|
Post by handsomeguyformzulus on Jul 16, 2018 10:06:06 GMT
-------------------------------------
Kinetic Novel
-------------------------------------------------------------
Fiction
2024
ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ประเทศอังกฤษ
วันนี้เป็นวันที่อากาศดีหลังจากที่ฝนตกติดต่อกันมาหลายวัน แสงแดดอ่อนๆและท้องฟ้าที่แจ่มใสไร้ซึ่งเมฆฝน สายลมเบาๆที่พัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบายไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ทำให้ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่วิเศษสำหรับคนที่อยากออกไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้าน ซึ่งต่างจากปรกติที่ฝนในประเทศอังกฤษนี้มักจะตกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในขณะที่ทุกคนต่างมีภารกิจที่ต้องไปทำในวันที่อากาศดีๆแบบนี้ เด็กหนุ่มวัยแรกรุ่น2คนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ในร้านอาหารฟาสฟู๊ดแห่งหนึ่ง
“แน่ใจนะว่าจะไปที่ เอ็มเอจริงๆ” เด็กหนุ่มถามเพื่อนของเขาที่นั่งตรงกันข้าม
“แน่สิ นี่มันความฝันของชั้นนี่นา” เด็กหนุ่มอีกคนตอบคำถามเพื่อนของเขา
“แต่ว่านายรู้ใช่มั้ย ว่าที่นั่นน่ะ อัตราการเรียนจบน้อยมากๆ”
“ไม่กลัวว่าจะเสียเวลาไปเปล่าๆหรอ?” เด็กหนุ่มเป็นห่วงเพื่อนของเขา
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า นายก็รู้ความฝันของชั้นน่ะคือการได้ขึ้นแสดงที่ แกลสตันบิวรี่”
“ถ้าชั้นผ่านเอ็มเอไปไม่ได้ ชั้นก็คงขึ้นแสดงที่ แกลสตันบิวรี่ไม่ได้”
ดวงตาของเด็กหนุ่มเปล่งประกาย และเต็มไปด้วยความสุขเมื่อเขาได้พูดถึง เทศกาลดนตรีที่โด่งดังไปทั่วโลก “แกลสตันบิวรี่” เทศกาลดนตรีที่จะจัดขึ้นทุกปี แต่ก็จะมีบางปีที่มีการ ”เว้นวรรค” ซึ่งสำหรับวงดนตรีที่มีถิ่นฐานมาบ้านเกิดอยู่ใน ”สหราชอาณาจักร” การได้ขึ้นแสดงที่ “แกลสตันบิวรี่” ถือเป็นความฝันและหลักชัยสำคัญที่บ่งบอกว่า วงของพวกเขา”เจ๋ง” เพราะนี่คือเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอีกเทศกาลนึงเลยก็ว่าได้ “โอเอซิส” “โคลเพลย์” “เรดิโอ เฮด” วงดนตรีชื่อดังก้องโลกเหล่านี้ ล้วนผ่านเวที”แกลสตันบิวรี่”กันมาทั้งนั้น ซึ่งหลังจากที่มีวงดนตรีมากมายเกิดขึ้นมาในประเทศแห่งนี้ ทำให้จำเป็นต้องสร้างมาตฐานใหม่ให้กับวงการเพลง และเพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงถือกำเนิดขึ้นมา “สถานบันดนตรี” โดยมันจะเป็นหลักสูตรที่เข้มข้นและจะมีเพียงผู้ที่”เก่งจริง”เท่านั้นที่จะสามารถผ่านมันมาได้ โดยที่สถาบันอันดับ1นั่นก็คือ
“เอ็มเอ” หรือ “เมโทรนอม อาคาเดมี่” สถานบันดนตรีชั้นนำ ที่ใครก็ตามที่สามารถเรียนจบได้ จะได้รับการยอมรับจากวงการเพลงทั่วโลก ทำให้ผู้ที่เรียนจบจาก “เอ็มเอ” มีน้อยมากๆ และศิษย์ของเอ็มเอที่เรียนจบไป ล้วนแต่เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงและกระจัดกระจายกันไปอยู่ทั่วทุกมุมโลก มาตฐานของศิลปินที่ เอ็มเอได้สร้าง กลายเป็นมาตฐานที่สูงลิ่วในวงการเพลง ทำให้พวกศิลปินอินดี้ที่ทำได้ไม่ดีพอเทียบเท่ากับศิลปินที่จบจากเอ็มเอ แทบจะไม่มีโอกาสแจ้งเกิดขึ้นมาได้เลย ทำให้ทางเลือกที่สามารถการันตีความสำเร็จได้มากที่สุดสำหรับ ผู้ที่อยากจะประสบความสำเร็จ นั่นก็คือ การเข้าเรียนที่ “เมโทรนอม อาคาเดมี่” หรือ “เอ็มเอ”
-------------------------------------
2024
ห้องซ้อมดนตรีแห่งหนึ่ง
เสียงแตกๆของกีต้าร์ดังสนั่นไปทั่วห้องซ้อมนี้ คนที่ดีดมันเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนึง ผมของเขามีสีม่วงแดง ผมของเขายาวมาจนถึงบริเวณคางของตัวเอง ในห้องซ้อมแห่งนี้จะมีทั้งกลอง เบส กีต้าร์ คีย์บอร์ด รวมถึงไมค์ของนักร้องนำเตรียมพร้อมไว้ให้ แต่ดูเหมือนจะมีเพียง เด็กหนุ่มผมสีม่วงแดงคนนี้เท่านั้นที่เล่นกีต้าร์สีฟ้าของเขาอยู่อย่างเมามันเพียงลำพัง ในส่วนบริเวณพื้นของห้องนั้นมีอุปกรณ์เสริมอย่าง “เอฟเฟค” ที่มีส่วนที่ให้ใช้เท้าเหยียบเพื่อเปิดหรือปิดเอฟเฟคต่างๆ ซึ่งสาเหตุที่เสียงกีต้าร์ของเด็กหนุ่มคนนี้ มีเสียงแตกนั้นก็เป็นเพราะเอฟเฟคที่ชื่อ”ดิสทรอชั่น” นั่นเอง
“นี่ โนเอล เรื่องเรียนนี่เอายังไงล่ะ?”
เสียงของชายอีกคนเปิดประตูเข้ามาที่ห้องซ้อมนี่ก่อนจะถามคำถามไปที่ เด็กหนุ่มผมสีม่วงแดงนามว่า “โนเอล” ภายในมือของชายแปลกหน้าคนนี้คีบบุหรี่เอาไว้ ผมของเขามีสีแดงแต่ใบหน้าของเขาก็ดูมีอายุกว่าเด็กหนุ่ม “โนเอล”
“บอกแล้วใช่มั้ยว่า ถ้าจะเข้ามาก็เคาะประตูก่อน”
“แล้วก็อย่าสูบบุหรี่ในนี้นะ” โนเอล พูดกับชายแปลกหน้า
“อย่าพูดกับพี่ชายแบบนั้นสิ พี่ชายน่ะมีเรื่องให้คิดตั้งเยอะแยะ”
“แถมยังต้องคอยตอบคำถามคุณพ่อกับคุณแม่อีกด้วย เรื่องที่คุณน้องไม่ยอมไปสมัครเรียนซักที” ชายแปลกหน้าโต้ตอบ
“อย่ากวนโอ้ยน่า ไมเคิล” หนุ่มนามว่าโนเอล รู้สึกหงุดหงิด
“นี่โนเอล ชั้นไม่มีปัญหาหรอกนะ ถ้านายจะทำตัวเกเรสำมะเลเทเมา แต่นายต้องรู้จักรับผิดชอบซะบ้าง”
“นายจะหลบหลังชั้นไปตลอดไม่ได้นะ”
“ไมเคิล” หนุ่มผมแดงพูดพร้อมพ่นควันบุหรี่ออกมา สิ่งที่เขาพูดทำให้ “โนเอล” รู้สึกหงุดหงิดและเดินออกจากห้องซ้อมดนตรีที่เขาพึ่งใช้ไป โนเอล ออกมาตรงทางเดิน ซึ่งนอกจากห้องที่เขาพึ่งใช้เสร็จไป ก็ยังมีอีกหลายห้อง และก็มีนักดนตรีมาใช้บริการอยู่มากมายเลยทีเดียว โนเอลกับไมเคิลเดินออกมาจนพ้นบริเวณของห้องซ้อม และเดินมาถึงในส่วนของข้างหน้าร้าน ทางด้านนี้นั้นจะมีลักษณะเหมือนกับล็อบบี้เล็กๆ มีเค้าเตอร์ที่เอาไว้สำหรับติดต่อขอเช่าห้องซ้อมตั้งอยู่1ตัว และในส่วนของพื้นที่นั่งรอ ก็จะมีนักดนตรีประมาณ3-4คนที่นั่งรอห้องว่างอยู่ และเมื่อมองออกไปสู่ประตูกระจก ก็จะพบว่ามีป้ายรวมถึงสติ๊กเกอร์แปะอยู่ที่ประตู และมันเขียนว่า “ห้องซ้อมดนตรี วิลสัน”
“โอ้ นั่นมันวิลสัน คนน้องนี่” นักดนตรีที่นั่งรอห้องซ้อมว่างพูดขึ้นเมื่อเห็นโนเอล
“ห้องว่างแล้วเชิญครับ” โนเอลพูดกับเขาอย่างสุภาพแตกต่างจากที่ทำกับไมเคิล
"ขอบใจมากๆ นายนี่ดูนิสัยดีกว่าพี่ชายเยอะเลยนะ" ลูกค้านิรนามพูดขึ้นก่อนที่จะเดินไปที่ห้องซ้อม
“หมอนั่นเป็นพี่ชายนายรึไง ทำไมถึงไม่พูดสุภาพแบบนั้นกับชั้นบ้าง” ไมเคิลผู้เป็นพี่ชายรู้สึกอิจฉา
“ก็เขาไม่ได้กวนโอ้ยแบบนายนี่” โนเอลตอบโต้พี่ชายของเขา
“งั้นหรอ? ถ้างั้นน้องชายผู้สุภาพของพี่ ช่วยโทรไปคุยกับพ่อแม่ของเราที่สิ”
“สัปดาห์นี้ชั้นโดนด่าไปตั้ง4ครั้งว่า ดูแลนายได้ไม่ดี ทั้งๆที่ชั้นคะยั้นคะยอให้นายไปเรียนต่อ ม.ปลายที่เอ็มเอทุกๆ5นาที”
“แล้วชั้นก็ต้องโทรไปอธิบายเหตุผลของนายและโดนด่ากลับมาอีก5ครั้ง”
“ไปเรียนที่เอ็มเอเถอะ โนเอล”
เด็กหนุ่มโนเอลรู้สึกเซ็งที่ถูกกดดันให้เรียนต่อที่เอ็มเอ พ่อของพวกเขาเป็นนักธุรกิจในวงการบันเทิงชื่อดัง เขาต้องไปทำงานที่ต่างประเทศบ่อยๆ โดยที่แม่ของพวกเขาก็ต้องตามไปดูแลพ่อของพวกเขาด้วย ทำให้หน้าที่”ผู้ปกครอง” ของ “โนเอล” ตกเป็นของ “ไมเคิล”ผู้เป็นพี่ชายในทันที โดยไมเคิลได้ขอเงินส่วนหนึ่งจากพ่อของเขา รวมกับเงินเก็บที่เขาหาได้นิดๆหน่อยๆ มาเปิดกิจการห้องซ้อมดนตรี และดูเหมือนมันจะไปได้สวยทีเดียว ในขณะที่น้องชายของเขา “โนเอล” หลังจากที่เล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าเรียนม.ปลายแล้ว ซึ่งที่ๆเหมาะสมที่สุดสำหรับนักดนตรีวัยม.ปลาย แบบเขาก็คือ สถานบันดนตรีอันดับ1 “เอ็มเอ”
“นายก็รู้เหตุผลแล้วนี่” โนเอลตอบพี่ชายของเขา
“ที่เอ็มเอน่ะ”
“เพลงในแบบของชั้นน่ะ ไม่มีวันเรียนจบได้หรอก”
“เหมือนกับนาย......”
“...................” ไมเคิลเงียบหลังจากที่โนเอลพูด
“เพื่อสร้างศิลปินที่ครอบคลุมตลาดวงการเพลงให้ได้มากที่สุด พวกเขาเลือกเพลงป๊อบที่เข้าถึงได้ง่าย พวกเขาเลือกเพลงฮิปฮอปที่กำลังเป็นกระแสนิยม พวกเขาเลือก เพลงอิเล็กโทรนิค ที่สนุกสนานในไนต์คลับ พวกเขาไม่หันมามองแนวเพลงทางเลือก แบบพวกเราด้วยซ้ำ” โนเอลพูดต่อ
“นายก็น่าจะรู้ดีนี่ ไมเคิล” โนเอลพูดกับพี่ชายของเขา
“ฟังนะโนเอล... เรื่องนั้นน่ะชั้นจะบอกนายอีกครั้ง”
“ที่ชั้นเรียนไม่จบเพราะแนวเพลงที่ชั้นทำ”
“ชั้นเรียนไม่จบเพราะชั้นมันงี่เง่าเองต่างหาก” ไมเคิลบอกเหตุผลของเขา
“งั้นหรอ? แต่แล้วไงล่ะ? สุดท้ายพวกเขาก็ไม่มีใครยอมรับนายอยู่ดี เหมือนกับที่เพื่อนๆไม่ยอมรับชั้น”
“นายก็รู้ชั้นมีเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกันมาหลายคน และในตอนแรกๆพวกนั้นก็ตื่นเต้นกับแนวเพลงที่ชั้นทำ”
“แต่พอถึงช่วงนึง พวกนั้นก็เจอความจริงที่ว่าถ้าไม่ใช่เพลงป๊อบก็จะไม่มีวันเป็นที่นิยมได้ พวกนั้นก็เปลี่ยนไปทำเพลงป๊อบเหมือนคนอื่นๆ”
“สุดท้ายก็เหลือแต่ชั้นคนเดียวเหมือนเดิม เหมือนกับที่นายเหลือแค่ตัวเองเหมือนกัน” โนเอลพูดความในใจของเขาออกมา
สองพี่น้องต่างคนต่างเงียบหลังจากที่ โนเอลได้บอกถึงเหตุผลของเขากับไมเคิล โดยที่ไมเคิลผู้เป็นพี่ชายนั้นเคยเป็นนักเรียนที่เอ็มเอมาก่อน เขามีสไตล์การทำเพลงที่แตกต่าง ในขณะที่ทุกคนพยายามทำเพลงให้ล้ำนำสมัยด้วยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ แต่ไมเคิลกลับย้อนไปที่จุดเริ่มต้นอย่างการเล่นดนตรีด้วยฝีมือจริงๆไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ดนตรีไมเคิลมีกลิ่นอายความของคลาสสิก ในสมัยที่วงอัลเทอเนทีฟร็อคกำลังเฟื่องฟูในอังกฤษ และการแสดงของไมเคิลยอดเยี่ยมมากในสายตาของโนเอล และนั่นเป็นอิทธิพลทางดนตรีที่ โนเอล ได้รับมาเต็มๆ นั่นเป็นเหตุผลที่โนเอล หลงใหลแบบเพลงแบบ “อัลเทอร์เนทีฟ”
แต่ทว่าสุดท้ายแล้ว ไมเคิล ก็เรียนไม่สามารถเรียนจบจากสถานบันเอ็มเอได้ แม้ว่าเอ็มเอจะให้เหตุผลชัดเจนว่าเป็นปัญหาจากเรื่อง “พฤติกรรม” แต่สาเหตุนั้นมันเริ่มมาจากการประลองดนตรี ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการเรียนการสอนของเอ็มเอ ที่จะให้นักเรียนมาประชันฝีมือทางดนตรีกันโดยมีผู้ชมเป็นผู้ตัดสิน ในการประลองครั้งสุดท้ายของไมเคิลก่อนที่เขาจะถูกไล่ออก เขาก็ได้พ่ายแพ้ให้กับ ศิลปินแนว อาร์แอนด์บี คนนึง โนเอลที่ไปดูพี่ชายในวันนั้นคิดว่ายังไงก็ต้องเป็นไมเคิลที่เป็นฝ่ายชนะ และไมเคิลก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
ไมเคิลเริ่มหัวเสียและไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เขาเริ่มอาละวาดและด่ากราดไปที่คนดูด้วยความผิดหวังอย่างถึงที่สุด ภาพที่ไมเคิลคุกเข่าและปล่อยน้ำตาแห่งความผิดหวังออกมาหลังจากที่พ่ายแพ้ยังติดตาของโนเอลมาจนถึงทุกวันนี้ และเพราะการอาละวาดในการแข่งครั้งนั้นทำให้ไมเคิลโดนไล่ออกแทบจะทันทีในวันถัดมา และนั่นทำให้โนเอลมีอคติกับเอ็มเอ อย่างถึงที่สุด
“ฟังนะโนเอล” ไมเคิลพูดกับน้องชายของเขา
“นายจะต้องเรียนให้จบเพื่ออนาคตของนาย”
“ชั้นไม่อยากให้นายมาเปิดห้องซ้อมก๊อกๆแก๊กๆแบบนี้แบบชั้น”
“ชั้นไม่รู้ว่านายจำได้รึเปล่า”
“แกลสตันบิวรี่….”
เมื่อไมเคิลพูดถึงแกลสตันบิวรี่ สายตาของโนเอลก็เปลี่ยนไป จากสายที่แข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด กลายเป็นสายที่มีความลังเล อย่างถึงขีดสุด
“ชั้นสัญญากับนายไว้ตอนนายเด็กๆว่าชั้นจะขึ้นแสดงที่นั่น”
“แต่ชั้นทำไม่ได้...”
“แต่นาย... โนเอล”
“นายยังทำมันได้ มันคือความฝันของพวกเรา”
“...นำเพลงในแบบของเราไปแสดงที่แกลสตันบิวรี่…..”
เมื่อได้ยินดังนั้น โนเอลก็นิ่งเงียบ เขามองเข้าไปในดวงตาของพี่ชาย ทั้งสองคนเล่นดนตรีมาด้วยกันตั้งแต่โนเอลจำความได้ แม้ว่าไมเคิลจะเป็นคนกวนโอ๊ยและไม่น่านับถือเอาซะเลย แต่สำหรับโนเอล พี่ชายของเขาคือต้นแบบและไอดอลที่ทำให้เขาอยากเป็นนักดนตรี และเพราะว่ามีเสียงดนตรีเป็นสายใยที่เชื่อมโยงทั้งคู่เข้าหากัน ทำให้ความฝันของพวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียว นั่นก็คือ “ขึ้นแสดงที่แกลสตันบิวรรี่”
“เหอะ..”
“พูดจาว่านล้อมเก่งชะมัด” โนเอลพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“ก็ได้”
“ชั้นจะไปที่เอ็มเอก็ได้ แต่มีข้อแม้” โนเอลพูดพร้อมมองไปที่ไมเคิล
“ถ้าชั้นเรียนจบที่เอ็มเอได้ล่ะก็...”
“นายกับชั้น….”
“จะต้องไปขึ้นเวทีที่แกลสตันบิวรี่ด้วยกัน”
-----------------------------------
We're not a pop band
วงนี้มันไม่ป๊อบเอาซะเลย
------------------------------------------------------
เกร็ดความรู้
อัลเทอเนทีฟร็อค หมายถึง เพลงร็อคประเภทใดก็ได้ที่เป็นแนวเพลงทางเลือก จะเรียกว่าอินดี้ร็อคก็ได้ จะเป็นแนวกรันจ์ แนวโพสพังค์
หรือบริทป๊อบก็ได้ ขอแค่ไม่ใช่แนวเพลงที่เป็นกระแสหลักก็พอ ซึ่งแนวเพลงแบบอัลเทอเนทีฟได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงยุค90s
วงแนวอัลเทอเนทีฟชื่อดังในยุคนั้นก็ได้แก่ เนอวาน่า,โอเอซิส,เรดิโอเฮด,เบลอ และอีกมากมาย
และแม้ว่าไมเคิลและโนเอลจะเกิดไม่ทันยุครุ่งเรืองของอัลเทอเนทีฟ แต่ทั้งสองก็ชอบเพลงแนวนี้จนเข้ากระดูกเลยทีเดียว
|
|
|
Post by handsomeguyformzulus on Jul 25, 2018 18:00:18 GMT
--------------------------------------------------------------------------
2024 วันที่ 1
สถาบันเอ็มเอ
หลังจากที่โนเอลหนุ่มผมสีม่วงแดงคนนี้ ได้พูดคุยกับไมเคิลพี่ชายของเขาไปแล้วนั้น เขาก็ไปสมัครเรียนและสอบที่สถานบันเอ็มเอตามที่กล่าวไว้จริงๆ โดยในการสอบนั้นมีทั้งข้อเขียน ปฏิบัติและสัมภาษณ์ ซึ่งคะแนนของพ่อหนุ่มโนเอลนี่ก็เกือบจะไม่ได้เข้าเรียนที่นี่ เนื่องจากคะแนนสัมภาษณ์กับคะแนนข้อเขียนออกมาค่อนข้างแย่ แต่ได้คะแนนปฏิบัติดี ทำให้เจ้าตัวสามารถสอบเข้าสถานบันดนตรีอันดับต้นๆของโลกอย่างเอ็มเอ ได้อย่างทุลักทุเล
ซึ่งในระบบของเอ็มเอนั้น ทันทีที่นักเรียนสอบเข้าได้ ก็สามารถมาเรียนปรับพื้นฐานรวมถึงอยู่หอก่อนได้เลย แต่ว่าโนเอลที่มาสมัครสอบในโค้งสุดท้ายจนแทบจะปิดรับสมัครไปแล้ว ทำให้ไม่มีโอกาสได้เรียนปรับพื้นฐานเหมือนคนอื่นๆ และนั่นทำให้ เจ้าตัวกำลัง “หลง” ในสถานบันแห่งนี้ เนื่องจากความยิ่งใหญ่ของมันที่นอกจากจะใหญ่แล้วยังมีอาคารหลายอาคารเต็มไปหมด จนโนเอลแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่า อันไหน“อาคารเรียน” อันไหน “หอพัก”
“ให้ตายสิ นี่โรงเรียนหรือกระทรวงศึกษาธิการกันแน่” หนุ่มผมสีม่วงแดงบ่นในขณะที่ถือแผนผังโรงเรียนอยู่ในมือ
“จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะเนี่ย”
“ใช่สิ ไมเคิลบอกว่าให้ไปที่หอพักก่อนนี่”
“ว่าแต่อยู่ไหนกันนะ”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด”
“เห้ย!!”
เสียงกรี๊ดของกลุ่มคนกลุ่มนึงดังขึ้นโดยที่โนเอลไม่ทันระวังตัว และด้วยเสียงกรี๊ดที่ดังลั่นนั่นทำให้โนเอลถึงกับตกใจยิ่งกว่าเจอผีซะอีก เขาพยายามรวบรวมสติและค่อยๆหันคอของเขาไปมองที่ต้นตอของเสียงนั่น แล้วก็พบว่า กลุ่มคนที่ส่งเสียงกรี๊ดที่ว่า กำลังวิ่งเข้าใส่เขาราวกับไปทำผิดไว้ โดยที่พวกนั้นเป็นผู้หญิงทั้งหมดและมีมากกว่า10คน สีหน้าที่เปี่ยมสุขยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่1ของคนพวกนั้น ไม่ได้ทำให้โนเอลรู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด
“แย่ล่ะสิ!!”
“ไม่อยู่แล้วโว้ยย!!”
ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ทำอะไร มนุษย์ส่วนน้อยก็มักจะทำตาม และเหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน.... โนเอลผู้ไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น ได้เปิดฉากไล่ล่าสุดระทึกขึ้นในโรงเรียนดนตรีแห่งนี้ เขาออกวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อหนีฝูงซอมบี้ที่ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน(ในความคิดของเขา)
โนเอลวิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขว้างทุกอย่างในขณะที่มือก็ถือกระเป๋าใส่กีต้าร์เอาไว้ เขาออกวิ่งอย่างทะลักทุเล ต้องบอกว่าแม้ว่าโนเอลจะถนัดเล่นกีต้าร์ที่สุดก็จริง แต่ตัวเขาเองก็มีความเร็วไม่แพ้ใคร และพร้อมจะวัดกับยูเซน โบลต์เช่นกัน โนเอลวิ่งเข้ามาเรื่อยๆจนถึงบริเวณหน้าอาคารแห่งหนึ่ง ในตอนนี้เขาห่างออกจากฝูงซ้อมบี้มากขึ้นเรื่อยๆก่อนจะหันกลับไปมองพวกฝูงซอมบี้เหล่านั้นด้วยความผยอง
“ฮ่ะฮ่า พวกแกรู้มั้ย ฉายาตอนประถมของชั้นใครๆก็เรียกว่า โนเอล โบลต์”
“ว๊ากกกกกกกกก!!!”
“ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย!!”
โนเอลสะดุดขาตัวเองเข้าอย่างจังในขณะที่เขากำลังหันไปมองฝูงซอมบี้ และนั่นทำให้ใบหน้าของเขาทิ่มไปกับพื้นซีเมนต์อย่างน่าอนาถใจเป็นที่สุด เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินคือเสียงกรี๊ดของผู้หญิงคนนึง ในตอนนี้เขาไถลจากจุดที่หน้าคว่ำไปประมาณ30เซนติเมตร ซึ่งไม่ว่าเขาจะอายแค่ไหนก็ตาม เขาก็ต้องรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และเขาก็ควรจะดีใจ เพราะเขาเป็นนักเรียนคนแรกในประวัติศาสตร์เอ็มเอที่เอาปากลงไปจูบกับพื้นสถานบันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ฝูงชนที่วิ่งตามโนเอลมาค่อยๆวิ่งเลี้ยวไปที่ทางอื่นจนกระทั่งหายไปที่ไหนซักแห่ง และในที่สุดโลกกลับมาสงบสุขอีกครั้ง แต่ไม่ใช่สำหรับโนเอล
“โอ้ยยยย เจ็บชะมัด” โนเอลร้องโอดครวญ
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” เสียงของผู้หญิงคนนึงถามอาการของเขา ซึ่งโนเอลในขณะนั้นคงไม่อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก
“เป็นอะไรหรอ? ก็หน้าทิ่มไงล่ะ!” โนเอลตอบแบบอารมณ์เสียและเตรียมจะด่ากลับเพราะคำถามโง่ๆนั่น แต่ทว่า..
