|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 19, 2018 4:30:38 GMT
☬ THE LEGEND OF AIACOS : LAST DUTY ☬ [アヤコス - の伝説 : 最後の任務] Intro : Farewell My Life“ตั้งแต่เล็ก...ดิฉันอยากเป็นนักบินประจำกองบินของ Aiacos แต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้าง...ร่างกายของดิฉันไม่แข็งแรงพอ” “ความฝันนั้นจึงพังทลายลงไป...ตลอดเวลาหลายปี ดิฉันเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่า ถ้าไม่ได้ทำตามความฝัน แล้วจะเกิดมาเพื่ออะไร” “จนกระทั่งมีคนคนหนึ่งได้บอกประโยคประโยคหนึ่งที่เรียบง่าย แต่มันกลับแฝงไปด้วยความหมายอันทรงพลัง และเข้าใจง่าย” “คนเราทุกคนเกิดมาเพื่อทำบางสิ่ง ไม่มีใครเกิดมาอย่างไร้ความหมาย...เพียงแค่เธอต้องค้นหาสิ่งนั้นให้พบ...” “มันประโยคที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของดิฉันไปตลอดกาล จากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เคยสูญสิ้นความฝันตั้งแต่ยังเล็ก” “กลายเป็นเด็กผู้หญิงที่ไขว่คว้าหาตัวตนที่แท้จริงด้วยตนเอง...ไม่ลำพึงลำพันกับความฝันที่ไม่มีวันกลายเป็นความจริง...”
“ดิฉัน อยากทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำในสิ่งที่ดิฉันทำได้....นั่นก็คือ การเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายยุทธการของ Aiacos” “การมาอยู่ที่จุดนี้ ดิฉันได้พบเพื่อนใหม่มากมาย ได้ประสบการณ์มากมาย ผ่านความยากลำบาก และความสุขสรรค์มานับไม่ถ้วน” “คุณรู้หรือไม่ว่าความทุกข์ทรมาณที่สุดของการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายยุทธการคืออะไร? … ไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่จืดจืดจางในงานสังสรรค์” “ไม่ใช่สายตาของผู้คนที่มองว่าเราเป็นพวกขี้ขลาด มุดหัวอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีแต่จอภาพในขณะที่เพื่อนๆ ออกไปสู้รบเสี่ยงตาย” “แต่มันคือ...การที่ดิฉัน ที่นั่งอยู่ตรงนี้....ต้องมองเพื่อนๆ ผู้เป็นที่รักของดิฉันต้องตายไปต่อหน้าต่อตา โดยดิฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย” “มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเราไม่ต้องสู้รบกับใครหรืออะไร ....หรืออย่างน้อยคนที่ต้องตาย เป็นดิฉันที่นั่งอยู่ตรงนี้....ไม่ใช่พวกเขา....”
เด็กสาวอายุประมาณ 17 ปี เธอสวมชุดนักบินอวกาศ เธอเป็นเด็กผู้หญิงร่างเล็ก ส่วนสูง 160 c.m. รูปร่างผอมบาง เส้นผมของเด็กสาวสั้นตรงสีดำอมม่วงเงาสลวย ยาวประบ่า เธอไว้ผมทรงเปิดหน้าผาก แต่มีเส้นผมมาปรกใบหน้าจนถึงเหนือคิ้วข้างขวา ดวงตาของเธอแสดงถึงความอ่อนหวาน และอ่อนโยน นัยน์ตากลมโตสีม่วงมิดไนท์ เธอแต้ม Eye Shadow สีม่วงบางๆ พอเป็นพิธีที่เปลือกตา เด็กสาวคนนี้กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ที่เก้าอี้หน้าแผงควบคุมระบบบางอย่าง ซึ่งมีปุ่ม และสวิตช์ เรียงรายเต็มไปหมด เธอนั่งนิ่งราวกับว่ากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องที่มืดมิด แต่มีหน้าจอคอมพิวแตอร์มากมายส่องแสงไฟสลัวไปทั่วห้อง
จู่ๆ ก็มีเสียงชายหนุ่มดังขึ้นมาจากเครื่องวิทยุสื่อสารซึ่งติดตั้ง Build-in อยู่ในชุดอากาศเข้ารูปสีขาวที่เด็กสาวคนนั้นสวมใส่อยู่ “เจ้าหน้าที่จามจุรี ทางนั้นเรียบร้อยดีมั้ย!! พวกมันบุกเข้ามาถึงที่นี่แล้ว!! พวกเราคงต้านไว้ได้อีกไม่นาน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ!!” เสียงนั้น ทำให้เด็กหญิงที่ถูกเรียกว่า “เจ้าหน้าที่จามจุรี” สะดุ้งและหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิด เธอเงยหน้าขึ้นมองที่หน้าจอเบื้องหน้า แสงไฟจากหน้าจอสาดส่องไปยังป้ายชื่อที่หน้าอกข้างขวาของหญิงสาว มันเขียนเอาไว้ว่า “เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้น พิกุล จามจุรี” ในจอภาพนั้น เธอเห็นการต่อสู้ระหว่างฝูงเครื่องบินรบ Valkyria Unit จำนวนหนึ่ง กับ แมลงต่างดาวตัวยักษ์ที่มีปริมาณแทบจะเป็นอนันต์
การสู้รบเกิดขึ้นใกล้กับพื้นที่ที่เป็นโดมขนาดใหญ่ยักษ์ หรือ เรียกว่าฐาน Minos มันตั้งอยู่โดดเดี่ยวบนที่ราบสูง พื้นที่โดยรอบเป็นเขตุที่แห้งแล้งไม่ค่อยมีสิ่งทีชีวิตโดยรอบ พื้นหลังจึงเต็มไปด้วยเนินทราย มนุษย์เคยใช้ที่นี่อยู่อาศัย แต่บัดนี้ไม่ใช่อีกต่อไป มันเป็นเหมือนรังเพาะพันธุ์แมลงต่างดาวยักษ์เหล่านี้ ที่เรียกว่า Arachna ราชินีของพวกมันใช้ฐานเป็นที่ฟักตัวอ่อนออกมาเข่นฆ่ามนุษย์ ความโกลาหลกำลังเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ยอดผู้เสียชีวิตจากการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป มนุษย์คงต้องพ่ายแพ้ และฝูงเครื่องบินรบ Valkyrie Unit ที่กำลังพังพินาศอยู่นั้น คือ อาวุธทั้งหมดที่มนุษย์หลงเหลืออยู่บนดาวแห่งนี้ Gliese 667Cc อีกความหมายหนึ่งของการพ่ายแพ้สงครามให้พวก Arachna เหล่านี้ก็คือ..... “การสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ”
"เจ้าหน้าที่จามจุรี.....ช่วยยิงปืนใหญ่ดาวเทียมทำลาย Minos ให้สิ้นซากด้วยครับ...." เสียงของชายอีกคนสั่งขึ้นผ่านวิทยุ ที่ชีลกระจกใสของหมวกนักบินของเธอ แสดงภาพของชายคนหนึ่ง เขาสวมหมวกนักบินและเหมือนเขากำลังทำการต่อสู้อยู่ในเครื่องบินรบ เส้นผมของเขาเป็นสีเทา ยาวชี้ไปมา นัยน์ตาสีเหลืองประกายมอง ใบหน้าเรียวคม ดวงตาเฉียบแหลมประดุจเหยี่ยม มุมปากเจ้าเลห์เจ้ากล พิกุล จามจุรี จึงบอกชายคนนั้นกลับไปว่า "ผู้บัญชาการแซนเบิร์กคะ..ถ้ายิงแบบปกติ ก็พอจะทำลายฐานได้ แต่คงกำจัด Arachna รอบๆ ไม่หมดนะคะ" ผู้บัญชาการคนนั้นขมวดคิ้วแล้วถามกลับด้วยความสงสัย "อย่าบอกนะว่าเธอจะยิงด้วยพลังงานทั้งหมด.....ถ้าทำแบบนั้น.....ปืนใหญ่ดาวเทียมก็จะ..."
"ไม่เป็นไรค่ะ....ดิชั้นทราบดีอยู่แล้ว....และก็เต็มใจรับหน้าที่นี้โดยเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว" พิกุล จามจุรี พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ผู้บัญชาการแซนเบิร์กจะพูดประโยคของเขาจบลงด้วยแววตาที่เต็มใจและมุ่งมั่น สีหน้าของผู้บัญชาการแซนเบิร์กแสดงความเศร้าออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า "รับทราบแล้ว...ผมอนุมัติ....." เขายิ้มบางๆ ให้กับ เจ้าหน้าที่พิกุล จามจุรี มันเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ แฝงไปด้วยความอบอุ่นและเป็นห่วงจากก้นบึ้งของหัวใจ “เป็นเกียรติที่ได้รบด้วยกันนะ เจ้าหน้าที่จามจุรี .... โทษทีนะฟ้องน้ำ ... แล้วพบกันใหม่” ผู้บัญชาการแซนเบิร์กพูดจบ ภาพบนชีลกระจกก็ตัดไป แม้ประโยคที่ผู้บัญชาการแซนเบิร์กกล่าววาจาออกมา มันดูไม่เหมือนการบอกลา แต่พิกุล จามจุรี ก็เข้าใจดีว่ามันคือการบอกลาครั้งสุดท้าย
สถานที่ที่เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้น พิกุล จามจุรี อยู่ตอนนี้ ก็คือห้องบังคับการของสถานีวงโคจรปืนใหญ่แรงโน้มถ่วง ซึ่งลอยตัวอยู่นอกชั้นบรรยากาศของดาว Gliese 667Cc พิกัดตำแหน่งอยู่เหนือสนามรบสุดท้ายของมนุษยชาติพอดิบพอดี เธอหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาจากช่องกระเป๋าเล็กๆ ชองชุดอวกาศขึ้นมาดู มันเป็นรูปของเพื่อนๆ เธอทั้งหมดที่กำลังสู้รบอยู่ จากนั้นเธอก็ลากสายตาคู่งามมายังหน้าจอแสดงผล ซึ่งแสดงผลคำว่า “Locked-On , 296% Gravitational Enegy Charged" เธอค่อยๆ เอื้อมมือมาจับคันบังคับ แล้วค่อยๆ ปรับองศาของเป้าอย่างช้าๆ ไปที่พิกัดใจกลางฐาน Minos ที่อยู่เบื้องล่าง คันบังคับนั้นมีลักษณะเป็นเหมือนแท่ง คล้ายคันบังคับของเครื่องบินรบ มันมีปุ่มสีแดงโผล่ขึ้นมาตรงปลายคันบังคับ
"ขอโทษนะคะ....ทุกคน......เรา....เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว....." เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้น พิกุล จามจุรี หรือ ฟองน้ำ พูดทั้งน้ำตา Classified : Science Fiction Genre : Mecha , Action , Drama , Alien Apocalypse Written by by Senjumaru Presented by Moonlight® Little Sister Studio 2018
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 19, 2018 4:46:10 GMT
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 21, 2018 8:31:02 GMT
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 21, 2018 8:31:34 GMT
EP.1 : Should I หลังจากมนุษย์ได้ย้ายถิ่นฐานจากโลกในระบบสุริยะเดิม มาปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่บนดาวเคราะห์ดวงใหม่ บนดาว Gliese 667Cc พวกเขาแยกยานอวกาศยักษ์ออกเป็น 3 ฐาน ปักหลักลงบนดาวดวงนี้ตามภูมิภาคห่างกัน ประกอบไปด้วย ฐาน Aiacos ฐาน Radamanthys และ ฐาน Minos แต่ละฐานมีบุคลากรทำหน้าที่ต่างกันออกไป แต่แล้วพวกเขาต้องพบกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน นั่นคือการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตต่างดาวสายพันธุ์ที่คล้ายคลึงกับแมลง แต่มันมีขนาดที่ใหญ่โต นิสัยดุร้าย สามารถกลืนกินสิ่งมีชีวิตอื่นและเปลี่ยนสภาพรูปร่างของมันตามสิ่งที่มีกลืนกินไปได้
มนุษย์เคยเผชิญหน้ากับแมลงเหล่านี้มาแล้ว พวกเราเรียกมันว่า Arachna มันได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของมนุษย์อย่างพวกเรา ทั้งที่อยู่อาศัยถูกพวกมันทำลายพินาศย่อยยับ มันเป็นความสูญเสียที่พวกเราไม่อาจลืม แม้ว่า 10 ปี ก่อน พวกเราสามารถเอาชนะมันมาได้ แต่แล้วฝันร้ายก็หวนกลับมา เมื่อพวกมันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทว่าในครานี้ กลับมีมนุษย์ผู้ทรยศเผ่าพันธุ์ของตนเอง ผู้ได้มาซึ่งอำนาจในการควบคุมสั่งการฝูง Arachna ใช้แมลงยักษ์ต่างดาวที่ชั่วร้ายเหล่านี้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของตนเองโดยอาศัยเหตุผลเพียงแค่อุดมการณ์ที่ผิดเพี้ยน ชายผู้นั้นมีนามว่า ไฟเซอร์ หรือ สเวน ฟาร์ชตัดท์ และในตอนนี้คือช่วงเวลาชี้ชะตาระหว่างพวกเรา กับ พวกมัน
ไซเฟอร์ กำลังเร่งเพาะพันธุ์ Arachna เป็นกำลังรบอยู่ที่ฐาน Minos ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปจาก Aiacos พวกเราชาว Aiacos จึงไม่อาจนิ่งดูดายรอตั้งรับการโจมตีเพราะมันหมายถึงการรอวันพินาศของสถานที่ที่่เรียกว่าบ้าน ผู้บัญชาการสูงสุดของเรา เอริค แซนเบิร์ก จึงตัดสินใจจะโจมตีฐาน Minos ก่อนที่ ไซเฟอร์ จะสร้างกองกำลังได้มากไปกว่านี้ เขาคาดว่า ไซเฟอร์ คงใช้ Omnipotent สั่งการให้นางพญาเรียก Arachna ทั้งหมดมารวมตัวกันที่นั่น
การสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติกำลังจะเกิดขึ้นภายในเวลา 60 กว่าชั่วโมงต่อจากนี้….
