|
Post by wildrose on Sept 20, 2018 16:26:26 GMT
Episode 5 Berserk
ฟู่ววววววว เปรี้ยง !!! Wing Gundam Zero และ Red Frame พุ่งเข้าปะทะกันทันที Wing Gundam Zero ตวัดดาบ Beam saber ที่อยู่ในมือเข้าโจมตี Red Frame อย่างรวดเร็ว แต่ว่า Gundam astray Red Frame นั้นถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้ระยะประชิดโดยเฉพาะ และอย่างยิ่งเมื่อมีดาบ Garbera Strike อยู่ในมือแล้วด้วยล่ะก็ ถึงต่อให้เป็นโมบิลสูทที่มีสมรรถนะโดยรวมสูงกว่าก็ยากที่จะเอาชนะ Red Frame ในระยะประชิดได้“ไม่เท่าไรเลยนี่นา กันดั้มของกองทัพโลกน่ะ !!” ผู้ขับ Red Frame กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบราวกับว่ากำลังดูถูกเฮเลลอยู่ในที“หนอย !! อย่ามาดูถูกกันให้มากนักเจ้าพวกชาวดาวอังคาร !!” เฮเลลพยายามรุกเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนว่าผู้ขับ Red Frame นั้นจะมีความชำนาญเกมมากกว่าจึงสามารถปัดป้องกันโจมตีระยะประชิดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก“แบบนี้ไม่ได้การแน่ ! โมบิลสูทของศัตรูมีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดสูงกว่ารีบติดต่อคนขับ Wing Gundam Zero ให้รู้เรื่องนี้ก่อนที่เขาจะเสียเปรียบ” สกาเล็ตกล่าวขึ้นหลังจากที่เธอได้ทําการวิเคราะห์อาวุธและสมรรถภาพโดยรวมของ Gundam astray Red Frame เสร็จสิ้นแล้ว มิโดริเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบเปิดช่องสัญญาณสื่อสารโดยตรงไปถึง Wing Gundam Zero ทันที“เฮเลล เธอไม่สามารถจะเอาชนะโมบิลสูทเครื่องนั้นได้จากระยะประชิดหรอก Wing Gundam Zero มีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดที่ด้อยกว่าโมบิลสูททางนั้นมาก รีบถอยออกมาแล้วใช้อาวุธระยะไกลเถอะ” มิโดริกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อนและจริงจังข้อความของเธอนั้นถูกส่งไปยัง Wing Gundam Zero อย่างชัดเจนเฮเลลเมื่อได้ยินคำพูดของเธอก็เข้าใจถึงสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีแต่ดูเหมือนว่าเขานั้นก็จะรับรู้ได้ว่าตัวของเขานั้นติดกับดักเข้าเสียแล้ว ในการต่อสู้ Red Frame จะพยายามยืนหันหลังให้กับหอบังคับการและถือดาบ Gerbera Strike เอาไว้ในมือโดยที่ไม่ยอมถอยไปจากจุดนั้นเลยแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าหากว่าเขาใช้ปืนบัสเตอร์ไรเฟิลยิงออกไปแล้ว Red Frame หลบการโจมตีของเขาได้รับแสงอนุภาคซึ่งเป็นลูกหลงนั้นจะเข้าไปทำลายหอบังคับการที่พวกมิโดรินั้นกำลังยืนอยู่จนแหลกเป็นจุล ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะโจมตีด้วยอาวุธระยะไกลได้เพราะว่า Red Frame ได้ใช้พวกมิโดริเป็นตัวประกันทางอ้อมไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยิ่งถ้าจะให้สู้ในระยะประชิดเขาก็ไม่มีทางชนะ ในเกมการต่อสู้ครั้งนี้ Red Frame ใช้สถานการณ์และจุดยุทธศาสตร์บีบเขาให้จนมุมตั้งแต่แรก“อ่าว เป็นอะไรไปล่ะ ความฮึกเหิมเมื่อกี้หายไปไหนหมด ? รีบบุกเข้ามาสิโมบิลสูทของกองทัพโลก !” นักบินของ Red Frame กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังเย้ยหยันเพื่อยุแยงให้เฮเลลนั้นบุกเข้าไป แต่เฮเลลนั้นรู้ดีว่าต่อให้บุกเข้าไปโจมตีระยะประชิดเขาก็แทบจะไม่มีทางชนะ และจะใช้อาวุธระยะไกลต่อสู้ก็ทำไม่ได้“อย่าคิดว่าถือไพ่เหนือกว่าแล้วจะมาดูถูกกันได้นะ !! เดี๋ยวผมจะแสดงให้ดูถึงสมรรถนะของโมบิลสูทของกองทัพโลกเดี๋ยวนี้ล่ะ !!” เฮเลลกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและมุ่งมั่นก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปยังสวิตช์ที่ใช้ในการเปิดระบบ Zero System ก่อนที่เขาจะเปิดมันขึ้นอย่างช้าๆ
“Zero System ลิมิต 50% On !!” ทันใดนั้นความรู้สึกใน Cockpit ของ Wing Gundam Zero ก็เปลี่ยนไป เฮเลลนั้นขับ Wing Gundam Zero พุ่งทะยานเข้าไปจู่โจม Red Frame ในระยะประชิดอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เขารู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของ Red Frame นั้นช้าลงอย่างมาก เขาสามารถที่จะมองการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งเขานั้นยังรู้สึกได้ว่าจะใช้รูปแบบการโจมตีแบบไหนถึงจะสามารถโต้กลับไปอย่างได้ผล เปรี้ยง !! เปรี้ยง !! เปรี้ยง !! เปรี้ยง !! เปรี้ยง !! เสียงของ Beam saber และดาบคาตานะ Gerbera Strike ปะทะกันอย่างรุนแรงหลายครั้ง ความเร็วของโมบิลสูททั้ง 2 เครื่องนั้นในคราวนี้ดูสูสีกันถึงแม้ว่า Wing Gundam Zero นั้นจะดูช้ากว่า Red Frame อยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่ว่าลักษณะการเคลื่อนไหวที่ดูสิ้นเปลืองของ Wing Gundam Zero นั้นน้อยลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทำให้สมรรถภาพในการต่อสู้ระยะประชิดของทั้ง 2 เครื่องนั้นสูสีกัน“ใช้ระบบช่วยเหลือนักบินอย่างนั้นหรือ ? จะเรียกว่าขี้โกงก็คงจะไม่ได้ล่ะนะพลังของเทคโนโลยีนี่มันน่ากลัวจริงๆถ้าอย่างนั้นล่ะก็ !!” นักบินของ Red Frame เพ่งสมาธิไปกับการต่อสู้มากขึ้น ในขณะที่ Wing Gundam Zero นั้นโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่องแต่ว่าไร้รูปแบบเหมือนกับคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ ถึงแม้ว่าจะรวดเร็วแต่มันก็มีจุดบอดที่เปิดช่องว่างเอาไว้มากมาย“ตอนนี้ล่ะ !” คนขับ Gundam astray Red Frame ตวัดดาบ Gerbera Strike เข้าสวนการโจมตีในจังหวะที่ Wing Gundam Zero นั้นสับ Beam saber ลงมา ความเร็วในการเหวี่ยงดาบของ Red Frame ที่มากกว่า Wing Gundam Zero เล็กน้อยนั้นทำให้คมดาบของ Gerbera Strike สามารถที่จะตัดผ่านการโจมตีและทำลาย Beam saber ของ Wing Gundam Zero ลงได้ในการโจมตีครั้งนั้น“เป็นการดวลที่สนุกมากแต่มันจบแล้วล่ะ !! ยอมแพ้ซะ…...เห้ย !!” คนขับ Red Frame กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูยินดีเพราะว่าเขาสามารถที่จะทำลายอาวุธระยะประชิดของศัตรูลงได้ แต่ว่าความรู้สึกยินดีของเขานั้นก็อยู่ได้เพียงแค่ชั่ววูบเนื่องจากว่า Wing Gundam Zero นั้นได้ชักเอา Buster rifle ขึ้นมาในชั่วพริบตาจากนั้นก็ยิงลำแสงเป็นอนุภาคเข้าใส่เรดเฟรมโดยที่ไม่สนใจเลยว่าตึกบัญชาการนั้นอยู่ด้านหลัง “แย่แล้ว !! อั๊ก !!!” คนขับ Gundam astray Red Frame รีบตรงเข้าไปและใช้มือของหุ่นตนเองทั้งสองข้างคว้าจับเข้าที่ปืน Buster rifle ของ Wing Gundam Zero ความร้อนจากลำแสงอนุภาคนั้นทำให้แขนของ Gundam astray Red Frame นั้นหลอมละลายในทันที จากนั้นความร้อนก็ทำให้ปืน Buster rifle ที่อยู่ในมือของ Wing Gundam Zero หลอมละลายและเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงตู้มมมม !!! เสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับความตกใจของนักบินโมบิลสูททั้งสองคน และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ในหอบังคับการ แรงกระแทกจากการระเบิดนั้นทำให้ Gundam astray Red Frame กระเด็นถอยหลังเข้าไปชนกับหอบังคับการอย่างรุนแรง เป็นผลทำให้พวกมิโดริซึ่งอยู่ในหอบังคับการนั้นต่างเสียหลักและล้มลงกับพื้นไปทำตามกัน อุปกรณ์สื่อสารบางอย่างนั้นเสียหายไม่สามารถใช้การได้ในทันที เฮเลลที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นทำอะไรลงไปรู้สึกตกใจมาก โชคยังดีที่โมบิลสูทของศัตรูนั้นเข้ามาหยุดการโจมตีของเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้ฆ่ามิโดริที่อยู่ในหอบังคับการไปเสียแล้ว แต่วันนั้นก็ทำให้ในใจของเขานั้นเกิดคำถามขึ้นมากมายความเร็วของ Gundam astray Red Frame นั้นสามารถที่จะหลบหลีกการโจมตีของBuster rifle ได้อย่างไม่ยากเย็น แล้วทำไมคนขับ Red Frame ถึงได้ทำอย่างนั้น แต่ว่าก่อนที่เฮเลลนั้นจะพิจารณาหาคำตอบใดๆ ฝาครอบ Cockpit ของ Gundam astray Red Frame ก็เปิดออกเผยให้เห็นถึงคนขับที่อยู่ด้านในซึ่งออกมายืนอยู่ที่ด้านหน้าสะพานของ Cockpit เขานั้นมองเข้าไปในหอบังคับการด้วยสายตาที่ดูเป็นห่วงเป็นใยในจังหวะนั้นมิโดริซึ่งเพิ่งจะตั้งตัวได้จากการเสียหลักล้มลงกับพื้น เธอเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของคนขับ Gundam astray Red Frame ซึ่งมองเข้ามายังหอบังคับการ ส่วนหมวกนิรภัยที่ครอบศีรษะของนักบินคนนั้นแตกออกจากแรงกระแทกเล็กน้อย เผยให้เห็นส่วนของดวงตาและใบหน้าเพียงแค่ประมาณเสี้ยวหนึ่งของเขา ที่ในตอนนี้มีรอยเลือดอาบอยู่น่าจะเป็นเพราะเขาศีรษะได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทกแต่ก็ไม่ใช่บาดแผลที่สาหัสมากนัก
“ไม่จริงน่ะ !!! เป็นไปไม่ได้ !!! นี่มันเป็นเรื่องโกหกใช่ไหม !?! พี่……..” มิโดริกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสับสนและตื่นตระหนก แต่ก่อนที่เธอนั้นจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้นักบิน Red Frame คนนั้นก็ใช้นิ้วชี้มือขวาของเขามาตั้งตรงที่บริเวณริมฝีปากซึ่งอยู่ภายใต้กระจกของหมวกนิรภัยเป็นสัญญาณว่าให้เธอนั้นหยุดพูด ก่อนที่เขานั้นจะเดินเข้าไปยัง Cockpit ของ Red Frame ที่ได้รับความเสียหายแขนทั้งสองข้างของโมบิลสูทตัวนี้นั้นไม่สามารถใช้การได้ จากนั้นฝาครอบของ Cockpit นั้นปิดลง และ Gundam astray Red Frame ก็ทำการเร่ง Booster ทะยานขึ้นฟ้าบินหลบหนีออกไปจากบริเวณนั้นทันที“Red One รายงานหัวหน้าหน่วย ผมทำภารกิจล้มเหลว ผมไม่สามารถจะทำลายระบบการสื่อสารของพวกมันลงได้ ทำได้อย่างดีแค่ทำให้เป็นอัมพาตชั่วคราวเท่านั้น โมบิลสูทของผมได้รับความเสียหายแขนทั้งสองข้างไม่สามารถใช้การได้ ขออภัยด้วยครับ” นักบินของ Gundam astray Red Frame ทำการวิทยุบอกข้อมูลกลับไปยังดินอสซึ่งเป็นหัวหน้าทีมของเขา “ไม่เป็นไรหรอกแค่นั้นก็ดีมากแล้ว มันน่าจะเป็นอัมพาตได้นานขนาดไหนล่ะ ?” ดินอสกล่าวถามกลับมาในขณะที่เสียงของวิทยุของเขานั้นมีเสียงเหมือนกับปืนลำแสงอนุภาคและการปะทะกันของดาบ Beam saber ดังขึ้นเป็นระยะๆตลอดการสนทนา“โมบิลสูทของผมกระแทกเข้ากับหอบังคับการและหลังจากนั้นเสาส่งสัญญาณของพวกนั้นก็ได้รับความเสียหายคาดว่ากว่าจะกลับมาใช้การได้คงจะประมาณ 30 นาทีครับ” นักบินของ Gundam astray Red Frame กล่าวตอบคำถามของดินอสด้วยท่าทางที่ดูสุภาพและจริงจัง“30 นาทีหรอ แค่นั้นก็เกินพอแล้ว ภารกิจของนายลุล่วงแล้วกลับไปที่ยานาเดชิโกะซะ สภาพแบบนั้นนายต่อสู้ไม่ได้หรอก คู่ต่อสู้ของนายคือ Wing Gundam Zero นายทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วล่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว ขอบใจมากนะซาซากิ….” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบแต่ว่าภายในน้ำเสียงของเขานั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ดูชื่นชมอยู่เล็กๆ“รับทราบครับ…..” นักบินของ Gundam astray Red Frame กล่าวตอบดินอสด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบและสุภาพ ก่อนที่เขานั้นจะขับโมบิลสูทของเขาที่อยู่ในสภาพไม่สามารถต่อสู้ได้กลับไปยังยานแม่ นาเดชิโกะ ที่กำลังลอยลำสะสมพลังงานอยู่ไม่ไกลจากเกาะเทียมแห่งนั้น“ขอโทษนะมิโดริ…...” นักบินของ Gundam astray Red Frame กล่าวขึ้นพึมพัมกับตนเองด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปวดร้าวอยู่ภายในใจ ก่อนที่เขานั้นจะกลับเข้าไปยังยานแม่ของฝั่งชาวดาวอังคารEpisode 5 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 22, 2018 16:57:42 GMT
Episode 6 Madness Pilot
บริเวณโรงเก็บโมบิลสูทของเกาะเทียม “หัวหน้าดินอสนี่โชคดีจังเลยแหะ ได้คู่ต่อสู้เป็นสาวๆตั้งสองคน หรือว่าผมจะคงไม่ค่อยมีโชคในเรื่องผู้หญิงหรือเปล่านะเนี่ย เอ้าความสามารถที่นายมี มีทั้งหมดแค่นี้หรอ รีบบุกเข้ามาอีกสิเร็วเข้า” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งผู้ซึ่งบังคับโมบิลสูท Force Impulse Gundam กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูอิจฉาดินอสที่ได้คู่ต่อสู้เป็นหญิงสาวที่มากฝีมือซึ่งก็คือมิโกะและโรซ่า ในขณะที่เขานั้นมองไปยังโมบิลสูทกันดั้มมาร์คทู ที่อยู่ในสภาพเต็มไปด้วยริ้วรอยจากการต่อสู้แต่ก็ไม่ถึงขนาดพังยับเยินที่อยู่เบื้องหน้าของเขา“กันดั้มมาร์คทูน่ะ เป็นโมบิลสูทต้นแบบสมัยโบราณโน่นแน่ะ ถ้าเกิดว่านำมันมาต่อสู้จริงแล้วต้องการจะเสมอกับ Force Impulse Gundam ของผมล่ะก็ ต้องใช้ฝีมือที่ห่างชั้นกับผมมากพอสมควรเลยละนะ ดูเหมือนว่านายจะไม่สามารถลดช่องว่างของเทคโนโลยีแล้วเอาชนะผมไปได้หรอกนะยอมแพ้ซะเถอะ” ชายหนุ่มผู้ซึ่งบังคับโมบิลสูท Force Impulse Gundam กล้าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารระยะสั้นไปถึงคู่ต่อสู้ของเราที่อยู่ในกันดั้มมาร์คทูว์
ชายหนุ่มผู้บังคับ Force Impulse Gundam คนนี้ เป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปีที่ดูท่าทางกระฉับกระเฉงและปราดเปรียว เขามีส่วนสูง 175 เซนติเมตร ผิวสีขาวซีด รูปร่างของเขานั้นผอมและดูทะมัดทะแมง เขาไว้ผมสั้นทรงผมของเขานั้นค่อนข้างจะดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยราวกับว่ามันถูกดูแลแบบลวกๆ เส้นผมของเขาแกมเงินนั้นมีสีขาวราวปุยเมฆ ดวงตาของเขานั้นเรียวยาวแลดูปราดเปรียวว่องไวและฉลาดเฉลียว นัยน์ตาของเขานั้นมีสีม่วงอมชมพูราวกับอัญมณีอเมทิส“เฮ้ยย คริส อย่ามัวแต่เล่นอะไรไร้สาระ รีบจัดการศัตรูนั่นซะ เราต้องทำลายกันดั้มทุกเครื่องและฆ่านักบินทุกคนจะเสียเวลาไปทำไม ?” เสียงของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งขับ Strike noir Gundam กล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารไปยังชายหนุ่มผู้บังคับ Force Impulse Gundam ซึ่งเขานั้นมีชื่อว่าคริส“สเวน นายนี้ไม่รู้จักผ่อนคลายเอาซะเลยนะ จริงจังไปกับทุกอย่างเลยหรือยังไง ? ไม่ว่าจะมองจากทางไหนพวกมันก็ไม่มีทางชนะเราได้อยู่แล้วนี่นา ยานนาเดชิโกะกำลังเตรียมยิงปืนใหญ่ Gravity blast อยู่ตรงนู้น ถ้าหากว่าชาร์จพลังงานเสร็จเมื่อไหร่เกาะนี่ก็คงจะกลายเป็นผุยผงไปในพริบตา ภารกิจของพวกเราแค่ทำหน้าที่ถ่วงเวลาจนกว่าจะใช้พลังงานเสร็จเท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง หัดรู้จักหาเรื่องสนุกใส่ตัวซะบ้างสิ” คริสเผลอหลุดปากถึงภารกิจที่แท้จริงของพวกเขาออกมา แต่ว่าเขานั้นก็เป็นคนที่รอบคอบเพราะว่าเขาได้ปิดช่องสัญญาณสื่อสารระยะสั้นเอาไว้ก่อนแล้วที่จะพูดออกมาดังนั้นพวกชาวโลกจึงไม่ได้ยินถึงความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้“ภารกิจสำหรับชั้นไม่ใช่เรื่องสนุก !! ในการทำงานไม่มีการล้อเล่น !!” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ถูกคริสเรียกชื่อว่าสเวนนั้นเป็นผู้บังคับ Strike noir Gundam เขานั้นเป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปีเท่ากันกับคริสแต่ว่าเขานั้นดูมีบุคลิกที่เคร่งขรึมและรอบคอบมากกว่า เขามีส่วนสูง 172 เซนติเมตรรูปร่างของเขานั้นผอมบางแลดูสง่างาม เขาไว้ผมยาวประมาณท้ายทอยและผมหน้าม้าก็ยาวจนถึงบริเวณแก้ม เขาหวีผมแสกข้างซึ่งดูเรียบร้อยและเป็นทางการ เส้นผมของเขานั้นมีสีทองประกายงดงาม ดวงตาของเขานั้นเรียวคมโฉบเฉี่ยวบ่งบอกได้ถึงความฉลาดเฉลียวและความสุขุมรอบคอบ นัยน์ตาของเขานั้นมีสีน้ำเงินเข้มราวกับท้องทะเล ผิวของเขานั้นมีสีขาวและเรียบเนียนราวกับหิมะทำให้เขาดูมีสง่าราศีราวกับเป็นชนชั้นสูงเลยทีเดียว แต่ในขณะที่ลูกทีมทั้งสองคนของชาวดาวอังคารนั้นกำลังพูดคุยกันก็เป็นจังหวะที่กันดั้มมาร์คทูว์นั้นถือ Beam saber และพุ่งเข้ามาหา Force Impulse Gundam ในระยะประชิดอีกครั้งถึงแม้ว่าจะเป็นโมบิลสูทรุ่นเก่าแต่ว่าความเร็วก็ไม่ได้ด้อยกว่า Force Impulse Gundam มากเสียทีเดียวนัก“โอ้ๆ มีใจสู้ขึ้นมาแล้วสินะแบบนี้สิค่อยสนุกหน่อย !!” คริสอุทานขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูยินดี เนื่องจากว่าคู่ต่อสู้ของเขานั้นกำลังบุกเข้ามาโจมตีเขาอีกครั้งในขณะที่สเวนนั้นก็เข้ารับการจู่โจมของศัตรูของเขาอีกอย่างต่อเนื่อง คู่ต่อสู้ของสเวนนั้นก็คือ คุซาคาเบะ ชินโซ ผู้ซึ่งขับ Gundam Astray Mirage Frame 3nd ซึ่งถูกติดตั้งอาวุธระยะประชิดที่ร้ายกาจเอาไว้มากมาย Strike noir Gundam เองก็เป็นโมบิลสูทที่มีความสามารถในการโจมตีระยะประชิดและความสามารถในการบังคับโมบิลสูทของทั้งสองคนนี้ก็ค่อนข้างจะสูงสีกันดังนั้นมันจึงเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและเต็มไปด้วยเทคนิคการโจมตีระยะประชิดมากมาย แต่ในขณะที่ทางคริสนั้นกันดั้มมาร์คทูว์ดูเหมือนว่าผู้ที่บังคับมันจะไม่ค่อยมีความถนัดในการต่อสู้ระยะประชิดสักเท่าไหร่และอาวุธระยะกลางกับระยะไกลของกันดั้มมาร์คทูว์นั้นก็ยังเป็นอาวุธที่ล้าสมัยอยู่จึงทำให้กันดั้มมาร์คทูว์นั้นเสียเปรียบ Force Impulse Gundam ของคริสแทบจะทุกทาง “เป็นอะไรไปทำไมโจมตีสะเปะสะปะแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนี้แล้วก็เอาชนะผมไม่ได้หรอกนะ ?!” คริสกล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารระยะสั้น เพื่อส่งข้อความเสียงของเขาไปถึงผู้ที่ขับกันดั้มมาร์คทูว์อีกครั้งแต่ว่าในตอนก่อนหน้านี้เขานั้นพยายามจะพูดคุยกับผู้ที่ขับกันดั้มมาร์คทูว์อยู่หลายครั้งแต่ว่าก็ไม่มีเสียงสัญญาณอะไรตอบรับกลับมาแต่ดูเหมือนว่าคราวนี้จะเป็นอะไรที่แตกต่างออกไป “น่ารำคาญ….อย่ามัวแต่พูดท่าโน้นท่านี้อยู่เลย ถ้าคิดจะฆ่ากันล่ะก็รีบลงมือเลยสิเข้ามาเลยสิ !!” เสียงที่ถูกตอบกลับมานั้นเป็นเสียงของผู้หญิงบ่งบอกได้ว่าผู้ที่ขับกันดั้มมาร์คทูว์อยู่นั้นเป็นหญิงสาวซึ่งมันก็สร้างความรู้สึกตกใจและยินดีให้กับคริสอยู่ไม่น้อย“เห้ย !! นี่เธอเป็นผู้หญิงหรอกเหรอเนี่ย โอ้พระเจ้า ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่ทอดทิ้งผมสินะ !! ผมชื่อว่าชาร์ คริส เจมส์ไซด์ ก่อนที่ผมจะฆ่าเธอก็ขอยินดีที่ได้รู้จักนะเธอล่ะชื่อว่าอะไร ?!” คริสกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูยินดีและร่าเริงท่าทางของเขานั้นทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ภายใน Cockpit ของกันดั้มมาร์คทูว์นั้นรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
