|
Post by jussaateen on Jun 11, 2018 15:08:58 GMT
บทนำ - เริ่มต้น ณ เมืองมูนไบรท์ แต่งโดย: Jussaateen
ท้องฟ้าในยามค่ำคืนสีดำ อันซึ่งปรากฏแสงระยิบระยับเล็ก ๆ น้อยขึ้นจากดวงดาวบนท้องนภาอันแสนมืดมิด ดวงจันทร์ฉายแสงสีขาวสว่างอย่างสง่าดังเช่นแสงไฟสปอร์ตไลท์ส่องลงมาสู่กลางเวทีการแสดงโอเปร่า สมดังชื่อเมือง 'มูนไบรท์' ของมันอย่างแท้จริง
ถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12-14 ณ บริเวณทิศใต้ของประเทศอังกฤษ กล่าวกันว่าที่มาของชื่อเมืองนี้นั้นมาจากคำกล่าวของผู้คนแถบนั้นที่ว่าดวงจันทร์ที่เมืองนี้นั้นส่องสว่างที่สุดแล้วในประเทศอังกฤษจึงถูกตั้งชื่อว่า มูนไบรท์ ซึ่งหากแปลตรง ๆ จากภาษาอังกฤษเลยก็จะได้ว่า ดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง นั่นเอง
ปัจจุบันมีประชากรทั้งหมด 58,713 คน แม้ว่าหากมองเพียวผิวเผินจะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างเงียนสงบและใกล้เคียงกับคำว่า ธรรมดา เป็นอย่างมาก ทว่าเมืองมูนไบรท์แห่งนี้ก็ได้ประสบกับเหตุการณ์พิศวงมามิใช่น้อย ๆ เลยทีเดียว
เมืองมูนไบรท์แห่งนี้นั้นมีอัตราการรายงานถึงคดี และเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมามากมาย นับว่าสูงเป็นอับดับต้น ๆ ของโลก จนเคยติดอันดับหนึ่งในเมืองที่พิศวงที่สุดในโลกมาแล้วถึงสองครั้งเลยทีเดียวในช่วงห้าปีที่ผ่านมา
และนี่คือเรื่องราวของเมืองนี้ ในปี 1995 เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในคำคืนที่ดวงจันทร์ส่องสว่างที่สุดในรอบหลายปี ในค่ำคืนนี้ ที่เลือดได้หลั่งออกมา พร้อมกับเหตุการณ์อันแสนพิศวง
เลือดสีแดงได้หยดลงมาสู่พื้นห้องอันคับแคบและมืดมิด มีเพียงแสงของดวงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็ก ๆ ภายในห้องเท่านั้น ที่ช่วยให้บุคคลภายในห้องนั้น มองเห็นสีแดงเข้มจากของเหลวที่กำลังหยดลงมาจากแขนขวาของเขา
บุคคลคนนั้นคือชายวัยยี่สิบปลาย ๆ เขามีสัดส่วนใบหน้าที่ดูดีมีสง่า อีกทั้งยังมีดวงตาอันคมกริบ รวม ๆ แล้วมีเสน่ห์ราวกับว่าเขาเป็นดาราฮอลลีวู้ดอะไรอย่างนั้น ทว่าแม้ใบหน้าและดวงตาจะดูหล่อเหลา แต่ตัวเขาในขณะนี้นั้นกำลังนั่งนิ่งอยู๋บนเตียงนอนของเขา สีหน้าท่าทางแข็งทื่อราวหมดสติในขณะที่เลือดไหลหยดออกจากแผลของมีคมอันซึ่งกรีดเป็นทางยาวบนแขนขวาของเขา
ดวงตาของเขาเหม่อลอยมองขึ้นไปบนฝ้าเพดานอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ไม่นานดวงตาสีฟ้าครามของเขาจะลดลงมาและเริ่มกะพริบพรือเป็นจังหวะดังเช่นได้สติคืนจากการเหม่อลอย แล้วจึงเหลือบไปมองวัตถุบางอย่างบนมือซ้ายของเขา ซึ่งก็คือใบมีดสีนิลดำอันซึ่งตรงกลางของคมมีดถูกย้อมด้วยสีทองคำ
".. สำเร็จ.. รึเปล่านา?"
เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจืดชืด ราวกับกำลังบ่นกับตนเองด้วยทีท่าที่มากด้วยความใคร่สงสัย ทว่ากลับปราศจากซึ่งความหวาดกลัวต่อความตายแต่อย่างใดทั้งที่บัดนี้บาลแผลของเขายังหาได้สมานตัวเลยแต่อย่างใด
เขาเริ่มลดสายตาลงมามองดูแขนขวาของเขาอีกครั้ง และจรดมองมันอย่างแน่นิ่งราวกับต่อมความเจ็บปวดของเขาไม่ได้ทำงานแต่อย่างใด หรือไม่อาจเป็นเพราะเขานั่งแช่กับความเจ็บปวดมานานแล้ว จนร่างกายเริ่มชาและคุ้นชินกับความหนาวเย็นนี้ก็ได้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไหน ดวงตาของเขาก็มิได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเลย
"นี่ก็สามนาทีแล้วนะ.. ถ้าเกิดไม่สำเร็จล่ะก็.." เขาหรี่สายตาลงและถอนหายใจราวกับผิดหวัง "มันก็เป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่งล่ะนะ" ".. —?" ทว่าเมื่อนั้นเอง ตัวเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างขึ้นทันทีที่กะพริบตาไปเพียงคราวเดียวเท่านั้น
เพียงชั่วขณะเดียวที่ตัวชายหนุ่มเริ่มที่จะคำนึงคิดถึงความล้มเหลว บาดแผลที่เคยเปิดกว้างและทะลักไปด้วยเลือดบนแขนขวาของเขานั้น บัดนี้ปิดสนิทเหลือเพียงคราบโลหิตสีแดงบนแขนเท่านั้น และปราศจากซึ่งแม้แต่รอยฟกช้ำใด ๆ ตรงบริเวณบาดแผลเดิมของเขา ดังเช่นไม่เคยมีรอยแผลบนแขนเขามาก่อนอะไรอย่างนั้น
"โอ้ว—" ตัวชายหนุ่มอุทานขึ้นมา พร้อมกับแสดงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดกับภาพตรงหน้าของเขา ก่อนจะเริ่มลูบแขนขวาของเขาไปมาราวกับของเล่นชิ้นใหม่ "แสดงว่าเป็นของจริงสินะ เจ้ามีดนี่" เขาเริ่มยิ้มขึ้นมาด้วยความดีใจ หลังจากลองจับเช็คดูแล้วว่าบาดแผลของเขานั้นหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าเลือดที่ไหลออกจากร่างกายนั้นก็ยังคงนองอยู่บนพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย "คุ้มจริง ๆ ที่ลงทุนไปขโมยมาจากเรือสินค้านั่นน่ะ" เขายกคมมีดสีนิลขึ้นมาประจักษ์ตรงหน้าเขาอีกครั้งอย่างใกล้ชิด "ทีนี้ ถ้าเอาไปขายก็คงได้เงินมาสักหลักหมื่นแหละน่า—"
ตัวชายหนุ่มคอย ๆ หัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน ทว่าทันทีที่ขาทั้งสองข้างประคองร่างของเขาเองขึ้นมาเป็นท่ายืนนั้น ตัวเขาก็หยุดชะงักลงไปทันใดด้วยความเจ็บปวดที่จู่ ๆ ก็ไหล่ปรี๊ดพุ่งขึ้นไปสู่โสดประสาทสมองของเขา
"อั่ก—!" เขาพยายามจะเคลื่อนสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อดูหาตัวการที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บหัวราวกับสมองกำลังจะระเบิดนี้ "มันกำลัง.. เกิดอะไรขึ้น!—"
ทันใดนั้นเอง ร่างกายของเขาก็ทรุด คุกเข่าลงไปกับพื้นพร้อมกับนำมือทั้งสองข้างประคองร่างกายของตนเอาไว้ มิให้ใบหน้าจุ่มลงไปกับพื้นอันเย็นฉ่าของห้อง ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความกลัวและความวิตกถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแล่นเข้าไปในหัวเขา และจุดประกายดวงตาของเขาขึ้นมาทันใด
"หรือว่าเราจะถูกพวก 'โฮสท์' โจมตีเข้ากัน?" "เป็นพวกระยะไกลอย่างนั้นเหรอ? หรือว่าจะมี 'แฟนธอม' ซ่อนอยู่ในห้องนี้? อย่างไหนกันแน่?" เขาเริ่มพยายามหันมองดูรอบ ๆ ห้องของเขา ทว่าด้วยความมืดของห้อง และอาการเจ็บปวดที่หัวของเขาราวกับกำลังโดนไฟจี้อยู่ภายในนั้น ทำให้เขามิอาจสามารถตั้งสมาธิมองรอบ ๆ ได้เลยแต่อย่างใด
—โฮสต์ คือผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ เป็นผู้ที่เชื่อมต่อร่างกายเข้ากับดวงวิญญาณได้ ซึ่งรู้จักกันในนามว่า แฟนธอม เป็นเหมือนนักรบล่องหนที่มีความสามารถเป็นของตนเอง ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามโฮสท์แต่ละคน อีกทั้งคนธรรมดายังมิสามารถมองเห็นแฟนธอมได้อีกด้วย มีเพียงโฮสท์ด้วยกันเท่านั้นที่จะมองเห็นแฟนธอมของกันและกัน
—ตัวชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นโฮสท์เช่นเดียวกัน และตอนนี้เขาก็กำลังสงสัยว่าจะมีโฮสท์คนอื่นกำลังเล่นงานเขาจากเงามืดหรือเปล่ากัน?
ในขณะที่สายตาเริ่มจะพร่ามัว และได้ยินเสียงของระฆังโบราณดังกึกก้องไปมาจากรอบข้าง ตัวชายหนุ่มพลันตะโกนเรียกขึ้นมาทันใด
"เดอะพรอเฟ็ต! จงออกมา!"
ทันใดนั้นเอง ในความมืดมิดของห้องนอนอันคับแคบ แสงประกายเจิดจรัสก็ปรากฏขึ้นมาจากร่างกายของชายหนุ่ม บัดนั้นร่างกายของมนุษย์อีกคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากด้านหลังของเขาราวกับทะลุผ่าน มันมีลวดลายทางเป็นหมากรุกสีขาวสลับม่วงบนร่าง นอหัวสีดำราบกับคลีบของฉลามเช่นเดียวกับเกราะบนไหล่ทั้งสองข้าง และดวงตาที่เหมือนกับถอดออกมาจากดวงตาของผึ้ง ซึ่งทำให้รูปลักษณ์ดูเกรงขามขึ้นยิ่งกว่าเดิม
—นั่นคือแฟนธอมของชายหนุ่ม เดอะ พรอเฟ็ต
พรอเฟ็ตนั้นสามารถที่จะสร้างแผนที่ในระยะ 30 เมตรของฉันได้ โดยภายในแผนที่นั้นจะระบุทุกซอกทุกมุม ทุก ๆ ข้อมูล! ตั้งแต่อุปกรณ์ เครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ จนไปถึง สัตว์และบุคคลในละแวก ชื่อของคน ๆ นั้น และที่สำคัญที่สุดคือ มันสามารถตรวจจับได้ว่ามีโฮสท์และแฟนธอมในระยะรอบ ๆ ของฉันได้อีกด้วย!—.. ชายหนุ่มครุ่นคิดกับตัวของเขาก่อนจะพลันสั่งใช้งาน เดอะ พรอเฟ็ตของเขาทันทีทันใด
"เดอะพรอเฟ็ต!" "YES! YES! YES!" เดอะพรอเฟ็ตพลันส่งเสียงออกมาทันใดพร้อมกับจัดการรัวหมัดที่สวมสนับมือสีม่วงลงไปกับพื้นเบื้องหน้าของชายหนุ่มทันใด แม้เสียงของหมัดที่กระทบกับพื้นนั้นจะดังและดูรุนแรงเพียงใด แต่ทว่าแสงสีม่วงกลับผุดขึ้นมาและทำเหมือนเป็นออร่าคลุมหมัดของเขาเอาไว้ และทำให้ปราศจากซึ่งร่องรอยผุพังจากพื้นห้องเขาแต่ใด ๆ
ไม่นานนัก เดอะพรอเฟ็ตก็หยุดลงแล้วจึงยืนนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่บนพื้นเบื้องหน้าของชายหนุ่มนั้นจะส่องแสงสีม่วงขึ้นมา และเริ่มรวมกันเป็นรูปเป็นร่าง กลายเป็นแผนผังของระยะสามสิบเมตรรอบตัวของเขาทันใด จากที่ดูในแผนผังนั้น รอบ ๆ ตัวเขานั้นระบุถึงห้องอพาร์ทเม้นข้าง ๆ เขา ซึ่งภายในมีแสงสีเขียวส่องอยู่ภายในอยู่สองถึงสามคน ซึ่งแสงสีเขียวเหล่านั้นก็คือมนุษย์นั่นเอง ส่วนในห้องของเขามีแสงสีส้มและสีแดงอยู่ ซึ่งจะระบุได้ว่าเป็นโฮสท์ และแฟนธอม ตามลำดับ
"บ— บ้าน่า.. มันเป็นไปได้ไงกัน!?" ทว่ามันหาใช่ดังที่เขาคาดการณ์ไว้แต่อย่างใด เขาจรดมองไปยังแสงสีส้มและสีแดงนั่นซึ่งมีเพียงอย่างละจุดเท่านั้น
"ไม่เห็นจะมีโฮสท์ หรือแฟนธอมอยู่อีกเลยนอกจากตัวเรากับเดอะพรอเฟ็ตนี่!" "แผนที่ของเดอะพรอเฟ็ตนั้นไม่เคยผิดพลาด! ตอนที่เราเข้าไปขโมยพวกวัตถุโบราณบนเรือนั่นก็ช่วยให้เราขโมยได้สบาย ๆ หนีรอดจากสายตาทุกคนได้ง่าย ๆ เลย!" "แต่จากในแผนที่ของเดอะพรอเฟ็ตบอกนั้น! หมายความว่าในรัศมีสามสิบเมตรของเรานั้นไม่มีแฟนธอมหรือโฮสท์อยู่ และเช่นนั้นแล้วอาการปวดหัวนี่มันมาจากไหนกัน!—" ตัวชายหนุ่มเริ่มร้อนรนอกมาด้วยความหวาดกลัว เนื่องด้วยความคาดคะเนของเขาผิดไปอย่างขาดลอย
ทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดก็ทวีคูณยิ่งกว่าเดิม แทรกเข้าไปในหัวของชายหนุ่ม แขนของเขาทรุดลงไป เช่นเดียวกับร่างกายของเขาที่นอนคว่ำลงไปกับพื้นดิน ทับแผนที่ที่เดอะพรอเฟ็ตของเขาสร้างขึ้นไป ตัวเขาพยายามที่จะพยุงตัวเองขึ้นยืน ทว่าเสียงระฆังมากมายดังกึกก้องรอบตัวของเขาด้วยความดังราวกับเสียงของปืนใหญ่ถูกยิงขึนในระยะเผาขนของเขา
"บ— บัดซบเอ้ย!.. นี่มัน.. เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่..!"
ภาพของท้องถนนอันขรุขระ พร้อมกับแสงไฟจากเทียนไขส่องไปตามทางถนน กลิ่นควันของโรงงานอุตสาหกรรม และหมอกในยามมืดมิด รถม้าวิ่งสัญจรไปมาพร้อมกับกลุ่มบุรุษและสตรีในเครื่องแบบชุดสูท และเหล่าโสเภณีงามในชุดกระโปรงยืนเรียงรายอยู่ตามจุดตรอกซอยต่าง ๆ
ทุก ๆ อย่างที่บัดนี้ปรากฏขึ้น ณ เมืองหน้าของชายหนุ่มนั้น ราวกับเป็นภาพอดีตในยุควิคตอเรียของอังกฤษอะไรอย่างนั้น ซึ่งก็ไร้ซึ่งคำอธิบายใด ๆ ว่าทำไมชายหนุ่มจึงมองเห็นภาพเหล่านี้ในช่วงเวลานี้ ซึ่งยิ่งเพิ่มความพิศวงให้กับเขาทวีคูณยิ่งขึ้น
ไม่ว่ามันจะมีที่มาจากไหน จะเป็นพลังของโฮสท์และแฟนธอมรึเปล่า? หรือจะเป็นผลจากการใช้คมมีดบนมือของเขา? หรือจะเป็นเพียงภาพหลอนกัน เขาก็มิอาจรู้ รู้เพียงแค่บัดนี้นี่เป็นช่วงเวลาที่ทรมาณที่สุดของเขาแล้วก็เท่านั้น
"อ้าาาก—!" "ต— ต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้ว!— พรอเฟ็ต!—?" ชายหนุ่มพลิกตัวของเขาขึ้นมานอนหงายและหันไปมองเดอะพรอเฟ็ตของเขาซึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ ทว่าเมื่อนั้นเอง ดวงตาของชายหนุ่มก็เหลือบเห็นบางอย่างเข้ เช่นเดียวกับร่างกายที่นิ่งตึงไปอย่างช่วยมิได้ อันมีที่มาจากความหวาดกลัว ณ ขีดสุด
เดอะพรอเฟ็ตของเขานั้น บัดนี้มีรอบแตกร้าวออกมาจากร่างกาย ตั้งแต่ใบหน้าของมันจนไปถึงช่วงเอว ตัวของมันแข็งทื่อไม่สามารถขยับไปไหนได้ ทว่ากลับมีการสั่นไหวเกิดขึ้นจากภายในร่างกายมัน ราวกับว่ามีอะไรบางอย่าง พยายามจะออกมาจากร่างกายของพรอเฟ็ตของเขา
"อะไร.. น่ะ"
—มีกฏเหล็กอยู่อย่างหนึ่งสำหรับเหล่าโฮสท์ นั่นคือหากแฟนธอมได้รับบาดเจ็บเช่นไรนั้น โฮสท์ก็จะได้รับอาการบาดเจ็บตามเช่นเดียวกัน —หากถูกต่อยจนหน้าหัก แน่นอนว่าหน้าของโฮสท์ก็จะหักตาม —และหากถูกตัดหัวขึ้นมา แน่นอนว่าหัวของโฮสท์ก็จะขาดตาม
ในกรณีนี้แล้ว หากเดอะพรอเฟ็ตของเขานั้นจะมีอะไรบางอย่างผุดออกมาจากร่างกายแล้ว —เขาก็เช่นกัน
รอยร้าวเริ่มปรากฏออกมาตามร่างกายของพรอเฟ็ตมากยิ่งขึ้น พร้อมกับร่างกายที่เริ่มสั่นไหวอย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้น เมื่อนั้นเอง ตัวชายหนุ่มก็พลันตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงทันทีทันใด ด้วยความหวังที่มันอาจจะช่วยชีวิตของเขาได้ ซึ่งแน่แท้ว่าก็เป็นได้เพียงการแหงนมองดวงดาวก็เท่านั้น.. เพราะชาตินี้หากเพียงแต่แหงนมองก็คงไม่มีวันได้ไปถึงมันหรอก
"พ— พรอเฟ็ต!"
...ชะตากรรมของชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นเช่นไร? และภาพหลอนเหล่านั้นมีความหมายกับที่มาจากไหน?.. >> TO BE CONTINUED!
HOST AND PHANTOM
[ MYSTERY OF THE MOONBRIGHT ]
GENRES: Action, Adventure, Supernatural, Shounen (?)
|
|
|
Post by jussaateen on Jun 23, 2018 16:11:28 GMT
|
|
|
Post by jussaateen on Jun 23, 2018 16:12:16 GMT
บทที่ 1 - การมาเยือนของมิสเตอร์ 'ดี' แต่งโดย: Jussaateen หากจะบอกว่าเขา— เป็นนักท่องเที่ยวนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว
ตัวเขาไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยวผ่อนคลาย สูดอากาศลมหายใจของเมืองนอกนี้ไปวัน ๆ แต่อย่างใด เพราะเอาเข้าจริง หากเขาต้องการจะหาที่ท่องเที่ยวจริง ๆ คงจะไปเลือกพวกเกาะฮาวาย หรือไม่อาจจะไปตรงฝั่งเอเชียเช่น เกาหลี กับ ญี่ปุ่น ไปแล้ว
แต่ก็อย่างว่า— จะเรียกว่านักท่องเที่ยวก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะสาเหตุที่เขามาที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้นั้นมิใช่เพื่อเที่ยว แต่เพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายต่างหาก
".. ดูเหมือนว่า.. เราจะผ่านเข้ามาในตัวเมืองมูนไบรท์แล้วนะครับ .." ชายวัยยี่สิบปีผู้เป็นคนขับแท็กซี่กล่าวกับเขาผู้เป็นผู้โดยสาร ในขณะที่สายตาจรดมองป้ายโฆษณาน้ำอัดลมขนาดใหญ่ท่ามกลางท้องถนนราบอันช่างโล่งปราศจากซึ่งตึกก่อสร้างหรือรถใด ๆ ขับผ่านในรัศมีสายตาของเขา
ทว่าท่าทีของคนขับนั้นดูตะกุกตะกัก และไม่ราบรื่นนัก ดวงตาที่สลับมองระหว่างถนนเบื้องหน้า และกระจกถอยหลังเพื่อมองดูผู้โดยสารราวหวาดระแวง ในตอนนี้คนขับรถแท็กซี่นั้นกำลังถูกกดทับโดยแรงกดดันมหาศาล จากใบหน้าและเครื่องแต่งกายอันดูเป็นที่หวาดหวั่น ดังเช่นมือสังหารในภาพยนตร์อะไรอย่างนั้นจากตัวเขาผู้นี้
เขาดูเป็นชายที่มีอายุมานาน ใบหน้าที่ดูเหี่ยวย่น พร้อมกับหนวดเคราสีดำอันหนาเขลอะ เขามีผมสีดำยาวมัดจุกเป็นทรงหางม้า ดูให้อารมณ์กับจอมยุทธ์ในหนังกำลังภายใน นอกจากนี้ยังสวมชุดสูทราคาแพงอย่างเต็มยศ ควบคู่กับถุงมือคู่หนึ่งและแว่นตาที่ล้วนแล้วก็เป็นสีดำ
—เชื่อหรือไม่ แต่จริง ๆ แล้วเขาพึ่งจะสามสิบต้น ๆ ด้วยซ้ำไป ทว่าจากงานทั้งหลายที่เขาได้รับมานั้น ทำให้ความเครียดและความกดดันแปรสภาพใบหน้าให้ดูเหี่ยวย่นจนเกินวัยต่างหาก
"จะให้.. ไปจอดตรงไหนดีครับ..?" คนขับแท็กซี่เอ่ยปากถามชายผู้นี้ขึ้นด้วยท่าทีตะกุกตะกักดังเช่นก่อนหน้านี้ ก่อนที่ตัวผู้โดยสารจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาและยื่นหัวออกไปมองนอกหน้าต่างรถ จรดมองท้องถนนในยามค่ำคืน ดวงจันทร์ครึ่งดวงที่ส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้าสีดำ ".. ที่โรงแรมแกรนด์มูนก็แล้วกัน" เขาตอบกลับคนขับด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ พร้อมกับระบุถึงชื่อโรงแรมแกรนด์มูน โรงแรมที่ได้รับคำแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่สุดภายในเมืองมูนไบรท์แห่งนี้ "ค— ครับผม" คนขับที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ากลับไป
เมื่อนั้นตัวผู้โดยสารก็ค่อย ๆ ยื่นตัวกลับมาที่พนังพิงดังเดิม ก่อนที่ฝ่ายคนขับรถแท็กซี่จะอดกลั้นกับความเงียบภายในรถไม่ไหวและเริ่มบทสนทนากับเขาเล็กน้อย เพื่อไม่ให้บรรยากาศในรถนั้นเงียบจนเกินไป
"ค— คือว่า.. จะรบกวนอะไรมั้ยครับถ้าผมขอถามอะไรคุณหน่อยน่ะ.." ".. ว่า?" เมื่อเขาได้ยินคำถามจากคนขับดังนั้น จึงขานรับกลับไปอย่างงุนงงว่าเขามีจุดประสงค์อะไรกัน? "คุณทำงานเป็นบอดี้การ์ดเหรอ?" ตัวคนขับแท็กซี่เอ่ยถามผู้โดยสารของเขาขึ้น ฝ่ายผู้โดยสารทีได้ยินดังนั้นก็เงียบไปขณะหนึ่ง ก่อนที่ตัวคนขับแท็กซี่จะรีบแก้ตัวและอธิบายถึงสาเหตุที่ถามไปโดยพลัน
"ผ— ผมแค่เห็นคุณแต่งตัวอย่างนั้น และท่าทีที่ดูไม่น่าใช่พนักงานบริษัท หรือคนขายประกัน ก็เลยเดาไปอย่างนั้นน่ะครับ อย่าสนใจคำถามผมอะไรขนาดนั้นเลย" ".. หึ.. ก็.. ใช่ล่ะมั้ง" ตัวผู้โดยสารเริ่มเป็นฝ่ายตอบกลับไป พร้อมรอยยิ้มที่ดูเปี่ยมไปด้วยความสนใจ "ฉันเคยเป็นอยู่เมื่อสองสามปีก่อน.. แต่ว่าตอนนี้เลิกเป็นแล้วล่ะ"
"แล้วตอนนี้คุณทำงานอะไรล่ะครับ?" เมื่อผู้โดยสารอย่างเขาได้ยินคำถามต่อมานั้น คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นทันใด "ในกรณีนี้.. คนทวงหนี้ น่าจะใกล้เคียงที่สุดแล้วมั้ง?"
งานของเขานั้นค่อนข้างที่จะซับซ้อน และยากจะอธิบายได้ตายตัวเพราะว่าเนื้อหางานของเขานั้นค่อนข้างหลากหลาย ทว่าในเนื้อหางานครั้งนี้นั้น หากจะให้ระบุว่าทำอาชีพอะไรแล้ว ก็คงจะเหมือนคนทวงหนี้ที่สุด
—ส่วนมากก็มาจากความหมายที่ว่า เขามาเพื่อกระทืบและนำของของเจ้านายกลับไป ล่ะนะ.. นอกเหนือจากนั้นก็แตกต่างกันสิ้นเชิงเลยล่ะ
"ร— เหรอครับ.." "จะว่าไปแล้ว.. ช่วงนี้มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นในเมืองนี้บ้างมั้ย?" ตัวผู้โดยสารเริ่มเป็นฝ่ายโยนคำถามกับคนขับแท็กซี่บ้างเมื่อคิ้วซ้ายของเขากระตุกราวกับนึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างได้ "น้อยครับ เมืองนี้สงบจะตาย รถแทบไม่ติดเลยสักครั้ง อุบัติเหตุทางรถยนต์นี่น้อยมากเลยล่ะครับ"
"แล้ว.. มีพวกข่าวลือแปลก ๆ มั้ย?" "ก็.. เพื่อนผมคนหนึ่งบอกว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ รู้สึกเหมือนมีคนคอยสะกดรอยตามอยู่น่ะครับ เห็นบอกว่าแจ้งตำรวจไปแล้วตอนนี้เลยไม่ได้คิดอะไรแต่.. นับรึเปล่าครับ?" "ก็ถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจดีล่ะนะ.. ไว้ฉันเสร็จงานเมื่อไหร่จะช่วยจัดการให้"
"โอ้.. ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากครับ" ตัวคนขับรถกล่าวขอบคุณกับผู้โดยสารขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยถามต่อในทันใด "จะว่าไป ผมชื่อ เดวิด วินสตัน เป็นคนขับแท็กซี่ไม่กี่คนที่อยู่ในเมืองนี้ครับ ผมเชื่อว่าอีกเดี๋ยวพวกเราคงจะได้เจอกันอีกแน่นอน.. แล้วคุณล่ะครับ มีชื่อว่าอะไรเหรอ?" "ฉันเหรอ?" เขาที่ได้ยินคำถามเช่นนั้นก็สบตากับคนขับรถผ่านกระจกมองหลังเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับคำถามนั้นไป "ฉันแดเนียล.. แต่เรียกฉันว่า มิสเตอร์ 'ดี' ก็แล้วกัน" ตัวผู้โดยสารแนะนำตัวของเขาขึ้นพร้อมนำมือขวามากุมบนอกของเขาโดยอัตโนมัติราวกับท่าทางของพวกพ่อบ้าน หรือคนรับใช้ระดับสูง
"ยินดีที่ได้รู้จักแล้วกันนะ คุณเดวิด" "เช่นกันครับ.. มิสเตอร์ดี"
..
"หยุดก่อน! เดวิด" "ค— ครับ!?"
ทว่าทันใดนั้นเอง มิสเตอร์ดีที่กำลังจะยื่นหน้าออกไปมองด้านนอกก็เหลือบเห็นบางอย่างเข้าที่หางตา ก่อนจะพลันเปิดปากตะโกนออกมาทันใดกับเดวิดที่กำลังขับแท็กซี่อยู่ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองพึ่งจะแนะนำตัวกันเสร็จไปไม่ถึงนาที
"ม— มีอะไรเหรอครับ มิสเตอร์ดี?"
ตัวเดวิดหันกลับมามองมิสเตอร์ดีด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย ก่อนจะชะเง้อมองตามเขาไปยังทางด้านข้างถนน ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมันและร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่ โดยมีแสงไฟเพียงรีบหรี่เท่านั้นอยู่ในบริเวณและนอกเหนือจากนั้นก็เป็นเพียงความมืดมิดอันโดดเดียวและปลอดซึ่งผู้คน ทว่าก็ไม่ได้ถึงขนาดร้าง เนื่องด้วยในพื้นที่บริเวณก็ยังคงสะอาดอยู่ เพียงแค่ว่าในขณะนี้ไม่มีใครคอยอยู่เฝ้าดูแลก็เท่านั้น
"มีอะไรอยู่ตรงนั้น" ทว่าในขณะที่เดวิดไม่เห็นสิ่งใดผิดแปลกไปเลยนั้น ท่าทางของมิสเตอร์ดีในสายตาของเดวิดนั้น ดูราวกับกำลังตื่นตระหนก ดังเช่นว่าสถานการณ์ที่เขาอยู่ในบัดนี้นั้น ไม่ได้เรียบง่ายดังที่เขาคาดไว้อีกต่อไป "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ตอนนี้.. ยังไม่ทันได้เข้าไปในตัวเมืองเลยด้วยซ้ำไป" มิสเตอร์ดีเริ่มที่จะพึมพำกับตนเองราวกับกำลังบ่นอยู่ ทว่าท่าทางที่ดูตื่นตระหนกก่อนหน้านี้ก็ถูกผ่อนออกไปแล้ว เหลือเพียงความประหลาดใจ และข้อสงสัยภายในหัวของเขาก็เท่านั้น ทว่าในขณะที่มิสเตอร์ดีเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงนั้น เดวิดกลับรู้สึกไปในทางตรงกันข้าม
—เขาเป็นใครกันแน่? และนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน? ทำไมเราถึงมองไม่เห็นอะไรเลยล่ะ?
"นี่มันเลือด! ไม่ผิดแน่ว่ามันคือเลือด!" มิสเตอร์ดีตะโกนขึ้นมาอย่างสุดเสียงด้วยความมั่นใจ ก่อนจะรีบเปิดประตูลงมาจากรถแท็กซี่และวิ่งตรงไปดูยังพื้นถนนหน้าทางเข้าสถานีบริการน้ำมัน "ล— เลือดอย่างนั้นเหรอครับ!?" เดวิดที่ได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการตื่นตระหนก มือไม้สั่นไหวทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะรีบคว้าหาไฟฉายจากภายในรถของเขา และรีบวิ่งตามผู้โดยสารของเขาไปอย่างงุนงงและหวาดผวา
ทว่าเมื่อเดวิดวิ่งกรูตามมิสเตอร์ดีเข้ามาพร้อมไฟฉายบนมือนั้น เขาก็เห็นชายเบื้องหน้ากำลังนั่งยอง ๆ จรดมองพื้นซีเมนต์ทีดูปราศจากซึ่งร่องรอยใด ๆ แม้จะเปิดไฟฉายขึ้นส่องลงบนพื้นเพื่อมองตามแล้ว สิ่งที่เขาเห็น มีเพียงแค่พื้นซีเมนต์ธรรมดา ๆ เท่านั้น ซึ่งยิ่งสร้างความสงสัยให้กับคนขับแท็กซี่หนุ่มรายนี้ขึ้นไปมากกว่าเดิม
—นี่เขากำลังอำเราเล่นรึเปล่า? หรือกำลังคิดจะดักปล้นเรา? หรือว่าเขากำลังเสียสติอยู่กันแน่?
"นี่น่าจะสัก.. สองวันเหรอ? ปริมาณค่อนข้างมาก.. น่าจะโดนแทงด้วยของมีคม หรือไม่ก็ถูกยิงเข้าที่ส่วนท้อง" มิสเตอร์ดีพึมพำขึ้นมาเบา ๆ กับตัวเขาโดยมิได้สนใจเดวิดแต่ใด ๆ "เหมือนจะเป็นทางยาว เหยื่ออาจโดนแทงจากตรงนี้แล้วเดินทางไปทางถนนใหญ่.. ถึงจะมองยากไปหน่อย แต่ฉันก็ยังพอเห็นอยู่.. เดาว่าคงจะเดินทางโดยจักรยานยนต์สินะ" "มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ อาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุก็ได้.. แต่จากประสบการณ์ของเราแล้ว จะเป็นก้อนหินหรือกรวดทราย มันก็จมน้ำเหมือนกันหมด จะใหญ่โตหรือเล็กน้อย ข้อมูลทุกอย่างย่อมส่งผลในภายภาคหน้าแน่.."
เมื่อนั้น หลังจากที่มิสเตอร์ดีครุ่นคิดกับตัวเขาเองเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืนขึ้นมาและถอนหายใจทันใด
—ไม่ว่ามันจะเป็นความเข้าใจผิด หรือเป็นตลกร้ายก็ตาม —แต่สาเหตุที่เขามาที่นี่นั้น ก็เพื่อตามหาวัตถุโบราณ —ที่มาในรูปร่างของคมมีดเช่นกัน
"ให้ตายสิ.. รู้สึกไม่ดีกับเรื่องบ้านี่จริง ๆ—" ทว่าในขณะที่มิสเตอร์ดีกำลังจะบ่นนั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบเห็นบางอย่างเข้า ซึ่งหาใช่เดวิดที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังเขาอย่างงุนงงแต่อย่างใด
แต่เป็นกระดุมเสื้อ ที่หลบซ่อนอยู่ใต้พุ่มหญ้าเล็ก ๆ ข้างถนนเม็ดหนึ่ง.. โดยสาเหตุที่มิสเตอร์ดีหยุดนิ่งและเสียเวลาจรดมองสิ่งของเล็ก ๆ น้อยเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่า
มันเปื้อนเลือดอยู่นั่นเอง ขาดกระดุมไป
—เสื้อคลุมของเราขาดกระดุมไปตัวหนึ่ง ถึงว่าสองสามวันที่ผ่านมาถึงได้รู้สึกแปลก ๆ —ทำหายในห้องเรียนหรือเปล่านะ? หรือจะเป็นตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์เมื่อคืนกัน? —เอาเถอะ เดี๋ยวไปหาใหม่ที่ร้านตัดเสื้อในเมืองก็ได้
ชายหนุ่มคนหนึ่งครุ่นคิดขึ้นมาในใจ ในขณะที่ตัวเขากำลังก้าวขาเดินออกจากอาคารโรงเรียนท่ามกลางแสงอาทิตย์ในยามบ่าย พร้อมกับมือทั้งสองข้างกำลังจับเสื้อฮู้ดสีดำตัวโปรดของเขาอยู่เพื่อเป็นการตรวจสอบหาดูสิ่งผิดปกติ นอกเหนือจากกระดุมตรงกระเป๋าเสื้อที่เขาว่ามา ซึ่งภายในกระเป๋าเสื้อนั้น ก็มีเหรียญเงินจำนวนหนึ่งอยู่ภายในประมาณหนึ่ง จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเรื่องเล็ก ๆ น้อยเช่นนี้ทำให้เขานำมาขบคิดได้
ทว่าในขณะที่กำลังขบคิดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้อยู่นั้น ตัวชายหนุ่มที่มิได้มองตาม้าตาเรือก็ไปชนเข้ากับคน ๆ หนึ่ง ก่อนจะไหวตึงถอยร่นออกมาก้าวสองก้าวเล็กน้อยเนื่องจากเสียสมดุล
"อ— ขอโทษครับ" เมื่อนั้นเอง ชายหนุุ่มจึงพลันกล่าวคำขอโทษตามสัญชาตญาณของเขา "ขอโทษหรอ.. ห๊า?" แต่แล้ว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นชายร่างใหญ่แบกกระเป๋าเป้นักเรียนด้านหลังกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมกับรอยเปื้อนของแก้วกาแฟบนเสื้อลายพังค์ของเขา "นี่แก คิดว่าคำขอโทษของแกจะช่วยให้เสื้อฉันมันหายเปื้อนเหรอ?" ชายเบื้องหน้าเริ่มพูดจาขึ้นด้วน้ำเสียงที่รุนแรงขึ้น พร้อมกับแสดงทีท่าสายตาที่ไม่พอใจอย่างเป็นที่สุด ตามมาด้วยผู้ชายอีกสองคน ซึ่งกำลังยืนอยู่ด้านหลังชายผู้นี้็หันมามองด้วยเช่นกัน
หากจะให้เดาแล้ว ผู้ชายอีกสองคนนั้นคงจะเป็นเพื่อนกับชายคนนี้ โดยทั้งหมดแล้วก็ดูจะเป็นนักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน มิหนำซ้ำอาจจะเป็นรุ่นพี่ก็ได้
"อ่า— ผมไม่ได้ ตั้งใจครับ—" "ไม่ได้ตั้งใจเเล้วจะทำไมฮะ!"
หมับ! หมัดของชายเบื้องหน้าเขาพุ่งตรงเข้าใส่ท้องของเขาอย่างรุนแรง ก่อนที่ตัวเขาจะล้มคุกเข่าลงไป ตามด้วยกระเป๋าสะพายซึ่งตกลงมาจากบ่า และข้าวของปลิวกระเด็นออกมา เช่นเดียวกับสายตาของผู้คนรอบ ๆ เล็กน้อย กวาดมามองว่ามีเรื่องอะไรกันจึงเกิดเสียง ก่อนจะกลับไปทำธุระของพวกเขาตามปกติ
"มีเรื่องอะไรหรอวะ? พวก" ชายหัวล้านซึ่งอยู่ข้าง ๆ กับชายในเสื้อลายพังค์ถามขึ้นมาด้วยภาษาเป็นกันเอง "เจ้าหมอนี่ทำเสื้อสองร้อยยูโลของฉันเปื้อนเนี่ยสิ.. คิดว่าเป็นใครถึงกล้ามาแหยมต่อหน้าฉันวะ ฮึ?" ชายในเสื้อลายพังค์ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาหาตัวเขาอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับสหายคนอื่น ๆ ซึ่งเริ่มล้อมตัวเขาในรอบด้าน ทันใด
—ไม่ต้องสงสัย คงเป็นพวกนักเลงที่เราได้ยินมาล่ะมั้ง.. ถ้าอย่างนั้นก็ยอม ๆ ไปก็แล้วกัน มีเรื่องไปก็จะเสียเวลาเปล่า
"นี่แก ได้ยินแล้วใช่มั้ย? เสื้อนี่มันตั้งสองร้อยยูโลเชียวนะ หนังหน้าอย่างแกมีปัญญาชดใช้มั้ย ฮึ?" "ข— ขอโทษจริง ๆ ครับ จะชดเชยค่าเสียหายให้ครับ" "ดี ถ้าอย่างนั้นก็จ่ายมาร้อยนึง" "—.. ครับผม" ตัวเขายอมจำนนทำตามแต่โดยดี ในขณะที่สายตาของชายในเสื้อพังค์นั้น ดูครุ่นสงสัยและสนใจตัวชายหนุ่มขึ้นมาเล็กน้อย
—เอาจริง ๆ แค่ซักนิดหน่อยก็หายแล้วล่ะ.. ที่ทำอย่างนี้คงเพราะอยากเล่นงานเราล่ะสินะ —เจ้านี่ ยอมเราง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ?.. หึ ก็ฉลาดดี
ชายสวมเสื้อพังค์ยื่นมืออกมาและรับเงินจำนวนหนึ่งร้อยยูโลไป ทันทีที่เขามอบให้ในขณะที่ตัวชายสวมเสื้อพังค์ผู้นี้กำลังจรดมองตัวเขา
เขาสวมเสื้อแจ็คเก็ตติดฮู้ดสีดำ และสวมเสื้อเชิ้ดสีขาวด้านใน นอกจากนี้ยังสวมกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้มอีกด้วย ทว่านอกเหนือจากนั้น ใบหน้าและหน้าตาของเขานั้นสามารถมองได้ยากมาก เนื่องด้วยมีฮู้ดคลุมอยู่บนหัว
"แกดูฉลาดดีนะ.. ชื่ออะไรล่ะ?" ชายสวมเสื้อพังค์จัดการดึงฮู้ดออกจากเขา ปรากฏให้เห็นชายใบหน้าหล่อเหลา มีผมสีฟ้าอ่อนราวกับท้องฟ้ายามสดใส และดวงตาสีขาวราวกับเงิน "ชื่อ ลีออง ฟรานซิส คอนแสตนติน.. อยู่ปีสองครับ" "ปีสองเหรอ? รุ่นน้องสินะ ยินดีที่ได้รู้จัก ลีออง" ชายสวมเสื้อพังค์ถามชื่อของเขาเล็กน้อย ซึ่งตัวเขาก็ตอบกลับไปอย่างนอบน้อมว่าตนมีชื่อว่า ลีออง
"เฮ้ย ๆ พวก ดูนี่สิ ดูนี่" ทว่าไม่นานหลังจากที่ชายสวมเสื้อพังค์จะถามชื่อลีอองเสร็จ เพื่อนหัวล้านของเขาก็ทักเรียกชายสวมเสื้อพังค์ขึ้นเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่ดูแฝงอารมณ์ขันอยู่เบา ๆ "ไอหมอนี่ มีไบเบิลกับไม้กางเขนในกระเป๋าด้วยว่ะ" "หา?.. อะไรนะ!?" ทันทีที่ชายสวมเสื้อพังค์ได้ยินเช่นนั้น ก็อ้าปากหวอและตะโกนถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเดินตามไปดูชายหัวล้าน ซึ่งกำลังเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายลงมาจากกระเป๋าของชายนามลีออง
"โห.. เอาเรื่องว่ะ.." ชายสวมเสื้อพังค์หันกลับมามองลีออง ซึ่งแม้ก่อนหน้านี้จะดูเงียบขรึมและยอมจำนนให้กับเขาอย่างไร้ข้อกังขา แต่ตอนนี้เขากลับสังเกตเห็นอาการไหวสั่นจากร่างกายเขาเล็กน้อย ราวกับกำลังควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อะไรอย่างนั้น "นี่ ไอน้อง.. แกเคร่งศาสนาเหรอ? คาทอลิกใช่มั้ย ฮึ?" ".. ครับผม"
"ฮ่า ๆๆ ของจริงว่ะ" ชายทรงโมฮ็อกซึ่งยืนอยู่ด้วยกันตั้งแต่แรกปริปากพูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะขบขัน ราวกับกำลังดูถูกลีอองซึ่งยืนยันว่าตนเป็นคนที่เคร่งศาสนาอยู่ "เอาจริง ๆ แล้ว ไอเงินร้อยยูโลของนายก็พอแล้วล่ะ.. แต่ว่านั่นมันก็เป็นส่วนของเสื้อที่เปื้อนล่ะนะ" "แต่ยังเหลือค่าทำให้ฉันเสียหน้ากลางถนนนี่อยู่นะ พ่อหนุ่มคาทอลิก"
เมื่อนั้นชายสวมเสื้อพังค์ซึ่งยื่นหน้ามาพูดกับลีอองอย่างช้า ๆ ราวกับคำข่มขู่นั้น ก็ค่อย ๆ เงยหน้าออกมาและรับคัมภีร์ไบเบิลในกระเป๋าของลีอองจากเพื่อนของเขามาถือในลักษณะกางแผ่นทั้งสองหน้าออกจนเหยียดตรึง
พอลีอองเห็นเช่นนั้นแล้ว ท่าทางของเขาก็เริ่มสั่นไหวตึงยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับหน้าที่ลดลงมองกับพื้น ราวกับกาน้ำที่เตรียมจะเป่าความร้อนออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งก็ทำให้ในสายตาของรุ่นพี่เหล่านี้นั้นดูน่าตลกอย่างบอกไม่ถูก
"ถ้าฉันฉีกมันออกมาล่ะก็ จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ฮึ?" "ถ— ถ้าอย่างนั้น มันก็คงจะกระจุยเลยล่ะครับ" ลีอองตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว "ก็จริงของนายล่ะนะ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ฉันก็จะฉีกไบเบิลนี่ให้ขาดกระจุยเลยก็แล้วกัน!"
บัดนั้น ชายสวมเสื้อพังค์ก็ค่อย ๆ นำมือของเขาขึ้นมาจับหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้และเตรียมท่าจะฉีกมันออกทีละแผ่น ทีละแผ่นเพื่อเป็นการเหยียดหยามชายเบื้องหน้าของเขา เพื่อล้างแค้นให้กับการเสียหน้าเมื่อก่อนหน้านี้
แต่ว่า
"ที่กระจุยน่ะ ฉันหมายถึงหน้าของแกต่างหาก" "ฮึ?—"
หมับ! ร่างของชายสวมเสื้อพังค์ถูกซัดไหวปลิวกระเด็นลงมากับพื้นอย่างรุนแรง จากอาณุภาพของหมัดขวาโดยลีออง ที่กระทำให้ใบหน้าของเขาต้องสั่นกระเพื่อม และดั้งจมูกที่หักเบี้ยวในทันที ทันทีที่เขากระเด็นลงไปถึงพื้น ความเจ็บปวดจึงเริ่มซาพล่านไปทั่วใบหน้า เช่นเดียวกับเลือดที่เริ่มไหลออกมาจากจมูกและปากของเขาเล็กน้อย
"อ— อะไรวะ!?— อั่ก!—"
เพียงแค่พริบตาเดียว ร่างของลีอองซึ่งแรกเริ่มยังคุกเข่าอยู่ บัดนี้เขากลับมายังท่ายืนดังเดิมพร้อมกับจรดมองไปที่ชายสวมเสื้อพังค์อย่างเคียดแค้น โดยบนมือของเขา ก็มีไบเบิลของตนเองอยู่ด้วย แสดงให้เห็นว่าทันทีที่ลีอองปล่อยหมัดออกมาดังสายฟ้าฟาดนั้น เขาก็ชิงไบเบิลออกมาจากมือของเขาได้ก่อนร่างจะกระเด็นออกไปนั่นเอง
—ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ตาม แต่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วแบบนั้น มันเหนือมนุษย์ชัด ๆ!
"ห— เห้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ!" เมื่อนั้น ชายหัวล้าน และชายผมทรงโมฮ็อคก็รีบวิ่งไปดูอาการของชายสวมเสื้อพังค์โดยทันที ก่อนจะช่วยประคองร่างกายขึ้นมา "เรื่องอื่น ฉันจะไม่ว่าเลย.. แต่อย่าได้บังอาจมาแตะไบเบิลเล่มนี้ของฉันอีก ไม่อย่างนั้นแล้ว ฉันจะอัดพวกแกให้เละทุกคน" "นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นข้อเท็จจริง เข้าใจนะ รุ่นพี่?" "ทีนี้ก็ไสหัวไปซะ" ลักษณะท่าทาง การพูดจาและการวางทีท่าของลีอองเปลี่ยนไปอย่างริบรับ ราวกับการทอยเหรียญหัวก้อย เดิมที่เคยยอมจำนนตอนนี้กลับแสดงโทสะออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน จนแม้แต่ตัวรุ่นพี่อย่างทั้งสามคนนั้นยังต้องรู้สึกหวาดกลัวตาม ก่อนจะปิดท้ายด้วยคำพูดที่ฟังดูราวกับคำสั่งในสายตาของพวกชายทั้งสามคน
"ป— ไปกันเร็วพวก!" "วิ่งสิวะ วิ่ง!" "เดี๋ยว! รอฉันก่อน! รอฉันก่อนสิฟระ ไอเพื่อนเวรเอ้ย!"
บัดนั้นเอง พวกรุ่นพี่ที่เคยทำทีเหิมเกริมกับลีอองนั้น พลันวิ่งเผ่นป่าราบออกไปในทันทีดังเช่นกระต่ายที่กำลังวิ่งหนีเสือ ต่างกันเพียงแค่กระต่ายพวกนี้ดันไปปลุกตื่นเสือที่พยายามจะนอนหลับก็เท่านั้น อีกทั้งยังปราศจากซึ่งความคิดจะออกล่าใด ๆ แม้แต่น้อย มีเพียงความสงบเท่านั้นที่ต้องการ
เขาค่อย ๆ เก็บไบเบิล ไม้กางเขน และหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่กองอยู่บนพื้นกลับใส่กระเป๋าสะพาย ก่อนจะสะพายไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง และสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อผ่อนคลายความโกรธเคืองลง และเมื่อควันโมโหหายไปจนหมดแล้วนั้น เขาก็ก้าวขาเดินไปข้างหน้า เพื่อเดินทางกลับบ้านของเขาในทันที
—ทว่าเขาไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่า —ในขณะที่เขากำลังแสดงความรวดเร็วเหนือมนุษย์ก่อนหน้านี้นั้น จะมีกำลังจับตามองอยู่ จับตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ห่าง ๆ —ที่ตู้โทรศัพท์ ราว ๆ สามร้อยเมตรจากลีออง
"♫♫♫♫" "หืม..?" ลีอองที่กำลังจะก้าวขาเดินอยู่โดยพอดิบพอดีนั้นเอง ก็มีเสียงเรียกสายดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ภายในกางเกงยีนของเขา ก่อนที่ลีอองจะพลันดึงโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดเช็คดูหมายเลขว่าผู้ใดโทรหาเขา
"หมายเลขนี่.. ตู้โทรศัพท์เหรอ?" "ฮัลโหล..?" ลีอองกดรับสายและพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
"ว่าไง ลีออง" เสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์นั้น เป็นเสียงของผู้ชายวัยประมาณยี่สิบถึงสามสิบปีได้ ทว่านั่นหาใช่สาเหตุที่ลีอองรู้สึกถึงแรงกดดันโดยปริศนาแต่ใด ๆ แต่เป็นเพราะว่า "นายรู้ชื่อฉันได้ไง?" ลีอองเริ่มแสดงทีท่าไม่ไว้วางใจ ตั้งแต่สองประโยคแรกในการสนทนานี้ "ไม่ต้องห่วงน่า ฉันไม่ได้จะทำอะไรไม่ดีกับนายหรือคนรู้จักของนาย.. ฉันแค่ถูกส่งมาดูว่านายทำอย่างไรบ้างแล้วก็เท่านั้น" ฝ่ายคู่สนทนาตอบกลับมาด้วยทีท่าราวพยายามแก้ตัวอยู่
"เหมือนว่านายจะใช้พลังของแฟนธอมได้แล้วสินะ.. ถึงจะยังไม่เห็นอะไรเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าเริ่มแสดงผลแล้ว" "พูดอะไรของนาย.. นายเป็นใคร?"
—แฟนธอมอะไรของหมอนี่กัน? งงไปหมดแล้ว นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย?