……………………………………
ฐานทัพ Aiacos - ห้องบังคับการ
มันเป็นห้องที่เต็มไปด้วยหน้าจอแสดงผล และแผงควบคุม รวมไปถึงเก้าอี้มากมาย แสงไฟนีออนสีขาวส่องสว่างทั่วห้อง ทั้งพื้นห้อง ผนังห้อง และ เพดาน ห้อง ทาด้วยสีขาวสว่าง มีร่อยรอยของการเลื่อนโต๊ะเก้าอี้ตามพื้นอันเป็นผลจากการใช้งาน จอภาพ รวมไปถึงโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 2 เมตร ยาว 6 เมตร กลางห้อง ที่ปกติจะแสดงภาพโฮโลแกรม แต่ไม่ถูกเปิดใช้งาน และตอนนี้ในห้องไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดมาปฏิบัติหน้าที่ มีเพียงชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งราว 185 ผมสีเทาควันบุหรี่ใบหน้าเรียวแหลม ดวงตาของเขาแสดงถึงความดุดันและจริงจัง เขายืนอยู่ต่อหน้า ฟองน้ำ ด้วยท่าทีที่ดูมีราศี มีบารมี และน่าเกรงขาม ทั้งสองแต่งกายเครื่องแบบทหาร มันเป็นชุดสีเทาเข้ารูป โดยมีเสื้อสูทสีเทาสวมทับ พร้อมกับหมวกเครื่องแบบทหาร
ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงัน คิ้วของฟองน้ำก็ขมวดเข้าหากัน “ท่านผู้บังคับการ...มีอะไร...รึเปล่าคะ” ฟองน้ำ เอ่ยปากถามชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสดใส เธอยิ้มเจื่อนๆ เพราะความรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าผู้บังคับการ เขาก็คือ เอริค แซนเบิร์ก ได้สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ และถอนหายใจออกมา 1 ฟอดยาวๆ “มีครับ….ที่ผมเรียกคุณมาที่นี่เพราะอยากให้คุณทำเรื่องบางอย่าง ซึ่งอันที่จริงผมเองก็ลำบากใจถ้าจะต้องสั่งการไปอย่างนั้น….” “ทำอะไรหรอคะ ท่านผู้การ ทำไม...จะต้องลำบากใจด้วยล่ะคะ” ฟองน้ำ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วด้วยความอยากรู้ทันที “ผมจะไม่ให้คุณขึ้นเครื่อง Commander ไปสั่งการแนวรบในศึกครั้งหน้า แต่อยากให้คุณเดินทางไปที่สถานีปืนใหญ่วงโคจร” “ผมจะให้คุณไปขึ้นกระสวยฝ่าชั้นบรรยากาศ ทางทิศตะวันออกห่างออกไป 4,000 กิโลเมตร ตรงไปยังสถานีอวกาศที่อยู่ใกล้ที่สุด”
ด้วยความที่เป็นเด็กฉลาด เธอฉลาดมากพอจะรู้ว่าที่เอริคต้องการให้เธอทำคืออะไร ด้วยสาเหตุหลายอย่างประกอบกัน ประการแรกคือ สถานีอวกาศนั้นเป็นของฐาน Radamanthys และมันติดตั้งปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงอานุภาพสูงสุดเอาไว้ หากไซเฟอร์ใช้ Omnipotent สั่งการให้นางพญาเรียก Arachna ทั้งหมดมารวมตัวกันที่ Minos การยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงลงไปที่นั่น เป็นการกวาดล้างที่เด็ดขาด ง่ายดาย และทรงประสิทธิภาพมากที่สุด แต่การเดินทางไปยังสถานีอวกาศ และนำมันไปโคจรเหนือเป้าหมาย ต้องใช้เวลามาก ซึ่งไม่ทันถึงก่อนระยเวลา 2 วัน ที่ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง และการปรับระบบให้ควบคุมด้วยมือเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างมาก แปลว่า ถ้าหากเธอสามารถนำมันไปอยู่ในจุดที่ว่าได้ และสามารถทำให้มันใช้การได้ การสู้รบก็ย่อมเกิดขึ้นไปก่อนหน้านั้นแล้ว เธอจึงยังสงสัยว่า เหตุใด เอริค แซนเบิร์ก จึงยังต้องการให้เธอขึ้นไปยังสถานีปืนใหญ่วงโคจรของ Radamanthys อยู่อีก
“ให้ดิชั้นขึ้นไปเพื่อยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงของสถานีอวกาศใส่ฐานไมนอสอย่างนั้นสินะคะ….แต่ว่า….” ฟองน้ำ พูดยังไม่ทันจบประโยค เอริค ก็พูดกลบขึ้น “ผมรู้ดีว่าเวลาที่เรามีมันน้อยเกินไป….ดังนั้น ผมกับฝูงบินหลักทั้งหมดจะทำหน้าที่ยื้อเวลาเอาไว้ให้” ฟองน้ำ ได้ยินเช่นนั้น เธอมีอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด “ทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ...มันเสี่ยงเกินไปที่จะอยู่ใกล้ลำแสงในระยะนั้น” “ด้วยอำนาจการยิงทำลายของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงวงโคจร หากเราเล็งยิงไปที่ใจกลางฐาน Minos รัศมีแรงโน้มถ่วงจะกว้างกว่านั้นมาก” “พื้นที่ที่ได้รับผลจากกระแสแรงโน้มถ้วงอาจกินรัศมีถึง 30 กิโลเมตรเลยนะคะ พวกนักบินไม่มีทางหนีออกมาได้ทันเวลาแน่นอนนะคะ” เอริค ส่ายหน้าอีกครั้ง “ใครว่าพวกผมคิดจะหนีออกมากันล่ะครับ ถ้าเรากำจัดพวกมันไม่หมดแล้วล่าถอยออกมา” “พวกฝูง Arachna เหล่านั้นก็จะไล่ล่าตามพวกเราออกมานอกรัศมีของคลื่นแรงโน้มถ่วงทันเหมือนกัน” “ผมจึงอยากจะให้คุณ….ยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงลงมาใส่พวกเราทั้งอย่างนั้น…..” เมื่อเอริคพูดจบ นัยน์ตาของฟองน้ำก็หดเล็กลง
“ขอโทษด้วยนะคะ...ดิชั้นทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ” น้ำเสียงเล็กๆ และนุ่มนวลของฟองน้ำ ตอบปฏิเสธอย่างเรียบเชียบ แต่มันแฝงไปด้วยพลังแห่งการต่อต้านในสิ่งที่เอริคขอมาอย่างถึงที่สุด เมื่อพูดจบเธอก็เดินออกจากห้องไปทันที เธอก้าวเท้าเร็วกว่าการเดินปกติแถมไม่หันกลับมามองหน้าเอริค รวมทั้งไม่ทำความเคารพก่อนจะออกไปเลยด้วยซ้ำ สีหน้าของเอริคดูจะไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของฟองน้ำเลย เพราะเขารู้คำตอบของเธอดีอยู่แล้วตั้งแต่แรกที่เขาคิดจะพูด การขอให้เด็กสาวที่อ่อนหวาน อ่อนโยน มีเมตตา และมีความรักให้กับทุกคน ลงมือสังหารทุกคน มันคงจะเป็นไปได้ยาก
“นี่คือคำสั่ง….” เอริคพูดตามหลังฟองน้ำไป มันทำให้ฟองน้ำหยุดก้าวเดินต่อครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะเริ่มก้าวต่อไป
...............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 21, 2018 8:31:38 GMT
2 ชั่วโมงต่อมา เป็นช่วงเวลาประมาณบ่ายโมงของ Aiacos
เอริค แซนเบิร์ก เดินเท้าเข้ามายังศูนย์บัญชาการกองบิน ซึ่งเป็นสถานที่ไว้สำหรับให้นักบิน Valkyria Unit รวมพล พวกเขากำลังเตรียมพร้อมทั้งแผนการบิน ทั้งกระบวนทัพขณะออกศึก และทบทวนกลยุทธต่างๆ ที่จะต้องนำมาใช้ เอริค เดินผ่านประตูห้องขนาดใหญ่ไปสองห้อง ห้องแรกมีป้ายเขียนว่า Unicorn ห้องที่สองมีป้ายเขียนว่า Pegasus เขาเดินมาหยุดที่ห้องที่สามซึ่งมีป้ายเขียนว่า Griffin ชื่อเหล่านี้คือชื่อของฝูงบินของกองบิน Aiacos นั่นเอง
ทันทีที่ เอริค แซนเบิร์ก เดินเข้ามา นักบินของฝูงบิน Griffin ทั้งหมดก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ ห้องนั้นเป็นห้องที่กว้างมาก พื้นหลังสีเทา มีจอภาพขนาดใหญ่อยู่หน้าห้อง มีทั้งโต๊ะเก้าอี้ซึ่งมีเอาไว้นั่งฟังแผนการรบ ฝูงบินนี้ที่เพิ่งรวบรวมนักบินที่หลงเหลืออยู่ของกองบืนมาเป็นฝูงบินเดียว จึงมีทั้งนักบินเก่าและใหม่ หัวหน้าฝูงบินเป็นชายวัยกลางอายุราว 40 ปี หัวล้าน สีหน้าของเขาดูเหมือนคนอมทุกข์ เขารีบสั่งให้ลูกน้องตั้งแถว นักบินทั้งหมด 20 นาย ตั้งแถวหน้ากระดานเรียง 4 อย่างรวดเร็ว แม้สีหน้าของพวกเขาจะไม่ต่างไปจากหัวหน้าฝูงบินก็ตาม เพราะก่อนหน้านี้ เอริค ได้ประกาศไปแล้วว่าจะทำการโจมตีฐาน Minos ในอีก 2 วันต่อจากนี้ และพวกเขาโชคดีที่ได้คุ้มกันฐาน โดยสภาพนักบินส่วนใหญ่แต่ละคนที่นี่ตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวการสู้รบ เนื่องจากประสบการณ์ที่โหดร้ายในการสู้รบครั้งก่อน
เอริค ยืนอยู่ต่อหน้านักบินทั้งหมด 20 นาย โดยมีหัวหน้าฝูงบินยืนอยู่ข้างๆ เขาพยักหน้าให้หัวหน้าฝูงบินเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองสีหน้าของนักบินทั้ง 20 นาย เขาเห็นสายตาหวาดกลัวและวิตกกันวลไปทั่วทั้งห้อง มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่เป็นเช่นนั้น เพียงแค่กวาดสายตาไป เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าใครบ้างที่พอจะช่วยเขาได้จากสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไปต่อจากนี้ “ที่ผมมาหาพวกคุณที่นี่ เพื่อต้องการนักบิน Valkyria Unit ไปทำภารกิจหนึ่ง ผมพอจะรู้ว่าอีกสองวันพวกคุณส่วนใหญ่ที่นี่” “อยากจะอยู่ที่นี่และคุ้มกันฐานของเราจากการลอบโจมตีของไซเฟอร์...ซึ่งมันก็คงไม่ผิดอะไร...พวกคุณหลายคนผ่านอะไรมามาก” “การอยู่ที่นี่นั้นปลอดภัยกว่าออกไปรบแนวหน้ามาก ผมจึงตั้งใจจะขออาสาสมัคร …. ภารกิจนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจู่โจม” “ถึงจะไม่ใช่การออกไปสู้กับพวก Arachna ที่แนวหน้า….แต่มันก็คงจะอันตรายไม่แพ้กัน ใครอาสาขอให้ก้าวออกมาด้วยครับ” ทันทีที่พูดจบ หัวหน้าฝูงบินก็เริ่มก้าวเดินจากข้างกายของ เอริค เพื่อเข้าอาสา แต่ เอริค แบมือขึ้นเป็นการห้ามปรามเอาไว้ เพราะเขามองว่า ชายวัยกลางคนผู้นี้จำเป็นต่อนักบินที่จะอยู่ที่ฐาน เผื่อมีการลอบโจมตีฐานตามการคาดการณ์เผื่อไว้ล่วงหน้า
สีหน้าของนักบินทุกคนนิ่งสนิท ส่วนใหญ่จะยืนนิ่งก้มหน้าลงไม่มองไปข้างหน้าเพื่อสบตากับ เอริค แซนเบิร์ก เลย กระทั่งหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้ม เส้นผมตรงยาวเงาสลวย ไว้ผมทรงหน้าม้าปรกหน้าฝากมาถึงบริเวณเหนือคิ้ว ใบหน้าค่อนข้างกลม เธอเป็นคนคางแหลม ปลายคางของเธอมีใฝอยู่ 1 เม็ดดูเป็นเอกลักษณ์ที่จดจำง่าย ดวงตาโต นัยน์ตาสีเขียวเข้มแลถึงความมุ่งมั่น เธอมีส่วนสูงประมาณ 162 c.m. รูปร่างผอมบาง เธอมองเพื่อนนักบินที่อยู่ในแถวข้างๆ เธอด้วยหางตา และเห็นว่ายังไม่มีอาสา เธอจึงก้าวออกจากแถว เรียกสายตาของนักบินทั้งหมดอีก 19 คน ให้มองตามด้วยความประหลาดใจ แน่นอนใครจะอยากออกไปล่ะ หญิงสาวคนนี้เดินมาหยุดตรงหน้า เอริค แล้วทำวันทยาหัตถ์ “รองหัวหน้าฝูงบิน Griffin 02 นากา วาเลนเซีย ขอเสนอตัวรับภารกิจค่ะ” เอริค พนักหน้าให้หญืงสาวรองหัวหน้าฝูงบินที่ชื่อ นากา วาเลนเซีย ผู้ที่ดูมุ่งมั่น เข้มแข็ง และจริงจัง ก่อนที่เธอจะเดินไปที่มุมหน้าห้อง
เพียงแค่ นากา วาเลนเซีย เดินไปยืนที่มุมหน้าห้องด้านซ้ายเท่านั้น นักบินในแถวอีกคนก็ก้าวเดินออกมาทันที เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างไม่สูงมาก ประมาณ 171 c.m. แต่มีร่างกายที่กำยำ เขาสวมหมวก และสวมเสื้อฮู๊ด ในหน้าของเขานิ่งสนิท ผมหยักศกสีบลอนด์ยาวและยุ่งเหยิง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนดุดัน เขาเดินมาหยุดตรงหน้าของเอริค แล้วก็รายงานตัวเหมือนที่ นากา ทำ “Griffin 04 อัลไดน์ ยินดีรับใช้ครับท่านผู้บังคับการ” เอริค ยิ้มอย่างพอใจ แล้วพยักหน้าเป็นการตอบรับการอาสา และเขาก็เดินยืนอยู่ข้าง นากา วาเลนเซ๊ย เธอมองกลับมาทาง อัลไดน์ แล้วพนักหน้าให้โดยไม่พูดอะไร เขาก็พยักหน้าตอบรับ
และแล้วนักบินคนที่สามก็ก้าวตามสองคนแรกออกมา เธอเป็นหญิงสาวที่ดูทะมัดทะแมง ใบหน้าดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างค่อนข้างสูง ส่วนสูงประมาณ 168 c.m. ผอมบาง เส้นผมสีเขียวยุ่งเหยิง สวมฮู๊ดคลุมไว้ นัยน์ตาสีมรกต ปากของเธอเหมือนกำลังบ่นขมุบขมิบว่า “เจ้าพวกบ้านั่นกำลังคิดอะไรอยู่นะ เดินออกไปหาเรื่องตายชัดๆ...เฮ้อ...จนได้สินะเรา” เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เอริค ที่เดิมที่เดียวกับ นากา และ อัลไดน์ “Griffin 05 อลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ รับภารกิจค่ะ...บ้าชิบ...” จากนั้นเธอก็เดินไปยืนข้างๆ นากา และ อัลไดน์ ก่อนจะบ่นขึ้นลอยๆ แต่อยากให้สองคนแรกได้ยิน “อยากตายกันมากนักรึไง” นากา และ อัลไดน์ ที่ยืนตัวตรงอยู่ก็ เหลือบมองอลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ จากนั้น นากา ยิ้มมุมปากเล็กๆ ในขณะที่อัลไดน์ ไม่แสดงสีหน้า
………………………………………………………...