ภาพที่เขาเห็นเป็นหญิงสาวในวัยเดียวกัน เธอมีผมสีเทา ใบหน้าของเธอเล็ก แต่ก็มีความคม อันเนื่องมาจากหางตาของเธอที่มีความแหลมและโฉบเฉี่ยวตามแบบของคนเอเชีย เธอใส่ชุดฮูดโอเวอร์ไซส์ หรือเสื้อที่ใหญ่กว่าตัวเอง ที่กำลังเป็นแฟชั่นยอดนิยมในตอนนี้ เมื่อโนเอลเห็นดังนั่น เขาจึงรีบปัดฝุ่นที่ตัวและปรับโทนเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะคิดและเปลี่ยนคำพูดที่เตรียมจะด่าในตอนแรกเป็น
“ตรงนั้นพื้นมันไม่ค่อยเท่ากันน่ะครับ ฮ่าๆๆๆ” โนเอลใช้สกิลปลาไหลผ่านไปได้อย่างแนบเนียน
“?...ค่ะ” สาวผมเทาตอบรับแบบงงๆ
“ว่าแต่คุณเป็นนักเรียนเหมือนกันหรอคะ? ชั้นรู้สึกเหมือนไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย” เธอถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ ผมเป็นนักเรียนใหม่พึ่งมาวันนี้เป็นแรกเลยครับ” โนเอลตอบ
“แบบนี้นี่เอง ยินดีต้อนรับนะคะ” เธอตอบรับอย่างสุภาพและน่าเอ็นดูมากๆ
"น่ารักชะมัด" โนเอลคิดในใจ
“จริงสิ พอจะรู้มั้ยครับว่าหอพักอยู่ที่ไหน?” โนเอลถาม
“อ๋อ หอพักน่ะ”
“ก็อยู่นี่แหละค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับชี้ไปตรงพื้นดินที่เธอยืนอยู่นั่นแหละ โนเอลมองไปตรงพื้นดินที่เธอชี้ก่อนจะเงยหน้าของเขาขึ้น ภาพที่เขาเห็นเป็นตึกที่มีความสูงประมาณ30ชั้น โนเอลเงยคอจนสุดและมองเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของสถานบันแห่งนี้ ขนาดหอพักนักเรียนยังมีลักษณะเหมือนกับคอนโดราคากลางๆ ไม่ใช่หอพักง่อยๆที่อยู่อัดกันเป็นรูหนูแบบที่อื่นๆ
“สุดยอดเลยแหะ” โนเอลอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“ใช่มั้ยล่ะคะ ตอนอาทิตย์ที่แล้วที่ชั้นมาที่นี่ ชั้นหลงทางอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมงแน่ะ” สาวผมเทาพูดกับโนเอล
“เดี๋ยวนะ งั้นก็แปลว่าคุณก็เป็นนักเรียนใหม่เหมือนกันหรอครับ?” โนเอลถาม
“ใช่ค่ะ ชั้นก็พึ่งมาที่นี่เหมือนกัน” สาวผมเทาตอบ
“ถ้างั้น แบบนี้เราก็เป็นเพื่อนกันสินะครับ” โนเอลตีสนิท
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากเป็นเพื่อนกับชั้นรึเปล่านะคะ” สาวผมเทาพูดแล้วก็ส่งยิ้มให้โนเอล
หลังจากที่คุยกันพอประมาณโนเอลก้มเก็บสัมภาระของเขาที่เขาทำตกจรกระจัดกระจายไปหมด โดยที่สาวผมเทาก็ช่วยเก็บด้วย ก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในหอพัก โดยที่ล็อบบี้ของมันก็มันมีลักษณะคล้ายๆกับคอนโดมิเนี่ยมจริงๆ และขั้นแรกทุกคนต้องมีคีย์การ์ดเป็นของตัวเองก่อน โนเอลไปติดต่อประชาสัมพันธ์ที่หอพักเพื่อขอคีย์การ์ดของเขาในฐานะนักเรียนของสถานบันแห่งนี้
“ว่าแต่เมื่อกี้นี้มันอะไรหรอ ฝูงซอมบี้นั่นน่ะ” โนเอลหันมาพูดกับสาวผมเทาเรื่องฝูงชนเมื่อกี้ในขณะที่เขารอคีย์การ์ด
“ก็คงเป็นพวกแฟนคลับนั่นล่ะมั้งคะ?” เธอตอบ
“แฟนคลับ?” โนเอลถาม
“ก็แบบว่า... ยังไงซะที่นี่ก็เป็นโรงเรียนไฮสคูลล่ะนะ”
“ก็เหมือนกับพวกโรงเรียนปรกติที่จะมีรุ่นพี่ที่ป๊อบปูล่ามากๆจนสาวๆรุมกรี๊ดนั่นแหละค่ะ”
“อืม... แบบนี้เองซินะ”
โนเอลดูจะเข้าใจสถานการณ์ของโรงเรียนแห่งนี้มากขึ้นแล้ว และหลังจากพูดคุยได้ไม่นานนัก โนเอลก็ได้คีย์การ์ดของเขามาซึ่งสาวผมเทาก็อธิบายเรื่องคีย์การ์ดให้เขาเข้าใจ อย่างแรกก็คือ ระบบลิฟท์ของที่นี่ซึ่งจะใช้วิธีเสียบบัตรเข้าไปก่อนแล้วค่อยกดชั้นที่ต้องการ หมายความว่าคนภายนอกไม่สามารถใช้ลิฟท์ได้นั่นเอง แล้วก็นักเรียนชายจะอยู่เฉพาะชั้นเลขคู่ ส่วนนักเรียนหญิงจะอยู่ชั้นเลขคี่ และบัตรของนักเรียนแต่ละฝ่ายไม่สามารถใช้เพื่อกดลิฟท์ไปชั้นของอีกฝ่ายได้ โนเอลพยักหน้ารับก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องของเขา
“จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยสินะ”
“ผมชื่อ โนเอล โนเอล วิลสัน” โนเอลแนะนำตัวกับเธอ
“เอ่อ ชั้น นา ซอน มุล ค่ะ” เธอก็แนะนำตัวเช่นกัน
“เป็นคนเกาหลีหรอครับ?” โนเอลถาม
“ค่ะ” เธอตอบ
ในระหว่างที่พูดคุยกัน ลิฟท์ก็มาถึงชั้นของโนเอลพอดี มันเป็นชั้นที่8 แม้ว่าโนเอลจะอยากคุยกับซอนมุลมากกว่านี้แต่ดูเหมือนเขาจะต้องไปแล้ว
“แล้วเจอกันนะครับ คุณซอนมุล”
“ค่ะ” เธอพูดพร้อมส่งยิ้มให้
“แล้วก็ ถ้าเจอกันคราวหน้า”
“มาพูดแบบเป็นกันเองกันดีกว่านะครับ” โนเอลพูดพร้อมกับเดินออกจากลิฟท์ไป ประตูลิฟท์ค่อยๆปิดอย่างช้าๆก่อนที่มันจะปิดสนิทและพาซอนมุลกลับไปที่ห้องของเธอ
“มาพูดแบบเป็นกันเองกันดีกว่านะครับ”
“ให้ตายสิเจ๋งชะมัด”โนเอลรู้สึกว่าประโยคสุดเห่ยนั่นมันเท่สุดๆไปเลยในความคิดของเขา
โนเอลเดินไปที่ห้องของตัวเองที่เขียนเอาไว้ในคีย์การ์ด ใน1ชั้นจะมีทั้งหมด10ห้อง แบ่งเป็นห้อง1ถึงห้อง5จะอยู่ฝั่งขวาและ ห้อง6ถึงห้อง10 จะอยู่ฝั่งซ้าย โดยห้องของโนเอลมันเป็นห้อง 808 มันเป็นห้องที่อยู่อยู่เกือบจะริมสุดของของห้องฝั่งซ้ายเลยทีเดียว โนเอลเดินไปจนถึงหน้าห้อง ก่อนจะเสียบบัตรของเขาเข้าไป
และห้องที่เขาได้เปิดเข้าไปนั้นเป็นห้องขนาดกำลังพอดีสำหรับ2คนไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป ถือว่าคุณภาพดีกว่าหอพักทั่วๆไปมากทีเดียว โดยในขณะที่โนเอลกำลังดูสภาพห้องเขาก็เจอเข้ากับชายคนนึง ผมของเขาหยักศกและมีสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าของเขาดูเลื่อนลอยเหมือนกับคนที่ไม่ค่อยมีความรู้สึก หรือที่เรียกว่าหน้าตายก็คงไม่ผิดนัก เขากำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะของเขา
“นายเป็นใครน่ะ” เขาถามโนเอล
“ชั้นเป็นนักเรียนใหม่ที่นี่ และชั้นก็อยู่ห้องนี้ด้วย” โนเอลตอบชายผมหยักศก
“อา... รูมเมทชั้นสินะ”
“เอริค เกริกเซนต์เต้” ชายผมหยักศกพูดชื่อตัวเอง
“โนเอล วิลสัน ว่าแต่นั่นนายเขียนอะไรน่ะ” โนเอลแนะนำตัวก่อนจะขยับหัวของเขาไปอ่านสิ่งที่ชายผมหยักศกนามว่าเอริคกำลังเขียน
“นั่นมันเพลงรักหวานหยดย้อยเลยนี่” โนเอลพูดในขณะที่แอบอ่านสิ่งที่เอริคเขียน
“หยุดนะ นายนี่มันจริงๆเลย!” เอริครีบเอาตัวของเขามานอนทับกระดาษที่เขาเขียนเนื้อเพลงไว้ไม่ให้โนเอลแอบอ่าน
“กฎข้อแรกของการอยู่ในห้องเดียวกับชั้น คืออย่ายุ่งกับของๆชั้น!” เอริคพูดกับโนเอลด้วยท่าทีโมโห
“ก็ได้ๆ เมื่อกี้ชั้นแค่หยอกเล่นเอง” โนเอลพูดให้สถานการณ์คลี่คลายลงไป
“ให้ตายสิ....” เอริคถึงกับเซ็ง
“เอาล่ะช่างมันละกัน โนเอลสินะ ว่าไง โหลดแอพรึยังล่ะ?”เอริคถามโนเอล
“แอพ?” โนเอลไม่เข้าใจสิ่งที่เอริคถาม
“ให้ตายสิพวกเขาไม่ได้บอกอะไรนายตอนมาสมัครเลยงั้นหรอ?” เอริคถาม
“ก็คงบอกแต่ชั้นจำไม่ได้ล่ะมั้ง” โนเอลตอบตามตรง
“เห้อ” เอริคได้แต่ถอนหายใจ
เนื่องจากโนเอลไม่รู้เรื่องอะไรเลย เอริคเลยต้องอธิบายให้โนเอลเข้าใจถึงระบบ ของโรงเรียนแห่งนี้ซะก่อน โดยอย่างแรก โนเอลต้องโหลดแอพพลิเคชั่นของโรงเรียนลงในสมาร์ทโฟนของเขาซะก่อน โดยในนั้นจะมีทุกอย่างที่เขาต้องใช้ ไม่ว่าจะดูอันดับคะแนน ดูตารางเรียน ดูกิจกรรมชมรม ฟังเพลงที่นักเรียนคนอื่นๆทำออกมา โดยที่นักเรียนทุกคนที่นี่จะมีคะแนนเป็นของตัวเอง
โดยคะแนนเหล่านี้ จะได้มาจาก การเรียนการสอนต่างๆ กิจกรรมชมรม จำนวนแฟนคลับ10คนต่อ1คะแนน รวมถึงวิธีอื่นๆอีกมากมาย โดยที่ในการสอบปลายภาค คนที่คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ จะ “ไม่ได้สอบ” และจะถูกคัดออกทันที ส่วนคนที่คะแนนถึงเกณฑ์จะต้องสอบ และถ้าคะแนนสอบไม่ถึงเกณฑ์ ก็จะโดน “คัดออก” เช่นกัน
“โอโห้อันดับ1คะแนนเด้งไปเกือบ2พันเลยหรอเนี่ย” โนเอลรู้สึกตกใจมาก
“เคลี่ สมิธ ใครๆก็รู้ว่าเธอเป็นอัจฉริยะตัวจริง”
“และที่น่าสนใจก็คือ เธอกับอันดับ2อย่าง สลาต้า อิวานิเซวิช ดันอยู่วงเดียวกันด้วยนี่สิ” เอริคพูดกับโนเอล
“แบบนี้ก็ไร้เทียมทานเลยไม่ใช่รึไง” โนเอลรู้สึกทึ่ง
“ก็ไม่เชิงแบบนั้นหรอก เพราะยังมี คริสเตียน รอธเวลล์ กับเดวิด อซาโมอาห์ที่มาแรงมากๆอยู่ด้วย”
“อืม... อันดับ3กับอันดับ4สินะ” โนเอลพูดพร้อมเลื่อนดูลำดับตารางคะแนน
“เอ คะแนนของชั้น 50คะแนนเองหรอเนี่ย” โนเอลพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“ไม่ต้องห่วงน่า นั่นน่ะเป็นคะแนนมาตฐานอยู่แล้ว อย่างของชั้นก็60” เอริคพูดกับโนเอลด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
“อะไรกันนายมีคะแนนมากกว่าชั้นอีก” โนเอลรู้สึกไม่สบอารมณ์
“อย่าบ่นน่า.... “
เอริคพูดกับโนเอลราวกับสนิทกันมานาน ก่อนที่เขาจะบอกให้โนเอลจัดสัมภาระให้เข้าที่ และหลังจากที่่โนเอลจัดของเสร็จเขาก็ไปอาบน้ำทำความสะอาดตัวเองหลังจากที่ล้มหน้าคว่ำไปในตอนแรก โดยหลังจากที่เข้ามาอยู่ในห้องแล้วโนเอลก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคุยกับเอริคถึงกฎต่างๆรวมไปถึงแนวดนตรีที่ชอบ และหลังจากที่คุยกันแล้ว โนเอลก็รู้ว่าเอริคเป็นนักร้อง แม้ว่าเขาจะชอบฟังเพลงร็อค แต่เขาดันชอบที่จะร้องเพลงแนวฟังง่ายๆมากกว่าซะงั้น และในขณะที่โนเอลกำลังนอนเล่นดูเหมือน เอริคจะนึกถึงสิ่งที่สำคัญบางอย่างได้
“จริงสินายไป ลงชื่อกับรุ่นพี่เดวิดด้วย” เอริคบอกให้โนเอลไปทำอะไรบางอย่าง
“ทำอะไรนะ?” โนเอลถามย้ำ
“รุ่นพี่เดวิด อซาโมอาห์ หรือก็คือ อันดับ4ในโรงเรียนนั่นน่ะ เขาเป็นคนดูแลหอพักชั้นที่8”
“เขาต้องคอยเช็กและส่งรายงานให้อาจารย์เรื่องหอพักตลอด”
“บางทีตอนนายขึ้นปี2นายก็อาจจะต้องทำเป็นแบบนั้นเหมือนกัน” เอริคอธิบาย
“แล้วเขาอยู่ที่ไหนล่ะ?” โนเอลถาม
“อยู่ห้องแรกสุดเลย 801 เดินไปฝั่งขวาสุดเลยนั่นแหละ” เอริคพูดที่อยู่ของรุ่นพี่เดวิดให้โนเอลฟัง
“นายจะให้ชั้นไปคนเดียวหรอ” โนเอลถามถึงน้ำใจของเอริคแบบอ้อมๆ
“แหงอยู่แล้ว” เอริคตอบแบบห้วนๆ
“เฉียบเลย เอริค” โนเอลพูดประชดก่อนที่จะเดินออกจากห้องของตัวเองไป
เขาค่อยๆเดินจากห้องฝั่งซ้ายของชั้นอย่างห้อง 808 ไปที่ห้องฝั่งขวาของชั้นอย่างห้อง 801 และเมื่อมาถึงบริเวณหน้าประตู โนเอลก็ได้ยินเสียงเพลงดังออกมาจากห้องของเดวิด อซาโมอาห์ มันเป็นเพลงแนวฮิปฮอปอย่างเห็นได้ชัด
“ก๊อกๆ” โนเอลใช้มือของเขาเคาะไปที่ประตูของเดวิด
“………….”
“เปิดเพลงดังแบบนี้จะไปได้ยินได้ไงเล่า” โนเอลบ่นพึมพำ
เพราะว่าเสียงของมันดังออกมาแบบนี้ ทำให้โนเอลคิดว่าเคาะเบาๆเดวิด คงไม่ได้ยินแน่ เขาเลยตั้งท่าอย่างมั่นคง ยกกำปั้นขวาที่ถนัดขึ้นมา เสริมพลังจากม้ามผ่านปอด ไปสู่มือขวาข้างที่ถนัด ก่อนจะเคาะไปเต็มแรงที่เขามี ซึ่งบังเอิญว่า เป็นเวลาเดียวกับที่เดวิด เดินมาเปิดประตูให้โนเอลพอดี และเมื่อกำปั้นของโนเอล ไม่สัมผัสกับประตู มันจึงไปสัมผัสกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมันแทน นั่นก็คือ “หัวของเดวิด” ป๊าบบบบบ!!!! เสียงดังฟังชัดยิ่งกว่า สแนร์ดรัม
“อือหื้อ! ตบกูซะหูอื้อเลย” เดวิดถึงกับเบลอและพูดคำหยาบออกมา
“ข่ะ ข่ะ ขอโทษครับรุ่นพี่!!”
โนเอลรีบผยุงตัวของเดวิด และลากเขาเข้าไปในห้องก่อนจะมีใครเห็น ลักษณะคล้ายซ่อนศพ และชายที่โดนตบจนหูอื้ออยู่ตอนนี้ คือชายผู้เป็นถึงอันดับ4ของโรงเรียนแห่งนี้ เขามีผมสีม่วงและผิวสีน้ำตาลเข้ม ดูทรงแล้วเขาคงเป็นคนเชื้อสาย แอฟริกันแน่นอน แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเริ่มตั้งสติได้แล้ว
“หยุดเลยนะ นายเป็นใครกันเนี่ย!” เดวิดสะบัดตัวออกมาจากโนเอล และยืนหยัดด้วยตัวเองได้แล้ว
“ผ่ะ ผมคือ โนเอล วิลสัน เป็นนักเรียนใหม่ที่พึ่งมาน่ะครับ” โนเอลรีบตอบ
“งั้นหรอ....” เดวิดดูไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
“ไม่ใช่พวกที่คิดจะมาทำร้ายชั้นแน่นะ?” เดวิดถามย้ำ
“เมื่อกี้ มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆนะครับรุ่นพี่ ผมสาบานได้เลย!” โนเอลรีบแก้ตัว
"..........."
“ขอดูแปปนึง”
เดวิด ไม่ละสายตาจากโนเอลเลย ชายผิวสีคนนี้หยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมา ก่อนจะใช้หางตาของเขามองไปที่โทรศัพท์และใช้นิ้วมือพิมชื่อโนเอลลงไป เพื่อทำให้แน่ใจว่า หมอนี่พูดจริง ซึ่งเขาก็พบโนเอลในฐานข้อมูลโรงเรียนจริงๆ แปลว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุอย่างที่โนเอลได้กล่าวอ้าง
“วันหลังก็ระวังๆหน่อยละกันนะ” เดวิด พูดพร้อมจับไปที่หัวตัวเอง
“ขอโทษครับรุ่นพี่” โนเอลรู้สึกผิด
“เอาน่าช่างมันๆ”
“เพราะว่าตอนนี้ นายควรจะห่วงปัญหาของตัวเองมากกว่า”
"เพราะว่านายมาช้าแบบนี้เลยไม่ได้เรียนปรับพื้นฐานเหมือนคนอื่นๆ”'
"อาจจะฟังดูไม่สำคัญ แต่ด้วยการแข่งขันที่สูงในโรงเรียนนี้"
"ต่อให้ตามคนอื่นเพียงก้าวเดียว ก็อาจจะถูกเขี่ยออกได้ง่ายๆ"
“แถมตอนนี้เหลืออีกแค่2วันก็เปิดเรียนแล้ว จะไหวรึเปล่าเนี่ย?” เดวิดถามโนเอล
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับรุ่นพี่” โนเอลพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ
“เพราะว่าผมน่ะ….”
“มีความฝันที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าเรียนปรับพื้นฐานไปไกลเลย”
------------------------------------------ We're not a pop band
วงนี้มันไม่ป๊อบเอาซะเลย
EP 1 : วันแรก -------------------------------------------
2024 วันที่4 วันเปิดเรียน
ห้องเรียนวิชา การใช้เทคโนโลยีในดนตรี
หลังจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น วันเวลาก็นำพาพวกเขามาสู่วันนี้ที่เป็นวันเปิดภาคเรียนจนได้ โดยในวันแรกสำหรับเหล่านักเรียนที่เอ็มเอแห่งนี้ จะเริ่มการเรียนการสอนในทันที และจะไม่มีการแบ่งห้อง ทุกคนสามารถเจอกันได้หมด แล้วแต่วิชาที่เลือกไว้ แต่ก็จะมีวิชาบังคับเช่นกัน เช่นวิชานี้ “การใช้เทคโนโลยีในดนตรี” ภายในห้องเรียนนี้มีนักเรียนอยู่ประมาณ30คน โดยทั้งหมดมาเจอกันได้เพราะลงเรียนวิชานี้ใว้ในเวลานี้ โดยภายในห้องมีคอมพิวเตอร์ให้นักเรียนคนละ1ตัวห้องนี้ถูกตกแต่งแบบทันสมัยให้ความรู้สึกสนุกตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเรียนด้วยซ้ำ
นักเรียนทุกคนรวมถึงโนเอลมานั่งรออยู่หน้าคอมอยู่แล้ว สำหรับโนเอล เขาได้ไมเคิลเป็นผู้ลงเรียนวิชาให้ทั้งหมด เพราะไมเคิลรู้เป็นอย่างดีว่าแนวเพลง อัลเทอเนทีฟแบบโนเอลต้องเรียนอะไรบ้าง แต่ดูเหมือนวิชาบังคับนี้จะค่อนข้างเป็นวิชาที่โนเอลไม่ถนัดเอาซะเลย แถมยังไม่มีเพื่อนที่เขารู้จักมาเรียนเลยอีกด้วย เพราะคลาสนี้เป็นคลาสที่มีไว้สำหรับตำแหน่งนักดนตรีเท่านั้น ตำแหน่งนักร้องอย่างเอริค เลยไม่ได้มาเรียนด้วยในคลาสนี้
“เอาล่ะ มาพร้อมกันแล้วซินะ”
ครูประจำชั้นเดินเข้ามาพอดี ในขณะที่นักเรียนหลายๆคนกำลังเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คของตัวเองอย่างที่โนเอลทำ หรือบางคนก็ดูผลงานรุ่นพี่คนอื่นๆและพวกศิษย์เก่าผ่านทางเว็ปไซต์โรงเรียน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดรู้หน้าที่ดี และกดปิดทุกอย่าง เพื่อเตรียมตัวได้รับการเรียนการสอน ยกเว้น...
“คุณโนเอล วิลสัน กรุณาปิดเฟสบุ๊คของคุณที่กำลังส่องแม้สาวผมบลอนด์คนนั้นด้วย”
หลังจากที่อาจารย์ประจำวิชาเปิดคอมพิวเตอร์ของเขาขึ้นมา เขาก็สามารถเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเด็กนักเรียนทุกคนได้ทันที และสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ถ้าหากมันมีจอที่ “แตกต่าง” สิ่งที่อาจาร์ยพูดทำให้เพื่อนๆในห้องของโนเอลหันมาหัวเราะใส่ โนเอลที่ถูกประกาศหน้าชั้นเรียนถึงเรื่องที่เขากำลังทำอยู่ในหน้าจอคอม และนั่นสร้างความอับอายให้เขามาก
“เอาล่ะ วันนี้เป็นวันแรกของพวกเธอทุกคนในสถาบันแห่งนี้”
“ครูอยากให้พวกเธอตั้งใจ และจบการศึกษาที่โรงเรียนแห่งนี้ให้ได้”
“ในโรงเรียนแห่งนี้ ไม่ได้มีแค่วิชาการกับการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีมิตรภาพอีกมากมายที่เธอจะได้รับ”
“เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาเริ่มกันด้วยการแนะนำตัวของแต่ละคนกัน”
ทันทีที่สิ้นเสียงของอาจารย์ประจำชั้น เสียงโห่ด้วยความเซ็งก็ดังขึ้นมา การแนะนำตัวแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้นจริงๆแม้ว่ามันจะน่าอายแค่ไหนก็ตาม ซึ่งการแนะนำตัวเริ่มจากหน้าห้องสุดไปจนถึงหลังห้องสุด ซึ่งโนเอลนั่งอยู่ในตำแหน่งสุดท้ายพอดี เหล่าเด็กนักเรียนทั้งหญิงชายต่างผลัดกันแนะนำตัวกันทีละคน พวกเขาเริ่มจากชื่อจริง แนวเพลงที่ชอบ และความใฝ่ฝันที่พวกเขามี การแนะนำตัวเป็นไปอย่างเป็นมิตรและมีความสุข จนกระทั่ง
“โนเอล วิลสัน”
“…………..” ทุกคนเงียบ
“อายุ16ปี”
“แนวเพลงที่ชอบคือ อัลเทอเนทีฟร็อคกับบริทป๊อบ หรือทุกอย่างที่เป็นอัลเทอเนทีฟร็อคชอบหมดนั่นแหละ”
“ความใฝ่ฝันของชั้นคือ ขึ้นแสดงที่แกลสตันบิวรี่ และชั้นจะเอาชนะพวกนายทุกคน”
“………………………..”
หลังจากแนะนำตัวเสร็จโนเอลก็นั่งลงอย่างไม่แคร์สายตาที่มองมา ทุกคนเงียบและอึ้งหลังจากที่โนเอลแนะนำตัวแบบนั้น แล้วหลังจากที่อึ้งเสร็จพวกเขาก็เริ่มซุบซิบนินทากัน และบรรยากาศที่น่าอึดอัดก็ถูกหยุดไว้ด้วยการพูดของครูประจำชั้น เขาบอกให้ทุกคนเตรียมตัวรับบทเรียนที่เขาจะสอนเป็นลำดับต่อไป แต่ยังไงก็ตามดูเหมือนทุกคนจะสัมผัสได้ ว่าโนเอลคือคนที่ไม่ควรคุยด้วย เพราะว่าหมอนี่มันตัวเจ็บชัดๆ การแนะนำตัวอย่างมั่นใจและไม่มีทีท่าเขินอายหรืออะไรเลย บวกกับหน้าตาเขาที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรมาแต่ไหนแต่ไร คงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปทำความรู้จักด้วยแน่ๆ แต่ความคิดแบบนั้น ไม่ส่งผลใดๆเลยกับชายคนนี้
“นี่ๆ นายอยากไปเล่นแกลสตันบิวรี่หรอ?”
ชายที่นั่งอยู่ข้างๆของโนเอลหันมาถามเขา เขาเป็นนักเรียนชายเช่นเดียวกันกับโนเอล เขามีผมสีบลอนด์สว่าง รูปร่างของเขาเล็กกว่าของโนเอลประมาณนึง สายตาของชายคนนี้ไม่ได้หวั่นเกรงกับคำท้าทายของโนเอลเลย อีกทั้งยังทักทายโนเอลก่อนอีกด้วย โนเอลมองหน้าของชายคนนี้ด้วยความรู้สึกรำคาญหน่อยๆก่อนที่จะตอบคำถามที่ถูกถามไปตามมารยาท
“ก็ประมาณนั้นแหละ ชั้นกับพี่ชายอยากจะไปเล่นที่นั่น”
“แต่พี่ชายชั้นมันดันงี่เง่าไปหน่อย” โนเอลตอบตามที่ชายคนนั้นถาม
“งั้นหรอกหรอ... เอ นายกับชั้นนี่คล้ายๆกันเลยนะ” ชายผมบลอนด์สว่างพูดกับโนเอล
“ชั้นชื่อ แบรนดอน ดัสท์ ” เขาแนะนำตัวกับโนเอล
“รู้อยู่แล้วล่ะ นายคือคนที่แนะนำตัวก่อนหน้าชั้นไม่ใช่รึไง” โนเอลตอบรับแบบกวนๆเช่นเคย
“นั่นสินะ ลืมไปเลยแหะ ว่าเราพึ่งแนะนำตัวกันทั้งห้อง”
“แต่ถึงแบบนั้นชั้นก็ไม่นึกว่านายจะจำชื่อชั้นได้อยู่ดี แปลกใจเหมือนกันนะ” แบรนดอนพูดกับโนเอล
“เรื่องนั้นช่างเหอะ ที่นายบอกว่าชั้นกับนายคล้ายๆกันน่ะหมายความว่าไงนะ?” โนเอลถามเรื่องที่เขาสงสัย
“อ๋อ จริงสิ! คือชั้นก็มีพี่ชายที่เป็นนักดนตรีเหมือนกับนายแหละ”
“แต่ต่างกันที่อย่างเดียว…”
“คือพี่ชายชั้นได้ขึ้นแสดงที่ แกลสตันบิวรี่ไปแล้วล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“ฮา ฮา ฮา ตลกจังเลย…” โนเอลตอบรับด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ถ้าหากว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นข้างนอกโรงเรียนนี้ล่ะก็ บางที หมัดของโนเอลอาจจะกระแทกเข้าที่หน้าของแบรนดอนไปแล้วก็ได้ แม้ว่าสายตาของแบรนดอน บ่งบอกชัดเจนว่าเขาแค่อยากคุยด้วย แต่คำที่เขาพูดออกมา ไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็เป็นการยกตนข่มอีกฝ่ายชัดๆเลย เมื่อโนเอลได้ยินดังนั้น เขาก็คิดได้ว่า โอเค ชั้นจะไม่คุยกับหมอนี่อีกเป็นอันขาด ซึ่งโชคดีที่บทเรียนของคลาสนี้เริ่มขึ้นพอดี
การใช้เทคโนโลยีในดนตรีนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร มันเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วและได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆทุกปี ซึ่งหน้าที่ของวิชานี้ก็คือ ทำให้นักเรียนทุกคนได้รู้วิธีทำเสียงดนตรีออกมาได้ในหลายๆรูปแบบ รู้หรือไม่ว่า เครื่องดนตรีแค่ชิ้นเดียวสามารถให้เสียงของเครื่องดนตรีทุกชิ้นบนโลกออกมาได้ เพียงแค่ใช้ซอฟแวร์แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น
ซึ่งในการเรียนในวันนี้ก็เป็นสิ่งที่พื้นฐานมากๆ นั่นก็คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เขียนคอร์ดขึ้นมานั่นเอง มันไม่มีอะไรยุ่งยากสำหรับนักเรียนคนอื่นๆที่มักจะคุ้นชินกับโปรแกรมเหล่านี้กันดีอยู่แล้ว เพราะเราอยู่ในยุค ที่เราสามารถสร้างเสียงเปียโนที่ยอดเยี่ยมออกมาได้แม้ว่าเราจะเล่นมันไม่เป็นเลยก็ตาม ในยุคสมัยนี้เราไม่จำเป็นต้องเล่นเครื่องดนตรีด้วยตัวเองอีกแล้ว ซึ่งนั่นตรงกันข้ามกับสิ่งที่ “ชายคนนี้” เป็น
“ให้ตายสิ”
“ไม่ได้มาเรียนปรับพื้นฐาน ก็เลยไม่รู้เรื่องที่พวกนั้นพูดกันเลย”
“เจ้าไมเคิลมันไม่เห็นบอกเลยว่าจะมีแบบนี้ด้วย”
“ทำไมคอมพิวเตอร์ถึงดีดกีตาร์ได้กันนะ”
“โลกใบนี้มันต้องใกล้ถึงจุดจบแล้วแน่ๆ”
โนเอลพูดในใจของตัวเอง ในขณะที่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เขาไม่ค่อยถนัดใช้ อยู่ในโปรแกรมที่เขาไม่ค่อยรู้จัก ท่ามกลางผู้คนที่ไม่มีใครอยากคบกับเขา โนเอลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก “หันไปดูคนข้างๆ” ภาพที่เขาเห็นคือ “แบรนดอน” หนุ่มผมสีบลอนด์สว่าง ที่กำลังใช้โปรแกรมที่ว่านั่นอย่างคล่องแคล่ว
“ทำไมเราต้องใช้คอมพิวเตอร์สร้างเสียงดนตรีปลอมๆขึ้นมาด้วยล่ะ ในเมื่อเราเล่นเป็นอยู่แล้ว” โนเอลสบถขึ้นมา
“เพราะว่ามันน่าเบื่อไงล่ะ” แบรนดอนหันมาตอบคำถามโนเอล
“ซอฟแวร์พวกนี้ไม่ได้ทำมาให้นายใช้แค่ สร้างเสียงดนตรีปลอมๆหรอกนะ”
“หน้าที่หลักๆของมันคือ การสร้างเสียงเอฟเฟคแปลกๆขึ้นมาผสมกับเครื่องดนตรีหลักต่างห่าง”
“สมัยนี้มีลูกเล่นใหม่ๆในเพลง เกิดขึ้นมากมาย”
“ถ้านายตามโลกไม่ทัน ก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังล่ะนะ” สิ่งที่แบรนดอนพูดได้แซะตัวโนเอลอีกครั้ง
“งั้นหรอ? ว่าแต่นายนี่ ใช้มันคล่องเชียวนะ คงไม่ค่อยได้เล่นดนตรีจริงๆสิท่า” โนเอลเริ่มจิกกัดแบรนดอนคืนบ้าง
“ฮิฮิ ไม่รู้สิ....”
แบรนดอนพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กๆ และนั่นสร้างความน่าหมั้นไส้ให้โนเอลเป็นอย่างมาก โดยที่หลังจากโนเอลงมหาวิธีอยู่นาน เขาก็สามารถหาวิธีใช้เจ้าโปรแกรมที่ว่านั่นจนเจอและได้ทำงานชิ้นแรกส่งสำเร็จก่อนหมดเวลาเพียงฉิวเฉียด โดยได้รับความช่วยเหลือจากแบรนดอนตลอดการทำ และนั่นสร้างความไม่พอใจให้โนเอลพอสมควร แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามช่วงเวลายาวนานสำหรับโนเอลในวิชาที่เขาไม่ชอบนี่ก็หมดไปซักที และในวิชาต่อไปนี่แหละ เป็นวิชาที่เจ้าตัวจะได้เฉิดฉายเต็มที่ กับวิชา “บรรเลงดนตรี” ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีแบรนดอนอีกต่อไป โนเอลผู้เก่งกาจจะผงาดในโรงเรียนแห่งนี้เอง!
-----------------------------------------------
2024 วันที่4 วันเปิดเรียน
ห้องเรียนวิชา บรรเลงดนตรี
“เอาล่ะนะ ผลการจับฉลากก็ประมาณนี้” เสียงของอาจาร์ยประจำชั้นพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“โชคดีจังนะ โนเอล เราได้อยู่กลุ่มเดียวกันอีกแล้วล่ะ”
“สึด!”
