|
Post by wildrose on Sept 9, 2018 15:16:03 GMT
Intro : Fallen Angel
นอกชั้นบรรยากาศบริเวณห้วงอวกาศระหว่างโลกและดวงจันทร์ ยานแม่ของกองทัพสหพันธ์โลกจำนวนหลายร้อยลำกำลังตั้งขบวนกรีธาทัพออกไปเพื่อที่จะต่อสู้ศึกในการปกป้องมวลมนุษยชาติ ยานแต่ละลำนั้นบรรจุอาวุธหนักมากมายหลายประเภทที่เอาไว้ใช้ต่อกรกับข้าศึก และยานแต่ละลำนั้นมีโมบิลสูทจำนวน 5 เครื่องคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา กองยานสหพันธ์โลกจึงดูแข็งแกร่งและไร้เทียมทาน แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ภายในยานรบแต่ละลำนั้นจะไม่ได้กล้าหาญฮึกเหิมเหมือนกับความเข้มแข็งที่แสดงออกมาภายนอก “นี่เรือธงติดต่อไปยังกัปตันยานทุกลำ เรากำลังจะเข้าสู่ระยะยิงภายในอีก 15 นาที…..เตรียมตัวประจำสถานีรบระดับที่ 1” กัปตันยานธงของกองทัพสหพันธ์โลกสั่งการไปยังทหารสื่อสารของเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสั่นเครือ น้ำเสียงของกัปตันวัยชราผู้นี้บ่งบอกได้ถึงความหวาดกลัวที่มีอยู่ในจิตใจของเขาได้อย่างชัดเจน แต่เขานั้นต้องทำท่าทางเข้มแข็งเพื่อกลบเกลื่อนความหวาดกลัวนั้นอย่างสุดความสามารถ ทหารสื่อสารถ่ายทอดคำสั่งของกัปตันไปยังยานรบทุกลำ“ผู้การคะ...จะไม่กล่าวปลุกใจอะไรทหารซะหน่อยหรือคะ ?” หญิงสาวคนหนึ่งวัยประมาณ 20 ปีเธอดูเหมือนว่าจะมีตำแหน่งภายในยานรบค่อนข้างสูง เครื่องประดับยศของเธอบ่งบอกได้ว่าเธอเป็นรองกัปตันของเรือธงลำนี้ กัปตันวัยชราเมื่อได้ยินรองกัปตันกล่าวเช่นนั้นเขาก็ตอบกลับเธอไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสิ้นหวังว่า “กับทหารผู้กล้าหาญที่จะต้องมาสละชีวิตเพื่อมวลมนุษยชาติ คำกล่าวปลุกใจ คำกล่าวปลอบประโลม หรือว่าคำกล่าวชมเชย ก็ไม่สามารถจะนำชีวิตของพวกเขากลับคืนมาได้หรอก เธอเป็นหลานสาวของคนที่ฉันเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิท เธอก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าปฏิบัติการครั้งนี้…...” กัปตันวัยชรากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกล้าหาญแต่ก็แฝงไปด้วยความโศกเศร้าเขามองใบหน้าของหญิงสาวซึ่งเป็นหลานสาวของเพื่อนสนิทของเขาด้วยแววตาที่ดูเศร้าสร้อย “ชั้นเคยสัญญากับหมอนั่นว่า จะไม่ปล่อยให้เธอซึ่งเป็นสายเลือดที่หลงเหลืออยู่คนสุดท้ายของเขาต้องมาจบชีวิตลงในสงครามแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าคำสัญญาของชั้นจะไม่สามารถเป็นจริงได้แล้วสินะ” กัปตันวัยชรากล่าวขึ้นกับหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขา บนสะพานเดินเรือแห่งนั้นทหารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คนอื่นๆต่างรู้ถึงสถานะของพวกเขาทั้งสองคนดี ทหารคนอื่นๆจึงได้แต่นิ่งเงียบไม่กล่าวอะไรออกไป ชายชราผู้นี้เอ็นดูหญิงสาวคนนี้เรากับหลานสาวแท้ๆของเขา“ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะกัปตัน ทั้งหมดนี่เป็นความปรารถนาของตัวฉันเอง คุณไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก” หญิงสาวกล่าวขึ้นกับกัปตันวัยชราด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมุ่งมั่น ท่าทางของเธอนั้นทำให้กัปตันวัยชราหลบสายตาของเธอหลังจากนั้นเขาก็กลับไปบอกกับเจ้าหน้าที่สื่อสารว่า“เปิดช่องสัญญาณไปยังด้านทุกลำฉันมีเรื่องที่จะบอกกับพวกเขาทุกคน” กัปตันชายวัยชรากล่าวขึ้นและเดินมาที่ด้านหน้าของไมโครโฟนที่เป็นตัวเชื่อมต่อของช่องสัญญาณสื่อสารหลักของยานทุกลำ “ทหารผู้กล้าหาญทุกคน ผมคือกัปตันของเรือธงกองทัพสหพันธ์โลก พวกเราถูกรุกรานและกดขี่โดยชาวดาวอังคารที่พวกมันเรียกตัวเองว่า มาเซนัส มาหลายปี พวกมันก็ทำเหมือนกับว่าเราเป็นสัตว์ และช่วงชิงทรัพยากรของพวกเราไป จนในที่สุดความอดทนของพวกเราก็มาถึงขีดสุดทุกประเทศร่วมมือกันช่วยเหลือกันและก่อตั้งกองทัพสหพันธ์โลกนี้ขึ้นมาด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่เรามี พวกเราคือความหวังสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ ความหวังที่จะนำชีวิตและศักดิ์ศรีของมวลมนุษยชาติกลัยคืนมา ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีของพวกเราจะล้าหลังกว่าพวกมันมากและนี่จะเป็นการต่อสู้ที่สิ้นหวังขนาดไหน แต่ผมเชื่อมั่นว่าฝีมือแต่ความกล้าหาญของพวกเราจะสามารถเอาชนะความห่างชั้นของเทคโนโลยีได้ จับอาวุธขึ้นมาและแสดงพลังของมวลมนุษยชาติให้พวกมันได้เห็น !! ขับไล่พวกมันออกไปจากโลกอันเป็นที่รักของพวกเรา !!” เสียงของกัปตันชายวัยชรากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูฮึกเหิม คำพูดของเขานั้นผ่านถ่ายทอดทางช่องสัญญาณหลักไปสู่เรือรบทุกลำและโมบิลสูททุกเครื่องที่กำลังประจำการอยู่ในเวลานี้ “หึ !! ท่านผู้การพูดจาได้น่าฟังดีนี่นา….มันต้องแบบนี้สิ !! เจ้าของชาวดาวอังคาร ฉันจะเตะก้นพวกแกกลับบ้านให้หมดทุกตัวเลย !!” เสียงของนายทหารหนุ่มซึ่งประจำการอยู่ภายในโมบิลสูท GMII Spacetype กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูชื่นชมและคึกคะนอง เขานั้นเพิ่งจะมาเป็นทหารใหม่ประจำกองทัพได้ไม่นานและนี่คือการรบจริงครั้งแรกของเขา “เฮ้ เจ้าหนูอย่าได้ใจไปล่ะ ฝั่งนู้นน่ะมันแข็งแกร่งนะเว้ย !!” เสียงของนายทหารซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหมู่ของทหารหนุ่มผู้นั้นกล่าวขึ้นผ่านทางช่องสื่อสารภายใน เพื่อเบรคความคึกคะนองของทหารหนุ่มคนนั้นทันที ผู้บังคับบัญชาหมู่คนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นทหารที่ผ่านสงครามกับพวกชาวดาวอังคารมาแล้วมากพอสมควร ท่าทางของเขานั้นดูกดดันและเครียดนั่นบ่งบอกได้ถึงว่าศัตรูที่พวกเขากำลังจะเผชิญนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน ทันใดนั้นช่องสื่อสารหลักก็มีเสียงของสัญญาณเตือนภัยขึ้นมา “ตรวจสอบพบสัญญาณสั่นสะเทือนของห้วงอวกาศ ยืนยันสัญญาณ Hyper Space !! ทุกคนเตรียมระวังการปะทะ !!” แต่หลังจากที่สัญญาณการแจ้งเตือนของช่องสัญญาณสื่อสารหลักดังขึ้นได้ไม่ถึง 10 วินาที ซู้มมมม !!!! บรึ้มมม !!! เสียงของปืนลำแสงอนุภาคก็ถูกยิงขึ้นมาและมันก็ตรงเข้าไปยังยานแม่ลำนั้นของกองทัพสหพันธ์โลกนำแสงนั้นทำลายยานแม่ลำนั้นให้จมไปภายในพริบตา“ประจำสถานีรถพวกเราถูกโจมตีแล้ว ทำการยิงตอบโต้ทันที !!” เสียงช่องสัญญาณสื่อสารหลักดังขึ้นใจถึงแม้ว่าเขาจะไม่บอกว่าถูกโจมตีทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็สามารถจะรับรู้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย“ทิศทางของศัตรูมาจากทางไหน ?! เรดาร์รายงาน !! เร็วเข้า !!” เสียงของทหารคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาทางช่องสื่อสารหลัก เขานั้นไม่รู้ว่าศัตรูยิงมาจากทางไหน แต่ว่าทันใดนั้นอวกาศเบื้องหน้าของกองทัพสหรัฐก็มีรอยแตกร้าวกับรอยร้าวของกระจก รอยแตกนั้นค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากนั้นอวกาศก็กลายสภาพเป็นเหมือนกับกระจกที่ถูกทุบจนแตก และเบื้องหลังของกระจกนั้นก็เป็นความมืดมิด แต่ในความมืดมิดนั้นก็มีกองยานจำนวนหลายร้อยลำ จำนวนของมันมีมากไม่แพ้ของยานของกองทัพสหพันธ์โลกเลยแม้แต่น้อย ยานอวกาศเหล่านั้นพุ่งทะยานออกมาจากรอยแตกนั้นอย่างรวดเร็ว“คู่ศัตรูกำลังออกจาก hyper space จังหวะนี้แหละยิงเลย !!” เสียงกัปตันของเรือธงการสั่งการขึ้นกับยานรบทุกลำให้ทำการยิงปืนใหญ่อนุภาคไปยังกองยานของศัตรูที่เพิ่งจะออกมาจาก Hyper Space ยานทุกลำของกองทัพสหพันธ์โลกเล็งกระบอกปืนไปยังกองทัพของศัตรูเบื้องหน้าและเปิดฉากยิงปืนใหญ่อนุภาคเข้าใสในทันที ซู้มมมม ซู้มมมม ซู้มมมม !!! เสียงของปืนลำแสงอนุภาคของยานกองทัพสหพันธ์โลกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลำแสงสีเหลืองสว่างตัดผ่านห้วงอวกาศที่มืดมิดไปเบื้องหน้าพุ่งตรงเข้าหากองยานของชาวดาวอังคารที่เพิ่งจะออกมาจากโหมด Hyper Space แต่ดูเหมือนว่าปืนลำแสงอนุภาคของกองทัพสหพันธ์โลกนั้นจะไม่สามารถตัดผ่านเกราะพลังงานของยานแม่ชาวดาวอังคารได้เท่าที่ควรความเสียหายของมันจึงลดลงไปมากและไม่สามารถจะจมยานแม่ของชาวดาวอังคารได้ภายในนัดเดียว ถึงแม้ว่าการเปิดฉากโจมตีก่อนจะสามารถจมยานแม่ของชาวดาวอังคารไปได้ประมาณ 10 ลำก็ตาม“พวกมันกำลังจะยิงกลับมาแล้วเตรียมรับแรงกระแทก !!” สิ้นคำสั่งของกับตันวัยชราการโจมตีกลับของชาวดาวอังคารก็มาถึง ลำแสงสีน้ำเงินขนาดใหญ่ที่มีแกนกลางเป็นสีแดงเข้มบ่งบอกได้ถึงความเข้มข้นของอนุภาคพลังงานภายในนำแสงที่ผิดกับของกองทัพสหพันธ์โลกอย่างเห็นได้ชัด ซู้มมมมมมม !!! ตูมม ตูมม ตูมม ตูมม ตูมม !!! การเปิดฉากยิงกลับของชาวดาวอังคารนั้นสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ยานรบของกองทัพสหพันธ์โลกจมลงไปกว่า 20 ลำภายในการยิงเพียงแค่รอบเดียว “ตัวเรือด้านขวาของเราเสียหายหนักมากพวกเราต้องสละเรือแล้ว !!”“Valkyrie 17 ได้ยินแล้วตอบด้วย ไม่ได้การแล้วครับดูเหมือนว่าพวกเขาจะจมไปแล้ว !!”“รีบยิงกลับไปสิ รีบยิงกลับไป !!”“ไม่ได้การแล้วครับ ระบบหล่อเย็นของเราถูกทำลายอีกไม่นานเตาปฏิกรณ์ของตัวเรือจะระเบิด !!”“ไม่นะฉันยังไม่อยากจะต้องตายแบบนี้ !!”เสียงอันสับสนจากยานหลายลำถูกถ่ายทอดผ่านทางช่องสัญญาณช่องต่างๆกันอย่างสับสนอลหม่าน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยานรบของกองทัพสหพันธ์โลกนั้นใหญ่หลวงมากกว่าที่กัปตันวัยชราประเมินเอาไว้ก่อนการลบหลายเท่า“ยานทุกลำที่เสียหายให้ทำการสละเรือและถอยเป็นแนวหลัง ส่วนยานที่ยังสู้ไหวจงโจมตีพวกมันด้วยทุกสิ่งที่เรามี !!” กัปตันเรือธงวัยชรากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน น้ำเสียงของเขานั้นส่งผ่านไปทางช่องสัญญาณหลักไปถึงยานทุกลำ“หน่วยโมบิลสูท เข้าโจมตี จมยานของพวกมันให้ได้ !!” คำสั่งของผู้บังคับบัญชาการหน่วยโมบิลสูทสั่งการให้โมบิลสูททุกเครื่องเข้าไปทำการโจมตีเรือรบของศัตรู โมบิลสูททุกเครื่องของกองทัพสหรัฐโลกพุ่งออกไปยังบริเวณจุดยิงจำนวนมากมาย ราวกับแมงเม่าบินเข้าไปหากองไฟ เป้าหมายของพวกเขาทุกคนก็คือยานรบของศัตรูเบื้องหน้า “เห็นโมบิลสูทของข้าศึกแล้วทุกคนเข้าปะทะ…...ซ่าาาาาาา !!” หัวหน้าหน่วยโมบิลสูทซึ่งบังคับ GM II Commandertype กล่าวขึ้นเป็นสัญญาณให้นักบินโมบิลสูททุกคนเข้าไปโจมตีโมบิลสูทของศัตรู แต่ในวินาทีที่เขากล่าวจบเครื่อง GM II Commandertype ของเขาก็ถูกลำแสงจากปืนบีมไรเฟิล ของศัตรูยิงทำลายจนระเบิดไม่มีชิ้นดี “หัวหน้าาาาาา !!” เสียงตะโกนอย่างเสียขวัญของเหล่าทหารที่เห็นผู้บังคับหมู่ของตนเองถูกยิงตายต่อหน้าต่อตาดังขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารแต่ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาอาลัยให้กับผู้ตายการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตเข้าแลกกำลังถาโถมเข้ามาใส่พวกเขาโมบิลสูทแบบผลิตจำนวนมากของทางฝั่งชาวดาวอังคารนั้นก็คือ Leo Spacetype พวกมันมีจำนวนมากมายไม่แพ้โมบิลสูทของทางฝั่งกองทัพโลกเลยแม้แต่น้อยและที่สำคัญเลยก็คือพวกมันนั้นมีสมรรถนะสูงกว่า GMII และ บอล ของกองทัพสหพันธ์โลกลิบลับ การต่อสู้ด้วยโมบิลสูทของกองทัพสหพันธ์โลกนั้นก็ดูจะเป็นรองเหมือนกับการต่อสู้ด้วยกองยานรบนั่นเอง ภายในเรือธงของกองทัพสหพันธ์โลก “กองกำลังของเราเสียหายขนาดไหนแล้ว ?” กัปตันชายวัยชรากล่าวถามขึ้นกับเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดและเป็นกังวล “ยานรบของเราจมไป 66 เปอร์เซ็นต์แล้วครับ….” เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “แล้วแผนการนั่นเป็นอย่างไรบ้าง ?” กัปตันชายวัยชราถามถึงแผนการบางอย่าง ซึ่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลนั้นทราบเป็นอย่างดี “เซราฟิมกำลังอยู่ในโหมด hyperspace ครับ คาดว่าน่าจะถึงเป้าหมายภายในอีก 15 นาที….” เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลกล่าวถึงอะไรบางอย่างซึ่งกำลังเดินทางอยู่ กัปตันยานวัยชรานั่นทราบถึงข้อความที่เขากล่าวขึ้นเป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนว่ารองกัปตันสาวนั้นจะไม่ทราบถึงแผนการในครั้งนี้อย่างละเอียดเธอจึงเข้าไปถามกัปตันวัยชราด้วยความสงสัยว่า “เซราฟิมอะไรหรือคะ ? กัปตันกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ?” เธอกล่าวถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “มีสิ่งหนึ่งที่ชั้นยังไม่ได้บอกเธอสินะ แต่ตอนนี้เงียบเอาไว้ก็คงจะเปล่าประโยชน์ การรบเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่นี่เป็นเพียงแค่นกต่อ พวกเรามาดึงความสนใจและซื้อเวลาจากกองทัพหลักของชาวดาวอังคารเท่านั้น เซราฟิม คือแผนการที่แท้จริงของพวกเรา” กัปตันชายวัยชรากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังดวงตาของเขานั้นชายประกายของความหวังขึ้นมาท่ามกลางความสิ้นหวังในสนามรบแห่งนี้ “แล้วเซราฟิมมันคืออะไรล่ะค่ะ ? ทำไมทหารมากมายถึงต้องไปเสียสละกับสิ่งนั้นด้วย” รองกัปตันหญิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังเธอนั้นดูเหมือนจะไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไหร่“เซราฟิม คือความหวังของมนุษยชาติที่แท้จริงยังไงล่ะ…….” บนดวงจันทร์ บริเวณทะเลสาบแห่งความเงียบ ทะเลสาบแห่งความเงียบคือพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็งขนาดใหญ่บนดวงจันทร์ ซึ่งในตอนนี้มันถูกเงาของดวงจันทร์บดบังแสงจากดวงอาทิตย์จนมืดมิดไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในที่ซึ่งเย็นเฉียบและไร้ซึ่งแสงสว่างนี้กลับมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังรอคอยความหวังที่กำลังจะเข้ามา“ยืนยัน เซราฟิม ออกจากโหมด Hyper Space แล้ว กำลังจะตกลงมาสู่วงโคจรของดวงจันทร์ พวกเรารีบไปกันเถอะ….” เสียงของพลทหารสื่อสารหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกระตือรือร้นดูเหมือนว่าเขาจะดีใจที่เป้าหมายของเขามาถึงสักทีหลังจากการรอคอย 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาบนพื้นที่ที่ไม่มีอะไรเลย“โอ้ !! ไปกันเลยสหาย ความหวังของมวลมนุษยชาติอยู่ในกำมือของพวกเรานะ” นายทหารหนุ่มอีกคนนึงซึ่งเป็นสมาชิกในปฏิบัติการนี้คราวขึ้นกับพลทหารสื่อสารคนนั้นด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นหลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ออกจากฐานทัพชั่วคราว ซึ่งเป็นกระสวยอวกาศทรงกลมที่ภายในนั้นเต็มไปด้วยห่อบรรจุอาหารที่พวกเขารับประทานมาตลอด 1 สัปดาห์กำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ พวกเขาทั้งสองคนนั้นนั่งบน Lunar Rover ยานพาหนะที่ใช้ขับเคลื่อนบนดวงจันทร์ตรงไปยังเป้าหมายบนเรดาร์ที่พวกเขาได้รับสัญญาณมา หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ไปถึงยังจุดหมายบริเวณนั้นเป็นหลุมอุกกาบาตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 เมตร และมีตัวยานขนาดเล็กซึ่งเป็นเหมือนกับกระสวยอวกาศตกลงอยู่ที่นั่น สภาพฝุ่นละอองที่ยังไม่จางไปบ่งบอกได้ว่ามันเพิ่งจะตกลงมาได้ไหมน้ำ“นี่นะเหรอ เซราฟิม…..” พลทหารสื่อสารมองกระสวยอวกาศสีเงิน ที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นในขณะที่เพื่อนร่วมงานของเขานั้นตรงเข้าไปยังกระสวยอวกาศนั้นอย่างไม่รีรอ เขาใช้มือซึ่งสวมถุงมือของชุดอวกาศอยู่ดึงสลักของกระสวยอวกาศนั้นเพื่อให้มันเปิดออก ข้างในนั้นมีกล่องสีดำขนาดปานกลางบรรจุอยู่ข้างในมันมีลักษณะเหมือนกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเก็บกู้กล่องสีดำนั้นหลังจากนั้นก็รีบกลับมาที่ฐานทัพที่พวกเขาใช่ปฏิบัติภารกิจอย่างไม่รีรอ “Luna เรนเจอร์ รายงานหน่วยเหนือ พวกเราได้เซราฟิมมาแล้ว….” เจ้าหน้าที่สื่อสารส่งสัญญาณผ่านเลเซอร์กลับไปยังโลกตามแผนการของภารกิจ หลังจากที่เขาส่งสัญญาณเสร็จสิ้นแล้วเขาก็หันกลับไปถามเพื่อนร่วมงานของเขาซึ่งกำลังมองกล่องสีดำที่วางอยู่บนอุปกรณ์ล็อคนิรภัยสำหรับการเคลื่อนย้ายไปยังโลก เขาถามขึ้นมาว่า “เซราฟิม ตกลงมันคืออะไรกันแน่ มันเป็นความหวังของมวลมนุษยชาติจริงหรอ ?” คำถามของเจ้าหน้าที่สื่อสารนั้นทำให้เพื่อนร่วมงานของเขาแสยะยิ้มออกมา ก่อนที่จะตอบกลับไปว่า “ใช่แล้วเจ้ากล่องนี่ มันถูกส่งตรงมาจากดาวอังคารเชียวนะ !! ในกล่องนี่มีข้อมูลพิมพ์เขียวของโมบิลสูท ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามไปตลอดกาล Gundam ยังไงล่ะ !!”.......