หญิงสาวผู้ที่ขับกันดั้มมาร์คทูนั้นเธอเป็นหญิงสาวอายุ 27 ปีที่ดูท่าทางสุขุมและนิ่งเงียบ เธอมีส่วนสูง 172 cm รูปร่างของเธอนั้นผอมและดูดีสมส่วน ผิวของเธอนั้นมีสีขาวเนียน เธอไว้ผมยาวจนถึงสะโพก เส้นผมของเธอนั้นตรงและทิ้งตัวลงอย่างเป็นระเบียบ เธอรวบผมครึ่งนึงเอาไว้กลางศีรษะด้วยริบบิ้นสีดำ สีผมของเธอนั้นมีสีเทาอ่อนหมอกราวกับเมฆหมอกในยามเช้า ดวงตาของเธอนั้นเรียวยาวบ่งบอกได้ถึงความเจ้าเล่ห์และลึกลับ นัยน์ตาของเธอนั้นมีสีม่วงเข้มและเป็นประกายราวกับอัญมณี แต่ดูเหมือนว่าเธอนั้นมักจะชอบหรี่ตาจนเล็กลงเพื่อซ่อนแววตาของเธอเอาไว้ จนดูเหมือนกับว่าเธอนั้นหลับตาอยู่ตลอดเวลา“นาตาชา อาซนาเบลค่ะ อยากจะรู้ชื่อของฉันไปทำไมหรือคะ ? จะได้ทำบุญไปให้หลังจากที่ฉันตายไปแล้วหรือไง ?” นาตาชากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบ แต่ว่าภายในน้ำเสียงของเธอนั้นก็ไม่ได้แสดงถึงอาการกดดันจากการต่อสู้แต่อย่างไรถึงแม้ว่าถ้าหากว่ามองผ่านๆแล้วเธอนั้นจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ก็ตามที“ห๊ะ ?! ทำบุญ ? ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับแล้วทำไมผมจะต้องไปทำบุญให้กับคนที่ผมฆ่าไปแล้วด้วยล่ะ ? คุณนาตาชานิพูดอะไรตลกดีนะครับ !!” คริสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนานบทสนทนาของเขาและเธอนั้นไม่เหมือนกับว่าทั้งสองคนนี้กำลังต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเลยแม้แต่น้อยแต่หลังจากที่คำพูดของคนนั้นจบลงดูเหมือนว่าท่าทางของนาตาชานั้นจะเปลี่ยนไป คริสนั้นรับรู้ได้ถึงความรู้สึกกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากกันดั้มมาร์คทูว์ได้อย่างชัดเจน “เอาละเล่นกันแค่นี้พอแล้วนะคะ จากนี้ไปจะเอาจริงแล้วน๊า !” นาตาชาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกระเซ้าเย้าแหย่ แต่ว่าภายในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกกดดันอย่างมหาศาล คริสนั้นไม่ประมาทเขารีบเตรียมรับมือทันที กันดั้มมาร์คทูว์จากที่เคยซื้อถือ Beam saber เพียงแค่เล่มเดียว ตอนนี้มันก็ชัก Beam saber อีกเล่มนึงขึ้นมาถือเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง ก่อนที่จะโยนโล่กำบังซึ่งเคยถืออยู่ก่อนหน้านี้ทิ้งไป และจากนั้นมันก็ทำการเร่ง Booster พุ่งเข้ามาโจมตี Force Impulse Gundam ในระยะประชิดอย่างรวดเร็วและรุนแรงทันที Beam saber ที่อยู่ในมือของกันดั้มมาร์คทูว์ทั้งสองเล่มตวัดเข้าโจมตี Force Impulse Gundam อย่างรวดเร็ว ความเร็วและความแม่นยำในการโจมตีอีกครั้งวิถีการโจมตีนั้นแตกต่างจากการต่อสู้ครั้งแรกอย่างลิบลับ“เห้ยๆๆๆๆๆๆๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ?!? นี่มันหนังคนละม้วนกับเมื่อกี้เลยนี่นา !!!!” คริสแสดงท่าทางตกใจออกมาอย่างมาก ในตอนที่เขาโดนนาตาชาเข้ามาบุกโจมตีครั้งใหม่ด้วยฝีมือที่ผิดจากครั้งก่อนลิบลับ Force Impulse Gundam ในตอนนี้กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและกำลังถอยร่นไม่เป็นท่า “ฮ่าๆๆๆ สนุกดีไหมล่ะคะ ฉันน่ะชอบเหตุการณ์ตื่นเต้นแบบนี้ที่สุดเลย ในตอนที่คุณคิดว่าชนะฉันได้อย่างแน่นอนแล้วจู่ๆเหตุการณ์ก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือมันสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะคะ ?!?!!!” นาตาชากล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารระยะสั้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหฤหรรษ์ เธอนั้นโจมตีเข้าไปยัง Force Impulse Gundam อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจนคริสนั้นแทบจะไม่มีโอกาสได้โต้กลับเลยเพียงแค่ปัดป้องไม่ให้การโจมตีนั้นโดนจุดตายก็เป็นอะไรที่ยากเย็นเป็นที่สุดแล้ว “แล้วก็นะคะ….ถ้าหากว่าคุณมีความสามารถ หรือว่าแผนการที่ดีเยี่ยมพลิกกลับมาจนสามารถที่จะชนะฉันได้อีกครั้งและจบชีวิตของฉัน แบบนี้ก็จะยิ่งสุดยอดไปเลยนะคะ !!!! ม๊ะ !! แต่ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ใช่คนที่มีความสามารถขนาดนั้นสินะ น่าเสียดายจังเลยค่ะ…..” นาตาชากล่าวขึ้นต่อไปถึงความรู้สึกที่อยู่ในใจของเธอ ผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารระยะสั้นให้กับคริสได้ยินคริสเมื่อได้ยินคำพูดของเธอดังนั้นก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ในความเป็นจริงแล้วนาตาชานั้นเป็นนักบินที่ถูกคัดเลือกเข้ามาเพราะว่ามีความสามารถที่ดีเยี่ยมและความสามารถในการแก้ไขเหตุเฉพาะหน้าได้อย่างเฉียบขาดชนิดที่เรียกว่าหาตัวจับได้ยาก แต่ว่าเธอนั้นกลับมีความผิดปกติทางจิตเล็กน้อย เธอนั้นใฝ่หาความตื่นเต้นจากการได้ต่อสู้ในสนามรบอยู่ตลอดเวลา เธออยากที่จะทำให้ศัตรูนั้นของเธอรู้สึกตกใจและสิ้นหวัง อีกทั้งเธอนั้นยังอยากที่จะถูกเอาชนะด้วยศัตรูที่มากความสามารถและเก่งกาจในสนามรบ และยิ่งถ้าหากเธอถูกสังหารในสนามรบโดยศัตรูที่เก่งกาจนั้นถือเป็นความปรารถนาสุดท้ายของเธอ ดังนั้นเธอจึงกระหายที่จะได้ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเธอไม่ได้ทำตามความปรารถนาของเธอเมื่อไหร่ เธอนั้นก็จะอะไรเป็นคนเหงาหงอย เบื่อโลก เหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันช่างน่าเบื่อไปโดยปริยาย แต่ความผิดปกติของจิตใจเธอตรงจุดนี้ ทางกองทัพโลกนั้นเห็นว่ามีคุณประโยชน์ในภารกิจกันดั้มจึงได้มองข้ามไปและบรรจุเธอเข้ามาเป็นหนึ่งในนักบินกันดั้มภายในโครงการนั้น“แบบนี้ก็สวยสิ !! ถ้าอยากได้ความตื่นเต้นแล้วก็เดี๋ยวผมจะจัดให้จนถึงใจเลย !! มาลองกันดูซักตั้ง !!” คริสกล่าวขึ้นพร้อมกับบังคับให้ Force Impulse Gundam ทำการโยนโล่ที่ติดอยู่ที่มือข้างซ้ายทิ้งไป และชัก Beam saber อีกเล่มหนึ่งขึ้นมาคือเอาไว้ในมือ ก่อนจะพุ่งเข้าไปประจัญบานกับกันดั้มมาร์คทูว์ในทันที คริสนั้นรีดเร้นเอาฝีมือในการต่อสู้ระยะประชิดทั้งหมดที่มีอยู่ออกมาและเข้าตะลุมบอนกับกันดั้มมาร์คทูว์อย่างดุเดือด Beam saber ของโมบิลสูททั้ง 2 เครื่องนั้นประทะกันอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วเปรี๊ยง !! เปรี๊ยง !! เปรี๊ยง !! เปรี๊ยง !! เปรี๊ยง !! เสียงดังสนั่นกึกก้องจากการต่อสู้ของโมบิลสูทที่อยู่ทั้งหมดภายในบริเวณนั้นดังคำรามอย่างน่ากลัว การต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งของสเวนและของคริสนั้นดูเหมือนว่าจะสูสีและจะยังไม่สามารถหาผู้ชนะได้ง่ายๆ แต่ว่าอีกด้านหนึ่งดูเหมือนว่าการต่อสู้นั้นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ท่าจอดยานของเกาะเทียม Gundam astray Blue Frame และ Green Frame ที่ถูกมอบหมายให้ไปทำลายยานแม่ซึ่งจอดอยู่ที่ท่าจอดยานกำลังมุ่งหน้าไปใกล้จะถึงยานแม่ Medea ซึ่งเป็นยานแม่ที่เป็นลักษณะยานขนส่งขนาดใหญ่ของกองทัพโลกกำลังจอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าจอดยานเครื่องยนต์ของยาน Medea ถูกติดเอาไว้พร้อมเรียบร้อยแล้ว ราวกับว่ามันพร้อมที่จะออกเดินทางจากท่าจอดยานได้ทุกเมื่อ “เห็นแล้วนั่นไงเจ้าสองเครื่องนั่นอย่าให้มันผ่านไปได้นะ !!” เสียงของเฟรย์อาดังขึ้นเพื่อบอกเพื่อนร่วมภารกิจของเธออีกคนหนึ่งที่อยู่ในคาลามิตี้กันดั้ม “ไม่ต้องบอกก็รู้น่า !! ถึงต่อให้ไม่มีเธอมาด้วยไอ้เจ้าสองเครื่องนั่นผมก็จัดการได้ เดี๋ยวจะแสดงให้ดูเอง” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารเขาคือผู้ที่บังคับคาลามิตี้กันดั้ม เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 18 ปี ที่มีรูปร่างผอมบางส่วนสูงของเขาอยู่ที่ 172 เซนติเมตร ผิวของเขานั้นเป็นสีขาวซีดที่บริเวณลำคอและส่วนอื่นของร่างกายของเขานั้นมีบาดแผลเล็กน้อยที่ถูกเย็บเอาไว้ด้วยไหมดูน่าขนลุก ดวงตาของเขานั้นกลมเป็นรูปไข่ ชายหนุ่มผู้นี้มีเส้นผมสีขาวซีดสนิทที่ยาวลงมาจนถึงท้ายทอย นัยน์ตาของเขานั้นมีสีที่แตกต่างกันทั้งสองข้าง โดยที่ข้างหนึ่งนั้นมีสีน้ำเงินและอีกข้างหนึ่งนั้นมีสีแดงซึ่งน่าจะเป็นความพิเศษทางพันธุกรรมที่เรียกว่า Heterochromia Iridum แต่ในดวงตาที่สวยงามของเขานั้นก็ฉายแววตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ดู ก้าวร้าว มั่นใจ ทระนงตน และอวดดี เป็นอย่างมากใช้แววประกายอยู่“งั้นเหรอ ? เอ็สเพ็น เนทเซธ เข้าใจแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นล่ะก็เริ่มการโจมตีกันได้เลย” เฟรย์อากล่าวเรียกชื่อของผู้ที่บังคับคาลามิตี้กันดั้มอยู่ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า เอ็สเพ็น เนทเซธ น้ำเสียงของเฟรย์อาที่เรียกชื่อเขานั้นฟังดูเย็นชาและไม่สนิทสนมสักเท่าไหร่แตกต่างจากตอนที่เธอเรียกเฮเลลโดยสิ้นเชิง“หึหึหึหึ !! ไม่ต้องทำมาเป็นสั่งผม !! คอยดูให้ดีนี่แหละการต่อสู้ที่แท้จริงละ !!” เอ็สเพ็น กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจก่อนที่จะเล็งปืน "Todesblock" 337mm plasma-sabot bazooka ซึ่งเป็นปืนบาซูก้าพลังงานอนุภาคแรงสูงที่อยู่ในมือของคาลามิตี้กันดั้มไปที่ศัตรูเบื้องหน้า พร้อมกับใบหน้าที่ฉีกยิ้มออกมาอย่างสะใจก่อนที่เขานั้นจะเหนี่ยวไกปืน ตรู้มมมมม !!!......... Episode 6 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 23, 2018 15:19:44 GMT
Episode 7 Persuasion ตรู้มมมมม !!! ลำแสงอนุภาคสีเขียวที่ถูกปล่อยออกจากปากกระบอกปืน "Todesblock" 337mm plasma-sabot bazooka ของคาลามิตี้กันดั้มพุ่งทะยานไป ใส่เป้าหมายซึ่งก็คือ Gundam Astraea Green Frame เบื้องหน้า แต่อาจจะเป็นเพราะการยิงจู่โจมที่โจ่งแจ้งเกินไปของเอ็สเพ็นจึงทำให้ Gundam astray Green Frame นั้นสามารถหลบการโจมตีของเขาได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก แต่ว่าลำแสงจากปืนบาซูก้าอนุภาคนั้น หลังจากที่ Gundam astray Green Frame สามารถหลบได้แล้ววิธีของลำแสงนั้นมันกลับพุ่งตรงไปยังยานแม่ Medea ที่จอดอยู่ที่ท่าจอดยาน การโจมตีลูกหลงนี้สร้างความตกใจให้กับลูกเรือทุกคนที่อยู่บนยานแม่เป็นอย่างมาก ตูมมมม !! ลำแสงอนุภาคนั้นกระทบเข้ากับบริเวณส่วนหนึ่งของท่าจอดยาน ถึงแม้ว่ามันจะไม่โดนตรงบริเวณส่วนลำเรือของยานแม่โดยตรงแต่ก็สร้างความรู้สึกหวาดเสียวได้ไม่น้อยเอ็สเพ็นเมื่อเห็นว่าการโจมตีของเขานั้นพลาดเป้าและเกือบจะไปโดนเข้าใส่พวกเดียวกันเองเขาก็พูดผ่านทางวิทยุสื่อสารไปยังยานแม่ Medea ที่ทำการจอดเทียบท่าอยู่ว่า
“โอ๊ะ !! ขอโทษนะคร๊าบบบ แต่ว่าไม่เป็นไรนะลูกหลงมันเป็นเรื่องปกติของการต่อสู้อยู่แล้ว ถ้ายังไงก็พยายามหลบกันเองก็แล้วกันนะครับ !!” คำพูดของเอ็สเพ็นสร้างความตื่นตระหนกตกใจและความรู้สึกไม่พอใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่บนยานแม่เป็นอย่างมากจนพวกเขานั้นทำการวิทยุกลับมาว่า “จะบ้าหรือไง ?!? ระวังหน่อยสิ ยานแม่ลำนี้เป็นลำเดียวที่จอดเทียบท่าอยู่ตอนนี้ ถ้าหากว่าเราเสียมันไปเราก็จะไม่สามารถอพยพหลบหนีศัตรูได้นะ ใช้การต่อสู้ระยะประชิดซะ !!” เสียงของเจ้าหน้าที่สื่อสารประจำยานแม่กล่าวขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ คำพูดของเขานั้นทำให้เอ็สเพ็นนั้นรู้สึกไม่พอใจเช่นกัน เขาเบะปากเล็กน้อยก่อนที่จะบ่นขึ้นมาว่า “โมบิลสูทของตูมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้โจมตีระยะประชิดนะเว้ย !!” จากนั้นเขาก็ทำการต่อสู้ต่อไปโดยอาวุธปืนเช่นเดิมโดยที่ไม่สนใจว่าลูกหลงนั้นจะโดนยานแม่หรือไม่ การต่อสู้ที่โรงเก็บโมบิลสูท “ไม่เลวเหมือนกันนี่นาเจ้ามนุษย์โลก !!” สเวนกล่าวขึ้นมาผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารระยะสั้นในขณะที่เขานั้นกำลังต่อสู้ระยะประชิดอยู่กับ คุซาคาเบะ ชินโซ อย่างดุเดือด Strike noir Gundam ที่มีความสามารถในการโจมตีระยะประชิดอย่างโดดเด่น กำลังต่อสู้ขับเคี่ยวอยู่กับ Gundam astray Mirage Frame 3rd ซึ่งมีความสามารถในการโจมตีระยะประชิดที่โดดเด่นเช่นกัน อีกทั้งความสามารถของคนขับโมบิลสูททั้ง 2 เครื่องนี้ก็สูสีกันจนเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อและดุเดือดอย่างหารับชมได้ยาก “หึ…..โดนพวกชาวดาวอังคารชมแบบนี้ มันขยะแขยงเว้ย !!” ชินโซ กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเยือกเย็นและหยิ่งทะนง คำกล่าวของชินโซนั้นทำให้สเวนหัวเราะออกมาอย่างพอใจและตลกขบขันดูเหมือนว่าเขาเองนั้นก็จะมีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับที่ชินโซพูด“ฮึๆๆๆ ถึงจะเป็นมนุษย์โลกเหมือนกันแต่ก็ไม่เหมือนกันสักนิดเลยแหะ !! นั่นสินะ ชาวโลกที่ดีมันต้องเป็นศัตรูที่หัวแข็งแบบนี้สิถึงจะสนุก !!” สเวนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูพอใจ แต่ว่าคำพูดของเขานั้นทำให้ชินโซรู้สึกสะกิดใจขึ้นมาก่อนที่จะถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบวา
“อะไรของแกพูดจาพิลึก ?! เป็นมนุษย์โลกเหมือนกันเหรอ ? แกกำลังพูดถึงใคร” ชินโซกล่าวถามสเวนขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบแต่มันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นออกมาได้อย่างชัดเจน“ก็คนทรยศในหมู่พวกแกยังไงล่ะ !! เอาเถอะ แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอกเพราะว่าอีกเดี๋ยวแกก็จะเป็นคนตายแล้วยังไงล่ะ !!” สเวนกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยคำตอบที่ชวนให้สงสัยก่อนที่จะบุกเข้ามาจู่โจม Gundam astray Mirage Frame 3rd อย่างดุเดือดเต็มกำลัง….. หอบังคับการ หลังจากที่ Gundam astray Red Frame ได้หลบหนีไปเรียบร้อยแล้ว Wing Gundam Zero ที่เฮเลลบังคับอยู่นั้นก็ทำการปิด Zero System ท่าทางของเฮเลลที่อยู่ใน Cockpit ของ Wing Gundam Zero นั้นรู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาได้ทําลงไปเขาเกือบจะฆ่ามิโดริกัปตันและรองกัปตันของยานแม่ซึ่งอยู่ภายในหอบังคับการจากการโจมตีของเขาเอง“เฮเลลไม่เป็นไรนะตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว นายรีบไปสมทบกับโมบิลสูทเครื่องอื่นที่ทำการต่อสู้อยู่เถอะ พวกเขาน่าจะต้องคอยกำลังเสริมอยู่แน่นอน” มิโดริกล่าวขึ้นกับเฮเลลด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบเธอนั้นพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องที่เขานั้นเกือบจะยิง Buster Rifle ใส่พวกเธอ“คุณซาซากิ ผม…..” แต่ดูเหมือนว่าเฮเลลนั้นจะสามารถจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนเรานั้นยังคงรู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไปเขานั้นพยายามที่จะกล่าวขอโทษมิโดริและทุกคนที่อยู่ภายในหอบัญชาการแต่เขานั้นก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ติ๊ดๆๆๆๆ ๆๆๆ แต่ว่าทันใดนั้นเสียงที่เป็นสัญญาณรหัสมอสก็ดังขึ้นมามันถูกส่งมาจากยานแม่ที่จอดเทียบท่าอยู่ที่บริเวณท่าจอดยานรองกัปตัน Scarlett ทำการถอดข้อความจากรหัสมอสนั้นทันที เนื่องจากว่าตอนนี้เสาส่งสัญญาณวิทยุซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารหลักของเกาะนี้พังทลายลง พวกเขาจึงไม่สามารถใช้การส่งสัญญาณข้อความเสียงผ่านทางวิทยุได้ การส่งสัญญาณด้วยรหัสมาจากลำแสงเลเซอร์จึงเป็นสิ่งที่รวดเร็วฉับไวที่สุด “มีการติดต่อมาจากท่าจอดยานค่ะพวกเขากำลังถูกโจมตีด้วยโมบิลสูท 2 เครื่องสถานการณ์การต่อสู้ค่อนข้างจะยืดเยื้อ Wing Gundam Zero รีบไปช่วยพวกเขาเถอะ !!” รองกัปตันสกาเล็ตกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง เฮเลลนั้นได้ยินคำสั่งการของเธอได้อย่างชัดเจน เขานั้นพยายามที่จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่จะบังคับ Wing Gundam Zero ให้พุ่งทะยานออกไปสู่ท่าจอดยานที่อยู่ไม่ไกลนัก มิโดริมองเฮเลลซึ่งบังคับ Wing Gundam Zero พุ่งทะยานออกไปจนสุดสายตา แต่ว่าในห้วงความคิดของเธอนั้นไม่ได้มีแต่ความกังวลของเฮเลลเพียงอย่างเดียว ความกังวลของเธอนั้นยังมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ พี่ชายของเธอ ซาซากิ ไดซึเกะ นั้นยังไม่ตาย เขากลายเป็นนักบินของหน่วยจู่โจมชาวดาวอังคาร ….. 1 เดือนก่อน “พวกแกทุกคนได้รับโทษประหาร นำพวกมันทั้งหมดไปยิงเป้า !!” มากัสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและดุดัน เขานั้นอยู่ในชุดของผู้บังคับบัญชาการทหารเต็มยศซึ่งทำจากผ้ากำมะหยี่ดูหรูหรา ที่อกเสื้อ อินธนู และแขนเสื้อของเขานั้นประดับประดาไปด้วยเหรียญกล้าหาญและเครื่องประดับยศมากมาย เขานั้นกำลังเดินอยู่ภายในห้องคุมขังนักโทษซึ่งเป็นเชลยสงครามที่ได้รับมาจากการจับกุมภายในปฏิบัติการ operation seraphim“ไอ้เจ้าพวกเอเลียนไปลงนรกซะ !!”“พวกเรายอมตายดีกว่าต้องยอมแพ้ฆาได้ก็ฆ่าเลย !!”“อาศัยแค่เทคโนโลยีที่สูงกว่าแล้วเอาชนะพวกเราได้ภูมิใจงั้นหรือ ?!? สักวันหนึ่งชาวโลกจะฆ่าล้างบางพวกแก !!”“ข้าจะขอสาปแช่งแกให้ตกนรกหมกไหม้แล้วไว้เจอกัน !!”เสียงของเหล่าบรรดาเชลยศึกซึ่งเป็นชาวโลกจำนวนมากมายนับร้อยคนที่ถูกจับมาโดยชาวดาวอังคารหลังจาก Operation เซราฟิมจบลง บางคนนั้นเป็นชายหนุ่มซึ่งเป็น ทหาร เป็นลูกเรือ เป็นนักบินโมบิลสูท และบางคนนั้นก็เป็นชายวัยกลางคนจนถึงวัยชราซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับผู้บังคับหมู่ และเป็นกัปตันเรือ พวกเขานั้นในตอนนี้ถูกปฏิบัติในรูปแบบเดียวกัน ทุกคนถูกบังคับให้ถอดเสื้อออกเหลือเพียงแต่กางเกงตัวเดียว มือทั้งสองข้างของพวกเขานั้นถูกจับมัดไขว้เอาไว้ด้านหลัง และถูกให้บังคับนั่งคุกเข่าเรียงรายกันเบื้องหน้าของมากัสภายในห้องคุมขังเชลยศึกนี้เป็นห้องที่ทำขึ้นมาจากคอนกรีตหนาเป็นพิเศษและมีกระจกเสริมแรงกั้นเอาไว้ใช้สำหรับผู้พิพากษาพิจารณาความผิดของนักโทษแต่ละคน ด้านหลังของกระจกบานนี้องค์หญิงลาติฟาห์กำลังยืนมองมากัสพิพากษาโทษของเชลยศึกทุกคนโดยทุกคนนั้นได้รับโทษประหารด้วยการยิงเป้าสีหน้าขององค์หญิงลาติฟาห์ในตอนนี้ดูเรียบเฉย แต่ในแววตาของเธอนั้นแสดงความโศกเศร้าและความรู้สึกสงสารเวทนาออกมาได้อย่างชัดเจน
“เพชฌฆาตไม่ต้อง ทหารจับมันเดินเรียงตัวกันเข้ามาข้าจะเป็นคนสำเร็จโทษพวกมันเอง” มากัสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่จริงจังและโหดเหี้ยมก่อนที่เขาจะชักปืนลูกโม่สีเงินกระบอกใหญ่ขึ้นมาจากซองปืนที่อยู่บริเวณเอวของเขา ปืนนี้เป็นปืนลูกโม่แบบโบราณที่บรรจุกระสุนได้ 6 นัดมันดูทรงพลังและสวยงาม แต่เรื่องความรุนแรงของมันนั้นก็มากเกินคนานับ เพียงแค่นัดเดียวก็สามารถจะระเบิดหัวของคุณให้กระจุยเหมือนลูกแตงโมได้ไม่ยาก ทหารชาวดาวอังคารเมื่อได้ยินผู้บังคับบัญชาการสั่งดังนั้นก็นำตัวนักโทษเดินเข้ามาเบื้องหน้าของมากัสทีล่ะ 1 คนนักโทษเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าของมากัสแล้วก็ถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าลงอีกครั้ง ก่อนที่มากัสนั้นจะใช้ปืนลูกโม่สีเงินในมือจ่อยิงเข้าไปที่บริเวณศีรษะของนักโทษนั้นอย่างเลือดเย็น