โนเอลถึงกับสบถคำแปลกๆออกมา หลังจากที่ชายผมบลอนด์พูดกับเขา ใช่ครับ คนที่พูดมันกับโนเอล หรือว่าชายผมบลอนด์ที่ว่านั่นก็คือแบรนดอนอีกนั่นแหละ เรื่องของเรื่องก็คือว่า โนเอลคิดว่าแบรนดอนเป็นพวกที่ทำดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ และคงไม่มาเรียนที่วิชาบรรเลงดนตรีที่มีไว้สำหรับพวกนักดนตรีแท้ๆแบบเขาแน่ๆ ซึ่งที่โนเอลคิดน่ะมันผิดทั้งหมด เพราะแบรนดอนเป็นนักเล่นเบสมือฉมัง แถมยังเคยเล่นกีต้าร์มาก่อนอีกต่างหาก พูดง่ายๆว่าแบรนดอนเล่นดนตรีได้หลายชนิดกว่าโนเอลซะอีก
โดยในวิชาบรรเลิงดนตรีนี้ จะมีนักดนตรีหลากหลายชนิดมาเรียน ตั้งแต่เปียโน กลอง กีต้าร์ รวมไปถึงเครื่องดนตรีคลาสสิกอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องเสียงรบกวนเพราะที่เอ็มเอแห่งนี้ เครื่องดนตรีทุกชนิดเป็นระบบไฟฟ้าที่สามารถใส่หูฟังเพื่อฟังเสียงเครื่องดนตรีนั้นด้วยตัวเองได้เลย หรือจะฟังดนตรีของคนอื่นก็ได้ เพียงใช้อุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น และมันจะไม่ส่งเสียงดังออกมารบกวนคนที่ไม่ต้องการฟังมัน
โดยในวันนี้อาจารย์พูดสอน ต้องการทดสอบก่อนเรียนกับนักเรียนของเขา เพื่อที่เขาจะได้รู้แนวทางการสอน เขาจึงให้นักเรียนจับกลุ่ม3คนกันแบบสุ่ม ซึ่งแบรนดอนกับโนเอลก็ดวงสมพงษ์กัน ได้มาคู่กันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เขา2คน ยังมีอีก1คนนึงที่เพิ่มเข้ามากลุ่ม เขาเป็นชายผมยาว และตัวสูง ที่ใส่เสื้อเปิดไหล่โชว์กล้ามแขนที่อัดแน่นแต่ไม่ใหญ่จนเทอะทะ บ่งบอกว่าผ่านการดูแลทางโภชนาการมาเป็นอย่างดี แต่ติดปัญหาตรงที่
“นายชื่อเลียมซินะ” โนเอลถามเขา
“อืม”
“เป็นมือกลองซินะ” แบรนดอนถามเขา
“อืม”
“นายเล่นแนวไหนหรอ?” โนเอลถามเขาอีกที
“…..” เลียมเงียบ
“จะถามอะไรกันเยอะแยะ ชั้นไม่ใช่ผู้ต้องหานะพวกแก”
“!!!”
ก็เป็นซะแบบนี้แหละนะ คนในโรงเรียนนี้จะหาคนที่ปรกติก็คงยากหน่อย ส่วนใหญ่ถ้าไม่ติสแตกแบบนี้ก็เป็นพวกชอบ ปาร์ตี้สำมะเลเทเมา เอาเป็นว่าพวกเขาสามคนก็มารวมกันได้ด้วยความบังเอิญแบบนี้แหละ โดยในการรวมกลุ่มกันถือว่าพวกเขาคือกลุ่มที่โชคดีมากๆแล้ว เพราะว่าเป็นกลุ่มที่มีทั้ง กีต้าร์ กลอง และเบส หรือเรียกว่าแทบจะเป็นวงมาตฐานแล้วก็ว่าได้ ส่วนกลุ่มอื่นๆ บางกลุ่มก็สุ่มได้เบสซ้ำกัน2คน หรือแม้แต่ได้กลองซ้ำกันก็มี แม้ว่าโนเอลจะต้องปวดหัวกับสมาชิกกลุ่มที่ดูแปลกๆ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีเครื่องดนตรีหลักแตกต่างกันไปล่ะนะ
“เอาล่ะถ้าได้กลุ่มกันหมดแล้วก็มาฟังเร็ว” อาจารย์ประจำวิชาเรียนนักเรียนของเขา
“อย่างที่บอกไปล่ะนะว่าอาจารย์จะทดสอบพวกเราก่อน”
“อาจารย์จะให้เราสร้างเพลงขึ้นมาสั้นๆเพลงนึง”
“โดยที่อาจารย์จะเป็นคนเขียนโน้ตเพลงให้พวกเธอเอง”
“โดยเธอจะต้องใช้มันเป็นเสียงนำของเพลงที่พวกเธอแต่ง”
“โดยพวกเธอจะออกแบบเพลงหรือทำนองของพวกเธอออกมายังไงก็ได้”
“ขอแค่มีเสียงนำเป็นออกมาตามโน๊ตที่อาจารย์เขียนให้”
“กลุ่มที่ทำได้คะแนนได้ดีที่สุด จะได้รับคะแนนไปเลยคนละ5คะแนน” อาจารย์ประจำวิชาพูดถึงสิ่งที่พวกเขาต้องทำ
เสียงนำ หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า เสียงลีด(Lead) หมายถึงเสียงที่เป็นเมนหลักของเพลง เป็นเสียงที่โดดเด่นออกมาจากเสียงอื่นๆสาเหตุที่ถูกเรียกว่าเสียงนำก็เพราะเสียงนี้ จะเป็นตัวนำเพลงทั้งหมดนั่นเอง ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเพลงร็อค เสียงนำก็จะเป็นเสียงกีต้าร์ และด้วยโจทย์แบบนี้นั้น ทำให้คนที่มีเครื่องดนตรีที่เป็นเสียงนำอยู่แล้ว อย่างกีต้าร์ เปียโน หรืออื่นๆ ก็รู้สึกเบาใจขึ้น เพราะแค่เล่นตามที่อาจารย์เขียนให้ก็พอ
ส่วนคนที่หนักใจก็คงจะเป็นเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่เป็นเสียงนำได้ยากอย่าง กลอง หรือ เบส ที่เป็นเครื่องดนตรีประเภทให้จังหวะมากกว่า แถมพวกเขายังต้องออกแบบจังหวะวิธีการเล่นของตัวเองขึ้นมาเพื่อนำไปผสมกับโน๊ตที่อาจารย์ประจำวิชาเขียนไว้ให้ อีกด้วย
“พวกเราเอาไงดีล่ะ” โนเอลถามกลุ่มของเขา
“สำหรับชั้นมันเป็นของง่ายๆมาก อยู่ที่พวกนายนั่นแหละว่าจะเล่นเข้าจังหวะกับชั้นได้รึเปล่า” เลียมแสดงความมั่นใจ
“เอาล่ะ โนเอลนายจะเป็นเสียงนำในเพลงนี้ รู้อยู่แล้วสินะ” แบรนดอนพูดกับโนเอล
“แน่นอนอยู่แล้ว ของกล้วยๆ จริงๆชั้นคิดว่างานเสร็จแล้ว”
“ชั้นว่าพวกเราออกไปโชว์และเอา5คะแนนกันเถอะ” โนเอลแสดงความมั่นใจ
“.......นายน่ะ คิดผิดแล้วล่ะโนเอล.....”
“ถ้าหากว่าอาจารย์เขาต้องการแค่นั้นล่ะก็ เขาคงไม่จับกลุ่มให้พวกเราหรอก”
“ชั้นคิดว่าเขาต้องการให้เราแสดงให้เห็นว่าเราทำยังไงกับโน้ตที่เขาเขียนให้มากกว่า” แบรนดอนพูดในอีกมุมนึง
“หืม.... นายคิดจะทำอะไร แบรนดอน?” โนเอลถามแบรนดอน
“โนเอล เอากีต้าร์ของนายมาสิ” แบรนดอนพูดขอกีต้าร์ของโนเอล
“เฮ้ๆ อย่ามาแตะต้องนะ ของแพงนะเนี่ย” โนเอลรีบปัดป้อง
“ชั้นแค่อยากจะลองจูนกีต้าร์เสียงของนายนิดหน่อย ขอให้ชั้นลองดูก่อนเถอะ”
“ถ้าไม่เวิค ชั้นจะทำตามที่นายพูดทุกอย่างเลย” แบรนดอนพูดด้วยท่าทีจริงจังแบบที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน
“.......” โนเอลเงียบ
“ลองดูก็ได้”
โนเอลพูดพร้อมถอดกีต้าร์ที่พาดอยู่นำไปให้แบรนดอนจัดการ โดยที่แบรนดอนได้ใช้โน๊ตบุ๊คของเขาร่วมด้วย เขาต่อกีต้าร์ของโนเอลเข้ากับเอฟเฟคอุปกรณ์ต่างๆ โนเอลได้แต่ยืนดูกีต้าร์สุดที่รักของเขา ถูกกระทำชำเราอย่างเมามันโดยมือของแบรนดอนที่กำลังหมุนนู่นปรับนี่มากมาย ในตอนแรกโนเอลมักจะใช้แค่กีต้าร์เสียงแตกๆแบบเพลงร็อคเท่านั้น
และระหว่างที่โนเอลและแบรนดอนกำลังจูนเสียงกีต้าร์กัน แบรนดอนก็บอกให้เลียมลองเล่นจังหวะกลองแบบกลางๆ ซึ่งเลียมก็แทบจะทำได้ในทันทีที่เขาเริ่มตี ดูเหมือนมันจะไม่ใช่อะไรที่ยากเย็นสำหรับเลียมเลย หลังจากผ่านไปซักพัก ก็มีบางวงที่เริ่มทำกันเสร็จ และออกไปแสดงหน้าชั้นเรียนกันแล้วหลายวง ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เป็นการเล่นตามโจทย์เฉยๆแบบที่โนเอลคิดจะทำตอนแรก
“น่าเบื่อจริงๆด้วยแหะ เล่นแบบนั้นน่ะ”
โนเอลเองก็สัมผัสได้ถึงความน่าเบื่อจากกลุ่มอื่นๆ เพราะพวกเขาไม่ได้เสริมสร้างอะไรที่แปลกใหม่เข้าไปเลย พวกเขาแค่เล่นตามแนวทางที่มีมาให้อยู่แล้วเพียงเท่านั้น โดยหลังจากนั้นไม่นาน แบรนดอนก็เหมือนจะทำกีต้าร์ของโนเอลเสร็จแล้ว
“อ่ะ นี่ ลองดีดดูสิ” แบรนดอนบอกให้โนเอลลองดีดกีต้าร์ของเขาดู
“แน่ใจนะว่าแบบนี้มันจะได้ผล” โนเอลยังคงไม่เชื่อใจแบรนดอนเท่าไร
“ลองดีดดูเถอะน่า มัวแต่ชักช้าเดี๋ยวเวลาก็หมดหรอกเจ้าบ้า” เลียมเริ่มที่จะโมโหที่โนเอลมัวแต่พูดมาก
“หุปปากแล้วตีกลองของแกไปเถอะ เจ้านักกล้าม” โนเอลก็ด่าสวนกลับไปเช่นกัน
โนเอลเลิกเถียงกับเลียมก่อนที่จะตั้งสมาธิและเริ่มดีดกีต้าร์ของเขา ทันทีที่เขาเริ่มจับคอร์ด และเอาปิ๊กกีต้าร์ของเขาไปสัมผัสที่สายกีต้าร์ เขาก็พบว่าน้ำเสียงของกีต้าร์เขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“น่ะ นี่มัน.....”
“ฟังก์งั้นหรอ?” โนเอลถึงกับตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เจ๋งใช่มั้ยล่ะ?” แบรนดอนรู้สึกภูมิใจ
"ฟังก์ เป็นแนวดนตรีแนวหนึ่งที่มีบทบาทอย่างมากในช่วงปี70 ในยุคที่แนวเพลงดิสโก้กำลังรุ่งเรื่องสุดขีด โดยที่ฟังก์นั้น จะมีความโดดเด่นในด้านเสียงที่เป็นเอกลักษณ์รวมไปถึงวิธีการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะเสียงกีต้าร์ของฟังก์ ที่โดดเด่นจนมีชื่อเรียกเฉพาะเป็นของตัวเอง อย่าง “กีต้าร์ฟังก์” โดยเสียงของดนตรีแนวฟังก์นั้นจะให้ความรู้สึกย้อนยุค วินเทจหน่อยๆ แต่ก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสนุกสนานไปกับจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ชวนให้เต้นตามตลอดทั้งเพลงเช่นกัน
“นายทำได้ยังไงนะแบบนี้?” โนเอลถามแบรนดอน
“นี่ถึงเป็นเหตุผลที่นายควรเรียนวิชา การใช้เทคโนโลยีในดนตรี ไงล่ะ” แบรนดอนยิ้มตอบอย่างภาคภูมิใจ
“เราจะเริ่มซ้อมกันได้รึยัง” เลียมที่ซ้อมกลองของตัวเองตามที่แบรนดอนบอกมาซักพักแล้วเริ่มหัวเสีย
“โอเคๆ เราจะเริ่มซ้อมกันแล้วก็ได้” แบรนดอนพูดข้อสรุป
“เอาล่ะ ชั้นทำดนตรีในคอมไว้ด้วยนิดหน่อย มันเป็นเสียงเอฟเฟคที่จะทำให้เพลงเรามีมิติขึ้นนิดหน่อย”
“เลียมเดี๋ยวนายคอยให้จังหวะนะ ส่วนโนเอลนายรู้ใช่มั้ยว่าควรขึ้นตอนไหน” แบรนดอนผู้ควบคุมทุกอย่างเริ่มสั่งการ
“รู้แล้วล่ะน่า!!” โนเอลกับเลียมพูดแทบจะพร้อมกัน
“ฮ่าๆ เอาล่ะนะ”
“วัน”
“ทู”
“ทรี”
“โก!”
เสียงเอฟเฟคที่แบรนดอนทำไว้ดังขึ้นทันทีที่เขากดปุ่มบนโน้ตบุ๊คของเขา เสียงกลองของเลียมดังขึ้นในจังหวะที่พอดี และเมื่อเขาให้จังหวะโนเอลก็รู้ทันทีว่าในจังหวะนี้ ได้เวลาที่เขาจะต้องเข้าเพลง เขาเริ่มดีดกีต้าร์ของตัวเองตามที่อาจารย์ได้เขียนโน้ตเอาไว้ เขาดีดมันออกมาได้อย่างน่าสนใจและมีสำเนียงกีต้าร์ของตัวเองอย่างชัดเจน และเสียงเบสของแบรนดอนก็ช่วยทำให้เพลงนี้มีความหนักแน่นอนขึ้น
แม้ว่าเสียงเบสจะไม่ใช่เสียงที่โดดเด่นในเพลง แต่ถ้าหากไลน์เบสไม่แข็งแรงพอ มันก็สามารถพังเพลงของคุณทั้งหมดได้สบายๆ และถึงแม้ว่าจะพึ่งเล่นด้วยกันแค่ครั้งแรก แต่ทั้ง3คนก็เล่นประสานกันได้อย่างยอดเยี่ยม ไลน์กลองของเลียมเป็นเหมือนกับฐานทัพที่มั่นคงและไม่สั่นสะเทือนต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เบสของแบรนดอนเหมือนกับแผนการที่ชาญฉลาดที่ควบคุมทุกสิ่งได้อย่างเป็นระเบียบ และกีต้าร์ของโนเอลเป็นเหมือนกับพลทหารที่พร้อมออกไปทำลายฐานทัพของฝั่งศัตรู
ดูเหมือนโนเอลจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วว่า ทำไมเอ็มเอถึงกลายเป็นสถานบันอันดับ1 และสิ่งที่พวกเขาเล่นกัน มันคือสิ่งที่ดีเกินพอสำหรับ5คะแนนด้วยซ้ำ...
---------------------------------------------------------------
2024 วันที่4 วันเปิดเรียน
ภายในตึกเรียน
“เฮ้อ 5คะแนนเป็นของชั้นแล้วซินะ” โนเอลเดินออกมาจากห้องเรียนพร้อมบิดขี้เกียจ
“นายเก่งกว่าที่ชั้นคิดไว้อีกนะโนเอล” แบรนดอนรู้สึกเซอร์ไพร์ในฝีมือของโนเอลเช่นกัน
“ของมันแน่อยู่แล้ว ว่าแต่นายเองก็ไม่เบาเหมือนกัน” โนเอลชมแบรนดอนกลับ
“ไปกินข้าวกันเถอะ มัวแต่พูดอวยกันอยู่นั่น” เลียมชวนโนเอลและแบรนดอนไปกินข้าว
“พวกนาย2คนไปเถอะ ชั้นมีอะไรต้องไปทำนิดหน่อย”
“ไปนะ”
“ด่ะ เดี๋ยวสิ!” โนเอลพยายามเรียกเขาไว้แต่ดูเหมือนไม่ทันซะแล้ว
หลังจากพูดจบแบรนดอนก็รีบเดินจากไปทันทีพร้อมกับหยิบเบสของเขาไปด้วย ทิ้งให้โนเอลและเลียมอยู่ด้วยกันเพียง2คนท่ามกลางความงุนงง ต้องบอกตรงๆว่าที่พวกเขาทั้งสามคนทำงานด้วยกันได้แบบไหลลื่นเป็นเพราะแบรนดอน ที่เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมอีกสองคนที่เหลือเข้าด้วยกัน ด้วยความเฟรนลี่ของเขา แต่เมื่อแบรนดอนจากไปทำให้...
“……….”
“…………”
“ไปกินข้าวกันมั้ย” โนเอลถามแบบอึดอัดๆ
“ไปสิ” เลียมตอบแบบนิ่งๆ
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปที่โรงอาหารของโรงเรียนนี้ โดยในระหว่างทางมันอบอวนไปด้วยความเงียบ โนเอลหันไปมองเลียมที่เดินข้างๆเขา โนเอลไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่า เลียมมีใบหน้าที่ดุดัน และขอบตาที่ดำคล้ำ แถมสไตล์การพูดยังดูโผงผางขวานผ่าซากอีกต่างหาก แต่ในตอนที่เขาตีกลองเมื่อกี้ เขากลับทำมันออกมาได้อย่างนิ่มนวล ตรงจังหวะและชัดเจน ไม่ได้มีความดุดันแบบที่ควรจะเป็นเลย ทำให้โนเอลอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าเลียมถนัดเพลงแนวไหนกันแน่ หลังจากที่ถามไปในห้องเรียนแล้วเลียมไม่ได้ตอบ
“นี่ นายน่ะ ชอบดนตรีแรวไหนงั้นหรอ?” โนเอลเปิดหัวข้อสนทนา
“อัลเทอเนทีฟร็อค” เลียมตอบ
“ห๊ะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” โนเอลอุทานด้วยความตกใจ
“โอ๊ย! อะไรของแกวะ ตกใจหมดเลย” เลียมก็ตกใจเช่นกัน
“ชั้นก็ชอบอัลเทอเนทีฟร็อคเหมือนกัน” โนเอลพูดพร้อมสายตาที่เปล่งประกาย
“งั้นหรอถ้างั้นคงต้องเช็คหน่อย…..”
“เฮ้โนเอล What’s The Story?” เลียมถามพร้อมยกหมัดขึ้นมา
“Morning glory” โนเอลพูดยกหมัดของเขาไปชนกับหมัดของเลียม
(What’s The Story) Morning Glory เป็นชื่ออัลบั้มอันโด่งดังของวง โอเอซิส วงบริทป๊อบและอัลเทอเนทีฟร็อคชื่อดังนั่นเอง เป็นสิ่งที่ตอกย้ำความชื่นชอบในอัลเทอเนทีฟร็อคของทั้ง2คนได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนทั้ง2คนจะเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อหลังจากที่ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับรสนิยมทางดนตรี
โนเอลและเลียมเดินคุยกันมาตลอดทางจนกระทั่งมาถึงโรงอาหาร
------------------------------
2024 วันที่4 วันเปิดเรียน
โรงอาหาร
“ให้ตายสิมีแต่ของน่าอร่อยทั้งนั้นเลยแหะ”
โนเอลถึงกับตกตะลึงเพราะว่าโรงอาหารนี้เป็นโรงอาหารขนาดใหญ่ ซึ่งอันที่จริงทุกอย่างที่นี่ก็ใหญ่หมดนั่นแหละ อีกทั้งอาหารที่โรงอาหารแห่งนี้ก็ไม่ใข่โรงอาหารที่มีแต่อาหารเหมือนๆกันหมดทุกอย่างแบบโรงอาหารกากๆ โดยที่โรงอาหารแห่งนี้มันเป็นร้านค้าหลายๆร้านที่ให้นักเรียนได้เลือกสรรกันอย่างสนุกสนานและของที่ขายก็มีแต่ของที่น่ากินทั้งนั้น อีกทั้งมันยังเป็นโรงอาหารที่สะอาดตามากๆโนเอลกับเลียมแยกกันไปซื้อของที่อยากกิน ก่อนที่จะนัดกลับมาเจอกันตรงที่เดิม โดยที่เลียมไปซื้อขนมห่อมากิน ส่วนโนเอลไปซื้อโซบะมากิน
“กินขนมแบบนั้นมันไม่ดีต่อสุขภาพเลยนะ” โนเอลรู้สึกไม่โอเคที่เลียมจะกินแค่ขนมแบบนี้
“ทำไมล่ะ? อร่อยออก”
“ทีนายยังกินบะหมี่เลย เป็นคนจีนรึไง?”เลียมถามตรงๆ
“ไม่ใช่ซะหน่อยไอ้บ้า นี่มันโซบะของญี่ปุ่นต่างหากโว้ย”
“ก็มันเส้นๆเหมือนกันนี่หว่า” เลียมทำเป็นเนียนๆกลบความหน้าแตกไป
“เอ๊ะนั่นมัน”
สายตาของโนเอลหันไปเห็น หญิงสาวผมเทาที่ใส่ชุดฮูดสีดำที่เขาคุ้นเคย ใช่แล้ว เธอคือเด็กนักเรียนหญิงที่เขาเจอในวันแรกที่เขาเข้ามาในโรงเรียนนี้ เธอกำลังนั่งกินอาหารของเธออยู่เพียงคนเดียว โนเอลจึงชวนเลียมไปนั่งเป็นเพื่อนเธอ โดยที่ไม่ได้ถามเลยว่าเจ้าตัวต้องการแบบนั้นรึเปล่า
“ว่าไง ซอนมุล” โนเอลทักทายอย่างสนิทสนม
“โอ๊ะ คุณโนเอลนี่ สวัสดีค่ะ” ซอนมุลยังคงทักทายอย่างสุภาพ
“ไม่เอาสิ บอกแล้วไงว่าถ้าเจอกันคราวหน้าให้พูดแบบเป็นกันเอง” โนเอลยังจำสิ่งที่เขาเคยพูดได้
“อา จริงด้วยสินะ” ซอนมุลตอบรับพร้อมกับยิ้มออกมา
“ขอนั่งด้วยได้มั้ย?” โนเอลถามตามมารยาท
“เอาสิ เชิญเลย” ซอนมุลตอบรับด้วยท่าทียิ้มแย้ม
“ซอนมุล นี่คือเลียม เลียมนี่คือซอนมุล” โนเอลแนะนำอย่างเป็นธรรมชาติ
“สวัสดีค่ะ” ซอนมุลทักทายเลียม
“อืม” เลียมก้มหน้าก้มตากินขนมของเขาอย่างไม่สนใจโลก
“คุณเลียมก็เป็นนักดนตรีหรอคะ” ซอนมุลถามชายที่นั่งทางด้านหน้าเธอ
“ถ้าไม่ใช่แล้วชั้นจะมาอยู่ในโรงเรียนนี้รึไง” เลียมตอบอย่างเกรี้ยวกราด
“ข่ะ ขอโทษค่ะ!” ซอนมุลรีบขอโทษไว้ก่อนหลังจากความเกรี๊ยวกราดของเลียม
“ให้ตายสิ หมอนี่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย” โนเอลพูดกับเลียม(แม้ว่าโนเอลเองก็ไม่เป็นมิตรเหมือนกันเถอะ)
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะซอนมุล”
“หมอนี่เล่นกลองน่ะ เล่นดีมากด้วยนะ” โนเอลพูดกับซอนอุล
“งั้นหรอ....”
“ถ้างั้น แบบนี้ทั้งสองคนก็ตั้งวงกันได้เลยสิ” ซอนมุลพูดเรื่องวงขึ้นมา
“หืม วงหรอ?” โนเอลไม่เคยรู้เรื่องวิธีการตั้งวงมาก่อนเลย
“อืม เร็วๆนี้จะมีงานโชว์ตัวแทนชมรมต่างๆด้วย”
“ชั้นคิดว่าพวกนายน่าจะตั้งวงกันไปโชว์ในงานนั้นน่ะนะ” ซอนมุลพูดถึงเรื่องแปลกๆขึ้นมาอีกแล้ว
“นายรู้เรื่องนั้นรึเปล่าเลียม” โนเอลถามเลียม
“ก็....”
“คงรู้แต่ลืมไปแล้วมั้ง”
เลียมพูดพร้อมๆกับกินขนมของเขาต่อไปอย่างไม่สนโลก ทำให้ซอนมุลต้องอธิบายเรื่องวงและงานโชว์ตัวแทนชมรมให้กับโนเอลฟัง โดยวิธีการตั้งวงในโรงเรียนนี้นั้น การที่จะทำได้จำเป็นต้องมีสังกัดซะก่อน ซึ่งสังกัดที่ว่านั่นก็คือชมรมนั่นเอง ซึ่งนักเรียนทุกคนในโรงเรียนแห่งนี้ต้องมีสังกัดชมรม ถึงจะสามารถตั้งวงได้ โดยที่จะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่เก่งจริง และไม่ต้องเข้าสังกัดชมรม แต่จะได้เป็นศิลปินในสังกัดเอ็มเอโดยตรงเลยซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมดหนึ่งวง กับอีกสองคน นั่นก็คือ
เดอะแฟรี่ วงดูโอ้สาวที่เป็นการรวมตัวกันของอัฉจริยะทางดนตรีทั้งสองคน ผู้ครอบครองคะแนนอันดับหนึ่งและของโรงเรียน
คริสเตียน รอธเวล อันดับสามของโรงเรียน ศิลปินหน้าหล่อผู้มาพร้อมกับกีต้าร์เพียงตัวเดียวก็สามารถทำให้ผู้ชมล่องลอยไปกับเสียงเพลงของเขาได้แล้ว
และคนล่าสุดอย่าง เดวิด อซาโมอาห์ เด็กนักเรียนที่ได้เข้าสังกัดเอ็มเอ ทั้งที่อยู่เพียงปีสองเท่านั้น เขาเป็นศิลปินฮิปฮอปหน้าใหม่ที่ฝีมือร้ายกาจ จนเป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็ว
“เจ้ารุ่นพี่นั่นเก่งขนาดนี้เลยหรอ” โนเอลนึกภาพเดวิดในลุคเท่ๆไม่ออกซักเท่าไรหลังจากที่เกิดเรื่องในวันนั้น
ส่วนงานโชว์ตัวแทนชมรมนั้น เป็นงานที่ชมรมต่างๆจะส่งตัวแทนที่เป็นนักเรียนปีหนึ่ง ที่เก่งที่สุดในชมรม จะเป็นวงหรือเดี่ยวก็ได้ ขอแค่เจ๋งที่สุดก็พอ โดยที่ในงานโชว์ตัวแทนชมรมนั้น จะเริ่มในอีกสองสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ทำให้ต้องรีบเร่งมือกันแล้วสำหรับเหล่าเด็กปีหนึ่งที่อยากขึ้นโชว์ เพราะนี่เป็นโอกาสที่จะทำให้พวกเขาได้แฟนคลับเพิ่ม และนั่นหมายถึงคะแนนที่จะเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างที่เคยบอกไปว่า ฐานข้อมูลเว็ปไซต์ของเอ็มเอจะมีฐานข้อมูลจำนวนแฟนคลับของแต่ละวงแต่ละคนอัพเดทอยู่ตลอด โดยแฟนคลับสิบคนจะเท่ากับหนึ่งคะแนน และในงานที่จะมีคนดูมาเป็นร้อยๆคน ถ้าโชคดีอาจจะได้คะแนนเพิ่มมามากถึงสิบหรือยี่สิบคะแนนเลยด้วยซ้ำไป แต่ถ้าโชว์มันออกมาไม่ดีล่ะก็ อาจจะถูกมองด้วยอคติไปตลอดเลยก็ได้ งานโชว์ตัวแทนชมรมนี้จึงเป็นงานที่แจ้งเกิด รวมถึงดับอนาคตของศิลปินหลายๆคนมาแล้ว
“อืม แบบนี้เองซินะ” โนเอลรู้สึกอึ้งเล็กๆหลังจากที่ฟังซอนมุลอธิบาย
“ว่าไงเลียมเรามาตั้งวงกันมั้ย?”
“เอาสิ ยังไงก็ได้” เลียมไม่มีปัญหาอะไรในการรวมวงกับโนเอล
“แล้วเธอล่ะ ซอนมุลอยากจะเข้าชมรมอะไร” โนเอลหันกลับมาถามซอนมุล
“ช่ะ ชั้นหรอ อืม.....”
“จริงๆชั้นก็ชอบชมรมอิเล็กทรอนิกซ์แดนซ์น่ะนะ แต่ดูเหมือนที่นั่นจะเน้นการมิกซ์เพลงกับการเป็นดีเจมากกว่า”
“แต่จริงๆแล้วชั้นน่ะ....”
