|
Post by wildrose on Jul 6, 2018 16:22:26 GMT
EP.7 ความแตกแยก - กลางป่าลึกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ Goblin - “จะบ้าหรือ !! พวกนายอย่ามาล้อเล่นนะ !! ถ้าเราเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายนี่ล่ะก็ภารกิจของเราต้องล้มเหลวแน่ ฉันยอมให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก” จูเลียกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าสมาชิกภายในปาร์ตี้ของเธอนั้นอยากที่จะเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มคนที่ถูก Goblin จับตัวอยู่ ถ้าหากว่าพวกเขาทำแบบนั้นภารกิจที่รับมาในครั้งนี้จะต้องล้มเหลวแน่ และบางทีสมาชิกในปาร์ตี้ของเธอบางคนอาจจะต้องได้รับบาดเจ็บหรืออาจจะต้องเสียชีวิตก็ได้ เธอจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด“อืม….ที่เธอพูดมามันก็ถูกนะ แต่ว่าเราจะปล่อยให้พวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ผมทนที่จะทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆครับ” แกรนกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูลำบากใจ เขารู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของเขาที่มาที่นี่ก็คือการทำภารกิจ แต่ว่าเขาจะปล่อยให้เพื่อนของมาเรียตายไปต่อหน้าต่อตาก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาจำเป็นจะต้องเลือกทางเดินสักทางหนึ่ง และเป็นทางเดินที่ไม่สามารถจะย้อนกลับได้“เข้าใจแล้วล่ะจูเลียจัง…...ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เธอต้องลำบากใจ แต่ว่าจากนี้ไปฉันขอออกจากปาร์ตี้ของเธอก็แล้วกันนะ ขอโทษด้วยนะคะ” มาเรียนนั้นไม่อาจจะปล่อยให้คนที่เธอรู้จักนั้นต้องตายไปต่อหน้าต่อตาได้ เธอจึงต้องขอแยกตัวออกจากปาร์ตี้ของจูเลีย ถึงเธอจะไม่พูดว่าเธอจะทำอะไรต่อไปแต่ว่าทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่าเธอจะต้องเข้าไปช่วยคนที่ถูกจับอยู่ทั้งสามคนแน่ แต่ด้วยลำพังนักบวชเพียงแค่คนเดียว อีกทั้งความสามารถในด้านการต่อสู้ของมาเรียนั้นก็ต่ำมาก โอกาสที่เธอจะช่วยเหลือทั้ง 3 คนสำเร็จนั้นแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว“ผมคงปล่อยให้คุณมาเรียไปคนเดียวไม่ได้ ขอโทษด้วยนะครับ ผมเองก็คงจะต้องขอออกจากปาร์ตี้ด้วยเหมือนกัน ผมไม่อยากจะต้องสูญเสียคนที่ผมรู้จักไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้” แกรนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ลำบากใจ เขานั้นรู้ดีว่าจะปล่อยให้มาเรียไปคนเดียวไม่ได้ แต่จะให้โน้มน้าวจูเลียให้เข้าไปช่วยทั้ง 3 คนที่ถูกจับไปก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี เขาจึงจำเป็นจะต้องเลือกทางที่ดูแล้วจะสูญเสียน้อยกว่า“แล้วเธอล่ะแกมเบียร์เธอจะเอายังไง ?” จูเลียเอ่ยขึ้นเพื่อถามสมาชิกคนสุดท้ายในปาร์ตี้ของเธอ นั่นก็คือแกมเบียร์เพื่อที่จะฟังการตัดสินใจของเธอว่าจะเอาอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แกมเบียร์นั้นดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากให้จูเลียต้องอยู่คนเดียว ดังนั้นเธอจึงตอบจูเลียกลับไปว่า“ฉันเองก็คงปล่อยให้จูเลียจังไปคนเดียวไม่ได้หรอก ฉันจะไปกับเธอนะ ไม่เป็นไรหรอก พวกเราสองคนถ้าพยายามก็คงจะจบภารกิจนี้ได้เหมือนกันล่ะนะ” แกมเบียร์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยนก่อนที่จะยิ้มแห้งๆออกมา ใจจริงแล้วเธอนั้นอยากจะให้จูเลียไปช่วยเหลือผู้ที่ถูกจับไปทั้ง 3 คนมากกว่า แต่เนื่องจากความหัวรั้นของจูเลียท่าทางความคิดของเธอคงจะเป็นไปไม่ได้ เธอจึงเลือกที่จะอยู่ข้างของจูเลียต่อไป เพราะถ้าหากว่าปล่อยให้จูเลียอยู่คนเดียวเธอก็น่าจะไปทำภารกิจเพียงคนเดียวอยู่ดี ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ดูจะอันตรายเกินไป“เอาล่ะ !! ถ้าอย่างนั้นแยกกันตรงนี้นะ ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ผมหวังว่าเธอจะเข้าใจ ไว้พบกันใหม่ครับ” แกรนกล่าวขึ้นกับจูเลียอย่างสุภาพ หลังจากนั้นเขาและมาเรียก็เดินจากไป พวกเขาทั้งสองคนนั้นคงจะทำการเริ่มวางแผนเพื่อที่จะช่วยเหลือทั้ง 3 คนที่ถูกจับเป็นอันดับแรก ซึ่งแตกต่างจากจูเลียและแกมเบียร์ซึ่งพวกเธอสองคนนั้นเลือกที่จะออกห่างจากจุดที่พวก Goblin และออคปะทะกัน หลังจากนั้นพวกเธอก็เริ่มที่จะออกล่า Goblin เพื่อให้ครบตามจำนวนภารกิจที่ได้รับมา - ที่พุ่มไม้บริเวณใกล้กับจุดที่ Goblin และ Orc กำลังต่อสู้กัน - “แกรนเราจะบุกกันเข้าไปยังไงดีพวกมันมีจำนวนเยอะมากเกินไป เข้าไปตรงๆแบบนี้อันตรายมากเลยนะคะ” มาเรียกล่าวขึ้นหลังจากที่เธอและแกรนกำลังสังเกตสถานการณ์การต่อสู้ของมอนสเตอร์ทั้งสองฝั่ง พวกมันทั้งสองฝ่ายกำลังตะลุมบอนกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อจะแย่งมนุษย์ทั้ง 3 คนไปเพื่อใช้การในเผ่าของตนเอง“คิดดูสิ ! เจ้าพวกนี้มันสนใจแต่สู้กันเอง พวกมันยังไม่รู้เลยมั้งว่าเราสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้ ถ้าเราแอบเข้าไปช่วย 3 คนนั้นเงียบๆหลังจากนั้นก็รีบเผ่นออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด น่าจะดูแล้วเป็นไปได้และปลอดภัยที่สุดแล้วล่ะครับ” แกรนออกความเห็นขึ้นมามันเป็นแผนที่เรียบง่ายแต่แล้วดูน่าจะได้ผลที่สุดแล้วในตอนนี้ เนื่องจากว่าพวกเขานั้นก็แทบจะไม่มีกำลังรบเลย นักบวช 1 คนและนักเวทย์ 1 คนนั้น อันตรายเกินกว่าที่จะต้องเข้าไปสู้กับมอนสเตอร์จำนวนมากแบบนี้ซึ่งๆหน้า“ตกลงค่ะ ! เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าถ้าพลาดขึ้นมาเรามีแผนสำรองไหม ?” มาเรียนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างจะรอบคอบเธอจึงถามแกรนขึ้นมาว่า ถ้าหากแผนของเขานั้นไม่ประสบผลสำเร็จพวกเขานั้นจะยังมีแผนสำรองที่จะเอาตัวรอดอยู่ไหม“ไม่มีครับ เพราะฉะนั้นห้ามล้มเหลวเด็ดขาด ถ้าหาว่าเราล้มเหลวเราจะช่วย 3 คนนั้นไม่ได้ และถ้าเลวร้ายที่สุดพวกเราก็อาจจะเอาตัวเองไม่รอดด้วย” แกรนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและกดดัน มาเรียนั้นได้แต่นิ่งเงียบๆ เพราะว่าเธอนั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะคิดแผนสำรองได้อย่างไร ดังนั้นมีทางเดียวเท่านั้นที่เธอจะทำได้ก็คือไม่พลาด“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มลงมือกันเถอะค่ะ…..” มาเรียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ก่อนที่เธอและแกรนจะเริ่มปฏิบัติภารกิจซึ่งพวกเขานั้นนัดหมายกันเอาไว้อย่างระมัดระวัง - อีกด้านหนึ่งภายในป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ Goblin - จูเลียและแกมเบียร์ได้บุกเข้าไปที่หมู่บ้านของพวก Goblin โดยตรงเนื่องจากว่าตอนนี้นักรบชาว Goblin ที่แข็งแกร่งส่วนมากไปรับการโจมตีของพวกกันเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นภายในหมู่บ้านของพวกมันจึงเหลือแต่พวกที่อ่อนแอหรือไม่ก็พวกที่จะเพิ่งเริ่มเป็นนักรบและมีประสบการณ์ได้ไม่นานทำให้เธอสองคนนั้นสามารถที่จะจัดการ Goblin ลงได้มากมายอย่างไม่ยากเย็นนัก“15...16….” จูเลียกำลังนับจำนวนของ Goblin ซึ่งเธอได้กำจัดลงไป ในขณะที่เธอกำลังกำลังวิ่งไปอย่างคล่องแคล่วเพื่อไปไล่ล่าสังหาร Goblin ตัวแล้วตัวเล่า อาชีพโจรนั้นมีสกิลที่ช่วยเสริมความสามารถในการโจมตีที่เรียกกันว่า Double Attack เมื่อทักษะนี้ถูกใช้งาน การตวัดมีดเพียงครั้งเดียวจะสามารถสร้างบาดแผลให้กับผู้ที่ถูกโจรที่ใช้ทักษะนี้โจมตีได้ถึง 2 ครั้ง ทำให้ความสามารถในการโจมตีของโจรนั้นน่ากลัวขึ้นเป็นเท่าตัวทีเดียว“ตัวที่ 17 ไปตายซะ !!” จูเลียกล่าวขึ้นในขณะที่พุ่งเข้าไปโจมตี Goblin ตัวหนึ่งโดยที่มันแทบจะไม่ทันตั้งรับเลย ทักษะ Double Attack ของเธอสร้างบาดแผลสาหัสให้กับมันถึงสองบาดแผล ทำให้มันเสียเลือดมากและทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายทันที แกมเบียร์ซึ่งกำลังมองการต่อสู้ของจูเลียอยู่นั้น รู้สึกชื่นชมในความสามารถของเธอมากทีเดียว“จูเลียจังเก่งจังเลยนะ ดีล่ะ !! ฉันก็ต้องพยายามบ้าง !!” แกมเบียร์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่มันใจจากนั้น เธอก็ถือดาบ Paradise Saber I ซึ่งเป็นดาบที่เธอได้รับมาจาก Eden Group เนื่องจากว่าแกมเบียร์นั้นถึงเธอจะเป็นคนที่ขี้อายแต่เธอก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความโอบอ้อมอารีและชอบช่วยเหลือผู้อื่นมากพอสมควร ดังนั้นเธอจึงมักจะไปช่วยงานภารกิจของเอเดนกรุ๊ปซึ่งเป็นภารกิจที่ไม่หวังผลตอบแทนบ่อยครั้ง ทำให้พวกเขานั้นสมนาคุณเธอด้วยเครื่องสวมใส่ซึ่งเรียกกันว่า Paradise Set มันเป็นเครื่องสวมใส่ เฉพาะที่ทางสมาคมเอเดนสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อตอบแทนให้กับนักผจญภัยที่ช่วยเหลืองานของสมาคม มันมีประสิทธิภาพค่อนข้างที่จะดีสำหรับการผจญภัยเริ่มต้น มันจึงเป็นที่ต้องการของนักผจญภัยหลายคน แต่ว่าผู้ที่ได้มันไปไม่สามารถจะนำอุปกรณ์เหล่านี้ไปขายต่อได้ ถ้าหากว่าพวกเขานั้นไม่จำเป็นที่ต้องใช้มันแล้วพวกเขาจะต้องนำมันมาคืนที่สมาคมเอเดนเท่านั้น
“ Bash !!” แกมเบียร์ฟาดดาบลงไปอย่างรุนแรงใส่ตัว Goblin หนึ่งด้วย ความคมของดาบและพลังในการฟาดฟันของเธอซึ่งจัดว่าไม่เบาเลย ทำให้เจ้า Goblin ตัวนั้นตายคาที่ทันที เมื่อเห็นว่าพรรคพวกของมันถูกทำร้าย Goblin ตัวอื่นๆจึงวิ่งกรูกันเข้ามาเพื่อที่จะมารุมโจมตีเธอ แกมเบียร์นั้นรู้สึกตกใจและกลัวมากเมื่อเห็นเหล่า Goblin เกือบ 10 ตัววิ่งดาหน้ากันเข้ามาหาเธอด้วยความโกรธเกรี้ยว“อย่าเข้ามาน๊าา !! Magnum Break !!” แกมเบียร์นั้นโจมตีออกไปด้วยความตกใจด้วยทักษะ Magnum Break คลื่นพลังงานความร้อนแผ่ออกมารอบตัวของเธอจากการใช้เวทมนตร์ไฟและการตวัดดาบอย่างรวดเร็ว Goblin หลายสิบตัวที่กำลังจะวิ่งเข้ามารุมโจมตีเธอนั้นกระเด็นกระดอนออกไปด้วยแรงกระแทกและคลื่นความร้อนพวกมันได้รับบาดเจ็บและเสียขวัญจูเลียนั้นเฝ้ามองการต่อสู้ของแกมเบียร์มาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเธอเห็นว่าทักษะ Magnum Break ของแกมเบียร์นั้นทำให้ศัตรูนั้นเสียหลัก เธอจึงพุ่งตรงเข้าไปโจมตีซ้ำใส่ Goblin ที่เพิ่งโดนสกิลของแกมเบียร์เข้าไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วของการโจมตีและคมมีดของเธอตวัดไปในอากาศอย่างรวดเร็วปลิดชีวิต Goblin หลายสิบตัวซึ่งอยู่ในสภาพมึนงงและบาดเจ็บทันที“42….เราเกือบจะกำจัดได้ครบตามภารกิจแล้วล่ะ เธอนี่ใช้ได้เลยนะ !!” หลังจากที่จูเลียสังหาร Goblin ทุกตัวเรียบร้อยแล้วเธอก็หันกลับไปยิ้มและกล่าวชื่นชมแกมเบียร์ด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนาน แกมเบียร์นั้นได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับจูเลีย เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มที่ดูพออกอกพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยหยดเลือดของ Goblin ที่กระเซ็นมาถูกใบหน้าของเธอเป็นหยดสีแดงเล็กๆดูน่าสะพรึงกลัว - ในพุ่มไม้ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่ Orc และ Goblin กำลังต่อสู้กัน - “ไม่นึกเลยนะว่าจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เกินความคาดหมายไปหน่อยนะ เนี่ยจะทำยังไงกันดีล่ะ” นักดาบชายวัยกลางคน รูปร่างผอมสูง เขาเป็นชายที่รูปร่างใหญ่ ส่วนสูงของเขานั้นอยู่ที่ 220 เซนติเมตร ซึ่งจัดว่าเขาเป็นคนที่สูงมากคนหนึ่ง อายุของเขานั้นดูจากภายนอกแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40 - 50 ปี เขามีเส้นผมสีดำที่ตัดสั้นและเสยไปด้านหลัง ที่ด้านบนของริมฝีปากเขาไว้หนวดเป็นแถบสีดำทำให้เขานั้นความเคร่งขรึมและมีความอาวุโส เขามีผิวสีน้ำตาลอ่อน และดวงตาที่เรียวดูเคร่งขรึมและจริงจัง ดวงตาของเขานั้นเหลือเพียงแค่ข้างเดียว อีกข้างหนึ่งนั้นเขาใช้ผ้าปิดตาสีดำคาดปิดเอาไว้ ซึ่งดวงตาของเขานั้นน่าจะเสียหายไปแล้วจากสาเหตุอะไรบางอย่าง นัยน์ตาของเขานั้นมีสีดำสนิทดุจความมืดยามรัตติกาล นักดาบชายวัยกลางคนผู้นี้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูท่าทางหนักใจ เพราะว่าตัวเขาตอนนี้และเพื่อนร่วมปาร์ตี้ของเขานั้นถูกจับ และชะตากรรมเบื้องหน้านั้นก็คงจะต้องพบกับสิ่งที่เลวร้าย ถ้าหากว่าเขาไม่สามารถจะหลุดพ้นจากการถูกจับกุมครั้งนี้ได้“พวกเราต้องหาจังหวะครับคุณคาซินัส พวกมันสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันและกำลังอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ ถ้าหากว่าฝ่ายในชนะมันก็จะเอาตัวเราไป ตอนช่วงที่พวกมันคิดว่าชนะแล้วนั่นแหละคือช่วงที่เราจะต้องหนีล่ะ” วินเซนต์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น แต่ดูเหมือนว่าแผนของเขานั้นจะเป็นอะไรที่เลื่อนลอย เนื่องจากว่าพวกเขาทั้งสามคนนั้นถูกมัดอยู่ด้วยเชือกซึ่งทำมาจากเถาวัลย์ที่แข็งและเหนียว ของมีคมและอุปกรณ์ต่างๆของพวกเขานั้นถูก Goblin ยึดไปจนหมดดังนั้นหากคิดจะหนีจึงเป็นอะไรที่ทำได้ยากเสียเหลือเกิน“ฮือ….ไม่นะหนูยังไม่อยากจะต้องมาตายที่นี่….” เดซี่กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงซึ่งฟังดูสิ้นหวัง เนื่องจากว่าเธอนั้นค่อนข้างจะเข้าใจในสถานการณ์ที่พวกเธอกำลังเผชิญอยู่ได้เป็นอย่างดี ถ้าหากว่าไม่มีใครมาช่วยเหลือ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเธอจะหนีไปได้ “อย่าเพิ่งสิ้นหวังสิ !! อย่างน้อยก็ต้องมีความหวังเอาไว้จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย” วินเซนต์กล่าวขึ้นมาเพื่อที่จะเยียวยากำลังใจของเดซี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าคำพูดของเขานั้นคงจะไม่มีความหมายอะไรมากมายนักในเวลาแบบนี้ แต่ทันใดนั้นประสาทสัมผัสของเดซี่ก็รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวที่นอกเหนือไปจาก Goblin และ Orc ที่กำลังต่อสู้กัน เสียงฝีเท้านั้นกำลังใกล้เข้ามาทางที่ที่พวกเขานั้นถูกจับอยู่มากขึ้นด้วยเรื่อยๆ“มีอะไรบางอย่างกำลังมาทางนี้ ? มันกำลังลัดเลาะมาตามพุ่มไม้….” เดซี่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ประหลาดใจและคำพูดของเธอนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้กับวินเซนต์และคาซินัสไม่น้อย ไม่นานนักสิ่งที่เธอสัมผัสได้ก็ปรากฏกายออกมาจากพุ่มไม้ สิ่งที่เดซี่สัมผัสได้นั้นก็คือมาเรียและแกรนซึ่งกำลังจะเข้าไปช่วยเหลือเธอนั่นเอง“ชู่ววว อย่าส่งเสียงดังไปจ๊ะ เดซี่จัง รอแป๊บนึงนะพี่กำลังจะไปช่วยแล้ว….” มาเรียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและอ่อนโยน ก่อนที่เธอจะดูต้นทางให้แกรนเข้าไปตัดเชือกซึ่งทำมาจากเถาวัลย์ซึ่งพันธนาการพวกเขาทั้งสามคนให้หลุดออกมา“พี่มาเรีย !! ฮืออออ ” เดซี่หลังจากที่หลุดออกมาจากพันธนาการได้แล้วเธอก็ตรงเข้าไปสวมกอดมาเรียด้วยท่าทางที่ดีใจอย่างออกนอกหน้า มาเรียนั้นเอามือของเธอลูบศีรษะของเดซี่อย่างอ่อนโยน ถึงเธอจะเป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจ แต่ว่าอายุของเธอนั้นก็ยังน้อยเพียงแค่ 14 ปีเท่านั้นดังนั้นจึงไม่แปลกที่เธอจะมีความกลัวบ้างเป็นธรรมดา“คุณมาเรียครับเรารีบหนีมาจากที่นี่กันเถอะ !!” แกรนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่จริงจังและรีบเร่ง หลังจากที่เขานั้นได้ช่วยเหลือผู้ที่ถูกจับทั้ง 3 คนได้เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องหาทางหลบออกจากวงล้อมการต่อสู้นี้ออกไปให้ได้
Blue Gemstone “ฉันจะใช้สกิลวาปกลับไปที่ Prontera เตรียมตัวนะ...” มาเรียกล่าวขึ้นพร้อมกับหยิบ Blue Gemstone เม็ดหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าสัมภาระของเธอ ก่อนที่เธอจะใช้มันเพื่อร่ายเวทย์มนต์เพื่อเปิดประตูมิติ แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นฉึก !! เสียงเหมือนกับลูกธนูพุ่งแหวกอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็วและปักทะลุเข้าไปในอะไรบางอย่าง ในพริบตานั้นร่างของมาเรียก็ทรุดลงกับพื้น หลังจากนั้นเธอก็ไอ กระอักออกมาเป็นเลือดสีแดงฉานอย่างรุนแรง สีหน้าของเธอนั้นดูซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด “กี๊ๆๆๆ เจ้ามนุษย์คิดจะหนีไปไหนวันนี้เจ้าต้องเป็นอาหารค่ำของพวกเรา” Goblin Archer ตัวที่ปล่อยลูกศรออกมาโจมตีมาเรียหัวเราะขึ้นมาอย่างเริงร่า ก่อนที่มันจะให้สัญญาณบอกกับ Goblin ทุกตัวที่อยู่ในบริเวณนั้นว่าเชลยของพวกมันกำลังจะหลบหนีto be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 7, 2018 16:24:06 GMT
EP.8 การตัดสินใจ “พี่มาเรีย !!” เดซี่ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง เมื่อเห็นสภาพของมาเรียซึ่งถูกลูกธนูของ Goblin Archer ยิงเข้าที่ด้านหลัง ร่างของมาเรียนั้นล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากปากบาดแผลที่ถูกลูกธนูแทงเข้าไปจำนวนมาก อีกทั้งเธอยังไอกระอักและมีเลือดสีแดงพุ่งกระเซ็นออกมาจากปากของเธอจำนวนหนึ่ง สีหน้าของเธอนั้นซีดเผือดดูท่าทางว่าเธอนั้นจะเจ็บมาก แต่ว่าเธอนั้นก็ยังคงมีสติไม่ได้สลบไปแต่อย่างใด“เร็วเข้าพวกแก !! รีบมาทางนี้พวกมันกำลังจะหนีไปแล้ว” Goblin Archer ตัวที่ยิงลูกศรใส่มาเรียกล่าวขึ้นดังลั่น เพื่อที่จะเรียกให้พรรคพวกของมันรู้ว่าเชลยที่พวกมันจับมากำลังจะหลบหนี Goblin ตัวอื่นๆซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นเมื่อได้ยินเสียงของมันก็หันมาสนใจพวกของแกรนทันที พวกมันกำลังจะดาหน้าเข้ามาเพื่อที่จะจับพวกเขาอีกครั้ง“ซวยแล้วสิแบบนี้ !! อาวุธของเราก็ถูกพวกมันเอาไปหมดเลย แล้วแบบนี้จะสู้ยังไงดีล่ะ” วินเซนต์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่แตกตื่น เนื่องจากว่าในตอนที่ถูกจับอาวุธของเขา เดซี่ และ คาซินัส ถูกพวก Goblin เอาไปจนหมดพวกเขาในตอนนี้อยู่ในสภาพมือเปล่าถ้าหากจะต่อสู้ก็คงจะเสียเปรียบเต็มที่“นายแบกคุณมาเรียไป เดี๋ยวตรงนี้ผมจะถ่วงเวลาให้เองครับ” แกรนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่จริงจังและรีบร้อน เขาขอให้วินเซนต์ช่วยแบกมาเรียขึ้นบ่าเพื่อที่จะหลบหนี ส่วนเขานั้นจะถ่วงเวลาเอาไว้ให้ วินเซนต์นั้นตกลงที่จะทำตาม เขาจึงรีบตรงเข้าไปหามาเรียซึ่งกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ก่อนที่เขาจะแบกเธอขึ้นบนบ่า เลือดสีแดงสดของเธอกระเซ็นลงมาเปอะตามร่างกายของเขาเป็นจุดๆ แต่ที่แผ่นหลังของเขานั้นยังคงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเธอได้ เธอยังไม่ตายแต่ลมหายใจของเธอนั้นดูจะแผ่วเบาลงไป“พวกเราไปจับมัน !! อย่าให้พวกมันหนีไปได้ !!” Goblin หลายสิบตัวต่างพากันกรูเข้ามาเพื่อที่จะจับพวกแกรนทุกคน วินเซนต์ซึ่งกำลังแบกมาเรีย เดซี่ และ คาซินัส ยืนอยู่ในแนวหลังเพื่อที่จะเตรียมวิ่งหนีส่วนแกรนนั้นยืนปะทะอยู่ด้านหน้ากับ Goblin ซึ่งกำลังดาหน้าเข้ามา“ Fire Wall !!” แกรนใช้ทักษะของจอมเวทย์เรียกกำแพงไฟขึ้นมา กำแพงไฟที่ร้อนแรงลุกโชติช่วงกั้นกลางระหว่างพวกเขาและ Goblin ซึ่งกำลังวิ่งกรูกันเข้ามาอย่างบ้าคลั่งพวก มันจึงชนกำแพงไฟได้รับบาดเจ็บและถอยหลังกลับไปอย่างไม่เป็นกระบวน“ตอนนี้ล่ะวิ่งงง !!” แกรนส่งสัญญาณให้พวกของเขาทุกคนนั้นรีบวิ่งหนีกันอย่างสุดฝีเท้า วินเซนต์และคนอื่นๆนั้นรอสัญญานี้มานานแล้ว เมื่อได้ยินคำกล่าวของแกรนพวกเขาจึงรีบออกวิ่งไปจากจุดนั้นทันที Goblin Archer เห็นว่าเหยื่อของมันกำลังจะหลบหนีไป มันและพวกของมันจึงรีบระดมยิงธนูใส่พวกของแกรนทันที“ยิงมัน !! ยิงมันเข้าไป !! อย่าให้มันหนีไปได้” Goblin Archer ระดมยิงธนูอย่างบ้าคลั่ง แต่ความพยายามของมันนั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากว่าพวกแกรนนั้นสามารถที่จะหนีออกไปจากวงล้อมของพวกมันไปได้ พวกเขานั้นวิ่งหนีหายเข้าป่าไปต่อหน้าต่อตาของพวก Goblin
“บ้าที่สุดเลย !! พวกเรารีบตามมันไป” Goblin ตัวหนึ่งซึ่งถือขวานไว้ในมือ กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูแค้นเคืองก่อนที่จะรีบวิ่งตามพวกของแกรนไปในทางที่พวกเขาวิ่งหนีหายไป พร้อมทั้ง Goblin อีกจำนวนหนึ่งซึ่งติดตามมันไปติดๆ - ที่หมู่บ้าน Goblin ทางด้านของจูเลียและแกมเบียร์ - “50….ในที่สุดก็ครบสักที” จูเลียนับจำนวนของ Goblin ซึ่งเธอได้กำจัดลงไปในตอนนี้เธอสามารถที่จะกำจัด Goblin ได้ครบตามจำนวนภารกิจซึ่งเธอรับมาเรียบร้อยแล้ว เธอได้แกมเบียร์กำลังค่อยๆเก็บไอเทมที่ตกลงมาจาก Goblin ซึ่งพวกเธอกำจัดได้อย่างท่าทางสบายอารมณ์“เพราะว่าพวกนักรบเก่งๆไปต่อสู้อยู่ด้านนอกหมดเลย พวกที่อยู่ในหมู่บ้านก็เลยมีแต่พวกที่ค่อนข้างจะอ่อนแอ แบบนี้เหมือนกับเราโกงภารกิจยังไงก็ไม่รู้นะคะ” แกมเบียร์กล่าวขึ้นกับจูเลียขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูทีเล่นทีจริง แต่ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นก็เป็นความจริงเนื่องจากว่า Goblin นักรบที่มีฝีมือนั้นออกไปต่อสู้กับ Orc อยู่ที่ป่าด้านนอก พวกที่อยู่ในหมู่บ้านจึงมีแต่พวกที่อ่อนแอหรือพวกที่เพิ่งจะเป็นนักรบใหม่ๆพวกนี้จึงยังไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนักพวกเธอจึงสามารถจัดการมันได้ค่อนข้างง่าย“ช่างมันเถอะน่า….ยังไง Goblin ก็คือ Goblin อยู่ดีนั่นแหละ พวกเราก็กำจัดมันตามที่ภารกิจร้องขอมาแล้วไ งอย่าไปคิดมากเลยนะ เอาล่ะเรามาดูกันดีกว่า ว่าเจ้าพวกนี้มีอะไรให้เราเป็นโบนัสบ้าง” จูเลียกล่าวขึ้นพร้อมกับเดินไปค้นตามเต็นท์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ Goblin ทีล่ะหลังด้วยท่าทางที่ดูสบายอารมณ์และเธอก็ต้องไปสะดุดตาเข้ากับเต็นท์หลังหนึ่ง ซึ่งในเต็นท์หลังนี้มีกระเป๋าสัมภาระซึ่งดูแปลกตา มันไม่ใช่แบบที่ชาวเผ่า Goblin นั้นใช้กันแต่มันเหมือนกับเครื่องสวมใส่ของมนุษย์เธอจึงตรงเข้าไปสำรวจมันทันที“เจ้าพวกนี้มัน…..” จูเลียอุทานขึ้นมาเบาๆทันทีเมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าสัมภาระ มันมีทั้งอาวุธเครื่องสวมใส่และเกราะป้องกันซึ่งถูกยึดมาจากทั้ง 3 คนที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ถ้าหากว่าอุปกรณ์เหล่านี้อยู่ตรงนี้หมายความว่าทั้ง 3 คนที่ถูกจับนั้นอยู่ในสภาพตัวเปล่า พวกของแกรนที่ไปช่วยคนพวกนั้นออกมาคงจะลำบากน่าดู ถ้าหากว่าทั้งสามคนที่เขาช่วยออกมานั้นไม่สามารถที่จะต่อสู้ช่วยเหลือตัวเองได้“ฉันรู้สึกไม่ดีเลย…..แบบนี้พวกคุณแกรนน่าจะต้องกำลังลำบากกันอยู่แน่ๆ จูเลียจังภารกิจเราก็ทำเสร็จแล้วเธอไม่คิดจะย้อนกลับไปช่วยพวกเขาบ้างเหรอ ?” แกมเบียร์กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นกังวลเมื่อเธอเห็นกระเป๋าสัมภาระใบนั้น เธอจึงกล่าวขึ้นมากับจูเลียด้วยท่าทางที่ฟังดูวิตกกังวล จูเลียนั้นเข้าใจความรู้สึกของเธอดี แต่ว่าเธอก็กลับตอบแกมเบียร์กลับไปว่า“ฉันไม่สนใจหรอก สองคนนั้นทิ้งภาระกิจไปและออกจากปาร์ตี้ของฉันไปเอง ทำไมฉันจะต้องกลับไปช่วยคนแบบนั้นด้วยล่ะ” จูเลียกล่าวขึ้นมาด้วยคำพูดที่ฟังดูเย็นชาและหงุดหงิด แต่คำพูดของเธอนั้นก็มีเหตุผลแกรนและมาเรียนั้นทิ้งภารกิจซึ่งพวกเขาจะต้องทำ และออกปาร์ตี้ไปช่วยคนที่ถูกจับดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความรับผิดชอบของจูเลียที่จะต้องกลับไปช่วยพวกเขา“แต่ว่าจูเลียจัง…..