจ็บๆ
แต่ทว่าระหว่างนั้นเอง ก็มีหญิงสาวรูปร่างสูงในชุดเดรสสีดำระบายสีเหลือง ถุงน่องสีดำรองเท้าส้นสูงปรากฏตัวขึ้นมาจากด้านหลังสาวผมเทา ชุดของเธอนั้นทำด้วยเนื้อผ้าราคาแพงและตัดมาให้เข้ากับรูปร่างพอดีนอกจากนั้นยังมีดอกป๊อปปี้สีฟ้าประดับอยู่ตรงอกกับชายกระโปรงอีกด้วย ผมของเธอเป็นสีเหลืองทองนัยน์ตาสีครามเข้มแบบชาวตะวันตกและมีที่คาดผมสีดำ จากการแต่งกายที่ดูมีฐานะและให้เกียรติสถานที่แบบนี้ ชัดเจนว่าเธอคนนี้ก็คือทายาทเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้นั่นเอง
เธอผู้ดูสูงศักดิ์คนนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึกและฉะฉานแต่ด้วยเพียงน้ำเสียงที่แผ่วเบาก็สามารถก้องกังวานไปทั่วหลังคาเรือน...
"พวกเธอมีธุระอะไรกันงั้นหรือ ?"
...
...
หลังจากที่โรสผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ต้อนรับแขกเสร็จเธอก็เชิญให้ทั้งสองนั่งลงบนโซฟาหนังสีแดงก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในครัวหลังคฤหาสน์
ระหว่างรอ มิวนั้นนั่งอยู่ที่โซฟาอย่างสงบเสงี่ยมในขณะที่ธาราลุกขึ้นมาเดินชมของประดับตกแต่งต่างๆภายในบ้าน เธอเดินผ่านรูปปั้นของที่ระลึกจากต่างประเทศ กรอบรูปราคาแพง แจกันราชวงศ์จีนซึ่งของเหล่านี้ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก บางชิ้นอาจจะดูเป็นของเล็กๆน้อยๆทว่าเธอก็รู้ดีว่าบางอย่างนั้นมีมูลค่ามากกว่าทรัพย์สินภายในบ้านของเธอรวมกันเสียอีก
ส่วนทางด้านของสาวน้อยผมสีเปลือกไม้ ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปสวมฮู้ดดี้สีเทาและนั่งเล่นเกมเพลย์สเตเดี้ยม 5 อยู่หน้าทีวีจอโค้งซึ่งระบบที่เธอเล่นเป็นระบบรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งพัฒนามาจากเพลย์สเตชั่น ปัจจุบันยังไม่เข้าไทยแต่อันนี้เธอสั่งซื้อมาจากต่างประเทศ โดยสาวตัวเล็กคนนี้ดูเหมือนจะติดเกมพอสมควรเพราะดวงตาของเธอจดจ้องอยู่แต่กับหน้าจอทีวีอย่างแทบไม่กระพริบ เธอไม่สนใจคนรอบข้างและราวกับว่ากำลังหลุดเข้าไปอยู่โลกของเกม
ซักพักได้ไม่นาน โรสก็กลับมาจากครัวพร้อมกับถาดคุ้กกี้ที่พึ่งอบเสร็จใหม่ๆและมืออีกข้างหนึ่งก็ถือถาดชุดน้ำชาสไตล์ยุโรปวินเทจ เธอค่อยๆวางถ้วยน้ำชาลงโต๊ะหรูข้างๆโซฟาที่เพื่อนเธอนั่งอยู่ ก่อนที่จะรินชาฝรั่งร้อนๆควันฟุ้งกลิ่นพร้อมกับยื่นให้แขกผู้มาเยือนคนละถ้วย
มิวรับถ้วยน้ำชานั้นไว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ เธอค่อยๆยกถ้วยช้านั้นขึ้นมาและค่อยๆจิบอย่างผู้ดี ในขณะที่ทางด้านของธารา...