“ชอบเต้นมากกว่า” ซอนมุลพูดพร้อมท่าทีอายๆ
“ถ้างั้นไม่มีชมรมเต้นหรอ?” โนเอลรู้สึกสงสัย
“แบบว่ามันก็มีอยู่หรอก”
“แต่ดูเหมือนจะเป็นชมรมบัลเล่ต์ ชมรมลีลาศ ซึ่งไม่ใช่แบบที่ชั้นอยากเต้นน่ะนะ” ซอนมุลพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“อืม...เป็นแบบนั้นเองหรอกหรอ“
“ซอนมุลฟังนะ ชมรมที่ต้องการคนเต้นเก่งๆน่ะต้องมีแน่”
“ถ้าเธอรักเธอชอบมันจริงๆ โลกใบนี้ก็จะหมุนคนที่ชอบแบบเดียวกันมาเจอเธอเอง”
“เหมือนกับที่มันหมุนชั้นมาเจอกับ เจ้ากล้ามนี่ไง” โนเอลพูดให้กำลังใจซอนมุลและแซะเลียมไปด้วยในตัว
“ขอบใจนะ โนเอล”
ซอนมุลขอบคุณโนเอลพร้อมกับส่งยิ้มให้ นี่เป็นอาหารกลางวันที่โนเอลรู้สึกมีความสุขกับมันในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ ไม่มีอะไรมีความสุขเท่ากับการกินอาหารไปพร้อมๆกับเพื่อนที่ชอบในสิ่งๆเดียวกันและคุยกันรู้เรื่องแบบนี้หรอก โดยหลังจากที่กินกันเสร็จเรียบร้อยโนเอลกับเลียมก็บอกลาซอนมุลก่อนที่จะเริ่มเดินตามหาชมรมที่เหมาะสมพวกเขาที่สุด โนเอลเปิดสมาร์ทโฟนของขึ้นมาและเลื่อนดูรายชื่อชมรมต่างๆในโรงเรียนนี้ จนกระทั่งไปสะดุดเข้าที่ชมรมๆหนึ่ง
“ชมรมร็อคงั้นหรอ?”โนเอลพูดชื่อชมรมขึ้นมาชมรมนึง
“มีสมาชิกตั้งร้อยกว่าคนแน่ะ”โนเอลพูดกับตัวเองโดยที่เลียมยืนอยู่ข้างๆเขา
“ไปกันเลยดีมั้ย?” โนเอลถามเลียม เพื่อนร่วมวงของเขาอย่างเป็นทางการคนแรก
“ไปสิ” เลียมดูเหมือนพร้อมจะลุยแล้ว
“ฮึ แบบนี้ก็สวยสิ”
“ไปบุกชมรมร็อคกันเลยเถอะ เลียม”
---------------------------------------------
เกร็ดความรู้
What’s the Story Morning Glory
คืออัลบั้มชุดที่สองของวงอัลเทอเนทีฟร็อคอังกฤษอย่าง โอเอซิส ที่สามารถทำยอดขายทั่วโลไปได้กว่า สิบเจ็ดล้านก็อปปี้ ถือเป็นสุดยอดอัลบั้มที่พีคที่สุดของวงร็อคอังกฤษในตำนานอีกวงนึงอย่างโอเอซิสเลยทีเดียว น่าแปลกใจเหมือนที่ วงโอเอซิสมีศิลปินหลักอยู่2คน คือ นักร้องนำอย่าง เลียม กัลลาร์เกอร์ และ พี่ชายของเขา โนล(โนเอล) กัลลาร์เกอร์ ซึ่งเป็นชื่อของตัวละครสองคนในนิยายเรื่องนี้ คือ เลียม และ โนล
--------------------------------------------------------------------- Encore
2024 วันที่4 วันเปิดเรียน
ห้องซ้อมเต้น
“ดูนั่นสิ สลาต้า อิวานิเซวิซนี่”
เสียงของนักเรียนหญิงคนนึงพูดขึ้นเมื่อเห็นสลาต้าอยู่ในห้องนี้ เธอเป็นผู้หญิงผมดำยาวตรงสลวยสวยเก๋ จนสาวคนไหนๆใครๆก็ต้องอิจฉาที่สุขภาพผมของเธอดีขนาดนี้ รูปร่างของเธอถือว่าค่อนข้างสูงสำหรับผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้สูงมากจนเกินไป โดยในวิชาสอนเต้นนี้ เป็นวิชาเลือกที่ไม่ค่อยมีคนสนใจซักเท่าไร เพราะที่เอ็มเอแห่งนี้จะเน้นหนักไปที่นักดนตรีหรือนักร้องซะมากกว่า ทำให้ คลาสนี้สามารถร่วมเรียนกันได้ทุกปี ซึ่ง “อันดับ1” อย่างสลาต้า ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ ไม่มีใครรู้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ทำไม จนกระทั่งหลังจากจบคลาสสอนเต้น
“ข่ะ ขอลายเซ็นได้มั้ยคะ” หญิงสาวผมสีเทาในชุดฮูดสีดำรวบรวมความกล้าของเธอเข้าไปขอลายเซ็น
“ได้สิจ้ะ” สลาต้าให้ความร่วมมืออย่างดี
“ที่เต้นเมื่อกี้นี้ สุดยอดไปเลยนะ ระดับมืออาชีพเลยล่ะ” สลาต้าพูดชมสาวน้อยผมเทา
“ข่ะ ขอบคุณมากค่ะ!” สาวผมเทารีบตอบและโค้งคำนับทำความเคารพรุ่นพี่ของเธอ
“เอ๊ะ เธอโค้งคำนับแบบนั้น มาจากเอเชียแท้ๆเลยสินะเนี่ย”
“เพราะคนเอเชียที่โตที่นี่ก็ไม่เห็นจะทำแบบนั้นกันเลยซักคน” สลาต้าสงสัย
“ใช่ค่ะ ชั้นมาจากเกาหลีใต้ค่ะ” เธอตอบ
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง รู้แล้วล่ะว่าทำไมถึงเต้นเก่ง” สลาต้าพูดกับเธออย่างเป็นมิตร
“ว่าแต่ทำไมรุ่นพี่ถึงมาเรียนวิชานี้ล่ะคะ?” สาวเกาหลีถาม
“จริงๆก็แค่ อยากออกกำลังกายน่ะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลย” สลาต้าตอบเหตุผลที่ง่ายจนเหลือเชื่อ
“งั้นหรอคะ ขอบคุณสำหรับลายเซ็นมากๆนะคะ จะเก็บรักษาอย่างดีเลยค่ะ” สาวเกาหลีกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
“ว่าแต่ เธอชื่ออะไรหรอ?”
“มาทำความรู้จักกันไว้เถอะ ไหนๆก็ได้มาเรียนด้วยกันทั้งที”' สลาต้า พูดอย่างเป็นกันเองกับรุ่นน้องของเธอ
“นา ซอน มุล ค่ะ” สาวเกาหลีแนะนำตัว
“นาซอนมุลค่ะ ชื่อแปลกดีนะ” สลาต้าพูดด้วยรอยยิ้มแต่ว่า
“ชื่อ นา ซอน มุลเฉยๆ ไม่มีคำว่าค่ะ ค่ะ”
“อ๊ะ! ” สลาต้าตอบรับด้วยความเขินอาย
|
|
|
Post by handsomeguyformzulus on Aug 2, 2018 10:44:41 GMT
----------------------------------------------------------- Kinetic
-------------------------------------------------------------------------
2024 วันที่4
ห้องนั่งเล่นของสังกัดเอ็มเอ
“สลาต้า เธอหายไปไหนมา?”
เสียงของหญิงสาวคนนึงเรียกชื่อ เพื่อนของเธอ “สลาต้า อิวานิเซวิช” สาวผมตรงที่เพิ่งเปิดประตูเข้าห้องมา ที่นี่คือห้องนั่งเล่นของสมาชิกในสังกัดเอ็มเอ กลุ่มคนที่อยู่บนยอดสุดของภูเขาน้ำแข็งของโรงเรียนแห่งนี้ ภายในห้องนี้ทุกอย่างดูแพงไปซะหมด มันถูกคุมโทนด้วยสีน้ำตาลที่ให้ความรู้สึกแบบผู้ดีอังกฤษ ของทุกอย่างดูหรูหราว่าห้องทั่วไปมาก พวกเขามีโซฟา มีทีวี รวมถึงน้ำชาที่ถูกเตรียมไว้ให้อย่างดี เป็นการบ่งบอกถึง “ระดับ” ที่แตกต่างกันระหว่างนักเรียนทั่วไปกับนักเรียนที่ได้อยู่ภายใต้สังกัด “เอ็มเอ”
“ชั้นไปคลาสเรียนเต้นมาน่ะ“
“เธอน่าจะลองไปบ้างนะ เคลี่”
สาวผมตรงอย่างสลาต้า พูดกับเพื่อนร่วมวงของเธอ “เคลี่ สมิธ” อัจฉริยะทางดนตรีผู้เป็น “อันดับ หนึ่ง” ของโรงเรียนในตอนนี้ เธอมีผมยาวสีม่วง รูปร่างของเธอก็พอๆกับสลาต้าเพื่อนของเธอ
“ชั้นคิดเพลงใหม่ได้แล้วล่ะ”
“ช่ะ ชั้นอยากไปลองเล่นเดี๋ยวนี้เลย”
“เธอต้องไปด้วยนะ”
“บางทีเราอาจจะได้ช่วยกันเขียนเนื้อเพลงได้”
“เธอต้องรีบไปนะ”
“สัญญานะ” เคลี่ยิงคำพูดของใส่สลาต้าไม่ยั้ง จนสาวผมตรงแทบฟังไม่ทัน
“โอ๊ยๆ ใจเย็นๆก่อนเคลี่” สลาต้าที่เหนื่อยจากการออกกำลังกายมาเจอแบบนี้ยิ่งเหนื่อยหนักกว่าเดิม
“ฮ่าๆ ก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรอครับ รุ่นพี่สลาต้า” เสียงของชายคนนึงดังขึ้น
“อ๊ะ เดวิด เธออยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?”
สลาต้าที่ถูกเคลี่เข้ามาจู่โจมตั้งแต่เข้ามาในห้อง ไม่ทันได้สังเกตว่า นอกจากเธอและเคลี่แล้ว ยังมีคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้อีกสองคน คนแรกคือชายผิวสี ผู้เป็นแรปเปอร์ที่ได้เข้าสังกัดเอ็มเอเป็นคนล่าสุด เขากำลังนั่งมองสองสาวที่กำลังคุยกัน ในขณะที่ข้างๆเขาก็ยังมีอีกคนที่นั่งอยู่เช่นกัน ในมือของเขามีกีต้าร์โปร่งอยู่ เขาเป็นชายหน้าหล่อ และมีผมสีน้ำตาลสว่าง เขามีรูปร่างที่สูงผอม ชายคนนี้คือ “คริสเตียน รอธเวลล์” และเขาไม่ได้สนใจสิ่งที่คนอื่นๆกำลังทำกันแม้แต่น้อย เขาก้มหน้าก้มตานั่งดีดกีต้าร์พร้อมๆกับใส่หูฟังของเขาอย่างไม่สนโลก
“เคลี่ เธอไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวชั้นตามไป” สลาต้าพูดกับเพื่อนของเธอ
“โอเค แล้วตามมานะ”
สาวผมม่วงพูดก่อนจะออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เธอออกไปด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน เพราะว่ากำลังจะได้เล่นเพลงใหม่ของเธอ แต่ในทางกลับกัน....
“เพลงใหม่....”
“อีกแล้วหรอ......”สลาต้าพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“เดวิด...”
“นายสนุกกับดนตรีทุกครั้งรึเปล่า?” สลาต้าถามรุ่นน้องของเธอ
“แน่นอนครับ ผมน่ะสนุกกับดนตรีและปาร์ตี้ฮิปฮอปตลอดแหละ” เดวิดตอบรุ่นพี่ของเขา
“งั้นหรอ... แล้วนายล่ะคริสเตียน?” สลาต้าหันไปถามเพื่อนร่วมสังกัดของเธออีกคน
เมื่อคริสเตียนได้ยินดังนั้นเขาก็หยิบกีต้าร์ของเขาใส่กระเป๋ากีต้าร์และเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรหรือตอบกลับสลาต้าเลยซักคำ ซึ่งนี่ก็เป็นภาพที่พวกเขาเห็นกันประจำกับการปลีกตัวออกไปเพียงคนเดียวแบบนี้ของ คริสเตียน รอธเวลล์ ศิลปินหน้าหล่อที่ขึ้นชื่อว่าโลกส่วนตัวสูงมาก
“พูดกับชั้นซักคำมันยากนักรึไงนะ” สลาต้าบ่นนิดหน่อย
“เขาก็เป็นแบบนี้ประจำแหละครับ“
“คนนึงก็โลกส่วนตัวสูง ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยว่าจะมีใครทำอะไรกัน”
“ส่วนอีกคนก็มีแต่เรื่องของดนตรีในสมอง พอคิดอะไรได้ก็จะทำทันทีตลอด” เดวิดพูดถึงนิสัยของคนที่พึ่งออกจากห้องนี้ไปทั้ง2คน
“เฮ้อ คนพวกนี้เข้าใจยากชะมัด” สลาต้ารู้สึกเหนื่อยใจ
“ว่าแต่นายเถอะ เดวิด”
“เรื่องปาร์ตี้ชมรมฮิปฮอปไปถึงไหนแล้ว”
“ไม่ใช่ว่านายออกจากชมรมไปแล้วหรอ?” สลาต้าถามรุ่นน้องของเธอ
“ก็กำลังจะจัดล่ะครับ ปาร์ตี้ชมรมฮิปฮอปน่ะ เป็นวัฒนธรรมที่ยอดเยี่ยมมาก”
“ถึงแม้ผมจะออกจากชมรมมาแล้วก็จริง แต่ยังไงผมก็ได้รับความสุขจากที่นั่น”
“ถ้าผมช่วยได้ ผมก็จะช่วยชมรมฮิปฮอปแหละครับ” เดวิดพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นหรอ....”
“จริงสิ วันนี้ที่ชั้นไปคลาสเรียนเต้นมา มีอยู่คนนึงเต้นเก่งมากเลยล่ะ”
“ถ้านายได้เธอไปอยู่ในปาร์ตี้ต้องสนุกมากขึ้นแน่ๆ”
“รู้สึกจะชื่อ....”
“ซอนมุลล่ะมั้ง?” สลาต้าพูดถึงชื่อของคนๆนึงขึ้นมา
“งั้นหรอครับ! ดีล่ะ จะไปคว้าตัวมาให้ได้เลย” เดวิดพูดพร้อมรอยยิ้ม
“เฮ้อ นายนี่ดีจังนะแม้จะออกจากชมรมไปแล้ว แต่ก็ยังกลับไปช่วยอยู่เรื่อยๆได้”
“แล้วรุ่นพี่ไม่ได้กลับไปเลยหรอครับ?” เดวิดถาม
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ตั้งแต่ชั้นมาในสังกัดเอ็มเอ ก็ไม่มีเวลากลับไปที่ชมรมอีกเลย”
“แต่ก็ยังโชคดีล่ะนะ ที่พวกเขาเข้าใจชั้นมาโดยตลอด”
“ไม่เหมือนกับอีกคน.......”
---------------------------------------------------------------------
2024 วันที่4
ที่นั่งเล่น
คริสเตียน รอธเวลล์ เจ้าของฉายาศิลปินผู้สันโดษ เหตุผลที่เขาเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นของสังกัดเอ็มเอ ก็เป็นเพราะการคุยกันของเดวิดและสลาต้าทำให้เขาไม่มีสมาธิในการแต่งเพลงของเขาเลย เขาเลยตัดสินใจเดินออกจากห้องนั้นเพื่อมาที่มุมโปรดของเขาในโรงเรียนนี้ มันอยู่ที่สวนของโรงเรียนที่ไม่ค่อยมีนักเรียนมามากนัก มันเป็นที่นั่งไม้เก่าๆ แต่ก็สงบร่มเย็นมาก แต่ดูเหมือนในวันนี้จะไม่เหมือนกับทุกวันที่ผ่านๆมา
“ยูริ?”
คริสเตียนเรียกชื่อของผู้หญิงคนนึง เธอมีใบหน้าที่สะสวยในแบบของชาวเอเชีย เธอกำลังจดอะไรบางอย่างอยู่ในสมุดโน้ตของเธอ และเธอถึงกับสะดุ้งเมื่อคริสเตียนเรียกชื่อของเธอ
“รุ่นพี่ คริสเตียน....” ยูริดูอึ้งๆที่เธอมาเจอเข้ากับคริสเตียนที่นี่
“สมุดนั่นน่ะ คงไม่ได้เขียนเพลงหรอกนะ”
“เพลงที่เธอเขียน มันไม่เคยได้เรื่องเลย” คริสเตียนพูดตรงๆ
“หยุดเลยนะคะ รุ่นพี่” ยูริพูดด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว
“ขอนั่งด้วยสิ”
คริสเตียนพูดกับสาวเอเชียที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ก่อนที่เธอจะขยับตัวไปทางซ้ายเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับคริสเตียน และหลังจากที่มีที่ว่าง คริสเตียนก็ขยับเข้าไปนั่งลงที่ข้างๆเธอ
“รุ่นพี่ลาร์ส เขาโกรธรุ่นพี่มากนะคะ” ยูริพูดขึ้น
“ก็ไม่แปลกใจหรอก” คริสเตียนพูดอย่างเย็นชา
“ถ้างั้น....”
“ทำไมถึงทำแบบนี้หรอคะ?” ยูริถามคริสเตียนถึงอะไรบางอย่าง
“……………….” คริสเตียนเงียบ
“ยูริ! กลับมานี่นะ”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันถึงเรื่องอะไรบางอย่าง เสียงของชายคนนึงก็ดังขึ้น คริสเตียนกับยูริหันไปหาต้นตอของเสียงนั่น และพบกับชายคนนึง เขาเป็นคนที่ยูริและคริสเตียนรู้จักเป็นอย่างดี เขามีส่วนสูงพอๆกับคริสเตียน ผมของเขามีสีฟ้าและเขาบังเอิญเดินมาที่สวนนี่พอดี และเมื่อเขาเจอสาวเอเชียนามว่ายูรินั่งอยู่กับคริสเตียน สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ไม่เอาน่า รุ่นพี่ลาร์ส” ยูริพยายามทำให้เขาใจเย็นลง
“เธออย่าไปคุยกับมันนะยูริ....”
“คนทรยศแบบนั้นน่ะ”
------------------------------------
We’re not a pop band
วงนี้มันไม่ป๊อบเอาซะเลย EP.2
“กิจกรรมชมรม 1”
-------------------------------------------------------------------------
2024 วันที่4
ห้องของชมรมอีซีลิเซ็นนิ่ง
ห้องนี้เป็นห้องของชมรมอีซีลิเซ็นนิ่ง ซึ่งรวบรวมแนวเพลงประเภทฟังๆง่ายๆไว้ทั้งหมด มันมีลักษณะเหมือนห้องนั่งเล่นชิลๆ มีขนาดไม่ใหญ่เท่าไร มีเสียงเพลงที่ฟังง่ายๆชิลๆเปิดคลอเบาๆอยู่ตลอด โดยที่ชมรมนี้เป็นชมรมที่มีคะแนนอยู่ระดับกลางๆ
ในส่วนของคะแนนชมรมนั้นมีลักษณะคล้ายกับ “ธนาคาร” โดยที่วิธีก็คือ นักเรียนแต่ละคนจะเอาคะแนนส่วนตัวของตัวเองไปฝากเอาไว้ในชมรม โดยในแต่ละเดือนพวกเขาก็จะได้”ดอกเบื้ย”5เปอร์เซ็น ตอนสิ้นเดือนนั้นๆ โดยที่จะคิดจากยอดฝากคะแนนของชมรมและทุกคนจะได้เท่ากันหมด ซึ่งแปลว่าไม่ว่าจะฝากมากหรือน้อยเท่าไรหรือไม่ฝากเลย ก็จะได้ดอกเบี้ย5เปอร์เซ็นเท่ากัน
ยกตัวอย่าง ชมรมเอมีสมาชิก10คน ชมรมเอมียอดฝากคะแนน100คะแนน แปลว่าพอถึงสิ้นเดือนพวกเขาจะได้คะแนนพิเศษ5คะแนน โดยที่เอ็มเอนี้จะมีเรียนสองภาคการศึกษา คิดเป็นเวลาทั้งหมดสิบเดือน เท่ากับ เมื่อถึงตอนสอบปลายภาคการเรียนที่2 สมาชิกของชมรมเอจะได้คะแนนพิเศษเพิ่มมาถึง50คะแนนเลยทีเดียว โดยที่คุณสามารถถอนคะแนนออกมาใช้ได้ถ้าฉุกเฉินแต่ต้องได้รับการยินยอมจากหัวหน้าชมรมซะก่อน
และก็ไม่ต้องกลัวว่าคะแนนมันจะเฟ้อ เพราะว่าอย่างที่บอกไป นักเรียนทุกคนจะต้องมีคะแนนถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้เมื่อถึงตอนสอบปลายภาค ถ้ามีไม่ถึงก็จะถูกคัดออก สำหรับนักเรียนบางคนแค่รักษาระดับคะแนนให้ถึงเกณฑ์ก็ยากพอแล้ว การจะนำมันมาฝากไว้ที่ชมรม คงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำนักถ้าคุณไม่ได้มีคะแนนเหลือใช้จริงๆ
ในขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดอื่นๆอยู่ด้วย นั่นก็คือ ในหนึ่งชมรมจะมีคะแนนสูงสุดได้แค่1000คะแนนเท่านั้น และชมรมที่มีคะแนนน้อยกว่า200ในแต่ละเดือนจะถูกสั่งยุบ นั่นเป็นเหตุผลที่ ชมรมต่างๆมักจะไม่ค่อยอยากได้คนที่มีคะแนนต่ำๆมาอยู่ในชมรมซักเท่าไร เพราะพวกนั้นจะเหมือนปลิงมาเพื่อคะแนนกินฟรีจากชมรมนั่นเอง และนี่ถือเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่โหดร้ายของสถานบันเมโทรนอม อาคาเดมี่ แห่งนี้
“นายชื่อเอริค สินะ เอ.... นามสกุลอ่านยากจัง” น้ำเสียงชวนง่วงของหญิงสาวคนนึงพูดขึ้น
ขอบตาของเธอคล้ำกว่าคนปรกติไปมาก ภายในห้องนี้ มีคนอยู่ไม่มากเท่าไร ดูเหมือนสมาชิกของชมรมส่วนใหญ่จะอยู่ปีสองและสาม ทำให้มีเด็กปีหนึ่งมาที่นี่ค่อนข้างน้อยถ้าเทียบกับชมรมชื่อดังกว่าอย่าง ร็อค , ป๊อบ หรือ ฮิปฮอป โดยที่เบื้องหน้าของสาวขอบตาคล้ำคนนี้เป็นชายผมหยกศก หน้าตาของเขาดูเบื่อโลกและดูไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างซักเท่าไร
“เอริค เกริกเซนเต้”
“ผมพูดมาสามรอบแล้วนะครับรุ่นพี่”เอริคพูดกับหญิงสาวเบื้องหน้าเขา
“อืม..... เอริค เทรเซเก้สินะ ชั้น ลิซ่า กัลลาเกอร์” เธอพูดนามสกุลเอริคผิดๆก่อนจะแนะนำตัวเอง
“เฮ้อ... ครับๆ เทรเซเก้ ก็เทรเซเก้” เอริครู้สึกเหนื่อยใจ
“นาย น่ะ เอริคสินะ นายเป็นนักดนตรีหรือนักร้องล่ะ?” สาวขอบตาคล้ำถามเขา
“เป็นนักร้องครับ เมื่อกี้ก็ถามไปแล้วนะครับ” เอริคพูดด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“อืม....”
“ไหนร้องให้ฟังหน่อยสิ” ลีซ่าบอกให้เอริคร้องไห้ฟัง
“เมื่อกี้ผมก็ร้องไปแล้วไง”
เอริคมาที่ชมรมนี้ตั้งแต่ประมาณ20นาทีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ เขายังไม่ได้ลงชื่อเพื่อเข้าชมรมเลย โดยที่ตำแหน่งหัวหน้าชมรมในแอพพลิชั่นได้บอกว่าหัวหน้าชมรมอีซี่ลิเซ็นนิ่ง คือ ลาร์ส สตาร์คีย์ เป็นมือกลองอยู่ปี3 แต่พอเอริคเข้ามาที่ชมรมจริงๆ เขาดันเจอเข้ากับ “ลิซ่า กัลลาเกอร์” หญิงสาวผู้เชื่องช้า ทั้งๆที่เอริคร้องเพลงรวมถึงแนะนำตัวให้ฟังไปหลายรอบแล้ว แต่ลิซ่าก็ยังหลงๆลืมๆอยู่ดี ทันใดนั้นเอง
“ทีหลังห้ามไปคุยกับหมอนั่นอีกนะ ยูริ”
เสียงของชายผมฟ้าคนนึงพูดดังเข้ามาในห้องก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหญิงชาวญี่ปุ่น ที่ถูกเรียกว่า “ยูริ” เขาเปิดประตูเข้ามาแล้วพบกับเอริคและลิซ่ากำลังนั่งคุยกัน
“ว่าไงลิซ่า ว่าแต่หมอนี่เป็นใครละเนี่ย?” ชายผมฟ้าพูดกับลิซ่าก่อนที่จะถามว่าเอริคเป็นใคร
“เอริค เกริกเซนเต้ครับ อยู่ปีหนึ่งครับ” เอริคแนะนำตัว
“อืม จะมาเข้าชมรมสินะ รอแปปนะ” ลาร์สพูดก่อนที่จะเดินไปหยิบปากกาและเอกสารมาให้เอริคลงชื่อ
“รุ่นพี่ลาร์สดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ”
“มีอะไรหรอยูริ?” ลิซ่าถามสาวญี่ปุ่นในขณะที่ลาร์สกำลังหาเอกสารอยู่
“ชั้นไปบังเอิญเจอรุ่นพี่คริสเตียนมาน่ะ”
“เรานั่งคุยกันแค่นิดหน่อย รุ่นพี่บ้านี่ก็เข้ามาทำเป็นเรื่องใหญ่ไปหมด” ยูริพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“ก็เธอน่ะ ไปทำตัวสนิทสนมกับหมอนั่นแบบนั้น เดี๋ยวคนเขาก็คิดว่าเราง้อหมอนั่นน่ะสิ”
“พอได้เข้าสังกัดเอ็มเอ หมอนั่นก็ทิ้งพวกเราไปอย่างไม่ลังเลเลย....”
“ทั้งๆที่พวกเราผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งเยอะแท้ๆ” ลาร์สพูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง
“ขอโทษนะครับ” เอริคพูดพร้อมยกมือขึ้น
“เมื่อไรผมจะได้เข้าชมรมหรอครับ?” เอริคถาม
“อ่อใช่ นายเป็นเด็กใหม่สินะ คงไม่รู้เรื่องอะไร” ลาร์สพูดกับเอริค
“เอาล่ะชั้นจะเล่าความชั่วร้ายของเจ้าคริสเตียนให้นายฟังเอง” .
“เดี๋ยว ไม่ได้อยากฟังซะหน่อย”
เอริคอยากจะพูดแบบนั้นออกไป แต่นั่นก็ไม่ทันกาลแล้ว เอริคที่แค่อยากมาเข้าชมรมต้องทนฟังลาร์สเล่าความเป็นมาของ คริสเตียนและตัวเขาอย่างยืดยาว
เรื่องมันเริ่มจาก ลาร์สกับคริสเตียน ที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ทั้งคู่อยู่ชมรมเดียวกันมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง คริสเตียนต้องการเป็นศิลปินเดี่ยวมาตลอดก็จริง แต่ในการแสดงในบางเพลง คริสเตียนไม่สามารถใช้แค่กีต้าร์เพียงอย่างเดียวได้ เขาจำเป็นต้องใช้วงแบ็คอัพ ซึ่งลาร์สในตอนนั้นก็เป็นคนตีกลองให้การแสดงของคริสเตียนในทุกๆครั้ง
และตอนที่ทั้งคู่ขึ้นปีสอง พวกเขาก็ได้พบกับ ลิซ่า และ ยูริ สองสาวปีหนึ่งที่มาสมัครที่ชมรม ทั้งสี่คนเริ่มสนิทกันและลาร์สมีความคิดอยากรวมวงกับคริสเตียน แต่คริสเตียนไม่ต้องการแบบนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขา จึงเป็นไปแบบ วงของลาร์สที่ประกอบไปด้วยตัวเขาเองกับยูริและลิซ่า ได้เป็นแค่วงแบ็คอัพให้คริสเตียนตลอดช่วงภาคการศึกษาที่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งลาร์สคิดว่าคริสเตียนเป็นเพื่อนของเขาและเขาคิดว่าคริสเตียนจะอยู่กับพวกเขาตลอดไป
แต่ด้วยฝีมือของคริสเตียนที่นับวันยิ่งเฉิดฉายมากขึ้น ตอนปีสองในภาคเรียนที่สอง เขาจึงถูกดึงตัวไปอยู่ในสังกัด เอ็มเอ ซึ่งลาร์สก็ไม่ได้ต้องการให้คริสเตียนอยู่ต่อเพราะเห็นแก่ตัวหรืออะไร เขายินดีถ้าคริสเตียนจะไปอยู่ที่สังกัดเอ็มเอ แต่ทว่าหลังจากที่คริสเตียนไปอยู่ที่สังกัดเอ็มเอ เขาก็หายหน้าหายตาไปเลย เขาแทบไม่มาเจอลาร์สหรือคนอื่นๆอีกเลยหลังจากนั้น
วงแบ็คของคริสเตียนก็ถูกเปลี่ยนจากวงของลาร์ส เป็นวงดนตรีอาชีพที่ทางเอ็มเอออกเงินจ้างมา ทำให้ลาร์สรู้สึกผิดหวังในตัวคริสเตียนมากที่ ทอดทิ้งพวกเขาไปอย่างไม่ใยดีและทำอย่างกะพวกเขาไม่ใช่เพื่อนกัน ทั้งที่ลาร์สก็แค่คาดหวังให้คริสเตียนแวะมาทักทายกันเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่เขาก็ไม่เคยมาเลย
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ” ลาร์สพูดกับเอริค
“งั้นหรอครับ....” เอริครู้สึกงงๆนิดหน่อย
"อ่ะนี่ใบสมัครเข้าชมรม กรอกให้ครบถ้วนนะ”
ลาร์สพูดพร้อมยื่นใบสมัครเข้าชมรมให้เอริคหลังจากปล่อยให้เขารอมานาน เอริครับใบสมัครไปก่อนที่จะเริ่มเขียนและกรอกประวัติรวมถึงสิ่งต่างๆที่ใบสมัครนี้ต้องการ แต่ดูเหมือนว่า หัวหน้าชมรมอย่างลาร์ส จะยังมีอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่
“แต่ถึงชั้นจะโกรธมันแค่ไหน ชั้นไม่สนใจเจ้านั่นแล้วล่ะ”
“เพราะชั้นมีเธอแล้วไงล่ะ!” ลาร์สพูดกับยูริ
“นี่รุ่นพี่คะ ชั้นน่ะแต่งเพลงได้ไม่เก่งเท่ารุ่นพี่คริสเตียนหรอกนะ เทียบไม่ติดเลยด้วย”
“แถมเสียงร้องของชั้นก็แค่ธรรมดาๆเอง ชั้นเป็นนักร้องนำให้ไม่ได้หรอกค่ะ” ยูริเถียงกับลาร์ส
“ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครล่ะ?”
“ชั้นตีกลองนะยูริ แค่ตีกลองอย่างเดียวก็เหนื่อยมากแล้ว”
“ถ้าร้องไปด้วยตีกลองไปด้วย ชั้นไม่ตายหรอ?” ลาร์สเถียงกับยูริ
“ถ้างั้นก็ลิซ่าไงคะ” ยูริพูดพร้อมชี้มาที่ลิซ่า
“โถ่ เธอดูหน้ายัยนี่ด้วย”
“ เอาหน้าแบบนี้ไปร้อง คนดูไม่หลับกันหมดหรอ แค่พูดถึงก็เริ่มง่วงแล้วนะเนี่ย” ลาร์สพูดอย่างหดหู่
“ถ้างั้นจะเอายังไงล่ะ!” ยูริเริ่มขึ้นเสียง
“นี่... ทุกคน” ลิซ่าพูดด้วยเสียงง่วงๆของเธอ
“คนๆนั้น.....”