Intro END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 10, 2018 14:24:26 GMT
Episode 0.5 : Under the sky Over the Rainbow
1 เดือนต่อมา น่านฟ้าเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก เครื่องบินโดยสารแบบ vip ของกองทัพสหพันธ์โลกลำหนึ่งกำลังบินผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกไปด้วยความเร็วสูงสุดที่มันจะสามารถทำได้ บนเครื่องบินโดยสารลำนั้นมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพสหพันธ์โลกโดยสารมาด้วยหลายคน และหนึ่งในนั้นก็คือหญิงสาวผู้ที่เคยเป็นรองกัปตันยานของเรือธงภายในการต่อสู้ครั้งใหญ่บนอวกาศเมื่อสัปดาห์ก่อน “สวัสดีครับ รองกัปตัน ไม่นึกเลยว่าจะได้มีโอกาสมาเจอคุณที่นี่ !! ถึงแม้ว่าการต่อสู้บนอวกาศคราวที่แล้วของทัพของพวกเราจะเสียหายเป็นอย่างหนัก แต่ว่าปฏิบัติการเซราฟิมก็สำเร็จลงด้วยดี ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเลยครับ” เสียงของนายทหารชาวยุโรปวัยประมาณ 50 กล่าวขึ้นทักทายหญิงสาวซึ่งเป็นรองกัปตันของเรือธงภายในปฏิบัติการสู้รบบนอวกาศคราวที่แล้วด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสนิทสนม แต่คำกล่าวของเขานั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกเยาะเย้ยอยู่ในที หลังจากที่ได้ยินเสียงทักทายรองกัปตันสาวก็หันหน้าไปมองเขาด้วยสายตาที่ดูเย็นชา “โอ๊ะ !! ขอประทานอภัยครับ บาดแผลทางใจจากสงครามของคุณคงจะยังไม่หายดี ผมต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งกับการเสียมารยาท” นายทหารชาวยุโรปกล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันเสแสร้งบนใบหน้าก่อนที่เขาจะนั่งลงที่บริเวณที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับรองกัปตันสาวด้วยท่าทางที่ดูสบายๆ ผลการต่อสู้บนอวกาศคราวที่แล้วกองทัพโลกสูญเสียเรือรบไปกว่า 70% ทหารที่ประจำการทั้งบนเรือรบและบนโมบิลสูทตายไปเกินครึ่ง นับว่าเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวงที่สุดตั้งแต่ทำสงครามกับชาวดาวอังคารมา ความสูญเสียครั้งนี้ทำให้กองทัพโลกไม่สามารถที่จะตรึงกำลังการสู้รบบนแผ่นดินระหว่างพวกเขากับชาวดาวอังคารได้เช่นเดิม และพวกเขาก็ต้องสูญเสียดินแดนเพิ่มไปอีก 20 เปอร์เซ็นต์บนพื้นโลกสาเหตุที่รองกัปตันยานสาวนั้นสามารถจะรอดชีวิตมาได้จากสงครามครั้งนั้น ก็เพราะว่ากัปตันวัยชราซึ่งเป็นกัปตันเรือธงได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ ก่อนที่เรือธงจะถูกยิงจมลงในการสงครามกัปตันยานวัยชราสั่งให้ทหารผู้ภักดีนำตัวเธอไปขังไว้ในกระสวยอวกาศ และทำการดีดตัวเธอออกก่อนที่เรือธงจะถูกยิงจม ภาพของเรือรบซึ่งเธอควรจะต้องประจำการระเบิดกลายเป็นผุยผงไปต่อหน้าต่อตายังคงเป็นภาพฝันร้ายที่หลอกหลอนเธอมาจนถึงตอนนี้ คำพูดของกัปตันวัยชราที่เป็นเหมือนกับคำสั่งเสียสุดท้ายได้บอกกับเธอเอาไว้ว่า “เธอจะยังตายตอนนี้ไม่ได้ อนาคตของมวลมนุษยชาติอยู่ในมือคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอ ไม่ใช่คนแก่อย่างชั้น…..” รองกัปตันสาวทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดของกัปตันชายวัยชราตาของเธอทั้งสองข้างก็รู้สึกหนักอึ้ง ภาพความทรงจำของเรือธงที่ถูกยิงจนเสียหายยับเยิน สะพานเดินเรือได้รับความเสียหายหลังคาของสะพานเดินเรือถล่มลงมาและเกิดรอยรั่วมากมายบนตัวเรือ ใบหน้าของเธอถูกเศษกระจกของหน้าต่างสะพานเดินเรือแทงบาดทะลุจนสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง และก่อนที่เรือจะระเบิดนั้นกัปตันชายวัยชราก็ได้เป็นคนพาเธอหลบหนีไปจากเงื้อมมือของพญามัจจุราชมาได้อย่างหวุดหวิด ความรู้สึกนี้เป็นความข่มขืนที่เธออยากจะลืมลง “อนาคตของมวลมนุษยชาติอย่างนั้นหรือ ?” รองกัปตันสาวรำพึงขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาก่อนที่เธอจะทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างในตอนนี้ดวงตาของเธอเหลือเพียงแค่ข้างเดียว ส่วนอีกข้างหนึ่งนั้นเสียหายไปแล้วจากการรบในคราวก่อน บาดแผลของมันยังเจ็บปวดไม่หายทั้งทางกายและทางใจ เกาะเทียมแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทรแปซิฟิก สิ่งก่อสร้างลอยน้ำเกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์อันประกอบไปด้วยเหล็กและโลหะสังเคราะห์จำนวนหลายแสนตันถูกสร้างขึ้นคล้ายกับเกาะที่ลอยน้ำได้และเคลื่อนที่ได้ขนาดใหญ่อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก สถานที่แห่งนี้เป็นที่ผลิตอาวุธและแหล่งวิจัยอาวุธระดับสูงของกองทัพสหพันธ์โลก ที่มันต้องมาอยู่กลางทะเลและสามารถเคลื่อนที่ได้เพื่อหลบสายตาของชาวดาวอังคารไม่ให้ตรวจพบเจอมันและทำลายมันได้โดยง่าย เครื่องบินโดยสารของกองทัพสหพันธ์โลกที่รองกัปตันสาวนั่งมาทำการลงจอดที่เกาะเทียมแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ หลังจากที่ชาวดาวอังคารโจมตีมนุษย์โลก พวกมันนั้นต้องการทรัพยากรแร่ธาตุ ทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้ำมัน และทรัพยากรน้ำบนโลก พวกมันได้ใช้กำลังเข้ายึดครองโลกไปประมาณ 30% เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ถูกพวกมันยึดครองจนหมด ประเทศจีนถูกมันยึดครองไปครึ่งหนึ่ง และแอฟริกาใต้ก็ถูกพวกมันยึดครองไปเช่นกัน ประเทศที่เหลือในโลกและประชากรของประเทศที่ถูกยึดครองไปแล้วแต่หลบหนีไปที่ประเทศอื่นจึงทำการรวบรวมกำลังกันและเข้าต่อสู้กับชาวดาวอังคารเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กำลังของทัพโลกสามารถจะหยุดยั้งการรุกคืบยึดครองของชาวดาวอังคารลงได้และกลายเป็นสงครามยืดเยื้อมาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปีแล้ว ชาวดาวอังคารไม่สามารถจะยึดพื้นที่ของโลกเพิ่มได้แต่ในขณะเดียวกันชาวโลกก็เสียชีวิตไปนับ 10 ล้านคนในช่วงเวลาที่ผ่านมาจากทางสงครามและความอดอยากหลังจากที่เครื่องบินลงจอดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพสหพันธ์โลกทุกคนก็ลงไปในศูนย์วิจัยซึ่งอยู่ภายในเกาะลอยน้ำแห่งนี้ หัวข้อที่พวกเขาจะมาตรวจสอบในวันนี้ก็คือโครงการสร้างโมบิลสูทรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงมากพอจะใช้ต่อกรกับชาวดาวอังคาร กันดั้ม นั่นเอง “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าชาวดาวอังคารจะมีบางคนที่ไม่เห็นด้วยและทำการช่วยเหลือพวกเรา ด้วยการส่งพิมพ์เขียวของ Gundam มาให้กับเรา เราเชื่อใจพวกเขาได้แค่ไหน ?” เสียงของนายทหารวัยชราชาวเอเชียคนหนึ่งกล่าวขึ้นกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยที่เป็นคนนำทางพวกเขาไปดูผลงานจากพิมพ์เขียวที่ถูกสร้างขึ้น “พวกเราได้ตรวจสอบโครงสร้างทางวิศวกรรมอย่างละเอียดแล้ว พิมพ์เขียวที่พวกเขาส่งมาให้เป็นของจริงแท้แน่นอนครับ หลังจากที่ได้ลองสร้างกับมือพวกผมรับรู้ได้ทันทีว่ามันทรงพลังขนาดไหนอย่างน้อยเราก็สามารถเชื่อใจได้ว่าเทคโนโลยีที่พวกเขามอบให้กับเรานั้นเป็นของจริงครับท่าน” นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำขบวนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพสหพันธ์โลกไปยังโรงเก็บโมบิลสูทรุ่นใหม่กล่าวขึ้นตอบคำถามในระหว่างที่เดินทางไป สีหน้าของเขานั้นดูเบิกบานยินดีเป็นอย่างยิ่ง “จากพิมพ์เขียวที่พวกเขาส่งมาพวกเราสามารถสั่งกันดั้มขึ้นมาได้ทั้งหมดกี่เครื่อง ?” รองกัปตันสาวกล่าวถามด้วยท่าทางที่ดูสนอกสนใจทันทีที่เธอได้รับรู้ว่าพิมพ์เขียวที่ถูกส่งมานั้นเป็นของจริง นั่นแสดงว่าปฏิบัติการนกต่อที่พวกเธอยอมเสียสละไปนั้นคุ้มค่า“Luna Titanium เป็นโลหะหายากที่สามารถจะค้นพบได้บนดวงจันทร์ น่าเสียดายที่ตอนนี้ดวงจันทร์ถูกพวกชาวดาวอังคารยึดครองไปแทบจะหมดแล้ว พวกเราในตอนนี้จึงสามารถที่จะสร้างโมบิลสูทรุ่นใหม่ได้เพียงแค่ชนิดละ 1 เครื่องเท่านั้นครับ” คำกล่าวของนักวิทยาศาสตร์ทำให้รองกัปตันสาวนั้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเธอจึงถามต่อไปว่า “แล้ว Gundam ที่ถูกส่งมามีทั้งหมดกี่ชนิดกันล่ะ” เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ยินคำถามของเธอเขาก็หันกลับมาตอบเธอด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มทันทีว่า “จากที่วิเคราะห์ข้อมูลมันมีอยู่หลายชนิดครับ แต่ที่วิเคราะห์เสร็จแล้วและทำการก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีที่เรามีในตอนนี้ได้ มีทั้งหมด 12 ชนิด ดังนั้นในตอนนี้กองทัพโลกของเรามีกันดั้มอยู่ทั้งหมด 12 เครื่อง เดี๋ยวกระผมจะเป็นคนพาทุกท่านไปชม” หลังจากที่กล่าวมาจนถึงจุดนี้นักวิทยาศาสตร์พาขบวนของนายทหารกองทัพสหพันธ์โลกมาจนถึงประตู Air lock บานหนึ่งซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด นักวิทยาศาสตร์คนนั้นใช้ ID Card ของตนเองสแกนเข้าที่บริเวณช่องด้านหน้าประตูประตูแอร์ล็อคก็ถูกเปิดออกในทันทีพวกเขาทุกคนเดินผ่านประตูบานนั้นเข้าไปด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม เบื้องหลังของประตูบานนั้นคือโรงเก็บโมบิลสูทขนาดใหญ่ยักษ์ที่ภายในมีอุปกรณ์ทันสมัยและเจ้าหน้าที่ช่างวิศวกรรมหลาย 10 คนกำลังทำงานกันอยู่อย่างสับสนอลหม่าน ภายในโรงเก็บที่ 1 มีโมบิลสูทเครื่องใหญ่ที่ดูน่าเกรงขามยืนอยู่ มันดูสวยงาม ทรงพลัง และน่าหลงใหลกว่า GM ของกองทัพสหพันธ์โลกลิบลับ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพสหพันธ์โลกทุกคนขนาดได้เห็นกันดั้มเพียงแค่เครื่องเดียวก็ถึงกับยืนตกตะลึงตาค้างไปตามๆกัน “สุดยอดไปเลย นี่มันอะไรกันเนี่ย ?!”“เนี่ยน่ะเหรอเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของชาวดาวอังคาร !?!” “นี่แหละความหวังใหม่ของมวลมนุษยชาติ !!”“ได้เวลาที่พวกเราจะโจมตีกลับแล้วสินะ !!”เสียงอื้ออึงของเหล่านายทหารที่อุทานออกมาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อได้เห็นโมบิลสูทรุ่นใหม่ที่พวกเขาได้สร้างขึ้น รองกัปตันสาวหลังจากที่ยืนตะลึงในความงดงามและทรงพลังของโมบิลสูทรุ่นใหม่แล้วเธอก็กล่าวถามนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นไกด์นำทางของพวกเธอว่า“เจ้าเครื่องนี้มันมีชื่อว่าอะไรหรือ ?” เธอกล่าวถามไปด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำทางเมื่อได้ยินคำถามนี้เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานก่อนที่จะกล่าวตอบเธอไปด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นว่า“Wing Gundam Zero EW ขอรับกระผม….” ทันทีที่ได้ยินคำตอบร้องกัปตันสาวก็มองไปยังโมบิลสูทที่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า “การเสียสละของพวกฉันไม่สูญเปล่าแล้วสินะ …..คอยดูเถอะเจ้าพวกชาวดาวอังคาร เราจะแสดงพลังของมนุษย์โลกให้พวกแกได้เห็นเอง !!” ….. ภายในโรงเรียนนายเรืออวกาศสาขานักบินโมบิลสูทโรงเรียนนายเรืออวกาศของกองทัพสหพันธ์โลกนี้เป็นแหล่งฝึกฝนนายทหารรุ่นใหม่ที่จะมาเป็นกำลังของกองทัพโลกพวกเขาได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อที่จะให้เป็นนายทหารระดับชั้นหัวกะทิสำหรับต่อกรกับชาวดาวอังคารและปกป้องโลกใบนี้ “เฮ้ย !! พวกนายได้ยินข่าวลือนี้หรือเปล่ากองทัพโลกกำลังสร้างโมบิลสูทรุ่นใหม่อยู่มันเจ๋งไปเลยละ !!” เสียงของนักเรียนหนุ่มสาขานักบินโมบิลสูทกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นกับเพื่อนของเขา “จริงหรอ !! แล้วอย่างพวกเราจะได้มีโอกาสได้ขับมันไหมละเนี่ย ?!?” เสียงของนักเรียนสาขาโมบิลสูทอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับคนแรกกล่าวขึ้นตอบด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นหลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งจับกลุ่มคุยกันเกี่ยวกับหัวข้อของโมบิลสูทรุ่นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม “ได้ยินว่าพวกเขาจะคัดเลือกระดับหัวกะทิจากรุ่นพวกเรา 10 คน ไปเป็นนักบินทดสอบเพื่อเก็บข้อมูลด้วยล่ะ !! คะแนนสอบภาคปฏิบัติในการสอบคราวหน้าต้องเต็มที่กันหน่อยแล้ว !!” เสียงของนักบินฝึกหัดอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง ดูเหมือนว่าข่าวลือเกี่ยวกับโมบิลสูทรุ่นใหม่จะเริ่มดังหนาหูขึ้นมาในเหล่าบรรดานักเรียนของโรงเรียนนายเรืออากาศสาขานักบินโมบิลสูทกันอย่างแพร่หลาย“คอยดูเถอะคราวนี้ถึงตาพวกเราแล้ว ที่จะได้ล้างแค้นเจ้าพวกชาวดาวอังคารที่ย่ำยีพวกเรามานานเสียที !!”.......
EP. 0.5 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 11, 2018 15:28:05 GMT
Episode 0.6 : Goddess of Victory
- สำนักงานใหญ่กองทัพโลก - หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพโลกได้ไปทราบความคืบหน้าของโครงการสร้างโมบิลสูทรุ่นใหม่ที่เกาะเทียมกลางมหาสมุทรแปซิฟิกก็ผ่านมาแล้วเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ในตอนนี้กันดั้มทั้ง 12 เครื่องก็เตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีกันดั้มบางเครื่องที่ระบบอาวุธหรือว่าระบบปฏิบัติการนั้นยังไม่สมบูรณ์พร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์แต่พวกเขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำให้มันสมบูรณ์แบบอีกแล้ว“แนวกันชนที่ยุโรปกำลังแตกพ่ายเพราะว่าพวกเขาไม่มีทรัพยากรและเครื่องจักรสงครามมากเพียงพอ GM Groundtype ในหน่วยของพวกเขาเหลือแค่ 20 เครื่องน่าจะตรึงแนวรบไว้ได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์” ผู้บัญชาการทหารวัยกลางคน คนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดในขณะที่เขาดึงตัวหมากสีแดงซึ่งอยู่บนแผนที่ในบริเวณทวีปยุโรปออกไปด้วยท่าทางที่ดูกดดัน“ถ้าหากว่ายุโรปล่มสลายเราจะเสียโรงงานผลิตโมบิลสูท Mass product กว่า 30% ของเราไปเราจะยอมให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นไม่ได้ !!” เสียงของนายทหารอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยอารมณ์ที่ดูฉุนเฉียวดูเหมือนว่าเขานั้นจะไม่พอใจในภาวะสงครามที่เป็นอยู่ตอนนี้เอาเสียเลย “ก็เพราะว่า Project Gundam เลยทำให้เราต้องใช้ทรัพยากรกว่า 80% ไปกับการพัฒนามัน โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าคนที่ได้รับออกมาจะคุ้มค่าไหม เหมือนเราเอาชีวิตของเราไปแขวนไว้บนเส้นด้ายด้วยมือของเราเองยังไงก็ไม่รู้ นี่มันบ้าบิ่นเกินไป !!” เสียงของนายทหารคนที่สองซึ่งดูเหมือนว่าจะมียศชั้นต่ำกว่านายทหารซึ่งกำลังอารมณ์ฉุนเฉียวกล่าวขึ้นมาเสริมถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ “แต่จากการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์พวกเขายืนยันแล้วว่ากันดั้มมีประสิทธิภาพสูงกว่าโมบิลสูททั้งหมดที่พวกเรามีอยู่ตอนนี้หลายเท่ามันต้องช่วยพลิกสถานการณ์การรบของพวกเราได้แน่ !!” เสียงของผู้บัญชาการทหารอีกคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าเขานั้นจะมีความคิดที่ตรงกันข้ามกับนายทหารซึ่งกำลังฉุนเฉียวนั้นกล่าวขึ้นเพื่อเสริมว่าสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง “เฮอะ !! อาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงมันไม่ใช่เครื่องการันตีได้ว่าสงครามจะชนะ….นักบินล่ะ !! เราต้องการคนที่มีความสามารถมากพอที่จะควบคุมเจ้าปีศาจ 12 ตัวนั่นให้นำชัยชนะมาให้กับเราให้ได้ !! แล้วเรามีคนแบบนั้นด้วยเหรอ ?” เสียงของผู้บังคับบัญชาการทหารที่ฟังดูฉุนเฉียวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเปรียบเปรยแต่ว่าคำกล่าวของเขานั้นกลับทำให้นายทหารอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามแสยะยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกหยิ่งทะนงก่อนที่จะกล่าวว่า “ถ้าพูดถึงนักบินผู้มีความสามารถแล้วล่ะก็…..อย่างน้อยพวกเราก็มีอยู่ในมือแล้วคนนึงแน่นอนตอนนี้หล่อนกำลังไปปฏิบัติภารกิจที่จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าพวกเราไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดอยู่นะ ” …… - ทางสมรภูมิชายแดนทวีปยุโรป - บริเวณเทือกเขาที่สวยงามและป่าต้นโอ๊คแบบเขตอบอุ่น ซึ่งในขณะนี้กำลังเป็นสมรภูมิอันดุเดือดของกองทัพโลกและชาวดาวอังคาร กองกำลังของกองทัพโลกซึ่งประกอบด้วย ทหารเดินเท้า รถถัง ปืนใหญ่พิสัยไกล และโมบิลสูทแบบผลิตจำนวนมาก GM Groundtype กำลังยิงต่อสู้เพื่อตรึงแนวป้องกันไม่ให้กองทัพชาวดาวอังคารบุกรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตได้มากกว่านี้ “วิทยุกับไปที่ฐาน !! ถ้าหากว่าพวกเราไม่ได้กำลังเสริมภายใน 15 นาที แนวป้องกันมิแตกแน่ !!” ผู้บังคับหมู่ของทหารซึ่งกำลังรบอยู่ในแนวหน้าตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังและเคร่งเครียด เพื่อบอกกับทหารสื่อสารของเขาให้ส่งข้อความเร่งด่วนไปยังศูนย์บัญชาการใหญ่ให้ส่งกำลังเสริมมาเนื่องจากว่าในตอนนี้กองทัพชาวดาวอังคารระดมยิงใส่พวกเขาอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง“ผู้หมวด !! ผมส่งข้อความขอกำลังเสริมไปแล้วครับและทางศูนย์บัญชาการใหญ่ก็ส่งข้อความกลับมาแล้วพวกเขาจะส่งกองกำลังเสริมมาภายใน 5 นาที !!” เสียงของพลทหารสื่อสารตอบกลับมาและดูเหมือนว่ามันจะเป็นข่าวดี คำตอบของเขานั้นทำให้ผู้บังคับหมู่ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกปิติยินดี“เยี่ยมไปเลย !! พวกเขาจะส่งอะไรมาให้เรา GM ใช่ไหม ? มากันกี่เครื่อง ?!?” ผู้บังคับหมู่ทหารกล่าวถามถึงกองกำลังเสริมที่จะมาถึงว่าเป็นอะไรและมากันจำนวนเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้นพลทหารสื่อสารก็ทำสีหน้าที่ดูสับสนเล็กน้อยก่อนที่จะต่อผู้บังคับหมู่ทหารกลับไปว่า“กำลังเสริมจะมาแค่เครื่องเดียวครับ !! แต่มันคือกันดั้ม !!” เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นผู้บังคับหมู่ทหารก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งด้วยความสับสน แต่ก่อนที่เขาจะกล่าวอะไรออกมาอีกเสียงของไอพ่น Booster ที่แหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูงก็ดังขึ้นกึกก้องทั่วสนามรบ ฟู้มมมมม !! MS เครื่องหนึ่งบินแหวกอากาศพุ่งตรงมายังบริเวณสนามรบอย่างรวดเร็ว ความเร็วและพละกำลังขับของมันนั้นสร้างความตื่นตกใจให้กับทหารทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมากมันพุ่งตรงมาราวกับสายฟ้าและหยุดลงที่บริเวณด้านหน้าแนวรบเหนือฝั่งของชาวดาวอังคาร“สหายศึกทุกท่าน กำลังเสริมที่พวกท่านรอคอยมาถึงแล้ว ขออภัยที่มาช้า มิซูโกะ มอร์นิ่งสตาร์ Freedom Gundam เริ่มทำการกำจัดเป้าหมาย !!” เสียงของหญิงสาวซึ่งเป็นผู้ควบคุมโมบิลสูทเครื่องนั้นกล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณหลักไปยังทหารฝั่งกองทัพโลก น้ำเสียงของเธอฟังดูราบเรียบและเย็นชาแต่มันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกเกรี้ยวกราดอยู่ในที ทันใดนั้น Freedom ก็หันปืนทุกกระบอกที่ถูกติดตั้งเอาไว้ไปยัง Leo Groundtype ของฝั่งกองทัพชาวดาวอังคารซึ่งเรียงรายกันอยู่ด้านหน้า“Multi Lock-On System เริ่มทำงาน !!” ทันใดนั้นระบบการล็อคเป้าหมายอัตโนมัติแบบหลายเป้าหมายก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอภายใน Cockpit ของ Freedom Gundam ระบบการล็อคเป้าได้ทำการเล็ง Leo ที่อยู่ตรงหน้าทุกเครื่องอย่างแม่นยำ “Full Burst Mode !! ยิง !!!” มิซูโกะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดุดันก่อนที่เธอจะลั่นไกยิงปืนทุกกระบอกซึ่งได้ทำการล็อคเป้าหมายด้วยระบบอัตโนมัติไปแล้วไปทำลายเป้าหมายเบื้องหน้า Leo Groundtype ของทางฝั่งกองทัพชาวดาวอังคารถูกยิงทำลายอย่างต่อเนื่องและเกิดการระเบิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง จนกองทัพของฝั่งชาวดาวอังคารนั้นเสียหายยับเยินและต้องล่าถอยกลับไปยังฐานที่มันทำให้ฝังกองทัพโลกสามารถที่จะตรึงแนวป้องกันเอาไว้ได้อีกครั้งอย่างสวยงาม“มะ….ไม่อยากจะเชื่อเลย แค่ชั่วพริบตา !! ก็สามารถจะทำให้เจ้าพวกนั้นล่าถอยไปได้แล้วงั้นเหรอ ?! สุดยอดไปเลย !!” เสียงของผู้บังคับหมู่ทหารสั่งกองทัพโลกกล่าวขึ้นหลังจากที่ได้เห็นพลังทำลายล้างของ Freedom Gundam เขานั้นแทบจะไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองแต่มันก็เป็นความจริง มิซูโกะหลังจากที่ได้ยิงทำลายข้าศึกอันเป็นเป้าหมายของเธอจนพวกมันล่าถอยไปหมดแล้วเธอก็บังคับ Freedom Gundam บินกลับไปยังศูนย์บัญชาการโดยไร้ซึ่งคำพูดจาใดๆ การกระทำของเธอและพลังทำลายล้างของ Gundam สร้างความทรงจำอันตราตรึงเอาไว้ในหมู่ทหารซึ่งรบอยู่ในแนวหน้ากันทุกคน “ในที่สุดเทพธิดาแห่งชัยชนะ ก็หันมายิ้มให้กับฝ่ายเราแล้วสินะ !!” ………. ภายในโรงเรียนนายเรืออวกาศ ภายในห้องของผู้อำนวยการโรงเรียนที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศกดดัน ผู้อำนวยการโรงเรียนนายเรืออวกาศแห่งนี้เป็นครูฝึกทหารที่ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน เขามีประสบการณ์และความสามารถในการเลือกเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติและเหมาะกับงาน ซึ่งในตอนนี้มีนักเรียนของโรงเรียนนายเรืออวกาศทั้งชายและหญิงจำนวนทั้งหมด 11 คนมายืนอยู่ต่อหน้าเขาภายในห้องแห่งนี้ ทั้งหมดนั้นเป็นนักเรียนที่มีความสามารถระดับหัวกะทิซึ่งได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว “ถึงต่อให้ชั้นไม่พูดว่าเรียกเธอมาทำไม….แต่ความเป็นจริงแล้วชั้นเชื่อว่าพวกเธอคงจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วสินะ จากการทดสอบภายในสนามฝึกและภายในระบบ Simulator พวกเธอคือหัวกระทิของสาขานักบินโมบิลสูทพวกเธอนั้นเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมแล้วและในตอนนี้พวกเธอก็ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปสู่สมรภูมิในฐานะของวีรบุรุษและวีรสตรี...” ผู้อำนวยการโรงเรียนนายเรืออวกาศกล่าวขึ้นกับนักเรียนชายหญิงทั้ง 11 คนที่มายืนอยู่ภายในห้องนี้พวกเขาทุกคนนั้นมีสีหน้าที่เคร่งเครียดและแลดูกดดันแต่ว่าก็เปี่ยมไปด้วยความยินดีในเกียรติยศและโอกาสที่ได้รับ “Project Gundam โมบิลสูทสมรรถนะสูงล้ำทั้งหมด 11 เครื่อง พวกเธอนั้นจะต้องเป็นคนขับมันและนำชัยชนะมาสู่มวลมนุษยชาติ อย่าทำให้พวกเราผิดหวัง จงต่อสู้ให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด และนำศักดิ์ศรีของมวลมนุษยชาติกลับคืนมาให้ได้ ภาระอันยิ่งใหญ่อยู่บนบ่าทั้งสองข้างของพวกเธอแล้ว ชั้นขอให้พวกเธอโชคดี ! เลิกแถวได้ !!” ผู้อำนวยการโรงเรียนนายเรืออวกาศกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูมุ่งมั่นและจริงจังกับนักเรียนทั้ง 11 คนของเขาซึ่งเป็นระดับหัวกะทิและได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักบินของ Gundam หลังจากนี้พวกเราทุกคนจะถูกศูนย์บัญชาการกลางพาตัวไปเพื่อไปประจำการยังโมบิลสูทของตนเองในอีกไม่ช้า Episode 0.6 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 12, 2018 14:13:15 GMT
