Character Profile
ชื่อ :
Julian García Osorio // จูเลียน การ์เซีย โอซาริโอ เพศ : ชาย
อายุ : 29
รูปร่าง : 182/72
ตำแหน่ง : นักบินยานรบ / นักล่าเงินรางวัล
ลักษณะนิสัย : ภายนอกดูเก๊กๆ แต่จริงๆเป็นคนกวนๆขี้ปั่น หยิ่งทะนง มีความเป็นผู้นำสูง ต่อสู้เพื่อตนเองและทีมของเขา เพื่อเงินและความสำราญ
เลือดเย็นได้ถ้าหากสถาณการณ์บังคับ รู้จุดแข็งจุดอ่อนของลูกน้องเขาดี สั่งการคนเก่ง เห็นเงินเป็นพระเจ้า ถูกชักจูงได้ด้วยเงิน แต่จะไม่ทรยศคน
ในทีมเพื่อมันเป็นอันขาด ทะเล้นขึัแกล้ง กวนโอ๊ยใส่ทุกคนไม่มีความเกรงใจหรือเกรงกลัว ไม่ว่าจะเป็นคนจรจัดไปถึงประธานาธิปดี บ้าระห่ำกล้าได้
กล้าเสีย ทบางครั้งก็ลุยโดยไม่คิดทั้งๆที่โอกาสตายกลับมานั้นมีมากเหลือเกิน แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเพราะฝีมือของเขาเองและพรรคพวก
หรือโชคช่วยก็ตาม มี Passion ชอบความตื่นเต้น การต่อสู้ ไฮสปีดไฟลท์ ใช้ชีวิตบนเส้นด้าย รักความสนุก เงินที่ได้มาจากการไล่ล่าก็จะใช้หมดไป
อย่างรวดเร็ว โดยรวมแล้วก็แค่นักบินบ้าระห่ำที่พร้อมจะงัดข้อกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
กลิ่นน้ำมัน ไอพ่น และดินปืน .... มันทำให้ชั้นของขึ้นจริงๆแหละน้า
ประวัติ : เมื่อสามสิบสองปีก่อน ย่างเข้าปีที่ห้าของหนึ่งในสงครามที่เลื่องลือ และยาวนานครั้งหนึ่งบนประวัติศาสตร์มนุษย์ “ดีพ สไตรค์” สงครามครั้งนี้นั้นได้ส่งผลกระทบต่อโลก
และมวลมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวงและสาหัส ตลอดแปดปีที่ผ่านมา สหพันธ์โลกที่กระสับกระส่ายจากความไม่คืบหน้าของการเข้าตี “เดอะ คอร์” เริ่มเกณฑ์คน และใช้มาตราการ
ในการรบที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ถึงสงครามหลักๆจะอยู่แค่ที่ชาเลนเจอร์ดีพ บริเวณร่องลึกก้นสมุทรมาเรียน่า แต่ผลกระทบของมันก็ส่งผลต่อไปยังที่ต่างๆมากมายบนโลก
บริเวณอเมริกาใต้ ความกดดันในพื้นที่ต่างๆในเมกซิโกลากยาวจนไปถึงบราซิลตอนเหนือเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดแปดปีที่พวกเขาดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงคราม เริ่มมี
พวกคาร์เทล์ที่อยากหาประโยชน์จากสงครามผุดขึ้นมาทีละน้อย จากประเทศที่หัวรุนแรงอยู่แล้ว เหมือนดีพ สไตรค์ จะทำให้เพลิงของพวกมันลุกโชนขึ้นมามากกว่าเดิม
มันเริ่มจากการที่เหล่าพ่อค้ารายใหญ่ของโคลัมเบีย ส่งอาวุธยุโธปกรณ์ไปให้กับทางการของสหพันธ์โลก ซึ่งในตอนนั้นถือว่าเทคโนโลยีของทั้งสองฝั่งนั้นค่อนข้างพอๆกัน จาก
หนึ่งกลุ่มเพิ่มเป็นสองกลุ่ม สาม และสี่ไปเรื่อยๆ พวกเขารู้ว่าการสนับสนุนทางทหารนี้จะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคาร์เทล์ และรัฐบาลโลก ไม่นานนักพวกคาร์เทล์ใน
โคลัมเบีย ก็ได้สถานะ“ผู้สนับสนุนโค่นล้มแซงค์ทั่ม” อย่างไม่ยากเย็น
แต่เรื่องมันไม่จบง่ายๆแค่นั้น ประเทศรอบข้างบริเวณอเมริกาใต้ไม่ได้เห็นด้วยกับพ่อค้าโคลัมเบียไปซะทั้งหมด หลายๆประเทศรอบๆโคลัมเบียเริ่มต่อต้านพวกเขาอย่างจริงจัง
เมื่อมาถึงเรื่องของ “การเมือง” “ศีลธรรม” หรือ “ปรัชญา” แล้วนั้น เงินและสถานะ ไม่สามารถทำให้คนเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เริ่มมีการลุกขึ้นต่อต้าน มันเริ่มต้นด้วยกลุ่มเล็กๆใน
เอกวาดอร์ ที่ทำการชุมนุมเรียกร้องให้พวกเขาหยุดการสนับสนุนเท่านั้น พ่อค้ายาในโคลัมเบียนั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงในทางที่ดีและไม่ดีบ้างสลับกันไป
ตอนแรกมันเป็นการโต้ตอบกันอย่างสันติ เลือดหยดแรกเกิดขึ้นเมื่อมีการวางระเบิดเครื่องบินโดยสารที่ดอนของแก๊งค์ชื่อดัง เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวันของโคลัมเบีย
มีผู้เสียชีวิตสองร้อยกว่าชีวิต จากผู้โดยสารเกือบสี่ร้อยคน ห้าคนในผู้เสียชีวิตนั้นคือหัวหน้าคาร์เทล์ของโคลัมเบียทั้งห้ากลุ่ม เป็นตัวจุดชนวน “สงคราม” เล็กๆภายในประเทศขึ้นมา