“เขาบอกว่าเขาเป็นนักร้องล่ะ”
ลิซ่าพูดพร้อมชี้นิ้วมาที่เอริค ที่กำลังนั่งเขียนใบสมัครอยู่อย่างเงียบๆ และในขณะที่เขาไม่ทันระวังตัว ทั้งสามคนก็เริ่มหันมาที่เอริคเป็นสายตาเดียว ดูเหมือนว่า “เอริค” อาจจะเป็นตัวหยุดความขัดแย้งซะแล้วสิ
“นี่ไอ้หนูร้องให้ฟังหน่อยสิ” ลาร์สพูดกับเอริค
“ต่ะ แต่เมื่อกี้ผมร้องไปแล้วนี่ครับ” เอริคพูดกับลาร์ส
“ตอนนั้นชั้นไม่อยู่นี่!! หัวหน้าชมรมไม่อยู่เท่ากับไม่นับไม่ใช่รึไง!” ลาร์สพูดด้วยตรรกะที่หน้าหนาใช่ได้
“เฮ้อ เอางั้นก็ได้ครับ”
เอริคพูดก่อนที่จะหายใจเข้าออกช้าๆ เขาหลับตาของเขาลงเพื่อทำสมาธิ เขาต้องการที่จะร้องมันออกมาให้ดีที่สุด...เท่าที่จะทำได้หลังจากรวมรวมสมาธิเสร็จ เอริคก็เริ่มเปล่งเสียงของเขาออกมา
เอริคเริ่มร้องเพลงที่เขาแต่งเองด้วยเสียงที่เต็มเปี่ยมไปอารมณ์ที่ซับซ้อนข้างในใจของเขา เขาออกเสียงได้ชัดและสื่อสารอารมณ์ออกมาได้อย่างดี และเสียงของเขาไม่ใช่แค่การพ่นเสียงร้องออกมาเพียงอย่างเดียว เขายังผสมเสียงลมเบาๆออกมาด้วย และนั่นทำให้เสียงของเขามีความใสและน่าฟังมากยิ่งขึ้น เสียงของเอริคเหมือนกับชาอุ่นๆที่เสิร์ฟยามบ่าย มันทำให้ผู้ฟังที่เหนื่อยกับงานและการเรียนมาตลอดช่วงเช้ารู้สึกผ่อนคลายในช่วงเวลาพักและทำให้มีความพร้อมที่จะกลับไปทำงานในช่วงบ่ายด้วยความรู้สึกที่สงบ เสียงของเอริคมีพลังที่ทำให้ผู้ที่ฟังมันรู้สึกแบบนั้น
“อืม” ลาร์สตอบรับสั้นๆหลังจากเอริคร้องเสร็จ
“เป็นยังไงบ้างครับรุ่นพี่ ให้ผมเข้าชมรมได้รึยัง?” เอริคเริ่มหัวเสียหน่อยๆ
“นายน่ะ...”
“แต่งเพลงนี้เองรึเปล่า?” ลาร์สถาม
“ใช่ครับ ผมแต่งมันเอง จริงๆมันก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์หรอกครับ” เอริคตอบแบบเซ็งๆ
“งั้นหรอ....”
“อืม..... “
“เอริค…”
“นายน่ะ….”
“....มาเป็นนักร้องให้วงของชั้นเถอะ….”
ลาร์สลงไปคุกเข่าและพูดคำนี้ออกมาราวกับขอเจ้าสาวแต่งงาน ซึ่งเป็นภาพที่ทุเรศนัยน์ตาสิ้นดี
--------------------------------------------------------------
2024 วันที่4
ที่นี่คือห้องของชมรมเพลงร็อค มันมีลักษณะเหมือนคลับแบบวินเทจ มีเวทีไม้ตั้งอยู่ตรงกลาง และรอบๆก็มีเก้าอี้และโต๊ะตั้งอยู่ และพวกเขาก็มีบาร์เครื่องดื่มเป็นของตัวเองด้วย ภายในห้องนี้ มีคนอยู่มากมายเหล่าเด็กปีหนึ่งมาที่นี่หลายคน แต่ว่าก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เข้าร่วมกับชมรมนี้ พวกเขาต้องเทสฝีมือก่อน ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปแบบนี้
มีเด็กปีหนึ่งหลายคนต้องผิดหวังกลับไปเพราะฝีมือไม่ถึงขั้น และด้วยคะแนนชมรมที่สูงของที่นี่ ทำให้พวกเขาต้องคัดเลือกกันอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่มีใครเข้ามาแค่นั่งรอส่วนแบ่งคะแนนชมรมของพวกเขา แต่ทว่ามีนักเรียนอยู่สองคน ที่ยังไม่ทันได้โชว์ฝีมือ ก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าชมรมทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
“หมายความว่าไงที่บอก ไม่ให้พวกเราเข้าน่ะ” เสียงของชายผมสีม่วงแดงพูดขึ้น
“ก็หมายความตามที่บอกแหละไอ้โง่”
เสียงของชายฝั่งตรงข้ามดังขึ้น เขาเป็นชายผมยาวที่ดูทรงแล้วคงไม่ได้ค่อยจัดทรงเท่าไร เขาใส่เสื้อแขนยาวสีขาว เขามีขอบตาที่ดำคล้ำ และคิ้วเขาก็บางมากๆ ชายคนนี้คือ “ริชาร์ด ไรเดอร์” ผู้เป็นประธานชมรมเพลงร็อคคนล่าสุด ว่ากันว่าเขาได้ตำแหน่งนี้มาเพราะใช้การประลองดนตรี หรือ กิก แบทเทิ่ล(Gig Battle)
โดยที่ ริชาร์ดนั้น เขาแตกต่างจากนักเรียนคนอื่นๆโดยสิ้นเชิงเขามีคะแนนที่สูงถึงระดับเกือบๆพันคะแนน ซึ่งเขาไม่ได้ได้มันมาเพราะเรียนเก่งหรือว่าทำเพลงออกมาได้โด่งดังอะไรมากมาย แต่เขาใช้วิธี “ขโมยมา” ซะมากกว่า ริชาร์ดกับวงดนตรีของเขา “แทรชแคน” จะท้าทายนักเรียนคนอื่นๆเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนน เขาทำแบบนั้นมาโดยตลอด
และเรื่องมันเกิดขึ้นจากตอนที่โนเอล และเลียม สองเกลออัลเทอเนทีฟ ได้เดินทางมาที่ชมรมร็อคเพื่อเข้าร่วม แต่ทว่าพวกเขากลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า “ชั้นไม่ชอบอัลเทอเนทีฟร็อค ชั้นไม่ให้พวกแกเข้า” และนั่นทำให้โนเอลและเลียมไม่พอใจมากๆ
“ก่อนหน้านี้มันมีคนอยู่กลุ่มนึง ที่อยากจะทำร็อคกากๆแบบพวกแก”
“แต่ชั้นไม่ให้มันทำ พวกมันเลยขอลาออกไปตั้งชมรมกันเอง”
“แต่จนถึงตอนนี้ พวกมันก็ยังไม่มีปัญญาตั้งชมรมกันได้เลย”
“ไอ้พวกคนที่ชอบแนวเพลงอัลเทอเนทีฟ มันเป็นคนแบบนั้นทุกคนแหละ” ริชาร์ดยังคงแดกดันโนเอลกับเลียม
“แล้วใจคอพวกแกจะเล่นแต่เมทัลร็อคกันรึไง?”
“ไม่คิดจะมีอะไรใหม่ๆเลยหรอ?”โนเอลเถียงกลับ
“ไม่ล่ะขอบใจ ชั้นชอบแบบไหน ก็แปลว่าชั้นจะทำแบบนั้น”
“ที่นี่ต้องการแค่เมทัลเท่านั้น นอกนั้นไปไกลๆเลย” ริชาร์ดพูดอย่างขวานผ่าซาก
“อะไรวะ โชว์ก็ยังไม่ได้โชว์เลย” เลียมก็อารมณ์ขึ้นเช่นกัน
“ใช่ โชว์ก็ยังไม่ได้โชว์เลย”โนเอลพูดเสริมเลียม
“ฝีมือพวกชั้นน่ะ มีมากกว่าพวกที่แกคัดให้ผ่านไปเมื่อกี้ตั้งหลายคน”
โนเอลพูดในสิ่งที่เชาคิดออกมาโดยไม่ทันคิด และในตอนนั้นเขาไม่รู้เลยว่าคำพูดนั่นได้สร้างความไม่พอใจให้ฝูงชนโดยรอบอย่างมากเป็นอีกครั้งที่โนเอลสร้างความไม่น่าประทับใจให้คนรอบๆตัว
“อะไรวะ พวกแกเนี่ยนะเล่นดีกว่า”
“อะไรของมันวะ คิดว่าเก่งนักรึไง”
“อย่ามาดูถูกกันนะ!!”
พวกชมรมเพลงร็อคและผู้ที่มาใหม่สมัครเริ่มไม่พอใจการกระทำของโนเอลและเริ่มส่งเสียงโห่ขับไล่โนเอลละเลียมอย่างหนัก พวกเขาเริ่มมีปากเสียงกันอย่างหนัก และด้วยนิสัยของโนเอลและเลียมที่เป็นแบบนี้ ทำให้มันไม่มีวันเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะยอมแพ้ให้กับสิ่งที่เขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมแบบนี้
“ถ้าเก่งจริงพวกแกที่ผ่านการคัดเลือกน่ะมาแข่งกันมั้ยล่ะไอ้เวรเอ้ย!!” เลียมเดือดสุดๆเลยในตอนนี้
“เข้ามาให้หมดเลยก็ได้นะไอ้กร๊วก” โนเอลตะโกนเสียงดังให้กลับเช่นเดียวกับเลียม
สถานการณ์ในตอนนี้เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่รู้ๆกันชมรมร็อคไม่เหมือนกับชมรมป๊อบหรืออาร์แอนบี ที่จะมีแต่คนที่ใจเย็นน่ารักกรุ๊งกริ๊ง แต่ที่นี่เต็มไปด้วยเหล่าสัตว์ป่ากระหายเลือด ที่พร้อมจะเดือดดาลและอาละวาดได้ทุกเมื่อ การที่โนเอลและเลียมมาอาละวาดที่นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเอาซะเลย
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ไอ้พวกนี้มันโครตบ้าเลยว่ะ” ริชาร์ดที่เห็นทั้งสองคนพยายามต่อสู้ถึงกับหลุดขำออกมา
“เอาล่ะทุกคนใจเย็นกันหน่อย” ริชาร์ดพูดให้ทุกคนใจเย็นๆกันก่อน
“พวกแกสองคน อยากจะต่อสู้มากซินะ”
“ได้!!”
“ชั้นจะให้แกได้สู้”
“และจะเป็นการสู้ในสังเวียนที่เรียกว่า.....”
“การประลองดนตรี หรือกิกแบทเทิล”
ทันที่ริชาร์ดพูดจบเสียงฮือฮาจากผู้คนแถวๆนั้นก็ดังขึ้น พวกเขาเริ่มซุบซิบกันรวมถึงโทรเรียกเพื่อนๆและคนอื่นๆให้มาดูการแข่งขันที่เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของสถานบันเอ็มเอ “การประลองดนตรี” และหลังจากที่ริชาร์ดพูดจบเขาก็เรียกเลียมกับโนเอลให้เดินตามเขาขึ้นไปบนเวทีตรงกลาง
“คู่ต่อสู้ของพวกแก จะเป็นสองคนที่ชั้นเลือกจากคนที่ผ่านการคัดเลือกไปแล้ว”
“ซึ่งถ้าแกเอาชนะได้ แกจะได้เข้าชมรมนี้ตามที่ต้องการ”
“แต่ถ้าแกแพ้...”
“หุบปากแล้วใสหัวออกจากที่นี่ไปซะ แล้วห้ามกลับมาที่นี่อีกตลอดกาล”
“โอเคมั้ย?”
ริชาร์ดพูดข้อเสนอของเขาให้เลียมกับโนเอลฟัง ทั้งสองคนเงียบไปแปปนึง ก่อนที่จะหันกลับมาตอบริชาร์ดด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
“เอาสิ! พวกชั้นไม่เคยกลัวหรอกว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร” โนเอลพูดด้วยความมั่นใจ
“ดีล่ะ! ชั้นชอบพวกแกจริงๆให้ตายสิ พวกคนที่มีความทะนงตัวแบบพวกแก”
“ชั้นชอบที่จะดูพวกมัน เพราะเวลาที่พวกมันล้มลง มันโคตรน่าสมเพชสุดๆ”
“และชั้นโคตรชอบวินาทีนั้นเลย”ริชาร์ดพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ
“เอาล่ะ พวกแกไปเรียก อามาตะมาสิ!!”
ริชาร์ดตะโกนเรียก ให้สมาชิกชมรมร็อคไปเอาตัวคนๆนึงมา ก่อนที่จะปรากฏรูปร่างของหนุ่มชาวญี่ปุ่น หน้าตาของเขาติ๋มๆหงิมๆดูไม่มีสง่าราศีเอาซะเลย ใบหน้าของเขาดูกล้าๆกลัวๆอย่างบอกไม่ถูก เขาเหมือนกับกวางน้อยในถ้ำของเสือโคร่งยังไงอย่างงั้น ซึ่งถ้าเอาเรื่องรูปลักษณ์ของเขามาเปรียบเทียบกับเลียมและโนเอลล่ะก็ มันทำให้รู้ได้ทันทีว่าใครที่แข็งแกร่งกว่า แต่ก็ยังโชคดีที่ การแข่งขันนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือไม่ใช่รูปลักษณ์
“นี่คือ อามาตะ นามสกุลช่างมันเถอะ เรียกยาก” ริชาร์ดพูดแบบขอไปที
“หน้าติ๋มๆแบบเนี้ยเนี่ยนะ!” เลียมตะโกนใส่อามาตะ
“ข่ะ ขอโทษครับ!!!” อามาตะถึงกับสะดุ้งด้วยความกลัว
“อย่าดูถูกหมอนี่ให้มากดีกว่านะคุณเลียม”
“เพราะหมอนี่ก็เป็นมือกลองเหมือนกับแก” ริชาร์ดพูดกับเลียม
“หืม..... เป็นมือกลองสินะ….”
“ดีแล้วล่ะ.....”
“เพราะชั้นจะขยี้แกให้แหลกคามือไปเลยไอ้@#$#%!!!” เลียมกำลังเดือดสุดๆเลยในตอนนี้
“ข่ะ ขอโทษครับ!!!”
อามาตะขอโทษออกมาอีกครั้ง การที่เขาต้องมาอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ป่าเถื่อนและ โหวกเหวกโวยวายเสียงดังแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกหวาดหลัวและประหม่าขั้นสุด เขาอยากที่จะโดดลงจากเวทีแล้วซื้อตั๋วเครื่องบินกลับญี่ปุ่นไปเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าบนเส้นทางอันแสนมืดมิด ก็ยังคงมีแสงสว่างอยู่.....
“ไม่ต้องขอโทษหรอก อามาตะคุง.....” โนเอลพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ใจเย็นๆ แล้วมาสู้กันอย่างยุติธรรมเถอะนะ....”
“นายไม่จำเป็นต้องกังวัลอะไรทั้งนั้น....” โนเอลพูดด้วยใบหน้าที่ดูใจดีอย่างกับพ่อพระ
“ขะ ขอบคุณครับ....” อามาตะรู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เอาน่าไม่ต้องขอบคุณหรอก”โนเอลพูดต่อ
“เพราะว่ายังไง….”
“……………”
“แกก็แพ้พวกเราอยู่ดีนั่นแหละ!!!!!!!!!!!!” โนเอลตะโกนใส่หน้าอามาตะอย่างเฉียบพลัน
“ว๊ากกกกกกกกกกก” อามาตะที่ตกใจสุดขีดถึงกับตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” โนเอลกับเลียมหัวเราะใส่หน้าอามาตะอย่างสนุกสนาน
“เห้ยไอ้พวกนี้มันนิสัยโครตแย่เลย!” คนดูเริ่มเดือดแทน
สถานการณ์ตอนนื้คือ โนเอลและเลียมสามารถโดนกระทืบได้เลย เพราะทุกคนที่นี่กำลังเดือดดาลและอย่างจะเล่นไอ้สองตัวนี้ให้กลับบ้านไม่ถูกมาก แต่ยังโชคดีที่โรงเรียนมีกฎห้ามใช้ความรุนแรงอยู่
“อย่าลีลาน่า ริชาร์ดไปเอาคนต่อไปมาเลยไป” โนเอลพูดกับริชาร์ด
“ฮ่าๆ ใจเย็นๆ ยังไงวันนี้พวกแกก็ได้แข่งกับพวกเขาแน่ๆ”
“เอาล่ะไปเอาตัวอีกคนนึงมา”
“แบรนดอน ดัสท์ ไปเอามา!!!!” ริชาร์ดพูดกับลิ่วล้อของเขา
“เห้ย!!!” โนเอลกับเลียมถึงกับอุทานออกมาพร้อมกัน
หนุ่มผมบลอนด์สว่าง แบรนดอน เดินออกมาตามคำเรียกของพวกลิ่วล้อ เขามาพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นมิตรกับทุกๆคนเช่นเคย เขา โบกไม้โบกมือให้กับทุกคนต่างกับอามาตะที่ยืนตัวแข็งอยู่บนเวที โนเอลกับเลียมที่มั่นใจมาตลอด เริ่มรู้สึกถึง “ลางร้าย” พวกเขารู้สึกเหมือน กำลังจะหน้าแหกในอีกไม่ช้ายังไงไม่รู้
“เจอกันอีกแล้วนะ โนเอล”
"แบรนดอน...." โนเอลพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อ่าว คราวนี้ไม่เห็นขู่เจ้านี่เหมือนที่ขู่ อามาตะเลยแหะ” ริชาร์ดดูงงๆกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเลียมและโนเอล
“เลียม ชั้นรู้สึกไม่ค่อยดีเลยว่ะ” โนเอลผู้ประจักษ์ถึงฝีมือของแบรนดอนไปแล้วรู้สึกเครียดขึ้นมา
“อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ!! แบรนดอนน่ะก็...!! “
“ก็คงไม่ค่อยเก่งหรอกมั้ง ฮ่าๆๆ” เลียมสร้างความมั่นใจให้ตัวเองด้วยการหลอกตัวเอง
“นั่นสินะ!!!” โนเอลเองก็กำลังหลอกตัวเองเช่นเดียวกับที่เลียมทำ
“เอาล่ะทุกคนเงียบ” ริชาร์ดบอกให้ทุกคนเงียบลงอีกครั้ง
“ชั้นคิดว่าอาจจะมีบางคนที่นี่ไม่รู้จัก การประลองดนตรี”
“ชั้นจะอธิบายให้ฟังซะหน่อย”
การแข่งขันการประลองดนตรีมี2แบบด้วยกันคือแบบเล็กกับแบบใหญ่ ขึ้นอยู่กับความสำคัญ โดยครั้งนี้จะเป็นการแข่งแบบเล็ก ซึ่งการประลองแบบเล็กนั้นจะทำได้โดยที่ใช้แอพพลิเคชั่นของโรงเรียนประกาศให้คนภายนอกรู้ และหลังจากนั้นก็จะทำการถ่ายทอดสดทางแอพพลิเคชั่น โดยที่ในการประลองดนตรีจะมีคนดูได้ครั้งละ50คน และจะต้องเริ่มภายใน5นาที หลังจากที่มีคนดูเข้ามาครบ50คนแล้ว โดยการตัดสินทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับการโหวตของคนดู 1คน1คะแนนเสียง ใครได้มากกว่าก็ชนะไป
“เหอะ ของง่ายๆ” โนเอลยังคงผยอง
“ชั้นให้เวลาพวกนายทีมละ10นาทีเตรียมตัวให้พร้อม”
“ใครจะเริ่มก่อนเริ่มหลังคุยกันเองละกัน”
ริชาร์ดพูดก่อนที่จะเดินจากไป ทิ้งทั้งสี่คนยืนจ้องหน้ากันบนเวทีที่เตรียมไว้ ในขณะที่สมาชิกชมรมคนอื่นๆและคนดูก็ต่างโทรเรียกเพื่อนเรียกฝูงให้รู้ข่าว ทำให้ชมรมร็อคตอนนี้นั้น มีนักเรียนเป็นร้อยๆคนมามุงดูการประลองดนตรี “ครั้งแรก” ประจำปีการศึกษานี้
“ที่นายบอกว่ามีธุระและทิ้งชั้นสองคนไว้ตอนนั้น”
“คือแบบนี้เองสินะ” โนเอลพูดกับแบรนดอน
“ฮ่าๆ โทษทีนะ ตอนนั้นชั้นนึกว่าพวกนายรู้อยู่แล้วน่ะ”
“ชมรมร็อคน่ะ ขืนมาช้าที่ก็เต็มกันพอดี” แบรนดอนพูดกับโนเอลและเลียม
“พวกชั้นอยากเริ่มก่อน” เลียมพูดกับแบรนดอน
“ชั้นก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ แล้วนายล่ะอามาตะ?” แบรนดอนพูดพร้อมหันไปถามเพื่อนร่วมชะตากรรมของเขา
“ม่ะ ไม่มีปัญหาครับ” อามาตะตอบ
“ว่าไงนะ!!!” เลียมตะโกนใส่อามาตะ
“ไม่มีปัญหาครับ!!!!” อามาตะตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้น
หลังจากที่เลียมพูด พวกเขาทั้งสองทีมก็เดินลงเวทีไปที่มุมห้อง และเพื่อความแฟร์ในการแข่งครั้งนี้หรือเพราะความสนุกส่วนตัวของริชาร์ดก็ไม่อาจทราบได้ แต่ริชาร์ดไม่อนุญาตให้ทั้งสองทีม “ซ้อม” พวกเขาต้องเล่นมันออกมาแบบสดๆไม่มีสคริป ขึ้นอยู่กับสกิลการเอาตัวรอดของแต่ละคนล้วนๆ
โดยที่หลังจากริชาร์ดได้โพสลงแอพเรื่องการแบทเทิ่ล ภายในเวลาไม่นานคนดูหรือว่ากรรมการในการแข่งครั้งนี้ ก็มาพร้อมกันที่หน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ของพวกเขาแล้ว โดยที่ทีมแรกที่จะได้โชว์คือทีมของโนเอลและเลียมนั่นเอง เมื่อถึงเวลาริชาร์ดก็ออกมาทำหน้าที่พิธีกรประจำการแข่งครั้งนี้ เขาต้องพูดเรื่องสิ่งที่ใช้เดิมพันในการแข่งครั้งนี้ และแนะนำตัวให้ทั้งสองทีม ตามกฎของการประลอง
“เอาล่ะ ผมจะไม่พูดมากละกันนะ” ริชาร์ดพูดกับกล้องถ่ายทอดสดที่จับหน้าเขาไว้
“ทีมแรก ไอ้บ้าสองตัว โนเอลและเลียม!!”ริชาร์ดเรียกชื่อของพวกเขาขึ้นมา
โนเอลใช้กีต้าร์ประจำตัวของเขาในการแข่งครั้งนี้ ส่วนเลียมก็เซ็ทชุดกลองที่ตัวเองถนัดไว้เช่นเดียวกัน โนเอลกับเลียมไม่ได้ตื่นกล้องหรือเกรงกลัวอะไรเลย จิตวิญญาณอันร้อนแรงของพวกเขากำลังจะปะทุออกมาด้วยความโกรธที่ถูกปฎิเสธ โนเอลเช็คกีต้าร์ของเขาอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะยกมือให้สัญญานพร้อมกับเลียม ในขณะที่เลียมก็ส่งสัญญานพร้อมให้โนเอลเช่นกัน
“เอาล่ะ นี่เป็นโชว์ของแรกของพวกผม” โนเอลพูดกับไมค์ที่ตั้งไว้บนเวที
“ตอนแรกผมอยากจะเข้าชมรมร็อคของที่นี่ แต่มันโคตรเรื่องมากเลย”
"และผมบอกเลยว่าถึงผมจะชนะการแข่งครั้งนี้ ผมก็จะไม่เข้าชมรมนี้อยู่ดี”
“เพราะชมรมนี้แม่งโคตรเฮงซวย”
"กฎห่วยๆอย่างนักเรียนทุกคนต้องมีชมรมอ่ะ”
“…………………..”
“ช่างแม่งสิ!!”
ทันที่โนเอลพูดว่า “ช่างแม่งสิ” เลียมที่กำลังร้อนได้ที่และโนเอลผู้เดือดดาลไม่แพ้กันก็เริ่มบรรเลงเพลงของพวกเขา.....
"จบตอนที่2"
------------------------------------------------------------------------
แนะนำ NPC
ลาร์ส สตาร์คีย์ อยู่ปี3 เป็นมือกลอง ยังไม่มีวงเป็นกิจจะลักษณะ ประวัติก็ตามที่บอกไปในเรื่อง ส่วนนิสัยก็..... ดูเอาเองละกัน โดยชื่อของลาร์ส สตาร์คีย์นั้น ผมได้แรงบันดาลใจมาจาก มือกลองชื่อดัง2คน คนแรกคือ ลาร์ส อุลริช มือกลองจากวงเมทัลลิก้า
ส่วนอีกคนคือ เซอร์ ริชาร์ด สตาร์คีย์ หรือรู้จักกันในชื่อ ริงโกสตาร์ มือกลองของวงในตำนานอย่าง เดอะ บีทเทิล นั่นเอง
|
|
|
Post by handsomeguyformzulus on Aug 8, 2018 16:10:53 GMT
------------------------------- kinetic
-------------------------------------
2024 วันที่4
โรงอาหาร ในช่วงเวลาพักกลางวันแบบนี้ หลายๆคนก็มากินข้าวที่โรงอาหารแห่งนี้ตามปรกติ หากแต่ในตอนนี้เวลาการกินของพวกเขาเหมือนกับมันถูกหยุดเอาไว้ ด้วยข่าวที่ดังสนั่นไปทั้งโรงเรียนถึงการแบทเทิลระหว่าง โนเอลกับเลียม ต้องต่อสู้กับ แบรนดอน กับ อามาตะ และถึงแม้ว่าจำนวนผู้ที่มีสิทธิตัดสินจะถูกจำกัดแค่50คนในการแข่งกิกแบทเทิล แต่หลังจากที่มีกรรมการเข้ามาดูครบ50คนแล้วคนอื่นๆที่แค่อยากดูก็จะสามารถเข้ามาดูได้เช่นกัน และการแบทเทิลในครั้งนี้ ก็กำลังอยู่ในสายตาของ “สองคนนี้”
“ดูสิลูซ เจ้าริชาร์ดมันเอาอีกแล้ว” หนุ่มที่มีรอยสักเต็มตัวพูดกับเพื่อนของเขา
“นายว่าฝ่ายไหนจะชนะล่ะเบร็ต?” อีกฝ่ายถามกลับ
ทั้งสองคนมานั่งกินข้าวด้วยเพียงสองคน คนนึงมีเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างรอยสัก ที่มีอยู่เต็มตัว และคอนแท็คเลนส์ประหลาดๆ ส่วนชายที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเขาเป็นหนุ่มตัวสูงถ้าตอนเด็กไม่ได้กินนมเข้าไปเยอะชาติที่แล้วก็คงตีพอตีแม่ไว้แน่นอน ถึงได้เกิดสูงเหมือนเปรตแบบนี้
“ชั้นว่าฝั่งเจ้าหัวแดงๆนี่น่าจะชนะนะ”
“พวกนั้นดูบ้าบอดี” หนุ่มสักลายนามว่าเบร็ตพูด
“งั้นหรอ แต่ชั้นว่าผู้ชนะจะเป็นอีกฝั่งมากกว่านะ” หนุ่มตัวสูงพูดกับเพื่อนของเขา
“ทำไมงั้นล่ะ?” เบร็ตสงสัย
“ชั้นคิดว่าฝ่ายโนเอลกับเลียมน่ะ”
“ใจร้อนไป” ลูซพูดด้วยเหตุผลของเขา
“งั้นหรอ.....”
หลังจากที่ลูซพูดจบ เบร็ตก็นำความคิดของลูซมาคิด แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นไปเพราะนั่นเป็นเวลาเดียวกับที่โนเอลกำลังพูดประโยคสุดท้ายและกำลังจะโชว์พอดี ชายตัวสูง “ลูซ “ และเพื่อนที่สักลายเต็มตัวของเขา “เบร็ต” ทั้งสองคนเงียบและตั้งใจฟังสิ่งที่โนเอลและเลียมกำลังจะเล่น รวมไปถึงคนอื่นๆในโรงอาหารแห่งนี้ก็เงียบลงเช่นกัน และการแสดงของพวกเขาก็เริ่มขึ้น....
ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นเพราะความใจร้อนหรืออะไร แต่เลียมกับโนเอลกำลังจะ “ชิบหายสุดๆ”เท่าที่คนสองคนจะทำให้มันเกิดขึ้นได้ เพราะว่าพวกเขาเล่นกันไปคนละทิศละทาง เลียมก็อยากจะโชว์ของเต็มที่จนรัวกลองออกมาไม่ดูสี่ดูแปด เช่นเดียวกับโนเอล ที่จินตนาการภาพตัวเองไปแล้วว่าเขาคือกีต้าร์ฮีโร่ พี่แกเล่นกีต้าร์แบบไม่สนโลกซึ่งมันไม่ได้สัมพันธ์กับกลองของเลียมเลย
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าในคลาสดนตรี ว่าที่พวกเขาเชื่อมต่อกันได้ก็เพราะมีแบรนดอนเป็นสื่อกลางที่คอยควบคุมความร้อนแรงของทั้งสอง แต่พอไม่มีแบรนดอน.... ทุกอย่างก็ “พังพินาศ” ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาโชว์ของที่ตัวเองมีออกมา จนทำให้การโชว์นั้น “เละเทะ” เหมือนกับรถสปอร์ตสองคัน ที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด และชนกันอย่างจัง ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนั้น คนขับกล้ามโต กับนักซิ่งผมแดง “เสียชีวิตคาที่”
“เห้ยๆ อะไรวะเนี่ย เล่นโครตห่วยเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ”เบร็ตถึงกับขำออกมา
และไม่ใช่แค่เบร๊ตเท่านั้นที่ตลกกับความห่วยของโนเอลและเลียม แต่ผู้คนรอบๆโรงอาหารก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “โคตรห่วย” โนเอลเสียสมาธิในการเล่นกีต้าร์ไปเพราะความใจร้อนของตัวเขาเองเช่นเดียวกับเลียม ที่ถึงแม้พวกเขาจะชอบดนตรีแบบเดียวกัน แต่ทั้งคู่ก็ค่อนข้างทึ่มไปหน่อย ไม่สิ ทึ่มไปมากทีเดียว แต่ดูเหมือนจะมีคนนึงที่ไม่คิดแบบนั้น
“ชั้นว่าพวกนี้น่าสนใจนะเบร็ต” ลูซหนุ่มตัวสูงพูดกับเพื่อนตัวลายของเขา
“เอาอีกแล้วนะ นายนี่มองโลกในแง่ดีตลอดเลย”
“ชั้นว่าพวกนั้นมันห่วยจะตาย” เบร็ตรีบพูด
“นายคิดว่างั้นจริงๆหรอ?.....” ลูซถามเบร็ต
“…………..” เบร็ตเงียบ
“ไอ้โย่งนี่รู้ ไปซะทุกเรื่อง......”