"ไว้ฉันจะอธิบายทีหลัง ตอนนี้ก็พยายามซ่อนตัวเอาไว้ และอย่าตายเข้าก็พอ" "เมื่อเวลามาถึง ฉันจะโทรกลับไปอีกรอบ และเมื่อถึงตอนนั้นขอให้ทำตามทุกอย่างที่ฉันบอก" "ไม่อย่างนั้นแล้ว นายมีแต่จะต้องโดนจับเกษียณเท่านั้น"
"หา—!?" "——" ทว่าไม่ทันที่ลีอองจะได้แม้แต่รู้ชื่อของผู้โทรเข้ามานั้น สายก็ถูกตัดขาดออกไปในทันที ทิ้งไว้เพียงความข้องใจในหัวของนักเรียนหนุ่มปีสองผู้นี้ก็เท่านั้น
"อะไรล่ะเนี่ย?.. พวกต้มตุ๋นอำเราเล่นเหรอ?.. ช่างมันแล้วกัน" จนสุดท้าย ลีอองก็สรุปว่าเรื่องที่เขาได้ยินเป็นเรื่องเหลวไหลสัพเพเรหะ ก่อนจะก้าวขาเดินต่อไป กลับบ้านของเขานั่นเอง
ลีออง ฟรานซิส คอนแสตนติน อายุ 18 ปี อาศัยอยู่ที่โบสถ์คอนแสตนติน ที่เมืองมูนไบรท์ ไม่มีพ่อ แม่ มีผู้ปกครองเป็นบาทหลวงและแม่ชีภายในโบสถ์มาตลอดสิบแปดปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่โรงเรียนมูนไบรท์ และทำงานเสริมเป็นคนส่งเอกสารภายในเมือง
"ดูเหมือนว่าหมอนี่จะไปพัวพันกับอะไรบางอย่างที่สถานีเมื่อสองวันก่อนด้วยสินะ" "ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกระทำการ ฝ่ายถูกทำร้าย หรือพยานในที่ก่อเหตุ ก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ว่าไม่รู้เรื่องอะไรกับเหตุการณ์ที่นั่น"
มิสเตอร์ดีที่ปัจจุบันกำลังนั่งอยู่ในรถแท็กซี่นั้น กล่าวขึ้นมากับตัวเขาเองพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากราวกับภูมิใจในการสืบค้นหาตัวผู้ต้องสงสัยเมื่อคืนก่อน ในขณะที่เขากำลังจรดมองกระดุมเปื้อนเลือดบนมือของเขาอย่างถี่ถ้วน
"เหนื่อยหน่อยนะ เดวิด และก็ขอบใจมากที่อยู่ช่วยมาทั้งวัน ซึ้งใจเลยล่ะ" มิสเตอร์ดีหันไปมองคนขับและพูดขอบคุณขึ้นมาในแบบฉบับของเขา โดยเมื่อคนขับอย่างเดวิดได้ยินดังนั้นก็หันกลับมามองมิสเตอร์ดีด้วยสีหน้าท่าทางดูเหน็ดเหนื่อยและทำงานเกินเวลาอย่างเห็นได้ชัด "ค— ครับผม" ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้นอนเลย และต้องคอยช่วยมิสเตอร์ดีทำงานของเขามาตลอดทั้งวันเลยนั่นเอง
ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนที่มิสเตอร์ดีลงจากรถไปดูรอยเลือดนั้น พวกเขาก็ได้แจ้งตำรวจไปแล้ว ก่อนจะถูกขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ทว่าแม้เป็นเช่นนั้น มิสเตอร์ดีก็แอบกระดุมเปื้อนเลือดเอาไว้ และสืบหาตัวอย่างลับ ๆ จนหลังจากที่ไปแวะร้านตัดเสื้อทุกสิบเอ็ดร้านภายในเมืองแล้วนั้น ก็พบว่าเหลือผู้ต้องสงสัยเพียงสี่คนเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือลีออง แฟรนซิส คอนแสตนติน นั่นเอง
ในขณะนี้พวกเขาจอดรถไว้อยู่ข้างถนน และกำลังมองหาคน ๆ หนึ่งอยู่นั้น ไม่นานหลังจากการกวาดสายตาเพียงสองถึงสามรอบนั้นเอง มิสเตอร์ดีก็เหลือบเห็นคน ๆ หนึ่งเข้า ด้วยความรวดเร็วและแม่นยำจนแทบเหนือธรรมชาติ ทั้ง ๆ ที่ตัวคนขับรถซึ่งนั่งหน้ารถก็หาได้มองเห็นบุคคลที่กำลังตามหาเลยแม้แต่น้อย
"นั่นไงล่ะ ลีออง แฟรนซิส คอนแสตนติน" มิสเตอร์ดีเปิดบานประตูแท็กซี่ออกมา ก่อนจะหันกลับมามองเดวิดด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง ราวกับกำลังจะกำชับเพื่อนสหายของเขา "รอตรงนี้นะ ฉันจะไปคุยกับหมอนั่นเอง ถ้าพวกเราไปไหน ก็ให้ขับตามมาอย่างห่าง ๆ โอเคนะ?" "ค— ครับ.."
และเมื่อนั้นเอง มิสเตอร์ดีที่ได้ยินคำพูดยืนยันจากเดวิดดังนั้นก็หายห่วงและปิดประตูรถแท็กซีดังตึงโดยทันใด ก่อนที่ตัวเขาจะพลันจรดมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้า และเดินตรงไปอย่างแน่วแน่ปราศจา่กซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
—เมื่อนั้นเอง มิสเตอร์ดี —ก็ได้มายืนอยู่เบื้องหน้า —ของลีออง แฟรนซิส คอนแสตนตินการพบกันของสองหนุ่มจะเป็นอย่างไร? และผู้ที่โทรหาลีอองนั้น เป็นใครกัน? >> TO BE CONTINUED!
|
|
|
Post by jussaateen on Jun 29, 2018 16:05:50 GMT
บทที่ 2 - โฮสท์และแฟนธอม แต่งโดย: Jussaateen ชายสวมชุดสูทร่างใหญ่ เดินลงมาจากรถแท็กซี่และเพ่งสายตาจรดมองโดยไม่แอบแฝงแต่อย่างใด ดังเช่นว่าเขากำลังต้องการให้บุคคลที่ถูกจ้องมองอยู่นั้นเห็นถึงตัวตนของเขา
ลีอองที่กำลังเดินอยู่บนท้องถนนที่มีประชาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่อยู่รวมกันจำนวนหนึ่ง ทว่าแม้จะมีหลายสิบคนคั่นขวางระหว่างเขากับชายสวมชุดสูทนั้น สุดท้ายแล้วสายตาของทั้งสองก็มาสบตากันดังขั้วแม่เหล็กที่ดึงดูดต่อกัน
ก่อนที่สุดท้ายแล้ว ทั้งสองจะเดินสวนทิศทาง เข้าหากัน โดยในขณะที่ชายสวมชุดสูท— หรือมิสเตอร์ดี— ปราศจากความกลัวใด ๆ ลีอองกลับรู้สึกตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
—เมื่อนั้นเอง มิสเตอร์ดี —ก็มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของ —ลีออง แฟรนซิส คอนแสตนติน
มากด้วยคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ ทั้งตัวชายสวมชุดสูทและชายสวมเสื้อฮู้ด แต่ว่าคนหนึ่งต้องการคำตอบเพื่อช่วยให้งานของเขาราบรื่นขึ้น ส่วนอีกคนต้องการคำตอบเพื่อที่ค่ำคืนนี้เขาจะได้นอนหลับอย่างสงบ ต่างฝ่ายต่างมีคำตอบให้กันและกัน ทว่านั่นก็เป็นเพียงคำสันนิตฐานของมิสเตอร์ดีก็เท่านั้น
"ลีออง แฟรนซิส คอนแสตนตินอายุ 18 ปี อาศัยอยู่ที่โบสถ์คอนแสตนติน ในเมืองมูนไบรท์" "ไม่มีพ่อกับแม่ เป็นเด็กกำพร้า ถูกรับเลี้ยงโดยบาทหลวงและแม่ชีภายในโบสถ์มาตลอดสิบแปดปี" "ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่โรงเรียนมูนไบรท์ และทำงานเสริมเป็นคนส่งเอกสารภายในเมือง" มิสเตอร์ดีที่มั่นใจแล้วว่าลีอองมิได้แค่บังเอิญหันมามองในทิศทางเขาแต่มองมาที่เขา เขาจึงเริ่มสาธยายข้อมูลที่ตนสืบมาอย่างละเอียด ดังเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังคำนวนข้อเท็จจริง
".. แล้วคุณ?" "เป็นใครถึงได้มารู้เรื่องผมขนาดนั้น?"
ลีอองที่ได้ยินวาจาของมิสเตอร์ดีอันยาวเหยียดดังนั้น ก็เอียงคอสงสัยและถามเขากลับไปด้วยความงุนงงและความหวาดกลัวเล็กน้อย แต่แม้จะหวาดกลัว เขาก็หาได้แสดงความอ่อนแออกมาให้ชายสวมสูทเห็น มิหนำซ้ำคำถามของเขากลับมีน้ำหนักเสียงที่รุนแรง ราวกับเป็นการขู่ว่าหากตอบผิดขึ้นมา คงจะไม่ได้พูดอะไรไปอีกหลายวัย เขาคนนี้เป็นใคร และทำไมถึงรู้เรื่องราวของเราได้ขนาดนี้กัน? ซึ่งมิสเตอร์ดีที่ได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป
"ฉันชื่อแดเนียล แต่คนส่วนใหญ่จะเรียกฉันว่ามิสเตอร์ดี" เขาโค้งตัวเล็กน้อยราวกับการแนะนำตัวก่อนจะค่อย ๆ เดินตรงไปหาลีอองในระยะที่พอดี ให้สมกับเป็นการสนทนาระหว่างคนสองคน ไม่ใช่การตะโกนข้ามหัวผู้อื่น "ส่วนที่รู้เรื่องของนายเยอะขนาดนั้นก็เพราะว่าฉันเป็นนักสืบเอกชนยังไงล่ะ" หลังจากเว้นช่วงไปสองถึงสามวินาที เขาก็ดึงบางอย่างออกมาจากด้านในเสื้อสูทของเขา ซึ่งก็คือนามบัตรสีขาวบางอย่าง สลักชื่อ 'แดเนียล ชัลตัน' และรูปของเขาเอาไว้อย่างมีระเบียบ
—ถ้าจะให้พูดตรง ๆ นั่นเป็นบัตรปลอมที่ขอให่คนในตลาดมืดทำให้ เอาไว้ให้ทำงานอะไรสะดวกยิ่งขึ้นก็เท่านั้น แต่กว่าหมอนี่จะรู้ว่าเป็นของปลอม เราก็คงได้ข้อมูลที่ต้องการไปหมดแล้วล่ะ —ทีนี้ ถ้านายเป็นคนลงมือจริง ๆ ล่ะก็ เป็นไปได้สูงว่าจะต้องหลีกเลี่ยงเราและมองด้วยท่าทางร้อนรนแน่นอน อาจจะไม่ได้เป๊ะซะทีเดียวแต่ก็พอจะตัดตัวเลือกไปได้บางจุด ทีนี้ก็ขอดูรีแอคชั่นของนายหน่อยแล้วกัน มิสเตอร์ลีออง
"ครับ.. ผม แล้วมีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?" ลีอองที่เห็นดังนั้นก็รับนามบัตรและจรดมองรายละเอียดตามด้วยสีหน้าที่ดูไม่คาดคิด ซึ่งก็ยื่นกลับคืนไปและโค้งตามมารยาท ก่อนจะตอบกลับมิสเตอร์ดีอย่างสุภาพเรียบร้อย
—เท่าที่จำได้ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมาหรอกนะ หรือว่าเราจะไปเกี่ยวข้องกับคดีอะไรด้วยกัน? เพราะถ้าอย่างนั้นก็อาจจะไปเชื่อมโยงกับสายโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ได้ก็ได้ —แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้ว มันจะเป็นเรื่องอะไร? เราก็ไม่รู้เหมือนกัน
มิสเตอร์ดีเหลือบมองด้านซ้ายและขวาของเขา ก่อนจะเบะปากพูดขึ้นกับลีออง
"คุยข้างนอกนี่ อาจจะมีคนได้ยิน เราไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันดีกว่า" "แต่ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ถามสักสองสามคำถามก็พอแล้ว"
มิสเตอร์ดีกล่าวอธิบายเล็กน้อยก่อนจะหันหลังไปเพื่อเดินนำลีอองไปคุยกันในสถานที่อื่นที่มีความเป็นส่วนตัวกว่า พลางสายตาหันมองรถแท็กซี่และขยิบตาเล็กน้อย ซึ่งทันทีที่เดวิดเห็นดังนั้นผ่านกระจกหลังรถจึงเริ่มสตาร์ทเครื่องและขับออกไปตามถนนดังที่เคยตกลงกันก่อนหน้านี้
—ก่อนที่เราจะมาถึงที่นี่ มิสเตอร์ดีบอกกับเราแล้วว่าถ้าจะคุยกันตามลำพังจะไปคุยกันที่ไหน เราแค่ไปจอดตรงแถว ๆ นั้นและสังเกตรอคำสั่งต่อไปก็พอ —ถึงจะงานยุ่งยากและดูงง ๆ ไม่เข้าใจสักอย่างก็เถอะ แต่ถ้าเขาบอกจะจ่ายให้งาม ๆ เราก็ควรจะรับน่ะแหละนะ!
..เดวิดที่กำลังขับแท็กซี่ของเขาอยู่ครุ่นคิดขึ้นมาในใจพร้อมรอยยิ้มเบิกบานเมื่อนึกถึงจำนวนเงินค่าจ้างที่เขาได้รับสัญญาเอาไว้
ส่วนลีอองที่เห็นมิสเตอร์ดีเดินไปโดยไม่รอคำตอบใด ๆ จากเขาดังนั้น จึงรีบเดินตามไปในทันทีด้วยท่าทีที่ไม่ไว้วางใจเล็กน้อย ทว่าจากลักษณะของบัตรเจ้าหน้าที่ที่เขาเห็นก่อนหน้านี้นั้น ยังพอช่วยให้เขาไว้ใจและเดินตามชายผู้นี้ไปได้ หารู้ไม่อีกเช่นกันว่านั่นคือบัตรปลอม
"ร— รีบเหรอครับ มีธุระอะไรรึเปล่า? ไว้นัดคุยกันทีหลังก็ได้นะครับถ้าไม่สะดวก" เมื่อลีอองเดินตามมิสเตอร์ดีทันแล้วนั้น ตัวชายสวมชุดสูทก็เอียงคอไปหาเด็กหนุ่มสะพายกระเป๋าเป้แล้วพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา "เปล่า.." "มีคนตามนายอยู๋ต่างหาก"
...
"ดูเหมือนจะโดนจับได้ว่าสะกดรอยตามอยู่.. ขนาดห่างกันได้สามร้อยเมตรแล้ว ยังจะเห็นอีกนะ หมอนี่" "ถ้าไม่ใช่นักสืบ หรือตำรวจมืออาชีพล่ะก็ อาจจะเป็นพวก 'คนขององค์กร' ที่หมอนั่นพูดถึงก็ได้" "เมื่อก่อนหน้านี้ที่โทรไปก็ยังไม่ได้บอกอะไรมาก เพราะไม่คิดว่าจะเจอกับสถานการณ์อะไรในตอนนี้หรอก.. ดันผิดคาดซะได้ คงต้องจำเป็นบทเรียนสินะ"
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีชายวัยประมาณสิบแปดปี ไว้ผมสีดำหยิกคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้านั่ง ดวงตาสีฟ้าจรดมองไปยังฝูงชนฝั่งตรงกันข้ามพลางดูดน้ำปั่นบนมือขวาของเขาอย่างเอร็ดอร่อย สบายใจไป แม้ว่าลักษณะการพูดจาของเขาดูจะเบนไปทางผิดหวังและเสียใจเสียมากกว่าก็ตาม
เมื่อนั้นเองเขาก็หันมองไปด้านข้างของเขาเล็กน้อยราวกับมีคนนั่งอยู่ด้วยแม้ว่าจะไม่มีอยู่ก็ตาม และพูดต่อดังเช่นกำลังคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนอะไรอย่างนั้น
"ตอนนี้พวกนั้นก็คลาดสายตาฉันไปแล้ว ที่เหลือก็ฝากนายด้วยแล้วกัน ปีแอร์" "แฟนธอมของนาย 'สวีท ดรีม' มีพลังที่เหมาะสำหรับการนี้อยู่นี่.. ฉันพูดถูกมั้ย?" ".. อ่า ก็ประมาณนั้น" บัดนั้นเอง เสียงตอบกลับของชายราว ๆ ยี่สิบกว่า ๆ ก็ดังออกมาท่ามกลางความว่างเปล่าของอากาศธาตุ ที่ข้างหูของชายผมหยิกผู้นี้
"ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง"
หลังจากที่ทั้งสองเดินออกจากฝูงชนมาเรื่อย ๆ ได้สักพักแล้วนั้น ในที่สุดพวกเขาก็มาอยู่ในบริเวณตรอกซอยอันปราดเปรี่ยวและปราศจากผู้คนใด ๆ ทว่าก็ยังมีบ้านเรือนช่องให้เห็นอยู่รอบตัว เป็นเหมือนกับซอยหมู่บ้านที่ปัจจุบันไม่มีใครคิดจะโผหัวออกมาทำอะไรเลย มีเพียงผู้คนที่ต้องการจะผ่อนคลายในเมืองที่แสนสงบนี้เท่านั้นมิสเตอร์ดีที่มองรอบ ๆ แล้วไม่เห็นใครนั้นก็หันกลับมาพูดกับลีอองซึ่งก็ยืนสะพายกระเป๋ารอชายสวมสูทคนนี้อยู่อย่างใจเย็น แม้ว่านี่จะเลยเวลาถึงโบสถ์— หรือบ้านของเขามาได้ สักพักหนึ่งแล้วก็ตาม"ที่นี่น่าจะใช้ได้แล้วล่ะ" เมื่อนั้นมิสเตอร์ดีก็ดึงสมุดจดบันทึกขนาดพกพาขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงของเขาโดยเร็วและควงปากกาไปมาบนมือซ้ายของเขาเล่น ในขณะที่ลีอองก็ทำเพียงยืนนิ่ง ๆ และรอฟังคำถามอย่างใจจดใจจ่อ"จะพยายามไม่ให้เสียเวลาก็แล้วกัน ลีออง" มิสเตอร์ดีที่เห็นท่าทีนิ่งเงียบของลีอองก็พูดเสริมเล็กน้อยพลางเบะรอยยิ้มที่มุมปากเบา ๆ ก่อนที่เขาจะกะพริบตาและเปลี่ยนสีหน้าตนทันควันให้กลับเป็นมาด ชายผู้น่าเกรงขามและจริงจังทุกสถานการณ์ แทน"เอาล่ะครับ.. คำถามแรก.." มิสเตอร์ดีกล่าวและนำปากกาขึ้นจรดบนสมุดบันทึก แล้วเอ่ยต่อพร้อมเงยหน้าขึ้นมองลีออง "ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ได้แวะเติมน้ำมันที่สถานีหน้าเมืองกี่ครั้งครับ?"—สถานีบริการน้ำมัน?.. ลีอองคิดขึ้นในใจด้วยทีท่างุนงงว่าคำถามนี้มีจุดประสงค์อะไร"ครั้งเดียวครับ ประมาณสองวันก่อนเห็นจะได้" ลีอองตอบกลับไปตามความเป็นจริง"เดาว่าเป็นเวลากลางคืน ใช่มั้ยครับ?" มิสเตอร์ดีไม่รอให้เว้นช่วงแต่อย่างใด และยิงคำถามใส่อย่างรวดเร็ว"ค— ครับผม" ลีอองพยักหน้ากลับไป"ช่วยเล่าให้หน่อยได้มั้ยครับ ว่าเห็นอะไรบ้างตอนนั้น"—เห็นอะไรบ้างเหรอ?—แล้วเราเห็นอะไรบ้างล่ะ?"ก็.. อ่า.. จะพูดอย่างไรดีล่ะ.." ชายหนุ่มที่ได้ยินคำถามเช่นนั้นก็เริ่มยกมือเกาหัวแกรก ๆ เล็กน้อยพลางใช้สมองนึกคิดหาคำตอบท่เหมาะสมกับคำตอบนี้ ในขณะที่มิสเตอร์ดีทำเพียงจรดมองสมุดบันทึกและรอฟังคำตอบจากลีอองด้วยหูทั้งสองข้างของเขา"ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ.. เหรอครับ?"ทว่าทันทีที่มิสเตอร์ดีได้ยินคำตอบนั้น เขาก็เงยขึ้นมองลีอองทันใดในพริบตาเดียว"ขอโทษนะ แต่.. จะบอกว่าไม่เห็นอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?" มิสเตอร์ดีเอ่ยถามด้วยคำพูดที่ดูมีน้ำหนัก ดังเช่นว่าเขากำลังย้ำเตือนว่าคำถามนี้กำลังเอ่ยมาจากใคร ซึ่งก็ทำให้ลีอองแสดงอาการงุนงงมิใช่น้อย ๆ ว่าเหตุใดจึงแสดงสีหน้าท่าทางราวกับกำลังสอบสวนคนร้ายอะไรเช่นนั้น"ครับ.. ผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นเลยครับ ก็แค่ไปถึง เติมน้ำมันใส่มอเตอรไซค์แล้วก็กลับบ้าน เท่านั้นเอง" ลีอองกล่าวอธิบายตามความจริงที่เขาพบเจอทว่าแทนที่ความจริงจะทำให้มิสเตอร์ดีเชื่อและรับฟังอย่างสงบนั้น ปฏิกิริยาของชายสวมสูทนั้น กลับดูมีอะไรบางอย่างแผ่ออกมา แม้ว่าจะทำเพียงยืนนิ่งเงียบดังกำลังตีความข้อมูลอยู่ แต่ไอความเงียบนั้นแหละ ที่เริ่มทำให้ลีอองรู้สึกเหมือนถูกเปลวไฟลนที่ด้านหลังอย่างบอกไม่ถูก"ถ้าอย่างนั้นก็แปลกแล้วล่ะ ลีออง" เมื่อนั้นมิสเตอร์ดีก็เก็บสมุดบันทึกของเขาลงไป และล้วงบางอย่างออกมาแทน ซึ่งก็คือถุงพลาสติกใสขนาดเล็กที่ซึ่งถูกยัดเอาไว้ใต้เสื้อ โดยภายในถุงนั้นมีวัตถุสีเหลืองขนาดกลมและเล็กอยู่ด้านใน โดยทันทีที่ลีอองจับสังเกตเห็นวัตถุด้านในนั้นก็แสดงทีท่าตกใจออกมาทันใด"นั่นมัน—""ใช่แล้ว ลีออง— กระดุมเสื้อของนายไงล่ะ" มิสเตอร์ดีจัดการยื่นถุงพลาสติกที่ภายในมีกระดุมเสื้อที่หายไปของลีอองให้เขาดูอย่างใกล้ชิด ซึ่งกระดุมนั้นหาใช่กระดุมธรรมดาแต่อย่างใด แต่"ฉันพบมันที่สถานีนั่นแหละ มิหนำซ้ำ มันยังเปื้อนเลือดอยู่ด้วย""ถ้าจะอ้างว่าบังเอิญมีเลือดกระเด็นใส่แถวนั้นแล้ว หญ้าแถวนั้นก็ควรจะเหม็นคาวเลือดแล้ว แต่มันไม่ มีแค่กระดุมนี่เท่านั้นแหละ""ที่เหลือก็คือเสื้อของนายเท่านั้นแหละ ว่ามันจะมีคราบ หรือเหม็นคาวเลือดอยู่เล็กน้อยมั้ย""ฉะนั้นแล้วขอถามใหม่แล้วกันนะ นายเห็นอะไรที่นั่น?"มิสเตอร์ดีพลันยิงคำพูดของเขาเข้าใส่อย่างรวดเร็วกับลีออง จนตัวชายหนุ่มในเสื้อฮู้ดแทบจะจนมุม ทว่าทันทีที่มิสเตอร์ดีเปิดช่องให้ลีอองตอบคำถามนั้น เขาก็ใช้เวลานี้ครุ่นคิดกับตนเองและตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว—นี่เขากำลังจะบอกว่าเราทำผิดอย่างนั้นเหรอ?—แต่เรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำไปว่ามันคือเรื่องอะไร จำอะไรแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นี่มันดูแปลก ๆ ไปแล้ว—มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่เนี่ย.."มันเลือนลาง.. ผมจำอะไรไม่ค่อยได้หรอก.. เท่าที่จำได้ก็มีแค่ตอนนั้นมีคนอยู่ด้วย.. ประมาณสองคนก็เท่านั้นแหละ""นอกเหนือจากนั้น ผมก็จำไม่ได้แล้ว คงจะเป็นเพราะไม่ได้มีอะไรน่าจดจำเกิดขึ้น สมองก็เลยลบทิ้งไปล่ะมั้ง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน""แต่คุณเชื่อผมได้ ถ้าผมบอกว่าผมบริสุทธิ์ คุณก็สามารถเชื่อผมได้ คุณนักสืบ" ลีอองตอบกลับมิสเตอร์ดีไปอย่างนอบน้อมที่สุด และดังเช่นทุกครั้งก่อนหน้า คำพูดทุกคำของเขา ล้วนแล้วเป็นความจริงและปราศจากการโกหกใด ๆมิสเตอร์ดีที่ได้ยินเช่นนั้นเพียแค่ยืนตัวแข็งนิ่งไปทั้งอย่างนั้น ในขณะที่ลีอองกำลังยืนรอคำตอบจากมิสเตอร์ดีอย่างจดจ่อและสงสัยว่าเขาจะตอบกลับอย่างไรกัน จะเห็นยอมด้วยหรือค้านชนฝากันล่ะ.. ทว่าเมื่อรอไปเรื่อย ๆ เวลามันก็เริ่มเดินตามไป จนลีอองรู้สึกถึงการเว้นช่วงที่ดูอึดอัดจนเกินไปแล้วจึงเป็นฝ่ายพูดต่อเสียแทน"อ่า.. มิสเตอร์ดีครับ?""สักครู่นะ ลีออง" มิสเตอร์ดีเหลือบสายตามองลีอองด้วยทีท่าที่ดูกำลังหวาดระแวง แล้วจึงเสริมต่อ "ฉันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง"ลีอองที่ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าท่าทางงุนงงขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเริ่มกวาดสายตามองพื้นที่รอบ ๆ ตาม.. หากจะบอกว่ารู้สึกเหมือนกำลังโดนมองล่ะก็ มันก็คงจะไม่ใข่เรื่องแปลกเท่าไหร่หรอก ชายสองคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในแถบนี่ จู่ ๆ ก็มายืนคุยอยู่หน้าบ้านคนอื่นตอนเวลาพรบฟ้า เกิดมีรถตำรวจขับเข้ามา ลีอองก็ไม่ตกใจอะไรแล้ว.. ทว่านี่คือเมืองมูนไบรท์ จะเกิอดคดีอาชญากรรมก็ ครั้งหนึ่งต่อสัปดาห์ ได้ล่ะนะ"น— นั่นมันอะไรน่ะ!" แต่สิ่งที่ลีอองเห็นนั้น หาใช่สิ่งใดที่แล่นผ่านความคิดของเขาเลยสิ่งที่อยู่ ณ เบื้องหน้าลีออง และเหนือหัวของมิสเตอร์ดีนั้น—คือสิ่งมีชีวิตประหลาดบางอย่างคล้ายคลึงกับปลาดาวสีม่วงกำลังลอยอยู่บนเวหา ห่างจากตัวลีอองและมิสเตอร์ดีไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผิวของมันมีสีม่วงเข้มออกดำ แถมยังมีดวงตาสีแดงของปีศาจโผออกมาตรงกลางลำตัวไม่ว่ามันคือตัวอะไรก็ตามหรือเป็นอันตรายหรือไม่ ลีอองก็ไม่สามารถรับรู้ได้ เนื่องด้วยปราศจากซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับมันและสื่ออารมณ์ออกมาได้เพียงทางเดียวเท่านั้นนั่นคือความกลัว"ไหน!?—" มิสเตอร์ดีตวัดลำตัวและเงยหน้าขึ้นมองตามลีอองทันใด ก่อนที่ตัวจะแข็งนิ่งไปตามลีออง".. —" ทว่าแตกต่างจากลีออง เพราะเขาหาได้ตั้งคำถามใด ๆ กับเจ้าอสูรกายปลาดาวเหาะได้เหนือหัว แต่เป็นเพียงการยืนแน่นิ่งเท่านั้นราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น"นี่นาย.. เห็นมันเหรอ?""ถ้าพูดถึงไอปลาดาวนั่นล่ะก็— ค— ครับผม"ลีอองตอบกลับไปพลางพยายามสงบสติอารมณ์ของตนให้หยุดนิ่งอยู่ มิสเตอร์ดีที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิม หาได้ขับเคลื่อนแต่อย่างใดอยู่สักพัก จนในที่สุดเขาก็ลดสายตาลงมามองทีพื้น"ให้ตายสิ.. ดูเหมือนจะมาเจอกับเรื่องน่าปวดหัวเข้าอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย.. ให้ตายสิ" เขาถอนหายใจออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอาอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองลีออง"นายเห็นอะไรแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว" เขาเอ่ยปากถามลีอองขึ้นทว่าน้ำเสียงต่างกันกับตอนตอบคำถามอย่างริบรับ แรกเริ่มแล้วในถ้อยคำที่ดูใจแข็งนั้นก็ยังเคยมีความอ่อนโยนแบบหนึ่งอยู่ แต่บัดนี้นั้นกลับสัมผัสได้เพียงความแข็งกระด้างเท่านั้นดังเช่นเรื่องที่กำลังพูดอยู่ในขณะนี้ เป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่จำเป็นต้องจัดการโดยทันที"..ไม่ครับ ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน—""—แล้วเคยเจอเรื่องแปลก ๆ ขึ้นมั้ย? อย่างรู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่าง รู้สึกแข็งแกร่งขึ้น รู้สึกเหมือนมีอะไรตามหลังอยู่ อะไรแบบนั้น มีบางมั้ย?""—ก.. ก็.. มีมั้งครับ.. ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ผมตอบสนองสิ่งรอบข้างไวขึ้น.. แต่ก็อาจจะเป็นเพราะช่วง ๆ หลังผมหันมาดื่มกาแฟเยอะขึ้นก็ได้ ไม่รู้เหมือนกัน""แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันครับ!?— ผมชักจะสับสนไปหมดแล้วเนี่ย— แล้วสรุปเจ้าตัวนั้นไม่เป็นอันตรายใช่มั้ยครับ?"ทั้งสองแลกเปลี่ยนคำถามและคำตอบกันอย่างเร็วไวก่อนจะปิดท้ายด้วยคำถามจากปากของลีอองเนื่องด้วยความสับสน วุ่นวายในสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน จนตัวเขาแทบจะตามไม่ทันอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคืออะไรกันแน่".. จะให้อธิบายอย่างไรดีล่ะ"ในขณะที่มิสเตอร์ดีกำลังตอบกลับลีอองนั้น เจ้าปลาดาวเหาะได้ตัวนั้นก็ค่อย ๆ ลดระดับความสูงลงมาและเกาะบนหัวไหล่ของชายสวมสูท ในขณะที่ลีอองจรดมองมันด้วยสีหน้าหวาดกลัวและงุนงงอย่างทีเขาไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน".. ฉันบอกก่อนแล้วกันว่าฉันอธิบายเรื่องพวกนี้ไม่เก่ง เพราะมันก็คล้าย ๆ กับการสอนเด็กให้เดินนั่นแหละ สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวเด็กเองว่าจะใช้เวลาปรับตัวนานแค่ไหน..""สิ่งที่นายกำลังเห็นอยู่นี่คือ 'แฟนธอม' ..เป็นสิ่งมีชีวิตในโลกคู่ขนาน ซึ่งมีดวงวิญญาณเชื่อมต่อกันกับดวงวิญญาณของเรา คล้าย ๆ กับเป็นตัวเราในอีกโลกหนึ่งนั่นแหละ และทำให้เราสามารถอัญเชิญเรียกมันออกมาได้ เพื่อช่วยในการทำกิจกรรมหรืองานต่าง ๆ แล้วแต่ประสงค์.. เราเรียกคนที่ใช้พลังแบบนี้ได้อีกทีว่า.. 'โฮสท์' หรือภาษาโบราณหน่อยก็ ร่างทรง นั่นเอง""ที่นายเห็นอยู่นี่คือแฟนธอมของฉัน.. 'เอนดีเวอร์' นั่นคือชื่อที่ฉันตั้งให้มัน.. โดยมันมีความสามารถช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์กับฉัน ทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ดีขึ้นไปกว่าเดิม.. ส่วนแฟนธอมตัวอื่น ๆ นั้นก็จะมีความสามารถต่างกัน เป็นเอกลักษณ์ไปสำหรับแต่ละตัว และมีแค่โฮสท์กับแฟนธอมด้วยกันเท่านั้นจึงจะเห็นกันและกันได้"มิสเตอร์ดีกล่าวอธิบายขึ้นพลางชะเง้อมองปลาดาวเหาะได้ซึ่งเกาะอยู่บนไหล่ของเขา— หรือที่มีนามว่า เอนดีเวอร์ จากปากของชายสวมสูท"นั่นหมายความว่าถ้านายเห็นเจ้านี่ล่ะก็.." และทันใดนั้นเอง มิสเตอร์ดีก็ชี้ตรงไปที่ใบหน้าของลีอองทันใด"นายก็เหมือนกับฉัน.. เป็นโฮสท์เหมือนกับฉัน! และมีแฟนธอมเหมือนกับฉัน!""และจากที่ดูแล้ว.. นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่นายได้เจอแฟนธอมด้วยกันสินะ ซึ่งนั่นก็หมายความว่านายยังไม่สามารถเรียกแฟนธอมของตัวเองออกมาได้ และนั่นก็หมายความได้อีกทีว่า..""นายไม่เป็นภัยกับฉัน และไม่ใช่ศัตรูของฉัน ซึ่งถือเป็นโชคที่ดีที่สุดแล้ว""อ่า.. ครับ?.." ลีอองที่แม้จะดูยังงุนงงอยู่เล็กน้อย แต่คำพูดทุก ๆ คำของมิสเตอร์ดีนั้น ก็ฝังอยู่ในหัวของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างไม่ต้องสงสัยมิสเตอร์ดีที่เห็นท่าทีที่ยังดูไม่เข้าใจเหตุการณ์ของลีอองดังนั้น ก็หัวเราะออกมาอย่างแห้ง ๆ แล้วจึงพูดต่อทันใดด้วยสีหน้าท่าทางอารมณ์ขัน"หึ.. แต่ว่านะ สำหรับฉันแล้วนี่คงจะเป็นโชคร้ายมากกว่า.. ดูท่างานที่ฉับได้รับมาจะไม่ใช่แค่ 'ตามหาและทวงของคืน' ธรรมดา ๆ ซะแล้วสิ""เจ้าพวกคนของโบสถ์นั่น.. ดันมาตกสำรวจเมืองนี้ซะได้ ถ้ารู้ว่ามีพวกโฮสท์อยู่ด้วยล่ะก็ คงจะเตรียมตัวและคนมาให้เยอะกว่านี้ตั้งแต่แรกแล้ว.. น่าปวดหัวจริง ๆ"คำพูดทั้งหมดที่หลุดออกมาจากปากของมิสเตอร์ดีราวกับการบ่นของตนเองนั้น แล่นผ่านลีอองไปหมด โดยไม่เหลือข้อมูลใด ๆ ที่ลีอองได้ยินเมื่อก่อนหน้านี้ แล้วเข้าใจแต่อย่างใด หากจะให้พูดตรง ๆ สมองของเขาคงจะหยุดการทำงานไปแล้วตั้งแต่เมื่อนาทีก่อนด้วยซ้ำไป"เอาล่ะ ตอนนี้ก็คงจะหมดเรื่องแล้วล่ะ.. ฉันค่อนข้างมั่นใจว่านายบริสุทธิ์แน่"มิสเตอร์ดีพูดวกกลับเข้าเรื่องแล้วค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาใกล้ ๆ ลีอองพร้อมกับยกมือขวาของเขาขึ้นมาแตะไหล่ของลีอองเล็กน้อย ท่าทางดูเกรงเครียดน้อยลง คงเพราะเนื่องจากการระบายความเครียดในลักษณะการพูดจาบ่นประชดประชันในแบบของเขากระมั้ง".. แต่ต่อให้นายจะบริสุทธิ์ก็ตาม ฉันก็มั่นใจว่านายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉะนั้นแล้วฉันจะคอยจับตาดูนายเอาไว้ เสมอ"".. เข้าใจมั้ย?""..""อ— อ่าครับ" ลีอองใช้เวลาถึงสิบวีนาทีในการตอบ ซึ่งถือเป็นการเว้นช่วงที่นานที่สุดเท่าที่ลีอองเคยทำมาแล้ว โดยสาเหตุหลักก็มาจากการที่เขากำลังเหม่อลอย พยายามตีความเรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ที่กำลังไหลแล่นเข้ามาในหัวของเขา ดังเช่นกระแสน้ำสึนามีซัดเข้ามาที่ชายฝั่งอย่างรุนแรงจนทะลักมิสเตอร์ดีที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าตามเบา ๆ เป็นการรับคำตอบของลีออง ก่อนจะชะเง้อสายตาออกไปมองด้านหลังของลีออง ซึ่งคือถนนจากซอยนี้เชื่อมไปยังถนนใหญ่ โดยหากมิสเตอร์ดีคาดเดาไว้ถูกแล้ว พอออกไปยังถนนใหญ่แล้วเลี้ยวขวาไป ก็จะมีเดวิด— เจ้าคนขับแท็กซี่ นั่งรออยู่ บัดนั้นมิสเตอร์ดีจึงก้าวขาตรงไปข้างหน้าเพื่อจะเดินออกไป พร้อมกับกล่าวลาลีออง"แล้วพบกันใหม่—"—ทว่าเมื่อนั้นเอง มิสเตอร์ดีจึงพึ่งรู้สึกตัว—ถึงความเงียบงันอันดูแสนจะผิดธรรมชาติจนเกินไป—จนราวกับในความเงียบนี้ มีเสียงที่ดังกึกก้องไปทั่ว แต่ทั้งลีอองและมิสเตอร์ดีเองก็ไม่ได้ยินมัน"ม— มิสเตอร์ดี มีอะไรเหรอครับ เห็นยืนแข็งทื่อเชี—""มีคนกำลังมองเราอยู่" ในขณะที่ลีอองกำลังจะหันมาถามชายสวมสูทที่จู่ ๆ ก็หยุดเดินและประโยคของเขากลางคัน ทว่ามิสเตอร์ดีก็พลันตอบกลับไปอย่างแผ่วเบา และดวงตาที่จรดมองตรงไปยังถนนใหญ่อย่างเคร่งขรึมและเพ่งด้วยสมาธิ—ไม่ผิดแน่ ว่ามีคนมองเราอยู่ ไม่ว่าจะจากไหน หรืออย่างไรก็ตาม แต่แน่นอนว่ามีคนกำลังมอง และแอบฟังเราอยู่ ตั้งแต่เมื่อเรามาถึงนี่แล้วมิสเตอร์ดีคิดขึ้นพลางกวาดสายตามองรอบ ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ตั้งแต่รายละเอียดเล็กน้อยอย่างจำนวนช่อดอกไม้เล็ก ๆ ที่หน้าบ้านแต่ละหลัง จนไปถึงจำนวนบานกระจกบนบ้านหลังหนึ่งกับบ้านหลังหนึ่ง หรือแม้แต่จำนวนนกที่เกาะอยู๋บนเสาไฟฟ้าภายในซอยเอง เขาก็จรดมอง—จากไหน.. จากที่ไหน!?ไม่ว่าจะมองซอกช่องบ้านเรือนแห่งใด เขาก็ไม่เห็นใครเลย ทั้ง ๆ ที่ตนมีพลังแฟนธอมเฉพาะทางนี้อย่าง เอ็นดีเวอร์ ซึ่งมีความสามารถในการ เพิ่มศักยภาพการมอง ก็ตาม เขาก็ไม่เห็นอะไรเลย ราวกับว่า..—!!บัดนั้น มิสเตอร์ดีที่นึกขึ้นได้ก็เบิกโพลนดวงตาขึ้นมาทันใด แล้วจึงค่อย ๆ ก้าวขาเดินออกมา รักษาระยะห่างจากลีอองในระดับหนึ่ง และเริ่มพยายามสังเกตตรงบริเวณช่องว่าง บริเวณที่ว่างเปล่ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะใกล้ ๆ กำแพงบ้านต่าง ๆ ในขณะที่ลีอองก็ค่อย ๆ ก้าวขาตามมิสเตอร์ดีไปเล็กน้อย ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในสถานการณ์เท่าไหร่นัก—เขากำลังทำอะไรอยู่กันเนี่ย?.. ลีอองครุ่นคิดขึ้นมาในใจเล็กน้อย—ถ้าเกิด ถ้าเกิดว่ามันใช่อย่างที่เราคิดจริง ๆ ล่ะก็ วิธีนี้แหละ เป็นวิธีการที่ดีที่สุด!.. เช่นเดียวกัน มิสเตอร์ดีก็กำลังสบมองสิ่งรอบข้างอย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีความมั่นใจเพิ่มยิ่งขึ้น...กึกเสียงของอะไรบางอย่าง คล้ายคลึงกับเสียงกลไกของอุปกรณ์บางอย่างดังออกมาจากขนาบขวาของมิสเตอร์ดี แม้จะอธิบายได้ยากว่ามันคือเสียงอะไร แต่สำหรับมิสเตอร์ดีแล้ว มันทั้งน่าคุ้นเคยและเป็นลางบอกเหตุร้ายสำหรับเขาในเวลาเดียวกันมิสเตอร์ดีที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันหันมองไป แต่ก็หาได้เห็นใครหรืออุปกรณ์อะไรอยู่เลย มีเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้นราวกับเสียงเมื่อก่อนหน้านี้ของเขาเป็นพียงจินตนาการของเขาเอง"อยู่ตรงนั้นสินะ!"ทันใดนั้นเองมิสเตอร์ดีก็ตวัดขาขวาของเขาพุ่งเตะเข้าใส่ทิศทางบริเวณนั้นทันใดโดยไม่รีรอสิ่งใดทั้งนั้น ความเร็วของลูกเตะของเขานั้นอยู๋ในระดับที่ว่องไวเป็นอย่างมาก เสียงของคลื่นลมถูกซัดออกและกระทบกับช่องว่าง ราวกับเสียงของแส้หนังที่ถูกตวัดไปมากลางอากาศทว่ามันก็มิได้แตะต้องโดนสิ่งใดเลย เป็นเพียงการเตะใส่อากาศให้เสียเรี่ยวแรงเปล่า ๆ เท่านั้นกึก—เสียงนี้อีกแล้ว ไม่ผิดแน่ ไม่ผิดแน่.. มันต้องเป็นเจ้านั่นแน่ ๆ!.. มิสเตอร์ดีพลันถอยร่นออกมาและรอดูสถานการณ์ทันใด ในขณะที่สายตาจรดมองรอบ ๆ อีกครั้งเพื่อดูหาศัตรูและต้นตอของเสียงนั่น...—ปัง!—ฉึก!กระสุนปืนปริศนาพุ่งออกมาจากเบื้องหน้าโดยไร้ซึ่งภาพของกระบอกปืนหรือแม้แต่แสงควันปืนใด ๆ ตรงหวังจะพุ่งเข้าใส่หัวของมิสเตอร์ดี ทว่าชายสวมสูทสัมผัสได้ถึงจิตสังหารบางอย่างจึงหลีกหัวออก ทำให้กระสุนปืนนั้นเฉี่ยวแก้มซ้ายของเขา และพังแว่นตากันแดดสีดำลงไปกับพื้นในทันที"อั่ก— อะไรกัน"มิสเตอร์ดีแสดงท่าทีตกใจออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับลีอองที่คว้าตัวกระโดดถอยออกมา และสายตาจับจ้องสลับมองระหว่างทิศทางของกระสุนปืน และมิสเตอร์ดีที่ยืนนิ่งจรดมองเบื้องหน้าโดยไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว—ไม่ผิดแน่ ๆ! มันต้องมีแฟนธอมที่ช่วยทำให้ร่างกายล่องหนหรืออะไรทำนองนั้นแน่ เราถึงมองไม่เห็นมัน.. อะไรกันวะเนี่ย แค่วันแรกเราก็เจอกับแฟนธอมที่มาเพื่อเล่นงานเราโดยเฉพาะเลยเรอะ?เลือดค่อย ๆ ไหลลงมาจากแก้มของมิสเตอร์ดีเล็กน้อย ในขณะที่เขากำลังจรดมองเบื้องหน้าด้วยความเคร่งเครียดและตั้งใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญคือคราวนี้ก็มีอารมณ์โทสะเข้ามาปะปนด้วยนั่นเอง"ม— มิสเตอร์ดี เป็นอะไรมั้ยครับ""ถอยออกไปลีออง! ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้หนีไปเลยอยู่หรอก แต่มันไม่ให้แน่ ฉะนั้นก็อยู่ข้างหลังฉันเอาไว้ และอย่าทำอะไรโง่ ๆ""หมายความว่าอย่างไรครับว่าไม่ นี่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องโฮสท์นั่นด้วยเหรอ?""ใช่แล้ว!.. นี่แหละคือการต่อสู้ระหว่างโฮสท์และแฟนธอม! การต่อสู้ที่สักวันนายจะต้องไปเจอเข้า!"ลีอองและมิสเตอร์ดีต่อเถียงกันเล็กโดยทั้งสองหาได้สบตากันแต่อย่างใด คนหนึ่งจรดมองความว่างเปล่าเพื่อหาทางเอาตัวรอดและเอาชนะอุปสรรค ส่วนอีกคนหนึ่งก็กำลังมองแผ่นหลังของชายคนนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น—การต่อสู้ที่สักวันเราจะต้องเจอเข้าเหรอ.. จะบอกว่านี่เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นเหรอ!?.. ลีอองที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้นและเริ่มไตร่ตรองดู มันก็ช่วยสรุปให้เขามองการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วยความสนใจมากยิ่งขึ้น—แต่ถึงเราจะแพ้ทางก็เถอะ ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางสู้.. ไม่สิ เมื่อกี้เราเห็นวิธีแล้ว.. วิธีจบการต่อสู้ครั้งนี้ในคราวเดียวน่ะ!และเมื่อนั้นเอง มิสเตอร์ดีก็เริ่มเปลี่ยนวิธีการยืนของเขา เขาเริ่มกำหมัดของตนขึ้นมา พร้อมกับกางขาทั้งสองข้างออกจากกันเป็นมุมสี่สิบห้าองศา ลักษณะท่าทางการยืนและการตั้งแขน พร้อมกับดวงตาที่จรดมองความว่างเปล่าเบื้องหน้าดังนักรบบนสนามประลอง ดังนักประลองแห่งสำนักมวย กำลังเตรียมท่ารอคู่ต่อสู้ชกหมัดเข้าใส่และสวนกลับไปในคราวเดียว!วิธีจบการต่อสู้ในคราวเดียวของมิสเตอร์ดีคืออะไร? และใครกันแน่คือผู้ใช้แฟนธอมกับเขา? >> TO BE CONTINUED
PHANTOM STATSชื่อ: เอ็นดีเวอร์ | Endeavor โฮสท์: แดเนียล ชอว์ตัน (มิสเตอร์ดี) | Daniel Shawton (Mr.D) พลัง: ทำให้โฮสท์มีสายตาที่ดีขึ้น และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางและละเอียดยิ่งขึ้น | Enhance eyesight. แบทเทิลคราย: - ค่าพลัง:(พลังการทำลายล้าง - B ความว่องไว - D ระยะการควบคุม - A ความทนทาน - E ความแม่นยำ - A ศักยภาพ - B)
|
|
|
Post by jussaateen on Jul 10, 2018 15:10:08 GMT
บทที่ 3 - การต่อสู้ของโฮสท์และแฟนธอม แต่งโดย: Jussaateen —ดูเหมือนว่าหมอนี่จะไม่ใช่ธรรมดา ๆ แฮะ —จ้องเขม็งมาที่เราและหลบกระสุนปืนได้ในวินาทีสุดท้าย เกือบจะคิดไปแล้วไงว่าหมอนั่นมองเห็นเรา —อาจจะเพราะเรามองมันนานเกินไป สัญชาตญาณก็เลยมองตามล่ะมั้ง ถ้าอย่างนั้นก็ก้มต่ำ ๆ ทำเป็นเดินผ่านคนแปลกหน้าและยิงใส่มันให้ตายทีเดียวเลยแล้วกัน
ชายหนุ่มผมสีเหลืองข้าวโพดจรดคิดขึ้นในขณะที่สายตาเหม่อลอยมองท้องฟ้าอย่างสบายใจ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งของเขานั้นถือกระบอกปืนสีดำเอาไว้อยู่อย่างคงที่และแกว่งไปมาอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังยืนเล่นหาอะไรฆ่าเวลาอย่างนั้น
หากแกว่งปืน โยนขึ้นฟ้าไปมาได้ก็คงทำไปแล้ว ดวงตาของชายหนุ่มที่กำลังเหม่อลอยพูดออกมาเช่นนั้น ทว่าก็อดใจกลั้น หาได้ทำตาม เพราะเขารู้ดีว่าหากทำตามได้ล่ะก็ คงจะไม่ต้องระวังและใช้เวลาขนาดนี้
พลังแฟนธอมของเขา —'สวีด ดรีม' มีความสามารถในการลบร่างกายของตนให้มิดชิดหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนกับเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่ ณ จุด ๆ นั้น ไม่มีทางที่จะสามารถมองเห็นร่างโฮสท์และตัวแฟนธอมเองได้ตราบใดที่ยังใช้พลังอยู่ เหมือนกับเป็นมนุษย์ล่องหนดี ๆ เลยนั่นแหละ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงต้องทำอะไรให้ระมัดระวังและไม่เกิดเสียงที่สุด เพราะพลังของเขาลบเพียงภาพเท่านั้น แต่ไม่ได้ลบเสียงด้วยนั่นเอง
—แต่ว่าพลังนี้นี่ เหมาะกับเราจริง ๆ สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นพลังที่เชื่อมต่อผ่านวิญญาณของอีกโลกหนึ่ง วิญญาณของฉัน คงจะเป็นจอมโจรแห่งภพนั้นเลยล่ะสินะ —เหมาะเหมงกับปีแอร์ผู้นี้จริง ๆ มันคงไม่มีแฟนธอมตัวไหนที่จะเหมาะไปกับฉันมากกว่านี้อีกแล้วล่ะ —ถึงจะดูไร้ประโยชน์ในการต่อสู้ แต่สักวันฉันจะใช้พลังนี้ให่ชำนาญ และไล่จัดการเจ้าพวกคนรวย ๆ พวกน่าหมั่นไส้ให้สิ้น และขโมยของมันไปขายให้หมดไปเลย
ชายหนุ่ม— หรือ ปีแอร์ คิดขึ้นมากับตัวเขาเองด้วยรอยยิ้มขบขันสะใจ ในขณะที่เขากำลังจินตนาการภาพของตัวเขาใช้พลังล่องหนนี้ในการบุกเข้าไปปล้นบ้านหลังต่าง ๆ อย่างสบาย ๆ ไร้ปัญหาใด ๆ และโกบเงินไปกว่าหลายมูลค่าหลักแสน
—แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ก็ต้องคอยทำงานให้กับเจ้าพวกนั้นก่อนสินะ.. เอาเถอะ เราก็ติดหนี้บุญคุณที่ทำให้ได้พลังนี้มาล่ะนะ จะช่วยทำงานสกปรกสักสองสามงานจะเป็นอะไรไปล่ะ —พูดถึงแล้ว.. เริ่มเบื่อเหมือนกันแฮะ รีบจบ ๆ งาน ฆ่าหมอนี่ทิ้ง แล้วกลับไปรายงานก็แล้วกัน ที่เหลือก็ให้ 'แมทธิว' เก็บกวาดเอาเอง
ปีแอร์ที่เหม่อลอยไปนานจนกลับคืนสติได้ดังนั้น ก็ลดระดับสายตาลงมา กลับมาจรดมองไปยังเป้าหมายของเขาเบื้องหน้า ชายวัยราว ๆ สี่สิบในชุดสูท ที่ก่อนหน้านี้หลบกระสุนปืนของเขาไปได้อย่างเฉียดฉิว และสูญเสียแว่นกันแดดสีดำนั่นไป
ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม จรดมองมายังทิศทางของปีแอร์ และแม้จะเพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าทั้งสองสบตากัน ดังกับว่าชายเบื้องหน้าเขามองเห็นตัวปีแอร์อะไรอย่างนั้น ซึ่งก็ทำชายหนุ่มตกใจเอาไม่น้อย
—ตกใจหมด! นึกว่ามองเห็นเราซะอีก เจ้าหมอนี่!.. อ่ะ —อะไรน่ะ?.. กังฟูเหรอ?
