|
Post by wildrose on Jun 28, 2018 13:50:23 GMT
Intro : เพื่อนใหม่
- กลางทะเลทราย Sograt Desert -
Sograt Desert เป็นทะเลทรายซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของ Prontera มันเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่และร้อนระอุเพราะแสงแดดที่แผดเผาอย่างรุนแรงในช่วงกลางวัน จากนั้นอากาศก็เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งเมื่อยามราตรีมาถึง หลายๆคนจึงคิดว่าทะเลทราย Sograt Desert แห่งนี้น่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลยเพราะสภาพภูมิอากาศที่โหดร้ายเช่นนี้แต่พวกเขานั้นคิดผิด
กลางทะเลทรายแห่งนี้เป็นที่ตั้งของเมืองซึ่งมีชื่อว่า Morroc มันเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันของตลาดขายของหายากในยามกลางวันและยังเป็นเมืองที่สุดแสนพิศวงรวมทั้งยังอันตรายในยามราตรี ผู้คนมากมายหลายแบบถูกนำมารวมกับตัวกันอยู่ที่นี้ 1 ใน 3 นั้นเป็นพ่อค้าซึ่งมารับซื้อของจากนักผจญภัยและที่เหลืออีกกว่าครึ่งนั้นก็เป็นนักผจญภัยซึ่งมาแสวงโชคยังเมืองอย่างนี้
ด้านนอกเมืองไม่ไกลนักเป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ซึ่งมี Monster ต่างๆมากมาย ทั้งที่เป็นมิตรและเป็นศัตรูแต่ที่พิเศษกว่าหน่อยซึ่งในตอนนี้มี Novice คนหนึ่งกำลังพบกับความยากลำบากท่ามกลางทะเลทราย เขาเดินทางรอนแรมในทะเลทราย Sograt Desert มากกว่า 5 วันแล้วเสบียงอาหารแล้วน้ำของเขาก็หมดลงและตอนนี้ร่างกายของเขาก็กำลังถึงขีดจำกัด
“อ่า…...หิวน้ำจังเลย…..เนี่ยผมกำลังจะต้องมาตายในที่แบบนี้แล้วเหรอ ? ไม่นะ !!” Novice คนนั้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและร่างกายที่อ่อนแรง เขาไม่ได้ดื่มน้ำมากกว่า 12 ชั่วโมงแล้วท่ามกลางทะเลทรายและไม่ได้ทานอาหารมากกว่า 2 วันอีกไม่นานถ้าหากว่าเขายังไม่ถึงเมือง Morroc เขาก็จะต้องตาย
“อ่า….ไม่ไหวแล้ว…..” Novice หนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าโรยแรงดวงตาของเขานั้นจ้องมองไปยังทะเลทรายเบื้องหน้าด้วยความผิดหวังดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถไปถึงเมือง Morroc ซึ่งเป็นจุดหมายของเขาได้สติของเขานั้นดับวูบลงในทันที
- ที่โรงแรมแห่งหนึ่งภายในเมือง Morroc -
Novice หนุ่มฟื้นขึ้นมาหลังจากที่เขาสลบไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เขารีบมองไปรอบตัวทันทีที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา ที่นี่เป็นโรงแรมซึ่งอยู่ภายในเมือง Morroc เขาสามารถรู้สึกได้ถึงอากาศที่ร้อนระอุจากภายในห้องแต่อย่างน้อยมันก็ยังเย็นกว่ากลางทะเลทรายมากมายหนัก ห้องของโรงแรมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากไม้และเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดซึ่งอยู่ภายในห้องนี้ก็ทำจากไม้ มันเป็นไม้สีน้ำตาลแดงซึ่งน่าจะนำเข้ามาจากเมืองในแถบที่มีความชุ่มชื่นอย่าง Payon เพราะว่าที่เมือง Morroc ซึ่งอยู่กลางทะเลทรายแบบนี้น่าจะไม่มีต้นไม้ยืนต้นขึ้นแน่ๆ ผ้าปูที่นอนสีขาวถูกปูอยู่บนเตียงซึ่งเขากำลังนอนอยู่ มันเป็นที่นอนที่ให้ความรู้สึกนุ่มสบายมันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่ได้รู้สึกมานาน
“ไง !! ตื่นแล้วสินะ !! นายสลบไปตั้ง 2 วันฉันเจอนายนอนอยู่กลางทะเลทรายนอกเมือง Morroc นายเกือบจะตายไปแล้วนะรู้ไหม ? นายชื่ออะไร ?” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งฟังดูห้าวและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจกล่าวขึ้นกับ Novice หนุ่ม ทำให้ Novice หนุ่มคนนั้นต้องหันกลับไปมองทางต้นเสียงของเธอทันที
เธอเป็นนักเวทย์สาวคนหนึ่งซึ่งมีร่างกายกำยำล่ำสัน ส่วนสูงของเธออยู่ที่ประมาณ 180 cm น่าจะได้ แต่ว่าตามตัวของเธอนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ดูแล้วเธอน่าจะเป็นนักรบมากกว่าที่จะเป็นจอมเวทย์เสียด้วยซ้ำ เธอมีเส้นผมที่มีสีดำสนิท และดวงตาที่ดูดุดัน นัยน์ตาของเธอนั้นก็มีสีดำสนิทเช่นกัน เธอรวบผมเอาไว้ด้านหลังด้วยทรงโพนี่เทล เส้นผมของเธอนั้นแข็งและรวบตัวกันเป็นมัดๆทำให้เธอดูเป็นคนที่กระฉับกระเฉงและเปี่ยมไปด้วยพลัง ผิวของเธอนั้นมีสีน้ำตาลอ่อนดูสุขภาพดี เธอกำลังยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับชายหนุ่มซึ่งเธอได้ช่วยเหลือกลางทะเลทราย รอยยิ้มของเธอนั้นดูอ่อนโยนผิดกับร่างกายที่แข็งแกร่งของเธอ
“ผมชื่อ ลักอ็องเซียล เรียกว่า ลักค์ ก็ได้….ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมไว้” ลักค์กล่าวขอบคุณจอมเวทย์สาวผู้มีร่างกายกำยำล่ำสันซึ่งเป็นผู้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ด้วยท่าทางที่สุภาพ ท่าทางของเขานั้นทำให้จอมเวทย์สาวคนนั้นยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตรและหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวว่า
“เป็นธรรมดาพวกเราเป็นนักผจญภัยเหมือนกันก็ต้องช่วยกันสิ !! ฉันมีชื่อว่า เเคลอลี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เเคโรลี่ แนะนำตัวเองด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉงและร่าเริงท่าทางของเธอนั้นทำให้ลักค์รู้สึกได้ถึงความคล้ายคลึงกับเพื่อนของเขาคนหนึ่งซึ่งก็คือบล็อกโคลี่นั่นเอง
“คุณแคลอรี่สินะครับยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณนี่คล้ายกับคนๆนึงที่ผมรู้จักเลย เขาเป็นคนที่ดีมากๆเลยล่ะครับผมยินดีที่ได้พบคุณนะ” ลักค์กล่าวขึ้นกับแคลอรี่ด้วยท่าทางที่เป็นมิตรแคลอรี่นั้นยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูร่าเริงก่อนที่จะกล่าวแซวลักค์ว่า
“ฉันเหมือนกับคนที่นายรู้จักงั้นหรอ ? ถ้านี่เป็นมุขจีบสาวล่ะก็นายสอบตกนะ ฮ่ะๆๆ” เธอกล่าวและหัวเราะออกมาอย่างเป็นกันเองและร่าเริง ท่าทางของเธอนั้นอดทำให้ลักค์หัวเราะตามไม่ได้ แม้พวกเขาเพิ่งจะได้พบกันครั้งแรกแต่ท่าทางของพวกเขานั้นเหมือนกับว่าได้เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนแล้ว
“ลักค์ แล้วนายมาทำอะไรที่เมือง Morroc นี่ล่ะถ้าไม่รังเกียจแล้วก็บอกฉันได้นะฉันอาจจะช่วยเหลือนายได้” แคลอรี่กล่าวถามลักค์ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและจริงใจ คำถามของเธอนั้นทำให้ลักค์ได้นึกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เขาได้เดินทางมาเมือง Morroc แห่งนี้
“จริงด้วยสิ !! ผมเดินทางมาเพื่อแสวงบุญเพื่อที่จะเปลี่ยนเป็นอาชีพนักบวชไม่ทราบว่าคุณแคลอรี่พอจะรู้ไหมครับว่าแม่ชี Mathilda ท่านอยู่ที่ไหน ? ผมจำเป็นที่จะต้องไปพบท่าน” ลักค์กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นเพราะนั่นคือจุดประสงค์หลักที่เขาเดินทางมาที่เมืองแห่งนี้ แคลอรี่เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเองก่อนจะกล่าวว่า
“อ้อ !! แม่ชี Mathilda ฉันรู้จักสิเธอแสวงบุญอยู่นอกเมือง Morroc บางครั้งเธอก็จะเข้ามาซื้อของภายในเมืองนะมีหลายคนมาหานางเพื่อที่จะทำภารกิจเปลี่ยนอาชีพ ถ้ายังไงพวกเราไปหานางกันไหม ? ฉันจะนำทางให้นายเอง” คำกล่าวของแคลอรี่ทำให้ลักค์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาตอบตกลงคำชวนของเธอแทบจะทันทีหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ได้ออกจากโรงแรมเพื่อตรงไปยังทะเลทรายด้านนอกเมือง Morroc
- ระหว่างทางกลางทะเลทราย -
ลักค์และแคลอรีเดินเท้าออกจากเมือง Morroc เพื่อที่จะไปยังที่พักกลางทะเลทรายของแม่ชี Mathilda เนื่องจากว่าที่พักของเธอนั้นอยู่ไม่ไกลจากเมืองนัก อีกทั้ง Pecopeco ซึ่งลักค์เช่ามาได้หมดระยะเวลาการเช่ายืมไปเรียบร้อยแล้ว แคลอรี่ได้นำมันกลับไปคืนซึ่งจุดรับคืนที่เมือง Morroc ระหว่างทางที่เดินไปนั้นแคลอรี่ได้ชวนลักค์พูดคุยขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องๆหนึ่งซึ่งเธออยากรู้
“ขอโทษนะ !! ขอถามอะไรแปลกๆหน่อย ลักค์นายเป็นคนของโลกใบนี้ใช่ไหม ? หรือว่าไม่ใช่ ?” แคลอรี่ถามขึ้นมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น ลักค์เมื่อเห็นเธอถามเช่นนั้นเขาก็ตอบไปด้วยท่าทางที่ตรงไปตรงมาว่า
“ผมไม่ใช่คนของโลกใบนี้หรอกครับ ผมถูกอัญเชิญมาที่โลกแห่งนี้ด้วยฝีมือของใครบางคน และแน่นอนว่าผมไม่มีความทรงจำ คุณแคลอรี่เองก็ไม่ใช่คนของโลกใบนี้ใช่ไหมครับถึงได้ถามผมแบบนี้” ลักค์นั้นสามารถเดาได้อย่างถูกต้อง แคลอรี่เธอไม่ใช่คนของโลกใบนี้เช่นเดียวกับเขา แต่ดูเหมือนว่าความทรงจำของเธอนั้นจะถูกลบไปไม่หมด เธอจึงเล่าต่อไปว่า
“นายไม่มีความทรงจำอะไรเลยสินะ …. แต่ว่าดูเหมือนฉันจะยังไม่ได้ถูกลบความทรงจำไปทั้งหมด ฉันจำได้ว่าฉันมีพี่ชายคนนึง และเขาก็ถูกส่งมาที่โลกนี้แบบเดียวกันกับที่ฉันถูกส่งมา ฉันอยากจะพบเขาฉันก็เลยออกตามหาไปด้วยระหว่างที่ผจญภัย ฉันอยากจะพบกับเขาอีกครั้ง” แคลอรี่กล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ดูหงอยเหงาและโหยหาในอะไรบางอย่าง เมื่อได้ยินเธอกล่าวเช่นนั้นลักค์ก็รู้สึกสงสารและอยากจะช่วยเหลือเธอเขาจึงถามไปว่า
“แล้วพี่ชายของคุณแคลอรี่เป็นคนแบบไหนหรือครับพอจะจำได้ไหม ?” ลักค์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยแต่ความรู้สึกของเขานั้นบอกว่าแคลอรี่ เธอช่างมีความละม้ายคล้ายคลึงกับบล็อกโคลี่อย่างบอกไม่ถูก ถ้าหากว่าเรื่องบังเอิญหรือว่าปาฏิหาริย์มีอยู่จริงในโลกใบนี้บางทีสองคนนี้อาจจะ ……
“ฉันเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเขาเป็นคนแบบไหน แต่ฉันรู้แค่ว่าฉันมีพี่ชายและเขาก็มาอยู่ที่โลกใบนี้ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างแบบเดียวกับที่ฉันมา ขอโทษนะ ที่ฟังดูเลื่อนลอยแต่ฉันมีข้อมูลแค่นี้จริงๆ” แคลอรี่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดหวังเล็กๆที่ไม่สามารถจะให้คำตอบกับลักค์ได้ ลักค์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและเป็นมิตรจากนั้นก็กล่าวตอบเธอกลับไปว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับผมหวังว่าสักวันหนึ่งคุณ แคลอรี่จะได้พบกับคนที่คุณตามหาอยู่อย่างแน่นอน” แคลอรี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา ในน้ำเสียงหัวเราะของเธอนั้นฟังได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการกลบเกลื่อน จริงๆแล้วเธอกำลังดีใจเธอคงอยากจะให้มีใครสักคนพูดกับเธอแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
“ฮ่ะๆๆๆ ขอบใจนะ เอาล่ะ !! ถึงแล้วที่ซากปรักหักพังด้านหน้านี้เป็นที่พำนักชั่วคราวของแม่ชี Mathilda เธอมาแสวงบุญที่นี่เป็นนานแล้ว และมีคนมาหาเธอบ่อยครั้ง นายเข้าไปพบเธอเถอะ ถ้าหากว่าเป็นคนที่มาแสวงบุญเธอจะยินดีต้อนรับ แต่ถ้าหากว่าเป็นคนแปลกหน้าอย่างฉันเธอมักจะไม่ค่อยคุยด้วย ฉันมาส่งนายได้แค่นี้แหละ ฉันจะรออยู่ตรงนี้นะนายเข้าไปคุยธุระเถอะ” แคลอรี่ชี้นิ้วไปทางซากปรักหักพังซึ่งน่าจะเป็นซากของวิหารหรือโบสถ์เก่าๆด้านหน้าของพวกเขา ที่นั่นมีสภาพทรุดโทรมแต่ก็ยังพอใช้เป็นที่หลบลมและแดดได้ ลักค์พยักหน้าเบาๆก่อนที่จะเดินเข้าไปยังซากวิหารซึ่งชำรุดทรุดโทรมแห่งนั้น แคลอรี่มองตามหลังเขาไปด้วยแววตาที่เป็นมิตร ก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นเบาๆในลำคอว่า
“พยายามเข้านะเพื่อนคนแรกในโลกใบนี้ของฉัน”........
to be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jun 28, 2018 14:06:30 GMT
Ragnarok World : Secret of Memory เรื่องนี้เป็นภาคต่อของ Ragnarok World : Little Legend นะ ถ้าหากว่าใครอยากอ่านภาคแรกสามารถหาได้ในหมวด Completed Fiction หรือ Click เลย !!
