|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 23, 2018 15:00:56 GMT
EP.3 : Like He’ve Done Turbine Crate
หลังจากที่ผ่านการสู้รบปรบมือกับ Arachna ตะขาบยักษ์จำนวนหลายร้อยตัวไปได้แล้ว กลุ่ม Last Duty ก็ไม่ได้รอช้า พวกเขาเร่งเดินทางต่อโดยมุ่งหน้าไปยังฐานปล่อยกระสวยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ นากา ได้มอบหมายให้ฮันน่าห์เข้าไปตรวจและซ่อมแซม Valkyria Unit โดยมี เรย์ และ ฟุโด คอยเป็นลูกมือ ภายหลังจากที่ฮันน่าห์ตรวจสอบความเสียหายแล้ว เธอได้มอบหมายงานให้ เรย์ และ ฟุโด ทำการซ่อมบำรุง
ระหว่างที่ฮันน่าห์กำลังทำหน้าที่วิศวกรควบคุมงานซ่อมบำรุงอยู่นั้น นากาก็ได้เดินเข้ามาถามความคืบหน้า “เป็นยังไงบ้างคะ เจ้าหน้าที่วิศวกรระดับสูงรายน์เฟลเลอร์ …. มันย่ำแย่มากขนาดไหน” นากาถามขึ้น ฮันน่าห์ยก Tablet ของเธอขึ้นมาดูแล้วเลื่อนข้อมูลดูไปเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มให้คำตอบแก่นากา “สภาพความเสียหายมีไม่มากค่ะท่านหัวหน้า คงซ่อมเสร็จในไม่กี่ชั่วโมง แต่มีเรื่องอื่นน่าเป็นห่วงมากกว่า” “นั่นคือพลังงานของ Valkyria Unit และจำนวนอาวุธที่เราใช้ไปเยอะในการรู้สบคราวก่อนซึ่งกินเวลาหลายชั่วโมง” “กระสุนทั้งหมดที่มีตอนนี้เหลือน้อยมาก เราไม่สามารถบรรจุกระสุนและจรวด Missile ให้เต็มในแต่ละเครื่องได้” “เชื้่อเพลิงสำรองก็มีจำกัดเช่นเดียวกันค่ะ หากเติมเชื้อเพลิงให้แต่ละเครื่อง ก็จะมีเพียงเครื่องละ 50% เท่านั้น” “ขึ้นอยู่กับหัวหน้าแล้วว่าจะบริหารจัดการการบรรจุอาวุธและเชื้อเพลิงให้ Valkyria Unit อย่างไรบ้าง”
นากาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ดิชั้นอยากให้คุณกระจายการบรรจุอาวุธและเชื้อเพลิงให้ทุกเครื่องในปริมาณเท่าๆ กัน” “เราไม่สามารถ Feed ทรัพยากรให้นักบินคนใดคนหนึ่งแบกความรับผิดชอบเรื่องการสู้รบำได้ในตอนนี้” “หากเราบรรจุอาวุธและเชื้อเพลิงในปริมาณเท่าๆ กัน ถึงแม้จะไม่สามารถทำการสู้รบได้นาน แต่กำลังรบย่อมเหนือกว่า” “ดิชั้นคงไม่สามารถคำนวณถึงรายละเอียดยิบย่อยในเรื่องนี้ได้ เพราะนอกจากปริมาณอาวุธและเชื้อเพลิงแล้ว” “เรายังเสียเวลาในการดำเนินภารกิจไปมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลกว่า ยังไงก็ฝากด้วยล่ะ”
เมื่อสั่งการจบ นากา ก็เดินออกจากพื้นที่ซ่อมบำรุงไป
………………………………………….
มุมหนึ่งของห้องพักนักบิน
เวลาได้ผ่านพ้นไปนานพอสมควร มันนานพอที่ เรย์ และ ฟุโด จะทำงานซ่อมบำรุงตามคำสั่งของฮันน่าห์จนเสร็จสิ้น เรย์ นั้นเดินเข้ามาในห้องพักนักบินที่มีโซฟา 2 ตัวตั้งอยู่ มีโต๊ะเก้าอี้ อุปกรณ์สร้างความบรรเทิง รวมไปถึงสมุดหนังสือ เขาเหลือบไปเห็น ฟองน้ำ กำลังเปิดดู Tablet ของเธอ เธอใช้นิ้วชี้เลื่อนภาพหน้าจอไปมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอนั่งหลบมุมอยู่ที่โซนโต๊ะเก้าอี้ของห้อง เรย์จึงตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ เพื่อชวนคุยลดความตึงเครียด
“เป็นไงบ้างเด็กน้อย!!” เรย์พูดขึ้นทันทีที่ก้นของเขาสัมผัสกับเบาะนั่งของเก้าอี้ น้ำเสียงของเขาดังและกระฉับกระเฉง “อุ๊ย!! รุ่นพี่คารินอีกแล้วหรอคะ ตกใจหมดเลย ชอบเข้ามาแบบนี้ทุกที” ฟองน้ำ ยังคงตกใจกับการเข้าหาของเรย์เช่นเดิม เรย์โบกมือขวาไปมา “อะไรกัน...อะไรกัน...ชั้นก็เข้ามาทักทายเหมือนที่คนทั่วไปเขาทำกันนะ...ว่าแต่ทำอะไรอยู่ล่ะ” ฟองน้ำ ยื่น Tablet ให้เรย์ดู มันอยู่ที่หน้าจอ Last Contacts ซึ่งไม่มีอะไรคืบหน้าเข้ามาเลยตั้งแต่ออกเดินทาง
“ตั้งแต่เราออกมาท่านผู้บัญชาการแซนเบิร์กยังไม่ได้ติดต่อเข้ามาเลยค่ะ ทั้งๆ ที่ทางเรารายงานกลับไปตลอด” ฟองน้ำตอบ เรย์ มองดูก็พบว่าสิ่งที่ฟองน้ำพูดเป็นเรื่องจริง “ชั้นว่าท่านผู้บัญชาการสูงสุดคงกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมฝูงบินน่ะนะ” “การโจมตี Minos ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้ …. มันก็ไม่น่าแปลกอะไร แล้วก็ยังไม่น่ามีอะไรต้องกังวล” ฟองน้ำ ดึง Tablet กลับมา “แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้นี่คะ” เรย์จึงยื่นมือไปหยิบ Tablet จากมือของฟองน้ำแล้ววางมันลงที่โต๊ะ “ตอนนี้น่ะ ที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่ทางนั้นหรอกนะ แต่เป็นทางเรามากกว่า” เรย์ พูดขึ้นพร้อมกับสบตากับฟองน้ำด้วยสายตาจริงจัง มันทำให้แววตาของฟองน้ำกลับมาแน่วแน่อีกครั้ง “จริงด้วยค่ะ ตอนนี้ไซเฟอร์รู้แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน เขาไม่ปล่อยเราไปแน่”
…………………………………………..
ระหว่างที่ ฟองน้ำ และ เรย์ กำลังพูดคุยกันอยู่
ที่กลางห้องซึ่งเป็นจุดตั้งโซฟา จอห์นและฟุโดนั่งจับเจ่าอยู่ที่โซฟาด้านขวา ส่วนอลิซาเบธนั่งอ่านหนังสืออยู่ฝั่งตรงข้าม ฟุโดที่กำลังหันซ้ายหันขวาอย่างไม่มีเป้าหมาย เขาก็นึกเรื่องที่คาใจขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง เขาจึงเอ่ยปากทำลายความเงียบงัน “จะว่าไป ผมอยากรู้ว่าทำไมรุ่นพี่แอนเดอร์สันถึงต้องเลือกพวกผมออกมาปฏิบัติการครั้งนี้ด้วยล่ะครับ...” “ที่จริงแล้วในฝูงบิน Griffin มีนักบินที่เก่งกว่าพวกผมสองคนตั้งเยอะถ้านับจากหมายเลขของนักบินกว่าจะมาถึงพวกผมน่ะนะ” จอห์นหันมามองฟุโดด้วยหางตาแล้วแสยะยิ้มมุมปาก “นายนี่ชักจะสำคัญตัวเองไปกันใหญ่แล้วนะ ชั้นเนี่ยนะเลือกนาย” “ชั้นเลือกเจ้าหมอนั่นตะหาก” เขาชี้ไปทางเรย์ที่นั่งคุยอยู่กับฟองน้ำ ทำให้คิ้วของฟุโดขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
จอห์นจึงเริ่มอธิบายต่อไป “ก่อนหน้าที่จะมีการรับอาสา ท่านผู้บัญชาการสูงสุดได้เข้ามาขอให้ชั้นช่วย” “ท่านรู้ว่าหมอนั่นเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเด็กผู้หญิงคนนั้น เมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นปฏิเสธภารกิจ หมอนั่นเป็นคนเดียวที่ชักนำเธอได้” “ชั้นก็เลยต้องรับหน้าที่ในการทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะนำตัวหมอนั่นเข้าร่วมภารกิจนี้ให้จงได้ยังไงล่ะ” ฟุโด ขมวดคิ้ว “เอ้าแล้วทำไมรุ่นพี่ถึงลากผมออกมาด้วยล่ะครับ หรือเพราะรุ่นพี่เห็นผลงานที่ผ่านมาของผมแล้วเข้าตา” “หึ!!” จอห์นพ่นลมออกจากรูจมูกก่อนจะตอบว่า “นายน่ะหรอ ก็แค่ปลาซิวปลาสร้อยที่ติดร่างแหเพื่อความแนบเนียนเท่านั้นแหละ” เมื่อได้ยินดังนั้น ฟุโด ก็ลุกขึ้นกำหมัด เขากัดฟันแน่น “นี่รุ่นพี่พาผมมาเสี่ยงเพียงเพราะแค่ความแนบเนียนอย่างนั้นหรอวะครับ!!”
อลิซาเบธ ที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามพับหนังสือที่อ่านอยู่ลง “อย่างน้อยเขาก็ช่วยชีวิตชั้นเอาไว้...ต้องขอบใจนายด้วยนะฟุโด” ฟุโด ยิ้มแห้งๆ “ก็เราอยู่หน่วยเดียวกันนี่ครับ เราก็ต้องช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา...นอกจากเรย์แล้ว...ผมก็เหลือแค่พวกพี่ๆ นี่แหละครับ” อลิซาเบธเบะปาก “นายก็เป็นคนอารมณ์ดีอยู่นะฟุโด แต่ฟังจากที่นายพูดมามันก็น่าแปลกอยู่ที่คนอย่างนายจะมีเพื่อนน้อย” ฟุโดก้มหน้าลง สีหน้าของเขาดูเศร้าๆ “ตะก่อนผมน่ะเคยมีเพื่อนๆ มากมาย แต่หลังจากเกิดเรื่องวุ่นๆ เพื่อนของผมก็ล้มหายตายจาก” “เพื่อนที่สนิทที่สุดของผมกับเรย์ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน… ตอนนี้ผมเลยคิดว่าจะต้องทำดีกับทุกคนที่ผมรู้จักให้มากก่อนที่…” อลิซาเบธส่ายหัว “พอแล้ว!! ชั้นขอบใจนาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะฟังเรื่องราวดราม่าชีวิตของนายนักหรอกนะ...”
จอห์นทำหน้าเซ็งๆ “โถ่เอ้ย คนเค้าอุตส่าห์ตบหัวมาตั้งนาน ยัยบ้าหัวเขียวนี่ชิงลูบหลังแย่งซีนไปเฉยเลย...GG….” เมื่อได้ยินคำว่า “ยัยหัวเขียว” อลิซาเบธ หรี่ตาลงเล็กน้อย มุมปากขวาของเธอกระตุกๆ “ว่าไงนะไอ้ลูกนายพลขี้โอ่!!” ทันทีที่สิ้นประโยค จอห์น และอลิซาเบธลุกพรวดจากโซฟาพร้อมกัน ทั้งสองกำหมัดจ้องตากันอย่างล้างผลาญ “พูดว่ายัยหัวเขียวยังไงล่ะ หูตึงเรอะ!!” จอห์นตะคอกไป “สวยสิงี้ มวยป่ะล่ะ จะมวยก็เข้ามา!!” อลิซาเบธ ตะคอกกลับ ฟุโด ส่ายหน้าเบาๆ “นี่ชั้นมาอยู่กลางดงคนบ้ารึไงกันฟะเนี่ย!!” ประโยคลอยๆ กลับดึงความสนใจของคู่มวยเข้าหาทันที “ว่าไงนะ!! นายน่ะอยากมวยป่ะล่ะ!!” จอห์นและอลิซาเบธ ตะคอกใส่ฟุโดจนสะดุ้งพร้อมๆ กัน
“เลิกกัดกันได้แล้วเจ้าพวกโง่” และแล้วระฆังพักยกก็มาถึง เมื่อนากาเดินเข้ามา เธอพูดจบก็เดินผ่านออกไป
………………………………………….
ห้องพักนักบินใน Turbine Crate
มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีเตียงนอนแบบโครงโลหะสองชั้นเล็กๆ ผนังของห้องเป็นโลหะสีเทาไม่ต่างจากข้างนอก เนื่องจากพื้นที่ในส่วนนี้เอาไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติหน้าที่บน Turbine Crate ได้นอนพัก จึงไม่ได้หรูหราอะไร มันมีประตูเลื่อนเปิดปิดซ้ายขวาเอาไว้ปิดกั้นความเป็นส่วนตัว ห้องนั้นขนาบข้างทางเดินทั้งซ้ายและขวามีอยู่ร่วม 6 ห้อง นากา ที่เดินผ่านห้องนั่งเล่นออกมา เธอก็เข้ามาในโซนห้องพัก เธอเห็นห้องพักห้องหนึ่งถูกเลื่อนประตูปิดอยู่ห้องเดียว
เธอเดินไปที่หน้าห้องพักห้องนั้นโดยรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนที่อยู่ในห้อง จากนั้นเธอก็ใช้หลังมือเคาะที่ประตูสองครั้ง “หลับอยู่รึเปล่า ชั้นเข้าไปได้มั้ย” นากา ถามขึ้น เสียงของอัลไดน์ก็ตอบกลับออกมา “เชิญเข้ามาได้เลยครับหัวหน้า” เมื่อได้ยินเช่นนั้น นากาจึงเลื่อนบานประตูสไลด์ออก แล้วก้าวเข้ามาในห้องสุดคับแคบก่อนจะเลื่อนประตูปิดตามเดิม “มานั่งทำอะไรอยู่เงียบๆ คนเดียวที่นี่….” นากา นั่งลงบนเตียงข้างๆ อัลไดน์ เธอถามขึ้นพร้อมมองไปที่มือของอัลไดน์ มือของเขานั้นยังคงถือหมวกสีเขียวใบเดิมที่มีตัวอักษร DIO ของพี่ชายเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ยังคงจมปรักอยู่กับเรื่องเก่าๆ สินะ …. ชั้นเป็นห่วงนายนะอัลไดน์ …. ทุกคนรู้สึกเสียใจไม่ต่างจากนายหรอก….” “การเสียหัวหน้าอัลดิออสไปถือเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่พวกเราทุกคนเลือกที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า...นายเองก็ควรทำด้วย...” อัลไดน์ ขมวดคิ้วก่อนจะพูดขัดขึ้นว่า “มันเป็นเพราะความสะเพร่าของผมเอง...ถ้าผมอยู่ด้วยในวันนั้น...ผมคงช่วยพี่ได้...”
นากาทนสภาพที่อัลไดน์เป็นอยู่เต่อไปไม่ได้ “เซี๊ยะ!!!” เธอใช้หลังมือซ้ายที่อยู่ใกล้ตัวอัลไดน์สะบัดใส่เต็มหน้าของเขา “ตาสว่างได้แล้วอัลไดน์!! ถึงนายอยู่ที่นั่นในวันนั้น นายเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ายังไงก็ช่วยหัวหน้าอัลดิออสไม่ได้!!” “และหัวหน้าอัลดิออสก็คงจะไม่ยอมให้น้องชายที่เขารักต้องมาตายแทนแน่!! ลองนึกภาพดูสิอัลไดน์ ถ้าหัวหน้าอยู่ที่นี่...” “แล้วได้มาเห็นนายในสภาพแบบนี้!! นายคิดว่าเขาจะดีใจและพึงพอใจอย่างนั้นหรอ!!....ก้าวเดินต่อไปอัลไดน์….”
ระหว่างที่บทสนทนาของ นากา และ อัลไดน์ กำลังดำเนินอยู่นั้นเองเสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น มันตามมาด้วยเสียงของฟองน้ำ “Last Duty Cabin-Crew Prepare For Fight!! We’re Under Attack!!” นากาลุกขึ้นแล้วหันมองอัลไดน์ที่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แม้แก้มขวาของเขาจะมีรอยหลังมือของนากาประทับอยู่ เขาก็ยังนิ่งเฉย
“อย่าทำให้พี่ชายของนายผิดหวัง….เจอกันข้างนอกนะ...Griffin 04….” นากา พูดก่อนเดินออกไป
………………………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 23, 2018 15:01:01 GMT
หลังจากสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นไม่นาน
Hatch ด้านหลังของ Turbine Crate ซึ่งกำลังบินเลียดต่ำด้วยความเร็วสูงก็เปิดออกโดยไม่ได้ลดความเร็วลง ท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง Valkyria Unit รุุ่น VF-1 ทั้งหมด 6 ลำถูกปล่อยออกมาพร้อมๆ กัน VF-1 ทั้ง 6 ลำ ออกตัวจาก Turbine Crate ด้วยการถอยหลังออก ก่อนจะเร่งไอ่พ่นขับดันแล้วเชิดหัวขึ้น พวกเขาไม่ได้บินตาม Turbine Crate ไป แต่เลือกที่จะปักหลักสู้ตรงจุดที่ปล่อยตัว โดยไม่รู้ว่ากำลังจะพบกับอะไร เมื่อเชิดหัวขึ้นจนความเร็วหยุดนิ่ง VF-1 ทั้งหมด 6 ลำ ก็ทำการ Shape-Shift เข้าสู้รูปแบบหุ่นรบก่อนลงสู่พื้น
ฟองน้ำที่นั่งอยู่ข้างฮันน่าห์ผู้เป็นพลขับ เธอติดต่อไปยังนักบินทั้ง 6 ว่า “เรามองเห็นฐานปล่อยกระสวยแล้วค่ะ” “มันห่างออกจากที่นี่ไปไม่ถึง 50 กิโลเมตร ถ้าหากพวกคุณถอนตัวได้ทัน ให้รีบถอนตัวออกมาเลยนะคะ” “ระยะเวลาตั้งค่ากระสวยและเตรียมความพร้อมใช้เวลานานมั้ย? เจ้าหน้าที่วิศวกรระดับสูงรายน์เฟลเลอร์” นากาถามเข้ามา ฮันน่าห์แทบจะไม่ต้องใช้ความคิดในการตอบเลย เธอตอบราวกับเธอทำมันอยู่ทุกวัน “บวกลบไม่เกิน 20 นาทีค่ะหัวหน้า” “ดี งั้นพวกดิชั้นจะจัดการพวกมันทั้งหมดภายใน 20 นาที เธอเตรียมกระสวยรอไว้ได้เลย” นากาพูดก่อนจบการสื่อสาร
เมื่อเธอหันกลับมาที่หน้าจอหลัก มันแสดงภาพจุดสีแดงจำนวน 10 จุด อยู่ห่างออกไปราว 10 กิโลเมตรบนหน้าจอ เรย์มองดูด้วยความตกใจ “ร...เร็ว….ตัวอะไรมันจะเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนี้เนี่ย ความเร็วระดับนี้การปะทะคงทรงพลังมาก” จอห์นหัวเราะเบาๆ “จะตัวอะไรก็ช่าง เรามีหน้าที่กำจัดมัน ก็ยิงแม่มให้พรุนแล้วรีบขึ้นกระสวยออกจากที่นี่ก็พอล่ะน่า” “สวยพี่สวย” ฟุโดตอบรับทันทีทำให้จอห์นสวนกลับมา “ยัง!!” อลิซาเบธ ส่ายหน้า “ปัญญาอ่อนชะมัดคู่นี้ ตายๆ ไปได้ก็ดี” อัลไดน์ไม่ได้สนใจหน้าจอหรืออะไรทั้งสิ้น เขามองไปที่ Griffin 02 พร้อมนึกถึงประโยคสุดท้ายที่นากาพูดกับเขา “อย่าทำให้พี่ชายของนายผิดหวัง….” ดวงตาของเขาก็เริ่มฉายแววแห่งความมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมีมาหลายเดือนออกมา
เรย์ เริ่มสังเกตเห็นสิ่งที่แปลกประหลาด “ทำไมมัน….” แต่เขายังไม่ทันพูดจบ นากาก็เริ่มอธิบายรูปแบบปฏิบัติการ “จากการวิเคราะห์รูปแบบ Arachna ที่ตรวจพบ มันมีด้วยกัน 10 ตัว อย่างที่เห็นในจอภาพ มันเคลื่อนที่เร็วมาก” “แต่ความเร็วไม่สม่ำเสมอ รวมไปถึงเพดานความสูงของมันระหว่างการเคลื่อนที่ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” “สรุปได้ว่า Arachna พวกนี้ใช้วิธีการกระโดดแล้วร่อนมาตามแรงลม มันไล่ตามมาและอาจจะเล็งไปที่ฐานปล่อยกระสวย” “ดังนั้น พวกเรามีหน้าที่สะกัดและทำลายมันภายในพื้นที่บริเวณนี้ ไม่ให้มันไปถึงฐานปล่อยกระสวยได้!!”
เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่นากาพูดจบก็เกิดการกระแทกลงสู่เนินทรายเบื้องหน้า VF-1 ทั้ง 6 ลำในระยะไม่ห่าง ฝุ่นคละคลุ้งตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ แรงกระแทกส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทก มันกวาดทรายบนพื้นพุ่งใส่ฝูงบิน ระหว่างที่ทุกคนกำลังเพ่งสายตาไปในกลุ่มฝุ่นทราย อลิซาเบธ ก็รายงานขึ้น “พวกมันหายไปไหน 3 ตัว!!” เรย์จึงรีบหันกลับหลังไปตามทางที่ Turbine Crate กำลังบินไป เขาเห็น Arachna 3 ตัวกำลังร่อนอยู่ด้านบน แน่นอนว่าพวกมันกำลังร่อนตาม Turbine Crate ที่ไร้ซึ่งการคุ้มกันไปติดๆ เขาจึง Shape-Shift กลับเป็นเครื่องบินรบ “บ้าชิบ!! ไม่ยอมให้พวกแกทำอย่างนั้นได้หรอกน่า” เรย์ พูดขึ้นพร้อมเร่งไอพ่นขับดันแล้วออกบินตัวฝูง Arachna ไป
นากาเห็นว่าเรย์ได้ดำเนินการนอกคำสั่ง แต่เธอก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมออกคำสั่งเพิ่มเติม “Griffin 17 ตามชั้นมา เราจะต้องคุ้มกัน Turbine Crate...Griffin ที่เหลือ รับมือพวกมันทั้ง 7 ตัวให้ได้!!” หลังออกคำสั่งจบ Griffin 02 และ Griffin 17 ก็เร่งท่อขับดันตาม Griffin 20 ไปทันที
………………………………………………...
การต่อสู้แบบ 7 รุม 3
เบื้องหน้าของ จอห์น แอนเดอร์สัน อลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ และ อัลไดน์ เป็น Arachna ทั้ง 7 ตัวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่รูปร่างของมันดูช่างแปลกประหลาดและแตกต่างจาก Arachna ที่นักบินทั้งสามคนเคยพบเจอมาเป็นอย่างมาก เพราะไม่มี Arachna ตัวไหนที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์เท่านี้มาก่อน แม้แต่ Arachna นางพญาก็ยังไม่ใกล้เคียงเท่า มันมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ มีสองขา สองแขน ทั้งแขน ขา หน้าอกและใบหน้าเป็นผิวหนังสีขาว ลำตัวและช่วงคอเป็นสีแดง สิ่งที่ดูเป็นเอกลักษณ์ของ Arachna เหล่านี้คือแผงใบหน้าที่เป็นเหมือนปีกเครื่องบินสีขาว และเรียวยาว มันมีกรงเล็กที่แหลมคม กล้ามเนื้อท่อนขาที่ทรงพลัง รวมไปถึงส่วนสูงของมันนั้นร่วม 20 เมตร สูงกว่าหุ่นรบเล็กน้อย เพียงแค่มอบแว๊บแรกก็รู้ได้ทันทีเลยว่า Arachna ทั้ง 7 ตัวนี้ร่อนมาตามแรงลมได้อย่างไร
Valkyria Unit ทั้ง 3 ลำตั้งท่าเตรียมโจมตี “พวกนายพร้อมรึเปล่า ชั้นจะลุยก่อนล่ะนะ” จอห์น พูด เขาเริ่มยิงกราดปืนกลหนักเข้าใส่ Arachna เหล่านั้น กระสุนปืนกลสามารถทำลายเกราะสีขาวส่วนหัวได้ แต่มันกลับ Regenerate เกราะส่วนนั้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้ารุมโจมตี Griffin 03 ก่อนที่มันจะถึงตัว VF-1 เข้าได้ จอห์นก็สาดกระสุนเข้าที่ลำตัวซึ่งไม่มีผิวหนังสีขาวห่อหุ้มจนมันเป็นรู ผลของการยิงทำให้มันหยุดชะงักลงครั่วคราว ร่างกายของมันฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง จอห์นใช้ความสามารถในการบินที่ดีของเขา Shape-Shift เป็นเครื่องบินรบ เชิดหน้าขึ้นหลบการโจมตี “ยิงตรงไหนก็ยิงไม่เข้า ห้อยพระหลวงพ่ออะไรมาวะเนี่ย เอานี่ไปหน่อยละกัน โซ๊ยย่าห์!!” จอห์นไม่ลังเลในการประเคนจรวด Missile ลงมาใส่พวกมัน และมันได้ผล แรงระเบิดสามารถฆ่ามันได้ 1 ตัว
แต่โชคไม่ดีนักที่จอห์นเสียกระสุนและ Missile ไปมากพอสมควร และระหว่างที่บินวนอยู่นั้น Arachna ทั้ง 6 ตัวที่เหลือก็หันไปรุมโจมตี Griffin 04 และ Griffin 05 แทนที่จะโจมตีใส่จอห์นต่อ อัลไดน์พยายามยิงกราดด้วยปืนกล แต่การเคลื่อนไหวของ Arachna เหล่านี้เร็วเกินไป มันหลบได้หมด จากนั้นมันก็พุ่งเข้ามาใส่เครื่องของอัลไดน์ มันตวัดมือเข้ามาด้วยกรงเล็บอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เขาเห็นทัน อัลไดน์บังคับ VF-1 ให้ก้มหลบ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเขาหลบพ้นแล้ว ที่แขนของ Arachna ตัวนั้น มันมีรยางค์เหมือนหนวดสีขาวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Arachna พุ่งออกมาหลายสิบเส้นฟาดเข้าใส่เขา Griffin 04 ถูกซัดกระเด็นหมุนควงกลางอากาศก่อนที่จะไถลลงไปกับพื้นทะเลทรายเป็นทางยาว แต่อัลไดน์ก็ไม่ได้ยอมโดนฝ่ายเดียว เขาแอบปลดจรวด Missile ทิ้งไว้ 1 ลูกก่อนที่จะถูกฟา่ดกระเด็น และจังหวะที่ไถลไปกับพื้น เขายิงปืนกลออกไป 4 นัด มันปะทะ Missile ที่ลอยเคว้งอยู่จนระเบิดดังสนั่น Arachna ตัวที่ 2 โดยแรงระเบิดจาก Missile ระยะประชิดและถูกกำจัดลงโดย Griffin 04
Arachna อีก 5 ตัวไม่รอช้าที่จะผละจากการโจมตีเครื่อง VF-1 ของอลิซาเบธเพื่อไปโจมตีอัลไดน์แทน “เจ้าพวกนี้รู้มากเสียจริง” อลิซาเบธ พูดขึ้นเบาๆ เธอสลับอาวุธจากปืนกลเบาเป็นอาวุธปืนไรเฟิล เธอเล็งไปที่กลางหลังของ Arachna ตัวแรก แต่เธอเปลี่ยนใจเพราะเห็นจุดยิงที่น่าจะดีกว่าคือหัว ด้านหลังท้ายทอยของมันกลับไม่มีผิวหนังสีขาวห่อหุ้มเอาไว้ มันเป็นเนื้อสีแดงเหมือนลำตัว “ตุม!!!” กระสุนไรเฟิลลูกใหญ่พุงเด็ดหัว Arachna ตัวนั้นจนขาดกระเด็น มันล้มลงและสิ้นฤทธิ์ทันที อลิซาเบธพยายามเล็งยิงใส่ Arachna ตัวที่ 2 “ตุม!!!” แต่ผลไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพราะมันดันหลบได้ อลิซาเบธจึงตระหนักขึ้นมาทันที “พวกนายระวังด้วยไว้ ไอ้เจ้าพวกนี้มันกำลังเรียนรู้วิธีสู้ของพวกเราอยู่!!”
ขณะที่ Arachna ที่เหลือ 4 ตัวกำลังจะถึงเครื่องของอัลไดน์ จอห์นก็ Shape-Shift เป็นหุ่นรบลงมา จอห์นเปิดการโจมตีด้วย Missile ชุดสุดท้าย ทำให้ Arachna ทั้ง 4 ต้องล่าถอยออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็กราดยิงด้วยปืนกลไปที่ลำตัวของพวกมันทั้ง 4 จนแขว่ง และเป็นรู ทำให้พวกมันหยุดชะงักลง จอห์นเองรู้ดีอยู่แล้วว่าแม้ลำตัวของมันจะขาดหรือโดนโจมตีไปเท่าใด ก็ไม่สามารถฆ่ามันให้ตายได้ แต่เขาก็ยิงออกไปอยู่ดีเพราะเขาหวังเพียงแค่หยุดการเคลื่อนที่ของพวกมันลงเท่านั้น จอห์นไม่เหลือ Missile แล้ว ในขณะนั้น อัลไดน์ก็พยายามบังคับ VF-1 ของเขาให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ปากของอัลไดน์มีเลือดออกเพราะช้ำในจากแรงกระแทก ทั่วทั้งร่างของหุ่นรบมีกระแสไฟรั่วไหล “มันจะมากเกินไปแล้วนะ ไอ้เจ้าพวกนี้!!” อัลไดน์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ขณะที่ Arachna ทั้ง 4 ตัวกำลังกินลูกกระสุนปืนกลจาก VF-1 ของจอห์นอยู่นั้น
จู่ๆ มันก็ก้มตัวลงโดยใช้ผิวหนังสีขาวเป็นโล่กำบัง แต่ลูกกระสุนก็ถูกสาดเข้ามาเพิ่มจากด้านหลัง อลิซาเบธ เห็นว่าพวกมันก้มตัวลงต่ำ เธอจึงคิดว่ามันน่าจะพยายามป้องกันตัวและกำลังอ่อนแอ อัลไดน์ สลับปืนไรเฟิลของ VF-1 ขึ้นมาแทนปืนกลที่ถืออยู่ในมือ และเขาพร้อมยิง Missile วินาทีนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อ Arachna ทั้ง 4 ตัวดีดตัวหายไปแทบเรียกได้ว่าเห็นแต่เงา แรงอัดอากาศซึ่งเกิดจากอัตราเร่งเฉียบพลันพุ่งกระแทก VF-1 ของจอห์นและอัลไดน์ที่อยู่ใกล้จนเซ
“บ้าน่ะ!!” อลิซาเบธ พูดขึ้นด้วยดวงดาเบิกโพรง เธอแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง พวกมันตรงเข้ามาหาเธอ Arachna ตัวแรกพุ่งเข้าใช้ปีกที่อยู่ส่วนหัวตัดแขนซ้ายของ Griffin 05 ขาดออกจากลำตัวในครั้งเดียว Arachna ตัวที่สองพุ่งเข้าตัดขาทั้ง 2 ข้างของ Griffin 05 ขนขาดกระเด็นพร้อมกันในการโจมตีครั้งเดียว Arachna ตัวที่สามพุ่งตัดเฉียงระหว่างคอและแขนขวาของ Griffin 05 ขาดในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทั้งสามตัวที่พุ่งเข้าโจมตีอลิซาเบธนั้น มันโจมตีได้เร็วเกินกว่าที่ VF-1 ของเธอจะร่วงลงสู่พื้นเสียด้วยซ้ำ และ Arachna ตัวสุดท้ายมันพุ่งเข้ามาตรงๆ มันหมายมั่นที่จะพุ่งทะลวงห้องนักบินของเธอ
“ตุม!!” หัวของ Arachna ตัวสุดท้ายบิดเบี้ยวและฉีกขาดกลางอากาศระหว่างทางที่มันร่อน สายตาของอลิซาเบธลากจาก Arachna ที่กำลังจะปลิดชีพเธอไปยังต้นตอของเสียงที่ยิงปืนกระบอกนั้น มันเป็น Griffin 04 ที่ยิงกระสุนไรเฟิลพลังทำลายล้างสูงเข้าไปที่ท้ายทอยของอสูรกายอย่างน่าทึ่ง อลิซาเบธเป่าปากเบาๆ ขณะที่หุ่นของเธอกำลังร่วงลงสู่พื้น แล้วสิ้นสภาพการต่อสู้ “เกือบไปแล้ว” แต่การต่อสู้ยังไม่จบลงเมื่อ Arachna 3 ตัวที่เพิ่งพุ่งผ่านและทำลาย Griffin 05 มันลงมายืนที่พื้นได้
วินาทีนั้นนากาได้สั่งการเข้ามาพอดี “ถอนตัว Griffin 03 04 05 ถอนตัวขอย้ำ ถอนตัว พวกเราต้องไปแล้ว” “อัลไดน์ นายต้องยิง Missile ทั้งหมดไปที่พื้นตรงหน้าพวกมัน เราต้องไปช่วยลิซก่อน” จอห์นพูดขึ้น อัลไดน์พยักหน้า เขาไม่รอช้าที่ยิงประเคน Missile ทั้งหมดไปยังฝูง Arachna 3 ตัวที่กำลังตั้งหลักได้ Missile พุ่งตรงไปยังพวกมัน พวกมันจึงกระโดดถอยหลังเพื่อหลบแรงระเบิดจนทรายฟุ้งกระจายไปทั่ว อัลไดน์ อาศัยจังหวะนั้นรีบนำเครื่อง VF-1 ของเขาไปที่ซากเครื่อง Griffin 05 และรับตัวอลิซาเบธมา เขาเปิดฝาห้องนักบินออก แล้วประคองเธอให้ไปหาที่ยึดจับหลังเก้าอี้นักบินของเขา
จากนั้น ทั้งสามคนมุ่งหน้าต่อไปยังฐานปล่อยกระสวยตามคำสั่งของนากา วาเลนเซีย
………………………………………………...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 23, 2018 15:01:04 GMT
ก่อนหน้าที่จะมีคำสั่งถอนตัวไม่นาน
Turbine Crate ได้มาถึงฐานปล่อยกระสวยขึ้นสู่วงโคจรเรียบร้อยแล้ว พวกเขาโชคดีที่มาถึงก่อน Arachna ฮันน่าห์ ได้ลงจาก Turbine Crate แล้วเข้าไปที่กระสวยก่อนจะเปิดช่องเก็บของขนาดใหญ่ด้านบนออกมา ฟองน้ำเป็นผู้รับหน้าที่ในการบังคับนำเอา Turbine Crate ทั้งเครื่อง ขึ้นไปไว้บนกระสวยอวกาศที่รออยู่ นั่นเพราะตัวกระสวยเป็นเหมือนยานพาหนะที่ว่างเปล่ารอการบรรจุอุปกรณ์ซึ่งจะถูกนำขึ้นไปบนอวกาศ ถ้าหากพวกเขาไม่นำ Turbine Crate ขึ้นไปบนอวกาศด้วยนั้น พวกเขาก็จะไม่มีอาหารและที่พัก หลังจากที่ฮันน่าห์เปิดช่องเก็บของแล้ว เธอมีหน้าที่เช็คสภาพ ระบบต่างๆ พร้อมเตรียมติดเครื่องยนต์
ระหว่างนั้นเองก็เกิดการต่อสู้แบบ 3 ต่อ 3 ขึ้น
เรย์ คาริน , นากา วาเลนเซีย และ ฟุโด คิซารากิ กำลังสู้รบด้วยการสาดกระสุนใส่ Arachna อย่างดุเดือด นากา ผู้เป็นหัวหน้าฝูงบิน เป็นคนที่อ่านเกมส์ได้ค่อนข้างขาด เธอสั่งการให้ฟุโดและเรย์ เตรียมยิง จากนั้นเธอใช้การบินรูปแบบเครื่องบินรบ บินก่อกวนด้วยการบินเฉียด Arachna ในระยะใกล้ไปมา เธอใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เพราะเธอรู้ดีกว่าการบินของเธอดีที่สุดในหมู่นักบินทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่ เมื่อพวกมันหันไปสนใจ Griffin 02 ก็เป็นเวลาที่ดีสำหรับ ฟุโด และ เรย์ ที่จะเริ่มสอยพวกมัน
ฟุโด เปลี่ยนอาวุธเป็นจรวด Missile ทันใดนั้นเรย์ก็พูดขึ้น “นายจะบ้าหรอ เดี๋ยวหัวหน้าก็โดนไปด้วยหรอก” เสียงตะวาดของเรย์ทำให้ฟุโดสะดุ้งเฮือก เขายิ้มเจื่อนๆ และกลบเกลื่อนว่า “ชั้นเอาขึ้นมาขู่อิเจ๊เล่นเท่านั่นแหละน่า” เรย์ขมวดคิ้วแต่ไม่พูดอะไร เพราะเขารู้นิสัยฟุโดนี่ “เอาล่ะ เราจะต้องหาจุดอ่อนมันก่อนนะฟุโด...” พูดจบ VF-1 ทั้งสองเครื่องก็เริ่มกราดกระสุนเข้าใส่ Arachna ทั้งสามตัวที่พยายามกระโดดไปมาเพื่อคว้า Griffin 02 เรย์ได้สังเกตเห็นว่าพวกมันคล่องมาก รวดเร็วมาก มีรยางค์ที่แขนจำนวนมาก และร้ายกาจ
ระหว่างที่นากาโชว์ความเหนือชั้นในการบิน เธอก็ไม่ได้บินโฉบไปโฉบมาโง่ๆ อย่างเดียวเท่านั้น เธอเก็บข้อมูลจนรู้ว่า กระสุนที่เข้าเป้าจะเป็นกระสุนที่พุ่งเข้าไประหว่างมันกำลังกระโดดลอยตัว แม้ว่ากระสุนปืนกลจะทำลายเนื้อส่วนที่เป็นสีแดงไร้เกราะได้ แต่มันก็ฟื้นฟูกลับมาได้ทุกครั้ง ดังนัน จุดอ่อนของมันก็ย่อมอยู่ที่ส่วนหัวอย่างแน่นอน และช่วงท้ายทอยของมันก็ไม่มีเกราะด้วย แต่ทุกครั้งที่เธอบินเฉียดมัน ระยะห่างระหว่างรยางค์ที่พุ่งเข้าหามันก็ใกล้เข้ามาทุกทีทุกที “เอาล่ะ Griffin 17 Griffin 20 พวกนายฟังให้ดี!! เล็งยิงที่ท้ายทอยของมันด้วยปืนไรเฟิล ขณะที่มันลอยตัว” “เล็งให้ดีอย่าพลาดเป้า!! ชั้นสังเกตุเห็นได้เลยว่าพวกมันมีการเรียนรู้และการพัฒนาระหว่างการต่อสู้!!”