"ไม่ดื่ม... เธอรับกลับไปเถอะ" ทางด้านของสาวผมดำกลับปัดถ้วยน้ำชาออกพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างและไม่รักษาน้ำใจของเจ้าของคฤหาสน์
"เน้ธารา... เสียมารยาทน่า" มิวพูดขึ้นมาเบาๆพลางจิกตาไปที่อดีตเพื่อนสาวระหว่างที่กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอยู่
โรสที่กำลังยืนอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่เก็บซ่อนความซ่อนคลอนอยู่ว่า
"...นั่นสิ คนเค้าอุตส่าห์ชงมาให้"
ธาราไม่ได้สนใจอะไร เธอได้แต่นั่งไขว่ห้างและหันหน้าไปทางอื่นแบบคนที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ บรรยากาศภายในห้องรับแขกถูกกลบไปด้วยความเงียบ กลายเป็นการพบกันที่เริ่มต้นด้วยสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกราวกับต่างคนต่างไม่มีอะไรจะพูดกัน ทั้งๆที่ในใจมีหลายอย่างที่อยากจะพูด เสียงเกมจากทีวีที่สาวในเสื้อฮู้ดดี้กำลังเล่นอยู่ยังคงดังเข้ามาเรื่อยๆแต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศคลายความตึงเครียดลงแต่อย่างใด และในขณะนั้นเองโรสก็หันไปพูดว่า
"ฟีลออกไปเล่นเกมข้างนอกได้ไหม"
'ฟีล'สาวน้อยที่เข้ามาอาศัยอยู่กับโรสเมื่อได้ยินดังนั้นจึงค่อยๆออกจากเกมและปิดหน้าจอทีวี เธอเก็บจอยไร้สายของเธอให้เข้าที่และเดินคอตกออกจากบริเวณนั้นพร้อมกับพูดไปพลางๆระหว่างเดินด้วยน้ำเสียงเบื่อๆเซ็งๆหน้าละห้อยว่า
"เห้อออ ! น่าเบื่อจริงๆเลย โดนสั่งให้หยุดเล่นเกมอีกแล้ว..."
"วันนี้เธอเล่นติดต่อกันมา 14 ชั่วโมงแล้วนะ" โรสตอบกลับไปเสียงแข็ง
"อ๊ะ ! ไม่จริงๆ เมื่อกี้ชั้นออกไปเปิดประตูให้คุณ เพราะฉะนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการเล่นติดต่อกันแล้ว" ฟีลเถียงกลับมาหน้าตาเฉยและกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่ทันใดนั้นเองเธอก็นึกได้ว่าลืมตุ๊กตากระต่ายที่วางไว้อยู่ที่พื้น สาวน้อยจึงรีบวิ่งกลับไปเก็บและค่อยๆลากมันออกนอกห้องไป
โรสไม่ต่อปากต่อคำต่อ เธอหันกลับไปมองหน้าอดีตเพื่อนสาวทั้งสอง
"ที่มาวันนี้ต้องการอะไร รีบๆพูดมา" หญิงสาวไม่รอช้า เธอบอกให้เพื่อนของเธอเริ่มเข้าประเด็น
มิวเมื่อได้ยินดังนั้นจึงลดถ้วยน้ำชาลงและวางมันลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล เธอลืมตาขึ้นมา...และพูดว่า
"เธอยังหนีเรียนอยู่เลยนะโรส ไม่คิดจะกลับมาเข้าเรียนหน่อยหรอ" น้ำเสียงของมิวดูนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความเป็นห่วงทว่าธาราที่ได้ยินดังนั้นกลับเบะปากและแอบสบถกับตัวเองเบาๆว่า "เหอะ...ที่นัดมาก็เพื่อให้มาคุยกะอีเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ เบรอะะะะ"
"นั่นไม่ใช่ธุระจริงๆของเธอ ชั้นรู้ ...บอกมาเถอะว่าอุตส่าห์มาถึงที่นี่เธอต้องการอะไร" แต่โรสนั้นเหมือนจะรู้ทันว่ามิวแค่พยายามหาจังหวะเปิดเรื่องด้วยการไถ่ถามเรื่องจิปาถะ ถึงแม้ว่าจะจริงๆแล้วเรื่องหนีเรียนจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆก็ตาม