เปรี้ยง !! ทุกครั้งที่ไกปืนลั่นกระสุนสังหารจะระเบิดหัวของนักโทษจนแหลกเป็นจุล เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณบ้างก็กระเซ็นไปถูกชุดเครื่องแบบของมากัส จากชุดกำมะหยี่สีขาวก็มีรอยกระเซ็นของเลือดสีแดงอาบยอมจนดูน่าสยดสยอง พื้นที่บริเวณภายในห้องคุมขังกลายเป็นลานประหารชั่วคราวซึ่งเต็มไปด้วยศพและกลิ่นคาวเลือด นักโทษคนแล้วคนเล่าถูกลากไปยิงเป้าโดยผู้สำเร็จราชการแทนของชาวดาวอังคารผู้โหดร้ายและเลือดเย็น “ท่านวิลเฮล์ม มากัส ดูเหมือนว่าจะเกลียดพวกชาวโลกเข้ากระดูกดำเลยนะครับเนี่ย….” ทหารชาวดาวอังคารคนหนึ่งซึ่งยืนคุมพื้นที่ไม่ให้นักโทษหลบหนีและได้รับชมการประหารอย่างโหดร้ายต่อหน้าต่อตาพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบากับเพื่อนทหารคนที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยท่าทางที่ดูวัดกลัวและหวั่นเกรง “อ่าา ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมท่านไม่ได้เกลียดชาวโลกขนาดนั้นแต่ว่าคงจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแหละแต่เรื่องนี้ฉันว่านายอย่าพูดอะไรจะดีกว่านะเพื่อความปลอดภัยของพวกเราเองน่ะ….” ทหารชาวดาวอังคารอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคู่สนทนากับทหารคนแรกกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูหวาดกลัวเช่นกันเขานั้นพยายามที่จะหลีกเลี่ยงบทสนทนาหัวข้อนี้“เฮ้ย !! พวกแก 2 คนบ่นพึมพำอะไรกัน !!” เสียงของทหารผู้บังคับหมู่ชาวดาวอังคารกล่าวขึ้นทันทีที่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาสองคนนั้นกำลังคุยกันถึงหัวข้อที่ดูจะเป็นอันตราย เขานั้นเดินตรงเข้าไปและถามทั้งสองคนด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูเอาจริงเอาจัง“เปล่าครับจ่า !! ไม่มีอะไรครับ !!” ทหารชาวดาวอังคารทั้งสองคนรีบตอบผู้บังคับหมู่ของเขาทันทีด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นตระหนกและหวาดกลัว หลังจากนั้นผู้บังคับหมู่คนนั้นก็เดินจากไปโดยไร้คำพูดใดๆ ทหารชาวดาวอังคารทั้งสองคนก็ได้แต่รับชมภาพการประหารนักโทษที่สยองขวัญของมากัสต่อไปโดยปราศจากการสนทนาถึงหัวข้อนี้อีกเลย“โยฮันน่า...เมื่อไหร่กันนะเรื่องน่าเศร้าแบบนี้จะจบลงเสียที…..” องค์หญิงลาติฟาห์ที่อยู่ภายในห้องกระจกนิรภัยก็มองเห็นมากัสกำลังประหารนักโทษอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระองค์เช่นกัน เธอนั้นมีแววตาที่ดูโศกเศร้า ถึงแม้ว่าใบหน้าของเธอตอนนี้จะเรียบเฉย แต่ดวงตาของเธอนั้นจับจ้องไปยังนักโทษคนแล้วคนเล่าที่ถูกคร่าชีวิตไปอย่างโหดร้าย ก็ฉายแววถึงความรู้สึกที่โศกเศร้าออกมาได้อย่างชัดเจน “องค์หญิงเพคะ…..” โยฮันน่าเมื่อเห็นท่าทางขององค์หญิงลาติฟาห์เป็นเช่นนั้น เธอก็ไม่สามารถที่จะกล่าวอะไรออกมาได้อีกเธอได้แต่ยืนอยู่เคียงข้างองค์หญิงลาติฟาห์ซึ่งเป็นที่รักของเธออย่างเงียบๆ การประหารนักโทษที่กระทำความผิดนั้นตามปกติแล้วจะไม่ค่อยมีการนำมาประหารต่อหน้าพระพักตร์ขององค์หญิงลาติฟาห์บ่อยนัก แต่ว่าเชลยสงครามจำนวนมากในคราวนี้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ นับว่าเป็นระยะเวลานานแล้วที่ชาวโลกไม่ได้ต่อต้านชาวดาวอังคารอย่างจริงจังจนเกิดสงครามและจับเชลยศึกได้จำนวนมากขนาดนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงการแข็งข้อ มากัสจึงได้ทำการประหารนักโทษจำนวนมากนี้ต่อหน้าองค์หญิงลาติฟาห์เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนพระองค์ถึงภัยสงครามที่กำลังย่างกายเข้ามานักโทษทุกคนที่เดินเข้าไปถูกสังหารส่วนมากนั้นจะกล่าวคำสาปแช่งด่าทอออกมาก่อนที่พวกเขานั้นจะถูกประหารชีวิต แต่แล้วเมื่อมาถึงคนสุดท้ายนักโทษคนนี้นั้นดูแตกต่างออกไป เขาเป็นชายหนุ่ม วัย 25 ปี ผู้มีผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาของเขานั้นเป็นสีน้ำตาลเช่นเดียวกับสีผม ผิวของเขานั้นเป็นสีขาวเหลืองแบบคนเอเชียส่วนสูงของเขานั้นอยู่ที่ 180 cm รูปร่างของเขานั้นผอมบางตามร่างกายของเขาท่อนบนที่ปราศจากเสื้อผ้านั้นเผยให้เห็นบาดแผลจากการต่อสู้และถูกซ้อมทรมานมากมาย ชายหนุ่มคนนั้นถูกลากถูลู่ถูกังเดินเข้ามาหามากัสอย่างทุลักทุเล แต่เขานั้นไม่ได้กล่าวคำด่าทอใดๆเหมือนกับนักโทษประหารคนอื่นก่อนหน้านี้“เอ้า เจ้าหนุ่มอยากจะให้พวกเราตกนรกขุมไหนล่ะ ? รีบพูดออกมาซะในโอกาสสุดท้ายของชีวิตของแก….” มากัสกล่าวขึ้นกับชายหนุ่มคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและเยือกเย็น ก่อนที่จะบรรจุกระสุนปืนเข้าไปอีก 1 นัด เพราะว่านักโทษประหารศพที่แล้วเขาใช้กระสุนไปจนหมดรังเพลิงเขาจึงบรรจุกระสุนเข้าไปใหม่อีก 1 นัดสำหรับนักโทษคนสุดท้าย “ในสงครามไม่มีฝ่ายไหนที่เป็นฝ่ายที่ถูกต้อง แล้วก็ไม่มีฝ่ายไหนที่เป็นฝ่ายผิดเสมอไปหรอก ผมเป็นแค่ทหารคนหนึ่งที่มีหน้าที่ออกไปรบในสมรภูมิในฐานะของทหาร และในตอนนี้ผมก็กำลังจะตายในฐานะของทหาร แต่ผมมีบางอย่างที่อยากจะขอเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหมครับ ?” ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอนกับมากัส คำพูดของเขานั้นทำให้มากัสขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยท่าทางที่ดูไม่พอใจนัก แต่เขานั้นก็รู้สึกสนใจในคำขอสุดท้ายของชายหนุ่มคนนี้เขาจึงกล่าวออกไปว่า“อยากจะได้อะไรก็ว่ามา แต่ว่าข้าไม่รับปากว่าจะให้เจ้า เอ้า !! ลองพูดออกมาสิ ?” มากัสถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและจริงจัง ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลเมื่อรู้ว่าเขานั้นได้รับโอกาสให้พูดเขาจึงกล่าวขึ้นมาทันทีว่า
“ผมอยากจะเขียนจดหมายลาฉบับหนึ่งส่งให้กับน้องสาวของผมที่อยู่ที่โลก พวกคุณพอจะให้ผมได้ไหม ?” ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลกล่าวร้องขอที่จะให้เขานั้นส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้กับน้องสาวของเขามันเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่เขานั้นจะส่งให้กับเธอ มากัสเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ตอบชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลกลับไปทันทีว่า “ก็ได้ !! แต่ว่าเนื้อหาในจดหมายจะต้องถูกตรวจสอบนะ ทหารไปเอากระดาษกับปากกามาให้มัน !!” หลังจากนั้นทหารชาวดาวอังคารก็ไปนำกระดาษขาวมีเส้นและปากกาด้ามหนึ่งมาให้กับชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลเพื่อให้เขาเขียนจดหมายฉบับสุดท้าย มากัสกลับไปนั่งที่เก้าอี้เพื่อรอให้ชายหนุ่มคนนี้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายของเขาเสร็จด้วยท่าทางที่ดูเฉยเมย ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลเมื่อได้รับกระดาษและปากกาแล้วเขาก็ลงมือเขียนจดหมายสั่งลาของเขาภายในห้องซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและศพของนักโทษที่ถูกประหารจำนวนมาก เขานั้นบอกเล่าถึงความรู้สึกโศกเศร้าอาลัยและความรู้สึกห่วงใยลงไปในข้อความที่ถูกบรรจุลงไปในกระดาษจดหมายถึงน้องสาวของเขา หลังจากที่ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลเขียนจดหมายเสร็จทหารชาวดาวอังคารก็นำจดหมายฉบับนั้นมาส่งให้กับมากัสตรวจสอบ“ไหน….เอามาดูหน่อยซิ” มากัสรับจดหมายของชายหนุ่มไปอ่าน แต่ว่าเขานั้นไม่ได้อ่านในใจเหมือนอย่างที่ชายหนุ่มนั้นคิดไว้ เขานั้นกล่าวอ่านออกเสียงออกมาทีละถ้อยคำอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบแต่ก็เป็นไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยัน
ถึงซาซากิ มิโดริ มิโดริถ้าหากว่าน้องได้อ่านจดหมายฉบับนี้นั่นหมายความว่าพี่ได้ตายจากไปแล้ว พี่ขอร้องให้ศัตรูของเราเปิดโอกาสให้พี่ได้เขียนจดหมายฉบับนี้มาถึงเธอ ในปฏิบัติการครั้งล่าสุดพี่ถูกทหารของฝ่ายศัตรูจับกุมเป็นเชลยที่จะต้องได้รับโทษประหารจดหมายฉบับนี้คือคำขอร้องสุดท้ายของพี่ มิโดริต่อจากนี้ไปเธอจะต้องอยู่คนเดียวแล้วนะ พี่คงไม่สามารถจะปกป้องดูแลเธออีกต่อไปได้แล้ว สัญญาที่พี่เคยบอกว่าจะกลับไป พี่ไม่สามารถทำให้มันเป็นจริงได้แล้วล่ะ พี่ขอโทษนะ พี่หวังว่าเธอจะเป็นคนเข้มแข็งและสามารถจะปกป้องตัวเองได้ ในภาวะสงครามแบบนี้การอยู่ตัวคนเดียวคงจะเป็นอะไรที่ยากลำบากมาก พี่ขอโทษนะที่ต้องให้เธออยู่ตัวคนเดียว แต่ต่อให้ไม่มีพี่แล้วก็อย่าท้อแท้นะ มิโดริเป็นคนที่เข้มแข็งและอ่อนโยนพี่เชื่อว่าเธอจะต้องไม่เป็นไรแน่ ลาก่อนนะมิโดริ พี่จะคอยเฝ้ามองเธอจากที่ไกลแสนไกลตลอดไป ใช้ชีวิตส่วนที่เหลือเผื่อพี่ด้วยนะ ซาซากิ ไดสุเกะ
กระดาษสีขาวของจดหมายฉบับนี้มีรอยเปียกของหยดน้ำซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเหงื่อหรือว่าน้ำตาของชายหนุ่มคนนี้กันแน่ แต่ว่ามากัสหลังจากที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้จบลงและไม่เห็นว่ามีข้อความอะไรผิดปกติ เขาก็ยื่นส่งให้กับนายทหารชาวดาวอังคารพร้อมกับสั่งให้ส่งจดหมายฉบับนี้ไปถึงมือผู้รับด้วยท่าทางที่ดูไม่สนใจใยดีเท่าไหร่นัก“เอาล่ะ คำขอสุดท้ายของแกก็จบลงแล้วสินะ เตรียมตัวซะ…..” มากัสลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกับถือปืนที่สังหารนักโทษไปแล้วเป็นร้อยคนภายในมือของเขาเดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มที่ชื่อว่าซาซากิ ไดสุเกะ พร้อมกับนำปืนกระบอกนั้นต่อไปที่ศีรษะของไดสุเกะ และใช้นิ้วชี้สอดเข้าไปที่บริเวณไกปืนเตรียมลั่นกระสุนสังหาร
“ฮึก !! ทนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ !!” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูโศกเศร้าที่บริเวณพระเนตรขององค์หญิงนั้นมีหยาดน้ำตาใสๆปรากฏขึ้นได้อย่างชัดเจน องค์หญิงนั้นได้ฟังข้อความที่อยู่ในจดหมายของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าไดสุเกะจนหมดสิ้น เธอรีบลุกจากบัลลังก์ที่นั่งแล้วตรงเข้าไปยังห้องคุมขังนักโทษที่กลายเป็นลานประหารก่อนที่มากัสจะทำการลั่นไก“ท่านมากัสได้โปรดรอก่อนค่ะ !!” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มของเธอนั้นเปล่งออกมาอย่างจริงจังจนทำให้มากัสนั้นยังไม่เหนี่ยวไกปืน“ฝ่าบาท มีเหตุอันใดหรือพะยะค่ะ ?” มากัสลดปืนลงและชันเข่าลงทำความเคารพองค์หญิงลาติฟาห์ที่เสด็จเข้ามา ท่าทางของมากัสนั้นทำให้ไดสุเกะนั้นรู้ว่าสาวน้อยภายในชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นมีฐานะไม่ธรรมดา“เชลยศึกคนนี้…..ขอให้ฉันได้สนทนากับเขาสักครู่หนึ่งได้ไหมคะ ?” ในจังหวะที่องค์หญิงลาติฟาห์ตรัสออกมาโยฮันน่าที่ติดตามองค์หญิง ก็เดินมาถึงจุดตรงนี้พอดีทั้งมากัสและโยฮันน่าเมื่อได้ยินเสียงรับสั่งขององค์หญิงก็อุทานออกมาพร้อมกันว่า “ว่ายังไงนะพะยะค่ะ/เพคะ ?!?” ทั้งสองคนกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่รู้สึกตกใจในสิ่งที่องค์หญิงลาติฟาห์รับสั่ง แต่คนที่ดูแล้วจะตกใจที่สุดคงจะเป็นชายหนุ่มที่ชื่อว่าไดสุเกะซึ่งในตอนนี้เขานั้นรู้สึกประหลาดใจจนทำอะไรไม่ถูก องค์หญิงลาติฟาห์ไม่รอให้โยฮันน่าและมากัสกล่าวอะไรออกมาก่อน พระองค์เดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่ชื่อว่าไดสุเกะอย่างช้าๆด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยน บนพระพักตร์ขององค์หญิงนั้นปรากฏรอยยิ้มจางๆขึ้นมา แต่ว่าสีหน้าของไดสุเกะนั้นดูตื่นตระหนกและประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เอ่อ…..คือ…..ผม….” ไดสุเกะกล่าวคำพูดขึ้นมาอย่างตะกุกตะกักพร้อมกับก้มศีรษะลงไม่กล้าสบตากับองค์หญิงลาติฟาห์ตรงๆ องค์หญิงลาติฟาห์เมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่ชื่อว่าไดสุเกะพระองค์ก็นั่งลงที่เบื้องหน้าของเขาพร้อมกับใช้พระหัตถ์ไปลูไล้ที่เส้นผมของชายหนุ่มอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา ก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนว่า
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ใจเย็นๆนะคะ ฉันไม่ได้มาทำร้ายคุณ….” คำกล่าวขององค์หญิงลาติฟาห์ทำให้ไดสุเกะนั้นรู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียดลงอย่างเห็นได้ชัดแต่ว่าเขานั้นก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเพื่อมองพระพักตร์ขององค์หญิงอยู่ดี องค์หญิงลาติฟาห์จึงตรัสต่อไปอีกว่า
“คุณชื่อว่า ซาซากิ ไดสุเกะ สินะคะ ? คุณยังไม่อยากที่จะตายใช่ไหม ? คุณยังอยากที่จะกลับไปพบน้องสาวของคุณสินะ ? คุณเป็นห่วงเธอ คุณอยากจะอยู่ใกล้ๆเธอ อยากที่จะได้ยินเสียงของเธอ อยากที่จะปกป้องเธอ ใช่ไหมล่ะคะ ?” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นในขณะที่ใช้พระหัตถ์ลูบไล้ไปที่บริเวณศีรษะของไดสุเกะอย่างอ่อนโยน คำกล่าวขององค์หญิงนั้นราวกับจะเสียแทงเข้าไปในจิตใจของไดสุเกะจนทะลุปรุโปร่ง ในตอนนั้นไดสุเกะรู้สึกว่าดวงตาของเขานั้นรู้สึกพร่ามัว หัวสมองของเขานั้นว่างเปล่าไปหมดและน้ำตาของเขาก็หลั่งออกมาจำนวนมาก เขาตอบองค์หญิงไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ใช่ครับผมยังไม่อยากตาย…. ผมยังไม่อยากจะต้องตายที่นี่ ! ผมอยากจะกลับไปพบกับเธอ น้องสาวของผมมิโดริ ผมอยากพบเธอ” ไดสุเกะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเขานั้นกำลังร้องไห้เพราะความรู้สึกอาลัยและความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ องค์หญิงลาติฟาห์ยิ้มออกมาจางๆบนใบหน้าก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาอย่างอ่อนโยนว่า“ถ้าอย่างนั้น คุณซาซากิ มอบชีวิตของคุณให้ฉันได้ไหมคะ ? แล้วฉันก็จะให้โอกาสที่คุณปรารถนาเป็นสิ่งตอบแทนคุณจะตกลงรับมันเอาไว้ไหม ?” องค์หญิงลาติฟาห์ตรัสขึ้นมา คำพูดของเธอนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับไดสุเกะ มากัส และโยฮันน่า ซึ่งอยู่ตรงนั้นเป็นอย่างมาก ไดสุเกะเมื่อได้ยินดังนั้นก็กล่าวถามองค์หญิงลาติฟาห์ออกไปทันทีว่า “มัน….หมายความว่ายังไง…..หรือครับ” องค์หญิงลาติฟาห์เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า“ก็หมายความว่า ฉันต้องการจะให้คุณมาเป็นหนึ่งในหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ขึ้นตรงต่อฉันยังไงล่ะคะ คุณซาซากิจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทหารชาวดาวอังคารยังไงล่ะ !!!” คำกล่าวขององค์หญิงลาติฟาห์ สร้างความรู้สึกตกใจและประหลาดใจให้กับไดสุเกะเป็นอย่างมาก เขานั้นถูกองค์หญิงของฝ่ายศัตรูชักชวนให้แปรพักตร์และเป็นผู้ทรยศของชาวโลกเพื่อแลกกับชีวิตและโอกาสที่เขานั้นจะได้กลับไปพบกับน้องสาวอีกครั้ง “แล้ว ถ้าผมตกลงคุณจะให้ผมไปทำอะไรล่ะครับ ?” ไดสุเกะกล่าวถามองค์หญิงลาติฟาห์ ขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูกล้าๆกลัวๆ องค์หญิงลาติฟาห์เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่มผู้มีชื่อว่าไดสุเกะเธอก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเสียงหัวเราะเล็กๆในลำคอ ก่อนที่เธอจะกล่าวตอบเขาไปว่า“ฉันจะให้คุณเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยับยังไม่ให้สงครามครั้งใหญ่มันเกิดขึ้นยังไงล่ะคะ”......Episode 7 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 25, 2018 12:37:39 GMT
Episode 8 Ominous
พระราชวังมาเซนัส หลังจากที่องค์หญิงลาติฟาห์ได้ทำการรับไดสุเกะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังส่วนพระองค์ขอเธอ มากัสก็ได้คัดค้านความเห็นขององค์หญิงลาติฟาห์อย่างหนักแน่น เนื่องจากว่าเขานั้นไม่คิดว่าทหารชาวโลกจะมีความจงรักภักดีจนสามารถเข้ามาอยู่ในหน่วยที่มีความสำคัญมากขนาดนี้ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นกองกำลังขนาดเล็กที่มีจำนวนทหารไม่ถึง 20 คนแต่มันก็ขึ้นตรงต่อองค์หญิงลาติฟาห์ ซึ่งจัดว่าเป็นว่าที่ผู้นำสูงสุดของชาวดาวอังคาร“องค์หญิงไม่ทราบว่าเรียกผมมามีอะไรอย่างนั้นหรือครับ ?” ไดสุเกะกล่าวถามขึ้นมาด้วยคำพูดที่ดูเป็นกันเอง เขานั้นไม่ถนัดในการใช้ราชาศัพท์เอาเสียเลย และท่าทางของเขานั้นก็ดูไม่สุภาพเรียบร้อยเป็นทางการเพราะว่าเขานั้นไม่คุ้นเคยกับการปฏิบัติตัวกับเชื้อพระวงค์ ท่าทางของเขานั้นทำให้โยฮันน่ารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร และดูเหมือนว่าองค์หญิงลาติฟาห์ก็จะไม่ได้จริงจังอะไรกับเรื่องนี้ “ดูเหมือนว่าคุณซาซากิจะเริ่มปรับตัวเข้ากับแบบแผนกองทัพของพวกเราขึ้นได้บ้างแล้วนะคะ ฉันค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย….” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูนุ่มนวลและอ่อนโยน เธอนั้นรู้สึกโล่งใจที่ไดสุเกะสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับกองทัพชาวดาวอังคารได้ เพราะว่าชาวโลกมีน้อยคนนักที่จะแปรพักตร์มาเข้ากับฝ่ายดาวอังคาร กรณีของไดสุเกะนั้นถือว่าเป็นกรณีที่หายากนั่นเอง หลังจากที่องค์หญิงลาติฟาห์รับไดสุเกะเข้ามาอยู่ภายในกองกำลังส่วนพระองค์นี่ก็เป็นเวลาผ่านมาได้ 1 เดือนแล้วเขานั้นเข้ารับการปรับตัวให้เข้ากับกองทัพชาวดาวอังคารโดยคำแนะนำของมากัส และหลังจากผ่านการฝึกองค์หญิงลาติฟาห์ก็เรียกตัวไดสุเกะเข้ามาพบภายในสวนของราชวังมาเซนัส
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับองค์หญิง แต่ว่าผมเป็นคนที่ปรับตัวค่อนข้างง่ายถึงแม้ว่ามันจะยากไปหน่อยก็เถอะ….” ไดสุเกะพยายามกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพ เพราะว่าเขานั้นกว่าจะปรับตัวเข้ากับกองทัพชาวดาวอังคารได้ก็ใช้ความพยายามมากพอสมควร เพราะว่าสายตารังเกียจจากคนรอบข้างและสายตาดูถูกดูแคลนที่มองเขาเป็นชาวโลกนั้นก็ยังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย“องค์หญิงเพคะ….” หลังจากที่องค์หญิงลาติฟาห์สนทนาสารทุกข์สุขดิบกับไดสุเกะได้พอประมาณแล้วทหาร 2 คนก็เดินเข้ามาภายในสวนของราชวัง หนึ่งในสองคนนั้นก็คือโยฮันน่า และอีกคนที่เดินคู่มากับเธอก็คือชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีขาวเขาคือคริสนั่นเอง พวกเขาทั้งสองคนนั้นถูกองค์หญิงลาติฟาห์เรียกตัวมาเช่นเดียวกับไดสุเกะ “เห๊…..เจ้าคนนี้นะเหรอ คือเจ้าหนุ่มคนที่องค์หญิงชักชวนมาอย่างที่ข่าวลือเขาว่ากัน …..” คริสเดินเข้าไปหาไดสุเกะด้วยท่าทางที่ดูสนอกสนใจ สายตาของเขานั้นมองไดสุเกะตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะตรงเข้าไปใกล้ๆกับไดสุเกะและกระซิบบอกไดสุเกะอย่างแผ่วเบาว่า “ไอ้กร๊วกเอย !! อย่าได้ใจไปหน่อยนะเว้ย องค์หญิงนะเป็นของชั้น ชั้นจะไม่ยกให้ใครเด็ดขาด ถ้าหากว่าคิดจะเข้ามายุ่มย่ามกับองค์หญิงล่ะก็ข้ามศพชั้นไปก่อน !!” คริสเปลี่ยนสีหน้าท่าทางทันที แต่คำพูดของเขาที่กระซิบใส่ไดสุเกะก็ยังคงแผ่วเบาจนแทบจะไม่มีใครได้ยิน ท่าทางของเขานั้นทำให้ไดสุเกะนั้นตกใจไม่น้อย“เห๊ะ….ฮ่ะ ๆๆๆๆ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ !” ไดสุเกะตอบปฏิเสธพลางหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยท่าทางที่ดูเก้อเขิน ท่าทางของเขานั้นทำให้คริสกลับมายิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเขาอีกครั้ง แต่ในรอยยิ้มของคริสนั้นมันดูเสแสร้งเสียน่าหมั่นไส้ “อ๊ะ !! ทั้งสองคนคุยอะไรกันหรอคะ ?” องค์หญิงลาติฟาห์รู้สึกสงสัยในท่าทางของคริสที่แสดงต่อไดสุเกะเธอจึงกล่าวถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนิ่มนวลและไร้เดียงสา คริสเมื่อได้ยินองค์หญิงหันกลับมาถามเช่นนั้นเขาก็รีบหันกลับไปยิ้มให้กับองค์หญิงลาติฟาห์แล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นกันเองและกระเซ้าเย้าแหย่ว่า“อ้อ !! กระผมก็แค่รู้สึกสนใจ ในคนที่องค์หญิงเลือกเข้ามาให้เป็นหนึ่งในหน่วยพิเศษแบบเดียวกับผมน่ะครับก็เลยลองเข้าไปทักทายดูเท่านั้นเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับ ผมไม่สนใจผู้ชายด้วยกันหรอกองค์หญิงไม่จำเป็นต้องกังวลนะครับ หัวใจของผมยังมีแค่องค์หญิงเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น” คริสตอบกลับองค์หญิงลาติฟาห์ไปด้วยท่าทางที่ดูกระเซ้าเย้าแหย่ คำตอบของเขานั้นทำให้องค์หญิงลาติฟาห์รู้สึกเขินอายจนหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย“คริส !! แกบังอาจเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ขององค์หญิงลาติฟาห์เชียวเรอะ !! โทษที่ได้รับคราวก่อนยังไม่สาสมหรือยังไง !?!” โยฮันน่าเมื่อเห็นท่าทางของคริสเป็นเช่นนั้นเธอก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้าทันที เธอชักกระบี่ที่เหน็บอยู่ที่เอวของเธอขึ้นมาและยื่นมันตรงเข้าไปจ่อที่คอของคริสอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ คริสนั้นดูเหมือนว่าจะโดนเหตุการณ์แบบนี้จนชินชาไปเสียแล้ว เขาได้แต่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาด้วยท่าทางที่ยอมศิโรราบพร้อมกับยิ้มแห้งๆให้กับโยฮันน่า องค์หญิงลาติฟาห์เมื่อเห็นท่าทางขององครักของเธอทั้งสองคนเป็นเช่นนั้นเธอก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในอดีตคริสนั้นเป็นหนึ่งในทหารองครักษ์ขององค์หญิงลาติฟาห์ เขานั้นเป็นทหารฝีมือดีที่เก่งทางด้านการรบและการบังคับโมบิลสูท แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนไม่ค่อยจะมีกฎระเบียบ และไม่ค่อยจะสนใจธรรมเนียมปฏิบัติ อีกทั้งยังเป็นคนที่ชอบกระเซ้าเย้าแหย่กับหญิงสาวไปทั่วไม่เว้นแม้แต่กระทั่งองค์หญิงลาติฟาห์ จึงทำให้เขานั้นเป็นที่น่าอับอายของกองทหารองครักษ์ เขาจึงโดนมากัสสั่งปลดออกจากการเป็นทหาร แต่ว่าองค์หญิงลาติฟาห์กลัวว่าเขานั้นจะตกงานและเสียดายในความสามารถที่เขามี เธอจึงชักชวนให้เขาเข้ามาเป็นทหารหน่วยที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเธอ และคริสเองก็ตกลงแทบจะทันที“ไม่เอาน่าโยฮันน่า …. คริสเขาก็ชอบหยอกล้อแบบนี้เป็นธรรมดานั่นแหละค่ะ คุณซาซากิช่วยเข้ามาตรงนี้หน่อยนึงสิคะ” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวห้ามทับระหว่างโยฮันน่าและคริส ด้วยท่าทางที่ดูสบายๆและเป็นกันเอง เพราะว่าเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนต่อหน้าเธอ ก่อนที่เธอจะทำการเรียกไดสุเกะเข้าไปใกล้ๆโดยที่โต๊ะซึ่งอยู่ข้างตัวของเธอนั้นมีกล่องโลหะใบขนาดปานกลางใบหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อไดสุเกะเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ องค์หญิงลาติฟาห์ก็เปิดกล่องโลหะใบนั้นออกมา “สิ่งนี้มันคืออะไรหรอครับองค์หญิง ?” ไดสุเกะทันทีที่ได้เห็นสิ่งของที่อยู่ในกล่องเขาก็แสดงสีหน้าสงสัยทันที มันเป็นปลอกคอที่ทำมาจากโลหะไม่ทราบชนิดสีดำและตรงส่วนบริเวณด้านหน้าของมันก็มีแถบสี่เหลี่ยมสีดำขนาดเล็กที่เหมือนว่าจะบรรจุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อะไรบางอย่างเอาไว้ “มัน…..มันก็คือปลอกคอที่ทำการติดตั้งนาโนแมชชีนเอาไว้ มันจะทำงานก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากภายนอก มันมีเอาไว้ใช้สำหรับทำการทำลายสมองของผู้ที่สวมใส่มันน่ะค่ะ คุณซาซากิ ดูเหมือนว่าคุณมากัสจะยังไม่วางใจในตัวของคุณน่ะค่ะ เขาก็เลยให้ฉันมอบสิ่งนี้ให้กับคุณเพื่อป้องกันไม่ให้คุณหักหลังพวกเรา ฉันเสียใจนะคะที่ต้องทำแบบนี้แต่ว่าได้โปรดช่วยเข้าใจด้วย” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นกับไดสุเกะด้วยสีหน้าที่ดูโศกเศร้าและลำบากใจ เธอนั้นได้รับคำแนะนำมาจากมากัสอีกทอดหนึ่งเพื่อให้เธอนั้นมอบปลอกคอป้องกันไม่ให้ไดสุเกะทรยศและบังคับให้เขานั้นสวมใส่มัน เพื่อแลกกับการยอมรับในตัวตนของไดสุเกะในฐานะของทหารชาวดาวอังคาร ไดสุเกะนั้นมองดูปลอกคอที่ทำจากโลหะสีดำที่อยู่ในมือทั้งสองข้างขององค์หญิงลาติฟาห์ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยก่อนที่เขานั้นจะยิ้มออกมาอย่างราบเรียบและกล่าวว่า“องค์หญิงครับผมยอมทรยศกับคนทั้งโลกเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่และได้พบกับน้องสาวของผมอีกครั้ง การใส่ปลอกคอที่เหมือนกับเอามีดมาจ่อไว้ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ แค่นี้ไม่มีปัญหาหรอกผมยินดี” ไดสุเกะพูดจบเขาก็เอื้อมมือไปหยิบปลอกคอซึ่งทำจากโลหะสีดำซึ่งอยู่ในมือขององค์หญิงลาติฟาห์ขึ้นมาทันที เขานำมันเข้าไปสวมบริเวณคอของเขา ทันใดนั้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งอยู่ภายในปลอกคอก็เริ่มทำงาน มันรัดเข้าไปที่บริเวณคอของเขาเข้าอย่างพอดิบพอดีขนาดของมันนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดของลำคอของไดสุเกะโดยอัตโนมัติ