“รับทราบ” ฟุโด และ เรย์ พูดขึ้นพร้อมกัน เขาบรรจงเล็งปืนยาวไปที่ท้ายทอย ลากเป้าตามไปมารอจังหวะ พรึบ!! และแล้ววินาทีที่รอคอยก็มาถึง เมื่อ Arachna ทั้งสามตัวกระโดดลอยตัวและยืดรยางค์ใส่ VF-1 ของนากา ตุม!! กระสุนไรเฟิลพุ่งออกจากลำกล้องปืนของ Griffin 20 แหวกอากาศเข้าไปยังท้ายทอยของ Arachna ตัวแรก หัวของมันขาดกระเด็น เรย์ยิ้มออกมาอย่างพอใจ “เป้าหมายที่ 1 ถูกทำลายลงแล้วครับหัวหน้าวาเลนเซีย” “สวยเพื่อนสวย” ฟุโด ไม่รอช้า เขาลั่นกระสุนตามไปอีก 1 นัด และก็แม่นยำเช่นเดียวกัน เขาฆ่าได้อีก 1 ตัว
แต่ตัวสุดท้ายเป็นตัวที่ไม่ถูกล็อคเป้าหมาย มันยืดรยางค์ให้ยาวกว่าเดิมและตบเครื่องของนากาจนหมุนควง เมื่อมันลงสู่พื้นได้ มันกลับหันมาทาง ฟุโด และ เรย์ ก่อนจะระเบิดพลังการดีดตัวเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ดวงตาของฟุโดเบิกโพรง เขาเห็นภาพทุกอย่างผ่านไปอย่างช้าๆ ทีละ Frame สอง Frame
Arachna ตัวนั้นมันพุ่งเข้าใส่ Griffin 20 ของเรย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา ภาพในอดีตของเขาหวนย้อนกลับมา มันเป็นภาพสมัยเด็กตั้งแต่เล็กที่เขาวิ่งเล่นกับเรย์และอีวาน ทะเลาะชกต่อยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน จนพวกเขาเริ่มเติบโต แย่งจีบสาวคนเดียวกัน เล่นเกมส์แข่งกัน ขับ Valkyria Unit ด้วยกัน ฟุโด ตัดสินใจเร่งไอพ่นขับดันของเขาสุดตัว Griffin 17 เคลื่อนที่มาขวางระหว่าง Arachna และ Griffin 20
ซึ่บ!!! แขนขวาที่เป็นกรงเล็บยาวของ Arachna เสียบทะลุหลังของ Griffin 17 เข้าไปในห้องนักบิน “ฟุโด!!!!” เรย์ร้องตะโกนดังสนั่น นัยน์ตาเขาหดเล็กลง เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขา เครื่องของฟุโด หันหน้าเข้าหาเครื่องของเรย์ เรย์มองผ่านกระจกห้องนักบินไปเห็นใบหน้าฟุโดอย่างชัดเจน ฟุโด เหมือนจะยังไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ทั้งสองต่างรู้ดีว่าทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว ฟุโดยิ้มกลับเพื่อเป็นการบอกลา
ก่อนที่รยางค์จากมือขวา Arachna ที่แทงเข้ามาในห้องนักบินจะพุ่งเสียบทะลุเก้าอี้นักบินของฟุโด คิซารากิ “อั่ก!!” ฟุโด พยายามกลั้นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายเอาไว้เพื่อแสดงความเข้มแข็งต่อหน้าเพื่อนรักคนสุดท้ายของเขา เรย์อึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไปเพราะมันคงไม่มีคำใดอธิบายความรู้สึกในชั่ววินาทีนั้นของเขาออกมาได้เลย ซล๊วบ!!! เพียงชั่วพริบตา ร่างของฟุโดถูกรยางค์ที่แทงหลังดูดร่างกายจากภายในเหมือนการดูดน้ำจากหลอด ร่างของเขาเหลือเพียงหนังกำพร้านุ่มนิ่ม เส้นผม ที่ถูกคลุมไว้ด้วยหมวกนักบิน และชุดนักบินเท่านั้น ดูน่าเวทนา
Arachna ตัวนั้นสลับ Griffin 17 ทิ้งลงไปกองกับพื้น เรย์มองตามร่าง VF-1 ของเพื่อนรักที่ล้มลงไป หยดน้ำตาของเรย์เอ่อล้นจากดวงตาทั้งสอง มันไหลพรากลงมาตามแก้มของเขา เมื่อมันไหลลงสุดปลายคาง Arachna ที่เพิ่งสังหารฟุโดไป ก็พุ่งเข้าใส่ Griffin 20 หมายปลิดชีพเรย์เป็นรายต่อไป แม้ว่าเรย์จะตั้งสติได้ แต่ด้วยระยะและท่าทีที่ยังไม่พร้อมในการต่อสู้ของเขา เขาหมดโอกาสที่จะขัดขืนและต่อต้าน “ตุม!!!” กระสุนไรเฟิลพุ่งมาจากด้านหลังเข้าท้ายทอยของ Arachna จนหัวมันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ “นายไม่เป็นไรใช่มั้ย…คาริน…..” นากา ถามเข้ามา และเป็นเธอเองที่ยิงกระสุนนัดเมื่อครู่ช่วยชีวิตเรย์ไว้
และแล้วฮันน่าห์ ก็แจ้งรายงานเข้ามาให้นากาทราบว่าเธอได้เตรียมกระสวยจนพร้อมออกเดินทางแล้ว นากามองสภาพเครื่อง Griffin 17 ก่อนพูดขึ้น “ถอนตัว Griffin 03 04 05 ถอนตัวขอย้ำ ถอนตัว พวกเราต้องไปแล้ว”
………………………………………………....
บนกระสวยอวกาศ
Griffin 02 และ Griffin 20 ได้เข้ามาในเครื่องแล้ว ฮันน่าห์นั่งประจำที่ เธอพร้อมออกตัวทันทีที่ได้รับคำสั่ง ฟองน้ำ เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด เธอรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเรย์ทันทีเมื่อเขาออกมาจากห้องนักบิน สิ่งที่เธอเห็นคือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยคราบน้ำตา เขาหยุดร้องไห้แล้ว แต่เธอรู้ดีว่าในใจเขายังคงร้องไห้อยู่ นากา จึงสั่งให้ ฟองน้ำ พาเรย์เข้าไปพักผ่อน เนื่องจากเธอเห็นว่าเรย์หมดสภาพในการต่อสู้แล้วอย่างแน่นอน
จากนั้นไม่นาน VF-1 ที่ถูกเรียกตัวกลับก็บินเข้ามา แต่พวกเขามาเพียงแค่ 2 ลำเท่านั้น นาการีบมองไปที่ข้อมูลจากหน้าจอบนข้อมือข้างซ้าย เธอเห็นชีพจรนักบินยังอยู่ครบทั้งสามคนเธอก็โล่งใจ แต่สิ่งที่ทำให้ความโล่งใจของเธอนั้นมะลายหายไปก็คือ Arachna ที่จอห์น อัลไดน์ และ อลิซาเบธ ยังจัดการไม่หมด มันกระโดดร่อนถลาลมตามพวกเขามาด้วยความเร็วสูง “พวกนายต้องรีบหน่อยแล้วล่ะนะ” นากาพูดขึ้น เมื่อจอห์นได้ยินดังนั้น เขาก็เหลือบหางตาไปมองที่จอเรด้า เขาหรี่ตาลงและพบว่าพวกมันตามมาใกล้แล้ว “หึหึหึหึ….ตามตื้อขอเบอร์คนหล่อไม่เลิกเลยสินะสาวๆ ….. อยากได้ลายเซ็นต์พี่ พี่ก็จัดให้” จอห์นพูดขึ้น อลิซาเบธ ที่ยืนอยู่หลังเก้าอี้นักบินของอัลไดน์ได้ยินก็แปลกใจ จึงถามขึ้น “นายคิดจะทำอะไรน่ะจอห์น!!” “ก็ช่วยเธอกับเจ้าล่ำนั่นยังไงล่ะ” สิ้นประโยค จอห์นก็เชิดหัวเครื่อง VF-1 ขึ้นแล้ว Shape-Shift มาเป็นหุ่นรบ
“นายสู้พวกมันไม่ไหวหรอกน่า” อัลไดน์ พยายามจะหันกลับไปช่วย แต่ทว่านากากลับพูดเข้ามาว่า “ไม่ต้อง!! นี่คือคำสั่ง” คำสั่งนั้นทำให้อัลไดน์ถึงกับหยุดชะงัก “ทำไมกันล่ะครับหัวหน้า หมอนั่นไม่มีทางเอาชนะ Arachna 3 ตัวนั้นได้หรอกครับ” นากากัดฟันอย่างเจ็บใจ “ถ้านายกลับไปช่วย ทั้งนายและลิซก็จะตายอย่างไร้ค่า...จอห์นเขาเลือกเส้นทางของเขาแล้ว” “เหมือนที่หัวหน้าอัลดิออสได้เลือกแล้วในวันนั้น….อีกอย่างหมอนั่นเป็นมือดีที่สุดของเราในตอนนี้ ถ้าหมอนั่นยังสู้ไม่ได้” “ก็ไม่มีใครในที่นี้จะลงไปสู้กับพวกมันได้อีกแล้ว….เพราะฉะนั้น….นายอย่าทำให้ความตั้งใจของจอห์นต้องเสียเปล่า” ดูเหมือนว่าอัลไดน์และอลิซาเบธจะไม่มีทางเลือก เขามุ่งตรงเข้ามาและทำการลงจอดในกระสวยอวกาศทันที นากา มองดู จอห์น แอนเดอร์สัน ในเครื่อง VF-1 ของเขา จนกระทั่งประตูเก็บของของกระสวยอวกาศปิดลงสนิท
จอห์น แอนเดอร์สัน ตั้งหลักอย่างมั่นคง เขาเช็กกระสุนปืนทั้งหมดที่มี เขามีปืนกลเหลือเพียง 11 นัดเท่านั้น กระสุนไรเฟิล และ Missile ได้ถูกใช้ไปจนหมดก่อนหน้านี้ และตรงหน้าเขา Arachna ทั้งสามตัวก็กระแทกตัวลงกับพื้น “บ้าชะมัด….ทีนี้ใครจะฟังพ่อชั้นบ่นเครื่องความปลอดภัยอันโหลยโท่ยของ Valkyria Unit กันล่ะเนี่ย” จอห์นบ่น แต่ก่อนที่เขาจะสิ้นหวัง เขาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ข้างเท้า Arachna ทั้ง 3 ตัว มันอยู่ใกล้มากๆ สิ่งที่เขาเห็นก็คือซากเครื่อง Griffin 17 มันมี Missile ที่ยังไม่ได้ใช้อยู่ทั้งหมด 6 ลูก “สวยไอ่สอง!! สวย!!” แม้เขารู้ว่ามันจะเป็นวาระสุดท้ายของเขา เขาก็ยังยิ้มออกมาได้ จอห์นเลียริมฝีปากของตัวเองแล้วพูดว่า “หวานเจี๊ยบ!!”
กระสวยอวกาศเริ่มเร่งไอพ่นขับดันสร้างเสียงดังกึกก้อง มันพุ่งทะยานขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีเสียงที่ดังกว่ากลบเสียงไอพ่นฝ่าชั้นบรรยากาศ มันคือเสียงระเบิดอันสนั่นหวั่นไหว แรงอัดของระเบิดซัดเข้าที่ตัวกระสวยขณะทะยานขึ้นจนมันเซไปมา นากาก้มมองดูที่จอภาพตรงข้อมือ
มันไม่มีสัญญาณชีพจรของ จอห์น แอนเดอร์สัน เหลืออยู่แล้ว
…………………………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 23, 2018 15:03:45 GMT
ระหว่างที่ทุกคนต่างคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยการเสีย จอห์น และ ฟุโด ไปนั้น
แรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นอย่างแรงกับกระสวยอวกาศ ขณะที่มันกำลังทะยานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ Last Duty ที่เหลือ 6 คน นั่งคาดเข็มขัดอยู่กับเก้าอี้ในห้องนักบินที่กว้างใหญ่ของกระสวยอวกาศ ฮันน่าห์ มองไปที่ความเร็วและสมดุลย์ของตัวเครื่อง “ความเร็วเราลดลง 7% เครื่องเอียงขวา 3 องศา เกิดอะไรขึ้น” ฟองน้ำที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบไล่กดภาพวงจรปิดรอบตัวเครื่องเธอก็พบสาเหตุ “แย่แล้วค่ะหัวหน้า Arachna มัน...” นาการีบถอดเข็มขัดออกจากเก้าอี้ผู้โดยสาร และค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นไปเพื่อมองดูจอภาพด้วยตนเอง ด้วยชุดนักบินที่มีอุปกรณ์เสริมพละกำลัง เธอจึงไปปืนไปถึงเบาะที่อยู่ข้างหน้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
นากาเปิดเข้าไปในห้องนักบิน แล้วมองไปที่จอภาพ เธอเห็น Arachna ตัวสุดท้าย ร่างกายร่องแร่ง มันใช้รยางค์ของมันรัดพันปีกของกระสวยอวกาศไว้ แล้วเกาะติดมาด้วย มันกำลังดึงตัวเองเข้ามาใกล้ ฟองน้ำวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดเสร็จเธอก็อธิบาย “เรากำลังตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะค่ะหัวหน้า….” “ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ กระสวยจะไม่สามารถฝ่าชั้นบรรยากาศขึ้นไปได้...เรากำลังจะตกค่ะ!!” นากายังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไร ฮันน่าห์ก็แทรกขึ้นทันที “ประตูเก็บของกำลังเปิดแง้มออกค่ะ!!” นากาสะดุ้งเฮือก หันกลับมาดูที่นั่งเบาะหลัง เธอก็พบว่าอัลไดน์ที่นั่งอยู่หลังสุดได้หายตัวไปจากที่นั่ง
“อัลไดน์ นี่นายคิดจะทำอะไรน่ะ” นาการีบพูดใส่หน้าจอขนาดเล็กของชุดที่ข้อมือข้างซ้าย สิ่งที่เธอได้รับกลับมาคือเสียงของอัลไดน์ที่ฟังออกซ่าๆ เหมือนคลื่นแทรก เพราะเครื่องของเขาเสียหายอย่างหนัก “ถะ.ทำ.เหมือ...ที่พิ...ชา..ผมจะ..ทำยัง..ไงล่ะ!!” แม้จะขาดหายก็พอฟังได้ว่า “ทำเหมือนที่พี่ชายผมจะทำยังไงล่ะ” "เลือกเส้นทางของผม.........อย่างน้อยผมก็จะได้เข้าใจความรู้สึกในช่วงลมหายใจสุดท้ายของเขาว่าเป็นอย่างไร" นากาไม่ตอบอะไรอีก เธอหันออกไปมองผ่านกระจกข้างของกระสวยอวกาศ ฟองน้ำ และ ฮันน่าห์ จึงเหลียวมองตามไปด้วย ทั้งสามคน นากา ฟองน้ำ และ ฮันน่าห์ เห็น VF-1 ในร่างหุ่นรบที่ใกล้ระเบิดบินตีคู่กระสวยของพวกเธออยู่ VF-1 ลำนั้นคือ Griffin 04 ที่อัลไดน์ใช้แง้มส่วนประตูเก็บของของกระสวยออกไปด้านนอกก่อนหน้านี้ ยังถือว่าโชคดีที่ประตูนั้นถูกออกแบบมาให้รับแรงลมได้ และความเร็วขณะนั้นไม่มากพอจะทำให้กระสวยเสียสมดุลย์
ขณะที่นากาจ้องมองอัลไดน์ผ่านกระจก อัลไดน์ทำวันทยาหัตถ์ไปพร้อมๆ กับเครื่อง VF-1 ของเขา นากาพยักหน้าตอบรับด้วยท่าทีสงบนิ่ง เธอทำวันทยาหัตถ์เป็นการตอบรับ และในที่สุดเธอก็ได้เห็นรอยยิ้มของอัลไดน์ เขายิ้มอย่างมีความสุขราวกับว่าเขากำลังจะได้ทำตามความฝันของเขาแล้ว จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวลงไป Griffin 04 ทิ้งตัวลงพร้อมกับชักอาวุธดาบซึ่งเป็นแทงโลหะยาวแหลมคมแบบ Build-In ที่แขนขวาออกมา ปกติแล้วอาวุธดาบจะไม่เป็นที่นิยมในการใช้ต่อสู้กับ Arachna เพราะว่า…..ซึ่บ!!!............
Griffin 04 ทิ้งตัวลงมาฟันรยางค์ของ Arachna จนขาด ร่างของมันพ้นพันธะกับกระสวยอวกาศ Griffin 04 ตกลงสู้เบื้องล่างทันทีพร้อมกับ Arachna ของเหลวที่เป็นเหมือนโลหิตของ Arachna สาดกระเซ็น มันเลอะเปรอะเปื้อนไปทั่วตัวหุ่นรบ VF-1 ฤทธิ์กรดเริ่มกัดกร่อนโลหะที่เป็นเกราะของ VF-1 ให้ละลายไปอย่างรวดเร็ว “ความรู้สึกในตอนนั้นมันก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไรนี่นะ…..พี่ชาย…..” อัลไดน์ พูดขึ้นกับตัวของเขาเอง เขาสบัดดาบขึ้นเหนือหัว แม้ว่าดาบของเขาเริ่มถูกโลหิต Arachna กัดกร่อน แต่มันก็ยังมีความคมมากพอ “เราไปเที่ยวนรกกันไอ้แมลงบ้า!!” อัลไดน์พูดจบเขาก็ฟันเข้าที่หัวของ Arachna ตัวนั้น ซึ่บ!!! …...ตูม!!!!!