Episode 0.7 Opposite World
- ดาวอังคาร - เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่มนุษย์กลุ่มแรกมาถึงดาวอังคารแห่งนี้ พวกเขานั้นได้รับภารกิจให้มาทำการฟื้นฟูดาวเคราะห์สีแดงที่หนาวเย็นนี้ให้กลายเป็นบ้านหลังที่สองของมวลมนุษยชาติ แต่หลังจากที่ภารกิจของพวกเขานั้นเริ่มต้นไปได้ไม่ถึงครึ่งผู้คนที่อยู่ที่โลกล้วนคิดว่าภารกิจของเขาเป็นภารกิจที่ไม่สามารถจะทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน ถึงต่อให้สำเร็จก็ไม่คุ้มกับงบประมาณที่จ่ายออกไป ผู้คนที่โลกจึงได้ทำการทอดทิ้งเรามนุษย์ซึ่งถูกนำมาปฏิบัติภารกิจในดาวอังคารอย่างไม่ใยดี จนกระทั่งเวลาผ่านเลยไปนานแสนนาน - พระราชวังมาเซนัส - แต่สิ่งที่ชาวโลกคาดไม่ถึงก็คือเมื่อพวกมนุษย์ที่มาอยู่บนดาวอังคารถูกทอดทิ้งแทนที่พวกเขานั้นจะตายไปอย่างไร้ค่า พวกเขานั้นกลับปรับตัวและใช้ทรัพยากรอันน้อยนิดในการสร้างอาณานิคมของตัวเองและยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา พวกเขามีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่าโลกมนุษย์แทบจะทุกด้านรวมไปถึงอาวุธสงครามมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดาวอังคารนั้นได้สร้างโดมขนาดใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยกระจกเสริมแรงที่สามารถทนได้แม้แต่กระทั่งอุกกาบาตขนาดย่อมๆตกใส่ พวกเขานั้นจึงปลอดภัยจากสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายของดาวอังคารได้อย่างไม่มีปัญหาและพวกเขาก็มีแผนระยะยาวที่จะสร้างก๊าซเรือนกระจกทำให้ดาวอังคารร้อนขึ้นและละลายน้ำแข็งที่อยู่บนดาวดวงนี้ให้มีสภาพคล้ายกับทะเลบนโลกแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกเป็นหมื่นปี ภายในโดมขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวดาวอังคาร มีพระราชวังสไตล์ยุโรปซึ่งถอดแบบมาจากสถาปัตยกรรมบนโลก มันถูกสร้างขึ้นมาจากคอนกรีตดูสวยงามแข็งแรงแต่รูปทรงร่วมสมัยสีขาวทั้งหลัง พระราชวังแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้ซึ่งเป็นดอกไม้พันธุ์เดียวกับที่มนุษย์กลุ่มแรกได้นำเมล็ดพันธุ์มาจากโลกและสามารถจะปลูกขึ้นได้บนดาวอังคาร ในยามนี้มันกำลังออกดอกบานสะพรั่งและส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ“องค์หญิงเพคะ…...” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งฟังดูจริงจังและเข้มแข็งกล่าวเรียก หญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงกลางสวนดอกไม้เพียงลำพัง หญิงสาวที่ถูกเรียกยืนขึ้นท่ามกลางสวนดอกไม้ภายในมือของเธอนั้นมีมงกุฎดอกไม้ซึ่งทำมาจากดอกไม้หลากสีดูสวยงามถือเอาไว้ในมือ เธอเป็นหญิงสาวอายุ 14 ปี ส่วนสูงของเธออยู่ที่ 152 cm โดยประมาณ ผิวของเธอขาวและเรียบเนียนราวกับไข่มุก ดวงตาของเธอกลมโต นัยน์ตาของเธอมีสีฟ้าน้ำทะเลดูสวยงามราวกับอัญมณี Sapphire เธอมีเส้นผมที่ยาวจนถึงกลางหลังปลายผมของเธอนั้นหยักและม้วนเป็นลอนเล็กน้อย เส้นผมของเธอนั้นมีสีเหลืองทองดูสวยและสง่างาม เธอแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีชมพูที่ประดับประดาไปด้วยลูกไม้ เครื่องประดับและสร้อยเงินพร้อมกับสวมมงกุฎเพื่อบ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่งของเธอ“โยฮันน่า มีอะไรอย่างนั้นเหรอคะ ?” เสียงของหญิงสาวซึ่งถูกเรียกว่าองค์หญิงถามขึ้นกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและนุ่มนวล ก่อนที่เธอจะถือมงกุฎซึ่งทำจากดอกไม้เดินเข้าไปหาโยฮันน่าด้วยท่าทางที่ดูสุภาพแต่เป็นกันเอง“องค์หญิงเพคะ อีกไม่นานท่านผู้สำเร็จราชการแทนจะเข้ามาขอเข้าเฝ้าเพื่อรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์บนโลกให้รับทราบน่ะค่ะ องค์หญิงควรจะเตรียมตัว…...” ในขณะที่โยฮันน่ากำลังกล่าวอยู่นั้น องค์หญิงก็เดินเข้าไปประชิดกับเธอพร้อมกับเอื้อมมืออันเรียวบางและดูนุ่มนวลของเธอซึ่งสวมถุงมือสีขาวเอาไว้ และสวมมงกุฎดอกไม้ที่เธอถืออยู่ในมือให้กับโยฮันน่า“เรื่องของสงครามอีกแล้วอย่างนั้นสินะคะ ทราบแล้วค่ะ อีกสักครู่หนึ่งคุณมากัสจะมาพบกับฉันสินะ บอกเขาว่าฉันจะรออยู่ที่สำนักพระราชวัง ฝากด้วยนะคะ” องค์หญิงกล่าวขึ้นกับโยฮันน่า ด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนและนิ่มนวลก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตรท่าทางของเธอนั้นดูเหมือนว่าจะสนิทกับโยฮันน่าอยู่ไม่น้อย หลังจากที่สวมมงกุฎดอกไม้ให้กับโยฮันน่าแล้วองค์หญิงก็มองเข้าไปที่บริเวณผ้าปิดตาซึ่งเป็นบาดแผลที่โยฮันน่าได้รับมาจากสงครามครั้งที่แล้วด้วยสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อย ก่อนที่เธอทำท่ากำลังจะเดินจากไป “รับทราบเพคะองค์หญิง….” โยฮันน่ากล่าวตอบเมื่อรับคำสั่งขององค์หญิงผู้เป็นนาย แต่ว่าก่อนที่องค์หญิงจะเดินจากไปนั้นเธอก็หันกลับมาบอกกับโยฮันน่าด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหยอกล้อว่า “เคยบอกกตั้งหลายครั้งแล้วนะคะ เวลาอยู่ด้วยกันสองคนไม่ต้องเรียกว่าองค์หญิงก็ได้ เรียกว่าลาติฟาห์ ก็ได้นะคะ” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูอ่อนโยนแต่น้ำเสียงของเธอนั้นก็แฝงความรู้สึกที่ดูเหงาและโดดเดี่ยวเอาไว้เล็กๆ ก่อนที่เธอจะเดินจากไปโดยที่โยฮันน่าไม่สามารถจะกล่าวอะไรต่อไปได้อีกเลย เธอได้แต่นำมงกุฎดอกไม้ซึ่งองค์หญิงมอบให้มาถือเอาไว้ในมือด้วยความรู้สึกมากมายที่ก่อตัวขึ้นภายในใจ - สำนักพระราชวังมาเซนัส - สำนักพระราชวังของเชื้อพระวงค์ชาวดาวอังคารนี้เป็นเหมือนกับศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปผสมผสานกับศิลปะแบบบาโรก มันจึงดูคลาสสิคและสวยงามอลังการ แต่ว่าภายในนั้นกับมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและอุปกรณ์สื่อสารล้ำสมัยมากมายที่ถูกปรับแต่งให้เข้ากับศิลปกรรมติดตั้งเอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกด้วย“จากการรายงานของทหารแนวหน้าที่ตรึงกำลังแนวรบอยู่บนโลก พวกเราได้รับข่าวที่ดูเหมือนจะเป็นข่าวร้าย ดูเหมือนว่าภายในกองทัพของเราจะมีเกลือเป็นหนอน !! เจ้าพวกคนทรยศทำการส่งแบบแปลน Gundam ไปให้กับกองทัพโลก เราไม่รู้ว่ากองทัพโลกได้เทคโนโลยีของเราไปมากน้อยขนาดไหน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีกันดั้มอยู่ในครอบครองแล้วจำนวนหนึ่ง กระหม่อมเห็นควรว่าฝ่าบาทควรที่จะต้องตัดสินใจที่จะถอนรากถอนโคนชาวโลกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกมันเสียที !!” เสียงของชายหนุ่มวัย 30 ปีผู้มีร่างกายกำยำล่ำสัน กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูดุดันและจริงจัง เขาสวมชุดผ้าไหมสีขาวหรูหราขลิบลายทองและประดับด้วยเครื่องประดับมีค่าบ่งบอกถึงฐานะทางสังคมที่สูงของเขา รูปร่างของเขานั้นดูน่าเกรงขามส่วนสูงของเขาอยู่ที่ 185 เซนติเมตร เขามีเส้นผมสีเทาแกมม่วงอ่อนที่แข็งกระด้างและเหยียดตรง เขาตัดผมสั้นทำให้ดูกระฉับกระเฉงและแข็งแกร่ง ดวงตาของเขานั้นมีสีเทาที่ฉายแววของความจริงจังและความมุ่งมั่นออกมาได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มคนนี้กำลังกล่าวถึงเรื่องที่กองทัพโลกได้รับแบบแปลนกันดั้มไปจากปฏิบัติการเซราฟิมและได้สร้าง Gundam ขึ้นมาเพื่อตอบโต้การรุกคืบของกองทัพชาวดาวอังคาร “เรื่องนั้นมันจริงรึท่านมากัส !! ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็คงจะเป็นอะไรที่น่าสนุกดีเหมือนกันนะ การต่อสู้ที่เหมือนกับการไล่ฆ่าศัตรูฝ่ายเดียวมันไม่สนุกเอาซะเลย !! ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็การต่อสู้ค่อยมีความหมายขึ้นมาหน่อย” เสียงของชายอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในห้องประชุมนั้นกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนใจ เขาเป็นชายวัย 33 ปีผู้มีเส้นผมสีขาวและไว้หนวดไว้เคราเขาสวมชุดเครื่องแบบทหารของชาวดาวอังคารเอาไว้ถึงมันจะไม่เต็มยศแต่ก็ดูสง่าและทะมัดทะแมง“นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกนะท่านดินอส !! ถ้าหากว่านี่เป็นความจริงนั่นหมายความว่าศัตรูมีกำลังรบใกล้เคียงกับเราแล้ว ความปลอดภัยของทหารและความมั่นคงของเรากำลังตกอยู่ในอันตราย !!” มากัสกล่าวขึ้นโต้ตอบกับชายผู้มีผมสีขาวซึ่งมีนามว่าดินอสด้วยท่าทางที่ดูเคร่งเครียด แต่เหมือนว่าดินอสเมื่อได้ยินคำพูดของมากัสเขาไม่ได้มีท่าทางที่ดูกดดันเลยแม้แต่น้อยแต่กลับหัวเราะออกมาด้วยท่าทางที่ดูเบิกบานใจและตอบว่า “มันก็มีมาตลอดแหละ โมบิลสูทที่ทันสมัยและนักบินที่มากความสามารถ แต่ว่าชั้นนี่แหละจะเป็นคนจัดการพวกมันทั้งหมดเอง !!” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจ ท่าทางของเขานั้นทำให้มากัสนิ่งเงียบไปและไม่กล่าวอะไรตอบออกมาอีก ดูเหมือนว่าเขานั้นจะไม่สงสัยในความสามารถของชายผมขาวที่มีนามว่าดินอสเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าที่พวกเขาทั้งสองคนมาในวันนี้ไม่ได้มาเพื่อถกเถียงกันเพียงลำพังพวกเขาทั้งสองคนนั้นกำลังรอให้บุคคลคนหนึ่งซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องทุกอย่างเกินครึ่งเดินทางมาถึง “องค์หญิงเสด็จมาถึงแล้ว !!” เสียงของทหารยามผู้เฝ้าหน้าประตูสำนักพระราชวังกล่าวขึ้นอย่างจริงจังและเข้มแข็ง ในขณะที่ประตูของห้องประชุมสำนักพระราชวังถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ผู้ที่เดินเข้ามาในห้องประชุมและเป็นที่จับตามองของทุกคนที่อยู่ในห้องก็คือ ลาติฟาห์ พร้อมกับองครักษ์ที่เดินติดตามเธอเข้ามาโยฮันน่า นั่นเอง
Episode 0.7 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 13, 2018 16:45:20 GMT
Episode 0.8 War and Peace ในระหว่างที่มากัสและดินอสกำลังคุยกันถึงหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องความลับของพิมพ์เขียวที่รั่วไหลออกไปยังโลก องค์หญิงลาติฟาห์ก็เดินเข้ามาภายในสำนักพระราชวังพอดี การมาของเธอทำให้ชายหนุ่มทั้งสองยุติการสนทนาลง มากัสและดินอสลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่และคุกเข่าลงทำความเคารพลาติฟาห์ ด้วยท่าทางที่ดูนอบน้อม องค์หญิงลาติฟาห์เมื่อได้เห็นท่าทางของชายหนุ่มทั้งสองเธอก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า
“ทั้ง 2 ท่านลุกขึ้นเถอะค่ะ ฉันยังไม่ได้เป็นราชินี การทำความเคารพแบบนี้มันดูสูงเกียรติเกินไปหน่อยนะคะ” เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนชายหนุ่มทั้งสองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนและกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมด้วยท่าทางที่ดูสุภาพอ่อนน้อม
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องที่ไม่สู้ดีจะมากราบทูลให้ทราบ ดูเหมือนว่าในบรรดาชาวดาวอังคารพวกเราจะมีคนทรยศ ทรชนผู้นั้นได้ส่งแบบแปลนของอาวุธที่มีสมรรถนะสูงที่สุดของพวกเรา Gundam ให้กับชาวโลก และดูเหมือนว่าตอนนี้ชาวโลกก็จะสามารถสร้างกันดั้มขึ้นมาประจำการในกองทัพของพวกเขาได้แล้วความมั่นคงของเรากำลังจะเป็นอันตรายร้ายแรงพะยะค่ะ” มากัสกราบทูลเรื่องที่ชาวโลกได้รับแบบแปลนของกันดั้มไปจากปฏิบัติการเซราฟิมให้กับองค์หญิงลาติฟาห์ได้รับทราบ
องค์หญิงลาติฟาห์เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของเธอก็แสดงความโศกเศร้าและกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งตามปกติแล้วลาติฟาห์จะไม่ค่อยจะแสดงสีหน้ายามโศกเศร้าให้กับผู้อื่นได้เห็นมากนัก การที่เธอแสดงสีหน้าออกมาแบบนี้หมายความว่าภายในใจของเธอนั้นต้องเต็มไปด้วยความกังวลอย่างแน่นอน
“องค์หญิงเพคะ….” โยฮันน่าเมื่อได้เห็นสีหน้าขององค์หญิงเธอก็รู้สึกร้อนรนใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่เธอก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เธอเดินเข้าไปยังเก้าอี้ที่ประทับและเลื่อนมันออกมาเพื่อให้องค์หญิงเข้าไปประทับนั่งด้วยท่าทางที่ดูสุภาพ
ทันทีที่องค์หญิงประทับนั่งเครื่องมือสื่อสารที่ถูกติดตั้งเอาไว้ที่โต๊ะภายในสำนักพระราชวังก็เริ่มทำงาน ตัวฉายภาพไฮโลแกรมที่ติดตั้งอยู่บริเวณโต๊ะก็ฉายภาพดาวโลกที่คุ้นเคยดวงใหญ่ขึ้นมากลางห้องประชุม โดยที่โลกใบสีฟ้าใบนั้นมีพื้นที่บางส่วนที่ถูกถมด้วยสีแดง อันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าพื้นที่ส่วนนั้นของโลกได้ถูกชาวดาวอังคารยึดครองไปแล้วและมีส่วนที่เป็นสีฟ้านั่นก็คือส่วนที่ชาวโลกนั้นยังคงมีเอกราช
“จากสงครามครั้งที่แล้วทำให้กองทัพโลกอ่อนแอลงและเราได้พื้นที่มา 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าถ้าหากเรื่องที่ชาวโลกมีกันดั้มไว้ในครอบครองเป็นเรื่องจริง แผนที่อาณาเขตของเราคงจะไม่นิ่งและมีการปรับเปลี่ยนอย่างแน่นอน” มากัสกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกที่ดูกังวลและกดดัน ก่อนที่เขาจะมองไปยังองค์หญิงลาติฟาห์ด้วยสายตาที่จริงจังก่อนที่จะกล่าวว่า
“กษัตริย์องค์กรดำเนินนโยบายกับโลกโดยการที่ให้พวกเราเข้าไปยึดครองเขาและทำเหมือนกับว่าพวกเขานั้นเป็นประเทศราช (ดินแดนในอารักขา) โดยที่เรายึดครองดินแดนของพวกเขามาส่วนหนึ่ง และใช้ประโยชน์ในดินแดนนั้นในการตักตวงทรัพยากร แต่ว่าพวกเราจะไม่ทำลายล้างพวกเขาจนหมดสิ้นเนื่องจากว่าพวกเขานั้นก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเรา พวกเราอนุญาตให้พวกเขามีผู้นำของเขาเองซึ่งนั่นก็คือรัฐบาลสหประชาชาติ…...แต่ว่า !! ตอนนี้พวกเขานั้นมีกำลังมากพอที่จะแข็งขืนแล้ว !! ถ้าหากว่าเรายังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่แบบนี้พวกเราเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายพินาศ ฝ่าบาทถึงแม้กระหม่อมจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนของอดีตกษัตริย์ แต่อำนาจการตัดสินใจของพวกเราครึ่งหนึ่งอยู่ในมือของฝ่าบาท ได้โปรดเถอะเพื่อความอยู่รอดสถาพรของพวกเราเราต้องทำลายล้างชาวโลกให้สิ้นซากไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว !!” มากัสยื่นข้อเสนอให้ลาติฟาห์ตัดสินใจใช้กองทัพที่มีอยู่ทั้งหมดบดขยี้ชาวโลกและล้างเผ่าพันธุ์ของพวกเขาให้สิ้นซากแต่ใบหน้าของลาติฟาห์ที่แสดงออกมานั้น ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขาเท่าไหร่นัก หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของมากัสเธอก็สงบนิ่งและพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกไปว่า
“ในประวัติศาสตร์สงครามไม่เคยมีความรุนแรงครั้งไหนที่จะจบลงด้วยกำลัง สงครามทุกครั้งจะจบลงที่โต๊ะเจรจาทั้งนั้น เราจะข้ามขั้นตอนการประหัตประหารมิได้หรือคะ ?” คำพูดของลาติฟาห์ทำให้ มากัสสะอึกดูเหมือนว่าความคิดหัวรุนแรงของเขาจะถูกเธอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงแต่ความหวังของมากัสก็ไม่ได้จะมาจบลงตรงนี้
“ก่อนที่จะเข้าสู่โต๊ะเจรจา ก็ต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อกันจนตาสว่างซะก่อนล่ะพะยะค่ะ !! เมื่ออารมณ์ของทั้งสองฝ่ายที่สูญเสียมามากพอแล้วมันจะเย็นลงมากพอที่จะคุยกันได้ ในตอนนี้ชาวโลกคุยกับเราไม่รู้เรื่องแน่ !! แต่ถ้าหากจะต้องสูญเสียจะให้ใครล่ะที่เป็นฝ่ายสูญเสีย เราหรือว่าชาวโลก ? เรื่องนี้ฝ่าบาทเป็นคนกำหนดได้พะยะค่ะ” คำพูดของมากัสฟังดูจริงจังและกดดันราวกับจะเร่งเร้าให้องค์หญิงตัดสินใจ ซึ่งลาติฟาห์ก็รู้ถึงเจตนาของมากัสได้เป็นอย่างดี
“เอาน่าๆ ใจเย็นๆก่อนท่านมากัส จะให้พวกเรานำกองทัพทั้งหมดที่เรามีไปบดขยี้ชาวโลกให้แหลกลงเป็นผุยผงมันก็ออกจะไม่ดูเหาะเหินเกินลงกาไปหน่อยหรือ ? ชาวโลกตอนนี้มีความหวังเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือกันดั้มทั้งหมดที่อยู่ในมือของพวกเขา ถ้าหากว่าเราทำลายมันลงได้ ก็เท่ากับว่าเป็นการทำลายความหวังที่จะตอบโต้เราลงไปด้วยถ้าทำแบบนั้นนอกจากจะไม่ต้องเสียกำลังพลมากแล้ว ยังไม่ต้องเปลืองเวลาไปฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้ยุ่งยากจริงไหมล่ะ ?” ดินอสเสนอแนวคิดที่น่าสนใจขึ้นมา ตอนนี้ความหวังของมวลมนุษยชาตินั้นอยู่ที่กันดั้มทั้ง 12 เครื่องที่เพิ่งสร้างเสร็จ พวกเขาใช้ทรัพยากรไปเกือบจะทั้งหมดที่เขามีในการทำมันขึ้นมาดังนั้นถ้าหากว่ากันดั้มทั้ง 12 เครื่องถูกทำลายลงความหวังของมวลมนุษยชาติก็จะดับวูบลงไปด้วยและความคิดที่จะต่อต้านก็จะมลายหายไปโดยไม่มีข้อแม้
ความคิดของดินอสนั่นฟังดูน่าสนใจอีกทั้งความสูญเสียนั้นยังน้อยกว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบที่มากัสเสนอเป็นในไหนๆ ดูเหมือนว่าองค์หญิงลาติฟาห์ก็จะมีใจเอนเอียงไปทางข้อเสนอของดินอสมากกว่า
“เป็นความคิดที่ค่อนข้างดีนะคะ ฉันไม่อยากที่จะเห็นการนองเลือด การฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่มีทางสู้มันไม่ใช่สงคราม แต่มันเป็นการสังหารหมู่อันน่าเศร้าและน่ารังเกียจ ฉันไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้น ท่านดินอสคุณเป็นทหารกล้าที่มีฝีมือสูงที่สุดเท่าที่ชาวดาวอังคารของเราจะมี ท่านจะทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้ไหมคะ ? ภารกิจที่จะทำลายกันดั้มทั้ง 12 เครื่อง ?” องค์หญิงลาติฟาห์ ดูเหมือนว่าจะเห็นด้วยกับความคิดของดินอสเธอจึงกล่าวถามให้เขาเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจนี้ด้วยตนเองและเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดในภารกิจนี้เช่นกัน
ดินอสนั้นเป็นคนที่ชื่นชอบการต่อสู้และกระหายสงครามเขาคิดว่าผลของสงครามนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจะชี้คำตอบของทุกความขัดแย้งได้ อีกทั้งการที่จะได้ต่อสู้กับศัตรูที่มีฝีมือเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาเขาจึงตอบตกลงคำขอขององค์หญิงแทบจะทันทีที่ได้ยินคำร้อง
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ กระหม่อมรับใช้ราชวงศ์มาตั้งแต่สมัยกษัตริย์องค์ก่อน กระหม่อมขอปฏิญาณด้วยความภักดีว่าจะทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงอย่างแน่นอนพะยะค่ะ !!” ดินอสกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าองค์หญิงลาติฟาห์เป็นอันว่าชาวดาวอังคารเลือกที่จะใช้แผนในการทำลายกันดั้มทั้ง 12 เครื่องในการกำราบชาวโลกที่คิดจะแข็งขืนในคราวนี้ ถึงแม้ว่าการตัดสินใจขององค์หญิงลาติฟาห์ในครั้งนี้จะทำให้มากัสรู้สึกไม่พอใจก็ตาม
- หลังการประชุม -
ที่พระตำหนักส่วนพระองค์ขององค์หญิงลาติฟาห์ ภายในห้องบรรทมขององค์หญิงที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับอย่างหรูหรา หลังจากที่เธอเข้าไปประชุมที่สำนักพระราชวังเสร็จเธอก็ตรงกลับมาที่ห้องบรรทมทันที เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดกระโปรงสีชมพูและสวมมงกุฎรวมทั้งเครื่องประดับอย่างเต็มยศเป็นชุดนอนที่ดูเบาสบายก่อนที่จะล้มตัวลงนอนบนที่บรรทมด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้า
“พระวรกายขององค์หญิงไม่ค่อยแข็งแรงถ้าอย่างไรโปรดถนอมสุขภาพด้วยนะเพคะ” โยฮันน่าที่นั่งอยู่บริเวณข้างเตียงขององค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใย คำกล่าวของเธอนั้นทำให้องค์หญิงลาติฟาห์ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและกล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะฉันแค่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย พักสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น โยฮันน่าขอบคุณมากนะคะที่เป็นห่วงฉันถึงขนาดนี้ ถ้ายังไงตอนนี้ขอให้ฉันได้อยู่คนเดียวสักพักเถอะ” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่ก็เป็นคำสั่งควบคู่ไปด้วย โยฮันน่าเมื่อได้ยินองค์หญิงรับสั่งเช่นนั้นเธอก็ลุกขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับเล็กน้อยและเดินออกจากห้องบรรทมไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย หลังจากที่องค์หญิงอยู่เพียงลำพังภายในห้องบรรทมแล้วเธอก็ก้มหน้าลงกับผ้าห่มผืนหนานุ่มซึ่งคลุมร่างกายท่อนล่างของเธอเอาไว้พร้อมกับกล่าวรำพึงรำพันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูโศกเศร้าว่า
“สงครามครั้งใหม่คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้วสินะคะ เสด็จพ่อ…….”