“อึก…..อ๊าคคคคคคคคค !!” แต่ว่าทันทีที่ปลอกคอถูกสวมใส่ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ถูกส่งตรงไปที่สมองของเขา เนื่องจากว่านาโนแมชชีนภายในปลอกคอนั้นได้ทำการสแกนหาส่วนสำคัญต่างๆภายในร่างกายและกระตุ้นอาการเจ็บปวดของสมองของเขาขึ้นมา เพื่อเป็นการยืนยันตัวบุคคลที่มันนั้นจะต้องถูกติดตั้งลงไปความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาจู่โจมอย่างกระทันหันนั้นทำให้ไดสุเกะถึงกับหน้ามืดและล้มลงกับพื้นตรงนั้นไปทันที อาการของเขาที่แสดงออกมานั้นสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นรวมทั้งองค์หญิงลาติฟาห์ด้วย คริสที่มีท่าทางขี้เล่นยังรู้สึกตกใจกับอาการที่แสดงออกมาเนื่องจากว่าคริสนั้นไม่เคยเห็นคนที่ต้องสวมใส่ปลอกคอเช่นนี้มาก่อนเลยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนที่ทำแบบนี้“โยฮันน่า !! รีบมาตรงนี้เร็วเข้า รีบพาคุณซาซากิไปที่ห้องพยาบาล คุณซาซากิไม่เป็นอะไรนะคะทำใจดีๆไว้” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูตื่นตระหนกตกใจ ก่อนที่โยฮันน่าและคริสจะช่วยกันหิ้วปีกไดสุเกะออกไปจากบริเวณสวนของพระราชวังเพื่อตรงไปยังห้องพยาบาลของสำนักพระราชวังที่อยู่ใกล้ๆ อาการบาดเจ็บของเขานั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ความเจ็บปวดนั้นค่อนข้างจะรุนแรงเพราะว่าอุปกรณ์ที่เขาเพิ่งจะสวมใส่เข้าไป แต่มันก็เพียงแค่ครั้งแรกเท่านั้นที่เขาจะรู้สึกแบบนี้ คฤหาสน์วิลเฮล์ม ในยามบ่ายวันหนึ่งตอนนี้มากัสกำลังนั่งดื่มไวน์ที่ทำมาจากองุ่นแดงรสเลิศพร้อมกับอ่านหนังสือเล่มโปรดของเขาอยู่ที่ระเบียงของคฤหาสน์ หนังสือที่อยู่ในมือของเขานั้นมีชื่อว่า Violet Horizon มันเป็นหนังสือนิยายเล่มหนาที่ทำมาจากกระดาษถนอมสายตาเนื้อดี หน้าปกของมันนั้นเป็นผ้ากำมะหยี่ที่รองด้วยกระดาษแข็งสีม่วงและมีตัวอักษรฉลุลายสีทองเขียนเอาไว้เป็นชื่อเรื่อง ภายในมือของเขานั้นเป็นเล่มที่ 3 ของ series หนังสือเล่มนี้ หลังจากที่เขาอ่านไปได้สักพักหนึ่งเขาก็ปิดหนังสือเล่มนั้นลงพร้อมกับกล่าวขึ้นมาลอยๆว่า “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนและงดงามจริงๆ” หลังจากนั้นมากัสก็วางหนังสือเล่มนั้นลงบนโต๊ะพร้อมกับจิบไวน์ที่ทำมาจากองุ่นแดง พร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าเทียมซึ่งเป็นท้องฟ้าสีครามที่ถูกฉายผ่านทางจอแอลอีดีของโดมอยู่อาศัยด้วยแววตาที่ดูมุ่งมั่น“สักวันหนึ่งชั้นจะต้องได้อยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีครามของจริงให้ได้….แล้วไม่ใช่ท้องฟ้าสีครามที่แบ่งปันให้กับชาวโลกที่แสนน่ารังเกียจนั่น” มากัสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท แต่ว่าทันใดนั้นเครื่องมือสื่อสารของเขาที่เป็นเหมือนกับโทรศัพท์มือถือแต่มีขนาดเล็กกว่าก็ส่งเสียงดังขึ้นเพื่อบอกให้เขารู้ว่ามีใครบางคนพยายามที่จะติดต่อเข้ามาหาเขา มากัสเดินตรงไปที่เครื่องมือสื่อสารนั้นทันทีก่อนที่เขาจะใช้ปลายนิ้วของเขาสัมผัสไปที่มัน และมันก็ฉายภาพโฮโลแกรม 3 มิติของบุคคลคนหนึ่งขึ้นมาคนๆหนึ่งขึ้นมา คนๆนั้นคือนั่นก็คือดินอสนั่นเอง“องค์หญิงลาติฟาห์ ทำตามคำแนะนำของนายแล้ว เจ้าหนุ่มที่ชื่อว่าซาซากิ ใส่ปลอกคอน่ะเรียบร้อยแล้วล่ะ เรื่องนี้โยฮันน่าเป็นคนบอกกับชั้นเองเลยนะ ฮ่าๆๆๆ” ดินอสกล่าวขึ้นเพื่อบอกถึงความคืบหน้าในเรื่องที่มากัสได้แนะนำกับองค์หญิงลาติฟาห์ไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูยินดีและหัวเราะออกมาด้วยท่าทางที่ดูพออกพอใจ“แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ สุนัขเลี้ยงจำเป็นต้องมีปลอกคอเพื่อป้องกันไม่ให้มันกัดมือเจ้าของตัวเอง แล้วหลังจากนั้นองค์หญิงล่ะ พระองค์มีรับสั่งต่อไปว่าอย่างไร ?” มากัสถามขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวที่องค์หญิงลาติฟาห์รับสั่งต่อจากที่พระองค์นั้นได้มอบปลอกคอให้กับไดสุเกะเรียบร้อยแล้ว ดินอสเมื่อได้ยินคำถามนั้นเขาก็แสดงสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะตอบออกมาอย่างราบเรียบว่า“ในภารกิจกำจัด Gundam และทำลายกล่องข้อมูลที่ถูกช่วงชิงไปให้สิ้นซาก คริสกับเจ้าหนุ่มนั่นจะมาเป็นหนึ่งในลูกทีมของชั้นและเดินทางไปที่โลกด้วย เจ้าหนุ่มที่ชื่อว่าซาซากิจะได้ Gundam astray Red Frame เป็นโมบิลสูทประจำตัว ส่วนคริสจะได้ Force Impulse Gundam เป็นโมบิลสูทประจำตัวน่ะ” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางยุ่งยากใจเล็กน้อยเขานั้นไม่คิดว่าองค์หญิงลาติฟาห์ จะส่งคนเข้ามาแทรกแซงภารกิจการกำจัดกันดั้มในครั้งนี้ แต่เขานั้นก็ได้แต่คิดว่าองค์หญิงอาจจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาก็เป็นไปได้ ถึงได้ส่งคนที่มีฝีมือมาถึง 2 คน โดยที่คนหนึ่งนั้นเคยเป็นชาวโลกมาก่อน น่าจะชำนาญพื้นที่บนโลกเป็นอย่างดี
“ท่านดินอส ถึงอาจจะดูกระทันหันไปหน่อยแต่ว่า ต้องขออภัยที่ข้าจะพูดแบบนี้นะ แต่ว่า ท่านดินอสข้ามีความรู้สึกสงสัย แล้วท่านล่ะสงสัยแบบข้าหรือไม่ถ้าคิดว่าองค์หญิงลาติฟาห์ อาจจะเป็นคนที่ส่งข้อมูลเกี่ยวกับกันดั้มไปให้กับชาวโลก !!” จู่ๆมากัสก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดและกล่าวถามดินอสออกมาในหัวข้อที่ดูเป็นอันตราย คำถามของเขานั้นทำให้ดินอสรู้สึกตกตะลึงทันที“ท่านมากัส ท่านรู้ไหมว่าท่านกำลังพูดอะไรออกมา ?!? เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะ !!” ดินอสกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและดุดันท่าทางของเขานั้นเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำถามของมากัส มากัสเองก็คิดอยู่แล้วว่าคู่สนทนาของเขานั้นจะต้องแสดงอาการแบบนี้ออกมาแน่เขาจึงกล่าวต่อไปว่า“ท่านดินอสถ้าหากว่าท่านเป็นคนที่ส่งข้อมูลเรื่อง Gundam ไปให้กับชาวโลกจริงท่านคงจะไม่อาสาออกไปทำลายพวกมันด้วยตัวของท่านเองหรอก แล้วท่านเอ็งก็น่าจะรู้ดีว่าข้าเกลียดชังชาวโลกมากขนาดไหนถ้าอยากจะทำลายพวกมันให้สิ้นซากไปเสียวันนี้เลยด้วยซ้ำไป ดังนั้นในบรรดาเราสองคนจึงไม่น่าจะใช่คนที่ทำแบบนั้น แล้วคนที่มีอำนาจมากพอจะทำแบบนั้นได้ก็มีเพียงแค่องค์หญิงลาติฟาห์ เท่านั้นไม่ใช่หรืออย่างไร ?” มากัสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสุขุมเยือกเย็น แต่ในน้ำเสียงของเขานั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกกดดันซึ่งดินอสเองก็สามารถจะรับรู้ได้เป็นอย่างดี ดินอสเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า “ถ้าหากว่าเป็นแค่ข้อสันนิษฐาน สิ่งที่ท่านพูดมาก็พอจะมีเหตุผล แต่เราจะด่วนสรุปอะไรไม่ได้ ยังไงก็แล้วแต่ข้าจะไปที่โลกและทำลายกันดั้มของพวกมันทิ้งให้หมดพร้อมทั้งกล่องข้อมูลนั้นด้วย แล้วหลังจากนั้นถึงต่อให้ใครจะเป็นคนส่งไปก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมากังวลอะไร ถึงตอนนั้นเราค่อยจับตัวคนผิดมาลงโทษก็ยังไม่สายไปหรอกจริงไหม” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสุขุมเยือกเย็น ถึงแม้ว่ามากัสเมื่อได้ฟังคำพูดของเขาแล้วจะมีท่าทางเรียบเฉยก็ตามที แต่เขาก็ดูท่าทางว่าจะโน้มนาวไปในสิ่งที่ดินอสนั้นพูดออกมา“นั่นสินะ ไม่ว่าอย่างไรชาวโลกก็อยู่ในกำมือของพวกเรา ถึงพวกมันจะได้อาวุธร้ายแรงไปก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะเอาชนะเราได้ในชั่วข้ามคืน พวกเราจะต้องทำให้มันยอมศิโรราบโดยไร้ข้อแม้และข้อกังขาใดๆ ท่านดินอสเรื่องนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว” มากัสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเยือกเย็นและอำมหิต ดินอสเมื่อได้ยินคำพูดของเขากล่าวออกมาเช่นนั้นก็ได้แต่แสยะยิ้มออกมาราวกับว่าเขานั้นรู้จุดประสงค์ของมากัสเป็นอย่างดีเพราะว่าเคยเป็นสหายกันมานาน “เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก ไม่ว่าองค์หญิงจะมีพระประสงค์อะไรก็ตามที่ส่งมือดีซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชามาในภารกิจนี้แต่ว่า ผลลัพธ์ที่จะออกมามันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอก ไว้ข้าจะกลับมาพร้อมข่าวดี” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่มั่นใจก่อนที่จะทำการตัดสายเครื่องมือสื่อสารเพื่อจบการสนทนา มากัสเมื่อการสนทนาสิ้นสุดลงแล้วเขาก็เดินไปที่หน้าต่างอีกครั้งพร้อมกับกล่าวขึ้นมาเบาๆว่า“ข้าเองก็จะรอฟังข่าวดีจากท่านเหมือนกัน อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ ท่านดินอส …...” เกาะเทียมกลางมหาสมุทรแปซิฟิก “นี่เฮเลล คุณเฟรย์อาได้ยินไหมครับ ผมกำลังจะตามไปสนับสนุนพวกคุณทางนั้น !!” Wing Gundam Zero เมื่อเข้าไปในรัศมีของการสื่อสาร เฮเลลก็รีบทำการวิทยุไปถึงเฟรย์อาซึ่งเป็นผู้บังคับ Gundam Delta Kai ซึ่งทำการต่อสู้อยู่ที่บริเวณนั้นทันที “เฮเลล นั่นนายเองหรอ ดีจังในที่สุดกำลังเสริมก็มา นายปลอดภัยดีนะ รีบมาที่นี่เลยเร็วเข้า เจ้าเอ็สเพ็นมันทำเรื่องแย่ๆขึ้นมาแล้วสิ !!” เสียงของเฟรย์อาดังขึ้นมาผ่านทางวิทยุสื่อสารน้ำเสียงของเธอนั้นเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ ราวกับว่าต้องจุดที่เธอต่อสู้นั้นเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอครับคุณเฟรย์อา !!” เฮเลลกล่าวถามถึงสถานะการผ่านทางวิทยุสื่อสารไปยังเฟรย์อาด้วยท่าทางที่ดูตื่นตระหนก ทันทีที่เฟรย์อาได้ยินเฮเลลทำดังนั้นเธอก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยุ่งยากใจอย่างรวดเร็วฉับไวว่า“เจ้าเอ็สเพ็นน่ะสิ มันกำลังจะทำให้ยานแม่ของพวกเราพังไปด้วย !! รีบมาที่นี่เลยเร็วๆเข้า” คำพูดของเฟรย์อางั้นทำให้เฮเลลพอจะเดาสถานการณ์เบื้องต้นได้เล็กน้อยแต่เขานั้นก็รีบบังคับ Wing Gundam Zero พุ่งทะยานไปยังท่าจอดยานซึ่งอยู่ไม่ไกลนั้นอย่างเต็มกำลัง ท่าจอดยานแม่ของเกาะเทียม “ฮ่าๆๆๆๆๆ !!” เสียงของเอ็สเพ็นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เขากำลังระดมยิงปืนทุกกระบอกที่ถูกติดตั้งอยู่บนตัวของคาลามิตี้กันดั้มเข้าใส่ Gundam astray Blue Frame และ Green Frame ที่อยู่เบื้องหน้าแต่ว่ากระสุนของเขานั้นหาได้โดน Blue Frame และ Green Frame ไม่ดูเหมือนว่า Gundam ของชาวดาวอังคารทั้งสองเครื่องนี้จะสามารถหลบหลีกการโจมตีของเอ็สเพ็นไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่กระสุนที่เขานั้นยิงออกไปกลับไปโดนถังเชื้อเพลิงและสร้างความเสียหายให้กับอาคารบริเวณท่าจอดยานเป็นวงกว้าง “ไอ้เจ้าบ้าเอ้ย !! ควบคุมสติหน่อยสิ นายกำลังจะทำให้ที่นี่ราบเป็นหน้ากองนะ !!” เฟรย์อากล่าวขึ้นผ่านทางวิทยุสื่อสารด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหงุดหงิด เอ็สเพ็นเมื่อได้ยินเธอกล่าวดังนั้นเขาก็ตอบผ่านทางวิทยุสื่อสารกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูกวนประสาทว่า “หนวกหูนะครับ ผมกำลังต่อสู้อยู่คุณไม่เห็นหรือยังไง ? คนกำลังสนุกอย่าเข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องจะได้ไหม !!” เอ็สเพ็นกล่าวตอบเฟรย์อาไปด้วยน้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดและกวนประสาทท่าทางของเขานั้นทำให้เธอนี่เงียบๆและไม่พูดอะไรต่อไป แต่ว่าทันใดนั้นเรดาร์ของคาลามิตี้กันดั้มก็แสดงจุดตำแหน่งของ Wing Gundam Zero ที่กำลังพุ่งเข้ามา
“เชอะ…. กำลังเสริมมาถึงแล้วหรือครับเนี่ย งั้นก็หมดเวลาสนุกแล้วสิ ป๊าง !!” ทันใดนั้น เอ็สเพ็นก็เล็งปืนบาซูก้าอนุภาคยิงโจมตีออกไปตรงๆ แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าความแม่นยำของเขานั้นจะเพิ่มขึ้นมากเป็นทวีคูณ อีกทั้งเขายังคำนวณถึงวิธีการเบี่ยงตัวหลบของ Gundam astray Green Frame ได้อย่างแม่นยำจนกระสุนลำแสงอนุภาคเข้าไปปะทะกับเครื่องของ Green Frame อย่างพอดิบพอดี บรึ้มมมมมม !!! เสียงระเบิดของ Gundam astray Green Frame ดังสนั่นหวั่นไหวสร้างความตกใจให้กับ Blue Frame และเฟรย์อาที่อยู่ตรงนั้นเป็นอย่างมากเนื่องจากว่าที่ผ่านมา เอ็สเพ็นนั้นไม่ได้เอาจริงเขาเพียงแค่เล่นสนุกโดยการยิงศัตรูมั่วๆและทำลายอาคารสถานที่เล่นเท่านั้น “ร่วงไปแล้ว 1 !! ต่อไปก็ตานายแล้วนะเจ้าสีฟ้า !!”.......Episode 8 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 26, 2018 16:55:25 GMT
Episode 9 Emergency situation
“ร่วงไปแล้ว 1 !! ต่อไปก็ตานายแล้วนะเจ้าสีฟ้า !!” เอ็สเพ็น ทำการเล็งปืนบาซูก้าอนุภาคไปยัง Gundam astray Blue Frame เป็นตัวต่อไปแต่ในวิถีการยิงของเขานั้นถ้าหากว่า Gundam astray Blue Frame สามารถหลบกระสุนนัดนี้ของเขาได้มันจะพลาดไปโดนยานแม่ Medea เข้าอย่างจัง เฮเลลเมื่อเห็นท่าทางของ เอ็สเพ็น กำลังจะทำเช่นนั้นเขาก็รีบบังคับ Wing Gundam Zero พุ่งเข้าไปหาคาลามีตี้กันดั้มทันที“หยุดเดี๋ยวนี้นะ !! นายจะบ้าไปแล้วหรือไง !?!” เฮเลลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่จริงจังและดุดันพร้อมกับทำการชักเอา Beam saber ขึ้นมาทันทีและเขาก็ฟันลงไปที่กระบอกปืนบาซูก้าอนุภาคของคาลามิตี้ Gundam จนมันขาดออกเป็นสองท่อนก่อนที่กระสุนจะถูกลั่นไก “อะไรกัน !! นี่นายทำอะไรของนาย !!” เอ็สเพ็น กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูตื่นตระหนกและหัวเสียเมื่อเห็นว่าเฮเลลซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกันกับเขานั้นโจมตีเข้าใส่อาวุธของเขาจนมันไม่สามารถใช้งานได้ ในขณะที่เกิดความสับสนขึ้นมานั้น Gundam astray Blue Frame ได้ทำการยิงปืนบาซูก้าของมันเข้าใส่คาลามิตี้กันดั้มที่กำลังสับสนทันที ตูม ตูม ตูม กระสุนบาซูก้าทั้ง 3 นัดของบลูเฟรมถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่องมันพุ่งเข้ามาใส่คาลามิตี้กันดั้มและ Wing Gundam Zero อย่างรวดเร็วทั้งสองคนนั้นไม่ทันจะได้ตั้งตัวและปกป้องตัวเอง
“ไม่มีทางหรอก !!” เฟรย์อาที่กำลังดูท่าทีอยู่ตรงนั้นได้ทำการใช้ Proto Fin Funnel ที่ติดอยู่ด้านหลังของ Gundam Delta Kai ทั้ง 2 อันให้ออกไปโจมตีทันที Proto Fin Funnel คืออาวุธแบบควบคุมด้วยรีโมทระยะไกลมันสั่งการจากคลื่นสมองของนักบิน Gundam Delta Kai โดยตรง โดยที่ Proto Fin funnel นั้นสามารถที่จะยิงปืนพลังงานอนุภาคที่มีพลังทำลายล้างไม่น้อยไปกว่า บลัสเตอร์ไรเฟิล ได้อย่างต่อเนื่องหลายนัด และมันก็เป็นอิสระจากตัวหุ่นมีพลังงานเป็นของตนเอง และสามารถกลับมาชาร์จพลังงานที่ตัวของ Gundam Delta Kai ได้ตลอดเวลา ชิ้ววว ชิ้ววววว ตูม ตูม ตูม !!! Proto Fin funnel ได้ทำการยิงลำแสงอนุภาคเข้าทำลายลูกกระสุนปืนบาซูก้าของ Gundam astray Blue Frame จนมันแตกกลางอากาศก่อนที่จะกระทบเข้ากับเป้าหมาย การสกัดกั้นการโจมตีครั้งนี้สร้างความตกใจให้กับคนขับของ Gundam astray Blue Frame เป็นอย่างมาก
“เอานี่ไปกินซะ !!” และในขณะที่คนขับของ Gundam astray Blue Frame นั้นกำลังตกใจเฮเลลก็ได้ฉวยโอกาสนี้ยิง Buster Rifle เข้าใส่ Gundam astray Blue Frame เข้าอย่างจังจน Blue Frame นั้นระเบิดเป็นผุยผงตาม Green Frame ไปติดๆ“ถึงศูนย์บัญชาการ ยืนยันเป้าหมายถูกทำลาย สถานการณ์ของการรบที่หอบังคับการและท่าจอดยานปลอดภัยแล้ว….” หลังจากที่กำจัดศัตรูตัวสุดท้ายบริเวณนี้ได้เฮเลลก็ได้ทำการวิทยุไปบอกยังศูนย์บังคับการซึ่งในตอนนี้มีพวกของมิโดริกำลังประจำการอยู่ “ศูนย์บัญชาการรับทราบ เยี่ยมไปเลย แต่ว่าเรดาร์ของเรายังตรวจพบศัตรูอีก 3 เครื่องอยู่ที่บริเวณโรงจอดโมบิลสูท พวกคุณพอจะมีกำลังเหลือพอที่จะกลับไปสนับสนุนพวกเขาได้ไหม ?” มิโดริตอบกลับเฮเลลมาอย่างรวดเร็วแต่เธอก็ได้พูดถึงโมบิลสูทของฝั่งชาวดาวอังคารอีก 3 เครื่องที่อยู่ที่บริเวณโรงเก็บโมบิลสูทซึ่งเป็นจุดแรกที่พวกเขานั้นได้พบศัตรูก่อนที่จะแยกกลุ่มกัน“เจ้าเครื่องสีแดงนั่น…..” เฮเลลกล่าวขึ้นพลางนึกถึงชินันจู โมบิลสูทสีแดงที่เป็นหัวหน้าของหน่วยโมบิลสูทที่บุกเข้ามาโจมตีมันมีฝีมือร้ายกาจจนเขานั้นไม่อยากจะจินตนาการ “Wing Gundam Zero รับทราบพวกเราทั้งหมด 3 เครื่องจะกลับไปสมทบกับพวกที่ต่อสู้อยู่ที่บริเวณโรงจอดโมบิลสูท !!” เฮเลลกล่าวตอบวิทยุกลับไปยังมิโดริที่อยู่ที่ศูนย์บัญชาการกลาง ดูเหมือนว่าตอนนี้ศูนย์บัญชาการจะไม่สามารถถ่ายทอดคำสั่งแบบกระจายได้เนื่องจากว่าเสาสัญญานั้นยังคงได้รับความเสียหาย แต่ถ้าหากว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงโมบิลสูทที่มีอุปกรณ์สื่อสารอยู่ภายในตัวเครื่องอยู่แล้วก็พอที่จะทำได้ในระดับหนึ่ง“พวกเราไปกันเถอะการต่อสู้นี้ยังไม่จบนะครับ !!” เฮเลลกล่าวขึ้นเพื่อบอกให้เฟรย์อาและ เอ็สเพ็น ตามเขาไปยังโรงเก็บโมบิลสูทที่เป็นจุดที่พวกเขานั้นได้พบกับศัตรูเป็นที่แรก “เห้ยยย เดี๋ยวก่อนสิเจ้าตัวที่มีปีกนั่น นี่แกทำอะไรลงไป นอกจากที่จะมาขัดขวางการต่อสู้ของผมแล้ว ยังจะมาแย่งความดีความชอบของผมไปอีกเหรอ ? แบบนี้มันจะเกินไปหน่อยแล้วนะ ?” เอ็สเพ็น กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจ เขานั้นรู้สึกว่าเฮเลลนั้นแย่งผลงานและขัดขวางการต่อสู้ของเขาสายตาของเขาตอนนี้จับจ้องไปยัง Wing Gundam Zero ด้วยสายตาของคนที่เต็มไปด้วยความแค้นเคือง “ใจเย็นๆก่อนครับคุณ เอ็สเพ็น นี่คือสงครามไม่ใช่เกมกีฬา เราต้องเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุดและเสียหายน้อยที่สุดนะครับ สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่ความคิดที่ถูกเลย” เฮเลลพยายามจะพูดอธิบายด้วยถ้อยคำที่ดูสุภาพแต่ดูเหมือนว่า เอ็สเพ็น นั้นจะไม่ได้คอยตามคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย “อ้อ…..งั้นหรอ เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วก็พวกเรารีบไปกันเถอะ ไปหาศัตรูคนใหม่ของเรา...” เอ็สเพ็น กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบแต่ภายน้ำเสียงนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ชวนขนลุกแต่เฮเลลนั้นพยายามที่จะไม่สนใจในคำพูดของเขาและก็ขับ Wing Gundam Zero พุ่งทะยานออกไปยังบริเวณโรงจอดโมบิลสูทที่เขานั้นเคยผ่านมา ภายในหอบังคับการ “กัปตันอาดิโอสคะ ดูเหมือนว่าศัตรูจะสูญเสียกำลังไปแล้วครึ่งนึงนะคะแบบนี้พวกเราชนะแน่เลยล่ะค่ะ” มิโดริกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูยินดีหลังจากที่เขานั้นได้รับข่าวดีจากเฮเลล เธอบอกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับรองกัปตันสกาเล็ตและกัปตันอาดิโอสได้ฟัง แต่หลังจากที่ได้ฟังข้อมูลจากมิโดริแล้วกัปตันอาดิโอสนั้นมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักขึ้นมาทันที