ขณะนั้นในแถวก็มีเสียงซุบซิบขึ้น
“ใครมันจะบ้าออกไปล่ะเพื่อนเรย์ ใช่มะ ใช่มะ ออกไปนี่คงโดนแมลงจับโซ๊ยแน่ๆ ภารกิจอะไรก็ยังไม่ยอมบอก” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกระซิบ ในขณะที่ชายหนุ่มที่ถูกกระซิบผู้ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครสนใจพวกเขาจึงกระซืบกลับ “แต่เราถูกฝึกมาให้ต่อสู้นะฟุโด การที่อยู่ที่นี่คอยป้องกันฐาน ซึ่งก็ไม่รู้จะได้สู้มั้ยมันจะดีหรอ มันเหมือนเราไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยนะ” ชายหนุ่มคนแรกดูท่าไม่ค่อยพอใจ “นี่นายอยากจะโดนเจ้าแมลงยักษ์ใช้หนวดหยึยๆ ล้วงไปชอนใชในกระเพาะอาหารจริงๆ งั้นหรอฟะ” “เฮ้ย!!” ชายหนุ่มคนแรกที่ดูพูดมากร้องขึ้น เขาสูงประมาณ 173 c.m. ถูกเพื่อนเรียกว่า ฟุโด ผมสีนำตาลยาวและยุ่งเหยิง ใบหน้าเรียวยาว “ฟุโด...อุ๊ย!!” ชายคนที่สองร้องตามขึ้นติดๆ เขาเป็นชายร่างเล็กสูง 165 c.m. ฟุโด เรียกเขาว่า เรย์ ผมสั้นสีดำเงางาม ใบหน้าของเรย์เป็นรูปไข่ นัยน์ตาสีเขียว แสดงถึงความอ่อนโยน แต่ตอนนี้มันแสดงถึงอาการเหวอ และตกใจเสียมากกว่าเพราะว่า ที่ทั้งสองคนร้องขึ้นระหว่างที่กำลังกระซิบกันออกรสนั้น พวกเขาได้ถูกขาของชายที่ยืนอยู่ข้างหลังถีบหน้าทิ่มออกจากแถวพร้อมๆ กัน
ชายคนที่ถีบพวกเขาเป็นชายหนุ่มผมสีดำตรงยาวประมาณต้นคอ สูงประมาณ 177 c.m. ดวงตาเรียวยาวดุร้าย นัยตาสีแสด สีหน้านิ่งเรียบ เขาเดินตามออกมา พร้อมหิ้วปีกเรย์ และฟุโด ซ้ายคนขวาคนด้วยการยิ้มที่มุมปาก “โซ๊ยย่ง โซ๊ยย่าบ้าบออะไร หนกขูโฟร่ย มานี่!!” ชายหนุ่มผมดำลากตัว เรย์ และ ฟุโด ออกมาท่ามกลางความแตกตื่นของเพื่อนร่วมฝูงบินในแถว เรย์ นั้นเดินตามออกมาโดยไม่ขัดขืน แต่ ฟุโด นั้นพยายามโวยวาย และขัดขืน “เห้ย!! ทำบ้าไรของรุ่นพี่น่ะ รุ่นพี่แอนเดอร์สัน” ทว่าเขาไม่สามารถสู้แรงของชายหนุ่มผมดำได้ จนในที่สุดชายหนุ่มผมดำที่ถูกเรียกว่ารุ่นพี่แอนเดอร์สันก็ลาก เรย์ และ ฟุโด มายืนอยู่ต่อหน้า เอริค แซนเบิร์ก เอริค มองไปที่ เรย์ ก่อนจะหันมายิ้มมุมปากแล้วพยักหน้าให้ชายที่ถูกเรียกว่ารุ่นพี่แอนเดอร์สัน จากนั้นแอนเดอร์สันก็เริ่มรายงานตัว “Griffin 03 จอห์น แอนเดอร์สัน ส่วนสองคนนี้...” เขาชี้ไปที่ เรย์ “Griffin 20 คาริน เรย” จากนั้นก็ชี้ไปที่ ฟุโด “Griffin 17 ฟุโด คิซารากิ”
ทั้งสามเดินไปยังมุมห้องที่มี นากา อัลไดน์ และ อลิซาเบธ ยืนรออยู่ ท่าทีของ จอห์น ดูจะสะใจเล็กๆ ที่ได้แกล้ง เรย์ และฟุโด และแน่นอนว่า ฟุโด มีอาการที่ไม่พอใจสุดๆ เขากร่นด่าเบาๆ ใส่รุ่นพี่ของเขาคนที่ทำให้เขาต้องมาอยู่จุดๆ นี้ ตลอดการเดิน ส่วน เรย์ นั้น เขาดูเหมือนว่าจะยอมรับสภาพการอาสา เขามองไปที่ นากา อัลไดน์ และ อลิซาเบธ อย่างชื่นชมในความกล้าหาญ เพราะทั้งสามคนนี้ เป็นคนที่อาสาออกมาเลย และแถมยังไม่มีท่าทีลังเล หรือเกรงกลัวว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายคืออะไรเลย
แต่หลังจากทั้ง 6 คนอาสาออกมาแล้ว ก็ไม่มีใครอาสาอีกเลย เมื่อไม่เห็นใครอาสาเพิ่ม เอริค จึงสั่งเลิกแถว
…………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 21, 2018 8:31:42 GMT
ที่ห้องประชุมเล็กแห่งหนึ่ง
เอริค เรียกตัวนักบินผู้อาสารับภารกิจทั้ง 6 ประกอบไปด้วย เรย์ นากา อัลไดน์ อลิซาเบธ จอห์น ฟุโด มาประชุมกัน มันเป็นห้องประชุมเล็กๆ มีโต๊ะเก้าอี้อยู่ไม่กี่ตัว หน้าจอหน้าหลังแสดงว่าฐานปล่อยกระสวยอวกาศที่รกร้างมานาน
เอริค จดบันทึกบางอย่างลงสมุดไดอารี่ส่วนตัวของเขา ก่อนจะสลับมาเป็นการกดอุปกรณ์ Tablet ไฮเทค และเริ่มพูด “อย่างที่บอกไปแล้วว่าภารกิจที่พวกคุณอาสาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการโจมตีกองทัพ Arachna ของไซเฟอร์” “ผมต้องการจะใช้ปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงวงโคจรของ Radamanthys เพื่อยิงถล่มฐาน Minos ให้ราบคราบในครั้งเดียว” “แต่เมื่อเราเสียฐาน Radamanthys ไปแล้ว ทำให้เราเสียการควบปืนใหญ่แรงโน้มคุมระยะไกลของสถานีอวกาศไปด้วย” “ดังนั้น….เราจะส่งคนขึ้นไป เราจึงจำเป็นต้องไปให้ถึงฐานปล่อยกระสวยอวกาศที่พวกคุณทุกคนเห็นในจอด้านหลัง” “ภารกิจของพวกคุณทั้ง 6 คนก็คือ การคุ้มกันเจ้าหน้าที่ของเราให้ไปให้ถึงสถานีอวกาศที่ลอยตัวอยู่ใกล้ที่สุด”
นากา อ่านแผนการทั้งหมดจากหน้าจอ ประกอบกับค้นหาข้อมูลจากหน้าจอที่ติดตั้งแบบ Build-In อยู่ที่โต๊ะของเธอ “ขอโทษที่ขัดจังหวะนะคะท่านผู้บัญชาการแซนเบิร์ก ฐานปล่อยจรวดตั้งอยู่ห่างจากที่นี่ถึง 4,000 กิโลเมตร...” “ประกอบกับสถานีอวกาศที่ลอยตัวอยู่ ก็อยู่ห่างฐาน Minos มาก หากคำนวณจากระยะเวลาภารกิจแล้ว...” “เราไม่น่าจะยิงทำลายฐาน Minos ได้ก่อนการบุกจู่โจมในชั้นบรรยากาศที่จะเริ่มในอีก 2 วันข้างหน้าได้เลย” “ถ้าการสู้รบเกิดขึ้นไปแล้ว นั่นหมายความว่า ท่านกำลังจะสั่งให้เรายิงใส่พวกเดียวกันเองไปด้วยนะคะ”
เอริค พยักหน้าตอบรับคำถามของ นากา “ถูกต้องแล้วครับ พวกคุณไปไม่ทันแน่...การสู้รบคงเกิดขึ้นไปแล้ว” “ผมยังให้คำตอบไม่ได้ว่าพวกคุณจะต้องยิงใส่พวกเราด้วยกันเองหรือไม่ เพราะหากพวกผมและนักบินในแนวหน้า” “สามารถทำการจำกัดวงล้อมของฝูง Arachna ที่นั่นได้ สิ่งที่คุณกังวลก็จะไม่เกิดขึ้น และผมก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น” “แต่หากพวกผมและนักบินแนวหน้าทำไม่สำเร็จ พวกคุณก็จะเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเราเหล่ามวลมนุษย์”
ในขณะที่นั่งฟังแผนการของเอริค และการสอบถามของนากา อัลไดน์ ไม่ได้ติดใจอะไร สำหรับเขาอะไรก็ได้ทั้งนั้น อลิซาเบธ พยักหน้าเล็กน้อยและพูดขึ้น “แสดงว่า ภารกิจของพวกเราก็คือทำทุกวิถีทางที่จะส่งคนของเราไปให้ถึงสถานีอวกาศ” “ถูกต้องครับ” เอริค ตอบกลับสั้นๆ ก่อนที่ จอห์น แอนเดอร์สัน จะยิงคำถามขึ้นมาบ้าง “แล้ว Valkyria Unit ที่พวกเราจะใช้ล่ะครับ” เอริค จึงหันมาตอบกลับไปว่า “ผมได้สั่งการให้พวกคุณนำเครื่อง VF-1 ของพวกคุณที่ประจำฝูงบิน Griffin ออกไปปฏิบัติการแล้วล่ะครับ” คำตอบของ เอริค ดูเหมือน จอห์น จะไม่ค่อยพอใจราวกับว่าเขาคาดหวังว่า เอริค จะเตรียมเครื่องรุ่นพิเศษเอาไว้ให้พวกเขา
นากา ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็มีข้อสงสัยเพิ่มเติม “แล้วเราจะเดินทางไปยังฐานปล่อยกระสวยด้วยวิธีไหนคะ” “ถ้าเราเดินทางด้วยเครื่องบินขนส่งความเร็วสูง เราอาจจะถึงที่หมายตามกำหนดการ และฉิวเฉียดกับเส้นตายการเริ่มสงคราม” เอริค ส่ายหน้า “ผมจะไม่เสี่ยงส่งพวกคุณไปด้วยเครื่องบินขนส่งความเร็วสูงหรอกครับ ด้วยระดับเพดานบินของเครื่องนั่น” “มันจะถูกตรวจจับได้อย่างง่ายดายด้วยเรด้าของ Minos แม้ว่าไซเฟอร์อาจจะรู้ถึงแผนการใช้ปืนใหญ่แรงโน่มถ่วงวงโคจร” “แต่เราก็ไม่ควรให้เขารู้ตำแหน่งของพวกคุณง่ายดายขนาดนั้น และด้วยระยะทาง ไซเฟอร์ อาจส่ง Arachna ตามมาได้ช้า” “ผมจึงตัดสินใจให้พวกคุณเดินทางด้วยยานภาคพื้นดินที่เคลือบด้วยวัสดุ Stealth การถูกตรวจจับจะเป็นไปได้ยากขึ้น” เมื่อ นากา วาเลนเซีย หมดข้อสงสัย อัลไดน์ ก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ด้วยประโยคห้วนๆ “เราจะต้องคุ้มกันใครครับ”
เอริค หันไปมองเจ้าของคำถาม ก่อนจะลากสายตาไปยัง เรย์ คาริน “พวกคุณต้องคุ้มกันเจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้น พิกุล จามจุรี” ดวงตาของ เรย์ คาริน หดเล็กลงด้วยความตกใจ เพราะก่อนหน้าการประชุม เอริค ได้ดูข้อมูลของนักบินทุกคนแล้วก็ทราบว่า เรย์ คาริน เป็นรุ่นพี่ที่สนิทกับ ฟองน้ำ มาก พวกเขามีบ้านในฐาน Aiacos อยู่ติดกัน เคยเรียนโรงเรียนที่เดียวกัน ฟุโด เองก็ตกใจไม่ต่างไปจาก เรย์ เพราะเขาเองก็รู้จักฟองน้ำ แม้ว่าจะไม่ได้สนิทกัน แต่เขาก็รู้ว่า เรย์ สนิทกับ ฟองน้ำ มาก เขาจึงหันไปถาม เรย์ เพื่อความแน่ใจ “นี่เพื่อนเรย์ อย่าบอกนะว่า เจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้นพิกุล จามจุรี ที่ว่านั่นน่ะ..คือ...” เรย์ หันมาด้วยสีหน้าจริงจังแล้วพยักหน้า ฟุโด ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นคนที่เข้าคิดจริงๆ
เอริค มองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมีคำถามอะไร เขาจึงปิดการประชุม และให้นักบินทุกคนไปเตรียมความพร้อม
…………………………………….