พวกค้ายาบุกโจมตีกลับ โดยการส่งนักฆ่าของพวกเขา บินไปเอกวาดอร์ และสาดกระสุนกลางถนนใส่ผู้ประท้วงทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ คนท้อง กลางถนน โดยสิ่งเดียวที่คนเหล่านั้น
ถือคือป้ายประท้วงเท่านั้น ทำให้รัฐบาลของเอกวาดอร์เข้ามาเกี่ยวพันกับพวกค้ายา
เวลาผ่านไปหลายเดือน หลังจากการสูญเสียและการนองเลือดของทั้งสองฝ่าย ความจริงก็ถูกเปิดเผย ว่าผู้ที่วางระเบิดเครื่องบินลำนั้น ไม่ใช่เหล่าผู้ประท้วง แต่เป็นหนึ่งในคนของ
คาร์เทล์ที่เมกซิโก ทำให้สถาณการณ์เปลี่ยนไปทันที สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อของโคลัมเบียกับเอกวาดอร์ก็จบลง แต่สงครามใหม่ก็เกิดขึ้นระหว่างเมกซิโกและโคลัมเบีย
พ่อค้ายาที่มี Influenceและอำนาจมากมายทั้งสองประเทศ ทำให้สงครามเกิดขึ้นเต็มรูปแบบได้อย่างไม่ยากเย็น
พวกเขามีวอร์โซนคือพื้นที่ระหว่างสองประเทศ ก็คือนิการากัว และกัวเตมาลา ซึ่งทำให้ทั้งคู่เข้ามาเกี่ยวพันโดยปริยาย แค่ภายในสองเดือนแรกของสงครามนั้น ก็มีผู้เสียชีวิตหลาย
หมื่นรายอาจจะเทียบไม่ได้เมื่อเทียบกับ ดีพสไตรค์ ที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่มันก็เล็ก และไม่สำคัญพอให้สหพันธ์โลกเข้ามายุ่งวุ่นวาย ในเมื่อพวกเขามีศึกสงครามที่ล้นมืออยู่
ในขณะนี้ ทำให้พื้นที่แถบอเมริกาใต้ กลายเป็นวอร์โซน ที่ถูกคุมโดยพวกนอกกฏหมาย ที่รุนแรง และป่าเถื่อน
“อัลวาเรซ การ์เซีย” เป็นหนึ่งในทหารนักฆ่า ของกลุ่มคาร์เทล์ที่โคลัมเบีย เขาเป็นชายโหดเหี้ยม ที่พร้อมลั่นไกคร่าชีวิตได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือคนแก่ ขอแค่นายของเขาสั่ง
มาเท่านั้นเขาก็จะทำ อัลวาเรซเป็นหนึ่งในคนที่หัวหน้าของพวกเขาไว้ใจมากที่สุด หลังจากเขาตายไปจากเหตุการณ์เครื่องบินระเบิด อัลวาเรซ นี่แหละที่เป็นหนึ่งในคนที่ขึ้นมาเปิดฉาก
สงคราม และนำความหายนะ มาสู่ดินแดนแห่งนี้
อัลวาเรซได้ไปพบกับหญิงสาวชาวเมกซิกันคนหนึ่ง ระหว่างการสู้รบ เขาขืนใจเธอ และนำเธอมาเป็นภรรยา ด้วยความไม่เต็มใจ บ้านของเขาแทนที่จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ กลับ
เป็นเหมือนฟืนในกองไฟที่ทำให้เขาก้าวร้าวยิ่งขึ้นไปอีก จากความกลัว ความโกรธ ของภรรยาของเขา กลายเป็นการยอมรับ และทนอยู่ ทั้งสองก็สร้างครอบครัวขึ้นด้วยกัน ท่ามกลาง
ไฟสงครามอันรอนระอุของอเมริกาใต้
สามปีถัดมา ย่างเข้าปีที่แปดของดีพสไตรค์ ลูกชายของอัลวาเรซก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เขาถูกตั้งชื่อว่า “จูเลียน การ์เซีย โอซาริโอ” เป็นเด็กทารกสุขภาพที่ ที่เกิดมาผิดที่ผิดเวลา มันเป็นครึ่งหลัง
ของสงครามดีพสไตรค์ที่ยาวนาน แต่ใครจะรู้ว่าที่อเมริกาใต้นี้ เมื่อไรไฟสงครามจะมอดลง พวกเขามาสายเกินแก้แล้ว
จูเลียนเติบโตมาในประเทศแห่งเปลวเพลิง เดินออกไปนอกบ้านเหมือนไปเดินเล่นท่ามกลางทุ่งระเบิด เขาต้องเรียนรู้การเอาตัวรอด และการต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็ก พ่อของเขามักจะไม่อยู่บ้าน
“บ้าน” ที่ว่านี่ก็ไม่ได้เป็นหลักเป็นแหล่ง จูเลียนมักจะเดินทางไปยังที่ต่างๆกับพ่อแม่ และผู้ติดตามอีกเกือบสิบคนตลอดเวลา เพราะพวกเขานั้นต้องพร้อมชักปืนและฆ่าศัตรูตอลดเวลา
ไม่มีเวลาพัก เขาอยู่กับแม่ที่เลี้ยงดูที่”บ้าน” ในขณะที่พ่อและคนอื่นๆออกไปสาดกระสุนใส่คนต่างๆ
ผ่านมาอีกหลายปี เขาถูกบังคับให้จับปืนทันทีที่เขาสามารถทำได้ เพราะพ่อของเขาอยากให้เขา “ทำตัวให้เป็นประโยชน์” กับพรรคพวกด้วย เขาจึงถูกเทรนจากเหล่านักฆ่าของคาร์เทล์
เพื่อป้องกันตัวและเพื่อออกไปทำตัวให้เป็นประโยชน์ดังที่พ่อเขากล่าวไว้ จูเลียนหวาดกลัวมากๆ เขาในตอนนั้น ไม่สามารถเข้าใจ และยอมรับได้ ที่ตัวเขาต้องมาประสบกับความรุนแรง