|
|
|
Post by wildrose on Jun 30, 2018 15:49:13 GMT
EP.1 ก้าวแรก ลักค์ค่อยๆเดินเข้าไปยังซากปรักหักพังซึ่งเป็นที่พำนักของแม่ชี Mathilda ถึงแม้ว่าด้านนอกนั้นจะเหมือนกับเป็นวิหารที่ดูทรุดโทรมไปตามกาลเวลาและขาดการดูแล แต่ด้านในนั้นดูเหมือนว่าวิหารแห่งนี้ค่อนข้างที่จะอยู่ในสภาพสะอาดสะอ้านและดีมากพอที่จะเป็นที่พำนักชั่วคราวได้
Mathilda “สวัสดีเจ้าชายหนุ่มผู้มาเยือน เจ้ามีธุระอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ ?” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งฟังดูใจเย็นและสุขุมรอบคอบกล่าวขึ้นแทนคำทักทายและการต้อนรับแก่ลักค์ ลักค์หันไปมองทางต้นเสียงทันทีเขาก็พบกับนักบวชหญิงคนหนึ่งซึ่งท่าทางดูใจดีและเป็นมิตร เธอเป็นหญิงสาวซึ่งน่าจะมีอายุไม่ถึง 30 ปีรูปร่างและวัยของเธอทำให้ลักค์รู้สึกแปลกใจพอสมควรเพราะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักแสวงบุญเขาคิดว่าจะต้องได้มาพบกับแม่ชีแก่ๆที่เคร่งครัดในศาสนาซะอีก“เป็นอะไรไปหรือจ๊ะพ่อหนุ่ม ? เจ้ามีธุระอะไรกับข้าถ้าเจ้าไม่พูดแล้วข้าจะรู้ไหม ?” แม่ชี Mathilda ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆลักค์ จนเธอนั้นเหลือบไปเห็นจดหมายแนะนำตัวซึ่งเขาได้มาจากโบสถ์ที่เมือง Prontera เขาถือมันไว้ในมือตลอดที่เดินเข้ามายังที่พำนักของเธอ จดหมายฉบับนั้นทำให้แม่ชี Mathilda เข้าใจได้อย่างทันทีว่าลักค์มีธุระอะไรกับเธอ“นั่นจดหมายแนะนำตัวนี่นา !! นายอยากจะเป็นนักบวชหรอถึงได้มาที่นี่ ? ฮ่ะๆๆ ถ้าอย่างนั้นก็ได้บอกแต่แรกสิ” เธอหัวเราะออกมาเบาๆและยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะค่อยๆเดินและไปหยุดอยู่ตรงหน้าของลักค์ ท่าทางร่าเริงสดใสและกระฉับกระเฉงเหมือนกับเด็กสาวทั่วๆไปนั้น ทำให้เธอไม่เหมือนกับแม่ชีผู้แสวงบุญเลยแม้แต่น้อย แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่ในเมื่อนี่คือความจริงลักค์ก็จำเป็นต้องทำตามภารกิจต่อไป“อ่า….ใช่แล้วล่ะครับ ! ผมต้องการจะเปลี่ยนอาชีพเป็นนักบวชผมก็เลยเดินทางมาจาก Prontera นี่ครับจดหมายแนะนำตัว” ลักค์ยื่นจดหมายแนะนำตัวซึ่งถูกผนึกอยู่ภายในซองสีขาวและตราด้วยครั่งสีแดงส่งให้กับแม่ชี Mathilda เธอรับจดหมายแนะนำตัวไปด้วยท่าทางที่กระตือรือร้นก่อนที่จะเปิดผนึกมันออก เธอแทบจะไม่ได้อ่านเนื้อหาในจดหมายเลยเพราะว่ามันถูกเขียนขึ้นมาด้วยข้อความที่ซ้ำๆกันและดูเหมือนว่าเธอจะได้มันมาหลายร้อยฉบับแล้ว เธอหยิบตราประจำตัวของเธอขึ้นมาก่อนที่จะประทับลงบนจดหมายและพับมันลงใส่ซองตามเดิม ก่อนจะยื่นมันส่งคืนให้กับลักค์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม“ยินดีด้วยนะการมาแสวงบุญของนายสิ้นสุดลงแล้ว ขอให้นำจดหมายฉบับนี้กลับไปที่โบสถ์ของเมือง Prontera พวกเขาก็จะเปลี่ยนอาชีพให้นายเป็นนักบวชได้แล้วล่ะ แล้วก็กว่านายจะเดินทางมาถึงที่นี่ก็คงจะลำบากน่าดูสินะ ฉันมีทักษะในการเปิดประตูวาปเพื่อพานายกลับไปยังหน้าโบสถ์เมือง Prontera ถ้านายอยากที่จะเดินทางกลับและวิธีนี้ก็บอกได้เลยนะ แต่ว่าจะมีนาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่ไปได้คนอื่นที่ไม่ใช่ผู้แสวงบุญจะไม่สามารถเข้าไปในประตูมิตินี้ได้นายจะไปไหม ?” แม่ชี Mathilda กล่าวเสนอที่จะเปิดประตูวาปเพื่อพาลักค์กลับไปยัง Prontera มันเป็นข้อเสนอที่ดีมากทีเดียวจากการที่ลักค์ต้องเดินทางข้ามทะเลทรายกว่าจะมาถึงเมือง Morroc แห่งนี้ได้ก็ทำให้เขาต้องเสียเวลามากมาย การได้เดินทางกลับที่ประหยัดทั้งเวลา แรง และเงินทองแบบนี้เป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธ แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าแคลอรี่กำลังรอเขาอยู่ที่ด้านนอกของตัววิหาร อย่างน้อยก่อนที่เขาจะกลับไปเขาอยากจะกล่าวลาเธอและขอบคุณเธอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้ช่วยเหลือเขา“ผมมีเพื่อนคนนึงที่คอยอยู่ด้านนอกวิหาร ผมขอไปลาเขาก่อนจะได้ไหมครับไม่นานหรอกแล้วผมจะกลับมา” ลักค์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแต่ภายในน้ำเสียงของเขานั้นกลับแฝงไปด้วยความเสียใจอยู่ลึกๆ บางทีในใจของเขานั้นอาจจะคิดว่านี่ช่างเป็นมิตรภาพที่แสนสั้นเสียเหลือเกิน แม่ชี Mathilda เมื่อเห็นท่าทางของเขาก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและพยักหน้าเป็นการตอบรับ ลักค์จึงเดินหันหลังกลับออกไปด้านนอกของวิหารเพื่อที่จะพบกับแคลอรี่ซึ่งน่าจะคอยเขาอยู่ด้านนอกลักค์เดินออกมาจนมาถึงจุดที่แคลอรี่ยืนอยู่ เธอยังคงยืนคอยเขาอยู่และเมื่อเธอเห็นเขาเธอก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่ร่าเริงก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วและกล่าวถามอย่างกระตือรือร้นว่า “เป็นยังไงบ้างได้พบกับแม่ชี Mathilda ไหม ?” เมื่อได้ยินแคลอรี่กล่าวถามขึ้นมาเช่นนั้น ลักค์ก็มีสีหน้าที่ดูหดหู่เล็กน้อยก่อนที่จะตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่มันแฝงไปด้วยความรู้สึกต่างๆมากมายว่า“ได้พบมาแล้วล่ะครับ ผมต้องขอบคุณ คุณแคลอรี่จริงๆแล้วก็ แม่ชี Mathilda บอกกับผมว่า เธอสามารถที่จะวาปพาผมกลับไป Prontera ได้ครับ แต่ว่ามีแค่ผมเท่านั้นที่จะไปได้เพียงแค่คนเดียว ผมก็เลย...” ลักค์พยายามที่จะอธิบายถึงสิ่งที่เขากำลังจะทำให้กับแคลอรี่ได้ฟัง แคลอรี่เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ตอบเขากลับไปทันทีด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและเป็นมิตรวา“อย่างนั้นหรอเนี่ย !! ดีใจด้วยนะลักค์นายไปเถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก โลกใบนี้กลมจะตายถ้าเรามีวาสนาจะต้องได้เจอกัน เดี๋ยวเราก็จะต้องได้พบกันอีกแน่” แคลอรี่กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร่าเริงแต่ภายในใจของเธอนั้นค่อนข้างที่จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพราะว่าเธอนั้นไม่ค่อยจะมีเพื่อนในโลกใบนี้เลยเนื่องจากว่าร่างกายของเธอนั้นมีความบึกบึนกำยำมากกว่าผู้หญิงปกติทั่วไปทำให้เธอนั้นดูค่อนข้างจะเป็นที่น่ากลัวน่าเกรงขามของคนรอบข้าง การที่เธอมาเลือกอาชีพเป็นนักเวทย์เพราะว่าเธอต้องการที่จะเป็นตัวสนับสนุนที่ดีของทีมและหวังว่าจะมีปาร์ตี้สักปาร์ตี้หนึ่งที่เธอสามารถจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยของพวกเขาได้ ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นจะไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลยก็ตาม“อย่างนั้นหรอครับ ? ถ้าอย่างนั้นผมขอขอบคุณมากนะครับ อย่างน้อยขอให้ผมได้จ่ายค่าโรงแรมและยารักษาตลอด 2 วันที่ผมยังสลบอยู่ด้วยเถอะ อย่างน้อยจะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน” ลักค์พูดดังนั้นแล้วก็เอื้อมมือลงไปในกระเป๋าสัมภาระของเขา โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเงินของเขานั้นเหลือค่อนข้างจะน้อยแล้ว ถ้าหากว่าเขาจ่ายค่าโรงแรมและค่ายารักษาไปเขาก็จะไม่มีเงินพอที่แม้แต่กระทั่งจะไปรับภารกิจจาก Eden Group เลย“ไม่เป็นไรหรอก !! เงินนั่นฉันจะให้นายยืมไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าหากเราเจอกันคราวหน้านายต้องใช้คืนฉันนะ สัญญานะ ลักอ็องเซียล….” แคลอรี่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงและอ่อนโยน ถ้าหากว่าร่างกายของเธอทำให้เธอดูน่ากลัวคงจะเป็นเรื่องน่าผิดหวังจริงๆ เพราะว่าจิตใจของเธอภายในนั้นช่างงดงามและอ่อนโยนเสียเหลือเกินลักค์กล่าวร่ำลาแกลอรี่เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปยังวิหาร แม่ชี Mathilda ได้เปิดประตูมิติเพื่อพาเขากลับไปยังเมือง Prontera โดยสวัสดิภาพ และทันทีที่เขาไปถึงเมืองเขาก็ตรงไปยังโบสถ์เพื่อเปลี่ยนอาชีพเป็นนักบวชทันที ก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ของการผจญภัยของเขาได้เริ่มต้นขึ้นถึงแม้ว่ามันอาจจะช้ากว่าคนอื่นไปบ้าง แต่เขาเชื่อว่านี่น่าจะเป็นก้าวที่มั่นคงสำหรับการผจญภัยอันยาวนานของเขาในอนาคต - Alberta - Alberta เป็นเมืองท่าเรือแหล่งการค้าสำคัญทางทะเลซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของ Prontera เมืองๆนี้เต็มไปด้วยพ่อค้ามากมายและความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งด้านเงินทอง มันเป็นที่ตั้งของสมาคมพ่อค้าซึ่งมีหน้าที่ซื้อขายกำหนดราคาและกระจายสินค้าไปยังทั่วอาณาจักร แต่ถึงแม้จะเป็นเมืองที่มั่งคั่งขนาดไหนเมืองแห่งนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม บ้านเมืองที่เป็นระเบียบเรียบร้อย และความสงบสุขซึ่งเป็นผู้คนภายในเมืองนี้ รักเมืองนี้มากเพราะมันเป็นเมืองที่ลงตัวทั้งเงินทองและสภาพแวดล้อม แต่ว่าบางครั้งในความสงบนั้นก็มักจะมีความวุ่นวายเล็กๆหลบซ่อนตัวอยู่เสมอ และนี่ก็เป็นหนึ่งในความวุ่นวายภายในเมืองแสนเงียบสงบที่มีชื่อว่า Alberta“หนอย !! ยัยแมวขโมย วันนี้ล่ะชั้นจะจับแกให้ได้ !!” อัศวินหนุ่มคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหเดือดดาล สายตาของเขานั้นจับจ้องไปยังสาวน้อยคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนมองเขาอยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งด้วยท่าทางที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร “กี่ครั้งแล้ว !! ที่แกมาแย่งเก็บไอเทมที่ตกจาก monster ในปาร์ตี้ของชั้นมันสนุกนักหรือไง !! การขโมยของคนอื่นน่ะ วันนี้ชั้นจะต้องจับตัวแกไปส่งทหารยามให้ได้ !!” อัศวินหนุ่มคนนั้นกล่าวถึงวีรกรรมของสาวน้อยผู้ยืนอยู่บนหลังคาด้วยน้ำเสียงที่โมโหโกรธา แต่ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนั้นจะไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย เธอได้แต่แลบลิ้นเล็กๆสีชมพูของเธอออกมานอกริมฝีปากราวกับจะเย้ยหยันการกระทำของเขาซึ่งอยู่เบื้องหลัง“ฉันไม่ได้แย่งเก็บของจากปาร์ตี้ของนายสักหน่อย !! พวกนายต่างหากที่ทิ้งไอเทมให้ตกเรี่ยราดไม่ยอมเก็บจนมีคนอื่นมาเก็บไปแล้วก็มาอ้างนู่นอ้างนี่ นายเคยพูดว่าจะจับฉันให้ได้มาเป็นสิบครั้งแล้วถ้าแน่จริงแล้วก็จับให้ได้สิ !!“ สาวน้อยเมื่อพูดจบเธอก็ออกวิ่งด้านบนหลังคาเพื่อหลบหนีการจับกุมทันที ฝีเท้าของเธอนั้นรวดเร็วมากอีกทั้งยังเงียบสมแล้วกับที่เธอมีอาชีพเป็นโจรซึ่งจัดได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความรวดเร็วสูงสุดภายในบรรดาอาชีพทั้งหมดที่นักผจญภัยสามารถจะเป็นได้เธอเป็นสาวน้อยที่มีอายุประมาณ 17 ปีรูปร่างของเธอนั้นเล็กและบอบบางแต่ดูกระฉับกระเฉง ส่วนสูงของเธออยู่ที่ 160 เซนติเมตร เธอมีผิวที่เรียบเนียนขาวสะอาดราวกับหิมะ เส้นผมสีทองแกมน้ำตาลอ่อนของเธอนั้นพริ้วไสวไปกับสายลม เธอไว้ผมยาวจนถึงกลางหลังและมัดเป็นไฮทรงทวินเทลเอาไว้ทำให้เธอดูเป็นคนที่ซุกซนและปราดเปรียว ดวงตากลมเรียวของเธอนั้นดูเฉียบคมและมุ่งมั่น นัยน์ตาของเธอเป็นสีฟ้าครามน้ำทะเลที่เป็นประกายสดใสดูน่าหลงใหลราวกับสีสันของห้วงมหาสมุทร เธอวิ่งไปบนหลังคาบ้านระยะหนึ่ง เธอก็สามารถที่จะสลัดอัศวินหนุ่มซึ่งติดตามไล่จับเธอได้อย่างไม่ยากเย็น การหลบหนีจากคนที่ไม่ชอบใจการกระทำของเธอดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอไปเสียแล้ว เธอนั้นถูกผู้คนบางกลุ่มภายในเมืองแห่งนี้และอีกหลายๆที่รังเกียจเอาเนื่องจากว่าพฤติกรรมของเธอนั้นค่อนข้างที่จะแย่ เธอมักจะเข้าไปโจมตีมอนสเตอร์ซึ่งกำลังต่อสู้กับนักผจญภัยคนอื่นอยู่และเมื่อมอนสเตอร์นั้นถูกกำจัดลงไอเทมที่ตกลงมาเธอก็มักจะเป็นคนที่ฉกฉวยและเก็บมันไป การกระทำแบบนี้เป็นที่รังเกียจเหมือนกับเป็นการแย่งผลงานจากผู้อื่น ส่วนมากแล้วนักผจญภัยมักจะไม่ทำกันแต่ถ้านับถึงผลลัพธ์ของการกระทำนี้ จัดว่าเธอนั้นค่อนข้างที่จะเลือกการต่อสู้ที่ปลอดภัย เพราะการที่จะเข้าไปต่อสู้กับมอนสเตอร์เพียงแค่คนเดียวนั้นเสี่ยงอันตรายเกินไป แต่ถึงอย่างไรก็ตามการกระทำของเธอนั้นก็จัดว่าเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไปอยู่ดี แต่ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้จะไม่ได้แคร์สิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อยหลังจากที่วิ่งหลบหนีมาได้ระยะหนึ่ง สาวน้อยคนนั้นก็ไปหยุดลงที่ท่าเรือสถานที่ซึ่งมีผู้คนมากหน้าหลายตามาปะปนกันอยู่ ที่นี่มีการค้าขายสิ่งของที่มาจากที่ต่างๆมากมาย เธอนั้นค่อยๆเดินไปในย่านการค้าของท่าเรืออย่างใจเย็นและกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อมองหาร้านที่จะรับซื้อสิ่งของหายากที่ได้จาก monster ในราคาสูงCaptain “ยัยหนู !! กำลังมองหาอะไรอยู่เหรอ ? นี่คงจะไปได้ของมีค่ามาอีกแล้วล่ะสินะ !!” เสียงของชายวัยกลางคนคนหนึ่งทักทายสาวน้อยขึ้นมาด้วยท่าทางที่เป็นมิตรและเป็นกันเอง สาวน้อยผู้มีนามว่าจูเลียหันหลังกลับไปตามต้นเสียงซึ่งทักเธอมาทันที ผู้ที่ทักเธอนั้นก็คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาป็นกัปตันเรือของเรือโดยสารลำซึ่งเดินทางระหว่าง Alberta และ Izlude เขาเป็นชายผู้ที่มีเส้นผมสีขาว มีหนวดสีขาวและมีสูบกล้องสูบยาคาบติดเอาไว้ที่ปาก เขาดูเหมือนว่าจะไม่ได้มองจูเลียเหมือนกับที่คนอื่นมอง เขาดูเป็นมิตรกับเธอและไม่ได้สนใจการกระทำของเธอที่ผ่านมาเท่าไหร่นัก“กัปตัน !! ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะเพิ่งจะกลับมาสินะ” จูเลียกล่าวกับชายวัยกลางคนคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร่าเริงและเป็นมิตร ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้จะไม่ได้เป็นศัตรูต่อกัน จูเลียค่อยๆเดินเข้าไปหากัปตันชายวัยกลางคนด้วยท่าทางที่ดูสบายสบายก่อนที่จะโชว์ Item ชิ้นหนึ่งขึ้นมาให้เขาดู“วันนี้หนูได้เจ้านี่มานะคะ !! ว่าจะหาขายมันเอาเงินสักหน่อยพอจะมีร้านไหนดีๆแนะนำบ้างไหมคะ ?” ในมือของจูเลียนั้นมีกิ่งไม้สีขาวซีดที่ดูจะเหมือนมีพลังเวทย์มนต์แผ่ออกมาอยู่ในกำมือของเธอประมาณ 5 อัน กิ่งไม้นี้มีชื่อเรียกว่า Elder Branch มันเป็นกิ่งไม้เล็กๆที่สามารถจะพบได้ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ มันหักลงมาจากต้นไม้เก่าแก่ซึ่งเป็นที่รวบรวมพลังเวทย์มหาศาลเอาไว้ มันเป็นหนึ่งในวัสดุสำคัญในการผสมไอเทมเวทมนตร์ชั้นสูงราคาขายของมันนั้นอยู่ที่ประมาณอันละ 1500 - 2500z เลยทีเดียว