หลังการประชุมย่อยจบลง
ในขณะที่ นากา อัลไดน์ อลิซาเบธ จอห์น และ ฟุโด ออกไปแล้ว พวกเขามุ่งตรงไปยังโรงเก็บ Valkyria Unit เพื่อเตรียมตัว เอริค ยังคงอยู่ในห้อง เขาหยิบสมุดไดอารี่คู่กายของเขาขึ้นมาจดบันทึก เขาก็สังเกตเห็นว่า เรย์ คาริน ยังไม่ได้ออกจากห้อง ซึ่งนั่นก็เป็นไปตามคาด เพราะเอริครู้ถึงความสัมพันระหว่าง เรย์ กับฟองน้ำ แต่แรกแล้ว เขาจึงวางแผนไว้ล่วงหน้า โดยสั่งการให้ จอห์น แอนเดอร์สัน ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะนำตัว เรย์ คาริน เข้ามาร่วมภารกิจนี้ให้จงได้
“เจ้าหน้าที่คาริน มีธุระอะไรเหลืออยู่อย่างนั้นรึเปล่าครับ” เอริค ถามขึ้นในขณะจดบันทึก เขาไม่ได้แม้แต่จะมองเรย์เลย เรย์ที่นิ่งอยู่พักหนึ่ง จึงเริ่มถามสิ่งที่คาใจอยู่ “ผมอยากรู้ว่าฟองน้ำรู้เรื่องนี้แล้วหรือยังครับ….เพราะผมคิดว่าเธอคงจะไม่ทำแน่นอน...” “ฟองน้ำน่ะ เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ อย่าว่าแต่จะให้ไปฆ่าใคร แค่มดสักตัวเธอก็ยังไม่กล้าทำเลยนะครับ” “ผมอยากรู้ว่า….ท่านพูดอะไรกับเธอ หรือหลอกลวงเธอด้วยวิธีไหน เธอถึงยอมรับภารกิจสังหารพวกพ้องแบบนี้ได้ครับ” “ผมเองก็รู้ดีว่าตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ ท่านดีกับเธอมาก เธอเองก็เคารพนับถือท่านมาก...ท่านจะทำกับเธอแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
เอริค ได้ยินดังนั้น เขาก็หยุดจดบันทึก แล้วค่อยๆ หันกลับไปทาง เรย์ คาริน ที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ด้วยความไม่พอใจ “ดูเหมือนคุณจะไม่พอใจกับเป้าหมายของภารกิจนี้เท่าใดนักนะครับ เจ้าหน้าที่คาริน...บอกตามตรงผมเองก็ไม่ค่อยพอใจเช่นกัน” “ผมบอกเธอยังไรหรอครับ ผมก็บอกเธอไปตามตรงอย่างนี้แหละครับ และผมก็ไม่ได้ใช้วิธีหลอกล่ออะไรเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วย” “เพียงแค่….เธอไม่ยอมทำ…..และผมหวังว่าเมื่อคุณได้รับรู้สิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้ คุณจะเป็นคนช่วยผมในการพูดกับเธอ”
แล้ว เอริค แซนเบิร์ก ก็เริ่มพูดบางอย่างให้ เรย์ คาริน ฟัง
…………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 21, 2018 8:32:53 GMT
ช่วงเย็นของวันนั้น
ที่สวนสาธารณะใกล้ย่านที่อยู่อาศัยภายในโดม Aiacos มันเป็นช่วงเย็นที่แสนสงบ ถึงแม้จะผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมามาก แต่ไม่มีใครจะขวางกั้นความร่าเริงสดใสของเหล่าเด็กๆ ที่ไร้เดียงสา และใสซื่อบริสุทธิ์ไปได้ ที่แห่งนี้จึงมีแต่เสียงหัวเราะ เด็กๆ อายุราวๆ 5 ถึง 6 ปี กำลังตั้งวงเล่นลูกบอลกันอยู่ โดยมีเด็กคนหนึ่งยืนอยู่กลางวง พยายามแย่งลูกบอลที่เพื่อนๆ กำลังรับส่งกัน มันเป็นการละเล่นที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยยังอาศัยอยู่บนโลกใบเดิมเมื่อหลายร้อยปีก่อน “ลิงชิงบอล” ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
เรย์ คาริน เดินสอดส่องสายตาไปรอบสวนสาธารณะซึ่งอยู่ใจกลางวงล้อมอาคารสูงที่เป็นบ้านพักอาศัยของเขา จนกระทั่งเขาเห็นเด็กสาวร่างเล็ก ผมสีดำอมม่วงกำลังนั่งอยู่ที่ชิงช้าคนเดียว เธอกำลังนั่งยิ้มหัวเราะขณะดูเด็กๆ เล่นลิงชิงบอลกัน เขายิ้มบางๆ และยินดูรอยยิ้มของหญิงสาวคนนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหา และนั่งลงบนม้านั่งชิงช้าข้างๆ หญิงสาวคนนั้น “มาอยู่ที่นี่เองนะ วันนี้เลิกงานไวอย่างนั้นหรอฟองน้ำ ปกติกว่าจะกลับบ้านก็มืดค่ำทุกวัน” เรย์ ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม ฟองน้ำ สะดุ้งเล็กน้อย เพราะเธอกำลังนั่งเหม่อดูเด็กๆ เล่นกันอย่างสนุกสนาน “อ๊ะ!! รุ่นพี่คาริน… ตกใจหมดเลย” “วันนี้ดิชั้นเลิกงานไวน่ะค่ะ….” ฟองน้ำตอบกลับไป เรย์รู้ดีอยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันที่ย่ำแย่ของฟองน้ำ เธอถอดหมวกวางไว้บนตัก ซึ่งปกติแล้ว หากเป็นวันที่สวมเครื่องแบบ ฟองน้ำไม่เคยถอดหมวกออกเลยจนกว่าจะขึ้นไปถึงบ้านพักของตัวเอง
“เห็นพวกเด็กๆ สนุกสนานร่าเริงแบบนี้ นึกถึงตอนที่เรายังเป็นเด็กเลยนะว่ามั้ย” เรย์ ถามขึ้นขณะเขามองไปที่วงล้อมลิงชิงบอล ฟองน้ำ ยิ้ม ดวงตาของเธอดูสดใสร่าเริงขึ้น “ใช่ค่ะ….สมัยนั้นดิชั้นเล่นแพ้ตลอด เลยต้องเป็นลิงวิ่งไล่บอลอย่างเดียว เหนื่อยแทบตาย” เรย์หัวเราะขึ้นลั่น เพราะเขาก็จำช่วงเวลานั้นได้ดี ช่วงเวลาที่เด็กสาวตัวน้อยเชื่องช้า ต้องวิ่งไล่บอลไปมา และหาบอลไม่เจอเสียที แต่แม้ว่าเด็กสาวคนนั้นจะเหนื่อยแค่ไหน แต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อในการวิ่งไล่ลูกบอล เพราะเด็กสาวคนนั้นกำลังมีความสุขกับเพื่อนๆ
ในระหว่างที่นั่งดูอยู่นั้น ลูกบอลก็ไหลออกจากวงล้อมของเด็กๆ มาทางฟองน้ำ เธอยกท้าขึ้นกดลูกบอลเอาไว้ได้ทัน เด็กชายคนหนึ่งวิ่งออกจากวงล้อมเพื่อมานำลูกบอลกลับไป ฟองน้ำจึงหยิบลูกบอลขึ้นมาแล้วลุกขึ้้นจากม้านั่ง เธอยิ้มให้เด็กชายคนนั้นแล้วพูดขึ้นว่า “ขอพี่เล่นด้วยคนน๊า” เรย์ แหงนมองหน้าฟองน้ำแล้วลุกขึ้นตาม “งั้นชั้นขอเล่นด้วยอีกคน” เมื่อพูดจบ ฟองน้ำก็โยนลูกบอลให้ เรย์ เธอจูงมือเด็กชายตัวน้อยที่สูงประมาณเอวของเธอวิ่งเข้าไปในวงล้อมลิงชิงบอลทันที
ทั้งสองคนเล่นลิงชิงบอลกับเด็กๆ ตัวน้อยอย่างสนุกสนานจนแสงไฟจำลองของโดมเริ่มมืดลง บ่งบอกเวลายามค่ำที่มาถึง
เรย์เดินไปหยิบน้ำเย็นจากตู้กดน้ำอัตโนมัติข้างๆ สนามเด็กเล่นในสวนสาธารณะมา 2 ขวด แล้วเดินกลับมานั่งที่ชิงช้า เขายื่นน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบให้ฟองน้ำที่นั่งเหงื่อตกรออยู่ที่ม้านั่งชิงช้าตัวเดิม สายลมจำลองเริ่มพัดผ่านจนเส้นผมของฟองน้ำปลิวสไว เรย์ นั่งตัดสินใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเริ่มพูดขึ้นว่า “วันนี้ท่านผู้บัญชาการสูงสุดมาที่ฝูงบินชั้นด้วยล่ะ….ท่านขออาสาสมัครไปทำภารกิจหนึ่ง” ฟองน้ำ ได้ยินก็รู้ทันทีว่า เรย์หมายถึงภารกืจอะไร เรย์จึงพูดต่อไปว่า “ชั้นอาสานะ….แล้วก็เพิ่งรู้ด้วยว่าเธออยู่ในภารกิจด้วย แต่เธอปฏิเสธ” สีหน้าของฟองน้ำดูหดหู่ลงทันที “รุ่นพี่จะให้ดิชั้นรับภารกิจแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะคะ….”
เรย์ คาริน จึงพูดต่อไปว่า “เธอเห็นเด็กๆ เหล่านั้นมั้ยล่ะ….เขาควรจะได้เติบโต มีอนาคตที่ดี ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข” “ชั้นไม่เห็นด้วยเหมือนกันที่เราจะต้องลงมือสังหารเพื่อนพ้องของตัวเอง….แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่ออนาคตของเด็กๆ ล่ะ” “ถ้าเราไม่ทำ แล้วเราพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้….เธอลองนึกภาพดูสิว่าเด็กๆ เหล่านี้ต้องเจอกับอะไรบ้าง...ถ้าไม่ถูกฆ่าก็ถูกทรมาน” ฟองน้ำ ตกใจเมื่อเธอนึกภาพตามสิ่งที่เรย์ พูด “นั่นมันก็จริงอยู่หรอกนะคะ….แต่เราไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือยังไง แล้วทำไมต้องเป็นดิฉันด้วย” เรย์ ถอนหายใจ “เธอเองก็น่าจะรู้จักท่านผู้บังคับการดีที่่สุดไม่ใช่หรอ...ถ้ามันมีหนทางอื่นเขาก็คงไม่เลือกที่จะทำแบบนี้หรอก จริงมั้ย” “แล้วที่เขาเลือกเธอให้ทำภารกิจนี้นั่นก็เพราะว่าเขาไว้ใจเธอมากที่สุด และเขามั่นใจว่าเธอเป็นคนเดียวที่จะทำมันสำเร็จยังไงล่ะ”
ทว่าสิ่งที่เรย์พูดออกไป มันไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาได้ยินจากปากของ เอริค แซนเบิร์ก “ที่ต้องเป็นเจ้าหน้าที่จามจุรีเพราะว่าผมไว้ใจในตัวเธอ และผมมั่นใจว่าเธอเป็นคนเดียวที่จะทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ” “คุณคงคิดว่าผมจะพูดแค่นี้สินะครับ...แท้จริงแล้วมันไม่ได้มีแค่นั้น….ผมไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่จามจุรีไปที่แนวหน้า” “เพราะผมเป็นห่วงเธอ….มันอันตรายเกินไป แต่จะให้เธอนั่งรออยู่ในฐาน Aiacos อย่างเดียว เธอเองก็คงจะไม่ยอมแน่” “ผมจึงต้องสร้างทางเลือกให้เธอได้ทำภารกิจบางอย่าง...และภารกิจนี้ก็ดูจะเป็นอันตรายน้อยที่สุดสำหรับเธอ” เรย์ คาริน นึกถึงสิ่งที่ เอริค พูดกับเขาแต่เขาไม่ได้พูดออกไปให้ฟองน้ำฟังทั้งหมด และตัดสินใจพูดประโยคสุดท้ายที่เขาได้รับมา
“ชัยชนะอาจจะต้องแลกมาด้วยการเสียสละ อนาคตอาจจะต้องแลกมาด้วยหยาดน้ำตา” “ถ้าพวกเราไม่เสียสละ พวกเราก็จะไม่สามารถสร้างอนาคตให้เด็กๆ เหล่านี้ได้ …. ถ้าเธอไม่ทำ...แล้วใครจะทำได้ล่ะ”
……………………………………………..