ทั้งหมดนี่ แม่ของเขาพยายามพาตัวจูเลียนหนีไปหลายครั้ง แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จ และจบลงที่การถูกทำร้ายร่างกายจากผู้เป็นสามี
เมื่อเวลาผ่านมา จากการต่อสู้เพื่อล้างแค้น และแย่งชิงอำนาจกัน ผู้คนที่เริ่มต้นและรบกันอยู่ตลอดสิบกว่าปีนั้น พวกเขาได้ลืมไปหมดแล้ว ว่าพวกเขาสู้กันไปเพื่ออะไร รู้ตัวอีกที มัน
ก็กลายเป็นสงครามแห่ง “ความศรัทธา” ระหว่างผู้ศรัทธาอีนิกม่า และผู้ศรัทธาแซงค์ทั่ม ถึงจะไม่มีใครรู้ก็ตามว่ามันเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครเป็นคนเริ่ม หรือว่าสงครามนี้มันมี
ความหมายอะไรจริงๆหรือไม่จูเลียนในวัยแปดปีนั้น ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย เขาแค่อยากมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น เขาได้เสียแม่ไปจากเหตุการณ์ยิงปะทะกัน เมื่อไม่มีเธอคอยปกป้อง
จูเลียนจึงต้องตามพ่อของเขาเข้าสนามรบอย่างปฏิเสธไม่ได้
วันหนึ่งจูเลียนได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุมากกว่าเขาสองถึงสามปี เธอเป็นเด็กผู้หญิงน่าตาน่ารัก ไม่รู้ว่าสัญชาติอะไร หรืออยู่ฝ่ายไหน รู้แค่ว่าเธอนั้นเองก็เป็น คนที่พยายาม
เอาตัวรอดเช่นเดียวกับเขา จูเลียนรู้สิ่งนี้ได้ทันที ทำให้เขานั้นรู้สึกว่าเขาผูกพันธ์กับเธอตั้งแต่แรกพบ มันอาจเป็นความรักไร้เดียงสาของเด็กน้อย แต่ท่ามกลางโลกอันโหดร้ายใน
ตอนนี้นั้น การมีใครอีกสักคนหนึ่งในวัยเดียวกัน ด้วยทัศนคติ และมุมมองอันบริสุทธิเหมือนกัน มันทำให้โลกของเขานั้นสว่างขึ้นมากเหลือเกิน
เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวคนสุดท้องของช่างเครื่องยนต์คนหนึ่งในเมกซิโก พวกเขาอาศัยอยู่ในโรงรถเล็กๆในเมกซิโกซิตี้ เธออยู่กับพ่อ และพี่สาวอีกสองคน มันเป็นครอบครัวที่
อบอุ่นที่จูเลียนไม่เคยมีมาก่อน เขาชอบแอบมาที่นี่บ่อยๆ เพื่อหลีกจากชีวิตอันโหดร้ายของตนเอง และครอบครัวนี้ก็ดูแลเขาดีเหมือนกับลูกชายแท้ๆ พวกเขานั้นเป็นแค่ผู้เคราะห์ร้าย
ในเหตุการครั้งนี้ ไม่สนว่าฝ่ายใดจะผิดหรือถูก ฝ่ายใดจะชนะ ขอแค่ให้มันจบเร็วๆ ก็พอแล้ว
โรงรถโรงนั้น มีสิ่งหนึ่งที่เมื่อจูเลียนเห็นแล้ว มันเตะตาเขาเข้าอย่างจัง มันคือยานบินรุ่นเก่าสี่ถึงห้าปี มันเป็นเหมือนมรดกตกทอดของครอบครัวครอบครัวนี้ มันเป็นยานสีแดงที่ดูเก่าแก่
แต่ถูกรักษาอย่างดีจูเลียนนั้นถึงจะขับมอร์เตอร์ไซค์เป็น แต่ก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เขาจึงสนใจเป็นอย่างมาก บางวัน เด็กหญิงคนนั้น ก็จะแอบพาจูเลียนมาขับยานบินลำนี้ไป
รอบๆหมู่บ้านอันรกร้างของพวกเขามันดูเหมือนเป็นเซฟสเปซ และพื้นที่ที่เขามาพักผ่อนหย่อนใจ ก่อนจะกลับเข้าไปในสงคราม ที่พ่อเขาช่วยก่อขึ้นมา
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี สงครามเมกซิโก-โคลัมเบียก็ใกล้เดินทางมาถึงจุดจบ พร้อมๆกับดีพสไตรค์ เป็นจุดจบที่น่าสลดและไม่มีใครคาดคิด จูเลียนที่หลงรักความเร็วและยานบิน
เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะออกไปจากประเทศนี้ ในวัย 9 ขวบ เขาได้เข้าเผชิญหน้ากับอัลวาเรซ พ่อแท้ๆของเขา
“แกมันก็แค่เครื่องมือของชั้น” นี่คือสิ่งที่อัลวาเรซบอกกับลูกชายแท้ๆของตนเอง ถึงมันชัดเจนมานานแล้วก็ตาม แต่เขาเพิ่งตระหนักอย่างถ่องแท้ ว่าพ่อเขานั้นไม่เคยจะรักหรือ
เห็นเขาเป็นลูก คุณลุงช่างยนต์นั่น ยังดูแลเขามากกว่าเสียอีก จูเลียนหมดศรัทธาในตัวพ่อของเขา แต่ก็หวาดกลัวเกินกว่าจะทำอะไรได้
วันรุ่งขึ้นข่าวก็ถูกประกาศไปทั่วทั้งโลก ข่าวที่เชื่อว่าคนทั้งโลกนั้นรอคอยอยู่ สงครามดีพสไตรค์ ได้จบลงแล้ว แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครคาดการณ์ หรือหวังจะให้เกิดขึ้น การระเบิด