“เออยอมรับก็ได้ ชั้นไม่คิดว่าพวกนั้นห่วยมากนักหรอก”
“พวกนั้นน่ะก็พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง”
“ฟังจากสำเนียงของกีต้าร์ที่ชัดเจนและไลน์กลองที่มีความเฉียบคม ก็ถือว่าเฉียบอยู่”
“แต่ในเมื่อเล่นไม่เข้าขากันก็ออกมาโคตรห่วยอยู่ดีนั่นแหละ” เบร็ตพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“ก็จริงนะ.....” ลูซพูดขึ้นด้วยท่าทางที่เหมือนจะคิดอะไรได้
“นี่เบร็ต” ลูซเรียกเพื่อนของเขา
“หืม?”
“ชั้นว่าบางที....”
“พวกนั้นอาจจะเป็นคนที่เราตามหาอยู่ก็ได้นะ”
---------------------------------------
We're not a pop band
วงนี้มันไม่ป๊อบเอาซะเลย
EP 3 : กิจกรรมชมรม2
---------------------------------------------------------------------
2024 วันที่4
ชมรมเพลงร็อค
“โครตห่วยทั้งคู่!!!”
ฝูนชนตะโกนด่าทอโนเอลและเลียมอย่างหนักสาสมกับที่เขาดูถูกคนพวกนี้ไว้ในตอนแรก พวกเขาลงเวทีมาด้วยความเศร้าหมอง และรู้ดีว่าพวกเขาทำมัน “พัง” พังพินาศ พังแบบไม่เหลือส่วนดี โนเอลและเลียมได้แต่เงียบ เพราะเขาไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ
“อะไรวะแค่เนี้ย?” ริชาร์ดพูดกับทั้งคู่
“รู้อะไรมั้ย ถ้าฝีมือพวกแกมีแค่นี้”
“ต่อให้ชั้นให้พวกแกแสดงฝีมือเพื่อเข้าชมรมตามปรกติแบบคนอื่นเขา”
“พวกแกก็จะไม่ผ่านการคัดเลือกอยู่ดีนั่นแหละ”
“กระจอก”
ริชาร์ดพูดกับเลียมและโนเอลด้วยคำพูดที่ตรงไปตรงมาตามสไตล์ของเขา ซึ่งโนเอลกับเลียมได้แต่เก็บความคับแค้นเอาไว้ในใจ พวกเขาไม่แม้แต่จะพูดกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำไป โนเอลไม่พูดกับเลียม เลียมก็ไม่พูดกับโนเอลเช่นกัน เพราะในใจของพวกเขาต่างรู้สึกเจ็บใจ ที่ทุกอย่างมันออกมาแย่
“เอาล่ะ ทีมแรกเล่นจบไปแล้ว” ริชาร์ดขึ้นมาพูดบนเวที
“ต่อไปเป็นทีมที่สองที่จะโชว์”
“ขอเสียงให้ แบรนดอนและอามาตะ หน่อย!!”
ริชาร์ดพูดชื่อของทั้งสองคน ก่อนที่คนดูจะส่งเสียงเชียร์กันล้นหลาม แตกต่างจากโนเอลกับเลียมที่มีแต่คำสาปส่งก่อนหน้านี้ หนุ่มผมบลอนด์อย่างแบรนดอนและอามาตะหนุ่มชาวญี่ปุ่น พวกเขาทั้งสองคนเดินขึ้นมาบนเวทีตามที่ริชาร์ดเรียก สาวๆต่างกรี๊ดให้กับหน้าหล่อๆ และมาดที่ดูมีภูมิฐานของแบรนดอน เขาเป็นมือเบสที่มีความสุขมและดูไม่ได้ป่าเถื่อนแบบ สองคนก่อนหน้านี้
“เจ้าแบรนดอนนี่ขี้เก๊กชะมัด” โนเอลพูดกับเลียมเป็นครั้งแรกหลังจากที่ลงจากเวที
“ก็จริง”
“แต่หมอนั่นน่ะ ชอบเพลงร็อคหรอกหรอ?”
“ท่าทางหมอนั่นมันไม่ร็อคเอาซะเลย” เลียมพูดกับโนเอล
“ก็จริงนะ ตอนที่เล่นในคลาสเรียนดนตรี ก็ดูเล่นเบาๆไม่ได้หนักหน่วงอะไรเลย”
“หรือว่า....”
“.....นั่นไม่ใช่ ตัวจริงของหมอนั่นนะ?.......” โนเอลพูดกับเลียม
“นั่นมันอะไรน่ะ!” เสียงคนดูตะโกนแทรกบทสนทนาขึ้นมา
“หันหน้าเข้าหากันหรอ?”
ระหว่างที่เลียมกับโนเอลหันมาคุยกัน คนดูในชมรมต่างฮือฮาขึ้นมาถึงท่าทางของแบรนดอน โดยหลังจากที่เขาและอามาตะเช็คอุปกรณ์เสร็จ แบรนดอนก็ส่งสัญญานให้อามาตะ และแบรนดอนก็ทำสิ่งที่น่าประหลาดใจ นั่นคือการ หันหน้าไปมองอามาตะ ซึ่งนั่นหมายถึงการ “หันหลังให้คนดู”
“หืมมมม”
“น่าสนใจดีนี่เจ้ามือเบส…”
ริชาร์ดยิ้มก่อนที่จะพูดประโยคนี้ออกมา ภาพที่เขาเห็นก็คือ แบรนดอน ที่หันหลังให้กล้องที่จับด้านหน้าของเวที แล้วเขาก็หันไปมองอามาตะที่เตรียมจะตีกลองของตัวเอง ซึ่งกลองของอามาตะเป็นกลอง “สองกระเดื่อง” ซึ่งจะต้องใช้แรงอันมหาศาลในการตี และตามหลักปรกติของการโชว์การแสดงอะไรก็ตาม การหันหลังให้คนดูคือสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมันจะทำลายความสวยงามของภาพเบื้องหน้าและดูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก เป็นเรื่องทุกคนต่างรู้ดี แต่ทว่า ในด้านของดนตรีนั้น มันแตกต่างออกไป...
“นายตีไปเลย อามาตะ”
“ชั้นจะตามนายไปเอง” แบรนดอนพูดกับอามาตะ
“คะ ครับ” อามาตะตอบโต้
“พร้อมนะ” แบรนดอนพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้อามาตะ
“ครับ!!” สายตาของอามาตะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้
“เอาล่ะ”
“วัน”
“ทู”
“ทรี”
“โก!!”
ทันทีที่แบรนดอนให้สัญญาณ อามาตะก็เริ่มตีกลองของเขาด้วยจังหวะที่มีความต่อเนื่องและให้ความรู้สึกสนุกสนาน แววตาของเขาเปลี่ยนอีกแบบกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เขาไม่มีความตื่นกลัว แต่กลับดูอิสระและปลดปล่อยอย่างที่เขาไม่เคยแสดงมันออกมาก่อนหน้านี้ เสียงกลองที่อามาตะตีมีความหนักหน่วงและชัดเจนทุกดอก
ซึ่งการจะทำแบบนั้นต้องใช้แรงอันมหาศาลเท่านั้นซึ่งดูยังไงพลังที่ว่านั่นก็ไม่น่าออกมาจากชายคนนี้ได้เลยถ้าดูจากภายนอก แต่เมื่อชายคนนี้นั่งอยู่ที่หลังกลองชุดแล้วนั้น ภาพของนักเรียนชายชาวญี่ปุ่นผู้อ่อนแอก็ได้จางหายไป เหลือเพียงนกอินทรีที่โบยบินอย่างอิสระท่ามกลางสายลมแห่งดนตรีที่พัดพาเขาไปสู่ดินแดนที่แสนกว้างใหญ่เท่านั้น
และหลังจากที่อามาตะให้จังหวะ แบรนดอนก็ตีเบสของเขาตามจังหวะกลองของอามาตะ แบรนดอนในตอนนี้ไม่ใช่แบรนดอนที่สุขุมอีกแล้ว สายตาของเขาเบิกกว้างซึ่งมันสื่อว่าเขากระหายดนตรีแบบสุดขีด สายตาของแบรนดอนมองไปที่อามาตะแบบตาไม่กระพริบ ต่างจากที่โนเอลที่มองไปข้างหน้าเท่านั้นโดยสิ้นเชิง
แบรนดอนรักษามาตฐานการเล่นเบสของตัวเองไว้ได้อย่างเพอเฟ็กซ์แถมยังใส่ลูกเล่นของตัวเองเข้าไปด้วย และเขารู้ดีว่าอามาตะในตอนนี้กำลัง”องค์ลง” และสิ่งที่เขาทำไม่ใช่การขึ้นไป “โดดเด่น” แต่เป็นการ “สนับสนุน” ให้อามาตะดูยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม ถ้าหากอามาตะคือ “นกอินทรี” แบรนดอนก็คือ “สายลม” นั่นเอง ทั้งสองคนเข้าขากันได้ดีราวกับเคยฝึกฝนกันมาก่อน แฟนๆส่งเสียงเชียร์พวกเขาอย่างท่วมท้น.......
“กรี๊ดดดดดดดด แบรนดอน”
ดูเหมือนสาวๆจะ โดนแบรนดอน”ตก” กันถ้วนหน้า ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาและเฟรนลี่ในตอนปรกติ และมาดเท่สุดกร้าวใจ หรือเรียกแบบภาษาติ่งว่า “หล่อสัตว์ป่า” และด้วยฝีมือกับภาพลักษณ์ของเขา แบรนดอนก็กลายเป็นขวัญสาวๆมานับตั้งแต่ตอนนั้น
“มือกลองนั่น ลีลาการเล่นดูคุ้นๆนะ!!”
“การตีกลองแบบเอาชีวิตเข้าแลกแบบนั่นน่ะ”
“เหมือนโยชิกิเลยไม่ใช่รึไง!!”
เหล่าชายฉกรรจ์ขาร็อค กำลังตื่นเต้นกับลีลาของอามาตะ ที่การตีกลองของเขามีกลิ่นอายความเป็น เจร็อคติดมา และด้วยท่วงท่าที่”ใส่เต็ม” ทำให้ชาวร็อคสายลึกทั้งหลายนึกถึง”โยชิกิ” มือกลองแห่งวงเอ็กซ์เจแปน ที่ได้สร้างตำนานให้กับดนตรีแนว เจร็อค ที่โด่งดังไปทั่วทวีปเอเชียในช่วงยุคปลาย80ถึงช่วงยุค90กลางๆ และโด่งดังไปทั่วโลกในปัจจุบัน อามาตะผู้ตื่นกลัวได้สร้างชื่อของตัวเขาเองนับตั้งแต่ตอนนั้นเช่นกัน
ทันที่พวกเขาโชว์จบผู้คนในชมรมร็อคก็คลั่งกันมาก พวกเขาตะโกนให้แบรนดอนกับอามาตะเอาอีก โชว์ของพวกเขาจบลงไปอย่างน่าประทับใจ ซึ่งริชาร์ดก็ได้แต่ยิ้มอยู่ใจเพราะเขากำลังจะได้ยอดฝีมือมาร่วมชมรมของเขาถึงสองคน โดยที่ริชาร์ดที่อยู่ปีสามแล้ว เขารู้ดีกว่าการที่แบรนดอนหันหลังให้คนดูและมองไปที่อามาตะแทนนั้น
คือสิ่งที่เรียกว่า”ซิงค์” หรือการเชื่อมต่อนั้นเอง ในทางดนตรี กลองกับเบสเปรียบเสมือนขาซ้ายและขวาของวงดนตรี พวกเขาต้องทำงานประสานกันตลอดเวลา และสำหรับคนที่ไม่เคยซ้อมด้วยกันมาก่อน การมองท่าทางการเล่นของอีกฝ่าย จะช่วยในการจับจังหวะได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่โนเอลไม่เคยทำหรือคิดถึงมันเลย
“แพ้แล้ว....” โนเอลมองดูด้วยความเจ็บใจ
“เอาล่ะๆ แม้ว่าผลจะชัดอยู่แล้วก็เถอะนะ แต่ยังไงก็ประกาศซะหน่อย” รีชาร์ทถือไมค์และเดินขึ้นมาบนเวที
“ผลการแข่งขันประลองดนตรีในครั้งนี้....”
“ผู้ชนะก็คือ!!!!”
“แบรนดอนและอามาตะ!!!!”
“ชนะไปด้วยคะแนน”
“48ต่อ2”
“ขาดลอยแบบสู้ไม่ได้......”
โนเอลกับเลียมยืนฟังผลการแข่งขันด้วยความรู้สึกเจ็บใจและผิดหวัง ที่พวกเขาประเดิมการแข่งขันแรกด้วยการ “พ่ายแพ้....” และนี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของโนเอล เขาอยากจะตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง และเขาเริ่มจะเข้าใจหัวอกของพี่ชายเขาอย่างไมเคิลแล้ว ว่าสาเหตุที่ไมเคิลตะโกนด่าคนดูจนโดนไล่ออกในตอนนั้น คงเป็นเพราะความรู้สึกที่คล้ายๆกับโนเอลในตอนนี้ แต่แตกต่างกันตรงที่ ตอนนั้นไมเคิลโมโหเพราะเขาไม่คิดว่าตัวเอง”แพ้” แต่โนเอลโมโหที่ตัวเอง “สู้ไม่ได้เลย” โดยหลังจากประกาศคะแนน ริชาร์ดกับคนในชมรมเพลงร็อคก็ตะโกนไล่ให้พวกเขาออกไป รวมถึงขว้างปาสิ่งของใส่พวกเขา
“ออกไป!! ออกไป!! ออกไป!!”
“นึกว่าจะเก่ง ถุย!”
“ฝีมือแค่นี้ยังกล้าดูถูกพวกเราไอ้กากเอ้ย!!”
โนเอลกับเลียมไม่มีทางเลือกหรือคำพูดใดจะตอบโต้ได้ เพราะหลังจากที่เขาดูโชว์ของแบรนดอนและอามาตะพวกเขาก็รู้ตัวว่าพวกเขา “แพ้” จริงๆ แพ้อย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆเลย แบรนดอนได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของเพื่อนเขาที่ค่อยๆเดินคอตกจากไปอย่างช้าๆ โดยมีริชาร์ดและอามาตะยืนอยู่ข้างๆ
“กำจัดพวกขยะไปได้แล้ว”
“ตอนนี้เรามาฉลองกันดีกว่า!”
ริชาร์ดพูดกับทุกคนแถวนั้น เหล่าฝูงชนต่างปรบมือดีใจและโห่ร้องด้วยความสนุกสนานที่พวกเขาเอาชนะผู้มาเยือนได้สำเร็จ ถือเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมสำหรับการต้อนรับวันเปิดเรียนแบบนี้
“อามาตะทำได้เยี่ยมมาก!!!!” ริชาร์ดพูดกับอามาตะ
“แห่กๆ ขะ ขอบคุณมากครับ” อามาตะพูดด้วยอาการเหนื่อยหอบ
“อะไรกันเนี่ย แค่นี้ก็หอบแล้วหรอ....”
“วันหลังก็ออมแรงไว้บ้างสิเจ้าบ้า” ริชาร์ดสั่งสอนอามาตะ
“จะ จะพยายามครับ ” อามาตะตอบแบบหอบๆ
“ส่วนนายทำได้เยี่ยมไปเลยแบรนดอน”
“เบสของนาย เป่าพวกนั้นซะกระเด็นไปไกลเลย”
“ชั้นดีใจมากนะ ที่ได้นายมาอยู่ในชมรม” ริชาร์ดชมแบรนดอน
“เอ่อ จริงๆแล้วผมน่ะ....”
“ยังไม่ตัดสินใจเลยล่ะครับ”
“ห๊ะ อะไรนะ?” ริชาร์ดงงกับคำพูดของแบรนดอน
“ตอนนั้น ผมกำลังจะลงชื่อในใบสมัครแล้วน่ะครับ”
“แต่รุ่นพี่บอกว่าที่นี่ต้องการเมทัลเท่านั้น”
“ผมก็เลยเกิดลังเลขึ้นมา ก็เลยหยุดเขียนใบสมัครตั้งแต่ตอนนั้น”
“และพอดูสองคนนั้นเล่นกันผมก็รู้คำตอบในทันทีเลยล่ะครับ”
“กะ... แก.....” ริชาร์ดเริ่มอารมณ์ขึ้น
“แนวเพลงของพวกเขาทำให้ผมรู้สึกสนใจเอามากๆเลยล่ะ”
“ผมขอปฎิเสธการเข้าชมรมร็อค ขอโทษจริงๆครับ”
------------------------------------------
2014 วันที่4
อาคารเรียน
หลังจากจบความวุ่นวายพวกเขาทุกคนก็ต้องรีบร้อนไปเข้าเรียนในภาคบ่ายอย่างรวดเร็ว เพราะใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนเต็มที่แล้ว เช่นเดียวกับโนเอล และเลียม ที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูป โดยในระหว่างทางที่เขาเดินมาตั้งแต่ชมรมร็อค ผ่านโรงอาหาร ผ่านชั้นต่างๆของอาคารเรียน ซึ่งในทุกๆที่ ที่เขาเดินผ่าน ก็มีแต่ผู้คนมองดูพวกเขาราวกับเป็นตัวประหลาด แถมยังซุบซิบนินทากันตลอดทาง
“ดูนั่นสิเธอ พวกขี้แพ้ล่ะ” แม้แต่พวกผู้หญิงก็ยังถากถางเขา
“เฮ้อออออ ขอโทษว่ะเลียม ชั้นใจร้อนเอง” โนเอลรู้สึกผิด
“พูดอะไรแบบนั้น ถ้าวงดนตรีเล่นไม่เป็นจังหวะ มันคือความผิดของมือกลองต่างหาก” เลียมพยายามให้กำลังใจโนเอล
“อืม.... นั่นสิ”
“คนผิดคือนายจริงแหละเนอะ ฮ่าๆ” โนเอลพูดพร้อมกับรอยยิ้มแบบแปลกๆ
“ตะ แต่ว่า เสียงกีต้าร์นายมันก็นะ”
“แบบว่า...”
“ ชั้นว่ามันกากน่ะ ฮ่าๆ” เลียมก็พูดพร้อมรอยยิ้มแปลกๆเช่นกัน
“ตะ แต่กลองนายก็ตีมั่วซั่วเลยนี่นา” โนเอลสวนคืน
“กีต้าร์นายก็ผิดเพี้ยนจนแสบหูไปหมด” เลียมเอาบ้าง
“เห้ยจะเอารึไง!!” โนเอลอารมณ์ขึ้นอีกครั้ง
“มาสิไอ้หัวแดง!!” เลียมตั้งการ์ดมวยขึ้นเตรียมวางหมัดแต่ทว่า...
“เดี๋ยว อย่าพึ่งตีกัน!” เสียงปริศนาดังขึ้นท่ามกลางอารมณ์ที่คลุกกลุ่น”
“อย่ามายุ่งนะ!! อย่า......”
ทั้งสองถึงกับหยุดนิ่งเมื่อหันไปมองชายที่เข้ามาห้ามศึกในครั้งนี้ ที่พวกเขาหยุดนิ่งไม่ใช่เพราะชายที่มาห้ามเป็นคนรู้จักหรืออาจารย์แต่อย่างใด แต่ว่าที่พวกเขาหยุด ก็เพราะพวกเขาไม่เห็นใบหน้าของชายคนนี้ หากแต่เห็น “ราวนม” ของชายที่มาห้ามแทน โดยชายที่มาห้ามพวกเขาเป็นชายที่มีความสูงถึง2เมตร25เซนติเมตร เขาเตี้ยกว่าความสูงของเพดานห้องที่คอนโดแอสพลายแถวสาทร แค่หนึ่งไม้บรรทัดเท่านั้น เขาสูงยิ่งกว่าขนาดประตูมาตฐานซะอีก
“น่ะ นายเป็นใครน่ะ!!” โนเอลถึงกับตกใจ
“พวกเขาเป็นรุ่นพี่จากชมรมอัลเทอเนทีฟน่ะ” เสียงที่พวกเขาคุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของชายร่างสูง
“แบรนดอน!!!”
เลียมกับโนเอลพูดออกมาเกือบจะพร้อมกัน พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมคนที่ควรจะอยู่ที่ชมรมร็อคอย่างแบรนดอนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ และเขาพาใครมากัน? โดยที่นอกจากชายที่ตัวสูงใหญ่ยักษ์แล้ว แถวๆนั้นยังมีอีกคนที่รอยสักเต็มตัวแถมหน้าตาก็น่ากลัวอีกด้วย
“หน๊อยแน่ จะมาเยาะเย้ยชั้นเหมือนเคยสินะ เจ้าคนขี้โม้!” โนเอลถึงกับเดือด
“ใจเย็นๆสิ ชั้นอุตส่าห์พารุ่นพี่จากชมรมอัลเทอเนทีฟมาเชียวนะ” แบรนดอนพูดพร้อมมองไปที่ ชายร่างสูง
“ชมรมอัลเทอเนทีฟ... มีชมรมนี้ด้วยหรอ?” เลียมถามด้วยความสงสัย
“ถ้าพวกนายหามันไม่เจอก็ไม่แปลกหรอกนะ.. แบบว่า....”
“จริงๆแล้วชั้นยังไม่ได้ตั้งมันขึ้นมาด้วยซ้ำไปน่ะนะ “
“คือ... คนไม่พอน่ะ แหะๆ”ชายตัวสูงพูดด้วยท่าทีอารมณ์ดีขัดกับรูปร่าง
“งั้นหรอครับ? ว่าแต่... คนที่น่ากลัวๆนั่นมาด้วยกันรึเปล่า?” โนเอลหันไปมองชายสักลายที่ยืนอยู่ห่างๆ
“อ๋อ นั่นคือ เบร็ต เพื่อนร่วมวงชั้นเอง ส่วนชั้น ลูซ ที่พวกนายเล่นกันชั้นคิดว่าเจ๋งมาก” ลูซพูดพร้อมจับมือกับโนเอล
“ทำอะไรน่ะลูซ! ชั้นบอกให้แอ็คเท่ๆไง” เบร็ตไม่พอใจและรีบเดินมาแอ็คใส่โนเอลกับเลียม
“นี่ฟังนะ เอ่อ โนเลียม กับ เอลใช่มั้ย?” เบร็ตดูจะสับสน
“โนเลียมบ้านพี่สิครับ โนเอลกับเลียมต่างหาก” โนเอลต้องคอยรับมุกแบบนี้เสียเวลาชีวิตมาก
“พวกเราคือวง เซเว่นฟีทกอติก” เบร็ตแนะนำตัวพวกเขา
“และพวกเราคือ เจ้าของชมรม อัลเทอเนทีฟของโรงเรียนนี้”
“ซึ่งมีสมาชิกอยู่4คน นั่นคือ ชั้น ลูซ ลูก้า และ คีแรน”
“ซึ่งทั้งหมด ก็คือสมาชิกวง เซเว่นฟีทกอติกนั่นแหละ”
เบร็ตชายสักลาย พูดวกไปวนมาจนโนเอลกับเลียมเริ่มจะงง จนสุดท้ายก็ต้องเป็นชายตัวสูงอย่างลูซออกมาอธิบายอยู่ดี ลูซบอกว่าตามกฎของโรงเรียนถ้าจะตั้งชมรมต้องมีสมาชิกมากกว่า5คนขึ้นไป และต้องมีปี1อยู่ในชมรมมากกว่า2คน เพื่อกันพวกคะแนนสูงๆอยู่รวมกลุ่มกันเองนั่นเอง โดยหนึ่งชมรมจะมีสมาชิกได้สูงสุดแค่30คนเท่านั้น
“อะไรนะ 30คน!”
“แต่ชมรมร็อคน่ะมีสมาชิกตั้งร้อยกว่าคนเลยนี่ครับ!” โนเอลเถียงพร้อมยกแอพพลิเคชั่นให้ลูซดู
“อ่า นั่นเป็นจำนวนคนที่มาสมัครนะโนเอล” ลูซพูดซะโนเอลหน้าแหก
“อ๊ะ” โนเอลถึงกับสะดุด
“ก็ที่ชั้นต้องรีบไปตอนนั้นก็เพราะเปิดดูแอพแล้วเห็นจำนวนคนสมัครนั่นแหละ”แบรนดอนยังย้ำ
“รู้แล้วน่าไม่ต้องย้ำหรอก!” โนเอลรู้สึกอาย
ซึ่งถ้าหากยังจำกันได้ กลุ่มคนที่ริชาร์ดบอกว่าไม่พอใจและขอลาออกไปตั้งชมรม ก็คือ วงเซเว่นฟีทกอติก ของลูซกับเบร็ตนี่เอง พวกเขาเป็นผู้ที่อยู่รอดได้จนถึงปีสาม และสามารถฝ่าฟันกำแพงอันแข็งแกร่งของสถานบันแห่งนี้มาได้ถึงสองปี และพวกเขาอาจจะกำลังเรียนจบในอีกไม่ช้า ถ้าหากพวกเขาสามารถฝ่าฟันกำแพงที่สูงชันด่านสุดท้ายไปได้
โดยที่วงเซเว่นฟีทกอติก มีความคิดที่จะทำเพลงแนว “อัลเทอเนทีฟเมทัล” และพวกเขาก็เบื่อหน่ายกับความเอาแต่ใจของริชาร์ด เลยคิดจะมาเปิดชมรมเป็นของตัวเอง โดยพวกเขาเริ่มกันมาตั้งแต่ในตอนท้ายๆของภาคการศึกษาที่แล้ว จนมาถึงช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ในปีนี้
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาสมาชิกให้มาเข้าร่วมเกิน5คนไม่ได้ซักที เพราะแค่เดินไปชวนก็ถูกวิ่งหนีใส่แล้ว คนนึงก็สักเต็มตัว ส่วนอีกคนก็สูงอย่างกะยักษ์ใครมันจะอยากเป็นคุยด้วย แถมการเปิดชมรมเป็นของตัวเอง ต้องใช้คะแนนตั้ง500คะแนน ซึ่งถ้าเป็นชมรมที่มีสมาชิกมาช่วยหารกันเยอะๆก็คงคงไม่มีปัญหาอะไรมาก30คน คนละ10คะแนนก็ได้ตั้ง300คะแนนแล้ว แต่สำหรับชมรมที่มีตัวหารแค่4คนแบบนี้ก็คงเข้าเนื้อน่าดู
“จริงๆแล้ว แนวเพลงที่ผมกับเลียมชอบคือแนวอัลเทอเนทีฟร็อคน่ะครับ” โนเอลพูดกับลูซ
“แบบนี้ก็เยี่ยมเลยน่ะสิ” ลูซรู้สึกยินดีมาก
“แต่รุ่นพี่บอกว่าถ้าคะแนนไม่ถึง200คะแนนจะโดนสั่งยุบนี่ครับ คนน้อยๆแบบนี้จะไหวหรอ?” โนเอลเป็นห่วง
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะน่า ถ้าพวกนายเล่นให้มันเจ๋งๆยังไงก็อยู่รอดได้สบายๆ” เบร็ตพูดกับโนเอล
“ใช่อย่างที่เบร็ตพูดนั่นแหละ สิ่งที่พวกเราต้องการตอนนี้คือตั้งชมรม” ลูซพูดกับดนโนเอลและเลียม
“ถ้าแบบนั้นผมก็ยินดีมากเลยครับ” โนเอลพูดความยินดี
“แล้วนายล่ะเลียม?” แบรนดอนถามเลียม
“ก็ยังดีกว่าไม่มีชมรมอยู่ล่ะนะ” เลียมตอบ
“เยี่ยมเลย!” ลูซดูดีใจมากๆ
“ว่าแต่ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ แบรนดอน” เลียมถามแบรนดอน
“ก็เพราะว่าชั้นคือสมาชิกน่ะสิ” แบรนดอนตอบ
“ห๊ะ!!” โนเอลกับเลียมช็อคเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง
“ตอนที่ชั้นเดินออกมาจากชมรมร็อคน่ะ”
“ตอนนั้นชั้นหิวข้าวมากก็เลยเดินไปที่โรงอาหาร”
“ระหว่างที่นั่งกินก็บังเอิญไปได้ยิน รุ่นพี่สองคนนี้ก็คุยกันเรื่องจะชวนพวกนายเข้าชมรมพอดี”
“ชั้นก็เลยเข้าไปคุยด้วย รู้ตัวอีกทีชั้นก็มาอยู่ที่นี่แล้วล่ะ”
“ว่าแต่นายไม่ได้อยู่ชมรมร็อคนั่นหรอกหรอ?” โนเอลสงสัย
“ชั้นไม่อยากอยู่ชมรมร็อคที่ปิดกั้นขอบเขตของคำว่าร็อคหรอก”
“พูดตรงๆคือชั้นอยากเล่นกับพวกนายมากกว่า แบบว่า...”
“ไม่รู้สิ แนวเพลงพวกนายมันดูง่ายแต่จริงใจแปลกๆ”
“ถ้าพวกนายให้ชั้นเข้าไปเรียบเรียงเพลงให้ใหม่ล่ะก็”
“ชั้นว่ามันต้องสนุกมากแน่ๆ”
“มาตั้งวงกันเถอะ” แบรนดอนขอร้องตรงๆ
“.....................” โนเอลกับเลียมเงียบ
“โนเอล ชั้นไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่ฝีมือการเล่นเบสของหมอนี่เป็นของจริงเลยล่ะ” เลียมพูดกับโนเอล
“ชั้นรู้...”
“รู้ดีเลยล่ะ”
“ก็ได้ ชั้นจะรับนายเข้ามาอยู่ในวงก็ได้ แต่มีข้อแม้”
“คือวงนี้ชั้นต้องเป็นหัวหน้าวง!! ส่วนนายก็แค่สมาชิกเข้าใจนะ!”โนเอลยังคงไว้ลายความเป็นโนเอล
“ฮ่าๆ นายนี่ตลกจังเลยนะ” แบรนดอนขำออกมายกใหญ่
“หยุดหัวเราะนะไอ้บ้า!!” โนเอลไม่ชอบหน้าแบรนดอนเวลาเขามีความสุขเลย
“ที่นี้ก็เหลือแต่นักร้องนำแล้วนะ พวกนาย”
“พอจะรู้จักใครบ้างมั้ยล่ะ?” เบร็ตพูดขึ้น
“……………..”
“จริงๆ.....”
“ก็มีอยู่คนนึงครับ รุ่นพี่” โนเอลพูดกับเบร๊ต
“หืม.. “
“เขาเป็นใครล่ะ?” เบร็ตถามด้วยความสงสัย
“………..”
“….เขาเป็นรูมเมทผมเอง....”