"เรื่องหนีเรียนอาจจะไม่ใช่จุดประสงค์ที่ชั้นมาที่นี่จริงๆแหละนะ ...แต่ว่าในฐานะสภานักเรียน ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอยู่ดี รีบๆบอกชั้นมาเถอะชั้นจะได้เข้าเรื่องจริงๆซักที" มิวบอกกลับไปตามตรง เมื่อโรสได้ยินดังนั้นเธอจึงตอบตามความจริงเช่นกันว่า
"...ชั้นจะไม่กลับไปเรียนที่นั่นอีกแล้วล่ะ"
"..." ธาราที่นั่งเงียบๆอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็พลันสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย
"เอ๊ะ ?" มิวเอ๊ะออกมา เหมือนเธอจะยังไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยิน
"เธอว่ายังไงนะ ?" เธอถามซ้ำอีกครั้ง เพื่อย้ำสิ่งที่เธอได้ยิน
"ใช่ เธอได้ยินไม่ผิดหรอก ชั้นจะไม่กลับไปที่รัมภานาราสมุทรอีกแล้วเพราะชั้นกำลังจะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ครอบครัวของชั้นเตรียมที่จะดึงตัวชั้นกลับไปอยู่แล้ว ทุกๆอย่างพร้อม ทั้งโรงเรียน ที่อยู่อาศัย ต่อจากนี้เธอก็ไม่ต้องมาถามเรื่องนี้กับชั้นอีกแล้วนะ" สาวผมทองประกาศชัด ว่าเธอกำลังจะจากโรงเรียนนี้ เมืองนี้และประเทศนี้ไปยังที่ที่แสนไกล ซึ่งมิวคงจะไม่มีวันได้เจอเธออีก
"ด--เดี๋ยวก่อนสิ... นี่เธอยังไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินใช่มั้ย ทำไมไม่บอกกันก่อนเลยล่ะ..." มิวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นระรัว สาวน้อยพยายามเก็บอาการเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจกลั้นหยดน้ำตาที่กำลังคลอออกมา
ธาราที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เธอจึงเปลี่ยนมานั่งตัวตรงๆพร้อมกับจับตามองสิ่งที่ทั้งสองคนกำลังจะพูดต่อ เธอเองก็แทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่สาวผมทองพูด
"ไฟลท์เดือนกุมภา จองตั๋วไว้ล่วงหน้าแล้ว..." โรสตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยแตกต่างจากทางด้านของมิว ที่ตอนนี้บนใบหน้าของเธอกำลังสั่นคลอน
แม้แต่ธาราที่ดูเหมือนจะเย็นชากับทุกๆสิ่ง แต่เมื่อได้ยินว่าเพื่อนเก่าของเธอจองตั๋วเครื่องบินและเตรียมที่จะไปจากเมืองๆนี้แล้วก็ตาเบิกโพลนออกมาเหมือนกัน เธอเองก็ใจหายไม่เบา
สภานักเรียนสาวค่อยๆตั้งสติ เธอพยายามสงบความรู้สึกของตัวเองลงด้วยการยกชาขึ้นมาจิบเพื่อให้ผ่อนคลาย โรสเมื่อเห็นดังนั้นก็นั่งเฉยๆไม่ได้ออกอาการอะไรต่อ
เมื่อตั้งสติได้มิวก็กลับมานั่งตัวตรงดังเดิม เธอตั้งมั่น ค่อยๆหายใจเข้าหายใจออกพร้อมกับลืมตาจ้องไปที่ดวงตาของสาวผมทองที่อยู่ข้างหน้าก่อนที่จะค่อยๆพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มๆอีกครั้งว่า
"...นี่โรส ชมรมของเราน่ะกลับมาอีกครั้งแล้วนะ"
"งั้นเหรอ..."