Episode 0.8 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 14, 2018 5:00:17 GMT
Episode 0.9 Destiny of Sibling
หอพักนักเรียนนายเรืออวกาศ โรงเรียนนายเรืออวกาศของกองทัพโลกนั้นเป็นโรงเรียนประจำ ดังนั้นนักเรียนทุกคนที่เข้ามาศึกษาที่นี่จึงจำเป็นต้องอยู่หอพักของนักเรียนซึ่งทางโรงเรียนได้จัดไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีฐานะสูงส่งหรือว่าปานกลางก็ไม่มีข้อยกเว้น ภายในห้องพักแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของนักเรียนปีสุดท้ายในตอนนี้ผ่านพ้นวันจบการศึกษามาแล้วกว่า 1 สัปดาห์ นักเรียนหลายคนนั้นขนของเพื่อย้ายออกไปจากหอพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีหอพักห้องหนึ่งที่ยังไม่ได้ขนของออกไปภายในห้องนี้เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังค่อยๆทยอยเก็บเสื้อผ้าและสัมภาระของเขาบรรจุลงในหีบห่อเพื่อที่จะขนย้ายออกไปจากห้อง เขาเป็นเด็กหนุ่มวัย 18 ปี ผิวสีขาวรูปร่างหน้าตาดี ส่วนสูงของเขาอยู่ที่ 170 cm เอาไว้ผมสั้นเส้นผมของเขานั้นมีสีน้ำเงินเข้ม เช่นเดียวกับดวงตาของเขาที่เป็นสีเดียวกัน ดวงตาของเขานั้นแม้ในตอนนี้จะเหลือเพียงแค่ข้างเดียวโดยที่อีกข้างหนึ่งนั้นมีผ้าปิดตาสวมใส่เอาไว้ แต่ว่ามันก็ฉายแววของความมุ่งมั่นและเลือดร้อนซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังของวัยรุ่น
ชายหนุ่มนั้นค่อยๆทยอยเก็บของของเขาไปเรื่อยๆจนเกือบจะเสร็จแล้ว เหลือสิ่งของอีกเพียงแค่ไม่กี่ชิ้นที่จะต้องถูกบรรจุลงกล่อง ทันใดนั้นเขาก็เดินไปที่หน้ารูปถ่ายใบหนึ่งซึ่งวางเอาไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือของเขา มันเป็นภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีอายุมากกว่าเขาประมาณ 6-7 ปีกำลังยืนเคียงคู่กับเขาอยู่รูปถ่ายนั้น เด็กหนุ่มภายในภาพยังคงไม่สูญเสียดวงตาและดูเหมือนว่าจะมีอายุภายในรูปถ่ายเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้นแสดงว่ารูปถ่ายนี้น่าจะถ่ายไว้เมื่อ 3 ปีก่อน ใบหน้าของหญิงสาวและเด็กหนุ่มที่อยู่ในภาพนั้นดูสดชื่นร่าเริงและเปี่ยมไปด้วยความสุข ภายในภาพนั้นหญิงสาวได้สวมชุดยูนิฟอร์มของกองทัพโลกเอาไว้แล้ว ที่ด้านหลังของรูปถ่ายใบนั้นมีชื่อของคนสองคนเขียนเอาไว้นั่นก็คือ ‘มิซึโกะ - เฮเลล มอนิ่งสตาร์’ 「พี่ครับ....ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเป็นฝ่ายถูกพี่ปกป้องมาโดยตลอด คราวนี้แหละผมจะ…...」 ชายหนุ่มเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจ แต่ในขนาดนั้นเขาก็พยายามที่จะยับยั้งความคิดนั้นเอาไว้และเก็บรูปใบนั้นลงไปในกล่องสัมภาระของเขาด้วย ก่อนที่เขาจะก้าวเดินออกมาจากห้องซึ่งเคยเป็นที่พักของเขามาหลายปีในระหว่างการเรียนที่โรงเรียนนายเรืออวกาศอย่างไม่หันหลังกลับไปมองเลยแม้แต่น้อย 1 สัปดาห์ก่อน นักเรียนจากโรงเรียนนายเรืออวกาศสาขาการบังคับโมบิลสูททั้งหมด 11 คน ถูกพามายังเกาะเทียมซึ่งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่ที่ใช้ในการสร้างกันดั้มทั้ง 11 ตัวและพัฒนามันให้มีความสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่พวกเขาทั้ง 11 คนนั้นจะต้องเข้ารับการทดสอบในการเป็นนักบินของ Gundam ทั้งหมด 11 เครื่องและดูว่าใครจะเหมาะสมกับกันดั้มตัวไหนมากที่สุด“เฮเลล…...ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” เสียงของรองกัปตันสาวมิซึโกะที่ตอนนี้เธอผันตัวมาเป็นนักบินโมบิลสูทเต็มตัวแล้ว กล่าวขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเธอเห็นหนึ่งในนักเรียนจากโรงเรียนนายเรืออวกาศที่เข้ามายังห้องทดสอบการบิน“พี่มิซึโกะ….ไม่ได้พบกันซะนานเลยนะครับ” ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีน้ำเงินเข้ม นั่นก็คือเฮเลลน้องชายของมิซึโกะนั่นเอง เฮเลลกล่าวทักทายพี่สาวของเขาด้วยท่าทางที่ดูสุภาพ คำว่าไม่ได้พบกันนานนะครับของเขานั้นดูเหมือนว่าจะกล่าวที่ดูเกินจริงไปหน่อย เพราะว่าครั้งสุดท้ายที่น้องชายผู้นี้ได้พบกับพี่สาวก็คือเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อนในตอนที่เธอยังนอนหลับพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล หลังจากเธอรอดชีวิตกลับมาจากปฏิบัติการเซราฟิม ในตอนนั้นเฮเลลผู้เป็นน้องชายไปเยี่ยมเธอแต่ว่าเธอกำลังนอนหลับอยู่เพราะว่าฤทธิ์ยาบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังจากการผ่าตัดดวงตาที่สูญเสียไป เฮเลลจึงได้นำดอกไม้ไปใส่ไว้ในใจกันภายในห้องพักฟื้นของเธอและเดินกลับออกมาโดยไร้คำพูดใดๆ“ตอบฉันมาทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ ?” มิซึโกะถามคำถามเดิมกับน้องชายของเธอด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและดุดัน สีหน้าของเธอตอนนี้นั้นดูเคร่งเครียดมากขึ้นกว่าปกติ ท่าทางของเธอนั้นทำให้เฮเลลผู้เป็นน้องชายเราตอบคำถามของเธอไปแบบกำปั้นทุบดินว่า“ก็ต้องมาทดสอบการเป็นนักบินกันดั้มนะสิครับ พี่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ?” คำตอบของน้องชายนั้นทำให้มิซึโกะ รู้สึกโมโหขึ้นมาพอสมควรเธอจึงกล่าวกับน้องชายของเธอออกไปด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดและจริงจังว่า “สงครามระหว่างโลกกับดาวอังคารไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ไม่ได้เห็นจดหมายที่พี่ส่งไปให้หรือไง ว่าให้นายถอนตัวถึงแม้ว่าจะได้รับการรับเลือกก็ตาม อยากจะไปตายในสนามรบขนาดนั้นเลยหรอ ? หา ?!?” เสียงของเธอกล่าวขึ้นด้วยความโมโหฉุนเฉียว เฮเลลซึ่งเป็นน้องชายนั้นเมื่อได้เห็นท่าทางของเธอเขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเหมือนกันเขาจึงตอบพี่สาวของเขาไปด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังและแฝงไปด้วยอารมณ์โมโหว่า “ชีวิตของผม ผมจะเป็นคนกำหนดเองว่ามันจะเดินไปทางไหน แล้วผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วครับพี่ ยอมรับการตัดสินใจของผมเถอะ !” เฮเลลกล่าวออกไปด้วยท่าทางที่ดูผิดแต่ว่าเขานั้นก็ไม่ได้โมโหฉุนเฉียวเช่นเดียวกับพี่สาวดูเหมือนว่าเขานั้นจะมีความรู้สึกที่ดูรำคาญใจมากกว่าความโมโหในตอนนี้ คำตอบของผู้เป็นน้องชายทำให้มิซึโกะไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขาต่อไปทำให้เธอกระแทกเสียงใส่น้องชายของเธอสั้นๆว่า “อ้อ !! งั้นหรอ !! จะทำอะไรก็ตามใจ !!” เธอตอบเขาไปด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดและหัวเสียเต็มที่ก่อนที่จะเดินจากไปด้วยท่าทางที่ดูหัวฟัดหัวเหวี่ยง เฮเลลได้แต่มองตามหลังพี่สาวของเขาไปด้วยสายตาที่ดูแสงไปด้วยความเศร้าเขานั้นเข้าใจดีว่าพี่เขาไม่อยากจะให้เขาต้องมาเสี่ยงกับอันตรายในสงครามเพราะเขาเป็นครอบครัวเพียงแค่คนเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ แต่ว่าการที่เขาตัดสินใจมาเป็นนักบิน Gundam ไม่ใช่เพราะความสมัครใจเพียงแค่อย่างเดียว เขานั้นอยากที่จะช่วยเหลือเธอให้ออกมาจากวังวนแห่งความแค้นระหว่างชาวโลกและชาวดาวอังคารซึ่งเธอในตอนนี้ถลำลึกลงไปจนถอนตัวไม่ขึ้น “อ่าวๆ เฮเลลคุง ทะเลาะกับพี่สาวอย่างนั้นเหรอ ? แบบนั้นไม่ดีนาาา” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนี้จะเป็นคนรู้จักของเฮเลลอยู่แล้ว เธอเป็นหญิงสาววัย 18 ปี ที่รูปร่างสูงดูสง่างามส่วนสูงของเธออยู่ที่ 175 cm ผิวของเธอนั้นขาวมากเสียจนดูซีดคล้ายกับศพแลดูน่ากลัว เธอไว้ผมสั้นประมาณท้ายทอยแต่ปล่อยผมด้านหน้าให้ยาวกว่าด้านหลังเล็กน้อย เส้นผมของเธอนั้นมีสีแดงโลหิต ดวงตาของเธอนั้นเรียวยาว สีตาของเธอนั้นเป็นสีเหลืองอำพันท่าทางของเธอนั้นดูเป็นคนที่ ค่อนข้างจะระมัดระวังตัวและรอบคอบพอสมควร ทำให้บุคลิกของเธอนั้นค่อนข้างจะดูแปลก แต่ว่าเธอนั้นก็มีอัธยาศัยที่ดีกับคนที่เธอรู้จักและคุ้นเคย“คุณเฟรย์อา ? ไม่มีอะไรหรอกครับผมกับพี่สาวมักจะคุยกันไม่ค่อยถูกคอเท่าไหร่แบบนี้เสมอแหละ ปล่อยไว้สักพักพี่เขาก็จะอารมณ์เย็นลงเอง ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” เฮเลลกล่าวตอบหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีแดงซึ่งมีนามว่าเฟรย์อาไปด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้จะรู้จักกันมาพอสมควรแล้ว โดยที่หญิงสาวผู้มีผมสีแดงนั้นเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเฮเลลภายในโรงเรียนนายเรืออวกาศ“จากที่ฟังดูพี่สาวของนายคงไม่อยากให้นายไปเสี่ยงอันตราย คนเราน่ะความตายคือจุดจบรู้ไหม ? แต่ถ้าหากว่ายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ บางทีอาจจะมีเกิดเรื่องดีๆขึ้นอีกมากมายก็ได้ ดังนั้นพี่สาวของนายถึงไม่อยากให้นายตายยังไงล่ะ เอาเถอะมุมมองของแต่ละคนมันก็แตกต่างกันออกไปล่ะนะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องมาพูดซะด้วยสิ ฮาาา” เฟรย๋อากล่าวขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะและยิ้มแห้งๆคำพูดของเธอนั้นไม่ได้ทำให้เฮเลลรู้สึกดีขึ้นมาเท่าไหร่นักแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่จะไม่มีใครพูดอะไรเลย“พี่น้องสองคนนี้มีชะตากรรมที่จะต้องพัวพันกับสงครามซะจริงนะ จะว่าน่าสงสารดี หรือจะว่าเหมาะสมกันดีนะเนี่ย ? พูดยากจังเลยแฮะ” เสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาดูเหมือนว่าเธอนั้นจะเป็นคนรู้จักของทั้งเฮเลลและเฟรย์อา เธอนั้นเป็นหญิงสาวอายุ 18 ปี และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของทั้งสองคน เธอมีส่วนสูงอยู่ที่ 155 cm รูปร่างของเธอนั้นเล็กและบอบบางจนดูน่าทะนุถนอมเกินกว่าจะเป็นทหารที่เข้าไปต่อสู้ในสนามรบ ผิวของเธอนั้นมีสีขาวไข่มุก ดวงตาของเธอนั้นกลมเรียวเป็นรูปเมล็ดอัลมอนด์ดูโฉบเฉี่ยวและน่าหลงใหล นัยน์ตาของเธอนั้นเป็นสีฟ้าขุ่นราวกับท้องฟ้ายังมีเมฆหมอกในช่วงเช้า เธอไว้ผมสั้นประมาณท้ายทอยเส้นผมของเธอนั้นเป็นสีเงินแกมเทาประกายงดงามดูแปลกตา เธอนั้นเดินเข้ามาหาเฮเลลและเฟรย์อาด้วยท่าทางที่ดูสนิทสนมพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“คุณโรซ่า ไหงเธอก็มาอยู่ที่นี่กับเขาด้วยล่ะ ? คนรักสงบแบบเธอมาขับกันดั้มเนี่ยนะ ดูไม่เหมาะเอาซะเลยนะเนี่ย ?!” เฮเลลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูแปลกใจ ถึงแม้ว่าในตอนที่ถูกเรียกรวมเข้าไปภายในห้องผู้อำนวยการนั้นเขาจะมองเห็นเธออยู่ภายในห้องด้วยก็ตาม แต่ไม่นึกว่าเธอนั้นจะเป็นนักบิน Gundam กับเขาด้วย เฮเลลนึกว่าเธอนั้นถูกเรียกเข้ามาในปฏิบัติการในฐานะของ Operator หรือว่าตำแหน่งอะไรสักอย่างบนยานแม่เสียอีก เนื่องจากว่าบุคลิกของโรซ่านั้นเป็นคนที่รักสงบและอ่อนโยนจนแทบจะไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นทหารได้“เฮเลลคุง !! เสียมารยาทจังเลยนะคะ ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ว่าผลคะแนนภาคปฏิบัติของฉันน่ะติดอันดับ Top Five ของรุ่นเลยนะคะ !!” คำพูดของโรซานั้นเป็นความจริงความสามารถในการขับโมบิลสูทของเธอนั้นสูงเป็นอันดับต้นๆของรุ่นเลยทีเดียว เฮเลลถึงจะมีความรู้ในด้านขีดสมรรถนะของโมบิลสูทมากเป็นเลิศ แต่ด้านการบังคับและใช้ต่อสู้นั้นเขายังจัดว่าเป็นรองโรซ่าอยู่เล็กน้อย ดังนั้นการที่เธอจะได้มาเป็นอย่างไรนักบินกันดั้มซึ่งเป็นอะไรที่ถึงจะดูขัดกับนิสัยแต่ถ้าว่าเรื่องความสามารถแล้วมันไม่น่าแปลกใจอะไรเลย
“เฮ้ พวกแกมัวแต่คุยอะไรกันอยู่ การทดสอบจะเริ่มแล้วนะ !! ไปกันได้แล้ว !!” เสียงของชายหนุ่มวัย 18 ปีอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นกับทั้งสามคนที่กำลังยืนคุยกันว่าการทดสอบกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ชายหนุ่มคนนั้น ก็เป็นหนึ่งในนักบินร่วมรุ่นในโรงเรียนนายเรืออวกาศของเฮเลลเช่นกัน เขามีชื่อว่า คุซาคาเบะ ชินโซ แต่ว่าบุคลิกของชินโซนั้นเป็นอะไรที่เงียบขรึมและเข้าถึงได้ยาก อีกทั้งชินโซนั้นยังเป็นนักเรียนในชั้นพิเศษ ซึ่งมีความสามารถในด้านการบังคับโมบิลสูทที่สูงจนเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ แต่เขาก็มีทักษะทางด้านอื่นๆค่อนข้างที่จะอยู่ในระดับปานกลางไปจนถึงน้อย เขาจึงได้ไปเรียนในชั้นเรียนที่มีแต่พวกคนพิเศษที่ฝึกเฉพาะการรบด้วยโมบิลสูทเท่านั้นซึ่งมีจำนวนเพียงแค่หยิบมือ และมักไม่ค่อยได้เจอกับคนที่เรียนอยู่ในชั้นเรียนปกติ ทำให้เฮเลลไม่ค่อยได้พูดคุยและรู้จักกับเขาเท่าไหร่นัก “จะไปเดี๋ยวนี้แหละชินโซคุง !!” เฮเลลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและรีบร้อนก่อนที่จะรีบเดินตามชินโซไปยังห้องทดสอบ โดยที่ชินโซนั้นเดินนำหน้าเขาเข้าไปด้วยท่าทางที่ดูเฉยเมยและไม่รีรอ ภายในห้องทดสอบ ภายในห้องทดสอบนักบิน Gundam นั้นมีเครื่อง Simulator สำหรับจำลองการบินภายในเครื่อง Gundam อยู่ทั้งหมด 11 เครื่อง รูปร่างของเครื่อง Simulator นั้นเป็นทรงกลมรูปไข่ที่มีฝาเปิด ด้านในนั้นเป็น Cockpit แบบจำลองของ Gundam แต่ละเครื่องซึ่งต่างคนต่างก็ได้หมายเลขของเครื่องทดสอบที่ตรงกับทักษะความสามารถของแต่ละคนที่ได้รับการคัดสรรมาจากฝ่ายทรัพยากรบุคคลเบื้องบน“หมายเลข 1 Wing Gundam Zero ? อย่างนั้นเหรอ ??” เฮเลลมองไปที่บัตรประจำตัวของเขามันมีหมายเลขของเครื่อง Simulator ที่เขาจะต้องเข้าไปทดสอบเขียนติดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เขาเดินไปยังเครื่อง Simulator หมายเลข 1 ซึ่งเป็นเครื่องของเขาก่อนที่จะสั่งให้มันเปิดฝาแล้วลงไปนั่งใน Cockpit ทันที “เริ่มการทดสอบระบบ Simulation Start !!” เฮเลลสั่งการให้เครื่อง Simulator เริ่มทำการรันระบบ ทันใดนั้นฝาครอบด้านบนของเครื่อง Simulator รูปไข่ก็ปิดลงมาหน้าจอของมันจากที่เคยเป็นหน้าจอกระจกสีดำก็เปลี่ยนเป็นภาพที่ฉายในห้วงอวกาศด้วยมุมมองแบบพาโนรามิคที่สามารถมองเห็นได้รอบทิศทางซึ่งเป็นการจำลองเสมือนการขับโมบิลสูทจริงๆ “สุดยอดไปเลย นี่นะเหรอ ? มุมมองของกันดั้ม ?” เฮเลลมองไปยังอวกาศรอบตัวที่ถูกฉายขึ้นมาภายในเครื่อง Simulator คันบังคับและตัวเหยียบคันเร่งของ Booster ถูกวางเอาไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสูงและช่วงจังหวะการเหยียบของเขาได้อย่างพอดิบพอดี เพราะว่าในตัวของเครื่อง Simulator และใน Cockpit ของ Gundam เองนั้นมีระบบที่จะทำการสแกนรูปร่างของผู้ที่ขับขี่มันเพื่อให้ฟังก์ชั่นการควบคุมต่างๆนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม“เริ่มทำการทดสอบได้” เสียงของ Operator ผู้ควบคุมการทดสอบดังขึ้นเพื่อบอกว่าการทดสอบกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วหลังจากที่นักบินทั้ง 11 คนเข้าไปยังเครื่อง Simulator ของตัวเองจนครบถ้วน “มาแล้วสินะ มาเริ่มกันเลย !!” เฮเลลรู้สึกตื่นเต้นมากที่การทดสอบนั้นเริ่มขึ้นเสียทีหลังจากคำสั่งเริ่มการทดสอบดังขึ้นเบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏกองทัพของชาวดาวอังคารที่มีเรือรบจำนวนหลายสิบลำปรากฏขึ้นพร้อมกับโมบิลสูทแบบผลิตจำนวนมากของชาวดาวอังคาร Leo อีกกว่า 50 เครื่องกำลังดาหน้าเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว“มากันเยอะแบบนี้ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ !! Twin buster Rifle !!” เฮเลลโยกคันบังคับด้านหน้าทั้งสองมาประชิดกันเพื่อเข้าโหมด Twin buster Rifle ซึ่งเป็นการสั่งให้ Wing Gundam Zero ใช้ปืน Buster Rifle ทั้งสองกระบอกเร่งไปที่ด้านหน้าพร้อมกันและเร่งพลังงานจนถึงระดับสูงสุด “เอาไปกินซะ !!!” ลำแสงสีเหลืองขนาดใหญ่ถูกยิงออกไปจากปากกระบอกปืน buster Rifle ทั้งสองกระบอก ลำแสงอนุภาคนี้ทำให้เกิดความร้อนสูงกับเป้าหมายที่มันกระทบ ยานแม่และโมบิลสูทแบบผลิตจำนวนมากของชาวดาวอังคารที่อยู่ในรัศมีการยิงได้รับความร้อนจนละลายและเกิดการ overheat จนระเบิดไปเป็นจำนวนมาก ฉากระเบิดเบื้องหน้านั้นเหมือนกับดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ที่ถูกจุดขึ้นในห้วงอวกาศที่มืดมิด“สุดยอดไปเลยนี่น่ะหรือ ? พลังของกันดั้ม !!” เฮเลลแทบจะไม่เชื่อในพลังทำลายล้างซึ่งเขาได้ครอบครองมันสามารถที่จะเป่ายานแม่ 4-5 ลำ และโมบิลสูทแบบผลิตจำนวนมากให้ระเบิดได้นับสิบเครื่องภายในการยิงเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ดูเหมือนว่าพลังทำลายล้างของการยิงเพียงครั้งเดียวนั้นจะยังไม่มากเพียงพอที่จะทำลายกองทัพของชาวดาวอังคารนั้นมีมากมายได้ Leo ซึ่งเป็นโมบิลสูทแบบผลิตจำนวนมากของชาวดาวอังคารที่ยังเหลือรอดพุ่งเข้ามาหา Wing Gundam Zero ในทันที “เข้ามาเลย เข้ามาเลย เข้ามาเลย เข้ามาเลย !!” เฮเลล แยกปืน Buster Rifle ที่ถูกประกบเข้าด้วยกันออกมาเป็น 2 กระบอกและถือเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง พร้อมกับขับ Wing Gundam Zero พุ่งทะยานเข้าไปหาศัตรูเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกเดือดพล่านและเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ “ร่วงไปซะ !!” เขายิงปืน Buster Rifle ที่อยู่ในมือทั้งสองข้างออกไปอย่างรวดเร็วลำแสงนั้นเล็กกว่าเมื่ออยู่ในโหมดแบบกระบอกเดียวแต่ถึงแม้ลำแสงนั้นจะมีพลังทำลายล้างเทียบเท่ากับตอนอยู่ในโหมด Twin buster Rifle ไม่ได้แต่มันก็เพียงพอที่จะทำลายโมบิลสูทแบบผลิตจำนวนมากของชาวดาวอังคารได้ในการยิงเพียงแค่ครั้งเดียวซึ่ม !! ซึ่ม !! ซึ่ม !! ซึ่ม !! ซึ่ม !! ลำแสงสีเหลืองจำนวนหลายเส้นพุ่งไปในอวกาศที่มืดมิดและเข้าไปทำลายโมบิลสูทแบบผลิตจำนวนมากของชาวดาวอังคารให้ระเบิดไปทีละเครื่องอย่างรวดเร็ว เฮเลลนั้นมัวแต่สนใจอยู่กับการยิงทำลายศัตรูที่อยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าบริเวณหน้าจอพาโนรามิคที่อยู่ในค็อกพิทนั้นได้เริ่มทำการเปิดระบบสนับสนุนนักบินโดยที่เขาไม่รู้ตัว “Pilot Analyzer On.....”“Pilot Support System Confirm”“Zero System Activated !!”