“โอ้เจ้านี่ !! ของดีใช้ได้เลยนะ เอาอย่างนี้ไหม ? ลองเดินไปดูทางทิศใต้ของท่าเรือที่นั่นมีพ่อค้าที่เดินทางมาจากเมือง Geffen บางทีพวกเขาอาจจะสนใจมันนะ” กัปตันเรือชายวัยกลางคนแนะนำ จูเลียให้ไปขายของยังทิศใต้ของท่าเรือ ข้อมูลของเขานั้นค่อนข้างจะแม่นยำทุกครั้งดังนั้นเธอจึงเชื่อเขาอย่างสนิทใจและเดินทางไปยังทิศใต้ของท่าเรือตามคำแนะนำทันทีหลังจากที่จูเลียเดินจากไปได้ไม่นานนัก อัศวินหนุ่มผู้ที่ไล่ล่าเธอก็วิ่งตามเธอมาจนถึงท่าเรือและเขาได้พบกับกัปตันชายวัยกลางคนคนนี้เข้าพอดี อัศวินหนุ่มคนนี้จึงได้ถามกัปตันชายด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและรีบร้อนว่า“ขอโทษนะครับลุง !!ไม่ทราบว่าพอจะเห็นโจรสาวสีทองผมยาวที่ผูกผมทรงทวินเทลเดินผ่านมาทางนี้บ้างหรือเปล่าครับ ?” กัปตันชายวัยกลางคนเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ทำสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันทีก่อนที่จะกล่าวตอบอัศวินหนุ่มไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและรีบร้อนว่า“อ้าวพ่อหนุ่ม !!เธอกำลังตามหาสาวน้อยคนนั้นหรอ ชั้นเห็นเธอเดินกลับเข้าไปทางแถบที่อยู่อาศัย เธอดูรีบร้อนยังไงก็ไม่รู้ ถ้าคิดจะตามหาเธอต้องรีบไปเดี๋ยวนี้เลยนะ !!” อัศวินหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบตรงกลับเข้าไปทางแถบที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง Alberta ทันที หลังจากที่อัศวินหนุ่มวิ่งลับสายตาไปแล้วกัปตันชายวัยกลางคนก็พูดขึ้นมาลอยๆด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและเย็นชาว่า“ข้าเพิ่งจะอายุแค่ 40 ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เฟ้ย !! มาเรียกลุงแบบนี้เอ็งก็วิ่งวนรอบเมืองไปสัก 3 รอบเหอะ ฮ่าๆๆๆ !!!” กัปตันเรือชายวัยกลางคนหัวเราะร่า ก่อนที่จะสูบยาภายในกล้องสูบยาของเขาควันโขมง และมองไปยังทิศใต้ที่จูเลียเดินไปก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาลอยๆอีกครั้งว่า“พยายามเข้านะยัยหนู ชั้นเชื่อว่าสักวันหนึ่งความพยายามของเธอจะต้องได้รับผลตอบแทนแน่ ชั้นจะรอดูวันนั้น...” กัปตันเรือพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและมุ่งมั่นก่อนที่จะเดินหายลับไปในฝูงชนซึ่งคับคั่งอยู่บริเวณตลาดท่าเรือto be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 1, 2018 16:52:55 GMT
EP.2 ความเจ็บปวด - ห้องโถงของ Eden Group ภายในเมือง Prontera - หลังจากที่ลักค์ได้ทำการเปลี่ยนอาชีพเป็นนักบวชเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบตรงไปยัง Eden Group เพื่อที่จะหาภารกิจทำทันที เนื่องจากว่าเงินในกระเป๋าของเขานั้นได้ใช้จ่ายไปจนเกือบจะหมดแล้ว ถ้าหากว่าเขาไม่รีบทำภารกิจบางทีเขาอาจจะมีปัญหาด้านการเงินได้ภายในห้อง Lobby ของ Eden Group ภายในวันนี้นั้นดูค่อนข้างจะเงียบเหงาเนื่องจากว่าภารกิจนั้นมีจำนวนที่ค่อนข้างจะน้อยและภารกิจส่วนใหญ่นั้นจะเป็นภารกิจที่ไม่ค่อยจะได้เงินตอบแทนมากเท่าที่ควรดังนั้นนักผจญภัยจึงเลือกที่จะไปล่ามอนสเตอร์แบบอิสระและเก็บไอเทมมาขายกันมากกว่า“สวัสดีครับ พอจะมีภารกิจออกล่ามอนสเตอร์ที่ระดับไม่สูงมากให้ผมสักภารกิจนึงไหมครับ ?” ลักค์กล่าวถามขึ้นกับเจ้าหน้าที่ของเอเดนกรุ๊ป ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ที่ประจำของเธอ เธอนั้นไม่ได้พบกับลักค์มาพักหนึ่งแล้วหลังจากที่เขาและปาตี้ได้กำจัด Toad ลงได้ เธอจึงพูดกับเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยว่า“อ้าว !! ลักค์ไม่ได้พบกันซะนานเลยนะคะ เปลี่ยนอาชีพเป็นนักบวชแล้วนี่นา ยินดีด้วยนะคะ มาหาภารกิจล่ามอนสเตอร์สินะรอสักครู่นะเดี๋ยวจะลองตรวจสอบให้” หลังจากที่เธอกล่าวจบ เธอก็หยิบหนังสือเอกสารเล่มใหญ่ขึ้นมาบนโต๊ะก่อนที่จะค่อยๆเปิดมันดูทีละหน้า ภารกิจที่ขึ้นอยู่บนบอร์ดของเอเดนกรุ๊ปทั้งหมดนั้นไม่ใช่ภารกิจทั้งหมดที่ทางสมาคมนั้นได้รับการไหว้วานมา แต่ว่าเป็นภารกิจที่เร่งด่วนที่จำเป็นจะต้องทำให้ลุล่วงหรือเป็นภารกิจที่มีความโดดเด่นและจำเป็นจะต้องรีบจัดการถึงจะได้นำขึ้นบอร์ด การมาถามที่เคาน์เตอร์แบบนี้นักผจญภัยหน้าใหม่บางคนอาจจะได้ภารกิจที่ง่ายและเหมาะกับระดับของตัวเองมากกว่าที่จะเลือกภารกิจจากบอร์ดซึ่งมีความอันตรายมากกว่า “มีภารกิจไหว้วานให้ช่วยกำจัด Elder Willow 20 ตัวน่ะค่ะ สนใจที่จะทำไหมคะ ? แต่ว่าค่าตอบแทนของภารกิจนี้อยู่ที่ 3000z ค่อนข้างจะน้อยสักหน่อยนะ” เจ้าหน้าที่สาวของสมาคมเอเดนบอกภารกิจในการกำจัด Monster ขึ้นมา แต่ว่ามันได้ค่าตอบแทนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระดับของ Elder Willow ที่อยู่ในระดับปานกลาง ลักค์จึงทำหน้าครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่งบางทีเขาอาจจะเลือกที่จะปฏิเสธภารกิจครั้งนี้ แต่ว่าก่อนที่เขาจะตัดสินใจเลือกว่าจะรับหรือจะปฏิเสธ ก็มีนักดาบชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆกับเขา
Elder Willow “นี่ๆ !! ถ้านายคิดจะรับภารกิจกำจัด Elder Willow ล่ะก็พวกเราไปด้วยกันไหม ? ฉันเองก็กำลังหาภารกิจทำอยู่เหมือนกันแต่ว่าไปคนเดียวมันเสี่ยงเกินไป ถ้ายังไงพวกเราไปด้วยกันไหม” นักดาบหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำกล่าวขึ้นกับลักค์ด้วยท่าทางที่จริงจังและกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าเขาอยากจะออกไปทำภารกิจมากเสียเหลือเกิน ลักค์เมื่อได้ยินข้อเสนอจากนักดาบหนุ่มดังนั้นเขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เพราะว่าการไปล่ามอนสเตอร์คนเดียวนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก แต่ถ้าหากไปกับสองคนบางทีภารกิจอาจจะสำเร็จลงได้โดยที่แทบจะไม่มีการสูญเสียอะไรเลย เขาจึงตอบตกลงข้อเสนอของนักดาบหนุ่มทันที“ได้สิครับ !! ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปทำภารกิจนี้กันเถอะ ผมชื่อลักค์ยินดีที่ได้รู้จักนะ ครับแล้วคุณล่ะ” ลักค์ตอบตกลงและกล่าวแนะนำตัวกับนักดาบหนุ่มด้วยท่าทางที่เป็นมิตร นักดาบหนุ่มเมื่อเห็นท่าทางอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจก่อนที่จะตอบลักค์กลับไปด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงว่า“ชั้นชื่อว่า ฟรองค์ ชื่อเต็มๆคือ ฟอนเบิร์ก เบิร์นไวซ์นอร์ท ยินดีที่ได้รู้จักนะ !! ฝากตัวด้วย !!” นักดาบหนุ่มแนะนำตัวว่าชื่อของเขานั่นคือ ฟรองค์ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและมั่นใจ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็รับภารกิจในการกำจัด Elder Willow และรีบเดินทางออกจาก Eden Group มุ่งตรงไปยังป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ Elder Willow ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกไม่ไกลจากเมือง Prontera ทันที - ป่าโปร่งนอกเมือง Prontera - หลังจากที่เตรียมสัมภาระและไอเทมฟื้นฟูพลังจำนวนหนึ่งแล้ว ลักค์และฟรองค์ก็ออกเดินทางมาสู่ป่านอกเมือง Prontera ที่ป่าแห่งนี้เป็นป่าซึ่งมีส่วนเชื่อมต่อกับพื้นที่แห้งแล้งซึ่งเป็นทราย ซึ่งเป็นทรายเหล่านี้เป็นอาณาเขตรอบนอกส่วนหนึ่งของทะเลทราย Sograt Desert ซึ่งล้อมรอบเมือง Morroc“เอาละพวกเราต้องกำจัดมันทั้งหมด 20 ตัวใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นเริ่มกันเลยเถอะ บางทีเราอาจจะทำภารกิจนี้เสร็จก่อนที่จะค่ำ” ฟรองค์กล่าวขึ้นกับลักค์ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกระตือรือร้นก่อนที่เขาจะชักดาบ Sword ของเขาขึ้นมาถือไว้ในมือ ดาบของเขานั้นสร้างความแปลกใจให้กับลักค์มากพอสมควร เนื่องจากว่ามันเป็นดาบที่มีคุณภาพค่อนข้างจะแย่ และนักดาบที่อยู่ในระดับปานกลางมักจะเลิกใช้มันแล้วลักค์จึงถามฟรองค์ขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า“นี่นายยังใช้ Sword อยู่อีกหรือครับเนี่ย ? หายากนะครับที่นักดาบระดับแบบนายจะยังใช้มันอยู่” คำถามของลักค์ทำให้ฟรองค์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บใจนิดๆว่า“ฉันจำเป็นจะต้องใช้มันชั่วคราวไปก่อน พอดีว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นทำให้ฉันต้องสูญเสียไอเทมติดตัวทั้งหมดไปมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ล่ะนะ แต่ว่านายไม่ต้องห่วงหรอกเพราะว่าความสามารถของฉันจะชดเชยส่วนที่ขาดไปเอง” ฟรองค์กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเขานั้นต้องการให้ลักค์มั่นใจในความสามารถของเขาเช่นกัน ลักค์เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับคำพูดของฟรองค์ก่อนที่ทั้งสองคนจะเริ่มลงมือต่อสู้กับ Elder Willow ตามภารกิจทันที - ท่าเรือของเมือง Alberta -
จูเลียนั้นกำลังนั่งอยู่ที่สะพานของท่าเรือซึ่งทอดยาวออกไปในทะเล วันนี้สายลมค่อนข้างสงบท้องฟ้าสีครามและทะเลสีฟ้าสดใสดูสวยงามและน่าหลงใหล เธอนั่งปล่อยให้สายลมสัมผัสกับใบหน้าและเส้นผมของเธอจนพริ้วไสวไปตามแรงลมที่พัดมาเอื่อยๆ“ยัยหนู !! มานั่งทำหน้าปั้นยากอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ วันนี้ไม่ต้องเล่นวิ่งไล่จับกับใครหรือยังไง ?” กัปตันเรือกล่าวขึ้นกับจูเลียด้วยท่าทางที่สนิทสนม ดูเหมือนว่าวันนี้เขาเองก็ว่างงานและเดินไปไปมาตามท่าเรือเช่นเดียวกับเธอ ขูเลียมื่อเห็นกัปตันเรือเข้ามาทักทายกับเธอเช่นนั้น เธอก็หันหน้าไปมองเขาด้วยแววตาที่เฉยเมยก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า“วันนี้ครบรอบ 1 เดือนแล้วนะคะ….จากเหตุการณ์เมื่อวันนั้น” จูเลียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบแต่เสียงของเธอนั้นกลับแฝงไปด้วยความเศร้าและความเสียใจ แววตาของเธอนั้นแสดงออกถึงความเจ็บปวดอันแสนสาหัส กัปตันเรือเมื่อเห็นท่าทางของเธอเป็นเช่นนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะสูบยาสูบจากกล้องสูบยาของเขาเข้าไปเต็มปอดและปล่อยควันสีขาวขุ่นให้กระจายออกมาทั่วบริเวณและควันนั้นก็ถูกหอมหายไปกับสายลม“ชั้นรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่อยากจะรับได้….แต่ว่าเธอจะมาจมปลักอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้นะ เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ? เธอลองเดินทางไปที่เมืองอื่นเถอะ บางทีการที่เธอได้พบเจอกับอะไรใหม่ๆ อาจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นก็ได้นะ” กัปตันเรือกล่าวพูดแนะนำจูเลียด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นกังวลและเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เขานั้นเป็นหนึ่งในคนที่รู้เหตุการณ์เมื่อ 1 เดือนก่อนซึ่งเกิดขึ้นกับปาร์ตี้ของเธอได้เป็นอย่างดีเมื่อ 1 เดือนก่อนนั้นจูเลียได้มาทั้งโลกแห่งนี้ เธอก็เป็นเด็กสาววัยรุ่นธรรมดาซึ่งเป็นคนที่ร่าเริงและกระตือรือร้นออกจะดูไฮเปอร์แอคทีฟมากเกินไปหน่อยเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยเธอก็เป็นคนดีและเป็นคนที่รักเพื่อนๆ อีกทั้งเธอก็ทำตามกฎของนักผจญภัยอย่างเคร่งครัดไม่ได้มีพฤติกรรมที่ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยอย่างทุกวันนี้ เธอนั้นได้เปลี่ยนอาชีพเป็นโจรจากนั้นก็เดินทางมายังเมือง Alberta แห่งนี้ พร้อมๆกับปาร์ตี้ของเธอซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 4 คนรวมเธอด้วยปาร์ตี้ของเธอนั้นรับภารกิจมาเพื่อกำจัดมอนสเตอร์ที่มีชื่อว่า Vagabond Wolf มันเป็นจ่าฝูงของเหล่าหมาป่า ที่มีความร้ายกาจและน่าสะพรึงกลัว มันนั้นมักจะโจมตีกองคาราวานที่ขนสินค้าผ่านป่าเมือง Payon มายังเมือง Alberta ในช่วงเวลากลางคืนเป็นประจำดังนั้นมันจึงถูกตั้งค่าหัวจากเหล่าบรรดาพ่อค้าผ่านทาง Eden Group ไว้ในราคาที่ค่อนข้างสูง ปาร์ตี้ของจูเลียนั้นเฝ้าตามหามันเป็นระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะพบว่ามันซ่อนตัวอยู่ภายในป่าลึกไม่ไกลจากเมือง Alberta เท่าไหร่นักดังนั้นปาร์ตี้ของจูเลียจึงเลือกที่จะโจมตีมันโดยที่มันไม่ทันตั้งตัวแต่แล้วพวกเขานั้นก็ทำผิดพลาด คู่ต่อสู้ของพวกเขาจึงไม่ใช่ Vagabond Wolf เพียงแค่ตัวเดียวอีกต่อไป แต่กลับต้องต่อสู้กับฝูงหมาป่าจำนวนมากซึ่งเข้ามารายล้อมพวกเขาที่จ้องจะล่าจ่าฝูงของมัน และแล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นเมื่อปาร์ตี้ของจูเลียทุกคนยกเว้นตัว เธอนั้นต้องจบชีวิตลงในสภาพที่น่าสลดจากคมเขี้ยวของเหล่าหมาป่า ที่เธอรอดมาได้เพราะว่าเธอนั้นมีอาชีพเป็นโจรซึ่งมีสกิลที่เรียกว่า Hiding ซึ่งใช้ในการซ่อนตัว แต่ว่าภาพติดตาซึ่งคอยหลอกหลอนจูเลียอยู่ทุกค่ำคืนยามที่เธอนิทรานั้น ก็คือภาพของเราเพื่อนร่วมปาร์ตี้ของเธอซึ่งกำลังถูกสังหารที่ละคนๆด้วยฝีมือของหมาป่ามันทำให้เจิตใจของเธอเหมือนกำลังจะแตกสลาย ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ยอมเข้าปาร์ตี้ใหนอีกเลยและพยายามที่จะสะสม Item เพื่อมาพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่ง เธอนั้นไม่เลือกวิธีการในการที่จะได้มาซึ่ง Item เธอทั้งแจมและทั้งลูทสิ่งของจากนักผจญภัยคนอื่นแบบไม่เลือกหน้าทันทีที่มีโอกาส จึงทำให้เธอกลายเป็นที่รังเกียจของนักผจญภัยด้วยกันไปทั่วและไม่มีใครคิดจะให้เธอเข้าปาร์ตี้เลยแต่เธอก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอนั้นกำลังติดจะทำอะไร และก็ไม่มีใครรู้เลยว่าอะไรเกิดขึ้นกับเธอซึ่งทำให้เธอกลายเป็นคนอย่างนี้ มีแค่เพียงกัปตันเรือคนนี้เท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น เพราะว่าเขานั้นเป็นคนที่ได้พบกับเธอในสภาพที่มีบาดแผลของคมเขี้ยวเต็มตัวอยู่หน้าเมือง Alberta ยามค่ำคืนที่เงียบสงัด และเขาเองเนี่ยแหละที่เป็นคนช่วยพาเธอมารักษาให้พ้นจากอาการอันตราย“ยัยหนู….พรุ่งนี้ชั้นจะต้องออกเรือไป Izlude ถ้าเธออยากจะลองหลุดพ้นจากฝันร้ายที่หลอกหลอนเธออยู่ล่ะก็ลองออกเดินทางสิ บางทีมันอาจจะช่วยเธอได้นะ ถ้าเธออยากจะไปล่ะก็ 8 โมงเช้าไปเจอกันที่ท่าเรือก็แล้วกันชั้นไปล่ะนะ” กัปตันเรือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ในใจของเขานั้นก็หวังว่าจูเลียจะไปพบกับเขาตอน 8 โมงพรุ่งนี้ที่ท่าเรือ บางทีเข็มนาฬิกาของเธอที่หยุดเดินไปแล้วอาจจะกลับมาเดินอีกครั้งเพราะการเดินทางก็เป็นได้