VF-1 Griffin 04 ระเบิดกลางอากาศ แรงระเบิดรุนแรงจนทำให้ไม่หลงเหลือสิ่งตกสู่พื้นผิว Gliese 667Cc เลย
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 25, 2018 12:06:24 GMT
EP.4 : Turned One นอกชั้นบรรยากาศของ Gliese 667Cc กระสวยฝ่าชั้นบรรยากาศได้หลุดพ้นวงโคจรต่ำของดาวมาได้แล้ว กลุ่ม Last Duty ต้องเสียนักบินไปถึง 3 นาย แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็ยังคงรักษาแผนการตามภารกิจเอาไว้ได้
กระสวยฝ่าชั้นบรรยากาศถูกตั้งระบบนักบินอัตโนมัติเอาไว้ ฮันน่าห์ได้ตั้งการบินไปที่พิกัดสถานีอวกาศที่ 3 ด้วยการสู้รบกับเหล่า Arachna อันทรงพลังของไซเฟอร์ แม้ว่า VF-1 รหัส GRF02 และ GRF20 จะไม่ถูกทำลาย แต่ทั้งสองเครื่องก็ชำรุดจากการใช้งานอย่างหนัก ประกอบกับเชื้อเพลิงสำรองและอาวุธก็เหลืออยู่ไม่มาก โชคยังดีสำหรับพวกเขา ที่พวกเขาอาจไม่ต้องใช้มันอีกต่อไปแล้ว เพราะ Arachna เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง พวกมันไม่มีไอพ่นขับดันอย่างที่จรวดอวกาศมี พวกมันจึงไม่สามารถมาออกอาละวาดได้ในห้วงอวกาศ
ภายในกระสวยอวกาศอเนกประสงค์
ขณะนี้ Turbine Crate ไม่ได้ถูกใช้งานเป็นพาหนะในการเดินทางอย่างที่แล้วมา แต่มันก็ยังคงถูกใช้งานอยู่ เพราะมันถูกนำเข้ามายึดติดและติดตั้งเป็นที่พักอาศัยภายในกระสวยอวกาศอเนกประสงค์ซึ่งเดิมทีมีแต่ความว่างเปล่า เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ช่างสงบสุข นากา ยืนอยู่ที่หน้าต่างข้างของกระสวยอวกาศ ข้างหลังเธอคือ Turbine Crate เธอมองทอดสายตาลงไปที่ Gliese 667Cc มันเป็นดาวเคราะห์สีฟ้าคราม มีกลุ่มเมฆสีขาวมากมายประดับประดา “สวยงามเหลือเกิน….ทั้งๆ ที่เมื่อ 300 กว่าปีก่อน มันยังเป็นดวงดาวสีส้มเต็มไปด้วยความแห้งแล้งอยู่เลยแท้ๆ” “นี่คงเป็นเพราะความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่ฐาน Minos ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะต้องมาลงเอยแบบนี้”
ระหว่างที่เธอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยและละทิ้งความเครียดจากสิ่งต่างๆ มากมายในภารกิจนี้ลงไปนั้น ฟองน้ำ ก็เดินเข้ามาหาเธอ ฟองน้ำ เห็นใบหน้าของนากาที่ไร้ความตึงเครียด เธอจึงยังไม่อยากไปทำลายมัน จนกระทั่งนากาเหลือบมองเห็นเธอด้วยหางตาแล้วหันมา ฟองน้ำจึงทำวันทยาหัตถ์ แล้วเริ่มรายงานขึ้น “เจ้าหน้าที่วิศวกรระดับสูงรายน์เฟลเลอร์ นักบินคาริน และนักบินดิเลนเจอร์ ซ่อมแซมเครื่อง VF-1 เสร็จแล้วค่ะ” “ถึงพวกเขาจะบ่นกันอุบว่าไม่จำเป็นต้องทำ แต่ดิชั้นเห็นด้วยกับหัวหน้าวาเลนเซียนะคะ….คุณไซเฟอร์คนนั้นน่ะ...” “คงไม่คิดจะปล่อยให้เราใช้ปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงวงโคจรยิงเข้าใส่อย่างง่ายๆ แน่….แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าเขามีแผนอะไรรับมือ”
นากาพยักหน้าตอบรับ เธอละสายตาจากฟองน้ำแล้วหันกลับไปมองดู Gliese 667Cc อย่างเช่นที่ทำก่อนหน้า แต่เธอก็รับรู้ได้ว่าฟองน้ำยังไม่ได้เดินออกไป เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับว่าอยากจะพูดหรือถามอะไรเพิ่มเติม มันเป็นเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง นากาจึงเริ่มพูดขึ้น “ดิชั้นรู้ว่าคุณยังอยากจะพูดอะไรกับดิชั้น...คุณถึงยังยืนอยู่ตรงนี้” “คุณคงจะอยากรู้ว่าดิชั้นโอเคมั้ย ยังมีกำลังใจในการดำเนินภารกิจต่อไปรึไม่สินะ...เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้นจามจุรี”
“ดิชั้นจะตอบตามความเป็นจริง...ดิชั้นรู้สึกเศร้าและเสียใจที่ภายในวันเดียวต้องเสียลูกน้องในฝูงบินไปถึง 3 คน” “อัลไดน์ เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและกล้าหาญ จอห์น เป็นยอดนักบินที่ปากเสียแต่ลึกๆ แล้วเขาก็เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง” “ฟุโด เป็นเด็กที่น่าสงสาร เขาเสียเพื่อนของเขาไปเกือบหมด ถูกทำลายชีวิตในวัยเด็กที่เขาควรมีไปเพราะสงคราม” “ทั้งสามคนไม่ควรจะต้องมาตายแบบนี้….ดิชั้นไม่เชื่อว่ามีคนที่จะไม่เศร้ากับเรื่องแบบนี้….แต่นี่คือสงคราม….” “เราไม่มีพื่นที่ไว้สำหรับความเสียใจหรือความอ่อนแอ….เพราะหากเราจมอยู่กับมัน….เราก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้แล้ว” “เพราะฉะนั้น...เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้น….คนที่คุณควรจะเป็นห่วงคงไม่ใช่ดิชั้นแน่นอน….ไปปลอบเขาเถอะ….”
หลังจากที่โดนนากาใส่ยับ ฟองน้ำก็ได้เข้าใจความรู้สึกของนากาทั้งหมด เธอรู้สึกชื่นชมในทัศนคติเหล่านั้นมาก เธอได้แต่ตอบรับสั้นๆ ว่า “ค่ะ...” แล้วเธอก็หันหลังเดินกลับออกไปอย่างเงียบๆ
……………………………………………...
ภายใน Turbine Crate
ฟองน้ำ เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น จากห้องที่เคยเต็มไปด้วยความบันเทิงและวุ่นวาย มันกลับเงียบสงัด มีเพียง อลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ นั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิม แต่ในตอนนี้มือของเธอไม่ได้ถือหนังสืออ่านอย่างเคย ในมือของเธอนั้นถือหมวกแก๊บสีเขียวซึ่งมีตัวอักษาคำว่า DIO เอาไว้ สายตาของเธอจดจ้องมันไม่ละสายตา ฟองน้ำ มองไปรอบๆ ก็ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆ มันอยู่ห่างออกไปพอสมควร เธอรู้ทันทีว่ามันมาจากไหน
ฟองน้ำ จึงเดินตามเสียงสูดน้ำมูกนั้นออกจากห้องนั่งเล่นไปยังส่วนห้องนอนอย่างเงียบๆ เธอเดินตามเสียงไปจนถึงโซนห้องนอน เสียงนั้นดังมาจากห้องนอนทางซ้ายที่ไม่ได้ปิดประตูกั้นไว้ มันเป็นห้องที่อยู่ไกลสุด และอยู่ในมุมมืด ฟองน้ำ นั้นรุ้ตั้งแต่แรกแล้วว่านั่นคือเสียงของ เรย์ คาริน เธอเดินมาหยุดหน้าห้องแล้วมองเข้าไป เธอเห็น เรย์ คาริน นั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นหลังพิงขอบเตียงโลหะ
เรย์ เงยหน้าขึ้นมองไปยังฟองน้ำ ดวงตาของเขาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาทั้งสองข้าง สีหน้าดูเศร้าหมอง “หมอนั่นน่ะ….ฟุโดน่ะ….เป็นเพื่อนสนิทคนสุดท้ายของชั้น….ชั้นได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นดูเขาตายไปต่อหน้า” “ชั้นทำอะไรไม่ได้เลย….ทั้งๆ ที่อยู่ตรงนั้นแล้วแท้ๆ….ทำไมชั้นถึงไร้ค่าแบบนี้นะ...ทั้งที่พยายามแล้วแท้ๆ” “ชั้นมีความฝันและความตั้งใจจะปกป้องทุกๆ คน….แต่แค่เพื่อนรักคนเดียว ชั้นยังช่วยเขาเอาไว้ไม่ได้!!” ฟองน้ำได้ยินสิ่งที่เรย์พูด เธอรู้ว่ามันออกมาจากใจของเรย์ เขากลั้นน้ำตาเอาไว้ตั้งแต่ฟุโดตาย เขาพยายามซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถกักเก็บมันเอาไว้ได้อีกแล้ว และเธอก็รู้สึกเศร้าที่ได้ยินไม่ต่างไปจากเรย์ น้ำตาเริ่มเอ่อซึมออกจากดวงตาใสซื่อของฟองน้ำ เธอค่อยๆ เดินเข้าไปแล้วนั่งคุกเข่าต่อหน้าเรย์ จากนั้นเธอใช้แขนสองข้างโอบกอดเรย์ไว้อย่างนุ่มนวล
“รุ่นพี่คาริน….” ฟองน้ำ เอ่ยขึ้นเบาๆ
………………………………………………….
ห้องนั่งเล่นใน Turbine Crate
นากาเดินเข้ามาเงียบๆ สิ่งแรกที่เธอมองเห็นก็คือ อลิซาเบธ ที่นั่งอยู่บนโซฟาที่ประจำของเธอ เหตุที่นากามาที่นี่ ก็เพื่อจะมานั่งพักเอาแรง และจะได้มาสังเกตสภาพทางอารมณ์ของอลิซาเบธไปพร้อมกัน หลังจากที่เธอพูดทำนองให้ฟองน้ำไปปลอบเรย์แล้ว เธอเองก็คิดว่าควรมาปลอบหญิงสาวคนนี้เช่นกัน
อลิซาเบธ เหลือบมองไปที่โซฟาฝั่งตรงข้าม เธอเห็นนากานั่งเอนตัวด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย “เงียบจังเลยนะ….ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังวุ่นวายอยู่เลยแท้ๆ” อลิซาเบธ บ่นขึ้นเบาๆ แต่ก็หวังให้นากาได้ยิน นากามองมาที่อลิซาเบธด้วยสายตาเรียบเชียบ หากมองภายนอกไม่มีทางรู้ได้เลยว่านากาเองก็กำลังเสียใจ อลิซาเบธมองไปด้านข้างหลบสายตาของนากา “คิซารากิ กับ แอนเดอร์สัน ช่วยชั้นไว้ แต่ชั้นกลับไล่เขาไปตาย”
เมื่อได้ยินคำตัดพ้อตัวเองของอลิซาเบธ นากาจึงเอ่ยปากคำแรกขึ้นมา “แล้วเธอได้หมายความอย่างนั้นจริงรึเปล่า” อลิซาเบธขมวดคิ้วก่อนจะหันกลับมาสบตานากา “ชั้นไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ…ใครจะอยากให้เป็นแบบนั้นกัน” นากาจึงตอบกลับไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก “ถ้าเช่นนั้น เจ้าพวกนั้นก็คงรู้อยู่แล้วล่ะ...ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกลิซ” อลิซาเบธ ส่ายหน้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ “น่าหงุดหงิดชะมัด!!” เธอลุกขึ้นร่อนหมวกสีเขียวให้นากา ก่อนจะเดินออกไป
นาการับหมวกสีเขียวที่อลิซาเบธร่อนมาให้อย่างนุ่มนวล แล้วจ้องมองมันด้วยแววตาสงบนิ่ง
………………………………………………….
ภายในห้องนอนนักบินของ Turbine Crate
ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ทั้งสองกอดกันร้องไห้ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่สาดส่องผ่านเข้ามาตามทางเดิน จากนั้นไม่นาน เรย์ก็ค่อยๆ ประคองตัวฟองน้ำออกห่าง สีหน้าของเขาดูสงบลงมากกว่าในตอนแรก “ขอบใจเธอมากนะฟองน้ำ….ชั้นไม่เป็นอะไรแล้ว….” เรย์ พูดขึ้นเบาๆ ฟองน้ำจึงยกแขนขึ้นปาดน้ำตา “รุ่นพี่เข้มแข็งมากเลยนะคะ….” ฟองน้ำพูดขึ้น เรย์ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วตอบกลับ “เธอก็ปลอบเก่งมากเลยนะ” ฟองน้ำยิ้มๆ “ปลอบเก่งอะไรกันคะ ดิชั้นยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” เมื่อพูดจบฟองน้ำก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ!!....ชั้นก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว และก็ยังเป็นคนที่เมื่อพยายามทำอะไรแล้ว” “ชั้นก็จะพยายามจนถึงที่สุด….ภารกิจของเรายังไม่จบ….ชั้นจะต้องทำมันต่อ….และจบเรื่องนี้” “ชั้นจะแสดงให้เห็นว่าการปกป้องชีวิตชั้นโดยเอาตัวเข้าแลกของฟุโดมันจะไม่สูญเปล่า” เรย์พูด ฟองน้ำ ยื่นมือขวาของเธอลงไป และเรย์ก็รับมันเอาไว้ เธอช่วยดึงเรย์ให้ลุกขึ้นจากพื้น
จากนั้นทั้งสองก็เริ่มก้าวเดินออกจากความมืดมิดและมืดมนสู่แสงสว่าง
………………………………………………..
ห้องบัญชาการในฐาน Minos
มันเป็นห้องที่มีพื้นหลังสีขาวไม่แตกต่างไปจากห้องบัญชาการของ Aiacos และเต็มไปด้วยจอภาพเช่นเดียวกัน แต่ขนาดของห้องมีขนาดเล็กกว่าพอสมควรเพราะ Minos ไม่ใช่ฐานที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนดำเนินกิจการทางทหาร ในห้องมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการอยู่ราวๆ 20 นาย และในห้องนั้นมี Arachna รูปร่างคล้ายแมลงมุมอยู่ 5 ตัว เจ้าหน้าที่แต่ละคนทำงานด้วยท่าทีที่สั่นเทาไปทั้งตัว พวกเขากำลังรอคอยการบุกของฝูงบิน Unicornpegasus ไซเฟอร์รู้ดีว่ามันต้องเกิดขึ้น เขารู้จักเอริคดี รู้ว่าเอริคคิดอะไร ประกอบกับเขาก็ได้ล่วงรู้ถึงปฏิบัติการ Last Duty แล้ว
ไซเฟอร์ อยู่ในห้องนี้เช่นกัน เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ผู้บัญชาการกำลังคิดและวางแผนด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ตอนนี้เขารู้แล้วว่า Last Duty สามารถเอาชนะ Arachna พันธุ์พิเศษที่เขาส่งไปตามล่าได้เรียบร้อยแล้ว และได้มุ่งหน้าขึ้นสู่ห้วงอวกาศเบื้องบนได้สำเร็จ แต่กระนั้นสีหน้าของเขาก็ยังดูไม่ได้กังวลอะไรนัก เขาแสยะยิ้มแล้วพูดขึ้นเบาๆ “เจ้าพวกมดปลวกน่ารำคาญนั่นดูเหมือนมีฤทธิ์มีเดชกว่าที่ชั้นคิดเอาไว้” “ถึงจะเสียเครื่อง VF-1 ไป 4 เครื่อง และยังโชคดีมีเหลืออยูอีก 2 เครื่อง แต่ระดับฝีมือนักบินก็แค่หางแถว” “ระหว่างที่พวกแกกำลังยินดีกับความสำเร็จอยู่นั้น ชั้นจะทำให้พวกแกได้รู้จักชั้นคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม...”
หางตาของไซเฟอร์เหล่ไปยังหน้าจอข้างๆ มันเป็นภาพของประกายแสงไอพ่นที่กำลังฝ่าชั้นบรรยากาศขึ้นไป
………………………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 25, 2018 12:06:31 GMT
ฐาน Aiacos
ภายในห้องบัญชาการสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งถูกใช้เป็นห้องประชุมใหญ่วาระสุดท้ายในการประชุมคราวก่อน เอริก แซนเบิร์ก กำลังทอดสายตาอาลัยไปรอบๆ ห้อง เขากำลังเก็บภาพความทรงจำดีๆ ครั้งสุดท้ายเอาไว้ ภายในห้องนั้น ไม่มียังเจ้าหน้าที่ยุทธการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่เพราะพวกเขากำลังวุ่นอยู่กับเหล่านักบิน
ไม่นานนักก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอสวมชุดนักบิน อายุประมาณ 20 ปี เธอมีส่วนสูง 165 c.m. รูปร่างผอมบาง เส้นผมสีม่วงดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยแต่รวบถูกเก็บข้างหลัง ทรงผมปรกหน้าประมาณคิ้ว ดวงตาอ่อนโยนสีมรกต ใบหน้ากลมคางเรียว ผิวของเธอขาวผ่องอมชมพูสอดรับกับใบหน้าที่สระสวย ที่ไหล่ขวาของเธอมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแมวเกาะอยู่
เอริคหันกลับไปหานักบินสาวคนนั้น “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง….พวกเขาไปถึงสถานีอวกาศที่ 3 แล้วรึยัง?” นักบินสาวคนนั้นก็ปล่อยแมวน้อยที่เกาะไหล่ของเธอลงแล้วตอบกลับ “ใกล้ถึงแล้วค่ะท่านผู้บัญชาการสูงสุด” “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดพวกเขาจะถึงที่นั่นในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า และอีก 3 ชั่งโมงสถานีอวกาศจะประจำตำแหน่ง” “หากเป็นไปตามนี้ พวกเขาจะถึงฐาน Minos ก่อนพวกเราที่ต้องเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงค่ะ...ถือว่าเป็นข่าวดีนะคะ”
เอริค ยิ้มอย่างพอใจ “ถือว่าเป็นข่าวดีในรอบหลายวันมานี้เลยล่ะ….พวกเขาทำได้ดีกว่าที่ผมคาดไว้ซะอีกนะ” เมื่อพูดจบ เอริคก็เริ่มก้าวเดินผ่านนักบินหญิงคนนั้น และมุ่งหน้าไปทางประตูทางออกของห้องบัญชาการ นักบินหญิงคนนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ท่านผู้บัญชาการจะไม่คุยกับเจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้นจามจุรีหน่อยหรอคะ” “เพราะประเดี๋ยวเราก็จะออกเดินทางกันแล้ว เผื่อบางทีระหว่างเดินทางต่อจากนี้ ท่านผู้บัญชาการอาจจะไม่มีเวลา….” นักบินหญิงคนนั้นยังไม่ทันพูดจบ เอริคก็ตัดบทขึ้นเสียก่อน “ไม่ล่ะครับ...ผมรู้สึกว่าคงไม่ต้องคุยอะไรกับพวกเขาแล้ว”
แล้วเอริค แซนเบิร์ก ก็เดินออกจากห้องไป โดยนักบินสาวคนนั้นเหลือบเห็นสมุดบันทึกคู่กายของเขาถูกทิ้งไว้
………………………………………………..