เช้าวันรุ่งขี้น
ที่ห้องประชุมใหญ่ มันเป็นห้องประชุมสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงและหัวหน้าฝูงบินทุกคนกำลังเดินเข้ามาในห้อง บางส่วนก็เริ่มนั่งประจำที่นั่งของตนบ้างแล้ว ส่วน เอริค แซนเบิร์ก ก็กำลังเดินเข้ามาในห้อง และมุ่งตรงไปยังเก้าอี้หัวโต๊ะ เขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอคนนั้นก็คือเจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้น พิกุล จามจุรี คนที่เขารออยู่ ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่ฟองน้ำจะทำวันทยาหัตถ์ด้วยดวงตาที่ดูแน่วแน่มากขึ้น เธอกลับมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น เอริค ยิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อเจ้าหน้าที่มากันพร้อมหน้า เขาก็เริ่มกล่าวเปิดประชุมการวางแผนการโจมตีครั้งสุดท้าย
การประชุมเดินทางมาถึงบทสรุป เจ้าหน้าที่ทุกนายได้รับคำสั่งและแผนการรบเรียบร้อย ก็พากันออกจากห้องประชุม พวกเขาเดินออกไปด้วยท่าทีเร่งรีบ เพราะพวกเขารู้ดีว่าทุกวินาทีต่อจากนี้มีความหมายถึงความเป็นความตาย ขณะที่ เอริค ลุกขึ้นจากเก้าอี้หัวโต๊ะ ก็มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น “ขออภัยที่ต้องขัดจังหวะนะคะท่านผู้บัญชาการสูงสุด” เธอเป็นหญิงสาวผมสีเทาอมเขียวค่อนข้างฟูยาวประบ่า ใบหน้ากลม ดวงตาโต นัยน์ตาสีเขียว ส่วนสูงประมาณ 165 c.m. เอริค มีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย “มีธุระอะไรอย่างนั้นหรอครับ คุณเจ้าหน้าที่….” เขาถามไปยังหญืงสาวผมสีเขียว เธอทำวันทยาหัตถ์และรายงานตัว “ดิชั้น เจ้าหน้าที่วิศวกรระดับสูง ฮันน่าห์ รายน์เฟลเลอร์ มีข้อแนะนำค่ะ” ในขณะนั้น ฟองน้ำ ก็เดินเข้ามาพอดี ทั้งสองจึงมองหน้าหญิงสาวที่แนะนำตัวว่าชื่อ ฮันน่าห์ เพื่อรับฟังสิ่งที่เธอจะพูด
“ดิชั้นเป็นเจ้าหน้าที่วิศวกรเครื่องกลที่คุ้นเคยกับกระสวยวงโคจร รวมไปถึงระบบของสถานีอวกาศวงโคจรในภารกิจ” “ซึ่งดิชั้นมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ในแผนการของท่านผู้บัญชาการสูงสุดไม่มีใครที่มีความสามารถด้านนี้….แต่ดิชั้นเป็นคนคนนั้น” “การเปลี่ยนระบบควบคุมสถานีอวกาศของ Radamanthys ให้เป็นการควบคุมด้วยมือ จะต้องวางระบบใหม่ทั้งหมด” “หากเป็นวิศวกรหรือแฮคเกอร์ทั่วไป ไม่มีทางทำได้สำเร็จแน่นอน และแผนการของท่านก็จะล้มเหลว” “โชคดีที่คนที่ศึกษาวิศวกรรมของสถานีอวกาศเหล่านั้นจนลึกซึ้งยืนอยู่ต่อหน้าท่านแล้ว ดิชั้นขอรับภารกิจค่ะ”
เอริค ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เพราะดูเหมือนมันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายจากแผนที่เขาได้วางไว้ “ผมอนุมัติการเข้าร่วมภารกิจของคุณ เจ้าหน้าที่วิศวกระดับสูงฮันน่าห์ รายน์เฟลเลอร์….เตรียมตัวของคุณให้พร้อม” เอริค หันไปสั่งเจ้าหน้าที่วิศวกรระดับสูงฮันน่าห์ ที่อาสาเข้ารับภารกิจ จากนั้นก็หันกลับมาทาง ฟองน้ำ ที่ยืนข้างๆ "เธอพร้อมรึเปล่า....แล้วเธอแน่ใจแล้วนะ......" คำตอบของ ฟองน้ำ สั้นๆ ง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น "พร้อมค่ะท่าน" เอริค เปิดสมุดบันทึกของเขาแล้วมอบรูปถ่ายหมู่ของนักบินทั้งหมดที่เขาสอดไว้แล้วยื่นให้ฟองน้ำ “เอาล่ะทั้งสองคนไปได้แล้ว” ฟองน้ำ และ ฮันน่าห์ ทำวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพต่อผู้บัญชาการสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
เอริค ค่อยๆ พับสมุดบันทึกวางลงที่โต๊ะในห้องบัญชาการ แล้วมองดูหญิงสาวที่เขาฝากความหวังไว้เดินจากไปจนลับตา
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 22, 2018 8:23:55 GMT
EP.2 : Not That Easy ณ ฐาน Aiacos ที่เป็นเหมือนโดมทรงกลมขนาดยักษ์
ทางประตูตะวันออก ยานขนส่ง Turbine Crate ซึ่งมีลักษณะเหมือนกล่องโลหะติดไอพ่นขนาดยักษ์ถูกลำเลียงมาถึง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ช่างกำลังเริ่มทำการเติมเชื้อเพลิง และตรวจสภาพความพร้อมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนยานลำนี้จะออกบิน มันเป็นยานขนส่งเพดานบินต่ำที่ถูกเคลือบด้วยสารดูดซับคลื่นไมโครเวฟ กล่าวคือ มันเป็นยาน Stealth นั่นเอง
เครื่อง Valkyria Unit จำนวน 6 ลำ ถูกลำเลียงเข้าไปไว้ตามช่องเก็บภายใน Turbine Crate ทีละลำทีละลำ มันเป็นเครื่องรุ่น VF-1 ลักษณะภายนอกเหมือนเครื่องบินรบทั่วไปสีขาว มีลายคาดแดงตั้งแต่ปลายปีข้างหนึ่งไปจรอดอีกข้าง โดยลำแรกที่ถูกนำขึ้นไป เป็นเครื่องที่มีหมายเลข GRF-02 ลำต่อไปเป็น GRF-03 GRF-04 GRF-05 GRF-17 และ GRF-20
Valkyria Unit เหล่านี้เป็นเครื่องประจำตัวของนักบินทั้ง 6 คน คือ นากา จอห์น อัลไดน์ อลิซาเบธ ฟุโด และ เรย์ นักบินทั้ง 6 คน พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ยุทธการระดับต้นพิกุล จามจุรี และ วิศวกรระดับสูงฮันน่าห์ รายน์เฟลเลอร์ อยู่บนเครื่องแล้ว
……………………………………………..
ที่ห้องนั่งเล่นภายใน Turbine Crate
มันเป็นห้องที่มีทั้งพื้นห้อง ผนังห้อง เพดานห้องเป็นโลหะสีเทา มีรอยเย็บแผ่นโลหะที่ประกอบกันด้วยน็อตโลหะมากมาย คณะผู้เดินทางทั้ง 8 คน ได้มารวมตัวกันที่นี่ นากา วาเลนเซีย จึงถือโอกาสที่รอความพร้อมนี้ พูดคุยเบื้องต้นเกี่ยวกับการเดินทาง เธอยืนอยู่ต่อหน้าลูกเรือทั้ง 7 คนที่นั่งประจำเก้าอี้อย่างเป็นระเบียบ เพื่อรอการประชุมเหมือนนักเรียนนั่งฟังครูในคาบโฮมรูม
นากา มองไปรอบๆ แล้วก็เริ่มพูด “เอาล่ะ...ทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว ดิชั้นจะขอทำความเข้าใจเบื้องต้นให้ตรงกันก่อนนะคะ” “ดิชั้น รองหัวหน้าฝูงบิน Griffin นากา วาเลนเซีย จะรับหน้าที่ผู้ควบคุมภารกิจนี้ตามบัญชาของท่านผู้บัญชาการสูงสุด” “อีกประมาณ 30 นาทีเราจะออกเดินทางด้วย Turbine Crate เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีปล่อยกระสวยวงโคจรที่รกร้างมานาน” “เดิมทีสถานีปล่อยกระสวยเป็นของฐาน Radamanthys ใช้งานล่าสุดเพื่อขนอะไหล่ขึ้นไปซ่อมแซมสถานีอวกาศเมื่อหลายปีก่อน”
“เราจะเดินทางโดยให้เจ้าหน้าที่วิศวกรระดับสูงรายน์เฟลเลอร์เป็นผู้ควบคุมการบินใน จากนั้น เมื่อเราไปถึงที่นั่น” “เจ้าหน้าที่วิศวกรระดับสูงจะทำการตั้งระบบกระสวยอวกาศเพื่อให้พวกเราทั้ง 8 คนเดินทางขึ้นไปยังสถานีอวกาศที่ 3” “ในการจบภารกิจ เราต้องเคลื่อนสถานีอวกาศที่ 3 ไปอยู่เหนือฐาน Minos และยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงลงมา เป็นอันเสร็จภารกิจ” “แม้ว่ามันจะฟังดูง่าย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ และดิชั้นเชื่อว่าไซเฟอร์จะต้องเตรียมตัวรับมือพวกเราไว้แน่นอน” “ดังนั้น ขอให้ทุกคนตื่นตัวเอาไว้ตลอดเวลา อย่าประมาท ตั้งสติให้มั่น แล้วเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันทุกคน พวกเราคือ Last Duty”
เมื่อนากาพูดจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันออกไป
เรย์ และ อัลไดน์ เดินไปตรวจสอบเครื่อง Valkyria Unit ในขณะที่ นากา จอห์น อลิซาเบธ และ ฟุโด ตรวจสภาพยานขนส่ง เมื่อทุกอย่างพร้อม ประตู Airlock ของฐาน Aiacos ก็ปิดในส่วนที่เชื่อมกับฐานภายใน ก่อนจะเปิดประตูที่ออกสู่โลกภายนอก ฟองน้ำ เดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้พลขับที่ 2 ข้างๆ พลขับที่ 1 ซึ่งฮันน่าห์นั่งอยู่ เพราะเธอเป็นผู้รับผิดชอบการขับยานในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการปล่อยตัวเห็นว่าทุกอย่างพร่อมแล้วจึงเปิดสัญญาไฟเขียว “Last Duty …. You got Control.”
ฟองน้ำ หยิบอุปกรณ์สื่อสารเหมือนหูฟังขนาดเล็กขึ้นมาส่วมใส่ ก่อนจะกดปุ่มที่แผงควบคุมยานซึ่งเป็นปุ่มสื่อสารและตอบกลับ “Last Duty Cabin-Crew Ready for Take-Off” เมื่อฟองน้ำ พูดจบ ฮันน่าห์ ก็ดึงคันโยกเพื่อเปิดไอพ่นให้ทำงานทันที ไอพ่นส่วนล่างเริ่มทำงานก่อน มันยกตัว Turbine Crate ขึ้นลอยเหนือพื้นประมาณ 3 เมตร ก่อนที่ไอพ่นด้านข้างจะทำงาน แรงขับดันส่งให้ Turbine Crate ค่อยๆ เร่งความเร็วไปข้างหน้าเรื่อยๆ ในที่สุดกลุ่ม Last Duty ก็เดินทางออกจากฐาน Aiacos
เมื่อรักษาเส้นทาง ระดับความสูง และระดับความเร็วให้คงที่ได้ ฮันน่าห์ และ ฟองน้ำ ก็ถอดอุปกรณ์สื่อสารที่พวกเธอใส่ออก ทั้งสองนั่งมองเส้นทางข้างหน้าที่ยังคงเป็นเขตป่าอุดมสมบูรณ์อยู่พักหนึ่งท่ามกลางความเงียบงัน จนกระทั่งฮันน่าห์ถามขึ้น “ดิชั้นสงสัยมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว….ทำไมท่านผู้บัญชาการสูงสุดแซนเบิร์กถึงยอมอนุมัติให้ดิชั้นเข้าร่วมภารกิจง่ายแบบนี้” “ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้จักดิชั้นเลย และในตอนนั้นดิชั้นก็ไม่ได้มีอะไรพิสูจน์ว่าที่ดิชั้นพูดว่าทำได้ทั้งหมดนั้นเป็นความจริง”
ฟองน้ำ ยิ้มปนหัวเราะ แล้วหันไปหา ฮันน่าห์ อาการที่ฟองน้ำแสดงออกมาสร้างความประหลาดใจให้ฮันน่าห์พอควร ฟองน้ำ หยุดหัวเราะคิกคิก แล้วตอบกลับไป “เพราะคุณรายน์เฟลเลอร์น่ะ ไม่ใช่คนของ Aiacos แต่เป็นคนของ Radamanthys นี่คะ” ฮันน่าห์ หรี่ตาลงด้วยความสงสัย “คุณจามจุรีรู้ได้ยังไงคะ พอจะบอกได้มั้ย...แล้วท่านผู้บัญชาการรู้เรื่องนี้เหมือนกันหรอคะ” ฟองน้ำ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้บัญชาการแซนเบิร์ก ต้องรู้อยู่แล้วล่ะค่ะ เพราะที่นี่น่ะ….ไม่มีตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิศวกร” “มีก็แต่ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ยุทธการ นักบิน นายช่าง และนักวิทยาศาสตร์ ฐานที่มีตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิศวกร ก็มีแต่ฐานของคุณนั่นแหละค่ะ” “เมื่อท่านผู้บัญชาการเห็นว่าคุณเป็นนักวิศวกรระดับสูง และเป็นคนของ Radamanthys คุณก็น่าจะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีของที่นั่นมากที่สุด” “มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำไมคุณรายน์เฟลเลอร์ ได้รับการอนุมัติเข้าร่วมภารกิจนี้ยังไงล่ะคะ...จะว่าไปทำไม...คุณถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ”
ฮันน่าห์ พยักหน้าในขณะที่เได้รับคำตอบแล้ว เธอก็ถอนหายใจเบาๆ “ดิชั้นเดินทางมาที่นี่ตอนเราแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกัน” “แต่เพื่อนคนหนึ่งของดิชั้นเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่นี่ขอให้ดิชั้นช่วยปรับปรุงเอุปกรณ์บางอย่างที่เรียกว่า The Omnipotent” “ดิชั้นเลยยังไม่ได้เดินทางกลับไปพร้อมกับคณะเดินทางของ Radamanthys ต่อมาเพื่อนของดิชั้นก็ตาย….และฐานของเราก็…..” “ซ้ำร้าย สิ่งที่เรียกว่า The Omnipotent ที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการสั่งการให้พวก Arachna หนี หลบซ่อน อดตาย…” “กลับถูก ไซเฟอร์ ยึดไป แล้วนำมันมาควบคุม Arachna ไล่เข่นฆ่าผู้คน ทั้งที่ Radamanthys และ Minos….ทุกอย่างมันพังเพราะดิชั้น”
ฟองน้ำ ค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะไหล่ของ ฮันน่าห์ ช้าๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอไม่รู้ว่าที่เธอจะทำนั้นมันล้ำเส้นเกินไปหรือไม่ เมื่อเธอแตะไหล่ฮันน่าห์อย่างนุ่มนวล ฮันน่าห์ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ ฟองน้ำ จึงพูดขึ้น “ไม่ใช่คุณรายน์เฟลเลอร์หรอกค่ะ” “คุณไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร สิ่งที่คุณทำก็เพื่อพวกเรา...คนที่ทำยังลอยนวลอยู่ แล้วพวกเรานี่แหละค่ะที่จะหยุดเขา” ฮันน่าห์ ได้ยินเช่นนั้น เธอก็ยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า “คุณจะเรียกดิชั้นว่าฮันน่าห์ก็ได้นะ ถึงอายุเราจะคนละวัยกันแล้ว ดิชั้นไม่ถือเรื่องนี้”
ฟองน้ำ ยิ้มให้กับเพื่อนใหม่ของเธอและตอบกลับว่า “ได้ค่ะ พี่ฮันน่าห์ งั้นพี่ก็เรียกดิชั้นว่า ฟองน้ำ ละกันนะคะ”
…………………………………………….