อันรุนแรงของหินที่บริเวณชาเลนเจอร์ดีพ สิบกิโลเมตรแห่งความตาย ข่าวนี้ไม่ทำให้ใครที่เมกซิโกโล่งใจเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความช็อคและความสลด แต่มันก็แลกกับสันติภาพ
ที่กำลังจะมาในไม่ช้า
เมื่อพ่อของเขาและคนอื่นๆ ผู้นำกลุ่มต่างๆในอเมริกาใต้ได้ยินข่าวนี้ ทุกอย่างเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แม้แต่อัลวาเรซที่เป็นคนโหดร้ายทารุณ ก็ถึงกับวางปืนลงพื้น และเดินออกมาสัมผัส
อากาศที่เต็มไปด้วยดินปืนและละอองเลือด เหมือนกับเพิ่งจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป หลังจากดีพสไตรค์จบลง สงครามเมกซิโก-โคลัมเบีย ก็จบลงตามกันไปในไม่ช้า ด้วยการวางอาวุธของ
ทุกๆฝ่าย พวกเขาต่างก็ยอมแพ้ ต่างหันหน้าเข้าหากัน เพื่อสันติภาพ
หลังจากเหตุการณ์เมกซิโก-โคลัมเบียจบลง ทางการ สหพันธ์โลกที่ค่อยๆแบ่ง Resources มาจัดการกับเรื่องนี้ ก็เริ่มจับคนบงการไปรับโทษ รวมถึงพ่อของจูเลียนด้วย โลกได้พบกับการ
เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เพื่อให้ทุกๆฝ่ายรวมเป็นหนึ่งเดียว ทั้งสองประเทศ รวมถึงประเทศอื่นๆในแถบอเมริกาใต้ ต่างก็ตกลง และกลับมาเป็นพันธมิตรกันเหมือนเดิม ทำให้ความ
สงบสุขมาเยือนอเมริกาใต้ และโลกนี้อีกครั้ง
จูเลียนในวัย 9 ขวบ เขาถูกมองจากคนของสหพันธ์ว่าเป็น Victim เนื่องจากโดนบิดาทำร้ายทารุณและยัดเยียดสิ่งที่เขาไม่ได้ต้องการให้ เขาถูกนำไปที่สถานบำบัดทันที พร้อมๆกับเด็กที่
โตมาในนั้นอีกหลายร้อยชีวิต เพื่อทำให้พวกเขาหลุดจากฝันร้าย และความทรงจำอันโหดร้าย จูเลียนไม่เคยชอบที่นั่นเลย เพื่อนรัก และเด็กผู้หญิงที่เขาแอบมีใจให้ ไม่ได้อยู่ที่นั่น
เขาไม่เคยเจอกันอีกเลย จากการพบปะกันครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจะไม่ได้เจอกันอีก ความทรงจำสุดท้ายของเขากับเธอนั้น คือการนั่งคู่กันบนยานบิน ขับไปสุดขอบฟ้าด้วยความเร็วสูง
มันจุดประกายฝันของจูเลียนอีกครั้งหนึ่ง และตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้ว เขาต้องเดินทางตามฝันนั้นให้ได้
เขาออกมาจากสถานบำบัดตอนอายุ 12 ปี สามปีถัดจากเหตุการณ์ดีพสไตรค์จบลง เขาได้มาอาศัยในประเทศ Capital ของสหพันธ์โลก ได้รับ Citizen License จากที่นั่น เขาทึ่งมากกับ
ความแตกต่างระหว่างโลกเดิมที่เขาเคยอยู่กับที่นี่ จริงๆแล้วเขาควรจะถูกนำไปรับเลี้ยงโดยครอบครัวที่อาสารับเด็ก แต่เขาหนีออกมาจากโปรแกรม เนื่องจากเขาอยากใช้ชีวิตในแบบของตนเอง
เขาลงสมัครทัวร์นาเมนต์แข่งขับยานบินรุ่นเยาวชน ในรอบคัดเลือกนั้น ฝีมือของเขาไปถูกใจเจ้าของโปรทีมแข่งคนหนึ่ง ทำให้จูเลียนได้รับการดูแลจากเขา โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะสนับสนุนเรื่อง
ของการบินให้จูเลียน แลกกับความเปนอิสระของเขา
แน่นอนว่าจูเลียนนั้นไม่ได้เรียนหนังสือ เขาแค่อ่านออกเขียนได้ และมีความรู้แค่เท่าที่จำเป็นก็เพียงพอ สองปีแรกจูเลียนไต่เต้าและสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอย่างมาก เขาสามารถคว้าแชมป์
หลายรายการ และทำให้เงินทองเริ่มไหลมาเทมา เนื่องจากการที่เจ้าของทีมนั้นเหมือนจะเอาเปรียบเขาเกินไป หลังจากหมดสัญญาในปีที่สอง จูเลียนจึงฉีกตัวออกมา และเป็นนักแข่งอิสระ
ที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร
ในวัยสิบห้าปี จูเลียนเริ่มต้นเข้าแข่งขันระดับผู้ใหญ่ เขามีเงินมากพอที่จะซื้อ ดัดแปลงโมดิฟาย สร้างยานคัสต้อมของตนเอง เขาขับยานสีแดงสดที่เตะตา เพราะมีความเชื่อว่าเมื่อทาสีแดงแล้ว
มันจะแรงสามเท่า ทำให้ได้ฉายาในวงการว่า “The Red Wind” ซึ่งก็ยังคงได้รับการเรียกขานจนถึงทุกวันนี้ในฐานะนักล่าเงินรางวัล เขาใช้ชีวิตหรูหรากับแสงสีเสียง บ้านเมืองและวัฒนธรรม
ปาร์ตี้ กินเหล้า เฮฮาสังสรรค์ ความเร็วและการแข่งขัน ที่แตกต่างกับชีวิตในวัยเด็กที่มีแต่ดินปืนและซากศพอย่างสิ้นเชิง และเขาก็สนุกไปกับมันมากๆ และนี่แหละคือชีวิตที่เขาวาดฝันไว้