2 ชั่วโมงต่อมา
กระสวยขนอวกาศค่อยๆ บินมาเทียบข้างๆ ปืนใหญ่วงโคจรแล้วทำการ Docking ช้าๆ ในที่สุด Last Duty ก็มาถึงที่หมายของพวกเขา นั่นก็คือสถานีอวกาศวงโคจรที่ 3 ตัวสถานีอวกาศมีรูปร่างเป็นทรงกระบอกขนาดใหญ่ยักษ์ มันมีลำกล้องปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงอยู่ส่วนหัว ความยาวของลำกล้องนั้นร่วม 200 เมตร ซึ่งยาวกว่าลำตัวของสถานีอวกาศอยู่เพียงเล็กน้อย มีแผงโซล่าเซลส์เป็นก้านยาวๆ รับพลังงานแสงอาทิตย์สามารถปรับองศาได้ อยู่โดยรอบตัวสถานี ทำให้รูปร่างของมันคล้ายกังหันขนาดใหญ่ รอบตัวสถานีอวกาศมีไอพ่นขับดันอยู่ 4 เครื่อง
ปกติแล้วปืนใหญ่วงโคจรใช้พลังงานแสงอาทิตย์ remote จากฐาน Radamanthys เพื่อสั่งการ แต่หลังจากที่ Radamanthys ถูกทำลายลง ปืนใหญ่วงโคจรก็หยุดทำงานลงไปโดยปริยาย เมื่อ Docking Gate ซึ่งเป็นเหมือนอุโมงค์ทรงกระบอกทำการเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศแล้ว ฟองน้ำ และฮันน่าห์ ซึ่งสวมชุดอวกาศสีขาวก็ทำการปลด Air Lock เพื่อเปิดประตูเข้าสู้ Docking Gate ในขณะที่ เรย์ คาริน นากา วาเลนเซีย และ อลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ สวมชุดนักบินรุ่นใหม่สีดำ พวกเขาทั้ง 5 คน ลอยตัวผ่านทางเชื่อมของ Docking Gate เข้าไปในสถานีอวกาศอย่างไม่รอช้า
เมื่อเข้ามาภายในสถานีอวกาศ ทุกคนก็อยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก แม้จะมีอากาศสำรองภายในสถานี แต่นากาก็ยังคงสั่งให้ทั้งหมดสวมชุดอวกาศเอาไว้ตลอดเวลา โดยเปิดโหมดรับอากาศจากภายนอกไว้ จากนั้นทุกคนก็แยกกันไปทำตามหน้าที่ ฟองน้ำ เรย์ และนากามุ่งหน้าไปทางห้องควบคุมสถานีอวกาศ ในขณะที่ฮันน่าห์ต้องไปทำการรีเซ็ตระบบใหม่ทั้งหมดให้ควบคุมด้วยมือจากห้องเครื่องซึ่งอยู่อีกทาง อลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ ได้รับมอบหมายให้ไปช่วยฮันน่าห์ เพราะ Valkyria Unit ของเธอถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้น หน้าที่เฝ้าสังเกตุการณ์สำหรับเธอจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป และก็ได้รับมอบหมายหน้าที่อีกอย่างด้วย นั่นคือ เมื่อช่วยเหลือฮันน่าห์รีเซ็ตระบบทุกอย่างได้แล้ว เธอจะรับหน้าที่ขับเคลื่อนสถานีอวกาศไปยังที่หมาย
ฟองน้ำ รีบเข้ามานั่งที่แผงควบคุม เธอตรวจสอบสภาพอาวุธและพลังงานทันทีอย่างไรรอช้าและพูดขึ้น "เราต้องรีบเคลื่อนที่ไปอยู่เหนือฐาน Minos ให้เร็วที่สุด….เร่งมือหน่อยนะคะ….มีเวลาไม่มากแล้ว" จากนั้นเธอก็หันกลับมาดูข้อมูลหน้าจอ "ปืนใหญ่วงโคจรสะสมพลังงานไว้ 96% สามารถยิงได้ทั้งหมด 3 ครั้ง"
"ขอให้ไปทันทีเถอะ.....รอก่อนนะคะ ท่านผู้บังคับการ" เธอพูดลอยๆ ขึ้นมา
…………………………………………………
ภายในห้องเครื่องของสถานีอวกาศ
มันเป็นห้องที่มีพื้นหลังเป็นผนังโลหะสีดำ มีหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำงานอยู่ที่แกนหลักของสถานีกลางห้อง ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยท่อโลหะขนาดเล็กใหญ่เดินตามผนังห้องและเพดานห้อง มีสายไฟระโยงระยาง โชคยังดีที่มันมีหลอดไฟสีขาวให้ความสว่างสไวไปทั่วทั้งห้อง มิฉะนั้น ห้องนี้จะดูมืดทึบเป็นอย่างมาก
ฮันน่าห์ ไม่รอช้าที่จะลอยตัวมุ่งหน้าไปยังแกนกลางของห้องที่เป็นเสาขนาดใหญ่ทรงกระบอกกลางห้อง เธอลอยตัวลงต่ำไปใต้แผงหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วใช้แขนทั้งสองข้างออกแรงงัดแผ่นเหล็กที่อยู่ด้านใต้นั้น แต่แรงเธอมีไม่มากพอ อลิซาเบธซึ่งสวมชุดนักบินสีดำ มันมีระบบกล้ามเนื้อสังเคราะห์ช่วยเสริมแรงจึงสะกิดที่ไหล่ “คุณถอยไปก่อน ตรงนี้ชั้นจัดการเอง...” อลิซาเบธ ลอยตัวลงใช้ขาค้ำที่โคนเสาแล้วออกแรงใช้แขนสองข้างงัดมัน ด้วยประสิทธิภาพของชุดนักบินใหม่ที่ออกแบบโดยฐาน Radamanthys เธองัดแผ่นเหล็กนั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อแผ่นเหล็กหลุดออก ฮันน่าห์ ก็เข้ามาดูแผงวงจรภายใต้แผ่นเหล็กนั้น เธอดึงอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งเหมือนแรมออกมา จากนั้นเธอก็หยิบอุปกรณ์ที่หน้าตาคล้ายๆ กันจากกระเป๋าเสื้อของเธอใส่เข้าไปแทนที่ แล้วดึงตัวเองขึ้นมาที่หน้าจอ ฮันน่าห์ไม่รอช้าที่จะเริ่มรัวนิ้วมือทั้งสองข้างลงที่หน้าจอ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มันคือการรีเซ็ตระบบอย่างชำนาญ อลิซาเบธ มองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะหันกลับมาเห็นความจริงจังและมุ่งมั่นของฮันน่าห์ เธอจึงถามขึ้น
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าความจริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องขึ้นมาที่นี่ก็ได้….แค่เอาอุปกรณ์นั่นให้เรา แล้วบอกวิธีใช้งานมัน” ฮันน่าห์ได้ยินแต่เธอไม่ตอบ เพราะที่อลิซาเบธพูดนั้นเป็นความจริง เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาตั้งค่าระบบต่อไป อลิซาเบธ ถอนหายใจแล้วพูดต่อไป “คือชั้นแค่อยากรู้น่ะ….ทำไมคุณถึงต้องยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองขนาดนี้ด้วย” เพื่อให้อลิซาเบธหายสงสัย และเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกของเธอ ฮันน่าห์จึงหยุดการวางระบบลงแล้วหันมาตอบ
“เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะดิชั้นน่ะสิคะ...ดิชั้นจะต้องมาที่นี่เพื่อแก้ไขมันด้วยตัวเอง อย่างที่คุณว่าน่ะถูกต้องแล้ว” “อันที่จริงดิชั้นแค่เอา System Overruler นี้ให้เจ้าหน้าที่จามจุรี แล้วบอกวิธีตั้งระบบใหม่ทั้งหมดให้กับเธอคนนั้นไป” “ดิชั้นก็ไม่ต้องขึ้นมาเสี่ยงชีวิตที่นี่...แต่ถึงยังไงดิชั้นก็ทำได้เร็วกว่า...และดิชั้นไม่ต้องการให้คนอื่นมาแก้ไขความผิดของดิชั้น” อลิซาเบธ ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าฮันน่าห์ก่อเรื่องอะไรไว้จึงถามไป “เรื่องที่ว่าเป็นต้นเหตุนั้นคืออะไร คุณพอจะบอกได้มั้ย”
ฮันน่าห์หันหน้ากลับไปวางระบบต่อ “ดิชั้นเป็นคนทำให้ The Omnipotent สมบูรณ์ ไซเฟอร์จึงควบคุม Arachna ได้น่ะค่ะ”
…………………………………………………
บัดนี้ฮันน่าห์ได้ตั้งค่าระบบใหม่เรียบร้อย
ฮันน่าห์ รายเฟลเลอร์ และอลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ ก็มุ่งหน้าต่อไปยังส่วนที่เป็นแกนกลางของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วง ในขณะที่ภายในห้องควบคุมของสถานีอวกาศ ฟองน้ำ เรย์ และนากา ก็มีงานที่ต้องทำอยู่เช่นกัน ฟองน้ำทำการตรวจสอบระบบขับเคลื่อนซึ่งเป็นไอพ่นรอบสถานีอวกาศให้แน่ใจว่ามันพร้อมใช้งาน ส่วน เรย์ และนากา ก็อยู่ที่หน้าจอด้านหลัง ทั้งสองกำลังอ่านค่าความเคลื่อนไหวของน่านอวกาศโดยรอบ
แต่แล้วบางสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!!
นากาหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นจุดสีแดงบนเรด้า “นั่นมันอะไรน่ะ...ดูเหมือนมันกำลังมุ่งหน้ามาทางเราเร็วมาก” เรย์ ได้ยินก็ไม่รอช้าที่จะหันมาดูที่จอของนากา “แปลกจริง มันมุ่งหน้ามาจากฐาน Minos….ท่าจะไม่ดีแล้วนะครับ” ฟองน้ำเองก็เกิดความสงสัยขึ้น “กำลังเสริมของเราก็ไม่น่าจะมาทางนั้น และก็คงจะไม่มีใครมาเป็นกำลังเสริมอยู่แล้ว” “ถ้าเป็นไซเฟอร์ เขาก็คงมาที่นี่ด้วยตนเองไม่ได้ เพราะเขาจะต้องรับมือกับฝูงบิน Unicornpegasus ที่ Minos” “ส่วนถ้าบอกว่าเป็น Arachna ก็ไม่น่าจะใช่อีกนะคะ เพราะ Arachna ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนที่ได้ในสภาวะไร้น้ำหนัก” นากาพยักหน้า จึงสั่งการทันที “เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับสูงจามจุรี ตรวจสอบมันด้วยกล้อง Spectrum เร็วเข้า”
ฟองน้ำไม่รอช้าเธอเปิดระบบกล้อง Spectrum ความถี่สูงแล้วส่องไปทางสัญญาณน่าสงสัย ภาพที่ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง มันคือ Valkyria Unit เครื่องหนึ่ง ขณะที่ภาพปรากฏ มันกำลังสลัดถังไอพ่นเสริมซึ่งเอาไว้ช่วยในการบินออกจากวงโคจรของ Gliese 667Cc มันเป็นเครื่อง Valkyria Unit ระหัส VF-25S Armored Messiah ซึ่งคุ้นตาของฟองน้ำและเรย์เป็นอย่างดี
“VF-25S Armored Messiah…..” ฟองน้ำ และเรย์ ตะโกนขึ้นด้วยความตกใจพร้อมๆ กันทันทีที่เห็น สีหน้าของเรย์ดูจริงจังมากกว่าที่เคย เพราะเขารู้ว่าใครเป็นนักบินประจำ Valkyria Unit เครื่องนั้น คนที่เขารู้จัก คนที่เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบเจอกันอีกแล้วในชีวิตนี้ แต่คนคนนั้นกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเรย์อีกครั้ง “ชั้นไม่รู้หรอกนะว่านายคิดอะไรอยู่….แต่ชั้นจะทำให้นายตาสว่าง...ชั้นจะพานายกลับมาแทนฟุโดเอง...อีวาน เดโคเช่!!”
แต่ถ้าหากจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่มีใครในฝูงบิน Aiacos จะไม่รู้จัก อีวาน เดโคเช่ เพราะเขาได้ก่อเรื่องเลวร้ายเอาไว้มากมาย เขาเป็นผู้สังหารนักวิทยาศาสตร์มือหนึ่งของ Aiacos และชายคนนั้นคือผู้พัฒนา The Omnipotent ซึ่งเป็นเพื่อนของฮันน่าห์ จากนั้นในสงครามที่ต้องปะทะกับ Arachna นางพญา เขาได้เปิดเผยตัวตนว่าเขาเป็นพวกเดียวกับ ไซเฟอร์ ด้วยการยิงถล่มเครื่อง Valkyria Unit ของหัวหน้าฝูงบิน Unicorn ซึ่งเป็นฝูงบินของเขาเองจนตก ก่อนจะหนีไปกับไซเฟอร์
นากาใช้มือขวาแตะไปที่ไหล่ของเรย์แล้วพูดขึ้นว่า “ไปกันเถอะ ไปสั่งสอนเพื่อนของนายคนนั้นกัน Griffin 20….”
………………………………………………..
ไม่นานนัก VF-25S Armored Messiah ก็บินเข้ามาใกล้สถานีอวกาศ
ในขณะเดียวกัน เรย์ และ นากา ก็นำ VF-1 ออกมาจากกระสวยอวกาศแล้วมารอตอนรับอยู่พักหนึ่งแล้ว นากาเริ่มมองเห็น VF-25S จากการมองด้วยสายตา “Griffin 20 ชั้นเข้าใจว่านักบินอาจจะเป็นเพื่อนของเธอ” “แต่อย่าประมาทเป็นอันขาด เพราะเราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าหมอนั่นแปรพรรคไปเข้าพวกกับไซเฟอร์” “ฉะนั้นการที่หมอนั่นมาที่นี่ จึงมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือหยุดพวกเราไม่ให้ขวางไซเฟอร์ได้”
เรย์พยักหน้า “เข้าใจแล้วครับหัวหน้า….ผมจะไม่ประมาท….แต่ผมขอลองเจรจากับเขาดูก่อนได้มั้ยครับ” นากาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “นายจะลองอย่างนั้นดูก่อนก็ได้….แต่ถ้ามันไม่เป็นผลแล้วล่ะก็...เราจะฆ่าเขาซะ” “ชั้นรู้ว่านายเสียคิซารากิไปคนนึงแล้ว แต่กลับได้พบกับเดโคเช่...นายก็คงไม่อยากจะเสียเขาไปอีกคน” “ดังนั้น ชั้นจะให้โอกาสพวกนายสองคนได้เจรจากันก่อน แต่ถ้าไม่เป็นผล นายจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด” เรย์ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เขาเร่งท่อขับดัน VF-1 ในรูปร่างของเครื่องบินรบเข้าไปหา VF-25S โดยนากาที่จ้องมองตามหลังฟุโดไป หยิบปืนยาวไรเฟิลแรงสูงออกมาแล้วเล็งไปที่ VF-25S ซึ่งยังไม่ลดความเร็ว
เรย์นำ VF-1 เข้าไปดักเส้นทางการบินของ VF-25S แล้วใช้สัญญาณติดต่อเข้าไปหานักบินเครื่องนั้น “นั่นอีวานใช่มั้ย….นี่ชั้นเองนะเรย์….เรย์ คาริน….นายหยุดเถอะ….เราไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันหรอกนะ...” “ไซเฟอร์น่ะกำลังทำในสิ่งที่ชั่วร้าย!! ชั้นไม่รู้เหตุผลของนายหรอกนะว่าเพราะอะไรนายถึงไปช่วยเขา” “แต่ตอนนี้นายหยุดเค้าได้!! นายแก้ไขในสิ่งที่เค้าทำได้!! มาช่วยพวกเราเถอะนะ….อีวาน!!” แต่สิ่งที่เรย์คาดหวังว่าจะได้รับกลับไม่เกิดขึ้นเมื่อ VF-25S Armored Messiah ทำการ Shape-Shift เป็นหุ่นรบ และเล็งปืนกลมาใส่ Griffin 20 ก่อนจะเริ่มกระหน่ำยิงใส่ทันที “บ้าชิบ!! อีวาน!! นายได้ยินชั้นรึเปล่าเนี่ย!!” ปฏิกิริยาของ เรย์ยังคงเร็วมากพอที่จะหลบกระสุนปืนกลของ VF-25S ได้ แต่มันก็ไม่หยุดยิงง่ายๆ