ทันใดนั้นภาพที่อยู่ภายใน Cockpit ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปการเคลื่อนไหวของศัตรูที่เห็นนั้นดูช้าลงและการตอบสนองของเฮเลลก็ดูฉับไวขึ้นอย่างมาก จนบางครั้งเขานั้นแทบจะมองเห็นลูกกระสุนที่ถูกยิงออกมาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าได้อย่างชัดเจน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?” เฮเลลอุทานออกมาด้วยความตกใจแต่ในทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในระบบความคิดของเขา และมันก็มาพร้อมกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส “อ๊าคคคคคคคคค !!” เสียงกรีดร้องของเฮเลลดังขึ้นมาจากในเครื่อง Simulator ของการทดสอบนั้นเขาได้ทำการยิงศัตรูทุกเครื่องรวมทั้งยานแม่ทุกลำตกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าตัวเขาที่อยู่ในเครื่อง Simulator นั้นกับบังคับให้ Wing Gundam Zero ทำการยิงปืน Buster Rifle ออกไปในอวกาศที่ว่างเปล่า สีหน้าท่าทางของเขาภายในเครื่อง Simulator ราวกับกำลังเห็นศัตรูจำนวนมากรายล้อมเขาอยู่ทั้งๆที่มันไม่มีตัวตน “รีบปิดระบบเร็วเข้า !!” เจ้าหน้าที่โอเปอเรเตอร์สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคทำการปิดเครื่อง Simulator หมายเลข 1 ที่เฮเลลทำการทดสอบอยู่ พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่พยาบาลลากตัวเขาออกมาจากเครื่อง Simulator ทันทีที่เขาออกมาจากเครื่องนั้นได้เขาก็อาเจียนออกมาอย่างรุนแรงและถูกพาส่งตัวเข้าไปในห้องพยาบาลในสภาพที่สลบไป “โดนไปอีกคนแล้วหรอเนี่ย ? ยังไงก็คงจะไม่มีใครขับมันได้จริงๆสินะ เจ้ากันดั้มเครื่องนี้…...” เจ้าหน้าที่ Operator กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูเหมือนกับว่าเขานั้นเจอเหตุการณ์อย่างที่เกิดขึ้นนี้มาบ่อยครั้งแล้ว แต่ว่าทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคหลายคนเข้าไปดูผลการทดสอบภายในเครื่อง Simulator ที่เฮเลลได้ทำไว้“Zero System Control 78% !! นี่มันสูงเอาเรื่องเลยนะเนี่ย ไม่เลวนี่หว่าเจ้าหนูนั่น” เจ้าหน้าที่ Operatorได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคคุยกันถึงค่าที่แสดงออกมาบนหน้าจอภายใน Cockpit เฮเลลนั้นสามารถที่จะควบคุม Zero System ไปได้ถึง 78 เปอร์เซ็นต์ก่อนที่จะเกิดอาการคุ้มคลั่งซึ่งนี่เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเท่าที่เคยทดสอบมาขนาดนักบินระดับหัวกะทิของกองทัพ ยังสามารถควบคุมระบบนี้ได้ยังไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์เลยด้วยซ้ำ “ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ใช้งานได้แน่ !! ติดต่อเบื้องบนให้ทำการล็อคลิมิเตอร์ของ Zero System เอาไว้ที่ 75 เปอร์เซ็นต์ Wing Gundam Zero พร้อมที่จะใช้งานแล้วล่ะ” หัวหน้าของเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างเทคนิคกล่าวขึ้นมาด้วยความยินดีพร้อมกับส่งรายงานเกี่ยวกับการทดสอบของเฮเลลให้กับนักวิทยาศาสตร์เพื่อไปรายงานเบื้องบนให้เขาทำการปรับแต่ง Wing Gundam Zero อีกเล็กน้อยเพื่อให้สามารถใช้งานได้จริง เท่านี้กันดั้มทั้งหมด 12 เครื่องของกองทัพโลกก็พร้อมที่จะปฏิบัติการแล้ว ……Episode 0.9 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 15, 2018 16:22:12 GMT
Episode 1 Silence Before Storm
5 วันก่อน หลังจากที่การประชุมภายในราชสำนักของชาวดาวอังคารจบลงดินอสผู้เป็นนักบินที่มีฝีมือเยี่ยมยอดที่สุดของชาวดาวอังคาร ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปทำลายกันดั้มทั้ง 12 เรื่องที่ชาวโลกนั้นสร้างขึ้นมา โดยภารกิจของเขานั้นจะเป็นภารกิจจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ และทำการทำลายอาวุธของข้าศึกแบบฉับพลันซึ่งนี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่ใช้ได้ผลดีในสถานการณ์แบบนี้ ท่าจอดยานรบของกองทัพอวกาศชาวดาวอังคาร องค์หญิงลาติฟาห์ มากัส โยฮันน่า มารวมตัวกันที่ท่าจอดยานเนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันที่ดินอสจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจจู่โจมและทำลายกันดั้มทั้ง 12 เครื่อง ในฐานะของผู้สืบทอดผู้ปกครองสูงสุดอย่างองค์หญิงลาติฟาห์การมาให้กำลังใจกับขุนศึกคนสำคัญที่กำลังจะไปออกรบนั้นถือว่าเป็นภารกิจหนึ่งของเธอ แต่ในฐานะของความใกล้ชิดส่วนตัวแล้วดินอสนั้นจัดว่าเป็นพระสหายของกษัตริย์องค์กรซึ่งก็คือบิดาของเธอ ดินอสจึงมีความใกล้ชิดกับเธอในลักษณะของอากับหลานก็ว่าได้
“ท่านดินอสขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัยและนำชัยชนะกลับมาให้กับพวกเรา ฉันขออวยพรให้เทพธิดาแห่งชัยชนะอยู่เคียงข้างท่านนะคะ” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและเป็นงานเป็นการ แต่น้ำเสียงของเธอนั้นก็ยังคงนุ่มนวลและอ่อนโยนเหมือนดั่งเช่นยามเจรจาปกติ“วางพระทัยเถอะพะยะค่ะ แค่ Gundam ที่ชาวโลกสร้างขึ้นไม่คณามือของกระหม่อมหรอก องค์หญิงเตรียมรับฟังข่าวดีที่จะมาถึงในไม่ช้านี้เอาไว้ได้เลยพะยะค่ะ” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสุภาพในขณะที่เขากำลังนั่งยันเข่าเพื่อถวายความเคารพระหว่างการเจรจากับองค์หญิงลาติฟาห์ การพูดคุยของทั้งสองคนนี้ถูกถ่ายทอดสดไปทั่วอาณานิคมของชาวดาวอังคาร ดินอสนั้นเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการรบสูงและชาวดาวอังคารหลายกลุ่มก็ยกย่องเขาประดุจดั่ง “เทพสงคราม”“ท่านดินอส ข้าเองก็อยากจะออกไปร่วมรบกับท่านด้วยอยู่หรอก แต่ว่าภารกิจในการบริหารบ้านเมืองเป็นภาระที่เหนี่ยวรั้งข้าไว้ ยังไงก็ขอฝากท่านก็ช่วยสั่งสอนชาวโลกที่แสนโง่งมนั่นในส่วนของข้าด้วยก็แล้วกัน ขอให้ท่านโชคดี” มากัสกล่าวขึ้นกับดินอสด้วยท่าทางที่ดูเข้มแข็ง จริงจังและจริงใจ เขากับดินอสนั้นเป็นสหายเก่าที่เรียนมาในโรงเรียนนายเรืออวกาศของชาวดาวอังคารด้วยกันและสนิทกันมาก เพียงแต่ว่า มากัสนั่นมีความฉลาด มีหัวในการวางแผน และยังเป็นนักปกครองที่ยอดเยี่ยม เขาจึงเลือกมาในสายงานราชการบ้านเมือง ตรงข้ามกับดินอสที่สนใจในเทคนิคการรบและการบังคับโมบิลสูททำให้เขานั้นกลายเป็นนักบินโมบิลสูทที่แข็งแกร่งจนเป็นตำนาน “ไม่ต้องกังวลไปหรอกท่านมากัส องค์หญิงลาติฟาห์ถึงกับให้ใช้เรือยานพระที่นั่ง นาเดชิโกะ ซึ่งเป็นยานรบที่มีสมรรถนะสูงที่สุดของพวกเรามาให้กับข้าพเจ้าได้ใช้ในการปฏิบัติภารกิจ การรบครั้งนี้จะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน !!” ดินอสกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจในขณะที่เขาหันหลังกลับไปมองยานรบซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ที่ด้านหลังของเขา
นาเดชิโกะ คือชั้นของยานรบที่มีสมรรถนะสูงที่สุดของชาวดาวอังคารที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการสร้างมันขึ้นมา มันเป็นยานรบประจำตัวของเชื้อพระวงศ์ชาวดาวอังคาร นาเดชิโกะนั้นติดตั้งอาวุธร้ายแรงหลายอย่าง มีระบบขับเคลื่อนที่ทันสมัย และเกราะป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างดีเยี่ยม มันสามารถที่จะจมเรือรบของกองทัพโลกได้นับร้อยโดยมีเพียงแค่ตัวมันเพียงลำเดียว การที่องค์หญิงลาติฟาห์ได้มอบหมายให้ดินอสใช้ยานลำนี้ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อตอกย้ำความแน่นอนว่าภารกิจของเขานั้นจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หลังจากที่พิธีการเจรจาก่อนออกศึกซึ่งต้องถ่ายทอดสดไปให้กับชาวดาวอังคารในอาณานิคมทั้งหมดได้รับชมโดยทั่วกัน เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจของประชาชนจบลงแล้ว ดินอสก็เดินขึ้นไปนั่งประจำที่ภายในสะพานเดินเรือของนาเดชิโกะ หลังจากนั้นยานนาเดซิโกะก็ออกตัวจากท่าจอดยานและเข้าสู่โหมด Hyper Space เพื่อมุ่งหน้าสู่โลกทันที “ท่านดินอสจะปลอดภัยกลับมาไหมเนี่ย โยฮันน่าเธอคิดว่าอย่างไร ?” องค์หญิงลาติฟาห์กล่าวถามขึ้นกับโยฮันน่าด้วยท่าทางที่ดูเป็นกังวล แต่ว่าโยฮันน่าไม่ได้ตอบอะไรกลับแก่องค์หญิงเลยแม้แต่คำเดียว เธอนั้นรู้ในใจอยู่แล้วว่าภายในสงครามนั้นผลการรบเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ ถึงแม้ว่าอาวุธยุทโธปกรณ์จะเหนือกว่าหรือว่ามีความสามารถมากกว่าสักเพียงใด แต่ว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในสนามรบได้เสมอการวางใจ 100% จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เกาะเทียมกลางมหาสมุทรแปซิฟิก หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านเลยไป จนกระทั่งถึงวันที่นักบินทั้ง 11 คนก็ได้เข้ามาทำการทดสอบการขับขี่กันดั้มที่บนเกาะเทียมกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งดูเหมือนว่าแต่ละคนนั้นก็จะมีความเข้ากันได้กับโมบิลสูทที่เขาได้รับเลือกมากน้อยต่างกันไป เฮเลลที่สลบไปจากผลของการได้รับผลกระทบจาก Zero System เขานั้นกำลังนอนพักฟื้นอยู่ที่ห้องพยาบาลภายในเกาะเทียมแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องพยาบาลแต่ที่นี่ก็มีอุปกรณ์การแพทย์ที่ครบครัน หลังจากที่สลบไปประมาณ 1 ชั่วโมงเฮเลลก็รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งในตอนนี้เขาอยู่บนเตียงในห้องพยาบาลพร้อมกับอุปกรณ์ทางการแพทย์หลายอย่างและสายเครื่องมือวัดคลื่นสมองที่ติดอยู่กับศีรษะของเขา “อ้าวฟื้นแล้วเหรอ ? ดูเหมือนว่าสมองของเธอจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เสียงของคุณหมอประจำห้องพยาบาลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบหลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปโดยไร้คำพูดจาใดๆ แปลว่าในห้องพยาบาลที่เฮเลลนอนพักฟื้นอยู่นั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินสวนเข้ามาในระหว่างที่คุณหมอนะเดินออกไปเธอคนนั้นก็คือมิซึโกะนั่นเอง“พี่ครับ….” เฮเลลกล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบาทันทีที่เห็นมิซึโกะเดินเข้ามา เขานั้นหลบสายตาไม่กล้าสบตากับเธอตรงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเขานั้นสลบไปในการทดสอบ เขากลัวว่าเธอจะตำหนิเขาว่าไร้ความสามารถและไม่สามารถขับกันดั้มได้แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขานั้นคิดอยู่จะเป็นสิ่งที่ผิด มิซึโกะเดินมาที่ข้างเตียงของเฮเลลด้วยสีหน้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใยที่ปลายหางตาของเธอมีหยาดน้ำตาเล็กๆปรากฏขึ้น“เฮเลล ดีใจจังที่นายไม่เป็นอะไร…..ดีจริงๆ” มิซึโกะกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูยินดีพร้อมกับเข้าไปสวมกอดเฮเลลพี่กำลังนั่งอยู่บนเตียงพยาบาล“พี่ครับ...” เฮเลลไร้คำพูดใดๆจะกล่าวกับมิซึโกะแต่ว่าความอบอุ่นที่เกิดขึ้นมาในหัวใจของเขานั้นเป็นสิ่งที่เขาสามารถสัมผัสได้แต่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ มิซึโกะเมื่อเห็นว่าน้องชายของเธอนั้นปลอดภัยดีเธอจึงถอยหลังออกมาก่อนที่เธอจะปรับอารมณ์ของเธอให้ดูจริงจังขึ้นและกล่าวว่า “เฮเลลพี่จะขอพูดอีกครั้งนะ นายอย่ามาเป็นนักบินกันดั้มเลย สงครามมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริงๆนะฉันยังไม่อยากให้นายออกไปตายในสนามรบ….” มิซึโกะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังพร้อมกับช่องไปยังเฮเลลที่นอนอยู่บนเตียงพยาบาลด้วยท่าทางที่ดูขึงขังและเอาจริงเอาจัง “ผมเองก็ไม่อยากจะให้พี่ต้องออกไปต่อสู้ในสงครามเหมือนกัน ผมจะไม่เป็นนักบินกันดั้มก็ได้นะถ้าหากว่าพี่ยอมที่จะเลิกเป็นเหมือนกันกับที่บอกให้ผมเลิกเป็น” เฮเลลกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับว่าเขานั้นกำลังยำเกรงในตัวของมิซึโกะอยู่แต่ว่าในน้ำเสียงนั้นก็ฟังดูจริงจังมากทีเดียว มิซึโกะไม่ได้ยินน้องชายของเธอพูดเช่นนั้นเธอก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบว่า “พ่อกับแม่ของพวกเราต้องตายเพราะว่าพวกมัน เพื่อนของคุณพ่อก็ต้องตายเพราะพวกมัน ดวงตาของพี่ข้างนี้ก็สูญเสียไปเพราะพวกมัน พวกมันแย่งชิงอะไรจากพี่มากเกินไป มันมากเกินกว่าที่จะทำให้พี่ลืมความแค้นที่เกิดขึ้นได้ขอโทษนะเฮเลลแต่ว่าพี่คงจะล้มเลิกความคิดที่จะเข้าร่วมสงครามไม่ได้” มิซึโกะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและน้ำเสียงของเธอนั้นก็แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและขมขื่นอย่างท่วมท้น คำพูดของเธอนั้นทำให้เฮเลลไม่สามารถจะกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีกเขาได้แต่เพียงพูดออกไปสั้นๆว่า “ใช่ไหมล่ะ ถ้าพี่รู้สึกแบบนั้นผมก็ต้องรู้สึกเหมือนกันแหละ ผมไม่ล้มเลิกความตั้งใจหรอก…..” เมื่อมิซึโกะเห็นว่าเธอนั้นไม่สามารถที่จะโน้มน้าวให้น้องชายเลิกเป็นนักบินกันดั้มได้สำเร็จเธอก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆก่อนที่จะกล่าวกับน้องชายของเธอว่า “เข้าใจแล้วล่ะถ้าอย่างนั้นจะทำอะไรก็ตามใจเถอะ แต่ไม่ว่ายังไงห้ามตายเด็ดขาดนะเฮเลล….” เธอกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและในน้ำเสียงของเธอนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกห่วงใยก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องพยาบาลไปโดยไม่กล่าวคำลา หลังจากที่มิซึโกะเดินออกจากห้องพยาบาลไปแล้วคุณหมอของห้องพยาบาลก็เดินเข้ามาอีกครั้ง ในคราวนี้เขาหยิบใบข้อมูลทางการแพทย์ขึ้นมาให้กับเฮเลลได้ดู ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ผลกระทบจาก Zero System แต่ดูเหมือนว่าดวงตาข้างขวาของเฮเลลนั้นจะมีความปกติอะไรบางอย่างมาตั้งนานแล้ว กระจกตาของเขานั้นเสื่อมและเส้นประสาทที่เกี่ยวเนื่องกับดวงตาข้างนั้นกำลังเสื่อมโทรมลง มันคงจะไม่สามารถใช้มองเห็นแบบคนปกติได้ในเร็วๆนี้“ดวงตาของผมกำลังจะบอดข้างนึงอย่างนั้นหรอครับหมอ ?” เฮเลลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูแปลกใจแต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรมากเท่าไหร่นักหลังจากที่ได้ยินดังนั้นคุณหมอก็พยักหน้าพร้อมกับยื่นเอกสารให้เขาดูมันเป็นเอกสารของเครื่องมือ CT Scan ซึ่งใช้ในการตรวจหาความผิดปกติของร่างกายทุกส่วนเฮเลลนั้นได้รับการวินิจฉัยจากเครื่องนี้หลังจากที่เขาออกมาจากเครื่อง Simulator “ไม่มีทางแก้ไขอะไรเลยหรือครับคุณหมอ” เฮเลลกล่าวถามคุณหมอต่อไปอีกคุณหมอเมื่อได้ยินคำถามของคนไข้ดังนั้นเขาก็ตอบขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูราบเรียบว่า“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางหรอกถ้าใช้เทคโนโลยีนาโนแมชชีนฟังเครื่องจักรขนาดเล็กเข้าไปในดวงตาของเธอและให้มันทำหน้าที่แทนเส้นประสาทและใส่กระจกตาเทียมดวงตาของเธอข้างนี้ก็คงจะมองเห็นได้แบบคนปกตินั่นแหละถึงมันจะไม่ดีเท่ากับของที่ธรรมชาติสร้างขึ้นก็เถอะนะ” คุณหมออธิบายถึงวิธีรักษาที่อยู่จะเป็นไปได้มากที่สุดให้กับเฮเลลได้ฟัง ในวินาทีนั้นเฮเลลฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขาน่าจะเปลี่ยนวิกฤตในการสูญเสียดวงตาข้างนี้ให้เป็นโอกาส “ถ้าหากว่าจะใส่นาโนแมชชีนเข้าไปในลูกตาดวงนี้ ผมสามารถจะใส่นาโนแมชชีนแบบพิเศษให้มันสามารถจะคำนวณอะไรบางอย่างจากสิ่งที่ดวงตาดวงนี้มองเห็นก่อนที่จะส่งสู่สมองของผมได้ไหมครับ ?” เฮเลลกำลังคิดจะใช้นาโนแมชชีนที่ใส่เข้าไปในดวงตาดวงนี้ ให้มีความสามารถในการมองที่เท่าทันกับความรวดเร็วในการส่งข้อมูลมายังประสาทการมองเห็นของระบบ Zero System ถ้าหากว่าเป็นดวงตาของคนทั่วไปจะไม่สามารถตามเร็วในการส่งข้อมูลของ Zero System ได้ทัน นั่นจึงน่าจะเป็นสาเหตุทำให้ประสาทตาทำงานอย่างหนักจนเกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง แต่ถ้าหากว่าเป็นเครื่องจักรที่อยู่ภายในดวงตาทำหน้าที่คำนวณข้อมูลก่อนส่งสู่สมองบางทีอาจจะสามารถตามความเร็วของระบบได้ทันก็เป็นได้“สิ่งที่เธอพูดก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เอาละถ้าอย่างนั้นฉันขอไปปรึกษากับวิศวกรนาโนแมชชีนดูก่อนก็แล้วกันคาดว่าจะให้คำตอบได้ตอนช่วงเย็นของวันนี้” คุณหมอรับคำที่จะใส่นาโนแมชชีนที่สามารถช่วยคำนวณและประมวลผลของซีโร่ System เข้าไปในดวงตาข้างขวาของเฮเลล แต่เขาจะสามารถทำได้หลังจากได้รับการยืนยันจากวิศวกรนาโนแมชชีนเสียก่อน เขาจึงนำเอกสารทั้งหมดเดินออกจากห้องพยาบาลไปโดยไม่รีรอภายในวันนั้นนักบินโมบิลสูททั้งหมด 11 คนได้ทำการทดสอบสมรรถนะทางร่างกายหลายอย่าง เฮเลลก็เข้ารับการทดสอบนี้ด้วยจนกระทั่งถึงเวลาเย็นคุณหมอได้กลับมาพร้อมกับข่าวดีเนื่องจากว่าความคิดที่เฮเลลนั้นเสมอสามารถที่จะทำได้จริง เฮเลลจึงเข้ารับการผ่าตัดและใส่นาโนแมชชีนเข้าไปในดวงตาข้างขวาของเขา แต่ว่าเขานั้นจะต้องปิดตาข้างขวาเอาไว้ด้วยผ้าปิดตาตลอดเวลา เพราะถ้าหาว่าเขาเปิดผ้าปิดตาจะเป็นการกระตุ้นให้นาโนแมชชีนทำการคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นเบื้องหน้า เขานั้นจะเปิดดวงตาได้ก็ต่อเมื่ออยู่ใน Wing Gundam Zero ในขณะที่เปิดระบบ Zero System เท่านั้น ช่วงค่ำของวันทดสอบ การทดสอบสมรรถนะร่างกายของนักบินนั้นผ่านพ้นไปหมดแล้ว ชินโซดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่สามารถทนแรง G ภายในโมบิลสูทได้มากที่สุด เขานั้นมีร่างกายที่สามารถจะทนต่อแรงกดดันได้เป็นอย่างดีกันดั้มที่เขาได้รับก็คือ MBF-P05LM2 Gundam Astray Mirage Frame 3nd
