Chapter 4 - A journey of a thousand miles begins with a single step.
“ฮึก….. “ เงาร่างหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นหญ้าท่ามกลางต้นไม้และธรรมชาติ มันเป็นพื้นที่ในป่าที่อุดมสมบูรณ์
แต่ก็ไม่มีสิ่งกีดขวางมากเกินไปจนม้าเดินทางผ่านไม่ได้ ร่างของชายคนหนึ่งนั่งจมดิ่งอยู่กับพื้น
ขาของเขาดูไม่มีเรี่ยวแรง ระหว่างเขาและม้าของเขาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มีแคมป์ไฟเล็กๆตั้งอยู่ สภาพของฟืน
และไม้ป่าทำให้รู้ได้ว่าชายคนนี้เพิ่งมาตั้งแคมป์ที่นี่ไม่นานนัก
“ใช่แล้ว … ใช่แล้วพี่ … ผมขอโทษๆ” ร่างปริศนาพึมพำกับตนเอง ดูเหมือนเขากำลังทำบางอย่างอยู่กับพื้น
ด้วยสมาธิอันมุ่งมั่น ราวกับมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเขาแล้ว
“ใช่พี่ … ไอบาทหลวงนรกนั่น …!!”
เขายังคงพึมพำกับตนเองต่อไป มันเป็นถ้อยคำประโยคที่จับใจความไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตุเห็นได้ชัด
คือทุกครั้งที่เขาพูดบ่นออกมานั้น เขาแทงมีดล่าเนื้อของเขาลงไปกับพื้นซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างต่อเนื่อง
‘ฉึก …. ฉึก’ ทุกครั้งที่เขาแทงลงไป มันรุนแรงและเต็มไปด้วยอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับความโกรธเกลียดอะไรบางอย่าง
หรือใครบางคน มันพร้อมจะปะทุทุกเมื่อ เขามีสีหน้าแดงก่ำ กัดฟันจนน้ำลายไหลอย่างควบคุมไม่ได้ มือขวาที่
จับมีดของเขาเต็มไปด้วยรอยแผล รอยฟกช้ำ และเลือดตามนิ้ว เนื่องจากการที่เขาแทงลงหญ้าอย่างไม่หยุดยั้ง
“อ๊าากกกกก!!” ชายฉกรรจ์จับมีดขึ้นมาด้วยสองมือ และจ้วงลงไปที่ผืนดินอย่างสุดแรงเกิดพร้อมกับตะโกนลั่น
ออกมาด้วยความแค้น มันเป็นการระบายอารมณ์อันรุนแรงของเขา ก่อนที่แรงเขาจะหมดลง ชายปริศนาปล่อยมีด
ปักไว้กับพื้น และฟุบลงไปนอนคว่ำอย่างเหนื่อยล้า
แววตาของเขาดูหมดสิ้นซึ่งแรงที่จะใช้ชีวิตต่อ เขามองไปยังขอบฟ้าอย่างไร้จุดหมายในขณะที่ร่างของเขาแน่นิ่ง
จากการเจ็บปวดและบาดแผลที่เขาได้รับ จนกระทั่งเขามองเห็นบางสิ่งบางอย่างเบื้องหน้า ที่มันทำให้จิตวิญญาณ
ของเขาพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
“นะ … นี่มัน!!?” ชายปริศนาลากร่างของตนเองไปด้านหน้าไม่กี่คืบ เขาพบกับรอยเท้าของม้ามากมายเดินผ่าน
จุดเบื้องหน้าของเขา มันทำให้เขายิ้มแก้มปริ
“ฮะ...ฮ่าาา!!!!” เขาชูสองมือขึ้นฟ้าด้วยความดีใจสุดขีด จนมันทำให้เขาลืมว่าร่างกายของเขานั้นมีบาดแผล
มากมายแค่ไหน ระหว่างเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม อาการบาดเจ็บก็แล่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเอามือทั้งสองข้างไป
กุมกล่องดวงใจของตนเองด้วยความเจ็บปวด มันถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีแดง จากเลือดของเขาเอง
แต่ก็ไม่ทำให้เขาหยุดหัวเราะได้เลย
“ต้องใช่แน่ๆ! … อ่ะ ฮรี่ๆๆๆ!!”