ถ้าหากว่าพวกเขาตายไปแล้ว เราจะไม่มีโอกาสที่จะได้พบพวกเขาอีกเลยนะแบบนั้นมันจะดีแล้วจริงๆหรอ ?” แกมเบียร์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นกังวลและอ้อนวอน เพื่อพยายามจะโน้มน้าวจูเลียให้ย้อนกลับไปช่วยเหลือพวกของแกรน เพราะว่าเธอนั้นรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีว่าพวกเขากำลังจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันอย่างแน่นอนเพราะว่ากำลังรบของพวกเขาและ Goblin นั้นต่างกันเกินไปคำพูดของแก้มเบียนั้นทำให้จูเลียหวนย้อนระลึกกลับไปนึกถึงปาร์ตี้เดิมของเธอในสมัยก่อน ครั้งที่พวกเขานั้นยังมีชีวิตปาร์ตี้ของจูเลียในสมัยก่อนนั้นเป็นปาร์ตี้ที่สนิทสนมกันและอบอุ่นมาก พวกเขานั้นเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ยามที่สมาชิกคนไหนตกอยู่ในอันตรายพวกเขานั้นก็จะเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่คิดชีวิต แต่ว่าในวันสุดท้ายที่พวกเขานั้นได้จากเธอไป จูเลียได้แต่ซ่อนตัวด้วยทักษะ Hiding เนื่องจากความกลัวและภาพที่ต้องเห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตานั้นก็ยังคงหลอกหลอนเธออยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้แกรนและมาเรียนั้นจะเพิ่งมาเป็นสมาชิกในปาร์ตี้ของเธอได้ไม่นาน แต่เธอก็ไม่อยากที่จะรู้สึกผิดบาปอีกเป็นครั้งที่ 2 แล้ว หรือว่าจริงๆแล้วในใจของเธอนั้นอยากจะไถ่บาปจากความผิดครั้งก่อนก็ไม่อาจทราบได้ จูเลียเมื่อได้ยินแกมเบียร์กล่าวออกมาแบบนั้นเธอก็มีท่าทีที่อ่อนลงและตอบแกมเบียร์กลับไปว่า“โอ้ยย !! น่าหงุดหงิดชะมัดเลย !! แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ พวกเราลองไปดูลาดราวหน่อยก็แล้วกัน ถ้าหากว่าพอจะช่วยได้ก็จะช่วย แต่ถ้าหากว่ามันเกินกำลังฉันก็ไม่เอาด้วยหรอกนะ !!” จูเลียกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่หงุดหงิด แต่เธอนั้นก็ยอมรับและจะลองกลับไปดูลาดราวว่าพวกของแกรนนั้นตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร และเธอนั้นจะสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่ คำตอบของเธอนั้นทำให้แกมเบียร์ยิ้มแก้มปริออกมาด้วยความยินดีก่อนที่จะพยักหน้าแล้วตอบตกลงทันที - ภายในป่าลึกซึ่งไม่ไกลจากจุดที่ Goblin ต่อสู้กับ Orc - “พวกเราหนีกันมาไกลพอสมควรแล้วนะ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอกพวกมันต้องตามเรามาแน่ พวกแกก็อย่าชักช้าสิรีบไปกันเร็ว” คาซินัสกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่พอใจและหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆนั้นเคลื่อนไหวได้อย่างเชื่องช้าวิ นเซนต์ต้องแบกมาเรียเอาไว้บนหลัง ทำให้เขานั้นไม่สามารถจะวิ่งเร็วได้อีกทั้งอาการของมาเรียนั้นก็ดูแย่ลงทุกทีๆ“ผมวิ่งเร็วกว่านี้ไม่ได้หรอกครับ !! ถ้าหากว่ากระทบกระเทือนมากเกินไปบางทีคุณมาเรียไม่ไหวก็ได้ !!” วินเซนต์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูไม่พอใจเนื่องจากว่าการรบเร้าของคาซินัส เขานั้นเป็นห่วงอาการของมาเรียมากกว่า เนื่องจากว่าเธอได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสและอาการของเธอก็ดูจะทรุดลงทุกทีๆ“เธอโดนยิงเข้าไปที่จุดสำคัญ ดูจากท่าทางแล้วเธอคงจะรอดยาก แกเองก็รู้ไม่ใช่หรอ !! ปล่อยเธอไว้ที่นี่ซะ ถ้าหากว่าแกตายพร้อมกับเธอไปด้วย เธอก็คงจะไม่มีความสุขหรอก ก็เธอตั้งใจจะมาช่วยแกนี่นา เอาชีวิตรอดไปให้ได้แล้วใช้ชีวิตในส่วนของเธอด้วยจะดีกว่านะ” คาซินัสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกราดเกรี้ยวและหงุดหงิด ท่าทางของเขานั้นทำให้วินเซนต์ไม่พอใจอย่างมาก แต่เขานั้นก็ไม่อยากที่จะต่อเสียงกันในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้“ผมขอปฏิเสธ !! ยังไงผมก็จะไม่ทิ้งเธอไป ถ้าหากว่าคุณคาซินัสอยากที่จะหนีไปล้ะก็เชิญล่วงหน้าไปคนเดียวก่อนได้เลย” วินเซนต์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังแล้วมุ่งมัน คาซินัสเมื่อเห็นท่าทางของวินเซนต์เป็นเช่นนั้นก็ดูหงุดหงิดและโมโหขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาแกรนด้วยท่าทางที่ดูจริงจังก่อนที่จะกล่าวกับแกรนว่า“คุณในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นกำลังหลักของพวกเรา คุณจะว่ายังไง ? จะไปกันต่อหรือว่าจะหยุดพักอยู่ตรงนี้” คาซินัสกล่าวขึ้นกับแกรนด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง เขานั้นหวังว่าแกรนจะตัดสินใจมุ่งหน้าต่อไปเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดโดยที่จะทิ้งตัวถ่วงทั้งหมดเอาไว้ที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าความคิดของเขานั้นจะสวนทางกับแกรนอย่างสิ้นเชิงแกรนนั้นตอบคาซินัสกลับไปว่า“ผมเองก็ว่าจะพักอยู่ที่นี่จนกว่าอาการของคุณมาเรียจะดีขึ้นครับแล้วอีกอย่างตอนนี้ผม…..” แกรนกล่าวกับคาซินัสด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด เขานั้นตอบปฏิเสธการที่จะทิ้งคนที่ขยับตัวไม่สะดวกเอาไว้ที่นี่และเขานั้นก็เปิดผ้าคลุมของเขาให้คาซินัสได้เห็นถึงอะไรบางอย่างที่ขาข้างซ้ายของแกรนมีลูกธนูของ Goblin Archer ปักอยู่ 2 ดอก ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการโจมตีในช่วงตอนที่หลบหนีมา ลูกธนูนั้นมันทะลุเข้าไปที่ขาอ่อนของเขาและปักคาอยู่อย่างนั้น เลือดสีแดงสดจำนวนมากไหลออกมาจากปากบาดแผลอย่างต่อเนื่อง บาดแผลทำให้แกรนนั้นไม่สามารถที่จะเดินได้สะดวก อีกทั้งใบหน้าของเขานั้นยังบ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดที่แสนสาหัส“นี่แกก็โดนกับเขาด้วยหรอเนี่ย !! แถมหยดเลือดยังไหลออกมาเป็นทางยาว แบบนี้อีกไม่นาน Goblin มันจะต้องตามรอยเลือดของแกมาเจอพวกเราแน่ บัดซบที่สุด !!” คาซินัสกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดเต็มที่ จากนั้นเขาก็เดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวาย เขาอยากที่จะรีบหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนว่าคนอื่นๆนั้นจะไม่เป็นไปตามความต้องการของเขาเอาซะเลย แกรนเมื่อเห็นท่าทางของเขาเป็นเช่นนั้นแกรนจึงกล่าวขึ้นมากับเขาว่า“ถ้าคุณอยากจะไปก่อนล่ะก็ไปได้เลย ผมไม่ห้ามคุณหรอก ถ้าหากกลัวว่าจะไม่มีอาวุธล่ะก็รับนี่ไปซะนะครับ” แกรนยื่นมีด Dirk ซึ่งเป็นอาวุธของเขาส่งให้กับคาซินัส คาซินัสรีบคว้ารับมันเอาไว้ทันที มีดเล่มนี้คืออาวุธชนิดเดียวเท่านั้นที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ คาซินัสหลังจากที่รับมีดจากแกรนไปแล้วเขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและราบเรียบว่า“ขอบใจพวกแกมากนะที่อุตส่าห์มาช่วย พวกแกเป็นคนดีจริงๆ ชั้นจะใช้ชีวิตส่วนของพวกแกให้เต็มที่เลยก็แล้วกัน ลาก่อน !!” คาซินัสกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่เย็นชา คำพูดของเขานั้นทำให้ทุกๆคนซึ่งอยู่ในที่นั้นนิ่งเงียบไม่พูดอะไรจากนั้น คาซินัสก็เดินจากไปร่างของเขานั้นหายลับไปในป่าทันที“แกรนทำไมนายทำแบบนี้ ? แบบนี้พวกเราก็ยิ่งแย่ไปกว่าเดิมสิ !!” เดซี่กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูไม่พอใจ เธอนั้นรู้สึกเกลียดชังคาซินัสขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่เธอก็ไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้เนื่องจากว่าทุกคนนั้นก็ไม่อยากตายทั้งนั้น แต่การกระทำของคาซินัสก็ดูจะเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย“ช่างเขาเถอะครับ ถึงผมจะให้มีเล่มนั้นกับเขาไป ผมก็ยังเหลือเวทมนตร์ของผมอยู่ดี พวกเรายังไม่ได้สิ้นหวังหรอก แต่ว่าจะออกไปจากที่นี่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถึงต่อให้เขาเองก็เถอะมีมีดเล่มนั้นอยู่ในมือ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรอดออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ในเมื่อเขาอยากจะไปผมก็ให้เขาไปจะดีกว่า รั้งแต่ให้เขามาอยู่ที่นี่หากเจอเรื่องเลวร้าย เขาก็จะต้องโทษว่าเป็นความผิดของเราเข้าไปใหญ่ จริงไหมล่ะครับ ?” สิ่งที่แกรนพูดขึ้นมานั้นมีเหตุผล เดซี่จึงได้แต่นิ่งเงียบๆแต่ความหวังของเธอนั้นก็ยังไม่ได้ปรากฏขึ้นมาสถานการณ์นั้นยิ่งเลวร้ายลงทุกที ทันใดนั้นประสาทสัมผัสของเดซี่ก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างซึ่งกำลังใกล้เข้ามา อะไรบางอย่างที่กำลังค่อยๆเข้ามาใกล้พวกเขาอย่างช้าๆ“มีอะไรบางอย่างกำลังจะมาทางนี้ค่ะ” เดซี่กล่าวขึ้นกับแกรนด้วยท่าทางที่ดูแตกตื่น แกรนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถามเดซี่กลับไปทันทีว่า “Goblin ?” เดซี่ส่ายศีรษะเป็นการปฏิเสธ เธอนั้นไม่รู้ว่ามีอะไรกำลังใกล้เข้ามา เธอเพียงแค่จับสัมผัสได้ว่ามีเท่านั้น แกรนเมื่อเห็นท่าทางของเธอเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลของเขาขึ้นไปเป็นทวีคูณ“คุณมาเรียครับคุณมาเรียทำใจดีๆไว้ !!” แต่ทันใดนั้นก่อนที่แกรนจะได้นึกแผนว่าจะทำอย่างไรต่อไป เสียงของวินเซนต์ซึ่งดูตื่นตกใจก็ดังขึ้นมาแทรกความคิดของเขาให้พังทลายลง แกรนรีบมองไปทางวินเซนต์ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เห็นมาเรียซึ่งอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัสนั้นไอออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับหยดเลือดที่กระเซ็นออกมาจากปากของเธอทุกครั้งที่เธอไอ มาเรียค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ สายตาของเธอมองไปที่วินเซนต์ซึ่งกำลังประคองเธออยู่ข้างกาย เธอยิ้มออกมาอย่างสุดฝืนด้วยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนก่อนที่จะกล่าวออกมากtบวินเซนต์ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า“พวกนาย…...หนีออกมาได้แล้วสินะ…...คอยชั่วหน่อย……..ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ฉัน…...” วินเซนต์ได้ฟังถ้อยคำซึ่งแผ่วเบาและอ่อนโยนจากปากของมาเรีย เขานั้นรู้สึกไม่ดีอย่างมากราวกลับว่าเธอนั้นกำลังที่จะจากพวกเขาไป เขาจึงรีบเข้าไปประคองเธอให้ลุกขึ้นนั่ง และพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและร้อนรนทันทีว่า“ไม่ได้นะครับคุณมาเรีย !! คุณจะถอดใจตอนนี้ไม่ได้ !! พวกผมจะพยายามพาคุณออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด !! คุณจะต้องไม่เป็นไร !! คุณมาเรีย !! คุณจะต้องไม่เป็นไรนะครับ !!” มาเรียนั้นได้แต่มองท่าทางของวินเซนต์ที่แสดงออกมาอย่างนิ่งเงียบ ถึงเธอนั้นจะยังไม่ตายแต่เธอนั้นก็อ่อนแรงลงเต็มที เปลวไฟชีวิตของเธอนั้นดูเหมือนจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ ท่าทางของเธอนั้นสร้างความสะเทือนใจให้กับแกรนและเดซี่อย่างมาก น้ำตาของเดซี่หลั่งออกมาอาบแก้มด้วยความรู้สึกสะเทือนใจยากจะบรรยาย ในขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับอาการบาดเจ็บของมาเรียนั้น พวกเขาไม่รู้เลยว่าความรู้สึกที่เดซี่สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเข้ามานั้นมันมาถึงตัวของพวกเขาแล้วto be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 11, 2018 16:16:43 GMT
EP.9 เบื้องหลังครึ่งหนึ่งของความตาย ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกกับอาการบาดเจ็บซึ่งทรุดหนักลงของมาเรีย ก็เป็นช่วงเวลาที่อะไรบางอย่างซึ่งเดซี่จับได้ ปรากฏตัวออกมามันคือกลุ่มของ Goblin อันนำโดยที่ถือขวานและ Goblin ตัวอื่นๆอีกประมาณ 5-6 ตัวซึ่งติดตามพวกเธอมานั่นเอง พวกมันปรากฏตัวออกมาจากพุ่มไม้ด้วยท่าทางที่ดูดีใจและเริงร่าก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่เล็กแหลมซึ่งฟังดูชวนขนลุกว่า “เคี๊ยกๆๆ เจ้าพวกมนุษย์ข้าเจอตัวแกแล้ว !! อะไรกันเนี่ย !! มีคนหนึ่งกำลังจะตายนี่นา แต่ไม่เป็นไรหรอกพวกเราไม่ใช่พวกชอบเลือกกิน ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังเอาไปทำอาหารเลิศรสได้ไม่มีปัญหา” Goblin ถือขวานกล่าวขึ้นพลางหัวเราะแลดูน่าหมั่นไส้ แต่สีหน้าของพวกแกรนซึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความกังวล มีดซึ่งเป็นอาวุธอย่างเดียวของเขาก็ยกให้กับคาสินัสไปแล้ว แต่แกรนก็ยังเหลือทักษะเวทมนตร์ที่จะเอาไว้ต่อสู้ได้อยู่ดังนั้นความหวังของเขาจึงยังไม่ได้หมดไป“คุณวินเซนท์ เดซี่จัง รีบพาคุณมาเรียนี้ไปจากที่นี่ ผมจะซื้อเวลาให้พวกคุณเอง” แกรนลุกขึ้นด้วยท่าทางที่ยากลำบากเนื่องจากว่าลูกธนูที่ปักอยู่ที่ต้นขาขวาของเขา เขาทนฝืนความเจ็บปวดยืนขึ้นประจันหน้ากับฝูง Goblin ซึ่งเตรียมตัวจะเข้าโจมตีได้ทุกเวลา“ดูเหมือนว่าเจ้าพวกมนุษย์นี่จะยังไม่ยอมแพ้สินะ พวกเราลุย !!” Goblin ถือขวานประกาศให้สัญญาณกับพวก Goblin ซึ่งติดตามมันมา จากนั้นในพริบตานั้นพวกมันก็พุ่งเข้าโจมตีใส่แกรนทันที แกรนนั้นรวบรวมสมาธิให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว“ Fire Wall” กำแพงไฟที่ลุกโชนและร้อนแรงปรากฏขึ้นคั่นกลางระหว่างเขาและฝูง Goblin แต่ดูเหมือนว่าในคราวนี้เหล่าบรรดา Goblin จะไม่ได้หลงกลวิ่งเข้าไปชนกำแพงไฟเหมือนดั่งคราวก่อนพวก Goblin ที่ถืออาวุธระยะประชิดนั้นเฝ้ารออยู่ด้านหลังกำแพงไฟอย่างนิ่งเฉย“ใช้ลูกไม้เดิมกับพวกเราไม่ได้ผลหรอก เจ้าธนูยิงมันซะ !!” Goblin ถือขวานบอกให้สัญญาณกลับ Goblin Archer ซึ่งหลบซ่อนอยู่ตรงพุ่มไม้บริเวณนั้นให้ปรากฏตัวออกมาและยิงธนูใส่แกรนทันที ลูกธนูของ Goblin Archer พุ่งเข้าใส่แกรนซึ่งไม่ทันได้ระวังตัวว่าจะเกิดการโจมตีระยะไกลเข้าอย่างจัง ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็ว ปักเข้าที่บริเวณหน้าอกด้านขวาของแกรนด์ทะลุปอดของเขาจนมันเสียบคาทะลุออกไปด้านหลัง เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากปากบาดแผลจำนวนมากทันที สีหน้าของแกรนดูตกใจและแตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวดจำนวนมากมายถูกส่งตรงเข้าสมองของเขา ร่างกายของเขานั้นดูเหมือนจะอ่อนแรงลงทันทีเขาทรุดนั่งลงกับพื้นในสภาพยันเข่า
“คุณแกรน !!” เดซี่ตะโกนร้องออกมาด้วยความตกใจและแตกตื่น เธอเพิ่งจะเห็นมาเรียถูกโจมตีด้วยลูกธนูจนต้องมีสภาพปางตายมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครู่นี้ มันเป็นภาพติดตาและสะเทือนอารมณ์ของเธอของเธอจนกระทั่งในคราวนี้ก็เป็นตาของแกรนด์ซึ่งโดนแบบนั้นต่อหน้าของเธออีกครั้ง ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างรุนแรง“แบบนี้ท่าทางจะแย่จริงๆแล้วนะครับเนี่ย คุณเดซี่ไม่มีทางเลือกแล้วครับเรารีบหนีกันก่อนเถอะ !!” วินเซนต์รู้สึกได้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากจำเป็นจะต้องรักษาชีวิตของคนที่ยังมีชีวิตอยู่เอาไว้ แต่เขาจะพาคนที่บาดเจ็บไปพร้อมกันทั้งสองคนก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แกรนฝากฝังให้เขาดูแลมาเรีย มันเปรียบเสมือนกับคำสั่งเสียของเขาถึงแม้ว่าตอนนี้แกรนจะยังไม่ตายก็ตามที แต่มันก็ช่วยให้วินเซนต์นั้นสามารถตัดสินใจได้ว่าจะพาใครไปและใครที่จะต้องอาจจะจบชีวิตอยู่ที่นี้วินเซนต์รีบแบกร่างของมาเรียซึ่งบาดเจ็บสาหัสขึ้นบ่าของเขา ก่อนที่อีกมือหนึ่งเขาจะเอื้อมไปคว้า แขนของเดซี่ซึ่งกำลังนั่งทรุดอยู่ที่พื้นและเริ่มออกวิ่ง เขานั้นรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเป็นอย่างมากที่ต้องตัดสินใจทิ้งแกรนซึ่งยังมีลมหายใจอยู่ แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการพยายามปกป้องพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเอาไว้ตรงนั้นแต่มันก็ไม่มีทางเลือก วินเซนต์พามาเรียและเดซี่หลบหนีจากไปอย่างทุลักทุเล Goblin มองพวกเขาหลบหนีไปอย่างช้าๆโดยที่ไม่ได้ติดตามไปแต่อย่างใด แต่พวกมันนั้นกลับเดินเข้าไปล้อม แกรนซึ่งกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น“ขอบใจมากนะวินเซนต์…..” แกรนกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา ในขณะที่เขากำลังนอนมองวินเซนต์วิ่งหนีไปกับพวกมาเรีย สายตาของเขานั้นเริ่มพร่ามัวจากอาการเสียเลือดมากความเจ็บปวดที่เขาเคยได้รับนั้นเปลี่ยนเป็นอาการชาไร้ความรู้สึกมันเป็นเครื่องบ่งบอกว่าร่างกายของเขานั้นกำลังจะถึงขีดสุดแล้วเขากำลังจะต้องตาย Goblin เข้ามาล้อมรอบตัวของเขาราวกับว่าจะไม่ยอมให้เขานั้นต้องตายอย่างสงบ“เพื่อนของแกทิ้งแกแล้วหนีไปหมดแล้ว ยังจะมีหน้าไปขอบคุณพวกมันอีกเหรอมนุษย์นี่ช่างพิลึกซะจริงเชียว” Goblin ถือขวานกล่าวขึ้นกับแกรนที่กำลังจะหมดลมหายใจด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยัน แกรนนั้นไม่กล่าวอะไรตอบกลับไปเลยแม้แต่นิดเดียว เขาได้แต่จับจ้องไปยัง Goblin เหล่านั้นด้วยสายตาที่เลื่อนลอย เขาเห็นภาพของ Goblin ถือขวานกำลังเงื้อขวานในมือของมันขึ้นอย่างช้าๆและสับลงไปที่ลำคอของเขา หลังจากนั้นความเจ็บปวดความรู้สึกทรมานของเขาก็ถูกปลดเปลื้องทิ้งไปจนหมดสิ้น สิ่งที่เขาเห็นนั้นมีเพียงความมืดมิด
มันเป็นความมืดมิดที่เงียบสงบ ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่รู้สึกสิ่งใด และไม่ทรมาน แกรนรู้ว่าตอนนี้เขาตายแล้ว แต่ในทันใดนั้นความมืดมิดเบื้องหน้าของเขานั้นก็กลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า จากความรู้สึกที่ไม่เคยมีทั้งหนาวและร้อนร่างกายของเขานั้นกลับรู้สึกถึงความอบอุ่น สายตาของเขานั้นค่อยๆปรับได้กับแสงสว่างที่ปะทะเข้ามาจนมันเกิดภาพขึ้นปรากฏบนดวงตาของเขา “ที่นี่ที่ไหนกัน ?” แกรนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย เพราะว่าสถานที่ที่เขายืนอยู่นี้มีลักษณะเป็นห้องที่กว้างใหญ่และหรูหรา ตัวผนังของห้องนั้นทำมาจากหินอ่อนสีขาวคุณภาพดีซึ่งเป็นสีขาวสะอาดหมดจด ตามผนังห้องนั้นประดับประดาไปด้วยอาวุธและชุดเกราะมากมาย ที่ดูสวยงามเป็นมันวาว อีกทั้งตามเสาซึ่งมีอยู่หลายต้นที่เรียงรายกันเป็นระเบียบภายในห้องถูกประดับประดาไปด้วยธงกำมะหยี่ที่ปักลายดูสวยงาม แต่ละธงนั้นมีสัญลักษณ์ประจำของมันอยู่แต่แกรนนั้นไม่รู้ว่าสัญลักษณ์ที่อยู่บนธงนั้นมีความหมายเช่นไร ที่พื้นของห้องที่ดูโอ่อ่าแห่งนี้มีพรมขนาดใหญ่ปูอยู่ซึ่งเป็นพรมเนื้อดีสีแดงสดขลิบลายทองดูสวยงามประณีต บรรยากาศภายในห้องนี้จึงดูสวยงามหรูหราราวกับเป็นหอแห่งเกียรติยศของชนชั้นสูงหรืออะไรทำนองนั้น“สวัสดี….ท่านชายหนุ่มผู้กล้าหาญ ยินดีต้อนรับสู่สรวงสวรรค์ของเหล่านักรบ” เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ฟังดูอ่อนโยนและสุภาพเรียบร้อยแต่ในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความจริงจังและเข้มแข็งดังขึ้นมาด้านหลังของแกรน แกรนนั้นรีบหันกลับไปมองทางต้นเสียงทันที ผู้ที่พูดกับเขาคือหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่งเธอสวมชุดเกราะสำหรับนักรบที่ดูสวยงามประณีตสีน้ำเงินเข้ม ตามชุดเกราะของเธอประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับซึ่งทำจากเงินและขนนกดูหรูหราแวววาว เธอเป็นหญิงสาวที่ดูเข้มแข็งดุจนักรบ เธอมีเส้นผมยาวสลวยสีเงินเป็นประกายดูมีเสน่ห์น่าหลงไหลดูตัดกับบุคลิกที่ดูเข้มแข็งของเธอได้อย่างลงตัว ผิวของเธอเป็นสีขาวนวลดูน่าดึงดูด ดวงตาของเธอกลมโตนัยน์ตาของเธอนั้นเป็นสีฟ้าซีดแกมเงินสวยงามเรากับอัญมณีเธอเดินเข้ามาหาแกรนด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจ ก่อนที่เธอจะยื่นมือขวาของเธอเข้าไปหาเขาเพื่อที่จะสัมผัสร่างกายของเขา แต่มือของเธอนั้นไม่สามารถที่จะสัมผัสร่างกายของเขาได้ มันทะลุผ่านตัวของเขาไปราวกับว่าตัวของเขานั้นโปร่งแสงและเป็นเพียงแค่หมอกควัน หญิงสาวผู้งดงามนั้นมีรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนบนใบหน้า ก่อนที่จะกล่าวกลับแกรนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและนุ่มนวลว่า“การที่ข้าไม่สามารถจะสัมผัสร่างกายของท่านได้ นั่นหมายความว่าท่านยังไม่ได้ตายอย่างแน่นอนสินะ ถึงแม้ว่าร่างกายของท่านจะหมดลมหายใจไปแล้ว แต่ว่าท่านยังเหลือเวลาอยู่อีกประมาณ 4 ชั่วโมงก่อนที่วิญญาณของท่านจะร่วงหล่นลงสู่โลกแห่งความตายและไม่สามารถที่จะกลับเข้าสู่ร่างได้ ในระหว่างนี้ท่านจึงอยู่ในสภาพกึงตาย ท่านยังไม่ใช่คนของโลกนี้โดยสมบูรณ์แต่ท่านก็สามารถที่จะพูดคุยกับข้าได้ ถ้าหากว่าผ่านพ้น 4 ชั่วโมงไปแล้วร่างกายของท่านยังไม่ได้รับพิธีกรรมการชุบชีวิตท่านคงจะต้องตายจริงๆล่ะนะ” หญิงสาวผู้มีผมสีเงินที่งดงาม กล่าวอธิบายถึงข้อความสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับความตายให้กับแกรนได้ฟังถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่งก็ตาม แกรนนั้นกล่าวถามกับหญิงสาวผู้งดงามคนนั้นกลับไปว่า“ที่นี่คือสรวงสวรรค์ของเหล่านักรบอย่างนั้นหรือครับ ? ถ้าอย่างนั้นคุณคือใครงั้นหรือครับ ?” แกรนยิงคำถามใส่หญิงสาวผู้งดงามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย คำถามของเขานั้นทำให้หญิงสาวผู้งดงามคนนั้นอดที่จะยิ้มและหัวเราะในลำคอไม่ได้ เธอนั้นยิ้มและตอบเขาอย่างเป็นมิตรว่า“ฉันมีชื่อว่า Sigrun (ซิกรุนด์) เป็นหนึ่งใน Valkyrie ผู้รับใช้ของท่าน Freyja เป็นผู้มีหน้าที่นำทางเหล่านักรบผู้กล้าเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเข้าสู่สงครามสุดท้ายยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” Sigrun แนะนำตัวเธอด้วยท่าทางที่ดูสุภาพและอ่อนน้อม แต่ในท่าทางนั้นก็ยังแฝงไปด้วยความเข้มแข็งและดูมีเกียรติ ท่าทางของเธอนั้นทำให้แกรนรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที เขาไม่นึกเลยว่าหญิงสาวผู้งดงามคนนี้จะมีฐานะเป็นถึงเทพนักรบหญิง Valkyrie นั่นหมายความว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ที่โลกหลังความตายอย่างแน่นอน“อย่างนั้นหรือครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่เสียมารยาท ผมไม่รู้ว่าคุณจะเป็นถึง …...” แกรนรู้สึกประหม่าและกล่าวขอโทษ Sigrun อย่างไม่มีสาเหตุ แต่ท่าทางของเขานั้นกลับทำให้เธอหัวเราะออกมาด้วยท่าทางที่ดูตลกขบขันก่อนที่จะกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นมิตรว่า“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงก็ตามตอนนี้คุณก็คงจะไปไหนไม่ได้นอกจากรออยู่ในห้องนี้จนกว่าคุณจะได้รับการตัดสินว่าตายไปอย่างแน่นอนแล้วหรือยัง แต่ความกล้าหาญของคุณในสนามรบที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นทำให้วิญญาณของคุณได้รับการยอมรับในฐานะของนักรบผู้กล้านะคะ ถ้าหากว่าคุณตายฉันจะเป็นผู้นำทางคุณเอง” Sigrun กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่อ่อนโยนและเป็นมิตรแต่ในเมื่อเธอพูดถึงเรื่องของความตายของเขาก็อดทำให้ แกรนยิ้มออกมาแหยงๆไม่ได้“ในระหว่างนี้ฉันจะเป็นเพื่อนสนทนากับคุณเองค่ะ มีอะไรที่ค้างคาใจหรือเปล่าคะ ลองเล่าให้ฉันฟังก็ได้นะ….” Sigrun เริ่มกล่าวชวนแกรนพูดคุยถึงสิ่งที่เขาสงสัย แกรนเมื่อได้ยิน Sigrun กล่าวเช่นนั้นเขาก็มีท่าทางที่ดูกระตือรือร้นขึ้นมาในทันทีเขามีเรื่องให้อยากจะรู้อีกมากมายแต่สิ่งที่เขาอยากจะรู้ที่สุดก็คือ“ใช่แล้วครับ !! จริงสิ !! เพื่อนของผมล่ะครับ เขาปลอดภัยไหมวินเซนต์ เดซี่จัง คุณมาเรีย ทุกคนปลอดภัยหรือเปล่า” แกรนยิงคำถามนี้ใส่ Sigrun อย่างรวดเร็วดูเหมือนว่านี่คือสิ่งที่เขาอยากจะรู้ที่สุด Sigrun เมื่อได้ยินเขาทำเช่นนั้น เธอก็ยื่นมือขวาของเธอขึ้นมาและชี้นิ้วของเธอไปยังกระจกบานใหญ่ซึ่งประดับอยู่ที่ริมผนังของห้องนี้ กระจกบานนั้นเป็นกระจกใสแต่เมื่อแกรนมองเข้าไปในกระจกใบนั้นเขาก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อมีภาพของพวกวินเซนต์ซึ่งกำลังวิ่งหลบหนีปรากฏขึ้นมา“สุดยอดเลยนี่มันอะไรกันเนี่ย !!” แกรนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นเมื่อได้เห็นภาพสะท้อนบนกระจก Sigrun ยิ้มออกมาเล็กๆด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนานจากปฏิกิริยาตอบกลับของแกรนก่อนที่เธอจะกล่าวว่า“ระหว่างนี้เรามาดูกันเถอะค่ะ ว่าเพื่อนของคุณจะเป็นอย่างไร และคุณจะรอดจากความตายไหม ?” แกรนเมื่อได้ยิน Sigrun กล่าวขึ้นมาดังนั้น เขาก็ได้แต่ยิ้มออกมาเจือนๆ ก่อนที่เขาจะจับจ้องสายตาไปยังภาพสะท้อนบนกระจกอย่างตั้งใจ - กลางป่าลึกไม่ไกลจากที่อยู่อาศัยของ Goblin - “พอเถอะค่ะคุณวินเซนต์…..” เดซี่กล่าวขึ้นมากลับวินเซนต์ด้วยท่าทางที่ไร้เรี่ยวแรงขาของเธอนั้นหยุดวิ่งราวกับว่ามันนั้นไร้ซึ่งกำลัง เธอเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ดวงตาของเธอนั้นแดงมันบ่งบอกว่าเธอนั้นร้องไห้มาตลอดทาง วินเซนต์เมื่อเห็นท่าทางของเธอเขาก็รู้สึกโศกเศร้ายังไม่สามารถอธิบายได้“คุณแกรน พี่มาเรีย ทั้งสองคนนี้มาช่วยพวกเรา ทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นแบบนี้ ถ้าหากว่าพวกเขาไม่มาช่วยพวกเรา พวกเขาก็ไม่ต้องมากลายเป็นแบบนี้ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกเราใช่ไหมคะ…..” เดซี่กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ เธอนั้นร้องไห้และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดวินเซนต์นั้นรู้ดีว่าสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นเป็นความจริง แกรนและมาเรียต้องมาเจอกับสภาพแบบนี้ก็เพราะว่ามาช่วยพวกเขา แต่ว่าเขาจะปล่อยให้ความพยายามของแกรนเสียเปล่าไม่ได้“ฟังนะเดซี่ คุณแกรนและคุณมาเรียอยากจะให้พวกเรามีชีวิตอยู่ต่อไป และพวกเขาก็ได้เสียสละแล้ว เราจะทำให้ความพยายามของเขาต้องเสียเปล่าไม่ได้ นี่เป็นหน้าที่ของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่จะต้องแบกรับความเจ็บปวดของคนที่อยากให้เรามีชีวิตครับ” วินเซนต์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่จริงจังและน้ำเสียงที่ฟังดูมุ่งมัน แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขานั้นจะไม่ได้ทำให้เดซี่รู้สึกอยากจะมีชีวิตขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเธอนั้นได้ซึ่งประกายในแววตา“เคี๊ยกๆๆๆ !! ใช่แล้วเพื่อนของแกไปรอแกอยู่ที่โลกหน้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอะไรอีกต่อไปแล้วข้าจะส่งพวกแกไปหาเพื่อนของแกเอง” Goblin ถือขวานนั้นติดตามพวกวินเซนต์มาได้ทันพร้อมกับฝูง Goblin อีกจำนวน 5 - 6 ตัวซึ่งติดตามมันมา วินเซนต์นั้นสังเกตได้ถึงรอยเลือดสีแดงฉานที่เปรอะอยู่บริเวณคมขวานของมัน เขานั้นสามารถจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ ดูเหมือนว่าแกรนด์จะถูกมันคร่าชีวิตเอาไปเสียแล้ว และในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะถึงคราวของพวกเขาแล้ว“เดซี่….ฝากดูแลคุณมาเรียด้วย” วินเซนต์กล่าวขึ้นในขณะที่เขาวางร่างของมาเรียซึ่งกำลังหายใจรวยรินลงบนพื้น เพื่อฝากให้เดซี่ดูแลต่อ แต่ดูเหมือนว่าความหวังของเขานั้นจะริบหรี่เต็มที เนื่องจากว่าเดซี่นั้นไม่ขยับเขยื้อนตัวไปไหนเลย ราวกับว่าร่างกายของเธอนั้นไร้ซึ่งเจตจำนงในการมีชีวิตอยู่เสียแล้ว“เอาละสั่งลากันเสร็จแล้วสินะแต่ไม่ต้องกลัวหรอกอีกเดี๋ยวพวกแกก็ไปเจอกันในโลกหน้าแล้ว !!” Goblin ถือขวานกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูชวนขนลุกกับวินเซ็นท์ซึ่งยืนประจันหน้ากับมันด้วยมือเปล่า ความหวังของวินเซนต์นั้นริบหรี่ลงเต็มที แต่ทันใดนั้นสิ่งที่วินเซนต์และพวก Goblin ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น“ Magnum Break !!” เสียงของแกมเบียร์ดังขึ้นกึกก้องพร้อมกับคลื่นพลังความร้อนจากเวทมนตร์ไฟและการตวัดดาบที่รุนแรงถาโถมเข้าใส่กลุ่มของ Goblin ที่ถือขวานอย่างไม่ทันตั้งตัว …..to be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 13, 2018 10:29:23 GMT