เฟรย์อาถึงแม้ว่าเธอจะมีความสามารถในการบังคับโมบิลสูทที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับเหล่าบรรดาหัวกะทิที่มาที่นี่แต่ว่าเธอมีความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ที่ใช้ในการโจมตีระยะไกลได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งเธอยังมีความรู้ทางด้านเครื่องยนต์กลไกอยู่ในระดับสูงกันดั้มที่เธอได้รับก็คือ MSN-001X Gundam Delta Kai ซึ่งเป็นโมบิลสูทที่มีความเร็วสูงและยังมีอาวุธระยะไกลประเภทอุปกรณ์รีโมทที่ใช้ในการโจมตีศัตรูได้ด้วย
โรซ่าเธอเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจอ่อนโยน จิตใจของเธอนั้นยังเข้มแข็ง มีสติและไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าซึ่งเกิดขึ้นจากภาวะของสงครามรอบด้าน จึงทำให้เธอแม้จะอยู่ในสนามรบที่สับสนวุ่นวาย เธอก็ยังเป็นคนที่ยังคงความใจเย็นอยู่ได้ เธอนั้นสามารถที่จะทนต่อระบบไซโคเฟรมที่ถูกติดตั้งอยู่ใน RX-0 Unicorn Gundam ของเธอได้เป็นอย่างดี
ส่วนนักบินคนอื่นๆนั้นหลังจากที่ได้รับการทดสอบเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วก็ตรงไปยังโมบิลสูทของตนเองและขึ้นไปนั่งที่ Cockpit ของจริงพร้อมทั้งทำการปรับแต่งระบบต่างๆให้เข้ากับสไตล์การต่อสู้ที่ตัวเองได้รับการฝึกฝนมา
เฮเลลหลังจากที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปที่ห้องพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับทำการผ่าตัดและฝังนาโนแมชชีนเข้าไปยังดวงตาข้างขวาของเขา หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคมาบอกกับเขาเกี่ยวกับลิมิตอร์ที่ถูกติดตั้งเอาไว้ในตัวของ Wing Gundam Zero เพื่อให้ Zero System ทำงานเพียงแค่ 75 เปอร์เซ็นต์แก่เขา เฮเลลนั้นรับรู้และคิดในใจว่าสักวันหนึ่งเขาจะสามารถทำลายลิมิต 75% นี้ของเขาไปให้ได้แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในใจของเขาเท่านั้น ภายในค่ำคืนวันนั้น หลังจากที่ทำการทดสอบสมรรถนะและทำการปรับแต่งโมบิลสูทจนเข้ากับสไตล์การต่อสู้ของแต่ละคนเป็นที่เรียบร้อยแล้วนักบินกันดั้มทั้ง 11 คนรวมทั้งมิซึโกะด้วยก็ต้องพักผ่อนอยู่ภายในเกาะเทียมแห่งนี้ เพราะว่าเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นการปฏิบัติการโจมตีกลับชาวดาวอังคารด้วย Gundam จะเริ่มต้นขึ้นอย่างเต็มรูปแบบทันที ดังนั้นทุกคนจึงต้องใช้เวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดนี้ เตรียมทั้งสภาพร่างกายและจิตใจให้พร้อมก่อนที่จะถึงเวลานั้น พวกเขาพักผ่อนทานอาหารอยู่ภายในโรงอาหารของเกาะเทียมแห่งนี้ด้วยท่าทางที่ดูผ่อนคลายโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาที่เสียบคอมเรากับสัตว์ร้ายคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมายังเกาะแห่งนี้ บนท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกไม่ไกลจากเกาะเทียม “ที่นั่นน่ะหรอสถานที่ที่พวกชาวโลกใช้สร้างและซ่อนกันดั้มเอาไว้ รสนิยมแย่ชะมัดเลย….” ดินอสกล่าวขึ้นในขณะที่เขากำลังมองหน้าจอมอนิเตอร์ที่ฉายภาพของเกาะเทียมซึ่งอยู่เบื้องหน้าของเขา ในตอนนี้ยานนาเดชิโกะลอยอยู่เหนือน่านฟ้ามหาสมุทรแปซิฟิกห่างจากเกาะเทียมไม่ถึง 20 กิโลเมตร เนื่องจากว่านาเดชิโกะนั้นใช้ระบบการลอยตัวที่แตกต่างจากไอพ่นของยานรบทั่วๆไปจึงทำให้เรดาร์ของชาวโลกไม่สามารถที่จะจับการเคลื่อนไหวของยานลำนี้ได้ อีกทั้งทั่วพื้นผิวของยานยังถูกติดตั้งระบบหักเหแสงทำให้กล้องส่องทางไกลนักสังเกตุเห็นยานลำนี้ได้ยาก ดินอสซึ่งเหมือนกับนักล่าที่จับจ้องไปยังเหยื่อพร้อมที่จะขย้ำแล้ว “เตรียมชินันจูให้พร้อม ทีมจู่โจมทั้งหมดขึ้นประจำที่ เดี๋ยวพวกเราจะไปสั่งสอนพวกชาวโลกให้รู้เองว่า โมบิลสูทสมรรถนะสูงที่แท้จริงมันเป็นยังไง…..” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูฮึกเหิมและจริงจัง ก่อนที่เขาจะเดินไปยังโรงเก็บโมบิลสูทภายในยานนาเดชิโกะ เขานั้นไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าของโมบิลสูทประจำตัวของเขาซึ่งเขานั้นใช้ออกรบและทำลายข้าศึกมามากมาย MSN-06S Sinanju “ได้เวลาล่าเหยื่อแล้วไอ้เพื่อนยาก !!” …..Episode 1 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 17, 2018 15:51:51 GMT
Episode 2 Blitzkrieg
“ได้เวลาล่าเหยื่อแล้วไอ้เพื่อนยาก !!” ดินอสกล่าวขึ้นกับโมบิลสูทของตนเองอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบน Cockpit ของชินันจูและตั้งค่าระบบต่างๆให้พร้อมที่จะออกปฏิบัติการ เนื่องจากว่าสภาพแรงโน้มถ่วงของโลกและดาวอังคารนั้นแตกต่างกัน เขาไม่ได้มาขับโมบิลสูทออกรบที่โลกมาระยะหนึ่งแล้ว หลังจากที่ทำการตั้งค่าทุกอย่างเสร็จสิ้นและลูกทีมจู่โจมของเขาทุกคนก็พร้อมออกปฏิบัติการดินอสจึงกล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารหลักว่า“เปิดช่องปล่อยตัวทุกช่อง หน่วยโมบิลสูทออกปฏิบัติการได้ !!” ช่องปล่อยตัวของยาน nadesico ถูกเปิดขึ้นทั้งหมดและหน่วยโมบิลสูทของดินอส ที่ประกอบด้วย Gundam type 5 เครื่องและชินันจูก็พุ่งทะยานออกไปเพื่อเริ่มทำการโจมตีเกาะเทียมที่อยู่เบื้องหน้า“หัวหน้าครับ เราไม่มีแผนผังของเกาะนี้เลยมันกว้างใหญ่ขนาดนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าศัตรูซ่อนอาวุธเอาไว้ที่ไหน ?” ลูกทีมคนหนึ่งซึ่งบังคับ Force Impulse Gundam กล่าวถามดินอสขึ้นด้วยความสงสัย ทันทีที่ดินอสได้ยินคำถามของลูกทีมเขาอย่างนั้นเขาก็ตอบกลับไปทางช่องสัญญาณหลักด้วยท่าทางที่ดูกระเซ้าเย้าแหย่ว่า“เอาอีกแล้วเหรอ ? นี่พวกแกไม่ได้ตั้งใจฟังแผนกันเลยใช่ไหม ? ให้ตายสิ ! เราไม่มีหรอกแผนผังของเกาะอะไรเนี่ย แต่ว่าศัตรูมันพัฒนา Gundam เสร็จเรียบร้อยแล้ว และมันก็กำลังได้ใจคิดว่ามีอาวุธร้ายแรงอยู่ในมือ ดังนั้นถ้าหากว่าเราไปแหย่รังแตนมันก็จะบินออกมาเองไงล่ะไม่ต้องไปเสียเวลาหาให้ยาก มาเดี๋ยวจะแสดงให้ดู !!” หลังจากที่พูดจบดินอสก็บังคับชินันจูให้ทำการติดตั้ง Grenade Launcher ที่ถูกพับเก็บเอาไว้ในส่วนโล่มาติดตั้งที่บริเวณปืน ก่อนที่จะยิงออกไปเข้าใส่พื้นที่บนเกาะเทียมซึ่งอยู่ด้านหน้าพวกเขา
“เอาล่ะพวกแก !! โมบิลสูทเครื่องไหนที่มีอาวุธระยะไกล ที่สามารถระเบิดได้ก็ยิงเข้าไปซะ !! พยายามเล็งเข้าไปที่จุดสำคัญเช่นคลังน้ำมันหรือว่าโรงผลิตพลังงานไฟฟ้าเร็วเข้า !!” ดินอสสั่งการให้ลูกทีมของเขาระดมยิงอาวุธภายในมือเข้าไปใส่จุดที่เป็นคลังเก็บน้ำมันหรือว่าแหล่งพลังงานของเกาะเทียมเพื่อสร้างความปั่นป่วนลูกทีมของเขานั้นปฏิบัติตามทันทีGundam ทั้ง 5 เครื่องภายในทีมของเขานั้นประกอบด้วย Force Impulse Gundam , Strike Noir Gundam , Gundam Astray Green Frame , Gundam Astray Red Frame , Gundam Astray Blue Frame พากันโจมตีเกาะเทียมด้วยอาวุธระยะไกลกันอย่างพร้อมเพรียงตามคำสั่งของเขา“อย่ายิงจนกระสุนหมดซะล่ะ !! เหลือเอาไว้ให้พวกกันดั้มของกองทัพโลกมันด้วย เข้าใจไหม !!” ดินอสกล่าวเตือนลูกทีมของเขาให้ใช้กระสุนแต่พอเหมาะในการโจมตีก่อกวนเพื่อเรียกให้ศัตรูออกมา เพราะว่าศัตรูนั้นก็มีโมบิลสูทประเภท Gundam อยู่ภายในครอบครอง ถ้าหากว่าพวกเขาใช้กระสุนมากเกินไปอาจจะมีหรือไม่พอสำหรับการต่อสู้กับกันดั้ม“เอาละอย่าให้ต้องรอนาน !! รีบออกมากันได้แล้วเจ้าพวกกองทัพโลก !!” ดินอสจับจ้องไปยังเกาะเทียมที่อยู่เบื้องหน้าอย่างใจจดใจจ่อ เขานั้นรู้ดีว่าในอีกไม่ช้านี้ศัตรูจะต้องออกมาต่อสู้กับเขาอย่างแน่นอน ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ภายในห้องส่วนตัวที่ถูกจัดไว้สำหรับพักผ่อนของนักบินกันดั้ม เฮเลลกำลังนั่งศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลของ Wing Gundam Zero จากแบบแปลนพิมพ์เขียว เขานั้นพยายามที่จะศึกษาระบบอาวุธของมันและพลังการขับเคลื่อนทั้งหมดก่อนที่จะต้องใช้มันในการปฏิบัติงานจริง โมบิลสูทประเภทกันดั้มพิมพ์เขียวของมันทั้งหมดถูกส่งมาจากดาวอังคารชาวโลกสร้างมันขึ้นมาตามแบบที่ถูกเขียนขึ้นเอาไว้ แต่พวกเขานั้นไม่มีประสบการณ์ในการใช้งานโดยตรงจึงไม่รู้เลยว่าสมรรถนะการรบที่แท้จริงของมันนั้นมีสูงขนาดไหน ซึ่งนักบินที่ได้ขับพวกมันเป็นรุ่นแรกก็คือพวกของเฮเลลนั่นเอง ทําให้เขานั้นไม่มีข้อมูลอ้างอิงอะไรที่แน่ชัดสำหรับการศึกษาได้มากมายนัก การคำนวณเพื่อหาความเป็นไปได้จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่พอจะทำได้ก่อนที่จะมีการเก็บข้อมูลภายในการต่อสู้จริงที่กำลังจะมาถึง เฮเลลนั้นมีความสนใจในเรื่องของโมบิลสูทมาตั้งแต่ก่อนที่จะมาเป็นนักเรียนของโรงเรียนนายเรืออวกาศแล้ว เขามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของโมบิลสูทและประสิทธิภาพของมันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเขานั้นยังมีความสนใจด้านเครื่องยนต์กลไกจนถึงระดับที่เรียกว่าคลั่งไคล้เลยทีเดียว ดังนั้นการวิเคราะห์ข้อมูลจากพิมพ์เขียวจึงเป็นเรื่องที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับเขาไปในตัว แต่หลังจากที่เขาทำการวิเคราะห์ไปได้ระดับหนึ่งเขาก็รู้สึกได้ว่ากันดั้มนั้นมีประสิทธิภาพและความลับซ่อนเร้นเอาไว้อีกมากมาย เขาจึงจำเป็นที่จะต้องหยุดความสนใจใคร่รู้ของเขาเอาไว้ก่อนและเตรียมตัวที่จะพักผ่อน เฮเลลเดินออกมาจากห้องพักเพื่อไปยังห้องโถงกลางของตึกรับรองเพื่อที่จะหาเครื่องดื่มมาดื่มดับกระหายก่อนที่เขานั้นจะเข้านอน แต่ในขณะที่เขาเดินออกมาซื้อเครื่องดื่มที่บริเวณห้องโถงกลางนั้นเขาก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงฝั่งหน้าต่างของห้องโถงกลางซึ่งเป็นกระจกขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน เธอเป็นหญิงสาววัย 16 ปี ที่ดูท่าทางสุภาพเรียบร้อย เธอมีส่วนสูง 155 เซนติเมตรรูปร่างของเธอนั้นผอมบางแต่ก็ดูดีได้สัดส่วน เธอมีเส้นผมที่เรียบตรงยาวสยายจนถึงกลางหลัง เส้นผมของเธอนั้นเป็นสีน้ำตาลเข้มและดูเงางาม เธอผูกริบบิ้นสีดำเอาไว้ที่ปอยผมด้านข้างของศีรษะ ดวงตาของเธอกลมโตดูน่ารักน่าเอ็นดูนัยน์ตาของเธอนั้นมีสีเหลืองราวกับอำพัน ผิวของเธอนั้นขาวและเรียบเนียนตัดกับชุดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่กองทัพโลกซึ่งมีสีกรมท่า เธอนั้นกำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวประกายระยิบระยับสายตาของเธอนั้นดูเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก เฮเลลมองเธออยู่ห่างๆด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะว่านี่เป็นเวลาค่อนข้างจะดึกแล้วทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงมานั่งมองท้องฟ้าผ่านทางกระจกหน้าต่างของห้องโถงอยู่เพียงลำพัง แต่เขานั้นก็เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเธออย่างช้าๆและกล่าวขึ้นมาว่า“สวัสดีครับ คุณเป็นเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคหรือครับ ? ดึกขนาดนี้แล้วงานปรับแต่ง Gundam ยังไม่เสร็จอีกหรอเนี่ยเหนื่อยกันน่าดูเลยนะครับ…..” เฮเลลเดินเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับกล่าวคำถามขึ้นมา เขาเข้าใจว่าเธอนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคที่ดูแลเกี่ยวกับตัวเครื่องโมบิลสูท แต่ว่าหญิงสาวคนนั้นหันหน้ามามองเขาด้วยสายตาที่ดูแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่จะตอบกลับไปว่า “เอ่อ...ฉันไม่ใช่เจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคหรอกค่ะ ฉันเป็นเจ้าหน้าที่สื่อสารที่ถูกเรียกตัวมาให้มาประจำบนเกาะแห่งนี้ วันนี้เพิ่งจะมาถึงเป็นวันแรกก็เลยรู้สึกไม่ชินกับสถานที่เลยนอนไม่ค่อยหลับน่ะคะ….” หญิงสาวตอบคำถามของเฮเลลกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลและเป็นมิตร เธอนั้นมีท่าทางและอัธยาศัยที่ดีสมกับที่เป็นบุคลากรเจ้าหน้าที่สื่อสาร แต่คำตอบของเธอนั้นก็ทำให้เฮเลลรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย“อย่างนั้นหรือครับ….ผมเองก็เพิ่งจะมาถึงที่เกาะนี้เป็นวันแรกเหมือนกัน ผมมาที่นี่เพื่อที่จะมาเข้าบรรจุเป็นนักบินของ Gundam น่ะครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมชื่อเฮเลล มอนิ่งสตาร์ แล้วเธอล่ะ ?” เฮเลลกล่าวแนะนำตัวก่อนที่จะกล่าวถามชื่อของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นยิ้มออกมาก่อนที่จะแนะนำตัวกลับว่า“ฉันชื่อว่า ซาซากิ มิโดริ เป็นคนญี่ปุ่นน่ะคะ ซาซากิเป็นนามสกุล ส่วนชื่อฉันชื่อว่ามิโดรินะคะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” เธอกล่าวขึ้นมาและยิ้มอย่างอ่อนโยน ท่าทางของเธอนั้นทำให้เฮเลลรู้สึกประหม่าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะลงนั่งที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ถัดจากเก้าอี้ที่เธอนั่งออกไป 1 ที่นั่ง เขาเปิดกาแฟกระป๋องที่ซื้อมาจากเครื่องขายน้ำอัตโนมัติเมื่อครู่พร้อมกับดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวผ่านทางหน้าต่างบานเดียวกันกับที่มิโดริกำลังมองอยู่“สวยงามจังเลยนะครับดวงดาวเนี่ย….แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าดาวอังคารที่เรามองเห็นได้ชัดจากบนโลกนี้จะมีศัตรูที่โหดร้ายรอคอยพวกเราอยู่” เฮเลลกล่าวขึ้นลอยๆหลังจากที่เขามองไปบนท้องฟ้า ดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้านั้นดูสวยงามและมันก็คงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปขนาดไหน แม้ว่าคนบนโลกและดาวอังคารนั้นจะมีความคิดเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ภาพทิวทัศน์ท้องฟ้ายามค่ำคืนบนโลกใบนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมจะแตกต่างก็เพียงแค่อารมณ์ของผู้คนที่มองมันเท่านั้น
“สวยงามอย่างนั้นหรอคะ…….นั่นสินะ…….” ทันทีที่มิโดริได้ยินคำพูดของเฮเลลเช่นนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าผ่านทางหน้าต่างบานเดียวกับเขา แต่แววตาของเธอที่มองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนั้นกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความรู้สึกโดดเดี่ยว แม้เธอจะไม่กล่าวอะไรออกมาแต่อารมณ์ต่างๆมันสะท้อนออกมาผ่านทางแววตาของเธอได้อย่างชัดเจน“คุณซาซากิ…..” เฮเลลเรียกเธออย่างแผ่วเบาแต่น้ำเสียงที่แผ่วเบานั้นดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ยิน เพราะว่ามิโดริในตอนนี้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความเศร้า เฮเลลนั้นหลังจากที่ได้เห็นแววตาของเธอก็พอจะเดาเรื่องราวได้ไม่ยาก การที่เธอมองออกไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาเช่นนั้นอาจจะหมายความว่า คนในครอบครัวของเธอได้จากไปจากสงครามระหว่างชาวดาวอังคารและชาวโลก ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหญิงสาวอายุแค่ 16 ปีอย่างเธอต้องมาเป็นทหารและมาอยู่บนเกาะเทียมแห่งนี้โดยลำพัง ครอบครัวของเธอถ้าหากว่ายังมีชีวิตอยู่น่าจะไม่ปล่อยให้เธอเป็นทหารและต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้แน่ ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ได้นั่นก็หมายความว่าครอบครัวของเธอนั้นอาจจะ …….มิโดริสังเกตเห็นท่าทางของเฮเลลที่มองมายังเธอ เฮเลลนั้นกำลังมีสีหน้าที่ดูลำบากใจมิโดริจึงคิดว่าเธอนั้นน่าจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อที่จะทำลายบรรยากาศอันดูกดดันนี้ลงเธอจึงกล่าวกับเขาขึ้นมาว่า“คุณเฮเลล เป็นนักบินกันดั้มสินะคะ ฉันได้ยินมาจากเพื่อนร่วมงานว่าภายในวันพรุ่งนี้หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กันดั้มทุกเครื่องจะถูกขนส่งขึ้นบนยานรบที่ทันสมัยที่สุดของกองทัพโลก เพื่อเริ่มปฏิบัติภารกิจในการนำดินแดนบนโลกกลับคืนมาจากชาวดาวอังคาร ตอนนี้ยานลำนั้นน่าจะจอดเทียบท่าอยู่แล้วล่ะค่ะ ได้ยินว่ากัปตันยานลำนั้นเป็นกัปตันที่มีฝีมือและผ่านสงครามมามากมายเชียวละฟังดูน่าตื่นเต้นจังเลยนะคะ” มิโดริพูดถึงข้อมูลที่เธอได้รับรู้มาจากหน่วยสื่อสารซึ่งเธอสังกัดอยู่มันเป็นกำหนดการเกี่ยวกับวันพรุ่งนี้ของนักบิน Gundam ทุกคน พวกเขานั้นจะต้องถูกบรรจุเข้าในหน่วยรบพิเศษของกองทัพโลก และเดินทางไปทำการต่อสู้และยึดดินแดนที่ชาวดาวอังคารนั้นยึดไปกลับคืนมา พวกเขานั้นจะถูกบรรจุให้เป็นลูกเรือของยานแม่ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดของกองทัพโลก และดูเหมือนว่ากัปตันยานแม่ลำนั้นจะเป็นทหารผ่านศึกที่มากไปด้วยประสบการณ์“เห….