สาวผมทองตอบรับด้วยสีหน้าที่ดูเฉยเมย บ่งบอกชัดเจนว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันเลย
"ใช่ ! ชมรมโรงเรียนไอด้อลของเราน่ะ ได้สมาชิกใหม่มาตั้งสามคนแน่ะ แต่ละคนมุ่งมั่นกันมาก... นี่ !! พวกเธอได้ขึ้นไลฟ์ครั้งแรกในงานอีเว้นท์ของโรงเรียนเราด้วยนะ" มิวยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้กับโรสซึ่งมันกำลังเล่นวิดีโอการแสดงของสมาชิกชมรมโรงเรียนไอด้อลหรือ เซี๊ยะ กุ๊งกิ๊งและซาโกะ อยู่ ทว่าโรสไม่ยอมมองมัน เธอยังคงสบตากับมิวค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะหลับตาลงและค่อยเอนหลังไปพิงเบาะโซฟา
"อืม... แล้วไง ?" ดูเหมือนว่าโรสจะไม่ได้แยแซสิ่งที่มิวพยายามจะให้ดูเลยแม้แต่น้อย มิวที่พยายามจะยิ้มสู้แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาอันเฉยชาของโรสแล้ว รอมยิ้มบนใบหน้าของเธอ ก็หายไป
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม...
แตะ...
เธอเอื้อมมือไปคว้ามือของโรสเอาไว้ เธอจับมันก่อนที่จะกำมันไว้แน่น นิ้วทั้งห้านิ้วประสานเข้าหากันหรือที่เรียกว่าการจับมือแบบประสานนิ้ว... โรสมองดูมือขวาของมิวที่กำลังสอดประสานกับมือซ้ายของเธอด้วยแววตาที่เรียบเฉยราวกับว่าไม่ได้มีความรู้สึกอะไร
แต่ถึงอย่างนั้นมิวพูดต่อว่า...
"ชั้นอยากให้โรสน่ะ...กลับมาทำกิจกรรมชมรมกับพวกเราอีกครั้งนะ อดีตที่เคยทำพังของพวกเรา... ตอนนี้น่ะ มีคนมาสานต่อแล้ว ชั้นอยากให้พวกเราทั้งสามคนกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง... ความฝันของพวกเราน่ะ ตอนนี้ได้โอกาสที่จะดำเนินต่อแล้วนะ เธอลืมทุกอย่างไปหมดแล้วหรอ ?"
น้ำเสียงที่สั่นระรัวปนเสียงหลงเสียงแว่วออกมาจากปากของมิว แต่ถึงอย่างงั้นโรสก็ยังคงนิ่งดูดายก่อนที่จะตอบกลับไปอีกครั้งว่า
"ไม่ล่ะ..." เธอพูดสั้นๆ
"เอ๊ะ..." ดวงตาของมิวเริ่มที่สั่นคลอน
"ชั้นพอแล้วกับเรื่องอย่างนั้น มันไม่ใช่ความฝันของชั้นอีกต่อไปแล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะ..."
"...และก็ใช่...ชั้นลืมมันไปทั้งหมดแล้ว" เธอค่อยๆคลายมือของเธอออก...
"... ...."
เมื่อโรสลั่นวาจาออกไป มิวก็พูดอะไรต่อไม่ออก คำพูดที่ออกมาจากปากของเธอติดๆขัดๆไม่เป็นภาษา ธาราเมื่อเห็นดังนั้นก็ยังคงได้แต่มองเฉยๆด้วยสายตาที่ไม่สบายใจ แต่เธอก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา ทว่าทันใดนั้นเอง
หยดน้ำตาก็เริ่มไหลรินออกมาบนใบหน้าของสาวผมขาว ธาราเหลือบไปมองด้วยความตกตะลึง เมื่อเธอเห็นดังนั้นจึงทนเห็นสภาพของมิวไม่ไหว เธอลั่นวาจาขึ้นมาว่า...
"นี่ ! เธอพูดจาพล่อยๆออกมาแบบนี้ได้ยังไง ! ?" เธอพูดประโยคสั้นๆ ทว่าเต็มไปด้วยพลังราวกับปล่อยความโกรธออกมาพร้อมๆกับคำพูด ...โรสเมื่อได้ยินดังนั้นจึงยังไม่พูดอะไร เธอนั่งนิ่งเฉยๆ ธาราพูดต่อไปว่า
"ลืมทุกอย่างไปหมดแล้วหรอ...? อ๋อ... เป็นเพราะว่าหนึ่งปีที่เธอไปเป็นไอด้อลวง 84 แล้วก็โดนคนเค้าเฉดหัวออกมาเพราะสันดานเลวๆของเธอมันทำให้เธอประสาทเสียแล้วก็กลายเป็นบ้าจนสมองเน่าๆของเธอความจำเสื่อมไปแล้วสินะ !"