EP.10 เตรียมโจมตีกลับ“ Magnum Break !!” เสียงของแกมเบียร์ดังขึ้นกึกก้องพร้อมกับคลื่นพลังความร้อนจากเวทมนตร์ไฟและการตวัดดาบที่รุนแรงถาโถมเข้าใส่กลุ่มของ Goblin ที่ถือขวานอย่างไม่ทันตั้งตัว พวก Goblin ที่ถูกโจมตีอย่างกระทันหันต่างก็กระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศละทางและบาดเจ็บบางตัวก็ล้มตาย“หนอย !! เจ้ามนุษย์คนนี้จู่ๆโผล่มาจากไหน !!” Goblin Archer รู้สึกตกใจมากทันทีที่เห็นพรรคพวกของมันถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวจากการปรากฏตัวของแกมเบียร์ มันจึงกำลังจะง้างคันธนูในมือเพื่อจะยิงลูกศรใส่แกมเบียร์ในขณะที่เธอไม่ทันระวังตัวว่ากำลังจะถูกโจมตีจากระยะไกล แต่ว่า Goblin Archer เองนั้นก็ไม่รู้เลยว่าตัวของมันนั้นกำลังถูกจับจ้องอยู่โดยจูเลีย จูเลียซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ เมื่อเห็นท่าทางของ Goblin Archer ซึ่งกำลังจะยิงธนูใส่เพื่อนร่วมปาร์ตี้ของเธอ เธอก็พุ่งเข้าไปหามันอย่างรวดเร็วและใช้มีดที่อยู่ในมือของเธอนั้นปาดเข้าไปที่ลำคอของมันอย่างแม่นยำ“อะ...ไร…..อี๊ก !!” Goblin Archer ไม่ทันแม้แต่จะได้มองเห็นใบหน้าของผู้ที่ปลิดชีวิตของมัน คมมีดของจูเลียตัดเส้นเลือดใหญ่และหลอดลมของมัน อย่างแม่นยำและเงียบเชียบทำให้มันจบชีวิตลงทันทีโดยที่แทบจะไม่เกิดเสียงอะไรขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย จูเลียสลัดเลือดสีแดงฉานของ Goblin Archer ออกจากคมมีดของเธอและเก็บมันเข้าฝักอย่างใจเย็น ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาแกมเบียร์ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับพวกของวินเซนต์ซึ่งกำลังมองพวกเธอทั้งสองคนด้วยสายตาที่ประหลาดใจ“ขอบคุณมากครับ พวกคุณทั้งสองคน ที่มาช่วยพวกเราไว้ ถ้าไม่ได้พวกคุณป่านนี้เราคงจะแย่ไปแล้ว” วินเซนต์กล่าวขอบคุณจูเลียและแกมเบียร์ด้วยท่าทางที่ดูสุภาพ แกมเบียร์นั้นยิ้มออกมาให้เขาอย่างเป็นมิตร ส่วนจูเลียนั้นกลับมองวินเซนต์ด้วยสายตาที่ดูเย็นชาและเฉยเมย แต่แววตาของเธอก็ต้องเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเธอมองเห็นมาเรียซึ่งหายใจรวยรินอยู่ภายในอ้อมแขนของวินเซนต์“ดูท่าทางไม่ดีเลยนะ นี่เธอไปโดนอะไรมา !!” จูเลียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรีบร้อนและจริงจังก่อนที่เธอจะตรงเข้าไปหามาเรียซึ่งกำลังอยู่ในอาการที่ดูเจ็บปวดทรมาน เธอเสียเลือดไปมากและต้องทนกับพิษบาดแผลที่สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส ใบหน้าของเธอหน้าซีดเผือดมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมากและหายใจหอบเข้าออกสั้นๆ ที่ขอบตาของเธอเริ่มมีสีคล้ำและปากของเธอก็ซี้ดจนแทบไม่มีสีเลือด เธอในตอนนี้ไม่มีสติรับรู้สิ่งใด “เธอโดนลูกธนูยิง ไม่รู้ว่ามันอาบยาพิษเอาไว้หรือเปล่า แต่ว่าแค่บาดแผลก็ดูจะสาหัสมากแล้ว” วินเซนต์อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับมาเรียด้วยท่าทางที่ดูว่ารีบร้อนและเป็นกังวล จูเลียเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ล้วงมือเข้าไปภายในกระเป๋าสัมภาระของเธอเองเพื่อที่จะหาสิ่งของบางอย่าง หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจเธอก็หยิบ Item ชิ้นหนึ่งขึ้นมา มันเป็นม้วนกระดาษเล็กๆซึ่งทำมาจากระดาษเนื้อดีที่ดูทนทานและประณีตอีกทั้งกระดาษแผ่นนี้ยังรู้สึกได้ถึงพลังเวทมนตร์บางอย่างจางๆที่แผ่ซ่านออกมา แกมเบียร์เมื่อเห็นกระดาษใบนั้นเธอก็รู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที“จูเลียจังเจ้ากระดาษนั่นมันคืออะไรหรือคะ ?” แกมเบียร์เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายใดๆอยู่รอบๆแล้วเธอจึงเดินเข้ามาหาจูเลียซึ่งกำลังจะใช้สิ่งของบางอย่างในการช่วยเหลือมาเรียจากอาการบาดเจ็บ จูเลียค่อยๆคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกมาอย่างช้าๆ กระดาษมันคือม้วนคาถาซึ่งบันทึกทักษะการรักษาของนักบวชเอาไว้ มันเป็นกระดาษเวทย์มนต์ที่ใช้สำหรับร่ายคาถา Heal ของอาชีพนักบวช ถึงแม้ว่าคนที่ใช้มันจะเป็นอาชีพอะไรก็ตามก็สามารถที่จะใช้คาถานี้ได้“ชั้นไม่ค่อยมีความรู้ด้านเวทมนต์ ถ้าหากว่าใช้มันคงจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพซักเท่าไหร่ มีใครที่มีทักษะทางด้านเวทมนตร์บ้างไหม ?” จูเลียเอยขึ้นด้วยท่าทางที่รีบร้อน เธอต้องการให้ใครสักคนที่มีความสามารถด้านการใช้เวทมนตร์มาใช้ม้วนคาถาใบนี้เพื่อรักษามาเรีย เธอนั้นมีอาชีพเป็นโจรจึงไม่ได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับเวทมนต์มาเลย ถ้าหากว่าใช้คนที่ไม่มีทักษะมาใช้คาถานี้ประสิทธิภาพของคาถาก็จะลดลงเป็นเท่าตัว วินเซนต์นั้นมีอาชีพเป็นพ่อค้าดังนั้นจึงห่างไกลกับคำว่าเวทมนตร์มากมายนัก ส่วนเดซี่ก็เป็นนักธนูยังไม่ได้ฝึกทักษะทางด้านเวทย์มนตร์มาเช่นกัน“จูเลียส่งมันมาให้ฉันเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” แกมเบียร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังเธอนั้นเป็นนักดาบ ตามปกติแล้วนักดาบนั้นมักจะไม่ค่อยมีความถนัดในด้านการใช้เวทมนตร์สักเท่าไหร่แต่ดูเหมือนว่าแกมเบียร์นั้นจะไม่ใช่นักดาบทั่วๆไปเธอนั้นดูมีความมั่นใจอย่างผิดปกติ“แกมเบียร์มันจะดีหรอเธอเป็นนักดาบนะ ?” จูเลียกล่าวตค้านขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูแปลกใจ แต่ท่าทางของเธอที่แสดงออกมานั้นให้แกมเบียร์ยิ้มออกมาเล็กๆก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาอย่างภูมิใจว่า“ในอนาคตฉันอยากจะเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ (Crusader) นะคะดังนั้นฉันก็เลยศึกษาเรื่องเวทมนตร์มามากพอสมควรดังนั้นไม่ต้องห่วงนะคะให้ฉันจัดการเอง” แกมเบียร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจ ท่าทางของเธอนั้นทำให้จูเลียรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จูเลียจะส่งกระดาษใบเล็กๆนั้นให้กับแก้มเบียร์ ทันทีที่แกมเบียร์รับกระดาษใบนั้นไปเธอก็นำมันสะบัดในอากาศเบาๆประมาณ 2-3 ครั้ง จากนั้นเธอก็ใช้นิ้วมือของเธอลูบไล้ไปตามตัวอักษร ซึ่งเขียนเอาไว้ด้วยน้ำหมึกเวทมนตร์ที่อยู่บนกระดาษ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างขึ้นตามตัวอักษรทีละตัวซึ่งเธอใช้นิ้วมือลูบผ่านมันไป “ Heal !!” แสงสว่างราวกับออร่าสีเขียวอ่อนๆ ส่องประกายจากกระดาษใบนั้นและพุ่งตรงไปยังร่างกายของมาเรียซึ่งอยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก ทันใดนั้นแผลของเธอซึ่งเกิดจากคมลูกธนูก็ค่อยๆประสานตัวกันอย่างรวดเร็ว ในจังหวะที่ร่างกายของเธอกำลังฟื้นตัวนั้น วินเซนต์ก็ใช้มือของเขาดึงลูกธนูซึ่งปักคาอยู่ที่บริเวณด้านหลังของเธอออกมาเลือดสีแดงสดยังคงติดอยู่ที่ส่วนหัวของลูกธนูแต่ว่าบาดแผลของเธอนั้นกลับหายสนิทไม่มีแม้แต่กระทั่งรอยแผลเป็น หลังจากที่ผลของคาถา Heal เสร็จสิ้นลงท่าทางเจ็บปวดทรมานของมาเรียก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่เธอก็ยังคงเหลืออาการอ่อนเพลียจากการเสียเลือดเป็นจำนวนมากอยู่ดี เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆด้วยท่าทางที่ดูมึนงงและสับสน ก่อนที่เธอจะกล่าวถามขึ้นมาว่า “ทุกคน….นี่ดิฉันเป็นอะไรไปคะ…..” มาเรียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูงุนงงและสับสน ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถจำเหตุการณ์ได้ว่าเธอบาดเจ็บได้อย่างไ รแต่นี่ก็ไม่แปลกเท่าไหร่นักเนื่องจากว่ามันมักจะเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายราย“คุณถูก Goblin Archer ยิงเอานะครับ คุณก็เลยได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหลังจากนั้นก็มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้น…..” วินเซนต์อธิบายเรื่องราวที่ผ่านมาให้กับมาเรียได้ฟัง แกมเบียร์และจูเลียก็ได้มีโอกาสได้ฟังเรื่องต่างๆในการเล่าเรื่องราวครั้งนี้ด้วย วินเซนต์อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างย่อๆด้วยระยะเวลาเพียงแค่ประมาณ 5 นาทีทุกคนก็สามารถจะเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างไม่ยากเย็น“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าตอนนี้คุณแกรน…...” มาเรียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูโศกเศร้า เมื่อเธอได้รับรู้ว่าแกรนนั้นได้สละตนเองเพื่อให้พวกวินเซนต์และเธอได้หนีออกมา แต่ว่าตอนนี้มันยังไม่สายเกินไปถ้าหากว่าพวกเขาสามารถที่จะชุบชีวิตแกรนขึ้นมาได้ เขาก็น่าจะสามารถหลีกพ้นจากความตายที่จะต้องเผชิญได้มาเรียจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบากก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า“พวกเราย้อนกลับไปหาคุณแกรนกันเถอะค่ะ บางทีศพของเขาอาจจะยังอยู่ที่เดิมถ้าเราพาเขากลับเมืองไปทันเขาก็จะไม่เป็นไร” มาเรียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง ทุกคนในที่นั้นเห็นด้วยกับเธอพวกเขาจึงคิดจะย้อนกลับไปทางเดิมอีกครั้งเพื่อกลับไปหาร่างที่ไร้วิญญาณของแกรน“จริงสิ !! ก่อนหน้านี้ฉันเจอของพวกนี้ในกระท่อมของ Goblin มันเป็นของพวกนายใช่ไหม ?” จูเลียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกระตือรือร้น ก่อนที่เธอจะหยิบกระเป๋าสัมภาระซึ่งเธอนั้นได้พบเจอที่หมู่บ้านของ Goblin ออกมาให้กับพวกวินเซนได้ดู ภายในนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์และชุดเกราะของพวกเขารวมทั้ง Item ต่างๆ มันดูเหมือนว่าแทบจะไม่ได้ถูกแต่ต้องเลยเพียงแต่มันแค่ถูกขโมยไปเก็บไว้เท่านั้ นคาดว่าพวก Goblin น่าจะไม่สนใจมันเท่าไหร่นัก“ยอดไปเลยครับ !! นี่แหละคืออาวุธของพวกผมที่ถูกพวกมันเอาไปขอบคุณมากนะครับคุณ…...” วินเซนต์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นยินดีในขณะที่เขาตรงเข้าไปหากระเป๋าสัมภาระของเขา และหยิบขวาน Battle Axe อาวุธประจำกายของเขาขึ้นมาถือไว้ในมือด้วยท่าทางที่ดูดีอกดีใจ ก่อนที่เขาจะมองไปยังจูเลียซึ่งยืนยิ้มเล็กๆอยู่ใกล้ๆตรงนั้นเขานั้นยังไม่รู้จักชื่อของจูเลียเลย“ขอโทษด้วยนะครับที่เสียมารยาทเหตุการณ์มันฉุกละหุกผมก็เลยลืมแนะนำตัวไปเลย ผมมีชื่อวินเซนต์ ส่วนนักธนูคนนี้ชื่อว่าเดซี่ ต้องขอบคุณพวกเธอมากนะที่มาช่วยเหลือพวกผมถ้าไม่รังเกียจช่วยบอกชื่อของพวกเธอให้ผมทราบหน่อยได้ไหม ?” วินเซนต์กล่าวแนะนำตัวเขาและเดซี่ด้วยท่าทางที่ดูสุภาพ จูเลียรู้สึกได้ถึงความเกรงอกเกรงใจและความรู้สึกขอบคุณที่แฝงไว้ในน้ำเสียงของวินเซนต์อย่างชัดเจน เธอจึงกล่าวตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า“ความรู้สึกช้าซะจริงนะ !! ชั้นชื่อว่าจูเลียส่วนนักดาบคนนี้ชื่อว่าแกมเบียร์พวกนายติดหนี้พวกเราแล้วนะ” จูเลียกล่าวขึ้นดังนั้นก็ยิ้มแสยะออกมาที่มุมปาก แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มเย้ยหยันเลยแม้แต่น้อยแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่กันอย่างเป็นมิตร วินเซนต์นั้นอดที่จะยิ้มเล็กๆตอบเธอไม่ได้ในความร่าเริงแก่นแก้วของเธอ แต่ดูเหมือนว่าเวลาที่จะมาแนะนำตัวนั้นคงจะต้องเอาไว้ทีหลังเนื่องจากว่าเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ของแกรนนั้นกำลังหมดลงไปทุกที
“ทุกคนรีบไปกันเถอะค่ะ !! เจ้าพวก Goblin นั่นบอกว่าพวกมันกินมนุษย์เป็นอาหารบางทีมันอาจจะนำศพของคุณแกรนไปแล้วก็ได้” เดซี่เอ่ยขึ้นมาด้วยความเป็นกังวลก่อนที่ เธอจะสะพายกระบอกใส่ลูกธนูประจำตัวของเธอขึ้นบนบ่า ภายในกระบอกลูกธนูนั้นมีธนูซึ่งส่วนคมที่หัวของตัวลูกศรทำมาจากเงิน (Silver Arrow) มันมีความสามารถที่ใช้ในการต่อต้านปีศาจได้ดีกว่าลูกธนูธรรมดาและเธอก็เชื่อว่าในครั้งนี้มันจะต้องได้ผลอย่างแน่นอน และเธอก็ทำหน้าไม้ (Cross Bow) ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของเธอเอาไว้ในมือด้วยท่าทางที่จริงจังและมุ่งมั่นเมื่อทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้วพวกเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังจุดที่พวก Goblin ได้เคยปะทะกับแกรนก่อนหน้าที่พวกเขาจะหลบหนีมา ทันทีที่ไปถึงที่นั่นความกังวลของเดซี่ก็เป็นเรื่องจริง เนื่องจากว่าพวกเขานั้นไม่พบศพของแกรนเลยแม้แต่น้อย มีแต่เพียงรอยเลือดสีแดงซึ่งบางส่วนก็แห้งเกรอะกรังจนกลายเป็นสีน้ำตาลแก่กระจายอยู่เต็มตามพื่น เมื่อเดซี่ลองไปสังเกตดูรอบๆก็พบกับรอยเลือดลากยาวเป็นทาง ซึ่งถ้าหากว่าการคาดการณ์ของเธอไม่ผิดพวก Goblin น่าจะลากศพของแกรนเคลื่อนย้ายไปยังหมู่บ้านของมัน“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปสินะ เอายังไงกันดีล่ะทีนี้ ? จะให้บุกไปที่หมู่บ้านของพวกมันชิงเอาตัวเพื่อนของพวกเธอกลับมาไหม ?” จูเลียเมื่อเห็นท่าทางของเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นเธอก็ลองถามความเห็นของพวกวินเซนต์ขึ้นมาทันที วินเซนต์ มาเรีย และเดซี่ ต่างก็นิ่งเงียบเหมือนกับว่ากำลังใช้ความคิดอยู่คู่หนึ่งก่อนที่มาเรียจะกล่าวขึ้นกับจูเลียว่า“ฉันอยากจะไปพาคุณแกรนกลับมา แต่ด้วยลำพังพวกเราที่มีอยู่กันแค่นี้คงจะทำสำเร็จไม่ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ เราต้องการกำลังเสริมความสามารถของนักบวชนั้นสามารถที่จะบันทึกจุดวาปซึ่งอยู่ด้านนอกเมืองได้อย่างอิสระ แม้ว่าจะสามารถบันทึกได้ไม่กี่จุดก็ตาม ฉันจะบันทึกที่นี่เป็นจุดเพื่อเปิดประตูมิติและฉันจะกลับไปที่ Prontera เพื่อพากำลังเสริมมา ในระหว่างนี้ฉันอยากจะให้พวกคุณจูเลียไปที่หมู่บ้านของพวก Goblin ถ้าหากว่ามันกำลังจะทำให้ร่างกายของคุณแกรนกลายสภาพจนไม่สามารถจะคืนชีวิตกลับมาได้ ฉันอยากจะให้คุณหยุดพวกมันเอาไว้ค่ะ ก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง” มาเรียนั้นอยากจะไปช่วยแกรนที่ถูกเอาตัวไป แต่พวกเธอนั้นจำเป็นต้องการกำลังเสริม เธอจึงเลือกที่จะเปิดประตูมิติกลับไปยัง Prontera ในระหว่างนี้เธออยากจะให้พวกวินเซนต์ จูเลีย เดซี่ และแก้มเบียร์ ช่วยไปยืนยันความปลอดภัยร่างกายของแกรนซึ่งถูกพวก Goblin เอาไป และถ้าหากว่ามันกำลังจะเกิดเหตุร้ายขึ้นซึ่งอาจจะให้แกรนไม่สามารถจะกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้งมาเรียอยากจะให้พวกเขานั้นหยุดมันเอาไว้ จูเลียเมื่อได้ฟังคำอธิบายของมาเรียเธอก็เข้าใจได้อย่างทันที เธอจึงตอบตกลงในคำขอร้องของมาเรียด้วยการพยักหน้าเบาๆ ซึ่งการตัดสินใจของจูเลียในครั้งนี้ วินเซนต์และคนอื่นๆก็ดูเหมือนจะเห็นด้วย ดังนั้นมาเรียเมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นเธอจึงเปิดประตูมิติเมื่อเดินทางกลับไปยัง Prontera ด้วยท่าทางที่ดูรีบเร่ง“ถ้ายังไงขอให้ทุกคนนึกถึงความปลอดภัยของตนเองเป็นอันดับแรกนะคะ อย่าให้ความสูญเสียเกิดขึ้นอีกฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดค่ะ !!” มาเรียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่จริงจังก่อนที่เธอจะเดินเข้าประตูมิติเพื่อกลับไปยังเมือง Prontera และจะนำกำลังเสริมกลับมาto be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 15, 2018 15:26:49 GMT
EP.11 โจมตีสายฟ้าแลบ - หอแห่งเกียรติยศของนักรบภายในโลกหลังความตาย - “ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นที่รักของเพื่อนๆนะคะ ทุกคนกำลังพยายามจะช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่ ช่างหน้าตื้นตันใจจริงๆค่ะ” Sigrun กล่าวขึ้นกับแกรนด้วยท่าทางที่ดูกระเซ้าเย้าแหย่ในขณะที่พวกเขาทั้งสองคนนั้นกำลังมองดูที่กระจกซึ่งสะท้อนภาพของโลกเบื้องล่าง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พวกของจูเลียและคนอื่นๆกำลังพยายามจะช่วยเหลือแกรนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง“ทุกคนต้องมาลำบากขนาดนี้เพราะผม ผมรู้สึกดีใจแล้วก็เสียใจไปพร้อมๆกันเลยนะครับเนี่ย อธิบายลำบากอยู่เหมือนกันนะครับ” แกรนเฝ้ามองกระจกด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลในขณะที่เขากำลังเห็นพวก Goblin กำลังแบกร่างที่ไร้วิญญาณของเขากลับไปที่หมู่บ้านของพวกมันอย่างพร้อมเพียงและยินดี “ถ้าหากว่าผมถูกพวกมันกินเข้าไป ผมก็จะไม่สามารถกลับไปมีชีวิตได้อีกแล้วใช่ไหมครับ ?” แกรนถามคำถามขึ้นมากับ Sigrun ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและเคร่งเครียด เพื่อยืนยันความแน่ใจในเงื่อนไขของการชุบชีวิต Sigrun พยักหน้าเบาๆแทนคำตอบ แกรนนั้นเข้าใจได้อย่างถูกต้องถ้าหากว่าร่างกายเสียหายไปอย่างหนักหรือว่าอยู่ในสภาพที่ไม่ครบสมบูรณ์ได้การชุบชีวิตนั้นจะล้มเหลว“นั่นแหละคือสาเหตุยังไงล่ะคะ ว่าทำไมเพื่อนของคุณถึงได้จะพยายามกลับไปชิงร่างของคุณกลับมากันอย่างเอาเป็นเอาตาย เป็นมิตรภาพที่งดงามมากเลยนะคะ” Sigrun กล่าวขึ้นและยิ้มออกมาอย่างร่าเริง ดูเหมือนว่าเธอจะมีความบันเทิงใจเป็นอย่างมากที่ได้รับชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกระจก แกรนเห็นท่าทางของเธอเป็นเช่นนั้นเขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก เขาได้แต่จับจ้องไปยังสิ่งที่สะท้อนออกมาบนกระจกอย่างใจจดใจจ่อ - ที่ป่าใกล้ๆกับบริเวณหมู่บ้านของ Goblin - “เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วยพวกมันเอาตัวของคุณแกรนไป ถ้าเราไม่รีบชิงเอามันกลับมาล่ะก็ คงจะต้องเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นแน่นอนเลยครับ” วินเซนต์กล่าวขึ้นกับสมาชิกคนอื่นภายในปาร์ตี้ ซึ่งตอนนี้พวกเขานั้นกำลังแอบกันอยู่ที่บริเวณพุ่มไม้ใกล้ๆกับหมู่บ้านของพวก Goblin เพื่อสังเกตการณ์ถึงการกระทำของพวกมัน พวก Goblin ในตอนนี้กำลังแบกร่างของแกรนซึ่งไร้วิญญาณมุ่งตรงไปยังลานกว้างของบ้านที่ลานกว้างแห่งนี้มีการจุดกองไฟขนาดใหญ่เอาไว้ ที่ด้านรอบของกองไฟนั้นมีโต๊ะไม้เตี้ยๆซึ่งเต็มไปด้วยผลไม้และเครื่องเทศชนิดต่างๆอีกทั้งยังมีดอกไม้ประดับดูสวยงามและน่าขนลุก ที่บนโต๊ะซึ่งอยู่ใกล้สุดกับกองไฟเป็นโต๊ะซึ่งทำมาจากหินแข็ง และที่ด้านข้างของโต๊ะนั้นก็มีมีดโลหะขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะผ่านการใช้งานมานานแต่ก็ได้รับการดูแลจนคมกริบ โต๊ะตัวนี้น่าจะเป็นโต๊ะที่ใช้ในการชำแหละวัตถุดิบของอาหารซึ่งจะใช้ในการปรุงอย่างแน่นอน Goblin ค่อยๆแบกร่างของแกรนตรงไปยังโต๊ะหินตัวนี้อย่างช้าๆ ก่อนที่พวกมันจะวางร่างของเขาลงตรงกลางโต๊ะพอดิบพอดี“แย่แล้วนะคะแบบนี้ ถ้าโดนหั่นเป็นชิ้นๆล่ะก็พวกเราคงทำอะไรอีกไม่ได้แล้วล่ะ” เดซี่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางเป็นกังวล เมื่อเห็นเหตุการณ์ภายในหมู่บ้านของพวก Goblin มันทำให้เธอรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายอยากที่จะเข้าไปโจมตีพวก Goblin และชิงร่างของแกรนกลับมาเสียตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่าวินเซนต์นั้นจะรู้ความคิดของเธอได้จากท่าทางการแสดงออกของเธอ เขาจึงพยายามห้ามปรามเธอและบอกให้รอกำลังเสริมมาถึงก่อน“ว่าไปแล้ว...นักบวชคนที่ชื่อว่ามาเรียนั้น….มีคนที่รู้จักที่จะมาช่วยเหลือเราได้หรือ ? ตามปกติแล้วนักผจญภัยถ้ารู้ว่ามีเรื่องต้องเสี่ยงอันตรายและไม่ได้ค่าตอบแทนพวกเขามักจะไม่ค่อยช่วยเหลือกันเท่าไหร่นักหรอกนะ” จูเลียกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูเป็นกังวล เธอกล่าวขึ้นจากประสบการณ์ตรงของเธอ เนื่องจากว่าในสมัยที่เธอยังมีปาร์ตี้อยู่นั้น นักผจญภัยส่วนมากมักจะมีความเป็นเอกเทศและไม่ค่อยช่วยเหลือกันเท่าไหร่นัก ดังนั้นเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่คับขันหรือเป็นอันตรายจึงเลิกหวังได้เลยว่าจะมีใครมาช่วย“ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าที่เมืองอื่นๆเป็นยังไง หรือว่านักผจญภัยกลุ่มอื่นนั้นมีความคิดเป็นอย่างไร แต่ว่าพวกเรานั้นมีเพื่อนที่พึ่งพาได้อยู่ครับ พวกเขานั้นเป็นคนดีผมกล้ายืนยัน….” วินเซนต์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและมั่นใจ ท่าทางของเขานั้นทำให้จูเลียเม้มปากแน่นราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกไม่พอใจหรือว่ารู้สึกไม่ถูกต้องอะไรบางอย่าง“ถ้าอย่างนั้นก็ขอดูหน่อยเถอะ ว่าเพื่อนที่พึ่งพาได้ของพวกนายเป็นแบบไหน….” จูเลียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ภายในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจลึกๆออกมาอย่างเห็นได้ชัด วินเซนต์นั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขาก็รู้สึกว่าโจรสาวน้อยคนนี้น่าจะต้องผ่านอะไรที่เลวร้ายมากมาในอดีตอย่างแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะต้องมาสนใจเรื่องราวในอดีตของคนอื่น เพราะว่าเพื่อนของเขากำลังจะเผชิญเหตุร้ายอยู่เบื้องหน้า“แย่แล้วล่ะค่ะ !! ทุกคนดูนั่นสิ” แกมเบียร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูแตกตื่นเมื่อเธอเห็น Goblin ซึ่งอยู่ที่ลานพิธีของหมู่บ้านกำลังมารวมตัวกันจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่นั้น Goblin Leader ก็อยู่ที่นั่นด้วย มันกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ซึ่งทำจากไม้และประดับประดาไปด้วยหัวกระโหลกขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ด้านหน้าของลานพิธี และล้อมรอบไปด้วยเหล่าบรรดาลูกสมุน Goblin ซึ่งดูท่าทางเป็นนักรบที่มีฝีมือ“เหล่าพี่น้องของเรา ในวันนี้แม้พวกเราจะต้องมีเรื่องที่ทำให้เสียเลือดเสียเนื้อไปบาง แต่งานรื่นเริงของพวกเราก็ไม่ได้ถูกยกเลิกลง การกินดื่มของพวกเราในวันนี้จะไม่มีอะไรมาหยุดพวกเราได้อีกแล้ว ถึงเวลาของงานเลี้ยง !!” Goblin Leader กล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ดังและห้าวหาญภายในน้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความยินดี หลังจากที่มันกล่าวจบลง Goblin ทั้งหลายซึ่งอยู่ในลานพิธีนั้นก็โห่ร้องขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันเป็นเสียงอันกึกก้อง หลังจากสิ้นคำประกาศของ Goblin Leader ก็ได้มี Goblin ตัวหนึ่งเดินเข้าไปที่ด้านหน้าของโต๊ะหินซึ่งมีร่างของแกรนนอนอยู่เจ้า Goblin ตัวนั้นหยิบมีดซึ่งวางอยู่ข้างโต๊ะอันคมกริบขึ้นมาอย่างช้าๆ“กำลังเสริมยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย นี่มันท่าทางไม่ดีแล้วนะ…..” จูเลียกล่าวขึ้นหลังจากที่เธอสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นกังวล เธอนั้นรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้พวกเธอซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์อยู่นั้นคงจะไม่สามารถรอคอยต่อไปอีกได้แล้วมันกำลังจะสายเกินไป “เอายังไงดีคะแบบนี้ !! ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะก็ต่อให้กำลังเสริมมาถึงมันก็คงสายไปแล้วนะคะ” แกมเบียร์พูดขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูตื่นตระหนกตกใจ หลังจากที่เธอได้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นพวก Goblin ฃกำลังที่จะลงมือชำแหละร่างของแกรนเพื่อทำเป็นอาหาร ความรู้สึกกดดันเกิดขึ้นกับพวกของเธอและสมาชิกในปาร์ตี้ทันทีว่าจะเอาอย่างไร“เรารอต่อไปอีกไม่ได้แล้วล่ะครับโจมตีกันเถอะ !!” วินเซนต์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่จริงจังและรีบเร่ง เนื่องจากเหตุการณ์เฉพาะหน้านั้นบีบบังคับ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายแผนแบบลวกๆซึ่งเพิ่งคิดได้เมื่อครู่นี้ทันที“พวกเราจะซื้อเวลาครับด้วยการที่จะให้เดซี่จังยิงธนูเข้าไป เพื่อเบนความสนใจของพวกมัน หลังจากนั้นพวกเราจะเข้าไปโจมตีอย่างรวดเร็วครับ และไม่รอให้พวกมันได้สวนกลับพวกเราจะถอยกลับทันที ถ้าเกิดว่าพวกเราหลบนี้เข้ามาในป่า พวกมันก็น่าจะตามมาเพราะคิดว่าป่าแห่งนี้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน การเริ่มพิธีของมันก็จะต้องถูกระงับไปชั่วคราว พวกเราต้องถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุดจนกว่ากำลังเสริมของพวกเราจะมา” แผนของวินเซนต์นั้นดูบ้าระห่ำและคิดขึ้นมาอย่างไม่มีการไตร่ตรองเท่าที่ควร แต่มันก็ดีกว่าที่จะไม่มีแผนอะไรเลย การโจมตีแล้วหนีเพื่อซื้อเวลาดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีการที่ไม่ได้เลวร้ายนัก จูเลียเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็พยักหน้าตอบรับเป็นการเห็นด้วย และสมาชิกในปาร์ตี้คนอื่นก็ดูเหมือนว่าจะเห็นด้วยกับแผนของวินเซนต์พวกเขาจึงเริ่มที่จะโจมตี“เอาละนะครับ 3 …. 2…… 1…… !!” วินเซนต์เลขนับย้อนหลังเพื่อกำหนดเวลาที่พวกเขาทุกคนจะได้โจมตีออกไปกันอย่างพร้อมเพียง“ Arrow Shower !!” เดซี่เปิดฉากโจมตีก่อนทันที เธอยิงธนูขึ้นไปบนฟ้าจำนวนมากและลูกศรเหล่านั้นก็ตกลงมากลายเป็นห่าฝนเข้าโจมตีใส่ Goblin ซึ่งมารวมกันอยู่บริเวณลานพิธีสร้างความตื่นตระหนกและความโกลาหลให้พวก Goblin ขึ้นมาในชั่วพริบตา“ตอนนี้แหละพวกเราลุย !!” สิ้นเสียงทำให้สัญญาณของวินเซนต์ทุกคนภายในปาร์ตี้ก็พุ่งออกจากที่ซ่อนและตรงเข้าใส่ฝูง Goblin ซึ่งรวมตัวกันอยู่ที่ลานพิธีกลางหมู่บ้านของพวกมัน โดยที่มีวินเซนต์และแกมเบียร์วิ่งเป็นแนวหน้าและมีจูเลียวิ่งตามไปเป็นแนวที่ 2 “ Endure” แกมเบียร์ยกโล่ของเธอขึ้นมาเป็นกำบังไว้ข้างหน้าในขณะที่กำลังวิ่งอยู่ ก่อนที่เธอจะใช้ทักษะของนักดาบที่มีชื่อว่า Endure มันเป็นทักษะที่จะช่วยบั่นทอนให้ประสาทการรับรู้ความเจ็บปวดของนักดาบนั้นทื่อลงนั่นหมายความว่าพวกเขาจะสามารถทนความเจ็บปวดได้ดีขึ้น ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าไปเป็นแนวหน้าของการปะทะกับพวก Goblin “ไอ้เจ้าพวกตัวจิ๋วใส่หน้ากาก ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไปซะ !!” วินเซนต์คำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวเพื่อปลุกเราไฟสู้ของสมาชิกทุกคนในปาร์ตี้ ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปและใช้ขวานในมือสับลงที่ร่างของ Goblin ซึ่งกำลังขวางทางของเขาอยู่ พละกำลังการสับที่รุนแรงและความคมของขวานสามารถที่จะสังหาร Goblin ลงได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวอย่างไม่ยากเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกมันอยู่ในสภาพที่สับสนเช่นนี้พวกมันนั้นแทบจะไร้ซึ่งการป้องกันตัวใดๆ “หนอย !! เจ้าพวกมนุษย์มันกล้ามากที่มาบุกโจมตีเราถึงนี่ พวกที่ไม่มีอาวุธถอยมาด้านหลัง ให้พวกที่แข็งแกร่งเข้าไปแนวหน้าเราจะจับพวกมันมาทั้งหมด” Goblin Leader สั่งการออกมาอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดทันทีที่พวก Goblin ได้ยินคำสั่งของหัวหน้าพวกมันก็ปฏิบัติตามกันอย่างเคร่งครัด Goblin ที่ไม่มีอาวุธวิ่งหนีหลบเข้าไปในแนวหลังในขณะที่ Goblin ซึ่งถืออาวุธครบมือก็ก้าวออกมาเป็นแนวหน้าเมื่อต่อสู้ “คราวนี้จะไม่ยอมให้พวกแกดูถูกกันได้ง่ายๆ Improve Concentration !!” เดซี่ใช้ทักษะของนักธนูที่เรียกว่า Improve Concentration มันคือการรวบรวมสมาธิให้ตั้งมั่นเอาไว้ที่จุดเดียวคือการต่อสู้ มันจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของนักธนูให้เฉียบคมยิ่งขึ้น ทำให้ความเร็วและความแม่นยำเพิ่มขึ้นมากพอสมควร หลังจากที่เธอใช้ทักษะนี้ไปเรียบร้อยแล้ว Goblin ทุกตัวซึ่งอยู่แนวหน้าก็อยู่ในระยะการยิงของเธออย่างไม่พลาดเป้า“ Double Strafing !! Double Strafing !! Double Strafing !! Double Strafing !!!” เดซี่ยิงธนูออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยทักษะของนักธนูที่มีชื่อว่า Double Strafingซึ่งเป็นทักษะที่จะยิงลูกธนูออกไปอย่างรุนแรงถึง 2 ดอกภายในการเหนี่ยวคันธนูเพียงครั้งเดียว เธอยิงออกไปยัง Goblin ซึ่งถืออาวุธและกำลังจะเข้ามาโจมตีพวกวินเซนต์ที่อยู่ในแนวหน้า ความแม่นยำของเธอเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเธอสามารถที่จะโจมตีใส่ Goblin ได้อย่างแม่นยำแม้ว่าจะอยู่ในสถานะการณ์ชุลมุนจากการต่อสู้ในแนวหน้าทุกคนภายในปาร์ตี้ช่วยกันโจมตีฝ่ากองทัพของ Goblin เข้าไปอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะไปถึงยังโต๊ะหินซึ่งอยู่ด้านหน้าบริเวณกองไฟซึ่งมีร่างของแกรนวางอยู่ พวกเขานั้นต้องการจะชิงร่างของแกรนออกจากหมู่บ้านของ Goblin ให้ได้ก่อนที่พวกมันจะนำร่างของแกรนไปทำเป็นอาหารค่ำ การโจมตีแบบสายฟ้าแลบของพวกเขานั้นได้ผล วินเซนต์สามารถที่จะฝ่ากองทัพของ Goblin เข้าไปจนถึงบริเวณโต๊ะหินซึ่งมีร่างของแกรนวางอยู่ได้แล้ว เขาตรงเข้าไปแบกร่างของแกรนขึ้นบ่าด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน “ได้ตัวมาแล้วพวกเราเผ่น !!” วินเซนต์ตะโกนขึ้นเป็นสัญญาณเพื่อบอกว่าเขานั้นได้ตัวของแกรนมาแล้ว พวกจูเลียที่กำลังต่อสู้อยู่กับ เมื่อได้ยินสัญญาณดังนั้นก็เป็นที่รู้กันว่าได้เวลาถอยทัพแล้ว แกมเบียร์ตรงเข้าไปยังบริเวณด้านหน้าซึ่งเป็นจุดปะทะระหว่างพวกวินเซนต์และ Goblin ก่อนที่เธอจะใช้ทักษะของนักดาบขึ้นมา“ Magnum Break !!” การโจมตีของแกมเบียร์ทำให้ Goblin ซึ่งติดตามวินเซนต์ที่กำลังแบกร่างของแกรนวิ่งหนีออกมาก็ได้เดนกระดอนไปคนละทิศละทาง พวก Goblin ที่สนใจแต่จะไล่ล่าวินเซนต์ที่มาขโมยอาหารมื้อค่ำของมันไปต่างพากันมุ่งตรงไปทางเขาและไม่ได้สนใจสมาชิกคนอื่นในปาร์ตี้เลย