นี่คือสิ่งที่เขาคิด แต่จูเลียนนั้นคิดผิดมหันต์
ตลอดเวลาหกปีที่เขาออกมาใช้ชีวิตนอกเมกซิโกนั้น วันเวลาเก่าๆเหล่านั้นมันยังคงตามมาหลอกหลอนเขาเสมอ ทั้งในฝัน ตอนหลับหรือตอนตื่น มันอาจจะเป็น PTSD รูปแบบหนึ่ง แต่มันไม่ได้
ทำให้จูเลียนหวาดกลัวหรือช็อคตกใจใดๆทั้งสิ้น มันกลับทำให้เขา “คิดถึง” และ”โหยหา” สิ่งเหล่านั้นอยู่ลึกๆต่างหาก ชีวิตที่เป็นนักแข่งยานบินของเขานั้น มันยังไม่พอสำหรับตัวเขาเองหรอก
และในตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้สิ่งนั้นก็เท่านั้นเอง
ด้วยนิสัยของจูเลียนในตอนนั้นที่ห้าวๆ กวนๆ ไม่กลัวใครนั้น ทำให้เขาไปมีเรื่องกับนักแข่งรุ่นพี่หลายราย โดนหาว่าปืนเกลียว หรือเล่นไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ บางส่วนมันก็เป็นเรื่องจริง แต่บางส่วน
ก็แค่เพราะว่าจูเลียนนั้นฝีมือร้ายกาจและน่าหวาดหวั่น ถึงจะเป็นแค่เด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ทำให้พวกรุ่นพี่ หรือนักแข่งรุ่นใหญ่ ต้องทำตัวข่ม กดดัน เพื่อทำให้จูเลียนนั้นคิดว่าตัวเองต้อยต่ำและใช้
อำนาจเหล่านี้ในการเอาเปรียบในการแข่ง
แต่ของพวกนั้นมันใช้กับเขาไม่ได้ผลเลย เขาไม่สนใจว่าใครจะอายุเท่าไหร่ อยู่ในวงการมากี่ปี สำหรับจูเลียน พวกคนเหล่านั้นก็เป็นแค่คู่ต่อสู้ที่เขาต้องเอาชนะเท่านั้น ผ่านมาสองปี แค่อายุสิบเจ็ดปี
จูเลียนก็คว้าถ้วยรางวัลชนะเลิศ รายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกมาได้อย่างพลิกล็อค โดยการเอาชนะแชมป์เก่าที่มีสถิติที่ไม่มีใครทำลายได้ ไปพร้อมๆกับทำลายสถิตินั้นลงได้สำเร็จ เป็นการสร้าง
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการเลยก็ว่าได้ และด้วยวัยของเขา ทำให้มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากๆ
การแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือด เสียงเชียร์ของทั้งสองฝ่ายนั้นดังก้อง คู่ต่อสู้ของจูเลียนเรียกได้ว่าเป็นนักบินอันดับหนึ่งของโลกในตอนนั้น เทียบได้กับ เมสซี่ ในยุคบาร์ซ่าของเป๊ปเลยทีเดียว
และจูเลียน ก็เป็นเหมือนเอมบับเป้ ในยุคของโรนัลโด้และเมสซี่ เป็นดาวรุ่งไฟแรง ที่จะมาโค่นล้มบัลลังค์ของราชา
แต่แล้วจูเลียนก็เอาชนะเขาไปได้ด้วยเวลาที่ค่อนข้างขาด สำหรับนักแข่งแล้วเป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง นักแข่งคนนั้นเลยแก้เขินด้วยการเดินเข้าไปหาและพยายามขอจับมือจูเลียน
เพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ให้กับเด็กรุ่นใหม่เท่านั้น แต่เขาไม่จับมือตอบ
จูเลียนแค่มองนักแข่งคนนั้นด้วยสายตาเหยียดหยาม และรอยยิ้มที่ยั่วยวนกวนประสาทของเขา นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับเหล่านักแข่งที่มีต่อชายหนุ่มผู้นี้ เด็กวัยรุ่นไฟแรงที่ไม่เกรงกลัว
หรือเคารพใคร มักจะอยู่ได้ไม่นานหรอก ไม่ว่าจะเป็นเวทีไหนๆก็ตาม และแล้วชีวิตนักบินในฝันของจูเลียนก็จบลง อย่างน้อยก็ในฐานะนักแข่ง หลังจากฉลองแชมป์ไปไม่กี่วัน จูเลียน
โดนคนราวๆสี่คน มาทำร้ายร่างกายเขาจนสาหัสในห้องพักของเขาเอง มีทั้งรอยแผลถูกแทง และกระดูกที่แตกทั่วตัว ไม่มีใครสืบได้ว่าคนพวกนี้ถูกใครส่งมา แต่ถ้าถามจูเลียนแล้ว
ไม่มีข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น พวกรุ่นพี่บนเวทีแข่ง เขารู้เรื่องนี้ดี
หลังจากออกมาจากโรงพยาบาลที่เขานอนอยู่เกือบหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ จูเลียนก็ได้รับจดหมายหนึ่งฉบับ ที่มีข้อความขู่ว่าไม่ให้เขาลงแข่งอีก ไม่งั้นคราวหน้าอาจจะไม่ได้มีชีวิตรอดมาได้
เมื่อเขากลับไปที่โรงเก็บยาน ปรากฏว่ายานของเขาถูกทำลายไม่มีชิ้นดี มันโดนระเบิด เผา ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง จนไม่เหลือเค้ายานของแชมป์เปี้ยน ช่างเครื่องที่คอยดูแลยานที่จูเลียน