ทว่าในขณะที่ปีแอร์กำลังทำท่าทีสบายใจและไม่ได้เดือดร้อนใด ๆ ในสถานการณ์นี้ราวกับกำลังเหยียดหยามอยู่นั้น สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับท่าทางการยืนของชายสวมสูทร่างใหญ่ที่ยกแขนทั้งสองขึ้นมาราวกับท่าตั้งมวยจีนโบราณ
—พอรู้ว่าเสียเปรียบเลยจะต่อยมั่ว ๆ เอาเหรอ?.. น่าสมเพชชะมัดเจ้าหมอนี่ —ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นการต่อสู้โหด ๆ เสียอีก เพราะเห็นถึงขนาดต้องตามฉันมาช่วยจัดการ แต่การต่อสู้น่ะหมายความว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิชนะ ต่างสะบักสะบอมเพื่อผลประโยชน์เดียว —แต่ก็อย่างที่เห็น เกมมันขาดตั้งแต่แรกแล้ว! ชัยชนะมันอยู่ข้างข้าผู้นี้มาตั้งแต่แรกแล้วเฟ้ย!
แม้ปีแอร์์ควรจะหวาดเกรงกับภาพเบื้องหน้า ความคิดของเขาก็ยังคงแล่นไปมาในสมองอย่างไร้ปัญหาใด ๆ ก่อนที่จะเริ่มก้าวขาไปทางขวาทีละก้าว ทีละก้าวอย่างแผ่วเบาจนปราศจากซึ่งเสียงใด ๆ เลยแม้แต่น้อยนิด
รอยยิ้มบนใบหน้าฉีกกว้งยิ่งขึ้น เมื่อสายตาสบมองใบหน้าที่นิ่งตึงและไม่ขยับเขยือนตามกายาของชายหนุ่ม แสดงให้เห็นว่าชายสวมสูทผู้ที่ดูเหมือนจะออกท่าโจมตีเขาด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งนั่น สุดท้ายแล้วก็มิอาจมองเห็นตัวเขา
—มันจบแล้วล่ะ มิสเตอร์ดี
เขาค่อย ๆ เล็งปืนพกสีดำตรงไปยังทิศทางของมิสเตอร์ดีจากขนาบขวา บรรจงเล็งระยะของกระบอกปืนให้ตรงกับหน้าผากของมิสเตอร์ดี และใช้เวลาพอสมควรในการกระทำให้มือของเขาหยุดนิ่ง
—ตายซะ
ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างกายที่เคยนิ่งสนิทก็ไหวตึง!
พรึ่บ! —นานิ!?
ตัวมิสเตอร์ดีพลันกระโดดพุ่งตรงมายังทิศทางของปีแอร์อย่างว่องไวแล้วโยนหมัดขวาเข้าใส่เบื้องหน้าของเขา ชายหนุ่มที่มองเห็นทันคว้าตัวถอยออกมาด้วยความตกใจในทันที เสียงของหมัดขวากระแทกเข้ากับลมอย่างรุนแรง จนก่อให้เกิดเสียงปะทะกันระหว่างมวลอากาศและผิวหนัง ดังเช่นเสียงปรบมือที่ดังสนั่นกังวาลไปทั่วภายในห้องประชุม แต่แม้จะดังและสร้างความตื่นตระหนกให้ชายหนุ่มเพียงใด มันก็มิอาจตอบคำถามในหัวของชายหนุ่มได้
—หากหมอนี่มองเห็นเราล่ะก็.. เราก็ควรจะโดนสอยร่วงไปแล้วแท้ ๆ .. แต่ว่า!
มิสเตอร์ดีกลับหยุดอยู่ที่ท่าชกหมัดอย่างนั้น และหาได้ขยับใด ๆ อีกแม้แต่ดวงตาของเขาที่ปราศจากการกะพริบ การเคลื่อนไหวใด ๆ เพียงแค่กระโดดออกมาแล้วปล่อยหมัดตามสัญชาตญาณ หารู้ไม่ว่าปีแอร์อยู่ห่างจากเขาไปเพียงไม่ถึงไม้บรรทัดหนึ่งอันด้วยซ้ำไป
ปีแอร์ที่ทำอะไรไม่ถูก พยายามขยับขาของเขาถอยออกมา ทว่าเพียงพริบตาเดียวที่ร่างกายของปีแอร์เคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม เขาก็รู้สึกได้ว่าหางตาของมิสเตอร์ดีจะเคลื่อนตามเล็กน้อย บัดนี้ไม่ว่าจะมองเห็นเขาจริงหรือไม่ ปีแอร์ก็บอกได้เพียงแค่ว่า หากยังอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไปอีกล่ะก็ เขาคงจะต้องโดนจัดการแน่
—ชักจะตลกไปใหญ่แล้วนะแก!
ใช้เวลาอยู่สักพักกว่าปีแอร์จะถอยหลังออกมาได้อย่างปลอดภัย และทิ้งระยะห่างจากมิสเตอร์ดีไปได้ราว ๆ สามเมตรเห็นจะได้ โดยหลังจากนั้นตัวปีแอร์ที่แสงสีหน้าไม่พอใจและหงุดหงิด ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากนั้นก็เล็งปืนของเขาตรงไปยังมิสเตอร์ดีอีกครั้ง ทว่าด้วยความนุ่มนวลมากขึ้นและลดซึ่งเสียงลงจนแทบจะไม่มีเลยแม้แต่น้อย
—ไอเมื่อกี้น่ะก็แค่ฟลุ๊คนั่นแหละ.. คราวนี้แหละ จะเป่าให้กระจุยเลย!
"ตรงนั้นสินะ แก"
ทว่าเมื่อนั้น มิสเตอร์ดีก็เอ่ยปากพูดขึ้นด้วยสีหน้าและรอยยิ้มที่มั่นใจกว่าสิ่งใด ส่งสายตาสีฟ้าเข้มมายังชายหนุ่มที่กำลังเล็งปืนมายังทิศทางของชายสวมสูท
—อะ.. !!?
ปัก! บัดนั้นที่ปีแอร์รู้สึกตัว มิสเตอร์ดีก็ปล่อยลูกเตะพุ่งเข้าใส่ก้านคอของเขาอย่างรุนแรง
ร่างกายปลิวสะบัดไปตามแรงของลูกเตะ คางที่รับแรงกระแทกไปอย่างเต็ม ๆ เริ่มโครงเครงและส่งเสียงจากภายในราวกับมันกำลังจะแตกหักออกมาคาปากของเขา หลังจากหมุนไปได้สองถึงสามรอบตัวชายหนุ่มก็ใช้ขาหยุดการเคลื่อนไหวของตนลงได้ แล้วเล็งปืนไปยังมิสเตอร์ดีอีกครั้งด้วยความโมโหแค้น และความหวาดกลัวในคราวเดียวกัน
—หมอนี่! เห็นเราได้ไงกัน!?
แขนที่สั่นไหวไปทั่ว พยายามจับการเคลื่อนไหวของมิสเตอร์ดี ทว่าชายสวมสูทผู้นี้เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วจนเกินไป ไม่แม้แต่คราวเดียวที่กระบอกปืนจะไล่ตามเขาทันในวิสัยทัศน์ของปีแอร์ ซึ่งนั่นก็ยิ่งสร้างความหวาดผวาให้กับเขาเข้าไปใหญ่ จนสามารถบอกได้อย่างเต็มคำว่านี่คงจะเป็นความรู้สึกกลัวและการถูกต้อนจนมุมที่สุดเท่าที่เขาเคยประสบมาก่อนก็ว่าได้
—เร็วมาก! หมอนี่เร็วเกินไปแล้ว! ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้เราก็รู้แล้วว่าพลังของหมอนี่คือช่วยให้สายตาดีขึ้น แต่ไอความเร็วและพละกำลังแบบนี้ ถ้าไม่ได้มาจากแฟนธอมแล้ว ก็หมายความได้แค่อย่างเดียว! —หมอนี่เป็นตัวอันตราย! โคตรท็อปของตัวอันตรายเลย!
—ชิบหายแล้ว! มันเข้ามาถึงขนาดนี้แล้ว! คงต้องยิงตอนนี้เลยนั่นแหละ! ไอเวรเอ้ย!
ตุบ! ปีแอร์ที่ตัดสินใจจะยิงปืนและจัดการเหนี่ยวไกนั้นเอง ถูกมิสเตอร์ดีคว้าแขนเอาไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่มิสเตอร์ดีจะจัดการจับชายหนุ่มล่องหนผู้นี้ขึ้นมา แล้วทุ่มลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง ในขณะที่มือซ้ายยังคงจับมือข้างที่ถือปืนของปีแอร์เอาไว้อย่างแน่นหนา
"ป— เป็นไปไม่ได้!"—
หมับ! สิ้นสุดลงด้วยหมัดขวาของมิสเตอร์ดี ทิ้งตัวลงต่อยลงไปอย่างรุนแรงบนใบหน้าล่องหน สัมผัสและทำลายจมูกของปีแอร์จนเบี้ยวผิดรูปทรงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ในขณะที่ดวงตาของชายหนุ่มหมุมกรอกไปทั่วด้วยความเจ็บปวดไปทั่วใบหน้า และเลือดที่เริ่มวิ่งแล่นไปทั่วร่างกายและไหลออกมาจากจมูกและปากเล็กน้อย ราวกับกระบวนการภายในร่างกายกำลังเกิดความผิดพลาดอย่างหนัก
เอาเข้าจริง ปีแอร์ก็พูดถูก
การต่อสู้หมายความว่าทั้งสองฝายต่างสะบักสะบอมและแก่งแย่งชิงอย่างสูสีเพื่อสิ่ง ๆ เดียวกัน แต่ว่านี่ ไม่ใช่การต่อสู้มาตั้งแต่แรกแล้ว เป็นแค่โชคชะตาที่เล่นขบขันกับมนุษย์ล่องหนหนุ่มนี้เท่านั้น พลังแฟนธอมเริ่มจางหายไป ร่างกายที่เดิมล่องหนและเป็นเพียงอากาศธาตุที่แตะต้องได้นั้น เริ่มกลับมามีใบหน้าและสีสันรูปร่างอย่างมนุษย์ดังเดิม ซึ่งทำให้มิสเตอร์ดีและลีอองเกิดความตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า
ภาพของชายหนุ่มวัยราว ๆ ยี่สิบในชุดไปรเวท กำลังนอนหงายกับพื้นด้วยใบหน้าที่สะบักสะบอมอย่างหนัก อันเกิดจากการโจมตีอันรุนแรงและหนักหน่วงของมิสเตอร์ดีที่ใบหน้าถึงสองคราว ซึ่งก็มิได้ทำให้ชายสวมสูทแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
"ถึงฉันจะมองไม่เห็นร่างกายของแกเลยก็ตามด้วยผลของแฟนธอมของแก.." "แต่ฉันก็ยังคงมองเห็นการเคลื่อนไหวของแกอยู่ แค่จรดสมาธิดูที่การเคลื่อนไหวของลม และคาดคะเนสรีระก็พอจะจัดการแกแล้ว" "แต่ถึงแม้ว่าผลจะล็อคอยู่แล้วก็ตาม.. ถ้าเกิดว่าฉันไม่ระวังตัวล่ะก็ คงจะเสร็จนายไปแล้ว ตรงจุดนั้นจะขอชื่นชมสักเล็กน้อยก็แล้วกัน"
มิสเตอร์ดีที่คาดคะเนว่าชายที่นอนแน่นิ่งสิ้นสภาพเบื้องหน้าคงจะกำลังสงสัยอยู่ว่าเขาจัดการได้อย่างไร จึงเสียเวลาอธิบายเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวชื่นชมเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อ มิได้ฟังดูเหมือนคำชมแต่อย่างใด
"เอาล่ะ.. ทีนี้.. ฉันรู้ว่าแกกำลังแอบฟังเราอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว" ทว่าทันใดนั้นเอง มิสเตอร์ดีก็ใช้นิ้วจรดชี้ไปยังชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นทันใด ด้วยสีหน้าที่จริงจัง และคำพูดที่หนักแน่นสมดังร่างกายอันบึกบึนของเขา
"แกถึงได้โจมตีเราในคราวสุดท้าย คงจะเป็นเพราะฉันได้อะไรที่พวกของแกไม่ควรจะรู้เข้าสินะ คงจะเกี่ยวข้องกับลีอองล่ะสินะ" "ฉันต้องการคำตอบ.. ตอบฉันมา! แกทำงานให้กับใคร! และคิดจะทำอะไรในมูนไบรท์แห่งนี้!?" "แกกับพวกของแกน่ะ เกี่ยวข้องกับมีดเล่มนั่นใช่มั้ย!?"
หลากวาจาถูกยิงซัดเข้าใส่ และจ่ออยู่เบื้องหน้าตัวชายหนุ่มที่เริ่มจะได้สติกลับคืนมาเพียงเล็กน้อยและเริ่มขยับใบหน้าไปมาอย่างเชื่องช้าด้วยทีท่าเหน็ดเหนื่อย บัดนี้มิสเตอร์ดีราวกำลังจรดปืนพกอยู่กลางขมับของปีแอร์ ซึ่งปืนกระบอกนั้น ก็คือคำพูดทั้งหมดที่ถูกยิงออกมาเมื่อกี้นี้นั่นเอง
และในขณะเดียวกันนั้นเอง ลีออง— ซึ่งยืนอยู่ในระยะที่ไม่ใกล้และไม่ไกลจนเกินไปกับมิสเตอร์ดีและปีแอร์ที่นอนเหมือดอยู่บนพื้น ก็แสดงสีหน้าที่งุนงงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก จนบัดนี้แม้แต่ตัวเขาเองยังเริ่มแอบสงสัยแล้วว่าจะมีอะไรที่จะทำให้ตัวเขาสับสนและวุ่นวายมากกว่านี้อีกหรือไม่
—มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อกี้น่ะ? —ไม่ถึงหนึ่งนาที.. ไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ! เราเห็นแค่มิสเตอร์ดีต่อยหมัด เตะแข้งขาไปมากับอากาศแค่นั้น แล้วชายคนนั้นจู่ ๆ ก็โผล่มานอนสะบักสะบอมตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เมื่อนั้นเอง ลีอองจึงเหลือบคิดได้ถึงคำพูดของมิสเตอร์ดีก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ตัวชายหนุ่มถึงกับเริ่มสั่นไหวไปมาด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย ตัวเขาเองไม่ใช่คนที่ชอบจะแสดงด้านที่อ่อนแอให้ใครเห็น หรือหาจะพูดให้ถูกคือไม่เคยด้วยซ้ำไป.. ทว่าคำพูดนั้นกลับถูกกลับหัวอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาได้เรียนรู้กับโลกลับแห่งโฮสท์เช่นโลกแห่งนี้เป็นครั้งแรกนั่นเอง
—การต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างโฮสท์และแฟนธอม.. —นี่คือการต่อสู้นั้นจริง ๆ น่ะเหรอ?.. เราจะต้องเจอกับสถานการณ์แบบนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ? —บ้าบอ!.. นี่มันต้องเป็นความฝัน ความฝันแน่ ๆ!
"อึก" ปีแอร์เริ่มส่งเสียงออกมาจากปากของเขา มิสเตอร์ดีที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเริ่มเพ่งสายตามองไปยังชายหนุ่มโดยพลันด้วยความหนักแน่นยิ่งขึ้น "ตอบฉันมา!—"
"ต.." เเละทันใดนั้นเอง ขณะที่มิสเตอร์ดีกำลังจะย้ำคำพูดของเขานั้น ปีแอร์จึงส่งสายตาอันมากด้วยโทสะเข้าใส่มิสเตอร์ดี แล้วกัดฟันเปล่งวาจาขึ้นอย่างสุดเสียง "ตอบกับผีแกล่ะสิ! ไอ้แก่เอ้ย!" "คิดว่าอัดฉันจนหมอบแล้วจะหมายความว่าชนะ! แล้วจะขออะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ!? ถ้าอย่างนั้นล่ะก็แกน่ะ.. ก็คิดผิดมหันต์แล้ว!"
ควั่บ! เสียงของร่างกายของบางอย่างกระทบลงไปกับพื้นดินจากด้านหลังของมิสเตอร์ดี เมื่อมิสเตอร์ดีเหลือบหลังไปมองนั้นเอง จึงสังเกตเห็นถึงร่างกายขนาดดังเช่นมนุษย์ มันสวมชุดเกราะรัดรูปสีดำขนาดใหญ่ และบริเวณหัวก็มีแก้วสีส้มบางอย่างตั้งอยู่ ราวกับหมวกเกราะของมัน นอกจากนี้แล้วตรงส่วนที่ควรจะเป็นปากของมนุษย์นั้น กลายเป็นสายไฟอันรุงรัง โยงติดกับกลางชุดเกราะของมันนั่นเอง
—ไม่ผิดแน่! นั่นต้องเป็นแฟนธอมของเจ้าหมอนี่!
"สวีด ดรีม! หยิบปืนขึ้นมาแล้วยิงมันให้กระจุยเลย!" "อย่าหวังสูงหน่อยเลย ไอเวร!"
มิสเตอร์ดีจัดการชกหมัดเข้าใส่ปีแอร์อีกครั้งอย่างรวดเร็วและรุนแรงด้วยความโมโหที่เห็นว่าชายที่เขาพึ่งอัดไปนั้น ยังมีเรี่ยวแรงพอจะสั่งการแฟนธอมได้ แต่แม้จะซัดด้วยแรงเพียงใดก็ตามมันก็มิได้ช่วยหยุดการเคลื่อนไหวของแฟนธอมตัวนั้นแต่อย่างใด จนสุดท้ายมันก็ใช้มือของมันดึงกระบอกปืนของปีแอร์ขึ้นมาจากพื้นดินได้แล้ว
ทว่าแฟนธอมของปีแอร์— สวีด ดรีม นั้นหาได้คว้าปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปยังมิสเตอร์ดีอย่างที่เขาคิดแล้วเตรียมการจะรับมือไว้แล้ว หากแต่มันกลับเล็งกระบอกปืนไปหาลีอองแทน ซึ่งด้วยภาพตรงหน้าเช่นนั้นก็ทำให้มิสเตอร์ดีหยุดชะงักไปชั่วขณะ
—บ้าน่า! หรือว่าหมอนี่จะ!
"ฉันถูกจ้างมาให้ปิดปากหมอนี่ถ้าจำเป็น เพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลก็เท่านั้น ฉะนั้นแล้วล่ะก็! ปิดปากมันเลย! สวีด ดรีม!" "เอ็นดีเวอร์! จัดการสวีด ดรีมซะ!"
ปัง! กระสุนปืนถูกเหนี่ยวไกออกมาจากกระบอกปืนบนมือของสวีด ดรีม ก่อนที่อสูรปลาดาว— แฟนธอมของมิสเตอร์ดี 'เอ็นดีเวอร์' จะปรากฏออกมา แล้วพุ่งเข้าใส่หัวของสวีด ดรีมอย่างรวดเร็วและรุนแรง ผลักแฟนธอมตนนั้นลงไปกับพื้นก่อนจะเริ่มบีบรัดหัวของมันจนเกิดรอยบุบแตกหัก ในขณะที่กระบอกปืนนั้นกระเด็นกลับมาอยู่ที่มือของปีแอร์ราวกับโชคเข้าข้างชายหนุ่ม
ทว่าด้วยเหตุนั้นเอง ตามกฏสัมพันธ์ระหว่างโฮสท์และแฟนธอมแล้วนั้น— ใบหน้าของปีแอร์จึงเกิดรอยของการบีบรัดใบหน้า ก่อนที่ใบหน้าของเขาทั้งหมดจะบิดเบี้ยวและแตกหักในชั่วพริบตา จนแทบจะเสียรูปทรงไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว ซึ่งทันทีที่ใบหน้าของปีแอร์กลายเป็นเช่นนั้นพร้อมกับหยดเลือดที่ไหลออกจากปากของเขา แฟนธอมตัวนั้นก็หายไปกับอากาศธาตุในทันทีทันใด
แต่ว่ามิสเตอร์ดีไม่ได้สังเกตหรือสนใจปีแอร์อีกต่อไปในขณะนี้ ดวงตาของเขาจรดมองเพียงอย่างเดียว อย่างเดียวเท่านั้นในชั่วพริบตานั้น
—เราช้าไป! บัดซบเอ้ย! อย่างนี้ล่ะก็ ลีอองได้ตายแน่!
และชั่วพริบตานั้นเอง มิสเตอร์ก็ตัดสินใจหลับตาลง เพื่อปิดบังวิสัยทัศน์แห่งความตายที่เขาคาดคะเนออกไปให้พ้นตา เพื่อมิให้มันเป็นตราบาปให้กับเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่ตราบาปที่เขาจะต้องสูญเสียพยานเกิดเหตุสำคัญ ที่อาจช่วยให้ภารกิจของเขาลุล่วงได้ แต่เป็นการที่ตน พลาด มิอาจปกป้องผู้อื่นได้ต่างหาก
ควั่บ! ...
"น— นานิ!?" มิสเตอร์ดีที่คาดคิดว่าจะเกิดเสียงแผละของสมองที่กระจุยออกนั้น ก็เริ่มลืมตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเห็นภาพที่ไม่อยากจะเชื่อเบื้องหน้าของเขา "อ— อะไรเนี่ย!—"
ตุบ!
ร่างกายของลีอองล้มลงไปนั่งบนพื้นถนน ในขณะที่ดวงตาของเขากำลังเบิกโพลนด้วยความตกใจเช่นเดียวกับร่างกายของเขาที่เริ่มสั่นครือ นิ้วมือของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลร้อยแปดใด ๆ ก็ตาม แต่มันสามารถเคลื่อนมาแล้วคว้ากระสุนปืนเอาไว้ได้ โดยปราศจากบาดแผลใด ๆ ราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่ก้อนหินธรรมดา ๆ เม็ดหนึ่งก็เท่านั้น ซึ่งแม้แต่ตัวลีอองเองยังทึ่งในสิ่งที่เขากระทำไปโดยสัญชาตญาณเมื่อก่อนหน้านี้เลย
—นี่เรามองเจ้านี่ทันเหรอ?.. กระสุนปืนน่ะเหรอ?
"บ— บ้าน่า..— ไม่สิ.. เป็นแฟนธอมที่ทรงพลังมาก" มิสเตอร์ดีตะลึงจนพูดติดขัดไปพักหนึ่ง ทว่าไม่นานก็รวมสติกลับมาดังเดิมแล้วกล่าวชื่นชมขึ้นมาด้วยทีท่าสุขุมดังเช่นก่อนหน้า "..ลุกไหวมั้ย นายน่ะ" "..ไหวครับ ไม่เป็นไร" ลีอองเก็บความอ่อนแอของเขากลับเข้าไปในตัวด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปในปอดใหญ่ ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วจึงพยุงร่างกายของเขาขึ้นมายืนเองโดยไม่รับความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ดีแต่ใด
"แล้ว.. คุณรู้จักเขามั้ยครับ?"
ลีอองเอ่ยปากถามมิสเตอร์ดีขึ้นมาทันใดเป็นอย่างแรกเมื่อเขาลุกขึ้นยืนจนสุดขาได้ ทว่าแม้จะพยายามรวบรวมทีท่าให้ดูนิ่งขรึมที่สุดดังเช่นเวลาปกติของเขานั้น แต่ชายสวมสูทก็ยังคงสังเกตเห็นเหงื่อที่ค่อย ๆ ไหลรินลงมาตามหน้าผากอย่างเชื่องช้านั่นอยู่ดี
—คงมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละนะ ที่จะยังทำขรึมอยู๋ได้ในสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกน่ะ ขนาดนี้ก็ถือว่าดีแล้วล่ะ
"ฉันควรจะถามนายต่างหาก แต่เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็รู้คำตอบจากฝั่งนายแล้ว" มิสเตอร์ดีเลี่ยงการพูดถึงลีอองไปแล้วกลับมาให้ความสนใจกับปีแอร์ที่นอนนิ่งอยู๋บนพื้นอีกครั้งหนึ่ง "เฮ้ย ยังพูดได้อยู่ใช่มั้ย? แกน่ะ"
ปีแอร์ ณ ปัจจุบันนั้น มีใบหน้าที่เละยุ่งเหยิงผิดรูปผิดทรง จนหากเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วคงจะไม่มีใครกล้าบอกเลยว่าสองคนนั้นเป็นชายคนเดียวกัน ทว่าโขคยังดีสำหรับตัวชายหนุ่ม ที่ปากกับจมูกของเขานั้นยังไม่บิดจนผิดทรงเท่ากับส่วนอื่น จึงยังพอสามารถใช้การได้ ทว่าในทางกลับกันนั้น ดวงตาของปีแอร์ ณ ปัจจุบัน เข้าขั้นที่เรียกว่าเสมือนตาบอดแล้วก็ว่าได้
"พ— พวกแก.. เป็น— คนขององค์กร— ที่ว่า.. เหรอ?" แม้จะฟังได้ยากและมีเสียงสำลักเลือดในลำคอเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง
"เปล่า.. หมอนี่ไม่ใช่หรอก แค่ฉันคนเดียว.." "แต่ว่านั่นไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือฉันต้องการข้อมูลจากนาย ข้อมูลทั้งหมด ฉะนั้นเริ่มปริปากแล้วพูดออกมาซะ ถ้านายคายข้อมูลออกมาทัน ยังพอจะส่งโรงพยาบาลได้ทันนะ แต่เกิดปล่อยแกไว้อย่างนี้ล่ะก็ อีกเดี๋ยวก็คงจะได้เน่าตายกลางถนนแล้วล่ะ"
"ถ้าเกิดฉันทรยศเจ้าพวกนั้นล่ะก็.. ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายหรอก.." "ถ้าอย่างนั้นก็ตายตรงนี้ไปเลยก็แล้วกัน"
"ด— เดี๋ยว!.. ก— ก็ได้ ก็ได้.. ค— คายก็ได้.. มาทิ้งชีวิตตรงนี้ก็คงจะไม่ได้อะไรเหมือนกันสินะ.. แพ้อนาถเลยล่ะ คงจะตายตาไม่หลับแน่ ๆ เรา.." หลังจากที่มิสเตอร์ดีและปีแอร์แลกคำพูดไปมาอยู่นั้น สุดท้ายแล้วก็เป็นฝ่ายปีแอร์ที่ยอมจำนนแต่โดยดีในที่สุด ก่อนที่ตัวเขาจะเริ่มอ้าปากเพื่อตอบคำถามของชายสวมสูทไป
ทว่าหารู้ไม่ว่าบัดนี้ นับแต่วินาทีที่ปีแอร์ยอมพ่ายแพ้นั้นเอง ชีวิตของเขาก็ดับสิ้นลงแล้ว ในขณะเดียวกัน จากระยะห่างราว ๆ สามร้อยเมตรนั้นเอง ชายผมสีดำหยิก— คนเดียวกับที่คุยกับปีแอร์ก่อนหน้านี้และสะกดรอยตามลีอองมาตั้งแต่เริ่มนั้น กำลังจรดมองด้วยกล้องส่องทางไกลขนาดพกพา พร้อมด้วยทีท่ากลุ้มกลิ่มมีรอยยิ้มบนใบหน้าราวกำลังเพลิดเพลินในการสังเกตการณ์ของเขา แม้ว่าจริง ๆ แล้วในหัวของเขานั้นแทบจะมีแต่สมาธิและเจตนามุ่งจะคิดร้าย สังหารก็ตามแต่
ปัจจุบันตัวเขาอยู๋บนเพดานดาดฟ้าของบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งหากมองในมุมมองหนึ่งก็ถือได้ว่าเขากำลังบุกสถานที่พักของผู้อื่นล่ะนะ แต่ว่าก็อย่างในคำกล่าวของคน ๆ หนึ่ง.. อย่าโดนจับได้ก็เพียงพอแล้ว
—ดูเหมือนว่าปีแอร์จะถูกเล่นงานสินะ —ถึงหมอนั่นจะถือว่าอ่อนแอที่สุดในกลุ่มก็เถอะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าแฟนธอมของหมอนั่นจัดว่าอันตรายเป็นอันดับกลางทีเดียว ถ้าจะจัดการหมอนั่นได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ก็ถือว่าตรงตามข้อสันนิตฐานของเราแล้ว —เจ้าคนสวมสูทนั่น.. ต้องเป็นคนของสแวนเดเนเดียแน่ ๆ!
'สแวนเดเนเดีย' นามนี้เป็นนามที่โฮสท์ทุก ๆ คนต้องรู้จักหากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของโฮสท์และแฟนธอมมากพอ ทว่าสีหน้าท่าทางของผู้ที่รู้จักนามนี้นั้นล้วนแล้วแตกต่างกันไปแล้วแต่คน บ้างก็คงจะรู้สึกดี และปลอดภัย ทว่าอีกด้านหนึ่งคงจะรู้สึกเหมือนถูกหมายปองล่า และเป็นอันตรายอยู่ตลอด
สแวนเดเนเดียนั้น แรกเริ่มคือตระกูลที่รับใช้ให้กับศาสนจักรโดยตรง คอยมีหน้าที่เก็บกวาดผู้มีความผิด และศัตรูกับศาสนจักรตลอด ทว่าไม่นานหลังจากหน้าที่ของพวกเขาก็เริ่มถูกจำกัดให้คับแคบลง และ ณ ปัจจุบันก็กลายเป็นชื่อขององค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุม ดูแล และจัดระเบียบให้กับเหล่าโฮสท์ทั้งหลายนั่นเอง
หากจะเปรียบเทียบให้ถูกต้องที่สุด พวกเขาก็คือตำรวจ ที่มีหน้าที่ปกป้อง และดูแลโฮสท์ และคอยจับกุม พิพากษาการกระทำผิดกฏหมายที่ก่อเหตุโดยโฮสท์ ซึ่งขึ้นตรงแต่เพียงโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
แน่นอนว่าด้วยเหตุนั้น โฮสท์หลาย ๆ คนอย่างตัวชายหนุ่มเอง จึงเกลียดชังและหวาดเกรงในพวกสแวนเดเนเดียเป็นอย่างมาก.. เพราะว่าพวกเขาก็เหมือนกับศาลเตี้ย ที่มีตัวตนอยู่เพียงเพื่อกำจัดโฮสท์เช่นเขาให้สิ้นซากไปก็เท่านั้น
—เป็นพวกที่น่ารำคาญชะมัด เหมือนกับแมลงวันที่สักแต่จะบินไล่ตอมอาหารอะไรอย่างนั้น จะไล่ไปสักกี่ครั้ง สุดท้ายมันก็จะตอมให้ได้อยู่ดี —แต่ว่า พวกนั้นก็พอจะเตรียมการรับมือไว้แล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ทำตามคำสั่งที่ได้มาให้สำเร็จ รับค่าจ้างแล้วกลับบ้านก็พอ
รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า ในขณะที่ชายหนุ่มเริ่มล้วงหาบางอย่างออกจากกระเป๋าสะพายซึงตั้งอยู่ด้านหน้าของเขา โดยเมื่อเขาคว้าวัตถุชิ้นนั้นขึ้นมาได้แล้วนั้น ก็เริ่มโยนไปมาเล่น ๆ บนมือของเขา ราวกับเพื่อทดสอบดูว่ามันมีน้ำหนักอยู่ประมาณเท่าไหร่
"ขอโทษนะ ปีแอร์ เพื่อนยาก ถึงเราจะรู้จักกันมาได้พอสมควรและเข้าขากันได้ดีก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่านายจะต้องเกษียณก่อนกำหนดแล้วล่ะ" "เพื่อความปลอดภัยของกลุ่มเรา เป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องปิดปากนายเอาไว้ล่ะนะ ขอโทษด้วย.. ส่วนเจ้าคนสวมสูทกับลีออง เดี๋ยวฉันจะจัดการต่อเอง"
บัดนั้นเองชายหนุ่มก็เริ่มแสยะยิ้มออกมา ในขณะที่ลมเริ่มพัดไสวผมของชายหนุ่มไปมาจนเริ่มเสียทรง ราวกับว่าผมสีดำหยิกของเขานั้น แท้จริงแล้วหาใช่ผมแท้ ๆ แต่อย่างใด แต่เป็นวิกผมต่างหาก
"ลาก่อน.." เมื่อนั้นเอง เขาก็ดึงบางอย่างออกจากวัตถุชิ้นนั้น ลักษณะคล้ายคลึงกับแหวนสีดำขนาดใหญ่ พร้อมกับมีลูกกลม ๆ ขนาดเล็กบางอย่างลอยขึ้นมาเกาะบนวัตถุชิ้นนั้นและเลืองแสงสีแดงออกมา "สวิตช์" ก่อนที่ชายหนุ่มจะโยนขึ้นไปกลางอากาศพร้อมกับจรดมองบริเวณของปีแอร์ ชายสวมสูทและลีอองผ่านกล้องส่องทางไกล
"จะบอกว่านาย.. รับงานผ่านนายหน้าอีกทีหนึ่งอย่างนั้นเหรอ?" "อ.. อ่า.. ใช่ เพราะดูเหมือนว่าหัวหน้า คนสั่งการตัวจริงจะเป็นคนที่ค่อนข้างขี้ระแวงพอสมควรเลยล่ะนะ ก็เลยใช้วิธีนี้แทน" "แต่ว่าก็พอจะรู้ว่าเป็นคนที่มีเส้นสายเอามากในตลาดมืดพวกนั้นล่ะนะ.. ถ้าให้เดาแล้ว ถ้าไม่ใช่พวกแก๊งมวยใต้ดินแล้ว ก็คงจะเป็นพวกแก๊งมาเฟียที่มีข่าวลือกันล่ะมั้ง.. ซึ่งถ้าถามฉันล่ะก็ ฉังคงจะเลือกอย่างหลังซะมากกว่า แต่ถามว่าจะหาพวกนั้นได้จากที่ไหนล่ะก็ ฉันไม่รู้หรอก"
"อืม.. ก็เป็นข้อมูลที่มากพอตัวแล้ว"
มิสเตอร์ดีที่ยืนฟังคำสารภาพของปีแอร์อย่างเงียบ ๆ ก็พยักหน้าตามเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไปอย่างสั้น ๆ และห้วน ๆ กับชายหนุ่ม ในขณะที่ปีแอร์นั้นยังคงอยู่ในสภาพปางตายบนพื้นอยู่ไม่ต่างจากเดิม
"ถ้าอย่างนั้นก็เหลือคำถามสุดท้ายแล้วล่ะ" มิสเตอร์ดีพลันดึงแว่นตาสีดำตัวใหม่ออกจากเสื้อของเขาอีกคราวหนึ่งแล้วสวมมันในขณะที่ปากกำลังพูดอยู่ "นายหน้าคนนั้นน่ะ รู้จักชื่อหมอนั่นรึเปล่า?" ".. จะบอกว่าหมอนั่นก็ไม่เชิงหรอก.. ต้องเรียกว่า หล่อน จะดีกว่า" ทว่าเมื่อคำสุดท้ายดังออกจากปากของปีแอร์ มันก็ทำให้คิ้วซ้ายของมิสเตอร์ดีกระตุกเล็กน้อยด้วยความตกใจ
"หล่อนเหรอ? ผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ?" "ใช่.. และฉันก็ไม่รู้ชื่อเธอด้วย.. รู้แค่ชื่อของพวกรับจ้างคนอื่น ๆ เหมือนกับฉันก็เท่านั้น" "..ถ้าอย่างนั้นก็เอาชื่อพวกนั้นมา"
—ฟิ้ว..
"อ— อา.. ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็.."
—เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มันอะไรน่ะ?
ในขณะที่มิสเตอร์ดีกำลังพยายามล้วงข้อมูลทั้งหมดออกจากปีแอร์อยู่นั้นเอง ตัวลีอองที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ก็ยังคงยืนรักษาระยะห่างพอประมาณแล้วจรดมองรอบ ๆ ด้วยความตั้งใจเพื่อเก็บรายละเอียดการกระทำของชายสวมสูทให้มากที่สุด เพื่อที่ตัวเขาจะได้สามารถเข้าใจเรื่องราวที่ตัวเขาเข้าไปพัวพันนี้ได้ให้ถึงที่สุด
ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว เมื่อก่อนหน้านี้ลีอองรู้สึกได้ ว่าเขาสังเกตเห็นบางอย่างขนาดเล็กบินผ่านตัวเขาไปแล้วไปอยู่ ณ บริเวณใดสักแห่งใกล้ ๆ กับมิสเตอร์ดี แม้มันมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเพียงแมลงขนาดเล็กเช่นยุง หรือแมลงวันก็ตาม แต่ลางสังหรณ์ของชายหนุ่มกลับรู้สึกถึงภัยคุกคามอย่างน่ากังวล
"มิสเตอร์ดี ระวังตัวด้วย!" สุดท้ายแล้ว ลีอองที่รู้สึกว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้นจึงตัดสินใจเตือนมิสเตอร์ดีเอาไว้ ".. อะไรนะ ลีออง?" "ผมเห็นมีตัวอะไรก็ไม่รู้บินไปทางคุณ มันอาจจะเป็นแฟนธอมก็ได้" มิสเตอร์ดีที่ได้ยินเช่นนั้น ก็เอะใจและเริ่มหันซ้ายหันขวามองดูรอบ ๆ ตัวเขา เช่นเดียวกับปีแอร์ที่นิ่งเงียบแล้วพยายามกรอกสายตามองรอบ ๆ ตัวเขาเช่นกันด้วยความหวาดกลัว ซึ่งทันใดนั้นเอง ปีแอร์ก็มองเห็นมัน
"ย— อย่าบอกนะว่า! แฟนธอมตัวนี้มัน—!" มิสเตอร์ดีที่ได้ยินดังนั้นจึงพลันหันมองตามตำแหน่งที่ปีแอร์เหลือบเห็นจากท่านอนหงาย ซึ่งก็คือตรงมือซ้ายของเขา ซึ่งมีกระบอกปืนสีดำกระบอกหนึ่งวางไว้อยู่ในระยะใกล้ ๆ กัน
เช่นเดียวกับลูกบอลสีดำขนาดเล็กเท่านิ้วโป้ง กำลังบินอยู่เหนือกระบอกปืน ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ลงมาเกาะอยู่บนปลายกระบอกปืนพร้อมกับเริ่มส่องแสงสีแดงออกมาจากตัวของมันเองโดยอัตโนมัติ กะพริบไปมาเป็นจังหวะ ราวกับเป็นสัญญาณเตือน
"หล— หลบเร็ว! ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ล่ะก็ รีบหลบไปซะ! หมอนั่นจะใช้พลังแล้ว!" "อะไรนะ!?" ทั้งมิสเตอร์ดีและลีอองที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์นั้น แสดงสีหน้างุนงงออกมา ในขณะที่ปีแอร์นั้นกำลังหวาดผวาในสภาพที่ไร้หนทางรอดนี้อย่างเห็นได้ชัด
"นั่นคือแกรนด์มาเธอร์! พลังของมันก็คือ—" ไม่ทันที่ปีแอร์จะได้พูดอธิบายสถานการณ์ได้สำเร็จให้กับมิสเตอร์ดีและลีออง
ปืนกระบอกนั้นก็หายไปในพริบตา แล้วปรากฏซึ่งระเบิดน้อยหน่าที่กำลังพุ่งมาหาปีแอร์และมิสเตอร์ดี ด้วยความเร็วราวกับถูกขว้างออกมาด้วยบุคคลคนหนึ่ง จากที่แห่งใดก็มิอาจทราบได้
"ส— สายไปแล้วเหรอนี่! บัดซบเอ้ย—!" "ช— ชิบหายแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่!" "หลบเร็ว! มิสเตอร์ดี!"
ชั่วพริบตาเดียวกับที่ทุกคนกำลังตกใจกับการปรากฏกายอย่างฉับพลันของระเบิดลูกนั้น มิสเตอร์ดีก็วิ่งถอยหลังออกมาอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณ ก่อนจะถูกลีอองช่วยซ้ำดึงตัวออกมาหาเขาอย่างรวดเร็วจนหากมิสเตอร์ดีตอบรับและโน้มน้ำหนักไปไม่ทัน คอของเขาก็อาจจะหักไปแล้วก็ได้
ตู้ม! แสงสีขาวสว่างส่องออกมาในรัศมีประมาณห้าเมตร ก่อนที่เปลวเพลิงจะพุ่งออกมาและเสียงที่ดังสนั่นสมกับที่ได้ชื่อว่าระเบิดอย่างแท้จริง
เปลวควันลอยฟูฟ่องออกมา ในขณะที่ลีอองและมิสเตอร์ดีนอนหงายอยู่บนพื้น จรดมองบริเวณที่ควันลอยออกมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เสียงหายใจดังหอกแหกไปมา เนื่องด้วยอดรีนาลีนสูบฉีดจนร่างกายแทบจะรับไม่ทัน
—นี่น่ะเหรอ.. การต่อสู้ระหว่างโฮสท์และแฟนธอม?.. ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น! —เจ้าหมอนั่นล่ะ! หมอนั่นหนีระเบิดทันรึเปล่า!?
ลีอองเริ่มพยายามกวาดสายตาไปมาอย่างวอกแวก เพื่อมองหาวี่แววของชายหนุ่มก่อนหน้านี้— หรือปีแอร์— ที่ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ยังไม่ได้แม้แต่แนะนำตัวของเขาให้กับชายทั้งสองคนนี้เยแม้แต่น้อยนิด
"ลีออง ตามฉันมา เร็ว!" "อีกเดี๋ยวคงจะมีคนแห่กันมาดู ต้องรีบหนีก่อนจะโดนพวกตำรวจจับ" "ต— แต่ว่า!" "สภาพอย่างหมอนั่น ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายตั้งแต่ก่อนโดนระเบิดแล้ว แถมยังหนีจากรัศมีระเบิดไม่ทันอีก แค่เหลือซากให้ไปฝังก็บุญแล้ว!" "ตัดใจว่าหมอนั่นจะรอด และมองอะไรด้วยความเป็นจริงซะ คนฉลาดอย่างนายน่าจะรู้ดี ฉะนั้นรีบเรียนรู้และปรับตัวเองซะ"
บัดนั้นเอง ลีอองจึงสังเกตเห็น ภาพของเศษซากเนื้อสีแดงฉานที่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ กำลังมอดไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรง ร่างกายที่บิดเบี้ยวและมีรูโหว่โบ๋อยู่ด้านข้างอันเนื่องจากอยู่ใกล้กับระเบิดเป็นที่สุด อีกทั้งยังปราศจากซึ่งศรีษะเนื่องจากเนื้อเยื่อส่วนคอถูกตัดขาดผ่านแรงกระแทกของระเบิด โดยบัดนี้มันกำลังกลิ้งอยู่บนพื้นดินด้านนอกอาณาที่ควันลอยฟุ้ง
ศีรษะที่บัดนี้ผิดรูปผิดร่าง จนไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าเป็นคนเดียวกันกับผู้ชายก่อนหน้านี้เลย— ไม่สิ.. ต้องเรียกว่าไม่เหลือความเป็นคนน่าจะเหมาะสมที่สุด
—ตาย —มีคนตาย
นั่นคือสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของลีออง ว่าบัดนี้ตัวเขาได้มาอยู่ในสถานการณ์ที่ปราศจากซึ่งความขบขัน หรือเสียงหัวเราะเฮฮาใด ๆ ให้ได้ยิน สถานการณ์ที่มากด้วยเรื่องราวพิศวงและแปลกประหลาดราวกับหลุดออกมาจากนิยาย หากทว่ามันทั้งหมดล้วนแล้วเป็นความจริง อีกทั้งยังมีเดิมพันเป็นชีวิต
—การต่อสู้ระหว่างโฮสท์และแฟนธอม
"ขอต้อนรับ.. สู่โลกที่แท้จริง"
ณ ห้องทำงานปริศนาแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในเมืองมูนไบรท์อันแสนพิศวงแห่งนี้
ขณะนี้เวลาก็ร่วงเลยมาได้พอสมควรในสายตาของเธอ จากก่อนหน้านี้ที่ดวงอาทิตย์ยังพยายามตะเกียกตะกายส่องแสงให้กับยามอรุณให้ยาวนานที่สุด บัดนี้ดวงจันทร์ก็กลับมายึดครองท้องนภาของมันอีกครั้ง ท่ามกลางท้องรัตติกาลแห่งเมืองนี้
เด็กสาวยิ้มให้กับท้องฟ้านั้น ก่อนที่จะปริปากเปล่งวาจาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อและดูจะเบนไปทางอารมณ์เสียในเรื่องที่กำลังสนทนาเสียเล็กน้อย
"คนของแสวนเดเนเดีย.. เหรอ?" "มาเร็วกว่าที่คิดอีกแฮะ เจ้าพวกเศษขยะพวกนั้น" ".. แต่ว่าอย่าห่วงไปเลย ฉันเตรียมคนเอาไว้แล้ว ในรุ่งสางวันพรุ่งนีี้ พวกเราจะเริ่มเดินหมากทันที แล้วเรื่องบ้าบอนี่ก็จะหายไป กลับมาเป็นปกติเอง"
"ถ้ามีอะไรอีกก็รายงานมาแล้วกัน.. อ่า.. ถ้ามีงานอะไรใหม่เดี๋ยวติดต่อไป ตอนนี้ก็ทำงานเดิมต่อไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นแหละ" ".. หึ.. แล้วไว้คุยกันใหม่" จนท้ายที่สุด เด็กสาวก็ลาจากคู่สนทนาในโทรศัพท์ แล้วจึงวางสายไปในทันทีทันใดอย่างไร้เยื่อใย
เธอมีผมสีแดงชมพู ไว้ทรงผมทวินเทลหางยาวไปถึงสะโพก ใบหน้าของนางดูอ่อนวัยเช่นเดียวกับร่างกายที่ดูมีขนาดเล็ก ราวกับกำลังอยู่ในวัยเรียน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเนื่องด้วยหากเทียบกับอายุของเธอแล้วนั้น ก็เหมาะสมกับส่วนสูงสรีระเช่นนี้แล้ว
เด็กสาวเริ่มที่จะหันหน้ากลับมองไปทางตรงกันข้ามกับเธอที่ซึ่งนั่งอยู๋บนโต๊ะทำงานอย่างสบายใจ แล้วจรดมองด้วยดวงตาสีแดงก่ำของเธอราวกับกำลังเรียกร้องความสนใจจากบุคคลในเงามืดคนนั้น
"ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะมาทวงของคืนแล้วนะ" เธอเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดูเป็นกังเองกว่าก่อนหน้านี้ แม้จะยังดูเคร่งขรึมและจริงจังไม่ต่างจากก่อน แต่ว่าความเย่อหยิงผยองตนในทีท่าการเอ่ยคำนั้นก็ถูกลบออกไปอย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่บุคคลปริศนาได้ยินเช่นนั้น เงามืดขนาดใหญ่ก็เริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อยซึ่งยากจะมองเห็นเนื่องด้วยภายในห้องนั้นค่อนข้างมืด และมีเพียงแสงไฟของดวงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างบานเล็ก ๆ ให้เห็นมัดกล้ามขนาดใหญ่ของชายคนนั้นก็เท่านั้น
"หากหวังสันติ ก็จงเตรียมตัวเข้าสงคราม" น้ำเสียงอันดูต่ำทุ้มดังออกมาจากเงามืดพลางพูดถึงคำกล่าวอันโด่งดังที่เขาเคยอ่านเจอมา ก่อนที่เขาจะเริ่มปริปากพูดต่อในทันที
"นี่คือด่านสุดท้ายที่พระเจ้าได้ตระเตรียมมาให้กับเรา.. เพื่อทดสอบเรา" "และเราจะต้องไม่ทำให้ท่านผิดหวัง เพราะพวกเราจะนำพาโลกใบนี้ ไปสู่ยุคใหม่อันเกรียงไกร"
"ยุคที่โฮสท์ มิจำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป.."
และบัดนั้นเอง ในที่สุดตัวเขาก็ย่างก้าวขาเข้ามาให้แสงจันทร์จรดส่อง และเด็กสาวได้มองเห็นด้วยรอยยิ้มอันดูราวกับภาคภูมิใจและมากด้วยความเคารพนับถือ
ชายผมสั้นสีบลอนด์ สวมแว่นตาและคาบบุหรี่ไว้ที่ปาก ใบหน้าของเขาดูไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ จนน่าหวาดหวั่น ทว่าในขณะเดียวกันก็ดูสูงศักดิ์และทรงเกียรติ ดูราวกับนักฆ่าที่ได้ผ่านการสังหารมาแล้วไม่นับประปราย แต่ในขณะเดียวกันก็ดูราวกับผู้ปกครองอันกล้าหาญและทรงด้วยความยุติธรรม ดังเช่นว่าเขานั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
แต่เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมายังบนโลกต่างหาก
แฟนธอมที่พวกของลีอองเจอมีพลังอะไร? ชะตากรรมของพวกเขาเป็นเช่นไร? และสุดท้ายแล้ว ชายหญิงปริศนาพวกนั้นเป็นใครกันแน่?.. >> TO BE CONTINUED!