---------------------------------------
2024 วันที่4
หอพัก
หลังจากเลิกเรียนโนเอลก็กลับมาที่หอพักของเขาอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้เขาโดนล้อว่าขี้แพ้แถมห่วยทั้งวัน แต่ก็ยังโชคดีที่รุ่นพี่ลูซกับเบร็ตและสมาชิกของวงเซเว่นฟีทกอติกที่เหลือช่วยกันออกค่าเปิดชมรมให้พวกเขาได้อยู่กันฟรีๆไปก่อนในตอนนี้ โนเอลตั้งใจที่จะมาลองชวนเอริคไปเป็นนักร้องนำดู เขากลับมาที่หอพักสุดหรูหราของโรงเรียนแห่งนี้ อย่างน้อยๆโนเอลก็ได้อยู่ในที่ๆสะดวกสบายแถมยังทั้งสะอาดและสวยงามแหละนะ เขาเข้าไปใช้ลิฟท์เพื่อไปที่ห้องตัวเอง
โดยที่ในวันนี้เขาได้กลับมาที่หอพักเพียงลำพัง เพราะเลียมไปดูทีมฟูแล่มแข่ง ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลที่เลียมชื่นชอบ ส่วนแบรนดอนจะอยู่คุยกับสมาชิกวง เซเว่นฟีทกอติก เรื่องห้องชมรมของพวกเขา ซึ่งสำหรับชมรมเปิดใหม่ก็คงไม่ได้ห้องชมรมที่ดีซักเท่าไร แต่ยังไงก็ยังดีกว่าไม่มีชมรมอยู่ละนะ
“หวังว่าพวกนั้นจะหาห้องดีๆได้ล่ะนะ” โนเอลพูดกับตัวเองเรื่องชมรม
เขาใช้เวลาในลิฟท์ไม่นานก่อนที่มันจะพาเขามาที่ชั้น8 ซึ่งเป็นชั้นที่เขาอาศัยอยู่ โนเอลเดินออกมาที่ทางเดิน แล้วก็แวะไปลงชื่อกับเดวิด ที่ห้องของเดวิดตามที่เอริคบอกให้ทำ เสร็จแล้วก็เดินตรงไปยังห้องของเขา ห้องหมายเลข 808 นั่นเอง
“ว่าไงเอริค”
เขาเปิดประตูห้องเข้ามาและพบ “เอริค” รูมเมทของเขา ที่กำลังนั่งเขียนเพลงอยู่เช่นเคย แต่ท่าทางของเอริคดูเปลี่ยนไปมาก
“ระ รีบปิดประตูเร็วโนเอล!!!”
“ช้าไปแล้วเจ้าหนุ่มผมแดง!”
ระหว่างที่โนเอลกำลังงง หนุ่มผมสีฟ้าก็เอามือมาหยุดแรงของโนเอลที่กำลังจะเปิดประตูไว้ และการกระทำแบบนั้นทำให้โนเอลตกใจมาก
“เห้ย! ใครเนี่ย!” โนเอลถึงกับสะดุ้ง
“ชั้นน่ะหรอ? ชั้นคือลาร์สไงล่ะ”
“ลาร์ส สตาร์คีย์” ชายผมฟ้าแปลกหน้าแนะนำตัวกับโนเอล
“อ๋อ ลาร์ส สตาร์คีย์นี่เอง”
“……….”
“ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ดีนั่นแหละโว้ย!!!” โนเอลพูดด้วยความตกใจ
“พูดเพราะๆหน่อย ชั้นเป็นรุ่นพี่นายนะเจ้าบ้า” ลาร์สพูดกับโนเอล
“ที่ชั้นมาในวันนี้ก็เพื่อชวน เอริคไปเป็นนักร้องนำไงล่ะ!”
“พอแค่นั้นแหละ!”
เอริครีบวิ่งเข้าไปปิดประตูด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี เมื่อโนเอลเห็นดังนั้นเขาจึงช่วยเอริค ด้วยการเอาหลังดันประตูไว้ไม่ให้ลาร์สเปิดเข้ามาได้
“หมอนี่ตามชั้นมาทั้งวัน ตั้งแต่ที่ชั้นเข้าชมรมอีซีลีเซ็นนิ่งไป!”
“ตามอย่างกะเงา เซ้าซี้ให้ชั้นไปเป็นนักร้องนำอยู่นั่น!” เอริคบ่นด้วยความเซ็ง
“เปิดประตูนะ เอริคของพี่!!” ลาร์สพยายามตะโกน
“ดูสิน่าอายชะมัด” เอริครู้สึกอาย
“นายเข้าชมรมไปแล้วหรอ น่าเสียดายจังแหะ”
“เปิดนะเอริค!” ลาร์สยังคงพยายาม
“ทำไมหรอ?” เอริคถามในขณะที่หลังยังดันประตูไว้
“ชั้นว่าจะมาชวนนายไปร้องนำให้วงชั้นน่ะ”
“อืม... งั้นหรอ?”
“ขอโทษนะ แต่ถึงยังไงชั้นชอบเป็นนักร้องเดี่ยวมากกว่า”เอริคพูดตามความจริง
“…………”
“เงียบไปแล้วแหะ” เอริครู้สึกว่าลาร์สเริ่มที่จะเงียบแล้ว เขาเลยเอาหลังออกจากประตูแล้วมายืนคุยกับโนเอล
“น่าเสียดายจังแหะ ถ้างั้นนายมีคนรู้จักบ้างมั้ยล่ะ?” โนเอลถาม
“จะว่ามีมันก็มีน่ะนะ แต่หมอนั่นไม่ใช่นักร้องที่เก่งอะไรหรอก เสียงก็แปลกๆเหมือนพึ่งเริ่มร้องไม่นาน”
“งั้นหรอ ถ้างั้นนายช่วยแนะนำเขาให้ชั้นหน่อยสิ” โนเอลขอร้อง
“อืม จะพยายามช่วยละกันนะ” เอริคสัญญาว่าจะช่วย
“เฮ้ออ วันนี้ชั้นเหนื่อยชะมัด” โนเอลพูดด้วยความเหนื่อย
“แต่โชว์ของนายในวันนี้ก็ไม่ได้แย่นักหรอกนะ” เอริคพยายามปลอบใจ
“ขอบใจเอริค”
“ตู้ม!!!!!!!!!!!!”
ร่างของโนเอลที่ยืนพิงประตูพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรงจนหน้าทิ่มไปกับพื้นห้อง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาหน้าทิ่มลงไปแบบนี้ และคนที่ทำมันก็ไม่ใช่ใคร เขาคือรุ่นพี่ผมสีฟ้า ผู้ไม่เคยย่อท้อในการตามตื้อ และชื่อของเขาก็คือ “ลาร์ส สตาร์คีย์” คนนี้นี่เอง!!!
“มาเป็นของชั้นเถอะ เอริค!!!”
"จบตอนที่3"
------------------------------------------------------------------
เกร็ดความรู้
เรามาดูอุปกรณ์ที่เลียม โนเอล อามาตะ และ แบรนดอนใช้กันในตอนนี้ดีกว่านะครับ
เลียมใช้ กลองชุดเซ็ทของทั่วไปของ Pearl ดูเหมือนเลียมจะชอบอะไรที่มันไม่ยุ่งยากตามนิสัยของเขา
อามาตะ ใช้กลองชุดเซ็ทของโยชิกิ มือกลองในตำนานของวงที่ทำให้J rock ดังไปทั่วโลกอย่าง X japan ซึ่งครอบครัวของอามาตะไปประมูลมาได้
โนเอลใช้กีต้าร์ Gibson Es 355 สี Sixties Cherry เป็นรุ่นเดียวกับที่Noel Gallagherแห่งโอเอซิสใช้
และคนสุดท้าย แบรนดอน เขาใช้เบส Fender Jazz Bass รุ่นเดียวกับที่ Tim Commerford แห่งคณะ Rage against the machine ใช้
--------------------------------------------------------------------
Encore
2024 กลางดึกของวันที่4
ห้องของเอริคกับโนเอล
“พวกแกมันห่วย!!”
เสียงของคนดูที่ตะโกนสาปส่งโนเอลและเลียม ยังคงดังกึกก้องอยู่ในหัวของเขา แม้ว่านี่จะเป็นเวลาที่ดึกแล้วก็ตาม โนเอลไม่สามารถข่มตาของเขาให้หลับลงได้ง่ายๆ แม้ว่า เอริคจะหลับไม่รู้เรื่องไปแล้วก็ตาม โนเอลยังคงคิดถึง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันอย่างฝุ้งซ่าน ก่อนที่เขาจะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้คิดมากไปมากกว่านี้
“คอแห้งชะมัด”
โนเอลลุกขึ้นมานั่งบ่นด้วยความงัวเงียเพราะว่ารู้สึกคอแห้ง โนเอลลุกขึ้นมายืนที่ปลายเตียงแล้วเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อจะดื่มน้ำแต่ทว่า
“เฮ้อ”
“เจ้าเอริคเป็นนักร้องก็เลยกินน้ำเข้าไปเยอะเลยสินะเนี่ย”
ภาพที่เขาเห็นคือความว่างเปล่าข้างในนั้น สำหรับคนที่ต้องการจะกินอะไรบางอย่างแล้วตู้เย็นว่างเปล่าแบบนั้น มันช่างเป็นภาพที่โหดร้ายเหลือเกิน โนเอลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินลงไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อข้างๆโรงเรียน มันเป็นร้านที่ สถานบัน เมโทรนอม อคาเดมี่เป็นเจ้าของ และมันเปิด24ชั่วโมง ซึ่งจะถือว่านี่เป็นธุรกิจเสริมของทางโรงเรียนก็ว่าได้ สำหรับร้านมินิมาร์ทที่เปิดให้คนภายนอกสามารถเข้ามาจับจ่ายใช้สอยกันได้ตามสบายแบบนี้
โนเอลลงลิฟท์ลงมาเรื่อยๆด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมตอนนั้นถึงได้ทำแบบนั้นกันนะ เขาขาดสติในการแสดงทำให้ผลงานแรกในสถานบันแห่งนี้ออกมาแย่มาก แล้วแบบนี้เขาจะมีหน้าไปพบไมเคิลได้ยังไง ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ความฝันที่จะขึ้นแสดงที่แกลสตันบิวรี่ ก็คงเป็นได้แค่ความฝัน
โนเอลเดินมาเรื่อยๆจนถึงร้านสะดวกซื้อที่ว่าและเขาไม่รอช้ารีบเดินไปที่แผนกน้ำในทันที เขาหวังจะเข้าไปซื้อและกลับออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้เขาจะต้องไปพบนักร้องที่เอริคแนะนำ รวมถึงเรื่องห้องชมรมอีก การนอนดึกแบบนี้ ไม่ใช่ความคิดที่ดีเอาซะเลย ทันใดนั้นเอง เสียงประตูอัตโนมัติก็ดังขึ้น คนที่เดินเข้ามาเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆผมสีเทา สายตาของเธอเฉียบคมราวกับใบมีดโกน และเธอเป็นคนที่โนเอลรู้จักเป็นอย่างดี แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนักสำหรับโนเอล
“แย่ล่ะสิ!” โนเอลรีบหลบอยู่ที่ซอกของแผนกของหวาน
“ตอนกลางวันดันพูดโชว์หล่อไปซะได้”
“สุดท้ายชั้นเองนี่แหละ ที่พังไม่เป็นท่า”
โนเอลพูดในใจของเขา ในขณะนึกถึงตอนพักกลางวันที่เขากับเลียมนั่งกินข้าวกับเธอคนนี้ และเขาได้พูดให้กำลังใจเธอไปแบบโคตรแอ็ค แต่หลังจากนั้นไม่เกินหนึ่งชั่วโมง เขาก็โดนแบรนดอนกับอามาตะตบซะเสียผู้เสียคน จนแทบจะหาทางกลับบ้านไม่ถูก เขาไม่เหลือหน้าไปสู้หน้าเธออีกแล้ว แต่โนเอลก็ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่า รูปร่างที่สูงถึง180ของเขา และผมสีแสบตานั่น ไม่ว่าจะหลบที่มุมไหน มันก็เห็นได้ง่ายแทบทุกมุมนั่นแหละ
“โนเอล นายมานั่งทำอะไรตรงนี้หรอ”
“ว๊ากกกกกกก” โนเอลร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ซะ ซอนมุลเองงั้นหรอ” โนเอลทำเป็นกลบเกลื่อนไป
“ชั้นได้ดูแล้วล่ะ ” ซอนมุลพูดขึ้น
“ตอนกลางวันน่ะ-“
“ย่ะ หยุดเลยนะ!!!” โนเอลรีบห้ามซอนมุลก่อนที่เธอจะพูดถึงมัน
“ฮ่าๆๆ จริงๆเธอรู้ใช่มั้ยว่าเงื่อนไขของการแข่งมันคือ”
“ถ้าชั้นชนะจะได้อยู่ในชมรมร็อค แต่ชั้นไม่อยากอยู่ไง!”
“ก็เลยแกล้งแพ้มันซะเลย ฮ่าๆๆๆๆ”โนเอลแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“ชั้นว่าที่นายแสดงมันก็เจ๋งดีนะ” ซอนมุลพูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น
“เอ๊ะ?” โนเอลงงเพราะไม่น่ามีใครที่รู้สึกว่ามันเจ๋ง
“ทำไมล่ะ ชั้นว่ามันห่วยออก” โนเอลถามด้วยความสงสัย
“จริงอยู่ที่ นายกับเลียมเล่นไม่ได้เข้าขากัน”
“แต่พลังที่ออกมาก็สุดยอดไปเลย”
“ชั้นว่านายกับกีต้าร์น่ะดูเหมาะสมกันที่สุดแล้วล่ะ”ซอนมุลพูดด้วยรอยยิ้มในแบบของเธอ
“………”
“งั้นหรอ...”
ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเคยรึเปล่า ที่วันนึงเราตื่นขึ้นมาและพบเข้ากับวันแย่ๆ วันที่ท้อแท้จนรู้สึกเบื่อหน่าย วันที่ไม่ว่าเราจะพยายามทำตัวให้มีความสุขแค่ไหนแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้เลย มันเป็นวันที่เราอยากจะหลับเพื่อให้มันผ่านไป แต่เรากลับนอนไม่หลับเพราะความเครียดและความเสียใจ ซึ่งมันก็ไม่น่าเชื่อที่ในบางครั้ง เรากลับรู้สึกดีขึ้นและผ่านวันร้ายๆนั้นมาได้ เพียงเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆบางอย่างที่เกิดขึ้น อย่างเช่น มองดูสัตว์เลี้ยงที่น่ารักของเรา มองดูก้อนเมฆที่จับตัวกันเป็นรูปร่างประหลาดๆ บังเอิญไปอ่านข้อความตลกๆที่แชร์กันมาในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กของเรา หรือไม่เจอเข้ากับ “รอยยิ้มของใครซักคน”
“ขอบใจนะ ซอนมุล”
|
|
|
Post by handsomeguyformzulus on Aug 15, 2018 10:24:29 GMT
----------------------Kinetic----------------------
----------------------------------------------------------
2021 เกาหลีใต้
“สุดยอดเลยแหะ”
เสียงของสาวน้อยวัยแรกรุ่นพูดขึ้น เธอมีผมสีเทาและใบหน้าที่มีความโฉบเฉี่ยว ฉายแววความสวยตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อสาวด้วยซ้ำไป เธอยืนอยู่ในอีเว้นท์เปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังรายหนึ่งในประเทศเกาหลี ซึ่งภายในงานก็มีวัยรุ่นรวมไปถึงคนวัยทำงานมาร่วมชมมากมาย แต่ที่มากกว่าคนที่มาดูเสื้อผ้าก็คือ “แฟนคลับ” ของวงไอดอลกลุ่มหนึ่ง พวกเธอขึ้นแสดงบนเวทีอย่างมีพลัง และหนึ่งในนั้น เป็นผู้หญิงที่มีหุ่นสวยงาม และหน้าตาที่สวยราวกับภาพวาด
“ยูน จอง ฮวา นอมบอวอนนนนนนนนนนนน”
เสียงของแฟนคลับชายตะโกนอย่างบ้าคลั่งให้กับไอดอลที่เขาชื่นชอบ ก่อนที่เธอจะหันมายิ้มให้เขารวมถึงโบกไม้โบกมือให้ และนั่นก็ทำให้แฟนคลับคนนั้นแทบจะสำลักความสุขตาย
“ทำไมถึงทำได้ขนาดนี้นะ”
“การเป็นไอดอลเนี่ยสุดยอดเลยแหะ”
เด็กสาวผมเทาคิดในใจในขณะที่ดูการแสดงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและสนุกสนาน เธอไม่คิดว่าคน2คนที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวจะทำให้อีกฝ่ายมาคลั่งมาชอบกันได้ขนาดนี้ เด็กสาวคนนี้ใช้เวลาในวัยประถมอยู่ที่ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา ซึ่งเธอไม่เคยเห็นแนวเพลงและศิลปินที่มีลักษณะเป็น “ไอดอล” แบบนี้มาก่อน
ซึ่งก็จริงอยู่ที่นักร้องทางฝั่งอเมริกาหลายคนก็สามารถร้องและเต้นได้อย่างดี แต่ความรู้สึกกลับแตกต่างจากศิลปินของฝั่งเกาหลีโดยสิ้นเชิง ซึ่งมันก็เกิดขึ้นในตอนนั้นเอง มันคือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่นของทุกๆคน นั่นก็คือ “ความฝัน” ฝันที่จะอยากเป็นนู่นนี่นั่น และผมมีความเชื่อมาตลอดว่า ความฝันคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีแรงขับเคลื่อน และแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราฝันไว้ แต่ความฝันก็จะนำพาให้เราไปเจอเส้นทางใหม่ๆที่เราไม่เคยเจอ
และเหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน ถ้าหากวันนั้นเด็กสาวผมเทาไม่ได้เจอเข้ากับ “ไอดอลของเธอ” ในวันนี้เธอก็คงไม่ได้เจอกับ “ชายคนนี้”
-----------------------------------
2024 วันที่ 5
โรงอาหาร
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ” สาวชาวเกาหลีพูดขึ้น
“สรุปก็คือ เธออยากจะเป็นไอดอลงั้นสินะ” หนุ่มผมแดงที่อยู่ตรงข้ามพูดขึ้น
“ก็ประมาณนั้นเลยล่ะ เพราะมียุน จองฮวาเป็นแรงผลักดัน ชั้นเลยมาได้ถึงขนาดนี้” เธอพูดกับชายที่อยู่ตรงข้ามเธอ
“อืม มันก็เจ๋งดีนะซอนมุล ถึงชั้นจะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม ฮ่าๆๆๆ”
เสียงของชายผมแดงพูดขึ้น ก่อนที่จะโซ้ยอาหารเช้าอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหรม พวกเขาทั้งสองคนนั่งกินอาหารเช้ากันอยู่ที่โรงอาหารแห่งเดิม โดยเป็นสาวผมเทาที่มานั่งกินอยู่ก่อน และชายผมแดงคนนี้ก็บังเอิญมาเจอเธอเข้า สุดท้ายก็จบลงที่การมานั่งคุยกันเช่นเคย และถึงแม้จะผ่านไปแค่วันเดียวแต่เรื่องราวมากมายก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด
มันเป็นวันเปิดเรียนที่วุ่นวายที่สุดครั้งหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้เลยทีเดียว ข่าวของโนเอลถูกเผยแพร่และบอกต่อกันอย่างล้นหลาม จนเขากับเลียมกลายเป็นคนดังไปในชั่วข้ามคืน(ในทางที่แย่นะ) ส่วนในทางที่ดีก็คือ แบรนดอนกับอามาตะ ที่ถูกพูดถึงอย่างมากถึงฝีมือที่ร้ายกาจ ซึ่งพวกเขาก็เล็งกันไว้ว่าในอนาคตคงไม่พ้นถูกเชิญให้เข้าร่วมสังกัด เอ็มเอแน่ๆ
“นี่ซอนมุล ว่าแต่เรื่องชมรมน่ะ”
“สรุปเอายังไงหรอ?” หนุ่มผมแดงถามฝ่ายหญิง
“เห้อออ” เธอถอนหายใจ
“ไม่รู้สิ อาจจะเข้าซักชมรมนึงไปก่อนละมั้ง”
“ก็ที่นี่ไม่มีชมรมที่ชั้นต้องการจริงๆเลยนี่นา” เธอพูดด้วยเสียงเซ็งๆ
“ยังไงก็รีบๆหาเข้าล่ะ”
“จะได้ ได้ขึ้นแสดงในงานแสดงของตัวแทนชมรมด้วยกัน” โนเอลพูดแบบขี้อวด
เตือนความจำกันซักนิด งานแสดงของตัวแทนชมรม คืองานที่ชมรมต่างๆจะเลือกเด็กปี1 ชมรมของตัวเองไปขึ้นแสดงในงานนั้น โดยจะเป็นการแสดงต่อหน้าผู้ชมหลายร้อยคน ทั้งที่มาดูถึงที่และดูทางออนไลน์
“หืม? นายจะได้ขึ้นแสดงที่งานนั้นด้วยหรอ?” ซอนมุลถามด้วยความตกใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งชมรมมีอยู่2วง และมีแค่วงชั้นที่อยู่ปี1”
“ถ้าไม่ใช่วงพวกชั้นแล้วก็จะเป็นใครล่ะ” โนเอลพูดด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข
“แหมๆ ไม่ต้องทำหน้ามีความสุขแบบนั้นก็ได้”
“นี่ชั้นเริ่มจะอิจฉานายแล้วนะนะเนี่ย” ซอนมุลพูดด้วยท่าทีหยอกๆ
“เธอต่างหากที่น่าอิจฉา” โนเอลพูดขึ้น
“หืม ชั้นเนี่ยนะ? ทำไมล่ะ?” ซอนมุลดูงงๆ
“ก็ไอดอลที่เป็นแรงผลักดันให้เธอน่ะ เป็นคนที่สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะ”
“แต่ไอดอลที่เป็นแรงผลักดันให้ชั้นน่ะ”
“มันเป็นพวกไม่เอาอ่าวเลยซักนิด”
------------------------------------------------
2024 วันที่5
ห้องซ้อมดนตรีวิลสัน
“ฮัดชิ่ว!” หนุ่มผมแดงอยู่ๆก็คัดจมูกขึ้นมา
“เป็นหวัดหรอไมเคิล?” ลูกค้าผู้มาใช้บริการห้องซ้อมถาม
“ ไวรัสกากๆอย่างหวัดน่ะ”
“ทำอะไรร่างกายสุดแข็งแกร่งของชั้นไม่ได้หรอกน่า”
“อยู่ดีๆก็จามออกมาแบบนี้...”
“มีอยู่สาเหตุเดียวเท่านั้น....”
“.....แกเอาชั้นไปนินทาอีกแล้วสินะ ไอ้น้องชายตัวแสบ.....”
-------------------------------------------------
We’re not a pop band
วงนี้มันไม่ป๊อบเอาซะเลย
EP4 : พื้นที่ 1
----------------------------------------------------------
2024 วันที่5
ชมรมอีซี่ลิเซ็นนิ่ง
“พูดจริงหรอครับ นั่นน่ะ”
เสียงของชายผมหยักศกหน้าตาเบื่อโลกพูดขึ้นกับ คนอีก3คน ในห้องของชมรมอีซี่ลิเซ็นนิ่ง ที่ถูกตกแต่งอย่างสบายตาและเปิดเพลงเบาๆคลอ ชวนให้นั่งจิบกาแฟยามเช้า โดยที่ภายในนี้ มีมนุษย์อยู่เพียงสี่คนเท่านั้น คือหนุ่มผมสีฟ้าผู้เป็นประธานชมรม “ลาร์ส สตาร์คีย์” หญิงสาวชาวญี่ปุ่น หน้าตาสะสวย “ทาคาซึกิ ยูริ” หญิงสาวผู้ดูเหนื่อยล้าตลอดเวลา “ลิซ่า กัลลาเกอร์” และคนสุดท้าย หนุ่มผมหยักศกผู้มีหน้าตาเบื่อโลก ชายหนุ่มที่ลิซ่าจดจำชื่อเขาได้อย่างดี
“พวกชั้นพูดจริงนะ เอริค เบนเตเก้”
“เกริกเซนเต้ต่างหากเล่ายัยบ้า!!” ลาร์สพูดเสียงดังใส่ลิซ่า
“เห้ออออ” เอริคต้องปวดหัวแต่เช้าเลยในวันนี้
“เอริคฟังนะ ในจำนวนเด็กปีหนึ่งน่ะ นายคือคนเดียวที่ชั้นคิดว่าเหมาะสมกับงานนี้” ลาร์สพูด
“งั้นหรอ.....”
“ไม่ใช่ว่าพวกรุ่นพี่ ทำแบบนี้เพราะเอาใจผมหรอกนะ?” เอริคดูระแวง
“ถ้าเป็นรุ่นพี่ลาร์สน่ะอาจจะใช่ แต่ชั้นกับลิซ่า ไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน” สาวญี่ปุ่นอย่างยูริพูดขึ้น
“ใช่ๆ พวกชั้นน่ะคิดว่านายเหมาะกับงานนี้จริงๆ เกริกฤทธิ์” ลิซ่าพูดเสริม
“เกริกเซนเต้ครับรุ่นพี่” เอริคพูดด้วยท่าทีเซ็งๆเช่นเคย
“ว่าไงล่ะ เอริค นายพร้อมจะรับงานนี้มั้ย?” ลาร์สพูดขึ้นมา
“ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะครับ” เอริคพูดแบบคูลๆตามสไตล์
“ดีล่ะ งั้นเรามาซ้อมกันเลย!” ลาร์สพูดอะไรแปลกๆออกมา
“เดี๋ยวนะเดี่ยว?” เอริครีบเบรกไว้ก่อน
“เราหรอ? เราไหน?” เอริคถาม
“ก็เราไง!” ลาร์สย้ำ
“นายจะขึ้นแสดงโดยมีชั้น ลิซ่า และ ยูริ เล่นแบ็คอัพให้” ลาร์สพูด
“เดี๋ยวนะ! ทำไมเป็นงั้นล่ะ” เอริคดูตกใจ
“ไม่ต้องพูดมากน่า!!!”
ลาร์สพูดพร้อมลากเอริคไปที่ห้องซ้อมที่อยู่หลังห้องชมรมอีกที ดูเหมือนลาร์สจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เล่นวงเดียวกับเอริค ซึ่งอันที่จริง การขึ้นแสดงนั้นไม่ต้องมีวงแบ็คอัพก็ได้ แต่ลาร์สก็ส่งชื่อของเอริคไปให้คณะกรรมการที่จัดกิจกรรม และก็ใส่ข้อมูลว่าพวกเขาจะเล่นแบ็คอัพให้เอริคตั้งแต่วันแรกหลังจากที่เขาได้ฟังเอริคร้องเพลงแล้ว และเขารู้ว่าเอริคจะต้องไม่อยากให้พวกเขาเล่นแบ็คอัพแน่ๆ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องไม่บอกเรื่องนี้กับเอริค ซึ่งถ้าบอกเพียงแค่จะให้เอริคเป็นตัวแทน ยังไงเอริคก็ต้องยินยอมและขึ้นแสดงแน่ๆ พูดง่ายๆก็คือ “เป็นตามไปแผนของลาร์สทุกอย่าง....”
------------------------------------------
2024 วันที่5
ห้องเรียนร้องเพลง
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
หนุ่มผมหยกศกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าวันนี้ให้กับเพื่อนร่วมคลาสร้องเพลงของเขาฟัง ชายคนนั้นมีผมสีน้ำเงิน รูปร่างสมส่วนใบหน้าของเขาจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เป็นรองแบรนดอนแค่ไม่กี่ขั้นเท่านั้น ทั้งสองคนกำลังนั่งคุยกันในคลาสสอนร้องเพลงประจำวันนี้
“ไม่เห็นต้องเซ็งเลยเอริค นี่มันข่าวดีชัดๆ” หนุ่มผมสีน้ำเงินพูดขึ้น
“ดีอะไรเล่า เจ้ารุ่นพี่หัวฟ้านั่นน่ะตัวป่วนชัดๆเลย” เอริคดูปวดหัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“สรุปก็คือ นายจะต้องขึ้นแสดงโดยมีรุ่นพี่ในชมรมเล่นแบ็คอัพให้”
“ชั้นก็ไม่เห็นว่าจะไม่ดีตรงไหนเลยนี่ หรือว่าพวกเขาฝีมือไม่ดีหรอ?” หนุ่มผมสีน้ำเงินถาม
“ไม่รู้สิ ยังไม่ทันได้ซ้อมชั้นก็รีบชิ่งออกมาก่อนเลย”
“โชคดีที่วันนี้คาบแรกของชั้นมาเร็วล่ะนะ” เอริคพูดกับคู่สนทนาของเขา
“เออร์วิน จัสเทอร์” เสียงของครูผู้สอนพูดขึ้น
“ครับ!” เออร์วินขานรับ
“ถึงตาเธอแล้ว” ครูผู้สอนพูดกับเออร์วิน
“โชคดีเออร์วิน” เอริคพูดกับเพื่อนผมสีน้ำเงินของเขา
วันนี้ในคลาสสอนร้องเพลงนั้น นักเรียนทุกคนจะต้องออกมาร้องเพลงหน้าชั้นเรียน โดยที่คลาสนี้ไม่ได้สอนแค่เพียงเรื่อง เทคนิคการร้องเท่านั้น แต่ยังสอนเรื่องท่าทางรวมถึงการสื่อสารทางอารมณ์อีกด้วย ซึ่งในวันนี้ จะเป็นการสอนการสื่ออารมณ์นั่นเอง มีนักร้องหลายคนที่เสียงไม่ดีเด่นอะไร แต่เสียงของพวกเขาสามารถสื่อสารอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง
ถ้าจะยกตัวอย่างซักคนก็คงหนีไม่พ้น เคิร์ท โคเบน นักร้องนำในตำนานแห่งวงเนอวาน่า วงที่เปิดศักราชแนวเพลงแนวอัลเทอเนทีฟร็อคขึ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งถ้าเราพูดกันถึงนักร้องที่มีเสียงที่ดี คงไม่มีใครนึกถึงเคิร์ท โคเบนแน่ๆ แต่ถ้าเราพูดถึงนักร้องที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของบทเพลงออกมาได้อย่างซับซ้อนและลึกซึ้งที่สุด ชื่อของ เคิร์ท โคเบนจะถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงแน่นอน และเพราะแบบนั้นทำให้ เคิร์ท โคเบน ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน ฟรอนต์แมนที่ดีที่สุดตลอดกาลอีกคนนึงในวงการเพลงเลยทีเดียว
และชายผมสีน้ำเงินนามว่า “เออร์วิน จัสเทอร์” เขาเข้ามาที่สถานบันเอ็มเอด้วยคะแนนที่สูงลิ่วในหมวดทฤษฎีดนตรี แต่ในการสอบปฎิบัตินั้นส่วนใหญ่คนที่สอบได้คะแนนทฤษฎีดนตรีเยอะๆมักจะเป็นนักดนตรี แต่ตัวของเออร์วินกลับเลือกที่จะร้องเพลงในการสอบปฎิบัติ และนั่นทำให้เขาเกือบจะไม่ได้เข้าเรียนที่นี่แล้ว
“วันนี้จะดีขึ้นมั้ยนะ”
เอริคพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ดูเป็นห่วง เพราะว่าในคลาสการร้องเพลง สกิลของเออร์วินแทบจะอยู่ท้ายสุดของคลาสด้วยซ้ำไป เขาไม่มีเทคนิคที่แพรวพราวอะไรทั้งนั้น เขาแค่ร้องออกมาด้วยเสียงของเขาเองเพียวๆ โดยที่เมื่อวานนี้ที่เป็นวันเปิดเรียน ทางคลาสร้องเพลง ให้ทุกคนแนะนำตัวพร้อมๆกับร้องเพลงออกมา ซึ่งเออร์วินก็ทำได้ไม่ดีเท่าไร
“พร้อมนะ เออร์วิน” ครูผู้สอนพูดกับชายผมสีน้ำเงินที่ยืนอยู่หน้าชั้น
“ครับ”
เออร์วินพูดทั้งๆที่แววตาและท่าทางของเขาดูสั่นกลัวและขาดความมั่นใจ เขารู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่เสียงดีหรือมีเทคนิคอะไรเหมือนกับที่เอริค หรือที่คนอื่นๆมี เออร์วินพยายามทำสมาธิและร้องออกมา แต่ทว่า
เสียงที่เขาร้องออกมา เป็นเสียงที่ขึ้นสูงเพียงอย่างเดียวไม่มีเทคนิคอะไรทั้งนั้น เสียงของเขามีความแตกนิดๆ อีกทั้งมันยังขาดความมั่นคง ปัญหาคงมาจากอาการเกร็งและเป็นกังวลของเออร์วิน เอริคผู้ซึ่งสนิทกับเออร์วินที่สุดในช่วง2วันนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เพราะเออร์วินก็ดูไม่ได้เป็นคนซีเรียสอะไร แถมยังดูอารมณ์ดีอีกด้วย แต่พอเขาเริ่มร้องเพลงทีไร เขาก็เสียอาการแบบนี้ทุกที เออร์วินร้องเพลงของเขาจบไป ก่อนจะได้รับเสียงปรบมือจากนักเรียนคนอื่นๆซึ่งมันเป็นเสียงปรบมือที่ “ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย” เป็นการปรบมือแห้งๆตามมารยาทเท่านั้น
“คุณเออร์วิน บอกว่าอยากเป็นศิลปินเพลงป๊อบสินะคะ?” ครูผู้สอนถาม
“ช่ะ ใช่ครับ” เออร์วินตอบ
“ถ้างั้น...”