ค่อนข้างสนิทด้วยเหมือนพี่น้อง ก็ถูกทุบตีจนเสียชีวิต พอจูเลียนเข้าไป ก็เจอศพของเขาเหม็นเน่าอยู่แล้ว เหตุการณ์นี้มันได้สปาร์คบางสิ่งบางอย่างในตัวเขากลับขึ้นมา
ตัวตนอันบ้าดีเดือดและบ้าคลั่งที่เขาเก็บเอาไว้ และใช้เพอร์โซน่าของนักแข่งเจ้าสเน่ห์กวนโอ๊ยปิดบังมาไว้ สิ่งที่เขาสั่งสมไว้ในไวเด็ก มันเหมือนจะปะทุออกมา ขาดแค่แรงส่งอีกนิดเดียวเท่านั้น
หนึ่งปีถัดมา จูเลียนในวัยสิบแปดปี เขาใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไป ใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่เรียกหรือหาเรื่องให้ตัวเอง ถึงตัวเขาเองจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันอึดอัด อยากปลดปล่อยอะไรสักอย่าง
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เขาใช้เงินที่ได้จากการแข่งขันไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย จนมันค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จนใกล้หมดเต็มที เขาคิดว่าตัวเองต้องไปหางานทำ แต่สิ่งที่เขารู้มีแค่สองอย่างเท่านั้น
คือขับยาน และยิงปืน
วันหนึ่งโอกาสทองก็มาถึง งานที่ใช้คุณสมบัติทั้งสองอย่างของเขา ชายผู้หนึ่งเข้ามาทาบทามจูเลียนระหว่างที่เขากำลังเที่ยวอยู่ที่สถานบันเทิงใต้ดิน จูเลียนไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
อาจจะเป็นคนใหญ่คนโตของสหพันธ์ หรือโคตรโจรอหังการก็ได้ ชายคนนี้มาเสนองานที่จะเปลี่ยนชีวิตของจูเลียนไปตลอดกาลให้กับเขา มันคืองาน”ปล้น”
ชายคนนี้เล่าให้ฟังว่า หนึ่งในนักแข่งชื่อดังในตอนนี้นั้น มีบางสิ่งบางอย่าง ที่สมควรเป็นของเขา เป็นของๆองค์กรที่เขาอยู่ และตอนนี้ชายคนนั้นกำลังรวบรวมทีม เพื่อไปชิงมันกลับมา
มันไม่ใช่งานง่าย และต้องใช้คนมีฝีมือหลากหลายในการทำมันให้สำเร็จ เขาบอกว่าเขามาชวนจูเลียนก็เพราะว่า เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม และข่าวอันน่าสลด ของการวางมือของจูเลียน
เขาต้องการนักบินมีฝีมือและใจกล้า ใจนิ่งพอไปร่วมทีม ซึ่งชื่อของจูเลียนก็ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ นอกจากนั้นแล้ว เป้าหมายในงานนี้นั้น ยังเป็นหนึ่งในนักแข่งรุ่นพี่ ที่จูเลียนเคยมีเรื่อง
จนถูกทำร้ายปางตายมาแล้วอีกด้วย ถ้าทำงานสำเร็จ นอกจากได้เงินดีแล้ว ยังได้แก้แค้นอีกต่างหาก
จูเลียนไม่ได้ตอบตกลงในทันที ตอนแรกเขานั้นพยายามหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามที่ผิดกฏหมายให้มากที่สุด เขาได้รับโอกาสในการสร้างชีวิตใหม่ เขาไม่อยากทำมันพัง ชายคนนั้น
จึงตกลงและให้เขาไปคิด และติดต่อไปใหม่ได้ทุกเมื่อ คืนนั้นเอง บางสิ่งบางอย่างในตัวจูเลียนมันตื่นขึ้นมา เขาฝันเห็นภาพคืนวันเก่าๆ ที่เมกซิโก ที่สงครามครั้งนั้น บรรยากาศ
แห่งความพังพินาศรอบๆ กลิ่นของความตาย ความหวาดเสียว ความกลัว อาดรีนาลีนที่พลุกพลั่น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจแบบนี้ จูเลียนตื่นขึ้นมากลางดึก และโทรติดต่อชายคนนั้นไปในทันที
ชายคนนั้นตอบกลับมาว่า พวกเขาได้นักบินแล้ว แต่จูเลียนนั้นไม่ยอม ขอท้าบินแข่งกับนักบินของพวกเขา ทั้งสามนัดแนะวันทดสอบบินกัน และวันนั้นก็มาถึง จูเลียนนั้นไม่ได้ซ้อมขับ
หรืออะไรทั้งสิ้น เนื่องจากเขาไม่มียานของตนเองอีกต่อไปแล้ว แต่การแข่งขันครั้งนั้น จูเลียนก็ชนะได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร ทำให้เขาได้รับตำแหน่งตัวจริงของนักบินในงานปล้นครั้งนี้
ชายผู้รวมทีมคนนั้นสร้างยานคัสต้อมลำใหม่ให้กับจูเลียน เมื่อเขามาเห็นนั้นทำให้เขาอึ้งไปทันที เนื่องจากมันเป็น Replica ของยานลำเก่าที่เขาเคยใช้ในช่วงที่เขายังลงแข่งขัน
แม้กระทั่งสีแดงก็โทนเดียวกันเป๊ะๆ สิ่งที่ต่างก็มีแค่เครื่องยนต์ที่แรงกว่า รุ่นใหม่กว่า และระบบต่างๆที่ถูกอัพเกรดเพิ่มให้ทันสมัย ผสมกับยานลำนี้นั้นติดอาวุธพร้อมรบ