“หรือไม่ก็อาจจะเกิดปมที่รุนแรงภายในจิตใจ จนสมงสมองลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับไอด้อลไปหมดแล้ว !”
สาวผมดำระเบิดคำพูดที่มาจากอารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบ ทว่าเนื้อหาในนั้นมันร้ายแรงเสียจนคนที่กำลังรับรู้มันอดทนอดกลั้นไม่ไหว โรสลุกขึ้นมาพร้อมกับพุ่งตรงไปที่ตัวของสาวผมบลอนด์ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา และทันใดนั้นเอง
ฟวับบ !
...
...
เสียงฝ่ามือกระทบกับอากาศ มิวลุกขึ้นมาคว้ามือของโรสเอาไว้ได้ทันและห้ามปรามหญิงสาวทั้งสองพร้อมกับยับยั้งไม่ให้เกิดการปะทะกันอย่างที่มันกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้ว
รูปร่างของมิวนั้นเตี้ยและก็ตัวเล็กกว่าทางด้านของโรสอยู่เยอะ แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็เข้าไปดันตัวของโรสเอาไว้ เธอรั้งไม่ให้เพื่อนเก่าทั้งสองของเธอทำร้ายกันเอง ...เพื่อนเก่า ผู้มีความสำคัญ
ส่วนทางด้านของธารานั้นไม่ได้ทำอะไร เธอยังคงอยู่ในท่านั่งเพียงแต่ว่าบนใบหน้าของเธอนั้นซีดไม่ต่างอะไรจากคนที่กำลังช็อค สาวผมดำไม่คิดว่าคำพูดของเธอนั้นจะยั่วยุจนอดีตเพื่อนร่วมชมรมโรงเรียนไอด้อล ที่เคยซ้อมเต้น ซ้อมร้องเพลงกันมานานอย่างโรสจะพุ่งเข้ามาทำร้ายเธอแบบนี้ เธอยังคงตั้งตัวไม่ทัน
มิวที่กำลังคว้ามือของโรสเอาไว้ก้มมองลงไปที่พื้น เธอไม่มองตาของโรสเพราะไม่อยากให้เพื่อนเก่าเห็นใบหน้าที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตาแบบในตอนนี้ สาวผมขาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาปนสะอึกสะอื้นเล็กน้อยว่า
"หยุดแค่นี้นะทั้งสองคน... อย่าทำร้ายกันเลยนะ"
ทว่าหญิงสาวที่ถูกรั้งตัวไว้อยู่กลับตะโกนข้ามตัวเธอไป เธอลั่นวาจาออกไปทั้งน้ำตา
"คนอย่างเธอยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องลืมหรือไม่ลืมอีกงั้นหรอ ! เธอกล้าด่าชั้นอย่างนี้ แสดงว่าตัวเองคงจำไม่ได้เลยสินะว่าเคยทำอะไรไว้บ้าง !"
"ช--ชั้นน่ะหรอที่เป็นคนจำอะไรไม่ได้ ! เธอเองต่างหากล่ะที่ทอดทิ้งพวกเราทุกคนไป แล้วก็หนีไปเป็นไอด้อลอยู่คนเดียว ไหนบอกว่าจะก้าวไปพร้อมๆกันไง ! เธอเองนั่นแหละที่เป็นคนปล่อยมือพวกเราทั้งสามคนแล้วทุกๆอย่างมันก็กลายมาเป็นแบบนี้ !" ธาราที่นั่งอยู่ก็ระเบิดอารมณ์และตะคอกใส่หญิงสาวเหมือนกัน
"งั้นหรอ... ชั้นเองน่ะหรอที่หนีไปตัวคนเดียว ? ชั้นน่ะหรอที่ทอดทิ้งทุกคน เป็นเพราะเธอเองต่างหากที่บอกกับตัวเองว่า'ควรพอได้แล้ว' เธอเป็นคนพูดออกมาด้วยตัวเองไม่ใช่หรอ ! ? หลังจากนั้นเธอก็ปล่อยชมรมให้รกร้าง เน่า ทิ้ง ไม่มีคนอยู่---อ่ออ ไม่สิๆ เธอยังคงฝากความหวังไว้กับสาวน้อยผมแดงคนนั้นในขณะที่ตัวเองไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรเลย !"