“มันมาเอาเหยื่อของเราไปแล้วอย่าให้มันหนีไปได้” Goblin Leader ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนที่มันจะคว้าหอกซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของมันขึ้นมาและลงมาร่วมในสนามรบ มันพุ่งตรงเข้ามาในแนวหน้าเพื่อหวังที่จะไลล่าวินเซนต์ซึ่งกำลังนำอาหารมื้อเด็ดของพวกมันไป“หัวหน้าของพวกมันมาแล้วอย่าปล่อยให้มันผ่านไปได้นะคะ” แกมเบียร์ตะโกนขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณว่า Goblin Leader ได้ลงมาสู่สนามรบแล้วและกำลังไล่ติดตามวินเซนต์ไป เธอบอกให้ทุกคนภายในปาร์ตี้ช่วยกันหยุดมันเอาไว้ก่อนที่มันจะเข้าไปถึงตัววินเซนต์“ Charge Arrow !!” เดซี่ยิงธนูออกไปอย่างรุนแรงและรวดเร็วด้วยทักษะ Charge Arrow ซึ่งเป็นทักษะที่ทำให้ศัตรูกระเด็นถอยหลังด้วยความแรงของลูกธนู เธอหวังว่าจะให้ Goblin Leader ต้องหยุดชะงักลงเพราะการโจมตีครั้งนี้ แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเธอนั้นจะไม่ได้ผล Goblin Leader ใช้หอกในมือของมันปัดลูกศรซึ่งเธอยิงออกไปหามันอย่างคล่องแคล่ว “มันปัดได้ด้วยหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย !!” เดซี่อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าลูกธนูของเธอที่ยิงออกไปนั้นถูก Goblin Leader ปัดออกอย่างง่ายดาย จูเลียเมื่อเห็นว่าการโจมตีของเดซี่ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของ Goblin Leader ได้เธอจึงได้พุ่งเข้าไปโจมตี Goblin Leader ด้วยตัวของเธอเองอย่างรวดเร็ว“อย่าหวังว่าจะผ่านตรงนี้ไปได้ง่ายๆ !!” จูเลียตรงเข้าไปโจมตีใส่ Goblin Leader จากด้านข้างอย่างรวดเร็วเธอตวัดมีดในมือออกไปอย่างคล่องแคล่ว เข้าใส่จุดอับสายตาของ Goblin Leader การโจมตีของเธอสร้างบาดแผลให้กับ Goblin Leader ได้เล็กน้อย เนื่องจากว่ามันมีร่างกายที่แข็งแรงกว่า Goblin ทั่วไปมากอีกทั้งมันยังมีเกราะสวมเอาไว้ตามร่างกายอีกด้วย แต่บาดแผลที่จูเลียสร้างให้กับมันก็ทำให้มันละความสนใจจากวินเซนต์ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งและหันมาโจมตีเธอแทน“เจ้าพวกมนุษย์อยากลองดีกับข้านักใช่ไหม ? พวกแกตามไล่เจ้าคนที่ขโมยอาหารของเราไปก่อนเดี๋ยวข้าจะเล่นกับเจ้าพวกที่เหลือนี่สักหน่อย” Goblin Leader สั่งให้ลูกน้องของตนติดตามวินเซนต์ไปส่วนตัวของมันเองนั้นหันมาโจมตีใส่จูเลียและแกมเบียร์ ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ในตอนนี้“เดซี่จัง เธอรีบตามไปช่วยวินเซนต์เดี๋ยวตรงนี้พวกเราจะถ่วงเวลาไว้เอง !!” จูเลียตะโกนบอกเดซี่ให้รีบตามไปช่วยวินเซนต์ซึ่งกำลังหลบหนีไปพร้อมกับร่างของแกรนโดยที่เธอและแกมเบียร์จะเป็นคนถ่วงเวลา Goblin Leader เอาไว้ให้เอง เดซี่เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็พยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนที่จะบอกกับจูเลียว่า“ระวังตัวด้วยนะคะ !!” ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งหายไปในทางที่วินเซนต์นั้นวิ่งหลบหนีไป หลังจากนั้นก็มี Goblin จำนวนมากนั้นวิ่งไล่ติดตามเธอไปติดๆ จูเลียเมื่อเห็นว่าเดซี่ออกไปพ้นจากสนามรบตรงนั้นแล้ว เธอก็ตั้งสมาธิไปที่การต่อสู้กับ Goblin Leader อย่างเต็มที่“ไม่นึกเลยว่าการกลับมาช่วยเจ้าพวกนี้จะต้องมาเจอกับเรื่องอันตรายขนาดนี้นะเนี่ย….” จูเลียพูดกับแกมเบียร์ด้วยท่าทางที่ดูประชดประชันเล็กน้อย ก่อนที่จะตั้งค่าพร้อมต่อสู้กับ Goblin Leader คำพูดของเธอนั้นทำให้แกมเบียร์หัวเราะออกมาในลำคอเล็กๆ ก่อนที่แกมเบียร์จะกล่าวตอบกลับเธอไปว่า“ฮิฮิ อย่างนั้นหรือคะ ? แต่ดูท่าทางว่าจูเลียจังกำลังสนุกอยู่นะคะเนี่ย” แกมเบียร์กล่าวขึ้นพร้อมกับตั้งท่าเตรียมต่อสู้เช่นเดียวกัน Goblin Leader เมื่อเห็นท่าทางของศัตรูของมันเตรียมต่อสู้เช่นนั้นมันก็ควงหอกในมืออย่างคล่องแคล่วก่อนที่จะตั้งค่าต่อสู้ขึ้นมา“ขอยอมรับในความกล้าหาญนะเจ้าพวกมนุษย์ ที่กล้ามาท้าทายข้าถึงที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่แล้วละนะ !!”......to be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 18, 2018 5:23:14 GMT
EP.12 ลางร้าย “ขอยอมรับในความกล้าหาญนะเจ้าพวกมนุษย์ ที่กล้ามาท้าทายข้าถึงที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่แล้วละนะ !!” Goblin Leader กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูดุดันราวกับว่ามันพร้อมที่จะโจมตีเข้ามาได้ทันที และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ Goblin Leader พุ่งเข้ามาโจมตี จูเลียและแกมเบียร์อย่างรวดเร็ว มันกระทุ้งหอกในมือของมันพุ่งเข้าใส่พวกเธอทั้งสองคนอย่างรวดเร็วและรุนแรงแก๊งๆ ๆ ๆ ๆ แกมเบียร์ใช้โล่ Buckler ในมือของเธอเป็นเครื่องกำบังคมหอกของ Goblin Leader แต่ด้วยพละกำลังที่มากมายมหาศาลของ Goblin Leader ถึงแม้ว่าหอกของมันจะกระทบเข้ากับโล่ของเธอและแกมเบียร์จะสามารถป้องกันการโจมตีของมันได้ก็ตาม แต่เธอก็ต้องถอยร่นไปเรื่อยๆเนื่องจากความรุนแรงในการโจมตีของมัน“เสร็จฉันล่ะ !!” จูเลียอาศัยช่วงที่ Goblin Leader กำลังสนใจแต่จะโจมตีใส่แกมเบียร์บุกเข้าไปโจมตีใส่ Goblin Leader ในระยะประชิดอีกครั้ง เธออาศัยความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวบุกเข้าไปด้านข้างของมันก่อนที่จะใช้มีดในมือของเธอตวัดเชือดเฉือนเข้าไป ยังบริเวณข้อมือของ Goblin Leader แต่ดูเหมือนว่าบาดแผลจากมีดของเธอที่สร้างให้กับมันนั้น ก็ยังไม่ลึกมากพอที่จะทำให้มือของมันไม่สามารถใช้การได้ คมของใบมีดกินเข้าไปแค่บริเวณผิวหนังที่หนาและสากของมันเท่านั้น แต่ก็สามารถที่จะเรียกเลือดและความตกใจจากมันได้ไม่น้อย “เจ้ามนุษย์บังอาจนัก !!” Goblin Leader แผดเสียงออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนที่มันจะเริ่มหันไปโจมตีจูเลียด้วยท่าทางที่ดูดุดันและรุนแรง แต่ความเร็วของจูเลียนั้นก็ไม่ใช่ย่อยเธอเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การหลบหลีกและสามารถที่จะหลบคมหอกของ Goblin Leader ที่โจมตีเข้ามาได้อย่างหวุดหวิดทุกครั้ง แต่ยิ่งหลบหลีกมากความเร็วของเธอก็จะยิ่งลดลงอันมาจากความเหนื่อยล้าที่เริ่มมากขึ้น ดังนั้นเธอคงจะถ่วงเวลามันเอาไว้ได้ไม่นาน“ Bash !!” ในระหว่างที่ Goblin Leader กำลังสนใจที่จะจู่โจมจูเลีย แกมเบียร์ก็ได้อาศัยจังหวะนี้เข้าไปโจมตียังช่องโหว่ที่มันเปิดไว้ เธอฟาดดาบในมือลงไปอย่างรุนแรงคมดาบของเธอเข้าไปสัมผัสกับเกราะส่วนลำตัวของ Goblin Leader เข้าอย่างจัง แต่พลังการฟาดฟันจากทักษะ Bash นั่นก็แรงมากพอที่จะทำให้ Goblin Leader ถึงกับต้องชะงักไปด้วยความจุกและเจ็บปวด มันเซถลาและล้มลงไปทั้งสองสาวเมื่อเห็นว่าศัตรูของพวกเธอกำลังเสียท่าก็พุ่งตรงเข้าไปหมายที่จะโจมตีซ้ำ พิ้ว !! พิ้ว !! เสียงของลูกศรแหวกอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของลูกศรที่พุ่งไปนั้นก็คือหญิงสาวทั้งสองคนซึ่งกำลังจะเข้าไปโจมตีใส่ Goblin Leader แต่ดูเหมือนว่า Goblin Archer ที่อาศัยจังหวะช่องว่างนี้จะต้องผิดหวัง เนื่องจากว่าแกมเบียร์นั้นได้ยกโล่ของเธอขึ้นมาป้องกันลูกศรที่พุ่งเข้ามาได้อย่างหวุดหวิด เสียงของลูกศรที่พุ่งเข้ามากระทบเข้ากับโล่ซึ่งเป็นโลหะเสียงดังสนั่น “อันตรายชะมัดเลยขอบใจนะแกมเบียร์….” จูเลียเมื่อได้เห็นแกมเบียร์ได้เข้ามาช่วยป้องกันลูกศรที่พุ่งเข้ามาได้อย่างหวุดหวิดเธอก็รู้สึกตกใจในความสามารถและรู้สึกขอบคุณแกมเบียร์เป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าไม่มีแกมเบียร์บางทีเธอตอนนี้อาจจะต้องเสียท่าไปแล้วก็ได้ “ขอบอกขอบใจกันตอนนี้มันยังเร็วเกินไปนะคะ….” แกมเบียร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและกดดัน ท่าทางของเธอนั้นทำให้จูเลียกวาดสายตามองไปรอบๆเธอก็ต้องพบกับความตกใจเมื่อมีกองทัพของ Goblin ซึ่งถืออาวุธครบมือทุกชนิดกำลังรายล้อมรอบตัวพวกเธออยู่ จำนวนของมันนั้นมากมายเหลือเกิน “อ่า…..ดูเหมือนจะเร็วเกินไปจริงๆนะเนี่ย พวกเราโดนล้อมซะแล้ว” จูเลียมองไปรอบๆและวิเคราะห์สถานการณ์ดูเหมือนว่าพวกเธอสองคนนั้นจะถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพของ Goblin เข้าเสียแล้ว แกมเบียร์เดินเข้ามาประชิดตัวเธอก่อนที่จะถามจูเลียขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “เอายังไงดีคะ ? จะสู้หรือว่าจะหนี...” แกมเบียร์ถามขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง ก่อนที่เธอจะมองไปยังใบหน้าของจูเลียด้วยสายตาที่ดูมุ่งมั่นและเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเธอ “อยากหนีนะ แต่คงหนีไปไม่ได้ง่ายๆหรอก ถ้างั้นก็ขอลุยถ่วงเวลาให้ถึงที่สุดเลยก็แล้วกัน !!” ทันทีที่ได้ยินจูเลียกล่าวเช่นนั้น คำพูดของเธอก็เปรียบเสมือนกับสัญญาณลั่นกลองรบ ทั้งสองสาวพุ่งเข้าใส่ Goblin Leader และกองทัพของพวกมันอย่างรวดเร็วทันที“ Magnum Break !!” แกมเบียร์โจมตีเข้าใส่ Goblin ซึ่งถืออาวุธระยะประชิดในแนวหน้าด้วยทักษะ Magnum Break เหล่า Goblin ที่โดนทักษะนี้เข้าไปต่างพากันกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง พวกมันจึงเริ่มแตกกระบวน ในจังหวะนั้นจูเลียก็รีบวิ่งเข้าไปในแนวหลังของพวก Goblin อย่างรวดเร็วเธอใช้มีดในมือของเธอตวัดเข้าโจมตี Goblin Archer ซึ่งอยู่ในแนวหลังอย่างคล่องแคล่วว่องไวการโจมตีของเธอนั้นทำให้ Goblin Archer พากันแตกตื่นตกใจและไม่อาจที่จะโจมตีได้“แค่มนุษย์สองคนอย่าไปกลัวพวกมัน !!” Goblin Leader ตะโกนบอกแก่เหล่าบริวารของมันด้วยความดุดันเสียงของมันนั้นเปรียบดังแรงกระตุ้นทำให้เหล่า Goblin พากันพุ่งเข้ามารุมโจมตีหญิงสาวทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง การพุ่งเข้ามาของเหล่า Goblin สร้างความตกใจให้กับหญิงสาวทั้งสองคนมากพอสมควร“รับมือในที่โล่งแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะเข้าไปหลบในป่ากันเถอะ !!” เมื่อเห็นเหล่า Goblin ที่ดาหน้ากันเข้ามาจูเลียก็เปลี่ยนความคิดใหม่ การต่อสู้ในที่โล่งอย่างในลานของหมู่บ้านของพวก Goblin นั้นดูจะเสียเปรียบมากเกินไปเธอจึงบอกให้แกมเบียร์หลบหนีเข้าไปในป่าซึ่งอยู่รอบหมู่บ้าน แต่แล้วในขณะที่สองสาวกำลังจะก้าวเท้าออกวิ่งเพื่อหลบเข้าไปในป่า Goblin Leader ซึ่งดูเหมือนว่าจะคาดเดาความคิดทางหนีทีไล่ของพวกเธอออก ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชายป่าทันที“อย่ามัวแต่เล่นกับลูกน้องของข้า จนลืมตัวข้าแบบนี้สิ พวกเจ้าจะหนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น !!” Goblin Leader ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับหอกในมือและมันก็กำลังตั้งท่าเตรียมต่อสู้พร้อม“บ้าจริงเชียว !! สงสัยท่าทางงานนี้คงต้องมีเสียเลือดเสียเนื้อกันบ้างแล้วล่ะ !!” จูเลียบ่นขึ้นมาด้วยท่าทางที่กดดันจากการที่มี Goblin Leader และกองทัพของ Goblin ซึ่งถืออาวุธครบมือขนาบพวกเธอทั้งสองด้าน สองสาวในตอนนี้เปรียบดังกำลังอยู่ในคีมหนีบของก้ามปู แต่หญิงสาวทั้งสองคนนั้นก็ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ และภายในใจของเธอนั้นก็หวังว่ากำลังเสริมจะมาถึงโดยเร็วที่สุดก่อนที่มันจะสายเกินไป - ภายในป่าลึก - ในป่าลึกห่างจากหมู่บ้านของพวก Goblin ไปไม่ไกลนะวินเซนต์กำลังแบกร่างของแกรนซึ่งตัวเย็นชืดขึ้นบนบ่าและวิ่งหลบหนีออกมาจากการตามล่า โดยที่มีเดซี่ตามมาช่วยเหลือเขาติดๆ เดซี่พยายามวิ่งไปและยิงธนูใส่พวก Goblin ซึ่งไล่หลังพวกเธอมา แต่การวิ่งไปยิงไปแบบนี้ทำให้ความแม่นยำของเธอลดลงอย่างมาก อีกครั้งเธอยังรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างรุนแรงจากแรงกดดันและกำลังกายที่ใช้ไป“เดซี่จังยังไหวไหม ?” วินเซนต์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเป็นห่วง หลังจากที่เขาเห็นฝีเท้าของเดซี่นั้นมีความเร็วลดลงมากกว่าตอนแรก เขาเองก็ไม่ต่างกันการแบกร่างของแกรนซึ่งมีน้ำหนักกว่า 60 กิโล เอาไว้บนบ่าและต้องวิ่งหลบหนีการไล่ล่านั้นก็กินพลังกายไม่น้อย“หนูยังไหวค่ะคุณวินเซ็นท์ เอาจริงๆแล้วพวกของพี่สาวโจรคนนั้นยังดูน่าเป็นห่วงกว่าอีกเขาจะต้องถ่วงเวลารั้งท้ายให้กับพวกเราหวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร” เดซี่กล่าวขึ้นในขณะที่เธอกำลังวิ่งไปและยิงธนูใส่เหล่า Goblin ซึ่งกำลังตามหลังพวกเธอมาติดๆ คำพูดของเธอนั้นทำให้วินเซนต์เกิดความกังวลใจขึ้นไม่น้อยเขาเองก็เป็นห่วงพวกของจูเลียที่ต้องต่อสู้เพื่อซื้อเวลาให้กับพวกเขาอยู่เหมือนกัน แต่ความคิดฟุ้งซ่านในเวลานี้ไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไร สิ่งที่วินเซนต์ทำได้มีเพียงวิ่งหนีไปจนกว่ากองกำลังเสริมจะมาถึงแต่แล้วสิ่งที่วินเซนต์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความประมาท หรือเป็นเพราะว่าตัวของเขานั้นเหนื่อยเกินไปกันแน่ จังหวะฝีเท้าของเขานั้นผิดพลาดเท้าข้างหนึ่งของเขาไปเกี่ยวเข้ากับรากไม้ซึ่งเรียงตัวระเกะระกะกันอยู่ในป่าทำให้เขาสะดุดและล้มลง เดซี่ที่วิ่งตามมารู้สึกตกใจสุดขีดทันทีเมื่อเห็นวินเซนต์สะดุดรากไม้ล้มลงและกลิ้งไม่เป็นท่า“โอ๊ย เจ็บชะมัดเลยขาของผม…..” วินเซนต์ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเพราะเขารู้ว่าตัวเขานั้นกำลังถูกตามล่า เขาพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ดูเหมือนว่าข้อเท้าของเขานั้นจะไม่เป็นใจ มันมีอาการปวดอย่างรุนแรงจากการที่เคลื่อนไหวผิดไปจากรูปแบบที่มันสามารถจะทำได้ ข้อเท้าของเขานั้นมีลักษณะบวมแดงขึ้นมาและปวดมากยามที่เขาพยายามจะขยับมัน“ไม่นะขืนเป็นแบบนี้…..” เดซี่อุทานออกมาด้วยความตกใจ ในขณะที่เขาเห็นวินเซนต์กำลังลงไปกองอยู่กับพื้นในสภาพที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ในขณะที่มีกองทัพของพวก Goblin กำลังรุกไล่เข้ามา เมื่อเธอเห็นว่าคงจะไม่สามารถหนีพ้นการไล่ล่าได้อีกแล้ว เธอจึงตัดสินใจหันหน้ากลับไปหาพวก Goblin ก่อนที่จะใช้ธนูในมือระดมยิงใส่มันอย่างไม่คิดชีวิต“ย๊ากกก !! ร่วงไปซะ ร่วงไปซะ ร่วงไปซะ ร่วงไปซะ ร่วงไปซร๊าาา !!” ดอกเดซี่ยิงธนูใส่เหล่า Goblin ที่กำลังพุ่งเข้ามาเพื่อที่จะจับตัวเธอและวินเซนต์ ลูกศรซึ่งปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วลดจำนวนของ Goblin ที่กำลังวิ่งเข้ามาได้จำนวนหนึ่ง แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ Goblin ทุกตัวถูกกำจัดลงได้ระยะห่างระหว่างเธอและ Goblin ก็ลดลงเรื่อยๆ ในที่สุดพวกมันก็เข้ามาถึงเธอได้แค่เอื้อม“ถึงเวลาเอาคืนแล้วเจ้ามนุษย์ไปตายซะ !!” Goblin ตัวหนึ่งกล่าวขึ้นมา ในขนาดที่มันกำลังง้างอาวุธในมือซึ่งเป็นค้อนเหล็กเตรียมที่จะทุบลงไปยังเดซี่ เดซี่มันรู้ว่าเธอไม่สามารถที่จะหนีพ้นชะตากรรมได้อีกแล้ว เธอจึงได้แต่ยืนตกตะลึงโดยไร้การป้องกันเคร้ง !! เสียงของค้อนเหล็กกระทบเข้ากับโลหะอะไรบางอย่างที่ฟังดูหนาและหนัก เบื้องหน้าของเดซี่นั้นมีนักดาบสาวคนหนึ่งกำลังถือโล่ขนาดใหญ่สำหรับนักรบ Shield ขึ้นมาป้องกันการโจมตีของ Goblin ซึ่งกำลังจะมาถึงเธอได้อย่างหวุดหวิด“คุณเทียร์ !!” เดซี่เอ่ยชื่อของนักดาบสาวเพิ่งเข้ามาช่วยเธอเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด นักดาบสาวคนนี้มีนามว่าเทียร์ เธอเป็นนักดาบสาวผู้มีเส้นผมสีน้ำเงินอมม่วงราวเธอเป็นหนึ่งในสมาชิกของปาร์ตี้ที่เคยไปร่วมกันช่วยเหลือคนออกมาจากหมู่บ้านของเผ่า Orc“โชคดีจังที่มาทันเวลา คุณมาเรียไปเรียกพวกเราให้มาช่วยเธอน่ะ” เทียร์กล่าวขึ้นในขณะที่เธอใช้กำลังแขนผลักโล่และตัวของ Goblin ซึ่งโจมตีเข้ามาให้กระเด็นถอยหลังไป Goblin เมื่อเห็นว่าฝั่งมนุษย์นั้นมีกำลังเสริมพวกมันจึงไม่กล้าที่จะบุกเข้ามาอย่างพลีพลาม แต่ว่ามันกลับยืนอยู่เป็นกลุ่มเพื่อดูท่าทาง แต่การที่มันยืนรวมกลุ่มกันอยู่แบบนั้นก็เป็นจังหวะดีที่จะให้กำลังเสริมอีก 2 คนซึ่งซุ่มอยู่จัดการกับพวกมัน “ Magnum Break !!” เสียงของนักดาบสาวอีก 2 คนที่ซ่อนตัวอยู่กล่าวขึ้นพร้อมกันและใช้ทักษะโจมตีใส่กลุ่มของ Goblin ที่รวมตัวกันอยู่ Magnum Break ที่ถูกใช้โดยนักดาบ 2 คนถูกอัดเข้าไปในพื้นที่ซึ่งเหล่าบรรดา Goblin งั้นยืนรวมตัวกันอยู่ ความร้อนมหาศาลและแรงกดดันถูกระเบิดออกจนเกิดลมร้อนแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ Goblin ที่ยืนรวมตัวกันอยู่ในที่นั้นตายเรียบ ถ้าไม่ใช่จากแรงระเบิดความร้อนก็เป็นเพราะว่าคมดาบที่ฟาดฟันลงไปด้วยเวทมนต์เพลิง ควันและฝุ่นฟุ้งตลบอบอวลในบริเวณนั้นอยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่กลุ่มควันจางไปก็เผยให้เห็นร่างของนักดับสาวอีก 2 คนซึ่งเผด็จศึกเหล่าศัตรู“คุณจีต้า คุณซีเนีย” จีต้า และ ซีเนีย ก็เป็นสองในเหล่าบรรดานักดาบซึ่งเคยร่วมอยู่ในปาร์ตี้บุกหมู่บ้าน Orc เช่นกัน พวกเธอทั้งสามคนนั้นเป็นคนรู้จักของมาเรียทั้งสิ้น เดซี่รู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นหน้าของพวกเธอทั้งสามคนซึ่งเคยเป็นสหายร่วมรบกัน“มาเรียบอกให้พวกเรารีบมาช่วยเธอน่ะ ดูเหมือนว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ พวกเรารีบตามไปสมทบกับพวกที่อยู่ในหมู่บ้านเถอะ” จีต้ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูรีบเร่งดูเหมือนว่ากำลังเสริมนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งนั้นอยู่ที่หมู่บ้านของพวก Goblin และอีกส่วนนั้นก็ติดตามเดซี่และวินเซนต์มา“ผมก็อยากกลับไปอยู่หรอกนะแต่ตอนนี้ผมเดินไม่ไหวแล้ว….” วินเซนต์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเจ็บปวดเพราะว่าตอนนี้ขาของเขานั้นคงจะไม่สามารถใช้การได้ ซีเนียเดินเข้าไปดูอาการของเขาใกล้ๆก่อนที่เธอจะหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ“เอ้านี่ Orange Potion รีบดื่มเข้าไปซะแล้วอาการของนายจะดีขึ้น” ซีเนีย ส่ง Orange Potion ขวดนึงให้กับวินเซนต์ Orange Potion นี้เป็นน้ำยาฟื้นพลังประเภทหนึ่งมันมีประสิทธิภาพในการรักษามากกว่า Red Potion ซึ่งใช้สมุนไพรสีแดง Red Herb เป็นส่วนผสมหลักเพียงอย่างเดียว แต่ใน Orange Potion นั้นมีส่วนผสมของสมุนไพร 2 ชนิดก็คือ Red Herb และ Yellow Herb มันมีประสิทธิภาพในการรักษาที่สูงกว่า อีกทั้งมันยังมีรสชาติที่ดีกว่า Red Potion มากพอสมควร“ขอบคุณมากครับคุณซีเนีย ถ้ามีเจ้านี่ล่ะก็….” วินเซนต์รับขวด Orange Potion ไปและรีบเปิดฝาก่อนที่จะดื่มมันเข้าไปทันที หลังจากนั้นแผลตามร่างกายและที่บริเวณข้อเท้าของเขาก็ปราศจากความเจ็บปวด เขาสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อวินเซนต์มีอาการดีขึ้นแล้วทุกคนจึงจะรีบกลับไปยังหมู่บ้านของ Goblin เพื่อช่วยเหลือจูเลียและแกมเบียร์ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ออกเดินวินเซนต์ก็กล่าวขึ้นมาว่า “แล้วร่างของคุณแกรนล่ะครับ เราจะทำยังไงดี เขาเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ?” วินเซนต์นั้นรู้สึกเป็นกังวลเนื่องจากว่าแกรนนั้นก็เสียชีวิตมาเป็นเวลานานแล้ว ถ้าหากว่าเกินระยะเวลาที่กำหนดแกรนจะไม่สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ถ้าหากว่านับเวลาที่พวกเขาจะต้องกลับไปช่วยคนที่หมู่บ้านของ Goblin และพากันเดินทางกลับไปที่โบสถ์เมือง Prontera น่าจะต้องใช้เวลานานมากแน่และมันอาจจะไม่ทันการ“คุณมาเรียก็กลับมากับเราด้วยค่ะ ตอนนี้เธอน่าจะอยู่ที่หมู่บ้าน ถ้าเราไปที่นั่นเราสามารถใช้สกิลวาปของเธอพาเรากลับได้ รีบไปกันเถอะไม่เป็นไรหรอกทุกอย่างจะต้องทันเวลา” จีต้ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกระตือรือร้น วินเซนต์นั้นรู้สึกใจชื้นขึ้นมากเมื่อรู้ว่ามาเรียก็อยู่ที่นี่ด้วย ทักษะการเปิดประตูมิติของนักบวชนั้นจำเป็นมากในการเดินทางที่จำกัดเวลา พวกเขาทั้งหมดจึงตัดสินใจย้อนกลับไปที่หมู่บ้านของ Goblin - ภายในหมู่บ้านของ Goblin - จูเลียและแกมเบียร์กำลังตกอยู่ในวงล้อมของ Goblin Leader และสมุนของมันจำนวนมาก พวกเธอนั้นกำลังพยายามต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะมีชีวิตรอดและซื้อเวลา Goblin Leader ระดมแทงหอกเข้าใส่จูเลียที่พยายามหลบการโจมตีของมันอย่างทุลักทุเล ในขณะที่แกมเบียร์นั้นกำลังรับมือกับ Goblin ซึ่งถืออาวุธครบมือที่กำลังรายล้อมเธอ ทั้งคมอาวุธและลูกธนู ถูกโจมตีเข้าใส่เธออย่างต่อเนื่อง ถ้าหากว่าไม่มีโล่อยู่ในมือป่านนี้เธออาจจะบาดเจ็บสาหัสไปแล้วก็ได้“ Sprinkle Sand !!” จูเลียอาศัยจังหวะที่ Goblin Leader เผลอโจมตีเข้ามา เธอใช้ทรายซึ่งแอบกำเอาไว้ในอุ้งมือ สาดเข้าใส่ใบหน้าของมันถึงแม้ว่ามันจะสวมหน้ากากอยู่แต่ในหน้ากากนั้นก็จะต้องมีร่องที่เอาไว้สำหรับมอง ซึ่งอยู่บริเวณลูกตา ทันทีที่ทรายถูกสาดเข้าไป Goblin Leader มีท่าทางที่ดูตกใจและสูญเสียจังหวะรวมทั้งการมองเห็นของมันไปในทันที ถึงแม้ว่าจะเป็นกลโกงที่ดูขี้ขลาดไปสักหน่อยแต่อย่างน้อยก็ทำให้ศัตรูไม่สามารถที่จะมองเห็นได้อย่างสะดวกชั่วระยะเวลาหนึ่ง “ตอนนี้แหละ Double Attack !!” จูเลียพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วสูงทางด้านหน้าตรงๆเพราะเธอรู้ว่าศัตรูของเธอในตอนนี้ไม่สามารถที่จะมองเห็นเธอได้สะดวก เธอตวัดมีดในมือเพื่อที่จะโจมตีมันบริเวณที่เป็นข้อต่อซึ่งไร้เกราะป้องกัน แต่แล้วเธอก็ต้องพบกับความตกตะลึง ซวบ !! เสียงของเหล็กแหลมเสียบทะลุร่างกายของเธอไปอย่างรวดเร็วหอกของ Goblin Leader ซึ่งในตอนนี้มันน่าจะมองไม่เห็นเสียบทะลุช่องท้องของเธอเข้าไปยังจัง มันทะลุผ่านร่างกายที่เพรียวบางของเธอออกอย่างง่ายดาย ก่อนที่ Goblin Leader จะดึงปลายหอกกลับออกไป ทำให้เลือดจำนวนมากไหลออกจากช่องท้องของจูเลียราวกับก๊อกน้ำที่กำลังชำรุด จูเลียสำลักเอาเลือดสีแดงสดออกมาจากปากและจมูกของเธออย่างมากมาย เลือดจำนวนมากสาดเทลงไปที่พื้นทำให้พื้นหญ้าบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงสดดูน่าสยดสยอง แกมเบียร์ซึ่งเห็นเหตุการณ์นั้นอย่างใกล้ชิดถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างสุดเสียง“จูเลียจัง !!!!” เธอตกใจมากและลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่กระทั่งศัตรูที่อยู่ตรงหน้าของเธอ เธอรีบวิ่งตรงไปยังร่างของ จูเลียซึ่งนอนหายใจรวยรินจมกองเลือดอยู่ที่พื้น แต่การกระทำของเธอนั้นก็เป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะว่าเธอนั้นได้ลดโล่ซึ่งใช้ป้องกันการโจมตีระยะไกลลงเพื่อที่จะวิ่ง นั่นเป็นโอกาสที่ทำให้ Goblin Archer ยิงธนูใส่เธอได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เธอจะวิ่งไปถึงจุดที่จูเลียนอนอยู่แผ่นหลังของเธอก็ต้องถูกลูกศรของ Goblin Archer ยิงใส่ ลูกธนูของมันนั้นปักเข้าไปที่ด้านหลังของเธอ 2-3 ดอก ความเจ็บปวดมหาศาลเล่นไปที่สมองของเธอ ทำให้แกมเบียร์นั้นทรุดตัวลงนั่งชันเข่าอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดแสนสาหัส เธอถูกลูกธนูยิงเข้าไปและตอนนี้เลือดสีแดงสดก็กำลังไหลออกมาจากปากบาดแผลซึ่งลูกธนูนั้นปักอยู่อย่างไม่ขาดสาย“จูเลียจัง !! ไม่นะ !! ไม่นะ…..” ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดแต่เธอก็ยังคงไม่ละสายตาไปจากจูเลียซึ่งกำลังนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นในสภาพที่เจียนตาย แววตาของเธอในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าโศกและกดดันน้ำตาของเธอซึมออกมาทางหางตาอย่างเห็นได้ชัด ความกลัวที่จะสูญเสียกำลังกัดกินหัวใจของเธออย่างเย็นชา“ฮ่าๆๆๆ !! เจ้าพวกมนุษย์หน้าโง่ คิดหรือว่าแค่เอาทรายมาขว้างใส่จะทำให้ข้าถึงกลับมองไม่เห็นได้ แค่แสดงละครนิดหน่อยแกก็ติดกับอย่างง่ายดายแล้ว ไปสำนึกเสียใจในนรกซะเถอะ !!” Goblin Leader หัวเราะออกมาอย่างสะใจมันไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากทักษะ Sprinkle Sand ของจูเลียเลยตั้งแต่แรกแล้ว ที่มันแกล้งทำเป็นเสียท่านั่นเป็นเพียงแค่ละครตบตาเท่านั้น Goblin Leader จับหอกในมือของมันขึ้นและกำลังจะแทงหอกลงไปเพื่อดับลมหายใจของจูเลีย“ตายซะ !!” ………to be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Jul 21, 2018 13:48:50 GMT
EP.13 ความลับของความทรงจำ I “ตายซะ !!” Goblin Leader กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูโหดเหี้ยมและดุดันก่อนที่มันจะแทงหอกลงไปยังบริเวณลำคอของจูเลีย ปลายแหลมของหอกทะลุเข้าไปบริเวณคอหอยของเธอคมของหอกตัดเส้นเลือดใหญ่ซึ่งอยู่ที่บริเวณลำคอและหลอดลมของเธอในทันที เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาจากปากบาดแผลจำนวนมากมาย ดวงตาของเธอเบิกโพรงออกด้วยความเจ็บปวดและขาดอากาศหายใจ ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างไร้วิญญาณของเธอก็ลงไปนอนหงายกองอยู่กับพื้นในสภาพที่จมกองเลือด