อย่างนั้นหรือครับ นี่พวกหน่วยสื่อสารได้รับทราบข้อมูลก่อนพวกผมที่เป็นนักบินอีกนะเนี่ยะ...” เฮเลลรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาในข้อมูลที่มิโดริเป็นคนนำมาบอก ดูเหมือนว่าทหารสื่อสารนั้นจะได้รับข้อมูลที่รวดเร็วกว่านักบินมากพอสมควรในเรื่องของแผนปฏิบัติการ เฮเลลนั้นทำสีหน้าที่ดูสนอกสนใจและครุ่นคิด บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่นี้มลายหายไป มิโดริก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกสดชื่นและยินดี “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปจากที่นี่แล้วสินะ ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่ผมก็ดีใจมากนะครับที่ได้รู้จักคุณซาซากิหวังว่าพวกเราคงจะได้พบกันใหม่ ผมคงต้องเตรียมไปพักผ่อนแล้วล่ะครับ ราตรีสวัสดิ์” เฮเลลเมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้จะมีงานหนักรออยู่เขาจึงตัดสินใจที่จะต้องกลับไปพักผ่อน และเขาก็ได้รับรู้แล้วว่าพรุ่งนี้เขาจะต้องไปจากเกาะเทียมแห่งนี้แล้ว แต่ว่ามิโดรินั้นเป็นทหารสื่อสารที่จะมาประจำการถาวรยังเกาะแห่งนี้ดังนั้นพวกเขาจึงน่าจะได้พบกันเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นเฮเลลจึงกล่าวร่ำลาเธอล่วงหน้า ก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อที่จะตรงกับไปยังห้องและพักผ่อน แต่ว่าทันใดนั้นเสียงระเบิดดังสนั่นก็เกิดขึ้นและแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจากการระเบิดที่รุนแรงจนสามารถรับรู้ได้ก็เข้ามาปะทะ สร้างความตกใจให้กับทั้งสองคนเป็นอย่างมาก สัญญาณเตือนภัยภายในเกาะเทียมแห่งนี้ดังขึ้นมาเพื่อปลุกประสาทของเจ้าหน้าที่ทุกคนบนเกาะให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหล หวออออออ หวออออออ หวอออออ !! เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นระองสร้างความแตกตื่นให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่บนเกาะ รวมทั้งเฮเลลและมิโดริด้วย “นี่มันเกิดอะไรขึ้น !!” เฮเลลกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสับสน เขานั้นยังไม่เคยออกไปสู่สนามรบจริงมาก่อนเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาความตกใจย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มิโดริเองก็เป็นทหารที่เพิ่งจบมาจากโรงเรียนนายเรืออวกาศใหม่ๆ เธอนั้นก็ไม่เคยผ่านประสบการณ์สงครามมาเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวคนนี้จะสามารถควบคุมสติได้ดีกว่าเฮเลลในระดับหนึ่ง“เสียงไซเรนแบบนี้ พวกเรากำลังถูกศัตรูโจมตีค่ะ !!” มิโดรินั้นสามารถจะแยกเสียงของไซเรนออกได้อย่างชัดเจนว่าเสียงไหนเป็นเสียงของสัญญาณการถูกโจมตีและเสียงไหนเป็นเสียงสัญญาณของการเกิดอุบัติเหตุเธอนั้นบอกกับเฮเลลว่าในตอนนี้เกาะเทียมแห่งนี้ถูกพวกชาวดาวอังคารโจมตีแล้ว“ศัตรูโจมตีงั้นเหรอ ? แล้วแบบนี้พวกเราควรจะทำยังไงดี ?!?” เฮเลลนั้นดูตื่นตื่นตระหนก แต่ดูเหมือนว่ามิโดรินั้นจะยังควบคุมสติได้ดีอยู่เธอนั้นคิดไตร่ตรองว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะทำอย่างไรดี“ฉันจะรีบกลับไปประจำที่หอบังคับการ คุณเฮเลลรีบไปที่โรงเก็บโมบิลสูทเถอะค่ะ !! ศัตรูมาบุกพวกเราถึงที่แบบนี้ บางทีพวกมันอาจจะรู้แล้วว่าที่เกาะแห่งนี้มีอะไรซ่อนอยู่พวกมันจะต้องหมายตาไปที่ Gundam อย่างแน่นอน ฉันดีไปก่อนนะคะขอให้คุณโชคดี !!” มิโดริกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อนก่อนที่เธอจะออกวิ่งไปทางด้านหอบังคับการซึ่งมันเป็นทางตรงกันข้ามกับโรงเก็บ Gundam เฮเลลนั้นมองตามหลังเธอไปด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก“คุณซาซากิ !! โธ่เอ๊ย …...” เขาเรียกชื่อเธอซ้ำอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะไม่ได้หันมามองเขาเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เขานั้นจะพยายามวิ่งไปทางโรงเก็บโมบิลสูทซึ่งมีกันดั้มเก็บอยู่ ในระหว่างทางที่เขาตรงไปนั้นเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกทั้งยังมีเสียงของท่อขับดันของโมบิลสูทที่พุ่งทะยานออกจากโรงเก็บ ดูเหมือนว่ากองกำลังป้องกันตัวเองของเกาะเทียมแห่งนี้จะเริ่มออกไปปฏิบัติการเพื่อต่อสู้กับผู้บุกรุกแล้ว โรงเก็บโมบิลสูท “เฮเลล นายมัวไปอยู่ที่ไหนมา ?!? รีบขึ้นไปประจำที่บนเครื่องเร็วเข้า !!” เสียงของเฟรย์อาดังขึ้นทันทีที่มองเห็นเฮเลลเดินเข้ามาในโรงเก็บโมบิลสูทซึ่งภายในนั้นมีกันดั้มทั้งหมด 11 เครื่องยืนเรียงรายกันอยู่บางเครื่องนั้นพร้อมใช้งานแล้วและถูกติดตั้งอาวุธเอาไว้พร้อมสรรพ แต่ว่าบางเครื่องนั้นก็มีเพียงแค่อาวุธไม่กี่ชนิดและดูเหมือนว่าจะใช้งานอุปกรณ์บางอย่างไม่ได้ “ไม่มีเวลาแล้ว !! เราต้องนำ Gundam ทุกเครื่องขึ้นไปขึ้นยานที่จอดอยู่ที่ท่าจอดยาน จากนั้นก็ต้องรีบไปจากที่นี่พวกชาวดาวอังคารน่าจะต้องการที่จะทำลายกันดั้ม แผนการของพวกเรารู้ไปถึงหูของพวกมันแล้ว !!” เฟรย์อากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและรีบร้อนก่อนที่เธอจะเดินผ่านขึ้นไปบนสะพานที่ทอดไปยัง Cockpit ของ Delta Gundam Kai ซึ่งเป็น Gundam ประจำตัวของเธอ และลงไปนั่งภายใน Cockpit เพื่อเตรียมตัวที่จะเดินเครื่อง Gundam ในทันที นักบินคนอื่นๆก็กำลังรีบร้อนที่จะเตรียมตัวทำเช่นนั้นเหมือนกัน คนที่ขึ้นไปประจำเครื่องพร้อมแล้วก็มีบางส่วน “ได้เลยครับผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้…...” เฮเลลกล่าวตอบด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อนก่อนที่เขานั้นจะวิ่งไปยังสะพานที่เชื่อมกับ Cockpit ของ Wing Gundam Zero เขาลงไปนั่งด้านใน Cockpit ก่อนที่จะปิดฝาตัวเครื่องเข้ามา ในวินาทีที่ฝาของ Cockpit Wing Gundam Zero ถูกปิดสนิทลงนั้นเพดานของโรงเก็บโมบิลสูทก็ถูกแรงระเบิดปะทะเข้าอย่างจัง หลังคาเพดานซึ่งเป็นคอนกรีตน้ำหนักเป็นตันถล่มลงมาในทันที นักบินกันดั้มคนอื่นที่ยังไม่ได้เข้าไปนั่งใน Cockpit ถูกเศษคอนกรีตของเพดานที่ถล่มลงมานั้นทับพวกเขานั้นถูกฝังอยู่ใต้คอนกรีตโดยที่ไม่ทราบชะตากรรม“ไม่นะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ บ้าที่สุดเลย นี่มันบ้าที่สุดเลย !!” เฮเลลกล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกทันทีหลังจากที่ได้เห็นนักบินอีก 5 คนที่ยังไม่สามารถขึ้นโมบิลสูทได้ทันและร่างของพวกเขานั้นก็ต้องถูกฝังอยู่ภายใต้คอนกรีตซึ่งถล่มลงมาจากเพดานในตอนนี้นักบินที่ขึ้นไปบนโมบิลสูทได้ทันนั้นมีเพียงแค่ 7 เครื่องเท่านั้นแต่ในตอนที่เฮเลลนั้นกำลังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้เขาไม่รู้ตัวเลยว่ารูขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากแรงระเบิดที่เกิดขึ้นบนเพดานจนมันถล่มลงมานั้นมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องลงมาที่กันดั้มซึ่งยืนเรียงรายอยู่ด้านล่าง“Bingo !! หึ….แค่กะว่าจะทำลายโรงเก็บโมบิลสูทเพื่อที่จะลดจำนวนของพวกแมลงเม่า ที่ไหนได้ดันไปเจอปลาตัวใหญ่เข้าให้แล้ว อยู่ที่นี่กันเองสินะ !! กันดั้มของกองทัพโลก !!” ดินอสซึ่งตอนนี้กำลังบังคับชินันจูที่ลอยตัวอยู่เหนือโรงเก็บ Gundam มองลงมาด้านล่างด้วยสายตาที่ดูหิวกระหาย เขานั้นบรรจุกระสุนที่เหลืออยู่นัดสุดท้ายของ Grenade Launcher และขึ้นลำกล้องเล็งตรงไปยังโรงเก็บ Gundam ที่มี Gundam ยืนเรียงรายอยู่ทันที“ยินดีที่ได้รู้จักนะกันดั้มของกองทัพโลก และลาก่อน !!”......
ตู้ม !! เสียงของกระสุนระเบิดที่ถูกปล่อยออกจากปากกระบอกของ Grenade Launcher ดังขึ้นแสงสว่างวาบจากปากกระบอกปืนประกายขึ้นพร้อมกับกระสุนสังหารที่ถูกปล่อยออกไป Episode 2 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 19, 2018 12:21:32 GMT
Episode 3 First Battle กระสุนลูกระเบิดถูกยิงออกจาก Grenade Launcher ของชินันจู วิธีของลูกกระสุนนั้นพุ่งตรงไปยังโรงเก็บ Gundam ที่อยู่ด้านล่าง ถ้าหากว่ามันเข้าเป้าเชื้อเพลิงที่ถูกเก็บเอาไว้ภายในโรงเก็บจะถูกประกายไฟจากแรงระเบิดและทำให้โรงเก็บนั้นระเบิดเป็นจุลพร้อมกับเกิดไฟไหม้เป็นวงกว้างชู่วววว ตูมมมม !! ลำแสงปืนอนุภาคเส้นหนึ่งถูกยิงขึ้นมาจากภายในโรงเก็บกันดั้ม วิถีของมันนั้นเข้าไปสกัดกระสุนลูกระเบิดของชินันจูได้อย่างพอดิบพอดี จนลูกกระสุนระเบิดนั้นแตกออกก่อนที่จะเข้าไปตกกระทบยังบริเวณโรงเก็บ“หึ….ยิงแม่นดีใช้ได้นี่ ดูเหมือนว่าพวกแกยังพอมีกึ๋นอยู่บ้างสินะ” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูชื่นชม ในขณะที่เขามองกระสุนลูกระเบิดที่เขายิงออกไปนั้นแตกออกกลางอากาศจากการยิงที่แม่นยำของปืนบีมไรเฟิล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รอช้า เขาสลัด Grenade Launcher ที่ติดอยู่กับปืนบีมไรเฟิลของชินันจูทิ้งไปทันทีเพื่อเตรียมตัวเข้าปะทะกับกันดั้มที่กำลังจะบุกเข้ามาตูม ฟิ้วววว ฟิ้ววววว ฟิ้ววววว ทันใดนั้นหลังคาของโรงเก็บโมบิลสูทก็เกิดแรงระเบิดขึ้นทำให้รูที่เกิดจากการยิงลูกระเบิดเมื่อครู่นี้กว้างขึ้นกว่าเดิม และจากนั้นก็มีโมบิลสูทจำนวน 7 เครื่องบินขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็ว“ในที่สุดก็เจอตัวสักที โมบิลสูทรุ่นใหม่ของกองทัพโลก ไหนลองแสดงศักยภาพของแกให้ชั้นดูหน่อยสิ !!” ดินอสกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่จริงจังและตื่นเต้นทันทีที่เขาได้เห็นศัตรูที่อยู่ตรงหน้า กันดั้มของกองทัพโลกที่เหลือรอดทั้ง 7 เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าซึ่งประกอบด้วย Wing Gundam Zero , Freedom Gundam , Gundam Delta Kai , Gundam Astray Mirage Frame 3nd , Unicorn Gundam , Calamity Gundam และ Gundam MK.II“กล้าบุกมาหาพวกเราถึงที่นี่ ….. แสดงว่าเจ้าพวกนี้ไม่ใช่ศัตรูแบบระดับธรรมดาทุกคนระวังตัวด้วยนะ !!” มิซึโกะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง ในขณะที่เธอนั้นจับจ้องไปยังโมบิลสูทสีแดงซึ่งชื่อว่าชินันจู ซึ่งดินอสกำลังบังคับอยู่ ในขณะที่นักบินกันดั้มคนอื่นๆนั้นกำลังพยายามใช้เซ็นเซอร์ที่มีอยู่ในการตรวจจับศัตรูที่อยู่รอบด้านอย่างรวดเร็ว“ถ้านับรวมเจ้าสีแดงที่อยู่ตรงหน้านี้แล้วด้วยล่ะก็ ศัตรูมีทั้งหมด 6 เครื่อง 3 เครื่องอยู่ใกล้ๆกับโรงเก็บนี้ ส่วนอีก 3 เครื่องกำลังตรงไปที่ท่าจอดยาน พวกมันคงตั้งใจจะทำลายยานแม่เพื่อไม่ให้เราหลบหนีออกจากการต่อสู้นี้ได้ เอาละจากนี้ไปจะเอายังไงดี ? ให้เธอเป็นคนสั่งการก็แล้วกันนะคุณอดีตรองกัปตัน” เฟรย์อากล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง ดูเหมือนว่าเรดาร์ของ Gundam Delta Kai ที่เธอบังคับอยู่นั้นจะมีความสามารถในการตรวจจับที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว เธอสามารถจะวิเคราะห์จำนวนของศัตรูทั้งหมดที่บุกเข้ามายังเกาะเทียมแห่งนี้ได้ในเวลาอันสั้น“เราจะปล่อยให้มันทำลายยานแม่ไม่ได้ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน !! Wing Zero , Calamity และ Delta ไปขัดขวางอย่าให้พวกมันทำลายยานแม่ได้ !! ส่วนที่เหลืออยู่ที่นี่กับฉัน เราจะไม่ปล่อยให้พวกดาวอังคารที่อยู่ทางนี้ตามไปสมทบกับพวกที่จะทำลายยานแม่ทางโน้นแน่ รีบแยกย้ายกันไปได้แล้ว !!” มิซึโกะสั่งการอย่างเฉียบขาดและรวดเร็ว เธอนั้นแบ่งกองกำลังออกเป็น 2 กลุ่มเพื่อไปรับมือกับกองกำลังของชาวดาวอังคารที่แยกตัวออกเป็นสองกลุ่มเช่นกัน เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเธอตอนนี้ก็คือการยับยั้งไม่ให้ชาวดาวอังคารนั้นทำลายยานแม่ที่จอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าจอดยานของเกาะเทียมแห่งนี้ได้สำเร็จ“รับทราบ !!” นักบิน Gundam ทุกคนกล่าวตอบรับถึงหน้าที่ซึ่งหัวหน้าทีมชั่วคราวกำหนดให้ และทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปในทิศทางที่ตนเองนั้นจะต้องไปปฏิบัติภารกิจ เฮเลล ซึ่งบังคับ Wing Gundam Zero ขับโมบิลสูทของเขาพุ่งทะยานออกไปอย่างสุดกำลังมุ่งหน้าไปทางท่าจอดยานซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากจุดที่เราอยู่ปัจจุบันมากนัก โดยที่มี Gundam Delta Kai และ Calamity Gundam ตามมาติดๆ
‘โมบิลสูทเครื่องนั้น Wing Gundam Zero งั้นเหรอ ?!? ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…..’ ดินอสมองไปยัง Wing Gundam Zero ซึ่งเป็นโมบิลสูทของเฮเลลที่กำลังบินหายลับไปจากจอเรดาร์ของเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยและครุ่นคิด แต่เขานั้นก็ต้องระงับความรู้สึกสงสัยในใจเอาไว้ก่อนเนื่องจากว่าในเวลานี้คือเวลาที่เขาจะต้องต่อสู้‘ท่าจอดยานอยู่ไม่ไกลจากหอบังคับการ คุณซาซากิบอกว่าเธอจะไปประจำตำแหน่งที่หอบังคับการสินะ…...หวังว่าเราจะไปทันการนะ !!’ เฮเลลนึกถึงหญิงสาวที่เขาได้พูดคุยด้วยก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สื่อสาร ประโยคสุดท้ายที่เธอบอกกับเขาก็คือเธอจะไปประจำตำแหน่งของทหารสื่อสารซึ่งอยู่ที่หอบังคับการ และสถานที่ตั้งของหอบังคับการนั้นอยู่ไม่ไกลจากท่าจอดยานรบที่กำลังเป็นเป้าหมายของศัตรู สถานการณ์ตอนนี้จึงทำให้เฮเลลนั้นรู้สึกกดดันขึ้นมาในทันที การต่อสู้ที่บริเวณโรงเก็บโมบิลสูท “เอาล่ะดูเหมือนว่าจะจับคู่กันเสร็จแล้วสินะ ไหนขอดูหน่อยสิ ว่าพวกแกจะมีความสามารถสักแค่ไหน !!” ดินอสเมื่อเห็นว่าทางศัตรูนั้นแบ่งกองกำลังออกเป็น 2 กลุ่มเสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้น่าจะถึงเวลาที่จะได้ปะทะกันเสียที เขาจึงใช้ Beam rifle ที่อยู่ภายในมือของชินันจูเล็งไปที่ Unicorn Gundam ก่อนที่จะลั่นไกยิงออกไปอย่างรวดเร็วแต่ก่อนที่ลำแสงสีเหลืองของบีมไรเฟิลจะเข้าไปปะทะกับตัวเครื่องของ Unicorn Gundam ลำแสงสีเหลืองเส้นนั้นก็ถูกหักเหออกไปจากเป้าหมาย และลำแสงบางส่วนนั้นก็ถูกหักหลังจนสลายหายไปและบางส่วนที่ไม่ได้ถูกหักล้างก็ถูกทำให้บิดเบือนออกไปจากเป้าหมายอย่างน่าอัศจรรย์“I Field อย่างนั้นเหรอ ? เจ้าพวกกองทัพโลกมันสามารถถอดรหัสวิศวกรรมของพวกเราได้ขนาดไหนแล้วนะน่าสนใจจริงๆ !!” ดินอสรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นลำแสงอนุภาคจากปืนบีมไรเฟิลของเขานั้นถูกหักล้างได้นั่นเป็นเพราะอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า I Field Generator อุปกรณ์ตัวนี้จะสร้างสนามพลังงานที่ใช้ในการต่อต้านปืนลำแสงอนุภาคขึ้นมาโดยอุปกรณ์ตัวนี้นั้นถูกติดเอาไว้ที่บริเวณโล่ของ Unicorn Gundam ในขณะที่ดินอสกำลังรู้สึกสนอกสนใจกับวิทยาการที่ก้าวล้ำขึ้นมาของชาวโลกในจังหวะนั้น Unicorn Gundam ก็เล็งปืนบีมแม็กนัมภายในมือขึ้นมาใส่เขาอย่างรวดเร็ว เขานั้นรับรู้ดีได้ถึงพลังทำลายของอาวุธชนิดนี้เขาจึงรีบบังคับให้ชินันจูเบี่ยงตัวหลบทันที วิ้ดดดด ฟิ้วววววว !! ลำแสงอนุภาคมารวมกันอยู่เป็นก้อนด้านหน้าของปืน Beam Magnum หลังจากนั้นในพริบตาต่อมาลำแสงที่รุนแรงสีฟ้าซึ่งมีแกนกลางข้างในเป็นสีเเดงแกมม่วงก็ถูกปลดปล่อยออกจากปากกระบอกปืน พลังทำลายล้างของ Beam Magnum นั้นสูงกว่าปืนบีมไรเฟิลทั่วไปธรรมดากว่า 2 เท่า แม้ว่าจะยิงไม่ถูกโดยตรงคลื่นกระแทกซึ่งอยู่โดยรอบของลำแสงก็สามารถที่จะทำลายโมบิลสูทที่มีเกราะไม่หนามากพอให้แหลกเป็นจุลได้ การที่ดินอสรีบเบี่ยงตัวหลบวิธีการยิงก่อนนั่นก็เพราะว่าเขารู้ได้ถึงความร้ายกาจของอาวุธชนิดนี้ดี “อืม…..ยังคงรุนแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยสินะ Beam Magnum …..” ในจังหวะที่ดินอสนั้นกำลังสนใจกับการหลบหลีกการโจมตีของ Unicorn Gundam ทำให้เขานั้นมีช่องว่างเล็กน้อย ซึ่งมิซึโกะนั้นได้เล็งจุดนี้เอาไว้เป็นอย่างดี Freedom Gundam พุ่งลงมาจากด้านบนพร้อมกับดาบ Beam saber ภายในมือทั้งสองเล่มที่ฟาดฟันลงไปเข้าหาชินันจูที่อยู่ด้านล่าง “ต้องแบบนี้สิ !!” แต่ดูเหมือนว่าดินอสนั้นจะมีฝีมือและการประเมินการที่รอบคอบกว่าที่มิซึโกะประเมินเอาไว้หลายเท่า ชินันจูเปิดอาวุธระยะประชิด Beam Axe ซึ่งเป็นขวานลำแสงอนุภาค ลักษณะการทำงานของมันนั้นไม่แตกต่างอะไรจาก Beam saber เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่ามันมีขนาดที่ใหญ่ กำลังการฟาดฟันนั้นสูงกว่า และความหนาแน่นของอนุภาคมากกว่า Beam saber ซึ่งชินันจูได้ติดตั้งอาวุธชนิดนี้เอาไว้คู่กับโล่ที่อยู่ที่แขนข้างซ้าย วืดดด เปรี๊ยง !! ทันทีที่อาวุธระยะประชิดทั้งสองเข้าปะทะกัน แรงผลักดันมหาศาลอันเกิดจากคลื่นอนุภาคก็ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ประกายของลำแสงอนุภาคกระจายออกรอบทิศทางกลายเป็นแสงสว่างจ้าราวกับสายฟ้าฟาด การโจมตีของ Freedom Gundam นั้นไร้ผลชินันจูสามารถที่จะปัดป้องการโจมตีเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก “เจ้าเครื่องสีแดงนี่ !! ฝีมือร้ายกาจ !!” มิซึโกะกล่าวขึ้นในขณะที่เธอกำลังตวัดดาบเข้าใส่ชินันจู แต่ว่าชินันจูนั้นสามารถที่จะปัดป้องการโจมตีของเธอได้ทุกครั้ง ความเร็วในการโจมตีระยะประชิดของมันนั้นดูเหมือนว่าจะเหนือกว่า Freedom Gundam อยู่พอสมควร“เป็นอะไรไปมีดีแค่นี้เหรอ ? เจ้าพวกโมบิลสูทของกองทัพโลก” ดินอสกล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารระยะสั้น ซึ่งมันเป็นช่องสัญญาณที่สามารถใช้ติดต่อกันผ่านทางตัวรับที่ติดตั้งอยู่ในโมบิลสูทแต่ละเครื่องได้โดยตรง ดังนั้นพวกมิซึโกะจึงสามารถได้ยินคำพูดของดินอสอย่างชัดเจน“อย่ามาดูถูกกันนะ !!” มิซึโกะกล่าวขึ้นในขณะที่ทางช่องสัญญาณสื่อสารกำลังเปิดใช้งานอยู่ ก่อนที่เธอจะใช้ Beam saber ภายในมือทั้งสองเล่มบุกเข้าไปโจมตีระยะประชิดใส่ดินอสอีกครั้ง“โฮ่…..ให้สาวน้อยมาขับโมบิลสูทแบบนี้ เจ้าพวกกองทัพโลกมันขาดแคลนบุคลากร หรือว่ามันดูแคลนเรากันแน่ ?” ดินอสกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดหลังจากที่เขาได้ยินเสียงของมิซึโกะผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารดูเหมือนว่าดินอสจะรู้สึกไม่ชอบใจนักที่คู่ต่อสู้ของเขานั้นเป็นผู้หญิง แต่ว่าเขานั้นก็ไม่มีท่าทางว่าจะออมมือแต่อย่างใด ชินันจูโจมตี Freedom Gundam ด้วย Beam Axe อย่างรวดเร็วทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่ผิดกันนี้ทำให้ Freedom Gundam นั้นกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ “ตัวต่อตัวเสียเปรียบค่ะ ขออนุญาตนะคะ คุณมิซึโกะ !!” โรซ่าที่มองเห็นการต่อสู้ระยะประชิดของมิซึโกะกับดินอสเธอก็รู้ได้ว่ามิซึโกะนั้นไม่สามารถที่จะเอาชนดินอสได้อย่างแน่นอนเธอจึงเข้าไปร่วมวงด้วย Unicorn Gundam เปิดดาบ Beam saber ที่ถูกติดตั้งแบบ Built in เอาไว้ที่แขนทั้งสองข้างก่อนที่จะบุกเข้าไปประจัญบานโจมตีใส่ชินันจูร่วมกับ Freedom Gundam“สาวน้อย 2 คนเลยเหรอเนี่ย !! ทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อยแม่หนู !!” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและดุดันผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารก่อนที่เขาจะบังคับชินันจูให้พุ่งเข้าหา Unicorn Gundam ที่กำลังพุ่งเข้ามา และใช้จังหวะที่ชินันจูนั้นมีความเร็วมากกว่าถีบเข้าไปที่บริเวณข้างลำตัวของ Unicorn Gundam แรงสั่นสะเทือนจากการถีบสร้างแรงกระแทกมหาศาลทรงตรงเข้าไปยัง Cockpit ของ Unicorn Gundam เข้าอย่างจัง “อั่ก !!” โรซ่ารับแรงกระแทกจากลูกถีบนั้นเข้าไปเต็มๆ จนเธอนั้นสำรอกออกมา Unicorn Gundam เสียหลักกระเด็นถอยหลังและกำลังจะร่วงลงสู่พื้น ชินันจูเล็ง Beam rifle ไปยัง Unicorn Gundam ซึ่งกำลังเสียหลักร่วงหล่นลงไป “ลาก่อนแม่สาวน้อย …...”Episode 3 END