“มันดูง่ายเกินไปหน่อยไหมเนี่ย แปลกมาก ศัตรูมาด้วยโมบิลสูทกัน 6 เครื่อง การที่จะนำโมบิลสูทที่มีสมรรถนะและความเร็วแตกต่างกันมาถึงที่นี่พร้อมๆกันมันจะต้องมีตัวที่นำมันมา ใช่แล้วยานแม่ของพวกมันไง ตอนนี้เรายังไม่เห็นยานแม่ของฝ่ายศัตรูเลยแม้แต่ลำเดียว สกาเล็ท เธอรีบทำการค้นหามันเดี๋ยวนี้ !! ใช้เรดาร์ทุกอย่างที่มีหามันให้เจอเร็วเข้า นานแล้วนะเนี่ยที่ไม่ได้รู้สึกไม่ดีขนาดนี้ มันต้องมีอะไรแน่ๆเลย !!” กัปตันอาดิโอสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นตระหนก ดูเหมือนว่าเขานั้นจะฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “รับทราบค่ะกัปตัน” รองกัปตัน สกาเล็ท กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสุภาพ แต่ว่าเธอนั้นก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าความกังวลของกัปตันอาดิโอสนั้นสำคัญขนาดไหนเธอไม่รอช้ารีบลงมือทันที รองกัปตัน สกาเล็ท ทำการเปิดเรดาทุกตัวที่ถูกติดตั้งเอาไว้บริเวณเกาะเทียมตัวไหนก็ตามที่ใช้ได้จะถูกใช้งานทั้งหมด ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลมายังหอบังคับการพร้อมกัน “ว้าว !! สุดยอดไปเลยนะคะเนี่ย” มิโดริกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูชื่นชม ทันทีที่เธอได้เห็นรองกัปตัน สกาเล็ท ทำการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็ว เธอนั้นใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถที่จะทำการวิเคราะห์ถึงรูปแบบของเสียงที่สะท้อนกลับมา รูปแบบของพลังงานความร้อนที่พบ และรูปแบบของอัตราการหักเหแสงอันเกิดจากการใช้สัญญาเลเซอร์ ได้อย่างแม่นยำ“เป็นอย่างที่กัปตันว่าจริงๆด้วยค่ะ ศัตรูมียานแม่มาด้วย 1 ลำมันกำลังซ่อนตัวอยู่ออกห่างจากเกาะเทียมนี้ไปประมาณ 15 กิโล แต่ไม่สามารถจะยืนยันคลาสของยานแม่ฝ่ายศัตรูได้ค่ะ ยานแม่ลำนี้ไม่มีข้อมูลอยู่ภายใน database ของพวกเรามาก่อนเลยน่าจะเป็นยานรุ่นใหม่ค่ะ” รองกัปตัน สกาเล็ท กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแตกตื่น หลังจากที่เธอได้พบกับยานแม่อย่างที่กัปตันอาดิโอสนั้นสังหรณ์ใจเอาไว้ “อืม…..นี่มันยานอะไรกันเนี่ยลำใหญ่ชะมัดเลย ไม่ได้การ์ณแล้วรีบติดต่อโมบิลสูททุกเครื่องให้รับรู้เรื่องนี้ !!” กัปตันอาดิโอสสั่งการไปยังมิโดริซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สื่อสารให้เธอนั้นทำการติดต่อกันดั้มทุกเครื่องด้วยความถี่สัญญาณภายในและบอกให้นักบิน Gundam ทุกคนนั้นรู้เกี่ยวกับยานแม่ของฝ่ายศัตรู “แย่แล้วล่ะค่ะกัปตัน !! ตรวจพบคลื่นพลังงานแปลกประหลาดจำนวนมหาศาลที่บริเวณด้านหน้าของยานแม่ฝ่ายศัตรูคาดว่าน่าจะเป็นอาวุธที่กำลังสะสมพลังงานค่ะ !!” รองกัปตันสกาเล็ตกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูตื่นตระหนก เนื่องจากว่าผลการวิเคราะห์ข้อมูลของเธอนั้นค้นพบว่ายานแม่ของฝ่ายศัตรูนั้นกำลังสะสมพลังงานบางอย่างเอาไว้ที่บริเวณด้านหน้าของตัวยานซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่ตั้งของป้อมปืน “ปืนใหญ่นำแสงอนุภาคเหรอ ? ใช่ไหม ?” กัปตันอาดิโอสกล่าวขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดของรองกัปตันสกาเล็ต เขานั้นพยายามจะเดาอาวุธที่ศัตรูนั้นจะใช้เป็นอาวุธหนักในการเผด็จศึกและจบการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ทันทีที่ร้องกัปตันสกาเล็ตได้ยินคำพูดของกัปตันอดิโอเธอก็ส่ายศีรษะเป็นการตอบปฏิเสธและกล่าวว่า“ไม่ใช่ค่ะสัญญาณที่จับได้ไม่ใช่พลังงานความร้อนเพราะฉะนั้นไม่น่าจะใช่ปืนลำแสงอนุภาคค่ะ และการสะสมพลังงานขนาดนี้ก็มากเกินกว่าที่จะไว้ใช้ยิงกระสุนที่มีหัวกระสุนเป็นวัตถุกายภาพค่ะ พวกเราไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าศัตรูจะใช้อาวุธอะไรและมีพลังทำลายล้างขนาดไหน กัปตันคะ !! รีบสั่งการให้หน่วย Gundam ไปทำลายยานแม่ของฝั่งศัตรูก่อนจะดีกว่านะคะ !!” คำแนะนำของรองกัปตันสกาเล็ตนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ กัปตัน อาดิโอส ได้ทำการสั่งให้มิโดริวิทยุไปหานักบิน Gundam ทุกคนอีกครั้ง โดยในคราวนี้ภารกิจของเขาก็คือให้รีบไปทำลายยานแม่ของฝ่ายศัตรูที่ทางหอบัญชาการได้พิกัดไปให้โดยเร็วที่สุด“ถึงนักบินกันดั้มทุกเครื่อง เราพบตำแหน่งยานแม่ของฝ่ายศัตรูแล้ว !! ยานแม่ของฝ่ายศัตรูกำลังชาร์จพลังงานเพื่อเตรียมตัวที่จะใช้อาวุธร้ายแรง ขอให้นักบิน Gundam ทุกเครื่องรีบทำการไปโจมตียานแม่ของฝ่ายศัตรูก่อน นี่เป็นเหตุเร่งด่วน ขอย้ำนี่เป็นเหตุเร่งด่วน !!” เสียงของมิโดริกล่าวขึ้นแล้วหลังจากนั้นภายในเรดาร์ของ Gundam ทุกเครื่องก็ปรากฏถึงจุดที่เป็นยานนาเดชิโกะของฝ่ายชาวดาวอังคารขึ้นบนเรดาร์ สนามรบบริเวณโรงเก็บโมบิลสูท วืดดดด เปรี้ยงงงง !!! เสียงของอาวุธอนุภาคระยะประชิดพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ชินันจู และ Unicorn Gundam พุ่งเข้าใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย สมรรถนะของโมบิลสูททั้ง 2 เครื่องนี้ดูจะสูสีกันมากจนยากที่จะหาผู้ชนะได้ แต่ว่าฝีมือนักบินระหว่างโรซ่าและดินอสนั้นดินอสดูเหมือนว่าจะมีประสบการณ์ที่มากกว่า “ดูเหมือนว่าพวกที่ไปทำลายยานแม่ของฝ่ายศัตรูจะล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้วสินะ แม่สาวน้อยเวลาเล่นสนุกของพวกเราดูเหมือนว่าจะจบลงแล้ว เตรียมตัวซะ !!” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังแววตาของเขาในตอนนี้เปลี่ยนไปจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิงจากแววตาที่ดูสบายๆและไม่เคร่งเครียดกลับกลายเป็นแววตาของนักรบซึ่งผ่านสมรภูมิมาแล้วนับไม่ถ้วนทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง “คริส สเวน พวกแกสองคนก็เลิกเล่นสนุกได้แล้ว นาเดชิโกะกำลังจะชาร์จพลังงานเสร็จแล้วพวกเราต้องรีบออกไปจากบริเวณนี้ทำไมงั้นได้ไปเฝ้ายมบาลแน่ !!” ดินอสวิทยุไปถึงลูกทีมของเขาทั้งสองคนที่ยังเหลืออยู่ด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง
“หัวหน้าดินอสผมไม่ได้กำลังเล่นอยู่นะครับ !! ยัยนี่ฝีมือเอาเรื่องเลยนะเนี่ย !!” คริสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแตกตื่น คู่ต่อสู้ของเขาคือนาตาชาที่ตอนนี้เธอเอาจริงและกำลังลุกไล่เขาอยากหน้าหวาดเสียว ดาบ Beam saber ของกันดั้มมาร์คทูว์แกว่งสะบัดอย่างรวดเร็วทำให้ Force Impulse Gundam ได้แต่ปัดป้องและไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้ “พวกแกจะหนีไปไหน การต่อสู้ยังไม่จบเลยนะ !!” ชินโซกล่าวขึ้นมาอย่างราบเรียบแต่น้ำเสียงของเขานั้นแฝงไปด้วยความดุดันและรังสีอำมหิต Gundam Astray Mirage Frame 3nd ก็กำลังไล่ติดตามStrike noir Gundam ที่สเวนขับอยู่อย่างกระชั้นชิด เคร้ง !! เคร้ง !! เคร้ง !! เคร้ง !! เสียงของดาบ MR-Q10 "Fragarach 3" Beam Blade ของ Strike นัว Gundam ปะทะเข้ากับ "Amenohabakili" Katana อาวุธโจมตีระยะประชิดที่ทรงพลังที่สุดของ Gundam Astray Mirage Frame 3nd โมบิลสูททั้ง 2 เครื่องนี้กำลังต่อสู้ระยะประชิดกันอย่างดุเดือด แต่ดูเหมือนว่าผลการต่อสู้ของทั้ง 2 เครื่องนี้กำลังจะออกมาภายในเร็วๆนี้
“เป็นการต่อสู้ที่สนุกดีนะครับ แต่ว่าผมไม่มีเวลาที่จะเล่นกับคุณแล้ว !!” สเวนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังก่อนที่ Strike noir Gundam จะทำการยิงตะขอ EQS1358T Rocket Anchor เข้าใส่ Gundam Astray Mirage Frame 3nd ด้วยความตกใจชินโซนั้นไม่สามารถที่จะหลบตะขอซึ่งStrike noir Gundam นั้นยิงใส่ได้พ้น Gundam Astray Mirage Frame 3nd ถูกตะขอเกี่ยวที่บริเวณตัวเครื่อง แล้วถูกกระชากเข้าไปหา Strike noir Gundam อย่างรุนแรง“ชิ เสร็จกัน ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ !!” ชินโซเมื่อรู้ว่าตัวเองนั้นพลาดท่าเขาก็ตั้งสติและกำดาบ "Amenohabakili" Katana เอาไว้อย่างมุ่งมั่น ทันทีที่โมบิลสูททั้ง 2 เครื่องนั้นเข้าปะทะกัน Strike noir Gundam และ Gundam Astray Mirage Frame 3nd ก็ปล่อยอาวุธระยะประชิดของตนเองออกไป ชิ้งงงง !! เสียงของ ของมีคมตัดผ่านโลหะดังจนแสบแก้วหู โมบิลสูททั้ง 2 เครื่องนั้นนิ่งสนิทราวกับว่าผลการต่อสู้นั้นออกมาแล้ว “ทำได้ไม่เลวนี่นา Gundam ของชาวโลก ผมขอชมเชย….” สเวนสันกล่าวขึ้นก่อนที่ แขนข้างซ้ายของ Strike noir Gundam จะขาดกระเด็นออกมา“ฝากไว้ก่อนแล้วกัน ครั้งหน้าจะมาเอาคืน…...” ชินโซกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ว่ามันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกยอมรับและขุ่นเคืองใจไปพร้อมๆกัน จากนั้นส่วนหัวแขนทั้งสองข้างของ Gundam Astray Mirage Frame 3nd ก็ขาดกระเด็นหลุดออกไป ชินโซที่สูญเสียอาวุธส่วนที่ติดตั้งอยู่บริเวณแขนทั้งสองข้างมากและ Main Monitor กลับเรดาร์ที่อยู่ที่ส่วนหัว เขาจึงปล่อยให้โมบิลสูทของตนนั่งลงอย่างสงบนิ่งและออกจากการต่อสู้ไป “เจ๋ง !! เยี่ยมไปเลยสเวน ฆ่าหมอนั่นทิ้งซะ !! แล้วรีบมาช่วยทางนี้หน่อยเร็ว” คริสกล่าวขึ้นเมื่อเขาเห็นชัยชนะของสเวนเพื่อนร่วมทีม แต่ว่าสเวนนั้นกลับนิ่งเฉยและไม่ได้เข้าไปโจมตีใส่ชินโซซ้ำแต่อย่างใด “ผมชนะแล้วครับ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเอาชีวิตของเขา ถ้าหากว่าเจอกันครั้งหน้าเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่มันน่าสนุกดีจะตาย ว่าไหมล่ะครับ ? แต่เรื่องการต่อสู้ไม่ต้องห่วงนะครับคริสเดี๋ยวผมจะไปช่วยคุณเดี๋ยวนี้ล่ะ” สเวนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและสงบนิ่งก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปหานาตาชาที่กำลังโจมตีใส่คริสอยู่อย่างต่อเนื่อง Strike noir Gundam เข้าทำการโจมตีกันดั้มมาร์คทูเพื่อช่วยเหลือ Force Impulse Gundam ในทันที นาตาชานั้นถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่มีความสามารถ แต่การต้องต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งเช่นนี้ก็ดูจะเกินกำลังของเธอมากไป ฉัวะ !! หลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือจาก Strike noir Gundam ผลการต่อสู้นั้นก็เปลี่ยนไป Force Impulse Gundam อาศัยจังหวะที่กันดั้มมาร์คทูนั้นต้องปัดป้องตนเองจนเกิดช่องว่างตัดแขนของกันดั้มมาร์คทูข้างที่ถือ Beam saber อยู่จนขาดกระเด็น “เสร็จชั้นล่ะ !!” คริสกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจเมื่อเห็นว่านาตาชากำลังเสียท่า Force Impulse Gundam ใช้ Beam saber แทงเข้าไปที่บริเวณกลางตัวเครื่องของกันดั้มมาร์คทู “แย่ล่ะสิ !! ” นาตาชากล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่า Force Impulse Gundam กำลังจะทำการโจมตีเข้ามา แต่ในจังหวะนั้นนาตาชาได้ทำการเปิดระบบนิรภัยเพื่อที่จะดีดเอา Cockpit ออกจากตัวเครื่อง Gundam ได้ทันเวลา จึงทำให้บีมเซเบอร์นั้นไม่สามารถที่จะแทงเข้าไปจนทะลุ Cockpit ของกันดั้มมาร์คทูว์และเอาชีวิตของเธอไปได้ แต่ว่ากันดั้มมาร์คทูก็ถูกโจมตีเข้าไปที่บริเวณจุดตายความเสียหายที่เกิดจาก Beam saber ของ force Impulse Gundam ทำให้เตาพลังงาน Minovsky Ultracompact Fusion Reactor เกิดการ overheat และระเบิดจนกันดั้มมาร์คทูนั้นกลายเป็นผุยผง “ไม่ให้หนีไปได้หรอก !!” คริสรีบคว้าจับ Cockpit ทรงกลมสีชมพูที่หลบหนีออกจากกันดั้มมาร์คทูก่อนจะระเบิดซึ่งมีนาตาชานั้นอยู่ข้างในเอาไว้ได้ก่อนที่เธอจะหลบหนีไป“แย่แล้วล่ะค่ะ พวกเราสองคนเสร็จมันไปแล้วนะคะ เอายังไงดีคะคุณมิซึโกะ ?” โรซ่ากล่าวถาม มิซึโกะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นกังวล เธอนั้นรู้สึกกังวลใจมากเมื่อเห็นว่าฝ่ายศัตรูนั้นกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ “จากการคาดคะเนของฉัน เจ้าพวกนี้มันมาที่นี่น่าจะต้องการทำลายกันดั้มทุกเครื่องรวมทั้งกล่องข้อมูลที่พวกเราได้มาจากปฏิบัติการ operation เซราฟิม พวกมันคงจะไม่ยอมถอยแน่จนกว่าจะกำจัดพวกเราได้ โชคยังดีที่ Wing Gundam Zero , Gundam Delta Kai และคาลามิตี้กันดั้ม สามารถที่จะเอาชนะศัตรูทางโน้นได้และกำลังจะมาเสริมกำลังให้กับเรา ถ่วงเวลาไว้จนกว่ากำลังเสริมจะมา !! โรซ่าฝากเธอถ่วงเวลาเจ้าตัวสีแดงเนี่ยไว้ฉันจะไปนำตัวนาตาชาคืนมา !!” มิซึโกะอธิบายถึงสถานการณ์โดยรวมให้กับโรซ่าได้ฟัง ก่อนที่เธอจะขอแยกตัวไปโจมตีใส่ Force Impulse Gundam เพื่อนำตัวของนาตาชากลับคืนมา“เข้าใจแล้วค่ะ !! แต่ว่าอย่านานนักนะคะ ฉันไม่แน่ใจว่าตัวฉันเพียงคนเดียว จะยื้อกับเขาไปได้สักกี่น้ำ…..” โรซ่ากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและกดดัน เธอนั้นไม่มั่นใจว่าตัวเธอนั้นจะสามารถเป็นคู่มือของชินันจูได้นานขนาดไหน “ระวังตัวด้วยล่ะ !!” มิซึโกะกล่าวขึ้นพร้อมกับขับ Freedom Gundam ออกจากวงการต่อสู้ระหว่างพวกเธอและชินันจู ก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังบริเวณที่คริสที่บังคับ Force Impulse Gundam นั้นกำลังยืนอยู่“อ้าว ๆ !! แม่สาวน้อย จะหนีไปไหน !?!” ดินอสเมื่อเห็นว่า Freedom Gundam นั้นกำลังจะแยกตัวออกไปเขาก็บังคับชินันจูให้ทำการยิง Beam rifle เข้าใส่ Freedom Gundam ที่กำลังบินจากไปทันที “ไม่มีทางหรอกค่ะ !!” โรซ่านั้นบังคับ Unicorn Gundam พุ่งเข้าไปโจมตีใส่ชินันจูในระยะประชิดทำให้ดินอสนั้นต้องทำการเก็บ Beam rifle และใช้ Beam Axe อาวุธระยะประชิดขึ้นมารับการโจมตีของเธอแทน“อะไรกันเนี่ย !?! แม่สาวน้อยนี่เธอจะมาเป็นคู่มือกับชั้นเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นเหรอ มันจะไม่ดูถูกกันเกินไปหน่อยหรือไง ?!?!”Episode 9 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 28, 2018 3:35:48 GMT
Episode 10 Finish Blow
ยานนาเดชิโกะ ภายในโรงจอดโมบิลสูทของยานาเดชิโกะ ซึ่งภายในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายเนื่องจาก Gundam astray Red Frame ของไดสุเกะที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักเพิ่งจะเข้ามาลงจอด แขนทั้งสองข้างของ Red Frame นั้นหลอมละลายเพราะความร้อนจาก Buster rifle ของ Wing Gundam Zero ทันทีที่ไดสุเกะกลับมาถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคทุกคนก็ตรงเข้าไปยัง Gundam astray Red Frame เพื่อตรวจสอบสถานะความเสียหายทันที
“เจ้าหนู !! เสียใจด้วยนะสภาพแบบนี้คงจะซ่อมให้เสร็จแล้วออกไปต่อสู้ไม่ทันแล้วล่ะ นายทำได้ดีที่สุดแล้วพักสงบจิตสงบใจอยู่ตรงนี้เถอะ” เสียงของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคชาวดาวอังคารซึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างกำยำล่ำสัน เขานั้นไว้หนวดเคราเล็กน้อยทำให้ดูเคร่งขรึมกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังสภาพของ Gundam astray Red Frame ในตอนนี้เสียหายหนักมากจนไม่สามารถที่จะซ่อมแซมและออกไปช่วยสมทบกับการต่อสู้ด้านนอกได้อีกแล้ว“ไม่เป็นไรครับคุณลุง ภารกิจที่เหลือคงต้องฝากสมาชิกทีมคนอื่นแล้วล่ะครับผมทำใจแล้ว !!” ไดสุเกะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่เคร่งเครียด ก่อนที่เขานั้นจะเอนหลังลงบนเบาะภายใน Cockpit ของ Gundam astray Red Frame และเปิดช่องสัญญาณสื่อสารภายในขึ้นมาโดยที่แทบจะไม่มีใครได้ทันสงสัยเลย “คริส สเวน ผมกลับมาถึงยานนาเดชิโกะแล้วนะครับ ขอโทษด้วยครับที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งของกล่องได้ มันไม่มีอะไรแสดงขึ้นมาบนเรดาร์เลยครับ บางทีมันอาจจะไม่ได้อยู่บนเกาะเทียมแห่งนี้แต่แรกแล้วก็ได้ครับ ถ้าแบบนั้นแสดงว่าความกังวลขององค์หญิงน่าจะดูเกินไปหน่อย ถ้าอย่างนั้นภารกิจของพวกเราไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรแล้วล่ะครับ” ไดสุเกะกล่าวขึ้นเกี่ยวกับภารกิจที่พวกเขานั้นได้รับมาจากองค์หญิงลาติฟาห์“เจ้าพวกมนุษย์โลกก็รอบคอบดีเหมือนกันล่ะนะ บางทีฝ่าบาทน่าจะกังวลเกินไปจริงๆนั่นแหละ แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่านักบินของ Gundam กองทัพโลกฝีมือไม่ธรรมดาเลย พวกเราตอนนี้ท่าทางจะแย่ ถ้าจะต้องมาคอยกังวลเรื่องกล่องกันอีกบางทีพวกเราอาจจะทำไม่สำเร็จก็ได้ถือว่าโชคยังดีสินะ” คริสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสบายๆ และในจังหวะนั้นสเวนก็ได้ทำการวิทยุขึ้นมาเพื่อแทรกการสนทนาของเขา“คริส อย่ามัวแต่ทำท่าทางเอ้อระเหยอยู่ นายเองก็รีบกลับไปที่ยานนาเดชิโกะเถอะครับ พลังงานของ Gravity Blast กำลังจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว” สเวนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง จากคำพูดของเขานั้นดูเหมือนว่าภารกิจถ่วงเวลาของทีมโมบิลสูทนั้นกำลังจะสำเร็จลุล่วงแล้ว“ก็ตามนั้นแหละนะไดจัง ไว้เดี๋ยวเราเจอกันที่ยานก็แล้วกันนะ บ๊าย !” คริสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและคำพูดที่ดูกระเซ้าเย้าแหย่ราวกับว่าเขานั้นกำลังอารมณ์ดีอยู่ก่อนที่สัญญาณการสื่อสารภายในนั้นจะถูกตัดไป ไดสุเกะเอนหลังลงที่เบาะของนักบินภายใน Cockpit สายตาของเขานั้นมองไปที่รูปถ่ายใบหนึ่งซึ่งถูกติดเอาไว้อยู่ภายใน Cockpit ใกล้กับบริเวณจอมอนิเตอร์หลักมันเป็นภาพของเขาและมิโดริที่ถูกถ่ายไว้เมื่อประมาณ 5 ปีก่อนในตอนที่เขานั้นเพิ่งจะเข้าไปเป็นนักเรียนของโรงเรียนนายเรืออวกาศปีแรก ในตอนนั้นมิโดริยังอยู่ชั้นมัธยมต้น ที่ด้านข้างของรูปถ่ายนั้นมีซองจดหมายเหน็บเอาไว้มันคือจดหมายลาซึ่งถูกเขียนในวันที่เขากำลังจะถูกประหารไดสุเกะนั้นยังไม่ได้ทิ้งมันไป “เธอจะให้อภัยพี่หรือเปล่านะ มิโดริ…...” บริเวณการต่อสู้โรงเก็บโมบิลสูท เปรั้ยงงงงงง !! เสียงของ Beam saber และ Beam Axe เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ชินันจู และ Unicorn Gundam กำลังเข้าปะทะกันอีกครั้ง โรซ่านั้นพยายามที่จะขัดขวางไม่ให้ชินันจูทำอะไรไปได้มากกว่านี้นอกจากการพัวพันต่อสู้อยู่กับเธอ