“ไม่ !! จูเลียจัง !!!!” แกมเบียร์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์การสังหารที่โหดเหี้ยมนี้ กล่าวตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเจ็บปวดรวดร้าว การที่ได้เห็นคนที่อยู่ในปาร์ตี้และสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมาถึงแม้จะไม่นานนักต้องมาตายต่อหน้าลงแบบนี้สร้างความสะเทือนใจอย่างมากให้กับเธอ น้ำตาของเธอไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง สายตาของเธอจับจ้องไปที่ร่างอันไร้วิญญาณของจูเลียที่นอนอยู่ไม่ห่างเธอเท่าไหร่นัก“หึหึหึ เสร็จไปคนนึงแล้ว ต่อไปก็ตาเจ้าแล้วละนะ” Goblin Leader สะบัดหอกอย่างรวดเร็วเพื่อให้เลือดของจูเลียซึ่งติดอยู่ที่ปลายหอกกระเซ็นออกไป ก่อนที่มันจะถือหอกเดินตรงไปยังแก้มเบียร์ซึ่งกำลังล้มลงอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น มันไปหยุดลงที่ตรงหน้าของแกมเบียร์ก่อนที่มันจะเงื้อหอกขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 เพื่อหมายที่จะจบชีวิตของเธอตามจูเลียไปแต่แล้วทันใดนั้นสิ่งที่ Goblin Leader ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมีไม้กระบองเหล็กอันหนึ่งลอยมาในอากาศอย่างรวดเร็วมันพุ่งตรงมายัง Goblin Leader อย่างรุนแรงและแม่นยำ Goblin Leader ต้องรีบใช้ หอกภายในมือปัดป้องไม้กระบองเหล็กเหล็กที่พุ่งตรงมาหามัน ด้วยความตกใจอย่างทุลักทุเล ทันทีที่มันสามารถป้องกันตัวเองได้แล้ว มันก็จ้องมองไปยังทิศทางที่กระบองเหล็กนั้นพุ่งมาทันที“เจ้าพวกมนุษย์ นี่พวกแกกล้ารุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของข้าถึงขนาดนี้เชียวหรือ !?!” Goblin Leader คำรามออกมาในลำคอด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว นั่นเพราะว่าทันทีที่มันหันไปมันก็มองเห็นกลุ่มคนที่เป็นกำลังเสริมซึ่งมาเรียไปเรียกมาได้มาถึงแล้ว“โจมตีครั้งแรกพลาดเป้าหรือเนี่ย แย่ชะมัดเลยแหะ...” ลักค์บ่นขึ้นมาด้วยท่าทางที่ถูกผิดหวังเล็กๆดูเหมือนว่ากระบองเหล็กที่พุ่งทะยานไปหา Goblin Leader นั้นจะเป็นฝีมือของเขาเอง ลักค์ยืนอยู่กับกลุ่มคนอีก 3 คนซึ่งปรากฏตัวขึ้นมาที่ชายป่าริมหมู่บ้านซึ่งไม่ไกลจากจุดที่แกมเบียร์นั้นอยู่มากนัก“คุณแกมเบียร์ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?” มาเรียกล่าวถามแกมเบียร์ขึ้นมาทันทีที่ เธอมองเห็นแกมเบียร์นั้นลงไปนั่งอยู่กับพื้นและมีรอยเลือดตามตัวของเธออยู่เป็นแห่งๆ ดูท่าทางว่าเธอจะบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย แต่แล้วสายตาของมาเรียก็มองไปเห็นร่างไร้วิญญาณจูเลียซึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นใกล้ๆกันนั้น เธอก็แสดงความรู้สึกที่โศกเศร้าและตกใจขึ้นมาในทันที“คุณจูเลีย ไม่น่าเลย ….. ไปกันเถอะพวกเรา !! เราต้องรีบพาทุกคนออกไปจากที่นี้” มาเรียกล่าวขึ้นกับสมาชิกภายในปาร์ตี้ ซึ่งเธอผ่านมาสำหรับภารกิจช่วยเหลือ ทันทีที่ได้ยินเธอคราวดังนั้นนักบวชชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีเขียว เขามีร่างกายที่สูงใหญ่แล้วกำยำล่ำสันก็ก้าวเดินออกมาที่ด้านหน้า เขานั้นคือบล็อกโคลี่นั่นเอง บล็อกโคลี่นำไม้กระบองเหล็กของเขาออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่จะยกไม้กระบองเหล็กขึ้นมาพาดเอาไว้บนบ่า ด้วยท่าทางที่ดูดุดันและองอาจ ก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังก้องว่า “พวกเรามาที่นี่แค่ต้องการตัวเพื่อนของพวกเราคืน ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยออกไปซะ !! แต่ถ้าเกิดว่ามี Monster ตัวไหนอยากจะลองดีล่ะก็ ดาหน้ากันเข้ามาได้เลย !!” บล็อกโคลี่เช้าขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูดุดันและจริงจังก่อนที่เขาจะใช้ไม้กระบองเหล็กในมือของเขาชี้ไปด้านหน้าด้วยท่าทางที่ดูองอาจและกล้าหาญ Goblin Leader เมื่อเห็นท่าทางของบล็อกโคลี่เป็นอย่างนั้นมันก็โมโหสุดขีด พร้อมกับคำรามออกมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว“ไอ้เจ้าพวกมนุษย์อวดดี ถ้าพวกแกคิดว่าจะรอดกลับออกไปจากที่นี่ได้ง่ายๆล่ะก็ ลองทำให้ดูหน่อยสิ !!!” Goblin Leader คำรามออกมาด้วยความดุดันและโกรธเกรี้ยวก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่บล็อคโคลี่อย่างรวดเร็ว บร็อคโคลี่นั้นเมื่อเห็นว่าศัตรูพุ่งเข้ามาแล้ว เขาจึงได้จับไม้กระบองเหล็กมือเอาไว้อย่างมั่นคง ก่อนที่เขาจะระดมฟาดไม้กระบองเข้าใส่ Goblin Leader ซึ่งพุ่งตรงเข้ามาด้านหน้าเคร้ง !! เคร้ง !! เคร้ง !! เคร้ง !! เสียงโลหะ 2 ชิ้นกระทบกันอย่างรวดเร็วและรุนแรงหลายครั้งภายในชั่วพริบตา กระบองเหล็กภายในเมืองของบล็อคโคลี่และหอกเหล็กซึ่งอยู่ภายในมือของ Goblin Leader ตวัดถาโถมเข้าใส่กันอย่างบ้าคลั่ง“โอร่า !! โอร่า !! โอร่า !! โอร่าาาา !!” บล็อกโคลี่คำรามออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและดุดันทุกครั้งที่เขาฟาดกระบองเหล็กลงไป แต่การโจมตีของเขาก็ถูก Goblin Leader สามารถป้องกันเอาไว้ได้ด้วยหอกในค่ายในมือของมันทั้งหมด ในจังหวะที่ทั้งสองกำลังเข้าปะทะกันอย่างบ้าคลั่ง Goblin ที่เหลือก็พากันตรงเข้ามาหมายที่จะช่วยเหลือผู้นำของพวกมันในการต่อสู้ “ชั้นจะเป็นคู่มือให้กับพวกแกเอง !!” เสียงของนักดาบชายคนหนึ่งกล่าวด้วยท่าทางที่กล้าหาญ เขาคนนั้นก็คือฟรองค์นั่นเอง ฟรองกระโดดเข้าไปด้านหน้าในขณะที่ฝูงของ Goblin มากมายกำลังดาหน้าเข้ามา เขายกดาบ Blade ภายในมือขึ้นก่อนที่จะใช้ทักษะของนักดาบซึ่งเขาชำนาญ “ Magnum Break” คลื่นพลังงานความร้อนที่เกิดจากการใช้เวทมนตร์ไฟและแรงฟาดฟันส่งออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง Goblin ที่วิ่งเข้ามาด้านหน้าของฟรองแต่กระบวนกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศละทาง แต่เขาก็ยังไม่จบแค่การใช้ทักษะนั้น เขาวิ่งเข้าไปใส่เหล่า Goblin ซึ่งกำลังแตกกระบวน ทักษะ Magnum Break ของนักดาบหลังจากการใช้แล้วอาวุธของนักดับคนนั้นจะอยู่ในสถานะเป็นธาตุไฟชั่วขณะหนึ่ง ในตอนนี้ดาบภายในมือของฟรองนั้นกลายเป็นสีแดงดูร้อนแรงราวกับเปลวเพลิง“ย๊ากกกก !!” เขาพุ่งตรงเข้าไปและกวัดแกว่งดาบในมืออย่างรวดเร็วเข้าโจมตีเหล่า Goblin ซึ่งกำลังเสียกระบวนที่ด้านหน้าของเขาอย่างไร้ความปราณี Goblin ถูกคมดาบของฟรองสังหารไปเป็นจำนวนหลายสิบตัวในพริบตา“คุณลักค์ พวกเรารีบไปพาคนบาดเจ็บออกมากันเถอะค่ะ” มาเรียเมื่อเห็นว่าสมาชิกทั้งสองภายในปาร์ตี้ของเธอสามารถรับมือกับศัตรูได้ในระดับหนึ่ง เธอจึงบอกให้ลักค์ไปกับเธอเพื่อที่จะเข้าไปพาคนที่บาดเจ็บและร่างที่ไร้วิญญาณของจูเลียออกมาจากวงล้อม ลักค์พยักหน้าเป็นการรับรู้ทันทีก่อนที่ทั้งสองคนนั้นจะวิ่งเข้าไปในวงล้อมของศัตรูอย่างรวดเร็ว“ลักค์รับนี้ไป !!” ในระหว่างที่ลักค์กำลังวิ่งไป บล็อกโคลี่ได้โยนไม้กระบองเหล็กของเขาซึ่งเขาได้ใช้มันขว้างใส่ Goblin Leader ก่อนหน้านี้โยนกลับไปให้กับเขา ลักค์รับไม้กระบองเหล็กของเขาซึ่งลอยมาในอากาศด้วยท่าทางที่ชำนาญ ก่อนที่จะถือมันเอาไว้ในมือเป็นอาวุธใช้สำหรับการต่อสู้“คุณแกมเบียร์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ลุกขึ้นยืนไหวไหม ?” ทันทีที่มาเรียตรงไปถึงจุดที่แกมเบียร์นั่งอยู่ เธอก็รีบลงไปดูอาการของแกมเบียร์ทันที ตามร่างกายของแกมเบียร์นั้นมีลูกธนูซึ่งโดน Goblin Archer โจมตีใส่หลายชุด และเลือดของเธอนั้นก็ไหลออกมาจากปากบาดแผลที่ถูกยิงตลอดเวลา“คอยสักครู่หนึ่งนะคะฉันจะรักษามันเอง Heal” มาเรียใช้คาถารักษาให้กับแกมเบียร์ ในขณะนั้นลักค์ก็ใช้มือของเขาค่อยๆดึงลูกธนูซึ่งปักอยู่ตามตัวของเธอออกอย่างเบามือ การรักษาผ่านไปไม่กี่อึดใจแผลของแกมเบียร์ก็หายไปราวกับโกหก ทิ้งไว้แค่เพียงอาการเหนื่อยล้าจากการเสียเลือดซึ่งไม่สามารถจะกลับคืนมาได้เท่านั้น“เดี๋ยวผมจะแบกร่างของโจรสาวคนนั้นไปเอง พวกเธอสองคนรีบวิ่งออกไปจากที่นี่เถอะ” ลักค์กล่าวกลับมาเรียและแกมเบียร์ว่าเขาจะเป็นคนแบกร่างของจูเลียออกไปเอง ก่อนที่เขาจะตรงไปยังร่างที่ไร้วิญญาณของจูเลียซึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น เขาอุ้มร่างของเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด ตัวของเธอนั้นเย็นชืดไร้ซึ่งความอบอุ่น ใบหน้าของเธอหน้าซีดเผือดและที่ลำคอของเธอนั้นมีแผลถูกแทงขนาดใหญ่อยู่น่าสยดสยอง ลักค์พยายามที่จะไม่มองไปลำคอซึ่งมีบาดแผลสาหัสของเธอ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความหวาดกลัวเข้ามากัดกินจิตใจ“ได้ตัวมาแล้วครับ พวกเรารีบไปกันเถอะ !!” ลักค์กล่าวขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขานั้นได้ร่างอันไร้วิญญาณของจูเลียมาแล้ว มาเรียไม่ได้ยินดังนั้นเธอกับแกมเบียร์ก็รีบลุกขึ้นยืนและมองหาทางที่จะออกไปจากสนามรบอันชุลมุนวุ่นวายแห่งนี้“พวกแกทุกคนที่นี่จะไม่ได้กลับออกไปแบบมีชีวิต อย่าฝันหวานไปเลย !!” Goblin ตัวหนึ่งซึ่งถือมีดไว้ในมือพุ่งตรงเข้ามายังมาเรียเพื่อที่จะโจมตีเธอ แต่ดูเหมือนว่าแกมเบียร์นั้นจะได้พละกำลังกลับคืนมาบางส่วนเธอจึงรีบตรงเข้าไปขวางระหว่าง Goblin และมาเรียด้วยโล่ของเธอ เสียงของมีดภายในมือ Goblin ปะทะเข้ากับโล่ซึ่งอยู่ในมือของแกมเบียร์เสียงดังสนั่น“ดูท่าว่าเราจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ง่ายๆแล้วนะคะเนี่ย !!” แกมเบียร์กล่าวขึ้นกลับมาเรียหลังจากที่เธอประเมินสถานการณ์คร่าวๆ ก่อนที่เธอจะใช้โล่ในมือผลัก Goblin ตัวที่ถือมีดออกไปจนมันกระเด็นถอยหลัง และเธอก็ใช้ดาบในมือพุ่งเข้าไปโจมตีมันอย่างรวดเร็วและเสียบทะลุร่างของมันจนตายคาที่“พวกเราคงออกจากที่นี่ไม่ได้ง่ายๆ สงสัยคงต้องรอกลุ่มของคุณจีต้าที่จะเข้ามาสมทบแล้วล่ะค่ะ” คุณมาเรียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังเธอกล่าวถึงกลุ่มของ จีต้า ซีเนีย และเทียร์ ที่ไปช่วยเหลือพวกของวินเซนต์ซึ่งถ้าหากว่าไม่มีปัญหาอะไรนักดาบสาวทั้งสามคนนั้นน่าจะใกล้มาถึงหมู่บ้านของ Goblin เต็มทีแล้ว “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราชุบชีวิตของจูเลียจังกันก่อนเถอะค่ะ คุณแกมเบียร์ คุณลักค์ ฝากคุ้มกันด้วยนะคะ” มาเรียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง ก่อนที่เธอจะตรงเข้าไปยังร่างของจูเลียที่ถูกนำมาวางพึงไว้บริเวณต้นไม้ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของสนามรบ“ว่าแต่คุณมาเรียเป็นนักบวช (Acolyte) ไม่ใช่หรือคะ คนที่จะสามารถชุบชีวิตได้จะต้องเป็นนักบวชชั้นสูง (Priest) ขึ้นไปนี่นา ถ้าเราไม่พาจูเลียกลับไปที่โบสถ์เมือง Prontera แล้วเราจะชุบชีวิตเธอได้ยังไง” แกมเบียร์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เนื่องจากว่าเธอนั้นมีความสนใจในด้านการใช้เวทมนตร์รักษาอยู่พอสมควรเพราะเธอต้องการจะเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเธอจึงรู้ดีว่าผู้ที่จะสามารถชุบชีวิตผู้ตายได้จะต้องเป็นนักบวชชั้นสูง (Priest) ขึ้นไปเท่านั้น“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะตอนที่ฉันกลับไปที่เมือง Prontera เพื่อไปรวบรวมคนมาฉันได้แวะไปที่ร้านซึ่งขายของหายากแล้วฉันก็ได้เจ้านี่มา” มาเรียล้วงมือลงไปในกระเป๋าสัมภาระของเธอพร้อมกับหยิบไอเทมชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับใบไม้ขึ้นมา 1 ใบ แต่ว่านี้ไม่ใช่ใบไม้ของต้นไม้ธรรมดา ใบไม้นี้มีลักษณะที่เขียวสดถึงแม้ว่าจะถูกเด็ดออกมาจากต้นแล้วเป็นเวลานาน บริเวณก้านกลางใบของใบไม้นั้นมีสีแดงฉานราวกับโลหิต อีกทั้งมันยังมีพลังเวทมนตร์แห่งชีวิตแผ่ซ่านออกมาตลอดเวลา
“Yggdrasil Leaf !!” แกมเบียร์อุทานออกมาด้วยความตกใจทันทีที่เธอเห็นใบไม้นั้น เพราะว่าใบไม้นั้นคือใบของต้น Yggdrasil มันเป็นต้นไม้ที่เชื่อว่าเป็นแกนกลางของโลกใบนี้ ใบของมันนั้นมีพลังมีชีวิตที่เหลือล้นมันสามารถที่จะนำคนตายกลับมาจากปรโลกได้“มันไม่สะดวกสบายเหมือนกับทักษะของนักบวชชั้นสูงแบบ Priest คงจะต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าที่จะชุบชีวิตได้ ระหว่างนั้นฉันจะไร้การป้องกันตัว ขอฝากคุณแกมเบียร์กับคุณลักค์ด้วยนะคะ” มาเรียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและรีบร้อน แกมเบียร์และลักค์เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเป็นการตอบรับเขาและเธอนั้นจะคุ้มครองมาเรียจนกว่าการชุบชีวิตนั้นจะเสร็จสมบูรณ์“จะเริ่มล่ะนะคะ….” มาเรียประคองร่างของจูเลียเอาไว้ในอ้อมกอด และมืออีกข้างหนึ่งของเธอนั้นก็ถือ Yggdrasil Leaf เอาไว้ หลังจากนั้นเธอก็เริ่มที่จะกล่าวคำภาวนาทันใดนั้น Yggdrasil Leaf ก็ส่องแสงสีเขียวเป็นประกายออกมาทั่วบริเวณ มันจึงเป็นที่สะดุดตาของ Goblin ซึ่งกำลังทำการต่อสู้อยู่ในบริเวณนั้นอย่างมาก“เจ้ามนุษย์พวกนั้นกำลังที่จะชุบชีวิตเพื่อนของพวกมัน อย่าให้มันทำได้สำเร็จ พวกเราไป !!” Goblin ตัวหนึ่งซึ่งเห็นการกระทำของมาเรียมันจึงชวนพรรคพวกของมันส่วนหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีทันที แกมเบียร์และลักค์เมื่อเห็นเหล่า Goblin กำลังพุ่งเข้ามาเช่นนั้นพวกเขาก็ตั้งท่าเตรียมตั้งรับทันที“ Magnum Break !!” แกมเบียร์พุ่งเข้าไปโจมตี Goblin ที่ดาหน้ากันเข้ามาด้วยทักษะ Magnum Break จนพวกมันแตกกระเจิงออกไป และในระหว่างที่พวกมันกำลังกระเด็นกระดอนออกไปนั้น ลักค์ก็เข้าไปโจมตี Goblin พวกนั้นซ้ำด้วยไม้กระบองเหล็กภายในมือของเขาทันที “พวกแกอย่าหวังเลยว่าจะผ่านที่นี่ไปได้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าอยากที่จะผ่านไปล่ะก็ข้ามศพพวกเราไปก่อน !!” ลักค์กล่าวออกมาด้วยท่าทางที่ดุดันและกล้าหาญ เขานั้นรู้ดีว่าจะปล่อยให้ Goblin ผ่านไปไม่ได้เด็ดขาดเลยแม้แต่ตัวเดียว ไม่อย่างนั้นความพยายามที่พวกเขาทำมาอาจจะต้องสูญเปล่า - สถานที่แห่งหนึ่ง - “ที่นี่ที่ไหนกันละเนี่ย ?” จูเลียถามขึ้นในขณะที่เธอกำลังมองไปรอบๆ เธอนั้นรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว รอบตัวของเธอนั้นเหมือนกับหมู่บ้านของมนุษย์ ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างขึ้นอยู่มากมาย แต่สิ่งปลูกสร้างนั้นดูมีความน่ากลัวทั้งรูปแบบการก่อสร้างและบรรยากาศภายนอกมันดูมืดทึมและชวนขนลุก 「เราจำได้ว่าเรากำลังต่อสู้อยู่กับ Goblin Leader นี่นา แล้วหลังจากนั้นเราก็ถูกมันแทงเอา นี่เราตายแล้วอย่างนั้นหรอกที่นี่คือนรกนั้นหรอ ?」 จูเลียจังพยายามที่จะปะติดปะต่อความทรงจำซึ่งเธอมีอยู่ก่อนหน้านี้อย่างยากลำบาก เธอจำได้ว่าเธอกำลังต่อสู้อยู่ที่หมู่บ้านของ Goblin และหลังจากนั้นเธอก็โดน Goblin Leader ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและหลังจากนั้นเธอก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ตอนนี้เธอมาตื่นอยู่ที่สถานที่บางแห่งซึ่งเธอไม่รู้จัก“จูเลีย…..จูเลียจังใช่ไหม ?”จู่ๆ จูเลียก็ได้ยินเสียงเรียกทักทายซึ่งฟังดูคุณครูของเธอจนน่าขนลุก เธอนั้นรีบหันไปทางต้นเสียงทันที เธอก็ได้พบกับนักบวชสาวผู้หนึ่งนักบวชสาวผู้นี้ไว้ผมสั้นสีฟ้า หน้าตาของเธอนั้นช่างดูคุ้นเคยในความทรงจำของจูเลียเสียเหลือเกิน เพราะว่านักบวชสาวคนนี้คือหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ของจูเลียซึ่งเคยเสียชีวิตไปแล้ว ทันทีที่ได้มองเห็นเพื่อนเก่าร่วมปาร์ตี้ของเธอซึ่งน่าจะตายไปแล้วดวงตาของเธอก็เบิกโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ สีหน้าของเธอซีดเผือดและเหงื่อก็ออกมาบนใบหน้าอย่างมากมาย“ไม่จริง !! ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เธอน่าจะ…...” จูเลียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูตกใจและน้ำเสียงที่เหมือนกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองได้เห็น ทันทีที่ได้เห็นจูเลียมีท่าทางเช่นนั้นนักบวชสาวผู้มีผมสีฟ้าก็หัวเราะออกมาในลำคออย่างร่าเริง“ฉันน่าจะ…...อะไรอย่างนั้นหรอ จูเลียจังเธอนีพิลึกจริงๆเลย...” นักบวชสาวคนนั้นยิ้มออกมาอย่างร่าเริงก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆจูเลียเพื่อที่พยายามจะจูงมือของเธอ ทันทีที่ได้เห็นเพื่อนร่วมปาร์ตี้ซึ่งน่าจะตายไปแล้วเดินเข้ามาใกล้จูเลียนั้นก็เกิดความกลัวขึ้นมาในใจอย่างสุดขีด เธอนั้นเดินหนีถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก “ยะ….อย่าเข้ามานะ….” จูเลียผู้มีสีหน้าหวาดกลัวกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ นักบวชสาวมีผมสีฟ้าเมื่อเห็นท่าทางของจูเลียเป็นเช่นนั้น เธอก็มีสีหน้าที่เศร้าโศกขึ้นมาทันที ก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราวกับว่าจะร้องไห้แต่ในน้ำเสียงนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกแปลกๆชวนขนลุก“นี่เธอลืมฉันไปแล้วเหรอ คนที่เธอปล่อยให้ตายไปต่อหน้าต่อตายังไงล่ะ ฉันดีใจนะที่ตอนนี้เธอได้มาพบกับฉันอีกครั้ง คราวนี้แหละฉันจะต้องอยู่กับเธอให้ได้ ฉันจะอยู่กับเธอตลอดไปที่นี่ ที่ Nifflheim แห่งนี้ยังไงล่ะ !!” …….to be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Aug 2, 2018 15:01:01 GMT
EP.14 มิตรภาพที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ “ว่ายังไงนะ Nifflheim อย่างนั้นหรือ ?” เมื่อได้ยินคำพูดของนักบวชสาวผู้มีผมสีฟ้ากล่าวขึ้น จูเลียก็มองไปรอบๆตัวทันที สายตาของเธอนั้นดูเหมือนว่าจะเริ่มเคยชินกับความมืดได้แล้วภาพที่ปรากฏตรงหน้าเธอจึงสามารถมองเห็นขึ้นมาได้อย่างชัดเจน สภาพแวดล้อมรอบตัวของเธอนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เท่าที่จูเลียจำได้เมื่อครู่นี้เธอยังต่อสู้กับ Goblin Leader อยู่ที่หมู่บ้าน Goblin แต่ในตอนนี้เธอมาอยู่ที่เมืองๆหนึ่ง ตัวอาคารบ้านเรือนภายในเมืองนี้ดูเก่าและทรุดโทรม แต่ก็ยังสามารถจะใช้งานได้ดีตัวอาคารนั้นไม่ได้ตั้งตรงแต่ว่ามีสถาปัตยกรรมที่ใช้สร้างดูแปลกตามันบิดเบี้ยวไปมาดูน่าขนลุก ตัวอาคารบางแห่งมีการประดับประดาไปด้วยรูปภาพปีศาจ รูปปั้นค้างคาว หรือว่าสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความชั่วร้ายนานาชนิด ป้ายหลุมศพมีปรากฏให้เห็นอยู่ตามข้างถนนของเมืองแห่งนี้มากมาย โดยที่แต่ละป้ายนั้นมีชื่อของคนซึ่งถูกสลักเอาไว้อย่างชัดเจน ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนภายในเมืองนี้ดูมีบุคลิกที่แปลกกว่าเมืองอื่นๆ พวกเขานั้นมักจะมีร่องรอยของการถูกทำร้ายหรือว่ามีโลหิตติดอยู่บนเสื้อผ้า และคนในเมืองนี้ที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นมักจะสนทนากันด้วยเสียงราวกับว่าพวกเขากำลังบ่นพึมพำดูน่าขนลุก เสียงค้างคาวที่ดังเป็นระยะชวนให้เมืองนี้ยิ่งดูน่าสะพรึง เมื่อจูเลียหันหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า เธอก็พบกับพระจันทร์สีทองดวงโตซึ่งลอยเด่นอยู่กลางท้องนภาแต่ไร้ซึ่งดวงดาวเลยแม้แต่ดวงเดียว นักบวชสาวผู้มีผมสีฟ้าเมื่อเห็นว่าจูเลียซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของเธอได้เห็นสภาพรอบตัวแล้วเธอจึงกล่าวขึ้นมากับจูเลียด้วยน้ำเสียงที่น่าขนลุกว่า “ใช่แล้วล่ะจูเลียจังที่นี่คือ Nifflheim นครแห่งความตายยังไงล่ะ ที่นี่คือสถานที่รวบรวมของเหล่าวิญญาณ ที่ไม่สามารถจะไปยังสวงสวรรค์ได้ และไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้เป็นเมืองแห่งจุดจบของคนบาปไปตลอดกาลเหมือนกับเธอแล้วก็ฉันยังไงล่ะ” จูเลียจังเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็หันหน้ากลับไปมองนักบวชสาวผู้มีผมสีฟ้าทันที สภาพของเธอนั้นไม่ได้เป็นนักบวชสาวที่ดูเหมือนมนุษย์อย่างที่เธอเคยรู้จัก แต่ว่าเธอนั้นกลับมีบาดแผลขนาดใหญ่อยู่ที่ช่วงคอซึ่งมันเป็นภาพติดตาของจูเลียเป็นอย่างดีว่า เพื่อนของเธอคนนี้ได้เสียชีวิตจากการถูก Vagabond Wolf กัดเข้าที่ลำคอมันเป็นแผลเดียวกันกับสภาพศพของเธอตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน“ไม่….ไม่จริง….อลิเซีย ฉัน…..” อลิเซียคือชื่อของนักบวชสาวผู้มีผมสีฟ้า ซึ่งเธอนั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้เก่าของจูเลียแน่นอนว่าเธอนั้นได้ตายไปแล้วแต่ในตอนนี้เธอมาปรากฏตัวอีกครั้งต่อจูเลียได้อีกครั้งดังนั้นจึงหมายความว่า“ใช่แล้วล่ะจูเลียจังเธอได้ตายไปแล้ว และตอนนี้เธอก็อยู่ใน Nifflheim แบบเดียวกับที่ฉันอยู่ เธอไม่มีทางที่จะกลับออกไปจากที่นี่ได้หรอก ฉันเฝ้ารอวันที่เธอจะมาที่นี่นานแล้วเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...” อลิเซีย ยื่นมือของเธอที่เต็มไปด้วยโลหิตสีแดงฉานเปอะเปื้อนอยู่มาจับที่ข้อมือของจูเลีย สัมผัสมือของอลิเซียนั้นเย็นเฉียบไร้ซึ่งไออุ่นใดๆ การกระทำของเธอนั้นทำให้จูเลียขนหัวลุก จูเลียนั้นสีหน้าซีดเผือดทันที ก่อนที่เธอจะพยายามสะบัดมือออกจากการจับกุมของอลิเซีย“ไม่ !! ปล่อยฉันนะ !!” จูเลียกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและสะบัดมืออย่างแรงแต่ดูเหมือนว่ากำลังของเธอนั้นจะไม่มากพอที่จะหลุดพ้นจากการจับกุมของอลิเซียไปได้ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่หลุดจากการจับกุมแต่ท่าทางของเธอนั้นก็ดูเหมือนจะทำให้อลิเซียไม่พอใจในสิ่งที่เธอตอบกลับมา“ขี้โกงจังเลยนะจูเลียจังน่ะ เธอมีชีวิตรอดอยู่คนเดียวในขณะที่พวกเราต้องตายกันหมดเลย เธอยังมีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แสงตะวันอันสดใส เธอยังมีโอกาสที่จะได้พบเจอกับผู้คนอีกมากมาย แต่พวกเราต้องมาอยู่ในสถานที่ที่น่ากลัวและมืดมน พวกเราไม่มีโอกาสแม้แต่กระทั่งจะได้ไปเกิดใหม่ ทำไมกัน ทำไมถึงไม่ยุติธรรมเลย ทำไมถึงมีเธอแค่คนเดียวที่ยังไม่ตาย ทำไมกัน !!” อลิเซียกรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูโศกเศร้าและโกรธเกรี้ยว ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวไปมาน่าสยดสยอง ดวงตาที่ไร้ซึ่งชีวิตแต่ว่านัยน์ตาของเธอนั้นกลับมีสีแดงก่ำเหมือนกับคนที่ร้องไห้มาเป็นระยะเวลานาน เลือดที่เปรอะอยู่ที่ใบหน้าของเธอไหลย้อยลงมาบริเวณเปลือกตาทำให้ดูราวกับว่าเธอนั้นร้องไห้ออกมาเป็นสายโลหิต ดวงตาของเธอเบิกโพลงจับจ้องมายังจูเลียราวกับว่ากำลังอิจฉาที่เธอนั้นยังมีชีวิตอยู่“ไม่นะอาลิเซีย ฉันไม่ได้อยากจะให้พวกเธอตาย ฉันก็ยังอยากจะอยู่กับพวกเธอแต่ว่า….แต่ว่า…...” จูเลียซึ่งบัดนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียง ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจและโศกเศร้า เธอนั้นไม่รู้มาก่อนเลยว่าเพื่อนของพวกเธอหลังจากที่ตายไปแล้วจะเป็นอย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าพวกเขานั้นรู้สึกเช่นไรกับการที่เธอนั้นยังไม่ตาย เธอไม่นึกเลยว่าเพื่อนของเธอนั้นจะโกรธแค้นเธอได้ถึงขนาดนี้“ขอโทษนะจูเลียจังฉันทำให้เธอกลัวเหรอ ? เธอเสียใจสินะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะจูเลียจังตอนนี้ฉันไม่โกรธเธอแล้ว เพราะว่าเธอจะต้องมาอยู่กับฉันที่นี่ตลอดไป การที่เธอมาอยู่ที่นี่ได้ก็หมายความว่าเธอได้ตายไปแล้วนั่นแหละ ดังนั้นทำใจให้สบายนะแล้วมาอยู่ด้วยกัน….กับฉัน…..ที่นี่…..” อลิเซียพูดขึ้นในขณะที่กำลังจะใช้อ้อมแขนซึ่งโชกไปด้วยเลือดของเธอโอบกอดจูเลียซึ่งกำลังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและหวาดกลัวใบหน้าของอลิเซียยามนี้ยิ้มออกมาอย่างสยดสยองและพึงพอใจ“ Signum Crucis !!” แต่แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นหูของจูเลียดังขึ้นมา หลังจากสิ้นเสียงนั้นก็เกิดแสงสว่างสีขาวสาดส่องประกายขึ้นทั่วทุกทิศทุกทางแสงสว่างนั้นช่างดูสว่างไสวและอบอุ่นเสียเหลือเกิน ไม้กางเขนที่ส่องแสงสว่างราวกับดวงอาทิตย์ที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นยามราตรีสาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณ แสงนั้นทำให้อลิเซียซึ่งกำลังที่จะเข้ามาโอบกอดจูเลียถึงกับต้องผงะถอยหลังออกไป หลังจากนั้นตามร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลของเธอก็มีควันสีขาวลอยขึ้นมามากมาย และในพริบตานั้นร่างของนักบวชสาวผู้มีผมสีฟ้าก็ค่อยๆมลายหายไปกลายเป็น ปีศาจรูปทรงกลมสีดำสนิทที่ส่วนหัวของมันสวมหมวกปลายแหลมและมีหางที่ดูเหมือนกับหยดน้ำ มันมีดวงตาสีส้มที่เปล่งประกายตัดกับร่างกายสีดำและปากที่กว้างสีส้มข้างในเต็มไปด้วยเขี้ยว ชื่อของมันคือ Quve
“ฮี่ๆๆๆๆ เกือบไปแล้วเชียวเจ้ามนุษย์ น่าเสียดายจริงๆ ข้านึกว่าจะได้ลิ้มลองความกลัวและความโศกเศร้าที่แสนอร่อยที่ข้าไม่ได้กินมาตั้งนานแล้วซะอีกน่าเสียดายจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนละไว้เจอกันใหม่นะเจ้ามนุษย์ที่แสนน่าอร่อย” เจ้าปีศาจ Quve เมื่อมันกลับมาสู่ร่างเดิมมันก็หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมที่ฟังดูป่วนประสาท ก่อนที่มันจะลอยวนไปวนมาอยู่ด้านหน้าของจูเลียและกำลังจะลอยหนีไป“ทำให้เพื่อนของพวกเราต้องหวาดกลัวแบบนี้แล้วคิดจะหนีไปไหน Spear Boomerang !!” เสียงของอัศวินหนุ่มคนหนึ่งซึ่งน้ำเสียงของเขานั้นก็ฟังดูคุ้นหูของจูเลียเป็นอย่างดีกล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนที่เขาจะขว้างหอกในมือของเขาออกไปอย่างรวดเร็วพุ่งตรงไปยังเจ้าปีศาจ Quve หอกของเขาทะลุลำตัวของมันไปทันทีก่อนที่ร่างของมันจะมลายหายไปกลายเป็นควันสีดำ จูเลียหันกลับไปมองยังเหล่าผู้คนที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ ทันทีที่ได้เห็นภาพของผู้ที่มาช่วยเหลือน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาจากหางตาจำนวนหนึ่ง“พวกนาย…..” คำพูดอันแผ่วเบาเผยออกมาจากปากของจูเลียทันทีที่ได้เห็นผู้ที่มาช่วยเธอจากการล่อลวงของปีศาจร้าย พวกเขาเหล่านั้นประกอบด้วยอัศวินหนุ่มผู้มีเส้นผมสีแดงครั้งก่อนสมัยที่เขายังเป็นมนุษย์เขายังเป็นเพียงแค่นักดาบ แต่ตอนนี้เขาเป็นอัศวินผู้สวมชุดเกราะแห่งเกียรติยศอย่างเต็มภาคภูมิ แม้อย่างนั้นนิสัยที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวและรักพวกพ้องก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม“ไม่เป็นไรนะจูเลียจังเธอคงจะกลัวมากเลยล่ะสิพวกเราขอโทษนะที่มาช้าไปหน่อย” เสียงของนักบวชหญิงผู้มีเส้นผมสีฟ้าซึ่งมีนามว่าอลิเซีย ในตอนที่เธอยังเป็นมนุษย์เธอยังเป็นแค่นักบวช แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นนักบวชชั้นสูง (Priest) ที่ดูอ่อนโยน และเปี่ยมไปด้วยความโอบอ้อมอารี รอยยิ้มของเธอยังคงอบอุ่นดุจดั่งเมื่อครั้งที่เธอยังมีชีวิตอยู่ “เฮ้ย !! พวกนายเราแหกกฎของวัลฮาล่าแล้วนะ รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จแล้วรีบกลับกันเถอะถ้าโดนจับได้ล่ะก็ เดี๋ยวเรื่องมันจะไปกันใหญ่นะ” นักธนูหนุ่มผู้มีเส้นผมสีทองกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูทีเล่นทีจริง เขานั้นไม่ได้สนใจเรื่องกฎเกณฑ์อะไรเท่าไหร่นักหรอก เพียงแต่เขาพูดขึ้นมาเพื่อที่จะให้รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อจูเลียนี้มันเสี่ยงมากขนาดไหน นักธนูหนุ่มผู้นี้ตอนนี้กลายเป็นนายพรานหนุ่มผู้ดูกระฉับกระเฉงว่องไวและปราดเปรียวแต่นิสัยขี้เล่นครั้งยังเป็นมนุษย์ก็ยังคงติดตัวเขามาเสมอ“ว่าเข้านั่น ? นายไม่ได้สนใจเรื่องกฎอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นา เอาเถอะ ยังไงเรารีบพาจูเลียไปหาผู้หญิงคนนั้นก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เดี๋ยวจะไม่ทันการเอานะ” เสียงของนักเวทย์สาวผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบ แต่ว่าในน้ำเสียงนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่เธอกล่าวจบอัศวินหนุ่มก็เดินเข้าไปหาจูเลียซึ่งกำลังนั่งทรุดอยู่กับพื้น ก่อนที่เขาและนักบวชสาวจะค่อยๆช่วยกันพยุงให้ลุกขึ้นยืน“นี่พวกนายยังไม่ตายเหรอ ? แล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น ช่วยบอกให้ฉันฟังทีได้ไหม ?” จูเลียถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสับสน แต่เมื่อได้ยินที่เธอทำเช่นนั้นเพื่อนๆเก่าของเธอก็พากันยิ้มออกมากันทุกคนก่อนที่พวกเขาจะกล่าวตอบเธอกลับมาว่า “รู้ไหมจูเลีย….ตอนนี้เธอนะตายไปแล้วและวิญญาณของเธอก็ตกลงมาสู่โลกเบื้องล่างนั่นก็คือ Nifflheim ที่นี่คือเมืองแห่งความตาย มันเป็นที่รวมของเหล่าวิญญาณที่ไม่มีที่ไปพวกเขาไม่สามารถเกิดใหม่ได้และพวกเขาก็ไม่สามารถจะไปสู่สรวงสวรรค์ได้ที่นี่เต็มไปด้วยวิญญาณร้ายแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เป็นส่วนมากล่ะนะ เธอนั้นยังมีโอกาสที่จะกลับไปมีชีวิตได้อยู่พวกเพื่อนๆใหม่ของเธอที่อยู่ที่โลกทางโน้นกำลังพยายามช่วยเธออย่างเต็มที่ เธอจะอยู่ที่นี่ไม่ได้เราจะพาเธอไปหาราชินีแห่งความตายเพื่อที่จะพาเธอส่งกลับไปยังโลกมนุษย์ รีบตามพวกเรามา เราไม่มีเวลามากนักหรอก” อลิเซียตัวจริงกล่าวขึ้นกับจูเลียด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใย คำอธิบายของเธอนั้นถึงจะฟังดูกำกวมไปบ้างแต่ว่ามันก็สามารถที่จะตอบคำถามได้บางส่วน จูเลียไม่ได้ยินดังนั้นเธอก็ตัดสินใจที่จะตามพวกเพื่อนเก่าของเธอเพื่อไปหาราชินีแห่งความตายทันที พวกเขาทั้ง 5 คนเดินไปบนถนนซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณซึ่งเดินผ่านไปผ่านมา และมุ่งหน้าตรงไปยังปราสาทหลังหนึ่งซึ่งอยู่ภายในเมืองแห่งความตายแห่งนี้ มันเป็นปราสาทที่ดูใหญ่โตและประดับประดาไปด้วยรูปปั้นมากมายพวกเขาทั้ง 5 คนนั้นไปหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของปราสาทซึ่งที่นี่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของราชินีแห่งความตาย ในระหว่างทางจูเลียนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอนั้นรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้กลับมาร่วมเดินกับพวกเพื่อนๆเก่าของเธอซึ่งเธอคิดว่าน่าจะไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนี้อีกแล้วในชีวิต“พวกเจ้าไม่ใช่คนของเมืองแห่งความตาย พวกเจ้ามีธุระอะไรที่นี่ ?” ทหารยามผู้เฝ้าประตูปราสาทกล่าวถามกับพวกของจูเลียซึ่งมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตู อัศวินหนุ่มผู้มีเส้นผมสีแดงกล่าวขึ้นกับทหารยามคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพเรียบร้อยว่า“พวกเรามาจากวัลฮาร่า แต่ว่าโจรสาวคนนี้เป็นคนของโลกมนุษย์ เธอเพิ่งจะตายและเธอกำลังถูกชุบชีวิต เธอไม่ใช่คนของเมืองแห่งความตายนี้หรอก และพวกเราก็ต้องการให้เธอกลับไปยังโลกมนุษย์ ขอได้โปรดให้พวกเราไปพบกับท่านราชินีมีเพียงนางเท่านั้นที่จะอนุญาตให้คนออกจากเมืองนี้ได้” ทหารยามทันทีที่ได้ยินอัศวินหนุ่มผมแดงกล่าวเช่นนั้นเขาก็มีสีหน้าที่เรียบเฉย ก่อนที่จะเปิดประตูของปราสาทด้วยกลไกซึ่งอยู่ด้านข้างของประตูที่เขาดูแลอยู่ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างราบเรียบว่า “เข้าไปซะและจงรักษามารยาทเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ราชินี” ทันทีที่ทหารยามอนุญาตพวกของจูเลียทั้ง 5 คนก็เดินเข้าไปในปราสาทของราชินีแห่งความตาย ภายในปราสาทแห่งนี้ดูมืดครึ้มแต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรมเหมือนกับสถานที่ภายนอก ที่นี่ถูกประดับประดาไปด้วยชุดเกราะ พรมปูพื้น รูปปั้น เชิงเทียน และภาพวาดที่สวยงามดูมีมนต์ขลังและน่ายำเกรงสมกับที่เป็นปราสาทของผู้ปกครองนครแห่งความตาย ไม่นานนักพวกของจูเลียก็เดินไปถึงท้องพระโรงของปราสาทแห่งนี้ ท้องพระโรงของปราสาทนครแห่งความตายนั้นใหญ่โตและกว้างขวาง สองข้างของห้องประดับไปด้วยชุดเกราะของนักรบโบราณซึ่งทำมาจากโลหะมีค่าอาวุธมากมายหลายชนิดถูกแขวนประดับประดาอยู่ที่บริเวณผนัง อัศวินหนุ่มผู้มีเส้นผมสีแดงนั้นเป็นผู้เดินนำหน้าเข้าไปยังท้องพระโรงแห่งนี้ ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังดูเหมือนว่าจะรอการมาถึงของพวกเขาอยู่แล้วราชินีแห่งความตายประทับนั่งอยู่บนบัลลังเหนือท้องพระโรง