PHANTOM STATSชื่อ: สวีด ดรีม | Sweet Dream โฮสท์: ปีแอร์ | Pierre พลัง: มีความสามารถในการลบร่างกายของโฮสท์ให้มิดชิดได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ | Invisibility. แบทเทิลคราย: - ค่าพลัง:
(พลังความสามารถ - C ความว่องไว - D ระยะการควบคุม - E ความทนทาน - C ความแม่นยำ - B ศักยภาพ - A)
|
|
|
Post by jussaateen on Jul 15, 2018 15:10:25 GMT
บทที่ 4 - เหมือนวันธรรมดา แต่งโดย: Jussaateen รุ่งเช้า ยามอรุณ ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาบนเตียงของเขาดังเช่นวันก่อน ๆ เนื่องด้วยแสงของดวงอาทิตย์ที่เริ่มส่องผ่านหน้าต่างที่มิได้รูดผ้าม่านปิดขึ้นมาเหมือนกับวันก่อน ๆ
เขาเริ่มที่จะขยี้ตาของเขาไปมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียงแล้วพึ่งจะรู้ตัวว่าบัดนี้เป็นเวลาเจ็ดนาฬิกาเช้า ซึ่งค่อนข้างเช้าสำหรับคนมักจะตื่นเวลาเก้านาฬิกาแล้วไปโรงเรียนสาย ๆ อย่างตัวเขา
เขาค่อย ๆ ก้าวขาออกจากเตียงแล้วเดินออกมาด้วยลักษณะคอตกสมกับคนพึ่งตื่น ดวงตากวาดผ่านชั้นหนังสือขนาดใหญ่ด้านข้าง และไม้กางเขนสีดำอันหนึ่้งวางประดับอยู่บนกำแพงจนให้อารมณ์ราวกับชาวคริสต์อย่างถ่องแท้เช่นเขา
เมื่อเดินออกมาจากห้องนอนของเขาแล้ว จึงก้าวขาเดินต่อไปเรื่อย ๆ บนโถงทางเดินยาวที่ปูด้วยพรมแดงขนาดใหญ่ ซึ่งปราศจากผู้คนใด ๆ เดินอยู่รอบข้างเลย ราวกับว่าสถานที่ที่เขาอยู๋แห่งนี้นั้นดูปราดเปรี่ยว ไร้ผู้คน แต่ว่าในขณะเดียวกันด้วยความดูหรูหราและตกแต่งให้สวยงามเช่นนี้มันก็ยังให้อารมณ์ราวกับเป็นบริเวณที่คนมักจะมารวมตัวพูดคุยปราศรัยอีกเช่นกัน
และเมื่อนั้นเอง ดังเช่นวันก่อน ๆ ชายหนุ่มก็หยุดเดินทันทีที่สบตาเห็นถึงบุคคลคนแรกในเช้าวัน
—ชายแก่เฒ่าราว ๆ หกสิบปียืนอยู๋ตรงหน้าเขาในชุดปิดมิดชิดกายสีดำพร้อมด้วยสร้อยไม้กางเขนสีเงินห้อยอยู่ที่คอ แม้ด้วยอายุที่ดูมากพอสมควร แต่ว่าด้วยท่าทีการยืนหลังตรงและรอยยิ้มอันดูเป็นมิตรของเขา ช่วยทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูไม่ต่างอะไรกับหนุ่มสาวเลยหากมองอย่างไม่สนใจอะไร
"สวัสดีครับ หลวงพ่ออองรี" ชายหนุ่มกล่าวทักทายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเอื่อยเฉื่อยและลากเสียงยาวจนเสียงเพี้ยนไปเล็กน้อย เนื่องด้วยเขาพึ่งจะตื่นได้แปปเดียวเอง จึงทำให้ฝ่ายบาทหลวงวัยชราที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะฝืด ๆ ออกมาเบา ๆ เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปอย่างเป็นมิตร "อรุณสวัสดิ์ลีออง.. ตื่นเช้าเหมือนเดิมเลยนะ คนหนุ่มสมัยนี้นี่ก็ขยันขันแข็งจริง ๆ เลยนะเนี่ย ฮ่า ๆๆ.." "ครับผม ขอบคุณมากครับ.." ลีอองที่ได้ยินเช่นนั้นก็กวักหัวรับไปมาเล็กน้อยพลางนำมือข้างหนึงมาเกาหลังหัวของตนเบา ๆ
"จะว่าไปแล้ว ได้ข่าวว่าทำมอเตอร์ไซค์พังนี่? นั่นมันของโบสถ์ไม่ใช่เหรอ อย่างนี้คงต้องขอให้แม่ชีเอเลนเพิ่มงานหน่อยแล้วมั้งง?" "อย่าเลยดีกว่าครับ พ่ออองรี!.. ผมเกรงใจ" "แหม ๆ ทีนี้น่ะเกรงใจ พอบอกให้พักงานได้เท่านั้นแหละ ไม่มีเลย ไอความเกรงใจ" ทั้งสองจะเริ่มสนทนากันในเรื่องส่วนตัวของพวกเขา ด้วยอารมณ์ขบขันและเป็นกันเองอย่างมาก จนหากดูเพียงผิวเผินคงเป็นภาพที่ประหลาดน่าดู นักเรียนหนุ่มที่ติดรายชื่อเด็กฮ้อตของโรงเรียนกำลังหัวเราะเฮฮากับบาทหลวงที่เคร่งขรึมที่สุด และเป็นที่เคารพมากที่สุดภายในเมือง
—สาเหตุที่เด็กหนุ่มทำเช่นนั้นได้มิใช่เรื่องอื่นใดเลย.. มันเป็นเพราะเวลา ที่ทำให้เขาสนิทสนมกับบาทหลวงผู้นี้ได้ดี ราวกับพ่อลูก —เพราะตลอดเวลาสิบแปดปีตั้งแต่ที่ลีอองเกิดมาและถูกเลี้ยงดูโดยบาทหลวงผู้นี้นั้น ทั้งสองก็ไม่ต่างใด ๆ กับพ่อลูกเลย
".. ก็ ถ้ามีเรื่องอะไรจะปรึกษาอีกล่ะก็ มาหาฉันได้ตลอดเลยนะ ลีออง" "ครับผม.. แล้วเจอกันนะครับ หลวงพ่อ" ลีอองที่ได้ยินประโยคส่งท้ายเช่นนั้นก็กล่าวขอบคุณกลับไปดังเช่นปกติด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้า หลังจากที่สนทนากับเขาไป ๆ มา ๆ จนเริ่มตื่นขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
เมื่อนั้นพวกเขาทั้งสองจะเดินสวนผ่านกันเพื่อทำธุระของตนต่อไป.. คนหนึ่งจะเดินทางเพื่อไปจัดเตรียมและตรวจสอบบริเวณภายในโบสถ์ให้พร้อมสำหรับการสวดมนต์ต่อพระเจ้าในกิจเวลาต่อไป.. ส่วนอีกคนหนึ่งก็จะเดินทางไปอาบน้ำและเตรียมตัวไปเรียนหนังสือ..
—เหมือนกับวันก่อน ๆ ไม่มีผิดเพี้ยนแต่อย่างใด —ทว่าในความปกติ ธรรมดา ๆ ในแต่ละวันนั้น ลีอองรู้ตัวดีว่ามันหาใช่ดังที่สายตาเห็น —เพราะบัดนี้เพียงแค่สายตาอย่างเดียว มิอาจเชื่อใจได้ทั้งหมดอีกต่อไป หลังจากที่เขาได้เรียนรู้ถึงความจริงของสิ่งที่เขากำลังจะพบเจอนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
"โฮสท์และแฟนธอม.." ลีอองเอ่ยคิดขึ้นมาเบา ๆ กับตัวเขาเอง ก่อนจะหักโค้งเลี้ยวออกไป ในขณะที่บาทหลวงอองรียังคงก้าวขาเดินไปทีละก้าว ทีละก้าว พลางมือข้างหนึ่งถือไบเบิลเล่มหนาแนบไว้ที่ข้างกาย
...
โดยหลังจากที่ลีอองอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จแล้วนั้น ตัวเขาก็เดินกลับมายังห้องนอนของเขา เพื่อจัดหนังสือและข้าวของสำหรับการเรียนหนังสือเข้าไปในกระเป๋าของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อดูให้แน่ชัดว่าเขาจะไม่หลงลืมอะไรไว้ที่ห้องของตนเมื่อออกไปแล้ว
ลีอองเริ่มนำหนังสือเรียนและสมุดจดใส่ไปในกระเป๋า รวม ๆ แล้วก็เกือบสิบเล่ม ทว่าหากวัดช่างน้ำหนักกันจริง ๆ แล้ว ก็ถือว่าไม่ได้นำไปหนักมากเท่าไหร่นัก และก็ไม่ได้เบาจนเกินไป ค่อนข้างพอดิบพอดี.. ลีอองที่สังเกตเช่นนั้นแล้วจึงค่อย ๆ เอื้อมมือของเขาไปคว้าหนังสืออีกเล่มหนึ่งและนำมาใส่ลงไปในกระเป๋าอย่างประณีต ดังเช่นเป็นหนังสือสำคัญ
หนังสือเล่มนั้น คือไบเบิลขนาดพกพา— เล่มเดียวกับที่เมื่อวันก่อนมีนักเลงมาหาเรื่องเขานั่นเอง.. ลีอองจรดมองมันชั่วขณะภายในกระเป๋าของเขา ราวกับกำลังนึกหวนคืนถึงเหตุการณ์ในอดีต และเบื้องหลังของไบเบิลเล่มนี้ก่อนมันจะมาอยู่ที่ตัวเขา
—เอาจริง ๆ ลีอองก็ไม่ใช่คนเคร่งศาสนาอย่างที่หลาย ๆ คนคิดหรอก แม้ตนจะเกิดอยู่ในโบสถ์และถูกเลี้ยงดูโดยบาทหลวงและแม่ชีภายในโบสถ์ก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับเด็กทั่วไปเลย แม้จะนับถือศาสนาและเข้าโบสถ์เป็นประจำ แต่หากจะให้ละเลยและไม่ทำตามคำสอน เขาก็ย่อมทำได้โดยไม่ได้ลำบากอะไร
—ทว่าไบเบิลเล่มนี้.. ไบเบิลเล่มนี้เท่านั้นที่เขาจะไม่ยอมทำดูหมิ่นกับมัน.. เพราะมันไม่ใช่แค่ไบเบิลธรรมดา ๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำไม่กี่อย่างที่เขาอยากจะจดจำในชีวิตที่แสนน่าเบื่อมาตลอดนี้ก็ว่าได้
เขาชำเลือมสายตามองออกไปหลังจากที่จดจ่อกับความคิดของตนไม่นาน เพื่อมองดูนาฬิกาที่ติดอยู่บนกำแพง ตรงกันข้ามกับไม้กางเขนขึ้นเพื่อดูเวลา ณ ปัจจุบัน และคาดคำนวนว่าจะใช้เวลาต่อไปที่เหลือให้กับกิจกรรมใดบ้าง ก่อนจะเริ่มเรียน เพราะแม้ว่าเขาอยากจะพักผ่อนนอนสบาย ๆ มากแค่ไหน มันก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาเป็นนักเรียนและมีหน้าที่เรียนหนังสือได้อยู่ดี
—ปัจจุบันเวลาเจ็ดนาฬิกาสิบห้านาที ซึ่งหากเทียบกับตารางการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมปลายไฮสคูลมูนไบรท์ของเขานั้น ก็เหลือเวลาอีกกว่าชั่วโมงครึ่งที่จะให้เขาจัดการธุระต่าง ๆ ให้เสร็จก่อนจะไปเรียน
"ถ้าอย่างนั้น.. ไปแวะที่ร้านเบเกอรี่หน่อยก็ยังไม่สายล่ะนะ" ลีอองพูดวางแผนชีวิตของตนเองกับตัวเขาเองภายในห้องนอน ก่อนจะปิดกระเป๋าของเขาอย่างมิดชิดและสะพายไว้บนไหล่ขวาของเขาเพียงข้างเดียวเท่านั้น และเปิดประตูเดินออกจากห้องไปอีกครั้งหนึ่ง
หารู้ไม่ว่าแม้เขาจะรอบคอบเพียงแค่ไหน แต่เขากลับลืมสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาเขาไม่เคยลืมมาก่อนเลย นั่นคือ โทรศัพท์มือถือ ที่เขาวางเอาไว้ใต้หมอนหนุนหัวบนเตียงของตนนั่นเอง ทว่าหากคิดดี ๆ มันก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก เพราะอย่างไร นี่มันก็เป็นแค่วันไปเรียนปกติ ธรรมดา ๆ ก็เท่านั้น
หลังจากที่ลีอองเดินทางออกมาจากโบสถ์ 'คอนสแตนติน' —โบสถ์ที่เขาพักอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันนั้น ตัวชายหนุ่มก็เดินทางมาเรื่อย ๆ ด้วยเท้าเปล่าจนเวลาร่วงเลยไปประมาณสิบห้านาทีเห็นจะได้แล้ว
โดยปกติแล้วนั้น ลีอองจะเดินทางมาถึงบริเวณที่เขาอยู่ ณ ปัจจุบัน ด้วยเวลาที่ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำไป เนื่องด้วยปกติเขาจะขับมอเตอร์ไซค์ตัวโปรดของเขา เดินทางไปไหนมาไหนโดยตลอด ตั้งแต่ที่อายุสิบห้าปีแล้ว ซึ่งก็คือสามปีนั่นเอง
แต่ว่าเนื่องด้วยเกิดอุบัติเหตุเมื่อสองสามวันก่อน ลีอองจึงต้องนำมันไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถ โดยกว่าจะได้คืนก็คงจะสักสัปดาห์หนึ่งเป็นอย่างต่ำเห็นจะได้ แถมหลังจากนั้นแล้วเขาก็จะต้องรับงานเพิ่มอีกเป็นสองเท่า เนื่องด้วยมอเตอร์ไซค์ตัวนั้น จริง ๆ ไม่ใช่ของเขาด้วยซ้ำ แต่เป็นของทางโบสถ์ เอาไว้ใช้ทำงานต่างหาก เพียงแต่มีแค่ลีอองเท่านั้นที่นำไปใช้ตลอด จนดูเหมือนกับว่ามันเป็นของเขาไปโดยปริยายนั่นเอง
แรกเริ่มเขาก็หงุดหงิดที่ต้องมาเดินเท้าเปล่าเหมือนกัน ทว่าหลังจากคิดทบทวนไปได้สักพัก ลีอองก็ผ่อนอารมณ์ด้านลบของเขาให้หมดไปโดยง่ายดาย เพราะตัวเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่า —ถึงโกรธไป มอเตอร์ไซค์ของเขา ก็คงจะไม่ซ่อมเสร็จเร็วกว่าเดิมหรอก ฉะนั้นแล้วจะเสียแรง คิดให้ปวดหัวไปทำไมกัน ในเมื่อมีเรื่องที่หนักกว่านี้ให้ปวดหัวอีกตั้งเยอะ? —ลีอองคิดเช่นนั้น ในขณะที่ยังคงก้าวขาเดินไปเรื่อย ๆ บนถนนทางเดิน
ขณะนี้เวลาก็ร่วงเลยมาได้ประมาณ เจ็ดนาฬิกาสี่สิบห้านาทีแล้ว ซึ่งเอาเข้าจริงก็เหลือเวลาอีกราว ๆ ชั่วโมงหนึ่งกว่าที่เขาจะเริ่มเรียนวิชาแรกของวันนี้ ลีอองที่จรดมองนาฬิกาบนข้อมือของเขาจึงเลี้ยวเข้าไปในร้านเบเกอรี่ข้างทางต่อโดยทันที พลางในหัวครุ่นคิดว่าหลังจากทำธุระตรงนี้เสร็จแล้วจะไปเดินเล่นฆ๋าเวลาต่อที่แห่งไหนดี?
เหมือนกับทุก ๆ เช้าที่ลีอองเข้ามา มีคนอยู่จำนวนหนึ่งภายในร้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เนื่องด้วยเบเกอรี่ที่เขาเข้ามานี้อยู่ใกล้ ๆ กับสี่แยกภายในเมือง จึงมิใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนรู้จักและหมายปองแวะมาบ่อย ๆ นั่นแล เด็กหนุ่มเดินเข้าไปแล้วซื้อขนมปังมาหลายสิบชิ้น ล้วนแล้วต่างรส และต่างประเภท จนหากมองเพียงผิวเผินแล้วคงจะทำให้หลาย ๆ คนสงสัยว่าทำไมลีอองจึงยังรักษาหุ่นที่ดีพอประมาณ ณ ปัจจุบันได้อยู่กัน ซึ่งคำตอบที่เหมาะสมที่สุดคงจะเป็นร่างกายของเขาเผาผลาญพลังงานมากกว่าปกติ.. ล่ะมั้ง?
ใช้เวลาไม่นาน ลีอองก็เดินออกมาพร้อมกับถุงกระดาษที่ภายในมีขนมปังมากมายหลายชิ้น ชายหนุ่มถือมันด้วยมือข้างซ้ายที่ยังคงว่างอยู่ ก่อนที่จะจัดการเดินข้ามถนนสี่แยกไปโดยพลันเนื่องด้วยเห็นสัญญาณไฟเขียวให้คนเดินโดยพอดิบพอดี
—ไปกินที่หอสมุดมูนไบรท์เหมือนเดิมแล้วกัน.. ลีอองคิดกับตัวเขาเองขณะมองไปที่อาหารเช้าทั้งหลายภายในถุงกระดาษนี้ เวลาแปดนาฬิกาตรง
ณ หอสมุดมูนไบรท์ ตั้งอยู่บริเวณทางตอนเหนือของเมืองมูนไบรท์ ถือเป็นสถานที่แหล่งรวมของหนังสือมากมายทั้งหมดภายในเมือง หากกะจากสายตาก็คงจะกินพื้นที่อยู่ทั้งหมดสองพันตารางเมตรโดยประมาณ ทว่าก็อาจมากกว่าหรือต่ำกว่าแล้วแต่การมองของแต่ละบุคคล ซึ่งทั้งหมดนี้ยังมิได้รวมพื้นที่ของสวนสาธารณะที่ล้อมรอบตัวหอสมุดเองเลยแต่อย่างใด หากรวมทั้งหมดก็คงจะไม่ต่ำกว่าห้าพันตารางเมตรเห็นจะได้
หอสมุดแห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นไม่ต่างจากตึกเมืองปกติ เเตกต่างเพียงสีสันที่ตึกธรรมดาจะดูเทาจืดชืด แต่หอสมุดแห่งนี้เป็นสีทองอร่าม คล้ายคลึงกับสีของเครื่องดนตรีทองเหลืองอาทิเช่นทรัมเป็ต และทรอมโบน ส่วนสาธารณะแห่งนี้นั้นก็มีความเขียวขจีเป็นอย่างมาก มีต้นไม้อยู่เป็นจุด ๆ เช่นเดียวกับแอ่งน้ำขนาดใหญ่กลางสวนสาธารณะที่เป้นที่ให้คนมาชื่นชมดูเล่น สมกับเป็นสวนสาธารณะของเมืองจริง ๆ
—แต่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ จะบอกว่าเป็นสวนสาธารณะก็ไม่เชิงเสียเท่าไหร่ เพราะบริเวณนี้แต่เดิมนั้นก็แค่ที่ดินหลายตารางเมตรซึ่งไม่มีสิ่งก่อสร้างใด ๆ เลย ก่อนที่ทางเมืองจะเริ่มนำเก้าอี้ไม้มาวางไว้เป็นจุด ๆ จนกว่าคนจะรู้ตัว ทุกคนก็เรียกที่นี่ว่าสวนสาธารณะไปกันหมดแล้ว
มีคนหลายจำนวนมารวมตัวกันที่หอสมุดแห่งนี้เพื่อหาหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา หรือมาเพื่อศึกษาทำการวิจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยใกล้เคียง อีกทั้งยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางมาเพื่อนั่งผ่อนคลายที่สวนสาธารณะซึ่งมากด้วยหญ้าเขียวขจีและร่มไม้ที่ให้ความรู้สึกความร่มเย็น และท้องฟ้าอากาศแจ่มใสในยามเช้าอีกด้วย
และเช่นเดียวกันกับคนหลายจำนวน— ลีอองก็มาที่นี่เพื่อจะสูดลมอากาศของธรรมชาติที่นี เพื่อผ่อนคลายจากบรรยากาศความเครียดและอึดอัดภายในเมืองเช่นกัน แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามที
เขาค่อย ๆ นำขนมปังไส้บลูเบอร์รี่ที่ตนพึ่งซื้อมา ออกมาจากถุงกระดาษ ก่อนจะกัดมันลงไปคำหนึ่งเต็ม ๆ จนแทบหมดในคราวเดียว ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ บดเคี้ยวรสความหวานกลมกล่อมของบลูเบอร์รี่ลงไปในลำคออย่างอ่อนนุ่ม ด้วยสีหน้าที่รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ดังเช่นว่าบัดนี้เขาได้ตื่นฟื้นสติขึ้นมาอย่างแท้จริง
"วิวตรงนี้สวยไม่เปลี่ยนเลยแฮะ.. สมกับเป็นเมืองมูนไบรท์จริง ๆ"
ลีอองกล่าวชื่นชมถึงความสวยงามของเมืองนี้ ในขณะที่ใบหน้าเบิกเงยขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องแสงยามอรุณลงมาบนสวนสาธารณะและเมืองมูนไบรท์แห่งนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ราวกับความเครียดทั้งหมดถูกทิ้งออกไป และเหลือเพียงตัวตนของเขาเท่านั้น ณ ขณะนี้..
—บริสุทธิ์ —แม้จะมิได้ผุดผ่องเหมือนกับที่หลาย ๆ คนจะคิดก็ตาม และอาจจะมีอีกหลายชีวิตที่บริสุทธิ์กว่าชายผู้นี้ แต่เมื่อเทียบกับโลกที่เขากำลังจะหยั่งลงไป —ไม่สิ ถูกลากลงไปนั้น —ตัวเขาทีหาใช่ดวงอาทิตย์นั้น ก็ถือว่าส่องสว่างที่สุดแล้วในโลกนั้น ณ ขณะนี้
เขาค่อย ๆ บรรจงกินอาหารทั้งหลายที่เขาซื้อมาทีละคำ ทีละคำ อย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อนอะไร ในขณะที่ตนนั่งผ่อนคลายอยู่หลังต้นไม้อย่างร่มเย็นไปเรื่อย ๆ นั่นเอง.. ทว่าไม่นานหลังจากที่เขากินเสร็จไปได้จนหมดไปครึ่งหนึ่งของจำนวนขนมปังภายในถุงกระดาษนั้น ลีอองก็สังเกตเห็นบางอย่างเข้า โดยพอดิบพอดี
"เดี๋ยวนะ.. นั่นมัน.." ลีอองจรดมองมันด้้วยความสงสัยก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปมองมันใกล้ ๆ พร้อมกับถือกระะเป๋าเป้ของตน และถุงกระดาษมาด้วย
สิ่งที่ลีอองเห็นจากการกวาดสายตาไปเรื่อยโดยบังเอิญนั้น คือใบประกาศบางอย่างถูกแปะไว้ที่ต้นไม้ ตรงข้ามกัยที่ลีอองนั่งโดยพอดิบพอดี โดยบนใบประกาศนั้นก็มีรูปภาพของชายคนหนึ่งและตัวอักษรเขียนไว้อยู่ด้วย
มันเป็นภาพของชายวัยไล่เลี่ยกับตัวเขา ไว้ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน เช่นเดียวกันกับสีของดวงตา นอกจากนี้ที่ด้านซ้ายของชายผู้นี้นั้นติดบางอย่างคล้ายคลึงกับกิ๊ปติดผมสีเขียวของผู้หญิงอยู่เล็กน้อย คล้ายคลึงกับเครื่องประดับหรือเซนส์แฟชั่นแปลก ๆ ของเขาก็มิอาจทราบได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหากมองโดยรวมแล้วเขาถือเป็นคนที่หน้าตาดีใช้ได้เลยทีเดียว
ลีอองที่เห็นภาพของชายแปลกหน้าผู้นี้นั้น ก็สามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่าไม่รู้จัก แต่ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ลีอองกลับรู้สึกถึงบางอย่าง ราวกับว่าเขาจำชายผู้นี้ได้ เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็มิอาจจะนึกได้อยู่ดีว่าเป็นใครและเคยเจอกันที่ไหนในท้ายที่สุด
ด้านล่างภาพนั้น มีอักษรเขียนไว้ว่า "ตามหาคนหาย" พร้อมกับมีชื่อเขียนเอาไว้อยู่ หากให้เดาก็คงจะเป็นชื่อของเจ้าหมอนี่นั่นแหละ —ปีแอร์..
"ปีแอร์ กู๊ดวิล.." ลีอองอ่านชื่อออกมาพร้อมกับออกเสียง ในขณะที่แสดงสีหน้าครุ่นคิด ราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่างอยู่ในหัวนั่นเอง "กู๊ดวิล.. กู๊ดวิล.." "นามสกุลนี่..เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ?" ลีอองกล่าวขึ้นมากับตนเองในขณะที่พยายามจรดมองรายละเอียดบนใบหน้าของชายนามปีแอร์ภายในรูปยิ่งขึ้น
"ที่ไหนกันนะ ที่ไหน?" "อืม... " แต่ไม่ว่าจะใช้เวลามากเพียงใด ลีอองกลับนึกอะไรที่เกี่ยวกับนามสกุลกู๊ดวิลนี่ไม่ออกเลย ไม่ แม้เล็กน้อยเพียงใดก็ตามแต่
ทว่าก็ไม่นานนัก ลีองก็เหลือบเห็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งกำลังเคลื่อนไหวเข้ามาในสายตาของลีออง —หญิงสาว.. หญิงสาวผมสั้นสีเหลืองทองปนน้ำตาลอ่อน เธอดูมีวัยพอ ๆ กับลีออง ทว่าหากให้เดาคงจะมีอายุน้อยกว่า เธอกำลังก้าวขาเดินเข้ามาทางลีอองพร้อมมือทั้งสองข้างถือใบประกาศหลายจำนวน และด้านหลังสะพายกระเป๋าเป้นักเรียนขนาดเล็ก ในขณะที่เธอกำลังกวาดสายตามองดูรอบ ๆ พื้นที่ด้วยดวงตาสีเขียวมรกตของเธอ
..ตุบ! เธอเดินต่อไปเรื่อย ๆ โดยมิได้มองทาง จึงมาชนเข้ากับลีอองโดยบังเอิญ ก่อนจะทำให้ตัวหญิงสาวล้มลงไป เช่นเดียวกับใบประกาศหลายสิบใบปลิวระร่อนไปทั่วอากาศ
"ข— ขอโทษค่ะ—! หนูไม่ทันมอง—!" เธอพลันกล่าวขอโทษทั้งหลับตาด้วยความเจ็บเล็กน้อยที่ร่างกระแทกกับพื้นกะทันหัน ก่อนที่เธอจะลืมตาเพื่อพยุงตังเองขึ้นมาตามสัญชาตญาณ แล้วสบตากับลีอองโดยบังเอิญ "อ— นาย— ลีออง.. นี่นา.. ?" แรกเริ่มเธอดูงุนงงเล็กน้อยด้วยความที่ใบหน้าของลีอองนั้นดูคุ้นเคย แต่ไม่นานเด็กสาวก็นึกขึ้นได้แล้วเอ่ยชื่อขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรร่าเริง ก่อนจะหยุดนิ่งเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่งทั้งท่าเดิม ในขณะที่ลีอองยังคงยืนนิ่งด้วยความงุนงงอยู่ ก่อนที่ตัวเขาเองก็จะนึกขึ้นได้เช่นเดียวกันว่าเด็กสาวคนนี้เป็นใคร
—จำได้แล้ว เราเคยเห็นเธอคนนี้มาก่อน —ถึงจะแค่ครั้งเดียวก็เถอะ ตอนวันมอบตัวที่โรงเรียน.. เธอเรียนห้องเดียวกับเรา
"—อ่า.. ให้ช่วยอะไรมั้ย..?" "... ออ— ม— ม— ม— ไม่เป็นไรหรอก ฉัน— ลุกเองได้"
ใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าเธอจะหลุดออกจากภวังค์เหม่อลอย ก่อนที่ตัวเด็กสาวดีดตัวขึ้นมายืนบนพื้นหญ้าทันใด แล้วจึงแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาทันใดพร้อมกับอ้าปากเหวอเมื่อเธอมองดูรอบตัวของเธอ
"หน่— ใบประกาศปลิวตกหมดแล้ว— หวาา!" เธอพลันก้มไปคว้าใบประกาศทั้งหลายที่ตกเกลื่อนอยู่บนพื้นในทันที ก่อนที่ตัวลีอองที่เห็นเช่นนั้นจะก้มตามลงไปและเริ่มช่วยเก็บใบประกาศทั้งหลายซึ่งตกอยู่บนพื้นด้วยกันกับเด็กสาวโดยเร็ว
ด้วยความเร็วของลีอองนั้น เหนือและไหวกว่าผู้อื่นเป็นอย่างมากด้วยพลังแฟนธอมที่เขามีอยู่ จึงมิใช่ปัญหาอะไรเลยที่เขาจะเก็บใบประกาศเหล่านั้นได้โดยไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ ในขณะที่หญิงสาวนั้นพึ่งจะเก็บได้เพียงสองใบเท่านั้นจากทั้งหมด
—ลีอองยื่นใบแปะประกาศทั้งหลายให้กับหญิงสาวก่อนจะกล่าวขึ้น
"อ่ะ.. นี่" "อ—.. ขอบใจนะ"
หญิงสาวที่เห็นดังนั้นก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มร่าเริง อันดูมีเสน่ห์สวยงามจนลีอองแอบเหม่อลอยไปชั่วขณะก่อนที่ตัวเขาเองจะดึงสติได้ทันแล้วลุกขึ้นยืนทันทีที่หญิงสาวรับเอาไว้บนมือ
"แล้ว.. นายชื่อลีอองใช่มั้ย? ลีออง คอนสแตนติน ที่อยู่ในโบสถ์น่ะ?" เมื่อเด็กสาวลุกขึ้นยืนตามนั้น เธอก็เอ่ยถามคำถามกับลีอองทันใด ซ่ึ่งเป็นเหมือนกับการยืนยันความคิดของตนเองเมื่อครู่ก่อน ว่าเธอรู้จักกับชายผู้นี้จริงหรือไม่นั่นเอง
".. ใช่.. แล้ว.. เธอคือ—" "..ขอโทษนะแต่.. เธอชื่ออะไรนะ?"
ลีอองพยายามจะตอบกลับด้วยชื่อของหญิงสาว แต่ทว่าเขาก็นึกไม่ออกอยู่ดีจึงถามชื่อเธอกลับไปด้วยความรู้สึกผิด โดยหญิงสาวที่ได้ยินคำตอบดังนั้นก็มิได้ต่อว่าหรือแสดงท่าทีผิดหวังใด ๆ มิหนำซ้ำกับเข้าใจและตอบกลับลีอองอย่างอ่อนโยน
"ไม่แปลกหรอก.. เราเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวเองตอนวันมอบตัว ส่วนสัปดาห์แรกที่ผ่านมา ฉันก็ป่วยอีก เลยไม่ได้มาวันปฐมนิเทศด้วย จะนึกชื่อไม่ออกก็ไม่แปลกหรอกเนอะ" "ออ.. แล้วก็ฉันชื่อ แคลร์ กู๊ดวิล.. ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ ลีออง" "อะ อืม" เด็กสาวพูดขึ้นมาติดต่อกันก่อนจะแนะนำตัวบอกชื่อของเธอกลับไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้ลีอองแสดงท่าทางตกใจออกมามิใช่น้อย มิใช่เพราะความขยันขันแข็งในการพูดจาของเธอ แต่เป็นเพราะชื่อของเธอต่างหาก
—แคลร์ กู๊ดวิล —ก็ว่าเคยได้ยินที่ไหน ชื่อของเธอนี่เอง —แต่ว่าถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า..
"จะว่าไป.. ถ้าไม่เป็นการรบกวนอยากให้ช่วยแปะใบประกาศพวกนี้หน่อยน่ะ.." "คือว่า.. พี่ชายของฉันหายตัวไปน่ะ"
"จอดที่นี่สินะครับ มิสเตอร์ดี" "อ่า"
เดวิดเอ่ยปากถามมิสเตอร์ดีขึ้นมาหลังจากที่เขาขับรถแท็กซี่จากโรงแรมที่มิสเตอร์ดีพักอยู่ มาจอดที่หน้าบ้านของบุคคลปริศนาซึ่งเดวิดหาได้รู้จักหรือเคยมาไม่ ในขณะที่มิสเตอร์ดีนั้นกำลังนั่งอ่านสมุดบันทึกขนาดพกพาบนมือของเขา ราวกับกำลังเช็คข้อมูลรายละเอียดอยู่ให้แน่ใจอะไรอย่างนั้น
"นี่ ค่าจ้างนาย"
มิสเตอร์ดีใช้มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาก่อนจะจ่ายค่าแท็กซี่ให้กับเดวิดโดยพลัน ซึ่งตัวเดวิดเองก็น้อมรับไว้อย่างดีงามก่อนจะถามมิสเตอร์ดีต่อกลับไปอย่างสุภาพ
"แล้วจะว่าไป เด็กผู้ชายที่คุณพาขึ้นมาด้วยเมื่อวาน เขาไม่มาด้วยเหรอครับวันนี้?" "ใช่.. เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในรายชื่อของฉัน จึงไม่จำเป็นต้องเข้มงวดขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร ก็ยังต้องจับตามองหมอนั่นอยู่ดี" มิสเตอร์ดีตอบกลับไปด้วยคำพูดที่ไม่เจาะจง จนฟังดูเหมือนกับเขากำลังพูดอยู่กับตนเองมากกว่าพูดอยู๋กับเดวิดที่เบาะคนขับ
"จอดรอตรงนี้ไว้ก่อน ถ้าฉันออกมาแล้วกวักมือไล่ ก็ให้ขับไปเลย แต่ถ้าฉันรีบวิ่งออกมา หมายความว่าให้รอฉันขึ้นรถ แล้วค่อยขับไป.. เข้าใจ?" "อ— อ่า.. ครับ" เดวิดพยักหน้ารับด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
"มันไม่ใช่งานผิดกฎหมาย ไม่ต้องกลัวไป.. ต้องเรียกว่ากฎหมายไม่คลอบคลุมดีกว่า" "ผมว่าพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่หรอกนะครับ มิสเตอร์ดี.." เดวิดกุมขมับเล็กน้อย
"แต่ก็ขอให้โชคดีแล้วกันนะครับ" "..." เมื่อนั้นมิสเตอร์ดีก็เก็บสมุดบันทึกของเขาแล้วเดินลงมาจากแท็กซี่ทันใดพร้อมกับปิดประตูรถเสียงดังลั่น
—ตอนนี้ บ่ายสองยี่สิบนาที —ลีอองคงจะเรียนอยู่สินะตอนนี้.. เอาเถอะ ไว้จบงานนี้ค่อยไปตามดูแล้วกัน
แทนที่มิสเตอร์ดีจะคิดถึงเรื่องงานของเขาในขณะนี้ กลับกลายเป็นว่าชั่ววินาทีหนึ่ง ความคิดของเขากลับกำลังกังวลอยู่กับเรื่องของลีออง ทว่าก๋็ยังคงมีคำถามค้างคาอยู่เช่นเดียวกันในความคิดเหล่านั้น ดังเช่นว่าตัวมิสเตอร์ดีเองก็ยังคงสับสนไม่ต่างจากู้ใดอื่น
—เขากำลังกังวลถึงความปลอดภัยของลีอองเหรอ? —หรือกำลังกังวลเกี่ยวกับแฟนธอมของลีอองในวันนั้น ที่แม้จะยังไม่สามารถแสดงร่างออกมาได้ แต่ก็อานุภาพแข็งแกร่งพอจะคว้ากระสุนปืนไว้ได้ในกำมือ
อย่างไหนกันแน่?
—แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้ ตอนนี้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าเราก็พอ
มิสเตอร์ดีสะบัดความคิดเหล่านั้นออกได้เสียที ก่อนที่ตัวเขาจะค่อย ๆ ก้าวผ่านกล่องจดหมายตู้หนึ่ง ตรงไปยังกรวดหินที่ซึ่งปูไปยังประตูบ้าน ก่อนที่ทันใดนั้นเอง เขาจะยื่นมือขวาของเขาขึ้นมา และเคาะประตูบ้านหลังนั้นทันใด พร้อมกับมืออีกข้างหนึ่งกำลังเริ่มกำมือหลวมไปมาอยู๋ ราวกับกำลังทดสอบกล้ามเนื้อของเขา และเตรียมพร้อมที่จะใช้มันทำบางอย่างที่ไม่สมควรเสียเท่าไหร่ในกลางแจ้ง
"ครับ ครับ.. กำลังไปครับ"
เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังออกมาจากภายในบ้าน ก่อนที่ทันใดนั้นเอง มิสเตอร์ดีจะเบิกตาโพลนแล้วรีบคว้าถอยออกจากประตูบ้านทันใด เช่นเดียวกับเดวิดที่พอเห็นกิริยาของมิสเตอร์ดีดังนั้น จึงรีบก้มหัวหลบทันใดตามสัญชาตญาณ
ปัง! ปัง! ปัง! เสียงของปืนลูกซองที่ยิงทะลุออกมาจากประตูบ้านถึงสามนัด โดยทั้งหมดมิได้โดนมิสเตอร์ดีเลยแต่อย่างใด นัดหนึ่งถูกเข้ากับกล่องจดหมายหน้าบ้าน นัดหนึ่งถูกเข้าประตูรถแท็กซี่ขนาบข้าง และนัดสุดท้ายนั้นถูกยิงองศาขึ้นไปยังบนฟ้า ทำให้ไม่โดนสิ่งใดเลในขณะนี้
"ไปตายซะ! ไอนักเก็บกวาด!" "แกต่างหากล่ะ ไอเวร!" "เอ็นดีเวอร์!"
มิสเตอร์ดีตะโกนสวนกลับไปพร้อมกับเรียกนามของแฟนธอมของเขา ก่อนที่ทันใดนั้นเอง แฟนธอมเอนดีเวอร์จะปรากฏขึ้นมาเหนือหัวของมิสเตอร์ดี ก่อนที่ตัวมันจะบินพุ่งตรงทะลุประตูบ้านจนพังแล้วจัดการกับชายที่ยิงปืนลูกซองออกมา ภายในบ้าน ในขณะที่มิสเตอร์ดียังคงยืนหลับตารอจังหวะ ในขณะที่ใช้ดวงตาของเอ็นดีเวอร์มองดูศัตรูอยู่
—ขณะนี้ เอ็นดีเวอร์กำลังบิบใบหน้าของชายภายในบ้าน ในขณะที่ชายผู้นั้นกำลังดิ้นรนพยายามหายใจเข้าออกสักทางหนึ่ง แต่ทว่าก็มิอาจทำได้ กลับกันทุกครั้งที่เขาพยายามจะนำอากาศเข้าปอด เอ็นดีเวอร์จะรัดแน่นขึ้นจนเขาเผลอเป่าอากาศออกจากปอดแทน ทำให้ขาดอากาศหายใจเร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
"อ— อั่ก—" —ดูเหมือนจะได้เวลาแล้วสินะ
เมื่อนั้นมิสเตอร์ดีจึงก้าวเข้าไปในบ้าน เหยียบผ่านประตูซึ่งถูกเอ็นดีเวอร์พุ่งจนพังลงไปกับพื้น สิ่งแรกที่มิสเตอร์ดีเห็นนั้น ไม่ต้องถามก็รู้ นั่นก็คือชายวัยสี่สิบกว่า ๆ ผู้หนึ่ง มือข้างหนึ่งถือปืนลูกซอง นอนอยู่กับพื้นพร้อมกับขาที่กวัดแกว่งไปมาพยายามจะดิ้นรนออกจากพันธนาการนี้ แต่ก็มิอาจทำได้ ใบหน้าเริ่มจะซีด พร้อมกับดั้งจมูกที่เริ่มจะเสียทรงจากการถูกบีบรัดอย่างรุนแรง และแว่นตาที่เริ่มแตกหักออกจนกระจกเลนส์กระจายไปทั่วพื้น
—พ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนาเสียจริง
"เอ๊นดีเวอร์ หยุดซะ"
ทันทีที่มิสเตอร์ดีลั่นวาจาจนจบประโยค ร่างของเอ็นดีเวอร์ก็ค่อย ๆ สลายหายไปราวกับฝุ่น ก่อนที่ละอองฝุ่นเหล่านั้นจะกลับเข้ามายังร่างกายของมิสเตอร์ดี ส่วนทางด้านของชายวัยสี่สิบที่นอนมดสภาพอยู๋บนพื้นนั้นก็เริ่มหายใจเข้าออกเสียงดังผ่านปากของเขา ด้วยสีหน้าระรื่นเล็กน้อยดังเช่นจะสื่อว่าเรารอดแล้ว
หมับ! "อ้า—ก!" ชายคนนั้นร้องเสียงหลงออกมาด้วยสีหน้าที่กลับมาหวาดกลัวและโมโหจนเลือดเดือด เมื่อมิสเตอร์ดีใช้รองเท้าของเขาเหยียบย่ำลงไปยังข้อมือขวาที่ถือปืนลูกซองนั้น ในขณะที่มิสเตอร์เอง กำลังจรดมองชายผู้นี้ด้วยดวงตาที่ปราศจากซึ่งความปราณีใด ๆ
"ปกติฉันคงจะบีบหน้าของแกไปเรื่อย ๆ จนกว่าตาของแกจะผุดออกจากกระโหลกแล้ว เพราะแกพยายามจะยิงฉันด้วยปืนกระจอกนี่ แถมยังทำสูทฉันเปื้อนฝุ่นในบ้านโสโครกของแกอีก.." "แต่ว่าฉันต้องการข้อมูลจากแก ฉะนั้นแล้วฉันจะยังไม่ทำอะไรแกมาก แต่ถ้าแกไม่ยอมตอบตอนที่ฉันถามล่ะก็ สุดท้ายแล้วแกก็จะเจอกับชะตากรรมเดียวกันอยู่ดี.. เข้าใจ!?"
"ค— ครับ!?—"
ชายคนนั้นตะโกนตอบกลับไปขณะที่กำลังจรดมองมิสเตอร์ดีด้วยสีหน้าที่มากด้วยความหวาดกลัว ทว่ามิสเตอร์ดีนั้นหาได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเลยผ่านใบหน้า มีเพียงดวงตาที่ว่างเปล่าคู่นั้น จรดมองราวกับหาใช่มนุษย์ด้วยกัน อะไรอย่างนั้น
"ถ้าอย่างนั้นแล้ว.. พอล โรเมโร่.." "ในฐานะที่นาย ปล่อยข้อมูลการส่ง-ออกขององค์กรสแวนเดเนเดียให้กับพวกโจร ฉันขอถามกับนายในฐานะของนักเก็บกวาด" "แกขายข้อมูลให้กับใคร.. แล้วมีดนั่นอยู่ไหน!?"เรื่องราวระหว่างแคลร์กับลีอองจะเป็นอย่างไรต่อ? แล้วชะตากรรมอะไรกำลังรอพอล โรเมโร่อยู่กัน? >> TO BE CONTINUED!
|
|
|
Post by jussaateen on Jul 20, 2018 15:36:47 GMT
บทที่ 5 - ปะทะ บลู สวีด (1) แต่งโดย: Jussaateen "ถ้าอย่างนั้นแล้ว.. พอล โรเมโร่.. ในฐานะที่นาย ปล่อยข้อมูลการส่งออกขององค์กรสแวนเดเนเดียให้กับพวกโจร ฉันขอถามกับนายในฐานะของนักเก็บกวาด" "แกขายข้อมูลให้กับใคร.. แล้วมีดนั่นอยู่ไหน?" "..ตอบฉันมา!"
มิสเตอร์ดีพลันเปล่งวาจาออกมาดังลั่นอย่างน่าเกรงขามและน่าหวาดกลัว ในขณะที่จิตสังหารถูกแผ่ออกมาจากเขาเพื่อมุ่งเข้าแทรกแทรงความคิดของพอล โรเมโร่— ชายผู้โชคร้ายซึ่งกำลังนอนเหมือดอยู่บนพื้นพร้อมกับถูกเหยียบข้อมือเอาไว้มิให้เคลื่อนไหวไปไหน ดังเช่นโซ่ล่ามสุนัขที่ทวีคูณความเจ็บปวดและความน่าสังเวชกว่าหลายเท่า
บัดนี้พอลเริ่มสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว จนแม้แต่เพียงการเบะริมฝีปากออกก็ยังสามารถทำได้ด้วยความล่าช้าพอสมควร ในขณะที่มิสเตอร์ดีเอง ก็ยังคงเพ่งมองมายังพอลโดยไม่ละสายตาใด ๆ แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เนื่องด้วยแม้หากมองเพียวผิวเผินจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพอลมิอาจต่อกรกับมิสเตอร์ดีได้อีกต่อไปก็ตาม
แต่ภายใต้แววตาที่มากด้วยความกลัวนั้น ยังคงมีเปลวไฟเพียงเล็กน้อยมอดอยู่ เพื่อรอคอยโอกาสที่เหมาะสม
—ไม่ต้องสงสัย เจ้าหมอนี่ต้องวางแผนอะไรอยู่แน่ มิสเตอร์ดีคิดขึ้นในใจของเขา เมื่อมองเห็นแววตาของพอลเช่นนั้น.. ซึ่งก็ไม่ทันขาดคำ—
ควั่บ! ทันใดนั้น กระบอกปืนพกสีดำก็พุ่งขึ้นมาพร้อมกับมืออีกข้างของพอล ก่อนที่จะยิงเข้าใส่มิสเตอร์ดีโดยทันทีเมื่อเข้าสู่ระยะ
—อย่าคิดนะว่า แค่นี้จะทำอะไรฉันได้! เจ้านักเก็บกวาด!
ปัง!
—อ.. อะไรน่ะ!? —ทั้ง ๆ ที่เรายิงไปแล้ว.. แต่ทำไมกระสุนปืนยังถึงได้.. —ติดอยู่ในกระบอกกัน!?
พอลที่ลั่นไกปืนแล้วแสดงสีหน้าที่งุนงงและตกใจด้วยความหวาดหวั่น.. สมองและความคิดของเขาเริ่มหมุนไปเรื่อยเพื่อตีความข้อมูลเบื้องหน้าจนเขาเริ่มจะปวดไปทั่วกระบาล เนื่องด้วยความไม่เข้าใจในภาพที่ตนเห็น ในขณะที่มิสเตอร์ดีจดจ้องมองพอลดังเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิหนำซ้ำเขากลับเริ่มส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยราวกับผิดหวังในการโจมตีของพอลเมื่อครู๋นี้
กระสุนปืนที่ควรจะพุ่งทะลุคอหอยของมิสเตอร์ดีนั้น ขณะนี้กลับลอยอยู่เหนือกระบอกปืนและไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับมีอะไรจับมันเอาไว้ไม่ให้ออกห่างจากกระบอกปืน แต่ในสายตาของพอลนั้น เขาก็หาได้มองเห็นสิ่งใดเลย
กลับกัน เมื่อมองจากดวงตาของมิสเตอร์ดีแล้ว สิ่งที่พอลเห็นเป็นความว่างเปล่า แท้จริงแล้วมันคือแฟนธอม— เอ็นดีเวอร์ของมิสเตอร์ดีบินมากันกระสุนปืนเอาไว้อย่างง่ายดายและไร้รอยชีดข่วนอะไรทั้งนั้น
"ทั้ง ๆ ที่ทำงานให้กับโฮสท์แท้ ๆ แต่กลับไม่ใช่โฮสท์ซะเองเนี่ยนะ แก" "รอดมาได้ถึงขนาดนี้ก็บุญแค่ไหนแล้วเนี่ย.. พอล โรเมโร่"
มิสเตอร์ดีเริ่มกำหมัดของเขาขึ้นมาให้พอลเห็นอย่างชัดเจน ในขณะที่เหงื่อเริ่มไหลโชกลงมาจากหน้าผากของเขา โดยที่ตัวพอลเองยังคงพยายามยิงปืนออกมาเรื่อย ๆ ทว่าด้วยการที่กระสุนปืนนัดแรกยังคงติดอยู่ในกระบอกจึงทำให้ปืนไม่สามารถยิงออกมาได้เลยแต่อย่างใด ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของพอลนั้นก็ยังคงถูกเท้าของมิสเตอร์เหยียบเอาไว้อย่างแน่นหนาจนชาไร้ความรู้สึกซึ่งไม่มีทีท่าจะปล่อยออกมาหรือย่นแรงลงแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
"ม— แม่งเอ้ย!—"
หมับ!.. มิสเตอร์ดีใช้เท้าของเขาอีกข้างหนึ่งตอกลงไปยังใบหน้าของพอลอย่างรุนแรงในคราวเดียว ก่อนที่เมื่อยกเท้าของเขาขึ้นมา ดั้งของพอลจะเบี้ยวผิดทรงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับเลือดที่โชกไปทั่วจมูกและปากของชายวัยสี่สิบผู้นี้
"อั่ก—!" พอลกระอักเลือดออกมาเล็กน้อยก่อนที่ปืนจะหลุดออกจากมือของเขาราวกับปุ่มสวิตช์ทำงาน
ทว่ามันยังไม่จบ พอลรู้ดีว่ามันยังไม่จบเมื่อเขาเหลือบเห็นใบหน้าอันแน่นิ่งของมิสเตอร์ดี พร้อมกับตำแหน่งการยืนที่ก่อนหน้านี้ยังคงเหยียบอยู๋บนร่างของพอลอยู่นั้น บัดนี้มิสเตอร์ดีถอยหลังออกมา และเปิดช่องว่างให้พอลสามารถลุกขึ้นยืนได้
—หมอนี่คิดจะ.. ท้าเราเหรอ..? พอลพยายามตีความถึงสาเหตุที่มิสเตอร์ดีถอยหลังออกมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็สามารถกระทืบเขาต่อไปเพื่อล้วงข้อมูลก็ได้ แต่ตอนนี้เขากลับสร้างช่องว่างให้พอลสามารถเก็บปืนจากพื้นขึ้นมาใหม่ได้
“โอกาสสุดท้าย พอล โรเมโร่.. แกจะตอบคำถามฉันดี ๆ หรือจะลุกขึ้นยืนแล้วชักปืนใส่ฉันอีกรอบล่ะ..?” “พิสูจน์ให้ฉันดูหน่อยซิ ว่าแกฉลาดแค่ไหนกันแน่?.. ไอคนทรยศ” มิสเตอร์ดีกล่าวถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความหวาดกลัวใด ๆ ราวกับเขารู้ซึ่งผลที่จะตามมาอยู่แล้วไม่ว่าพอลจะเลือกอะไรก็ตามแต่ ดังเช่นคำว่า ชักปืน หาใช่อันตรายใด ๆ สำหรับมิสเตอร์ดี
—นี่แก.. ดูถูกฉันเหรอ.. ดูถูกฉันอย่างนั้นเหรอ!? —เห็นอย่างนี้แต๋ฉันก็เคยเป็นนักกิฬายิงปืนมาก่อน! ได้เหรียญทองมาเป็นสิบเหรียญ เรื่องการชักปืนแล้วยิงอย่างว่องไวแบบในหนังคาวบอยน่ะ ของแค่นั้นฉันทำได้สบาย ๆ อยู่แล้ว! —ต่อให้แกจะเป็นโฮสท์ก็ตาม! ฉันก็จะยิงแกให้กระจุยเลยคอยดู!
พอลพลันเอื้อมมือของเขาไปคว้าปืนลูกซองจากด้านข้างอีกครั้งด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเล็งกระบอกปืนเข้าหามิสเตอร์ดีทันใด ในขณะที่มิสเตอร์ดี ซึ่งเมื่อเห็นพอลคว้าปืนลูกซองขึ้นมาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินเข้าหาพอลทันใดอีกคราวหนึ่ง
"แกนี่มันโง่จริง ๆ.. โง่เกินจะเยียวยาเลย" "พอล โรเมโร่ ฉันจะสอนให้นายรู้เอง.. ว่าอย่าเอาปืนมาสู้กับฉัน!"
มิสเตอร์ดีถอดแว่นตาสีดำของเขาออกมา แสดงให้เห็นดวงตาสีฟ้าดุจดังเปลวเพลิงอันร้อนแรงบนหม้อไฟอันเดือดดาล จรดมองไปยังพอลที่กำลังเล็งปืนมายังมิสเตอร์ดีอยู่ พร้อมกับมือข้างซ้ายกำลังเคลื่อนเข้ามาประคองปืนเพื่อลั่นไก
ทว่าด้วยระยะที่มิสเตอร์ดีมาถึงแล้วนั้น หากพอลหวังจะเอาชนะมิสเตอร์ดีโดยไม่อยู่ในสภาพปางตายล่ะก็ นี่คือวินาทีสุดท้ายของเขา ซึ่งเอาเข้าจริง ด้วยฝีมือการยิงปืนของพอลที่สั่งสมมาแต่อดีตแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
—ฮ่า ๆๆๆ! ไอนักเก็บกวาด! —แกน่ะ! จบแล้วเว้ย!