ห้องพักใน Turbine Crate
นากากำลังนั่งทบทวนแผนการและคำนวณระยะเวลาที่ต้องใช้ เธออยากจะเร่งเวลาให้เร็วขึ้น เพราะถ้าหากพวกเธอทำได้เร็วขึ้น การยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงลงมาใส่ฐาน Minos อาจจะไม่ต้องเป็นโศกอนาถกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Aiacos ในขณะที่ อัลไดน์ นั่งอยู่บนโซฟายาวตัวเดียวกับที่ นากา กำลังนั่งครุ่นคิด เขานั่งมองหมวกใบเก่งของเขาอยู่พักหนึ่งแล้ว หมวกของเขามีตัวอักษรทำว่า DIO ติดอยู่ ซึ่ง นากา จอห์น อลิซาเบธ รู้ถึงความหมายของมันดีว่าเป็นชื่อของพี่ชายเขา Aldios
ส่วนโซฟาตัวตรงข้าม ที่มีโต๊ะกระจกใสขาโต๊ะเป็นโลหะตั้งอยู่ระหว่างกลาง เป็นที่นอนราบของ อลิซาเบธ ดิเลนเจอร์ ระหว่างที่ทั้งสามนั่งเงียบๆ อยู่ จอห์น แอนเดอร์สัน ก็เดินถือถ้วยกาแฟเข้ามาและนั่งลงที่ปลายขาของ อลิซาเบธ ทำให้เธอขมวดคิ้ว จอห์น มองไปที่ อัลไดน์ แล้วพูดขึ้นมาว่า “เห็นหมวกใบนั้นที่ไรก็นึกถึงท่านอดีตหัวหน้านะ...เขาเป็นคนดี และกล้าหาญมาก” อลิซาเบธถอนหายใจพร้อมกับดึงฮู๊ดของเสื้่อคลุมลงมาปิดหน้าแล้วหลับตาเพื่องีบ “นายพูดแบบนั้นมากี่รอบแล้วจอห์น”
นากาได้ยินดังนั้น เธอก็วาง Tablet ที่ถืออยู่ลง “จะกี่รอบมันก็เป็นความจริงที่หัวหน้าอัลดิออสเป็นคนที่เคยช่วยชีวิตพวกเราไว้” “หลังจากที่ Arachna ปรากฏตัวในภารกิจนั้น และพวกเราตกลงไปใต้เปลือกน้ำแข็ง ถ้าไม่ได้เขาแล้วเราก็คงตายกันหมดแล้ว” จอห์นจิบกาแฟแล้วพูดเสริมไปว่า “ถ้าหัวหน้ายังอยู่ ไอ่โป้งเหน่งนั่นคงไม่ได้เป็นหัวหน้า หน่วยของเราก็คงไม่ย่ำแย่แบบนี้” สิ่งที่นากา จอห์น และอลิซาเบธ พูดถึงคือภารกิจติดตั้งเครื่อง Beholder ในวันนั้นอัลดิออสพี่ชายอัลไดน์เป็นหัวหน้าฝูงบิน Griffin เขาใช้ระหัสปฏิบัติการ Griffin Leader ภายใต้เปลือกน้ำแข็ง เขาเสียสละตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ Arachna โจมตีเขาแทน ทำให้นักบินของฝูงบิน Griffin ทั้งหมดรวมถึง นากา จอห์น และ อลิซาเบธ รอดตายไม่ถูก Arachna ตัวนั้นเขมือบอย่างปาฏิหารย์
“พวกนายช่วยเปลี่ยนเรื่องคุยกันได้มั้ย...ชั้นไม่อยากจะฟังเรื่องในวันนั้นอีกแล้วล่ะ” อัลไดน์ ที่นั่งฟังมาสักพักเขาก็ไม่พอใจ จอห์น จึงเอียงหัวไปกระซืบข้างหูอลิซาเบธที่เหมือนจะกำลังเคลื้มหลับว่า “เขาไม่อยากนึกวันที่เขาโดนเด็กเกรียนตบล่ะ” “หนวกหูน่า นายนี่น่ารำคาญชะมัด” อลิซาเบธ บ่นขึ้นด้วยใบหน้าบึ้งตึงพร้อมกับค่อยๆ ผลักหัวของ จอห์น ให้ออกห่าง นากา ส่ายหัว “หุบปากน่ะจอห์น” จอห์น เอียงหัวไปทางอลิซาเบธแลัวกระซิบอีกครั้ง “ไอ่หยา เจ๊แกโกรธแล้วล่ะลิซ” บทสนทนาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาทั้ง 4 คน เป็นสหายร่วมรบที่อยู่ในฝูงบืนเดียวกันมานาน มีความสนิทชิดเชื้้อกันดี และในวันที่อัลไดน์เสียพี่ชายของเขาไปในภาระกิจ ทุกคนรู้ดีว่าอัลไดน์ไม่ได้ออกบินด้วย เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝัน เขาถูกนักบินฝึกหัดหนุ่มคนหนึ่งลอบทำร้ายจนหมดสติ แล้วลักลอบเอาเครื่อง Valkyria Unit ของเขาออกไปปฏิบัติภารกิจแทน อัลไดน์จึงไม่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอัลดิออส พี่ชายของเขา และไม่ได้เห็นวาระสุดท้ายของพี่ชายผู้เป็นที่รัก
จอห์น เห็นทุกคนเงียบจึงพูดต่อว่า “อยากเปลี่ยนเรื่องคุยงั้นหรอ เครเรามาคุยเรื่อง Valkyria Unit กันดีกว่า เรื่องนี้ชั้นชอบน๊า” “ไอ่เครื่องรุ่นที่เราใช้อยู่น่ะ พ่อชั้นคัดค้านมาตลอดเลยล่ะว่ามันเป็นเครื่องโหลยโท่ย ห่วยแตก ไม่ปลอดภัยเลยสักนิด พวกนายว่าไง” อลิซาเบธ ถอนหายใจอย่างแรงแล้วเอี้ยวตัวซุกเข้าไปกับพนักโซฟา “โถ่ไม่เอาน่า...ให้ตายเถอะจอห์นเรื่องนี้อีกแล้วหรอ” คำพูดตัดพ้อของ อลิซาเบธ ทำเอา นากา แอบยิ้มมุมปากนิดๆ ทั้งๆ ที่ในใจของเธออยากจะหัวเราะออกมาอยู่เหมือนกัน
แต่ดูเหมือนทุกคนก็ไม่สามารถห้ามจอห์น แอนเดอร์สัน ในการขยี้เรื่องมาตรฐานความปลอยภัยของ Valkyria Unit ได้
……………………………………………...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 22, 2018 8:24:07 GMT
ห้องเก็บ Valkyria Unit บน Turbine Crate
มันเป็นส่วนที่คล้ายกับโรงซ่อมบำรุง Valkyria Unit ถูกแบ่งเป็นช่องๆ เพื่อไว้สำหรับการจอดและเก็บ Valkyria Unit แต่ละช่องมีอุปกรณ์ซ่อมบำรุงเพียบพร้อม มีแขนกลที่เป็นโลหะทางด้วยสีเหลืองคาดดำตัดกับพื้นหลังห้องที่เป็นโหละสีเทา เรย์ คาริน และ ฟุโด คิซารากิ ได้ทำการตรวจเช็คความเรียบร้อยของ Valkyria Unit เรียบร้อยแล้ว พวกเขานั่งอยู่กับพื้นห้อง ทั้งสองใช้หลังพิงล้อหน้าของ Valkyria Unit คนละลำ และเครื่องทั้งสองลำนั้นตั้งอยู่คนละฝั่ง หันหน้าเข้าหากัน
ท่ามกลางความเงียบงัน ฟุโดเป็นฝ่ายเริ่มชวนเรย์คุยก่อน “เฮ้อให้ตายสิ…..ขัดใจชะมัด…..อิเจ๊นะอิเจ๊…..” “”หืม….หัวหน้าวาเลนเซียไปทำอะไรขัดใจนายเข้าอย่างนั้นหรอฟุโด” เรย์ ตามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงเหน็ดเหนื่อย เมื่อฟุโดได้รับ Feedback จากคำพูดลอยๆ เขาก็เริ่มใส่เป็นชุด “ก็ชื่อทีมของเราน่ะสิถามได้...Last Duty เชยเป็นบ้า” “ทำไมไม่ตั้งชื่อให้มันเฟี๊ยวๆ กว่านี้เช่น Rogue One , The Avenger , Suicide Squad . X-Men หรือ Justice League” “หรืออย่างน้อยก็น่าจะตั้งชื่อตามสัตว์เทพในตำนานเหมือนฝูงบินอื่นก็ยังดี ดูอย่างพวก Unicorn Pegasus Griffin อย่างนี้สิ” เรย์ทำสีหน้าเบื่อหน่ายก่อนตอบโต้กลับไป “ชั้นว่านายดูหนังมากไปนะฟุโด แล้วชื่อทีม...ชั้นว่ามันไม่เห็นสำคัญตรงไหนเลย” ฟุโดเถียงกลับทันที “สำคัญสิเพื่อนเรย์ มันสร้างความฮึกเหิมให้คนทีมได้นะ ฮึกเหิมน่ะ ฮึกเหิม นายเข้าใจมั้ย” เรย์เบะปากมองบน ”แล้วถ้าเป็นงั้น นายคิดว่าควรใช้ชื่ออะไรดีล่ะ” ฟุโด ทำท่าครุ่นคิด “Kraken เป็นไง ดุดันแข็งแกร่ง” “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” เรย์หัวเราะลั่นก่อนจะตอบกลับไปว่า “Kraken เนี่ยนะ หมึกหยึยๆ น่ะนะ ชั้นว่า Last Duty นี่แหละดีแล้ว”
ระหว่างที่เรย์และฟุโดพูดคุยกันอยู่ ฟองน้ำก็เดินเข้ามา ในมือของเธอถือเครื่องดื่มเกลือแร่เย็นเฉียบมาสองขวด เรย์เห็นฟองน้ำเดินเข้ามาหา เขาจึงรีบลุกแล้วถาม “เป็นไงบ้างที่ห้องนักบิน เรียบร้อยดีมั้ย” ฟุโดที่มองตามไปก็ลุกขึ้นยืนตาม ฟองน้ำยิ้มแล้วพูดตอบพร้อมยื่นเครื่องดื่มเกลือแร่ให้เรย์และฟุโดคนละขวด “เรียบร้อยดีค่ะ เอ้านี่ของพวกรุ่นพี่คนละขวดค่ะ” “ดิชั้นเดินไปดูที่ห้องพักนักบินแล้วไม่พบรุ่นพี่ทั้งสองคน ก็เลยถามคุณวาเลนเซ๊ยถึงได้รู้ว่ามาขลุกกันอยู่ที่นี่น่ะค่ะ” ฟุโดที่กำลังกระดกเครื่องดื่มลงคอก็หยุดการดื่มชั่วคราวเพื่อตอบโต้ “ใครเค้าจะอยากมาขลุกที่นี่กันล่ะ ถ้าไม่โดนบังคับมา” เรย์หัวเราะเบาๆ “แหม นายนี่ขี้บ่นตลอดเลยนะ อย่าลืมสิว่าเราเป็นนักบินใหม่ของฝูงบิน หน้าที่เบ๊ก็ต้องเป็นของพวกเราอยู่แล้ว” คำพูดของเรย์ ทำให้ฟุโดหน้าบึ้งเป็นตูดเป็ด มันเรียกเสียงหัวเราะใสแจ๋วของฟองน้ำออกมาได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียด
เรย์จึงเดินนำไปนั่งที่เก้าอี้เหล็กข้างๆ ช่องเก็บ Valkyria Unit ซึ่งปกติแล้วเป็นเก้าอี้ช่าง ฟองน้ำ และ ฟุโด ก็เดินตามไป เรย์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวกลาง ฟองน้ำนั่งอยู่ข้างขวาของเรย์ ส่วนฟุโดที่เดินมาช้าที่สุดได้เลือกเอ้ากี้ที่อยู่ด้านซ้ายของเรย์ “การเดินทางจะสงบแบบนี้ต่อไปอีกกี่น้ำกันว๊า...ตั้งแต่พวก Arachna มา ทุกคนก็ตกอยู่ในความหวาดระแวงกันหมด” ฟุโดบ่นขึ้น ฟองน้ำทำท่าทางครุ่นคิด “ดิชั้นว่าเราคงจะเดินทางได้โดยสวัสดิภาพจนพ้นเขตป่าแห่งนี้ แต่เมื่อเข้าเขตแห้งแล้งแล้วไม่แน่ค่ะ”
เรย์ฟังฟองน้ำอธิบายจบเขาก็ยิ้มบางๆ “สงครามกับพวก Arachna ทำให้ทุกคนเปลี่ยนไปจริงๆ สินะ….ดูเธอเข้าสิ….” ฟองน้ำมีท่าทีที่ประหลาดใจ เรย์จึงอธิบายต่อ “ตะก่อนคิดแต่เรื่องเรียน คิดแต่เรื่องช่วยการบ้านเพื่อน ตอนนี้คิดแต่แผนการสู้รบ” ฟุโดได้ยินแบบนั้นก็เสริมขึ้นบ้าง “บางคนก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยล่ะ….จากคนที่เราคิดว่ารู้จักดี กลายเป็นคนที่เราคาดไม่ถึง” จากคำพูดของฟุโด มีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเรย์นึกขึ้นมาได้ เขาเป็นเพื่อนของทั้งเรย์และฟุโดสมัยตั้งแต่แรกเข้าโรงเรียน จนถึงเรียนนักบิน เรย์ก้มหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “อีวานน่ะหรอ” ฟุโดส่ายหน้าเหมือนจะไม่อยากยอมรับ “ก็ใช่น่ะสิ ตะก่อนเราเป็นสามทหารเสือ ลุยไหนลุยกัน” “หมอนั่นเป็นคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มของเราสามคน เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้พวกเรามาตลอด นายจำไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรอเพื่อนเรย์”
ฟองน้ำได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูดก็ถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ “อีวาน เดโคเช่ น่ะหรอคะ” เรย์ถอนหายใจเบาๆ “ใช่แล้วล่ะ...หมอนั่นล่ะ” “ใครจะไปคิดกันว่าสงครามจะทำให้หมอนั่นไปเข้าพวกกับไซเฟอร์…เหมือนอีวานที่เรารู้จักเป็นเพียงแค่เปลือกนอกไม่ใช่ตัวตนจริงของเขา” ฟุโดกำหมัดแน่น “ถ้าชั้นได้เจอหมอนั่นอีกครั้งในสนามรบ ชั้นจะต้องนำตัวเขากลับมาอยู่กับพวกเราเหมือนที่เคยเป็นให้ได้เลยล่ะ” เรย์พยักหน้าแล้วยิ้มปนเศร้า “ชั้นก็คิดไว้ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน…..แต่ดูเหมือนว่าเราอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วก็เป็นได้ล่ะนะ”
ฟองน้ำเข้าใจในความหมายที่เรย์ต้องการสื่อดีว่าพวกเขากำลังจะต้องฆ่าอีกวาน เธออยากจะพูดให้กำลังใจแต่มันยากเกินที่จะพูดออกไป
……………………………………………...