to be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 2, 2018 15:15:16 GMT
EP.3 การเดินทางครั้งใหม่ - ท่าเรือของเมือง Alberta - เวลาตอนนี้เป็นเวลาเช้าน่าจะประมาณเกือบๆ 8 โมงแล้ว แสงอาทิตย์ที่สดใสยามเช้าสาดส่องไปทั่วผืนน้ำทะเลสีฟ้าครามทำให้มันดูสวยงามน่าหลงใหล สายลมยามเช้าที่แสนสดชื่นพัดเข้ามาปะทะชายฝั่ง เสียงนกนางนวลพากันร้องระงมไปทั่วบริเวณ นี่เป็นยามเช้าปกติของท่าเรือแห่งเมือง Alberta
Sailor “ใครที่ต้องการจะเดินทางไปเมือง Izlude โปรดช่วยเก็บสัมภาระของท่านให้เรียบร้อยและรีบขึ้นไปบนเรือได้เลยนะครับ อีก 20 นาทีเรือของเราจะออกเดินทางแล้วขอให้ทุกท่านเตรียมตัวให้พร้อม” กะลาสีเรือหนุ่มคนหนึ่งกล่าวเตือนผู้โดยสารของเขาด้วยท่าทางที่กระตือรือร้น เพราะว่าไม่นานเรือของเขานั้นกำลังจะออกเดินทางแล้ว กัปตันเรือผู้เป็นชายวัยกลางคนผู้มีเส้นผมสีขาวกำลังสูบยาจากกล้องสูบยาอันโปรดของเขาจนควันโขมงไปทั่วทั้งบริเวณ อีกไม่นานเขาจะต้องเดินทางแล้วแม้ว่าประสบการณ์ของเขานั้นจะมีมากกว่า 10 ปีแต่ว่าท้องทะเลนั้นก็ไม่สามารถจะเอาแน่เอานอนได้ดังนั้นการเดินทางในทะเลจึงเป็นเหมือนกับการผจญภัยเสมอ“ยัยหนูนั่นยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย….ดูท่าว่าเราจะหวังมากไปสินะ” กัปตันเรือชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นกับตนเองเบาๆ เขาหวังว่าจูเลียจะมาพบกับเขาที่ท่าเรือเพื่อจะออกเดินทางครั้งใหม่และเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าความหวังของเขานั้นจะรีบกรีดลงไปเต็มที แต่ในทันใดนั้นก็มีเงาของสาวน้อยคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่บริเวณท่าเรือ ดูเหมือน่าความหวังของกัปตันชายวัยกลางคนนั้นดูเหมือนจะเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว“หึ !! เพิ่งจะมาเอาป่านนี้เนี่ยนะ ? เรือกำลังจะออกแล้ว รีบขึ้นเรือได้แล้ว” กัปตันชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นกับจูเลียด้วยท่าทางที่สนิทสนมน้ำเสียงของเขานั้นแฝงไปด้วยความดีใจ จูเลียกระโดดขึ้นเรือของเขาด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉง แต่ว่าเธอไม่ได้กล่าวทักทายอะไรกับกัปตันเรือชายวัยกลางคนเลย ใบหน้าของเธอนั้นยังเต็มไปด้วยความบูดบึ้ง ดูเหมือนว่าบางทีภายในใจของเธอนั้นอาจจะยังกังวลอยู่ก็เป็นได้เกี่ยวกับการเดินทางในครั้งนี้“ในที่สุดเธอก็มาจนได้นะครับกัปตันน่าดีใจจริงๆ” กะลาสีเรือชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวแซวขึ้นกับกัปตันเรือด้วยท่าทางที่สนิทสนมและน้ำเสียงที่ร่าเริง กะลาสีเรือคนนี้เป็นลูกเรือคนแรกๆของกัปตัน เขารู้ดีว่าจูเลียนั้นลักษณะท่าทางและรูปร่างหน้าตาคล้ายกับลูกสาวซึ่งเสียชีวิตไปแล้วของกัปตันเรือคนนี้มากขนาดไหน“น่าดีใจอะไรของแก ? ก็แค่ผู้โดยสารเรื่องมากเพิ่มขึ้นมาคนนึงเท่านั้นเอง” กัปตันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและราบเรียบแต่ว่าเขานั้นกลับมีรอยยิ้มซึ่งดูเหมือนคนกำลังดีใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า ตามปกติแล้วกัปตันคนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างจะยิ้มยากคนหนึ่งเลยทีเดียว“เอาล่ะได้เวลาออกเรือแล้ว !!” เสียงของกัปตันเรือชายวัยกลางคนประกาศกร้าวถึงเวลาของการออกเดินทางแล้ว เสียงกระดิ่งซึ่งติดอยู่ที่บริเวณหัวเรือถูกลั่นขึ้นมาเป็นสัญญาณบอกถึงการออกจากท่าของเรือเดินทาง ผู้โดยสารทั้งหมดทุกคนพร้อมอยู่บนเรือกันหมดแล้วรวมทั้งจูเลียด้วย เรือเดินทางลำใหญ่ซึ่งบรรจุผู้โดยสารกว่า 50 ชีวิตก็ออกเดินทางจากท่าเรือเมือง Alberta มุ่งสู่เมือง Izlude การเดินทางของพวกเขากลางทะเลจะเริ่มขึ้นจากนี้เป็นเวลา 3 วัน“เห้ย !! นั่นมันยัยจูเลียนี่นา !! นี่มันขึ้นมาบนเรือลำนี้ด้วยเหรอเนี่ย ดีละ !! แบบนี้มันหนีไปไหนไม่ได้แล้วใช้โอกาสนี้เอาคืนเรื่องที่มันเคยทำกับพวกเรากันเถอะ !!” เสียงของนักธนูสาวคนหนึ่งพูดขึ้นในขณะที่มองเห็นจูเลียกำลังวางสัมภาระของเธอลงบนพื้นมุมหนึ่งภายในห้องโถงของเรือ สายตาของนักธนูสาวคนนี้ดูเหมือนจะเจ้าคิดเจ้าแค้นกับจูเลียมากเป็นพิเศษ จูเลียเองก็รับรู้ถึงท่าทางของนักธนูสาวคนนี้แต่เธอไม่ได้มีท่าทางสนใจอะไรแต่อย่างใด“บนเรือลำนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิทธิขาดของข้า !! ถ้าหากว่าใครมีปัญหาหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือคิดจะเอาคืนในเรื่องของปัญหาส่วนตัวกันล่ะก็ ไอ้ตัวคนก่อเรื่องจะต้องถูกโยนลงทะเลไปนอนคุยกับปะการัง !!” เสียงของกัปตันชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดุดันและแข็งกร้าว ผู้โดยสารทุกคนที่ได้ยินตำกล่าวของเขาก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจในความเอาจริงเอาจังและความดุดันของเขา นักธนูสาวเองก็เช่นกัน หลังจากที่กัปตันพูดจบเขาก็หันมายิ้มอย่างสนุกสนานให้กับจูเลียซึ่งมองเขาอยู่ด้วยสายตาที่เรียบเฉย “ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะคะ พูดแบบนี้เดี๋ยวลูกค้าก็หายหมดหรอกค่ะคุณลุง” จูเลียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกระเซ้าเย้าแหย่กัปตันเรือชายวัยกลางคน จริงๆแล้วเธอนั้นแทบจะไม่มีปัญหาเลยกับการที่จะต้องอยู่กับคู่อริบนเรือแบบนี้ เพราะว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอก็ต้องใช้ชีวิตอยู่บนบกและเจอกับคนพวกนี้แทบจะทุกวันอยู่แล้ว เรื่องการรับมือกับปัญหาต่างๆนั้นไม่มีปัญหาเลยสำหรับเธอ - ปาโป่งนอกเมือง Prontera - ลักค์และฟรองค์กำลังเริ่มลงมือไล่ล่า Elder Willow อยู่อย่างเต็มกำลังถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีกันสองคนแต่ว่า Elder Willow ก็เป็น Monster ที่มีระดับค่อนข้างจะไม่ต่ำเท่าไหร่ ดังนั้นมันจึงสร้างปัญหาให้กับพวกเขาไม่น้อยเพราะว่ามันเป็น Monster ที่มีร่างกายเป็นไม้และมีความอดทนค่อนข้างสูงอีกทั้งยังมีพละกำลังที่ค่อนข้างจะมากทำให้การโจมตีของมันนั้นหนักหน่วง และที่ร้ายกาจกว่านั้นก็คือมันสามารถจะใช้สกิล Fire Bolt ของนักเวทย์ได้อีกด้วย และเจ้า Elder Willow ตัวนี้ก็ไม่ใช่ Monster ที่ไม่มีสติปัญญาพวกมันนั้นจัดว่ามีความฉลาดในระดับหนึ่งเลยทีเดียว Elder Willow “ฟรองค์ มันกำลังวิ่งไปทางนายแล้วจัดการเลย !!” ลักค์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่รีบร้อนเมื่อเจ้า Elder Willow กำลังวิ่งไล่ตามเขาไปทางทิศที่ฟรองค์กำลังยืนอยู่ Elder Willow 2 ตัว กำลังวิ่งไล่กวดลักค์อย่างเอาเป็นเอาตาย โดยที่ไม่รู้เลยว่าฟรองค์กำลังแอบอยู่ระหว่างทางที่พวกมันจะต้องวิ่งผ่านไป“จังหวะนี้แหละเอาเลย !!” ลักค์กล่าวขึ้นเป็นสัญญาณให้ฟรองค์ออกจากที่ซ่อนและทำการโจมตี ฟรองค์กระโจนออกจากพุ่มไม้ข้างทางและใช้ดาบในมือของเขาฟาดฟันเข้าใส่ Elder Willow 2 ตัวซึ่งวิ่งไล่ตามลักค์มาติดๆ เจ้า Elder Willow ซึ่งไม่ได้ทันระวังตัวถูกคมดาบของฟรองค์เข้าไปอย่างจัง แต่ว่าพลังการฟาดฟันเพียงแค่ครั้งเดียวแบบเล่นที่เผลอนั้นก็ไม่มากพอที่จะล้มพวกมันได้เจ้า Elder Willow หันกลับมาโจมตีฟรองค์ด้วยท่าทางที่โมโหเดือดดาล มันใช้อุ้มมือของมันซึ่งเป็นท่อนไม้ขนาดใหญ่ฟาดเข้าไปที่ฟรองค์อย่างรุนแรง ฟรองค์ใช้ดาบภายในมือของเขารับการโจมตีของ Elder Willow ตัวแรกได้ แต่ว่าตัวที่สองนั้นมันฟาดมือเข้าไปที่บริเวณข้างลำตัวของเขาอย่างจัง“โอ๊ย !! เจ็บกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย ไอ้เจ้าพวกนี้แรงมันเยอะชะมัด !!” ฟรองค์เมื่อถูกการโจมตีของ Elder Willow เข้าไปครั้งหนึ่งความเจ็บปวดก็เล่นไปทั่วร่างกายของเขา แต่ความเจ็บปวดระดับนี้นั้นจัดว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่เขาผ่านมามากมาย ฟรองค์ตวัดดาบในมืออย่างรวดเร็วเข้าโจมตี Elder Willow ตัวที่เขารับการโจมตีเอาไว้ได้ ด้วยความรวดเร็วในการฟาดฟันชั่วพริบตาเขาก็สามารถลงดาบไปได้ถึง 4 ครั้ง เจ้า Elder Willow ได้รับบาดแผลบนตัวพี่ค่อนข้างสาหัสมันจึงมันล้มลงและแน่นิ่งไป Elder Willow ตัวที่สองนั้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนของมันถูกจัดการลงไปเรียบร้อยแล้ว มันก็เลยคิดจะโจมตีใส่ ฟรองค์ แบบไม่ทันตั้งตัวด้วยทักษะ Fire Bolt แต่ว่าลักค์ไม่ปล่อยให้มันทำอย่างนั้น เขารีบเข้าไปประชิดตัว Elder Willow ทันทีจากนั้นก็ฟาดมันด้วยกระบองเหล็ก Mace อย่างรุนแรงเจ้า Elder Willow ตัวที่ 2 จึงล้มลงไปนอนแน่นิ่งตามเพื่อนของมันไปติดๆ ฟรองค์เก็บ Item ซึ่งตกลงมาจาก Elder Willow ซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นยางไม้ (Resin) ซึ่งยางไม้พวกนี้ก็ขายได้ราคาพอสมควรเพราะมันเอาไปใช้เป็นส่วนผสมในการทำสิ่งของต่างๆ“ขอบใจมากนะลักค์ ถ้าไม่ได้นายคอยช่วยป่านนี้ชั้นคงจะต้องเจ็บตัวมากกว่านี้ไปแล้ว คิดถูกจริงๆที่มาทำภารกิจร่วมกับนาย” ฟรองค์กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นมิตรและยินดีอีกทั้งบนใบหน้าของเขานั้นยังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มจากความสำเร็จที่พวกเขาทําได้ “นี่เรากำจัดมันไปกี่ตัวแล้วนะ ?” ลักค์ไม่ได้ออกความเห็นอะไรกับคำชมของฟรองค์ แต่เขาถามถึงจำนวนของ Elder Willow ซึ่งเขาต้องจัดการในภารกิจครั้งนี้ หลังจากนั้นเขาก็เปิดกระดาษซึ่งเป็นรายละเอียดของภารกิจขึ้นมาดูตัวเลขซึ่งอยู่ในกระดาษใบนั้นบันทึกเอาไว้ว่า 16/20 หมายความว่าพวกเขาทั้งสองคนนั้นจะต้องกำจัด Elder Willow อีก 4 ตัวจึงจะครบภารกิจที่พวกเขารับมา“อีกแค่ 4 ตัวเองนี่นา พวกเราไปกันเถอะ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วก็คงจะได้กลับเข้าเมืองก่อนค่ำแน่ กลางป่าแบบนี้ไม่อยากค้างแรมสักเท่าไหร่นอนโรงแรมในเมืองสบายกว่าเป็นไหนๆ” ฟรองค์กล่าวขึ้นพร้อมกับกำดาบภายในมือด้วยความมั่นใจและเดินสาวเท้าเข้าไปในป่าอย่างระมัดระวัง ลักค์ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้ของเขาเพราะว่าเขานั้นก็ไม่อยากจะต้องมานอนค้างแรมกลางป่าเช่นกัน หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ทำการกำจัด Elder Willow อีก 4 ตัวจนครบจำนวนตามภารกิจที่พวกเขารับมา และเวลาตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆเกือบที่จะเย็น ถ้าหากพวกเขารีบเดินทางกลับเข้าเมืองก็คงจะกลับถึงเมืองได้ในเวลาเย็นพอดี พวกเขานั้นสามารถทำตามเป้าหมายในการกำจัด Monster และการรักษาระยะเวลาได้เป็นอย่างดี บ่งบอกได้ถึงการเติบโตขึ้นของพวกเขาซึ่งมากขึ้นทีละน้อยอย่างมั่นคง - Eden Group สาขาเมือง Prontera - “เพิ่งจะรับภาระกิจไปเมื่อตอนเช้า ตกเย็นมาก็ทำสำเร็จแล้วหรอเนี่ย ! ฝีมือไม่เบาเลยนะพวกเธอทั้งสองคน เอาล่ะ !! นี่เป็นรางวัลตอบแทนของภารกิจลองตลอดนับดูได้เลยนะ” เจ้าหน้าที่ของสมาคมสาวกล่าวชม ลักค์และฟรองค์ด้วยน้ำเสียงที่ดูชื่นชมก่อนที่จะยื่นถุงใส่เงินจำนวน 3000z วางให้กับพวกเขาที่บนเคาน์เตอร์ลักค์รับเงินนั้นมาและตรวจนับก่อนที่จะแบ่งให้กับฟรองค์ครึ่งหนึ่งตามที่ตกลงกันไว้แต่แรก พวกเขาจึงได้เงินกันคนละ 1500z เป็นค่าตอบแทนสำหรับรางวัลภารกิจ แต่ว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะต้องตกลงกันนั่นก็คือ Item ซึ่งตกลงมาจาก Elder Willow มันมี Resin 20 ชิ้น Trunk 4 อัน และ Wooden Mail ซึ่งเป็นเกราะของนักรบที่ทำมาจากไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลแก่ พลังป้องกันของมันนั้นอาจจะสู้กับเกราะเหล็กไม่ได้แต่ว่ามันมีน้ำหนักเบาและคล่องตัวจึงเหมาะมากสำหรับนักรบที่ใช้ความเร็วเป็นจุดเด่นในการต่อสู้
“เรามาแบ่ง Item กันเถอะ อย่างอื่นเราสามารถแบ่งกันคนละครึ่งได้ไม่มีปัญหา แต่เจ้าเกราะไม้นี่สิจะเอายังไงกับมันดี ?” ลักค์กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะหนักใจ ถ้าหากว่าเป็นตามปกติเกราะไม้อันนี้จะต้องถูกนำไปขายและนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะฟรองค์ไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นเขารีบกล่าวขึ้นมาทันทีว่า“ลักค์นายเอายางไม้กับขอนไม้พวกนั้นไปเถอะ ชั้นยกให้นายทั้งหมดเลย แต่ฉันชั้นขอเกราะไม้อันนี้จะได้ไหม ? มันน่าจะเหมาะกับชั้นนะ ชั้นอยากได้มันน่ะ นายตกลงหรือเปล่า ?” ฟรองค์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูขอร้องแก่ลักค์ เพราะว่าเขานั้นดูเหมือนจะอยากได้เกาะไม้ตัวนี้จริงๆ ลักค์มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบเขาไปว่า“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ !! ถ้าอย่างนั้นคุณฟรองค์เอาเกราะไม้นี้ไปได้เลย” ลักค์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงใจและเป็นมิตรท่าทางของเขานั้นทำให้ฟรองค์รู้สึกยินดีและขอบคุณเขาอยู่ในที“ขอบใจนายมากนะ !! เอาล่ะถ้าอย่างนั้นวันนี้ชั้นต้องขอตัวก่อน ไว้ถ้าเกิดว่าเราได้พบกันอีกไว้เรามาผจญภัยด้วยกันอีกนะ โชคดีไว้เจอกันใหม่” ฟรองค์หยิบเกาะไม้ซึ่งเขาต้องการนั้นใส่ในกระเป๋าสัมภาระของเขาด้วยท่าทางที่ยินดีก่อนที่จะกล่าวลาและเดินออกจากสมาคมเอเดนกรุ๊ปไปอย่างรวดเร็ว ลักค์ก็เก็บของต่างๆลงในกระเป๋าสัมภาระเพื่อที่จะไปขายอย่างร้านขายของจิปาถะเอาเงินต่อไป การผจญภัยของพวกเขาภายในวันนี้จึงจบลงอย่างสวัสดิภาพ - 3 วันต่อมาที่ท่าเรือของเมือง Izlude - เรือโดยสารของกัปตันชายวัยกลางคนฝ่าลมฝนกลางทะเลมาตลอด 3 วันอย่าง สวัสดิภาพในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมือง Izlude ผู้โดยสารทุกคนบนเรือต่างพากันดีใจที่พวกเขาสามารถมาถึงจุดหมายได้โดยไร้ปัญหาใดๆ จูเลียรีบเก็บสัมภาระของเธอเพื่อที่จะลงจากเรือเข้าไปยังเมือง Izlude ด้วยท่าทางกระตือรือร้น“ยัยหนู !! ชั้นคงจะมาส่งเธอได้แค่นี้นะ จากนี้ไปคงจะเป็นการเดินทางของเธอเองชั้นก็คงจะได้แต่ ขออวยพรให้เธอได้พบกับโชคดี ขอให้เธอได้พบกับเพื่อนที่ดี และหวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีกนะ” กัปตันชายวัยกลางคนกล่าวกับจูเลียด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ในสายตาของเขานั้นคงจะมองเห็นจูเลียเป็นเหมือนตัวแทนของลูกสาวของเขาซึ่งเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ ตามที่กะลาสีเรือหนุ่มคิดก็เป็นได้ แต่ถึงความในใจของกัปตันชายวัยกลางคนจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จูเลียนั้นดูเหมือนว่าจะมีท่าทางไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก“ทำไมพูดเหมือนกับว่าหนูจะไม่ได้เจอคุณอีกแล้วล่ะค่ะ ? ยังไงพวกเราก็ต้องได้พบกันอยู่แล้วสักวันนึงไว้ถึงตอนนั้นหนูอาจจะต้องมาขอโดยสารเรือของกัปตันอีกก็ได้นะ ไปละนะคะแล้วพบกันใหม่ !!” จูเลียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่น้ำเสียงของเธอนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกขอบคุณและความรู้สึกมั่นใจว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้พบกับกัปตันชายวัยกลางคนอีกครั้งแน่ หลังจากนั้นเธอก็ลงจากเรือของเขาและก้าวเท้าไปบนท่าเรือของเมือง Izlude ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น การผจญภัยครั้งใหม่ของเธอได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เข็มนาฬิกาซึ่งเคยหยุดเดินของเธอก็ได้เริ่มเดินอีกครั้งto be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 3, 2018 11:11:31 GMT