..
“นานิ!?” "ORA!"
โครม! ไม่ทันที่พอลจะสามารถเหนี่ยวไกได้ทัน หมัดขวาของมิสเตอร์ดีก็พุ่งตรงเข้าใส่ขมับหน้าผากขวาของพอลอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดเสียงปะทะที่รุนแรงดังเช่นเสียงของสายฟ้าฟาดฟันลงสู่ผืนดิน
"อั่ก—! ร— เร็วมาก—!" —หมัดนี่!.. เป็นพลังของแฟนธอมรึไงกัน ทำไมถึงได้! เร็วแรงขนาดนี้!..
ชั่วพริบตาที่พอลถูกหมัดนั้นต่อยซัดเข้าใส่กระพุ้งแก้มของเขานั้น ร่างกายของเขาก็ปลิวตามแรงหมัด ก้าวขาถอยกรูเข้าไปอัดกับโซฟาด้านหลังทันใด ทว่าก่อนที่ตัวเขาจะหงายหลังลงไปกองกับพื้นนั้น มิสเตอร์ดีก็ใช้มือซ้ายคว้าคอเสื้อของพอลไว้ได้ทัน
ในขณะนี้นั้น ยากจะมีคำมาใช้อธิบายถึงอารมณ์ความหวาดกลัวของพอล ในขณะนี้ ทว่ายังคงมีคำที่สามารถอธิบายถึงสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปกับพอลนั้น ยังคงมีอยู่ประโยคหนึ่งซึ่งเหมาะเหม็งที่สุดแล้ว นั่นก็คือ.. พอลชิบหายแล้ว
"ORAORAORAORAORAORAORAORAORAORAORAORA!" หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ!
"อั่ก—!"
ชั่วพริบตาเดียว หมัดทั้งสองข้างของมิสเตอร์ดีก็พุ่งกระหน่ำอัดเข้าใส่ทั่วร่างกายของพอลด้วยความเร็วที่ยากจะเชื่อว่าเป็นความเร็วของมนุษย์ จนร่างกายของพอลนั้นซัดเซไปพิงกับกำแพงบ้านอย่างไร้ทางต่อต้าน เลือดมากมายกระจัดกระจายออกจากใบหน้า ราวกับฝุ่นที่เริ่มถูกปัดออกจากวัตถุด้วยไดร์เป่าผม
"ORAORAORAORAORAORAORAORAORAORAORA... ORA!" หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ!.. ควั่บ!
หมัดเหล่านั้นยังคงถูกซัดกระหน่ำไปยังร่างกายของพอลโดยไม่ลดยั้งความเร็วแต่อย่างใด แม้สภาพร่างกายของพอลนั้นดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรงดังหุ่นไม้ในละครเวทีเสียแล้วก็ตาม ก่อนที่หมัดสุดท้ายนั้นจะถูกแปรเปลี่ยนด้วยแรงที่ทวีคูณยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นอัปเปอร์คัทเสยคางของพอลอย่างรุนแรง จนฟันของเขาหลุดออกมาซี่หนึ่ง และเหินเวหาลอยอยู่บนฟ้าอยู่ประมาณวินาที สองวินาทีเลยทีเดียว
—อ!.. เราเริ่มไม่เหลือแรงจะยืนแล้ว.. บ.. บ้าน่า! บัดนั้นเอง ในชั่วพริบตาที่พอลพยายามจะรวบรวมสติตนเองอีกครั้งเป็นฮึดสุดท้าย ดวงตาของเขาก็เหลือบเห็น มิสเตอร์ดีเคลื่อนตัวถอยออกมาระยะหนึ่ง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาพอลอีกครั้งเป็นการโจมตีสุดท้าย
"ORAA!!" ปัก!!
"อ—!" ตุบ!..
ดวงตาของพอลเหลือบกลับเข้าไปด้านใน พร้อมกับขาทั้งสองที่ตกลงมานั่งกับพื้นอย่างรุนแรง เมื่อครู่นี้.. เท้าของมิสเตอร์ดีพุ่งขึ้นแล้วเตะอัดเข้าใส่กรามปากของพอลอีกคราวหนึึ่ง ทว่ารุนแรงกว่าหมัดทั้งหมดที่ถูกต่อยมาเป็นเท่าตัว และกระทบอัดกับกำแพงอีกทีหนึ่งจนเกิดเป็นรอยบุบบนปูนกำแพง เช่นเดียวกับเลือดที่กระจัดกระจายไปทั่ว จนแม้แต่มิสเตอร์ดีเองยังต้องสงสัยเองว่า เขาโจมตีรุนแรงเกินไปรึเปล่า และเจ้าหมอนี่ตายหรือยังกัน?
หลังจากที่มิสเตอร์ดีที่จัดการพอลจนสารรูปอนาถอยู่บนเลือดที่กระจายไปทั่วพื้นราวกับการฆาตกรรมนั้น ตัวมิสเตอร์เองก็นั่งยอง ๆ ลงไปแล้วเอามือไปจับที่ชีพจรของพอลดูบริเวณข้อมือข้างหนึ่ง เพื่อเป็นการตรวจสอบดู
—หึ.. เหมือนจะยังไม่ตายนะ —เกือบแล้วไง.. ทีนี้ก็เหลือว่าหมอนี่จะยังเหลือแรงตอบเรารึเปล่าก็แค่นั้นแหละ
มิสเตอร์ดีเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยที่ใบหน้าด้วยความโล่งอก หลังจากที่เมื่อก่อนหน้านี้นั้นตัวเขาพลั้งเผลอต่อยแล้วไม่ออมมือกับขายผู้นี้แต่ใด ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังคงเหลือคำตอบอยู่นั่นคือ ชายที่เขาพึ่งอัดไปดังกระสอบทรายเมื่อครู่นั้น จะยังพูดจาภาษาคนรู้เรื่องหรือไม่?
"เฮ้ย.. พอล โรเมโร่.. เฮ้ย!" "อ— อ— ..ไอ.. เวร.." พอลลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจากการที่ถูกเรียกและเขย่าร่างกายไปด้วยโดยมิสเตอร์ดี "เหมือนจะยังพูดได้สินะ โอเค.. ทีงี้ก็ตอบคำถามของฉัน.. เป็นรอบที่สามมาซะ!" มิสเตอร์ดีที่เห็นว่าพอลยังสามารถพูดได้นั้น ก็ลุกขึ้นยืนอีกคราวก่อนจะชี้หน้าพอลทันใด
"แกขายข้อมูลให้กับใคร.. และมีดเล่มนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน?" "อ—.. "
—พอลที่ได้ยินคำถามนั้นขึ้นเป็นรอบที่สามนั้น รู้ดีว่าเขาหมดทางเลือกที่จะต่อต้านอีกต่อไปแล้ว เพราะหากยังปฏิเสธอีก ต่อจากนี้คงไม่เหลือทางเลือกใดนอกจากความตายอีกแล้วก็เป็นได้ —แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม..
"พ— เจ้าพวกนั้นน่ะ มีมาตรการที่เด็ดขาดมาก.." "ถ้าฉันบอกแกไปล่ะก็..— ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายแล้ว—" พอลกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูยังคงมากด้วยความเจ็บปวดจากการถูกกระหน่ำหมัดลงทั่วร่างดังกระสอบทราย ทว่าในความเจ็บปวดนั้นมีความหวาดกลัวเข้ากลบจนแทบมิดชิด
—กลัวที่จะถูกมิสเตอร์ดีฆ่าทิ้ง —และจะกลัวถูก 'เจ้าพวกนั้น' ฆ่าทิ้ง
"แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่าการหักหลังตระกูลแสวนเดเนเดีย.. การหักหลังตระกูลที่ชักใยการล่าแม่มดเมื่อหลายร้อยปีก่อน จะลงเอยด้วยความตายเหมือนกันน่ะ ฮึ?" "เหมือนฉันมีทางเลือกแหละ!— อั่ก—! ฉันติดหนี้เจ้าพวกนั้นก้อนโต— ทางเดียวที่จะล้างหนี้ได้คือฉันต้องทำตามที่มันสั่งเท่า—" ทั้งสองเริ่มที่จะปล่อยวาทิใส่กัน ก่อนที่ฝ่ายมิสเตอร์ดีจะเริ่มสาธยายบทของเขาออกมาแทรกพอลทันใด
"เอาล่ะ ๆ หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระของแกแล้วตอบคำถามฉันมาซะ!" "ถ้าฉันได้ข้อมูลที่ต้องการเมื่อไหร่ ฉันจะพานายส่งออกไปจากเมืองนี้เอง อย่างน้อยก็จะได้ไม่โดนเจ้าพวกที่แกกลัวนักหนาฆ่าทิ้งล่ะนะ" "แต่ไม่ได้จะพาแกไปหลบอย่างปลอดภัยนะ.. จะพาแกไปรับโทษกับทางสแวนเดเนเดียเอง.. ส่วนจะตายหรือจะโดนขังหรืออะไร ก็ไปดูที่นั่นอีกที"
"ฟังดูเป็นข้อเสนอที่ดีมั้ย? พอล โรเมโร่.."
พอลที่ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ตัวเขาจะเริ่มเบะปากพูดขึ้น ในขณะที่เลือดยังคงไหลย้อยลงมาจากหน้าผากของเขา
"ก.. ก็ได้.." "แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น.. ฉันก็แค่ระดับล่างฉะนั้น.. ฉันบอกอะไรได้ไม่มากหรอก.."
พอลยอมเห็นดีตกลงกับข้อเสนอของมิสเตอร์ดี ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว ตัวพอลเองก็หาได้เต็มใจกับข้อเสนอนี้เลย หากเป็นไปได้ เขาขอให้เจ้าชายที่อัดเขาตรงหน้าตาย ๆ ไป แล้วพาเขาไปหลบที่อื่นอย่างสวีเดนหรือฝรั่งเศส หรือที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่เมืองมูนไบรท์ที่นี่คงจะดีกว่า
".. พวกมันเรียกตัวเองว่า 'ครูเซเดอร์' ..เป็นองค์กรที่อ้างตัวว่าเป็นคนของโบสถ์ในตลาดมืด.."
—ครูเซเดอร์.. เหรอ? มิสเตอร์ดีที่ได้ยินชือขององค์กรเช่นนั้นก็นำมือมาแตะริมฝีปากของตนเล็กน้อยด้วยความสนใจพลางฟังและจดจำทุกคำพูดที่ถูกกล่าวออกมาจากปากของพอล โรเมโร่
"พวกมันทำการค้าขายทั้งอาวุธ ข้อมูลต่าง ๆ อีกทั้งยังจัดงานมวยเถื่อนใต้ดินและอื่น ๆ อีกมากมาย ..ที่สำคัญยังเป็นองค์กรที่รวมตัวด้วยพวกโฮสท์มากฝีมือจากทั่วโลกด้วย.." "แต่ว่าเจ้าพวกนั้นก็เปลี่ยนสถานที่จัดการค้าขาย การประมูล หรือการนัดพบแทบจะตลอดเลย.. ถ้าจะถามว่าเจ้าพวกนั้นอยู่ไหนล่ะก็ คงต้องถามคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันแล้วล่ะ.." "ฉะนั้นแล้วก็อย่างที่ว่าไป.. ฉันไม่รู้ว่าพวกมันอยู๋ไหน และไม่รู้ว่ามีดเล่มนั้นอยู่ไหนเหมือนกัน.. รู้แค่ว่าพวกนั้นเป็นใครก็เท่านั้น"
"แล้วแกไปรับงานจากพวกมันได้ยังไงล่ะ? มันโทรมาเหรอ?" มิสเตอร์ดีถามแทรกขึ้นมาด้วยความฉงุนสงสัย เพราะหากเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าเขารู้เพียงชื่อของพวกมันเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่เลย "ก— ก็ใช่..— แต่ก็มีนัดสถานที่เจอกับคนกลางเหมือนกัน.."
—คนกลางเหรอ?
"มองหาเด็กสาว.. ชุดของเธอ ดวงตาของเธอ สีผมของเธอ ล้วนแล้วร้อนแรงเหมือนสีแดงของไฟ.." "มองไม่ยากหรอก ขอแค่รู้ว่าต้องมองตรงไหนก็พอ.." "แล้วเธอมีชื่อว่าอะไร?"
บัดนั้นเอง พอลจึงเอ่ยตอบคำถามของมิสเตอร์ดีไปด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมและจริงจัง ราวกับว่าเขารับรู้แล้ว ว่าหลังจากที่เอ่ยชื่อนี้ไปนั้น ตัวเขาจะได้ก้าวข้ามเส้นสีแดงแห่งความปลอดภัยในชีวิตลงเสียแล้ว
"แพทริเซีย" "แพทริเซีย?.." มิสเตอร์ดีที่ได้ยินชื่อก็ย้ำชื่อกลับมาถามพอลเล็กน้อยด้วยความสงสัย "อ่า.. เหมือนจะเป็นคนสนิทของหัวหน้าแก๊งเลยแหละ.. แต่ถามว่าหัวหน้าของพวกมันชื่ออะไรหรือหน้าตาเป็นไง ฉันก็ไม่รู้" พอลอธิบายเสริมเล็กน้อย ในขณะที่มิสเตอร์ดีค่อย ๆ เลื่อนสายตากรอกไปมองทางอื่นเพื่อจรดใช้ความคิดของเขาว่าต่อไปควรจะทำอย่างไรดี ในขณะที่มือข้างหนึ่งกลับไปล้วงแว่นกันแดดสีดำกลับมาสวมใส่อีกรอบหนึ่ง
—เป็นข้อมูลที่สำคัญมาก.. คงจะต้องรายงานให้พวกคนของสแวนเดเนเดียรู้เลยในทันที —แต่ว่า ถ้าโทรด้วยสายโทรศัพท์ตรงเลย อาจจะเสี่ยงโดนดักฟัง.. ไปรายงานที่โรงแรมเราน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้วล่ะ
ทว่าเมื่อนั้นเอง คิ้วซ้ายของมิสเตอร์ดีกลับกระตุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนที่ตัวเขาจะพลันหันกลับไปมองด้านหลังของตนตามสัญชาตญาณ
หมัด ถูกปล่อยออกมาจาก กำแพง
หมับ! "อั่ก—! นานิ!"
มิสเตอร์ดีที่เหลือบเห็นหมัดปริศนาพุ่งออกมาจากกำแพงก็ถอยร่นออกมาหลังกระทบกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว.. ก่อนที่ตัวมิสเตอร์ดีจะเบิกสายตาโพลนขึ้นมาด้วยความตกใจและงุนงงถึงภาพที่ตนเห็น ซึ่งไม่ต้องสงสัยแต่อย่างใด.. —นั่นเป็นฝีมือของโฮสท์ไม่ผิดแน่
—แต่ว่าหมอนั่นอยู่ไหนกัน? แล้วแอบฟังเราอยู่อย่างนั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นแล้วมันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!? —มิหนำซ้ำพลังของหมอนั่นคืออะไรกัน? ที่เราเห็นมันไม่ใช่หมัดของคนธรรมดา แต่ผิวหนังของมันและพื้นผิวของมัน ไม่ผิดแน่ว่าหมัดเมื่อกี้นี้ถูกคลุมด้วยผิวหนังของปูน ไม่ต่างจากกำแพงนี้เลย
ในขณะที่เขากำลังพยายามตั้งสติเพ่งความคิดอยู่นั้นเอง หมัดอีกหลายหมัดก็ถูกชกออกมาจากกำแพงเข้าหามิสเตอร์ดี โดยล้วนทั้งหมดแล้วมีผิวหนังเป็นปูนของกำแพงดังที่มิสเตอร์ดีกล่าวว่า หาใช่เพียงแค่ตาฝาดแต่อย่างใด
มิสเตอร์ดีคว้าตัวถอยหลบหมัดออกมาจนพ้นจากระยะที่หมัดจะเอื้อมถึง.. บัดนั้นแขนของสิ่งปริศนานี่ก็กลับเข้าไปในกำแพง และกลับมาเงียบงันดังเดิม —หมอนั่นหายไปแล้วเหรอ.. หรือว่าจะ.. ไม่สิ.. มันเป็นแฟนธอม!
"ก— เกิดอะไรขึ้นเหรอ?"
พอลทีเห็นทีท่าเหงื่อชุ่มใบหน้าของมิสเตอร์ดีดังนั้นจึงเอ่ยปากถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงงทันใด ซึ่งเมื่อมิสเตอร์ดีได้ยินดังนั้นเขาก็หันกลับมามองพอลด้วยสีหน้าดังเช่นคนที่ลืมทำอะไรบางอย่างไป อย่างเห็นได้ชัด
—ชิบหายแล้ว หมอนั่น! อยู่พิงกับกำแพงเลย!
"พอล โรเมโร่! ถอยออกมาจากกำแพงนั่น—!" "ฮ.. ฮะ—"
ฉึก!
"เดี๋ยวนี้— อ—!"
ไม่ทันที่มิสเตอร์ดีจะได้พูดจนจบประโยค ไม่ทันที่คำเตือนจะถูกส่งถึงโสดประสาทของพอล ร่างกายของพอลบัดนี้ก็ลอยอยู่เหนือพื้นพร้อมกับเลือดหยดลงมาจากช่องว่างบนท้องของเขาดังเช่นก๊อกน้ำที่กำลังแตกรั่ว โดยสาเหตุของมันมาจากการที่มีหมัดพุ่งออกมาชกร่างของพอลจนทะลุออกมาอย่างน่าเหวอะหวะ
โดยในขณะนี้ ก็ยังคงหมัดตรึงอยู่บนร่างของพอลอยู่ มิหนำซ้ำบัดนี้ก็เริ่มมีแขนอีกข้างหนึ่งค่อย ๆ ผุดออกมาจากกำแพง แล้วเข้าไปต่อยทะลุที่หน้าอกของพอลซ้ำอีกคราวหนึ่ง ในขณะที่ตัวพอลนั้นหาได้ขยับเขยื้อน หรือร้องเสียงอะไรออกมาแต่อย่างใดแม้แต่น้อย
—พอล โรเมโร่ อายุ 42 ปี สิ้นใจในทันที
ครืด.. ครืด.. แขนทั้งสองเริ่มจะขยับไปมา ก่อให้เกิดเสียงดังออกมาจากร่างกายของพอล ในขณะที่มิสเตอร์ดีเริ่มก้าวขาถอยออกมาเพื่อรักษาระยะห่าง ออกจากแฟมธอมที่สุดจะอันตรายตัวนี้
แคว่ก! ทว่าในจังหวะที่มิสเตอร์ดีกำลังค่อย ๆ ย่างก้าวถอยหลังออกมานั้น ร่างกายของพอลก็ถูกฉีกขาดออกเป็นส่องท่อน โดยแขนทั้งสองข้างที่ผุดจากกำแพง
ท่อนล่างของพอลนั้นตกกระทบลงไปกับพื้น พร้อมกับเลือดเริ่มไหลนองมาทางมิสเตอร์ดี ส่วนท่อนบนนั้นก็กระเด็นไปอัดกับกำแพงที่ด้านซ้ายอย่างรุนแรง จนติดอยู่กับตัวกำแพงไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงที่ดึงลงมา
—แฟนธอมตัวนี้อันตราย! อันตรายมาก! มิสเตอร์ดีที่รักษาระยะห่างได้แล้วก็หยุดยืนนิ่งเพื่อดูเชิงของศัตรู ในขณะที่แขนทั้งสองข้างยังคงหยุดอยู่กับที่ หาได้ขยับเขยื้อนไปไหน ไม่ว่าจะกลับเข้าไป หรืออะไรก็ตาม มันหาได้กระทำสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด.. เพียงแค่ห้อยต่องแต่งจากกำแพงพร้อมกับเลือดของพอลซึ่งเกาะไปทั่วมือของมัน
—แต่ว่าถ้าอย่างนั้นแล้ว.. โฮสท์ของมันอยู่ไหนกันล่ะ? เป็นแฟนธอมที่ควบคุมจากระยะไกลหรือใกล้ก็ไม่รู้ด้วย —บ้าเอ้ย นี่ไม่ใช่เวลาทีืจะคิดเรื่องนั้น.. พลังของหมอนี่คือการเคลื่อนที่อย่างอิสระในกำแพงแน่ ๆ จากที่เห็นมันเคลื่อนไหวจากกำแพงด้านขวา มายังตรงหน้าของเราได้ —แถมดูจะมีแรงมหาศาลด้วย สามารถต่อยท้องทะลุได้ในหมัดเดียว ผิดจากแฟนธอมของเราที่ทำได้แค่บีบอัดใบหน้าด้วยแรงของมัน ซึ่งอย่างมากก็ได้แค่ยุบให้เสียรูปเท่านั้น
—ตอนนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดของเรา.. ก็คือ.. ในขณะที่มิสเตอร์ดีจะเคลื่อนไหวอยู่นั้นเอง แขนทั้งสองข้างที่กำแพงนั้น ก็มีบางอย่างเปลี่ยนไป
บัดนี้มันเริ่มเคลื่อนไหว แขนทั้งสองข้างเหยียดตรึงออกจากกำแพง ก่อนที่ตรงปลายนิ้วจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินดำ แล้วค่อย ๆ ลุกลามมาเรื่อย ๆ อย่างเชื่องช้าเพรียบพร้อมกับขาสองข้างที่ค่อย ๆ ก้าวออกจากกำแพง แล้วท้ายที่สุดจึงปรากฏให้เห็นร่างกายสีน้ำเงินดำ ยืนเด่นอยู่เบื้องหน้ามิสเตอร์ดีด้วยความสูงที่มากกว่ามิสเตอร์ดีอยู่ราว ๆ สิบเซนติเมตรเห็นจะได้
มันมีผิวหนังสรีระร่างกายคล้ายคลึงกับคน บนร่างกายของมันปรากฏให้เห็นรอยของกล้ามเนื้อดังเช่นชายทหารหุ่นแข็งแรงดี ทว่าร่างกายทั้งหมดของมันนั้นเป็นสีดำน้ำเงิน ดังเช่นสีของท้องฟ้าในยามกลางคืน พร้อมกับบนใบหน้าของมันที่ปราศจากสิ่งใดนอกจากดวงตาทั้งสามดวงของมันบนใบหน้า ซึ่งกำลังส่องแสงสีสว่างราวกับไฟฉายขนาดเล็ก
มันยืนจรดมองมิสเตอร์ดีอย่างแน่นิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ดังเช่นหุ่นในลานโชว์ของเล่น ซึ่งมิสเตอร์ดีรู้ว่ามันไม่ใช่แค่หุ่นตั้งโชว์ แต่เป็นแฟนธอมซึ่งถูกส่งมาหาเขาด้วยประสงค์เพียงประสงค์เดียวเท่านั้น.. นั่นคือการทำลาย
"มิสเตอร์ดี รายต่อไปน่ะก็คือ.. แกไงล่ะ" มันเปล่งเสียงออกมา ทว่ามันที่พูดถึงนี้มิใช่แฟนธอมเสียทีเดียว แต่เป็นโฮสท์ ซึ่งส่งคำพูดผ่านมายังตัวแฟนธอมที่เขาควบคุมอยู่ "บลูสวีดของฉัน.. จะแยกร่างของแกให้เป็นสองท่อน เหมือนกับเจ้าคนทรยศนั่นเลย" "นั้นเหรอ.. ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้อง.." มิสเตอร์ดีที่ได้ยินเช่นนั้นจึงกวักหน้าตามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบรื่น แต่จริง ๆ แล้วก็มีความกลุ้มกังวลอยู่มิใช่น้อย ๆ เหมือนกัน ก่อนที่ตัวเขาจะเอ่ยต่อจากคำพูดที่เว้นว่างเอาไว้ ให้จบประโยคทันใด
"วิ่งให้เร็วหน่อยนะ!" "ก— แก!"
ทันใดนั้นเอง มิสเตอร์ก็หันหลังกลับไปแล้ววิ่งเต็มสปีดเท้าอย่างรวดเร็ว อย่างไม่สนชีวิต ในขณะที่แฟนธอมปริศนา— นาม 'บลูสวีด' ได้ยินเช่นนั้นจึงเริ่มออกแรงขาวิ่งตามไปทันใด ทว่าตัวมันเริ่มช้ากว่าเป็นอย่างมาก จึงเป็นธรรมดาที่มิสเตอร์ดีจะออกจากบ้านได้ก่อนพร้อมกับเปิดประตูรถเข้าไปในแท็กซี่ของเดวิด ซึ่งยังคงจอดอยู๋ที่เดิมทันใด โดยที่ตัวเดวิดนั้น กำลังนั่งฟังเพลงจากเครื่องเล่นเทป พักผ่อนอยู๋ในรถอย่างสบายใจเฉิบ
"เดวิด! ขับรถเดี๋ยวนี้!" "ค—.. ครับผม! ครับผม" "เร็ว ๆ เลย ไม่มีเวลาแล้ว ซิ่งไปเลยไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น!" "ค— ครับผม! ครับผม!"
เดวิดที่จู่ ๆ ก็ถูกมิสเตอร์ดีตะคอกอัดหูอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น จึงพลันรีบเอื้อมมือไปสตาร์ทรถอีกคราวหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเกียร์แล้วรีบเหยียบคันเร่งขับออกไปทันใด ตามคำสั่งของลูกค้าของเขา ในขณะที่บลูสวีดนั้นนำมือไปแตะรถคันนั้นราวกับจะพยายามคว้าเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน แต่ว่าด้วยความเร็วของรถนั้นจึงทำให้ บลูสวีดมิอาจรั้งเอาไว้ได้ และทำให้สุดท้ายแล้วต้องปล่อยมือออกจากรถไปนั่นเอง
มิสเตอร์ดีหันไปมองหลังเบาะรถด้วยทีท่าฉงนงุนงง บลูสวีดนั้นยืนนิ่งมองมิสเตอร์ดีจากหน้าบ้านหลังนั้น ในขณะที่รถแท็กซี่ยังคงขับไปเรื่อย ๆ อยู่นั่นเอง
—รอดแล้วอย่างนั้นเหรอ.. เหมือนจะรอดแล้วสินะ.. แฟนธอมแบบนั้นน่ะ น่าจะเป็นพวกระยะใกล้มากกว่า เดาว่าคงต้องอยู่ในระยะของโฮสท์ล่ะสินะ.. ก็ถือว่ารอดตัวไปล่ะนะ ถ้าอย่างนั้น
"อ่า.. มิสเตอร์ดีครับ.. เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอครับ?" ในขณะที่มิสเตอร์ดีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เดวิดก็เอ่ยปากถามขึ้นด้วยความงุนงง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ "อ่า.. นายไม่ต้องรู้หรอก เดวิด.. รู้แค่ว่าเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นก็พอ" มิสเตอร์ดีพยายามนึกใช้คำก่อนจะตอบกลับให้ดีที่สุด และเป็นการไม่ให้เดวิดเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ให้มากจนเกินไป ".. เรื่องร้าย ๆ สินะครับ.."
—จริง ๆ เมื่อกี้เราก็ไม่ได้นั่งฟังเพลงซะทีเดียวหรอก เราพึ่งจะเปิดวิทยุฟังด้วยซ้ำ.. ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเจ้าของบ้านไล่ยิงมิสเตอร์ดีแน่ ๆ.. โถ่เว้ย.. นี่เราต้องมาพัวพันกับเรื่องอะไรเข้าเนี่ย! เดวิดกรีดร้องออกมาในใจของเขา ขณะที่พยายามรวบรวมสติไม่ให้กลัวจนวิตกไปทั่วให้มิสเตอร์ดีเห็นเข้า
"จะว่าไป เดวิด.. นายเคยเห็นเด็กผู้หญิงชุดสีแดง ผมสีแดง ตาสีแดง ที่ชื่อแพทริเซียมั้ย? นายเป็นแท็กซี่ไม่กี่คันในเมืองนี้นี่ ต้องเคยเห็นอยู่บ้างใช่มั้ยล่ะ"
เมื่อนั้นเอง มิสเตอร์ดีที่พักหายใจได้พักหนึ่งแล้วนั้น ก็เอ่ยปากถามเดวิดขึ้นทันใดด้วยความสงสัย และเพื่อเก็บข้อมูลมาใช้ด้วย โดยเดวิดที่ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงทีท่าเพ่งคิด สายตามองบนเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไป
"เหมือนจะเคยเห็นหน้าตาอย่างนั้นอยู่ครั้งหนึ่งนะ แต่ไม่รู้ว่าใช่คนเดียวกันรึเปล่า แถมมันก็สักพักแล้วด้วย ประมาณห้าถึงหกเดือนได้มั้งครับ" เดวิดตอบกลับมิสเตอร์ดีไป "น— นั้นเหรอ.. ถ้าอย่างนั้นแล้ว เผื่อนายเจออีกล่ะก็ บอกฉันมา—"
"บอกกับคนตายอ่ะนะ อย่าเลย เสียเวลาเปล่า ๆ น่า"
"น่ะ!?" ทันใดนั้นเอง ขณะที่มิสเตอร์ดีกำลังพูดอยู่นั้น
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อมีเสียงวาจาดังขึ้นมาจากข้างหูอีกที บลู สวีด— แฟนธอมสีน้ำเงินดำกำลังนั่งอยู่บนเบาะผู้โดยสารข้าง ๆ กับมิสเตอร์ดีอยู๋นั่นเอง
"อ— เอ็นดีเวอร์!" มิสเตอร์ดีไม่รอช้า และเรียกแฟนธอมขนาดเล็กของเขาออกมา— เอ็นดีเวอร์
ทันใดนั้นเอง เอนดีเวอร์ก็พลันพุ่งเข้าใส่แฟนธอมสีน้ำเงินดำตัวนั้นทันใด โดยมีเป้าหมายหวังเล็งที่หัวของมัน ทว่าบลู สวีดใช้มือของมันปัดเอ็นดีเวอร์ออกอย่างรุนแรง ในลักษณะที่คล้ายกับการตบด้วยหลังมือ ซึ่งทำให้มิสเตอร์ดีซึ่งเป็นโฮสท์ของเอ็นดีเวอร์นั้น ร่างซัดถอยออกมาตามแรงกระแทกเช่นเดียวกัน
เดวิดที่ได้ยินเสียงกระแทกของมิสเตอร์ดีกับประตูรถนั้นจึงหันหลังไปมอง ทว่าก็ไม่เห็นอะไรนอกจากมิสเตอร์ดีที่กำลังเหงื่อไหลตกไปทั่วใบหน้และเริ่มหายใจหืดหาดไปทั่วดังเช่นตัวเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรู ภายในรถแท็กซี่คันนี้
"เดวิด ขับต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น!" "ค— ว่าอะไรนะครับ?—" "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น! ให้ขับต่อไปซะ!" มิสเตอร์ดีตะโกนลั่นเข้าใส่เดวิดดังเช่นคำสั่งของนายทหาร ซึ่งตัวเขาเองก็หาได้เกี่ยวข้องอะไรกับทางกองทัพ หรือทางทหารเลย
ทันใดนั้นเอง บลูสวีดก็กำลังง้างหมัดของเขาหวังจะต่อยมิสเตอร์ดีที่ตัวกำลังนั่งพิงประตูรถอยู่ ซึ่งเมื่อมิสเตอร์ดีเห็นดังนั้นก็กัดฟันด้วยแรงทั้งหมดทีเขามี ก่อนที่ทันใดนั้นเองเอ็นดีเวอร์ที่ก่อนหน้านี้ปลิวไปติดกับกระจกรถก็พุ่งกลับมายังบลูสวีดอย่างรวดเร็วและรุนแรง ก่อนที่มันจะพันร่างของมันกับใบหน้าของบลู สวีด ได้สำเร็จ แล้วเริ่มทำการบีบใบหน้าของแฟนธอมตนนี้ทันใด
โดยทันทีที่บลู สวีด ถูกโจมตีฉับพลันเช่นนั้น มันก็พยายามดิ้นออกมาโดยสละหมัดที่จะต่อยมิสเตอร์ดีออกไป และนำมือข้างนั้นมาดึงตัวเอ็นดีเวอร์ออกให้ได้ ทว่ายิ่งดึงนานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรัดแน่นนานเท่านั้น ราวกับว่านีคือแผนการณ์ของมิสเตอร์ดีนั่นเอง
เมื่อบลู สวีดเห็นว่ามันจะหมดทางเลือก ระหว่างการกำจัดเป้าหมายกับถูกแฟนธอมของเป้าหมายบีบหน้าจนพังออก ตายอย่างอนาถนั้น สุดท้ายมันก็ตัดสินใจก่อนที่จะง้างขาของมันเข้าหากับมิสเตอร์ดี ก่อนจะปล่อยแรงถีบมหาศาลเข้าใส่มิสเตอร์ดีทันใด
ตุบ! แรงถีบของบลู สวีด รุนแรงมาก มิสเตอร์ดีที่แม้จะตั้งแขนทั้งสองข้างเข้าป้องกันเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายแรงส่งของมันก็อัดเข้ากับอกของมิสเตอร์ดีอย่างรุนแรง ตามด้วยประตูรถตามลำดับ จนประตูรถด้านนั้นหลุดออกจากตัวรถ ก่อนที่ทั้งประตูรถและมิสเตอร์ดีจะตกลงไปกับพื้นข้างถนนอย่างรุนแรง และไถลไปตามพื้น ด้วยอัตราความเร็วพอ ๆ กับรถแท็กซี่ของเดวิด แล้วจึงหยุดลงกับพื้นเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา
รถแท็กซี่ของเดวิดจอดลงราว ๆ สิบวินาทีหลังจากนั้นกับข้างทาง ในขณะที่มิสเตอร์ดีนั้นพยายามลุกขึ้นด้วยสภาพชุดสูทที่เปื้อนเศษฝุ่น และเร่ิมมมีรอยขาดอันเกิดจากการเสียดสีกับพื้นอย่างรุนแรงเล็กน้อย เช่นเดียวกับแว่นตาสีดำของมิสเตอร์ดีทีห่ักลง เผยให้เห็นใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำ และดวงสีฟ้าเข้มจรดมองไปยังรถคันนั้นด้วยสายตาที่จริงจังดังเช่นว่าราชสีห์ที่กำลังรอศัตรูของมันเข้าประจำที่ ในการประลองคราวนี้
บลู สวีดลงมาจากรถแท็กซี่เช่นเดียวกับเดวิดที่โยกหัวออกมาจากกระจก โดยที่บัดนี้เขาสามารถรักษาระยะห่างออกจากแฟนธอมตัวนั้นได้ในระดับหนึ่งแล้ว และไม่ใช่ระยะประชิดแนบเนื้อแบบเมื่อครู่ก่อนนั่นเอง ทั้งสองจรดมองมาทางเดวิด คนหนึ่งมากด้วยความกลุ้งกังวล ทว่าอีกอย่างหนึ่งนั้นมีเพียงความคิดที่จะฉีกกระชากร่างกายของเขาให้ขาดสะบั้นเท่านั้น
—ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป และฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะนั้น —มีเพียงสิ่งเดียวที่รู้ได้ นั่นคือการต่อสู้ในครั้งนี้.. ปราศจากซึ่งการออมแรงแต่ใด —มันคือการต่อสู้ที่จักเดิมพันด้วยภารกิจที่ทั้งสองได้รับมอบหมายจากเบื้องบน กับชีวิต ความเป็นอยู่และความตายมิสเตอร์ดี และเอ็นดีเวอร์ แฟนธอมของเขา ปะทะกับ แฟนธอมปริศนานาม บลู สวีด.. ผู้ใดจะชนะกัน? >> TO BE CONTINUED
PHANTOM STATSชื่อ: บลู สวีด | Blue Swede โฮสท์: ? พลัง: ? แบทเทิลคราย: - ค่าพลัง:
|
|
|
Post by jussaateen on Aug 9, 2018 13:50:04 GMT
บทที่ 6 - ปะทะ บลู สวีด (2) แต่งโดย: Jussaateen เวลาบ่ายสองสามสิบนาที ณ อาคารเรียนชั้นมัธยมปลาย ภายในโรงเรียนมูนไบรท์
เกร้งงงง! เสียงออดแจ้งเตือนเวลาภายในอาคารเรียนเริ่มดังขึ้นมาไปทั่วราวกับเสียงกรีดร้องของเหล่านักเรียนที่กำลังนั่งเบื่อหน่ายกับคาบวิชาฟิสิกส์ ชีวะ และการสอนของอาจารย์ที่ชวนให้นึกถึงสารคดีอันน่าหลับใหล ก่อนที่บัดนั้นโถงทางเดินที่เคยว่างเปล่ามีเพียงภารโรงกวาดพื้นอยู่อย่างสงบ กลับชุลมุนไปด้วยเหล่านักเรียนที่เริ่มวิ่งออกมาจากห้องเรียนต่าง ๆ อย่างว่องไวพร้อมกระเป๋าและรอยยิ้มอันกว้างใหญ่ของผู้ได้รับอิสรภาพ
ทว่ามันหาใช่ตัวเขา เขาเพียงแค่สะพายกระเป๋าเป้แล้วเดินคอตกออกมาด้วยสีหน้าตายด้านที่ไม่ได้แตกต่างอะไรกับตอนเรียน มิใช่เพราะความเศร้าสลด ความหดหู่ใด ๆ แต่เป็นเพียงความเบื่อหน่ายกับภาพที่เขากำลังมองเห็นอยู่อย่างนี้
—เหมือนเดิมไม่แตกต่าง —เป็นวันที่น่าเบื่อเหมือนเดิม ไม่แตกต่าง เขาคิดกับตนเองพร้อมก้าวขาเดินบนโถงทางเดินอย่างเชื่องช้าในขณะที่นักเรียนบางส่วนก็กระแทกตัวเขาไปบ้างเนื่องด้วยคนจำนวนมากบนทางเดิน
สำหรับลีอองแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย คอขาดบาดตายหรอก กับความเบื่อหน่ายนี้ เอาเข้าจริงออกจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ เพราะนั่นหมายความว่ามันไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเป็นห่วง ให้ต้องเป็นกังวลใจ ทำเหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา ใช้ชีวิตอย่างสงบต่อไปเรื่อย ๆ ดังที่เขาต้องการในชีวิต
เพียงแค่ในใจเขาลึก ๆ .. ในใจเขาลึก ๆ แล้วนั้น.. เขาอยากจะได้พบเจอกับสีสัน ประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ในชีวิต อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นจนชินตา ในเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองมูนไบรท์แห่งนี้ก็เท่านั้น —ซึ่งหากนั่นคือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันจริง ๆ จากใจแล้วล่ะก็ —ตัวเขาเองก็คงจะได้สมหวังในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน
"หมอนั่นมัน เด็กปีสองที่เขาพูดถึงรึเปล่า?" "ที่คนบอกกันว่าอัดพวกบร็อคจนเละน่ะนะ? แน่ใจนะว่าเป็นหมอนั่น?" "ใช่สิ.. ลีออง แฟรนซิส คอนสแตนติน เด็กกำพร้าที่ถูกอุปถัมภ์โดยบาทหลวงอองรีไง"
ทว่าขณะที่ลีอองกำลังเดินอย่างเรื่องเปื่อยด้วยความคิดเบื่อหน่ายนั้น เสียงกระซิบของนักเรียนก็ดังขึ้นจากด้านหลังตัวเขาด้วยระยะห่างที่แม้จะเป็นไปได้ยากที่เขาจะได้ยิน แต่ด้วยความที่ประโยคเหล่านั้นถูกกล่าวถึงตัวเขา มันก็ทำให้ประสาทรับรู้ของลีอองนั้นเพิ่มสูงขึ้นเองตามธรรมชาติ
—คงจะพูดถึงเรื่องเมื่อวาน ที่เราเผลอไปอัดพวกรุ่นพี่นั่นล่ะมั้ง —ชื่อบร็อคสินะ.. เอาเถอะ.. ก็คงจะไม่สำคัญอะไรเท่าไหร่หรอก ก็แค่พวกนักเลงกระจอก ๆ ก็เท่านั้น —แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ.. ดูเหมือนเราคงจะโดนข่าวลือประหลาด ๆ ไปอีกสักสองสามเดือนอีกล่ะมั้ง.. เวรจริง ๆ เลยเราเนี่ย
ลีอองพยายามจะสะบัดความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างตัวเขากับแก๊งรุ่นพี่สามหน่อเมื่อเย็นก่อน ทว่าตัวเขาก็มิอาจจะสะบัดมันออกไปจากหัวได้ จึงลงเอยด้วยเสียงผ่อนลมหายใจอันหนักอึ้งทางปากของเขา พร้อมกับหรี่สายตาลงอย่างผิดหวัง เมื่อเขาลองนึกดูถึงผลกระทบที่จะตามมาหาตัวเขา เช่นข่าวลือบ้างเอย หรืออาจจะมีคนมาท้าต่อยเพิ่มก็ได้ ซึ่งรำคาญใจตัวลีอองเป็นที่สุด
ลีอองเดินออกมาจากตัวอาคารพร้อมกับกำลังจะเอื้อมมือไปด้านหลังของเขาเพื่อสวมฮู้ดสีดำของเขามาคลุมหัวของเขาเพื่อปิดบังแสงแดดยามบ่ายด้านนอก ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงลงมายังท้องถนน จนอากาศรอบ ๆ เริ่มอบอ้าวมิใช่น้อยภายในเมืองแห่งนี้ แม้ว่านี่จะมิใช่หน้าร้อนก็ตามที
เมื่อลีอองลดสายตาลงจากท้องฟ้า แล้วมองออกมายังพื้นที่ภายในโรงเรียนรอบนอกอาคารนั้น เช่นเดียวกับนักเรียนรุ่นปีเดียวกันกับเขา กลุ่มนักเรียนมากมายก็กำลังยืนป้วนเปี้ยนอยู๋ในพื้นที่นี้เนื่องด้วยพึ่งจะถึงเวลาเลิกเรียน ซึ่งบ้างก็กำลังเดินทางออกจากโรงเรียน เพื่อกลับบ้านหรือเพื่อเที่ยวเล่นรอบเมืองต่อ บ้างก็หาที่นั่งจับคุยกับกลุ่มเพื่อนก่อนกลับ หรือบ้างไม่ก็หาที่นั่งใต้ต้นไม้เพื่อทำการบ้าน
"เดินกลับอีกสินะ.." ลีอองบ่นกับตัวของเขาเองเล็กน้อยพอนึกขึ้นได้ว่าตัวเขานั้นจะต้องเดินด้วยเท้าเปล่ากับบ้านอีกคราวหนึ่ง พร้อมสายตาจรดมองไปยังทางออกจากพื้นที่โรงเรียน
ขณะที่เขากำลังมองออกไปด้านนอกนั้น ตัวลีอองก็นึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายทั้งหลายที่เขาประสบพบเจอเมื่อวานอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณหรือไม่ก็จิตใต้สำนึกที่ยังคงสับสนในความโกลาหลที่มันเป็นได้
—คนที่โทรคุยกับเรานั่นคือใครกันแน่นะ? —โฮสท์และแฟนธอมที่หมอนั่นว่าคืออะไรกันนะ? —หลังจากวันนั้น.. มิสเตอร์ดีกำลังทำอะไรอยู่นะ?
ซึ่งสุดท้ายแล้ว ความคิดของเขานั้นหาได้จบลงด้วยคำถามอันแสนพิศวงที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเขา แต่เป็นบุคคลอันแสนพิศวงและมากด้วยปริศนาเมื่อวาน ชายที่ถูกเรียกว่า มิสเตอร์ดี ไม่ใช่ความเป็นห่วงในชีวิตของชายผู้นี้ ซึ่งดูจะชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยนบ่อยเหลือเกิน แต่เป็นความสงสัยที่ว่าเขาในตอนนี้นั้นกำลังทำอะไรอยู่กัน
ล่าสุดที่ลีอองพบเขานั้น ก็คือหลังจากที่โฮสท์คนนั้น— หลังจากที่ปีแอร์ กู้ดวิลตายนั้น ลีอองและมิสเตอร์ดีก็หนีผ่านทางซอกตึกออกมายังแท็กซี่คันหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนมิสเตอร์ดีจะได้ว่าจ้างเขาไว้แล้วแม้ลีอองจะจำได้ไม่ละเอียดว่าพวกเขาสนทนาอะไรบ้างหลังจากนั้น แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่ามิสเตอร์ดีนั้นทำงานให้กับองค์กร ซึ่งถนัดในด้านการจัดการความดูแลของโฮสท์และแฟนธอม จนเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ผิด
มิสเตอร์ดีทำหน้าที่เป็นเหมือนทหารรับจ้างขององค์กรนั้น คือคอยจัดการ ทำงานในสถานที่เกิดเหตุ ต่อสู้กับพวกที่เข้าข่ายกลุ่มอันตรายต่าง ๆ ก่อนจะรับเงินค่าจ้างตามระดับความยากของภารกิจต่าง ๆ นั่นเอง ถ้าจะบอกว่าเป็นสายตะลุยทำงานสกปรกขององค์กรก็คงว่าได้
โดยตัวเขาก็มาที่นี่เพื่อจัดการกับชายคนหนึ่งที่ทรยศองค์กร และทวงสินค้าคืนก็เท่านั้น ทว่าดูเหมือนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับลีอองนั้น จะเป็นสิ่งที่เหนือความคาดการณ์ของเขากับองค์กร และจำเป็นจะต้องจัดการโดยด่วน จึงเป็นเหตุให้มิสเตอร์ดีจะคอยจับตาดูลีอองไปตลอดระยะนี้
—ถึงจะฟังดูเป็นเรื่องไม่ดีกับตัวเราเท่าไหร่.. แต่มันก็เป็นความจริงที่เขาช่วยชีวิตเราไว้หนหนึ่ง ก็ขอให้ตอนนี้ยังไม่ตายก็แล้วกัน —ยังไงซะ เขาก็ดูจะเก่งเรื่องเอาตัวรอดอยู่แล้วด้วยสิ ถึงจะเรื่องร้าย ๆ อะไรขึ้นมาก็คงจะหาทางหนีทีไล่ได้เองแหละ เหมือนกับที่สู้กับปีแอร์เมื่อวานนี้..
"อ— นั่น— ลีอองนี่" ทว่าขณะที่ลีอองกำลังครุ่นคิดอยู่คนเดียวพลางก้าวขาเดินอย่างช้า ๆ ไปยังทางออกนั้น เสียงเรียกอันร่าเริงของหญิงสาวก็ดังขึ้นจากด้านข้างของเขาในระยะราว ๆ สิบเมตรได้
—พูดปุ๊ปก็มาปั๊ปเลย.. เธอคนนี้ "..โอ้ ว่าไง แคลร์"
บัดนั้นลีอองก็หันกลับไปยังต้นเสียงอันไพเราะนั้นแล้วตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่มิคาดหมายว่านางจะทักทายเขาขึ้นมิใช่น้อย ๆ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ ดัง "คึก ๆ" ออกจากหญิงสาวที่เป็นฝ่ายทักทายได้เล็กน้อยอย่างน่างุนงง
เธอคนนั้นคือแคลร์ กู๊ดวิล— หญิงสาวที่ลีอองพบเข้าเมื่อเช้านี้ที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ กับหอสมุดแห่งมูนไบรท์นั่นเอง โดยที่เธอกำลังแปะใบประกาศตามหาพีชายที่หายไปของเธออยู่ หลังจากที่พบกันตอนนั้น ลีอองก็เสนอตัวยื่นมือช่วยแคลร์ตามมารยาท ก่อนที่ทั้งสองจะพากันเดินไปแปะใบประกาศเสียทั่วเมือง และระหว่าทางก็ได้คุยสนทนาเรื่อยเปื่อยมามิใช่น้อย ๆ ก่อนจะเดินตรงดิ่งมายังโรงเรียนต่อนั่นเอง
—นอกจากเรื่องที่เธอกับลีอองนั้นมีตารางเรียนด้วยกันหลายคาบนั้น เธออาศัยอยู่กับพี่ชายเพียงสองคนตามลำพังในมูนไบรท์ ซึ่งแม่ของพวกเธอนั้นปัจจุบันกำลังพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนพ่อของเธอนั้นไปทำงานหาเงินในลอนดอน เพื่อนำเงินค่ารักษาและค่าเล่าเรียนมาให้พวกเขา —จะบอกว่าปัจจุบันพวกเธอนั้นอยู่ในสถานะที่ไม่ดีเท่าไหร่ก็คงได้ และการที่พีชายของเธอหายตัวไปอีกนั้น ก็มากพอจะบอกได้ว่า ณ ขณะนี้แคลร์เองต้องอยู่ตัวคนเดียวนั่นเอง
ปัจจุบันแคลร์กำลังยืนรวมตัวอยู่กับกลุ่มนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง หากให้ลีอองคาดเดาแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเธอคงจะสนทนากันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งแคลร์สังเกตเห็นตัวเขาแล้วทักทายเขาขึ้นมา.. ตอนนี้เลยมีสายตาหลายจำนวนจรดมองมาที่เขา ทั้งที่ดีและไม่ดีมาทางเขา จนตัวลีอองเองก็เริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่มิใช่น้อย
"เดี๋ยวฉันมานะ———" แคลร์หันไปพูดอะไรบางอย่างกับกลุ่มเพื่อนของเธอชั่วขณะ ทว่าลีอองไม่ได้ยินอะไรเท่าไหร่นักเนื่องด้วยนางพูดเสียงเบาและหันหน้าหนีออกไปทางอื่น แต่หากจะให้เดาว่าพูดอะไรแล้ว ก็คงจะประมาณว่า คุยกันไปก่อนเลยนะเดี๋ยวมา อะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง?