“แม่สาวน้อย ขอชมเชยในความพยายามของเธอละนะ แต่ดูเหมือนว่าเวลาเล่นสนุกของพวกเราจะหมดลงแล้ว ถ้ายังไม่อยากจะถูกปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงยิงจนแหลกเป็นจุลก็รีบหลีกทางไปซะ !!” ดินอสกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและดุดันเขานั้นดูจริงจังมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวราวกับจะบอกว่าที่เขาต่อสู้กับโรซ่าและมิซึโกะก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงแค่การเล่นสนุก“ว่ายังไงนะปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงเหรอ ?” โรซ่ากล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูตกตะลึง เธอไม่คิดว่าดินอสซึ่งเป็นศัตรูของเธอนั้นจะบอกแผนการของเขาให้เธอรับรู้ได้อย่างง่ายดายคนฉลาดอย่างดินอสนั้นการที่เขาพูดออกมาแบบนี้แสดงว่าต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างอยู่“เจ้าพวกกันดั้มของกองทัพโลกฟังให้ดี ในอีกไม่กี่วินาทีนี้ยานแม่ที่ทรงพลังที่สุดของพวกเราชาวดาวอังคาร นาเดชิโกะ จะทำการยิง Gravity blast ปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงที่มีพลังทำลายล้างสูงที่สุดเท่าที่พวกเราจะสามารถคิดค้นได้เกาะเทียมแห่งนี้จะกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาถ้าหากว่าพวกแกยังไม่อยากตายแล้วก็รีบออกนอกบริเวณวิธีของปืนใหญ่ ซึ่งก็คือเกาะนี้ทั้งเกาะภายในระยะเวลา 5 นาที !!” ดินอสกล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารเปิดซึ่งทำให้โมบิลสูททุกเครื่องรวมทั้งหอบังคับการนั้นได้ยินคำพูดของเขาจนหมดสิ้นคำพูดของเขานั้นสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น “ว่ะ…..ว่ายังไงนะ !! ปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงที่จะทำลายเกาะนี้จนเป็นผุยผงได้ในการยิงครั้งเดียวงั้นหรอ ?!?” กัปตัน อาดิโอส เมื่อได้ยินคำพูดของดินอสผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารเขานั้นรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก “ใจเย็นๆก่อนค่ะกัปตัน นั่นเป็นคำพูดของศัตรูนะคะจะจริงหรือเท็จก็ไม่รู้” รองกัปตันสกาเล็ตขาวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูตื่นตระหนกแต่ว่าเธอนั้นก็พยายามคุมสติและหาเหตุผลมารองรับถึงกระบวนการความคิดและตัดสินใจของเธอ“เมื่อสักครู่นี้คุณรองกัปตันใช้เรดาร์ตรวจพบพลังงานมหาศาลที่บริเวณยานแม่ใช่ไหมคะ ฉันคิดว่าเรื่องนี้คนที่ขับโมบิลสูทสีแดงคนนั้นน่าจะไม่ได้โกหกหรอกค่ะ” มิโดริกล่าวเสริมขึ้นมาในสิ่งที่เธอคิดและมันก็ช่างไปประจวบเหมาะกับสถานการณ์เสียจริงๆเนื่องจากว่าสกาเล็ตนั้นสามารถที่จะตรวจพบพลังงานมหาศาลที่ไม่ทราบชนิดบริเวณยานแม่ของฝ่ายศัตรูถ้าหากว่านี่คือพลังที่สะสมไว้สำหรับยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงนั่นก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น “รีบสั่งให้โมบิลสูททุกเครื่องถอยออกจากรัศมีของปืนใหญ่ เร็วๆเข้า !!” กัปตันอาดิโอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อนและจริงจังมิโดรินั้นถ่ายทอดคำสั่งของเขาให้กับนักบินโมบิลสูททุกคนได้รับทราบ “พวกเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วนะคะ ถ้าหากว่าอาวุธของศัตรูมันรุนแรงขนาดทำให้ทั้งเกาะนี้กลายเป็นผุยผงไม่ว่าจะเป็นเชลเตอร์ที่ไหนบนเกาะก็คงไม่สามารถจะคุ้มกันพวกเราได้ พวกเราต้องรีบหาอากาศยานและหลบหนีออกจากเกาะนี้เหมือนกันนะคะ !!” รองกัปตันสกาเล็ตกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อนก่อนที่เธอนั้นจะลุกขึ้นจากที่นั่งและเตรียมตัวที่จะเดินออกจากห้องบัญชาการไป มิโดริและกัปตันอาดิโอสนั้นเดินตามเธอออกไปติดๆ “ปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงั้นหรอ ?! งั้นแสดงว่าที่พวกแกเข้ามาโจมตีก็เป็นเพียงแค่นกต่อเท่านั้น พวกเราตัดสินใจที่จะต่อสู้กับพวกแกเป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นอย่างนั้นเหรอ ?” มิซึโกะกล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณวิทยุคลื่นสั้นไปหาสเวนและคริสซึ่งบังคับโมบิลสูทลอยตัวอยู่ตรงหน้าเธอ หลังจากคำประกาศของมิโดริซึ่งยืนยันว่าศัตรูนั้นจะยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงมาทำลายเกาะทิ้งทั้งเกาะการต่อสู้ของพวกเขานั้นจบลงแล้ว“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ พวกผมมาโจมตีพวกคุณที่นี่เป็นเพียงแค่นกต่อเท่านั้นเพื่อให้ยานแม่ของเรานั้นมีเวลาในการชาร์จพลังงานที่เพียงพอที่จะยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงครับ การต่อสู้ครั้งนี้พวกคุณทั้งหมดเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว” สเวนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบแต่ว่าภายในคำพูดของเขานั้นก็สามารถที่จะชี้ชัดได้อย่างตรงไปตรงมาว่าความพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้เป็นของฝ่ายชาวโลก “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อพวกนายชนะแล้วเราขอพรรคพวกของเราคืนได้ไหม ?” มิซึโกะกล่าวขึ้นทางบังคับ Freedom Gundam ให้ชี้มือไปทาง Cockpit ของกันดั้มมาร์คทูซึ่งเป็นลูกบอลโลหะทรงกลมสีชมพูที่อยู่ในมือของ force Impulse Gundam “เรื่องนี้ผมคงต้องขอปฏิเสธนะครับ ถ้าหากคุณคุณจะมาขออะไรโดยที่ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนมันจะไม่ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยเลยครับ ถ้าหากว่าคุณมาต่อรองขอให้พวกเราปล่อยพรรคพวกของคุณ คุณก็น่าจะมีสิ่งที่จะมาแลกเปลี่ยนกับการกระทำของเราถูกต้องไหม ? ดังนั้นในเมื่อคุณมามือเปล่าผมคงต้องขอปฏิเสธครับ” สเวนกล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมาและมันก็เป็นสิ่งที่เป็นความจริง มิซึโกะนั้นตั้งใจจะมาใช้กำลังแย่งตัวของนาตาชากลับไปมากกว่าที่จะมาต่อรองแต่แรกแล้ว ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่นิ่งเงียบและไม่กล่าวอะไรต่อไป“ถึงพวกเราจะมีสนธิสัญญาคุ้มครองเชลยศึกระหว่างกันก็ตามแต่มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติหน้าที่นะครับว่าจะดำเนินตามสนธิสัญญานั้นหรือไม่ ถ้าอย่างไรคุณคิดเสียว่าพรรคพวกคนนี้ของคุณตายไปแล้วก็แล้วกันนะครับ เอาล่ะ การสนทนาของเราคงจะต้องจบลงเท่านี้ไว้พบกันใหม่นะครับหัวหน้านักบินกันดั้มของฝ่ายกองทัพโลก” สเวนกล่าวขึ้นเพื่อเป็นการตัดบทก่อนที่เขาและคริสนั้นจะทำการเร่ง Booster ของโมบิลสูทของตนเองเพื่อออกจากรัศมีการยิงของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงที่กำลังจะถูกยิง มามิซึโกะนั้นรู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถจะต่อสู้ต่อไปได้อีกแต่เธอก็จำเป็นต้องรีบหลบหนีออกไปจากรัศมีของปืนใหญ่เช่นกัน “เฮเลลได้ยินเสียงที่หอบังคับการประกาศมาไหมพวกเราก็รีบออกจากรัศมีการยิงกันเถอะจะรีบมุ่งหน้าต่อไปยังจุดที่ปะทะกันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วล่ะ” เฟรย์อากล่าวขึ้นในขณะที่เธอนั้นกำลังเบี่ยงตัวออกนอกรัศมีการยิงของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงเฮเลลนั้นรู้สึกเจ็บใจ เขานั้นตั้งใจว่าจะกลับไปมิซึโกะพี่สาวของเขาแต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไปเขาจึงได้แต่บินตามเฟรย์อาเพื่อหลบวิธีการยิงของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงไปตามๆกัน “เอ็สเพ็น นั่นนายจะไปไหนน่ะ ?!?” แต่ว่าทันใดนั้น เอ็สเพ็น ซึ่งบังคับคาลามิตี้กันดั้มอยู่นั้นก็ไม่ได้หลบรัศมีของปืนใหญ่ไปในทิศทางเดียวกันกับที่พวกเฮเลลนั้นหลบ เอ็สเพ็นนั้นบังคับคาลามิตี้กันดั้มพุ่งตรงไปยังบริเวณจุดที่ยานแม่ของศัตรูนั้นอยู่ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น การกระทำของเขานั้นสร้างความตกใจให้กับเฟรย์อาและเฮเลลเป็นอย่างมากแต่ทั้งสองคนนั้นก็ไม่สามารถที่จะหยุด เอ็สเพ็น ที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปได้ “ผมไม่ชอบพวกคุณเลยครับ ถ้าจะให้เป็นพรรคพวกกันล่ะก็ผมรับไม่ได้จริงๆ ลาก่อนครับเจอกันครั้งหน้าในสนามรบผมจะเป็นคนเอาชีวิตของพวกคุณเอง” เอ็สเพ็น กล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารในขณะที่เขากำลังบังคับโมบิลสูทของเขานั้นตรงไปยังยานแม่ของฝ่ายศัตรูคำพูดของเขานั้นสร้างความตกใจให้กับเฮเลลและเฟรย์อาเป็นอย่างมาก พวกเขาและเธอพยายามที่จะพูดโน้มน้าวให้ เอ็สเพ็น นั้นเปลี่ยนความคิดแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลคาลามิตี้กันดั้ม พุ่งทะยานหายลับไปในทิศทางที่ยานแม่ของศัตรูนั้นกำลังลอยลำอยู่ “เอาล่ะ แม่สาวน้อย ดูเหมือนว่าพรรคพวกของเธอจะรีบหลบออกจากรัศมีการยิงกันหมดแล้วนะอย่าพยายามต่อไปอีกเลยไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ได้อีกแล้วล่ะ” ดินอสกล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารระยะสั้นให้กับโรซ่าฟัง เธอนั้นยอมรับในสิ่งที่เขาพูดออกมาเพราะว่าพวกเธอนั้นพ่ายแพ้ตั้งแต่ตัดสินใจผิดพลาดแล้วตั้งแต่แรก“ลาก่อนแม่สาวน้อย หวังว่าเราจะได้ตัดสินกันในสมรภูมิหน้า !!” ดินอสกล่าวขึ้นเป็นการตัดบทก่อนที่เขานั้นจะทำการบังคับชินันจูให้พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วตัวโมบิลสูทสีแดงและ Booster ที่ถูกออกแบบมาให้ขับดันเพิ่มความเร็วมหาศาลทำให้ตัวของชินันจูนั้นดูเหมือนกับดาวหางสีแดงที่กำลังพุ่งผ่านฟากฟ้าไป“ศึกแรกพวกเราก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเลยนะคะเนี่ย ความหวังของมวลมนุษยชาติเราจะเป็นได้หรือเปล่านะ ?” โรซ่าพูดขึ้นกับตนเองอย่างแผ่วเบาก่อนที่เธอนั้นจะบังคับ Unicorn Gundam ให้บินหลบออกจากรัศมีการยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วง บริเวณท่าจอดยานของเกาะเทียม “เร็วเข้าสิเราต้องรีบเอายานแม่ขึ้นนะ เครื่องยนต์เป็นอะไรไปทำไมถึงยังไม่เดินเครื่องสักที ?!?” เสียงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งอยู่ภายในยาน Medea กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวเมื่อเห็นว่ายานแม่ที่จะพาพวกเขาหลบหนีนั้นยังไม่สามารถจะออกจากท่าจอดยานได้ “เพราะว่าการปะทะกันระหว่าง Gundam ของฝ่ายเราและฝ่ายศัตรู ลูกหลงจากการยิงของกันดั้มฝ่ายเรานั้นทำให้เครื่องยนต์หลักของ Medea ขัดข้องครับ” เสียงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคกล่าวต่อผู้บัญชาการทหารซึ่งนั่งรอเตรียมที่จะหลบหนีอยู่บนยานแม่ Medea ด้วยท่าทางที่ดูตื่นตระหนก“ว่ายังไงนะ เราเหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงนาที ถ้าเราไม่รีบบินขึ้นตอนนี้ทุกคนที่อยู่บนยานนี้ได้ตายกันหมดแน่ที่ทำอะไรสักอย่างสิ !!” เสียงของผู้บัญชาการทหารกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดและโมโหเต็มที่แต่ว่าอารมณ์ที่รุนแรงของเขาก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างไร
วิ้งงงง ตู้มมมมมมมมมมม !!! และแล้วทันใดนั้นเวลาแห่งกระสุนสังหารก็มาถึง แสงสว่างประกายเจิดจ้าตัดกับท้องฟ้าที่มืดมิดบริเวณที่ยานแม่ของศัตรูนั้นลอยลำอยู่แสงสว่างนั้นเปรียบได้ดั่งดวงดาวแห่งหายนะท่ามกลางท้องฟ้าเลยทีเดียวหลังจากแสงสว่างประกายขึ้นไม่กี่วินาทีลำแสงสีขาวหม่นเส้นมหึมาก็พุ่งออกมาจากยานแม่ของฝ่ายศัตรูและพาดผ่านเข้าที่บริเวณใจกลางของเกาะเทียมอย่างแม่นยำอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ ท่าจอดยาน ถังเก็บเชื้อเพลิง โรงเก็บโมบิลสูท หรือแม้แต่กระทั่งโรงงานและที่พักของเจ้าหน้าที่ ทุกอย่างนั้นต่างค่อยๆมลายหายไปกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยท่ามกลางแสงสว่างสีขาวที่น่าสะพรึงกลัว ยานแม่ Medea ซึ่งจอดเทียบท่าอยู่บริเวณท่าจอดยานถูกยิงทำลายหายไปกลายเป็นผุยผงภายใต้แสงสว่างสีขาวแห่งหายนะ “ไม่อยากจะเชื่อเลยพลังทำลายอะไรกันเนี่ย !!” เฮเลลซึ่งอยู่ใน Wing Gundam Zero มองเห็นฉากการสังหารหมู่ด้วยอาวุธอันทันสมัยอย่างใกล้ชิดติดขอบเวที แสงสว่างสีขาวจากปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงนั้นกำลังบีบวัตถุให้มีมวลหนาแน่นขึ้นและฉีกวัตถุนั้นออกเป็นชิ้นๆ สิ่งก่อสร้างจากคอนกรีตที่แข็งแรงทนทานสามารถจะทนขีปนาวุธได้ก็ไม่อาจที่จะทนรับกับแรงโน้มถ่วงซึ่งมีแรงบีบอัดเกือบจะเทียบเท่ากับหลุมดำของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงนี้ได้เลยแม้แต่น้อยในระหว่างที่ปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงนั้นถูกยิงออกไปดินอสและนักบินในทีมของเขาที่เหลือชีวิตรอดอีก 2 คนก็ได้กลับเข้าไปในยานนาเดชิโกะเพื่อเตรียมตัวจะหลบหนีเรียบร้อยแล้ว พวกเขาทั้งสามคนนั้นทำการจอดโมบิลสูทของตนเข้าที่โรงเก็บของยานนาเดชิโกะอย่างชำนาญ หลังจากที่ทำการยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงเสร็จสิ้นยานนาเดชิโกะ ก็ทำการเร่งเครื่องและรีบหลบหนีออกจากบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้นักบินกันดั้มของกองทัพโลกที่พ่ายแพ้นั้นตกตะลึงในพลังทำลายของปืนใหญ่ที่ตราตรึงอยู่ในจิตใจ“นี่มิซึโกะ Freedom Gundam ติดต่อถึงนักบิน Gundam ทุกคนรายงานตัวด้วย ขอย้ำรีบรายงานตัวด้วย !!” หลังจากการโจมตีของศัตรูผ่านพ้นไปและเกาะเทียมที่ใช้ในการสร้าง Gundam ขึ้นมาก็กลายเป็นเพียงแค่เศษฝุ่นที่กำลังจมลงใต้ก้นทะเล มิซึโกะซึ่งบังคับ Freedom Gundam และสามารถหลบหนีจากวิธีการยิงของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงมาได้เธอรีบทำการใช้วิทยุส่งสัญญาณถึงนักบิน Gundam ทุกคนที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ในทันที“พี่ครับ ผมเฮเลล แล้วก็คุณเฟรย์อา พวกเราสองคนปลอดภัยดีครับ” เฮเลลเมื่อได้ยินสัญญาณยืนยันเขาก็รีบตอบกลับวิทยุของมิซึโกะผู้เป็นพี่สาวไปทันทีคำตอบของเขาเพื่อยืนยันว่าเขานั้นยังมีชีวิตอยู่สร้างความโล่งใจให้กับมิซึโกะได้ไม่น้อย “คุณมิซึโกะค่ะ ฉันเองก็ปลอดภัยดีนะคะ” โรซ่ากล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสาร ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะสามารถหลบหนีจากปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงมาได้เช่นกัน“เฮเลล เฟรย์อา โรซ่า แล้วก็ชั้นพวกเราเหลือรอดกันทั้งหมด 4 คนเองหรอ” มิซึโกะนับจำนวนคนที่เหลือชีวิตรอดอยู่และกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดเฮเลลเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็กล่าวขึ้นมาทันทีว่า “ความจริงแล้ว เอ็สเพ็น ก็ยังมีชีวิตอยู่นะครับแต่ดูเหมือนว่าเขาจะ……..” เฮเลลกล่าวขึ้นอย่างคลุมเครือก่อนที่จะหยุดคำพูดไปคำกล่าวของเขานั้นสร้างความแปลกใจให้กับมิซึโกะเป็นอย่างมากจนเธอถามตอบขึ้นมาว่า “มีอะไรอย่างนั้นหรอ เกิดอะไรขึ้นกับ เอ็สเพ็น !!” เธอถามกลับไปด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและเป็นกังวลเฮเลลเมื่อได้ยินพี่สาวทำเช่นนั้นเขาก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือทันทีว่า “เอ็สเพ็น….น่าจะทรยศพวกเราไปเข้ากับฝ่ายดาวอังคารแล้วล่ะครับ !!” คำพูดของเฮเลลนั้นสร้างความตกใจให้กับมิซึโกะไม่น้อยแต่ว่าเธอนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อไปอีกการ เกิดคนทรยศและย้ายฝั่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แปลกประหลาดเท่าไหร่ในภาวะสงครามแต่เธอก็ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นในลักษณะแบบนี้นักบินกันดั้มที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดีจากกองทัพโลกกับทรยศกองทัพโลกไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ “จริงสิ คุณซาซากิ คุณซาซากิล่ะครับ !! คุณซาซากิได้ยินหรือเปล่าครับถ้าหากว่าได้ยินแล้วกรุณาตอบด้วยคุณซาซากิ !!” หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปเฮเลลนั้นก็นึกถึงมิโดริขึ้นมาทันที เธอนั้นประจำการอยู่ที่หอบังคับการก่อนหน้าที่จะมีการโจมตีด้วยปืนใหญ่ และเธอเองก็เป็นคนที่บอกให้กับนักบินโมบิลสูททุกคนหลบการโจมตีจากระยะรัศมีของปืนใหญ่ด้วย เขาหวังว่าเธอนั้นจะสามารถหาอากาศยานได้ทันและหลบหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ เฮเลลจึงได้พยายามวิทยุออกไปเพื่อหวังว่าเธอนั้นจะได้ยิน
“ซ่าาาาาา….คุณเอ…...คุณเฮเลล ฉันได้ยินแล้วค่ะ…...” เสียงของคลื่นวิทยุที่มีสัญญาณรบกวนค่อนข้างมากดังขึ้นแต่ว่าน้ำเสียงของหญิงสาวที่พูดผ่านวิทยุมานั้นสร้างความดีใจให้กับเฮเลลเป็นอย่างมากเพราะว่ามันช่างเป็นน้ำเสียงที่คุ้นหูของเขาเหลือเกินมิโดริมะยังไม่ตายเธอยังมีชีวิตอยู่และดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่หนีรอดออกมาพร้อมกับเธอด้วย กัปตันอาดิโอสรองกัปตันสกาเล็ตและมิโดริ พวกเขาทั้งสามคนนั้นสามารถจะออกมาจากหอบังคับการและมุ่งตรงไปยังดาดฟ้าโชคดีที่ดาดฟ้าของตึกบัญชาการนั้นมีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งจอดอยู่พวกเขานั้นจึงใช้มันหลบหนีออกมาได้ก่อนที่ปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงนั้นจะยิงออกมา “ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันต้องมาตายหมดทุกคน ลูกน้องที่เชื่อใจกันและทำงานกันมานานหลายปี ทุกคนกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำ แม้แต่กระทั่งซากศพก็ไม่เหลือในชั่วพริบตา เจ้าพวกชาวดาวอังคารความแค้นครั้งนี้พวกแกจะต้องชดใช้อย่างสาสม !!!” กัปตัน อาดิโอส กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแค้นเคืองและอาฆาตพยาบาทถึงแม้ว่าภายนอกเขานั้นจะเป็นคนที่ดูเฉยเมยเย็นชาและไม่ค่อยสนใจลูกน้องเท่าไหร่นักแต่ในความเป็นจริงแล้วเขานั้นรักและเป็นห่วงเป็นใยผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทุกคนคำพูดของเขาที่แสดงออกมานั้นทำให้ร้องกัปตันสกาเล็ตและมิโดริที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวกันนั้นได้แต่นิ่งเงียบไม่กล่าวอะไรออกมาเพราะพวกเธอรู้ดีว่าคำพูดใดๆก็ไม่อาจจะเยียวยาความรู้สึกของกัปตันหนุ่มผู้สูญเสียสหายศึกร่วมเป็นร่วมตายกันมานานคนนี้ได้“โรงงานที่ใช้สร้าง Gundam ก็ถูกทำลายไปแล้ว กล่องข้อมูลที่ได้จาก Operation เซราฟิมบางทีอาจจะอยู่บนเกาะด้วยถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็แสดงว่ามันก็ถูกทำลายไปแล้วเช่นกันความหวังของมวลมนุษยชาติจะจบลงตรงนี้หรือเปล่าครับพี่…..” เฮเลลเมื่อได้เห็นความหายนะตรงหน้าเขาก็เริ่มที่จะใช้สติปัญญาของเขาประมวลผลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป จากนั้นเขาก็พูดกับมิซึโกะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกกังวลใจ “เรื่องที่โรงงานที่ผลิตกันดั้มของพวกเรานั้นถูกพังไปนะคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้แล้วละนะแต่ว่า กล่องข้อมูลที่ได้จาก Operation เซราฟิมยังไม่ถูกทำลายหรอกกล่องนั้นไม่ได้ถูกเก็บเอาไว้ที่เกาะนั้นตั้งแต่แรกแล้วแต่ว่ามันอยู่ที่….” มิซึโกะตอบคำถามของเฮเลลผู้เป็นน้องชายด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังก่อนที่เธอนั้นจะมองไปยัง Wing Gundam Zero “กล่องข้อมูลที่ได้จาก Operation เซราฟิมถูกเก็บเอาไว้ที่ไหนอย่างนั้นเหรอครับพี่” เฮเลลเมื่อเห็นพี่สาวของเขานั้นหยุดพูดอธิบายไปเขาก็ถามขึ้นมาทันทีด้วยความสงสัยทันใดนั้นมิซึโกะก็บังคับให้มือของ Freedom Gundam ชี้นิ้วไปที่ Wing Gundam Zero ก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นมาอย่างจริงจังว่า
“กล่องข้อมูลที่มวลมนุษยชาติยอมเสียสละเพื่อแลกมาจากปฏิบัติการ operation เซราฟิม : Crimson Moon AI มันถูกติดตั้งเอาไว้ภายใน Wing Gundam zero ของนายยังไงล่ะ !!”.......