"เธอน่ะ...มันเป็นคนเห็นแก่ตัว !" สาวผมทองชี้หน้าด่าอดีตเพื่อน
"เธอเองนั่นแหละที่ทำให้มิวเสียใจ แล้วก็เป็นคนทอดทิ้งมิวด้วย ! มิวต้องเป็นคนแบบรับทุกอย่างเอาไว้เธอไม่รู้หรอ เรื่องชมรมน่ะ !"
ธาราเงียบลงไป เธอพูดอะไรต่อไม่ออก ราวกับสิ้นคำที่จะเถียงด้วย สาวผมดำหันหลังกลับไป ดูเหมือนเธอไม่อยากที่จะพูดอะไรต่อ
ทว่าชั่วพริบตาเดียวนั้นเอง...
พรึ่บบ !
ถ้วยน้ำชาถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือของธาราก่อนที่เธอจะสาดมันเข้าใส่หน้าของโรส!
มิวช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่คนทำหรือธาราได้แต่ยืนมือไม้สั่นถือถ้วยชาเปล่าๆอยู่ในมือ
โรสผลักตัวของมิวกระเด็น เธอเดินดุ่มๆเข้าไป สาวผมทองง้างฝ่ามือเหนือศีรษะขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกลับ...
ฟวับบ !
เท้าของธารานั้นแน่นิ่ง เธอกลัวจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ หญิงสาวได้แต่ยืนหลับตารอรับแรงกระแทกที่กำลังจะเข้ามาในอีกไม่กี่วินาทีแต่ทว่า...
มันกลับไม่เกิดขึ้น
...แล้วเสียงตบที่ดังขึ้นมาเมื่อตะกี้นั้นคือเสียงของใคร
ธาราลืมตาขึ้นมา เธอเห็นโรสที่กำลังยืนกลับหลัง แทนที่จะพุ่งเข้ามาซัดเธอด้วยความเกรี้ยวโกรธาแต่สาวผมบลอนด์กลับหันหลังกลับไป ที่ใบหน้าของเธอกำลังหันไปทางด้านซ้ายเล็กน้อย
เป็นมิวที่รั้งตัวของโรสเอาไว้และพลิกหน้าของสาวผมทองมาตบเข้าไปฉาดนึงเต็มๆ
ฝ่ามือเรียวเล็กบางๆราวกับมือเด็กของมิวไม่มีทางที่จะทำให้หญิงสาวรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งมีเชื้อสายยุโรปเต็มๆระแค้นระคายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า... มันก็เกิดคำถามขึ้นภายในจิตใจ ว่าทำไม...
ในขณะที่ธารา เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งหนีออกจากห้องรับแขกไปทันที
...
...
"นี่มิว... ปกป้องยัยนั่นทำไม ?" โรสถามออกมาด้วยสีหน้าที่ดูเฉยเมย
"ไม่ได้จะปกป้อง แค่ตบซักฉาดเพื่อที่จะดึงสติเฉยๆ เธอไม่เจ็บอยู่แล้วชั้นรู้ดี..."
สาวตัวเล็กตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่ดูเฉยเมยไม่แพ้สาวผมทอง ทว่าน้ำตากำลังคลออยู่เต็มเบ้า
เธอเดินผ่านตัวของสาวผมทอง
เธอเดินออกจากคฤหาสน์และตรงไปตามทางเดินทางเดิมที่รายล้อมไปด้วยทุ่งหญ้า สวนกุหลาบ และต้นไม้ในความทรงจำ
โรสได้แต่ยืนหันหน้าไปมองเพื่อนเก่าของเธอที่กำลังค่อยๆเดินออกไปจากดินแดนที่กำลังรกร้างว่างเปล่า แสงอาทิตย์อัสดงรำไรส่องผ่านทางเข้าคฤหาสน์เข้ามา
มิวมุ่งตรงไปยังดวงอาทิตย์ที่ปลายสุดของขอบฟ้า กลางทุ่งหญ้าเขียวขจี ซึ่งกำลังที่จะลับหายไป
...
|
|