นากาเห็นเช่นนั้นเธอก็รีบทำการยิงสนับสนุนด้วยปืนไรเฟิลจากระยะไกลทันที กระสุนพุ่งไปด้วยความเร็วสูง แต่ VF-25S กลับยิงท่อขับดันที่ขาขวาออกมาหนึ่งครั้ง มันก็เอียงตัวหลบกระสุนที่นากายิงไปได้อย่างง่ายดาย นากา ขมวดคิ้ว เธอยังไม่ยอมหยุดเท่านั้น จึงยิงกระหน่ำต่อไปอย่างไม่ยั้ง “คาริน!! หมอนั่นน่ะไม่ฟังนายหรอก!!” “นายต้องออกมาจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้” นากา พูดพร้อมกับกระสุนไรเฟิลที่มีอยู่ไม่มากและมันได้หมดลง VF-25S สามารถเคลื่อนที่โยกไปมาขณะไล่ยิงใส่ Griffin 20 ได้ทุกนัดจนทำให้นากาถึงกับเหงื่อตก “บ้าจริง!! นี่น่ะหรอความแข็งแกร่งของนักบินระดับ Ace Pilot ของฝูงบิน Unicorn….ห่างชั้นกันขนาดนี้เลยหรอ….” “เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้นจามจุรี….ดิชั้นรบกวนคุณเจาะระบบสื่อสารของ Valkyria Unit เครื่องนั้นให้ทีนะ”
กระสุนถูกยิงออกไปนับร้อยนัด แต่เนื่องจากอวกาศไม่มีเป็นตัวกลางนำเสียง เหตุการณ์จึงเงียบเหมือนลำโพงพัง มีเพียงนักบินที่อยู่ในเครื่องเท่านั้นที่จะได้ยินเสียงของการกระเบิดดินปืนซึ่งผ่านมาตามชิ้นส่วนของตัวหุ่น Griffin 20 เริ่มถูกกระสุนปืนกลยิงเข้าตามส่วนต่างๆ ทำให้เกราะที่ไหล่ ลำตัวและขาของ VF-1 เริ่มเสียหาย “บ้าชะมัด!!” เรย์สบถขึ้น เขาตัดสินใจใช้ปืนกลของ VF-1 ยิงสวนไป แต่ก็เป็นไปตามคาด เขาพลาดเป้าทุกนัด กระทั่งกระสุนปืนกลของ VF-25S หมดลง มันก็สลับเอาอาวุธปืนยาวไรเฟิลขึ้นมายิงต่อทันที
และนากาก็เข้ามาถึงระยะยิง เธอไม่รอช้าที่จะสาดกระสุนปืนกลแม้มีไม่มากเข้าใส่ VF-25S ครั้งนี้เธอยิงจากด้านหลัง VF-25S ไม่มีทีท่าว่าจะหลบกระสุนเลยแม้แต่น้อย ทำให้มันได้รับความเสียหาย แต่ความรุนแรงของกระสุนปืนกลมันไม่มากพอจะทำลายเกราะของ VF-25S ซึ่งเป็นรุ่นที่สร้างขึ้นพิเศษได้ “Griffin 20 หนีออกไป ชั้นจะระเบิดมันด้วย Missile” นากา พูดขึ้น “ไม่ได้ครับ ผมจะต้องคุยกับหมอนี่ให้รู้เรื่อง!!” เรย์พูด แต่แล้วกระสุนไรเฟิลนัดหนึ่งของ VF-25S ก็ยิงเข้าไปที่ขาขวาของ Griffin 20 ทำให้ขาขวาขาดกระเด็น แรงอัดทำให้เครื่องของเรย์หมุดเคว้ง เขาพยายามกัดฟันเร่งท่อขับดันที่เหลือเพื่อรักษาสมดุลให้เครื่องหยุดหมุน ในจังหวะนั้น นากาเห็นสิ่งที่เธอประหลาดใจ คือ ถ้าหากเป็นอีวานจริง เขาก็ไม่น่าจะกล้าเล็งเพื่อปลิดชีพเรย์ได้ แต่ VF-25S เครื่องนั้น กลับมีที่ท่าจะยิงซ้ำ ทว่ากระสุนของมันกลับหมดพอดี มันเลยเปิดช่องยิง Missile ออกมาแทน
นากา รู้ว่าถ้าหากเรย์โดนยิงด้วย Missile ชุดนั้น เขาต้องไม่รอดแน่ เธอจึงเปิดฉากยิงใส่ก่อน นัยน์ตาของเรย์เต็มไปด้วยความตกใจ “ไม่นะหัวหน้า!!........อีวาน!!! หลบไป!!!!!! ไม่!!!!!!!!!!!” เมื่อ Missile ทั้งหมดที่มี 4 ลูกของนากาพุ่งเข้าไปใกล้ นักบินของ VF-25S ก็หันมาเห็นเข้าพอดี แต่ไม่ทันกาล Missile ของนากาพุ่งเข้าปะทะทำให้ VF-25S เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศ
…………………………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 25, 2018 12:06:36 GMT
เมื่อฝุ่นละอองจากลง
VF-25S นั้นกลับยังคงอยู่ มันไม่ถูกทำลาย แต่เกราะแขนขาและลำตัวที่ถูกทำลายไปมีบางอย่างมาแทนที่ มันคือก้อนเนื้อสีแดงที่ดูน่าขยะแขยง คล้าย Arachna ก้อนเนื้อนั้นเริ่มขยายตัวไปทั่วทั้งตัวหุ่นจนหุ่นเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งนากา และเรย์ อึ่งกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า “นั่นมันบ้าอะไร” นากาสบถเบาๆ เรย์อึ้งจนพูดได้แค่ “อีวาน...” ในตอนนั้นเองฟองน้ำก็สามารถเจาะระบบสื่อสารได้สำเร็จ เธอก็ถ่ายทอดภาพห้องนักบินของ VF-25S ให้นากาและเรย์ “ทุกคน!! ดูนี่สิคะ….อีวาน เดโคเช่เค้า………..” ฟองน้ำ พูดขึ้นโดยไม่พูดให้จบ เพราะเธออยากให้ทั้งสองเห็นเอง
ใบหน้าของนักบินเป็นใบหน้าของอีวาน เดโคเช่ อย่างแน่นอน แต่อีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นใบหน้าของ Arachna เขาไม่ได้สวมหมวกนักบินด้วยซ้ำ แล้วร่างกายของเขาก็มีก้อนเนื้อและรยางค์เต็มตัว มันยึดเขาไว้กับตัวเครื่อง “เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่….อีวาน” เรย์ พูดขึ้นด้วยความงุนงง นากาเองก็อยากรู้ไม่ต่างไปจากเรย์ ฟองน้ำนึกขึ้นมาได้ เธอรีบค้นข้อมูลบางอย่างและส่งไปให้ นากา และเรย์ พร้อมอธิบายไปด้วย
“ดิชั้นคิดว่าดิชั้นพอทราบแล้วล่ะค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักบินอีวาน เดโคเช่….ที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนั้น” “ดิชั้นพบว่ามีบันทึกของฐาน Radamanthys เมื่อ 10 ปีก่อนระบุว่าจากการโจมตีครั้งแรกของ Arachna” “พวกมันแฝงตัวมากับอุกกาบาตที่พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของ Gliese 667Cc หนึ่งในชิ้นส่วนที่ตกลงมานั้น” “เจ้าหน้าที่ของฐาน Radamanthys ไปพบกับของเหลวประหลาดอย่างหนึ่งจากซากของอุกกาบาต” “มันอยู่ในถุงใสๆ เมื่อทำมาทดสอบก็พบว่า เมื่อของเหลวดังกล่าวจะเริ่มออกฤทธิ์เมื่อวันสัมผัสกับเซลส์สิ่งมีชีวิต” “ในการทดลองครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตลงมากมาย สุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้และได้มอบให้ฐาน Minos ไปศึกษาต่อ” “โดยกระบวนการของมันจะเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างของ DNA เฉียบพลันและส่งผลกระทบแบบลูกโซ่อย่างรวดเร็ว” “มันเปลี่ยนแปลงรูปร่าง และโครงสร้างเนื้อเยื่อของเหยื่อทั้งหมด กล่าวคือ มันเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตอื่นให้เป็น Arachna”
เรย์ ได้ยินก็ยังไม่เข้าใจมากสักเท่าใดนัก ส่วนนากาเข้าใจสิ่งที่ฟองน้ำจะสื่อความหมายตั้งแต่ฟังจบในทันที นากาจึงพูดขึ้นว่า “นายเข้าใจรึยัง Griffin 04 ว่าเพื่อนของนายน่ะจากไปแล้ว ที่อยู่ต่อหน้าพวกเราก็คือ Arachna” “เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับสูง ดิชั้นอยากให้คุณตั้งใจฟังให้ดี...ตอนนี้อาวุธและเชื้อเพลิงพวกเราเหลือน้อยเต็มที” “และดิชั้นก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะรับมือกับเจ้า Arachna ในคราบ Valkyria Unit ตัวนี้ได้อีกนานแค่ไหน” “จึงขอสั่งการให้คุณทำการเคลื่อนที่สถานีอวกาศที่ 3 ไปยังพิกัดของภารกิจทันที!! จะถือว่าเป็นคำขอร้องก็ได้นะ” ฟองน้ำมองผ่านหน้าจอตรงหน้าของเธอไปยัง เรย์ และนากา ด้วยสายตาเป็นห่วง แต่เธอก็เข้าใจดีและพยักหน้า
ฟองน้ำนั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะเป็นเลิศ แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะขับเคลื่อนมันได้ เธอจึงรีบทำตามคำสั่งของนากาอย่างไม่รอช้า ไอพ่นขับดันทั้ง 4 เริ่มทำงานกระสานเพื่อทะแองสถานีอวกาศที่ 3 มันตะแคงข้างโดยหันหัวปากกระบอกปืนใหญ่ไปในทิศทางที่ฐาน Minos ตั้งอยู่ ก่อนจะเริ่มเร่งความเร็ว แต่วินาทีนั้นเอง อีวานที่กลายเป็น Arachna ก็ฟื้นคืนสติ มันเล็ง Missile ทั้งหมดซึ่งมีมหาศาลไปที่สถานีอวกาศ ปฏิกิริยาของเรย์ ก็เร็วมากพอจะเร่งท่อขับดันเข้าใส่ เขาตั้งใจจะพุ่งชนเพื่อขัดขวางการ Lock เป้าของ Missile และเขาทำเกือบจะสำเร็จ VF-1 บินพุ่งเข้าชน VF-25S อย่างแรงในจังหวะที่มันกำลังปล่อย Missile ออกไป
Missile จำนวนมากพุ่งออกจาก VF-25S อย่างไร้ทิศทาง แต่มันกลับมีอยู่ลูกหนึ่งที่พุ่งดิ่งไปยังสถานีอวกาศที่ 3 Arachna อีวานเริ่มตั้งตัวได้จากการพุ่งเข้ากระแทก มันใช้แขนข้างที่เป็นแขนเนื้อสีแดงฟาดเข้าใส่ Griffin 20 ความรุนแรงนั้นเหลือล้นจนชิ้นส่วนเกราะของ VF-1 ต้านทานไม่ไหว ชิ้นส่วนมากมายแตกกระจายไปทั่ว Griffin 20 พุ่งกระเด็นออกไปด้วยความเร็วสูงและไม่มีทีท่าว่าเรย์จะบังคับปรับทิศทางให้มันกลับมา นากาก็รู้ได้ทันทีว่าเรย์นั้นหมดสติไปแล้ว ถึงแม้ว่าสัญญาณชีพจรของเขาในหน้าจอของนากายังคงอยู่ก็ตาม เธอจึงรีบเร่งท่อขับดันตามไปรับ Griffin 20 เอาไว้และประคองให้หยุดการเคลื่อนไหวไม่ให้ลอยหายไปในห้วงอวกาศ
เมื่อ Arachna อีวานโจมตีใส่เรย์จนหมดสติแล้ว มันก็เร่งท่อขับดันตามสถานีอวกาศที่ 3 และ Missile ลูกนั้นไป นากาพยายามปลุกเรย์แล้ว แต่เขาไม่ยอมตอบสนอง เธอจึงไม่มีทางเลือก เธอตัดสินใจตาม Arachna อีวานไป ท้ายที่สุด Missile ที่ถูกยิงตามสถานีอวกาศที่ 3 ไปนั้น มีความเร็วมากกว่าสถานีที่ 3 มันก็เข้าปะทะอย่างจัง ท่อขับดันข้างหนึ่งของสถานีอวกาศที่ 3 บิดเบี้ยวและเสียการควบคุม มันเริ่มทำให้สถานีอวกาศเสียเส้นทางการบิน
ฟองน้ำซึ่งไม่ได้มีประสบการณ์ในการควบคุมยานอะไรมากมายนัก เธอพยายามที่จะควบคุมมัน แต่ก็ไร้ผล
…………………………………………………
ภายในสถานีอวกาศที่ 3
ขณะที่ Missile ที่ Arachna อีวานได้ปล่อยไว้กำลังพุ่งตามหลังสถานีอวกาศที่ 3 ด้วยความเร็วสูง อลิซาเบธ และ ฮันน่าห์ ได้ทำการตั้งระบบของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงเสร็จสิ้นแล้ว พวกเธอได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้น และกำลังตะเกียกตะกายลอยตัวมาตามเส้นทางภายในสถานีเพื่อมุ่งหน้ากลับไปช่วยฟองน้ำในการขับเคลื่อนสถานี พวกเธอทั้งสองคนก็โชคร้ายเมื่อจุดที่ Missile พุ่งชนนั้น อยู่ใกล้กับจุดที่พวกเธอสองคนอยู่พอดี แรงระเบิดทำให้อากาศที่อัดแน่นภายในสถานีอวกาศดูดทุกสิ่งทุกอย่างตามทางเดินออกไปสู่ห้วงอวกาศภายนอก และแรงระเบิดมันก็ทำให้ผนังของสถานีอวกาศยุบเข้าไป ท่อเล็กและแผ่นโลหะมากมายถูกบดขยี้ ระบบนิรภัยของสถานีทำงานทันทีด้วยการปิดกั้น Air Lock ระหว่างห้องที่อวกาศรั่วไหลออกไปในชั่วพริบตา
อลิซาเบธ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ผนังสถานีระเบิด เธอมีเวลาในการใช้ความสามารถของถุงมือชุดนักบินรุ่นใหม่ มันสร้างสนามแม่เหล็กแรงสูงและทำให้อลิซาเบธจับยึดพื้นของสถานีที่เป็นโลหะเอาไว้ได้ก่อนถูกดูดออกไป หลังจากที่อากาศถูกดูดออกไปหมดแล้ว อลิซาเบธ ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นตรวจร่างกายตัวเอง เธอไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เธอกลับได้ยินเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดผ่านวิทยุ เมื่อเธอมองไปที่ซากผนังของสถานีอวกาศ เธอก็เห็นแขนของฮันน่าห์โผล่ออกมาจากซากปรักหักพัง อลิซาเบธไม่รอช้าที่จะเข้าไปช่วยฮันน่าห์ ด้วยพละกำลังอันมากล้นจากกล้ามเนื้อสังเคราะห์ของชุดนักบินสีดำรุ่นใหม่ เธอยกง้างผนังโลหะที่งอขึ้นมาได้
อลิซาเบธ ก็พบสิ่งที่น่าหดหู่ใจ จริงอยู่ที่ฮันน่าห์ไม่ได้สวมชุดนักบินรุ่นใหม่ที่มีระบบยึดเกาะ และไม่ถูกดูดออกไป แต่ที่ฮันน่าห์ไม่ถูกดูดออกไปก็เพราะร่างของเธอที่นอนเงยหน้าอยู่นั้น มีท่อโลหะ 2 ท่อ เสียบเข้าที่หลังของเธอ และมันทะลุออกมาข้างหน้าแถวยังไขว้กันเป็นรูปตัว X เลือดของเธอพุ่งกระฉูดออกจากท่อโลหะกลวงลอยละล่อง ปากของฮันน่าห์สั่นเทา เลือกปริมาณมหาศาลล้นทะลักออกทางปาก ลอยเป็นหยดกลมๆ ภายในหมวกของเธอ อธิซาเบธ รู้แล้วว่าเธอช่วยฮันน่าห์ไม่ได้ เพราะคลายงอเหล็กที่ไขว้กันออก ก็เหมือนฉีกร่างของฮันน่าห์ออกจากกัน และฮันน่าห์ ก็รู้ตัวเองดีว่ามันคงถึงวาระสุดท้ายของเธอแล้ว เธอเหลือบมองอลิซาเบธ ที่เข้ามาหาเธอ
“ดิชั้นคง...อั่ก….ไม่รอดแล้ว….ล่ะ…..” ฮันน่าห์พูดขณะเอื้อมมือไปหาอลิซาเบธที่กำลังลอยตัวอยู่ข้างๆ “มันต้องมีทางสิ….อดทนเอาไว้เจ้าหน้าที่รายน์เฟลเลอร์” อลิซาเบธ จับมือของฮันน่าห์ แล้วก้มมองหาวิธีช่วย แต่ฮันน่าห์ส่ายหน้า “ไม่….ไป….ทำหน้าที่….ของคุณ….หน้าที่….ของ….ดิชั้น….จบลง….แล้ว...” “ที่นี่...กำลัง….จะตก….ฟอง….น้ำ….ทำมัน….ทำมัน….คนเดียว….ไม่…..ได้….หรอก….นะ….” “ไปช่วย...ฟอง….นะ…..ทำ...อั่ก….ทำมัน….ให้สำเร็จ…..ฝาก...ด้วย….” เมื่อพูดจบ เธอก็สิ้นใจลง
อลิซาเบธเบือนหน้าหนีด้วยความแค้นใจ ในมือข้างที่จับกันไว้แน่นนั้น ฮันน่าห์ได้ส่ง System Overruler ให้เธอ อลิซาเบธคว้า System Overruler จากมือของร่างฮันน่าห์มา แล้วพุ่งลอยตัวใช้มันเสือบที่ช่องของวงจรข้างประตู ทำให้ Air Lock ที่กัั้นห้องที่พวกเธออยู่เปิดออก อลิซาเบธก็ลอยตัวเข้าไปก่อนจะปิดประตู Air Lock ไว้เหมือนเดิม
อลิซาเบธมองกลับมาที่ร่างไร้วิญญาณของฮันน่าห์ “คุณทำหน้าที่ของคุณได้ดีมาก….ต่อไปก็หน้าที่ของชั้นแล้วล่ะนะ…..”