จูเลียนแปลกใจมากที่ชายคนนี้ยอมลงทุนขนาดนี้เพื่องานนี้
หลังจากนั้นงานก็เริ่มขึ้น พวกเขาทั้งหกคน นั่งยานลำใหญ่ไปที่คฤหาสถ์ยักษ์บนเทือกเขา ที่แห่งนี้มี Security รัดกุมมาก แค่สัญญาณเตือนภัยดัง โมบิลสูทจากสหพันธ์ก็พร้อมเข้ามาป้องกันภัยทันที
เพราะฉะนั้นงานนี้ต้องเพอร์เฟคต์เท่านั้น ถ้าหากไม่อยากปะทะกับสหพันธ์ ตามแผน จูเลียนเองก็ต้องลงไปลุยภาคพื้นดินเองเช่นกัน พวกเขาได้รับปืนยาสลบมากันคนละกระบอก เพื่อจัดการซีเคียวริตี้การ์ดและคนงานต่างๆ
ทั้งหกคนค่อยๆแฝงตัวเข้ามาในคฤหาสถ์ช้าๆพร้อมกับกระเป๋าสะพายใบใหญ่บนไหล่ทุกๆคน จนกระทั่งลุยเข้าไปถึงห้องที่เก็บเซฟไว้ ทั้งหกคนเปิดตู้เซฟใหญ่ออก มันเป็นหินพลังงาน
จากชาเลนเจอร์ดีพก้อนเท่าลูกตะกร้อจำนวนมหาศาล มากมายขนาดที่โกยใส่ถุงก็ไม่น่าจะหมด แต่แล้วแผนการทุกอย่างก็พังลงเมื่อหนึ่งในหกคนนั้นเป็นหนอนบ่อนไส้
เขาใช้ปืนจริงยิงใส่เพื่อนร่วมงานของพวกเขาจนเสียชีวิตคาที่ไปสองคนอย่างรวดเร็ว อีกสามคนที่เหลืออยู่รวมถึงตัวจูเลียนเองก็ตะเกียกตะกายสู้กับหนอนบ่อนไส้คนนั้น แต่ความสามารถ
มันห่างกันเกินไป จูเลียนคว้าปืนมาได้ และเป็นคนปลิดชีพหนอนบ่อนไส้คนนั้น แต่มันก็สายเกินไปแล้ว สัญญาณเตือนภัยได้ดังขึ้น ทั่วทั้งคฤหาสถ์ได้รับรู้ถึงการโจรกรรมเรียบร้อยแล้ว
แผนของพวกเขาแตกพังยับเยิน ในอีกไม่กี่นาที โมบิลสูทของสหพันธ์ก็จะกรูกันเข้ามาที่นี่อย่างแน่นอน
หลังจากทั้งสามคนที่เหลือโกยทุกอย่างเข้ากระเป๋าให้ได้มากที่สุดแล้ว ก็รีบวิ่งหนีออกมา กลับมาที่ๆพวกเขาจอดยานไว้ จูเลียนเห็นยานรบสีแดงของเขามาจอดตั้งไว้ข้างนอกเรียบร้อย
เขาจึงรู้ทันทีว่าแผนนี้มันไม่มีทางเพอร์เฟคต์อยู่แล้ว เหตุผลที่เขาถูกชวนเข้าทีม ก็เป็นเพราะแบบนี้นั่นเอง เขาส่งต่อถุงใส่หินให้กับเพื่อนร่วมทีม และกระโจนขึ้น “Red Wind” อย่างรวดเร็ว
ก่อนจะบินโฉบขึ้นไปบนฟ้า ปะทะกับโมบิลสูทเหล่านั้น
ถึงมันจะเป็นครั้งแรกที่เขาต้องขับไปพร้อมกับยิงไปด้วย แต่ด้วยระบบที่คอยช่วยเหลือ และคอมพิวเตอร์ต่างๆ ความเป็นนักบินธรรมชาติของเขาทำให้เขาทำมันได้อย่างดีเยี่ยม
จูเลียนขับเครื่องบินรบรับมือกับโมบิลสูทของสหพันธ์ทีละตัว และทำความเสียหายให้พวกมันได้บ้าง พอให้เพื่อนร่วมทีมของเขาหนีได้ จากนั้นเขาเองก็หนีตามมา ด้วยการสู้
ในแรงโน้มถ่วงโลก เครื่องบินปรับแต่งพิเศษลำนี้เร่งเครื่องได้ความเร็วมากกว่าโมบิลสูทรุ่นประจำการของสหพันธ์ ทำให้เขาสะบัดหนีพวกมันได้ในที่สุด
หลังจากงานจบ จูเลียนได้รับข้อเสนอมาว่า จะให้จ่ายเงินรางวัลเป็นเงิน หรือเขาอยากได้บางสิ่งบางอย่าง มันไม่ยากเลยสำหรับเขา เขาเลือก เครื่องบินรบสีเดงลำนี้ “The Red Wind”
อย่างแน่นอน เมื่องานนี้จบ จูเลียนก็ค้นพบตัวเองอีกครั้ง ว่าเขาไม่จำเป็นต้องเดินตามกฏหมาย ไม่ต้องเล่นตามกฏของใคร เขาแค่ใช้ชีวิตตามใจอยากของเขานั้นดีกว่า
จูเลียนในวัยสิบเก้าปี จึงเริ่มออกเดินทางไปรอบโลกด้วยเครื่องบินคู่ใจของเขา รับทำงานต่างๆ ทั้งงานที่ผิดกฏหมายหรือถูกกฏหมาย ขอแค่ให้ได้เงิน และได้ความเร้าใจเท่านั้น
เขาก็จำทำมันทั้งหมด ตอนแรกนั้นเขาได้ว่ายเวียนกลับเข้าไปที่บ้านเกิดอเมริกาใต้ และได้รับงานส่งขนยาข้ามแดนให้กับเหล่าคาร์เทล์ที่ยังหลงเหลือ มันเป็นงานง่ายๆที่แค่ต้องบิน
ต่ำกว่าเรดาร์ และไปให้เร็วเท่านั้น เหมือนแค่กระดิกนิ้วก็ได้ตัง
ผ่านไปราวสี่ปีที่จูเลียนทำงานเป็นคนขนยาเถื่อน ในระยะเวลานั้นเขาได้เข้าไปพัวพันกับวัฏจักรเดิมๆของความรุนแรง การหักหลังฆ่าฟัน การนองเลือดอีกครั้ง เขาเริ่มขยายวงธุรกิจ
ของเขาออกไปเรื่อยๆ ล่าค่าหัว ล่าสมบัติ ขนของขนคนข้ามแดน ลักพาตัว etc. แต่ระหว่างหนึ่งในภารกิจที่เขาทำ จูเลียนได้ไปพบกับ Alexander Vladimir Vasilly นักบินหนุ่มฝีมือดี