“ครูคิดว่าเธอเจอปัญหาแล้วล่ะ”
“เสียงของคุณไม่มีความสม่ำเสมอ”
“แล้วมันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกอะไรออกมาเลยด้วย”
คำพูดตรงๆของครูผู้สอน ทำให้เออร์วินรู้สึกเหมือนเขาโดนร้องเท้าฟาดปากยังไงอย่างงั้น เขาได้แต่พยัคหน้ารับความผิดพลาด และทำเหมือนกับว่าไม่ได้รู้สึกอะไร ทั้งๆที่จริงๆเขารู้สึกนอยด์หนักมาก คุณลองคิดภาพตาม ถ้าเกิดคุณออกไปยืนทำอะไรซักอย่างหน้าห้องเรียน แล้วมันเฟล มันออกมาไม่ดี คุณอาจจะไม่รู้ตัวในทันทีว่าคุณได้ทำให้ทุกคนอึดอัดและรู้สึกสมเพชที่จะมองมาที่คุณ แล้วพอคุณเดินกลับมานั่งที่ของคุณ คุณก็จะเริ่มสัมผัสมันได้ว่าทุกคนรอบๆตัวคุณไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่คุณพึ่งทำไปเลย มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก
“ก็เหมือนทุกทีนั่นแหละ” เออร์วินบ่นด้วยเสียงเบาๆ
“เอาน่า ชั้นว่าก็ยังดีกว่าเมื่อวานนี้ล่ะนะ” เอริคพูดปลอบใจเออร์วิน
“เห้อออ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คงโดนคัดออกแหงๆ” เออร์วินพูดประชดชีวิต
“อ๊ะ! จริงสิ” เอริคดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้
“อะไรหรอเอริค?” เออร์วินสงสัย
“คือ รูมเมทชั้นมีวง และกำลังหานักร้องนำอยู่น่ะ”
“ชั้นว่าจะแนะนำนายนี่แหละ” เอริคพูดกับเออร์วิน
“หืม? เสียงอย่างชั้นเนี่ยนะ” เออร์วินไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนั้นได้
“ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก”
“ไม่แน่นะ บางทีนี่อาจจะเป็นทางของนายก็ได้” เอริคแนะนำเออร์วิน
“เป็นวงแนวไหนล่ะ รูมเมทนายน่ะ?”เออร์วินถาม
“รู้สึกจะร็อคล่ะมั้ง” เอริคตอบ
“โห ขนาดร้องเพลงป๊อบชั้นยังเสียงสั่นพั่บๆๆๆอยู่เลย”
“ถ้าไปร้องเพลงหนักๆแบบเพลงร็อค คงจะเละเทะแน่ๆ” เออร์วินพูด
“แต่ชั้นว่านายน่าจะลองดูนะเออร์วิน”
“พูดตามตรงชั้นคิดว่า รูมเมทของชั้นมันมีบางอย่างที่คนอื่นไม่มี”
“แบบว่า... “
“มันบ้าบอดีอ่ะ” เอริคพูดถึงรูมเมทของเขาในทางที่ดี(มั้ง)
“งั้นหรอ?”
“อืม... ถ้างั้นชั้นจะลองไปดูก็ได้”
“นี่เห็นแก่นายเลยนะเนี่ย” เออร์วินพูดกับเอริค
“ขอบใจเออร์วิน” เอริคพูด
“ไม่เป็นไรๆ”
“ตราบใดที่ไม่ใช่ ไอ้สองคนที่เล่นกันมั่วๆเมื่อวานชั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก” เออร์วินพูดลอยๆ
--------------------------------------------------
2024 วันที่5
คลาสเรียนเต้น
“เห้อ การเต้นนี่เผาผลาญดีชะมัด”
เสียงของหญิงสาวผมยาวพูดขึ้น ในขณะที่เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อที่เธอพึ่งเข้าไปเปลี่ยนจากชุดวอร์มกลับมาเป็นชุดธรรมดาหลังจากที่คลาสเรียนเต้นจบ
“ชั้นนึกว่ารุ่นพี่สลาต้าจะไม่สนใจเรื่องการเต้นซะอีกนะคะเนี่ย” สาวผมเทาข้างๆเธอพูดกับเธอ
“งั้นหรอ?”
“ถ้างั้นคิดว่าชั้นน่าจะสนใจเรื่องอะไรล่ะซอนมุล?” สลาต้าถามรุ่นน้องของเธอ
“ก็แบบว่า น่าจะสนแต่ดนตรี วันๆเอาแต่แต่งเพลงอะไรแบบนั้นมั้งคะ?” ซอนมุลตอบ
“อ่า นั่นมันนิสัยของเคลี่เลยล่ะ” สลาต้าพูดถึงเพื่อนร่วมวงเธอพร้อมๆกับอมยิ้ม
“แล้วรุ่นพี่ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอคะ?” ซอนมุลถามด้วยความสงสัย
“อืม... มันค่อนข้างอธิบายยากนะ...”
“เคลี่เล่นดนตรีเพราะว่าเธอรักมัน….”
“แต่ว่าชั้น....”
“....ชั้นเล่นมันเพราะต้องเล่น…..” สลาต้าพูดด้วยสีหน้าที่ดูเศร้าๆ
“ต้องเล่น?”
ซอนมุลรู้สึกสงสัยในสิ่งที่สลาต้ากำลังจะพูด แต่ทันใดนั้นเองเสียงกริ๊ง ที่เป็นสัญญานหมดคาบเรียนก็ดังขึ้น นักเรียนที่มีเรียนต่อก็ต้องไปเรียน ส่วนนักเรียนที่ไม่มีเรียนก็สามารถทำอะไรก็ได้ จะไปกินข้าว ไปทำกิจกรรมชมรมก็ได้แล้วแต่สะดวก ซึ่งนี่ก็เป็นเวลาว่างของซอนมุลพอดี
“รุ่นพี่จะไปไหนต่อหรอคะ?” ซอนมุลถาม
“มีนัดไปอัดเสียงกับเคลี่น่ะ” สลาต้าตอบ
“ยังไงก็ สู้ๆนะคะรุ่นพี่” ซอลมุลพูดพร้อมก้มโค้งทำความเคารพ
“จ้าๆ”
สลาต้าตอบรับรุ่นน้องของเธอก่อนที่จะเดินแยกกับซอนมุลตรงหน้าห้องเรียนเต้น ซอนมุลตั้งใจจะกลับไปที่หอพักของแธอเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเรียนในคลาสต่อไป ต้องบอกว่าหลักสูตรที่ ซอนมุลเรียนเป็นหลักสูตรทดลอง เนื่องจากที่ประเทศอังกฤษนี้การเป็นไอดอลแบบที่ร้องด้วยเต้นด้วยไม่ได้รับความนิยมซักเท่าไรแตกต่างจากอเมริกาหรือเกาหลี ที่ศิลปินแบบร้องด้วยเต้นด้วยได้รับความนิยมสูง และเพราะแบบนั้นทำให้ซอนมุลมีเพื่อนที่ร่วมเรียนด้วยกันค่อนข้างน้อยเพราะตารางมักจะไม่เหมือนคนส่วนมากนั่นเอง
ซอนมุลเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งผ่านมาถึงบริเวณโรงอาหารที่เป็นสถานที่ ที่นักเรียนใช้เพื่อทานอาหารและพบปะพูดคุยกัน ในวันนี้มันมีผู้คนมากกว่าปรกติในเวลาที่ยังไม่พักกลางวันแบบนี้ รอบๆบริเวณนั้นจะมีเหล่านักเรียนปีหนึ่ง หน้าตาละอ่อนมายืนแจกใบปลิวของอะไรบางอย่างอยู่มากมายหลายคนทีเดียว และชายคนนี้ก็เช่นกัน
“ทำไมถึงต้องมาแจกใบปลิวแบบนี้ด้วยนะ”
เสียงของหนุ่มผมหยกศกผู้หน้าตาเบื่อโลกพูดขึ้น ใช่ เขาคือเอริคนั่นแหละ (ทำไมหมอนี่ถึงอยู่ทุกเหตุการณ์เลยนะ) เรื่องของเรื่องก็คือ เอริคมีคาบว่างในช่วงเวลานี้เช่นกัน โดยเรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่เอริคกำลังจะขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตัวแอง และเขาก็พบเข้ากับ “ชายคนนี้”
“อย่าบ่นน่าเอริค”
“ถ้านายไม่ช่วยรุ่นพี่ประจำหอพักของนายแล้วนายจะไปช่วยใคร”
เสียงของชายผิวสีผู้มีผมสีม่วงพูดขึ้น ใช่แล้วเขาคือนักเรียนที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆของโรงเรียนนี้ “ดาวิด อซาโมอาห์” หนึ่งในนักเรียนที่อยู่ใน “สังกัดเอ็มเอ” แม้ว่าเขาจะไม่ได้สังกัดชมรมฮิปฮอปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังแวะเวียนมาช่วยงานที่ชมรมอยู่เรื่อยๆ และเหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน ชมรมฮิปฮอปเป็นชมรมใหญ่ และพวกเขามีประเพณีที่ทำตามๆกันมาตั้งแต่เปิดชมรม นั่นก็คือการ “จัดปาร์ตี้ฮิปฮอป” ก่อนที่จะเปิดรับสมัครนักเรียนเข้าชมรม ซึ่งงานนี้จะต้องกระจายข่าวให้ทั่วถึง และจำเป็นต้อง “ใช้” บางคนที่กำลังว่าง อย่างเช่นชายคนนี้ “เอริค เกริกเซนเต้”
ซอนมุลได้แต่สงสัยกันว่าคนพวกนั้นมุงอะไรกัน และเธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบที่จะเบียดเสียดเข้าไปเพื่อมุงดูอะไรแบบนั้นซักเท่าไร เธอจึงตัดสินใจจะเดินจากไป โดยทิ้งความสงสัยไว้เบื้องหลัง ซอนมุลเริ่มก้าวเท้าของเธอเพื่อเดินต่อไปที่หอพักของเธอ แต่ทันใดนั้นเอง
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนล่ะก็ ฝากด้วยนะครับ”
เบื้องหน้าของเธอคือชายผมหยักศกที่มีหน้าตาเบื่อโลก เขาพูดพร้อมยื่นใบปลิวในมือของเขามาให้เธอ ซอนมุลไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะต่อมความขี้สงสัยของเธอมันได้ทำงานไปเรียบร้อยแล้ว เธอรับใบปลิวมาก่อนที่จะเริ่มถามคำถามกับเอริค
“มีอะไรกันหรอคะ?” ซอนมุลถาม
“อ๋อ นี่เป็นงานปาร์ตี้ชมรมฮิปฮอปน่ะครับ” เอริคตอบ
“โห แบบนี้ก็เป็นงานรวมตัวของแร็ปเปอร์เลยสินะคะ” ซอนมุลรู้สึกตื่นเต้น
“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้งครับ”
“ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องฮิปฮอปซักเท่าไรซะด้วยสิ”
“ถ้าเกิดคุณสนใจล่ะก็ ลองฟังประกาศจากรุ่นพี่เดวิดก็ได้”
“น่าจะใกล้เริ่มแล้วนะครับ”
เอริคพูดพร้อมยกนาฬิกาของเขาขึ้นมาดูเวลา นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่ผู้คนรอบๆโรงอาหารมีมากขึ้นจนเพียงพอที่จะประกาศเรื่องสำคัญ ซอนมุลยืนอยู่ข้างๆกับเอริค ก่อนที่ “เดวิด อซาโมอาห์” จะลุกขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ของโรงอาหาร ซึ่งที่เหล่าฝูงชนมุงกัน นั่นก็เพื่อขอลายเซ็นเดวิดนั่นเอง เดวิดเป็นคนดังของโรงเรียนนี้ เขาได้ชื่อว่าเป็น “ว่าที่อันดับ1 คนต่อไป” เพราะหลังว่าจากจบภาคการศึกษาในปีนี้ วงเดอะแฟร์ลี่ อย่างสลาต้ากับเคลี่ และ ศิลปินเดี่ยวอย่างคริสเตียน รอธเวลล์ก็จะจบการศึกษาแล้ว และก็มีแต่เดวิดเท่านั้น ที่มีศักยภาพพอจะเป็นอันดับ 1ต่อจาก วงเดอะแฟร์ลี่ได้
“เอาล่ะ ทุกคนคงพร้อมกันแล้วสินะ” เดวิดพูด
“ปาร์ตี้ของเราจะจัดหลังจากที่การเรียนการสอนในวันนี้จบลง”
“จะจัดขึ้นที่คลับฮิปฮอปของชมรมฮิปฮอป”
“ถ้าไปไม่ถูกก็ดูในใบปลิวเอาได้เลย”
“ภายในนั้นงาน จะมีการแร็ปแบทเทิลด้วย”
“และแค่นั้นยังไม่พอ เพราะมันจะมีมินิคอนเสิร์ตของชมรมฮิปฮอป....”
“ซึ่งชั้นจะเข้าร่วมด้วย”
ทันที่เดวิดพูดประโยคนั้นออกมา ฝุงชนรอบๆโรงอาหารก็โห่ร้องด้วยความดีใจ เพราะพวกเขากำลังจะได้ดูโชว์จาก “แร็ปเปอร์อันดับหนึ่งของโรงเรียน” ซอนมุลรู้สึกตื่นเต้นกับคำเชิญชวนของเดวิด แต่ฮิปฮอปก็ไม่ใช่แนวทางที่เธอคุ้นเคยซักเท่าไร เพราะเธอก็แร็ปไม่เป็น
“ยังไม่จบแค่นี้” เดวิดพูดต่อ
“นอกจาก แร็ปแล้ว ฮิปฮอปยังมีอะไรมากกว่านั้น”
“ภายในงานจะมีทั้งการโชวืดีเจ การโชว์กราฟฟิตี้”
“และสิ่งนึงที่ถูกเพิ่มมาให้ปีนี้ก็คือ...” เดวิดพูดก่อนจะชะงักไป
“เดี๋ยวนะ...”
เดวิดสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า เขาเห็นภาพของเอริคที่ตื่นทำหน้าเบื่อๆอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะเด็กสาวข้างๆเอริค คือสาวชาวเอเชียอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งในโรงเรียนนี้ก็มีชาวเอเชียไม่เยอะมากนัก นอกจาก ทาคาซึกิ ยูริ กับอามาตะ ก็ยังไม่มีใครที่เดวิดรู้จัก ซึ่งในวินาทีนั้น เดวิดนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องที่สลาต้าเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเด็กสาวที่เต้นเก่งคนนึง และชื่อของเธอก็คือ...
“นี่ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆเอริคน่ะ” เดวิดพูดออกมาด้วยเสียงที่ดัง
“เอริค?” ซอนมุลรู้สึกสงสัย
“อ่า นั่นผมเองแหละ” เอริคตอบ
“เห! ถ้างั้น...คนที่เขาพูดถึงก็!” ซอนมุลรู้สึกตกใจ
“คนที่ผมสีเทาๆน่ะ” เดวิดพูดต่อ
“คะ?!!” ซอนมุลรีบยกมือและตอบรับเดวิดอย่างลนลาน
“เธอใช่ซอนมุลรึเปล่า?” เดวิดถาม
“ช่ะ ใช่ค่ะ?” ซอนมุลตอบด้วยความงุนงง ว่าเดวิดรู้จักเธอได้ยังไง
“เกือบลืมชื่อไปแล้วนะเนี่ย”
“นี่ ชั้นได้ข่าวว่าเธอเต้นเก่งสินะ ซอนมุล?” เดวิดพูดขึ้นมา
“หืมมม” เสียงของฝูงชนดังขึ้นและหันมามองที่ซอนมุลเป็นสายตาเดียว
“กะ ก็ไม่ได้เก่งอะไรมากหรอกค่ะ” ซอนมุลตอบอย่างเกร็งๆ
“ชั้นไม่รู้ว่าเธอชอบฮิปฮอปรึเปล่านะซอนมุล”
“แต่ถ้าเธอชอบเต้น”
“เธอต้องมาที่งานนี้”
“เพราะนี่คือหนึ่งในวัฒนธรรมฮิปฮอปที่ขาดไม่ได้”
“การเต้นยังไงล่ะ!”
“เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ”เสียงของฝูงชนที่หันมาที่ซอนมุลโห่ร้องออกมาด้วยความปิติอีกครั้ง
การเต้นถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมฮิปฮอป เป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกันมาช้านานจนพวกเขามีแนวการเต้นเป็นของตัวเองที่มีชื่อเรียกว่า “บีบอย” และซอนมุลก็ได้รับคำเชื้อเชิญในไปทำในสิ่งที่เธอชอบ จากคนที่เธอไม่คาดคิดราวกับว่านี่คือพรหมลิขิต
ซอนมุลอึ้งไปซักพัก ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยไปข้องเกี่ยวอะไรกับฮิปฮอปเลย เธอมักจะใช้เวลาในการเต้นของเธอไปกับเพลงป๊อบและเพลงEDM แต่ทว่าชมรมเพลงป๊อบและเพลงEDMของโรงเรียนแห่งนี้ พวกเขามีวัฒนธรรมที่แตกต่างกับคนเกาหลีอย่างเธอโดยสิ้นเชิง พวกเขาเน้นไปที่การร้องและการทำเพลงมากกว่าการเต้น
ซึ่งในบางครั้งสิ่งที่เราตามหาก็อาจจะอยู่ในที่ๆเราคิดว่ามันไม่น่าจะอยู่ในนั้น ซึ่งถ้าเราไม่ลองเข้าไปค้นหาดู เราจะไม่มีวันเจอสิ่งที่เราต้องการ และซอนมุลในตอนนั้นก็ไม่ทันได้คิดและไตร่ตรองอะไรทั้งสิ้น เพราะเมื่อเธอได้ยินคำว่าเต้น หัวใจดวงน้อยๆของเธอก็เริ่มเต้นด้วยจังหวะที่สั่นระรัว
“ว่าไงล่ะซอนมุล?”
“สนใจมั้ย?” เดวิดถามซอนมุล
“……………….”
“สะ... สนค่ะ”
"จบตอนที่4"
--------------------------------------------
เกร็ดความรู้
“ฮิปฮอป กับ แร็ป ต่างกันยังไง?” นี่คงเป็นคำถามที่ใครหลายๆคนสงสัย เพราะฉะนั้นผมจะขออธิบายแบบง่ายๆเลยแล้วกัน “ฮิปฮอป” คือแนวเพลง ส่วน “แร็ป” คือวิธีการร้องชนิดหนึ่ง และ “แร็ป” ไม่ต้องอยู่ในแนวเพลง “ฮิปฮอป” เสมอไป ทุกวันนี้เราเห็นการแร็ปในเพลงป๊อบ เพลงแดนซ์ เพลงร็อค และหลายๆแนวเพลงที่มีการแร็ปเข้าไปผสมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะพูดว่า “นายA เป็นศิลปินแนวแร็ป” แบบนี้ถือว่าผิดนะครับเพราะแร็ปไม่ใช่แนวดนตรี วิธีที่ถูกถ้าจะพูดก็คือ “นายAเป็นแร็ปเปอร์” แบบนี้จะถูกต้องกว่าครับ
--------------------------------------------------------------
Encore
2024 มุมตึกหลังโรงเรียน
“ให้ตายสิ เจ้าเอริคมันเล่นชั้นจนได้”
หนุ่มผมสีน้ำเงินพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย ชายคนนี้คือ “เออร์วิน” นักร้องที่อนาคตไม่แน่นอนเอาซะเลย เขาถูกเอริคทาบทามให้มาเป็นนักร้องนำของวงดนตรีวงนึงที่รูมเมทของเอริคเป็นสมาชิกอยู่ในวงนั้น เออร์วินตอบตกลงว่าจะลองไปคุยกับพวกนั้นดู เพราะเขาเห็นแก่เอริค ซึ่งเขาคิดว่า ตราบใดที่ไม่ใช่ไอ้สองคนที่เล่นห่วยๆเมื่อวานนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ประเด็นก็คือ “ใช่”
พวกเขาคือโนเอลและเลียมสองคนที่ เออร์วินอยากจะหลีกเลี่ยงที่สุด แต่เขาดันตอบตกลงเอริคไปก่อนซะแล้ว ทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก ตอนนี้เป็นเวลายามเย็นแล้ว หลังจากที่เรียนในภาคบ่ายจบ นักเรียนส่วนใหญ่ก็เตรียมตัวไปกินข้าวเย็น หรือไม่ก็พักผ่อน หรือบางส่วนในวันนี้พวกเขาก็เตรียมตัวไปงานปาร์ตี้ของชมรมฮิปฮอปที่จะจัดขึ้นช่วงหัวค่ำในวันนี้ แต่สำหรับชายผมสีน้ำเงินคนนี้ เขาต้องตามหา “ห้องชมรมอัลเทอเนทีฟ”
“ในแอพก็บอกว่าอยู่แถวๆนี้นี่”
“ไม่เห็นจะมีมุมไหนหน้าตาเหมือนห้องชมรมเลยซักนิด”
เขาบ่นออกมาท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มแก่ๆเพราะนี่เป็นช่วงเวลายามเย็น โดยแอพลิเคชั่นที่แสดงผลบนสมาร์ทโฟนของเออร์วินมันบอกว่าห้องของชมรมอัลเทอเนทีฟตั้งอยู่ที่นี่แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่มีอะไรที่หน้าตาเหมือนกับห้องชมรมเลยซักนิด จนเออร์วินเริ่มจะขึ้นว่าแอพพลิเคชั่นของเขาอาจจะเจ๊งไปแล้ว
“มีแต่หญ้ารกๆกับโรงรถเก่าๆ”
“ใครมันจะบ้ามาตั้งชมรมตรงนี้นะ”
“มีแต่หญ้ากับโรงรถ....”
“โรงรถ?”
ในบริเวณนั้นมีโรงรถเก่าๆที่ไม่มีใครใช้มานานแล้วตั้งอยู่ด้วย เออร์วินได้แต่ภาวนาว่า “อย่าเป็นตรงนี้เลย” เพราะถ้าไม่ตั้งใจมอง มันดูไม่เหมือนโรงรถด้วยซ้ำไป มันมีหญ้ารถข้างๆโรงรถนี่ มันเป็นโรงรถเน่าๆที่น่าจะทุบทิ้งไปได้แล้ว หรือว่า... สถานที่นี้จะมีอาถรรพ์อะไรแปลกๆกันนะ? มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะมีโรงรถอยู่ตรงนี้ แต่ถึงแบบนั้นเออร์วินก็ยังรู้สึกสงสัยและค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ
“ไม่ได้ล็อคกุญแจด้วย...”
เออร์วินพูดหลังจากที่มองดูประตูเหล็กแบบเลื่อนขึ้นแบบเดียวที่โรงรถทั่วไปใช้กัน และต่อให้มันเป็นที่ๆถูกลืมมันก็น่าจะมีกุญแจล็อคอยู่ดี แต่ทว่าโรงรถเน่าๆแห่งนี้ก็ไร้ซึ่งกุญแจโดยสิ้นเชิง เออร์วินยืนมองอยู่หน้าโรงรถนั่น และคิดอย่างหนักว่า “ชั้นควรจะเปิดมันมั้ยนะ?” เออร์วินไม่รู้ว่าเขาจะเจอเข้ากับอะไรถ้าเกิดเขาเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อคนั่นขึ้น บางทีเขาอาจจะปลดปล่อยปีศาจออกมาฆ่าทุกคนในโรงเรียนก็ได้! เออร์วินจดๆจ้องๆ จะเปิดก็ไม่เปิด จนกระทั่ง
“พรึ่บ!”
“เชี่x!!”
ประตูเหล็กเลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็วจนเออร์วินตกใจ ภาพที่เขาเห็นคือ สิ่งมีชีวิตที่ รูปร่างของมันสูงใหญ่จนน่ากลัว และข้างๆมันก็คือปีศาจ ที่มีตาสีแปลกประหลาดและลวดลายบนตัวของมันก็มีมากมายเต็มไปหมด โดยที่เบื้องหลังของปีศาจพวกนั้นคือซากปรักหักพังและขยะมากมาย
“ปะ! ปีศาจ!!!!!” เออร์วินร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ปีศาจบ้านแกสิ” ปีศาจสักลายพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
“เป็นอะไรรึเปล่า?” ปีศาจตัวสูงพูดอย่างนุ่มนวล
เออร์วินเริ่มตั้งสติได้ เขาก็ค่อยๆเบิกตาดูดีๆและพบว่า ทั้งสองคนไม่ใช่ปีศาจ พวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ปรกติธรรมดาทั่วไป คนนึงมีร่างกายที่สูงใหญ่เกิดมนุษย์ทั่วไป ส่วนอีกคนก็มีลายสักเต็มตัวไปหมด
“ม่ะ ไม่เป็นไรครับ”
“แค่ตกใจนิดหน่อย..”
และนอกจากชายตัวสูงกับชายที่สักเต็มตัว ก็ยังมีอีกสองคนอยู่ในโรงรถนั่น และกำลังปัดกวาดเช็ดถูกันยกใหญ่ คนนึงเป็นชายผมสีทอง ที่ถอดเสื้อของเขาออก และเผยให้เห็นเรือนร่างที่มีรอยสักอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่เยอะเท่ากับชายที่เออร์วินเจอก่อนหน้านี้ ส่วนอีกคนเป็นชายที่มีหนวดเคราและสวมหมวกรูปทรงแปลกๆอยู่ตลอด
“ลูก้านายเอาไม้ขนไก่มาให้ชั้นหน่อย” เสียงของชายผมสีทองในโรงเรียนพูดขึ้น
“เอาอีกแล้วนะ นี่ชั้นถูเป็นรอบที่สามแล้วนะ”
“ขืนนายยังปัดฝุ่นลงมาอีกล่ะก็ ชั้นซัดหน้านายแน่” เสียงของชายที่ใส่หมวกคนนึงพูดขึ้น
“เฮ้ๆ พวกนายเลิกทะเลาะกันก่อน เรามีแขกมาด้วย”
“คนสูงๆนั่นคือ ลูซ”
“คนที่ใส่หมวกคือ ลูก้า”
“ส่วนคนที่ไม่ใส่เสื้อคือ คีแรน”
“และชั้นคือ เบร็ต”
“และพวกเราคือ เซเว่นฟืท กอติก”
เบร็ตแนะนำตัวของพวกเขาให้เออร์วินฟัง มันดูเป็นภาพที่น่ารักดีเหมือนกัน ที่ชายฉกรรจ์ที่หน้าตาดูโหดๆทั้ง4คน กำลังปัดกวาดเช็ดถูโรงรถแห่งนี้อย่างขะมักเขม้น
“ผมเออร์วิน จัสเทอร์ครับ” เออร์วินแนะนำตัวเช่นกัน
“ว่าแต่ที่นี่ใช่.. เอ่อ...”
“ชมรมอัลเอทเนทีฟรึเปล่าครับ?” เออร์วินถาม
“ใช่แล้วล่ะ เราเพิ่งได้ห้องมาวันนี้เอง”
“ก็เลยต้องทำความสะอาดกันยกใหญ่เลยล่ะ” ชายตัวสูงที่ชื่อลูซพูดกับเออร์วิน
“ว่าแต่นายมาที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่า?” เบร็ตถาม
“อ๋อ คือเพื่อนผมแนะนำให้ผมมาคุยกับเลียมกับโนเอลน่ะครับ”
“เรื่องร้องนำน่ะ....”
“อ๋อ เรื่องนั้นเองหรอ”
“โนเอลกับคนอื่นๆกำลังไปยกอุปกรณ์ดนตรีมาที่นี่”
“นายคงต้องรอซักพักล่ะนะ” เบร็ตพูด
“แบบนั้นก็ได้ครับ” เออร์วินพูดกับเบร็ต
“เอ แต่ไหนๆนายก็มาแล้ว”
“จะให้รอเฉยๆคงจะน่าเบื่อสินะ”
“เอานี่ไป”เบร็ตพูดกับเออร์วินก่อนที่จะยื่นไม้กวาดให้กับเขา
“ผ่ะ ผมนั่งรอเฉยๆได้ครับ!” เออร์วินพยายามเถียงสู้
“เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจ”
“กวาดให้สะอาดๆด้วยล่ะ”
เบร็ตพูดอย่างไม่สนโลก และผลักให้เออร์วินเข้าไปช่วยคีแรนกับลูก้าทำความสะอาด ทั้งๆที่เออร์วินไม่ได้อยากทำมันเลยซักนิด และแม้ว่าเออร์วินจะไม่เคยอยากรวมวงกับเลียมและโนเอลเลยซักครั้ง แต่ในตอนนี้เขาก็ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้พวกนั้นรีบมาที่นี่ทีเถอะ รีบมาก่อนที่เขาจะกลายเป็นเบ๊ของ เบร็ตไปตลอดวันนี้และแม้ว่าลูซอยากจะห้ามเบร็ตไม่ให้ทำแบบนั้นกับแขกแค่ไหน แต่ดูเหมือนงานทำความสะอาดโรงรถเน่าๆนี่มันหนักหนาเกินไป สำหรับคน4คนจริงๆ
“ทำเป็นมองไม่เห็นซักครั้งก็คงไม่เป็นไรมั้ง” ลูซคิดในใจ
---------------------- แนะนำ NPC
คีแรน
|
|