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 26, 2018 5:54:27 GMT
EP.5 : Farewell My World สถานีอวกาศที่ 3 กำลังมุ่งหน้าไปยังพิกัดเป้าหมาย
ผลจากการที่ถูกโจมตีด้วย Missile ส่งผลให้ไอพ่นขับดันเครื่องหนึ่งได้รับความเสียหายจนทำงานผิดปกติ มันหมุนสะเปะสะปะตลอดเวลาไร้ทิศทาง ขณะนั้นฟองน้ำเป็นผู้ควบคุมการเคลื่อนที่ เธอเสียการควบคุมมันไป เหงื่อของเด็กสาวไหลพรากภายในชุดอวกาศสีขาว ฟองน้ำทำอะไรไม่ถูก “แย่แน่ๆ เราทำอะไรไม่ได้เลย...” แต่แล้วประตูห้องควบคุมหลักก็เปิดออก นักบินสาวเส้นผมสีเขียวนามว่าอลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ ก็มาถึง ฟองน้ำ หันไปเห็นดวงตาของเธอก็มีความหวังขึ้นมาบ้าง “คุณดิเลนเจอร์!!” ฟองน้ำพูดขึ้นเพียงเท่านั้น อลิซาเบธ พยักหน้าแล้วรีบลอยตัวเข้ามา เมื่อฟองน้ำปลดเข็มขัดออกจากที่นั่ง อลิซาเบธก็ลงนั่งแทน
“ฝากด้วยนะคะ คุณดิเลนเจอร์ ดิชั้นจะไปห้องควบคุมอาวุธ เผื่อจะช่วยหัวหน้ารับมืออีวานได้” ฟองน้ำ พูดขึ้น เธอกระโดดลอยตัวไปยังทางออก แต่ก่อนที่จะลอยไปไกล อลิซาเบธพูดขึ้นว่า “รับนี่ไปซะ เจ้าหน้าที่จามจุรี” อลิซาเบธ โยนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่หน้าตาคล้ายแรมไปให้ฟองน้ำ มันคือ System Overruler ของฮันน่าห์ เธอก็พูดต่อไปว่า “นี่เป็น System Overruler ของเจ้าหน้าที่รายน์เฟลเลอร์ มันสามารถปรับแต่งระบบเดิมได้ทั้งหมด” “ชั้นไม่จำเป็นต้องใช้มันหรอกนะ แต่ดูเหมือนว่าก่อนเจ้าหน้าที่รายน์เฟลเลอร์จะสิ้นใจคงอยากจะมอบมันให้เธอ”
ฟองน้ำรับ System Overruler ไว้ แล้วรีบลอยตัวมุ่งหน้าไปยังห้องควบคุมอาวุธซึ่งอยู่ต่ำลงไปอีกชั้นหนึ่งทันที ในขณะที่อลิซาเบธ เริ่มจับคันบังคับควบคุมทิศทาง และเริ่มปรับแรงดันไอพ่น เพื่อศึกษาว่าเธอทำอะไรได้บ้าง เธอก็พบว่า หากเธอปล่อยการควบคุม สถานีอวกาศจะเคลื่อนที่ไร้ทิศทางและเริ่มหมุนควงลงสู่เบื้องล่าง หากเธอเบาท่อขับดันลงและใช้แรงเฉื่อยเคลื่อนที่ ท่อขับดันทั้งหมดจะหยุดลง แต่ท่อขับดันที่ชำรุดยังคงทำงาน นั่นหมายความว่าเธอไม่สามารถควบคุมท่อขับดันที่ชำรุดได้ ที่เธอทำได้ตอนนี้มีเพียงควบคุมท่อขับดันที่เหลือ เพื่อประคองไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้ และแม้ว่าจะประคองมันดีแค่ไหน มันก็ยังลดระดับลงเรื่อยๆ อยู่ดี
“หัวหน้า!! หัวหน้าต้องหาทางทำลายไอพ่นที่เสียหายให้ได้นะคะ ไม่งั้นเราได้ตายกันหมดแน่” อลิซาเบธ พูด
………………………………………………
ภายนอกสถานีอวกาศ
VF-25S ที่ถูก Arachna ในร่างของอีวานยึดครอง และเปลี่ยนเป็น Arachna ติดไอพ่นสีแดงกำลังพุ่งตามมา ขณะเดียวกันด้านหลังของมันก็มี VF-1 รหัส Griffin 02 ของนากา วาเลนเซียกำลังไล่ล่ามาอย่างไม่ลดละ
นากามองภาพสถานีอวกาศที่ 3 เธอก็เห็นสิ่งที่อลิซาเบธพูด นั่นคือไอพ่นข้างหนึ่งที่หมุนไปมาอย่างไร้ทิศทาง จากนั้นเธอก็มองไปยัง Arachna อีวาน ที่บินนำหน้าเธออยู่ “ก็อยากจะทำอย่างนั้นให้อยู่หรอกนะลิซ…..” “แต่ชั้นต้องผ่านไอ้เจ้านี่ไปให้ได้ซะก่อนน่ะสิ!!” พูดจบเธอก็ยิงปืนกลซึ่งเป็นอาวุธที่เหลืออยู่อย่างเดียวของเธอ กระสุนปืนกลจำนวนหลายนัดพุ่งไล่หลัง Arachna อีวานไป และปะทะเข้าจนของเหลวสีเหลืองแตกกระจาย ภายในเวลาไม่กี่วินาที ความเสียหายที่นากาทำเอาไว้ กลับถูกซ่อมแซมกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“บ้าจริง!! ไม่น่าเชื่อว่าพวก Arachna มันสามารถประสานกันเป็นหนึ่งเดียวกับ Valkyria Unit ได้ดีขนาดนี้” นากาตรวจอาวุธที่เธอเหลือ ดูเหมือนจะเหลือเพียงอาวุธประชิดที่เป็นดาบโลหะ 2 เล่ม ในแขนสองข้างเท่านั้น Griffin 02 จึงสะบัดดาบนั้นออกมาจากแขนขวา “เหมือนกำลังจะไปรนหาที่ตายยังไงอย่างงั้นเลยนะเรา” เธอตั้งใจจะเข้าไปท้าสู้แบบประชิดกับ Arachna อีวาน ซึ่งเธอเห็นความสามารถในการโจมตีระยะประชิดของมันแล้ว มันสามารถโจมตี VF-1 ของเรย์ คาริน จนสิ้นสภาพได้ในครั้งเดียว แต่นากาก็คิดที่จะลองของดูบ้าง
ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าไป กระสุนปืนใหญ่ก็พุ่งสวนมาจากสถานีอวกาศที่ 3 มันเล็งไปที่ Arachna อีวาน จากนั้นฟองน้ำก็ติดต่อเข้ามาหานากา “หัวหน้าคะ Griffin 20 ล่ะคะ!!” ฟองน้ำถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงรุ่นพี่ นากาส่ายหน้าเบาๆ “เขายังไม่ได้สติ ชั้นทิ้งเขาไว้ข้างหลัง แต่ไม่ต้องเป็นห่วง หมอนั่นยังไม่ตาย!!” เมื่อได้ยิน ฟองน้ำก็ดูโล่งอกขึ้นมาบ้าง “ถ้าอย่างนั้น เรามาจัดการ Arachna ตัวนี้ด้วยกันนะคะหัวหน้า” นากายิ้มมุมปาก “แน่นอนอยู่แล้วล่ะนะ….รบกวนคุณช่วยยิงสะกัดมันเอาไว้ ดิชั้นจะหาทางโจมตีจุดตายเอง”
“รับทราบค่ะ” ฟองน้ำตอบรับ เธอเริ่มระดมยิงปืนใหญ่เข้าใส่ Arachna อีวานนัดแล้วนัดเล่า กระสุนปืนใหญ่บางนัดกระแทกหัวของ Arachna อีวานจนขาดกระเด็น แต่มันก็ฟื้นกลับมาได้ กระสุนปืนใหญ่บางนัด ซัดเข้าที่ท่อนล่างของลำตัวจนท่อนล่างขาดกระจายหายไป แต่มันก็ฟื้นกลับมาได้ ระหว่างนั้น นากาก็สังเกตเห็นว่า Arachna อีวาน จะหลบการโจมตีเฉพาะที่มายังลำตัว กับส่วนไอพ่น ซึ่งไอพ่นของมันเป็นไอพ่นของ VF-25S แต่มันได้ย้ายไอพ่นเหล่านั้นมาอยู่ที่แผ่นหลังหมดแล้ว “ดิชั้นรู้จุดอ่อนของมันแล้วล่ะ….นั่นก็คือลำตัวที่เป็นห้องนักบิน กับแผ่นหลังที่เป็นท่อขับดัน” นากาพูด
เมื่อสบโอกาศได้ นากาก็เร่งท่อขับดันเข้าชาร์จใส่ Arachna อีวานทันที เธอเล็งโจมตีไปที่ไอพ่นของมัน Griffin 02 ง้างอาวุธดาบโลหะเพื่อฟันเข้าใส่ แต่เมื่อเข้าระยะโจมตี Arachna อีวานกลับลดความเร็วกระทันหัน มันหันมาเหวี่ยงวงแขนเข้าใส่ Griffin 02 หมายจะคว้าเข้าที่ส่วนหัว แต่นากายังไหวตัวทันก้มหลบได้ เมื่อหลบพ้น เธอเห็นช่วงลำตัวของ Arachna อีวานเปิดโล่ง จึงไม่รีรอที่จะฟันเข้าใส่ลำตัวซึ่งเธอรู้ว่าเป็นจุดอ่อน แต่เธอทำไม่สำเร็จ เมื่อมันกลับเอาแขนอีกข้างมารับดาบไว้แทน ทำให้แขนก็มันขาดกระเด็น โลหิตสีเหลืองพุ่งฟุ้ง “ก๊าซซซซซซซซซ” เสียงของมันเริ่มออกมาด้วยความเจ็บปวดผ่านอุปกรณ์วิทยุสื่อสารเข้ามาตามความถี่ที่ใช้ เสียงคำรามของมันเหมือนเสียงของมนุษย์ที่สั่นคลอนแปลกกว่าปกติ มันปนกับเสียง Arachna จนฟังดูน่าขนลุก
ทั้งฟองน้ำ อลิซาเบธ และนากา ที่ได้ยินเสียงนี้ก็ถึงกับตกตะลึงจนมือไม้แข็งไปครู่หนึ่ง นาการีบปลดอาวุธดาบของเธอทิ้ง เนื่องจากโลหิตกรดของ Arachna จะกัดกินวัตถุทุกอย่างอย่างรวดเร็ว Arachna อีวาน ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด มันถอยฉากออกห่าง Griffin 02 เพื่อฟื้นฟูแขนของมัน และมันต้องบินหลบกระสุนปืนใหญ่ ที่ฟองน้ำยังคงระดมยิงใส่อย่างไม่ลดละ จนท้ายที่สุดกระสุนเธอก็หมดลง แต่ก่อนที่นากาจะเริ่มเดินท่อขับดันเพื่อเข้าไปปิดบัญชี Arachna อีวานตัวนี้ เธอก็ได้รับการแจ้งบางอย่างเข้ามา
“หัวหน้าคะ!! ช่วยทำลายไอพ่นที่ชำรุดเดี๋ยวนี้เลยได้มั้ยคะ….เราจะถึงความสูงวิกฤติแล้วล่ะค่ะ” อลิซาเบธพูด นั่นหมายถึง หากไม่รีบทำลายไอพ่นนั้นเดี๋ยวนี้ ไอพ่นทั้ง 3 ตัวที่เหลือจะไม่สามารถพยุงสถานีอวกาศที่ 3 เอาไว้ได้ มันจะตกลงสู่ Gliese ก่อนจะไปอยู่เหนือฐาน Minos พูดอีกนัยหนึ่งคือ ภารกิจจะล้มเหลวลง ทุกอย่างจะสูญเปล่า นากามองไปที่หน้าจอ เธอเหลือพลังงานอยู่ 3% เท่านั้น และอาวุธที่มีก็เหลือเพียงดาบที่แขนซ้ายเล่มเดียว
นากาต้องเลือกแล้วว่าระหว่างใช้พลังงานที่เหลือทั้งหมดในการทำลายไอพ่นที่ชำรุด หรือใช้มันในการฆ่า Arachna อีวาน
……………………………………………....
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 26, 2018 5:54:34 GMT
เรย์ คาริน ลืมตาขึ้น
สิ่งที่เขาเห็นนั้น เป็นภาพขาวโพลนสว่างจนแสบตา เขาจำไม่ได้แล้วว่าเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด “เพื่อนเรย์!!” เสียงของฟุโดดังขึ้นจากทางซ้าย ทำให้เรย์ตกใจแล้วหันไปมอง “ฟุโด!! เป็นนายจริงๆ ด้วย” ฟุโดยิ้ม “ที่นี่น่ะสงบดีใช้มั้ยล่ะ….นายฝันอยากเห็นสถานที่แบบนี้ตั้งแต่สงคราม Arachna เริ่มต้นขึ้นแล้วไม่ใช่หรอ” เรย์มองไปรอบๆ มันช่างสงบและว่างเปล่า หากเขาได้หลับตาลงและอยู่ในสถานที่นี้ตลอดไปมันคงจะดีไม่น้อย “ความสงบสุขแบบนี้นายสร้างขึ้นมาได้นะเพื่อนเรย์ เพียงแค่นายต้องทำมันให้สำเร็จ….” ฟุโด พูด
“เรย์ คาริน….” เสียงของคนอีกคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของเขา มันเป็นเสียงของอีวาน เดโคเช่ เรย์หันกลับไป เขาก็เห็นอีวานยืนยิ้มให้เขาอยู่ เขาจึงถามไปว่า “อีวานนายก็อยู่ที่นี่ด้วยอย่างนั้นหรอ” อีวานพยักหน้า “ชั้นน่ะ เป็นเพื่อนซี้ของพวกนายไม่ใช่หรอ ชั้นก็ต้องอยู่ที่นี่สิ….นายจะให้ชั้นไปไหนได้...” เรย์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “แต่นายหักหลังพวกเรา และไปเข้าพวกกับไซเฟอร์แล้วนี่….” เรย์รู้สึกคุ้นๆ ในหัวแปลกว่าก่อนหน้านี้เขาต้องสู้กับอีวาน “ไม่สิ นายเป็นคนที่พยายามขวางทางพวกเรา!!” เมื่อเรย์พูดจบ สีหน้าของอีวานก็เปลี่ยนไป “นั่นน่ะ….ไม่ใช่ชั้นหรอก….ชั้นคนนี้ตายไปนานแล้วล่ะ….” เรย์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย อีวาน จึงพูดต่อไป “อีวานที่นายว่าน่ะ...ใช่ชั้นคนนี้ที่เป็นเพื่อนนายจริงๆหรอ” “นายลองนึกถึงวันแรกที่เรารู้จักกันดูสิ เรย์….วันที่พวกเราสามคนพบกันครั้งแรก และได้เป็นเพื่อนกัน” “อีวานที่นายเห็นน่ะ…..มันหลงเหลือความเป็นคนที่นายรู้จักอยู่ในนั้นรึเปล่าล่ะ….” อีวาน พูด
“ตื่นได้แล้วหรรม!! งองแงยังกะตุ๊ด” เสียงของชายอีกคนพูดขึ้น เมื่อเรย์หันกลับไปมอง เขาก็พบกับจอห์น ข้างกายจอห์นมีอัลไดน์ยืนอยู่ด้วย อัลไดน์ส่ายหน้า “ไม่ไหวเลยนะ นายน่ะจะนอนแบบนี้ไปถึงเมื่อไรกัน” และคนสุดท้ายที่เขาได้เห็นคือ ฮันน่าห์ เธอพูดขึ้นว่า “เราเหลือเวลาไม่มากแล้วนะคะ คุณคาริน….” “ตอนนี้คนที่พอช่วยเจ้าหน้าที่จามจุรีในการหยุดไซเฟอร์ได้ ก็มีแต่คุณแล้วล่ะค่ะ…..”
เรย์เริ่มสับสนและตั้งข้อสงสัยขึ้นกับตัวเอง “ที่นี่….มันที่ไหนกันแน่….เราฝันไปอย่างนั้นหรอ….” และทุกคนที่เรย์เห็นก็มายืนอยู่ต่อหน้าด้วยรอยยิ้ม ฟุโด พูดว่า “ไม่ใช่ความฝันหรอกนะ...มันเป็น...” “ความทรงจำของนาย...สถานที่ที่นายสามารถพบเจอเพื่อนของนายทุกคน....พวกเราคือเพื่อนของนาย...” “ตอนนี้คำขอของเพื่อนทุกคนก็คือ….ลืมตาขึ้น….ลืมตาขึ้นเพื่อนเรย์….ความหวังยังไม่สูญสิ้น…..”
จากนั้นเรย์ก็กลับมาได้สติอีกครั้งบนเครื่อง Valkyria Unit VF-1 ที่ลอยนิ่งอยู่ในห้วงอวกาศสภาพยับเยิน
……………………………………………...
สถานีอวกาศที่ 3
ระหว่างที่ฟองน้ำนั่งดูหน้าจอในห้องควบคุมอาวุธซึ่งมีหน้าต่างใสอยู่ด้านข้างของตัวสถานีอวกาศที่ 3 เธอก็สังเกตุเห็นประกายแสงแห่งสงครามเบื้องล่าง “สงครามสุดท้ายเกิดขึ้นแล้วสินะ..เราช้าเกินไป…”
“เรากำลังเข้าใกล้พิกัดที่กำหนดไว้ และกำลังเลยระยะชะลอตัว….ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป” อลิซาเบธ รายงานขึ้น เธอกัดฟันด้วยความแค้นใจในตัวเอง ที่ไม่ว่าพยายามเท่าไรก็ต้านทานการเคลื่อนตัวไร้ทิศทางของสถานีไม่ได้ “หัวหน้าวาเลนเซียคะ!!! ช่วยทำอะไรทีเถอะค่ะ!!!” อลิซาเบธ ตะโกนขึ้นสุดเสียงเนื่องจากแรงกดดันที่เธอได้รับ
นากากำลังตัดสินใจว่าเธอควรทำอะไร จนกระทั่งเธอเหลือบไปมองที่ข้างเข่าซ้ายของเธอ มันมีหมวกสีแก๊บสีเขียวของอัลไดน์เสียบอยู่ข้างๆ เพราะเธอหยิบมันเข้ามาด้วยตอนขึ้นเครื่อง “ถ้าเป็นนายก็คงจะเลือกทำแบบนี้เหมือนกันสินะ….อัลไดน์...ดีล่ะ….ไปทำในสิ่งที่ต้องทำกันเถอะ” เมื่อพูดจบ นากาก็ตัดสินใจถอดหมวกนักบินของเธอออกแม้ว่ามันจะเสี่ยงหากอากาศในห้องรั่วไหล และเธอก็ดึงหมวกใบนั้นขึ้นมาสวมไว้บนหัว แววตาของเธอที่ดูสับสน กลับมามั่นคงเช่นเดิม
“เอาล่ะนะ!!” นากาพูดขึ้นพร้อมเร่งท่อขับดัน Griffin 02 เต็มกำลังด้วยพลังงานที่เหลืออยู่เพียง 3% เธอลอยตัวมุ่งหน้าไปยังท่อขับดันที่กำลังสร้างปัญหาใหญ่หลวงต่อแผนการ Last Duty ของเธอ ระหว่างนั้น เธอก็สังเกตเห็นว่า Arachna อีวาน มันฟื้นฟูตัวเองเสร็จแล้ว และกำลังเร่งความเร็วตามมา ความเร็วของเจ้า Arachna อีวานนั้นเหนือกว่า VF-1 ที่นอกจากจะ Spec ต่ำกว่าแล้ว ยังชำรุดเสียหายอีกด้วย มันไล่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ Griffin 02 ก็บินเข้าไปใกล้ไอพ่นที่ชำรุดของสถานีที่เป็นเป้าหมาย
ระยะห่างระหว่าง Griffin 02 กับไอพ่นสถานีนั้นไม่เหลือแล้ว และระยะห่างของ Arachna อีวานก็ไม่เหลือเช่นกัน “หึ๊ยยยย!!!!” นากาบังคับ VF-1 ของเธอพุ่งฟันเข้าใส่แกนยึดไอพ่นที่ชำรุดของสถานีอวกาศที่ 3 จนขาดออก ทำให้อลิซาเบธสามารถควบคุมทิศทางของมันได้ เธอชะลอความเร็วลง เพื่อให้อยู่ในพิกัดพร้อมยิงฐาน Minos แต่ทว่า นากา ไม่โชคดีเช่นนั้น เมื่อ Arachna อีวานพุ่งตามมาถึง มันยืดแขนไปข้างหน้าแล้วแทงใส่ Griffin 02 ในขณะที่ Griffin 02 ไม่เหลือพลังงานสำรองแล้ว มันคือเศษเหล็กอวกาศก้อนหนึ่งที่กำลังลอยหมุนอยู่เท่านั้น
ภาพที่นากาเห็นคือ Arachna อีวาน พุ่งเข้ามาอยู่ต่อหน้าเธอ มันง้างแขนสีแดงของมันแล้วกระซวกเข้าใส่ “อ๊อก…..!!” เลือดพุ่งทะลักออกจากปากของนากา ดวงตาของเธอเบิกโพรง ปากของเธอสั่นเพราะความเจ็บปวด มือของ Arachna อีวาน เสียบเข้าเต็มหน้าท้องของ Griffin 02 ปลายเล็บแหลมคมของมันทะลุเข้ามาด้านใน และแทงทะลุหน้าท้องของนากา วาเลนเซีย เธอใช้แขนสองข้างจับที่เล็บยักษ์ของ Arachna อีวานซึ่งทะลุตัวเธอ นากาอดกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้ เพราะเธอไม่อยากให้ประโยคสุดท้ายในชีวิตเธอคือเสียงร้องโหยหวน
จากนั้น Arachna อีวานก็พังห้องนักบินของนากาจนแตกกระจาย และเกี่ยวร่างของเธอออกมาด้วยนิ้ว น้ำแข็งเริ่มเกาะเต็มใบหน้าของนากาอย่างรวดเร็ว เธอเริ่มขาดอากาศหายใจ แรงดันทำให้เลือดเธอไหลเร็วขึ้น จากนั้นห้องนักบินของ Arachna อีวานก็เปิดออก มันยื่นใบหน้าของอีวานที่ครึ่งหนึ่งเป็น Arachna ออกมา ขนาดของศีรษะนั้นบวมขยายออกจนใหญ่โตเท่าๆ ช่วงหน้าอกของ Valkyria Unit มันอ้าปากแล้วแลบลิ้น รยางค์จะนวนมากฝุดออกมาจากลิ้นของ Arachna อีวาน แล้วพุ่งเข้าไปรัดลำตัวของนากาเอาไว้แน่น ต่อมามันก็งอกรยางค์เล็กๆ เท่าสายยางฉีดน้ำออกมามากมาย แล้วยัดมันทะลุเข้าไปในชุดนักบินของนากา ดวงตาของเธอเหลือกขึ้นด้านบนขณะถูกรยางค์ชอนใชเข้าไปทั่วทุกช่องทวาร และในที่สุดเธอก็ขาดใจลง Arachna อีวานเริ่มดูดของเหลวภายในร่างกายของนากาจนหมด ก่อนจะสบัดร่างของเธอทิ้งราวกับเศษขยะ
ร่างของนากา วาเลนเซีย เหลือเพียงผิวหนังย่นๆ ลอยละล่องไปพร้อมกับหมวกแก๊บสีเขียว
……………………………………………………...