เมื่อนั้นแคลร์ค่อย ๆ เดินตุ่ม ๆ มาทางลีอองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดังปกติ โดยเธอยังไม่รู้ตัวแต่อย่างใดว่าเพื่อนคนอื่น ๆ นั้นยังคงจรดมองมายังลีอองโดยไม่ละสายตาใด ๆ อย่างกับภูติผีที่จองเวรจองกรรมมาแต่อดีตชาติ
ทว่ามันก็ไม่นานนักก่อนที่พวกเขาจะหันกลับไปพูดคุยต่อบทสนทนาดังเดิม และละสายตาจากลีออง ซึ่งก็ทำให้ตัวเขาเองถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อยตามธรรมชาติ
"ดูเหมือนคาบสุดท้ายของพวกเราจะเป็นคนละวิชานะ ของฉันเป็นวิชาเคมีแล้วนายล่ะ?" "อ่า.. ฟิสิกส์น่ะ" "อย่างนั้นเหรอ ฮ่า ๆๆ" แคลร์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเอะใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอกับลีอองมิได้เรียนวิชาเดียวกันในคาบสุดท้าย ก่อนที่เธอจะจบด้วยเสียงหัวเราะจากปากดังปกติ จนลีอองเริ่มจะปรับคลื่นความถี่ของเขาให้เคยชินกับเสียงนี้ได้แล้ว
บัดนั้นทั้งสองก็เริ่มก้าวขาเดินออกไปยังทางออกอย่างเชื่องช้า พลางดำเนินบทสนทนาไปด้วยอย่างเรื่อยเปื่อย ซึ่งตอนแรก ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร เป็นพวกเรื่องกระจุกกระจิกอย่างพวกของกิน เสื้อผ้า และเพลงที่กำลังฮิตอยู่ใหม่ ๆ วนไปมาอยู่อย่างนี้เสียส่วนใหญ่
ทว่ามันก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่แคลร์เองจะเริ่มเข้าประเด็นถึงเรื่องที่เธอกำลังสงสัยอยู่เกี่ยวกับตัวลีออง
"แต่ว่าน่าแปลกจังเลยนะ นึกว่านายจะมีเพื่อนเยอะกว่านี้ซะอีก หรืออย่างน้อยก็น่าจะมีสาว ๆ มามองบ้างแหละ" "แต่เท่าที่ฉันถามมา ถึงทุกคนจะรู้จักนายหมดแต่ก็ไม่มีใครสนิทกับนายเป็นพิเศษเลยนะ ฮิฮิ" แคลร์เบือนหน้าหันไปมองด้านหลังขณะหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อน ๆ ของเธอ ก่อนจะพูดขึ้นกับลีอองด้วยสีหน้าฉงนงุนงง ทว่าก็พอจะอธิบายได้ว่าแคลร์เองก็รู้สึกและสังเกตเห็นสายตาที่จรดมองมาทางลีอองเช่นเดียวกัน "..ก็—"
"ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด สุงสิงกับใครเท่าไหร่ล่ะนะ จะบอกว่าชอบอยู่คนเดียวก็ไม่ผิดเท่าไหร่หรอก"
ลีอองที่ได้ยินแคลร์เอ่ยถามถึงเรื่องของเขาเช่นนั้น จึงตอบกลับไปตามมารยาทด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบอย่างบอกไม่ถูก โดยตัวแคลร์ที่ได้ยินคำพูดของลีอองเช่นนั้นจึงพยักหน้าตามเขาไปเล็กน้อยพร้อมกับดวงตาเหม่อลอยมองไปยังพื้นดินขณะหนึ่ง ก่อนที่ตัวเธอจะเงยหน้ากลับมาและสวนคำถามกลับไปอย่างเร็วพลัน ทว่าไม่ได้มีรอยยิ้มอย่างก่อนหน้าแต่ดูเป็นสีหน้าของหญิงสาวที่ดูกลุ้มใจแทนชายหนุ่มเสียแทน
"ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?" "หรือว่าจะมีปัญหาอะไรกับคนในโรงเรียนล่ะ?.. ใช่ข่าวลือที่นายไปต่อยคนเข้าเมื่อวาน หรือที่นายเล่าว่าอยู่กับโบสถ์รึเปล่า?" "ป— เปล่าหรอก ก็แค่รักสันโดษเท่านั้นแหละ ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นหรอก แคลร์ แต่ก็ขอบใจนะ" ลีอองที่ถูกโยนชุดคำถามสารพัดเข้าใส่นั้นจึงพลันส่ายหน้าและตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเกรงใจเล็กน้อย เมื่อเห็นทีท่าเป็นห่วงจนเกินตัวของหญิงสาวให้กับชายที่เธอพึ่งรู้จักได้ไม่ถึงวันด้วยเสียไป
ซึ่งดูเหมือนตัวแคลร์เองก็ยังไม่สังเกตเห็นพฤติกรรมของเธอ จนกระทั่งประโยคขอบคุณสุดท้ายของลีอองที่เหมือนกับช่วยปลุกสติของเธอขึ้น ก่อนที่แคลร์นั้นจะสะดุ้งตัวโผขึ้นมาเล็กน้อยดังเช่นกระต่ายตื่นตูมด้วยใบหน้าที่เริ่มเขินแดงดังเช่นมะเขือเทศ ด้วยสีหน้าที่เขินอายอย่างเห็นได้ชัด
"อ— อืม"
เธอส่งเสียงรับกลับไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามตั้งสติของเธอเองกลับมาใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นเอง บรรยากาศก็เงียบลงไประหว่างทั้งสองชายหญิง.. เหลือเพียงเสียงของสายลมแล่นผ่านและเสียงพูดคุยของนักเรียนคนอื่น ๆ ในละแวก ซึ่งก็มิใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเมื่อลองคำนึงดูว่าบริเวณที่พวกเขาอยู่ ณ ปัจจุบัน— ตรงใกล้ ๆ ถนนที่เชื่อมไปยังถนนสายหลัก— ตรงนี้นั้น โดยเทคนิคแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่เขตโรงเรียน ทว่ามันก็กระทำให้ทั้งตัวลีอองและแคลร์เองรู้สึกอึดอัดอย่างไม่ทราบสาเหตุอยู่ชั่วขณะหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง
—ขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีกลุ่มนักเรียนชั้นเดียวกันยืนอยู่ใกล้ ๆ กำลังโบกแท็กซี่อยู่เพื่อหวังจะไปเที่ยวเล่นต่อตามห้างภายในเมือง "แท็กซี่!.. แท็กซี่!.. แท็ก—" ทว่าขณะที่นักเรียนชายตัวสูงกำลังยืนโบกแท็กซี่อยู๋นั้น สายตาของเขาก็สังเกตรถคันหนึ่งที่มีสภาพแปลกตาอย่างน่าหวาดเสียวและสร้างความงุนงงให้กับเขาและผู้คนรอบ ๆ ที่เหลือบเห็น "ไป.. โดนอะไรมาล่ะนะ?"
สิ่งที่เขาเห็นคือรถแท็กซี่สีเหลืองคันหนึ่งซึ่งปัจจุบันนั้นอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยฝุ่นและรอบบุบตามประตูรถดังเช่นว่าไปพุ่งชนอะไรมาก่อนหน้านี้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่เบาะผู้โดยสารซึ่งปราศจากซึ่งประตูรถด้านหลังไปถึงด้านหนึ่ง ราวกับว่าถูกกระชากออกมาจากคันรถอะไรอย่างนั้น หากจะพูดให้ถูกแล้ว.. รถแท็กซี่คันนี้นั้น มีสภาพไม่แตกต่างอะไรกับรถที่พึ่งขับตะลุยเขตสงครามมาเลย
รถแท็กซี่คันนั้นค่อย ๆ จอดลงไปไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณกลุ่มนักเรียนที่กำลังยืนโบกแท็กซี่ ทว่าตัวคนขับรถและแม้แต่เหล่ากลุ่มนักเรียนเองดูไม่มีทีท่าจะไปด้วยกันเลยแต่อย่างใด กลุ่มหนึ่งก็ยืนมองสภาพรถอย่างงุนงง และอีกคนหนึ่งก็กำลังหยุดคันรถเพื่อใช้สายตาจรดมองหาบุคคลคนหนึ่งอยู่
โดยชายผู้ที่อยู่ด้านหลังพวลมาลัยนั้นก็หาใช่ใครที่ไหน —ไปกว่าเดวิด วินสตันนั่นเอง
—เจ้าหมอนั่นอยู่ไหนนะ.. เจ้าหมอนั่นอยู่ไหน —น.. นั่นไง! เด็กนั่น!
เดวิดครุ่นคิดขึ้นพลางจรดมองหาบุคคลคนหนึ่งท่ามกลางกลุ่มนักเรียนขนาดย่อม ก่อนที่เมื่อนั้น ดวงตาของเขาจะจับสังเกตเห็นคน ๆ หนึ่งเข้า แล้วจึงขับรถเคลื่อนเข้าหาบุคคลคนนั้นอย่างรวดเร็วทันใด จนดูน่าหวาดเสียวในระดับหนึ่ง
เอี๊ยดดดด..! เสียงของตัวรถแท็กซี่ในสภาพยับเยินค่อย ๆ เหยียบเบรคและหยุดคันรถตรงเบื้องหน้าของลีอองและแคลร์อย่างแม่นยำ โดยที่ทั้งสองหาได้เตรียมตัวนัดหมายรถคันนี้เลยแต่อย่างใด ทั้งสองหนุ่มสาวแสดงสีหน้าท่าทางตกใจและงุนงงพลางจรดมองมายังสภาพรถแท็กซี่ที่หากถูกจอดทิ้งไว้ขนาดถนน คงนึกว่าศากรถที่กำลังจะถูกนำไปย่อยเพื่อทำอะไหล่รถใหม่อีกรอบ
"—ลีออง! ลีอองใช่มั้ย!?" เดวิดค่อย ๆ เลื่อนหน้าต่างรถลงและตะโกนถามลีอองขึ้น ซึ่งเมื่อแคลร์ได้ยินดังนั้นจึงส่งสายตามองมาทางลีอองโดยอัตโนมัติ "ค— ครับ.. คุณคือ— คนขับตอนนั้นนี่—!?"
ลีอองที่ถูกเรียกชื่อดังนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามามองหน้าเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนที่เขาจะจำได้ว่าชายผู้นี้ คือคนขับรถแท็กซี่เมื่อวานก่อนให้กับมิสเตอร์ดีและเขาตอนหนีออกจากที่เกิดเหตุนั่น ทว่าไม่ทันที่ลีอองจะพูดจนสิ้นประโยค เดวิดก็ขัดจังหวะและพูดต่อทันใดด้วยความเร่งรีบและสีหน้าที่ตื่นตระหนกดังเช่นนาฬิกากำลังนับถอยหลัง
"รีบขึ้นรถเลย จะไม่เหลือเวลาแล้ว!" "ม— หมายความว่าอย่างไรครับ—" "มิสเตอร์ดี— กำลังเกิดอันตรายขึ้นกับมิสเตอร์ดี!" ทันทีที่ลีอองได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโพลนขึ้นมาทันใด ในขณะที่สมองยังคงพยายามประมวลอยู่จนแทบไม่ทัน ด้วยความที่ลีอองยังรับข้อมูลได้ไม่ทัน
—อย.. อย่าบอกนะว่า —จะเกี่ยวกับโฮสท์และแฟนธอมนั่นกัน!?
ลีอองพลันเริ่มขนลุกซู่ด้วยความหวั่นเกรง ก่อนที่จะตัดสินใจกัดฟันและก้าวขาตรงไปด้านหน้าทันใด
—ถ้าเกิดแม้แต่มิสเตอร์ดียังอยู่ในอันตรายแล้ว ถึงเราจะไปก็คงช่วยอะไรได้ไม่มากหรอก —แต่ถึงอย่างไร.. เราก็ต้องไปช่วย!
ทว่าไม่ทันที่ลีอองจะได้ทันก้าวขาแม้แต่ก้าวเดียว แคลร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ลีออง ซึ่งยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในเรื่องราวทั้งหมดนี้แต่อย่างใดนั้น ก็ยื่นมือขึ้นมารั้งลีอองไว้ชั่วขณะโดยสัญชาตญาณ เนื่องด้วยเธอเองนั้นยังมีเรื่องที่อยากจะพูดค้างคาอยู่ในใจ
"ด— เดี๋ยวก่อนลีออง" ".. อ— อะไรเหรอ แคลร์.. ?" ลีอองที่ถูกรั้งเอาไว้ก็หันกลับมาถามอย่างสุภาพพร้อมสีหน้างุนงง "—ก่อนไปฉันขอ.. เบอร์เธอหน่อยได้มั้ย?" แคลร์พูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาราวกับรู้สึกอับอายที่ตนรั้งลีอองไว้เพียงเพราะเรื่องแค่นี้ ซึ่งลีอองทีไ่ด้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไปขั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างแห้ง ๆ และหัวเราะออกมาเบา ๆ ให้กับคำตอบของแคลร์
"แน่นอน.. นี่เบอร์ฉัน— อ.." ลีอองนำมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะคว้าโทรศัพท์ของเขา ทว่ากลับไม่มีโทรศัพท์อยู่ภายในเลยแต่อย่างใด เขาเริ่มนำมือล้วงหาโทรศัพท์ที่กางเกงอีกข้างหนึ่งและในกระเป๋าของเธออย่างรีบร้อนทันใด ทว่าก็หาไม่ ซึ่งลีอองก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วจึงพูดต่อ ในขณะที่แคลร์ก็เตรียมโทรศัพท์ขึ้นมาจำเอาไว้ ส่วนเดวิดก็นั่งรออยู๋ในแท็กซี่อยู่ "—เดี๋ยวฉันบอกให้เธอจำเอาแล้วกันนะ —077xx xxxxxx"
".. อืม.. ขอบใจนะ" "จะว่าไป ทำไมจู่ ๆ ถึงมาขอล่ะ..?" ลีอองที่ให้เบอร์ของตนกับแคลร์เสร็จแล้วนั้น ก็ถามแคลร์ด้วยความสงสัย ซึ่งหญิงสาวที่ได้รับคำถามเช่นนั้นก็เกาหัวเบา ๆ และหัวเราะออกมาอย่างแห้ง ๆ "คิดว่าขอไว้ก่อนน่าจะดีกว่าน่ะ.." "ออ นั้นเหรอ ฮ่า ๆๆ.." ลีอองก็หัวเราะตามเบา ๆ ก่อนที่จะกลับมาตั้งสติแล้วเดินขึ้นไปยังรถแท็กซี่ด้านที่ปราศจากประตูรถกั้นขวางนอกรถกับเบาะที่นั่งนั้น แล้วจึงหันกลับมาพูดกับแคลร์อีกก่อนจะให้เดวิดขับออกไป
"ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะแคลร์ มีธุระเร่งด่วนน่ะ" "อืม แล้วเจอกันนะ ลีออง..— และก็อย่าลืมซะล่ะ" บัดนั้นขณะที่รถแท็กซี่เริ่มออกตัว ลีอองยื่นหน้าออกมาหาแคลร์อย่างงุนงง
"เรื่อง?.." "ฉันเป็น.. เพื่อนของนายแล้วนะ!" "ม— มิสเตอร์ดี เกิดอะไรขึ้นครับ!? ท— ทำไมจู่ ๆ ถึงได้—!" "ม— มิสเตอร์ดีครับ!?—" "บ—.. บอกให้.." "บอกให้ขับออกไปไงเล่า! เดวิด!"
มิสเตอร์ดีที่ลุกขึ้นยืนได้ด้วยลำแข้งทั้งสองของเขาแล้วนั้น พลันเอ่ยวาจาตะคอกไปยังเดวิดทันใดอย่างเหน็ดเหนื่อย และสะบักสะบอมอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เดวิดนั้นยังคงงุนงงและตื่นกลัวในสถานการณ์ ณ ปัจจุบันที่เขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลยไปกว่ามิสเตอร์ดีที่จู่ ๆ ก็พุ่งออกมาจากแท็กซี่อย่างรุนแรงก็เท่านั้น หารู้ไม่ว่าบัดนี้มีแฟนธอมร่างสูงใหญ่อย่างบลู สวีด กำลังยื่นตระหง่านอยู๋เบื้องหน้าอย่างแข็งทื่อดังเช่นวัตถุขนาดยักษ์ชิ้นหนึ่งที่เดวิดมิอาจสามารถรับรู้ได้
—บ้าชิบ เจ้าแฟนธอมนี่.. คิดจะทำอะไรกันแน่ มิสเตอร์ดีที่กำลังเหงื่อไหล่โชกไปทั่วใบหน้านั้นพยายามคาดคะเนการกระทำของบลู สวีดให้ได้ หากทว่าแม้เขาจะใช้ความคิดเท่าใดก็ยังมิอาจมั่นใจได้ชัดว่าแฟนธอมตัวนี้จะทำอะไรต่อไป ด้วยความเป็นไปได้มากมายที่มี และความเป็นไปได้ที่เดวิดจะตายมิใช่น้อยเลย
".. ออกไปซะ เดวิด! ขืนแกยังอยู่ล่ะก็ แกตายแน่!"
"ต— แต่ว่า—!"
"ไม่ต้องมาแต่! ถ้ายังไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ!" เดวิดที่ถูกมิสเตอร์ดีตะคอกกลับอย่างหนักนั้นก็ยิ่งทวีคูณความหวาดกลัวของเขาให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีหยุดยั้ง แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังมิอาจกล้าหันหลังไปจับพวงมาลัยและทิ้งมิสเตอร์ดีเอาไว้ได้อยู่ดี
—จะไล่หมอนี่อีกเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมทิ้งเรา.. บ้าเอ้ย บ้าเอ้ย บ้าเอ้ย!.. นี่มันวันซวยของเราจริง ๆ!—
ทว่าเป็นดังโชคเข้าข้าง.. เมื่อในขณะที่มิสเตอร์ดีกำลังกลุ้มกังวลถึงความปลอดภัยของเดวิดอยู่นั้น บลูสวีดก็หันกลับมาหามิสเตอร์ดีอย่างเชื่องช้าก่อนจะเริ่มก้าวขามาทางเขาก้าวหนึ่ง ราวกับว่ากำลังเมินเฉยตัวตนของเดวิดอะไรอย่างนั้น
และบัดนี้ความสนใจทั้งหมดของมัน ก็ถูกหักเหมาทางมิสเตอร์ดีแทนอย่างชัดเจน
"ตราบใดที่มันยังไม่มายุ่ง ก็ยังไม่มีเหตุผลต้องกำจัด.. แต่ไหนแต่ไร ฉันก็ไม่ชอบฆ่าชีวิตพร่ำเพรื่ออยู่แล้ว ฉะนั้นใครที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ฉันก็จะไม่ฆ่าแต่อย่างใด.." "แต่ว่า ..ดูเหมือนว่าแกจะอึดใช้ได้เลยนะ.. นักเก็บกวาดของแสวนเดเนเดีย ยังลุกขึ้นยืนมาได้หลังโดนกำลังเตะของฉันเข้าไปขนาดนั้นแล้ว ถ้าเป็นคนปกติอย่างน้อยก็คงจะจุกจนประสาทขาไม่ทำงาน หรือขั้นเลวร้ายก็คงไหปลาร้าแตกไปแล้วกระมั้ง?" เสียงของโฮสท์ปริศนาถูกส่งมายังแฟนธอมเพื่อกล่าวกับมิสเตอร์ดีด้วยวาจาที่ฟังดูสุภาพและเป็นทางการจนราวกับกำลังประชดประชัน ก่อนที่วาจาเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นคำโอ้อวดถึงศักยภาพของมันเอง
—มิสเตอร์ดีที่ได้ยินก็หาได้ตอบกลับแต่อย่างใด เขาเพียงจรดมองพลางยิ้มออกมาอย่างแห้ง ๆ
"..หึ.. เอาเถอะ ยังไงซะมันก็จะต้องจบเหมือนเดิมน่ะแหละ.." "นั่นแกจะต้องตายด้วยน้ำมือของ! แฟนธอมของฉัน!" เมื่อนั้นเองบลู สวีดจึงเอ่ยวาจาขึ้นด้วยเสียงที่ดังลั่นกึกก้องไปทั่ว ดังเช่นการประกาศแจ้งให้โลกรู้ แม้ว่าในขณะนี้จะมีเพียงบุคคลคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินนอกจากตัวมันเอง นั่นคือมิสเตอร์ดีก็ตามแต่ "..อย่างนั้นเหรอ ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดูสิ.. บลู สวีด"
มิสเตอร์ดียังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้และตอบกลับไป ทว่าเพียงการมองโดยผิวเผินของบลู สวีดนั้น ก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่านี่เป็นเพียงการบลัฟก็เท่านั้น และทันใดนั้นเอง ในขณะที่ไม่มีใครได้ทันรู้ตัวนั้น ระยะห่างระหว่างบลู สวีดและมิสเตอร์ดีก็ลดลงไปอย่างล้นหลาม จนบัดนี้เหลือระยะห่างเพียงไม่ถึงสิบห้าเมตรด้วยเสียไปจากสองบุรุษโฮสท์และแฟนธอม ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปฆ่าฟันกัน ดังเช่นในหนังคาวบอยที่สองมือปืนกำลังจรดมองสายตากัน ก่อนจะถึงคราวดวลปืนนั่นเอง
และก็ยังคงมีเดวิด จรดมองอยู่อย่างห่าง ๆ อยู่บนรถแท็กซี่ของเขา ด้วยสายตาที่ทั้งงุนงงและหวาดกลัวไม่เปลี่ยนแปลง ดังเช่นความคิดของเขาถูกหยุดนิ่งในชั่วขณะนั้น ซึ่งในขณะนี้ เดวิดก็กำลังจรดคิด ทำการตัดสินใจอีกเป็นคราวสุดท้าย ว่าบทบาทของเขา ณ ตรงนี้นั้นคืออะไร และสิ่งต่อไปที่เขาควรกระทำคืออะไร?
—นี่มันอะไรกันแน่.. เราตั้งคำถามนี้มาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่รู้คำตอบกับคำถามนี้อยู่ดี เผลอ ๆ เราอาจจะไม่มีวันได้มันก็ได้.. —แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม.. เราข่วยอะไรมิสเตอร์ดีไม่ได้แน่ ๆ!.. เผลอ ๆ เราอาจจะกำลังถ่วงแข้งถ่วงขาเขาอยู่ก็ได้.. —..ถึงจะไม่อยากทำก็เถอะ แต่อย่างไรก็ต้องทำ.. ผมขอโทษ มิสเตอร์ดี! แต่ผมจะไม่ทิ้งคุณแน่!
"เดี๋ยวผมจะกลับมา มิสเตอร์ดี! ระหว่างนั้น— อย่าพึ่งตายก่อนล่ะ!" ทันทีที่ตัดสินใจได้ เดวิดจึงกัดฟันและตะโกนไปยังมิสเตอร์ดีอย่างสุดเสียงเท่าที่ชายคนหนึ่งพึงตะโกนได้ แล้วจึงกลับเข้าไปในเบาะคนขับภายนแท็กซี่แล้วจับพวงมาลัยทันใด
เมื่อนั้นเอง มิสเตอร์ดีที่ได้ยินคำตอบสุดท้ายของเดวิดแล้ว และกำลังมองรถแท็กซี่คันนั้นด้วยสายตาที่ตะลึงอยู่ขณะนั้น ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาที่มากไปด้วยความมุ่งมั่นและจิตวิญญาณอย่างเอ่อล้น จนบลู สวีดพึงโยกหัวไปทางขวาขณะหนึ่งอย่างงุนงง ในปฏิกิริยาของมิสเตอร์ดีนี้
—แต่ว่าในขณะเดียวกัน นี่ก็หาใช่เวลาที่จะวอกแวกสนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไปแล้ว —เหลือเพียงเขาและมัน มือเก็บกวาดแห่งแสวนเดเนเดีย กับแฟนธอมปริศนาของกลุ่มองค์กรฉายา 'ครูเซเดอร์' ประจันหน้ากันกลางถนนพร้อมกับจุดหมายระหว่างความเป็นและความตาย
ครืน.. เสียงรถแท็กซี่ของเดวิดค่อย ๆ ขับออกไป ในขณะที่มิสเตอร์ดีและบลู สวีดยังคงยืนนิ่งและมิขยับเคลื่อนร่างกายใด ๆ นอกจากสายตาและลำคอที่เคลื่อนไหวไปมาดังเช่นกำลังพยายามมองหาช่องว่าง และวางแผนการโจมตีสวนกลับต่าง ๆ ของพวกเขา
—แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในสายตาของบลู สวีดแล้ว —เขาได้เปรียบกว่าอย่างเห็น ๆ
"กำลังคิดอยู่สินะว่าฉันมีความสามารถอะไรน่ะ?" บลู สวีดกล่าวขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศความเงียบงัน ซึ่งก็ทำให้มิสเตอร์ดีไหวตึงเคลื่อนสายตากลับมาจับจ้องที่ใบหน้าอันว่างเปล่าไร้อารมณ์ของมันด้วยความตกใจ
"แกคงจะกำลังคิดว่าฉันมีพลังอะไรแบบ เคลื่อนที่ผ่านวัตถุได้ อะไรแนว ๆ นั้นอยู่ล่ะสิท่า" "แต่ว่าจะใช่จริงเหรอ? แน่ใจเหรอว่านั่นเป็นความสามารถจริง ๆ ของฉันน่ะ?" "ทางรอดเดียวของแกน่ะ จะตัดสินด้วยการเดาตื้น ๆ เช่นนี้จริง ๆ น่ะเหรอ? นี่น่ะเหรอ ระดับนักเก็บกวาดขององค์กรโฮสท์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกน่ะ? ฮึ"
บลู สวีดเริ่มจะเปล่งวาจาออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ดังเช่นมันกำลังท้าทายมิสเตอร์ดีอยู่ ทว่าแม้วาจาจะฟังดูน่าเขวี้ยงหมัดให้ร่วง มิสเตอร์ดีก็ยังคงยืนนิ่งงัน รักษาสมาธิของเขาไว้ได้อย่าน่าประหลาดใจดังเช่นคำพูดทุกคำนั้นหาได้เข้าหูของเขาเลย
—หมอนี่ มันกำลังพยายามทำให้เราเสียสมาธิอยู่ —แม้ที่มันจะพูดมาจะเป็นความจริง แต่การที่มันยังไม่ออกโจมตีก็หมายความว่ามันยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเราได้ —มันเลยคิดว่าจะทำให้เราสูญเสียสมาธิได้โดยการพูดจาท้าทายเราอย่างนี้.. หึ.. ก็ย่อมได้
"ช่างเป็นแผนที่ด้านไม่ต่างกับหน้าแฟนธอมบลู สวีดของแกจริง ๆ.. เผลอ ๆ ก็คงจะพอ ๆ กับหน้าขี้ขลาดของแกเลยก็ได้นะ ใคจะไปรู้" "อ—.." เมื่อมิสเตอร์ดีเริ่มสวนคำพูดกลับไปนั้น เสียงของบลู สวีดก็ดังออกมาก่อนจะถูกหยุดลงดังเช่นมันกำลังจะฝืนอารมณ์ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนแล้วเป็นปฏิกิริยาของโฮสท์ปริศนา ผู้กำลังควบคุม บลู สวีด อยู่นั่นเอง
"..แกนะแก.." มันตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูผสมไปด้วยความหงุดหงิดและความโมโหเงียบไปเบา ๆ ก่อนที่เมื่อนั้นเองมือของมันจะเริ่มเคลื่อนไปคว้าบางอย่างซึ่งวางไว้อยู่บนพื้น โดยสิ่งนั้นก็กระทำให้ดวงตาของมิสเตอร์ดีเบิกโพลน และขาเริ่มที่เริ่มถอยฉากออกมาดังเช่นเตรียมจะตั้งรับ
—ประตูรถ บลู สวีดกำลังยกประตูรถจากบนพื้นขึ้นมาด้วยมือซ้ายของมันเพียงข้างเดียวโดยไม่มีทีท่าเหนื่อยล้าแต่อย่างใด มิหนำซ้ำสายตาที่จรดมองมาทางมิสเตอร์ดี แม้จะไร้ซึ่งอารมณ์ด้วยใบหน้าอันราบแบน แต่มิสเตอร์ดีก็ยังคงสามารถรู้สึกได้ถึงรังสิอัมหิตจดจ้องมาทางเขา
"จบสิ้นแล้ว มิสเตอร์ดี!.." มันเริ่มลั่นวาจาออกมาอีกครั้งหนึ่งในขณะที่มือเริ่มยกประตูรถขึ้นมาสูงขึ้นจนถึงระดับหนึ่งแล้วพาดไว้ที่ไหล่ของมัน "ทีนี้ก็.. ตายซะ!"
—ก่อนที่บัดนั้นเอง มันจะใช้กำลังแขนทั้งหมดของมันเพียงข้างเดียว —เหวี่ยงประตูรถร่อนไปกับอากาศดังเช่นกระดานไม้ พุ่งเข้าไปหามิสเตอร์ดีอย่างรวดเร็ว
"อั่ก!—" มิสเตอร์ดีที่มองเห็นการโจมตีนั้นได้ ด้วยความช่วยเหลือจากความสามารถของแฟนธอมของเขา เอ็นดีเวอร์— และด้วยประสบการณ์อันสั่งสมมานานของเขาเอง— จึงรีบก้าวขาทั้งสองถอยออกมา เอียงตัวหลบออกจากวิถีพุ่งชนของประตูรถอย่างฉับพลัน
ประตูรถคันนั้นพุ่งผ่านใบหน้าของมิสเตอร์ดีไป ด้วยระยะห่างที่ไม่ถึงเมตร ทว่าก็ยังคงปราศจากบาดแผลและหยดเหงื่อใด ๆ มากมาย..
... —แต่ว่า!
"น—!" "นี่มันอะไรกัน—! พลังของเจ้าหมอนี่ มันคืออะไรกันเนี่ย!" มิสเตอร์ดีรีบตั้งแขนทั้งสองของเขาขึ้นมา ทันทีที่สายตาประจบเข้ากับเบื้องหน้า
—เพียงชั่วพริบตาเดียว.. เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น —บลู สวีดก็ปรากฏออกมาจากประตูรถอย่างไม่ทราบสาเหตุในสภาพเหลือเพียงลำตัวท่องบน ผุดออกมาจากประตูรถด้านหนึ่ง —แล้วเหวี่ยงหมัดเข้าใส่มิสเตอร์ดีในทันที
หมับ!.. หมัดลูกนั้นเข้าปะทะกับแขนทั้งสองของมิสเตอร์ดีอย่างรุนแรง ทว่าแม้จะสามารถป้องกันหมัดแรกได้สำเร็จ หมัดที่สองก็ตามเข้ามา โดยเล็งระยะเป้าหมายไว้ที่ขมับหัวของมิสเตอร์ดี หวังจะปิดฉากในทันที
—ชิบหายแล้ว! หมัดของเรา ไปป้องกันไม่ทันแน่! "อั่ก—!"
..ป่าป! เลือดกระจายออกมาอย่างน่าหวาดกลัวจากบริเวณขมับหัวของมิสเตอร์ดี ก่อนที่ใบหน้าของมิสเตอร์ดีจะล้มคว่ำตึง กระแทกลงไปกับพื้นถนนตามน้ำหนัก เฉกเช่นเดียวกับร่างกายของเขา.. เหลือเพียงบลูสวีดที่ค่อย ๆ ผุดร่างกายส่วนท่อนล่าง ลุกขึ้นมาจากประตูรถซึ่งปัจจุบันหงายอยู่กับพื้นดังเช่นเศษขยะบนท้องถนน
".." มันจรดมองมิสเตอร์ดีอย่างแน่นิ่งและไร้ซึ่งวาจาใด ๆ ในขณะที่มันกำลังสะบัดมือขวาของมันไปมาเล็กน้อย หลังจากที่ปล่อยเต็มแรงเข้าใส่ขมับหัวของมิสเตอร์ดี ก่อนจะจรดมองไปยังมิสเตอร์ดี
—ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น..โดยที่ยังไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำไป จากการประชันหน้าระหว่างโฮสท์และแฟนธอม กลายเป็นชัยชนะอันง่ายดายของฝ่ายหนึ่งอย่าน่าฉงน
"ฉันบอกแล้วว่าแกน่ะได้ตายไปแล้ว" "ตั้งแต่วินาทีที่ฉันโดนมอบหมายให้มาฆ่าแก ชีวิตแกก็สิ้นตั้งแต่เมื่อนั้นแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะแกอ่อนแอ แต่เพราะ บลู สวีดของฉันนั้นไร้เทียมทาน"
"ฮ.. ฮ—" "!"
มิสเตอร์ดีเริ่มจะส่งเสียงออกมาเล็กน้อยในขณะที่โฮสท์ของบลู สวีดกำลังสาธยายดังเช่นโอ้อวดศักยภาพของตนอยู่ ซึ่งเมื่อมันเห็นเช่นนั้นก็ทำท่าทางตกใจเล็กน้อย ก่อนที่ท่าทางเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยน กลับกลายเป็นเพียงความสนใจเท่านั้น
"หืม.. นี่แกยังไม่ตายอีกเหรอ.. แต่เอาเถอะ อีกไม่นานแกก็คงจะตายจากบาดแผลนั่นแล้ว ดูจากเลือดทั้งหมดที่ไหลออกมานั่น แค่สองนาทีแกก็คงหมดสติแล้ว และกว่าจะมีคนมาช่วย กว่ารถพยาบาลจะมา ดวงวิญญาณของแกก็คงไปหาพอล โรเมโร่ตามแล้วล่ะ"
"แต่ว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว.. ก่อนที่แกจะตาย ฉันจะบอกอะไรให้ก็แล้วกัน ว่าพลังของบลู สวีดคืออะไร.." เมื่อนั้นเอง บลู สวีดที่รู้สึกถึงชัยชนะแล้วจึงลดหัวของมันลงมาจรดมองมิสเตอร์ดีบนพื้นแล้วเอ่ยวาจาขึ้น "พลังของบลู สวีดน่ะ คือการรวมตัวเข้ากับวัตถุ โดยมันสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในวัตถุสิ่งของใด ๆ ก็ได้ที่มันได้แตะต้อง.. ไม่จำเป็นที่จะต้องติดกันในขณะทีรวมตัว ขอแค่เพียงเคบจับต้องอะไรไว้ มันก็สามารถเข้าไปอยู่ในนั้นได้ เหมือนกับเทเลพอร์ต.."
"นั่นแหละคือพลังอันไร้เทียมทาน.. ของบลู สวีดยังไงล่ะ!.." ".. ?" ทว่าทันที่ที่มันกล่าวจบแล้วนั้น มันก็เหลือบเห็นบางอย่างที่ผิดแปลกไป แล้วจึงหยุดนิ่งมองมายังมิสเตอร์ดีด้วยความสงสัยว่าเขานั้นกำลังจะทำอะไรกัน?
"ฮ.. ฮ.." "ฮ่า ๆๆ.. ฮ่า ๆๆ.." "น.. นี่แกต้อง.. โง่แค่ไหนกัน?.. ไอขยะเอ้ย.."
—และเมื่อนั้นเองที่โฮสท์ของบลู สวีดพึ่งจะรู้ตัว —ว่าเขาพึ่งจะเดินหมากได้โง่ที่สุดในเกมการต่อสู้นี้เข้าแล้ว
"ม— แม่งเอ้ย!— บลู สวีด! ฆ่ามันเร็ว!" ผู้เป็นโฮสท์ออกคำสั่งขึ้นมาอย่างร้อนรน ก่อนที่แฟนธอมของเขา— บลู สวีด จะยกเท้าของมันขึ้นมาเหนือหัวของมิสเตอร์ดี แล้วกระทืบลงไปอย่างรุนแรง หวังจะทำลายกระโหลกของมิสเตอร์ดีให้แหลกคาเท้าของมัน
ทว่ากลับกัน.. มิสเตอร์ดีกลิ้งตัวหลบออกมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะลุกขึ้นมายืนด้วยลำแข้งทั้งสองข้าง ดังเข่นไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แม้ว่าปัจจุบันจะมีเลือดไหลรินออกมาจากบริเวณขมับหน้าผากก็ตาม ทว่าเอาเข้าจริงแล้วแม้เลือดมากมายจะเปื้อนหน้าผากแต่มันก็เป็นแค่บาดแผลแฉลบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หาได้ถึงขั้นสลบหรือตายแต่อย่างใด
—ทั้งหมดแล้วเป็นเพียงการแสดง เป็นเพียงการหลอกให้มันตายใจและประมาทเท่านั้น —ซึ่งดูเหมือนมันจะได้ผลเกินกว่าทีมิสเตอร์ดีคาดหวังด้วยซ้ำไป จึงทำให้เขาเผลอหัวเราะออกมาในความเขลานี้นั่นเอง
"ใครจะไปคิดกันว่าแกจะหลงกลง่าย ๆ แบบนี้!" "แกคงจะพึ่งได้พลังได้ไม่นานเลยรู้สึกเหิมเกริมล่ะสิท่า ถ้าให้เดาแกคงจะเป็นพวกเด็กเลือดร้อนทีชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ชอบรนหาเรื่องใส่ตัวเองล่ะสิท่า.." "แต่ว่าแกคิดผิดแล้ว ว่ากับอีแค่พลังนิด ๆ หน่อย ๆ ของแฟนธอมแกจะจัดการฉันได้นะ! เจ้าหนู!"
มิสเตอร์ดีเริ่มกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเบา ๆ ดังเช่นกำลังพยายามอดกลั้นเสียงหัวเราะจากมุกตลกเมื่อก่อนหน้านี้ ก่อนที่บัดนั้นเขาจะชี้นิ้วไปยังบลู สวีดอย่างรุนแรงและหนักหน่วง พร้อมกับเน้นวาจาเสียงดังลั่นอย่างน่าเกรงขาม
"ก.. แก.." "ริอาจมาฉีกหน้าฉันด้วยแผนสกปรกแบบนั้น.. แล้วยังมาเรียกฉันว่าเจ้าหนู.. ริอาจกล้ามาเรียกฉันว่าเจ้าหนูอย่างนั้นเหรอ แก.." "ฉันจะ.. ฉันจะ!.." แม้สีหน้าของบลู สวีดจะไร้ซึ่งอารมณ์ ทว่าจากวาจาที่กำลังถูกเปล่งออกมานั้น มิต้องสงสัยเลยว่าโฮสท์ของมันในขณะนี้กำลังรู้สึกเป็นเช่นไร
"ฉันจะฉีกแกออกมาเป็นชิ้น ๆ ตั้งแต่ร่างกายของแกจนไปถึงจิตวิญญาณของแก! ตามด้วยทุก ๆ อย่างที่แกรักและปกป้องเลยคอยดู! ไอบัดซบ!"
—โทสะ —บัดนี้โทสะกำลังครอบงำโฮสท์ของ บลู สวีด อย่างสมบูรณ์ ตัวเขากล่าวตะโกนขึ้นมาดังเช่นการสาปแช่งก่อนที่ร่างกายของแฟนธอมจะเริ่มเคลื่อนไหวตามบัญชา
ไม่ว่านั่นจะเป็นแผนการณ์ของมิสเตอร์ดีหรือไม่ ในการยั่วยุให้มันโกรธขึ้นมาหรือเพียงแค่กำลังตำหนิถึงความโง่เขลาของมันก็เท่านั้น รู้เพียงแค่ว่าบัดนี้บลู สวีดก็เคลื่อนตัวเข้าหามิสเตอร์ดีอย่างรวดเร็วแล้วจัดการรัวหมัดเข้าใส่บุรุษในทันทีด้วยกำลังที่หมายจะสังหารในคราวเดียว
แต่ว่า ทันทีที่มิสเตอร์ดีเห็นปฏิกิริยาโต้กลับของบลู สวีดดังนั้น เขาก็เช็ดเลือดออกจากหน้าผากของเขา แล้วจรดมอง บลู สวีดที่กำลังเคลื่อนไหวมาหาเขา ด้วยสายตาที่แน่วแน่และจริงจังจนดูน่าหวาดผวาแม้แต่ตัวโฮสท์ของ บลู สวีด เอง
"ฉันจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง.. แกอาจจะคิดว่าแฟนธอมของแกนั้นไร้เทียมทาน แต่เอาจริง ๆ แล้วไม่มีแฟนธอมใดที่ไร้เทียมทานหรอก" "แฟนธอมทุกตัวแข็งแกร่งเท่ากันหมด ขอเพียงแค่มีโฮสท์ที่รู้จัก.. การพลิกแพลงก็พอ!" ในขณะที่มิสเตอร์ดีกำลังพูดอยู่นั้นเอง หมัดของบลู สวีดก็พุ่งเข้ามาหาตัวเขาทันทีทันใด
—แต่ว่าเมื่อนั้นเอง ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนการณ์ที่มิสเตอร์ดีได้วางเอาไว้แล้ว
"จงออกมา! เอ็นดีเวอร์!"
แฟนธอมรูปร่างคล้ายปลาดาวขนาดเล็ก— ปรากฏเหาะเหินขึ้นมาจากเถ้าฝุ่นแล้วมาหยุดอยู่เบื้องหน้ามิสเตอร์ดีทันทีที่สิ้นวาจา ก่อนที่เมื่อนั้นเอง มิสเตอร์ดีจะกระทำสิ่งที่โฮสท์ของบลู สวีด มิอาจคาดคิดได้
หวืดดด! หมัดของบลู สวีดต่อยลมอากาศเปล่า ๆ ไป ก่อนที่ตัวมันจะดวงตาโพลนขึ้นมา เช่นเดียวกับโฮสท์ของมันที่ตะโกนตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว ดังเช่นว่าเขากำลังตกตะลึงกับภาพที่ตนเห็น
"น— นานิ!?" "หมอนี่— หมอนี่กำลัง—!" "เหยียบแฟนธอมของตัวเองแล้วกระโดดขึ้นไปเรื่อย ๆ.. เป็นเหมือนบันไดอากาศอย่างนั้นเหรอ!?"
ใช่แล้ว— มิสเตอร์ดีกระทำการ จัดการกระโดดขึ้นมาแล้วใช้เท้าของเขาเหยียบบนร่างของแฟนธอมซึ่งเหาะเหินอยู่กลางอากาศก่อนจะอาศัยแรงนั้นกระโดดขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เมื่อร่างกายเหาะเหินอยู่บนอากาศอีกคราวแล้วสามารถหลบหมัดของบลู สวีดได้แล้ว ในขณะที่ร่างกายกำลังหยุดกลางอากาศ แฟนธอมของเขา เอ็นดีเวอร์ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งดังเช่นขั้นบันไดอยู่ที่เท้าของมิสเตอร์ดีอย่างเหมาะเจาะดังเช่นการคำนวนก่อนจะกระโดดถีบ ส่งแรงลอยตัว
—ดังเช่นขั้นบันไดอากาศ เขากำลังกระโดดขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น จนในที่สุดก็ถึงความสูงของตึกสามชั้น
เขากลิ้งตัวขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าของตึกนั้น ก่อนจะพักแรงหยุดเคลื่อนไหวแล้วหายใจเข้าออกเป็นจังหวะอย่างเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่บลู สวีดยังคงหยุดนิ่งและตกตะลึงในแผนการเอาตัวรอดของมิสเตอร์ดีนี้
"เมื่อก่อนหน้านี้แกบอกพลังของแกไปแล้ว!.. ทีนี้ฉันก็สามารถวางแผนรับมือกับพลังของแกได้!" "อีกทั้งจากพลังแฟนธอมของแกแล้ว จากประสบการณ์ของฉันส่วนมากจะมีระยะการควบคุมใกล้ถึงปานกลาง.. ส่วนระยะการควบคุมของแกนั้น อย่างมากก็คงจะสักสามร้อยเมตรได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับนักเก็บกวาดอย่างฉันหรอก!" มิสเตอร์ดีค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นมายืนแล้วหันลงไปมองบลู สวีด
"มันจริงที่แฟนธอมของฉันสู้แฟนธอมของแกไม่ได้ในด้านพละกำลังกำลัง แต่ว่าตัวแกเองล่ะ จะสู้กับฉันได้รึเปล่า?.." "มาตัดสินกันให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยดีกว่า!"
หลังจากที่มิสเตอร์ดีสิ้นวาจาแล้วนั้น บลู สวีดที่นิ่งเงียบไปขณะหนึ่งนั้นก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองมิสเตอร์ดีอย่างเชื่องช้าและเงียบสงัด ดังเช่นที่มันเงียบไปก่อนหน้านี้คือมันกำลังตัดสินใจ ก่อนที่บัดนั้นเอง มันจะเปล่งวาจาตอบกลับคำท้าดวลนี้ของมิสเตอร์ดีไป
"ฉันประมาทแกไปจริง ๆ.. รู้สึกเหมือนจะซวยเข้าให้แล้วล่ะ.. แต่ว่า—" "ไม่เคยมีสถานการณ์ใด ที่ฉันผู้นี้จะหนีรนออกไปไม่ได้! ฉันจะจัดการแกเอง ไอนักเก็บกวาด!"
การต่อสู้จะเป็นเช่นไรต่อไป? และลีอองกับเดวิดจะมาช่วยมิสเตอร์ดีทันหรือไม่?.. >> TO BE CONTINUED
|
|
|
Post by jussaateen on Aug 20, 2018 16:23:44 GMT
บทที่ 7 - ปะทะ บลู สวีด (3) แต่งโดย: Jussaateen "ฉันประมาทแกไปจริง ๆ.. รู้สึกเหมือนจะซวยเข้าให้แล้วล่ะ.. แต่ว่า—" "ไม่เคยมีสถานการณ์ใด ที่ฉันผู้นี้จะหนีรนออกไปไม่ได้! ฉันจะจัดการแกเอง ไอนักเก็บกวาด!"
บัดนั้นเองที่บลู สวีดได้เปล่งเสียงวาจาออกมา ดังกึก้องไปยังมิสเตอร์ดีเยี่ยงการประกาศศึกอย่างแน่ชัด ด้วยความเกรงขามและอาฆาตแค้นที่แฝงอยู่ในคำพูดทั้งหมดของมันอย่างล้นหลาม มิสเตอร์ดีที่ได้ยินเช่นนั้นก็หาได้แสดงกิริยาท่าทางใด ๆ เขาเพียงแค่จรดมองไปยังบลู สวีดอย่างแน่นิ่งพักหนึ่ง ดังเช่นเวลาหยุดลงเพื่อให้เขาได้ตัดสินใจการกระทำเป็นคราวสุดท้าย
..แต่ว่าสาเหตุที่เขามิได้แสดงกิริยาท่าทางใด ๆ นั้น มิใช่เพราะเขากำลังครุ่นคิดถึงวาจาของมิสเตอร์ดีแต่อย่างใด ทว่าเป็นเพราะเขากำลังใช้สมองคิดคำนวนถึงแผนการต่อไปของเขานั่นเอง
—แฟนธอมของเราสู้หมอนั่นไม่ได้ในทางกายภาพ ฉะนั้นการต่อสู้ตัวต่อตัวนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะชนะได้ตราบใดที่แฟนธอมนั่นยังอยู่ด้วย —เราต้องหาทางถ่วงเวลาแฟนธอมตนนั้น หรือไม่ก็ตามหาโฮสท์ของมันแล้วจัดการก่อนมันจะถึงตัวเรา —แต่ว่าถ้าอย่างนั้นแล้ว โฮสท์ของบลู สวีดจะอยู่ไหนกันล่ะ?
มิสเตอร์ถอยหลังกลับมาและเริ่มวิ่งตรงไปเบื้องหน้าในทันที ดังเช่นเวลากลับมาเดินดังปกติ.. เช่นเดียวกับบลู สวีดที่ไม่รอช้าจะวิ่งตามไปด้วยในทันทีพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองมิสเตอร์ดีจากพื้นถนน ซึ่งแม้จะมองได้ยากแต่ก็ยังพอเห็นเป็นลาง ๆ เงาคนให้ตามอยู่ดี
—ก็นะ ดูเหมือนความเร็วของบลู สวีดจะไม่ได้อันตรายเท่าไหร่ คงจะถ่วงเวลาอย่างนี้ได้สักสองสามนาทีนั่นแหละ.. ระหว่างนี้ก็ต้องหาทางตีกรอบให้ได้มากกว่านี้ —เรารู้แน่ ๆ ว่ามันต้องอยู่ในรัศมีรอบตัวเราสามร้อยเมตร แต่ว่าจะอยู่ตรงไหนกันแน่ เราก็ไม่รู้.. ถ้าจะให้เดาแล้ว ที่แรกที่เราเจอมันคือในบ้านของพอล โรเมโร่.. —แฟนธอมของมันนั้นออกมาจากกำแพงบ้านของหมอนั่น ฉะนั้นแล้วจากข้อมูลเกี่ยวกับพลังที่เราได้รับ มันต้องเคยเข้าไปในบ้านและแตะกำแพงหลังนั้น..
—แม้ความเป็นไปได้จะต่ำ แต่มันก็ยังมีโอกาส.. หมอนั่น —จะต้องหลบซ่อนอยู่แถว ๆ นั้นแน่!
มิสเตอร์ดีครุ่นคิดขึ้นก่อนจะเบิกดวงตาโพลนดังเช่นตาสว่างได้รู้ถึงเป้าหมายต่อไปของตัวเขาแล้ว พร้อมกับขาที่เริ่มทวีคูณอัตราเร็วขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วยบนดาดฟ้าตึกตาบ้านเรือนต่าง ๆ ที่เหยียบย่ำผ่าน โดยจากตำแหน่งเดิม หรือละแวกบ้านของพอล โรเมโร่นั้น คงจะต้องผ่านไปอีกหลายสิบช่วงตึก จึงจะถึงตำแหน่งนั้น โดยอย่างน้อยก็คงจะสักสามนาที จึงจะเดินทางถึงด้วยความเร็ว ณ ปัจจุบัน ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับมิสเตอร์ดีที่กำลังวิ่งหนีบลู สวีดอยู่ในขณะนี้
—!? ทว่าเมื่อนั้น มิสเตอร์ดีก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง กระทำให้ขนของเขาสั่นครือ ดังเช่นลางบอกเหตุบางอย่าง อันเกิดจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาหลายต่อหลายปีในงานนี้ ว่าอะไรบางอย่างอันตรายกำลังเข้าใกล้
—หร.. หรือว่า บลู สวีดนั่น!? มิสเตอร์ดีพลันหันหน้าก้มต่ำ ลงมองไปที่บลู สวีดซึ่งกำลังวิ่งตามเขาอยู่บนถนนด้วยความเร็วที่ช้ากว่าก่อนหน้านี้ ทว่าบัดนี้ภาพ ๆ นั้นได้หายไปเหลือเพียงถนนอันว่างเปล่าก็เท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้มิสเตอร์ดีตกใจเป็นอย่างมากจนใจหายไปเลย
—มันอยู่ที่ไหน? มันอยู่ที่ไหน? มิสเตอร์ดีเริ่มหันหน้ามองรอบ ๆ กายของเขาในขณะที่ขาของเขาเริ่มวิ่งช้าลงเล็กน้อยเนื่องด้วยกำลังเพ่งสมาธิในการมองหาศัตรู
—อะไรทำให้มันหายตัวไปได้ในชั่วพริบตากัน? มันกำลังซ่อนเหรอ? หรือกำลังปีนขึ้นมาหาเ.. ปีน?.. —ช- ชิบหายแล้ว! เมื่อนั้นเองที่มิสเตอร์ดีึนึกขึ้นได้ถึงแผนการณ์ของบลู สวีด คิ้วของเขาก็กระตุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับร่างกายของเขาที่เคลื่อนไหวออกทันใด
ควั่บ! มิสเตอร์ดีพุ่งตัวเองกระโดดไปด้านหลังอย่างรวดเร็วก่อนจะลงมายืนอยู่กับพื้นด้วยลำแข้งทั้งสอง ทว่าก็แลกมาด้วยหยาดเหงื่อจำนวนหนึ่งไหลรินออกมาจากหน้าผากและใบหน้าอย่างที่สังเกตได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า
เบื้องหน้าของมิสเตอร์ดีที่กำลังยืนหยุดนิ่งนั้น คือบลู สวีดที่พุ่งออกมาจากพื้นดาดฟ้าด้วยครึ่งท่อนลำตัวบน พร้อมกับยกแขนขึ้นมาจับพื้นเอาไว้ ดังเช่นก่อนหน้านี้มันพยายามจะพุ่งเข้ามาจับร่างกายของมิสเตอร์ดี เป็นเหมือนกับดักหนูอะไรอย่างนั้น
—พลังของหมอนั่นคือรวมตัวกับวัตถุ.. และก็สิ่งก่อสร้างด้วยอย่างนั้นเหรอ?.. แสดงว่าก่อนหน้านี้มันรวมตัวเข้ากับตึกที่เราวิ่งปีนป่ายอยู่แล้วเคลื่อนมาอยู่บนดาดฟ้าของตึกล่ะสิท่า —ประมาทไม่ได้.. ประมาทไม่ได้จริง ๆ พลังของแฟนธอมหมอนี่
มิสเตอร์ดีจรดมองบลู สวีดที่กำลังตะเกียกตะกายผุดออกมาจากพื้นซีเมนต์ ให้ออกมาทั้งร่างกายจะได้เคลือนไหวอะไรสะดวกยิ่งขึ้น ในขณะที่คาดคำนวนถึงความคิดของโฮสท์ศัตรู ณ ปัจจุบันว่าคิดจะทำอะไรต่อกันแน่
—แกคิดว่าแกเป็นคนเดียวที่รู้จักการใช้พลังของแฟนธอมอย่างนั้นเหรอ?.. ฉันไม่ให้แกผ่านไปได้แน่.. นักเก็บกวาด แกจะต้องตายตรงนี้! โฮสท์ของบลู สวีดคิดขึ้นในใจขณะที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเด่นขึ้นมาอย่างน่าเกรงขาม พร้อมกับบดบังเส้นทางเบื้องหน้าของมิสเตอร์ดีจนมิดชิดด้วยรางกายที่สูงใหญ่กว่าเขา ณ ปัจจุบัน
ทั้งสองจรดมอง สายตาจดจ้องกันและกันดังเช่นสิงห์ปืนตะวันตกในภาพยนต์คาวบอย ทว่ามันก็ไม่นานก่อนที่บลู สวีดจะขยับเคลื่อนขาของมันดีดตัวพุ่งเข้าใส่มิสเตอร์ดีอย่างรวดเร็ว มิสเตอร์ดีที่เห็นเช่นนั้นก็เคลื่อนตัวหลบออกจากบลู สวีด หากทว่าบัดนั้นเองมิสเตอร์ดีกลับเป็นฝ่ายถูกเล่นงานเสียเอง
—ร่างกายของบลู สวีดเคลื่อนลงไปกับพื้นปูนดังเช่นถูกทรายดูด ทว่าก่อนที่ร่างกายทั้งหมดจะหายไป มันได้จับขาของมิสเตอร์ดีเอาไว้และตรึงเอาไว้ ทำให้มิสเตอร์ดีมิอาจเคลื่อนไหวไปไหนได้ขณะหนึ่ง อีกทั้งน้ำหนักก็เริ่มมาเกาะรวมอยู่กับขาของมิสเตอร์ดีจนเริ่มแผ่ซ่านความเจ็บปวดออกมาอย่างมิใช่น้อย
"อั่ก—" มิสเตอร์ที่เห็นเช่นนั้นก็พยายามดึงขาขึ้นมา ทว่าก็ทำมิได้แม้กำลังกายของตนจะมากพอสมควรก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจต่อกรกับกำลังกายของแฟนธอมตัวนี้ได้อยู่ดี
บลู สวีดผุดหัวของมันขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทีเสียเปรียบของมิสเตอร์ดี ตามมาด้วยมือขวาของมันซึ่งบัดนี้กำลังง้างเล็งไปยังขาของมิสเตอร์ดีอย่างช้า ๆ ดังเช่นกำลังรวบรวมแรงของมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังจะต่อยไปยังข้อเท้าของมิสเตอร์ดีอย่างหนักหน่วงที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ ซึ่งหลังจากที่มิสเตอร์ดีเห็นก่อนหน้านี้แล้ว เขามั่นใจว่าหากโดนหมัดนี้เข้าล่ะก็.. —เท้าของเขาต้องขาดกระจุยแน่!