Character Info #1
จูเลียโจรสาวหน้าใหม่ของ RW มีคนสงสัยว่าเธอใช่นางเอกของภาคนี้ไหม ? ต้องรอดูกันต่อไปนะ !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 4, 2018 1:16:00 GMT
EP.4 ภารกิจแรก - ตลาดกลางเมือง Izlude - ตลาดขายของกลางเมือง Izlude เป็นแหล่งรวมของสินค้าต่างๆจากทั่วทุกสารทิศ แม้มันจะเป็นตลาดใหญ่แบบเดียวกับที่มีอยู่ใน Alberta แต่สินค้านั้นก็มีความแตกต่างกันตามพื้นที่ จูเลียซึ่งเคยมาถึงเมือง Izlude เป็นครั้งแรกเธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสินค้าที่วางขายอยู่มากมายในตลาดแห่งนี้แต่ว่าเธอก็ต้องอดใจที่จะไม่ซื้ออะไร เนื่องจากว่าเธอนั้นไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น เธอจำเป็นที่จะต้องสำรองเงินเอาไว้บางส่วนหากว่าเธอนั้นทำภารกิจผิดพลาด หรือว่าไม่สามารถที่จะออกล่ามอนสเตอร์เพื่อหาของมีค่ามาขายเอาเงินได้ เธอจึงได้แต่เดินดูตลาดรอบๆว่ามีอะไรที่น่าสนใจขายบ้าง บางทีเธออาจจะกลับมาซื้อมันในวันหลังก็เป็นได้“เร่เข้ามาครับๆ !! ของกินของใช้ถูกๆมากมายครับ มีให้เลือกหลายอย่าง ใครสนใจสอบถามได้นะครับ” เสียงของพ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งตะโกนเรียกลูกค้าซึ่งกำลังเดินผ่านไปผ่านมาอยู่อย่างขะมักเขม้น เขานั้นกำลังตั้งร้านขายสินค้าอยู่ภายในตลาดของเมือง Izlude สินค้าที่เขาวางขายนั้นมีมากมายตั้งแต่น้ำยา Potion ไปจนถึงอุปกรณ์สวมใส่หลายชนิดจูเลียนั้นรู้สึกสนใจสินค้าซึ่งพ่อค้าคนนี้วางขายอยู่ เธอจึงค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆแผงของเขาเพื่อจะมองดูสินค้าของเขาว่ามีอะไรขายบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอนั้นเพ่งจุดสนใจไปยังอุปกรณ์สวมใส่ซึ่งวางเรียงรายกันอยู่บนผืนผ้าใบที่ถูกปูอยู่บนพื้น พ่อค้าหนุ่มเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าคนนึงสนใจในสินค้าซึ่งเขาวางขายอยู่ เขาก็เข้าไปต้อนรับด้วยท่าทางที่ยินดีปรีดา“ยินดีต้อนรับครับคุณหนูไม่ทราบว่าสนใจอุปกรณ์ชิ้นไหนหรือครับ ? สอบถามได้นะครับ ?” พ่อค้าหนุ่มเขาเป็นชายหนุ่มที่มีอายุประมาณ 19 - 20 ปี รูปร่างของเขานั้นผอมสูงเขามีส่วนสูงประมาณ 180 cm เขามีผิวสีขาวและเรียบเนียนแบบคนเอเชีย เขาไว้ผมยาวจนถึงท้ายทอย เส้นผมของเขานั้นมีสีแดงเพลิงและเรียบตรงทิ้งตัวลงมา ดวงตาของเขานั้นกลมเรียวบ่งบอกได้ถึงความกระตือรือร้น นัยน์ตาของเขานั้นมีสีเหลืองอำพันดูสว่างสดใสและมีเสน่ห์ ท่าทางและคำพูดของเขานั้นดูฉลาดเฉลียวและสุขุมรอบคอบ “ค่ะ ขอถามราคาหน่อย….มีดเล่มนี้ขายอยู่เท่าไหร่คะ ?” จูเลียเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสดอกสนใจก่อนที่เธอจะชี้มือไปยังมีด Stiletto ซึ่งวางอยู่บนผืนผ้าใบในร้านของพ่อค้าคนนี้ ดูเหมือนว่าจูเลียนั้นจะให้ความสำคัญกับอาวุธเป็นอันดับแรกๆ พ่อค้าคนนี้เมื่อเห็นว่าเธอสนใจในสินค้าตัวนี้เขาก็รีบหยิบมีด Stiletto ขึ้นมาเธอให้และส่งให้เธอดูด้วยท่าทางที่กระตือรือร้น
“15000z ครับราคาไม่แพงเลยใช่ไหมครับ ? ถ้าหากว่าไปซื้อจากร้านตีดาบโดยตรงของใหม่แบบนี้ราคา 19500z เลยนะครับ” พ่อค้าหนุ่มผมสีแดงพูดโฆษณาถึงราคาของมีดที่ถูกกว่าจากการไปซื้อในร้านตีดาบเพื่อเป็นการจูงใจให้จูเลียซื้อสินค้าของเขา จูเลียรับมีด Stiletto ซึ่งพ่อค้าผมสีแดงส่งให้ไปถือดูมีด Stiletto เป็นมีดที่มีความยาวพอเหมาะ ตัวใบมีดนั้นหนาและส่วนปลายมีดมีความแหลมคมมาก มันสามารถที่จะแทงทะลุเกราะเหล็กซึ่งมีความหนาไม่มากได้ มันทำขึ้นมาจากโลหะชนิดพิเศษและใช้ฝีมือที่ประณีตในการตีมันขึ้นมา มันจึงมีพลังทำลายล้างที่สูงมากยิ่งโดยเฉพาะหากอยู่ในมือของคนที่มีความสามารถในการใช้มัน“15000z หรือคะ ? ยังจัดว่าแพงอยู่นะพี่ชายลดอีกไม่ได้หรือ ?” จูเลียพูดต่อราคาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนหวานและท่าทีที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู เธอนั้นรู้ดีว่าราคาที่พ่อค้าหนุ่มผมสีแดงกำหนดไว้นั้นเป็นราคาที่ปานกลางและสมเหตุสมผลแล้ว แต่เธอก็ยังพูดต่อราคาดูเผื่อว่าเขานั้นจะใจอ่อนและลดราคาลงมาอีก“ฮ่าๆๆ คุณหนูนี่เป็นคนน่ารักดีนะครับแต่ว่าผมคงจะลดราคาอีกไม่ได้แล้ว เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้นผมคงจะไม่ได้แม้แต่กระทั่งทุนเลยนะครับ ถ้าเกิดว่าคุณหนูอยากจะได้ Stiletto เล่มนี้จริงๆล่ะก็เอาอย่างนี้ไหมล่ะครับ ผมจะให้คุณหนูจองมีดเล่มนี้เอาไว้หลังจากนั้นวันพรุ่งนี้คุณหนูค่อยมาซื้อมันไปก็ได้ครับ เพราะว่าผมจะยังขายของอยู่ที่นี่อีก 1 วันแบบนั้นดีไหมครับ ?” พ่อค้าหนุ่มผมแดงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ฟังดูจริงจังและเชิญชวน เขาคิดว่า จูเลีย นั้นมีเงินไม่พอที่จะซื้อมีด Stiletto เขาจึงเปิดโอกาสให้เธอนั้นจอง Stiletto เอาไว้และไปทำภารกิจภายในวันนี้เพื่อที่จะได้เงินมาเพียงพอสำหรับซื้อสินค้าของเขา แต่ในความเป็นจริงนั้นจูเลียมีเงินมากพอที่จะซื้อมีด Stiletto เล่มนี้ แต่ว่าเธอนั้นก็เป็นคนรอบคอบและจำเป็นต้องสำรองเงินเอาไว้บางส่วนเธอยามฉุกเฉินแต่ข้อเสนอของพ่อค้าคนนี้ก็ดูน่าสนใจดีเธอจึงตอบไปว่า“ฟังดูไม่เลวนะคะถ้าอย่างนั้นล่ะก็ จนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ตอนเย็น ถ้าหากว่าหนูยังไม่มาซื้อมีด Stiletto เล่มนี้ไปคุณพี่ชายก็อย่าเพิ่งขายให้กับใครนะคะ สัญญานะ” จูเลียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและร่าเริง พ่อค้าหนุ่มผมสีแดงก็ยิ้มตอบรับในคำพูดของเธอ เขาเองนั้นรู้ว่าการจองปากเปล่านี้ค่อนข้างจะมีความเสี่ยงถ้าหากว่ามีลูกค้าคนอื่นต้องการจะมาซื้อมีดเล่มนี้ แต่ว่าเขาก็เลือกที่จะยอมเสียโอกาสไปบ้างเล็กน้อยเพื่อที่จะแลกกับความรู้สึกอยากลองเสี่ยงดวงกับใครบางคนแบบเจาะจงบ้าง“ผมชื่อว่าไกอัส ถ้าหากว่าคุณหนูมาที่ย่านการค้าแล้วยังไม่เจอผมตั้งร้านขายของอยู่ลองถามพ่อค้าแถวนี้ดูได้ครับ พวกเขาบางคนนั้นรู้จักผมมากพอสมควร แล้วคุณหนูล่ะชื่อว่าอะไรช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมครับ” พ่อค้าหนุ่มผมสีแดงผู้มีนามว่าไกอัสแนะนำตัวกับจูเลียด้วยท่าทางที่ดูเป็นงานเป็นการ แต่ในท่าทีของเขานั้นก็ยังแฝงความเป็นมิตรเอาไว้อีกด้วย“หนูชื่อว่าจูเลียค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณไกอัส” จูเลียกล่าวแนะนำตัวด้วยท่าทางที่ดูร่าเริงสดใสความเป็นเด็กที่ดูแก่นแก้วและซุกซนของเธอทำให้ไกอัสนั้นอดยิ้มออกมาเล็กๆ ก่อนที่จูเลียจะส่งมีดเล่ม Stiletto นั้นคืนให้กับไกอัสด้วยท่าทางที่เป็นมิตรและเธอก็เดินจากไปเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังเอเดนกรุ๊ปสาขาของเมือง Izlude - Eden Group สาขาเมือง Izlude - ว่ากันว่าบนโลกใบนี้ไม่ว่าจะมีเมืองอยู่กี่เมืองก็ตาม สมาคมเอเดนก็จะมีสาขาตั้งอยู่ทุกเมือง พวกเขานั้นเป็นเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่จะผนึกกำลังกันเพื่อต่อสู้กับปีศาจและ Monster ซึ่งกำลังรุกรานโลกใบนี้ การร่วมมือของพวกเขานั้นถูกกำหนดอย่างมีขั้นตอนผ่านทางระบบที่เรียกว่าภารกิจ ซึ่งนักผจญภัยทุกคนนั้นรู้ดีและยอมรับระบบนี้กันอย่างแพร่หลาย จูเลียก้าวเท้าเดินเข้ามาในสมาคมเอเดน ซึ่งสมาคมเอเดนประจำเมือง Izlude แห่งนี้ไม่ได้เป็นอาคารใหญ่โตโอ่โถงแบบในเมือง Prontera แต่ว่าห้องล็อบบี้ของสมาคมเอเดนประจำเมือง Izlude แห่งนี้ มีลักษณะที่ดูอบอุ่นเนื่องจากว่ามันตั้งอยู่ในอาคารซึ่งทำจากไม้ทั้งหลัง และ Lobby นั้นก็ถูกตกแต่งให้คล้ายกับบาร์เหล้าซึ่งเหล่านักผจญภัยมักจะคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้ มันดูไม่เป็นทางการและดูเป็นกันเองมากกว่า อีกครั้งในล็อบบี้แห่งนี้ยังมีอาหารและเครื่องดื่มมาจัดจำหน่ายอีกด้วยจูเลียเดินตรงเข้าไปที่บอร์ดของสมาคมทันที เธอนั้นเข้าใจระบบภารกิจของสมาคมเอเดนได้เป็นอย่างดี เพราะว่าเธอนั้นก็เคยทำมาแล้วก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เมื่อ 1 เดือนก่อน เธอกวาดสายตาไปที่กระดาษบอกรายละเอียดภารกิจทุกใบที่ถูกติดอยู่บนบอร์ด เมือง Izlude แห่งนี้เป็นเมืองท่าและเป็นที่ตั้งของสมาคมนักดาบ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่เน้นไปในด้านการค้าขายทางและขนส่งทะเล ดังนั้นชาวบ้านแถวนี้จึงไม่ค่อยมีปัญหากับ Monster ซึ่งมักจะมารุกรานพวกเขา ดังนั้นภารกิจที่ถูกติดอยู่บนบอร์ดส่วนใหญ่จึงเป็นภารกิจส่งสัมภาระเสียมากกว่า“ไม่มีงานไหนที่ดูน่าสนใจและให้เงินดีๆเลยแฮะ มีแต่ต้องใช้เวลานานๆทั้งนั้นเลย ทำยังไงดีละเนี่ย ?” จูเลียบ่นขึ้นมากับตนเองเบาๆหลังจากที่เธอได้กวาดสายตามองรายละเอียดของภารกิจทั้งหมดซึ่งถูกติดอยู่บนบอร์ดเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีภารกิจไหนที่ใช้เวลาสั้นและได้เงินมากพอสมควรตามที่เธอต้องการเลยแม้แต่ภารกิจเดียว แม้ภารกิจขนส่งสัมภาระจะได้เงินเยอะแต่ว่าก็จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วันขึ้นไปดังนั้นจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับเธอในตอนนี้จูเลียจึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปยังเคาน์เตอร์ของสมาคมเพื่อที่จะตามหาถึงภารกิจที่เธอต้องการ แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าตรงเข้าไปยังเคาน์เตอร์นั้นสายตาของเธอก็ต้องไปสะดุดเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวคนนี้เธอมีอาชีพเป็นนักดาบเธอกำลังยืนจดๆจ้องๆอยู่ ที่ด้านหน้าบอร์ดของสมาคมภายในมือของเธอนั้นมีกระดาษภารกิจซึ่งเธอได้หยิบมาจากบอร์ดแล้วถือเอาไว้ในกำมือ ท่าทางของเธอนั้นเหมือนกำลังกังวลอะไรบางอย่างอยู่มากๆ จูเลียสังเกตพฤติกรรมเธออยู่พักหนึ่งหลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวคนนั้นก็ค่อยๆเดินเข้าไปยังเคาน์เตอร์ลงทะเบียนของสมาคมพร้อมกับกระดาษภารกิจซึ่งเธอกำอยู่ในมือนานสองนาน“เอ่อ…..อ่า….คือว่า…...ฉันอยากจะขอลงทะเบียนภารกิจนี้นะคะ ? ได้ไหมคะ ?” เจ้าหน้าที่หนุ่มของสมาคมเอเดนซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์มองใบภารกิจของหญิงสาวคนนี้ด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิดก่อนที่เขาจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและราบเรียบว่า
“ขอโทษนะครับ …. ภารกิจที่คุณจะลงทะเบียนเป็นภารกิจในการกำจัด Goblin 50 ตัว พวกเราได้รับการไหว้วานมาจากกองคาราวานพ่อค้าเพราะว่าพวกเขาถูก Goblin โจมตีบ่อยครั้ง Goblin ไม่ใช่ Monster ที่นักดาบเพียงคนเดียวจะสามารถเอาชนะได้ง่ายๆ ระดับของมันค่อนข้างที่จะมากอยู่นะครับและพวกมันนั้นมักจะรวมตัวกันอยู่เป็นฝูงใหญ่ ไม่ทราบว่าจะลงทะเบียนแบบคนเดียวหรือว่าจะลงทะเบียนแบบปาร์ตี้ครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มของสมาคมถามกับหญิงสาวผู้นั้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง
Monster Goblin นั้นเป็น Monster ที่มักจะอาศัยอยู่ในป่าลึกซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อระหว่าง Prontera และพวก Geffen พวกมันนั้นเป็นชนเผ่าของสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับพวกออค แต่พวกมันนั้นมีสติปัญญาที่สูงกว่าออคเล็กน้อยถึงจะไม่ฉลาดเท่ากับมนุษย์ก็ตามที พวกมันนั้นมีฐานะทางสังคมแบบชัดเจนและมีการตั้งหัวหน้าเผ่าแบบเดียวกับพวกออค ร่างกายของมันนั้นมีขนาดเล็กแต่ก็มีความปราดเปรียวสูงและมักจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ดังนั้นพวกมันจึงจัดว่าอันตรายมากพอสมควรสำหรับนักผจญภัยไม่ว่าจะหน้าใหม่หรือหน้าเก่า“อะ….อยากจะลงทะเบียนแบบปาร์ตี้ค่ะ ถึงตอนนี้จะยังไม่มีสมาชิกคนอื่นเลยก็เถอะ ได้ไหมคะ ?” หญิงสาวคนดังกล่าวนั้นพูดตอบกลับเจ้าหน้าที่ของสมาคมหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและฟังดูโลเล เธอเหมือนเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตนเองเท่าไรนักทั้งการแสดงออกและคำพูดคำจา เธอเป็นหญิงสาวที่มีอายุประมาณ 18-19 ปี รูปร่างของเธอนั้นเล็กและผอมบางส่วนสูงของเธออยู่ที่ประมาณ 160 cm เท่านั้นผิวพรรณของเธอนั้นขาวสะอาดและดูนุ่มนิ่มดุจหิมะ เธอมีเส้นผมที่ยาวและเงางามเป็นประกายความยาวของเส้นผมเธอนั้นน่าจะประมาณเอว แต่เธอรวบผมด้านหลังของเธอทั้งหมดเอาไว้เป็นทรงหางม้า เส้นผมของเธอนั้นมีสีน้ำตาลอ่อนแกมทองดูสวยงาม ดวงตาของเธอกลมโตรับกับใบหน้าซึ่งดูน่ารักได้สัดส่วน นัยน์ตาของเธอนั้นมีสีฟ้าสว่างสดใสราวกับอัญมณี ด้วยหน้าตาที่ดูดีและรูปร่างที่เล็กและผอมบางของเธอนั้นทำให้เธอดูขัดกับอาชีพที่เธอเลือกจะเดินซึ่งก็คือนักดาบอยู่พอสมควร“อย่างนั้นหรือครับ ? ตกลงครับ ผมยินยอมที่จะอนุมัติภารกิจนี้ให้กับคุณ แต่ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะครับภารกิจนี้ค่อนข้างจะอันตรายที่เดียว ทางที่ดีควรจะมีปาร์ตี้ไปด้วยประมาณสัก 3-4 คนนะครับ ผมขอให้คุณโชคดี” เจ้าหน้าที่หนุ่มของสมาคมเอเดนประทับตราอนุมัติภารกิจให้กับนักดาบสาวผมสีทองด้วยท่าทางที่ดูเป็นกังวลเล็กน้อย นักดาบสาวผมสีทองคนนั้นเมื่อได้รับการอนุมัติภารกิจเธอก็ถือใบภารกิจซึ่งเธอนำไปประทับตรากลับมาด้วยท่าทางที่ดูขึ้นครุ่นคิด เธอนั้นเฝ้าแต่จ้องมองใบภารกิจซึ่งอยู่ในมือของเธออย่าเงียบๆการกระทำของเธอทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของจูเลียไม่ห่าง“จะ…..