“เอาล่ะๆ ใช่สิ ต้องใช่สิ!” เขาใช้แขนทั้งสองของตนเองลากร่างกายอันบอบช้ำไปด้านหน้าช้าๆ เขี่ยหญ้าและ
สำรวจรอยเท้าเหล่านั้นด้วยความรอบคอบ “สี่… ห้าคน”
เขาหยุด และลากตัวเองต่อไปเรื่อยๆตามรอยเท้า เพื่อหาว่าพวกเขาจะไปไหน
“เอ ตัวนี้มีคนซ้อนท้ายด้วยนี่นา .. .ต้องใช่แน่ๆเลยพี่ ต้องใช่แน่ๆ!!”
“ฮึ่มม.. ตรงไปทางนั้น มันมีเมืองอยู่นี่นา ใช่ไหมพี่?” เขามองไปยังทิศทางที่รอยเท้านำไป
“ริเวอร์แบงค์ ริเวอร์แบงค์นี่เอง ฮ่าๆๆๆๆๆ!!” ชายปริศนาตะโกนลั่นด้วยความดีใจ เหมือนกับเขาถูกรางวัล
ที่หนึ่งแจ็คพ็อตแตก เหมือนกับคนบ้าเสียสติ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็คลานตัวเองกลับไปยังม้าของเขา
และค่อยๆพยุงตัวขึ้นมาอย่างช้าๆระมัดระวัง โยนร่างตัวเองขึ้นไปบนหลังม้าได้สำเร็จ หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่นั่งบนม้าจากด้านข้าง เหมือนท่าของสุภาพสตรีนั่งบนม้า เนื่องจากเขาไม่สามารถนั่งแบบ
ปกติและทนรับความเจ็บปวดจากแผลระหว่างขาของเขาได้ “นักบวชที่ผ่านทางมางั้นหรอ ขิกๆๆๆ” เขาพึมพำกับตนเอง
“ไปกันเถอะเจ้าเกลอ ข้ามีเรื่องต้องทำ” ชายฉกรรจ์ตบหลังม้าของเขาเบาๆ ก่อนที่มันจะเริ่มเดินไปด้านหน้า
จุดมุ่งหมายคือเมืองริเวอร์แบงค์นั่นเอง “ไม่ต้องห่วงพี่ ผมจะแก้แค้นให้ทุกคนเอง ฮิๆๆๆๆ”
........................................................................................................
เช้าวันรุ่งขึ้นณ ใจกลางป่าใหญ่ ชายวัยกลางคนผมสีขาวลืมตาขึ้นมาจากการหลับใหลอันยาวนาน โทนี่ รีด ที่ได้รับบาดแผล
บริเวณท้ายทอยอย่างสาหัส เขาคิดว่าเขาจะตายไปแล้ว แต่กลับตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โทนี่พยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นมา
แต่ก็พบกับอาการปวดหัวอย่างหนัก ทำให้เขาล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง
“อะไรกัน…?” ด้วยความมึนงงและสับสน เขาพยายามมองไปรอบๆ พบว่าเขานั้นไม่ได้อยู่ห่างจากตำแหน่งเดิมมากนัก
แต่เหมือนกับเขาถูกลากให้มาอยู่ใกล้แม่น้ำ ให้ง่ายต่อการรักษามากขึ้นเท่านั้นเอง โทนี่เอามือจับบริเวณเข็มขัดของเขา
เพื่อหาปืนและอาวุธยุทโธปกรณ์ประจำตัวของตนเอง แต่ก็หาไม่เจอ ทำให้เขาตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ถ้าหาปืนอยู่ล่ะก็ อยู่นี่ครับ” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นมาด้านข้างเหนือหัวด้านหลัง ถึงโทนี่จะพยายามหันไปมอง
แต่อาการบาดเจ็บของเขาทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไปด้านหลังเพื่อมองหาตัวตนของชายคนนั้นเลย
เขาจึงเอนหัวไปด้านขวาและมองเห็นปืนคู่ใจสองกระบอกของเขาวางอยู่อย่างปราณีต เก็บใส่ซองอย่างละเมียดละไม
เขาจึงพยายามยื่นมือออกไปเพื่อคว้ามัน
“ไม่ต้องรีบหรอกครับคุณโทนี่ รีด” เสียงปริศนาดังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมแต่ความรู้สึกของโทนี่ บอกเขาว่าชายคนนี้