สถานีอวกาศที่ 3 ที่บัดนี้ได้ตั้งลำกลับมาแล้ว
ฟองน้ำ และ อลิซาเบธ เห็นภาพที่ไม่น่าจดจำเข้าเต็มๆ ผ่านหน้าต่างห้องควบคุมการเคลื่อนที่และห้องควบคุมอาวุธ ฟองน้ำ และ อลิซาเบธ อึ้งปากค้าง ฟองน้ำนั้นมีท่าทางเหม่อลอย “หัวหน้าวาเลนเซีย” ฟองน้ำพูดขึ้นเบาๆ จู่ๆ ก็มีเสียงชายหนุ่มดังขึ้นมาจากเครื่องวิทยุสื่อสารซึ่งติดตั้ง Build-in อยู่ในชุดอากาศเข้ารูปสีขาวที่เด็กสาวคนนั้นสวมใส่อยู่ “เจ้าหน้าที่จามจุรี ทางนั้นเรียบร้อยดีมั้ย!! พวกมันบุกเข้ามาถึงที่นี่แล้ว!! พวกเราคงต้านไว้ได้อีกไม่นาน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ!!” มันเป็นการติดต่อจากนักบินที่อยู่ภาคพื้น เขาเป็นผู้ที่กำลังทำการอพยพประชาชนของ Minos ให้ห่างออกจากฐาน Minos แต่ดูเหมือนว่าปริมาณ Aracha ด้านล่างนั่นจะเยอะมาก และมันพยายามไล่ล่าขบวนประชาชนผู้อพยพหลบหนี ฟองน้ำสะดุ้งและหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิด เธอเงยหน้าขึ้นมองที่หน้าจอเบื้องหน้า เธอก็เปิดระบบปืนใหญ่ทันที
แต่เธอก็เหลือบเห็นบางสิ่งที่อยู่ด้านนอก ผ่านทางหน้าต่างกระจกใสข้างผนังห้องของสถานีอวกาศที่ 3 เจ้า Arachna อีวานหลังทำการกลืนกินร่างของนากา วาเลนเซีย ไปแล้ว มันก็หันมาทางฟองน้ำด้วยใบหน้าอันสยดสยอง “ไม่จริงน่า….” ฟองน้ำสบถขึ้นเบาๆ ในหัวของเธอคิดว่าทุกอย่างคงจบสิ้นแล้ว เพราะไม่มีใครมาหยุดมันได้ แต่ทันใดนั้น VF-1 ลำหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ Arachna อีวานด้วยความเร็วอันไม่น่าเชื่อ กว่า Arachna อีวาน จะรู้ตัวก็ช้าไปแล้ว ทันทีที่มันหันศีรษะมหึมาไปยังผู้เข้าโจมตี มันก็ถูกดาบเหล็กของ Griffin 20 ที่พุ่งเข้าใส่เสียบเข้ากลางหน้าผาก แรงปะทะลาก Arachna อีวาน ไปปักคาไว้กับตัวสถานีอวกาศที่ 3 มันดิ้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสิ้นฤทธิ์ลงในท้ายที่สุด
“มันจบแล้ว….ความพยายามของคุณน่ะ ไซเฟอร์!!” เรย์ คาริน พูดขึ้นใน Griffin 20 ที่หน้าจอทุกอย่างดับลง มีเพียงอุปกรณ์สื่อสารทางเสียงที่ยังใช้การได้เท่านั้น เขาจึงพูดกับฟองน้ำว่า “หมอนี่น่ะ...ไม่ใช่อีวานตั้งแต่แรกแล้วล่ะ...” “ถึงอีวานจะเคยฆ่าพวกพ้องของตัวเองก็ตามที แต่เขาไม่มีทางทำเรื่องที่มันโหดร้ายกับหัวหน้าวาเลนเซียได้ขนาดนี้แน่….” “ชั้นเข้าใจสิ่งที่เธอบอกตอนแรกแล้วล่ะเจ้าหน้าที่จามจุรี เจ้านี่น่ะ คือ Arachna …. อีวานน่ะถูกไซเฟอร์หลอกตั้งแต่แรก” “เขาสูญเสียความดีที่เคยมี เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง เขาสูญเสียความเป็นมนุษย์….และสูญเสียวิญญาณไป...” “ทั้งหมดนั่นก็เพราะไซเฟอร์…..ฉะนั้นแล้ว…..เราจะต้องหยุดเขาให้ได้….ความหวังทั้งหมดอยู่ที่เธอแล้วนะ...”
อลิซาเบธ จึงเสริมคำพูดของเรย์ขึ้นว่า “เราสุญเสียคนที่เรารักไปมากมาย...เราจะให้การเสียสละของพวกเขาสูญเปล่าไม่ได้” ช่วงเวลานั้นเอง ฟองน้ำก็ได้รับสัญญาณการติดต่อจากคนที่เธอเฝ้ารอจะพูดคุยกับเขามาตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง "เจ้าหน้าที่จามจุรี.....ช่วยยิงปืนใหญ่ดาวเทียมทำลาย Minos ให้สิ้นซากด้วยครับ...." เสียงของเอริคสั่งขึ้นผ่านวิทยุ “ท่านผู้บัญชาการแซนเบิร์ก….รับทราบค่ะ จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ” ฟองน้ำจึงวิเคราะห์ผลความเสียหาย
เธอพบว่าสถานีอวกาศนั้นสามารถกักเก็บพลังงานไว้ได้มากมาย แต่ถูกระบบควบคุมแบ่งให้ยิงได้ทั้งหมด 3 นัด แต่ละนัดจะสะสมพลังงานความโน้มถ่วงไว้ไม่เกิน 100% ด้วยอานุภาพเท่านั้นสามารถทำลายฐาน Minos ได้ก็จริงอยู่ แต่พื้นที่สู้รบกลับกว้างออกไปมากกว่านั้นมาก และผลการจากเสียไอพ่นขับดันไป 1 เครื่อง ทำให้สถานีขาดความมั่นคง หากทำการยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงออกไปนัดแรก มันอาจจะเสียการควบคุมโดยไม่สามารถแก้ไขกลับมาได้อีก ดังนั้น ฟองน้ำจึงมองว่าการยิงปืนใหญ่แรงโน้มจากสถานีอวกาศที่ 3 สามารถทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และหากต้องการยุติการต่อสู้ด้านล่างลง เธอจะต้องทำลาย Arachna ทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่รัศมีกว้างออกมาจาก Minos
"ผู้บัญชาการแซนเบิร์กคะ..ถ้ายิงแบบปกติ ก็พอจะทำลายฐานได้ แต่คงกำจัด Arachna รอบๆ ไม่หมดนะคะ" เอริคขมวดคิ้วแล้วถามกลับด้วยความสงสัย "อย่าบอกนะว่าเธอจะยิงด้วยพลังงานทั้งหมด.....ถ้าทำแบบนั้นปืนใหญ่ดาวเทียมก็จะ..." "ไม่เป็นไรค่ะ....ดิชั้นทราบดีอยู่แล้ว....และก็เต็มใจรับหน้าที่นี้โดยเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว" ฟองน้ำ พูดแทรกขึ้น สีหน้าของเอริค แซนเบิร์กแสดงความเศร้าออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า "รับทราบแล้ว...ผมอนุมัติ....." เขายิ้มบางๆ ให้กับ เจ้าหน้าที่พิกุล จามจุรี มันเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ แฝงไปด้วยความอบอุ่นและเป็นห่วงจากก้นบึ้งของหัวใจ “เป็นเกียรติที่ได้รบด้วยกันนะ เจ้าหน้าที่จามจุรี .... โทษทีนะฟ้องน้ำ ... แล้วพบกันใหม่” เอริค พูดจบ ภาพบนชีลกระจกก็ตัดไป แม้ประโยคที่เอริคกล่าววาจาออกมา มันดูไม่เหมือนการบอกลา แต่พิกุล จามจุรี ก็เข้าใจดีว่ามันคือการบอกลาครั้งสุดท้าย แม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยตั้งแต่ฟองน้ำเดินทางออกมา แต่คำว่าขอโทษของเอริค ก็สื่อความหมายได้มากเพียงพอแล้ว
เมื่อนึกได้เช่นนั้น ฟองน้ำ ก็หยิบ System Overruler ขึ้นมาดู ก่อนจะตัดสินใจเสียบมันลงไปในแผงวงจร เธอได้ทำการปลดล็อค Limiter ของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงวงโคจร และตั้งค่าเสียใหม่ให้ยิงด้วยพลังงานทั้งหมดที่มี จากนั้นเธอหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาจากช่องกระเป๋าเล็กๆ ชองชุดอวกาศขึ้นมาดู มันเป็นรูปของเพื่อนๆ เธอทั้งหมดที่กำลังสู้รบอยู่ เธอก็ลากสายตาคู่งามมายังหน้าจอแสดงผล ซึ่งแสดงผลคำว่า “Locked-On , 296% Gravitational Enegy Charged" เธอค่อยๆ เอื้อมมือมาจับคันบังคับ แล้วค่อยๆ ปรับองศาของเป้าอย่างช้าๆ ไปที่พิกัดใจกลางฐาน Minos ที่อยู่เบื้องล่าง คันบังคับนั้นมีลักษณะเป็นเหมือนแท่ง คล้ายคันบังคับของเครื่องบินรบ มันมีปุ่มสีแดงโผล่ขึ้นมาตรงปลายคันบังคับ
………………………………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 26, 2018 5:54:40 GMT
“นี่เรา...จะทำอย่างนี้จริงๆ หรอ”
นิ้วโป้งขวาของฟองน้ำหยุดลงก่อนที่จะสัมผัสโดนปุ่มสีแดงปลายคันบังคับ ซึ่งเป็นปุ่มยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วง “เรากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรอ….เพื่อนๆ ของเราจะต้องตาย….มันคุ้มแล้วจริงๆ หรอ…..” เธอเกิดความลังเลขึ้นในวินาทีสุดท้ายเพราะพื้นฐานของเธอเป็นคนที่อ่อนโยน และอ่อนไหวต่อความรู้สึก ตลอดเวลาเธอไม่เคยคิดที่จะทำร้ายใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว มันจึงยากสำหรับเธอที่จะฆ่าคนได้ในตอนนี้
อลิซาเบธ นั่งหลับตารออยู่พักหนึ่งแล้วเมื่อรู้ว่าฟองน้ำเกิดลังเล เธอจึงพูดขึ้น “รออะไรอยู่ล่ะ เจ้าหน้าที่จามจุรี” “ถ้าเธอไม่ทำตอนนี้….เพื่อนๆ ของเราก็ตายอยู่ดี และถ้าเราล้มเหลว เราจะมีหน้าไปพบพวกเขาในปรโลกหรอ” คำพูดนั้นกดดันฟองน้ำได้ดี แต่ยังไม่มากพอ ฟองน้ำก้มหน้าลง น้ำตาของเธอเริ่มไหลรินออกจากดวงตา มือของเธอสั่นไปหมดขณะที่กำคันบังคับเอาไว้แน่น ความคิดหลายสิ่งอย่างเข้าปะทะกันในจิตใจของฟองน้ำ
จนกระทั่ง “ฟองน้ำ….ท่านผู้บัญชาการสูงสุดแซนเบิร์กไว้ในตัวเธอมากกว่าใครนะ...เธอจะทำให้เขาผิดหวังไม่ได้” “ก่อนมาที่นี่ เธอตั้งใจเอาไว้แล้วไม่ใช่หรอว่าไม่ว่าอะไรจะต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าเธอจะต้องทำอะไรลงไปก็ตาม!!” “เธอจะต้องปกป้องพลเมืองของ Aiacos เธอจะต้องรักษาความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ….ลองนึกดูดีๆ สิ!!” “เธอยังจำเด็กๆ เหล่านั้นได้รึเปล่า!! เด็กๆ ที่รอคอยอนาคตอันสดใส….เด็กๆ ที่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปน่ะ!!” เรย์ตะโกนเข้ามาเตือนสติฟองน้ำผ่านเครื่องมือสื่อสาร และคราวนี้ดูเหมือนมันจะได้ผล
ในความคิดของฟองน้ำได้ฉายภาพเด็กๆ นี่กำลังเล่นลิงชิงบอลกันในสวนสาธารณะวันก่อนขึ้นมา พวกเด็กๆ วิ่งเล่นหัวเราะกันอย่างสนุกสนานและมีความสุข ดวงตาของเด็กๆ เหล่านั้นช่างใสซื่อและบริสุทธิ์ พวกเขาอยากจะเล่นสนุกอย่างนี้ต่อไป และอยากจะมีวันใหม่ที่สดใสแบบวันนั้นไปตลอดกาล
“วันหลังมาเล่นกับพวกเราอีกนะครับพี่สาว...” “พี่สาวเล่นเก่งจังเลยฮับ” “ผมอยากเล่นเก่งแบบพี่สาวจังเลย” “วันนี้สนุกจังเลยนะ….มีพวกพี่สาวมาเล่นด้วย….วันหน้าเราชวนพี่เขามาเล่นด้วยแล้วล่ะ……….” เสียงของกลุ่มเด็กๆ ในวันนั้นที่พูดคุยกัน ก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวของฟองน้ำ ทำให้เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง
"ขอโทษนะคะ....ทุกคน......เรา....เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว....." เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้น พิกุล จามจุรี หรือ ฟองน้ำ พูดทั้งน้ำตา เรย์ คาริน และ อลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ ยิ้มอย่างพอใจ ทั้งที่พวกเขารู้ว่านั่นคือคำพูดที่จะปลิดชีวิตพวกเขาและเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างล่าง อลิซาเบธ หลับตาสงบนิ่ง เธอนึกถึงเพื่อนๆ ของเธอทุกคน ส่วนเรย์ เขาจ้องมองไปที่ฟองน้ำด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ นิ้วโป้งอันน้อยในถุงมืออวกาศสีขาวก็ประทับลงไปบนปุ่มสีแดงปลายคันบังคับอย่างมั่นคง ระบบทุกอย่างก็ทำงาน พลังงานแรงโน้มถ่วงที่ถูกสะสมไว้ถึง 296% ถูกลำเลียงผ่านลำกล้องยาว 200 เมตร ของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วง ประกายสายฟ้าแลบพุ่งพล่านไปทั่วลำกล้อง รวมไปถึงทั้งตัวสถานีอวกาศที่ 3 จากนั้นคลื่นลำแสงก็ถูกปล่อยลงไป
คลื่นลำแสงนั้นเป็นคลื่นพลังงานซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการบิดเบือนมิติโดยรอบให้โค้งมลไปเป็นเส้นตรงตามลำคลื่น มันพุ่งลงแหวกกลุ่มเมฆหมอก ก่อนจะดูดเมฆหมอก แสง อวกาศ เข้าหาเส้นคลื่นซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมหึมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อตัวลำคลื่นพุ่งลงกระทบฐาน Minos พลังงานทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยเป็นคลื่นกระแทกทำลายทุกสิ่งโดยรอบพร้อมกับแสงเจิดจ้า มันกระแทกทุกสิ่งโดยรอบจนแตกเป็นผง แรงระเบิดนั้นเทียบเท่าระเบิดนิวเคลียร์ 20 ลูกรวมกันราวกับความพิโรธของพระเจ้า Arachna จำนวนนับไม่ถ้วน รวมไปถึง Valkyria Unit ที่เหลือไม่มาก ซึ่งกำลังสู้รบกันอยู่ถูกกวาดล้างภายในชั่วพริบตา ฐาน Minos รวมทั้งทุกสรรพสิ่งถูกทำลายอย่างง่ายดายด้วยแรงอัดของคลื่น ก่อนคลื่นแรงโน้มถ่วงจะกระชากการระเบิดนั้นกลับมา มันดูดทุกอย่างที่แตกละเอียดในรัศมีร่วม 100 กิโลมตร เข้าหาศูนย์กลางลำคลื่นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวทุกสิ่งก็หายสาปสูญไป
สิ่งที่หลงเหลืออยู่เบื้องล่างนั้น มีเพียงความว่างเปล่าและเงียบสงบ
……………………………………………………….
หลังจากที่สถานีอวกาศที่ 3 ยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงลงมา
ตัวลำกล้องของปืนใหญ่ที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รับพลังงานระดับนั้นได้ มันเริ่มแตกเป็นชิ้นๆ จนเกิดระเบิดขึ้น การระเบิดไล่มาตั้งแต่ปลายกระบอกปืน มาจนถึงแกนปืน และเข้ามาที่ตัวสถานีอวกาศที่ 3 ทุกสิ่งกระจายแบบไร้เสียง
สถานทีอวกาศที่ 3 พังทลาย และเริ่มถูกแรงโน้มถ่วงของ Gliese 667Cc ฉุดมันลงไปสู้ชั้นบรรยากาศ เรย์ คารินที่อยู่ใน VF-1 เขาได้รับแรงกระแทกจนกระอักเลือดออกมา VF-1 รับแรงกระแทกจนพังพินาศ เรย์ มองลงไปเบื้องล่าง มันช่างเป็นที่สงบเงียบไม่มีแสงแห่งการต่อสู้เหลือแล้ว …. เขากำลังถูกดึงลงไปที่นั่น แต่แล้วเขาก็เหลือบเห็นบางสิ่งลอยผ่านหน้าลงไป นั่นคือร่างของฟองน้ำ และร่างกายท่อนบนของอลิซาเบธ
เรย์รีบงัดฝาห้องนักบินออกด้วยความช่วยเหลือจากกล้ามเนื้อสังเคราะห์ที่ใช้พลังงานสุดท้ายของชุดเสริมแรง จากนั้นเรย์ก็รีบเปิดท่อขับดันในชุดซึ่งจะปล่อยอากาศที่เขาใช้หายใจเป็นแรงขับพุ่งตามร่างของฟองน้ำลงไป กระทั่งเขาตามร่างของฟองน้ำทัน เรย์ค่อยๆ ประคองฟองน้ำไว้ในอ้อมแขน ดวงตาของฟองน้ำจ้องมองมาที่เขา เธอถูกแรงระเบิดของสถานีอวกาศทำให้บาดเจ็บสาหัส ลมหายใจของเธออ่อนแรง แต่เธอยังมีสติอยู่
“ดิชั้น….อยากเห็น…บ้านของเรา…..เป็นภาพ...อ่ะ...อึ่ก..สุดท้าย...จังเลย….ค่ะ” ฟองน้ำกลั้นใจเฮือกใหญ่พูดขึ้น เรย์ พยักหน้า “ได้….เรากลับ...บ้านกัน….ฮึ่ก!!” และเขาเองก็กระอักเลือดออกมาลอยเป็นหยดๆ เช่นเดียวกัน เรย์ค่อยๆ ประคองฟองน้ำให้หันคว่ำหน้าลงไปมอง Gliese 667Cc ดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่สวยงามด้วยกัน ฟองน้ำ ยิ้มอย่างมีความสุข เธอจ้องมองดาวดวงนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ดวงตาของเธอจะค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
“จบแล้วสินะ….Last Duty ภารกิจลุล่วง….ลาก่อนชีวิตของชั้น…..ลาก่อน…....โลกของชั้น……”
……………………………………………………….
ทุกสิ่งที่ขึ้นไปบนฟากฟ้าย่อมกลับลงมาสู่ผืนดิน
แม้ว่ามันจะเป็นโศกอนาถกรรมของสถานีอวกาศที่ 3 และ Last Duty แต่การเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศของมันก็เป็นฝนดาวตกที่สวยงามTHE END......
Thanks for Reading
Plotted by Senjumaru
Written by Senjumaru Main CharactersPikul Charmjury - Fon Yamato Ray Karin - eisengard Naka Valencia - naralasttear Aldyne - jussaateen John Anderson - kiwada Hannah Reinfeller - tonklaaaaaawow Fudo Kisaraki - Saito Elizabeth Dilenger - เด็กใต้ครับ Erik Sandburg - cptalex Svein Farstadt (Seifer) - feliona Supporting Characters Ivan Dekozhe - kiwada Sonia Bulletheart - aranea Johan Hellsinger - eisengard Nanashi MK.V - Saraphina Referred CharactersHoshisora Makoto - helel666 Okita Rindo - eisengard Go To Comment
|
|