จากนี้ไปฉันจะต้องหาปาร์ตี้แล้วสินะ ! จะทำยังไงดีนะ ? จะมีคนมาเข้าปาร์ตี้ของคนอย่างฉันหรือเปล่านะ ? อ่า….กังวลใจจังเลย” นักดาบสาวผมสีทองนั้นพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ท่าทางของเธอนั้นดูเป็นกังวลกับการหาปาร์ตี้ซะมากกว่าจะต้องไปเจอกับมอนสเตอร์ในภารกิจซะอีก จูเลียเมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็เดินเข้าไปหานักดาบสาวคนดังกล่าวด้วยท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉงและมุ่งมั่น ก่อนที่จะยิงคำถามใส่นักดาบสาวผมสีทองคนนั้นท่านทันทีว่า“เน่ๆ !! เธอ !! ภารกิจที่เธอรับมาเมื่อกี้นี้…..เขาให้รางวัลตอบแทนเท่าไหร่เหรอ ?” จูเลียถามออกไปอย่างตรงประเด็น ใช่แล้วการที่พวกนักผจญภัยนั้นจะเข้าปาร์ตี้กันก็เพื่อไปปฏิบัติภารกิจและหวังเงินรางวัล รางวัลตอบแทนทั้งหมดนั้นก็จะต้องถูกแบ่งออกตามสัดส่วนของสมาชิกในปาร์ตี้ นักดาบสาวผมสีทองเมื่อได้ยินจูเลียตรงเข้ามาถามเธอ เธอก็รู้สึกตกใจและก็ตอบกลับไปด้วยท่าทางที่ดูตะกุกตะกักกว่า“เห๊ะ !! อะ….เอ่อ…...40000z ค่ะ ….” คำตอบของนักดาบสาวผมสีทองนั้นทำให้จูเลียรู้สึกพอใจและยิ้มเผยให้เห็นไรฟันออกมาทันที ค่าตอบแทนของภารกิจนี้ค่อนข้างที่จะสูงสมราคาและความเสี่ยงที่ผู้ปฏิบัติจะต้องได้พบเจอจริงๆ เธอจึงกล่าวกับนักดาบสาวทันทีว่า“เธอกำลังหาคนอยู่ใช่ไหม ?! ให้ฉันเข้าปาร์ตี้ของเธอด้วยสิ !! ฉันอยากจะทำภารกิจล่ามอนสเตอร์อยู่พอดีเลย….นะ !!” จูเลียกล่าวขึ้นเพื่อขอเข้าร่วมปาร์ตี้กับนักดาบสาวผมสีทอง นักดาบสาวเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจก่อนที่จะตอบตกลงคำขอเข้าร่วมปาร์ตี้ของจูเลียอย่างรวดเร็วเหมือนแทบจะไม่ได้ทันไตรตรองอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว“ตกลงค่ะ !! ดีใจจังเลย ไม่นึกเลยว่าจะได้คนเข้าร่วมปาร์ตี้เร็วขนาดนี้ ฉันมีชื่อว่าแกมเบียร์ จะเรียกสั้นๆว่าเบียร์เฉยๆก็ได้นะยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” นักดาบสาวผมสีทองกล่าวแนะนำตัวว่าเธอชื่อแกมเบียร์ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยจะมีความมั่นใจนักและค่อนข้างจะแผ่วเบา จูเลียนั้นเมื่อเห็นท่าทางของเธอเป็นเช่นนี้เธอก็แนะนำตัวกลับไปว่า“อืม !! ถ้าอย่างนั้นฉันจะขอเรียกเธอว่าเบียร์ก็แล้วกันนะ ส่วนฉันมีชื่อว่า จูเลีย ฉันเดินทางมาจาก Alberta เพิ่งจะมาถึงที่นี่วันนี้เองยังไงก็ขอฝากตัวด้วยนะ !!” จูเลียกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่ร่าเริง ก่อนที่จะยิ้มให้กับนักดาบสาวด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร หลังจากนั้นพวกเธอทั้งสองคนก็ไปนั่งรอที่โต๊ะภายในล็อบบี้ของเอเดนกรุ๊ป ซึ่งใช้ในการรอรับสมัครปาร์ตี้ จูเลียหันมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาเข้าปาร์ตี้กับพวกเธอเลยเธอจึงกล่าวขึ้นมากับแกมเบียร์ว่า“รอมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีใครมาขอเข้าปาร์ตี้เราเลย แบบนี้คงจะต้องใช้วิธีสุดท้ายแล้วละนะ”จูเลียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังแต่ในน้ำเสียงของเธอก็แฝงไปด้วยเลศนัย คำพูดของเธอนั้นทำให้แกมเบียร์รู้สึกแปลกใจมากเธอจึงถามจูเลียขึ้นมาว่า“วะ…..วิธีสุดท้ายนี่จะต้องทำยังไงเหรอ ?” แกมเบียร์กล่าวถามจูเลียด้วยท่าทางที่ซื้อๆ จูเลียนั้นเมื่อได้ยินแกมเบียร์ถาม เธอก็ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูตื่นเต้นแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากลแก่ผู้ที่ได้พบเห็นก่อนที่เธอจะตอบกลับไปว่า“มันก็ต้องไปจับเจ้าพวกที่จะมาทำภารกิจแต่ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ และก็ดูหงอยๆอยู่ที่หน้าบอร์ดไง !!หลังจากนั้นกับมัดมือชกให้พวกมันไปกับเราซะเลยฟังดูเข้าท่าใช่ไหมล่ะ !!” จูเลียกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูกระฉับกระเฉงและร่าเริงราวกับว่ามันเป็นเรื่องสนุก ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นมาจากโต๊ะซึ่งพวกเขาทั้งสองคนนั้นนั่งรอรับสมัครปาร์ตี้อยู่ด้วยกันและเดินตรงไปที่บอร์ดทันที to be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 4, 2018 11:09:30 GMT
EP.5 ออกเดินทาง
- ล็อบบี้ของเอเดนกรุ๊ปภายในเมือง Izlude -
หลังจากที่จูเลียได้เข้าปาร์ตี้กับแกมเบียร์เรียบร้อยแล้ว เธอก็คิดจะหาสมาชิก Party เพิ่มเพื่อที่จะไปปฏิบัติภารกิจในการกำจัด Goblin ซึ่งพวกเธอนั้นได้รับมา จูเลียค่อยๆเดินไปยังบอร์ดของสมาคมเอเดนอีกครั้งก่อนที่จะกวาดสายตาเพื่อมองไปยังกลุ่มนักผจญภัยซึ่งมายืนรวมกันอยู่ที่หน้าบอร์ด ย่อมเป็นที่รู้กันดีว่านักผจญภัยทุกคนที่มายัง Eden Group นั้นมาเพื่อที่จะหาภารกิจทำเพื่อแลกกับค่าตอบแทน บางคนก็ได้ภารกิจที่ถูกใจแล้วส่วนบางคนนั้นยังตัดสินใจไม่ได้ เป้าหมายของจูเลียคือหาคนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำภารกิจอะไรดีและคนๆนั้นจะต้องเป็นคนที่มีฝีมือมากพอที่จะไม่เป็นภาระให้กับพวกเธอ
「นี่ฉันไม่ได้มาหาคนเข้าปาตี้นานขนาดไหนแล้วนะ ? นั่นสินะนับตั้งแต่วันนั้นนี่นาวันที่ปาร์ตี้ของพวกเราถูกทำลายจนหมดและมีฉันเหลือแค่คนเดียว ไม่นึกเลยนะว่าจะต้องได้มาทำอะไรแบบนี้อีก…..」ในระหว่างที่จูเลียกำลังเดินหาคน ห้วงความคิดของเธอก็มีคำถามเหล่านี้ปรากฏขึ้นมา ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะไม่ได้มารับภารกิจที่สมาคมเอเดนและหาปาร์ตี้ไปเพื่อผจญภัยมาสักระยะหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่วันที่ปาร์ตี้ของเธอนั้นถูก Vagabond Wolf โจมตีและทุกคนตายหมดยกเว้นเธอ
แต่แล้วห้วงความคิดของเธอนั้นก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อสายตาของเธอนั้นไปสะดุดเข้ากับนักเวทย์ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังจ้องมองบอดภารกิจของสมาคมอยู่ด้วยสายตาที่เลื่อนลอย เขาเป็นนักเวทย์ชายหนุ่มซึ่งมีอายุประมาณ 18 - 19 ปีเขามีรูปร่างสมส่วนส่วนสูงของเขานั้นอยู่ที่ประมาณ 170 cm เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาดี ผิวของเขานั้นเป็นสีขาวไข่ไก่ เขาไว้ผมสั้นเส้นปรกหูเส้นผมของเขานั้นเรียบและเงางามแต่ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย เเส้นผมของเขามีสีน้ำตาลเปลือกไม้ ดวงตาของเขานั้นกลมเรียว นัยน์ตาของเขานั้นมีสีน้ำตาลเช่นเดียวกับเส้นผมของเขา
นักเวทนั้นแม้จะเป็นอาชีพที่มีสมรรถภาพทางด้านร่างกายที่ค่อนข้างจะอ่อนแอ แต่ว่าเวทมนตร์ของพวกเขานั้นมีพลังทำลายล้างค่อนข้างที่จะมากเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ ดังนั้นการที่มีนักเวทย์อยู่ในปาตี้จะสามารถช่วยทำดาเมจให้กับศัตรูได้อย่างดีทีเดียว จูเลียนั้นจึงตรงเข้าไปหานักเวทย์ชายหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ลังเล
“ขอโทษนะคะ ? พี่ชายไม่ทราบว่ากำลังจะหาภารกิจทำอยู่หรือเปล่าคะ ?” จูเลียเอ่ยทักนักเวทย์หนุ่มคนนี้ขึ้นมาทันทีที่เข้าไปถึงด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนิ่มนวลและร่าเริง นักเวทย์หนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลเมื่อได้ยินเสียงของเธอ เขาก็หันมาหาเธอทันทีท่าทางของเขานั้นดูเหมือนว่าจะแปลกใจที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาทักอยู่พอสมควร ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นกับจูเลียว่า
“อ๊ะ !! ใช่แล้วครับผมกำลังหาภารกิจทำอยู่ แล้ว…..เธอมีธุระอะไรกับผมอย่างนั้นหรือครับ” นักเวทย์ชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลกล่าวตอบจูเลียด้วยท่าทางที่ยังดูสับสนเล็กน้อย จูเลียนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมีความต้องการที่ค่อนข้างจะตรงกับที่เธอจะเสนอไป เธอจึงกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและร่าเริงว่า
“เน่ๆ...คือว่าพวกฉันกำลังจะออกไปทำภารกิจกันน่ะ มันเป็นภารกิจที่จะต้องกำจัด Goblin จำนวน 50 ตัวแล้วปาร์ตี้ของพวกเรามีกันอยู่แค่ 2 คน ก็เลยอยากจะได้คนเพิ่ม นายจะไปด้วยกันไหมคะ ค่าตอบแทนของงานนี้อยู่ที่ 40000z เรากะว่าจะหาสมาชิกสัก 4 คนถ้าเกิดว่านายไปด้วยนายก็จะเป็นคนที่ 3 น่ะ” จูเลียกล่าวชักชวนนักเวทย์หนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลด้วยท่าทางที่ดูร่าเริง เธอนั้นหวังว่าเขาจะสนใจเข้าร่วมปาร์ตี้ในภารกิจที่พวกเธอมาชักชวน และดูเหมือนว่าความหวังของเธอนั้นก็จะกลายเป็นความจริง เมื่อนักเวทย์หนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลกล่าวขึ้นกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบง่ายสบายสบายแต่ก็จริงจังว่า
“ฟังดูน่าสนใจดีนะครับ ตกลงครับ ผมขอเข้าร่วมปาร์ตี้ของเธอด้วย ผมชื่อแกรนด์…..แกรนด์ ไซเฟอร์ ผมอาจจะยังไม่ค่อยมีประสบการณ์และทำอะไรผิดพลาดบ้างแต่ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” นักเวทย์หนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลซึ่งมีนามว่าแกรนด์กล่าวแนะนำตัวกลับจูเลียด้วยท่าทางที่ดูสุภาพและจริงจัง ถึงแม้ว่าเขานั้นจะมองว่าจูเลียนั้นมีอายุน้อยและเป็นเด็กมากกว่าเขา แต่ในฐานะของนักผจญภัยแล้วอายุนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่นัก สิ่งที่สำคัญก็คือความสามารถในการตัดสินใจและฝีมือต่างหาก
“ฉันชื่อว่าจูเลียและเพื่อนของฉันอีกคนก็ชื่อว่าแกมเบียร์ เธอนั่งคอยอยู่ที่โต๊ะตรงโน้น พวกเราเองก็ขอฝากตัวด้วยนะแกรนด์” จูเลียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูร่าเริงและจริงใจ ก่อนที่จะยิ้มยิงฟันออกมาด้วยท่าทางที่ร่าเริงและแก่นแก้ว แกรนด์เมื่อเห็นท่าทางของ จูเลียเขาก็ยิ้มออกมาเล็กๆที่มุมปาก เขานั้นมอง จูเลียว่าเธอช่างเป็นนักผจญภัยที่ดูร่าเริงสดใสเสียจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นปาร์ตี้ของพวกเราก็มีสมาชิก 3 คนแล้วสินะครับ เมื่อกี้นี้เธอบอกว่าต้องการสมาชิกประมาณ 4 คน ผมมีคนรู้จักอยู่คนหนึ่งเขาก็น่าจะสนใจที่จะทำภารกิจเหมือนกัน ผมอยากจะลองไปชวนเขาดูไม่ทราบว่าจะรังเกียจไหมครับ ?” แกรนด์นั้นกล่าวขึ้นกับจูเลียด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเอง เขานั้นมีเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งน่าจะสนใจในภารกิจซึ่งพวกเธอกำลังจะไปทำ จูเลียเมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับ มันก็คงจะดีเหมือนกันถ้าหากว่าเธอจะไม่ต้องไปเดินหาสมาชิกคนใหม่อีกแต่ว่ามีคนชวนเข้ามาเองแบบนี้ เธอจึงบอกให้ แกรนด์ไปพาเพื่อนของเขามาในขณะที่เธอและแกมเบียร์จะนั่งรออยู่ที่โต๊ะภายในล็อบบี้ของสมาคม
หลังจากนั้นแกรนด์ก็เดินออกจากล็อบบี้ของสมาคมเอเดนไป เวลาผ่านไปไม่นานนัก แกรนด์ ก็กลับมาพร้อมกับนักบวชสาวคนหนึ่ง เธอมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับ แกรนด์ เธอเป็นนักบวชสาวที่มีเส้นผมสีทองซึ่งยาวและมัดรวบเอาไว้ด้านหลัง รูปร่างของเธอนั้นเล็กและบอบบาง เธอและ แกรนด์ เดินตรงเข้าไปหาพวกจูเลียซึ่งนั่งคออยู่ที่ล็อบบี้ก่อนที่เธอจะแนะนำตัวว่า
“สวัสดีค่ ะฉันเป็นเพื่อนของคุณแกรนด์ เขาแนะนำให้ฉันมาร่วมทำภารกิจด้วย ฉันมีชื่อว่า มิเรียนน่า จิอันนิโน่ เรียกสั้นๆว่ามาเรียก็ได้ค่ะยินดีที่ได้รู้จักและขอฝากตัวด้วยนะคะ” มาเรียนั้นแนะนำตัวกับจูเลียตและแกมเบียร์ด้วยท่าทางที่ดูสุภาพและอ่อนโยน เธอนั้นเป็นนักบวชสาวซึ่งเคยเข้าร่วมช่วยเหลือปาร์ตี้ของจีต้าซึ่งถูกพวกออคจับไปเมื่อครั้งก่อน แกรนด์ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของมาเรียยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเองก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมาว่า
“ถ้าจะไปเจออะไรที่มันหนักๆ มีนักบวชไปด้วยน่าจะดีกว่านะครับ เท่านี้สมาชิกของเราก็พร้อมแล้วเตรียมตัวออกเดินทางกันเถอะ เดี๋ยวผมจะไปเช่า Pecopeco ที่ร้านเช่าสัตว์พาหนะสักหน่อยบางทีมันอาจจะทำให้พวกเราเดินทางได้เร็วขึ้น ใช้ 2 ตัวก็น่าจะพอนะครับ” แกรนด์ กล่าวออกมาด้วยท่าทางที่กระตือรือร้น ก่อนที่จะเดินออกจากล็อบบี้ของสมาคมเอเดนเพื่อตรงไปยังร้านเช่าสัตว์พาหนะ ท่าทางที่สุขุมเยือกเย็นของเขานั้นดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อจะต้องถึงคราวที่จะเดินทาง บางทีเขาอาจจะชื่นชอบเวลาตอนขี่ Pecopeco อยู่ก็เป็นได้
“เมื่อกี้ยังดูขรึมๆ นิ่งๆ อยู่เลยนะนายคนนั้น ทำไมตอนกำลังจะออกเดินทางถึงได้ดูกระปรี้กระเปร่าจัง แปลกดีเหมือนกันนะคนเรา” จูเลีย รู้สึกผิดสังเกตเธอจึงกล่าวขึ้นมาลอยๆ แต่ท่าทางว่าคำพูดของเธอนั้นจะทำให้มาเรียรู้สึกตลกขบขัน เธอจึงหัวเราะเล็กๆในลำคอก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนานว่า
“แกรนด์ ถึงเขาจะเป็นนักเวทย์แต่เขาก็ชอบขี่ Pecopeco มากเลยนะคะ เวลาตอนจะได้ขี่ Pecopeco เขาจะกระตือรือร้นทุกครั้งเลยเห็นแบบนี้แล้วดูน่าสนุกดีนะคะ” คำพูดของมาเรียนั้นทำให้จูเลียเข้าใจได้อย่างดีว่าทำไมนักเวทย์หนุ่มเพื่อนร่วมปาร์ตี้ของเธอถึงได้แสดงอาการอย่างนั้นออกมา เธอก็ได้แต่ทำหน้านิ่งๆไม่พูดอะไรต่อไป แต่ดูเหมือนว่าแกมเบียร์นั้นจะรู้สึกสนอกสนใจทั้งสองคนขึ้นมาอยู่ไม่น้อย แกมเบียร์จึงเอ่ยปากถามมาเรียขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า
“เอ่อ….พวกคุณทั้งสองคนดูน่ารักดีนะคะ ? เป็นแฟนกันใช่ไหมคะ ?” แกมเบียร์ยิงคำถามขึ้นอย่างแผ่วเบาและน้ำเสียงของเธอนั้นก็ฟังดูใสซือ มาเรียเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถึงกับตกใจขึ้นมาเล็กๆก่อนที่เธอจะรีบตอบปฏิเสธกลับมาทันทีว่า
“มะ….ไม่ใช่หรอกค่ะ ! ฉันกับแกรนด์บางทีก็อยู่ในปาตี้เดียวกันบ้างเป็นบางครั้ง พวกเราก็เลยรู้จักกันไปโดยปริยายค่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอกนะคะ” มาเรียนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังแต่ก็ดูลนลานเล็กน้อย แกมเบียร์ซึ่งไม่รู้ว่าตนเองนั้นได้ถามอะไรที่ทำให้มาเรียดูตกใจก็ได้แต่นั่งทําตาแป๋วจ้องเธอด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ
“กลับมาแล้ว !! ผมเช่า Pecopeco มาแล้วนะครับพวกเราพร้อมจะออกเดินทางกันหรือยัง !! อ๊ะ !! มาเรียเธอเป็นอะไรไปน่ะ ทำไมบรรยากาศมันถึงดูแปลกๆ ?” แกรนด์ กลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นอกจากเขาจะเช่าสัตว์พาหนะมา 2 ตัวแล้ว เขายังแวะไปที่ร้านสะดวกซื้อพร้อมกับซื้อ Potion และอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการไปปฏิบัติภารกิจมาเสร็จเรียบร้อย ชนิดที่เรียกว่าหญิงสาวทั้งสามคนนั้นไม่ต้องทำอะไรเลยแค่ขึ้นไปขี่นก Peco ก็สามารถที่จะออกไปผจญภัยได้ทันที
“ไม่มีอะไรหรอกย่ะ !! เอาล่ะ !! พวกเราไปกันเถอะ” มาเรียพูดเสียงสูงใส่ แกรนด์ เล็กๆก่อนที่จะเดินออกไปจากล็อบบี้ของสมาคมเอเดนเพื่อตรงไปยังสัตว์พาหนะซึ่งยืนคอยอยู่ที่ประตูทางออกของสมาคม แกรนด์ นั้นได้แต่ทำหน้ามึนงงสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับท่าทางของมาเรียมากนัก เพราะว่าเขารู้ว่าบางทีหญิงสาวนั้นก็มีพฤติกรรมที่ผู้ชายไม่สามารถจะเข้าใจได้อยู่ด้วย
“จูเลียจังนี่ฉันพูดอะไรที่มันไม่เข้าท่าออกไปหรือเปล่านะ…..” แกมเบียร์นั้นยังคงแปลกใจ เธอได้แต่ถามคำถามซึ่งคาอยู่ในใจของเธอกับจูเลียเบาๆ จูเลียนั้นได้แต่ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยก่อนที่จะหัวเราะอย่างสนุกสนานเล็กๆในลำคอและพูดออกมากับแกมเบียร์เบาๆว่า
“ฮิฮิฮิ ! เปล่าหรอกเธอไม่ได้พูดอะไรผิดหรอก ว่าแต่ว่า…..น่ารักดีเหมือนกันนะสองคนนั้นน่ะ” จูเลีย พูดพลางใช้แขนของเธอเท้าคางและเอียงคอมองมาเรียและ แกรนด์ ซึ่งกำลังจะเดินออกไปจากล็อบบี้ของสมาคมด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ท่าทางของเธอนั้นทำให้แกมเบียร์ถึงกับเอียงคอมองเธอความสงสัย
“เฮ้ !! พวกเรากำลังจะออกเดินทางแล้วนะไปกันเถอะเร็วเข้า” แกรนด์ ตะโกนบอกจูเลียและแกมเบียร์ด้วยน้ำเสียงที่สดใสและกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าเขาอยากจะขึ้นไปขี่บนหลังของเจ้า Peco เต็มแก่แล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นจูเลียและแก้มเบียร์จึงลุกขึ้นจากโต๊ะซึ่งพวกเธอนั่งอยู่และเดินตรงไปยังประตูทางออกของสมาคมพวกเขาทั้ง 4 คนนั้นกำลังจะออกเดินทางเพื่อไปทำภารกิจที่ได้รับมา
- กลางถนนซึ่งเป็นทางมุ่งสู่ป่าที่เป็นที่อาศัยอยู่ของ Goblin -
“ย๊าาาฮู้ววว !! เยี่ยมยอดไปเลย !! สายลมฉันกำลังรู้สึกได้ถึงสายลม !!” แกรนด์ กำลังควบ Peco ให้วิ่งทะยานไปในเส้นทางเข้าสู่ป่าด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ท่าทางของเขานั้นดูสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าอีกทั้งยังยินดีปรีดาเต็มที่ ดูเหมือนว่ามาดหนุ่มที่เยือกเย็นและสุขุมของเขาก่อนหน้านี้นั้นมลายหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อเขาได้กระทำในสิ่งที่ชอบใจ มาเรียซึ่งนั่งอยู่บนหลังของเจ้านก Peco ตัวเดียวกับ แกรนด์ เธอนั้นนั่งอยู่ในสภาพที่หวาดกลัวสุดขีดแขนทั้งสองข้างของเธอนั้นจับเอาไว้ที่ไหล่ของแกรนด์อย่างมั่นคง เพราะว่าหากเธอเผลอแม้เพียงวินาทีเดียว เธอคงจะร่วงลงไปจากเจ้าสัตว์พาหนะตัวนี้เป็นแน่
“แกรนด์ ช้าๆหน่อยได้ไหม !! นายจะรีบไปไหนของนายเนี่ย !! ม๊ายยยย !!” มาเรียกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหวาดกลัวราวกับจะกรีดร้อง แต่ว่าคำพูดของเธอนั้นไม่ได้เข้าไปสู่โสตประสาทของแกรนด์เลยแม้แต่นิดเดียว เขายังคงควบเจ้านก Peco พุ่งทะยานออกไปอย่างเต็มกำลังฝีเท้าเช่นเดิม จูเลีย และแกมเบียร์ซึ่งเป็นอีกคู่หนึ่งซึ่งกำลังควบนกวิ่งตามหลังแกรนไปมองมาเรียซึ่งอยู่บนหลังของนกที่แกรนกำลังควบด้วยสายตาที่ดูเวทนา
“จะไหวไหมเนี่ยท่าทางแบบนี้….สงสัยได้ตายก่อนไปสู้กับพวก Goblin ซะล่ะมั้ง” จูเลีย กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนอกอ่อนใจหลังจากเห็นท่าทางของมาเรียซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะหวาดกลัวสุดขีด แต่ว่าแก้มเบียร์ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังของ จูเลียนั้นกลับมองเห็นเจ้านกที่แกรนด์ขับพุ่งทะยานออกไปด้วยแววตาที่เปล่งประกายก่อนที่เธอจะกล่าวออกมาเบาๆว่า
“น่าสนุกจังเลยนะคะ…..” คำพูดของแก้มเบียร์นั้นทำให้ จูเลียถึงกับนิ่งอึ้งและก็ไม่พูดอะไรออกมาก่อนที่เธอจะทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวออกมาลอยๆว่า
“เบียร์ขากลับเธอลองนั่งซ้อนเจ้าหมอนั่นดูไหม ? แล้วก็ให้คุณมาเรียมานั่งกับฉันเนี่ย….” จูเลียนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนอกอ่อนใจ แต่ว่าแกมเบียร์เมื่อได้ยิน จูเลียพูดดังนั้นแววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีและก็ตอบจูเลียกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร่าเริงว่า
“ได้หรือคะ ? ตกลงค่ะน่าสนุกจังเลยอยากให้ถึงขากลับไวๆจัง !!” ทันทีที่ได้ยินปฏิกิริยาตอบกลับและคำพูดของแกมเบียร์ จูเลียนั้นก็ได้แต่นิ่งไม่พูดอะไรออกมา ได้แต่คิดว่าคนเรานี้ช่างมีความชอบและอุปนิสัยที่แตกต่างกันเสียเหลือเกิน แต่ถึงจะอย่างไรก็ช่างเถอะเพราะแบบนี้ละมั้งการที่ได้อยู่รวมกลุ่มกับคนอื่นมันถึงได้มีเรื่องที่สนุกไม่รู้จบจริงๆ
หลังจากที่พวกเขาเดินทางกันระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดทั้ง 4 คนก็มาถึงจุดหมายนั่นก็คือป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่า Goblin ซึ่งทางสมาคมพ่อค้าได้ว่าจ้างให้พวกเขามากำราบและลดจำนวนของพวกมันลง ทั้ง 4 คนนั้นได้หยุด Peco ซึ่งเป็นสัตว์พาหนะผูกเอาไว้ที่ชายป่า ก่อนที่จะนำสัมภาระและอุปกรณ์ที่ใช้ในการต่อสู้ติดตัวไป มาเรียซึ่งลงจากหลังนกเธอรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นักเนื่องจากว่าต้องนั่งอยู่บนหลังของนกซึ่ง แกรนด์ เป็นคนขับขี่ ทั้งสามคนที่เหลือจึงต้องรอให้อาการของเธอดีขึ้นสักครู่ก่อนที่พวกเขาจะได้เริ่มลงมือทำภารกิจกัน
“ไม่ไหวเลยน๊า นี่เธออ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ยมาเรีย...” แกรนด์กล่าวพูดแซวมาเรียขึ้นมาด้วยท่าทางที่สนิทสนม เขารู้ดีว่าที่เธอต้องเป็นเช่นนี้เพราะว่าความรักสนุกในความรวดเร็วของเขา มาเรียเมื่อได้ยินแกรนด์แซวเธอดังนั้น เธอก็หันกลับมามองเขาด้วยแววตาที่ดูไม่พอใจเล็กๆก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า
“ทั้งหมดมันก็เพราะนายไม่ใช่หรือไง !! ขากลับฉันขอนั่งกับจูเลียจังดีกว่า” เมื่อได้ยินมาเรียพูดดังนั้นแกรนด์ก็ไม่สามารถจะตอบอะไรได้ เขาได้แต่หัวเราะและยิ้มเจื่อนๆอย่างสำนึกผิด แต่แล้วในระหว่างที่ทั้งสองคนนั้นกำลังพูดคุยเล่นกันอย่างเป็นกันเองจูเลียก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ภายในป่า ประสาทหูของเธอนั้นค่อนข้างที่จะดีเมื่อเทียบกับคนอื่นหรืออาจจะเป็นเพราะว่าเธอมีอาชีพเป็นโจรก็ได้แต่ว่าเธอนั้นได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นมาภายในป่าซึ่งน่าจะเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของ Goblin
ชิ้ง !! เคร้ง !! เสียงของโลหะกระทบกันดังแว่วขึ้นมา เสียงเหล่านี้นั้นไม่น่าจะเป็นเสียงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าได้ มันเป็นความผิดปกติที่เธอสัมผัสได้อย่างเด่นชัด เธอจึงขอให้ทุกคนในปาร์ตี้ของเธอนั้นงดการใช้เสียง หลังจากนั้นเธอก็เปิดโสตประสาทของเธออย่างเต็มที่เพื่อที่จะเงี่ยหูฟังเสียงที่ผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นภายในป่านั้น
“มีอะไรบางอย่างกำลังต่อสู้กันอยู่ในป่าค่ะ จะเป็นพวก Goblin หรือเปล่าก็ไม่รู้ เอายังไงดีคะ ?” เมื่อสามารถวิเคราะห์เสียงได้อย่างแน่ชัดแล้วว่าเป็นเสียงการต่อสู้ไม่ผิดแน่ จูเลีย ก็กล่าวถามความเห็นของสมาชิกทุกคนภายในปาร์ตี้ของเธอว่าจะทำอย่างไรดี
“น่าแปลกอยู่นะคะ มีคนที่รับภารกิจกำจัด Goblin นอกจากพวกเราและมาเริ่มลงมือที่นี่แล้วหรือ ?” มาเรียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความแปลกใจ บางทีพวกเธอนั้นอาจจะถูกกลุ่ม Party อื่นตัดหน้าเพื่อมากำจัด Monster ก่อนแล้วก็ได้
“ไม่น่าใช่แบบนั้นหรอกครับ สมาคมเอเดนจะไม่ให้ภารกิจซ้ำซ้อนกันกับกลุ่มคน 2 กลุ่ม ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะต้องเอาภารกิจไปลงทะเบียนทำไม ? และถ้าเราทำไม่สำเร็จเราก็ต้องโดนปรับ ดังนั้นเสียงต่อสู้นี้น่าจะไม่ใช่คนที่รับภารกิจแบบเดียวกับเรามาก่อนหน้านี้หรอกครับ” แกรนด์ กล่าวขึ้นเสริมเนื่องจากว่าระบบการรับภารกิจของ เอเดน Group นั้นมีความพิเศษ พวกเขานั้นจะไม่ให้ภารกิจซ้ำซ้อนกันในเวลาเดียวกันถึงแม้ว่าจะได้รับการจ้างวานมาเหมือนเหมือนๆ กันก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่นมีคนจ้างวานให้นักผจญภัยไปกำจัดมอนสเตอร์ Poring และยังไม่มีนักผจญภัยคนไหนทำภารกิจนั้นเลยแต่ก็มีผู้จ้างวานอีกคนนึงมาขอให้นักผจญภัยกำจัด Monster Poring เช่นเดียวกันทางสมาคมเอเดนนั้นจะรับคำว่าจ้างของผู้ว่าจ้างอีกคนเอาไว้ แต่จะยังไม่นำใบประกาศขึ้นไปติดบนบอร์ดและยังไม่อนุญาตให้กับนักผจญภัยรับไปทำซ้ำซ้อนกัน 2 ภารกิจ กับมอนสเตอร์ชนิดเดียวกันในเวลาเดียวกัน ที่สมาคมเอเดนทำแบบนี้ ก็เพื่อลดไม่ให้เกิดการปะทะกันของปาร์ตี้นักผจญภัย 2 Party เพื่อแย่งชิง Monster ประเภทเดียวกัน หากจะเกิดการแย่งชิง Monster กันก็จะเกิดในกรณีที่มีปาร์ตี้ที่รับภารกิจและมีอีกปาร์ตี้หนึ่งซึ่งมาล่าอย่างอิสระแล้วบังเอิญใจตรงกันเท่านั้น
“ยังไงไม่ลองไปดูที่ต้นเสียงให้รู้ไปเลยล่ะค่ะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แบบนั้นน่าจะดีกว่านะ ไปกันเถอะค่ะ !!” ในเมื่อไม่สามารถจะหาข้อสรุปได้ มาเรียจึงได้เอ่ยขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนนั้นไปสำรวจที่ต้นเสียงว่าเสียงของการต่อสู้นั้นดังมาจากไหนและเพราะอะไร ซึ่งดูเหมือนว่าทุกคนในปาร์ตี้นั้นก็จะเห็นด้วยกับความคิดของเธอในเมื่อมานั่งเดาก็ไม่มีประโยชน์อะไรสู้ไปดูให้มันรู้เรื่องไปเลยจะดีกว่า
“อืม !! แบบนั้นฟังดูเข้าท่าดีนะ ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ ทุกคนระวังตัวด้วยนะในป่านี้นับตั้งแต่ก้าวแรกเป็นต้นไปไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอีกแล้ว” แกรนด์ กล่าวเตือนสมาชิกทุกคนในปาร์ตี้ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าทุกคนนั้นก็ย่อมรู้ดีอยู่แล้วก็ตามที หลังจากนั้นทุกคนก็ย่างกรายเข้าไปสู่ป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ Goblin
to be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 4, 2018 14:34:26 GMT
|
|
|
Post by wildrose on Jul 5, 2018 16:39:15 GMT
EP.6 เด็กชายผู้ลึกลับ - ภายในพระตำหนักส่วนพระองค์ของกษัตริย์ Tristan Gaebolg III - พระตำหนักแห่งนี้มีชื่อว่าปราสาท Fadhgridh (ฟาด์กริดห์) มันเป็นประสาทที่ประทับของกษัตริย์ Tristan Gaebolg III มันถูกสร้างขึ้นมาจากหินอ่อนอย่างดีสีขาวสะอาดด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่ดูใหญ่โตหรูหรา ภายนอกนั้นล้อมรอบไปด้วยสวนที่สวยงาม มีรูปปั้นรูปสลักซึ่งทำมาจากหินอ่อนสีขาวเรียงรายอยู่ภายในสวนดูตระการตา ส่วนด้านในนั้นก็ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง และภาพเขียนจิตรกรรม รวมทั้งงานปั้นที่มีค่าเรียงรายกันอยู่มากมาย ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่กษัตริย์ Tristan ทรงโปรดปรานและใช้เป็นพระตำหนักหลวง
Tristan Gaebolg III ในยามนี้เป็นราตรีอันดึกสงัด เหล่าทหารยามซึ่งเป็นกองกำลังรักษาพระองค์พากันผลัดเวรเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยกันอย่างเข้มงวด มันเป็นอย่างนี้ทุกวันเป็นประจำเพื่ออารักขาถวายความปลอดภัยให้กับพระราชา เหล่าทหารผู้เข้มแข็งยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูของปราสาทซึ่งทำมาจากเหล็กอันแข็งแกร่ง พวกเขานั้นสอดสายสายตาตลอดเวลาเพื่อให้ไม่มีแม้แต่กระทั่งหนูสักตัวที่จะลอดเข้าไปด้านในปราสาทได้กษัตริย์ Tristan ประทับอยู่ที่ห้องนั่งเล่นภายในปราสาท พระองค์ทรงกำลังทรงอักษรเกี่ยวกับหนังสือประวัติศาสตร์โบราณอยู่อย่างคร่ำเคร่ง เหมือนว่าพระองค์นั้นจะทรงกำลังพยายามค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์อยากจะรู้ หน้าหนังสือหน้าแล้วหน้าเล่าถูกเปิดขึ้นและอ่านผ่านพระเนตรอย่างละเอียด แต่ก็ดูเหมือนว่าพระองค์จะยังไม่ทรงพบสิ่งที่พระองค์กำลังค้นหาเลยแม้แต่น้อยแสงสว่างจากเทียนไขซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะหนังสือของพระองค์นั้นส่องสว่าง เปลวเทียนนั้นนิ่งสงบเพราะว่าภายในห้องที่พระองค์ทรงประทับอยู่นั้นไม่มีกระแสลมเล็ดลอดเข้าไปได้ แต่แล้วจู่ๆจุดเทียนไขเล่มน้อยซึ่งอยู่บนโต๊ะหนังสือที่พระองค์ทรงอักษรนั้นก็ดับลงอย่างไม่มีสาเหตุ พระองค์นั้นรู้สึกสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่ทันที่พระองค์จะได้ทำอะไร พระองค์ก็รู้สึกเย็นหลังวาบภายในความมืดในห้องนั้นมีอะไรบางอย่างกำลังย่างกรายเข้ามา“เจ้าผู้บุกรุก ! เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร !? แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ ! เจ้ามีธุระอะไรกับข้า ??” กษัตริย์ Tristan ลุกขึ้นจากโต๊ะหนังสือที่พระองค์ทรงทรงอักษรและหันหน้าไปในความมืดเบื้องหลัง พระองค์รู้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจับจ้องพระองค์อยู่ พระองค์จึงทรงตรัสถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบแต่แฝงไปด้วยพลังอำนาจ ไม่นานนักผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ปรากฏการณ์ออกมาให้พระองค์ได้เห็น ผู้ที่อาจหาญบุกรุกเข้ามาในพระตำหนักของกษัตริย์ Tristan กลับเป็นเด็กชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะมีอายุเพียงแค่ประมาณ 10 ขวบเท่านั้น เขาเป็นเด็กชายที่มีรูปร่างผอมบางส่วนสูงของเขานั้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 140 cm เขามีผิวสีขาวซีด และมีเส้นผมสีดำสนิท เส้นผมของเขานั้นเรียบและเป็นเงางาม และยาวประมาณใบหู เด็กผู้ชายคนนี้มีดวงตาที่กลมโตซึ่งดูลึกลับ นัยน์ตาของเขานั้นมีสีเหลืองอำพันที่ดูน่าหลงไหลแต่ก็แฝงไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว เด็กชายผู้ลึกลับคนนี้แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีดำขลิบลายทองและประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับที่ดูหรูหราสวยงามราวกับผู้มีฐานะหรือขุนนาง“เจ้าอีกแล้วหรือ ! ไม่ว่าเจ้าจะมาข่มขู่ข้าอย่างไรก็ตามข้าไม่มีวันที่จะยอมจำนนต่อเจ้าแน่เจ้าปีศาจ !” กษัตริย์ Tristan ทันทีที่เห็นหน้าเด็กชายผู้ลึกลับคนนั้น เขาก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ในเสียงนั้นก็กลับแฝงไปด้วยความยำเกรงอยู่ในที่ ดูเหมือนว่าเด็กชายคนนี้จะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว เด็กชายคนนั้นเมื่อได้เห็นท่าทีของพระองค์กล่าวเช่นนั้นเขาก็ได้แต่แสยะยิ้มออกมามันเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์และชวนให้ขนลุก“กษัตริย์ของมนุษย์….