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาหาข้าที่นี่มีเหตุผลอะไร นานมากแล้วนะที่ไม่ได้มีคนจากสวรรค์และคนจากโลกมนุษย์มาหาข้าพร้อมๆกันแบบนี้ ที่เมืองแห่งความตายนั้นเต็มไปด้วยปีศาจพวกมันมักจะล่อลวงมนุษย์และวิญญาณของผู้มาใหม่ มันเป็นเรื่องธรรมดาของทีนี้ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธข้านะ มันเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้” ราชินีแห่งความตายเป็นหญิงสาวซึ่งดูลึกลับและงดงาม เธอนั่งอยู่บนบัลลังที่สร้างขึ้นมาจากกระดูกของสิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดประดับประดาไปด้วยทองคำดูล้ำค่าสวยงามและแฝงไปด้วยความรู้สึกน่าเกรงขาม ราชินีแห่งความตายนี้เป็นหญิงสาวซึ่งอยู่ในวัยที่กำลังสดสวยเธอมีเส้นผมสีแดงอมน้ำตาลที่ยาวสยายและปลายผมของเธอนั้นหยักศกทำให้เธอดูมีความเป็นสตรีชั้นสูงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เธอแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีแดงเข้มขลิบลายสีทองซึ่งทำมาจากทองคำแท้ดูงดงามน่าหลงใหลและน่าพิศวง ดวงตาของเธอนั้นดูมีเสน่ห์และโฉบเฉี่ยว นัยน์ตาของเธอมีสีแดงเข้มเช่นเดียวกับเส้นผมและเสื้อผ้าของเธอ ใบหน้าของเธอในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มจังๆราวกับว่ากำลังรู้สึกสนุกที่ไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแสนนานแล้ว “พวกกระหม่อมนั้นทราบดีว่า การที่พวกเราฝ่าฝืนกฎของสวรรค์มาที่นี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงและไม่สมควรทำ แต่ว่าเพื่อนของพวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเราทนที่จะเฝ้าดูเธออยู่เฉยๆไม่ได้ ขอองค์ราชินีทรงโปรดยกโทษให้พวกข้าพเจ้าด้วยและขอโปรดเมตาช่วยเหลือเพื่อนของเราด้วยเถิด” อัศวินหนุ่มผมสีแดงนั่งชันเข่าลงถวายความเคารพกลับองค์ราชินีแห่งความตายพร้อมๆกับเพื่อนของเขาและจูเลีย ก่อนที่จะกล่าวคำขอร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนวอนและสุภาพ ราชินีแห่งความตายเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจและกล่าวว่า“พวกเจ้านี่ช่างโอหังเสียเหลือเกิน เจ้าจะบอกให้เราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่พวกเจ้าทำผิดกฎของสวรรค์ลงมาที่นี้ และยังจะขอให้เราช่วยเหลือเพื่อนของเจ้าอีกหรือ ช่างเป็นวีรบุรุษที่ละโมบเสียจริงๆ เหล่าวีรบุรุษผู้มาจากวัลฮาลาทั้งหลาย” ราชินีแห่งความตายกล่าวได้ตรงจุดคำขอร้องของอัศวินหนุ่มผมสีแดงนั้นเป็นการขอร้องฝั่งเดียวที่ฟังดูละโมบโลภมากเสียจริงๆ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกเพราะว่าพวกเขานั้นไม่มีอะไรที่จะสามารถตอบแทนเป็นของกำนัลให้กับราชินีแห่งความตายได้เลยสักอย่างเดียวพวกเขาต้องการเพียงแค่ความช่วยเหลือจากเธอเท่านั้น คำพูดของราชินีแห่งความตายนั้นทำให้อัศวินหนุ่มผู้มีเส้นผมสีแดงไม่อาจจะกล่าวคำอะไรตอบกลับไปได้เลย สติปัญญาไหวพริบและความปราดเปรื่องรอบคอบของราชินีแห่งความตายนั้นมากล้นเสียจนไม่อาจจะต่อกรได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ “แต่ถึงแม้ว่าข้าจะพูดแบบนั้น แต่ว่าข้าเองก็เป็นคนที่ชอบสิ่งที่น่าสนใจ เพื่อนของพวกเจ้าซึ่งยังไม่ตายคนนั้น ลองเข้ามาใกล้ๆข้าหน่อยสิ….” ราชินีแห่งความตายมองไปยังจูเลียด้วยสายตาที่ราบเรียบ แต่มันแฝงไปด้วยความเย็นชาและพลังอำนาจที่ไม่อาจจะขัดขืนได้ จูเลียค่อยๆลุกขึ้นยืนจากนั้นเธอก็เดินมุ่งหน้าตรงไปยังราชินีแห่งความตายซึ่งนั่งรอเธออยู่บนบัลลังก์ เธอเดินเข้าไปใกล้ๆนางจนถึงขณะที่หากเอื้อมมือออกไปก็สามารถที่จะสัมผัสตัวของนางได้ ราชินีแห่งความตายใช้ดวงตาสีแดงเข้มที่ดูลึกลับน่าพิศวงของนางจับจ้องมาที่ใบหน้าของจูเลีย ไม่นานนักนางก็ยิ้มที่มุมปากราวกับว่านางกำลังสนอกสนใจในอะไรบางอย่างก่อนที่นางจะกล่าวขึ้นมาว่า “อย่างที่คิดเอาไว้เลยจริงๆ นี่เจ้าไม่ใช่คนของโลกใบนี้นี่นา เจ้าเป็นเพียงแค่เหยื่อความทะเยอทะยานของพวกเทพที่อยู่บนสวรรค์และผู้นำของพวกมนุษย์ ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกินคนอย่างเจ้าถึงตายก็ไม่มีทางที่ขึ้นสวรรค์ที่โลกใบนี้จริงๆอยู่แล้ว แต่ถ้าจะต้องให้มาตกนรกที่โลกใบนี้อีกมันก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย ตกลงข้าจัดส่งเจ้ากลับไป แต่ไม่ใช่กลับไปโลกเดิมของเจ้าหรอกนะ ข้าไม่มีพลังอำนาจพอที่จะทำแบบนั้น แต่ไปยังโลกที่เจ้าจะต้องอยู่ใช้ชีวิตที่นั่นรวมทั้งอาจจะต้องเจ็บปวดกับมันไปอีกสักระยะเลยทีเดียวละ” สิ่งที่ราชินีแห่งความตายพูดออกมาทำให้จูเลียนั้นรู้สึกสนใจได้อย่างแปลกประหลาด นางบอกว่าเธอไม่ใช่คนของโลกใบนี้และเธอเป็นเพียงแค่เหยื่อของความทะเยอทะยานของพวกเทพและพวกผู้นำของมนุษย์ จูเลียเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็รีบถามกับราชินีแห่งความตายออกไปทันทีด้วยความสงสัยจนสุดจะกลั้นวา “เมื่อสักครู่องค์ราชินีบอกว่าหม่อมฉันไม่ใช่คนของโลกใบนี้อย่างนั้นหรือคะ มันหมายความว่ายังไง ?” จูเลียถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเธอนั้นทำให้ราชินีแห่งความตายยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ ดูเหมือนว่าพระนางจะส่งชอบการเล่นกับความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์เสียเหลือเกิน ราชินีแห่งความตายเมื่อได้ยินจูเลียกล่าวทำเช่นนั้นพระนางก็ตอบกลับไปว่า “ข้าคงจะให้คำตอบกับเจ้าไม่ได้ทั้งหมด และข้าก็ไม่คิดจะตอบทั้งหมดที่ข้ารู้ให้กับเจ้า แต่ข้าจะช่วยเจ้าเล็กน้อย ข้าจะช่วยให้เจ้าสามารถที่จะระลึกถึงสิ่งที่เจ้าลืมไปแล้วได้ง่ายขึ้น” ราชินีแห่งความตายเอื้อมมือของพระนางเข้าไปแตะที่บริเวณหน้าผากของจูเลียทันใดนั้นบริเวณหน้าผากของจูเลียก็มีแสงสีฟ้า รูปร่างลักษณะคล้ายกับอักษรโบราณปรากฏขึ้น ตัวอักษรนั้นเปล่งประกายสีฟ้าสว่างสดใสแต่แล้วจู่ๆตัวอักษรนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำและมีรอยร้าวสีขาวจากนั้นก็แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย“ข้าได้คลายผนึกแห่งความทรงจำที่พวกเทพได้ผนึกเอาไว้กับตัวเจ้าแล้ว จากนี้ไปอาจจะมีความทรงจำบางส่วนในอดีตของเจ้าบางส่วนปรากฏขึ้นมาเข้ามาในสมองของเจ้า เจ้าจงปะติดปะต่อเรื่องราวเหล่านั้นและตอบคำถามของตัวเจ้าเองเถอะ” ราชินีแห่งความตายตอบจูเลียด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบๆแต่ในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่โอบอ้อมอารี หลังจากนั้นพระนางก็หันกลับไปมองอัศวินผู้มีเส้นผมสีแดงซึ่งกำลังนั่งชันเข่าอยู่ที่ด้านล่างตรงท้องพระโรง“ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งที่พวกเจ้าทำ ข้าเชื่อว่าความกล้าหาญของพวกเจ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามจะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สองที่ข้าจะทำแบบนี้จงจำไว้ซะเหล่านักรบวีรชน (Einherjar) แห่งวัลฮาลา” ราชินีแห่งความตายกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่เย็นชาดูเหมือนว่าพระนางนั้นจะไม่ค่อยชอบเราผู้คนที่มาจากวัลฮาล่ามากนัก“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้นที่พวกกระหม่อมจะมารบกวนองค์ราชินีเช่นนี้” อัศวินหนุ่มผู้มีเส้นผมสีแดงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเต็มไปด้วยความยำเกรง ราชินีแห่งความตายไม่กล่าวอะไรเพิ่มอีกหลังจากที่ได้ยินดังนั้น “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็คงจะไม่ได้เจอกันอีกนานแสนนานหรืออาจจะตลอดไป นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เจ้าจะได้คุยกับสหายเก่าที่ล่วงลับไปแล้วของเจ้า หากมีอะไรที่อยากจะคุยกับพวกเขาจงรีบทำซะเมื่อเสร็จแล้วเจ้าจงบอกข้าข้าจะได้ส่งเจ้ากลับไปยัง Midgard” ราชินีแห่งความตายหันกลับมามองหน้าจูเลียก่อนที่พระนางจะกล่าวขึ้นอย่างราบเรียบและยิ้มออกมาเล็กๆ จูเลียเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็เดินลงมาแล้วตรงไปยังเหล่าเพื่อนของเธอซึ่งยืนรออยู่เบื่องล่าง“ทุกคนได้ยินว่าพวกนายได้กลายเป็นวีรชนแห่งสรวงสวรรค์ ฉันรู้สึกดีใจมากเลยนะ ฉันไม่รู้ว่าหลังจากที่ตายไปแล้วพวกนายจะเป็นอย่างไง พวกนายจะโกรธฉันไหมและพวกนายจะต้องได้รับทุกข์ทรมานขนาดไหน แต่หลังจากที่ได้มาเห็นพวกนายในวันนี้ฉันรู้สึกดีใจจริงๆ” จูเลียเริ่มที่จะกล่าวในสิ่งที่เธอไม่รู้สึกเอาไว้ในใจ หลังจากที่เธอได้สูญเสียปาร์ตี้ไปในตอนนั้นเธอก็ปิดใจตนเองเป็นระยะเวลานาน เพราะเธอรู้สึกว่าเธอนั้นเป็นคนที่ขี้โกงที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงแค่คนเดียวในขณะที่ทุกคนนั้นตายไปหมด เธอคิดว่าเพื่อนทุกคนที่ได้เสียชีวิตไปแล้วจะต้องโกรธเธออย่างแน่นอนที่เห็นเธอยังมีชีวิตอยู่“รู้ไหมว่าทำไมมนุษย์บางคนถึงได้รับเลือกให้เป็นวีรชนแล้วขึ้นไปอยู่บนวัลฮาลา ก็เพราะว่าพวกเขาได้ตายไปในสนามรบอย่างกล้าหาญในขณะที่เขากำลังตั้งใจจะปกป้องบางสิ่งบางอย่างพวกเขาได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะของนักรบยังไงล่ะ ดังนั้นการที่เราตายเพื่อได้ปกป้องเธอเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการเอง ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจะมาเป็น Einherjar ไม่ได้หรอกเธอสบายใจได้แล้วนะ” นักเวทมนต์สาวผู้มีผมสีน้ำตาลกล่าวขึ้น เธอนั้นเป็นคนที่ดูจริงจังและมีระเบียบที่สุดในกลุ่ม แม้แต่กระทั่งในตอนนี้เธอมักจะพูดอะไรตรงไปตรงมาเสมอและเธอก็ทำอย่างที่เธอเคยทำ “ถ้าพวกเราจะตายเป็นผีไปหลอกเธอล่ะก็ป่านนี้ เธอคงจะจับไข้หัวโกร๋นไปตั้งนานแล้วนะ ที่วัลฮาล่าพวกเราได้ฝึกการต่อสู้ทุกวัน อาหารก็อร่อย เหล้าน้ำผึ้งที่นั่นจัดว่าสุดยอดเลย ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเพราะเรามีความสุขดี” นายพรานหนุ่มผู้มีเส้นผมสีทองกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่สนุกสนาน ท่าทางขี้เล่นของเขายังคงสร้างความสนุกสนานให้กับปาร์ตี้ได้ และเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วก็ตาม “รู้ไหมจูเลียจังฉันคอยเฝ้ามองเธออยู่ห่างๆตลอดตอนที่เห็นเธอเอาแต่เศร้าสร้อยได้เก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวฉันรู้สึกว่ามันแย่มากแต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ฉันก็ดีใจนะที่เธอได้พบกับเพื่อนใหม่ เพื่อนที่พร้อมจะเดินไปพร้อมกับเธอ ฉันว่าพวกเขาเป็นคนดีและฉันก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งเธอนั้นจะเปิดใจยอมรับพวกเขา ฉันขออวยพรให้เธอได้พบกับสิ่งที่ดีๆและหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีก ไม่สิทางที่ดีเราอย่าพบกันสักพักใหญ่ๆเลยจะดีกว่านะ” อลิเซียนักบวชสาวผู้มีเส้นผมสีฟ้ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่อ่อนโยน เธอนั้นเป็นคนที่อ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากที่สุดภายในกลุ่มอีกทั้งเธอตอนที่มีชีวิตอยู่ยังเป็นคนที่ห่วงใยดูแลจูเลียเป็นอย่างดี แม้ว่าในตอนนี้เธออย่างก็คงเป็นเช่นนั้น“เอาล่ะ พวกเราคงจะต้องจากเธอไปจริงๆแล้ว รักษาตัวด้วยนะแล้วอย่าลืมล่ะว่าเธอยังมีคนที่เป็นห่วงเธออยู่ถึงแม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นพวกเขาก็ตาม แบบพวกเราไงล่ะ ถ้ายังไงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เผื่อพวกเราด้วยนะจูเลีย” อัศวินหนุ่มผู้มีเส้นผมสีแดงเขาเป็นดุจดังผู้นำของปาร์ตี้และเป็นคนที่กล้าหาญ เข้าอกเข้าใจคนอื่นถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะใจกล้าและมุทะลุไปบ้าง แต่เขาก็เป็นผู้นำที่ดีไม่ว่าจะตอนนี้หรือว่าเมื่อก่อนก็ทำจูเลียเมื่อได้ยินคำกล่าวของเพื่อนๆเป็นครั้งสุดท้าย เธอก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูกเธออยากจะให้พวกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งและร่วมไปผจญภัยกับเธอแต่ดูเหมือนว่าความหวังเล็กๆนี้จะไม่สามารถเป็นจริงได้เสียแล้ว“ขอบคุณมากนะทุกคน…...” จูเลียกล่าวขอบคุณเพื่อนของเธอ มันเป็นคำพูดที่เรียบง่ายแต่นั่นก็เป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริง เธอพยายามที่จะฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้เนื่องจากว่าเธอไม่อยากที่จะต้องจากกับพวกเขาด้วยน้ำตา แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเธอนั้นจะไม่สำเร็จหยาดน้ำตาของเธอนั้นไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้างที่ขาวนวลของเธอโดยที่เธอไม่สามารถจะควบคุมมันได้ แต่นี่ไม่ใช่น้ำตาของความโศกเศร้าจากการจากลา แต่เป็นน้ำตาจากความตื้นตันใจในสิ่งที่เธอได้รับรู้ เพื่อนๆของเธอทุกคนยังคงเป็นห่วงเธอถึงแม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้วก็ตาม เธอจะต้องมีชีวิตอยู่เผื่อในส่วนของเขาด้วย“ลาก่อนนะทุกคนฉันจะไม่ลืมพวกนายเลย….ลาก่อน….” จูเลียกล่าวคำร่ำลาขึ้นมาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างสุดฝืนทั้งน้ำตา เพื่อนๆของเธอทุกคนต่างก็ยิ้มให้เธออย่างอบอุ่นในขณะที่ร่างของพวกเขานั้นกำลังค่อยๆจางหายไปในอากาศราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่หมอกควันที่มารวมตัวกันและกำลังจะสลายหายไป จากนั้นไม่กี่อึดใจพวกเพื่อนๆของเธอทั้ง 4 คนก็มลายหายไปจากที่นั้นราวกับความฝันที่จางหายไปยามตื่นนอน ราชินีแห่งความตายได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดพระนางอดที่จะรู้สึกสงสารและยินดีในโอกาสนี้จูเลียได้รับไม่น้อยแต่พระนางก็ไม่แสดงท่าทางอะไรออกมา“ดูเหมือนว่าจะร่ำลากันเสร็จแล้วสินะ ความตายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ต่างกันแค่ว่าจะมาช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง เจ้าก็มีที่ๆควรไปพวกเขาก็มีที่ๆเขาควรจะต้องไป สักวันหนึ่งพวกเจ้าอาจจะโคจรมาพบกันอีกครั้งถ้าหากว่ามีวาสนาต่อกัน เอาล่ะ จากนี้ไปถ้าจะส่งเจ้ากลับไปยัง Midgard หลับตาลงซะแล้วหลังจากนั้นเจ้าจะไม่รู้สึกอะไรอีก แต่เธอจะไม่ลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี้รวมถึงตัวข้าด้วย แต่เจ้าก็จงอย่าไปแพร่งพรายให้ใครได้รับรู้ มันไม่ใช่เรื่องดีกับทั้งตัวข้าแล้วก็ตัวเจ้าเอง” ราชินีแห่งความตายกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบก่อนที่จูเลียจะหลับตาลงอย่างช้าๆ ร่างกายของเธอนั้นรู้สึกเบาราวกับขนนกและหลังจากนั้นเธอก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย - หมู่บ้าน Goblin - “เจ้ามนุษย์ เจ้าสามารถประมือกับข้าได้นานขนาดนี้จัดว่าเป็นคนที่มีฝีมือ น่าเสียดายที่ชีวิตของเจ้าจะต้องจบลงวันนี้” Goblin Leader ถือหอกภายในมือเอาไว้แน่นปลายของคมหอกนั้นจับจ้องไปยังบร็อคโคลี่ ซึ่งหายใจหอบเหนื่อย ถึงแม้ว่าบล็อคโคลี่นั้นจะไม่ได้รับบาดเจ็บเท่าไหร่นักมีเพียงแค่แผลที่เป็นรอยถลอกตามตัวหลายแห่ง แต่ท่าทางที่เหนื่อยล้าของเขานั้นบอกได้ถึงความอ่อนแรงจากการต่อสู้อันยาวนาน“เจ้าปีศาจ !! แกเองก็เก่งใช่เล่นไม่ได้ต่อสู้แบบสนุกสนานแบบนี้มาตั้งนานแล้ว !! มาฟัดกันอีกสักตั้งเอาจนกว่าจะหมดแรงไปเลยดีไหม !!” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังในแววตาของเขามีเปลวไฟแห่งการต่อสู้ที่กำลังลุกโชนอยู่อย่างรุนแรงto be continued !!
|
|
|
Post by wildrose on Aug 8, 2018 16:47:13 GMT
EP.15 งานเลี้ยง “แกมเบียร์ คุณลักค์ อดทนอีกนิดนึงนะคะ” มาเรียกล่าวขึ้นในขณะที่แสงสีเขียวเป็นประกายระยิบระยับกำลังล้อมรอบตัวเธอและร่างของจูเลียที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเธอ พิธีกรรมการชุบชีวิตกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ทว่าบรรยากาศรอบตัวของเธอนั้นกลับตึงเครียดเนื่องจากว่า Goblin จำนวนมากกำลังรุมล้อมเข้ามาเพื่อที่จะโจมตีใส่เธอ แกมเบียร์และลักค์ที่ทำหน้าที่ป้องกันมาเรียอยู่ในขณะนี้ดูเหมือนว่าจะตึงมือเต็มที่แล้วGoblin Archer ที่ระดมยิงลูกธนูเข้ามาอย่างไม่ขาดสายและ Goblin ซึ่งถืออาวุธชนิดอื่นต่างๆพากันดาหน้าเข้ามาเพื่อที่จะหมายเอาชีวิตของทั้งสามคนอย่างเอาเป็นเอาตาย แกมเบียร์นั้นทำหน้าที่เป็นโล่กันชน เธอถือ Buckler ในมือเอาไว้อย่างมั่นคงเพราะตอนนี้มันเป็นอุปกรณ์ป้องกันชนิดเดียวที่สามารถจะป้องกันคมลูกศรของ Goblin Archer เอาไว้ได้ ส่วนลักค์นั้นทำหน้าที่คอยโจมตี Goblin ซึ่งถืออาวุธชนิดอื่นๆที่รุมกันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วมนุษย์นั้นมีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากกว่า Goblin แต่ว่าถ้าหากมีปัจจัยเรื่องจำนวนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยล่ะก็ตอนนี้พวกของมาเรียนั้นถือว่ากำลังเสียเปรียบอย่างมาก“คุณมาเรียต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ครับ พวกผมคงจะทนได้อีกไม่นานนักหรอก !!” ลักค์หันกลับมากล่าวกับมาเรียด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรีบร้อนและจริงจัง สภาพร่างกายของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลเต็มตัวและท่าทางดูอ่อนล้าลงไปไม่น้อย“ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5-10 นาทีค่ะ กว่าที่พลังชีวิตของจูเลียจังจะกลับเข้ามายังร่างและวิญญาณของเธอถึงจะสามารถเข้ามาอยู่ในร่างกายตามเดิมได้” มาเรียกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและเป็นกังวลในมือข้างหนึ่งของเธอถือใบ Yggdrasil Leaf ซึ่งในตอนนี้มันกำลังส่องประกายแสงสีเขียวเนื่องจากว่ามันกำลังปลดปล่อยพลังชีวิตของต้นไม้แห่งโลกออกมาคลุมร่างของจูเลียเอาไว้ ถ้าหากว่ามีอะไรมาขัดจังหวะตอนนี้เข้าล่ะก็ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาจะต้องล้มเหลวทั้งหมด“10 นาทีงั้นหรอคะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ขอฝากด้วยนะคะพี่มาเรีย เวลา 10 นาทีนั้นพวกเราจะเป็นคนนำมันมาให้เองค่ะ” แกมเบียร์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูมุ่งมั่น ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะเหนื่อยล้าเต็มที่และร่างกายของเธอนั้นก็เต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ แขนซ้ายของเธอนั้นแทบจะยกโล่ขึ้นมาป้องกันตัวไม่ไหวอยู่แล้ว แต่จิตใจของเธอนั้นกับสู้ไม่ถอย เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมคนขี้ขลาด และไม่กล้าทำอะไรด้วยตัวเองแบบเธอนั้นถึงมาอยู่ในจุดนี้ได้ บางทีคำว่าเพื่อนพ้องนั้นก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และสามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างในตัวคนเราได้ นี่เป็นคำตอบที่ผุดขึ้นมาในใจของเธอขณะนี้ - การปะทะกันระหว่างบล็อกโคลี่และ Goblin Leader - การต่อสู้ที่รวดเร็วและรุนแรงทำให้ผู้อื่นไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดจังหวะ Goblin ตัวอื่นๆนั้นได้แต่ยืนมองหัวหน้าของพวกมันกำลังโรมรันเข้าต่อสู้กับศัตรูเบื้องหน้า ทั้งสองแก่วงกวัดอาวุธเข้าใส่กันอย่างรวดเร็วจนแทบจะมองไม่ทัน เสียงของเหล็ก 2 ชิ้นกระทบกันดังสนั่นลั่นทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วหลังจากการปะทะกันผ่านไปอึดใจหนึ่งดูเหมือนว่าผลแพ้ชนะนั้นจะเริ่มปรากฏบล็อกโคลี่ถูก Goblin Leader ใช้หอกของมันแทงเข้าที่บริเวณหัวไหล่ข้างซ้ายเข้าอย่างจัง เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากปากบาดแผลทันทีและบร๊อกโคลีก็ทรุดลงนั่งชันเข่าลงกับพื้นด้วยอาการที่เจ็บปวด ดูเหมือนว่าอาวุธที่ใช้ในการโจมตีระยะกลางแบบหอกนั้นจะมีประสิทธิภาพมากกว่ากระบองเหล็กเมื่อต้องต่อสู้กันตัวต่อตัว“เจ้ามนุษย์ดูเหมือนว่าผลแพ้ชนะจะออกมาแล้วนะ เจ้าคงจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่แล้วล่ะ” Goblin Leader กล่าวขึ้นกับบล็อคโคลี่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหยิ่งผยองของผู้ได้รับชัยชนะ แต่ท่าทางของมันนั้นกลับทำให้บล็อกโคลี่หัวเราะออกมาในลำคอ มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเย้ยหยันอยู่ในที“หึหึหึหึ แค่แทงได้แผลเดียวก็คิดว่าชนะแล้วหรอ ? นี่เผ่าพันธุ์ของพวกแกอยู่รอดมาจนถึงขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ยชักจะสงสัยแล้วสิ การต่อสู้มันจะจบลงก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้นั้นดับดาวดิ้นสิ้นใจตายเท่านั้น กับแค่แผลเท่าแมวข่วนแค่นี้ มาบอกว่าผลแพ้ชนะออกมาแล้วงั้นหรอ ?” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยันและท่าทางที่ดูมั่นใจ ในตอนนี้คราบของนักบวชที่ดูสุภาพและอ่อนโยนนั้นของเขาก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้นแล้ว แววตาของเขานั้นดุดันราวกับนักรบซึ่งยืนอยู่ที่ใจกลางสมรภูมิแห่งความเป็นความตาย บร็อคโคลี่ใช้มือข้างซ้ายจับเข้าที่บริเวณหัวของหอก คมของมันนั้นทำให้มือของเขาได้รับบาดแผลมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เขาจับหัวของหอกเอาไว้แน่นพลังในการบีบของเขานั้นมากมายจนทำให้ Goblin Leader ไม่สามารถที่จะดึงหอกของตนเองกลับไปได้ และในวินาทีนั้นบล็อคโคลี่ก็ใช้ไม้กระบองเหล็กซึ่งอยู่ในมือฟาดเข้าไปที่บริเวณลำตัวของ Goblin Leader อย่างรุนแรงและรวดเร็ว“โอ้วววว ร่าาาาา !!” บร็อคโคลี่คำรามสุดเสียงเพื่อที่จะส่งพลังทั้งหมดออกไปในการโจมตีครั้งนี้กระบองเหล็กฟาดเข้าที่ลำตัวของ Goblin Leader ถึงแม้ว่าที่ลำตัวของมันจะมีเกราะซึ่งทำมาจากเหล็กแบบหยาบๆป้องกันเอาไว้ แต่การโจมตีของบล็อกโคลี่ครั้งนี้มันรุนแรงมากเสียจนเกราะที่มันสมใจอยู่ไม่อาจจะรับความเสียหายเอาไว้ได้ทั้งหมด ร่างกายของ Goblin Leader กระเด็นลอยไปในอากาศ มือของมันที่เคยกำหอกเอาไว้ถูกสะบัดให้หลุดออกไปตามแรงกระแทก“หึ…..โดนเข้าไปแค่นี้แกยังไม่ตายหรอกใช่ไหม ? ลุกขึ้นมาสิ เร็วเข้า !! เร็วเข้า !!” บร็อคโคลี่มองไปตามร่างของ Goblin Leader ซึ่งกระเด็นไปตกลงนอนหงายอยู่กับพื้น ก่อนที่เขาจะใช้มือข้างซ้ายดึงหอกซึ่งปักอยู่ที่หัวไหล่ข้างซ้ายของเขาให้หลุดออกมา เลือดจำนวนมากไหลตามออกมาจากบาดแผลทันทีที่หัวของหอกถูกดึงออก บร็อคโคลี่ปักอาวุธของ Goblin Leader ลงกับพื้นที่ด้านข้างของตัวเขา เป็นสัญลักษณ์ราวกับจะบอกว่าบัดนี้ Goblin Leader ไร้ซึ่งอาวุธในมือแล้ว“เจ้ามนุษย์….ร้ายกาจนัก...” Goblin Leader กล่าวขึ้นในขณะที่มันกำลังพยายามจะทรงกายลุกขึ้นยืน อาการบาดเจ็บจากการถูกโจมตีครั้งนี้ส่งผลอย่างรุนแรง เลือดจำนวนมากไหลย้อยออกมาจากขอบหน้ากากซึ่งมันใช้ปกปิดใบหน้าของมันเอาไว้ เลือดเหล่านี้น่าจะไหลออกมาจากปากของมันเลือดสีแดงสดที่บ่งบอกว่ามีอาการบาดเจ็บภายใน“แต่ว่าจะมนุษย์นี่คือสงครามไม่ใช่การดวลตัวต่อตัว เวลาของการดวลหมดแล้วจากนี้ไปจะหาว่าข้าเล่นขี้โกงก็คงจะไม่ได้แล้วละนะ Goblin ทั้งหลาย !! จงไปตัดหัวพวกมนุษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ซะ ไม่ว่าพวกแกจะมีอะไรจงนำมันออกมาใช้ให้หมดไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นห่วงแล้วว่าวัตถุดิบอาหารมื้อค่ำของเราจะบอบช้ำ ไปได้ !!” Goblin Leader สั่งการให้ลูกน้องของมันเข้ามาโจมตีพวกของบล็อกโคลี่อย่างเต็มกำลังได้ทุกอย่างที่มันมีทันใดนั้นบรรยากาศของสนามรบก็เปลี่ยนไปปู๊นนนนน เสียงดังกึกก้องกังวาลเหมือนเสียงของแตรแรงดันไอน้ำ ในเครื่องจักรไอน้ำดังสนั่นขึ้นทั่วท้องฟ้า ไม่นานนักเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวให้พวกบล็อกโคลี่ได้เห็นมันคือ Goblin Steamrider เผ่าพันธุ์ของ Goblin นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาพวกมันฉลาดด้อยกว่ามนุษย์เล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นด้วยสติปัญญาของมันพวกมันจึงสามารถครอบครองเทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำได้อย่างไม่ยากเย็น และนี่คือผลผลิตของการนำเครื่องจักรไอน้ำมาใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ของ GoblinGoblin Steamrider ได้ใช้เครื่องจักรไอน้ำเป็นตัวเพิ่มแรงของท่อขับดันทำให้ร่างกายที่เล็กและมีน้ำหนักน้อยของมันนั้นสามารถบินไปในอากาศได้อย่างสบายๆ และในเกาะเครื่องจักรไอน้ำของมันนั้นยังติดลูกตุ้มเหล็กซึ่งใช้ยิงออกไปโจมตีได้อีกด้วย พวกมันจึงจัดว่าเป็นของทหารที่น่ากลัวของเผ่าพันธุ์ Goblin