—หนอยแน่ บลู สวีด!
หวืด! "นานิ!?"
ขาที่ควรจะระเบิดออกไปด้วยเลือดสีแดงฉานนั้น กลับเหลือเพียงอากาศที่ปล่อยออกมาจากเศษซากรองเท้าที่ขาดกระจุยจากแรงหมัดของบลู สวีดเท่านั้น ซึ่งนั่นก็กระทำให้บลู สวีดงุนงงเป็นอย่างมาก ก่อนที่เมื่อมันตั้งสติได้นั้นก็เหลือบหันหลังกลับไปมอง ก็พบกับมิสเตอร์ดีที่บนข้อมือมีเอ็นดีเวอร์พันเอาไว้อยู่ พร้อมกับเท้าข้างหนึ่งที่ปราศจากซึ่งรองเท้าหนังสีดำราคาแพง และเหลือเพียงถุงเท้าสีดำธรรมดา ๆ เท่านั้น
—หมอนั่น ใช้แฟนธอมตนเองเสริมแรง ดึงตัวเองออกจากรองเท้าที่โดนเราคว้าเอาไว้ —บัดซบเอ้ย!
ในขณะที่บลู สวีดกำลังหัวเสียอยู่นั้นเอง มิสเตอร์ดีนั้นก็กำลังสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อพยายามรวบรวมสมาธิ ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าทั้งสองของเขาจับจ้องมองไปยังแฟนธอมเอ็นดีเวอร์ของเขาที่กำลังพันรอบข้อมือ
—ดูเหมือนว่าคำพูดของเราก่อนหน้านี้จะไปกระตุ้นมันล่ะสินะ และดูเหมือนพลังแฟนธอมของมันจะพลิกแพลงได้มากกว่าที่เราคิดซะอีก.. —ถ้าไม่นับเมื่อคราวก่อนกับแฟนธอมล่องหนนั่น เราก็ไม่ได้สู้กับโฮสท์และแฟนธอมจริง ๆ มาเกือบปีแล้ว.. ใครจะไปคิดกันล่ะว่าจะได้มาเคาะสนิมใหม่กับศัตรูที่น่ากลัวขนาดนี้ —แต่ว่า มันยังอ่อนประสบการณ์และไม่รู้ว่าเราทำอะไรได้บ้างกับเอ็นดีเวอร์.. เรายังได้เปรียบกว่ามันอยู่!
ทันทีที่สิ้นสุดการใช้ความคิดในหัว มิสเตอร์ดีก็หันหน้าหนีออกจากบลู สวีดแล้ววิ่งตรงไปยังเบื้องหน้าต่อไปทันใดโดยมิให้บลู สวีดได้ทันตั้งตัว ซึ่งทันทีที่โฮสท์ของมันเห็นเช่นนั้นก็รีบควบคุมสั่งให้บลู สวีดรีบวิ่งตามไปทัันใด
ด้วยระยะความสูงของตึกที่ไม่ถึงห้าชั้น มิสเตอร์ดีก็สามารถกระโดดข้ามจากตึกหนึ่งมายังอีกตึกหนึ่งอย่างเฉียดฉิวด้วยระยะห่างในระดับหนึ่งได้ โดยเบื้องล่างนั้นเป็นตรอกซอยสำหรับทิ้งขยะต่าง ๆ ก่อนที่มิสเตอร์ดีจะวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่หันหลังกลับมามองแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกัน บลู สวีดก็กระโดดตาม ทว่าหาแทนที่จะลงด้วยเท้าของเขาสู่ดาดฟ้าตึก บลู สวีดกลับดิ่งพุ่งเข้าใส้กำแพงตึกดังเช่นนักว่ายน้ำโอลิมปิค ก่อนที่ร่างกายของมันจะแทรกซึมเข้าไปภายในตัวตึกแห่งนั้นเอง
—คราวนี้แหละ เราจะเล็งไปที่จุดตายของมันแล้ว ต่อยเสยให้หัวมันหลุดไปเลย! บลู สวีดที่ได้รวมเป็นส่วนหนึ่งกับตึกนี้แล้ว มันก็เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามิสเตอร์ดีมาก บัดนี้มันกำลังรออยู่บนดาดฟ้า เตรียมตัวที่จะพุ่งขึ้นมาดังกับดักแล้วต่อยเสยคางมิสเตอร์ดีให้มิทันตั้งตัว
มิสเตอร์ดียังคงวิ่งเข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วคงที่ สายตาจ้องมองตรงไปเบื้องหน้าที่ตึกต่อไป เตรียมตัวจะกระโดดข้ามตึกอีกคราวหนึ่ง —ในจังหวะนั้นเอง บลู สวีดก็พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วเหวี่ยงหมัดเข้าใส่มิสเตอร์ดีทันใด
—จบสิ้นแล้ว นักเก็บกวาด! "ฉันว่าแล้วว่าแกต้องทำอย่างนั้น บลู สวีด!—" มิสเตอร์ดีกัดฟันของตนขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจแต่ในขณะเดียวกันก็หวั่นเกรงที่ต้องมาต่อสู้ระยะประชิดกับแฟนธอมตนนี้ "เอ็นดีเวอร์!" บัดนั้นเอง แฟนธอมของมิสเตอร์ดี— เอ็นดีเวอรที่อยู่ที่มือของมิสเตอร์ดีนั้นก็เริ่มเคลื่อนตัว จากข้อมือของมิสเตอร์ดีมาเป็นหมัดของมิสเตอร์ดี
จังหวะนั้นเองที่บลู สวีดสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของมิสเตอร์ดีดังเช่นกำลังกระทำการบางอย่าง จึงต่อยไปยังมิสเตอร์ดีอีกคราวหนึ่งด้วยความรวดเร็วและตื่นตระหนกทันใด
ควั่บ! มิสเตอร์ดีเอียงตัวคว้าหลบออกมา ทว่าหมัดก็ยังกระทบเฉี่ยวท้องของมิสเตอร์ดีอยู่เล็กน้อยทำให้เขาเสียสมดุล เซไปมาเล็กน้อย บลู สวีดที่เห็นเช่นนั้นก็แอบหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วจึงเหวี่ยงหมัดรอบที่สองไปอีกรอบ โดยคราวนี้เล็งหมัดของตนไปยังศีรษะของมิสเตอร์ดี หวังจะบดขยี้สมองให้แตกสิ้นในทันที แต่ว่ามืออาชีพอย่างมิสเตอร์ดีที่เห็นเช่นนั้นจึงใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส —แล้วใช้แรงที่ตนเสียหลักนั้นพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าเข้าหาบลู สวีดโดยที่มันไม่ทันตั้งหมัดกลับมา
—จริงอยู่ที่แฟนธอมของฉันอาจจะไม่ได้มีพละกำลังมากมายขนาดนั้น แต่ไหนแต่ไรสิ่งเดียวที่มันช่วยฉันคือทำให้ฉันมีวิสัยทัศน์ดีขึ้นก็เท่านั้น ฉะนั้นแล้วการจะใช้มันต่อสู้กับแฟนธอมของแกอย่างตรง ๆ นั้น เรียกได้ว่าไร้ทางชนะเลยล่ะ —แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น เอ็นดีเวอร์ของฉันไม่ได้เป็นแค่แว่นตาให้กับฉัน มันเป็นอะไรได้มากกว่านั้นมาก! บลู สวีด!
หมับ!.. "อั่ก!— บ้าน่า!—" หัวของบลู สวีดนั้นกระแทกลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของโฮสท์ที่บัดนี้กำลังได้รับความเจ็บปวดส่งมาจากแฟนธอมของเขาในฉับพลัน
—หมอนั่นใช้แฟนธอมของตัวเองเป็นเหมือนกับสนับมือ แล้วต่อยบลู สวีดของเรา! แรงหมัดของมันก็เลยทวีคูณความรุนแรงขึ้นไปอีก มากพอจะทำให้บลู สวีดของเราล้มไปนอนอย่างนี้เลยได้! เป็นแผนการณ์ที่บ้าเลือดเสียจริง! —แต่ว่า! ในเมื่อแกเป็นมืออาชีพก็คงจะรู้ตัวอยู่แก่ใจแล้ว ถ้าเกิดแกทำอย่างนั้นแม้จะทำให้บลู สวีดของฉันบาดเจ็บได้ แต่แฟนธอมของแกก็ต้องได้รับแรงกระทบเช่นกัน จึงทำให้แก.. ต้องรับความเจ็บปวดไปด้วย!
"อั่ก— อ!"
มิสเตอร์ดีกัดฟันของตนเองเช่นเดียวกับกำหมัดของตนไว้แน่น ในขณะที่ร่างกายของเขากำลังหยุดนิ่งและเกรงตัว รับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะที่ท้องของเขาซึ่งแม้จะมีเสื้อสูทราคาแพงบดบังอยู่ แต่บัดนี้มันก็มีรอยฟกช้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นบนร่างกายของเขาแล้ว
ทว่ามันก็ไม่นานนักก่อนที่มิสเตอร์ดีจะเริ่มวิ่งต่อไปข้างหน้าและกระโดดข้ามตึกไปเรื่อย ๆ ต่อไป ในขณะที่บลู สวีดนั้นยังคงนอนเหมือดอยู่กับพื้น พยายามลุกขึ้นมาเรื่อย ๆ ในขณะที่ใบหน้าของมันนั้นมีรอยร้าวเกิดขึ้นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าหมัดก่อนหน้านี้ของมิสเตอร์ดีนั้น สร้างความเสียหายไว้กับบลู สวีดไว้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว
—แค่เพราะเรา เผลอเหวี่ยงหมัดใส่มันเร็วเกินไปคราวเดียว ทำให้เราต้องบาดเจ็บขนาดนี้เลยเหรอนี่.. บัดซบเอ้ย! —แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ใช้วิธีแบบเมื่อกี้ได้อีกไม่มากแน่ อาจจะอีกสองครั้ง? หรือไม่ก็สามครั้ง? อย่างมากสุดก็ห้าครั้ง? —พอถึงขีดจำกัดของแกเมื่อไหร่ บลู สวีดของฉันก็จะล้มแกเอง!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง มิสเตอร์ดีก็วิ่งต่อไปเรื่อย ๆ จนรักษาระยะห่างจากบลู สวีดได้พอสมควร อีกทั้งยังเข้าใกล้บ้านของพอล โรเมโร่มากขึ้นอย่างที่จะบอกว่า หากวิ่งไปอีกสักนาทีหนึ่งก็คงจะถึงแล้วก็อาจว่าได้ ซึ่งหลังจากที่มิสเตอร์ดีใช้เอ็นดีเวอร์บินไปมองด้านหลังของเขาแล้วนั้น ตัวบุรุษจึงเริ่มลดความเร็วลง พร้อมกับนำมือข้างหนึ่งมาวางไว้บนหน้าท้องของเขาด้วยใบหน้าที่กำลังอดกลั้นไปด้วยความเจ็บปวดมากมาย
—นานแล้วที่เราไม่ได้ทำอย่างนี้นะเนี่ย.. เจ็บจนไม่ทันตั้งตัวเลย เรา. —แต่ว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน ตอนนี้โฮสท์ของหมอนั่นคงจะรู้สึกเจ็บเหมือนกับถูกค้อนกระแทกกับหัวก็อาจได้ น่าจะอีกสักพักกว่ามันจะกลับมาไล่ตามเราได้ ซึ่งก็คงจะสายไปแล้วเมื่อถึงตอนนั้นแหละนะ —ทว่าหากต้องเจอกันอีกรอบ เราก็น่าจะยังใช้หมัดแบบเมื่อกี้ได้อีกสักสามรอบ แต่ว่าถ้าเป็นไปได้ อย่าใช้อีกเลยน่าจะดีกว่า เพราะแค่นี้ก็เหนื่อยตายเป็นบ้าแล้ว เหมือนกับนักกิฬาที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นสัปดาห์แล้วจู่ ๆ ก็ต้องมาใช้แรงมาก ๆ นั่นแหละ ตอนนี้รู้สึกได้เลยว่าเราใช้แรงได้เปลืองมาก คงอีกสักพักถึงจะกลับมาเหมือนเดิม
—โธ่เอ้ย ถ้าเกิดเรารอบคอบกว่านี้แล้วตามนักเก็บกวาดคนอื่นมาด้วยล่ะก็ คงไม่มาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้หรอก.. —ใบมีดที่หายไปนั่นเอย จำนวนโฮสท์และแฟนธอมที่เพิ่มพูนอย่างน่าประหลาดนั่นเอย แล้วก็ยังจะมีองค์กรที่น่าจะอยู่เบื้องหลังทั้งหมดอย่าง 'ครูเซเดอร์' อีก นี่มันเรื่องที่ใหญ่เกินลำพังนักเก็บกวาดคนเดียวจะจัดการได้อย่างเห็นได้ชัด! —ยังไงก็ตาม ตอนนี้ต้องรอดแล้วรีบแจ้งกับทางแสวนเดนเดียให้ทราบ นั่นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
มิสเตอร์ดีครุ่นคิดขึ้นมาในใจของเขา ก่อนที่เมื่อพักแรงได้พอสมควรแล้วจึงกลับมาเร่งความเร็วกลับมาดังเดิม แล้วเพ่งความสนใจไปยังการตรงไปยังข้างหน้าเท่านั้น.. ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวหลังจากนั้น มิสเตอร์ดีกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างหนักหน่วงอยู่ที่ด้านหลังของเขา ตัวเขาที่รู้สึกได้เช่นนั้นจึงหันกลับมามองด้วยความสงสัย ก่อนที่ดวงตาจะเบิกโพลนขึ้นทันใดเช่นเดียวกับฝีเท้าของเขาที่เร่งความเร็วสุดตัว
—บลู สวีดมันหายไปอีกแล้ว! —ต้องออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด อีกไม่ถึงนาทีก็น่าจะถึงบ้านของพอลแล้ว! เราทำได้แน่! —ต้องไปถึงได้แน่!
ควั่บ!.. มิสเตอร์ดีก้าวกระโดดผ่านตึกไปอย่างรีบเร่ง จนตัวเขาเองเสียหลักในจังหวะที่ขาทั้งสองแตะกับพื้น จึงต้องกลิ้งตัวและลดความเร็วลงเล็กน้อยเพื่อรักษาความเร็วใหม่ตั้งแต่ต้น ก่อนจะกลับมาวิ่งดังเดิม
—หากให้คาดเดาแล้ว ตอนนี้มันคงจะกำลังเคลื่อนไหวอยู่ผ่านตึก ตามพวกเรามาอยู่แน่ —แต่ว่าเรายังนำมันอยู่ ถ้าเรารักษาความเร็วนี้ได้ เราจะไปถึงที่นั่นก่อน และอาจมีสิทธิหาโฮสท์ของมันได้ทันและเอาชนะมันได้!
มิสเตอร์ดีที่กำลังวิ่งอยู่นั้นก็ใช้ความคิดของเขาคาดการณ์ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีการหยุดพักแต่อย่างใด เพราะ ณ บัดนี้ เมื่อใดที่เขาหยุดใช้ความคิดของเขานั้น ความพ่ายแพ้จะต้องมาเยือนอย่างแน่ชัด เพราะอาวุธเพียงหนึ่งเดียวของมิสเตอร์ดีในตอนนี้ ก็มีเพียงมันสมองของเขาเท่านั้น
—แต่ว่าในขณะที่มิสเตอร์ดีกำลังมั่นใจ ว่าชัยชนะอยู่ในเอื้อมมือของเขาแล้วนั้น —บลู สวีด ก็ฉกมันออกไปจากมือมิสเตอร์ดีในทันที ดังเช่นการประกาศกร้าวว่า —มิได้มีเพียงมิสเตอร์ดีเท่านั้นที่เข้าใจถึงแก่นแท้.. ของการต่อสู้ระหว่างโฮสท์และแฟนธอมนี้!
"อั่ก—.. น— นานิ!?" "ร่างกายของเรามัน.. หนักขึ้น..— !?" "บ— บ้าน่า!" ดวงตาของมิสเตอร์เบิกโพลนด้วยความตกใจและมิคาดคิด ก่อนที่ร่างกายจะมิอาจตอบสนองอะไรทัน ทำได้เพียงตกอยู่ในภวังค์แน่นิ่งกับภาพที่หยุดค้างในสายตาดังเช่นเป็นภาพหลอน
สิ่งที่มิสเตอร์ดีมองเห็นเบื้องหน้านั้น คือเสื้อสูทสีดำของเขาที่เริ่มนูนออกมาจนเป็นรูปร่างอันน่าพิศวง —ร่างกายของบลู สวีดปรากฏออกมาจากเสื้อสูทของมิสเตอร์ดีในลักษณะครึ่งกาย บัดนี้—กำลังจรดมองเข้าไปในดวงตาของมิสเตอร์ดีอยู่อย่างไร้อารมณ์ดังเช่นอสรพิษกำลังมองกระต่ายที่มันพันล้อมเอาไว้แล้ว และกำลังจะกลืนกินมันเข้าไปในลำคอในคราวเดียว
มันเริ่มง้างหมัดของมันขึ้นมา มิสเตอร์ดีที่เห็นเช่นนั้นก็รีบนำแขนทั้งสองของเขาขึ้นมาป้องกัน หากทว่า —มันสายไปแล้ว
หมับ! หมับ! หมับ! หมับ! หมับ!.. "อั่ก—!"
มันเสยหมัดของมันเข้าใส่คางของมิสเตอร์ดีอย่างจังอยู่หลายต่อหลายหมัด จนตัวมิสเตอร์ดีถอยเซออกมาอย่างไร้ทิศทาง ก่อนที่จะล้มตึงนั่งลงไปกับพื้นพร้อมกับบาดแผลขนาดใหญ่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ณ ใบหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับสติที่แทบจะหมดสิ้นไปแล้วในวินาทีนั้น ในขณะที่บลู สวีดนั้นพุ่งออกมาจากเสื้อของเขา ลงไปนอนกับพื้นอยู่เบื้องหน้ามิสเตอร์ดีและค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้าด้วยทีท่าเคลื่อนไหวแสดงความเหน็ดเหนื่อยอย่างชัดเจน
"ฉันบอกแกแล้วว่าพลังบลู สวีดของฉันคือการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวัตถุ" "ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ติดกันเพื่อหลอมรวม ขอแค่เพียงเคยแตะมัน ก็สามารถย้ายร่างกายไปอยู่กับวัตถุนั้นได้.. คล้าย ๆ กับปรสิตแนว ๆ นั้นแหละ"
"บลู สวีดของฉันได้แตะเสื้อของแกไปแล้ว ในตอนที่แกมอบรอยแผลไว้บนใบหน้าของฉัน นิ้วของบลู สวีดได้สัมผัสกับเสื้อสูทของแก และแม้จะใช้เวลาค่อนข้างมาก ฉันก็สามารถย้ายแฟนธอมของฉันมาอยู่ในเสื้อของแกได้แล้ว.."
"ขนาดฉันพลั้งเผลอบอกพลังไป แต่แกก็ยังคาดไม่ถึงเลยเหรอ นักเก็บกวาด? หึ เอาจริง ๆ ใครก็คงนึกไม่ออกในคราวแรกหรอก ไม่แม้แต่ตัวฉันเอง" "ถึงได้บอกไงล่ะ.. ว่าบลู สวีดของฉันน่ะแข็งแกร่งที่สุด!"
มันเริ่มบิดร่างกายไปมาดังเช่นกำลังคลายกล้ามเนื้อให้สบายเนื้อสบายตัวพอดี ดังเช่นนักกิฬาที่กำลังวอร์มร่างกาย อุ่นเครื่องสำหรับการแข่งขัน หากทว่านี่ไม่ใช่การแข่งขัน แต่มีลางว่าจะเป็นการสังหารเสียมากกว่า
"..." มิสเตอร์ดีหาได้จรดพูดวาจาใด ๆ ทว่าภายในหัวของเขา มากด้วยความคิดต่าง ๆ นานา พลุ่งพล่านดังเช่นสายน้ำอันเชี่ยวกราก —เวรเอ้ย.. โดนหมัดชุดเมื่อก่อนหน้านี้ไป ตอนนี้แทบจะมองไม่เห็นข้างหน้าแล้วด้วยซ้ำ ต้องใช้เอ็นดีเวอร์ช่วยมองแทนเท่านั้น.. —ยังไงก็ตาม ต้องหาทางหนีทีไล่ให้ได้ก่อน เกิดยังนั่งหายใจเปล่า ๆ ตรงนี้ต่อไปล่ะก็ มีหวังหัวหลุดจากบ่าแน่!
ในขณะเดียวกันนั้น มิสเตอร์ดีที่บัดนี้แทบจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกระทำการณ์ใด ๆ นั้น ก็กำลังเพ่งความคิดอย่างสุดความสามารถในการหาทางออกในสถานการณ์อันยากลำบากนี้ โดยบลู สวีดที่เริ่มบิดร่างกายไปได้สักพักแล้วก็หยุดลง ก่อนที่มันจะจรดมองมิสเตอร์ดีพร้อมง้างหมัดของมันเตรียมจะซัดมิสเตอร์ดีลงให้สิ้นชีพ
"คราวนี้แหละ แกจะไม่มีโอกาสให้ได้หลบอีก.." "ตายซะเถอะมิสเตอร์ดี!—"
บลู สวีดสูดลมหายใจของมันเข้าปอดก่อนจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่มิสเตอร์ดีทันใดอย่างรุนแรง จนเสียงลมดังตวัดอย่างหนักหน่วงและแสบแก้วหู แต่ว่าในพริบตานั้นเอง มิสเตอร์ดีก็กระจ่างแจ้ง และแสยะยิ้มขึ้นมาอย่างที่บลู สวีดเองก็เหลือบเห็นและส่งผลให้โฮสท์ของมันที่หลบซ่อนอยู่ยังต้องขนลุกซู่ด้วยความกลัวชั่วขณะ
—ฉันรู้แล้วล่ะ หนทางในการเอาชนะแก บลู สวีด "..เอ็นดีเวอร์!—"
หวืด!.. มิสเตอร์ดีเอียงตัวหลบไปได้โดยใช้เอ็นดีเวอร์— แฟนธอมของเขาดึงแขนซ้ายของเขาออกไปจากทิศทางของหมัด ก่อนที่เมื่อนั้นมิสเตอร์ดีจะอาศัยแรงในจังหวะนั้นกระโดดลงมาจากดาดฟ้าในพริบตา โดยที่บลู สวีดเองนั้นมิอาจตามความว่องไวนั้นได้แต่อย่างใด
"บ— บ้าน่า— ไม่สิ—" "แกคิดว่าแกจะหนีไปได้เหรอ!? ฉันบอกแล้วว่าแกไม่มีโอกาสหลบหมัดของฉันได้อีก!" ทว่าบลู สวีดก็หาได้หวาดวิตกใด ๆ มิหนำซ้ำยังกระโดดตามมิสเตอร์ดีไปด้วยความเร็วที่พอ ๆ กัน ซึ่งในอีกเพียงไม่กี่วินาทีทั้งสองจะต้องประจบพบกันบนพื้นถนนอย่างแน่แท้
—ฉันจะส่งหมัดของฉันเข้าไปในเสื้อสูทของนาย และต่อยแกให้ตายคาที่กลางอากาศเนี่ยแหละ! —ฉันชนะแล้ว! ตายซะ ไอนักเก็บกวาด! ในพริบตานั้นเอง เสียงหัวเราะแห่งผู้ชนะก็ดังกึกก้องภายในหัวของบลู สวีด ก่อนที่เมื่อนั้นเองร่างกายของบลู สวีดจะถูกดูดเข้าหามิสเตอร์ดีด้วยความเร็วสูง เช่นเดียวกับหมัดขวาของมันทีจู่ ๆ ก็เข้าไปในเสทื้อสูทของมิสเตอร์ดีในทันใด
หากทว่าในชั่วพริบตานั้นเอง ที่หมัดกำลังถูกถ่ายทอดเข้าไปในเสื้อของมิสเตอร์ดี —รอยยิ้มแห่งชัยขนะ กลับตกไปอยู่ที่ชายคนนี้เสียแทน
"น— นานิ!?" บลู สวีดเปล่งวาจาขึ้นมาอย่างสั่นกลัวทันทีที่มันเห็นมิสเตอร์ดีแสยะยิ้ม
—ฉันว่าแล้วว่าแกต้องทำอย่างนั้น บลู สวีด ทันใดนั้นเองมิสเตอร์ดีก็นำมือของเขาทั้งสองข้างจับไปที่คอเสื้อสูทสีดำราคาแพงของเขา ก่อนที่ในชั่วพริบตาเดียว
แควก! มันจะถูกฉีกกระชากจนขาดกระจุยด้วยน้ำมือของมิสเตอร์ดีเอง
"ช— ชิบหายแล้ว!"
ฉึก! —และบัดนั้นมือขวาของบลู สวีดที่เข้าไปในเสื้อสูทซึ่งบัดนี้ขาดกระจุยเป็นเศษผ้าไปนั้น —ก็บิดเบี้ยวไปมาอย่างรุนแรงแล้วจึงถูกฉีกกระชากดังเช่นกระดาษหนังสือพิมพ์ —หลงเหลือเพียงข้อมืออันชุ่มไปด้วยเลือดก็เท่านั้น
"อ้า——ก!!"
เสียงกรีดร้องอันแผ่ซ่านไปด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากวิญญาณของโฮสท์ และส่งต่อมายังบลู สวีดซึ่งบัดนี้ก็ได้แตะถึงพื้นแล้วล้มลงคุกเข่า นำมือซ้ายคว้าจับข้อมือที่ปราศจากมือขวาอีกต่อไปอย่างทุรนทุราย ในขณะที่มิสเตอร์ดีนั้นก็ลงมากระแทกกับถนนอย่างจัง หากทว่ามิได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไรเพิ่มเติมแต่อย่างใด
"—ก.. แกบอกเองว่าร่างกายของแกหลอมรวมเป็นหนึ่งกับวัตถุ.." "ฉะนั้นแล้ว หากวัตถุนั้นบุบสลายลงในขณะที่แกรวมอยู่กับมันล่ะก็.. แน่แท้ว่าแกก็ต้องบุบสลายเหมือนมันเช่นกัน"
มิสเตอร์ดีกล่าวอธิบายถึงแผนการณ์ของเขา ก่อนจะหยุดเปล่งวาจาแล้วใช้เรี่ยวแรงที่เหลือ ในการสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วพยุงร่างกายขึ้นมายืนด้วยลำแข้งทั้งสองข้างแทน ในขณะที่โฮสท์ของบลู สวีดนั้นก็พยายามอดกลั้นความเจ็บปวด แล้วลุกขึ้นยืนตามมิสเตอร์ดีด้วยความเร็วที่ช้ากว่าอย่างที่ใคร ๆ ก็มองออก
มิสเตอร์ดีหันหลังกลับไปก่อนจะเริ่มออกวิ่ง ทว่าด้วยสภาพร่างกายของเขาก็มิอาจวิ่งได้ด้วยความเร็วเท่าก่อนหน้านี้ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นมันก็มากพอจะทิ้งห่างบลู สวีดซึ่งเคลื่อนไหวเชื่องช้ากว่ามากอันเพราะพึ่งได้รับบาดแผลสาหัสมาทั้งกายและใจเองที่ถูกตลบพลิกแผนจนสิ้นสารรูปไปเลย
—ไม่น่าจะใช่แค่เราไม่ได้สู้แบบนี้มานานแล้วหรอก แต่หมอนั่นน่ะเก่งจริง —แข็งแกร่งเอาเรื่องเลย.. ถ้าเกิดคนของ 'ครูเซเดอร์' นั่นมีฝีมือระดับนี้ทุกคนล่ะก็ ต่อให้เราจะพร้อมแค่ไหน ลำพังก็ไม่ไหวแน่ มีแต่ต้องจะตามพวกเพิ่ม มิหนำซ้ำอาจต้องหวังพึ่ง 'นักบุญ' ด้วยซ้ำ —โธ่เอ้ย.. เราก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วด้วยอีก.. ไม่ไหวเลยเรา
...
ขาของมิสเตอร์ดีเริ่มที่จะเคลื่อนไหวช้าลง จากการวิ่งก็เริ่มกลายเป็นการก้าวขาเดิน ก่อนที่ในที่สุดมิสเตอร์ดีจะเริ่มเดินโครงเครงไปมาดังเช่นชายไร้สติแล้วจึงล้มลงไปนอนกับพื้นในทันทีทันใด
"มาได้ไกลแค่นี้สินะ.."
...
ในที่สุด มิสเตอร์ดีก็หมดสติลง อันเนื่องมาจากได้รับบาดแผลมากเกินไป อีกทั้งเขายังใช้งานเอ็นดีเวอร์จนเกินขีดจำกัดอีกด้วย จึงไม่แปลกใจแต่อย่างใดหากเขาจะมาได้ไกลเพียงเท่านี้ เผลอ ๆ อาจต้องประหลาดใจด้วยซ้ำ
—ดังเช่น บลู สวีด ที่บัดนี้ค่อย ๆ ก้าวขาเดินเข้ามาด้วยสภาพสะบักสะบอมไม่แพ้กัน
"ก— แข็งแกร่งจริง ๆ.. ถ้าเกิดว่าหมอนั่นรู้พลังของเรามาตั้งแต่แรก เหมือนที่เราได้ยินมาจากแมทธิวล่ะก็.. เราคงจะอยู่ในสารรูปนั้นแน่.." "แต่ว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ.. ต่อให้แกไปถึงบ้านของพอล โรเมโร่ แกก็ไม่ได้เจอฉันอยู่ดีนั่นแหละนะ.." วาจาของบลู สวีดดังออกมาอย่างเหนื่อยล้าและแหบแห้นจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง
ก่อนที่เมื่อนั้นเอง ร่างกายสีดำทมิฬของบลู สวีดจะค่อย ๆ เปิดกางออกมาเองดังเช่นชุดเกราะเหล็กไหล ปรากฏให้เห็นร่างของชายหนุ่มวัยราว ๆ สิบเก้าปี ผมสีเขียวของต้นไม้ในป่าสน ดังเช่นชุดเครื่องแต่งกายของเขา จนไปถึงดวงตาของเขา— กำลังยืนประคองตนเองอยู่พร้อมกับนำมือข้างหนึ่งมาปิดปากแผลที่ข้อมือขวาของเขาซึ่งเลือดกำลังไหลออกมาอย่างมิหยุดยั้งจนน่าสยดสยอง
—เขาก้าวขาเข้ามาใกล้ ๆ มิสเตอร์ดี ก่อนจะหยุดลงและจรดสายตามองลงไปที่เขาอย่างน่าเวทนาและในขณะเดียวกันก็เคียดแค้นอย่างสาสม "แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า.. ขนาดฉันที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าโฮสท์ที่แข็งแกร่งที่สุดในครูเซเดอร์ยังเสียท่าได้ชนาดนี้.." "ฉะนั้นแล้วการปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่ต่อไป.. เป็นสิ่งที่มิอาจทำได้แน่.. แต่ไหนแต่ไร ฉันก็ถูกส่งมา.. เพื่อฆ่าแกอยู่แล้วล่ะนะ.." ชายหนุ่มกล่าวขึ้นมาด้วยวาจาที่ดูแอบแฝงด้วยความเวทนาเล็กน้อย ทว่าไม่นานนักดวงตาของเขาก็เบิกโพลนด้วยความแค้น
"ถ้าอย่างนั้นแล้ว ก็ขอชีวิตแกไปเลยก็แล้วกัน.." เมื่อนั้นเองบลู สวีดก็กลับมารวมรางกลับเป็นเหมือนเดิมแล้วจึงเดินนำหน้าชายหนุ่มผู้นั่นขึ้นมาแล้วคว้าคอของมิสเตอร์ดีขึ้นมายกเหนืออากาศด้วยมือซ้าย ดังเช่นบัดนี้มันเตรียมที่จะบีบคอมิสเตอร์ดีให้สิ้นใจไปนั่นเอง "ตายซะ!—"
เอี๊ยด!.. แต่ว่าก่อนที่ชายผู้นั้นจะทำสำเร็จได้.. —รถแท็กซี่คันหนึ่งก็ขับมาจอดอยู่เบื้องหน้าเขา
"..หา.. ?" ชายหนุ่มผู้นั้นอุทานขึ้นมาด้วยความงุนงง ก่อนจะหันมามองแท็กซี่คันนั้นด้วยความสงสัยและประหลาดใจเล็กน้อย
—นี่มันวันบ้าอะไร? โดนขัดจังหวะมากี่รอบกันแล้วเนี่ย ฮึ? ก่อนที่ในหัวของเขาจะเริ่มคิดพินิจขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดอารมณ์เสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่ไม่นานความคิดของเขาทั้งหมดจะกลับกลายเป็นความตกตะลึงและประหลาดใจในภาพที่ตนเห็น ซึ่ง นั่นก็คือภาพของรถแท็กซี่ในสภาพที่ยับเยินอย่างบอกไม่ถูก มีรอยขีดข่วนมากมายปรากฏอยู่บนตัวรถและส่วนอื่น ๆ อีกมากมายดังเช่นไปขับฝ่าดงอะไรมาก่อนหน้านี้ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ชายผู้นั้นตกใจจริง ๆ ก็คือรถคันนั้นปราศจากซึ่งประตูผู้โดยสารด้านหนึ่ง ซึ่งนั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาจดจำได้แล้วว่าแท็กซี่คันนั้นเป็นคันของใคร
—นี่มันแท็กซี่ที่นักเก็บกวาดนี่นั่งมาก่อนหน้านี้นี่.. มันวนกลับมาช่วยเหรอ? —ถ้าอย่างนั้น ผู้โดยสารข้างหลังก็คือ.. นักเก็บกวาดเหมือนหมอนี่ด้วยสินะ หรือเผลอ ๆ หมอนั่นอาจจะเป็นนักเก็บกวาดเองก็ได้ —ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันเห็นหน้าของเราแล้ว จะปล่อยให้อยู่ต่อไปก็ไม่ได้.. ต้องฆ่าทั้งสองคนให้ตายตอนนี้เลยเท่านั้น
ชายผู้นั้นจรดมองไปยังรถคันนั้นด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาตและมีจุดมุ่งหมายจะฆ่าอย่างเห็นได้ชัดเจน
"ม— มิสเตอร์ดี.. เกิดอะไร.. ขึ้นกัน..?"
ในขณะเดียวกัน เดวิดซึ่งนั่งอยู่บนเบาะคนขับ ก็มองเห็นร่างของมิสเตอร์ดีกำลังลอยขึ้นกลางอากาศอย่างน่าพิศวงด้วยท่าทางที่ปราศจากการเคลื่อนไหว ดังเช่นว่าเขาได้สิ้นชีพไปแล้ว ซึ่งนั่นสร้างความหวาดวิตกให้กับเดวิดเป็นอย่างมาก อีกทั้งมันยิ่งฝังคำถามเข้าไปในหัวของเขา ว่าเหตุการณ์ในตอนนี้นั้นมันคือเรื่องอะไรกันแน่? ส่วนสำหรับลีอองนั้นตัวเขาเองก็นิ่งเงียบไปขณะหนึ่งพร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลนด้วยความตกตะลึงในภาพที่เห็น
—ภาพของมิสเตอร์ดีที่ดูท่าจะพ่ายแพ้ให้กับศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
"เรามา.. ช้าไปเหรอนี่..?—" ทว่าไม่ทันที่เดวิดจะพูดจบประโยค ชายหนุ่มคนนั้นก็ชี้ไปยังรถแท็กซี่ของเดวิดแล้วลั่นวาจาขึ้นมาทันใด "นี่แกน่ะ.. คิดจะมาล้างแค้นให้หมอนี่เหรอ.. หึ.. ถ้าอย่างนั้นก็ขอบอกเลยว่าล้มเลิกไปซะเถอะ และอย่าแม้แต่คิดจะหนีเลย" "ทันทีที่แกจับพวงมาลัยนั่น.. ฉันจะฆ่าแกทั้งสองคนทิ้งซะ!"
"หว.. อ..—" วาจาข่มขู่ของชายผู้นั้นได้ผลกับเดวิดอย่างถึงขั้นสูงสุด จนบัดนี้ตัวเขาเองมิอาจแม้แต่สั่งการสมองให้ใจเย็น ๆ ลงได้เลย "ใจเย็น ๆ ก่อนครับ คุณเดวิด.." แต่ว่าเมื่อลีอองเห็นท่าทีเสียขวัญของเดวิดแล้ว เขาก็ไม่รอช้านำมือข้างหนึ่งมาแตะไหล่ของชายวัยยี่สิบผู้นี้เพื่อปลอบขวัญ พร้อมกับส่งสายตามองตรงไปข้างหน้าไปยังชายแปลกหน้านิรนามเบื้องหน้า ซึ่งบัดนี้ก็กำลังมองมายังลีอองเช่นเดียวกัน
"เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง.. คุณนั่งอยู่ในรถต่อไปเถอะ" ลีอองหันกลับมาพูดกับเดวิดอีกครั้งซึ่งบัดนี้เขาก็ค่อย ๆ พยายามสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ เพื่อผ่อนคลายหัวของเขาลงจากความหวาดกลัว "น— แน่ใจแล้วนะ.. ฉันว่าเราควร—" เดวิดหันกลับมาสบตากับลีอองแล้วพยายามที่จะเปล่งวาจาพูดขึ้นมา ทว่าแม้เขาจะพยายามสงบสติอารมณ์เท่าไหร่ ตัวชายหนุ่มเองก็คงไม่มีวันหยุดยั้งความหวาดวิตกลงได้เลย "ไม่ต้องห่วงครับ คุณเดวิด.. ผมจัดการได้.." ลีอองตอบกลับไป พร้อมกับจรดสายตามองไปยัังนัยน์ตาของเดวิด วินสตัน อันซึ่งบ่งบอกเพียงคำ ๆ เดียวภายในนั้น
—ความแน่วแน่ —มันหนักแน่นไปด้วยความแน่วแน่ในดวงตาคู่นั้น —ดังเช่นเขารู้ดีถึงผลที่ตามมา หลังจากที่เขาลงไปจากแท็กซี่คันนี้แล้ว แต่ก็ยังไร้ซึ่งความหวาดวิตกใด ๆ
ตึก เท้าของลีอองลงมาแตะที่พื้นถนน ก่อนจะตามมาด้วยร่างกายของเขา ปรากฏออกมาในลักษณะท่ายืนมือทั้งสองอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนสีฟ้า และมีเสื้อแจ็คเก็ตติดฮู้ดสีดำปกคลุมเสื้อเชิ้ดสีขาวบางของเขาเอาไว้อยู่
เขาเดินตรงมาเรื่อย ๆ ดังเช่นวันธรรมดา ๆ วันหนึ่งของเขา ก่อนจะหยุดลงที่เบื้องหน้าชายปริศนาผู้ซึ่งบัดนี้อยู่ห่างจากตำแหน่งของลีอองราว ๆ สิบเมตร —ทั้งสองจรดมองหน้ากันโดยไร้วาจา ปราศจากซึ่งคำพูดใด ๆ หลังจากที่ลีอองลงมาจากรถ ไม่ว่าจะโฮสท์ของบลู สวีด ตัวลีออง หรือแม้แต่เดวิดเองก็นิ่งเงียบสงัดด้วยความตึงเครียด
ต่างฝ่ายต่างมองซึ่งกันและกัน ด้วยแววตาที่ปราศจากความเมตตาใด ๆ ดังเช่นว่าทั้งสองรู้ถึงผลที่ตามมาอยู่แล้ว นั่นคือเลือดจะต้องหลั่งไหล ทันทีที่คนใดคนหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหว
—เอาเข้าจริงในตอนนี้.. เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะชนะได้รึเปล่า พลังของอีกฝ่ายเราก็ไม่รู้ มิหนำซ้ำมันยังเอาชนะมิสเตอร์ดีได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เผลอ ๆ เรามีโอกาสแพ้สูงกว่ามันเสียอีก —แต่ว่าหมอนั่นบาดเจ็บอยู่ อีกทั้งเราอยู่ในสภาพเต็มร้อยยังไม่มีเหงื่อตกเลยตั้งแต่เช้า.. ถ้าเกิดใช้โอกาสนี้ในการโจมตีคราวเดียวด้วยความเร็วของเราล่ะก็ อาจจะชนะได้ก็ได้ —ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าแฟนธอมของเราทำอะไรได้ก็เถอะ แต่จากที่ผ่านมาตอนนี้ หากให้เดาแล้ว มันคงมีความสามารถในการ.. 'เพิ่มความเร็วในร่างกาย' ล่ะมั้ง..? ซึ่งประสิทธิภาพของมันเราก็ได้เห็นกับตาแล้ว ด้วยระยะสิบห้าเมตรนี้ แค่หนึ่งวินาทีเราก็คงจะประชิดถึงตัวมันได้สบาย ๆ แล้วล่ะ
—แต่พลังของมันเรายังมิอาจรู้ได้.. ฉะนั้นแล้วโอกาสของเราก็คือตอนนั้น ตอนที่อีกฝ่ายกำลังวอกแวกเสียสมาธิไม่ทันใช้พลัง เมื่อนั้นแหละเราเอาชนะมันได้แน่!
..ลีอองวางแผนขึ้นมาในใจของเขา รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาหลังจากที่วางแผนได้สำเร็จลงแล้ว ทว่าเมื่อชายปริศนาผู้นั้นเห็นใบหน้าของลีอองอันเปี่ยมด้วยความมั่นใจ เขาก็แอบส่งเสียงหัวเราะออกมาและเริ่มพูดขึ้น ซึ่งผิดคาดกับสิ่งที่ลีอองคาดไว้อย่างเห็นได้ชัด
"ก็ว่าแล้วว่าแกเป็นใคร ตอนแรก็นึกว่านักเก็บกวาดซะอีก ทีแท้แกก็คือ ลีออง เด็กใหม่นั่นเอง.. แมทธิวพูดถึงแกอยู่" ชายแปลกหน้าเริ่มพูดขึ้นด้วยคำพูดคำจาที่ฟังดูเป็นกันเองเหมือนพูดกับเพื่อนอยู่อะไรอย่างนั้นซึ่งสร้างความสงสัยให้กับลีอองเป็นอย่างมาก "..แมทธิว..?" ลีอองขานกลับอย่างงุนงงสงสัย ว่า 'แมทธิว' ที่ชายผู้นี้พูดถึงเป็นใคร
"หืม..? แสดงว่ามันยังไม่ได้มาเจอกับนายสินะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร.. หมอนั่นเป็นพวกรอบคอบไม่ชอบมาฉะฉะกับใครเลย อย่าไปสนใจเลย.." "แต่ที่สำคัญคือแกน่ะเป็นพวกของเรา เป็นคนของครูเซเดอร์เหมือนกับพวกเรา" "ฉะนั้นแล้วทำไมถึงคิดจะช่วยนักเก็บกวาดอย่างหมอนี่กันล่ะ? คิดจะทรยศเราอย่างนั้นเหรอ?" ชายแปลกหน้าผู้นั้นเริ่มพูดขึ้นมาดังเช่นการอธิบายให้ลีอองรู้ ทว่าหากลองฟังดูดี ๆ แล้วมันดูเหมือนกับการพูดขึ้นกับตัวของเขาเองมากกว่า เพราะคำพูดทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เข้ามาในหัวลีอองอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
"คุณพูดถึงเรื่องอะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย" "หา อย่าบอกนะว่าแมทธิวอย่างไม่ได้บอกให้—" "และอีกอย่าง.. มิสเตอร์ดีช่วยผมเอาไว้ ฉะนั้นแล้วจะผิดตรงไหนถ้าผมจะช่วยเขากลับ?" ก่อนที่ชายแปลกหน้าผู้นั้นจะได้ทันโต้กลับ ลีอองก็สวนกลับด้วยคำพูดที่แน่วแน่และจริงใจจากปากของเขา ก่อนที่บัดนั้นเองชายผมสีเขียวผู้นี้จะถุยน้ำลายลงไปกับพื้นในทันทีแล้วหันกลับมามองด้วยสายตาอันเย็นยะเยือก
".. จะบอกว่าคิดจะช่วยชีวิตหมอนั่นคืนสินะ" "ครับ" ลีอองที่ได้ยินคำกล่าวสั้น ๆ ของชายผู้นั้นซึ่งแฝงไปด้วยความอาฆาตอย่างที่ต่อให้หลบสายตาก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นได้ หากทว่าลีอองก็ตอบกลับไปอย่างสั้น ๆ ห้วน ๆ เช่นกันโดยไร้ท่าทีหวาดกลัวใด ๆ ต่อชายแปลกหน้าผู้นี้
“นั่น.. ฉันไม่อาจให้นายทำได้ ลีออง” "ฉันจะให้โอกาสนายเป็นคราวสุดท้าย.. เลือกว่านายจะถอยกลับไปแล้วปล่อยให้ฉันฆ่าหมอนี่ หรือจะอยู่ต่อให้ฉันอัดแกจนสลบแล้วค่อยลากไปหา 'บอส' กันล่ะ?.." "...นั้นผม—" "—ขอเลือกตัวเลือกที่สามก็แล้วกัน"
... —ทันใดนั้นเอง ที่ลีอองสิ้นวาจาของเขา ทุก ๆ อย่างก็เงียบงันลง —ดังเช่นว่าท้องถนนแห่งนี้กำลังถูกปกคลุมด้วยความว่างเปล่า ราวกับเสียงทั้งหมดถูกดูดหายไป เหลือแต่เพียงภาพนิ่งระหว่างชายสองคนที่บัดนี้ได้ทำการตกลงตกใจกันแล้วว่าพวกเขาจะทำอะไรต่อไป —เดวิดที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่.. แม้จะมิได้เกี่ยวข้องอันใด แต่ก็ยังหวาดวิตก ตัวเขาค่อย ๆ ถอยกลับไปพิงเบาะคนขับอย่างแนบชิด โดยหารู้ไม่ว่ามือของเขาไปปัดขวดน้ำพลาสติดขวดหนึ่งตกลงมาพอดี
"..." "ก็ย่อมได้ ลีออง" "ก็ย่อมได้!"
ตุบ!.. —ขวดน้ำพลาสติกตกลงมาก่อนที่ฝาขวดน้ำซึ่งปิดไม่สนิทจะไหลพุ่งออกมาด้วยน้ำเปล่าจนเปื้อนเบาะด้านหลัง —เช่นเดียวกับความเงียบงันก่อนหน้านี้ที่กลายมาเป็นเสียงลมดังซู่พุ่งขึ้นท้องฟ้าจนฮู้ดสีดำของลีอองปลิวสะบัดพัดขึ้นสู่ท้องฟ้า —และเมื่อนั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ลีอองต้องเบิกดวงตาโพลนขึ้นด้วยความตกใจ
"อ— เอ็นดีเวอร์!?" ทันทีที่สิ้นวาจาของลีออง ชายแปลกหน้าที่ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าหวาดวิตกอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเหลือบไปมองมิสเตอร์ดีทันใด "นานิ—!?"
ควั่บ! แฟนธอมเอ็นดีเวอร์— บัดนี้ปรากฏขึ้นมาอย่างปริศนาแล้วรัดใบหน้าของชายแปลกหน้าผู้นั้นเอาไว้อย่างแน่นหนาจนตัวเขามิอาจปริปากพูดวาจาใดได้อีกต่อไป
ร่างกายที่เคยไร้สติของมิสเตอร์ดี บัดนี้ได้หล่นลงมายืนด้วยลำแข้งทั้งสองข้าง แล้วจรดมองไปยังชายแปลกหน้าผู้นั้นด้วยแววตาอันมากด้วยโทสะและความมุ่งมั่น —แม้จะอยู่ในสภาพที่สะบักสะบอม และบาดแผลไปทั่วร่างกาย แต่ว่าเพียงแค่บัดนี้เขากลับมามีสติแล้วพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้นั้น —ก็กระทำให้ลีออง พลั้งเผลอยิ้มออกมาได้เช่นกัน
"สุดท้ายแกก็ต้องหลงกลโง่ ๆ แบบนีอีกสินะ โฮสท์ของบลู สวีด!" —ก.. แก!!! เขาพยายามดิ้นรนออกจากพันธนาการ ทว่าเอ็นดีเวอร์นั้นรัดใบหน้าของเขาอย่างแน่นหนาจนเกินไป ระดับที่ขอเพียงจะหายใจก็หนักหนาสาหัสเสียแล้ว
—ด้วยกำลังของเราตอนนี้ คงสั่งให้เอ็นดีเวอร์พันธนาการมันไว้ได้ไม่นานแน่ เราคงจะจัดการมันไม่ไหว.. —แต่ว่า!..
"ตอนนี้แหละ!—... ลีออง..!" "จัดการมันซะ!.."
มิสเตอร์ดีกล่าวตะโกนขึ้นมาสุดเสียงของเขา ในขณะที่บลู สวีดเริ่มเคลื่อนกายเข้ามาหาโฮสท์ของมันแล้วนำมือซ้ายอันมากด้วยกำลังของมันเข้าคว้าแฟนธอมของมิสเตอร์ดีเอาไว้และเตรียมจะดึงออกมาด้วยกำลังมหาศาลของมัน
ลีอองที่ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดนิ่งงันลงขณะหนึ่งด้วยความตกใจในมิสเตอร์ดีไม่หาย.. —ทว่าไม่นานตัวเขาก็ตั้งท่าวิ่งดังเช่นนักวิ่งกรีฑาทันใด แล้วตอบขานรับกลับไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยชัยชนะ
"อ—" "อ่า—!.."