เจ้าอย่าได้กังวลไปวันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อจะมาข่มขู่เจ้า ข้ารู้อยู่แล้วว่าวิธีการแบบนั้นมันใช้ไม่ได้ผลกับเจ้าหรอก หรือมันอาจจะได้ผล….แต่มันก็ไม่ค่อยจะถูกใจข่าเท่าไหร่นัก วันนี้ข้ามาเพื่อที่จะเตือนเจ้าต่างหาก” เด็กชายในชุดผ้าไหมสีดำซึ่งดูลึกลับกล่าวขึ้นพลางค่อยๆเดินก้าวช้าๆเข้ามาหาองค์ราชา ทุกก้าวที่เด็กชายคนนี้เดินเข้ามา องค์ราชารู้สึกหวั่นเกรงและหวาดกลัวราวกับว่าพระหฤทัยของพระองค์นั้นแทบจะหยุดเต้นเลยทีเดียว ในระหว่างที่ก้าวเดินเข้ามาช้าๆนั้นเด็กชายผู้ลึกลับคนนี้ก็พูดขึ้นมาในระหว่างที่เดินว่า“ข้ารู้ว่าเจ้ากับเทพเจ้าของเจ้ากำลังวางแผนอะไรกัน พวกเจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเจ้าเอง โดยการดึงเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องจากโลกใบอื่นเข้ามายังโลกใบนี้ เจ้าหวังว่าภายในกลุ่มคนที่เจ้าเรียกมา จะมีใครสักคนหนึ่งที่จะกลายเป็นวีรบุรุษที่ช่วยเหลือเจ้าได้ เจ้าคงจะคิดแบบนั้นสินะ ใช่ไหม ?” เด็กชายผู้ลึกลับหยุดเดินเมื่อเขายืนอยู่ห่างจากองค์ราชาเพียงแค่เอื้อมมือ ใบหน้าขององค์ราชาในยามนี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อพระเนตรของพระองค์นั้นเบิกโพรง เหมือนกับว่าพระองค์ทรงกำลังเห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมากเบื้องหน้า“เจ้าปีศาจ ! เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ! คนทรยศคนไหนที่เป็นคนเอาเรื่องพวกนี้ไปบอกกับเจ้า !!” กษัตริย์ Tristan ทรงกล่าวออกมาด้วยความกราดเกรี้ยว แต่ท่าทางของพระองค์นั้นกลับทำให้เด็กชายผู้ลึกลับคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง ราวกับว่าเขากำลังเย้ยหยันกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้อยู่อย่างไม่ไว้เกียรติของพระองค์เลยแม้แต่น้อย“ฮ่ะๆๆๆๆ !! เจ้าคิดว่าข้าราชบริพารผู้ซื่อสัตย์ของเจ้านั้นมีคนทรยศอยู่อย่างนั้นเหรอ ? เจ้านี่ช่างเป็นคนที่ใจคอคับแคบซะจริง ตัวข้านั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาคนเหล่านั้นหรอก ข้าสามารถจะเห็นการกระทำของเจ้าได้เหมือนกับข้ากำลังมองลายมือของตัวเองอยู่ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร หรือไม่ว่าเจ้าจะคิดอะไรกับใคร มันอยู่ในสายตาของข้าทั้งหมด ข้าเหมือนกับเงาตามตัวเจ้า เจ้าไม่มีวันจะหลุดจากข้าได้ เข้าใจไหม ?” เด็กชายผู้ลึกลับคราวขึ้นกับ กษัตริย์ Tristan ด้วยน้ำเสียงที่ราวกับจะเย้ยหยันพระองค์ องค์ราชาเมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็ได้แต่นิ่งเงียบภายในหัวสมองของเขานั้นไม่มีความคิดอะไรผุดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยความมืดมนและอับจนปัญญา“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนเข้มแข็ง การที่ข้าพูดแบบนี้ก็คงจะทำให้เจ้ายอมแพ้เลยไม่ได้หรอก ข้าหวังว่าเจ้าจะทำให้ข้าสนุกนะองค์ราชา เจ้าจงพยายามค้นหาวีรบุรุษที่เจ้าต้องการเถอะ เจ้าต้องรีบลงมือนะไม่อย่างนั้นมันจะไม่ทันเวลา เพราะว่ากองทัพปีศาจของข้านั้นพร้อมที่จะกลับมาจากนรกและมาขยี้อาณาจักรของเจ้ารวมทั้งโลกใบนี้ให้แหลกละเอียดในไม่ช้านี้” เด็กชายผู้ลึกลับกล่าวขึ้นกับกษัตริย์ Tristan ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นเยียบและชวนขนลุก กษัตริย์ Tristan นั้นได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกับเด็กชายคนนั้นไปเลยแม้แต่คำเดียว ท่าทางของพระองค์นั้นสร้างความเบื่อหน่ายให้กับเด็กชายคนนี้ขึ้นมาพอสมควร เด็กชายคนนั้นหมุนตัวหันหลังกลับก่อนที่จะกล่าวกับพระองค์ว่า“ดูเหมือนว่าข้าจะพูดเล่นกับเจ้ามามากพอแล้ว ที่ข้ามาวันนี้ถ้ามีเรื่องที่จะมาสั่งให้เจ้าทำ เจ้าจงสั่งให้เหล่าทหารที่ซื่อสัตย์ของเจ้า ไปทำลายผนึกซึ่งเหล่านักเวทย์แห่งเมือง Geffen ดูแลอยู่ เจ้ามีเวลา 1 สัปดาห์ ถ้าเจ้ายังทำลายผนึกไม่ได้ ข้าจะมาขอเอาชีวิตลูกสาวสุดที่รักของเจ้าไป” เด็กชายผู้ลึกลับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบก่อนที่จะหันหน้ากลับมาจ้องมองไปยังใบหน้าของกษัตริย์ Tristan ดวงตาสีอำพันที่จับจ้องไปยังองค์ราชานั้น มันดูเหมือนไม่ใช่แววตาของมนุษย์ มันเป็นแววตาของปีศาจที่กระหายเลือดและเต็มไปด้วยความเกลียดชังในตัวมนุษย์ซึ่งหวนกลับมาจากนรก“เจ้าปีศาจ !! เจ้าคิดจะทำอะไรกับพลาติน่า !! ข้าไม่มีวันยอมหรอก !!” กษัตริย์ Tristan ซึ่งนื่งเงียบมาตลอด เมื่อได้ยินคำสั่งและคำขู่ของเด็กชายผู้ลึกลับ เขาก็พูดโต้ตอบออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทันที ดูเหมือนว่าเด็กชายผู้ลึกลับคนนี้จะรู้ว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่องค์ราชานั้นหวงแหน“ถ้าเจ้าอยากรู้ว่าข้าจะทำอะไร เจ้าก็ลองไม่ทำตามที่ข้าสั่งดูสิ !! แล้วเจ้าก็จะรู้เอง !!” เด็กชายผู้ลึกลับกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาและโหดเหี้ยม องค์ราชาเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นเขาก็ถึงกับเข่าทรุดลงไปนั่งกับพื้น ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและลำบากใจ“เอาละ !! วันนี้ข้าไม่มีธุระที่จะคุยกับเจ้าอีกแล้ว !! ไว้เราค่อยพบกันใหม่ องค์ราชา !” เด็กชายผู้ลึกลับเมื่อเขากล่าวจบร่างของเขาก็มลายหายไปในความมืด ราวกับหมอกควันซึ่งสลายหายไปยามต้องลมทิ้งให้องค์ราชาซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและลำบากใจต้องนั่งอยู่ภายในพระตำหนักแต่เพียงผู้เดียว แต่ว่าไม่นานนักประตูของห้องที่องค์ราชาทรงประทับอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูดังลั่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกล่าวขานเพื่อแสดงตัวตนจากผู้ที่เคาะประตูนั้น
Princess Platina “เสด็จพ่อ !! เสด็จพ่อเพคะ !! ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า ? ลูกได้ยินเสียงเสด็จพ่อกำลังคุยกับใครบางคนท่าทางน่ากลัว มีใครแอบบุกรุกเข้ามาในพระตำหนักหรือเปล่าคะ” เสียงของหญิงสาวซึ่งไพเราะสดใสแต่น้ำเสียงของเธอนั้นกลับเต็มไปด้วยความแตกตื่นกล่าวขึ้นจากด้านหลังบานประตู จากคำพูดของเธอนั้นดูเหมือนว่าเธอจะเป็นลูกสาวสุดที่รักขององค์ราชาหรือก็คือเธอเป็นองค์หญิงของอาณาจักรแห่งนี้นั้นเอง“พลาติน่า !! นั่นลูกเองหรอเข้ามาสิ...” กษัตริย์ Tristan เมื่อรู้ว่าผู้ที่มาเคาะประตูนั้นเป็นใคร พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้ผู้ที่เคาะประตูเข้ามาภายในห้อง องค์หญิงพลาติน่าจึงค่อยๆเปิดประตูและเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ดูสภาพ เธอมาพร้อมกับองครักษ์ส่วนตัวของเธอ 1 คน เธอตรงเข้ามาหาเสด็จพ่อของเธอด้วยท่าทางที่ดูห่วงใยและเป็นกังวล“พ่อไม่เป็นอะไรหรอกลูกไม่ต้องเป็นกังวล…...เมื่อครู่นี้พ่อแค่อ่านหนังสือมากไปหน่อย บางทีพ่ออาจจะกำลังเครียด ลูกไปพักผ่อนเถอะนะ สเตล่า เจ้าพาลูกข้าไปพักผ่อนเถอะไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก” กษัตริย์ Tristan กล่าวขึ้นกับองครักษ์ขององค์หญิงพลาติน่าด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบ องครักษ์คนนั้นเธอรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์ราชาอย่างแน่นอน แต่มันก็ไม่ใช่วิสัยของเธอที่จะไปสอบถาม ดังนั้นเธอจึงได้แต่โค้งคำนับและกล่าวขึ้นมาว่า
สเตล่า “รับทราบเพคะฝ่าบาท องค์หญิงวันนี้ดึกมากแล้ว ขอเชิญท่านเสด็จไปที่ห้องบรรทมก่อนเชิญทางนี้เพคะ” สเตล่ากล่าวขึ้นกับองค์หญิงพลาติน่าด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสนิทสนมดู เหมือนว่าเธอนั้นจะเป็นองครักษ์ขององค์หญิงพลาติน่ามานานแล้ว องค์หญิงเมื่อได้ยินสเตล่ากล่าวเช่นนั้นเธอก็ลุกขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะเดินตามสเตล่าออกไปจากห้องเธอก็ได้กล่าวขึ้นกับพ่อของเธอว่า“เสด็จพ่อ ถ้าหากเสด็จพ่อมีเรื่องไม่สบายพระหฤทัย ขอโปรดจงได้บอกลูกเถอะ หากลูกพอจะแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อได้ลูกยินดีที่จะทำ ได้โปรดขอให้ช่วยให้ลูกนั้นได้แบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อเถอะ” องค์หญิงพลาติน่ากล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย กษัตริย์ Tristan เมื่อได้ยินลูกสาวของตนเองพูดเช่นนั้นเขาก็เงียบไม่ตอบอะไรกลับไปแต่ว่าใบหน้าของเขานั้นบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกที่สมเพชเวทนาตัวเองจนไม่อาจจะอธิบาย หลังจากนั้นองค์หญิงและองครักษ์ของเธอก็เดินออกจากห้องไป องค์ราชาซึ่งอยู่ในห้องเพียงลำพังนั้นดูเหมือนว่าเขากำลังจะเตรียมการทำอะไรบางอย่าง - ภายในป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ Goblin - ปาร์ตี้ของ จูเลียได้ตรงไปตามเสียงการต่อสู้ซึ่ง จูเลียนั้นได้ยินที่ทางเข้าป่ายิ่ง เข้าไปใกล้เสียงการต่อสู้นั้นก็ยิ่งดังขึ้นทุกทีๆ จนในที่สุดพวกเขาทั้ง 4 คนนั้นก็ได้ไปถึงจุดที่เกิดการต่อสู้ขึ้น พวกเขาทั้ง 4 คนนั้นกำลังซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เพื่อที่จะสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆHigh Orc “ไอ้เจ้าพวกตัวจิ๋ว !! เจ้าส่งมนุษย์กลุ่มนั้นมาเดี๋ยวนี้เราจะต้องเอาพวกมันไปบูชายัญให้กับที่เทพพระเจ้าของเรา !!” High Orc ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวก่อนที่จะฟาดคมขวานลงไปเบื้องหน้าคู่ต่อสู้ของมันในตอนนี้ก็คือผู้นำของเหล่า Goblin Goblin Leader นั่นเอง แต่ดูเหมือนว่าขวานของมันนั้นจะถูก Goblin Leader ใช้หอกยาวในมือปัดป้องได้อย่างชำนาญการต่อสู้นี้ดูท่าทางจะยืดเยื้อ
Goblin Leader “ไอ้เจ้าพวกยักษ์ !! ไม่รู้จักหาเหยื่อเองหรือยังไง ถึงต้องมาแย่งของคนอื่นแบบนี้ เจ้าพวกนี้คืออาหารของเรา เราไม่ยอมให้พวกจะเอาไปแม้แต่คนเดียว เจ้ารู้ไหมพวกเราไม่ได้ลิ้มรสเนื้อมนุษย์มานานแล้ว เนื้อมนุษย์คือสุดยอดของเนื้อจากบรรดาเนื้อทั้งหมด เราจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอันขาด” Goblin Leader กล่าวตะโกนกลับไปพร้อมทั้งระดมแทงหอกเข้าใส่ High Orc ที่รอบด้านของการต่อสู้นั้นก็มี Goblin และ Orc กำลังปะทะกันอยู่หลายคู่ดูน่าตื่นตาและน่าตื่นเต้นหวาดเสียวเป็นอย่างยิ่ง“นี่มันอะไรกันเนี่ย Monster กำลังทะเลาะกันแย่งของกินหรอ ?” จูเลียกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูขยะแขยง ก่อนที่เธอจะกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อที่จะหามนุษย์ซึ่งถูกจับมา ซึ่งกำลังถูกมอนสเตอร์ 2 เผ่ายื้อแย่งกัน“นั่นไงเจอแล้ว !! ตรงนั้นใช่ไหมมีคนถูกมัดอยู่ตรงนั้นดูสิ !!” แกรนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่ท่าทางของเขานั้นตื่นเต้นดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นกลุ่มคนที่ถูก Goblin จับมา พวกเขานั้นเป็นปาร์ตี้ซึ่งประกอบด้วยคนสามคน คนหนึ่งเป็นพ่อค้า คนหนึ่งเป็นนักดาบ และอีกคนหนึ่งเป็นนักธนู ทันทีที่แกรนกล่าวขึ้นแบบนั้นทุกคนก็หันไปมองทางทิศที่เขาบอกทันทีพวกเขานั้นเห็นพ่อค้าหนุ่ม นักดาบชายวัยกลางคน และนักธนูสาวกำลังถูกเชือกซึ่งทำมาจากเถาวัลย์ที่แห้งและเหนียวมัดร่างกายติดกับต้นไม้อยู่ที่แนวหลังของทางฝั่ง Goblin มาเรียนั้นพยายามเพ่งดูไปยังกลุ่มคนที่ถูกจับไว้เธอก็ต้องตกใจทันทีเมื่อรู้ว่าสองในสามของคนที่ถูกจับนั้นเป็นคนที่เธอเคยรู้จัก“คุณวินเซ็นท์ !! แล้วก็เดซี่จัง !! นี่มันไม่จริงใช่ไหมทำไมพวกเขาถึงถูกจับแบบนี้แย่แล้วล่ะเราต้องไปช่วยพวกเค้านะคะ” มาเรียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่แตกตื่น เมื่อเธอนั้นพิจารณาและเห็นถึงคนที่ถูกจับไป เธอจึงเสนอให้ปาร์ตี้ของจูเลียซึ่งเธอเป็นสมาชิกอยู่นั้นเข้าไปช่วยเหลือทั้ง 3 คนทันที“อะหว่า…!! มีคนที่ถูกจับเป็นคนที่คุณมาเรียรู้จักอย่างนั้นหรือคะ ? ถ้าแบบนี้แล้วก็จะต้องทำยังไงดีนะ !!” แกมเบียร์นั้นรู้สึกตกใจ เมื่อรู้ว่าคนที่ถูกจับ 2 ใน 3 คนนั้นเป็นคนรู้จักของมาเรียเพื่อนร่วมปาร์ตี้ของเธอ แต่เธอนั้นก็ยังไม่อาจจะตัดสินใจได้ว่าจะต้องทำอย่างไร“นี่ !! เดี๋ยวก่อนสิพวกเรามาทำภารกิจนะ !! ไม่ได้มาช่วยคน !! ศัตรูมีมากมายขนาดนี้ แถมพวกเราจะเสียกำลังไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ พวกเราต้องกำจัดตั้ง Goblin 50 ตัว แค่ลำพังภารกิจของเราก็แทบจะเต็มกลืนอยู่แล้ว” จูเลียนั้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจ แต่คำพูดของเธอนั้นก็มีเหตุผล พวกเขาทั้ง 4 คนนั้นเมื่อเทียบกับจำนวนของมอนสเตอร์ทั้งสองเผ่าแล้ว กำลังของพวกเขานั้นมีน้อยนิดจริงๆ ถ้าหากว่าไม่วางแผนที่ดีและบุกเข้าไปตรงๆพวกเขานั้นไม่มีทางชนะแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจะต้องมาเสี่ยงและเปลืองแรงเพื่อคนที่ถูกจับไปทั้ง 3 คนนั้นได้อย่างไร ถ้าหากทำอย่างนั้นภารกิจของพวกเขาจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน“ที่เธอพูดมามันก็ถูกหรอก แต่ว่าเราจะปล่อยให้เขาตายอย่างนั้นเหรอ ? ฝั่งนึงก็จะไปบูชายัญ อีกฝั่งนึงก็จะเอาไปกินเป็นมื้อค่ำ ดูแล้วไม่ว่าจะฝั่งไหนได้ไปก็ไม่รอดทั้งนั้น” แกรนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นกังวลและสิ่งที่เขาพูดนั้นก็เป็นความจริง ถ้าหากว่าพวกจูเลียไม่เข้าไปช่วยทั้ง 3 คนนั้นคงจะได้ไปยมโลกกันภายในวันนี้อย่างแน่นอน จูเลียเมื่อได้ยินคำพูดของแกรนเธอก็มีสีหน้าที่ดูหงุดหงิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด“จูเลียจังได้โปรดเถอะ !! ช่วยพวกเขาด้วยเถอะนะ…..” มาเรียกล่าวขึ้นเพื่อขอร้องจูเลียด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าสงสาร เธอนั้นพยายามที่จะโน้มน้าวใจของจูเลียให้เข้าไปช่วยปาร์ตี้ที่ถูกจับไปto be continued !!
|
|