ที่รักเทคโนโลยี วิชาการ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาขาดไป ทั้งสองตกอยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน หลังจากรอดตายออกมาได้ จูเลียนจึงชวนอเล็กซานเดอร์เข้าทีมของเขา ไปเป็นลูกมือให้กับเขา
โดยตอนแรกอเล็กซานเดอร์เองก็ชั่งใจ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ตกลงมาเข้าร่วมทีมกับจูเลียน เมื่อมีสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่งคน ชื่อเสียงของ Red Wind Crew ก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง
พวกเขาเป็นนักล่าเงินรางวัลชื่อดังที่ทำงานไม่เคยพลาด พวกเขาทั้งสองนั้นเคยสนใจในโมบิลสูท แต่สำหรับจูเลียน มันไม่โฉบเฉี่ยวเฟี้ยวฟ้าวเท่ากับเครื่องบินที่เขาหลงรัก ทำให้เขาไม่ได้แคร์มากเท่าไหร่
รายได้หลักของพวกเขาสมัยก่อนนั้น คือการตามหาหินแร่ที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกจากแรงระเบิด พวกเขาจะขับเครื่องบินไปรอบโลกเพื่อหาเศษซากพวกมัน ลงไปสกัดมันออกมา
และปล่อยต่อในราคาดี นอกจากนั้น อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งทีตกทอดมาจากสงครามดีพสไตรค์ เป็นของมีราคาทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่แค่ของเท่านั้น พวกอาชญากรมีค่าหัว Red Wind Crew
ก็ไล่เก็บค่าหัวจนเหี้ยน ทำให้ชื่อของจูเลียน การ์เซียร์ โอซาริโอ กระฉ่อนขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งหนึ่งที่พวกเขากำลังไล่ล่าเป้าหมายอยู่นั้น ด้วยความเลือดร้อนไม่คิดหน้าคิดหลังของจูเลียน ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีกครั้ง ที่อันตรายถึงตายได้ แต่จูเลียนและอเล็กซานเดอร์
ถูกช่วยชีวิตไว้โดยนักล่าสาวอีกคนที่ลงมางานเดียวกัน Sarah Prowler เธอเป็นหญิงสาวลูกสาวนักบินฝีมือดี หลังจากช่วยชีวิตทั้งคู่ไว้ จูเลียน อเล็กซาเดอร์ และซาร่าห์ ก็ช่วยกันพากันหนี
ออกมาจากที่นั่น พวกเขากลับไปรวมตัววางแผน และกลับมาทำงานให้สำเร็จอีกครั้ง
หลังจากเหตุการณ์นั้น จูเลียนจึงได้ชวนซาร่าห์มาเข้าทีม ในตอนแรกนั้นซาร่าห์อยากที่จะลุยเดี่ยว แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันโน้มน้าวจิตใจเธอจนเธอเข้ามาเป็นสมาชิกคนล่าสุดและคนสุดท้าย
ของทีมได้สำเร็จ จูเลียนบอกทั้งคู่ว่ามีงานจะต้องไปสะสาง เขาเดินทางกลับไปที่ Capital เพื่อไปหาราชานักแข่งคนนั้น ที่เป็นคนส่งคนมาทำร้ายร่างกายเขาจนปางตายอีกครั้ง
เวลาผ่านไปเก้าปีจากตอนนั้น เขาเป็นแค่ชายวัยกลางคนที่เกษียณก่อนวัยอันควร เมื่อเห็นเช่นนั้น จูเลียนก็เกิดสงสารขึ้นมาเล็กๆ แต่ก็ไม่ลืมว่าเขาเคยทำอะไรไว้กับจูเลียน และวันนี้เขามาเพื่ออะไร
ทั้งสองคุยกันสักครู่ เหมือนเป็นการคุยและเป็นการบอกลาซะมากกว่า ชายคนนั้นรู้ว่าจูเลียนมาเพื่อแก้แค้น แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าเขาตะโกนหรือขัดขืนอะไร ก็มีแต่จะทำให้มันเร็วขึ้นเท่านั้น
เขายังอยากถ่วงเวลาไปได้เรื่อยๆ และหลังจากคุยกันไม่นานนัก จูเลียนก็ชักปืนพกที่มีที่เก็บเสียงขึ้นมา จ่อเข้าที่หัวของหมอนั่น และลั่นไกใส่กลางหน้าผากของเขา
เมื่อจบเหตุการณ์นั้น จูเลียนก็บินออกมาจาก Capital ด้วยเครื่องบินสีแดงของเขาพร้อมกับพรรคพวกที่เขาไว้ใจอีกสองคน และเขาไม่คิดจะหันหลังกลับไปอีกเลย นับจากตอนนั้น
มาเป็นเวลาอีกสามปี จูเลียน อเล็กซานเดอร์ และซาร่าห์ ก็ทำงานร่วมกันเป็นนักล่าเงินรางวัลที่มีชื่อเสียงทั้งในแง่บวกและลบไปทั่วทั้งโลก จากเด็กน้อยที่โตมากับสงครามที่ส่งผลมาจากดีพสไตรค์
ดูเหมือนสันติภาพของโลกนั้นจะไม่ยั่งยืน และไม่แน่ จูเลียนและพรรคพวกของเขาอีกสองคน อาจจะได้กลับมาพัวพันกับเหตุการความขัดแย้งอะไรบางอย่างของมนุษยชาติอีกก็เป็นได้
ความสามารถพิเศษ : High Speed Maneuver , ความแม่นยำในการยิงปืนทั้งปืนยานรบและปืนธรรมดา
theme