พึบ พึบ พึบ พึบ พึบ พึบ พึบ เสียงเหมือนอะไรสักอย่างกระพือปีกดังแหวกอากาศเป็นจังหวะถ้าหากว่าไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านของพวก Goblin บางทีผู้ที่ได้ยินเสียงนี้อาจจะคิดว่าเป็นนกขนาดใหญ่ไปแล้ว แต่ความเป็นจริงแล้วนี่คือเสียงของใบพัดของหน่วย Rotar Zairo พวกมันคือหน่วยอากาศยานของกองทัพ Goblin อีกชนิดหนึ่ง แต่ว่าพวก Rotar Zairo นี้บินได้ไม่ใช่เพราะเครื่องจักรไอน้ำแต่เป็นเพราะว่าเทคโนโลยีเครื่องจักรกลแบบสายพานที่ติดเข้ากับใบพัดซึ่งทำมาจากไม้ ทำให้ตัวเครื่องจักรนั้นเบาเพียงแค่ใช้แรงถีบก็สามารถที่จะยกตัวของ Goblin และเครื่องจักรนั้นให้ลอยไปในอากาศได้ นอกจากจะบินได้แล้ว Rotar Zairo ยังติดตั้งปืนซึ่งจะยิงลูกกระสุนซึ่งทำจากไม้ด้วยแรงดีดของเถาวัลย์ถึงมันจะฟังดูไม่รุนแรงแต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีพลังทำลายล้างไม่แพ้ลูกธนูและมากพอที่จะฆ่ามนุษย์ได้เลยทีเดียว“นี่มันอะไรกัน…..เยอะขนาดนี้เลยหรือ ?!?” ฟรองค์เงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้าและได้เห็น Rotar Zairo กับ Goblin Steamrider จำนวนมากที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้าสีหน้าของเขาก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เขาไม่สามารถจะถอยได้อีกแล้ว ฟรองค์จับดาบในมือแน่นและคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถผ่านสมรภูมิแห่งนี้กลับไปได้อย่างมีชัยชนะ
“โจมตี !!” Goblin Leader สั่งการให้กองทัพทั้งหมดของมันเข้าโจมตีพร้อมๆกัน Rotar Zairo กับ Goblin Steamrider ระดมยิงอาวุธของพวกมันออกมาอย่างบ้าคลั่งลูกตุ้มเหล็กและกระสุนไม้ถูกยิงออกมามากมายราวกลับห่าฝน กระสุนสังหารปูพรมไปทุกทิศทุกทางไม่มีทางเลยที่จะสามารถหลบการโจมตีแบบนี้ได้แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง เสียงของลูกกระสุนกระทบเข้ากับโลหะที่หนักและหนาอย่างรุนแรง แกมเบียใช้โล่ในมือของเธอพุ่งเข้าไปป้องกัน ลักค์ จูเลีย และมาเรียได้อย่างหวุดหวิด แต่หน้ากว้างของโล่แกมเบียร์นั้นก็ไม่ได้กว้างมากพอที่จะทำให้พวกเขาทั้งสี่คนไร้รอยขีดข่วน ยังมีกระสุนบางส่วนที่หลุดลอดเข้ามาและถูกเข้าที่บริเวณแขนและขาของพวกเขาบ้างแต่มันก็ไม่ใช่บาดแผลที่สาหัสเท่าไหร่นัก“ไม่เป็นไรใช่ไหม ?” ฟรองค์ซึ่งยืนอยู่ใกล้กับบริเวณที่พวก Rotar Zairo กับ Goblin Steamrider โจมตีมากที่สุดเขาจึงเป็นเป้าหมายแรกแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับบาดแผลไม่แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากว่าเทียร์ซึ่งรีบตรงมายังหมู่บ้านของ Goblin ตรงเข้ามาใช้โล่ Shield ในมือของเธอเข้ามาป้องกันตัวเขาเอาไว้ได้ทันเวลา“เสียใจด้วยนะ ดูเหมือนว่าการโจมตีระลอกแรกของพวกแกจะไม่ได้ผลนะ” บร็อคโคลี่นั้นใช้กำแพงลม Pneuma ของตนเองปกป้องกันโจมตีระยะไกลทั้งหมดเอาไว้ได้ดังนั้นการโจมตีระลอกแรกของพวก Rotar Zairo กับ Goblin Steamrider จึงไม่สามารถที่จะเอาชีวิตพวกของบล็อกโคลี่ไปได้เลยแม้แต่คนเดียวทำได้เพียงแค่บาดแผลเล็กน้อยให้กับพวกของแกมเบียร์เท่านั้น“ Arrow Shower” เดซี่ซึ่งปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับนักดาบสาวทั้ง 3 คนและวินเซนต์ ใช้ธนูในมือของเธอสาดลูกศรออกไปเป็นจำนวนมากด้วยทักษะ Arrow Shower ที่เธอถนัด ลูกธนูจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกไปจากคันศรพุ่งตรงไปยัง Rotar Zairo ซึ่งกำลังโบยบินอยู่ในท้องฟ้า พวกมันถูกลูกธนูของเดซี่เข้าไปอย่างไม่ทันรู้ตัวจากการโจมตีแบบสายฟ้าแลบของเธอ ทำให้พวกมันบางตัวนั้นร่วงลงมาสู่พื้นดินทันที“เจ้าพวกมนุษย์พวกมันมีกำลังเสริม !! อย่าพวกมันได้ใจไปมากกว่านี้ รีบเตรียมตัวโจมตีระลอกที่ 2 พวกที่อยู่บนพื้นดินตรงเข้าไปยันมันเอาไว้ !!” Goblin Leader สั่งการให้พวกที่อยู่บนฟ้าทำการบรรจุกระสุนเพื่อโจมตีระลอกที่ 2 ในขณะที่สั่งให้ Goblin ซึ่งถืออาวุธเดินเท้าพุ่งเข้ามาโจมตีในระหว่างที่พวกที่อยู่บนฟ้ากำลังบรรจุกระสุน“ Resurrection !!” พิธีกรรมชุบชีวิตของมาเรียนั้นสัมฤทธิ์ผลแล้วแสงสีเขียวที่แผ่ออกมาจากใบของ Yggdrasil Leaf ทั้งหมดเข้าไปห่อหุ้มร่างกายของจูเลียเอาไว้พลังชีวิตที่เอ่อล้นทำให้หัวใจของเธอกลับมาเต้นอีกครั้งและ Yggdrasil Leaf ก็เหี่ยวเฉาจนสลายหายไป จูเลียในตอนนี้สติของเธอยังไม่กลับมาเธออยู่ในสภาพนอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราแต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ปลอดภัย มาเรียนนั้นเป็นอิสระจากการทำพิธีกรรมชุบชีวิตแล้ว“ Angelus !!” มาเรียร่ายคาถาสนับสนุนที่มีชื่อว่า Angelus มันเป็นทักษะเฉพาะของนักบวช ทันใดนั้นสมาชิกทุกคนภายในปาร์ตี้ก็มีแสงสว่างสีขาวจางๆ เรืองรองขึ้นมาตามร่างกายพร้อมกับเสียงระฆังที่ดังกึกก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ทักษะนี้จะทำให้พลังป้องกันทางกายภาพของสมาชิกในปาร์ตี้นักบวชที่ใช้ทักษะนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยทักษะนี้น่าจะทำให้พลังป้องกันของพวกมาเรียนั้นมีมากพอที่จะป้องกันอาวุธจากการโจมตีของ Goblin ได้ในระดับหนึ่ง“พี่มาเรีย ถ้าเราต้องสู้กับพวกที่บินได้แบบนี้ อาวุธของเราน่าจะไม่รุนแรงมากพอที่จะเอาชนะได้นะคะ คุณแกรนอยู่ตรงโน้นกับคุณวินเซ็นท์ เราต้องการพลังทำลายของนักเวทย์นะคะ” ดอกเดซี่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่รีบร้อน มาเรียนั้นเข้าใจได้ถึงความหมายของเธอเป็นอย่างดีศัตรูตอนนี้ส่วนมากสามารถที่จะบินได้และสมาชิกในปาร์ตี้ของพวกเขานั้นก็เป็นสายที่ใช้อาวุธโจมตีระยะสั้น ดังนั้นถ้าหากจะต่อกรกับพวกมันให้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่านี้มาเรียจำเป็นที่จะต้องไปชุบชีวิตแกรนขึ้นมาเพราะว่านักเวทย์นั้นมีความสามารถในการโจมตีระยะไกลที่รุนแรง“เข้าใจแล้วล่ะค่ะ ทุกคนฝากด้วยนะคะ” มาเรียรีบตอบรับคำขอของเดซี่ทันที Yggdrasil Leaf ในกระเป๋าของเธอนั้นมีอยู่จำนวน 2 ใบ ใบหนึ่งถูกใช้กับจูเลียไปเรียบร้อยแล้ว อีกใบหนึ่งนั้นเธอได้มาจากพ่อค้าผู้มีเส้นผมสีแดง จากตลาดในเมือง Izlude ด้วยความบังเอิญแต่ดูเหมือนว่าเธอจำเป็นที่จะต้องใช้มันในการชุบชีวิตแกนกลางซะแล้ว มาเรียรีบวิ่งตรงผ่านสมรภูมิรบเข้าไปยังแนวหลังซึ่งอยู่ด้านหลังของบล็อกโคลี่และฟรองค์ เหล่า Goblin ดูเหมือนว่าจะรู้ถึงแผนการของเธอได้เป็นอย่างดี Goblin จำนวนมากที่ถืออาวุธระยะประชิดพุ่งเข้าไปสกัดขวางไม่ให้เธอเข้าไปถึงแนวหลังของอีกฟากได้อย่างรวดเร็ว“ถอย !! ไป !!! Magnum Break !!” ฟรองค์เมื่อเห็นว่าเหล่า Goblin กำลังจะรุมเข้าไปโจมตีมาเรีย เขาก็รีบกระโดดเข้าไปและใช้ทักษะ Magnum Break ขัดขวางพวกมันทันที Goblin ซึ่งกำลังดาหน้าเข้ามาแตกกระจายออกกระเด็นไปคนละทิศละทาง โอกาสนี้ทำให้มาเรียสามารถที่จะหลบเข้าไปในแนวหลังได้“อย่าให้มันได้ทันตั้งตัวระลอกที่ 2 ยิงได้ !!” Goblin Leader สั่งการให้ Rotar Zairo กับ Goblin Steamrider ยิงกระสุนระลอกที่ 2 ใส่พวกบล็อกโคลี่พวกมันทำตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่าในทันทีกระสุนไม้และลูกตุ้มเหล็กจำนวนมากพุ่งเข้าใส่พวกของบล็อกโคลี่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว“ Pneuma !!” บร็อคโคลี่ใช้ทักษะกำแพงลมขึ้นมาเพื่อป้องกันการโจมตีระยะไกล ให้กับสมาชิกในปาร์ตี้ที่ไม่มีโล่ป้องกันตัวส่วนแกมเบียร์และเทียร์ สามารถที่จะยกโล่กำบังขึ้นมาป้องกันตนเองจากการโจมตีนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น กระสุนทั้งหมดที่ถูกยิงออกมานั้นไม่สามารถที่จะสร้างความเสียหายใดๆให้กับพวกของบล็อกโคลี่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่นานนักหลังจากที่กำแพงลมสีเขียวอ่อนมลายหายไปเหล่า Goblin และมนุษย์ซึ่งยืนอยู่กันคนละฝั่งก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าประจันหน้ากันอย่างเทหมดหน้าตัก“หึ พวกเราแค่ต้องการคนของเราคืน แต่ดูเหมือนว่าพวกแกจะไม่ยอมปล่อยเราไปง่ายๆสินะ แล้วพวกแกจะต้องเสียใจที่คิดจะหาเรื่องพวกเราแบบนี้ !!” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและดุดันท่าทางของเขาในตอนนี้พร้อมที่จะเข้าประจัญบานกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าได้ทุกวินาที “อย่ามาทำเล่นลิ้นเจ้ามนุษย์ !! พวกแกต่างหากที่มาขัดขวางอาหารค่ำของพวกเรา และยังสังหารพรรคพวกของเราไปมากมาย ถ้าคิดจะรอดกลับออกจากป่านี้ไปแบบมีชีวิตแล้วก็ข้ามศพของข้าไปก่อน” Goblin Leader กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวและเต็มไปด้วยความเคืองแค้น ความแค้นของมันคงไม่สามารถจะสงบลงได้ จนกว่าศัตรูของมันจะหมดซึ่งลมหายใจ บร็อคโคลี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างตลกขบขันและเย้ยหยัน“ฮ่าๆๆๆๆ สมแล้วกับที่ได้ชื่อว่าเป็นปีศาจ เปลืองน้ำลายกับพวกแกไปก็เปล่าประโยชน์ กับเจ้าพวกอมนุษย์อย่างแกมันต้องคุยกันด้วยกำปั้นเท่านั้น !!” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูแข็งแกร่งและดุดันก่อนที่เขาจะทำอาวุธในมือเอาไว้แน่นและพุ่งตรงเข้าไปยังกองทัพของ Goblin ซึ่งกำลังเรียงรายกันอยู่ด้านหน้าการพุ่งทะยานออกไปของเขาเปรียบเสมือนกับสัญญาณเริ่มการต่อสู้ สมาชิกคนอื่นในปาร์ตี้ต่างพากันเริ่มโจมตีเข้าไปยังกองทัพของ Goblin เบื้องหน้าในจังหวะเดียวกับเขาทันที“ลุยยยยย !!!” Goblin Leader สั่งการให้ลูกน้องของมันทั้งหมดเข้าประจัญบานกับพวกบล็อกโคลี่อย่างเทหมดหน้าตัก มนุษย์ 9 คน ผนึกกำลังกันพุ่งตรงเข้าใส่ Goblin ซึ่งดาหน้าเรียงรายกันอยู่นับร้อยอย่างกล้าหาญ“ Increase Agility !!” บร็อคโคลี่และลัคก์ใช้ทักษะการเพิ่มความเร็วของนักบวชขึ้นในระหว่างที่กำลังพุ่งตรงไปทำให้ความเร็วของพวกเขาสองคนนั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว พวกเขาทั้งสองคนนั้นตวัดไม้กระบองเหล็กในมือถาโถมเข้าใส่ Goblin แบบเอาชีวิตเข้าแลก แม้พวกเขาจะถูกโจมตีกลับมาบ้างแต่ว่าทักษะ Angelus ของมาเรียที่ได้ใช้เอาไว้ก็ส่งผลทำให้บาดแผลที่เขาได้รับนั้นเล็กน้อยลงอย่างมาก Goblin ทำได้เพียงแค่ทำให้ผิวของพวกเขามีรอยถลอกเท่านั้นเอง“ Magnum Break !!” จีต้า เทียร์ ซีเนีย แกมเบียร์ และฟรองค์ ต่างพากันใช้ทักษะ Magnum Break เพื่อระเบิดพลังโจมตีเข้าใส่กองทัพ Goblin ซึ่งวิ่งตรงเข้ามา แรงระเบิดจากเวทมนตร์ไฟและลมร้อนจากคลื่นพลังงานความร้อนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการใช้ทักษะ Magnum Break ติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้สนามรบแห่งนี้เกลือนกราดไปด้วยร่างของ Goblin ที่ตายและบาดเจ็บสาหัส การโจมตีของนักดาบทั้ง 5 คนนี้มีประสิทธิภาพมากมันสามารถที่จะกำจัดกองทัพเดินเท้าของศัตรูและพลธนู Goblin Archer ได้จำนวนมากและรวดเร็ว“ Arrow Shower !!” เดซี่พยายามยิงธนูออกไปให้ได้มากที่สุด เธอเลือกที่จะโจมตีศัตรูซึ่งอยู่บนฟ้าเนื่องจากว่าเธอเป็นคนเดียวที่ระยะการโจมตีสามารถจะสร้างความเสียหายให้กับพวกมันได้ ทักษะ Arrow Shower ทำให้เกิดฝนธนูตกลงมาเป็นบริเวณกว้างและเข้าโจมตี Rotar Zairo กับ Goblin Steamrider ได้จำนวนหนึ่งแต่เนื่องจากปริมาณที่มากมายของพวกมันจึงทำให้เดซี่นั้นลดปริมาณของพวกมันลงได้ไม่ถึง 1 ใน 10วินเซนต์นั้นมีอาชีพเป็นพ่อค้าดังนั้นเขาจึงไม่ได้เด่นด้านการโจมตี แต่ด้วยความชำนาญในการใช้อาวุธที่ช่ำชองของเขาและความสามารถในการมองจังหวะของการต่อสู้ได้อย่างเฉียบขาด ทำให้เขานั้นสามารถที่จะคอยป้องกันการโจมตีที่จะเกิดขึ้นในทีเผลอของสมาชิกในปาร์ตี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาจะคอยระวังหลังซึ่งเป็นจุดบอดของทุกคน ไม่มีศัตรูตัวไหนที่จะเล็ดรอดสายตาของเขาไปได้ยิ่งต่อสู้นานเข้าฝ่ายมนุษย์นั้นยิ่งดูได้เปรียบในด้านประสิทธิภาพของกำลังรบ คนจำนวนเพียง 9 คนนั้นสามารถจะกำจัด Goblin ลงได้จำนวนนับร้อยตัวความสามารถในการรบแบบนี้สร้างความหวั่นเกรงให้กับ Goblin อย่างมากมายจนขวัญกำลังใจของพวกมันนั้นลดฮวบลงในทันที“หัวหน้าครับพวกมันแข็งแกร่งเกินไปถ้าเป็นแบบนี้แล้วก็พวกเราเอาชนะมันไม่ได้แน่ !!” Goblin ตัวหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปรายงานกับ Goblin Leader ซึ่งยืนคุมการต่อสู้อยู่ด้วยท่าทางที่ดูร้อนใจทันทีที่ได้ยินความกังวลของเหล่าลูกน้อง Goblin Leader ก็มีท่าทางเดือดดาลขึ้นมาทันทีมันสั่งให้ทหารของมันไปเอาหอกประจำกายสำรองมาให้กับมัน Goblin Leader ได้พุ่งทะยานเข้าสู่สนามรบเข้าไปตะลุมบอลกับพวกบล็อคโคลี่อีกครั้งหนึ่ง“ไอ้เจ้าพวกมนุษย์อวดดีมาเจอกันอีกสักตั้ง !!” Goblin Leader โผทะยานเข้าสู่สนามรบพร้อมกับหอกในมือ เป้าหมายแรกของมันคือศัตรูคู่รักคู่แค้นบล็อคโคลี่นั้นเองมันพุ่งตรงเข้าไปและแทงหอกในมือเข้าไปใส่เขานับไม่ถ้วน บร็อคโคลี่ซึ่งระแวดระวังตัวตลอดเวลาเห็นการเคลื่อนไหวของ Goblin Leader ได้อย่างชัดเจน แต่ความรวดเร็วของมันและการต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวายทำให้ บร็อคโคลี่นั้นไม่สามารถที่จะหลบการโจมตีที่รวดเร็วนั้นได้พ้นทุกครั้งฉึก ฉึก ฉึก คมหอกนั้นแทงเข้าตามร่างกายของบล็อกโคลี่ 3 แผลยังดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ แต่ว่าความคมนี้ก็สามารถจะเรียกเลือดของเขาได้ไม่น้อย Goblin Leader เมื่อเห็นการโจมตีเข้าเป้าก็รู้สึกฮึกเหิมและความกล้าหาญของมันก็ช่วยเพิ่มพูนกำลังใจให้กับกองทัพของมันได้เป็นอย่างดี บร็อคโคลี่รีบถอยออกมาตั้งหลักอย่างรวดเร็วก่อนที่จะทำไม้กระบองเหล็กในมือเอาไว้ด้วยท่าทางที่ดูจริงจังก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้…...ถ้าเกิดว่าแกไม่ดับดิ้นสิ้นใจตาย ข้าก็คงจะไม่ได้กลับเมืองไปแบบยังเป็นคนสินะ ดีล่ะ งั้นเรามาต่อกันเลยจนกว่าจะมีใครสักคนนึงขี้เกียจหายใจ !!” บร็อคโคลี่ขาวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูดุดันในสายตาของเขานั้นเปล่งประกายถึงไฟแห่งการต่อสู้ขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าศึกนี้จะไม่ใช่การดวลหนึ่งต่อหนึ่งอีกต่อไป เนื่องจากว่ามีสมาชิกในทีมของเขาอีกสองคนนั้นเดินเข้ามายืนอยู่เคียงข้างเขาเพื่อที่จะร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน“คนบล็อคโคลี่คนเดียวเอามันไม่ลงหรอกครับเดี๋ยวผมจะช่วยลากมันลงนรกไปให้เอง” ลักค์เดินเข้ามายืนอยู่เคียงข้างบร็อคโคลี่ภายในมือของเขานั้นถือไม้กระบองเหล็กเช่นเดียวกับบร็อคโคลี่เอาไว้แน่น และเขาก็ประกาศตัวที่จะร่วมต่อสู้กับ Goblin Leader ไปพร้อมๆกัน“มาเจอแบบนี้ทำให้ชวนนึกถึงตอนสู้กับเจ้ากบยักษ์เลยนะ คราวนี้ดูเหมือนจะตึงมือกว่า แต่รอบนี้นายไม่ต้องขอให้ชั้นช่วยหรอกนะ เพราะว่าฉันยินดีที่จะช่วยนายเอง” จีต้าเดินเข้ามายืนข้างบล็อกโคลี่เช่นเดียวกับลักค์ พวกเขาทั้งสามคนนั้นกำลังจะเข้าไปต่อสู้กับ Goblin Leader เหตุการณ์ในตอนนี้ทำให้จีต้า่หวนย้อนนึกไปถึงเมื่อตอนที่พวกเขาทั้งสามคนนั้นเพิ่งจะเริ่มผจญภัยและได้รู้จักกันครั้งแรก ในตอนนั้นพวกเขาร่วมกันลงมือกำจัดกบยักษ์ Toad ลงได้ และในตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนก็กำลังจะร่วมมือกันเพื่อกำจัด Goblin Leader“3 ต่อ 1 ก็ไม่มีปัญหาถ้าอยากตายก็รีบเข้ามาเลย !!” Goblin Leader ประกาศขึ้นอย่างดุดันและกล้าหาญ ในสนามรบนั้นไม่ใช่การประลอง การต้องรับมือกับศัตรูที่มากกว่าหนึ่งนั้นเป็นเรื่องปกติดูเหมือนว่า Goblin Leader ก็จะเข้าใจถึงสถานการณ์แบบนี้ดีนี่ “แล้วอย่าเสียใจทีหลังล่ะ !!” จีต้ากล่าวขึ้นพร้อมกับพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เธอสะบัดดาบในมือออกไปอย่างคล่องแคล่ว ความเร็วของเธอนั้นดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าครั้งก่อนที่พบกันในป่าเพื่อกำจัดกบยักษ์มากพอตัว เธอตวัดดาบในมือของเธอเข้าปะทะกับหอกของ Goblin Leader ด้วยความเร็วที่สูสีกัน“ Decrease Agility !!” ลักค์ใช้ทักษะลดความรวดเร็วของนักบวชสาปเข้าใส่ Goblin Leader อย่างชำนาญและรวดเร็วทันทีที่โดนคำสาปเข้าไป Goblin Leader ก็รู้สึกว่าร่างกายของตนนั้นหนักมากการเคลื่อนไหวนั้นช้าลงกว่าปกติเป็นเท่าตัว ความเร็วที่ลดลงนี้ช่วยให้จีต้ามีโอกาสในการโจมตีเข้าเป้ามากขึ้น“ Bash !!” จีต้าฟาดฟันลงไปอย่างรุนแรงที่บริเวณหัวไหล่ของ Goblin Leader คมดาบของเธอนั้นรวดเร็วและเมื่อผสมกับความรุนแรงของทักษะ Bash จึงทำให้การโจมตีครั้งนี้สามารถที่จะสร้างความเสียหายทะลุฟันเกาะของ Goblin Leader เข้าไปได้“อ๊าคคคค” Goblin Leader ร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดเมื่อคมดาบของจีต้าสามารถที่จะสร้างบาดแผลและเรียกเลือดจากตัวของมันได้ มันโซเซถอยหลังไป 2-3 ก้าวก่อนที่จะตั้งหลักได้และสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตน“เกราะเหล็กกล้าที่แข็งแกร่งภาคภูมิใจของเผ่าเราถึงกับถูกมันฟันจนขาดเชียวหรือ ร้ายกาจจริงๆ !!” เกราะของ Goblin Leader ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องป้องกันที่ดูไร้ศิลปะไปหน่อย แต่มันก็ถูกตีขึ้นมาอย่างประณีตจากช่างฝีมือชาว Goblin มันถูกออกแบบมาให้มีความหนาที่พอเหมาะ น้ำหนักที่พอเหมาะ และพลังป้องกันที่สูงล้นและเป็นที่พึ่งของ Goblin Leader ยามต้องตะลุมบอลได้ แต่ในตอนนี้เกราะแข็งที่พวก Goblin ภาคภูมิใจนั้นถูกจีต้าใช้ดาบสะบั้นจนเกิดความเสียหาย“เอาไปอีก !!” บล็อกโคลี่เมื่อเห็น Goblin Leader ได้รับบาดเจ็บเขาก็รีบพุ่งเข้าไปโจมตีซ้ำเขาตวัดไม้กระบองเหล็กในมือของเขาอย่างรวดเร็วหวดเข้าไปซ้ำเข้าที่บริเวณรอยแผลของ Goblin Leader ในขณะที่มันกำลังตกตะลึง การโจมตีของบล็อกโคลี่ครั้งนี้ได้ผลแรงกระแทกจากไม้กระบองเหล็กส่งตรงเข้าไปยังร่างกายของมันโดยตรง“อั๊ค !!” Goblin Leader ถูกกระแทกจากไม้กระบองเหล็กของบร็อคโคลี่บาดแผลของมันมีเลือดไหลออกมามากกว่าเดิมและท่าทางของมันนั้นดูเจ็บปวดแสนสาหัส Goblin ที่อยู่ในบริเวณนั้นเมื่อเห็นหัวหน้าของมันกำลังเสียท่าพวกมันจึงพุ่งเข้ามาโจมตีพวกของบล็อกโคลีทันที“คิดจะช่วยหัวหน้าของพวกแกหรออย่าได้หวังไปเลย !!” ซีเนีย ซึ่งกำลังยืนคุมเชิงอยู่บริเวณนั้นพุ่งเข้าไปโจมตี Goblin ซึ่งกำลังจะเข้ามาช่วยเหลือหัวหน้าของพวกมัน เธอตวัดดาบในมืออย่างรวดเร็วฟันเข้าใส่ Goblin ไปหลายสิบตัวพวกมันบางตัวบาดเจ็บสาหัสและบางตัวก็ล้มตาย“ยิงงงง เราเข้าใกล้เจ้ามนุษย์พวกนี้ไม่ได้ ต้องยิงมันเท่านั้น !!” Goblin ต้นหนึ่งตะโกนขึ้นเพื่อให้ Goblin Archer ซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นยิงสนับสนุน Goblin Leader ถึงแม้ว่าพวก Goblin จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนมากแต่การสั่งการในสนามรบนั้นไม่ได้มีสายบัญชาการแบบมนุษย์ ทุกตนจะฟังคำสั่งของหัวหน้าเท่านั้นดังนั้นในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้พวกมันจึงดูเสียเปรียบ Goblin Archer ที่ได้ยินคำร้องขอการยิงสนับสนุนไม่สามารถจะโจมตีได้ทันทีจึงเป็นโอกาสให้เดซี่เปิดฉากโจมตีก่อน“ Double Strafing Double Strafing Double Strafing !!” เดซี่เธอโจมตีด้วยทักษะ Double Strafing หลายครั้งอย่างรวดเร็ว ลูกธนูจำนวนหลายสิบดอกพุ่งเข้าไปใส่ Goblin Archer โดยที่พวกมันยังไม่ทันจะได้ยินส่วนจนต้องล้มตายไปหลายสิบตัว แต่การที่เธอจ้องโจมตีไปยัง Goblin Archer ก็เป็นโอกาสเปิดช่องว่างให้ Rotar Zairo ยิงโจมตีใส่เธอสวนเข้ามา เคร้ง !! เสียงของกระสุนไม้กระทบเข้ากับโล่เหล็กของเทียร์ อย่าเพิ่งเข้ามาปัดป้องกันโจมตีให้กับเดซี่ได้อย่างทันท่วงที โล่ Shield ที่อยู่ภายในมือของเธอนั้นมีน้ำหนักและความกว้างมากพอที่จะสามารถป้องกันกระสุนชนิดซึ่ง Goblin ยิงออกมาได้ ในการต่อสู้นี้เทียร์จึงต้องคอยรับหน้าที่ป้องกันการโจมตีระยะไกลให้กับคนที่ไม่มีโล่กำบัง“ไม่เป็นไรใช่ไหม ?” เทียร์กล่าวถามเดซี่ด้วยท่าทางที่ดูห่วงใยแต่รีบเร่ง เดซี่นั้นไม่ตอบอะไรได้แต่พยักหน้ากับไปแทนคําตอบซึ่งมันก็ทำให้เรายิ้มออกมาก่อนที่จะพูดกลับเข้าไปยังสมรภูมิเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วขณะนี้บล็อคโคลี่และกลุ่มของเขากำลังรุมกันต่อสู้กับ Goblin Leader เทียร์ ฟรองค์ วินเซนต์ และเดซี่ กำลังต่อสู้กับเหล่าบรรดา Goblin ที่กระจายตัวกันอยู่ในสนามรบอย่างดุเดือดแม้ว่าสถานการณ์ของการต่อสู้ในตอนนี้จะดูสูสีและยากที่จะคาดเดาฝ่ายที่จะชนะแต่ในความเป็นจริงแล้วฝ่ายมนุษย์นั้นกำลังเริ่มที่จะอ่อนแรงจากความเหนื่อยล้าและในอีกไม่นานพวกเขาก็จะต้องเข้าตาจน Goblin Leader ซึ่งชำนาญการต่อสู้มาหลายสึกแล้วรู้ได้ถึงข้อดีของเผ่าพันธุ์ตนเองดีจำนวนที่มากมายนั้นสามารถทดแทนฝีมือของทหารได้ในการต่อสู้ขนาดใหญ่ - กลางอากาศเหนือสมรภูมิรบ -
Sigrun และแกรน กำลังลอยตัวอยู่เหนือสมรภูมิรบเขาและเธอกำลังเฝ้ามองไปยังเหล่าบรรดาเพื่อนพ้องซึ่งต่อสู้กันอย่างดุเดือดเบื้องล่าง Sigrun พาแกรนออกมาจากห้องแห่งเกียรติยศเนื่องจากเคยคิดว่าการได้มองสนามรบด้วยตาของตัวเองจริงๆนั้นจะได้อรรถรสมากกว่าการมองผ่านกระจกเวทย์มนต์“ดูเหมือนว่าพรรคพวกของคุณกำลังจะเสียเปรียบในอีกไม่ช้านี้นะคะ” Sigrun กล่าวขึ้นกับแกรนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบ แต่ว่าสีหน้าของแกรนนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวล เขารู้ดีว่าเธอไม่ได้พูดล้อเล่นพรรคพวกของเขานั้นกำลังจะต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ที่ยาวนานกับศัตรูที่มากมายและไม่ช้าพวกเขาก็จะต้องพ่ายแพ้และอาจจะต้องจบชีวิตลงที่นี่“รู้ไหมคะว่าทุกคนกำลังฝากความหวังเอาไว้กับคุณนะ” Sigrun กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสนุกสนานก่อนที่เธอจะหันมายิ้มกับแกรนด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใสร่าเริง คำพูดของเธอนั้นทำให้แกรนรู้สึกแปลกใจเขามีสีหน้าที่สงสัยและถามเธอขึ้นมาว่า“ทำไมคุณ Sigrun ถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ ?” เมื่อได้ยินแกรนกล่าวถามเช่นนั้น Sigrun ก็หัวเราะออกมาเบาๆในลำคอก่อนที่เธอจะตอบเขากลับไปด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังแต่ก็มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากว่า“ตอนนี้นักบวชที่ชื่อว่ามาเรียกำลังชุบชีวิตคุณอยู่ และคุณก็เป็นจอมเวทย์เพียงคนเดียวภายในปาร์ตี้ พลังทำลายล้างจากเวทมนตร์เป็นสิ่งที่จำเป็นในตอนนี้ พวกเขาต้องการจะจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุด ดังนั้นถ้าหากว่ามาเรียชุบชีวิตคุณได้สำเร็จสิ่งแรกที่คุณจะต้องทำก็คือใช้เวทมนตร์ที่รุนแรงที่สุดของคุณกวาดล้างศัตรูไม่ใช่เหรอคะทุกคนหวังในตัวคุณอยู่นะ” Sigrun อธิบายขึ้นอย่างใจเย็นด้วยท่าทางที่ดูสุภาพแต่ร่าเริงคำตอบของเธอนั้นทำให้แกรนเข้าใจได้ทันทีว่า เขานั้นกำลังจะต้องไปทำหน้าที่ที่สำคัญขนาดไหน“ดูเหมือนว่าพิธีกรรมชุบชีวิตของคุณกำลังจะเสร็จลุล่วงแล้วนะคะ พวกเราน่าจะต้องจากกันตรงนี้ ฉันหวังว่าคุณจะไม่ต้องมาพบกับฉันอีกสักระยะนะ แต่ถ้าคุณยังมีจิตวิญญาณของนักรบผู้กล้าแบบนี้อยู่ ถ้าหากถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อไหร่ฉันจะมารับคุณแน่นอนค่ะ” Sigrun กล่าวร่ำลากับแกรนด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยนและเป็นมิตร ถึงแม้ว่าเธอจะเพิ่งพบกับเขาได้ไม่นานแต่แกรนรู้สึกว่า เธอนั้นเป็นคนที่ดีและเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นมากเหลือเกิน“ขอบคุณมากครับคุณ Sigrun ผมเองก็ไม่คิดว่าผมจะได้รับคัดเลือกให้เป็นนักรบผู้กล้าแห่งวัลฮาร่า ผมจะพยายามรักษาจิตวิญญาณของนักรบเอาไว้ตราบจนวาระสุดท้ายครับ แล้วเราค่อยมาพบกันใหม่ตอนนั้นนะ” แกรนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง เขารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องลืมตาตื่นขึ้นจากโลกแห่งความตาย Sigrun ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและไม่กล่าวคำพูดใดๆออกมาอีกเลย“ Resurrection !!” แสงสีเขียวเรืองรองจาก Yggdrasil Leaf สว่างไสวขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นรอบล่างของแกรน พิธีกรรมคืนชีพบรรลุผลแล้วร่างของแกรนซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของมาเรียค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่เขาจะค่อยๆพยุงกายลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางที่ดูมุ่งมั่น แกรนไม่มีอาการสับสนเลยแม้แต่น้อย “ขอบคุณมากนะครับคุณมาเรีย ผมรับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในขณะที่ผมอยู่ที่โลกแห่งความตายแล้ว ผมจะเป็นคนหยุดการต่อสู้นี้และนำชัยชนะมาให้กับพวกเราเอง” แกรนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่จริงจังและมั่นใจก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปสู่แนวหลังของสมรภูมิอย่างมั่นใจ เดซี่เมื่อได้เห็นแกรนเดินเข้ามาในแนวหลังท่าทางดีอกดีใจของเธอก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที“คุณแกรนฟื้นกลับมาแล้ว !! พี่มาเรียทำได้สำเร็จแล้วสินะดีจังเลย” ดอกเดซี่พูดออกมาด้วยท่าทางที่ดีใจมาก แกรนยิ้มเล็กๆให้เธอก่อนที่เขาจะจับจ้องไปยังสมรภูมิเบื้องหน้าที่กำลังปั่นป่วน จากนั้นเขาก็เริ่มร่ายคาถาทันทีพลังเวทมนตร์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศรอบๆเข้ามารวมตัวกันที่บริเวณร่างกายของเขาจนเกิดแสงสว่างสีเหลืองเจิดจ้า “แย่แล้วเจ้าจอมเวทย์นั่นกำลังจะใช้เวทย์ใหญ่พวกเราต้องรีบไปหยุดมัน !!” Goblin Leader กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูแตกตื่นเมื่อเห็นแสงสว่างสีเหลืองเจิดจ้าเกิดขึ้นที่แนวหลังฝ่ายมนุษย์ แต่ว่าความพยายามในการขัดขวางเวทมนตร์ของมันดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว “มารู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้วเจ้าปีศาจ Thunder Storm !!” สายฟ้าจำนวนมากฟาดลงมาจากท้องนภาพุ่งเข้าใส่ Goblin ซึ่งกระจัดกระจายกันอยู่ในสนามรบเบื้องหน้าอย่างรุนแรงและรวดเร็วสายฟ้าเหล่านั้นผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้เหล่า Goblin ต่างพากันหนีตายกันอย่างอลหม่านสถานการณ์เริ่มอยู่ในความสับสนและไม่สามารถจะควบคุมได้ “อย่าไปกลัวพวกมันมีนักเวทย์แค่คนเดียวรีบเข้าไปฆ่ามันสิ !!” Goblin Leader รีบตะโกนสั่งการเหล่าลูกสมุนของมันแต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้ Goblin ทั้งหลายต่างพากันหนีตายจนไม่มีใครที่จะฟังคำสั่งของหัวหน้ามันเลยแม้แต่ตัวเดียว“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นข้าจัดการเองก็ได้ !!” Goblin Leader กล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนที่จะพุ่งไปด้านหน้าเพื่อหวังที่จะเข้าไปสังหารแกรนก่อนที่เขาจะใช้เวทย์มนต์โจมตีไปมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของมันนั้นจะเป็นไปได้ยาก ลักค์ตรงเข้าไปขวางทางของมันทันที“อ้าวๆ กำลังเล่นกับพวกเราอยู่ดีๆคิดจะทิ้งกันง่ายๆแบบนี้เลยหรอ Holy Light !!” ลักค์ใช้เวทย์มนต์โจมตีของนักบวชที่มีชื่อว่า Holy Light ทักษะนี้จะรวบรวมพลังเวทมนตร์เอาไว้ที่ฝ่ามือก่อนที่จะยิงออกไปในลักษณะแสงสีขาวอมฟ้ามันเป็นการโจมตีที่เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์มันใช้ได้ผลดีกับพวกผีดิบและปีศาจ Goblin เองก็ได้ผลเช่นเดียวกัน Goblin Leader โดนลำแสงสีขาวยิงใส่เข้าไปอย่างจังมันรู้สึกปวดแสบปวดร้อนและทรมานราวกับกำลังถูกเผาด้วยเปลวเพลิง ร่างกายของมันบางส่วนที่โดนลำแสงก็มีรอยไหม้ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดและมีควันไอความร้อนระเหยขึ้นมาเป็นควันสีขาวจำนวนหนึ่ง “อ๊าคคคค !!” Goblin Leader ร้องเสียงหลงมันไม่สามารถจะเข้าไปโจมตีแกรนได้ง่ายๆ ในขณะที่แกรนกำลังใช้เวทมนตร์หลากหลายชนิดของเขาเข้าโจมตีใส่ Goblin ซึ่งกำลังอยู่ในความสับสนสถานการณ์การต่อสู้นั้นเริ่มที่จะพลิกฝ่ายมนุษย์เริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว - ด้านข้างของสนามรบ -