ควั่บ!.. ทันใดนั้นเอง ขาของลีอองก็เริ่มก้าวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรุนแรง สร้างแรงคลื่นลมที่รุนแรงถึงขนาดแหวกอากาศ ก่อเกิดเป็นเสียงอันดังสนั่นจนน่าตื่นตระหนกกึกก้องไปทั่วบริเวณ
เพียงชั่วพริบตาเดียวเช่นเดียวกับที่เสียงลมที่เริ่มแผดหายไป บลู สวีดที่สามารถดึงเอ็นดีเวอร์ออกมาจากใบหน้าของโฮสท์มันได้ก็ขว้างลงไปกับพื้นดังเช่นเศษขยะ พร้อมกับร่างกายของมิสเตอร์ดีที่ล้มคว่ำลงไปกับพื้นตามกฏของโฮสท์และแฟนธอม ก่อนที่บัดนั้นบลู สวีดจะคว้าตัวกลับมาแล้วปล่อยหมัดซ้ายเข้าใส่ลีอองทันใด
—แต่เมื่อนั้นเอง ที่บลู สวีดได้พึงรู้ตัวว่า —บัดนี้ลีอองหาได้อยู่เบื้องหน้าเขาอีกต่อไป —แต่อยู่ด้านหลังของเขาต่างหาก!
"อึก—" "หนอยแน่ แก!—" โฮสท์ของบลู สวีดพยายามจะใช้แฟนธอมของเขา บลู สวีดเคลื่อนกลับมาอยู่ด้านหลังของเขาอีกครั้งเพื่อป้องกันและจัดการกับลีออง "บลู ส—! อั่ก!—" ทว่าก่อนที่ตัวเขาจะพูดออกมาได้ หมัดของลีอองก็พุ่งเข้าไปเต็ม ๆ ใบหน้าของชายหนุ่มจนฟันซีกซ้ายของเขาแทบจะหลุดร่วงออกมาจากปาก ..และลีอองก็ไม่รอช้าเลยที่จะรัวหมัดใส่ชายผู้นี้ทันใด
"HALLE! HALLE! HALLE! HALLE! HALLE! HALLE! HALLE! HALLE!.." —อั่ก! ร— เร็วมาก! เราตามมันไม่ทันเลย!— แฟนธอมนี้มันอะไรกัน!—
"HALLE! HALLE! HALLE! HALLE! HALLE! HALLE! HALLE! HALLE! HALLE!" "HALLELUJAH!!.."
"อ้า—ก!.." ตุบ!.. ร่างกายของชายคนนั้นปลิวไปตามแรงหมัดที่แม้จะไม่ได้รุนแรงเท่ามิสเตอร์ดีแต่อย่างใด ทว่าความเร็วนั้นเหนือกว่ามากจนตัวเขาเองมิอาจสามารถจะตามทันได้เสียเอง ดวงตาของเขากรอกขึ้นไปบนฟ้าในขณะที่พยายามจะรวบรวมสติกลับมาให้ได้ โดยในขณะนั้นเองตัวชายหนุ่มก็หาได้รู้ตัวเลยว่า แฟนธอมบลู สวีดของเขาได้สลายกลับไปเป็นฝุ่นแล้วกลับเข้าร่างของเขาดังเดิมแล้ว อันเนื่องด้วยตัวชายหนุ่มปราศจากซึ่งแรงเหลือจะใช้พลังแฟนธอมอีกต่อไป
—พ— แพ้อนาถ.. ราบคาบ—.. —แล้วในวินาทีนั้นเอง ที่ชายหนุ่มคนนั้นหมดสติลง สิ้นสุดความคิดด้วยการยอมศิโรราบให้กับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
ลีอองค่อย ๆ สะบัดมือของเขาไปมาซึ่งเต็มไปด้วยรอยถลอกเลือดอันเกิดจากการต่อยที่รัวและมากเกินไป จึงทำให้เขารู้สึกชาและเจ็บที่มือของเขาเล็กน้อย แต่ทว่าลีอองก็กัดฟันรับความเจ็บปวดได้ ก่อนที่จะดึงเสื้อฮู้ดของเขาขึ้นมาแล้วจรดมองไปยังชายคนนั้นพร้อมกับเอ่ยปากเปล่งวาจาขึ้นอย่างแผ่วเบา
"อาเมน.."
แมทธิวเป็นใคร?.. สิ้นสุดการต่อสู้จริงแล้วหรือไม่?.. และพลังแฟนธอมของลีอองนั้นแท้จริงแล้วคืออะไร?.. >>TO BE CONTINUED
|
|
|
Post by jussaateen on Oct 16, 2018 14:23:10 GMT
บทที่ 8 - การตัดสินใจของลูกผู้ชาย แต่งโดย: Jussaateen "อาเมน.."
วาจาของลีอองกล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบาทว่าก็เปี่ยมไปด้วยพลังอันเอ่อล้น ดังเช่นบทส่งท้ายให้กับคำภาวนาอันแกร่งกล้าของเขา แต่ทว่าแม้วาจาและท่าทางจะดูโดดเด่นดังผู้ชนะในการต่อสู้ แต่สีหน้าของเขากลับไม่สู้ดีเท่าเลย
สำหรับตัวลีอองแล้ว ทุก ๆ อย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากและจบสิ้นลงในพริบตา เช่นเดียวกันกับเรี่ยวแรงของลีอองที่แทบจะหายไปในคราวเดียวที่เคลื่อนไหว ดังเช่นแสงแฟลชของลำกล้องที่สว่างจ้าในคราวเดียวแล้วหายไปในคราวเดียว
—นี่น่ะเหรอ พลังแฟนธอมของเรา.. ไม่ชินเลยแฮะ แถมยังกินพลังงานของเรามากเสียด้วย —ถ้าเกิดต้องใช้บ่อย ๆ ล่ะก็ ไม่ถึงสามนาทีเราก็คงจะสลบไปแล้วล่ะ —คงจะต้องฝึกฝนอีกเยอะเลยทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้ล่ะนะ ลีอองครุ่นคิดกับตนเองในขณะที่พยายามสูดลมหายใจเข้าออกผ่านทางปาก เพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจของเขาสักครู่หนึ่ง
"แฮ่ก.. แฮ่ก.." "..—สำเร็จแล้ว.. —สินะ.." ทว่าในขณะนั้นเองที่ลีอองกำลังจดจ่ออยู่กับปัญหาของเขาเองนั้น ตัวเขาก็พึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนหนึ่ง ที่กำลังมีอันตรายยิ่งกว่าเขา
ภาพที่ลีอองเห็นเบื้องหน้านั้น คือภาพของมิสเตอร์ดีกำลังยืนอยู่ตรงหน้า— ในสภาพที่อนาถยิ่งกว่าที่ลีอองจะคาดคิดได้เลยทีเดียว.. เสียงลมหายใจของเขาดังราวกับเครื่องยนต์ ระดับที่ต่อให้ยืนห่างกันเป็นเมตรก็ยังคงได้ยินเสียงอยู่ราวกับกำลังหายใจจรดหู ท่าทางการยืนที่เห็นได้ชัดว่าเหน็ดเหนื่อย มากเสียยิ่งกว่าลีอองอยู่หลายต่อหลายเท่า
—ทว่าที่น่าเป็นห่วงที่สุด ก็งจะเป็นบาดแผลเหล่านั้น —ที่หน้าผาก ที่แขน ที่ขา ที่ลำตัว ที่เบ้าตา —ล้วนปกคลุมด้วยรอยฟกช้ำ กับเลือด
โครม!.. "มิสเตอร์ดี!.." ร่างกายของมิสเตอร์ดีล้มลงกับพื้นทันใดเช่นเดียวกับลีอองที่พลันวิ่งพุ่งเข้าไปประคองร่างของมิสเตอร์ดีเอาไว้โดยทันท่วงที ก่อนที่หัวของเขาจะกระแทกพื้นอีกคราวหนึ่ง
—ถึงเราจะไม่ได้เก่งเรื่องนี้เท่าไหร่ก็เถอะ แต่ก็พอจะบอกได้ว่าสาหัสพอสมควร —ถ้าพาไปโรงพยาบาลทันล่ะก็ ยังไงก็รอด ฉะนั้นแล้วล่ะก็—
ในขณะที่ลีอองกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ดังเช่นว่ามิสเตอร์ดีสังเกตเห็นดวงตาของลีอองที่เงยมองรถแท็กซี่ของเดวิดเบื้องหน้า เขาจึงได้เริ่มที่จะเคลื่อนไหวร่างกายอีกคราวหนึ่งทันใด ทว่าด้วยความที่บาดแผลสาหัสนั้นยังคงอยู่ ตัวมิสเตอร์ดีจึงเสียการทรงตัวแล้วล้มลงไปนั่งกับพื้นทันทีทันใดแม้ลีอองจะยังช่วยประคองแล้วก็ตาม
"ม— มิสเตอร์ดี อย่าพึ่งขยับตัวสิครับ!—" ลีอองกล่าวตักเตือนด้วยน้ำเสียงที่มากด้วยความเป็นห่วง "ไม่เอา.. โรงพยาบาล.." ทว่ามิสเตอร์ดีกลับตอบกลับไปอย่างไร้เรี่ยวแรงขัดจังหวะลีอองที่กำลังพูดอยู่ มิหนำซ้ำยังมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับคำพูดของลีอองเลยแต่อย่างใด
ทว่าแม้จะมิได้เกี่ยวตรงกับประโยคของลีอองเท่าไหร่โดยผิวเผิน แต่ตัวลีอองก็สามารถเข้าใจในคำพูดของมิสเตอร์ดีอย่างทันท่วงที ก่อนจะเปลี่ยนสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเป็็นท่าทีเคร่งขรึมในทันใด และจรดมองไปยังดวงตาสีฟ้าของมิสเตอร์ดี ราวกับเป็นการตอบกลับให้กับน้ำเสียงและแววตาของเขา
—นี่ไม่ใช่เวลามากังวล —แต่เป็นเวลาที่จะต้องตัดสินใจ มิสเตอร์ดีคิดขึ้นในใจของเขาโดยมิได้เอ่ยปากบอกมันกับลีอองโดยตรงอย่างใด ส่วนหนึ่งก็เพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดสิ้นจนต้องเก็บแรงที่เหลือไว้สำหรับพูดสิ่งสำคัญเท่านั้น
"แล้วถ้าอย่างนั้นคุณจะไปพักที่ไหน.. อาการคุณยังไม่หายดี คุณก็รู้ดีนะครับ!" ลีอองโต้แย้งกลับไป ทว่าในจังหวะนั้นเองมิสเตอร์ดีก็พยายามใช้มือดันพื้น และลุกขึ้นยืนอีกคราวหนึ่งด้วยแรงของเขาและลีอองร่วมประสานกัน "รู้แล้วแหละน่า!— อั่ก—.. แต่ว่าโรงพยาบาลน่ะคนเยอะเกินไป.. เจ้าพวกนั้นต้องมาจัดการฉันแน่" "ต้องเป็นที่อื่น.. ที่ที่แน่ใจได้ว่าปลอดภัย.." มิสเตอร์ดีเอ่ยโต้เถียงกับลีอองพร้อมกับทำท่าทีเจ็บบริเวณหน้าอกเล็กน้อยขณะพูด ก่อนจะมองไปยังร่างของชายผมสีเขียวอันแน่นิ่ง— ร่างของโฮสท์ของแฟนธอม 'บลู สวีด' ที่เขาต่อสู้ด้วย ก่อนหน้านี้
"แล้วนั่นมันที่ไหนกันล่ะครับ.. โรงแรมของคุณก็ไม่ได้ ต่อให้ไปหาโรงแรมใหม่ก็คงไม่ปลอดภัยอยู่ดี สำหรับผมแล้วโรงพยาบาลเนี่ยถึงจะเสี่ยงแต่ก็เป็นที่นั่นเท่านั้นแหละครับ—" "นายไม่เข้าใจ ลีออง แต่ว่าถ้าฉันไปโรงพยาบาลนั่นล่ะก็ รอดไม่เกินชั่วโมงแน่" "แล้วคุณจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะครับ ถ้าอย่างนั้น?"
บัดนั้นเอง หลังสิ้นคำถามของลีอองนั้น ทั้งคู่ก็เงียบลง และปราศจากเสียงคำพูดวาจาใด ๆ นอกจากเสียงของลมที่ปลิวพัดไหวไปมาบนท้องถนน และกลิ่นอายของเลือด บาดแผลจากการต่อสู้อันทรหดก่อนหน้า ทั้งจากตัวลีออง มิสเตอร์ดี และโฮสท์ของบลู สวีดที่บัดนี้สภาพไม่ต่างอะไรกับศพห่างจากพวกเขาไปไม่กี่เมตรนั้นเอง ส่วนทางด้านของเดวิดในตอนนี้นั้นที่เริ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันว่างเปล่าจากในแท็กซี่นั้น ก็เริ่มปลดเข็มขัดนิรภัยของเขา พร้อมกับรอดูเผื่อทั้งสองจะเรียกให้เขาลงไปช่วยทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
—ถึงจะเสี่ยงหน่อยก็เถอะ.. —แต่ว่าก็มีแค่ทางนี้เท่านั้นแหละ มิสเตอร์ดีที่ตัดสินใจได้แล้วจึงเอ่ยตอบลีอองกลับไปในรูปแบบคำถาม
"..นายอยู่ที่โบสถ์.. ใช่มั้ย?.." "..."
สีหน้าของลีอองดูแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และแสดงทีท่าสับสนอย่างชัดเจนก่อนจะเริ่มยิงชุดคำถามเข้าใส่มิสเตอร์ดีีโดยพลัน —โดยมิสเตอร์ดีที่เห็นท่าทางของลีอองเช่นนั้นก็พอจะเข้าใจถึงสาเหตุได้ในทันที
"..คุณล้อผมเล่นรึเปล่า?" "..—ฉันดูเหมือนจะมีอารมณ์ขันตอนนี้มั้ยล่ะ.."
"แล้วเรื่องบาดแผลคุณจะทำอย่างไร?" "..—ฉันพอจะปฐมพยาบาลชั่วคราวได้อยู่ไม่ต้องห่วง หรือในแง่ดี หนึ่งในแม่ชีอาจจะรู้จักวิชาแพทย์ก็ได้"
"..นี่คุณแน่ใจแล้วใช่มั้ยครับเนี่ย มิสเตอร์ดี" "..—อ่า.."
"..." ลีอองถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยุดคำถามของเขาลงแล้วตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ดูเอือมระอาเล็กน้อย ทว่าก็แฝงไปด้วยความเคารพในการตัดสินใจและความเชื่อใจของมิสเตอร์ดีเช่นกัน
"..ก็ได้ครับ.. ถ้าคุณหัวชนฝาขนาดนั้นแล้ว ผมยอมก็ได้ครับ" "แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาล่ะก็ ถือว่าผมเตือนคุณแล้วนะ มิสเตอร์ดี" "..อ่า.."
—ตอนนี้เราไม่ได้กังวลหรอกว่าจะหาทางรักษาบาดแผลอย่างไร แต่กำลังกังวลว่ามีที่ไหนปลอดภัยบ้างมากกว่า —จากการที่เราโดนลอบโจมตีโดยโฮสท์ของบลูสวีดไปนั้น ก็พอจะสันนิษฐานได้แล้วว่าพวกองค์กร 'ครูเซเดอร์' นั่นต้องรู้ตัวตนของเราแล้วแน่ ๆ และนั่นอาจจะรวมถึงที่พักอาศัยอยู๋ด้วยก็ได้ เผลอ ๆ คงอีกไม่นานหรอกกว่าพวกมันจะรู้ว่าเราคิดจะไปหลบอยู๋ที่โบสถ์ของลีออง
—แต่ว่าถ้าสถานการณ์เป็นอย่างเราคิดแล้วล่ะก็.. มันจะไม่มีทางโจมตีเราแน —ถ้าเกิดความสัมพันธ์ระหว่างลีอองและพวกนั้นเป็นอย่างที่เราคิดแล้วล่ะก็ ที่นี่ก็เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว ทว่าถ้าเราเข้าใจผิดล่ะก็.. จะกลายเป็นว่าเรากำลังดึงลีอองมาเสี่ยงอันตรายกับเราด้วย —ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่เลยล่ะ
มิสเตอร์ดีครุ่นคิดกับตัวเขาเองในขณะที่ลีอองกำลังแบกตัวเขาไปยังรถแท็กซี่ที่เดวิดนั่งอยู่ภายใน
"คุณเดวิดครับ.. เดี๋ยวช่วยขับไปโบสถ์คอนแสตนตินด้วยนะครับ" "อ— โอเค ลีออง.."
หลังจากที่ตัวลีอองได้ช่วยพามิสเตอร์ดีขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังของรถแท็กซี่ จากด้านที่ปราศจากประตูแล้วนั้น ลีอองก็ชะเง้อหน้าไปยังเดวิดที่เบาะคนขับก่อนจะบอกกับเขาขึ้นด้วยวาจาที่ดูสุภาพและเป็นทางการอย่างมาก จนตัวเดวิดทีได้ยินเช่นนั้นก็พลั้งเผลอสะดุ้งตกใจเล็กน้อย
"อ— แล้วก็จะว่าไป.. เอาอย่างไรกับหมอนั่นดีล่ะ?" ทว่าก่อนที่เดวิดจะสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นเอง เขาก็หันกลับมาถามลีอองอีกคราวด้วยท่าทางงุนงง "..หมอนั่น.. เหรอครับ?" ลีอองที่ได้ยินคำถามของเดวิด ก็แสดงท่าทางงุนงงออกมาเช่นกัน "หมอนั่นไงครับ!—" เดวิดที่เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะชี้ไปยังด้านหน้า
ลีอองที่เห็นเดวิดชี้ไปเบื้องหน้ารถแท็กซี่จึงชะเง้อหัวไปทางกระจกด้านหน้าตามด้วยความสงสัย ก่อนที่ความสงสัยนั้นจะกลายเป็นความตกใจ ที่ตนพึงนึกได้ว่าเดวิดกำลังกล่าวถึงใคร เช่นเดียวกับมิสเตอร์ดีที่พึงนึกได้ก่อนหน้าลีอองไปเพียงนิดเดียวจากประโยคของเดวิดอีกทีหนึ่ง
—แล้วเราจะ.. —ทำอย่างไรกับโฮสท์ของ 'บลูสวีด' ดีกัน..? หลังจากที่ทั้งสามตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรกับโฮสท์ของ 'บลูสวีด' นั้น เดวิดก็ขับรถตรงดิ่งไปยังโบสถ์คอนแสตนตินตามคำเรียกร้องของลีอองและมิสเตอร์ดีโดยทันทีทันใด
โดยสิ่งที่ทั้งสามกระทำกับโฮสท์ของ 'บลูสวีด' นั้น คือนำตัวไปส่งที่โรงพยาบาล ก่อนจะออกจากสถานที่ให้เร็วที่สุดเพื่อมิให้ถูกสงสัยอะไร อันเนื่องจากสภาพรถที่เป็นจุดดึงดูดสายตาอย่างถึงที่สุดนั้นอาจทำให้พวกเขาไปเจอกับโฮสท์คนอื่น ๆ อีกก็ได้
คนที่ออกความเห็นให้ทำเช่นนี้นั้นก็มิใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากเดวิด วินสตันเลย ส่วนลีอองกับมิสเตอร์ดีนั้นก็มิได้เห็นด้วยเสียทีเดียว เพราะนอกจากมันจะอันตรายแล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะได้อะไรจากการช่วยเหลือคนของศัตรูเลย ทว่าเพราะเดวิดอ้อนวอนพวกเขาอย่างถึงที่สุด จึงยอม ๆ ทำตามไปแต่โดยดีในท้ายสิ้นนั่นเอง
ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสามนาฬิกาโดยประมาณ ซึ่งก็เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากที่ลีอองออกมาจากโรงเรียนของเขาแล้วมาพัวพันกับสถานการณ์ความเป็นความตายของมิสเตอร์ดีกับเดวิด ณ ตรงนี้แล้ว ทว่าแม้จะเป็นเพียงครึ่งชั่วโมง แต่ก็เป็นครึ่งชั่วโมงที่เหน็ดเหนื่อยที่สุดในรอบหลายปีของลีอองแล้วก็ว่าได้ เช่นเดียวกับอีกสองสุภาพบุรุษภายในรถแท็กซี่คันนี้
—ลีอองแหงนหน้ามองเพดานรถ พึงคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ขณะที่ลมจากด้านข้างเขาซึ่งปราศจากประตูรถกำลังพัดไหวไปมาภายในรถ —มิสเตอร์ดีหันหน้ามองไปยังหน้าต่างรถจากเบาะหลัง มองดูพื้นที่รอบ ๆ เมืองมูนไบรท์แห่งนี้พร้อมกับรอยยิ้ม ณ มุมปากเล็กน้อยให้กับความงามของเมืองนี้ แม้จะพึ่งผ่านศึกมาก็ตาม —ส่วนเดวิดนั้นก็จรดสมาธิอยู๋กับการขับรถไปยีังโบสถ์คอนสแตนตินให้รวดเร็วและปลอดภัยที่สุด พร้อมกับพยายามลบความหงุดหงิดอันเกิดจากคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นออกไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ทั้งสามจดจ่ออยู๋กับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลโดยมิได้ปริปากกล่าววาจาใด ๆ ต่อกัน แม้แต่การสบตากันยังแทบไม่เกิดขึ้นเลยด้วยเสียไป มีเพียงเสียงลมจากภายนอกพาหนะและเสียงดนตรีแจ้สที่ดังออกมาจากวิทยุของรถคันนี้เท่านั้นที่ยังคงปะทะกันอยู่
—มันไม่ใช่เพราะพวกเขาเกลียดกันหรืออะไรหรอก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีเหตุผลให้ไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้ว เพราะก็พึ่งช่วยเหลือกันและกันมาเมื่อครู่เองโดยเฉพาะระหว่างลีอองกับมิสเตอร์ดี —ทว่าพวกเขาก็มิได้สนิทสนมกันแต่อย่างไร หากมองโดยภาพรวมแล้ว ทั้งสามยังรู้จักกันได้ไม่ถึงสัปดาห์ด้วยซ้ำไป เหมือนกับการเอาคนแปลกหน้ามานั่งรวมกันในรถคันหนึ่งนั่นแหละ จึงไม่แปลกที่บรรยากาศภายในรถจะเต็มไปด้วยความอึดอัดถึงเพียงนี้
—โดยบรรยากาศก็เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ มาราว ๆ ห้านาทีแล้ว และหากการจราจรไม่ติดขัดอะไร— ซึ่งก็ใช่— อีกไม่นานรถแท็กซี่คันนี้ก็คงจะถึงที่หมายอย่างโบสถ์คอนแสตนตินแล้ว
"ถึงแล้วครับ!" เดวิดกล่าวบอกผู้โดยสารทั้งสองนายอย่างลีอองและมิสเตอร์ดีที่นั่งอยู่บนเบาะหลัง
ในขณะเดียวกันสายตาของเดวิดก็จับจ้องมองไปยังถนนหนทางเช็คพื้นที่โดยรอบให้มั่นใจว่าถูกสถานที่ พร้อมกับค่อย ๆ นำเท้าของเขาลดลงมาเหยียบเบรคชะลอความเร็วลง ก่อนที่ในที่สุดตัวพาหนะจะนิ่งสถิต ณ เบื้องหน้าทางเข้าโบสถ์คอนแสตนตินโดยพอดิบพอดี
—โบสถ์คอนแสตนตินนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนภายในเมืองมูนไบรท์นั้นล้วนรู้จักเป็นอย่างดี เพราะแม้จะเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาทำให้ไม่ค่อยดึงดูดกับวัยรุ่นทั่วไปเท่าไหร่นัก ทว่าด้วยความที่เป็นโบสถ์ที่มีอายุมานาน อยู่มาตั้งแต่คราวเมืองนี้ถูกริเริ่มสร้างขึ้น จึงทำให้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ภายในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดภายในเมือง และยังมีข่าวลือเกี่ยวกับว่าเคยเป็นคุกกักขังนักโทษมาก่อนอีกด้วย
ลีอองค่อย ๆ หันไปมองตัวโบสถ์ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยมั่นใจเสียเท่าไหร่นักว่าที่แห่งนี้จะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับมิสเตอร์ดีแล้วจริงแท้หรือไม่ ทว่าตัวเขาก็สะบัดความคิดฟุ้งซ้านเหล่านั้นออกไป และยอมเชื่อมั่นในการตัดสินใจคราวนี้ ก่อนจะรีบคว้าตัวมิสเตอร์ดีขึ้นมาช่วยประคองและหันไปมองเดวิดทันใด
"ขอบคุณครับ คุณเดวิด เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง" "รักษาตัวให้ดี.. และก็ไปซ่อมรถด้วยนะครับ" ลีอองกล่าวขอบคุณพร้อมกับสิ้นประโยคด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ตัวเขากับมิสเตอร์ดีลงมาจากตัวรถ "ได้เลย.. ทางนั้นก็ขอให้โชคดีด้วยนะครับ" เดวิดที่ได้ยินเช่นนั้นก็รับคำขอบคุณตามมารยาท พร้อมกับยิ้มรับกลับไป ทว่าสีหน้ายังคงบ่งบอกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"ถ้าอย่างนั้นแล้ว.. แล้วเจอกันนะครับ มิสเตอร์ดี" ครืน...! เดวิดรีบตัดบทพูดบทพ้อต่าง ๆ แล้วกล่าวอำลากับมิสเตอร์ดีทันใด ก่อนจะขับออกไปโดยไม่รอคำตอบของมิสเตอร์ดีเลย
"..อ่า" —แม้จะช้าไปหน่อย แต่มิสเตอร์ดีก็เปล่งเสียงตอบกลับอย่างแผ่วเบา ในขณะที่สายตาจับมองรถแท็กซี่สภาพยับเยินนั้นขับออกไป
"ไปกันเถอะ มิสเตอร์ดี" ลีอองหันหน้ามาเรียกมิสเตอร์ดีเล็กน้อยก่อนจะก้าวขาตรงเข้าไปหาโบสถ์ "อ่า— อั่ก—!.." มิสเตอร์ดีพยักหน้าตามก่อนจะเริ่มก้าวขาตาม ทว่าทันทีที่ขาของมิสเตอร์ดีเคลื่อนไหว ความเจ็บปวดก็ฟุ้งซ่านไปทั่วตัวมิสเตอร์ดีจนเขาพลั้งเผลอหลุดเสียงร้องออกมาเล็กน้อย
ลีอองที่ได้ยินเสียงร้องหลุดออกจากปากของมิสเตอร์ดีจึงหันมามองทันใด ทว่ามิสเตอร์ดีรู้ตัวดีก่อนที่จะกัดฟันและรีบเร่งก้าวขาตรงไปข้างหน้าต่อไปพร้อมกับฝืนทนกับความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
—ถึงจะฟังดูตลก แต่สาเหตุที่มิสเตอร์ดีทำเช่นนั้นก็เพื่อรักษาหน้ากับเกียรติของตนไว้ก็เท่านั้น —ถ้ามีเขาอยู่คนเดียวตอนนี้ล่ะก็ เผลอ ๆ อาจจะตะโกนสุดเสียงออกมาจนโล่งตัวไปเลยก็ได้ —ติดแค่มีเกียรติกับลีอองขัดขวางอยู่ก็เท่านั้น ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรที่อยู่ในหัวมิสเตอร์ดีแต่อย่างใด
ลีอองกับมิสเตอร์ดีค่อย ๆ เดินกอดไหล่มาเรื่อย ๆ เข้ามายังพื้นที่ของโบสถ์คอนแสตนตินเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วที่ไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป อยู่ในระดับที่พอดีสำหรับสารรูปของชายทั้งสอง ณ ปัจจุบัน อีกทั้งพื้นที่ภายในโบสถ์ก็ไม่ได้ใหญ่ หรือเป็นที่เตะตาของศัตรูแต่อย่างใด ทั้งสองจึงยังไม่เห็นสาเหตุจะต้องรีบร้อนแต่อย่างใด
ทว่าจะชักช้าก็มิอาจได้ เพราะนอกจากอาการบาดเจ็บของมิสเตอร์ดีจะเข้าข่ายสาหัสอยู่นั้น บริเวณโดยรอบของโบสถ์คอนแสตนตินนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับโบสถ์แห่งอื่นเท่าไหร่นัก นั่นคือมันเป็นพื้นที่โล่ง ทำให้คนที่เดินอยู่ตามถนนทางเดินก็สามารถชำเลืองมองมาเห็นพวกของลีอองในขณะนี้ได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว แถมเวลานี้ก็ยังเป็นเวลาตอนบ่าย ถ้ามีคนมาเห็นก็คงไม่แปลก ฉะนั้นก็ควรจะรีบก่อนจะบิงโกไปเจอโจทย์อะไรเข้าอีก
และในขณะนั้นเองที่ลีอองกับมิสเตอร์ดีกำลังเดินเข้าไปยังโบสถ์นั้น ก็มีบุคคลคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาและกล่าวทักทายขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรและมีอัธยาศรัยดี
"เอ้า ลีออง กลับมาพอดีเลยเหรอ พอดีว่า—" "อ่—! เกิดอะไรขึ้นน่ะ!?— บาดเจ็บเหรอ!?— แล้วเขาคนนั้นเป็นใครน่ะ!?—"
บุคคลที่กล่าวทักทายลีอองอย่างลืมหูลืมตา ก่อนจะแสดงทีท่าตกใจอย่างถึงที่สุดเมื่อรู้ตัวคนนี้นั้น เป็นสตรีวัยผู้ใหญ่ อายุดูห่างจากลีอองราว ๆ สิบปีเห็นจะได้ เครื่องแต่งกายสวมชุดสีดำพร้อมกับผ้าคลุมศีรษะสีดำสลับขาว อีกทั้งยังห้อบสร้อยคอไม้กางเขนสีืทองไว้เด่นบนเครื่องแต่งกายอีกด้วย
สตรีคนนี้มิใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแม่ชีของโบสถ์คอนแสตนตินนั่นเอง
"ซิสเตอร์เอเลน!—" "ช่วยผมหน่อย— พาเขาไปห้องพักที่ว่างอยู่ที!" ลีอองที่เห็นแม่ชีเอเลนนั้นแสดงสีหน้าโล่งอกขึ้นมาชั่วขณะทว่าก็พลันขอร้องแม่นางในทันทีทันใด
"อ— ก็ได้— แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยลีออง แล้วจะให้พี่อธิบายกับหลวงพ่ออองรียังไง—" "เดี๋ยวผมอธิบายให้เองครับ!—" ทันทีที่แม่ชีเอเลนถามกลับไปนั้น ลีอองก็พลันตอบกลับในทันที ขณะที่ตัวเขสากับมิสเตอร์ดีค่อย ๆ เคลืิ่อนที่ตรงเข้าไปหาแม่ชีเอเลนซึ่งยืนตัวสั่นกังวลอยู่ตรงหน้าทางเข้าโบสถ์อยู่
"อ— อืม..— จ.. จะว่าไป—" ทว่าก่อนที่ลีอองจะก้าวขึ้นบันไดมาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ชีเอเลนนั้น เธอก็กล่าวขึ้นถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "มีคนรอเธออยู่ในโบสถ์น่ะ ลีออง—" ".. ใครเหรอครับ?" ลีอองที่ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดเดิน ซึ่งกระทำให้ทั้งมิสเตอร์ดีและแม้แต่แม่ชีเอเลนเองตกใจเล็กน้อยถึงสีหน้าที่ดูจริงจังราวดังเช่นมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
—จากท่าทางของซิสเตอร์แล้ว คงจะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอมาก่อน เพราะเธอไม่ค่อยถูกกับคนแปลกหน้าอยู๋แล้ว.. คนที่โรงเรียนเหรอ? เพื่อนเราเหรอ?.. หรือว่าจะเป็นแคลร์?.. ลีอองคิดขึ้นมาในใจของเขา ก่อนที่แม่ชีเอเลนจะตอบกลับ
"ไม่รู้เหมือนกัน.. เห็นเขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย—" "บอกเขาว่าวันหลังก็แล้วกัน ตอนนี้—" "้—เห็นบอกว่าชื่อ 'แมทธิว' น่ะ" "—!"
ในขณะที่ลีอองกำลังคิดจะปฏิเสธนั้น คำพูดของแม่ชีสาวก็ไปกระตุกอะไรบางอย่างเข้าในหัวของลีออง ซึ่งมิสเตอร์ดีที่ฟังและมองสีหน้าของลีอองอยู๋นั้น ก็รู้ชัดในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
—แมทธิว.. หรือว่าจะเป็นแมทธิวที่โฮสท์ของ 'บลูสวีด' พูดถึงตอนนั้นกัน?.. —ถ้าอย่างนั้นแล้ว แมทธิวนี่ก็เป็น.. —!
"โฮสท์..—สินะ.." มิสเตอร์ดีพูดขึ้นมาในขณะที่ลีอองกำลังคิดถึงเรื่องเดียวกันอยู๋ "อ—.. ป— เป็นไปได้สูงอยู่ครับ มิสเตอร์ดี" ลีอองตอบกลับไปในขณะที่เหงื่อเริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของเขา
"—เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง.. นายไปคุยกับมันเถอะ" "ต— แต่ว่า—!" "ถ้ามันกะมาฆ่าเราล่ะก็ เราคงตายไปแล้วล่ะ.. ฉันเชื่อว่า 'แมทธิว' นี่ คงจะมาเพื่อคุยอย่างเดียวนั่นแหละ.." มิสเตอร์ดีแลกเปลี่ยนความคิดของเขากับลีอองในขณะที่สายตาจรดมองไปยังประตูโบสถ์ด้านหลังแม่ชีเอเลน
"..ก็จริงอย่างที่พูดนะครับ" ลีอองเห็นด้วยกับการตัดสินใจของมิสเตอร์ดี
—ท.. ทั้งสองคนคุยเรื่องอะไรกันเนี่ย? แม่ชีเอเลนที่ยืนฟังอยู่นั้น ไม่เข้าใจเลยว่าทั้งสองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
"ถ้าอย่างนั้นผมฝากมิสเตอร์ดีกับซิสเตอร์ด้วยนะ" ลีอองกล่าวกับแม่ชีเอเลนขึ้นในขณะที่แม่นางกำลังครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ "อ—.. อืม.." เธอตอบกลับไปอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยทีท่าอ้ำอึง
เมื่อนั้่นนางจึงค่อย ๆ เดินลงมาจากบันไดมาหามิืสเตอร์ดี ในขณะที่ลีอองนั้นก็ค่อย ๆ ยกแขนของมิสเตอร์ดีออกจากบ่าของตน แล้วจึงเดินสวนแม่ชีเอเลน ตรงไปยังประตูทางเข้าโบสถ์อย่างเชื่องช้า ก่อนจะหยุดขาของเขาแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าทางเข้า
—แต่ว่าถ้ามันมาคุยเฉย ๆ แล้ว.. —จะคุยเรื่องอะไรกันล่ะ?. ลีอองครุ่นสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับการกระทำของชายนามแมทธิิวนี้ ทว่าตัวเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว ว่าถึงตั้งคำถามไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะหากต้องการคำตอบแล้ว เพียงแค่เข้าไปถามเองก็เป็นพอแล้ว
—ลีอองสูดลมหายใจเข้าปอดเล็กน้อยพร้อมกับหลับตาลงตั้งสมาธิให้อยู๋ในหัวของเขา —ในขณะเดียวกันที่ซิสเตอร์เอเลนก็ค่อย ๆ แบกมิสเตอร์ดีอ้อมไปเข้าโบสถ์จากทางด้านหลังแทน
"โอเค.." บัดนั้นเองลีอองก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในโบสถ์เพื่อพบกับชายปริศนา นาม 'แมทธิว'—
—เสียงร้อง —เสียงร้องของเด็กสาวดังอย่างไพเราะอ่อนหวาน เสียงดีดกีตาร์ดังคลอตามเป็นท่วงทำนองในขณะที่คีย์เสียงของหญิงสาวถูกควบคุมอย่างพอดี ผสานกันอย่างงดงาม —แม้มันอาจจะมิได้ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาโฟล์คซองทั้งมวล ทว่าสำหรับ 'เขา' แล้ว มันคือเพลงที่งดงามและโศกเศร้าที่สุดแล้วก็อาจกล่าวได้
ชายหนุ่มจรดฟังมันผ่านหูฟัง ที่เชื่อมอยู่กับเครื่องเล่นวอล์คแมนพกพาสีแดงเช่นเดียวกับสีผมของเขา ดวงตาสีฟ้าครามจรดมองขึ้นไปยังภาพของพระแม่มารีบนผนังโบสถ์ในขณะที่ตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวของโบสถ์ สีหน้าของชายหนุ่มดูปราศจากซึ่งอารมณ๋หรือปฏิกิริยาใด ๆ กับสิ่งรอบข้าง ดังเช่นว่าเสียงร้องของเด็กสาวคนนั้น กำลังสะกดวิญญาณของเขา
—ทว่าในการสะกดนั้นมืใช่การกักขังไว้ในกรง แต่ราวกับมันกำลังจูงมือของชายหนุ่มขึ้นไปหยอกเล่นบนฟ้าสวรรค์ —เป็นความฝันที่อยากทำให้ลืมความเป็นจริงไป และนั่นแหละที่ทำให้เขาเหมือนถูกสะกด สะกดมิให้ไปสุขสันต์กับความฝันของเขา —สุดท้ายความฝันก็คือความฝัน และความเป็นจริงเท่านั้นที่เป็นจริง
"แมทธิว.." "—" ชายผมสีแดงที่ได้ยินเสียงบางอย่างขัดแทรกเพลงของเขา ดวงตาก็เบิกโพลนและกลับมาซึ่งสติของเขา ก่อนจะเหลือบกลับหลังหันไปมองต้นเสียง
—เขาผู้นี้ คือ แมทธิว —และผู้เรียกขานนามเขา คือ ลีออง
แมทธิวค่อย ๆ ดึงหูฟังออก เสียงร้องของเด็กสาวค่อย ๆ จางหายไปจากหูของเขา เหลือซึ่งเพียงความเงียบงันและช่องว่างระหว่างลีอองกับแมทธิว ภายในตัวโบสถ์คอนแสตนตินแห่งนี้ —ลีอองยืนนิ่งและจรดมองแมทธิวด้วยสีหน้าอันแข็งด้าน ดูไม่เป็นมิตรและหวาดระแวงกับสิ่งรอบกายเป็นอย่างมาก ในหัวของเขาตอนนี้ กำลังคาดคำนวณว่าจะมีกับดักของศัตรูอยู่ตรงไหนบ้าง —แมทธิวในทางกลับกัน จากสีหน้าไร้อารมณ์ กลับแสยะยิ้มขึ้นมาดูเป็นมิตร ทว่าดวงตาสีฟ้านั้น แทนที่จะทำให้ดูน่าคบเป็นเพื่อนนั้นกลับดูไร้ซึ่งความน่าไว้วางใจเลยในความคิดของลีออง ด้วยความที่มันดูเป็นมิตรจนเกินไป
"มาสายนะลีออง.."
แมทธิวเป็นฝ่ายปริปากทักทายก่อน ทว่าจากคำพูดของเขานั้นสร้างความตกใจให้กับลีอองเป็นอย่างมาก —มิใช่เพียงแค่คำที่กล่าวออกมา —แต่เสียงพูดของเขานั้น ไม่ผิดแน่สำหรับลีออง —หมอนี่คือคนที่โทรหาเรา!
"จริง ๆ นายควรจะมาถึงที่นี่ตั้งแต่ห้านาทีก่อนแล้วแท้ ๆ.. ไปแวะที่ไหนมาล่ะ? โรงพยาบาลเหรอ? หรือว่าสถานีตำรวจ?.." "ฉันเดาว่าโรงพยาบาลล่ะ นายว่าไง? ถูกมั้ย?" แมทธิวพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มั่นใจ จนมันฟังดูไม่เหมือนกับคำถามแต่เป็นการบอกเล่าเสียมากกว่า ก่อนที่ตัวเขาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และมายืนประจันหน้ากับลีอองตรงทางเดินยาว
"นี่แก.. จับตาดูเรามาตลอดเลยเหรอ?.." ลีอองเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่ถูกชะตากับชายเบื้องหน้าเท่าไหร่นัก "ก็มันงานของฉันนี่ แต่ฉันว่าฉันบอกนายแล้วนะ ว่าฉันถูกส่งมาให้ดูนายน่ะ" "แต่ว่าฉันก็มีอกงานหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็คือฝ่ายมอบและประสานงานไงล่ะ—" แมทธิวพูดยาวติดต่อกันจนเริ่มฟังดูเป็นการพรรณนา
"หมายความว่าอย่างไร?" ทว่าลีอองยังคงงุนงงกับสิ่งที่แมทธิวเอ่ยออกมา "องค์กรไงล่ะ ลีออง—.. ฉันทำงานให้กับองค์กรใหญ่.. และนายก็อยู๋ในรายชื่อคนขององค์กรด้วย" แมทธิวตอบกลับทันทีทันใด
"..—หา?" ลีอองที่แม้จะพอเข้าใจขึ้นมาหนย่อยหนึ่งแล้ว ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงมีเรื่องสองเรื่องงุนงงอยู่ในหัวอยู่ "—ฉันถึงได้โทรหานายในตอนแรก และกำชับกับนายไงว่าให้พยายามซ่อนตัวเอาไว้น่ะ" แมทธิวกล่าวอธิบายพร้อมกับโยงไปถึงครั้งแรกที่ทั้งสองสนทนากันผ่านโทรศัพท์
"และพูดถึงเรื่องโทร—.. ฉันก็จำได้ด้วยเหมือนกันว่าวันนี้ฉันโทรหานาย.. แต่ดูเหมือนวันนี้จะมีคนลืมโทรศัพท์ไว้ล่ะสินะ" "อ..—" ลีอองกัดฟันดังกรอดในขณะที่เขารู้สึกได้ว่าความเป็นส่วนตัวของตนค่อย ๆ หายไปเมื่อชายคนนี้ยืนอยู่เบื้องหน้า
"ซึ่งด้วยเหตุนุั้น เลยเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาเลยล่ะ.. นาย— กับคนของแสวนเดเนเดียนั่นไปจัดการฝีมือดีขององค์กรเข้าถึงสองคนภายในไม่ถึงห้าวัน.." แมทธิวพูดเน้นย้ำคำของเขาขึ้นมาพลางนับนิ้วตามจำนวนคนที่โดนจัดการไป "วันหลังเอาโทรศัพท์ไปด้วยก็แล้วกัน จะได้ไม่ฉิบหายวายวอดแบบวันนี้อีก ลีออง" ".." ลีอองยืนเงียบหาได้โต้ตอบอะไร
แมทธิวที่เห็นปฏิกิริยาท่าทางเช่นนั้นจึงแสยะยิ้มขึ้นมาที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดต่อด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังมากขึ้นและลบรอยยิ้มบนใบหน้าของตนออกไป
"ปกติบอสคงจะสั่งให้จับนายเกษียณไปซะ ในฐานะที่ทรยศองค์กร.. แต่เห็นทีบอสจะสนใจแก เพราะหลังจากที่ฉันรายงานไป เขากลับมอบคำสั่งให้นายอีกรอบหนึ่งด้วย.." "คำสั่งเหรอ?" ลีอองที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำสีหน้างุนงงเล็กน้อย
"ฆ่านักเก็บกวาดนั่นซะ.. แล้วนายจะได้เข้าร่วมองค์กรอย่างเป็นทางการ" "หมอนั่นไว้ใจนายใช่มั้ยล่ะ? ตอนมันหลับก็เอามีดแทงมันซะ หรือจะใช้พลังแฟนธอมของนายก็ได้" "ถ้านายไม่สนใจเข้าองค์กรล่ะก็— ถ้านายทำภารกิจนี้สำเร็จะจะให้ฉันช่วยสอนวิธีเรียกแฟนธอมก็ได้นะ นายยังทำไม่ได้นี่ ใช่มั้ยล่ะ?"
คำพูดของแมทธิว ราวกับฟันเฟืองที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำและพร้อมเพรียง ในการพาลีอองไปสู่หนทางที่เขาตระเตรียมเอาไว้ โดยที่ลีอองทำเพียงนิ่งเงียบมิได้กล่าวอะไร
"นอกจากจะเป็นโอกาสแก้ตัวแล้ว ยังช่วยกำจัดนักเก็บกวาดที่ทำให้นายเกือบตายมาสองรอบด้วยนะ คิดว่าไงล่ะ ลีออง?.." "—!"
แมทธิวถามความเห็นจากลีออง ซึ่งตัวชายหนุ่มนั้นยืนเงียบ มือสั่นพรือด้วยสีหน้าตกใจ กำลังใช้ความคิดประมวลอยู่ด้วยความลังเลอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้แมทธิวพลั้งเผลอยิ้มออกมาอีกคราวหนึ่ง ซึ่งคราวนี้นั้นดูราวกับว่าเขากำลังสนุกกับสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ เหมือนกำลังเล่นของเล่นที่ตัวเองโปรดปราน
"ลังเลเหรอ?.. ฉันเข้าใจลีออง.. นายกำลังกลัวสินะ ว่าถ้านายเลือกช่วยตัวเองและหักหลังมิสเตอร์ดีนั้น มันจะถูกแล้วรึเปล่าใช่มั้ยล่ะ?" "ไม่ใช่ซะหน่อ—" "ไม่ต้องโกหกหรอก ลีออง ดวงตาของนาย เหงื่อของนาย แม้แต่ร่างกายที่กำลังสั่นพรือของนายนั่นมันฟ้องอยู่" แมทธิวพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรและน่าไว้ใจ ต่างจากสีหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัดเจน
"นายต้องมาซวยกับเรื่องที่ไม่ควรจะซวยด้วย นักเก็บกวาดนั่นอาจจะช่วยชีวิตนายไว้ก็จริง แต่ถ้ามันไม่ได้ลากนายมาตั้งแต่แรก ป่านนี้นายคงจะอยู่สบายแล้วจริงมั้ยล่ะ?.." "อย่าให้ชีวิตของนายต้องมาถูกรั้งเอาไว้โดยใครคนหนึ่ง ลีออง.. เอาตัวปัญหาออกไปซะ"
คำพูดหว่านล้อม ที่แรกเริ่มดูไม่มีทางจะทำใครคล้อยตามได้ บัดนี้มันกลับดูทรงพลังขึ้นอย่างน่าประหลาด แม้แต่สำหรับแมทธิวเอง ตัวเขายังงุนงงเลยว่าอะไรทำให้ลีอองเกิดไขว้เขวในความคิดได้
—ทีนี้ก็เหลือทีเด็ดสุดท้าย "นายเชื่อใจฉันได้ลีออง.. เพราะฉันก็เหมือนกับนายไงล่ะ" แมทธิวแสยะยิ้มขึ้นมาดังเช่นว่าเขาได้กุมชัยชนะเสียแล้ว
บัดนั้นเองก็มีบางอย่างปรากฏขึ้นมาด้านหลังแมทธิว —ลูกบอลขนาดยักษ์สีเขียวอมดำ พื้นผิวของมันดูราวกับแผ่นอะไหล่เหล็กนำมาประกอบรวมกัน มืหนำซ้ำยังมีดวงตาและปากราวกับกำลังลอกเลียนมนุษย์อีกด้วย ซึ่งในขณะนี้มันกำลังยิ้มอยู่เช่นเดียวกับแมทธิว ในขณะที่ตัวมันเองกำลังลอยอยู๋บนอากาศเหนือหัวชายผมสีแดง
".. นั่นมัน..—"
ลีอองที่เห็นลูกเหล็กขนาดยักษ์นั้น ดวงตาก็เบิกโพลนด้วยความตกใจ ท่าสทางราวกับพึ่งดึงสติของตนกลับมาได้ ซึ่งนั่นสร้างความตกใจให้กับแมทธิวเล็กน้อย ทว่าเขาก็ตามน้ำไปด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เพื่อหว่านล้อมชายคนนี้ต่อ
—ในกรณีนี้ เราต้องพูดความจริง เพราะเป็นไปได้สูงว่าหมอนั่นจะรู้อยู๋แล้ว "แฟนธอมของฉันเอง.. แกรนด์มาเธอร์" "—!" แมทธิวตอบกลับไปอย่างสัตย์จริง ซึ่งคำพูดนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดกลับกระทำให้ตัวลีอองแข็งทื่อไปเลย
—แกรนด์มาเธอร์.. —รูปทรงนั่นไม่ผิดแน่ ถึงขนาดกับสีจะไม่เหมือนกันแต่ไม่ผิดแน่.. —หมอนี่.. แมทธิวเป็นโฮสท์ของมัน หมอนี่.. ไม่ผิดแน่ —มันฆ่าปีแอร์ กู้ดวิล.. พี่ชายของแคลร์!
"นี่.. แมทธิว.." สีหน้าของลีอองเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดกซึ่งเหนือความคาดหมายของแมทธิวเป็นอย่างมาก จากทีท่าที่เขาคาดว่าลีอองจะลังเลอยู่นั้น กลับดูนิ่งเงียบ และใจเย็นอย่างน่าหวาดผวา "แกรนด์มาเธอร์นี่.. ทำอะไรได้เหรอ?.." แมทธิวที่ได้ยินคำถามนั้น รอยยิ้มก็หุบลง และสีหน้าจากความสนุกกลายเป็นความเครียดและลังเลในฉับพลัน แม้จะลังเลเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถสังเกตได้ว่าบัดนี้ เกมมิได้อยู่บนมือของแมทธิวเพียงผู้เดียวอีกแล้ว
—หมอนี่.. กำลังพยายามหลอกเอาข้อมูลจากเรา! —ไม่ผิดแน่! เราเดาไม่ผิดแน่! นี่เป็นกับดัก! แมทธิวคิดขึ้นมาในใจ ขณะที่ลีอองรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
"แล้วนายคิดว่าไงล่ะ? กับคำสั่งนี้น่ะ.." แมทธิวเปลี่ยนเรื่อง หลบจากกับดักที่ลีอองวางเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว "..ที่นายพูดถึงน่ะเหรอ? เกี่ยวกับให้ผมไปฆ่านักเก็บกวาดนั่นน่ะเหรอ?.." "ใช่ ๆๆ.. ฉันอยากฟังความคิดของนายน่ะ.." แมทธิวตอบรับคำถามของลีออง ลีอองที่ได้ยินเช่นนั้นก็สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างใจเย็นแล้วตอบกลับไป
"ถ้าอย่างนั้นแล้วผมก็ต้องขอบอกเลยว่ามันดูเยี่ยมมากเลยล่ะ.." "นอกจากปัญหาของผมจะหมดไปแล้ว ยังดูจะได้งานพิเศษมาทำเพิ่มนอกจากที่โบสถ์นี้ด้วย" "แถมยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังประหลาดนี่ที่ผมได้รับอีก.. มีแต่ได้กับได้เลยล่ะสำหรับผม.."
"ใช่มั้ยล่ะ—" "แต่ว่า—!" "—!"
—บัดนั้นเองที่ลีอองได้ตอบกลับตามหัวใจของเขา เขาได้ทำการตัดสินใจอย่างลูกผู้ชาย โดยไม่สนใจถึงผลที่ตามมาใด ๆ เพียงแค่ตอบกลับตามที่หัวใจของเขาได้กู่ร้องออกมาก็เท่านั้น!
"ผมขอปฏิเสธ"การตัดสินใจของลีอองนั้นจะทำให้เกิดอะไรขึ้นกัน? และองค์กรที่ว่าจะคิดเห็นเช่นไร? >>TO BE CONTINUED
|
|