|
|
|
Post by wildrose on Sept 20, 2018 4:53:37 GMT
Episode 4 New Type Destroyer Mode
“ลาก่อนแม่สาวน้อย…...” ชินันจูลั่นไกปืนบีมไรเฟิลออกไปในทันที ลำแสงสีเหลืองของปืนอนุภาคพุ่งเข้าใส่ Unicorn Gundam ที่กำลังเสียหลักร่วงหล่นลงไปอย่างแม่นยำ แต่ทว่าก่อนที่ลำแสงสีเหลืองจะเข้าไปกระทบกับตัวเครื่องของ Unicorn Gundam นั้น ตัวของ Unicorn Gundam ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
ชิ้นส่วนเกราะสีขาวที่อยู่ด้านนอกของ Unicorn Gundam นั้นค่อยๆขยายตัวออกเผยให้เห็นถึงอุปกรณ์บางอย่างที่อยู่ด้านในซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้เกราะนั้นมันเป็นแถบของโลหะซึ่งเรืองแสงสีแดงเป็นประกายเสาอากาศที่ด้านบนของ Unicorn Gundam ซึ่งเคยมีลักษณะเหมือนกับเขาที่มีชิ้นเดียวตรงไปด้านหน้าก็แยกออกเป็น 2 ข้างและประกายสีเหลืองทอง
ในระหว่างที่ Unicorn Gundam นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงลำแสงพื้นอนุภาคสีเหลืองของชินันจูที่ยิงออกไปนั้นก็เกิดการหักเหและเบี่ยงเบนวิธีออกไป จนมันไม่สามารถทำอันตรายอะไรกับ Unicorn Gundam ได้
“Psycho Field….NT-D Mode…..เจ้าพวกชาวโลกสามารถที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆได้ด้วยหรือ ถึงจะบอกว่าได้รับพิมพ์เขียวไปซะเถอะ ? ร้ายกาจไม่เบานี่นา….” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเจ็บใจและชื่นชมในความพยายามของชาวโลกที่จะสร้างอาวุธร้ายกาจในการต่อต้านชาวดาวอังคาร
หลังจากที่ Unicorn Gundam ได้ทำการเปลี่ยนใช้เป็น NT-D Mode เสร็จเรียบร้อยแล้ว Unicorn Gundam ก็ชักดาบ Beam saber ขึ้นมา 1 เล่มและถือเอาไว้ในมือก่อนที่จะพุ่งเข้ามาหาชินันจูอีกครั้ง ท่าทางที่พุ่งเข้ามาตอนนี้ดูแตกต่างจากคราวที่แล้วโดยสิ้นเชิงมันดูทรงพลังและเฉียบคมขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“เครื่องชักติดขึ้นมาแล้ว !! แบบนี้สิถึงจะน่าสนุกหน่อย เข้ามาเลยแม่สาวน้อย ชั้นจะเป็นคู่เต้นให้กับเธอทั้ง 2 คนเอง !!” ดินอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนานและตื่นเต้นทันทีที่ได้เห็นคู่ต่อสู้ที่ดูเหมือนจะสมน้ำสมเนื้อกับเขา ด้านหนึ่งคือ Freedom Gundam ที่มิซึโกะนั้นบังคับอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือ Unicorn Gundam ที่โรซ่าเพิ่งจะเข้าสู่ NT-D Mode ได้ พวกเธอทั้งสองคนนั้นชักอาวุธระยะประชิดขึ้นมาและบุกเข้าไปโจมตีใส่ชินันจูซึ่งตั้งท่าเตรียมตั้งรับเอาไว้แล้ว
อีกฟากหนึ่งของเกาะเทียม
“เร็วเข้าเจ้าหน้าที่ทุกคนรีบขึ้นไปประจำบนยาน เราจะนำยานขึ้นภายในอีก 10 นาที !!” เสียงของกัปตันยานคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อนและจริงจังเขากำลังสั่งการอยู่บนหอบังคับการไม่ไกลจากท่าจอดยาน
เข้าเป็นกัปตันชายวัยประมาณ 50 ต้นๆที่ดูจริงจังและเคร่งขรึม เขามีเส้นผมสีน้ำเงินเข้มที่แซมไปด้วยเส้นผมสีขาวอันเกิดจากอายุของเขาที่เริ่มมากขึ้น แต่ว่าดวงตาสีน้ำเงินเข้มสีเดียวกับเส้นผมของเขานั้นยังคงเป็นประกายของความมุ่งมั่นและจริงจังไม่ได้แก่ชราไปตามวัยของเขาเลยแม้แต่น้อย ส่วนสูงของเขานั้นอยู่ที่ 182 cm รูปร่างของเขานั้นยังคงดูดีและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทำให้เขานั้นยังดูหนุ่มกว่าอายุจริงพอสมควร
“กัปตัน อาดิโอส แล้วกัปตันล่ะคะไม่ไปขึ้นยานกับเขาด้วยหรือคะ ?” มิโดริซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สื่อสารและประจำการอยู่บนหอบังคับการข่าวถามกัปตัน อาดิโอส ซึ่งเป็นกัปตันของยานที่กำลังจะออกจากถ้าภายใน 10 นาทีนี้
“แม่หนูน้อย เธอเองก็รีบขึ้นไปบนยานเถอะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยหรอก ศัตรูกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว ชั้นจะไปจากที่นี่เป็นคนสุดท้ายหลังจากที่ทุกคนขึ้นยานหมดแล้ว หอบังคับการนี้จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยบอกสถานการณ์กับลูกเรือชั้นจะอยู่ที่นี่เอง แม่หนูอยู่ที่นี่ไปก็เกะกะเปล่าๆ !! ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกชั้นน่ะผ่านมาหลายสนามแล้ว ไม่เสียท่าง่ายๆหรอกน่า” อาดิโอส กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจ น้ำเสียงของเขานั้นดูกระด้างและตรงไปตรงมา แต่ว่าสิ่งที่สะท้อนในแววตาของเขานั่นก็คือความรู้สึกจริงจังและมุ่งมันผิดกับคำพูดที่ดูไร้เยื่อใยและราบเรียบ
“ถึงจะเห็นเป็นแบบนี้ แต่ว่าหนูก็เป็นเจ้าหน้าที่สื่อสารนะคะ เอาเป็นว่าหนูจะทำตามที่กัปตันสั่งการมาก็แล้วกันค่ะ หนูจะไปขึ้นยานก่อนกัปตันแน่แต่จะไปขึ้นยานเป็นคนรองสุดท้ายก่อนหน้ากัปตันนะคะ !!” มิโดริกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมุ่งมั่นและจริงจัง เธอนั้นไม่ได้ปฏิเสธคำแนะนำหรือว่าขัดคำสั่งของอาดิโอสแต่อย่างใด แต่ว่าเธอนั้นก็เลือกที่จะใช้วาทะกรรมที่ทำให้เขานั้นไม่อาจจะโต้แย้งหรือปฏิเสธเธอได้
“หึหึ….ให้มันได้อย่างนี้สินะ เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ อย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งที่หลังก็แล้วกัน !! เอ้ารับนี่ไป !!” กัปตันอาดิโอสส่งไมโครโฟนที่ถูกต่อเข้ากับเครื่องขยายเสียงที่สามารถจะส่งเสียงให้ได้ยินได้ไปทั่วทั้งเกาะเทียมให้กับมิโดริก่อนที่เขาจะสั่งการเธอว่า
“โมบิลสูทของศัตรู 3 เครื่องกำลังจะมาที่นี่ พวกมันตั้งใจจะทำลายยานแม่ของพวกเราแน่ หรือไม่อย่างนั้นก็ตั้งใจจะตัดการสื่อสารของพวกเราไม่ให้เรียกกำลังเสริมมาช่วยเหลือได้ เธอรีบบอกข้อมูลทุกอย่างให้กับหน่วยโมบิลสูทที่อยู่ใกล้ที่สุดของเกาะนี้ได้รับรู้และรีบมาช่วยเราโดยเร็วที่สุด ส่วนฉันจะวิเคราะห์ข้อมูลของศัตรูให้เอง ไม่มีเวลาแล้วเร็วเข้า” เมื่อ อาดิโอส ได้เห็นความตั้งใจของมิโดริเขาก็ส่งมาที่ operator ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวให้กับเธอและเขาก็นั่งลงที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์และทำการเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลของโมบิลสูทฝ่ายศัตรูที่บุกเข้ามา
“กัปตันคะ หน้าที่แบบนั้นคุณไม่ถนัดหรอกมาเถอะค่ะเดี๋ยวฉันจะช่วยเอง” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมันเป็นเสียงที่ฟังดูสุภาพอ่อนโยนและจริงจัง เธอเป็นหญิงสาววัย 22 ปีที่ดูท่าทางใจดีและมุ่งมั่น รูปร่างของเธอนั้นดูผอมเพรียวได้สัดส่วน เส้นผมของเธอนั้นยาวลงมาจนถึงท้ายทอย สีผมของเธอนั้นมีสีเหลืองทองเป็นประกายดูสวยงาม ดวงตาของเธอนั้นดูเรียวและโฉบเฉี่ยวบ่งบอกได้ถึงความฉลาดเฉลียวของเธอได้อย่างชัดเจน นัยน์ตาของเธอนั้นมีสีฟ้าอ่อนสวยงามราวกับท้องนภา เธอเดินเข้ามาภายในห้องบังคับการด้วยท่าทางที่ดูใจเย็น
“รองกัปตันสกาเล็ต ? นี่คุณยังไม่ไปประจำการอยู่บนยานอีกหรือที่นี่อันตรายนะรีบไปได้แล้ว ?” กัปตันอาดิโอสกล่าวขึ้นทันทีที่เขาเห็นหญิงสาวผู้นี้เดินเข้ามาเธอนั้นเป็นรองกัปตันของยานแม่ที่จอดเทียบท่าอยู่แต่ว่าเธอนั้นไม่ได้ขึ้นไปประจำการบนยานตามคำสั่งของเขาแต่ประการใดเธอนั้นกลับเดินลงมาที่ห้องบังคับการพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูสุขุมลุ่มลึก
“ศัตรูกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่พวกมันตั้งใจจะทำลายยานแม่ หรือไม่ก็หอบังคับการ หรือไม่ก็ทั้งคู่ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดีนั่นล่ะค่ะ ดังนั้นถ้าหากว่าจะให้ประจำการอยู่บนยานแม่เฉยๆ ฉันขอมาทำหน้าที่วิเคราะห์การข้อมูลการต่อสู้อยู่ที่ห้องบังคับการดีกว่า กัปตันเองก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่แล้วนี่คะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันจะดีกว่าค่ะ” คำพูดของรองกัปตันสกาเล็ตนั้นตรงไปตรงมาแต่มันก็เป็นความจริง อาดิโอสนั้นไม่ได้มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเลยแม้แต่น้อย เขานั้นเป็นผู้บัญชาการที่ดีเยี่ยมแต่ว่าเขานั้นไม่ใช่ผู้ที่ปฏิบัติการได้ดีเท่าไหร่นัก เมื่อได้ยินดังนั้นอาดิโอสจึงลุกออกจากที่นั่งและให้สกาเล็ตฃลงนั่งที่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลของศัตรูแทน
“โมบิลสูท 3 เครื่องกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกมันจะมาถึงจุดหมายภายในอีก 180 วินาที แจ้งทุกหน่วยเตรียมรับแรงปะทะ !!” สกาเล็ตวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำก่อนที่มิโดริจะทำการแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นทราบโดยทันที
เกาะเทียมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการวิจัยและสร้างโมบิลสูทที่มีสมรรถนะสูง แต่มันนั้นไม่ใช่ฐานทัพดังนั้นที่เกาะนี้จึงไม่ค่อยมีทหารประจำการอยู่ และการป้องกันตัวเองนั้นก็ค่อนข้างอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเมื่อถูกโจมตีแบบสายฟ้าแลบอย่างนี้มันจึงเป็นจุดเปราะบางอย่างมาก เจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ที่เกาะแห่งนี้ไม่ใช่ทหารร้อยละ 80 นั้นเป็นวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ พวกเขานั้นไม่มีความรู้ทางด้านกลยุทธ์และวิธีการทางการทหารเลย
“หากเกิดการต่อสู้ที่ท่าจอดยานมีความเสี่ยงที่ถังเก็บเชื้อเพลิงจะเกิดการระเบิด รีบทำการอพยพเจ้าหน้าที่ทุกคนไปที่หลุมหลบภัย ขอย้ำ รีบทำการอพยพเจ้าหน้าที่ทุกคนไปที่หลุมหลบภัย !!” มิโดริรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้นี้รีบหลบเข้าไปในเชลเตอร์ที่ถูกสร้างเอาไว้สำหรับการหลบภัยการจู่โจมเจ้าหน้าที่ทุกคนเมื่อได้ยินคำแนะนำของเธอก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี
“ศัตรูบุกเข้ามาถึงแล้ว !!” สกาเล็ตกล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและตื่นตระหนกก่อนที่เธอจะทำการฉายภาพที่ได้รับมาจากกล้องที่ติดตั้งอยู่ที่บริเวณท่าจอดยานขึ้นช้ายังจอมอนิเตอร์หลักของห้องบังคับการ Gundam Astray Red Frame , Blue Frame และ Green Frame ทั้ง 3 ตัวนี้กำลังพุ่งตรงมาที่ยานแม่ซึ่งกำลังจอดอยู่ที่ท่าจอดยานด้วยความเร็วสูง
Blue Frame และ Green Frame พุ่งตรงไปยังยานแม่ที่จอดเทียบท่าอยู่ในขณะที่ Red Frame นั้นกลับเลี้ยวออกไปอีกทางหนึ่งมันกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่หอบังคับการอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้ว !! นี่พวกมันกะจะทำลายทั้งคู่เลยนี่นา !! หน่วยโมบิลสูทไปอยู่ที่ไหนกันหมดนะ” อาดิโอสกล่าวขึ้นด้วยท่าทางตื่นตระหนกในขณะที่เป็นศัตรูแยกกำลังออกเป็น 2 กลุ่ม พวกมันตั้งใจจะบุกทำลายสถานที่สำคัญ 2 แห่งในเวลาเดียวกัน
“พบโมบิลสูท 3 เครื่องกำลังมุ่งติดตามโมบิลสูทของศัตรูมาค่ะ ยืนยันรหัสสัญญาณกันดั้มฝ่ายเราค่ะ !!” เสียงของสกาเล็ตสร้างความหวังให้กับทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นขึ้นมาทันที Gundam ที่พวกเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจพัฒนามากำลังจะเข้ามาต่อกรกับข้าศึกที่กำลังจะบุกเข้ามาทำลายยานแม่และหอบังคับการแล้ว
“เฮเลล มอร์นิ่งสตาร์ Wing Gundam Zero ติดต่อศูนย์บัญชาการ พวกคุณปลอดภัยดีไหม !?!” ทันใดนั้นภาพของเฮเลลก็ถูกตัดขึ้นที่หน้าจอมอนิเตอร์ของห้องบัญชาการเขานั้นติดต่อมายังศูนย์บัญชาการผ่านทางช่องสัญญาณภายในเพื่อถามถึงสถานการณ์
“ที่นี่ศูนย์บัญชาการ ศัตรูแยกออกเป็น 2 กลุ่มโมบิลสูท 2 เครื่องมุ่งหน้าไปที่ท่าจอดยาน และอีกเครื่องนึงกำลังตรงมาที่ศูนย์บัญชาการ ขอให้พวกคุณรีบทำการสกัดกั้นพวกมันโดยด่วน” มิโดริกล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารเฮเลลนั้นสามารถจะจดจำเสียงของเธอได้เป็นอย่างดีน้ำเสียงของเธอนั้นยังคงฟังดูปลอดภัย
“คุณซาซากิ ?! รับทราบครับ !! Wing Gundam Zero จะมุ่งหน้าไปที่ศูนย์บัญชาการ Gundam Delta Kai และ Calamity Gundam จะมุ่งหน้าไปที่ท่าจอดยาน !!” เฮเลลตอบกลับมิโดริมะทางช่องสัญญาณสื่อสาร ทันทีที่ได้ยินคำตอบของนักบินดูเหมือนว่ามิโดรินั้นก็จะรู้สึกยินดีที่เฮเลลนั้นปลอดภัยเช่นกัน
“คุณซาซากิ นักบิน Wing Gundam Zero เป็นคนรู้จักของเธอหรอ ?” รองกัปตันสกาเล็ตกล่าวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลแต่ในน้ำเสียงของเธอนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย คำถามของเธอนั้นทำให้มิโดริรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันทีแต่เธอก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ค่ะ แต่ว่าพวกเราเพิ่งจะได้รู้จักกันก่อนหน้าที่การโจมตีจะเกิดขึ้นแค่ 10 นาทีเท่านั้นเองค่ะ คาดไม่ถึงเลยนะคะว่าเขาจะเป็นนักบิน Gundam โชคดีจังที่เขาปลอดภัย” มิโดริกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูยินดีแต่ว่าท่าทางของเธอนั้นทำให้ อาดิโอส ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า
“งั้นหรอแบบนี้เองสินะ วัยรุ่นนี้ดีจังเลยน๊าา” มิโดริได้แต่ยิ้มทันทีที่ได้ยินอาดิโอสพูดดังนั้นถึงเธอจะไม่เข้าใจคำพูดของเขาในตอนนี้เลยก็ตามที แต่ว่าทันใดนั้นดูเหมือนว่าสิ่งที่น่ากลัวก็จะเกิดขึ้น Gundam astray Red Frame ที่บุกเข้ามาดูเหมือนว่าจะมาถึงที่หมายก่อนที่ Wing Gundam Zero นั้นจะมาถึง ที่กระจกหน้าต่างด้านหน้าของหอบัญชาการสามารถจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนในตอนนี้มันบุกเข้ามาประชิดหอบัญชาการเรียบร้อยแล้ว
“ท่าจะแย่ !! ดูเหมือนว่ากันดั้มของพวกเราจะมาไม่ทันสินะ พวกเธอทั้งสองคนหมอบลงเร็วเข้า !!” อาดิโอส เมื่อเห็นศัตรูบุกเข้ามาประชิดแล้วเขาย่อมรู้ดีว่านั่นหมายถึงอะไรเขาสั่งให้หญิงสาวทั้งสองคนรีบหมอบลงกับพื้น
Red Frame ชักดาบคาตานะขนาดใหญ่ซึ่งมีชื่อว่า Gerbera Straight ซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธประจำเครื่องของมันขึ้นมา และเงื้อดาบเตรียมที่จะสับลงมาที่หอบัญชาการอย่างไม่ลังเล แต่ว่าทันใดนั้นดูเหมือนว่าคนที่เป็นนักบินของ Gundam astray Red Frame จะมองเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ในหอบังคับการ
“ไม่จริงน่ะ !! เป็นไปไม่ได้ ?!?” เขาอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจก่อนที่จะเบี่ยงวิถีดาบ Gerbera Straight ที่ตวัดออกไปแล้วให้หยุดก่อนที่มันจะสับลงที่หอบัญชาการ
“........” นักบินของ Gundam astray Red Frame ได้แต่นิ่งอึ้งไม่พูดอะไรออกมาก่อนที่เขาจะทำการเก็บดาบ Gerbera Straight เข้าใส่ฝักตามเดิมด้วยท่าทางที่ดูเงียบขรึมและสงบนิ่ง
“หนะ….นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?” รองกัปตันสกาเล็ตกล่าวอุทานออกมาด้วยความ ด้วยความสับสนและงุนงงในการกระทำของ Gundam astray Red Frame แต่ว่าในขณะนั้น Wing Gundam Zero ก็มาถึงจุดเป้าหมายพอดี
ฟิ้ววววว !! ลำแสงสีเหลืองจากปืน Buster Rifle ของ Wing Gundam Zero ถูกยิงออกมาเข้าใส่ Gundam astray Red Frame โดยทันที แต่ดูเหมือนว่า Red Frame นั้นจะสามารถหลบปืนลำแสงของ Wing Gundam Zero ได้อย่างไม่ยากเย็น
“ออกห่างจากหอบังคับการนั่นซะ !!” เฮเลลกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูจริงจังและดุดันผ่านทางช่องสัญญาณคลื่นสั้น เพื่อให้นักบินของ Red Frame ได้ยินก่อนที่เขานั้นจะขับ Wing Gundam Zero พุ่งเข้ามาและลอยอยู่เบื้องหน้า Red Frame ด้วยท่าทางที่ดูเข้มแข็งและจริงจัง
“เป็นอะไรไป ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ผมไม่คิดจะใช้คนที่อยู่ในหอบังคับการเป็นตัวประกันหรอก อยากจะเข้ามาจัดการผมไม่ใช่เหรอ จะรีรออะไรอยู่ล่ะรีบบุกเข้ามาเลยสิ !!” คนขับ Red Frame กล่าวขึ้นผ่านทางช่องสัญญาณสื่อสารคลื่นสั้นไปยัง Wing Gundam Zero น้ำเสียงของเขานั้นดูจริงจังและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาอย่างบอกไม่ถูก
“ในเมื่อกล้าขอมาก็จัดให้เตรียมรับมือ !!” เฮเลลกล่าวตอบกลับไปด้วยท่าทางที่จริงจังก่อนที่เขาจะเก็บ Buster Rifle ทั้งสองกระบอกเอาไว้ด้านหลังและชัก Beam saber ขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ…..
Episode 4 END
|
|