ภายในป่าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่พวกบล็อกโคลี่ต่อสู้กับ Goblin มีเด็กชายคนหนึ่งกำลังจ้องมองการต่อสู้ของพวกเขาอย่างไม่ละสายตา เด็กชายคนนี้มองการต่อสู้ของพวกเขามาตั้งแต่ต้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนอกสนใจ “ไม่นึกเลยนะว่าพวกมนุษย์ที่มาจากต่างโลกจะทำได้ดีถึงขนาดนี้ มิน่าล่ะทำไมเจ้าพวกนั้นถึงได้คาดหวังในตัวคนพวกนี้นัก…..น่าสนใจจริงๆ” ดวงตาสีเหลืองอำพันของเด็กชายกำลังจดจ้องไปยังการต่อสู้อันดุเดือดเบื้องหน้า รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยเลศนัยปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเด็กชายราวกับว่าเขากำลังเห็นของเล่นที่ถูกใจและต้องการจะได้มาครอบครอง แต่แล้วการรับชมการต่อสู้ของเด็กชายคนนี้ก็ต้องถูกขัดจังหวะ เขาเงยหน้าขึ้นไปยังท้องฟ้าและมองผู้มาเยือนของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง“ว่ายังไง Sigrun ไม่ได้พบกันซะนานเลยนะ เธอเองก็สนใจในตัวพวกมนุษย์ที่มาจากต่างโลกนี้ด้วยเหรอ ? ถ้าหากว่าข้าจำไม่ผิดวิญญาณของผู้คนที่มาจากโลกอื่นจะไม่สามารถไปสู่สรวงสวรรค์ที่เรียกว่าวัลฮาล่าได้นี่นา หน้าที่ของเจ้าคือเพ้นหานักรบแล้วทำไมเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้ ? เจ้าคงจะกำลังหลอกลวงพวกเขาอยู่ล่ะสินะ เทพธิดาผู้เลอโฉม….” เด็กหนุ่มกล่าวทักทายหญิงสาว valkyrie ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาและคำพูดเสียดแทง สายตาของเขาจับจ้องไปยัง Sigrun ราวกับสัตว์ร้ายที่จ้องจะตะครุบเหยื่อ“Morroc….จริงอยู่ว่าวิญญาณของมนุษย์ผู้มาจากต่างมิติจะไม่สามารถเป็นวีรชนผู้กล้าได้ ถึงต่อให้เขาจะกล้าหาญและเสียสละมากขนาดไหนก็ตาม ทั้งนรกและสวรรค์ของโลกใบนี้ไม่ยินดีที่จะต้อนรับวิญญาณของพวกเขา เจ้าเห็นว่าเป็นแบบนั้นสินะถึงได้ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากตรงจุดนี้” Sigrun กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดุดันและจริงจัง ท่าทางที่อ่อนโยนเป็นมิตรของเธอที่แสดงกับแกรนก่อนหน้านี้ราวกับว่าเป็นเรื่องโกหก แววตาของเธอตอนนี้ดูดุดันเหมือนกับนักรบที่เตรียมตัวจะเข้าสู่สมรภูมิได้ทุกเมื่อ“Sigrun ไม่ต้องทำหน้าน่ากลัวขนาดนั้นก็ได้ วันนี้ข้าไม่ได้ต้องการจะมาสู้รบปรบมือกับใคร ข้าแค่มาเฝ้าดูถึงสิ่งที่พวกเจ้าพามา ถ้าไม่คิดที่จะทำอะไรมากกว่านั้นหรอก” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรอบด้านก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาจางๆบนใบหน้า Sigrun เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มกล่าวเช่นนั้นเธอก็มีสีหน้าที่ดูหงุดหงิดจนคิ้วขมวดอย่างเห็นได้ชัดเจน“Morroc ถ้าเจ้าคิดจะทำอะไรล่ะก็ ข้าจะเป็นคนหยุดยั้งเจ้าเอง !!” Sigrun กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่ฟังดูโกรธเกรี้ยว และจริงจัง ภายในน้ำเสียงนั้นยังแฝงไปด้วยท่าทางข่มขู่เล็กน้อย แต่ว่าท่าทางของเธอนั้นไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงแรงกดดันเลยแม้แต่น้อยเด็กหนุ่มนั้นยิ้มขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะตอบกลับไปว่า“คิดว่าเจ้าจะทำได้เหรอ ? Sigrun Valkyrie แค่คนเดียวหยุดข้าไม่ได้หรอกนะ ไม่สิแม้แต่จะทำให้ข้าได้บาดแผลแม้สักนิดเดียวยังไม่ได้เลยเจ้าคิดว่าตัวเจ้าจะหยุดข้าได้เหรอ ?” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นออกมาพร้อมกับรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมารอบตัวเขาอย่างรุนแรง Sigrun ไม่กล่าวสิ่งใดต่อไปอีกและทั้งคู่ก็จับจ้องไปยังการต่อสู้ของพวกบล็อกโคลี่ซึ่งอยู่เบื้องหน้าอย่าเงียบเชียบ - กลางสมรภูมิรบภายในหมู่บ้าน Goblin - “ย๊าาาาากกกก !!” บร็อคโคลี่และจีต้าพุ่งเข้าไปโจมตี Goblin Leader อีกครั้งซึ่งในตอนนี้มันกำลังบาดเจ็บและได้รับผลจากสกิลลดความเร็วของนักบวชซึ่งลักค์เป็นคนสาปใส่มันเอาไว้ Goblin Leader จึงรับมือกับทั้งสองคนได้อย่างยากลำบากมากกว่าเดิมหลายเท่า ไม่นานนัก Goblin Leader ก็เริ่มได้บาดแผลตามตัวมากมายจากคมดาบของจีต้า และรอยฟกช้ำจากการถูกไม้กระบองเหล็กกระแทกหลายจุด“โอ้ยยย ไอ้เจ้าพวกมนุษย์บังอาจนัก !!” Goblin Leader โอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่มันกำลังถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องถึง ถ้าหากมันจะสามารถป้องกันการโจมตีของบล็อกโคลี่หรือว่าจีต้าคนใดคนหนึ่งได้ แต่ทันใดนั้นอีกคนหนึ่งที่เหลือก็จะสามารถสร้างบาดแผลให้กับมันได้ในการโจมตีครั้งต่อไป และถ้าหากว่ามันพยายามที่จะโจมตีกลับมาและการโจมตีนั้นทั้งสองคนไม่สามารถที่จะปัดป้องได้ ลักค์ซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ก็จะเข้าไปปัดป้องกันโจมตีนั้นแทน การต่อสู้แบบสามรุมหนึ่งนี้สร้างความยากลำบากให้กับ Goblin Leader ชนิดที่เอาตัวไม่รอดGoblin ตัวอื่นๆซึ่งยืนอยู่ด้านนอกบริเวณก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปช่วยเหลือหัวหน้าของพวกมันได้เนื่องจาก ฟรองค์ เดซี่และแกมเบียร์ คอยทำการโจมตีสกัดกั้นและลดจำนวนของ Goblin ลงไปเรื่อยๆ มาเรียและแกรน ที่กลับเข้ามาต่อสู้ก็สามารถที่จะสร้างความเสียหายมหาศาลได้จากเวทมนตร์ของแกรนซึ่งยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง และมาเรียยังคอยใช้เวทมนตร์สนับสนุนรักษาอาการบาดเจ็บและป้องกันการโจมตีระยะไกลตลอดเวลา สถานการณ์การรบฝ่ายมนุษย์เริ่มที่จะกลับมาได้เปรียบอย่างเต็มที่“ตายซะเถอะเจ้าปีศาจ Bash !!” จีต้าพุ่งเข้าไปโจมตีไส่ Goblin Leader อีกครั้งอย่างรุนแรงด้วยทักษะ Bash การโจมตีของเธอในครั้งนี้ทำให้เกราะป้องกันตัวของมันหมดสภาพ เกราะเหล็กที่แข็งแกร่งซึ่งห่อหุ้มตัวมันพังยับเยินจากการถูกของแข็งกระแทกและถูกฟันนับครั้งไม่ถ้วน Goblin Leader อยู่ในสภาพที่มีบาดแผลเต็มตัวและไร้ซึ่งการป้องกันจังหวะนี้บล็อกโคลี่รีบพุ่งเข้าไปโจมตีต่อเนื่องทันที“โอ้วววร่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โซ้ยย่า !!” บร็อคโคลี่ฟาดไม้กระบองเหล็กเข้าใส่ Goblin Leader อย่างรุนแรงนับครั้งไม่ถ้วน เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นมาจนได้ยินอย่างชัดเจน และในการโจมตีครั้งสุดท้ายบร็อกโคลีเหวี่ยงไม้กระบองเหล็กของเขาอย่างเต็มวงสวิง เพื่อที่จะฟาดเข้าไปยังบริเวณศีรษะของ Goblin Leader ไม้กระบองเหล็กของเขาเข้าเป้าอย่างจัง ร่างของ Goblin Leader กระเด็นล่องลอยไปในอากาศก่อนที่จะตกลงสู่พื้นเกิดฝุ่นตลบอบอวล Goblin Leader ตกลงสู่พื้นลงไปนอนหงายด้วยท่าทางที่ดูเจ็บปวดทรมาน จากนั้นมันพยายามที่จะลุกขึ้นอยากยากลำบาก แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถลุกขึ้นได้เพราะว่าไม้กระบองเหล็กของบล็อกโคลี่ที่โจมตีเข้าที่หัวของมันนั้นทำให้ความสามารถในการทรงตัวของมันนั้นสูญเสียไป มันพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นและใช้หอกของมันเป็นไม้ค้ำยันอย่างยากลำบาก“จะ….เจ้า…...มนุษย์ ข้าจะฉีกพวกแกเป็นชิ้นๆ… !!” Goblin Leader เมื่อลุกขึ้นมายืนได้มันก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคืองแค้นและโกรธเกรี้ยวทันทีแต่ว่าในทันใดนั้นฉึก !! เสียงของคมดาบแทงทะลุผ่านลำตัว Goblin Leader มาจากด้านหลัง เมื่อมันมองดูที่หน้าอกของตัวเองก็เห็นว่ามีดาบเล่มนึงโผล่ขึ้นมาจากหน้าอกของมัน Goblin Leader ตกใจจนตัวสั่นทันที“จะมาฉีกพวกเราเป็นชิ้นๆงั้นหรอ ? แกคงจะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกเพราะว่า...แกน่ะตายไปแล้ว !!” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาได้ราบเรียบ คำกล่าวของเขานั้นทำให้ Goblin Leader ถึงกับหน้าซึดทันทีแต่ก่อนที่มันจะพูดอะไรออกมาร่างของมันก็ล้มลงกับพื้นไปอีกครั้งในสภาพที่จมกองเลือด มันจบชีวิตลงโดยที่ยังไม่ทันได้รู้เลยว่าใครที่เป็นคนปลิดชีวิตของมันไป“ยังเฉียบคมเหมือนเดิมเลยนะครับ คุณจีต้า” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นมาในขณะที่ร่างของ Goblin Leader กำลังค่อยๆล้มลงสู่พื้นเผยให้เห็นร่างของนักดาบสาวผู้ที่เป็นคนปลิตชีวิตของมันเธอคนนั้นก็คือจีต้านั่นเอง จีต้าค่อยๆดึงดาบออกมาจากร่างของ Goblin Leader ก่อนที่เธอจะสลัดดาบเพื่อที่จะให้เลือดสีแดงของ Goblin Leader ซึ่งติดอยู่ที่คมดาบหลุดออกไป“หัวหน้า !! ท่านหัวหน้าของเราตายแล้ว !! เป็นไปได้ยังไงแล้วจากนี้ไปพวกเราจะทำยังไงดี ?!?” Goblin ตนหนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูแตกตื่นหลังจากที่สูญเสียผู้นำไป Goblin ทั้งหลายต่างพากันตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย บางตัวก็รีบวิ่งหนีออกจากสนามรบไปในทันที ส่วนบางตัวนั้นก็ไปจับกลุ่มร่วมกันเพื่อหวังที่จะต่อสู้เอาชีวิตรอดด้วยท่าทางที่ดูลนลาน“พอสูญเสียหัวหน้าไปพวกมันก็ทำอะไรไม่ถูกเลยแหะ...” ฟรองค์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูประหลาดใจ Goblin ซึ่งเคยทำงานเป็นทีมและร่วมต่อสู้กันเป็นกองทัพ ทันทีที่หัวหน้าของพวกมันเสียชีวิตลงพวกมันก็แทบจะกลายเป็นเด็กน้อยที่ทำอะไรไม่ถูกไปในทันทีดูแล้วน่าแปลกใจยิ่งนัก“ไอ้เจ้าพวกปีศาจมดปลวก !! พวกแกทั้งหลายจงฟังให้ดี !! พวกเราจะไม่ฆ่าพวกแกถ้าหากพวกพวกแกหนีไป แต่ถ้าตัวไหนคิดจะสู้เตรียมตัวกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ที่นี่ได้เลย !! เราจะนับ 1 ถึง 3 รีบไสหัวไปซะเดี๋ยวนี้ !!!!” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดุดันและจริงจัง ท่าทางของเขานั้นดูน่าเกรงขามและน่าหวั่นเกรงอย่างยิ่งในสายตาของ Goblin ยามนี้“ถ้าเราหนีมันจะไม่ฆ่าพวกเรา !! วิ่งดิเอ๋ !! วิ่ง !!” Goblin ตนหนึ่งกล่าวขึ้นมาในขณะที่มันวิ่งหนีออกไปจากสนามรบอย่างสุดชีวิต ทันทีที่เห็นเพื่อนของมันเริ่มวิ่งหนี Goblin ตัวอื่นๆก็เริ่มที่จะออกวิ่งหนีไปเช่นกันไม่กี่อึดใจต่อมาสมรภูมิรบซึ่งเคยดุเดือดก็เป็นดังลานกว้างที่ว่างเปล่ามีศพของ Goblin และผู้นำของพวกมันจำนวนหนึ่งนอนทอดร่างมาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น“บทจะมาก็มากันเยอะ บทจะไปก็ไปกันง่ายๆแบบนี้เลยแหะ” ลักค์กล่าวขึ้นทันทีที่เห็นสนามรบซึ่งมีซากศพกองกันอยู่เต็มไปหมดไร้ซึ่ง Goblin สักตัวโผล่มาให้เห็น พวกบล็อคโคลี่ทันทีที่เห็นศัตรูของพวกเขาหนีกันแตกกระเจิงไปหมดก็รู้สึกโล่งใจได้ในระดับหนึ่ง พวกเขาทุกคนจึงเดินมารวมตัวกันที่บริเวณชายป่าด้านข้างของสนามรบเมื่อครู่เพื่อที่จะพูดคุยกัน“ขอบคุณมากนะคะคุณมาเรียที่กลับมาช่วยพวกเรา อย่างที่คุณว่าจริงๆพวกเขาเป็นกองกำลังเสริมแข็งแกร่งมากๆเลยค่ะ” แกมเบียร์กล่าวขึ้นขอบคุณมาเรียด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ที่มาเรียพากำลังเสริมกลับมาช่วยเหลือพวกเธอได้ทันท่วงที ถ้าหากว่าไม่ได้มาเรียกลับมาช่วยบางทีทั้งเธอและจูเลียจังอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปก็ได้ในวันนี้ มาเรียเมื่อได้ยินคำพูดของแกมเบียร์เธอก็ยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตรและอ่อนโยน “ตอนที่คุณมาเรียกลับไปที่ Eden Group แล้วบอกว่าต้องการกำลังเสริมด่วนเพื่อนของเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายพวกเราก็รีบมาที่นี่ทันทีเลยล่ะครับแต่ไม่นึกเลยนะว่าสถานการณ์จะร้ายแรงขนาดนี้” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร ท่าทางดุดันน่ากลัวในสนามรบของเขามลายหายไปสิ้นราวกับว่าเป็นเรื่องโกหกถ้าทางของเขาตอนนี้ดูสุภาพและเป็นกันเองมาก แต่เพราะลักษณะภายนอกจึงทำให้แกมเบียร์นั้นดูจะเกรงๆเขาอยู่ในที“คนที่ต้องขอบคุณน่ะคือพวกผมต่างหาก ถ้าหากว่าพวกคุณแกรนกับจูเลียไม่มาช่วยพวกผมป่านนี้ ผมคงจะกลายเป็นมื้อเย็นของ Goblin ไปแล้ว” วินเซนต์เดินเข้ามาหาพวกบล็อกโคลี่ก่อนที่จะกล่าวขอบคุณขึ้นมาอย่างสุภาพท่าทางของเขานั้นทำให้บล็อกโคลี่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะกล่าวว่า“ไม่ต้องขอบคุณหรอกยังไงคืนนี้เจอกันที่บาร์เลี้ยงเหล้าพวกเราด้วยก็แล้วกันเป็นค่าตอบแทนไง !!” วินเซนต์เมื่อได้ยินบล็อคโคลี่เช้าเช่นนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตรก่อนที่จะพยักหน้าตกลง ท่าทางของทั้งสองคนนั้นทำให้คนอื่นๆที่เหลือภายในกลุ่มอดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีไม่ได้“ถ้าอย่างนั้นชั้นคงต้องขอเข้าร่วมด้วยแล้วล่ะ ไม่เมาไม่เลิกนะ” ฟรองค์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกระเช้าเย้าแหย่“ฉันยังอายุไม่ถึง 20 คงจะดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นงานปาร์ตี้แล้วพี่วินเซนต์เป็นเจ้ามือล่ะก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะคะ” เดซี่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูอารมณ์ดีเธอนั้นค่อนข้างที่จะชอบงานปาร์ตี้หลังการผจญภัยมากทีเดียว แล้ววันนี้ก็เหมือนว่าจะมีปาร์ตี้ใหญ่ซะด้วย“เดี๋ยวก่อนสิเดซี่จัง เธอก็ถูกเขาช่วยไว้เหมือนผมไม่ใช่เหรอ ถ้าผมเลี้ยงคนเดียวมันไม่แฟร์นะ !!” วินเซนต์ กล่าวโอดครวญขึ้นมาเล็กน้อยด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยเคร่งเครียดอะไร“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราได้เงินจากภารกิจเยอะอยู่คราวนี้พอจะเลี้ยงได้ทุกคนนั่นแหละ ถ้ายังไงเพื่อเป็นการตอบแทนวันนี้ขอให้พวกเราเป็นเจ้ามือสักมื้อนะคะ” แกมเบียร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสุภาพและเป็นมิตร ถึงแม้ว่าพวกบล็อกโคลี่จะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ และเธอนั้นค่อนข้างจะเป็นคนที่ขี้อายแต่การได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่เสี่ยงตายด้วยกันแม้เพียงศึกเดียว ก็ทำให้จากคนแปลกหน้ากลายเป็นสหายศึกได้อย่างง่ายดาย“เห...งานนี้ท่าทางสาวๆจะเยอะนะเนี่ยถ้าอย่างนั้นผมขอร่วมด้วยแล้วกัน” ลักค์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง แต่เขานั้นก็เป็นคนที่ชอบความสนุกสนานรื่นเริงดังนั้นงานปาร์ตี้คืนนี้เขาคงจะพลาดไม่ได้“รวมกินดื่มด้วยกันก็ยินดีค่ะ แต่ถ้ามาทำลามกใส่สาวๆล่ะก็ฉันไม่ยอมแน่นอนนะคะ” จีต้ากล่าวขึ้นดักคอลักค์ด้วยท่าทางที่ดูจริงจังเล็กน้อย แต่ในใจเธอนั้นก็รู้ดีว่านักบวชหนุ่มผู้นี้เพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น“แหม...ถ้ามีบอดี้การ์ดคอยคุ้มครองแบบนี้ล่ะก็ ฉันขอเข้าร่วมด้วยก็แล้วกันนะคะ” ซีเนียกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่สนุกสนานและร่าเริง เธอและเทียร์ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างสนใจในตัวของจีต้ามากพอสมควรเพราะว่าสไตล์การต่อสู้ด้วยการใช้ความเร็วเป็นหลักของพวกเธอนั้นเหมือนกัน ดังนั้นภายในงานปาร์ตี้นี้นอกจากการได้กินดื่มกันอย่างสนุกสนานแล้ว บางทีพวกเธอน่าจะได้เทคนิคพิเศษอะไรจากการแนะนำของจีต้าด้วย“ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบกลับกันเถอะ ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ” มาเรียกล่าวขอบคุณทุกคนที่มาช่วยเหลือเธอในสถานการณ์ครั้งนี้ ก่อนที่เธอจะเปิดประตูมิติพาทุกคนกลับไปสู่ Prontera - ด้านข้างของสนามรบ - “ดูเหมือนว่าจะจบแล้วสินะการต่อสู้ครั้งนี้ ทำได้ไม่เลวเลยนี่นะพวกมนุษย์ที่มาจากต่างโลกนั่น….” เด็กหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำซึ่งดูการต่อสู้อยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูพอใจดวงตาสีเหลืองอำพันของเขาประกายฉายแววได้ถึงความตื่นเต้นและความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที“Morroc …. แกคิดจะทำอะไรกับพวกเขา ??” Sigrun กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและดุดัน แต่ท่าทางของเธอนั้นไม่สามารถทำให้เด็กหนุ่มมีอาการร้อนรนใจกลับไปเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มผู้มีผมสีดำชำเลืองตามองวาลคิรีสาวด้วยหางตาก่อนที่จะกล่าวว่า“Sigrun ข้าจะกำลังคิดอะไรอยู่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องบอกเจ้า วันนี้การแสดงจบลงแล้วผู้ชมอย่างเราเมื่อม่านปิดลงก็ต้องลุกจากที่นั่งเป็นเรื่องธรรมดา วันนี้ข้าต้องขอลาไปก่อนแล้วเราคงจะได้พบกันอีกในไม่ช้านี้ Sigrun” เด็กหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงความรู้สึกเย้ยหยันเอาไว้ในท่าที ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำจะถูกเปลวไฟสีดำแกมม่วงล้อมรอบชั่วพริบตาหนึ่ง ก่อนที่เปลวไฟนั้นจะมลายหายไปพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มคนนั้น“ในสงครามศึกตัดสิน (Ragnarok) พวกแกไม่มีวันชนะหรอกเจ้าปีศาจ ไม่มีวัน” Sigrun กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดและกราดเกรี้ยว ก่อนที่เธอจะสยายปีกคล้ายหงส์สีขาวซึ่งอยู่กลางหลังของเธอเพื่อที่จะโบยบินหายลับไปในท้องฟ้า - Prontera - หลังจากที่มาเรียพาทุกคนกลับมาสู่เมือง แกมเบียร์ได้พาจูเลียมาพักที่โรงแรมไม่นานนักเธอก็ฟื้นสติขึ้นมาจากอาการสลบ แกมเบียร์เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้กับจูเลียได้ฟังโดยละเอียด “เข้าใจล่ะ…..นี่ฉันตายไปแล้วครั้งนึงสินะ ขอบคุณมากเลยนะที่พวกเธอช่วยฉันเอาไว้” จูเลียกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูสุภาพ ภายในหัวของเธอตอนนี้ยังเต็มไปด้วยความมึนงง เธอสามารถจำเรื่องภายในนครแห่งความตายได้อย่างชัดเจน แต่เธอตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่กระทั่งแกมเบียร์ เธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เธอจำเป็นจะต้องค้นหา อีกทั้งในหัวของเธอก็เหมือนกับมีเรื่องราวบางอย่างกำลังค่อยๆไหลเข้ามาอย่างช้าๆ แต่เธอไม่สามารถจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้ากันได้ในตอนนี้“จริงสิ !! ฉันเอาภาระกิจที่พวกเรารับมาไปขึ้นรางวัลมาแล้วนะ เป็นอะไรที่น่าตกใจมากเลยล่ะ Goblin Leader ที่พวกเราช่วยกันรวมตัวกันจัดไปน่ะมีค่าหัวอยู่ที่ 250,000 Zeny เลยละนะ เห็นว่าเงินบางส่วนจะเอามาแบ่งกัน แล้วบางส่วนก็จะเอาไว้จัดเลี้ยงในงานวันนี้ด้วยจูเลียจังก็มางานปาร์ตี้ด้วยกันสิ” แก้มเบียกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูร่าเริงถึงงานปาร์ตี้ที่จะเกิดขึ้นภายในค่ำวันนี้ เงินรางวัลที่ได้จากการกำจัด Goblin Leader นั่นมีจำนวนมากพอที่จะแบ่งให้กับทุกคนในปาร์ตี้ที่มาเรียเรียกไปช่วยเหลือได้เท่าๆกัน และยังเหลือบางส่วนเอาไว้สำหรับการกินเลี้ยงได้อย่างสบายๆ“หืม….เจ้าหัวหน้านั้นค่าหัวสูงขนาดนั้นเชียวหรือ ? มิน่ามันถึงได้เก่งขนาดนั้น จะว่าพวกเราโชคดีหรือโชคร้ายดีละเนี่ย ?” จูเลียกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ ท่าทางของเธอนั้นก็ทำให้แกมเบียร์นั้นยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร เธอดูยินดีมากที่จูเลียนั้นปลอดภัยและท่าทางของจูเลียนั้นก็ดูเป็นมิตรมากขึ้นกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรกมาก“ดีล่ะ !! ถ้าอย่างนั้นวันนี้คงต้องไปหาอะไรกินในงานเลี้ยงสักหน่อย เอาล่ะแกมเบียร์พวกเราไปกันเถอะ” จูเลียลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉง สภาพร่างกายตอนนี้ของเธอหายดีเป็นปกติแล้วเพราะเวทมนตร์รักษาของมาเรีย แกมเบียร์เมื่อได้เห็นจูเลียจังเช่นนั้นเธอก็พยักหน้าขึ้นมาด้วยความยินดีก่อนที่หญิงสาวทั้งสองคนจะเดินออกจากโรงแรมเพื่อตรงไปยังบ่าที่เป็นสถานที่จัดเลี้ยงที่พวกเขานัดหมายกันไว้ - บาร์ Black Cat - Black Cat เป็นบาร์แห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดกลางๆตั้งอยู่ภายในซอยไม่ไกลจากใจกลางเมือง Prontera ตัวร้านนั้นทำมาจากไม้เนื้อแข็งสีเข้มดูอบอุ่น ภายในร้านนั้นเต็มไปด้วยโต๊ะมากมายซึ่งในตอนนี้มีนักผจญภัยมาใช้บริการกันอย่างคับคั่ง และหนึ่งในนั้นก็คือพวกบล็อคโคลี่ซึ่งมาสั่งอาหารและเครื่องดื่มรออยู่ก่อนแล้ว บาร์แห่งนี้เป็นร้านประจำที่พวกบร็อคโคลี่นั้นชอบมานั่งดื่มกัน เนื่องจากมีราคาถูกและการบริการที่เป็นมิตร“โย่ว !! วันนี้ไปทำภารกิจร่ำรวยอะไรมา ไหงถึงสั่งอาหารมากมายขนาดนี้ ?” เจ้าของร้าน Black Cat ซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ 20 กลางๆ ผู้ไว้ผมสีดำกล่าวขึ้นทักทายบล็อคโคลี่ด้วยท่าทางที่เป็นกันเอง“Master พูดแล้วจะตกใจไปล่ะ !! วันนี้พวกผมไปตบ Goblin Leader มาได้เลยนะครับ !! วันนี้ไม่เมาไม่เลิกแน่” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่เป็นกันเองดูเหมือนว่าเขาและเจ้าของร้าน Black Cat นั้นจะค่อนข้างสนิทกันมากทีเดียว“โอ่ววว นี่ถึงกับไปปราบบอสใหญ่ของพวก Goblin มาเลยเชียวหรือ เดี๋ยวนี้ชักจะเก่งกล้าขึ้นแล้วนะพวกนายนี่ เอาล่ะ !! งั้นวันนี้จะบริการเต็มที่เลยอยากสั่งอะไรว่ามาเดี๋ยวจะจัดให้ !!” เจ้าของร้าน Black Cat กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูยินดี บร็อคโคลี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็กล่าวตอบกลับไปทันทีว่า “ทุกอย่างบนเมนูตั้งแต่อันแรกจนถึงอันสุดท้ายยกมาให้หมดเลยครับ !!” บร็อคโคลี่กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนานและรื่นเริง จากนั้นเจ้าของร้านก็เดินกลับเข้าไปหลังร้านเพื่อที่จะเตรียมทำอาหารสำหรับงานเลี้ยงครั้งใหญ่“ไง พวกเรามาแล้ว !!” ฟรองค์ วินเซนต์ แกรน และลักค์ เดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นพวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่เพิ่งจะมาถึงทันทีที่เข้ามาในร้านพวกเขาทั้งสองคนนั่งลงที่โต๊ะซึ่งในตอนนี้มีอาหารบางอย่างยกขึ้นมาแล้ว“พวกนายมาก่อนเวลานะเนี่ย เรื่องกินเหล้าล่ะไวจริงๆนะ” มาเรีย จีต้า และเดซี่ เดินเข้ามาในร้านเป็นกลุ่มที่ 2 จีต้านั้นกล่าวแซวเหล่าชายหนุ่มที่เข้ามาในร้านทั้ง 5 คนก่อนเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เดินไปนั่งที่โต๊ะในตอนนี้อาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางส่วนถูกจัดวางไว้บนโต๊ะแล้ว “พวกเรามาแล้วค่ะ ขอโทษทีเรานะคะ” ซีเนีย และ เทียร์ เดินตามเข้ามาในร้านเป็นกลุ่มที่ 3 ในตอนนี้อาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดพร้อมอยู่บนโต๊ะแล้วแต่ทุกคนนั้นก็ยังไม่เริ่มลงมือที่จะเปิดงานปาร์ตี้เนื่องจากว่ายังมีแกมเบียร์และจูเลียที่ยังไม่มา“สองสาวที่เหลือยังไม่มาเหรอเนี่ย ช้าจังเลยนะใกล้จะได้เวลานัดแล้วแท้ๆ” ฟรองค์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกระวนกระวายดูเหมือนว่าเขานั้นจะอยากเริ่มงานปาร์ตี้เต็มแก่แล้ว “ลองรอดูอีกสักหน่อยค่ะ พี่แกมเบียร์บอกแล้วว่าจะมานี่คะ” เดซี่เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกระวนกระวายใจแต่แล้วท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไปเมื่อได้เห็น แกมเบียร์และจูเลียก้าวเท้าเดินเข้ามาในร้าน Black Cat“พวกเรามาแล้วค่า !!” แกมเบียร์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสดใสร่าเริง มาเรียโบกมือให้กับเธอเพื่อที่แสดงสัญลักษณ์ว่าพวกเขานั้นรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะตรงนี้ แกมเบียร์จูงมือจูเลียเดินเข้าไปในร้าน Black Cat ด้วยท่าทางที่ดูยินดี แต่ดูเหมือนว่าจูเลียนั้นจะมีท่าทางกล้าๆกลัวๆอยู่เล็กน้อยเมื่อได้เห็นงานเลี้ยงเช่นนี้ “นานแล้วนะที่ฉันไม่ได้มากินเลี้ยงที่บาร์กับปาร์ตี้ชวนให้คิดถึงจังเลยนะ…..” จูเลียย้อนนึกกลับไปในช่วงที่เหล่าเพื่อนๆของเธอซึ่งเป็นปาร์ตี้เดิมของเธอนั้นยังมีชีวิตอยู่ พวกเขานั้นมักจะพาเธอมากินเลี้ยงที่บาร์ภายในเมืองบ่อยๆหลังจากที่ทำภารกิจเสร็จสิ้น และหลังจากที่พวกเขาจากไปเธอนั้นก็ไม่ได้มากินเลี้ยงที่บาร์เลยแม้แต่ครั้งเดียว การมากินเลี้ยงในครั้งนี้ฉันทำให้เธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อย“จูเลีย เราหวังว่าเธอจะได้พบเพื่อนใหม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะคอยดูแลเธออยู่ เธอแม้ว่าเธอจะไม่เห็นพวกเราก็ตาม” เสียงประโยคคำกล่าวของเพื่อนๆซึ่งมาช่วยเหลือเธอที่เมืองแห่งความตายดังขึ้นมาภายในห้วงคนึงของจูเลีย หยดน้ำตาใสๆเม็ดเล็กๆก็ปรากฏขึ้นที่หางตาของเธอแต่ใบหน้าของเธอในตอนนี้นั้นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม“นั่นสินะพวกเธอยังอยู่เคียงข้างฉันตลอด และในตอนนี้ก็ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่พร้อมจะเดินไปกับฉัน ฉันไม่ได้อยู่อย่างเดียวดาย แล้วนี่นา” จูเลียกล่าวขึ้นมาเบาๆ คำพูดของเธอนั้นทำให้แกมเบียร์หันหน้าไปมองเธอแว่บหนึ่ง แต่แกมเบียร์นั้นไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดออกมาได้อย่างถนัดนัก“จูเลียจังเมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ ?” แกมเบียร์หันกลับไปถามจูเลียด้วยท่าทางที่ดูสงสัย แต่ว่าจูเลียนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับเธอมา ก่อนที่จูเลียจะก้าวเท้าเดินนำหน้าเธอไปหนึ่งก้าวเพื่อตรงไปยังโต๊ะที่กำลังจัดงานเลี้ยงอยู่ และหันหน้ากลับมาหาแกมเบียร์ใบหน้าของจูเลียในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใสเป็นมิตรและดูสวยงามเหลือเกิน จากนั้นจูเลียก็กล่าวขึ้นมาว่า “ไปกันเถอะปาร์ตี้จะเริ่มแล้วนะ !!.......”
|
|