Episode 10 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 29, 2018 3:18:04 GMT
Episode 11 Crimson Moon
ยานนาเดชิโกะ หลังจากการต่อสู้ที่เกาะเทียมนั้นจบลง เหล่านักบินโมบิลสูทของชาวดาวอังคารต่างก็พากันกลับมาที่ยานแม่ของพวกเขานาเดชิโกะ หลังจากที่ยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงเสร็จเรียบร้อยแล้วนาเดชิโกะได้ใช้พลังงานที่เหลือในการบินหลบหนีไปด้วยความเร็วสูงจนทางกองทัพโลกนั้นไม่สามารถจะระบุตำแหน่งของมันได้อย่างชัดเจน ยานนาเดชิโกะนั้นมีระบบกำบังส่วนตัวที่ยอดเยี่ยมโดยใช้ในการหักเหแสงในการพรางตาและสามารถปล่อยคลื่นรบกวนที่จะทำให้มันรอดพ้นจากเรดาร์ได้ ดังนั้นมันจึงแทบจะล่องหนเมื่ออยู่ในสภาวะที่เปิดการใช้งานโหมดซ่อนตัวเป็นเวลาผ่านไปกว่า 6 ชั่วโมงแล้วหลังจากการโจมตีที่เกาะเทียมนั้นจบลง ดินอสซึ่งเป็นหัวหน้าของหน่วยปฏิบัติการครั้งนี้กำลังดื่มบรั่นดีอยู่ที่บาร์ซึ่งเป็นมุมพักผ่อนของลูกเรือภายในตัวยาน เขานั้นไม่ได้แสดงท่าทางดีใจเหมือนอย่างผู้ที่ได้รับชัยชนะในการต่อสู้แต่อย่างใดเขานั้นนั่งดื่มเครื่องดื่มมึนเมาอยู่เพียงลำพังภายใต้เสียงดนตรีอันแผ่วเบาและแสงไฟสลัวในมุมอันสงบ“มานั่งดื่มอยู่ตรงนี้คนเดียวอีกแล้วหรือครับหัวหน้าดินอส ?” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวขึ้นกับดินอสด้วยท่าทางที่ดูเคารพยำเกรง ก่อนที่ชายหนุ่มคนนี้จะเดินเข้ามาใกล้ๆกับดินอสซึ่งกำลังนั่งอยู่“สเวน ? มีอะไรอย่างนั้นเหรอ ตามปกติแล้วนายไม่ค่อยจะเข้ามาหาชั้นเองโดยตรงแบบนี้นี่นา มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ?” ดินอสกล่าวถามสเวนขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสงสัย สเวนนั้นมีสีหน้าที่ดูเรียบเฉยแต่เมื่อถูกดินอสไต่ถามขึ้นมาเช่นนั้น เขาก็ตอบออกมาด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่เป็นกังวลว่า“เราจับเชลยศึกที่ 2 คน และก็มีอีกหนึ่งคนที่ยอมแปรพักตร์ด้วยตนเอง พวกเราควรจะจัดการกับคนเหล่านั้นยังไงดีครับ ?” หลังจากที่ได้ฟังดินอสนั้นก็ได้รับรู้สิ่งที่สเวนนั้นกำลังไม่สบายใจอยู่ เขาจึงหัวเราะขึ้นมาในลำคอและกล่าวทันทีว่า “ถ้าพูดถึงเจ้าหนูที่ยอมย้ายมาอยู่ข้างเรา ชั้นจะเป็นคนรับรองมันเอง ฝีมือมันใช้การได้ทีเดียวล่ะ แล้วดูเหมือนว่าอุปนิสัยของมันจะเข้ากับการทำงานของชั้นได้ดี ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก ส่วนที่เหลืออีก 2 คนผู้ชาย 1 คนกับผู้หญิง 1 คนใช่ไหม ? ก็จับขังเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน พวกมันเป็นนักบินของ Gundam กองทัพโลกบางทีพวกมันอาจจะรู้อะไรที่เป็นประโยชน์กับพวกเราก็ได้ แต่อย่าเพิ่งกระทำอะไรรุนแรงล่ะ ถ้าหากว่าองค์หญิงรู้เรื่องเข้าคงจะไม่พอพระทัยเป็นแน่ นายเองก็คงจะเข้าใจสินะความอ่อนโยนของพระองค์มันร้ายกาจขนาดไหน…..” ดินอสกล่าวขึ้นเพื่อแนะนำและสั่งการทางอ้อมให้กับสเวนได้รับรู้ สเวนนั้นไม่ตอบอะไรกลับออกไปอีกเลยเขาได้แต่พยักหน้าเบาๆก่อนที่จะเดินจากไปอย่างเงียบเชียบเรากลับไม่ต้องการรบกวนผู้บังคับบัญชาของเขาระหว่างการพักผ่อน ดินอสมองตามหลังสเวนไปด้วยสายตาที่คมกริบราวกับใบมีดก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า
“องค์ชาย ท่านนี้ช่างเหมือนกับเสด็จพ่อของท่านมากเลยนะรู้ไหม…..เหมือนจนน่ากลัวเลยล่ะ…...” ห้องคุมขังภายในยานนาเดชิโกะ ภายในห้องคุมขังยานนาเดชิโกะนั้นเป็นห้องขังที่ทันสมัยและมีการรักษาความปลอดภัยที่สูง ภายในห้องสีขาวขนาด 2 คูณ 3 เมตรที่ถูกสร้างขึ้นมาจากโลหะผสมที่มีความแข็งแกร่งมีประตูเข้าออกเพียงแค่บานเดียวซึ่งเป็นลูกกรงเหล็ก ผนังของห้องขังนั้นมีความหนากว่า 5 นิ้ว นักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ด้านในนั้นถูกใส่กุญแจมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งระเบิด มันจะระเบิดออกมาเมื่อนักโทษพยายามที่จะสะเดาะกุญแจ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นักโทษซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่นี่นั้นจะสามารถหลบหนีออกไปได้อย่างปลอดภัยครืดดดดด เสียงของประตูห้องขังสีขาวถูกเปิดออกพร้อมกับคริสผู้ซึ่งเดินเข้ามาภายในห้องขังด้วยท่าทางที่ดูสบายอารมณ์ คริสนั้นมองไปยังหญิงสาวที่ถูกใส่กุญแจมือและนั่งอยู่ที่เตียงผ้าใบซึ่งอยู่ภายในห้องขังด้วยสายตาที่ดูยียวนกวนประสาท นักโทษหญิงในห้องขังนั้นนั้นคือนาตาชานั่นเอง “อ่ะร่า !! ว่ายังไงคะพ่อหนุ่มชาวดาวอังคาร มีธุระอะไรกับฉันอย่างนั้นหรือ ? บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าคิดจะสอบปากคำกันและ ก็ฉันไม่รู้อะไรมากนักหรอกนะ” นาตาชากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบแต่ว่าภายในน้ำเสียงของเธอนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกไม่หวั่นเกรงต่อคริสที่มายืนอยู่ตรงหน้าเธอเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆๆ สอบปากคำหรือครับ ผมไม่ทำเรื่องอะไรน่าเบื่อแบบนั้นหรอก ?” คริสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูทีเล่นทีจริงก่อนที่เขานั้นจะเดินเข้าไปประชิดติดกับตัวของนาตาชาซึ่งนั่งอยู่บนเตียง ก่อนที่เขานั้นจะโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ระยะห่างระหว่างใบหน้าของเขาและนาตาชานั้นสั้นลง ชนทั้งคู่นั้นแทบจะหายใจรดกัน “เอาล่ะงั้นมาเริ่มกันเลยดีไหมเรื่องสนุกๆน่ะ ?” คริสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบานาตาชานั้นรู้ความหมายของสิ่งที่เขาพูดได้เป็นอย่างดี แต่ว่าเธอนั้นก็พยายามจะตีสีหน้านิ่งเพื่อข่มความรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงเอาไว้ภายในก่อนที่เธอจะกล่าวตอบเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า
“พ่อหนุ่มโดนกัดตายไม่รู้ด้วยนะ….” นาตาชากล่าวขึ้นกับคริสอย่างแผ่วเบาแต่คำพูดของเธอนั้นก็ไม่ทำให้คริสรู้สึกหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย เขาตอบกลับนาตาชาขึ้นมาทันทีว่า“ก็ลองกัดดูสิครับ ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะอะไรที่เร้า……...อั๊ก !!!!!” คริสนั้นกำลังจะพูดต่อไป แต่ว่าก่อนที่เขานั้นจะพูดจบกำปั้นที่แข็งแกร่งก็กระแทกเข้าที่บริเวณใบหน้าของเขาอย่างจังจนร่างกายของเขานั้นกระเด็นไปกระแทกกับฝาผนังห้องขังเสียงดังสนั่น “โอ้ยยย !! ทำบ้าอะไรของนายว่ะสเวน !! มันเจ็บนะโว้ย !!” คริสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูตกใจและหัวเสียเขานั้นมองไปทางสเวนที่ยืนมองเขาพร้อมกับกำหมัดเอาไว้ในมือด้วยแววตาที่ดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ถามว่าทำอะไรงั้นเหรอครับ ? ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามนายคริส ? ผมเห็นนายกำลังจะทำมิดีมิร้ายเชลยศึกของเรา ถ้าหากว่าองค์หญิงรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็นายคงรู้สินะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น !! ในฐานะของหัวหน้าหน่วยผมขอสั่งจำคุกนายชั่วคราวโดยให้ไปขังรวมกับชายที่ชื่อว่าชินโซ !! ทหารพาตัวมันไป !!” สเวนกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและเฉียบคมก่อนที่ทหารยามสองคนซึ่งมีอาวุธครบมือจะตรงเข้ามาล็อกตัวของคริสไปคุมขังเอาไว้ที่ห้องข้างๆซึ่งนั่นเป็นห้องที่ชินโซนั้นถูกคุมขังเอาไว้“เฮ้ย !! ไม่เอาอย่ามาล้อเล่นนะเว้ย !! ไอ้บ้า !! นี่แกคิดว่าชั้นจะทำจริงๆเหรอ !! ในห้องนั้นมีกล้องวงจรปิดอยู่ ถ้าเกิดว่าชั้นทำอะไรลงไปมันก็เหมือนกับถ่ายทอดหนังสดให้คนทั้งยานดูน่ะสิ !! มันเป็นไปไม่ได้แต่แรกแล้วโว้ย แกก็รู้ว่าชั้นล้อเล่น ไม่เอานะปล่อยชั้นออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่ !!” เสียงของคริสโวยวาย และทุบผนังอย่างบ้าคลั่งออกมาจากห้องขังด้านข้างซึ่งภายในห้องทางนั้นมีเขาและชินโซอยู่ด้วยกันสองต่อสอง “สงบสติอารมณ์ในนั้นซะแล้วนายจะได้ออกมาเอง ไอ้หื่นกาม !!” สเวนกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูหัวเสียก่อนที่เขานั้นจะเดินเข้าไปหานาตาชาซึ่งนั่งอยู่บนเตียงภายในห้องคุมขังเขานั้นมองนาตาชาด้วยแววตาที่เย็นชาและคมกริบ ก่อนที่สเวนจะกล่าวขึ้นมาว่า “ตามสนธิสัญญาเชลยสงครามคุณจะได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพทางร่างกายและจิตใจจนกว่าจะได้รับการตัดสินโทษจากผู้นำสูงสุดของพวกเรา ในระหว่างนี้การหลบหนีไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนักหรอกครับทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ที่นี่จนกว่าพวกเราจะถึงที่หมายเถอะ” สเวนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาและราบเรียบ นาตาชาเมื่อได้ยินคำพูดดังนั้นเธอก็ยิ้มแสยะออกมาก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยันว่า
“การตัดสินโทษก็คงไม่พ้นโทษประหารสินะคะ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ? ที่จะต้องทําตัวสงบเสงี่ยมคอยอยู่ที่นี่ ทำให้ขั้นตอนมันสั้นลงดีกว่าไหมคะ ฉันเองก็ไม่ได้รังเกียจคนใจร้อนนักหรอกนะ” นาตาชานั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูประชดประชันเธอนั้นรู้ดีว่าถ้าหากว่าไปถึงดาวอังคารแล้วโทษของเธอก็คงจะไม่พ้นโทษประหารเป็นแน่ดังนั้นสู้ให้เธอถูกฆ่าตายเสียภายในห้องขังนี้ยังจะดีกว่าที่จะต้องไปรับโทษประหารที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน “องค์หญิงของพวกเราพระองค์ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นง่ายๆหรอกนะครับ ถ้าหากว่าคุณโชคดีได้รับการตัดสินโทษจากเธอล่ะก็นะ…..” สเวนพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบก่อนที่เขานั้นจะเดินออกจากห้องขังไปด้วยท่าทางที่ดูสง่างามนาตาชามองตามหลังของสเวนไปด้วยท่าทางที่ครุ่นคิดก่อนที่เธอนั้นจะกล่าวขึ้นมาว่า“องค์หญิงของดาวอังคารอย่างนั้นเหรอ ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ…..” ภายในห้องขังของชินโซ “เฮ้ยไม่เอานะเพื่อน !! น่าจะนั่งนิ่งเงียบจ้องหน้าฉันแบบนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่ อึดอัดจะตายไปพูดอะไรออกมาบ้างสิ นะขอร้องล่ะ…..” คริสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นกันเองกับชินโซ ชินโซนั้นหลังจากที่คริสเข้ามาในห้องขังร่วมกันกับเขาแล้วเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบและจ้องมองคริสโดยไร้คำพูดใดๆมากกว่า 1 ชั่วโมง สีหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์และคำพูดใดๆนั้นมันช่างดูกดดันซะยิ่งกว่าการแสดงอาการเกรี้ยวกราดมากมายหนัก
“ไอ้หื่นกาม….” หลังจากที่ได้ยินคริสพูดดังนั้นชินโซก็กล่าวขึ้นมาเพียงคำพูดสั้นๆ “........” แต่ว่าคริสเมื่อได้ยินชินโซกล่าวดังนั้นเขาก็หนึ่งและไม่พูดอะไรต่อไปอีก “ก็บอกให้พูดอะไรบ้างไง ? แล้วทำไมเงียบล่ะ” ชินโซเมื่อเห็นว่าท่าทางของคริสเป็นแบบนั้นเขาก็กล่าวถามขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูแปลกใจ คริสเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ได้แต่ทำหน้าเบื่อโลกและกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูซังกะตายว่า“เอิ่ม…...พอเหอะชั้นผิดเอง ฉันไม่น่าชวนนายคุยเลย…..คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกันนะ” ฐานทัพของกองทัพโลกแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายทะเล หลังจากที่พวกเฮเลลนั้นได้รอดพ้นจากการทำลายล้างของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงมาได้ พวกเขานั้นก็รอความช่วยเหลือจากกองทัพของฝ่ายกองทัพโลกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น ถึงแม้ว่ากองทัพของฝ่ายกองทัพโลกนั้นจะไม่รู้ตำแหน่งที่ยานของฝ่ายดาวอังคารนั้นมุ่งหน้าไป จึงทำให้พวกเขานั้นไม่สามารถจะติดตามพรรคพวกที่ถูกชิงตัวไปได้และไม่สามารถจะติดตามไล่ล่ากลุ่มทหารของชาวดาวอังคารต่อไปได้“มันน่าเจ็บใจชะมัดเลย !! พวกมันรู้เรื่องของพวกเราได้รวดเร็วขนาดนี้แถมยังลงมือโจมตีก่อน พวกเราแพ้ยับเยินเลยสินะ” เฮเลลกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูหัวเสียจากความพ่ายแพ้ของสงครามบนเกาะเทียมถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะเป็นนักบิน Gundam เหมือนกันอีกทั้งยังมีจำนวนมากกว่า แต่พวกเขานั้นก็พ่ายแพ้กับสงครามครั้งแรกที่พวกเขาเข้าต่อสู้ ความมั่นใจในฐานะของนักบินหัวกะทิซึ่งเพิ่งจบมาจากโรงเรียนนายเรืออวกาศถูกขยี้จนป่นปี้
“เอาเถอะมันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่นา การโจมตีสายฟ้าแลบสามารถตัดสินผลแพ้ชนะของสงครามได้เสมอไม่ว่าจะในอดีตหรือแม้แต่กระทั่งตอนนี้” เฟรย์อาเดินเข้ามาภายในห้อง เธอนั้นพยายามพูดให้เฮเลลนั้นสงบสติอารมณ์ลง เฟรย์อานั้นมีความชำนาญและความสนใจในด้านประวัติศาสตร์สงครามมากเป็นพิเศษ เธอรู้ว่าการชิงลงมือโจมตีก่อนถึงแม้ว่ากำลังทหารนั้นจะน้อยกว่าก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้เพียงใด“แล้วจากนี้ไปพวกเราจะเอายังไงกันดีล่ะคะ พวกเราที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นความหวังของมนุษยชาติจะต้องมาสิ้นชื่อภายในการโจมตีครั้งแรกหรอ ? ฟังดูแย่จังเลยนะคะ…..” โรซ่ากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ดูอ่อนล้า เธอนั้นนั่งเอนหลังไปกับเบาะพนักพิงของห้องพักฟื้นด้วยท่าทางที่ดูอิดโรย เนื่องจากว่าการเข้าสู่ New Type destroyer Mode มาเป็นระยะเวลานานนั้นสร้างผลกระทบต่อสมองของนักบินเป็นอย่างมาก อีกทั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เธอได้ทดลองใช้โหมดนี้ในสถานการณ์ลบทิ้งร่างกายของเธอย่อมไม่ชินกับมันเป็นธรรมดา แต่ในขณะที่ทุกคนนั้นกำลังถกเถียงกันถึงปัญหาที่ไม่มีทางได้รับคำตอบ ทันใดนั้นมิซิโกะก็ได้เดินเข้ามายังห้องพักฟื้น เธอนั้นดูยังมีสภาพร่างกายที่ดีและกำลังใจที่ไม่ได้ถดถอยลงไปจากความพ่ายแพ้ เพราะว่าเธอนั้นมีประสบการณ์การรบกับชาวดาวอังคารมาแล้วหลายครั้ง และความพ่ายแพ้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลยสักนิด
“ทุกคนใจเย็นๆก่อน ในตอนนี้พวกเรายังไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น การประชุมของนายทหารแห่งกองทัพโลกกำลังจะเริ่มขึ้นและมันน่าจะได้ผลสรุปออกมาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราจะได้รู้เป้าหมายต่อไปของพวกเราว่าพวกเราควรทำอะไร” มิซิโกะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูใจเย็น เธอนั้นบอกกับนักบินกันดั้มทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นว่าขณะนี้นายทหารแห่งกองทัพโลกกำลังทำการประชุมกันเพื่อจะหารือว่าจะใช้งานกันดั้มไปในทิศทางใดให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการพลิกโฉมหน้าของสงคราม เนื่องจากว่า Gundam ที่เหลืออยู่นั้นมีอยู่เพียงแค่ 4 เครื่องเท่านั้นแต่โชคยังดีที่ฝ่ายกองทัพโลกนั้นยังไม่ได้เสียของข้อมูลจากปฏิบัติการ Operation เซราฟิมไป“ว่าไปพี่ครับ ที่พี่บอกว่า Wing Gundam zero ของผมได้ทำการติดตั้งกล่องข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติการ Operation เซราฟิม เอาไว้ในตัวเครื่องมันหมายความว่ายังไงหรือครับ ?” เฮเลลรู้สึกสะกิดใจในสิ่งที่มิซิโกะนั้นได้พูดกับเขาก่อนหน้านี้ เขาจึงได้ทำขึ้นมาเกี่ยวกับกล่องข้อมูลซึ่งถูกติดตั้งอยู่ภายใน Wing Gundam zero ของเขาด้วยท่าทางที่ดูสนอกสนใจ“ถ้าเรื่องนั้นเราก็พวกเราขอเข้าร่วมฟังด้วยได้ไหม คงจะไม่ว่าอะไรแล้วนะอย่างน้อยพวกเราก็เคยเป็นคนที่ได้ร่วมรบอยู่ในสนามรบเดียวกันมาแล้วครั้งหนึ่ง จริงไหม ?” แต่ว่าก่อนที่มิซิโกะนั้นจะได้เล่าอะไรออกมา กัปตัน อาดิโอส รองกัปตันสกาเล็ตและมิโดริก็เดินเข้ามาภายในห้องพักฟื้น พวกเขาทั้งสามคนนั้นยังคงดูมีสภาพร่างกายและจิตใจที่ดีถึงแม้ว่าพวกเขาน่าจะสูญเสียสถานที่ที่เรียกว่าบ้านไปแล้วก็ตาม“ขอโทษนะคะแต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้พวกเราจะไม่สามารถเล่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องฟังได้ ถึงแม้ว่าว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพโลกด้วยกันก็ตามที ขออภัยด้วยค่ะ” มิซิโกะเมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามานั้นไม่ใช่หนึ่งในนักบินของ Gundam เธอจึงตอบปฏิเสธออกไปอย่างทันที แต่ท่าทางของเธอนั้นทำให้กัปตันอาดิโอสยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเองก่อนที่เขาจะกล่าวว่า“จะว่าไม่เกี่ยวข้องก็คงจะไม่ได้แล้วละนะ ตามกำหนดการเดิมแล้วความจริงผมควรจะต้องเป็นกัปตันของยานรบและมีหน้าที่บัญชาการโมบิลสูทกันดั้มทุกเครื่อง ผมเป็นคนที่ได้รับเลือกจากทางกองทัพโลกมาให้มาเป็นกัปตันของพวกคุณทุกคนน่ะ และดูเหมือนว่าคำสั่งนี้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงซะด้วยสิ” กัปตันอาดิโอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเอง ท่าทางของเขานั้นทำให้มิซิโกะนั้นมีท่าทีที่ดูเปลี่ยนไป เธอรู้ดีว่าหน่วยโมบิลสูทนั้นจะจำเป็นต้องสังกัดอยู่ภายในยานแม่ลำใดลำหนึ่ง และกัปตันยานคนนี้ก็เป็นกัปตันของยานแม่ลำที่ว่านั้นเอง“เอ้อ ส่วนสองคนนี้ผู้หญิงผมสีทองคนนั้นคือรองกัปตันเธอมีชื่อว่าสกาเล็ตเธอเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลมากเลยเชียวนะ คนที่หาตำแหน่งของยานแม่เจอก่อนที่มันจะยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงก็คือเธอคนนี้นี่แหละ ส่วนอีกคนนึงเธอมีชื่อว่าซาซากิ มิโดริ เธอเป็นเจ้าหน้าที่สื่อสารที่น่ารักดีใช่ไหมล่ะ เธอคือเจ้าหน้าที่ประจำการของเกาะเทียมเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดจากการโจมตีครั้งนั้น ผมเลยตัดสินใจที่จะบรรจุเธอเข้าเป็น operator ของยานแม่หน่วยนักบินกันดั้มเท่านี้คงไม่มีปัญหาแล้วสินะพวกเราก็คือทีมเดียวกันนั่นแหละ” กัปตันอาดิโอสกล่าวขึ้นมาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร ท่าทางของเขาที่ดูเป็นกันเองนั้นทำให้มิซิโกะรู้สึกว่าไม่อาจจะปฏิเสธอะไรต่อไปได้อีกเธอจึงเอ่ยปากเล่าออกมาว่า“กล่องข้อมูลที่ได้จากปฏิบัติการ operation เซราฟิม ความจริงแล้วภายในนั้นไม่ได้มีแบบแปลนพิมพ์เขียวของโมบิลสูทที่ชื่อว่า Gundam อยู่มากมายแบบที่คนเข้าใจหรอกค่ะ มันมีเพียงแค่โครงสร้างเฟรมพื้นฐานของกันดั้ม พิมพ์เขียวของ Gundam เบื้องต้นเพียงแค่ไม่กี่ตัว และแบบแปลนพิมพ์เขียวของ ไมนอฟสกี้ Ultra Compact Fusion reactor ซึ่งเป็นตัวให้กำเนิดพลังงานของโมบิลสูทที่มีแรงขับสูงเท่านั้น” มิซิโกะเริ่มเล่าถึงสิ่งที่มีอยู่ภายในกล่องที่ชาวโลกนั้นได้มาจากปฏิบัติการ operation seraphim คำพูดของเธอนั้นสร้างความตกใจให้กับทุกคนที่ได้ยิน สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความลับถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ระดับสุดยอด แต่ก็เป็นความลับที่มีแต่ผู้เกี่ยวข้องกับโปรเจคการพัฒนา Gundam เท่านั้นที่จะได้รับรู้“แล้วภายในกล่องนั้นมันมีอะไรอยู่อีกหรือครับพี่ ? มันต้องมีแน่ๆใช่ไหมครับถ้าไม่อย่างนั้นเราคงจะไม่สามารถสร้าง Gundam ออกมาได้ถึง 12 เครื่องแบบนี้” เฮเลลกล่าวถามขึ้นต่อไปด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นท่าทางของเขานั้นทำให้มิซิโกะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูก่อนที่เธอจะกล่าวต่อไปว่า“Crimson Moon มันคือชื่อของปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถจะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และสามารถจะพัฒนาตนเองได้ ความสามารถหลักของมันก็คือการออกแบบโมบิลสูทให้สามารถเอามาสร้างและใช้งานจริงได้ โดยมันจะคำนวณจากข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าไปให้มันไม่ว่าจะเป็นแบบพิมพ์เขียวของอาวุธชนิดอื่นๆ บันทึกข้อมูลทางการรบที่ถูกเก็บมาจากการต่อสู้ หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ที่สามารถจะทำให้มันนำไปคำนวณได้” คำกล่าวของมิซิโกะนั้นทำให้ทุกคนภายในห้องนั้นนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจ นั่นหมายความว่ากันดั้มที่พวกเขานั้นขับอยู่นั้นไม่ใช่กันดั้มที่ชาวดาวอังคารสร้างขึ้น แต่เป็นกันดั้มที่ได้จากการประมวลผลของชาวโลกผ่านทางปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะที่ชาวดาวอังคารเป็นคนมอบให้“แล้วแบบนี้มันก็หมายความว่า…..” เฟรย์อากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสนอกสนใจ เธอนั้นมีความสนใจทางด้านเทคโนโลยีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เมื่อรู้ว่ามีปัญญาประดิษฐ์ที่แสนวิเศษที่สามารถจะเปลี่ยนแบบพิมพ์เขียวหรือว่าข้อมูลทางการต่อสู้เอามาพัฒนาเป็นโมบิลสูทกันดั้มได้ เธอยิ่งอยากรู้อยากเห็นขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ“ก็หมายความว่ายิ่งพวกเราสามารถที่จะเก็บข้อมูลจากการต่อสู้กับพวกชาวดาวอังคารได้มากเท่าไร โมบิลสูทของเราก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และมันก็จะมากขึ้นไปอีก มากขึ้นไปอีกจนไม่สามารถจะจินตนาการได้ว่าจุดสิ้นสุดของพลังทำลายล้างของอาวุธที่ Crimson Moon จะมอบให้เรานั้นมันจะมีพลังทำลายล้างมหาศาลขนาดไหนยังไงล่ะ” มิซิโกะกล่าวออกมาถึงสิ่งที่เธอนั้นคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงหรือไม่เธอเองก็ยังคงไม่รู้มันอาจจะเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่ดูสุดโต่งไปหน่อย แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้น ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอกล่าวออกมาก็พากันตกใจไปตามๆกัน“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าถ้าหากว่าเราได้ปะทะกับชาวดาวอังคารอีกเรื่อยๆ โมบิลสูทของพวกเราก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆอย่างนั้นหรือครับ มันยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่หรอแบบนี้ ?!? แล้วปัญญาประดิษฐ์ตัวนี้ชาวดาวอังคารเป็นคนส่งมาให้กับพวกเราเอง แสดงว่าเจ้าคนทรยศที่ส่งมาให้กับเรานั้นมันคงคิดจะฆ่าตัวตายตกไปตามกันทั้งเผ่าพันธุ์อย่างแน่นอน บางทีคนทรยศชาวดาวอังคารอาจจะมีความแค้นที่ลึกซึ้งกับพวกตนเองจนไม่อาจจะยอมให้อภัยกันได้เลยก็ได้ นี่มันเป็นโอกาสที่วิเศษสำหรับเราจริงๆ” เฮเลลกล่าวความเห็นส่วนตัวของเขาออกมา แต่มันก็มีมูลของความจริงอยู่ฉันสามารถยอมรับได้ทุกคนที่ได้ฟังคำพูดของเขาภายในห้องนี้ต่างพากันรู้สึกยอมรับและเริ่มจะมีความหวังในการต่อสู้ครั้งนี้ขึ้นมาภายในใจมากขึ้น“เดี๋ยวก่อนสิ ถ้าอย่างนั้น Gundam 12 เครื่องแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาล่ะ พวกเรายังไม่มีข้อมูลการต่อสู้อะไรเกี่ยวกับ Gundam ที่ต่อสู้กับชาวดาวอังคารเลยสักครั้งไม่ใช่หรอ แล้วเราใช้ข้อมูลอะไรเป็นหลักการอ้างอิงในการสร้างมันขึ้นมา” รองกัปตันสกาเล็ตกล่าวถามมิซิโกะไปด้วยท่าทางที่ดูประหลาดใจ ทันทีที่ได้ยินคำถามมิซิโกะก็หันมาตอบเธอด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจทันทีว่า “กันดั้ม 12 เครื่องแรกที่ถูกสร้างขึ้นใช้ข้อมูลจากอาวุธทั้งหมดที่พวกเรามี และการต่อสู้ของพวกเราด้วยยานรบกับชาวดาวอังคาร อีกทั้งมันยังมีการใส่ข้อมูลของแบบแปลนของโมบิลสูทสมรรถนะสูงที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยนักเรียนนายเรืออวกาศคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าแบบแปลนของนักเรียนคนนั้นในตอนนั้นมันจะไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ และมีข้อบกพร่องทางเทคนิคมากมาย แต่เพราะว่าปัญญาประดิษฐ์ Crimson Moon ตัวนี้เลยช่วยแก้ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นและประมวลผลจนหมดทำให้มันกลายเป็นจริงขึ้นมาอย่างไรล่ะ” คำตอบของมิซิโกะนั้นช่วยคลายข้อสงสัยของรองกัปตันสกาเล็ตได้จนหมดสิ้นแต่เธอก็ยังมีข้อสงสัยเล็กน้อยอยู่อีกเธอจึงกล่าวถามถึงคำถามสุดท้ายของเธอออกไปว่า “แบบเป็นของโมบิลสูทสมรรถนะสูงที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยนักเรียนนายเรืออวกาศอย่างนั้นหรือคะ ? ฟังดูเหมือนกับว่าพวกเรากำลังดูหนัง หรือว่ากำลังอ่านนิยายที่ถูกเขียนขึ้นเลยนะคะ เด็กที่มีความสามารถในการเขียนแบบแปลนของโมบิลสูทระดับสูงขนาดนั้นได้ ชักอยากรู้จังเลยค่ะว่าเขาเป็นใคร” ทันทีที่มิซืโกะได้ยินคำถามของรองกัปตันสกาเล็ตเธอก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจและกล่าวออกไปทันทีว่า “นั่นสินะมันเหมือนกับว่าพวกเราเป็นตัวละครในนิยายยังไงก็ไม่รู้ แต่อย่างไรก็เถอะทั้งหมดนี่มันคือความจริง เด็กนักเรียนที่เป็นคนเขียนแบบแปลนของโมบิลสูทระดับสูงคนนั้นก็คือ เฮเลล มอร์นิ่งสตาร์ น้องชายของฉันเองค่ะ !! ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่แปลนที่ไม่สามารถจะใช้งานได้จริงอย่างแน่นอนถ้าหากว่าไม่ได้รับการปรับแต่งอีกครั้งโดยปัญญาประดิษฐ์ Crimson Moon แต่มันก็ยังเป็นแบบแปลนที่เต็มไปด้วยจินตนาการและไอเดียที่ยอดเยี่ยมอยู่ดีค่ะ” มิซิโกะกล่าวขึ้นพร้อมกับมองไปยังเฮเลลที่นั่งอยู่และยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มอันแสนจะภาคภูมิใจในตัวน้องชายของเธอ เฮเลลนั้นได้แต่มีสีหน้าที่ดูเก้อเขินและมึนงงอย่างไม่สามารถจะอธิบายได้ ในสมัยก่อนเขานั้นเป็นพวกที่คลั่งไคล้อาวุธทางการทหารและโมบิลสูทเป็นอย่างมาก ชนิดที่เรียกได้ว่าเป็น military โอตะตัวหนึ่งเลยทีเดียว เขานั้นได้เคยคิดที่จะออกแบบโมบิลสูทที่มีสมรรถนะสูงและมีพลังทำลายล้างของอาวุธอันล้ำเลิศมากพอที่จะเป็นไพ่ตายของกองทัพโลกได้ แต่ความรู้เท่าหางอึ่งของเด็กน้อยแบบเขาในตอนนั้นทำได้เพียงแค่จินตนาการในกระดาษสีขาวเท่านั้น จากนั้นก็ลืมเลิอนมันไป เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจินตนาการในวัยเด็กของเขาวันนั้นจะกลายเป็นอาวุธอันทรงพลังที่เขาได้ขับเคลื่อนอยู่ในตอนนี้“ฟังดูไม่น่าเชื่อเลยนะครับพี่ ถ้าอย่างนั้นแบบนี้การที่ผมได้ขับ Wing Gundam Zero ก็เป็นโชคชะตาสินะครับ” เฮเลลกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูดีใจ พลางนึกถึง Wing Gundam Zero กันดั้มประจำตัวของเขาอย่างดีใจจนออกนอกหน้า “เปล่าความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นหรอก โชคชะตาอะไรนั่นคงจะไม่ใช่หรอกนะ นายทหารชั้นสูงจากเบื้องบนเขามีความเชื่อว่าถ้านายเป็นคนขับ Wing Gundam Zero นายซึ่งเป็นคนออกแบบแปลนของโมบิลสูทสมรรถนะสูงในตอนนั้น น่าจะมีความสามารถบางอย่างที่จะนำสถิติการต่อสู้ ของนายมาวิเคราะห์ผ่านทาง Crimson Moon ต่อไปเรื่อยๆและกลายเป็นโมบิลสูทที่มีสมรรถนะสูงยิ่งกว่าได้ ในตอนแรกก็มีหลายคนคัดค้านคิดว่าตัวนายและ Crimson Moon ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าใครจะเป็นคนขับ Wing Gundam Zero เราก็ต้องนำผลการต่อสู้มาวิเคราะห์อยู่ดี การที่จะให้เป็นนายหรือไม่ก็ตามมันไม่มีส่วนสำคัญอะไรหรอก จริงไหมล่ะ ?” มิซิโกะกล่าวความจริงขึ้นมาให้กับน้องชายของเธอได้ฟังถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดูโหดร้ายไปหน่อยแต่ว่าการพูดอย่างตรงไปตรงมานั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นในสถานการณ์ที่หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ “อย่างนั้นหรือครับ ? นั่นสินะ !! แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ดีใจครับผมไม่คิดเลยว่าผมจะมีโอกาสได้มาขับกันดั้มที่ผมเป็นคนเคยจินตนาการมันเอาไว้ในสมัยก่อนแบบนี้ ผมจะทำมันให้ดีที่สุดครับให้สมกับที่พี่และคนอื่นๆไว้ใจให้ผมเป็นคนขับ Wing Gundam Zero !!” เฮเลลนั้นเข้าใจถึงจุดประสงค์ทุกอย่างได้เป็นอย่างดีเขานั้นรู้สึกมีจิตใจที่ฮึกเหิมเพิ่มมากขึ้น และเขานั้นก็ตั้งใจว่าจะเป็นนักบินที่เก่งกาจของ Wing Gundam Zero ให้จงได้ “ถ้าคิดได้แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ ตอนนี้พวกเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะอีกไม่กี่ชั่วโมงผลการประชุมของนายทหารระดับสูงกองทัพโลกจะออกมาแล้วเราจะต้องเจอกับนรกขุมไหนอีกก็ไม่รู้ ขอให้ทุกคนจงพักผ่อนให้เต็มที่และนำชัยชนะมาสู่มวลมนุษยชาติ” กัปตันอาดิโอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูมุ่งมั่นและตั้งใจ เขานั้นรู้สึกว่าเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นนักบินของ Gundam นี้จะต้องนำความหวังมาสู่มวลมนุษยชาติได้อย่างแน่นอน Episode 11 END
|
|
|
Post by wildrose on Oct 9, 2018 15:57:34 GMT
Episode 12 History of the World ห้องวิจัยยุทโธปกรณ์ของกองทัพโลก เป็นเวลาผ่านไปกว่า 3 วันแล้วหลังจากเหตุการณ์ต่อสู้ที่เกาะเทียม Wing Gundam zero ของเฮเลลได้ถูกซ่อมบำรุงและเติมพลังงานจนกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ โมบิลสูททุกเครื่องที่ชำรุดในการต่อสู้ครั้งนั้นได้รับการซ่อมบำรุงเป็นอย่างดี แต่สิ่งหนึ่งที่กองทัพโลกนั้นให้ความสนใจมากกว่าการซ่อมบำรุงโมบิลสูทก็คือข้อมูลการต่อสู้ที่ถูกบันทึกเอาไว้ภายในโมบิลสูททุกเครื่อง“Crimson Moon จะสามารถประมวลผลข้อมูลการต่อสู้ของพวกเราทุกคนและทำการพัฒนาโมบิลสูทของเราได้จริงจากการต่อสู้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเองหรือครับ ? ฟังดูน่ามหัศจรรย์จริงๆ” เฮเลลกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นในขณะที่เขานั้นยืนอยู่บนสะพานทางเดินและมองลงมาด้านล่างที่บริเวณโรงเก็บโมบิลสูทของห้องวิจัยยุทโธปกรณ์กองทัพโลก นักบินกันดั้มทุกคนต่างมาดูโมบิลสูทของตนเองที่กำลังจะได้รับการพัฒนา โดยข้อมูลที่จะนำมาพัฒนานั้นคือข้อมูลการต่อสู้ของพวกเขาจากการประมวลผลของ Crimson Moon “ใช่แล้วล่ะ มันเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่จัดว่ามหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยได้สัมผัสมาเลย จินตนาการไม่ออกจริงๆว่าพวกชาวดาวอังคารสร้างมันขึ้นมาได้ยังไง แต่จะยังไงก็แล้วแต่ตอนนี้มันได้มาอยู่ในมือของเราแล้วเราจะต้องใช้มันให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด” มิซึโกะกล่าวขึ้นกับเฮเลล ในขณะที่เธอนั้นมองยัง Freedom Gundam ของเธอด้วยแววตาที่ดูตั้งความหวัง หลังจากที่ได้ต่อสู้กับชินันจูของดินอสเธอนั้นรับรู้ได้ทันทีว่าสมรรถนะของโมบิลสูทของเธอนั้นยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้“โมบิลสูทสีแดงเครื่องนั้นร้ายกาจจริงๆ ไม่ใช่แค่สมรรถนะของมันเท่านั้นหรอกนะคะ แต่ว่าฝีมือของคนขับเองก็น่าจะเป็นระดับแนวหน้าของชาวดาวอังคารเหมือนกัน จัดว่าเป็นโชคดีของเรานะคะที่ปะทะกับเขาแล้วยังมีชีวิตรอดกลับมาได้….หรือบางทีคนที่ขับโมบิลสูทสีแดงคนนั้นอาจจะยังไม่ได้ใช้ฝีมือที่แท้จริงของเขาก็ได้” โรซ่ากล่าวขึ้นถึงชินันจูที่เธอนั้นได้ปะทะด้วยมากที่สุดเธอนั้นรับรู้ได้ถึงความร้ายกาจของโมบิลสูทเครื่องนั้นดีทั้งฝีมือของคนขับและสมรรถนะของมัน“โรซ่าเธอกำลังจะบอกว่าศัตรูออมมือให้กับเราหรอ ? ฟังดูประหลาดดีนะ” เฟรย์อากล่าวขึ้นทันทีที่ได้ยินโรซ่าพูดดังนั้น ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะรู้สึกประหลาดใจและรู้สึกไม่พอใจคำพูดของโรซ่าอยู่ในที เธอคิดว่าสิ่งที่โรซ่ากำลังพูดอยู่นั้นมันเป็นไปไม่ได้ ภายในสงครามนั้นศัตรูคงจะไม่มาออมมือให้กับคู่ต่อสู้แน่นั่นคือความคิดของเฟรย์อาซึ่งเธอเชื่อมั่น“เอาเถอะ !! ถึงอย่างไรโมบิลสูทสีแดงเครื่องนั้นก็แข็งแกร่งจริงๆ และเราจะต้องได้เจอกับมันในสนามรบอีกแน่ ตอนนี้เราต้องรีบพัฒนาฝีมือและสมรรถนะของโมบิลสูทให้ได้มากที่สุด คิดแค่นั้นก็พอแล้วล่ะ” มิซึโกะนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบเธอนั้นเป็นคนหนึ่งที่ได้เข้าปะทะกับดินอส และได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาเป็นอย่างดี แต่เรื่องที่เขานั้นจะออมมือให้กับพวกเธอหรือไม่เรื่องนั้นเธอไม่ได้สนใจ บนยานนาเดชิโกะ ดินอสกำลังพักผ่อนอยู่ภายในห้องส่วนตัวของเขา ภายในห้องนี้เป็นห้องธรรมดาของนักบินทั่วไปซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากห้องนักบินคนอื่นบนยาน ถึงแม้ว่าดินอสนั้นจะมีตำแหน่งที่สูงส่งเป็นถึงนักบินในตำนานของชาวดาวอังคารที่ผ่านสงครามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนและเป็นที่ยกย่องเชิดชูของเหล่าทหารด้วยกัน แต่ว่าเขานั้นมักจะมีความเป็นอยู่เฉกเช่นเดียวกับทหารทั่วไปยามอยู่ในสนามรบ ไม่ได้ทำตัวเป็นผู้ดีสูงศักดิ์มาจากไหน ซึ่งจุดนี้เป็นข้อดีอันหนึ่งของเขา เพราะว่านอกจากจะทำให้เขาสามารถเข้ากับทหารใต้บังคับบัญชาได้ในทุกระดับชั้นแล้ว ยังทำให้เขามีความคล่องตัวสูงยามออกปฏิบัติภารกิจภายในห้องพักที่เงียบสงบ ดินอสในตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่ด้านหน้าจอมอนิเตอร์ภายในห้องนักบิน เขานั้นกำลังสนทนาอยู่กับมากัสที่ติดต่อมาหาเขาโดยตรงจากดาวอังคาร สีหน้าท่าทางของดินอสนั้นดูเป็นปกติแต่ว่าท่าทางของมากัสคู่สนทนาของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกดุดันและกระวนกระวาย “เราไม่สามารถทำลายกันดั้มของชาวโลกได้หมดภายในปฏิบัติการครั้งที่แล้ว นี่มันเหนือความคาดหมายจริงๆนะท่านดินอส ชั้นไม่นึกเลยว่าพวกชาวโลกจะสามารถทำได้ถึงขนาดนั้น !!” มาคัสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดหลังจากที่เขานั้นได้รับทราบผลการรบที่ดินอสนั้นรายงานไป ซึ่งนี่ก็ดูจะเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายอยู่มากทีเดียวนักบินที่มีฝีมือเก่งกาจที่สุดของชาวดาวอังคารอย่างดินอสไม่สามารถจะปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงได้หมดถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
“ชั้นไม่อยากจะคิดเลย ภายใน 1 เดือนหลังจากที่พวกนั้นได้ข้อมูลไป พวกนั้นก็สามารถจะสร้างกันดั้มได้มากถึง 12 เครื่อง และที่สำคัญมีกันดั้มหนึ่งในนั้นที่เหมือนจะคล้ายกับ Wing Gundam Zero อยู่ !? นี่มันเป็นเรื่องเลวร้ายมากเลยนะ ถ้าหากว่าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปสู่สาธารณชนของพวกเราอาจจะเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาก็ได้ การเมืองในตอนนี้ที่ปราศจากกษัตริย์ก็ไม่นิ่งพออยู่แล้ว สถานการณ์ตอนนี้เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายเลย” มากัสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและดูเหมือนว่าดินอสก็จะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นอย่างดี เนื่องจากว่ากษัตริย์ชาวดาวอังคารองค์ก่อนนั้นได้ทิวงคตไปโดยที่ยังไม่มีทายาทที่มีความพร้อมเอาไว้สืบบัลลังก์ ลูกสาวเพียงแค่คนเดียวของกษัตริย์องค์กก่อนนั้นก็คือองค์หญิงลาติฟาห์ ซึ่งเธอนั้นยังมีอายุเพียงแค่ 14 ปี จึงยังไม่พร้อมที่จะรับภาระการเป็นผู้นำของชาวดาวอังคารเอาไว้ทั้งหมด หน้าที่บริหารราชการจึงต้องตกเป็นหน้าที่ของมากัสอย่างในปัจจุบัน “เอาน่า ไม่ต้องห่วงไปหรอก ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วชั้นก็จะจัดการกับพวกมันทั้งหมดได้อยู่ดี รวมทั้งกล่องข้อมูลของนั้นด้วย มากัสนายไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรขนาดนั้นหรอก ท่าทางร้อนรนใจแบบนี้ดูไม่สมกับเป็นนายเลยนะ” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบแต่แววตาของเขานั้นกับจับจ้องไปยังมากัสอย่างสงบนิ่งราวกับกำลังคิดอะไรอยู่“มันก็ต้องร้อนรนเป็นธรรมดา นายก็รู้นี่นาอะไรก็ตามคุกคามความมั่นคงของพวกเรา ชั้นปล่อยมันไว้ไม่ได้ทั้งนั้น อนาคตของคนทั้งดาวอังคารอยู่บนไหล่สองข้างของชั้น….” มากัสกล่าวตอบขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังแต่คำกล่าวของเขามันก็ทำให้ดินอสกล่าวขึ้นต่อทันทีว่า “ใช่ชั้นรู้ และนอกจากภาระที่ว่านั่นนายก็เกลียดชาวโลกเข้ากระดูกดำด้วยใช่ไหมล่ะ ? พอได้เห็นศัตรูทำท่าทางว่าจะเข้มแข็งขึ้นมามันก็ต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ชั้นเข้าใจแล้วล่ะ !! ชั้นวางแผนที่จะเข้าปะทะกับพวกมันอีกครั้งและในการโจมตีคราวหน้า Gundam ทุกตัวของกองทัพโลกจะต้องถูกกำจัดรวมทั้งกล่องข้อมูลของพวกมันด้วย เอาเป็นแบบนี้ก็แล้วกันดีไหม ?” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบแต่ในน้ำเสียงของเขานั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกมั่นใจ มากัสเมื่อได้เห็นท่าทางของดินอสดังนั้นเขาก็รู้สึกพอใจมากและกล่าวขึ้นมาทันทีว่า“อืม !! นั่นแหละใช่เลย สมแล้วล่ะกับที่รู้จักกันมานาน ยังไงก็ขอฝากนายจัดการด้วยนะดินอส …. จริงสิฝ่าบาทบอกว่าต้องการตัวของเชลยศึกสองคนที่พวกนายจับได้ พระองค์อยากจะให้ทำการส่งตัวเชลยศึกกลับมาที่นี่พร้อมกับทหารภายในกองกำลังส่วนพระองค์ทั้งหมดกลับมาด้วย” หลังจากที่ได้ฟังคำยืนยันที่จะกำจัดกันดั้มของดินอสมากัสก็ได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องต่อไปนั่นก็คือ องค์หญิงลาติฟาห์ได้รับทราบเรื่องที่พวกของดินอสได้ทำการจับกุมเชลยศึกซึ่งเป็นนักบินกันดั้มของชาวโลกได้ 2 คน และเธอนั้นก็ต้องการตัวเชลยศึกทั้งสองคนนั้น “อย่างนั้นเหรอ ? องค์หญิงน้อยนี่ชอบทำอะไรแบบนี้ซะจริงเลยนะ เข้าใจแล้วล่ะ !! แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ชั้นจะดำเนินการส่งตัวเชลยกลับไปทันทีที่เราถึงฐานในยุโรป แต่ว่ามีคนที่แปรพักตร์มาอยู่ฝั่งเราคนหนึ่งตามที่รายงานไป ชั้นอยากจะให้เขามาขึ้นตรงกับชั้น เรื่องนี้องค์หญิงคงจะไม่มีปัญหาสินะ” ดินอสรับทราบและจะส่งเชลยศึกทั้งสองคนของกองทัพโลก รวมทั้งกองกำลังส่วนพระองค์ขององค์หญิงลาติฟาห์กลับดาวอังคารตามพระประสงค์ จากนั้นดินอสก็ถามถึง เอ็สเพ็น ซึ่งย้ายข้างมาอยู่กับฝั่งชาวดาวอังคารว่าองค์หญิงลาติฟาห์จะต้องการตัวของเขาด้วยหรือไม่“อ้อ ถ้าเรื่องนักบินที่ย้ายข้างฝ่าบาทไม่มีรับสั่งอะไร นายอยากจะทำยังไงก็ตามใจเถอะ” มากัสกล่าวขึ้นอย่างราบเรียบคำตอบของเขานั้นสร้างความพอใจให้กับดินอสอย่างมาก “หึหึหึ แบบนั้นแหละเยี่ยมไปเลย !! ยานาเดชิโกะจะไปถึงฐานทัพที่ยุโรปภายในคืนนี้ กองกำลังส่วนพระองค์กับเชลยศึกสองคนจะถูกส่งไปดาวอังคาร ส่วนนายก็รอฟังข่าวดีในอีกไม่ช้านี้ได้เลย !!” ดินอสกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจ หลังจากนั้นเขาก็ตัดสัญญาณสื่อสารออกไป และล้มตัวลงนอนบนที่นอนซึ่งอยู่ภายในห้องพักก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมาลอยๆว่า “จะรีบร้อนไปไหนเล่า คู่ต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมน่ะมันหาได้ยากนะ เจ้าพวกนั้นยังพัฒนาได้อีกเยอะ ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอก….” ดาวอังคาร ตอนนี้เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์แล้วที่พวกดินอสนั้นออกไปทำภารกิจ พระราชวังมาเซนัสในยามนี้ดูเงียบสงบและสวยงามเช่นเดิม องค์หญิงลาติฟาห์ประทับนั่งอยู่ในสวนดอกไม้ ภายในบริเวณพระตำหนักอันเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจประจำของพระองค์
“องค์หญิงเพคะ เรื่องที่ขอให้ส่งตัวเชลยศึกชาวโลก 2 คนมาให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจท่านดินอสรับทราบเรื่องและดำเนินการเรียบร้อยแล้วล่ะเพคะ” โยฮันน่าเดินเข้ามาเข้าเฝ้าถวายรายงาน เกี่ยวกับคำสั่งที่องค์หญิงลาติฟาห์ได้รับสั่งออกไป “อย่างนั้นหรือคะ ดีมากเลยล่ะค่ะ ขอบคุณมากนะโยฮันน่า” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขอบคุณโยฮันน่าด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลและอ่อนโยน ภายในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอนั้นกำลังรู้สึกดีใจ เมื่อเห็นท่าทางเป็นเช่นนั้นโยฮันน่าก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นโยฮันน่าก็กล่าวถามองค์หญิงลาติฟาห์ขึ้นมาทันทีว่า“องค์หญิงขออภัยเพคะ แต่หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะเรียนถามองค์หญิงสักเล็กน้อยเพคะ…..พระองค์คิดจะชักชวนเชลยศึกชาวโลกให้เข้ามาเป็นหนึ่งในกองกำลังส่วนพระองค์ด้วยหรือเปล่าเพคะ ?” โยฮันน่ากล่าวถามในสิ่งที่เธอนั้นกำลังคิดอยู่ภายในใจกับองค์หญิงลาติฟาห์ออกไปตรงๆ องค์หญิงลาติฟาห์เมื่อได้ยินคำถามดังนั้นเธอก็มีสีหน้าที่จริงจังขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า “นั่นสินะ ฉันเองก็อยากที่จะให้พวกเขามาเป็นหนึ่งในกองกำลังของฉันเหมือนกันค่ะ ถ้าหากว่าเขาเต็มใจนะคะ โยฮันน่าที่เธอถามแบบนี้ขึ้นมาเพราะว่ามีอะไรรบกวนจิตใจของเธออยู่สินะ ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ลองเล่าให้ฉันฟังสักหน่อยได้ไหมล่ะคะ ?” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยน แต่ทว่าคำพูดของเธอนั้นตรงไปตรงมาราวกับเป็นหอกแหลมเสียดแทงเข้าไปในจิตใจของโยฮันน่า เพราะว่าสิ่งโยฮันน่านั้นมีสิ่งที่รบกวนจิตใจจริงๆอยู่นั่นเอง “คือ…...ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายใจในสิ่งที่พระองค์กำลังทำอยู่นะเพคะ ต้องขออภัยด้วยเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันอยากจะทราบเหตุผลในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำลงไปเพคะ” สิ่งที่โยฮันน่านั้นอยากรู้ก็คือ เพราะเหตุใดองค์หญิงลาติฟาห์ ถึงได้พยายามรวบรวมผู้คนและตั้งกองกำลังส่วนพระองค์ขึ้นมาภายในช่วงระยะเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นนักบินที่มีความสามารถของชาวดาวอังคารเองอย่างคริส หรือแม้แต่กระทั่งไดสุเกะที่เป็นเชลยศึกชาวโลก ต่างก็ถูกองค์หญิงชักชวนเข้ามาให้อยู่ในกองกำลังส่วนพระองค์ทั้งนั้น “เหตุผลอย่างนั้นหรือคะ นั่นสินะ ฉันจำได้ว่าฉันยังไม่ได้บอกกับเธอเลย แต่ว่าถ้าหากว่าบอกไปแล้วเธอจะยอมรับในเหตุผลของฉันไหมนะ โยฮันน่า….” องค์หญิงลาติฟาห์หันไปมองหน้าโยฮันน่าและจ้องหน้าของเธอด้วยแววตาที่ดูเศร้าสร้อยเล็กน้อย แต่ในใบหน้าของเธอนั้นก็ยังปรากฏรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นอย่างที่เธอนั้นเคยทำเสมอมา“ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอย่างไร หม่อมฉันก็จะขอติดตามองค์หญิงตลอดไปเพคะ ได้โปรดเถอะช่วยบอกเหตุผลขององค์หญิงให้หม่อมฉันได้รับทราบด้วยเถิดเพคะ” โยฮันน่ากล่าวอ้อนวอนและดูเหมือนว่าคำกล่าวของเธอนั้นจะได้ผล องค์หญิงลาติฟาห์ดูใจอ่อน เธอยิ้มออกมาและเรียกโยฮันน่าให้เข้ามานั่งที่บริเวณข้างๆเธอซึ่งโยฮันน่าก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี“นี่โยฮันน่า เธอเคยได้อ่านประวัติศาสตร์ของชาวโลกเมื่อสักหลายพันปีมาแล้วหรือเปล่า มันมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจอยู่หลายเหตุการณ์เชียวนะ แต่ว่ามีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจมากจนฉันอดที่จะคิดตามไม่ได้เลยล่ะแล้วมันเป็นเหตุการณ์ที่ฉันอยากจะให้มันเกิดขึ้นจริง” องค์หญิงลาติฟาห์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งถูกฉายผ่านทางจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์อันเป็นส่วนหลังคาของโดมที่อยู่อาศัย มันไม่ใช่ท้องฟ้าจริงแต่เป็นท้องฟ้าสีฟ้าเทียมที่ถูกสร้างเลียนแบบขึ้นมาให้คล้ายกับบรรยากาศของโลก สายตาของเธอนั้นทอดมองไปไกลแสนไกล“เหตุการณ์อะไรอย่างนั้นหรือเพคะ ?” โยฮันน่าเมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความสงสัยและกล่าวถามออกไปทันทีเรากับเด็กๆที่ต้องการจะรู้เรื่องที่ผู้ใหญ่จะเล่า ถึงแม้ว่าคู่สนทนาของเธอนั้นจะเป็นองค์หญิงน้อยอายุเพียงแค่ 14 ปีก็ตาม“โลกมนุษย์ก่อนหน้าที่จะเกิดการล้มสลายทางทรัพยากรได้มีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้น 2 ครั้ง และหลังจากที่สงครามครั้งใหญ่ครั้งที่สองนั้นจบลง มนุษย์นั้นก็เลิกทำสงครามกันอีกแต่พวกเขาเลือกที่จะสะสมอาวุธสงครามจำนวนมากเอาไว้ในครอบครองเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยของประเทศตนเอง พวกชาวโลกเรียกสถานการณ์นั้นว่า สงครามเย็น” หลังจากที่พูดประโยคนี้จบองค์หญิงลาติฟาห์ก็ก้มหน้าลงมามองไปยังทุ่งดอกไม้หลากสีที่อยู่เบื้องล่างก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า “ประเทศในโลกตอนนั้นแบ่งเป็น 2 ขั้วอำนาจใหญ่และทั้งสองขั้วอำนาจนั้นก็ต่างแข่งขันกันสะสมอาวุธและไม่เกิดสงครามที่มีการฆ่าฟันกันจนนองเลือดครั้งใหญ่อีกเลย ประเทศที่เป็นประเทศขนาดเล็กต่างก็พากันเร่งสะสมอาวุธและความมั่งคั่งเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยของตนเองกันทั้งนั้น และในท้ายที่สุดแล้วหลังจากสงครามครั้งใหญ่ครั้งที่ 2 ผ่านมานับพันปีทุกประเทศต่างก็มีอาวุธร้ายแรงที่เรียกกันว่านิวเคลียร์เอาไว้ในครอบครองด้วยกันทั้งหมดทุกประเทศไม่เว้นแม้แต่กระทั่งประเทศที่ยากจนที่สุดของโลก” โยฮันน่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้เธอก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าองค์หญิงลาติฟาห์นั้นตั้งใจจะทำอะไร“ถ้าหากว่าฝ่ายโลกมีพละกำลังเทียบเท่ากับพวกเรา และพวกเขาก็จะรู้ดีว่าถ้าหากเกิดสงครามแตกหักก็จะสูญเสียอย่างใหญ่หลวงกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครต้องการ แล้วหลังจากนั้นก็จะไม่เกิดสงครามขึ้นมาอีกอย่างนั้นสินะเพคะ” โยฮันน่าเริ่มที่จะจับทางในสิ่งที่องค์หญิงนั้นกำลังคิดเอาไว้ได้อย่างถูกต้อง “ใช่แล้วค่ะ แต่ว่าเรื่องนั้นคงจะไม่เกิดขึ้นในยุคสมัยของฉันแน่ทั้งชาวดาวอังคารและชาวโลกจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้อีกมาก แต่อย่างน้อยถ้าไม่มีใครเริ่มมันก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยในยุคสมัยของฉัน ฉันอยากจะคืนพื้นที่บนโลกทั้งหมดให้กับชาวโลกรวมทั้งดวงจันทร์ที่พวกเรายืดมา รวมถึงตอนนี้พวกเราชาวดาวอังคารก็มีวิทยาการมากพอ แม้ว่าเราจะไม่นำทรัพยากรจากโลกพวกเราก็สามารถจะมีชีวิตอยู่กันได้อย่างสุขสบาย ฉันมองว่าการปกครองอย่างกดขี่กับชาวโลกสำหรับพวกเราเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของการแก้แค้นจากการถูกทอดทิ้งเมื่อนานมาแล้ว มันช่างเป็นการแก้แค้นที่ไร้ความหมายเสียจริงๆ โยฮันน่าเธอไม่คิดแบบนั้นบ้างหรอคะ” องค์หญิงลาติฟาห์ได้บอกถึงเหตุผลและสิ่งที่เธอต้องการจะกระทำให้กับโยฮันน่าได้รับรู้ ความจริงที่องค์หญิงลาติฟาห์นั้นได้เล่าออกไปทำให้โยฮันน่านั้นรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย“ต้องขออภัยนะเพคะ…….ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คนที่เป็นผู้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับกันดั้มให้กับชาวโลกก็คือ…..” หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่องค์หญิงลาติฟาห์เล่าจนหมดโยฮันน่าก็ได้ฉุกคิดขึ้นมาทันทีว่า องค์หญิงลาติฟาห์นั้นน่าจะเป็นคนที่ส่งข้อมูลเกี่ยวกับกันดั้มให้กับชาวโลกอย่างแน่นอน“โยฮันน่าเธอกำลังคิดว่าฉันเป็นคนส่งกล่องข้อมูลเกี่ยวกับ Gundam ให้กับชาวโลกอย่างนั้นสินะคะ เรื่องนี้ถ้าหากว่าเป็นการคาดเดาของเธอเธอนั้นคงจะพลาดเสียแล้วล่ะค่ะ” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกระเซ้าเย้าแหย่ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ตามจากนั้นเธอก็ยิ้มออกมาและกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันรู้ค่ะว่าใครที่เป็นคนส่งกล่องข้อมูลนั้นให้กับชาวโลก คนๆนั้นไม่ใช่ฉันแน่นอนค่ะ แต่ฉันแค่ใช้โอกาสที่เขาสร้างขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้ความต้องการของฉันเป็นจริงเท่านั้นเอง” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเรียบเฉยแต่ในแววตาของเธอนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความฉลาดหลักแหลมฉายแววออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าอย่างนั้นใครหรือเพคะที่เป็นคนส่งกล่องข้อมูลนั้นให้กับชาวโลก” โยฮันน่าเผลอหลุดปากถามคำถามที่เธอนั้นอยากรู้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนว่าองค์หญิงลาติฟาห์นั้นจะไม่ได้กังวลในสิ่งที่โยฮันน่านั้นถามออกมา อาจจะเป็นเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจที่อยู่ด้วยกันมาเป็นระยะเวลานานก็เป็นได้องค์หญิงลาติฟาห์จึงตอบโยหันกลับไปทันทีอย่างไม่ลังเลว่า“ท่านวิลเฮล์ม มากัส ผู้สำเร็จราชการแทนของเสด็จพ่อนั่นล่ะค่ะ ที่เป็นคนส่งกล่องข้อมูลเกี่ยวกับ Gundam ให้กับชาวโลก”........Episode 12 END
|
|