ผ่านไป 6 ชั่วโมง
เวลาบนดาว Gliese 667Cc เป็นเวลาใกล้เที่ยง แสงจากดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดสาดส่องลงมาพร้อมกับความร้อนระอุ Turbine Crate บินเลียดออกจากพื้นที่ที่เป็นป่าอุดมสมบูรณ์มาได้พักหนึ่งเข้าสู่เขตแห้งแล้งซึ่งเป็นทะเลทราย ฮันน่าห์ ได้เร่งความเร็วของ Turbine Crate ให้ถึงความเร็วสูงสุดตามคำสั่งของนากาเพื่อลดระยะเวลาการเดินทางลง นักบินทั้ง 6 คนกำลังนอนหลับสนิท ส่วนในห้องพลขับ ฮันน่าห์ และฟองน้ำนอนงีบอยู่ที่ตำแหน่งพลขับ ระหว่างที่ Turbine Crate กำลังเดินทางด้วยระบบ Auto-Pilot อยู่นั้น สัญญาณบนเรด้าก็กระพริบขึ้นพร้อมกับส่งเสียงเตือน
ฟองน้ำ และ ฮันน่าห์ สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกัน พวกเธอมองดูก็พบบางสิ่งบนจอเรด้าห์ มันเป็นจุดสีแดงหลายร้อยจุด “พวกมันมากันแล้วสินะ….จำนวนมากมายขนาดนี้ แถมขวางหน้าพวกเราไว้อีกด้วย” ฟองน้ำ พูดขึ้นทันทีที่เห็น ฮันน่าห์จึงรีบคว้าอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาพร้อมกดสัญญาณเตือนภัย “Cabin-Crew Prepare For Fight!!” เมื่อได้ยินเสียงเตือนภัย นักบินทั้ง 6 ที่นอนพักผ่อนก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที นากาสั่งให้ทุกคนใส่ชุดนักบินทันที จากนั้นเธอก็รีบตรงดิ่งเข้ามาที่ห้องพลขับเพื่อดูให้แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอเดินมาพร้อมหยิบชุดของเธอมาด้วย
เมื่อนากามาถึงห้องนักบิน
ฟองน้ำหันกลับไปเพื่อจะรายงาน “คุณวาเลนเซียคะ...อุ๊ย!!” เธอตกใจแล้วรีบหันกลับมาทันทีเพราะสิ่งที่ได้เห็น นั่นคือหัวหน้าภารกิจ นากา วาเลนเซีย ได้เดินเข้ามาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าขณะกำลังพยายามสวมเสื้อนักบินสีดำรัดรูป สีหน้าของนากาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าหน้าที่จามจุรี เรากำลังเจอกับอะไร” ฟองน้ำจึงค่อยๆ ตั้งสติเพราะเห็นว่านากาไม่ได้แคร์เรื่องหยุมหยืม “เราเจอกับฝูง Arachna จำนวนมากขวางทางอยู่ค่ะ”
นากา ก้มลงมามองหน้าจอ เธอก็เห็นจำนวนของพวกมันซึ่งมีหลายร้อยตัวจนเรียกได้ว่านับไม่ถ้วน “พวกมันมีมากขนาดนี้ แล้วมาถึงที่นี่ก่อนพวกเรา แถมเหมือนการดักซุ่มโจมตีเลยนะเนี่ย ลองใช้กล้องส่องทางไกลดูซิ” เมื่อนากาสั่งการ ฮันน่าห์ก็เปิดระบบกล้องส่องทางไกล มันเป็นกล้องโทรทัศน์ Spectrum ที่สามารถมองได้ไกลหลายร้อยไมล์ เมื่อภาพขึ้นจอ พวกเขาก็พบรูปแบบของ Arachna ที่ดักโจมตีพวกเขาอยู่ในระยะ 200 กิโลเมตร มันมีรูปร่างเหมือนตะขาบยักษ์
ฟองน้ำวิเคราะห์รูปร่างของมันแล้วพูดขึ้นว่า “ตะขาบสินะคะ มันเป็นแมลงที่เคลื่อนที่ได้เร็วมาก มิน่ามันเลยมาถึงที่นี่ก่อนเรา” นากาพยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ แต่เร็วมากก็ต้องตัวเบามาก ตัวเบามากก็ต้องเปราะมาก แต่ด้วยจำนวนขนาดนี้เราต้องรักษาระยะห่างไว้” “เจ้าหน้าที่วิศวกรระดับสูงรายน์เฟลเลอร์ ช่วยนำเครื่องของเราเข้าใกล้พวกมันมากกว่านี้ เราจะปักหลักสู้กับมันในระยะ 2 กิโลเมตร” เมื่อฮันน่าห์รับคำสั่ง นากาก็สวมชุดเสร็จพอดีเธอรีบหันกลับออกไปเพื่อเตรียมตัวออกไปสู้รบปรบมือร่วมกับนักบินคนอื่นๆ
ที่สะพานเรือบน Turbine Crate
นักบินทั้ง 5 คนสวมชุดนักบินเรียบร้อยแล้ว มันเป็นชุดสีดำรัดรูป ตามชุดมีมัดกล้ามเนื้อสังเคราะห์เกาะติดอยู่ตามจุดต่างๆ นั่นก็เพราะแรงโน้มถ่วงของ Gliese 667Cc มีมากกว่าโลกใบเดิมของมนุษย์ถึง 2 เท่า ทำให้ร่างกายของมนุษย์เคลื่อนไหวลำบาก และด้วยระยะเวลาที่อาศัยอยู่ที่นี่ยังไม่นานพอจะถึงขั้นที่ร่างกายของมนุษย์จะสามารถวิวัฒนาการให้เข้ากับมันได้
จอห์น มองดูชุดที่ตัวเองสวมใส่ “แหม่ะ ถึงจะไม่ได้เครื่อง Valkyria Unit รุ่นใหม่มาใช้ แต่ได้ชุดใหม่จาก Radamanthys นี่มาก็โอเคนะ” เขาพูดพร้อมกับใช้มือขวาตบไปที่หน้าอกด้านซ้ายเยื้องขึ้นไปเกือบถึงไหล่ ไฟสีเขียวที่หน้าอกข้างซ้ายก็ติด ชุดก็ทำการบีบรัดทันที “โอ้ว….อะหึ้ม….แน่นเกินไปมั้ยเนี่ย….อ๊าาาา” จอห์นส่งเสียงที่ฟังดูน่าขนลุกออกมา จนเขาเหลือบไปเห็น อัลไดน์ ร่างกายของอัลไดน์นั้นล่ำมาก เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ พอสวมชุดรัดรูปเข้าไปอีก ใครเห็นแล้วก็ต้องตกใจ “โหให้ตายสิหมอนี่ล่ำชิบ” แต่แล้วเขาก็ต้องตาลุกวาวอีกครั้งเมื่อเขาเหลือบไปเห็นนากาที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงสะพานเรือ “ไอ้โหแม่เจ้าโว้ย...ทรวดทรวงองเอว!!” ระหว่างที่จอห์นกำลังเคลิ้มกับสรีระร่างกายของนากา อลิซาเบธก็เดินมากระแทกหลังเขาอย่างแรง “พอได้แล้ว เลิกหื่น เป้าตุงละนายน่ะ!!”
นากาที่ไม่ได้สนใจอากับกิริยาของจอห์น เธอเริ่มอธิบายแผนการให้นักบินในหน่วยรับทราบ ด้วยวิธีอันสุดล้ำสมัย เธออธิบายรูปร่างของ Arachna พร้อมกับส่งไฟล์ข้อมูลที่ได้ไปยังหน้าจอเล็กๆ ตรงข้อมือด้านซ้ายของชุดนักบินแต่ละคน ฟุโด เป็นคนเดียวที่มีอาการขนลุกขนพองกับการเห็น Arachna รูปร่างตะขาบ เขาหันมาทำมือยั้วเยี้ยหยึกหยึยให้กับเรย์ ในขณะที่แผนการซึ่งนากาเลือกใช้ก็คือ การปักหลักสู้ เพราะเธอคิดว่าด้วยกำลังอาวุธที่มีสามารถกำจัดมันได้ไม่ยาก แม้ว่าจำนวนของมันจะดูมากมายก่ายกอง ชนิดที่ว่าหลับตายิ่งมั่วๆ ก็ยังยิงโดนนัดละ 3 - 4 ตัว จากนั้นก็สั่งให้ทุกคนขึ้นเครื่อง
แววตาของนักบิน Last Duty เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เรย์ มองผ่านกระจกห้องนักบินไปยังเครื่องของ ฟุโด ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อฟุโดหันมา เรย์ก็ชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่ฟุโด เขาทำอยู่สองสามครั้งก่อนฟุโดจะรู้ตัว ฟุโด รีบใช้มือขวาตบไปที่หน้าอกซ้ายของตัวเองเพื่อเปิดใช้งานชุด และนั่นคือสิ่งที่เรย์พยายามจะบอกใบ้โดยไม่ใช้เสียงสื่อสาร
นากา เห็นนักบินทุกคนพร้อม จึงติดต่อไปที่ห้องพลขับ “Last Duty Ready for Launch….Waiting for Control…..”
……………………………………………….
เวลาผ่านไปไม่ถึง 20 นาที
Turbine Crate ก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วแล้วลดระดับลงจนเครื่องหยุดนิ่งกับพื้น พวกเขามาถึงจุดที่จะปักหลักสู้แล้ว และเป็นไปตามที่นากาคาด ตะขาบยักษ์แต่ละตัวมีความยาวกว่า 20 เมตร เคลื่อนที่อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว มันก็กรูกันเข้ามาแล้วตั้งวงล้อม Turbine Crate เอาไว้ในวงล้อมที่ห่างออกไปราว 2 กิโลเมตร ฟองน้ำมองด้วยความวิตก เธอหยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมา “Hatch Stand By….Last Duty….You got Control” เธอเอ่ยสัญญาณพร้อมทำการสู้รบ ฝาท้ายของ Turbine Crate ก็เปิดออก VF-1 ระหัส GRF 02 03 04 05 17 และ 20 ก็ออกบินมาทีละลำอย่างช้าๆ พวกเขาทำการ Shape-Shift เปลี่ยนรูปร่างของ VF-1 จากเครื่องบินรูปมาเป็นหุ่นรบ แล้วยืนตามจุดที่นากาสั่ง นั่นก็คือ Valkyria Unit ทุกลำ จะตั้งแนวสะกัดกั้นเป็นวงล้อมรอบ Turbine Crate และทำการยิงทำลายไปทุกทาง
ฝูงตะขาบยักษ์จำนวนหลายร้อยตัวกลับไม่เข้าโจมตี เหมือนมันกำลังดูเชิงของ Last Duty อยู่อย่างไรอย่างนั้น เหงื่อของนากาหยดออกมา 2-3 เม็ด “เกราะของมันจะบางอย่างที่คิดเอาไวรึเปล่านะ….เอาล่ะ Last Duty ยิงเมื่อพร้อม” สิ้นเสียงสั่งการของนากา จอห์นที่เล็งปืนไรเฟิลไปยังฝูงตะขาบยักษ์อยู่ตั้งแต่แรกแล้วก็เปิดฉากยิงออกไปทันที 1 นัด “ตูมมมมม!!!” กระสุนไรเฟิลที่อัดแน่นไปด้วยพลังงานจลพุ่งเข้าใส่ตะขาบยักษ์อย่างแม่นยำในระยะ 2 กิโลเมตร แรงปะทะทำให้ร่างของตะขาบยักษ์ 5 ตัวแตกกระจาย ของเหลวภายในที่เป็นน้ำกรดสีเหลืองสาดกระเซ็นไปทั่ว “แตก!!!!” จอห์นตะโกนออกมาด้วยความสะใจ “สวยพี่สวย” ฟุโด ตอบรับพร้อมกับเริ่มยิงตามไปอย่างไม่รอช้า
“ชั้นจะฆ่าพวกแกให้หมด….พวก Arachna ชั้นจะล้างแค้นให้กับทุกคนที่ต้องตายไป” อัลไดน์กัดฟันพูดขึ้นเบาๆ เขาเริ่มเปิดฉากยิงใส่อย่างแม่นยำพร้อมๆ กับ นากา อลิซาเบธ เรย์ และ ฟุโด ทุกคนยิงได้อย่างไม่พลาดเป้า ฝูงตะขาบยักษ์ก็ไม่รอช้า มันพุ่งเข้ามาหา VF-1 ทั้ง 6 เครื่องด้วยความเร็วอันไม่น่าเชื่อ แต่ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ทันใดนั้น พื้นที่เป็นทรายใต้ขาของ Griffin 05 ของอลิซาเบธ ก็ปะทุขึ้น Arachna ตะขาบยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งขี้นมา จังหวะนั้น อลิซาเบธ ไม่ทันได้ตั้งตัว แต่โชคยังดีที่ฟุโดหันไปเห็นก่อน เขาจึงยิงปืนกลเบาสังหารตะขาบยักษ์ตัวนั้นลง อธิซาเบธ มองไปที่ Griffin 17 ของฟุโดที่ช่วยเธอเอาไว้ แต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหันกลับไปยิงใส่ฝูงตะขาบยักษ์ต่อ
การปะทะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเริ่มกินเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง
……………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 22, 2018 8:24:12 GMT
ห้องพลขับของ Turbine Crate
ฟองน้ำ มองดูการต่อสู้ของ Last Duty ที่ทำได้ดี พวกเขาสามารถสะกัดกั้นกลุ่ม Arachna ตะขาบยักษ์ได้อย่างง่ายดาย ไม่มีตะขาบยักษ์แม้แต่ตัวเดียวสามารถหลุดลอดเข้ามาใกล้ Turbine Crate ได้เลย ฮันน่าห์ จึงพูดขึ้นว่า “ไม่ยากอย่างที่คิดนะ” ฟองน้ำพยักหน้าแล้วมองดูการสู้รบต่อไปพักหนึ่ง ก่อนเธอจะเอะใจขึ้นมา “ดิชั้นว่ามันแปลกๆ นะคะ มันไม่น่าจะง่ายอย่างนี้” ฮันน่าห์ ประหลาดใจกับสิ่งที่ฟองน้ำพูดขึ้น “มันแปลกยังไงหรอฟองน้ำ” ฟองน้ำหรี่ตาลงเล็กน้อย “ดิชั้นว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้” “พี่ฮันน่าห์ลองเช็คสถานะเครื่อง VF-1 ของพวกเราด้านนอกให้ทีนะคะ” เธอพูดขึ้นพร้อมกับเพิ่มกำลังของเรด้าให้ไกลออกไป
ฮันน่าห์มองดูข้อมูลสถานะของเครื่อง VF-1 ทั้งหมด “ทุกเครื่องมีพลังงานเหลืออยู่ 40% กระสุนทั้งหมดเหลืออยู่ 35%” และในขณะนั้นเอง ฟองน้ำก็สังเกตเห็นพื้นทรายที่อยู่ด้านหลังกลุ่ม Arachna ตะขาบยักษ์ ที่มีการเคลื่อนไหวอีกจำนวนมาก “แย่ล่ะสิ….พวกเรากำลังติดกับเข้าแล้ว….ถึงแม้ว่ามันจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่ตอนนี้เราเสียทั้งพลังงาน กระสุน แล้วก็...เวลา” “พวกมันยังมีอีกเยอะ ถ้าเราไม่สามารถทำลายมันได้ในคราวเดียวแล้วล่ะก็...กำลังรบของเราจะหมดก่อนที่จะทำลายมันหมดแน่นอนค่ะ” เมื่อฟองน้ำรู้ตัวว่าสิ่งที่พวกเธอเจอแล้วคิดว่ามันง่าย มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะมันคือแผนถ่วงเวลาของ ไซเฟอร์ เธอก็รีบแจ้งข้อมูลเบื้องต้นไปให้นากาที่กำลังอยู่ในแนวรบและยิงทำลาย Arachna อยู่ทราบทันที
เมื่อนากาทราบผลการวิเคราะห์
เธอก็เริ่มสั่งการ “เป็นแบบนั้นจริงๆ อย่างที่เจ้าหน้าที่จามจุรีว่า เพราะเราก็ยิงแบบนี้ต่อไปได้อีกไม่นาน ติดเครื่อง Turbine Crate!!” อัลไดน์ มองไปที่ Griffin 02 แล้วถามขึ้น “คิดจะถอนทัพอย่างนั้นหรอ ถ้าไม่ฆ่ามันให้หมด มันอาจจะย้อนกลับไปโจมตี Aiacos ได้นะ” อลิซาเบธ เห็นด้วยกับคำพูดของ อัลไดน์ ในขณะที่เรย์คิดในใจว่า ”ปล่อยมันหนีไปก็ไม่ได้ จะฆ่ามันให้หมดก็ไม่น่าจะไหว” ส่วนอีกด้าน “แตก 5 แตก 6 ปาดขวายิงเพื่อหวังผล แตก!!” “สวยพี่สวย!!” จอห์น กับ ฟุโด กำลังยิงอย่างมันมือ ไม่ได้สนใจอะไรเลย
เมื่อ Turbine Crate ลอยตัวขึ้นพร้อมออกบิน “Last Duty หยุดยิง เปลี่ยนอาวุธจู่โจมเป็น Missile ภาคพื้นดืน เราจะเคลื่อนทัพ” “เปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้เป็นโหมดเครื่องบินรบ ให้ Griffin 03 ออกบินนำหน้าขบวน Griffin 04 05 ขนาบกราบขวา” “Griffin 17 ขนาบกราบซ้าย Griffin 20 รั้งท้าย เราจะคุ้มกัน Turbine Crate ฝ่าวงล้อมพวกมันออกไป พวกมันจะต้องแห่ตามมาแน่นอน” “หลังจากที่พวกมันเผยตัวออกมาพร้อมกันทั้งหมดแล้ว เราจะยิงทำลายมันด้วย Missile ภาคพื้นดินใส่มันให้ราบคราบ” “รับทราบ!!” นักบิน Last Duty ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พวกเขาทำการ Shape-Shift กลับมาเป็นเครื่องบินรบแล้วเข้าประจำตำแหน่ง
เมื่อทุกเครื่องพร้อมแล้ว จอห์นที่อยู่ในเครื่อง Griffin 03 ก็เดินเครื่องเต็มกำลัง เขาอยู่หน้าสุด เพราะเขาเป็นคนที่เก่งที่สุด Griffin 03 เริ่มยิง Missile ภาคพื้นที่ใส่ฝูง Arachna จนมันแตกกระเจิงเป็นทาง “แตก!!!” จอห์นตะโกนขึ้นขนาดบินฝ่าออกมา แล้ว VF-1 ลำอื่นๆ พร้อมกับ Turbine Crate ก็เร่งท่อไอพ่นขับดันเต็มอัตรา บินฝ่าวงล้อมตาม Griffin 03 ออกมาทันที อัลไดน์ มองเรด้าก็เห็นฝูงตะขาบยักษ์เล่นประเพณีวิ่งควาย แห่ตามพวกเขามาติดๆ กลุ่มที่หลบซ่อนในกองทรายก็เผยตัวมาแล้ว อัลไดน์ จึงรายงาน “พวกมันเผยตัวออกมาหมดแล้วล่ะนะ” อลิซาเบธ ได้ยินที่อัลไดน์พูด เธอก็พยักหน้า “เป็นไปตามแผนเลยล่ะ” ฟุโด กำลังอึ้งในสิ่งที่เกิดขึ้น “อิเจ๊นี่ร้ายกาจไม่เบาเลยนะเนี่ย….” เรย์หัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่เก่งจริงก็คงไม่ได้เป็นหันหน้าหรอกนะฟุโด”
เมื่อฟองน้ำเห็นว่าฝูง Arachna ตะขาบยักษ์ได้รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่ที่อานุภาพของ Missile ภาคพื้นครอบคลุมทั่วถึงแล้ว เธอก็รีบแจ้งไปยังนากาผู้เป็นหัวหน้าฝูงบินทันที “Griffin 02 ตอนนี้เป้าหมายอยู่ใน Area ที่สามารถทำการกวาดล้างได้แล้วค่ะ” ทันทีที่ได้ยิน นากาก็สั่งการออกไปทันที “เอาล่ะ Last Duty ทำการกำจัดเป้าหมาย!!” “รับทราบ” นักบินทั้ง 5 พูดขึ้นพร้อมกัน พวกเขาทำการ Shape-Shift อีกครั้งกลับมาเป็นหุ่นรบ แล้วเปิดฉากยิงถล่มครั้งสุดท้ายด้วย Missile ภาคพื้นดิน
“เอานี่ไปกินซะพวกนรก Fox 3” อัลไดน์ พูดขึ้นพร้อมกับเริ่มส่ง Missile ภาคพื้นดินออกไป “พูดเป็นกับเค้าด้วยเหมือนกันนี่นายน่ะ อัลไดน์...Fox 3” อลิซาเบธ หันไปแซวอัลไดน์ก่อนจะเริ่มยิงตามไป “โอราโอราโอราโอราโอราโอร่าาาาาา ฮู๊ริย่าห์!!! แตก!!! แตก!!!! แตกไปให้หมด!!!!!” จอห์น ตะโกนด้วยความสะใจ “สวยพี่สวย!!! สวยมากพี่แอนเดอร์สัน!! พี่แม่มโคตรเทพเมพขริงๆ เลยว่ะครับ!!” ฟุโดตอบรับกับจอห์นเป็นต่อยหอยในขณะร่วมยิง “พอเห็นชัยชนะอยู่เบื้องหน้า ทุกคนร่าเริงกันหมด ดีจริงๆ เลยนะ...” เรย์พูดเบาๆ ขณะที่เขาเองก็ไม่รอช้าที่จะยิงถล่ม
ไม่นานหลังจากการสู้รบกับ Arachna ตะขาบยักษ์มานานหลายชั่วโมง Last Duty ก็ทำลายพวกมันลงได้หมด
……………………………………………….
ห้อง Lab แห่งหนึ่ง
มันเป็นเหมือนห้องทดลองสีขาวขนาดใหญ่ยักษ์ มีนักวิทยาศาสตร์สวมเสื้อกราวน์ของ Minos ร่วม 10 นายกำลังทำการทดลอง ในห้องนั้นมี Arachna รูปร่างคล้ายแมลงมุม Tarantura อยู่ 5 ตัว พวกมันเอาแต่จดจ้องไปที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 10 นาย โดยในห้องนั้นมีกรงอยู่ด้วยกัน 7 กรง แต่ละกรงมีนกยักษ์ Phoenixaurus อยู่ทั้งหมด 7 ตัว มันนอนแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว นักวิทยาศาสตร์กำลังบรรจรงใช้ Syringe ดูดของเหลวใสในถุงน้ำรูปร่างประหลาดที่ตั้งอยู่ในตู้กระจกใสบนโต๊ะออกมา เมื่อได้ของเหลวใสมาแล้ว พวกเขาหยดมันลงในหลอดทดลองที่ดูเหมือนมีเนื้อเยื่อของ Phoenixaurus บรรจุอยู่ข้างในหลอด
กระทั่งชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องแลปทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 10 คน หยุดนิ่ง แล้วทำตัวลีบเล็กด้วยความหวาดกลัว ไม่ต่างไปจาก Arachna แมลงมุมทั้ง 5 ตัวที่รีบร่นถอยไปอยู่ที่มุมห้อง ชายคนนั้นสูง 183 c.m. รูปร่างดีสมส่วน เส้นผมของเขาเป็นสีบลอนด์อมเขียวอ่อนชี้ตั้งกระเซอะกระเซิง ใบหน้าเรียวแหลม ดวงดาดุจพญาเหยี่ยว นัยน์ตาสีส้ม ที่มุมหน้าผากข้างซ้ายของเขามีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางอย่างติดอยู่ มันคืออุปกรณ์ควบคุม Arachna … The Omnipotent
เขามองไปรอบๆ กวาดตาไปทางนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมด “หยุดทำไม? เร่งมือเข้าหน่อยสิครับ ถ้าไม่อยากเป็นอาหารของเจ้าพวกนี้” คำพูดของเขาทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 10 สะดุ้งก่อนจะเริ่มลงมือทำการทดลองด้วยหลอดทดลองที่พวกเขาทำอยู่ตอนแรกต่อไป ชายผู้ที่เดินเข้ามาสวมชุดครูฝึกนักบินของ Aiacos สีน้ำเงิน เขามีป้ายชื่อติดที่หน้าอกด้านขวา มันเขียนว่า “Seifer” สักพักอุปกรณ์ The Omnipotent ก็เรืองแสงขึ้นทำให้ ไซเฟอร์ หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง “หึหึหึ เอริค นายเล่นไม้นี้จริงๆ สินะ” “คิดแล้วไม่มีผิด สมกับเป็นนายจริงๆ ในเมื่อตอนนี้ชั้นสามารถระบุตำแหน่งของมดปลวกพวกนั้นได้แล้ว มันจบแล้วล่ะเอริค” เมื่อพูดคนเดียวจบ เขาก็เดินไปที่อีกมุมหนึ่งของห้อง มันเป็นตู้กระจกใส ภายในมีไข่รูปร่างประหลาดอยู่จำนวน 10 ฟองด้วยกัน
ไซเฟอร์ มองดูไข่ใบแรกที่เริ่มฟักตัว “พวกแกฝ่าไปได้เร็วกว่าที่ชั้นคิด….แต่ไม่เร็วพอ...ประเดี๋ยวจะส่งของดีไปให้เล่นก็แล้วกัน”
つづく.
|
|