ไม่ใช่ศัตรู และเขาเชื่อใจได้
“นาย..เป็นใคร ช่วยชั้นไว้ทำไม..” โทนี่กล่าวเบาๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คำตอบที่เขาต้องการ
“บาดแผลที่ศีรษะของคุณเนี่ย ไม่ใช่เล่นๆเลยนะครับ สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างเห็นได้ชัด” ชายหนุ่ม
ปริศนากล่าวตอบ แต่มันไม่ได้ตอบคำถามของโทนี่เลยสักนิด
“จากนี้ไปทำอะไรอาจจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ หรือเห็นภาพหลอนได้” เขาอภิปรายต่อ
“ที่ผมอยากจะบอกก็คือ ภารกิจ ของคุณน่ะ” เขาหยุดชั่วครู่ โทนี่เริ่มไม่สบายใจ เพราะดูเหมือนชายคนนี้รู้จักเขาไปซะทุกเรื่อง
“จะลำบากขึ้นหลายเท่านัก” เสียงทั้งคู่เงียบลง
“นอกจากนั้นเนี่ย คุณยังไม่ได้จ่าย การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ให้ผมเลยนี่นา”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น โทนี่ก็สปริงตัวขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด “ชั้นจะถามอีกครั้ง … แกเป็นใคร!!” ภาพที่เขาเห็นนั้น
เบลอและเรือนลางจากผลกระทบของแผลที่ศีรษะ แต่ใครก็ตามที่สนทนาอยู่กับเขาเมื่อครู่นั้นไม่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“ผมนับถือความมุ่งมั่นของคุณจริงๆเลยนะคุณโทนี่ อาการบาดเจ็บขนาดนั้นยังลุกขึ้นมาได้อีก” เสียงปริศนาดังขึ้นมา
อีกครั้งจากด้านหลังของเขา ทำให้เขาหันไปหาทันที
“ผมก็แค่นักบวชที่ผ่านมาเท่านั้นเอง” ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของโทนี่ เป็นเด็กหนุ่มผมสีม่วงวัยยี่สิบต้นๆ
หลวงพ่อคอนสแตนติน เดรธนอท นั่นเอง ในมือของเขานั้นถือขวดน้ำอยู่ และไม่มีทีท่าจะจู่โจมนักล่าค่าหัวผมขาวเลยแม้แต่น้อย
“กางเขนนั่น ชั้นเคยเห็นมาก่อน ริเวอร์แบงค์?” โทนี่เอ่ย “มาทำอะไรที่นี่ มันตั้งไกล”
“แกรู้จักชั้น กับภารกิจของชั้นได้ยังไง?” “การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมที่แกว่าคืออะไร หลวงพ่อ?”
การยิงคำถามรัวๆของโทนี่ทำให้คอนสแตนตินยิ้มออกมาด้วยความไม่คาดคิด แต่ก็เช่นเดิม
ไม่คิดจะตอบคำถามอะไรของเขาอยู่แล้ว “โทนี่ รีด คุณเชื่อในโชคชะตาหรือเปล่าครับ?”
คำถามนี้ทำเอาโทนี่ไปไม่เป็น ปกติเขาอาจจะปะทะวาจากับบาทหลวงขี้เล่นคนนี้ได้ แต่ตอนนี้โทนี่
ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ หรือสภาพร่างกายที่ทำให้เขามีอารมณ์ขันได้เลย
“อย่างที่บอกแหละครับคุณโทนี่ ผมก็แค่นักบวชที่ผ่านมา…” เขาเดินเข้ามาหาโทนี่ช้าๆ และยื่นถ้วยเล็กๆ
ที่มียาและสมุนไพรให้เขาดื่ม
“บางทีโชคชะตาอาจจะพาผมมาที่นี่ก็ได้”
“ไม่สิ … คงจะเป็นแบบนั้นแหละน้า” เขาหยุดเล็กน้อย “เรื่องคำถามของคุณน่ะ”
“ชื่อเสียงของคุณน่ะเลื่องลืออยู่นะ คุณโทนี่” คอนสแตนตินกล่าวเบาๆ ทำให้โทนี่หูผึ่งด้วยความสนใจ
“ศัตรูที่คุณสร้างในภารกิจนี้น่ะ มีแต่ตัวอันตรายทั้งนั้นเลยนา”
“แล้วแกช่วยชั้นไว้ทำไม บาทหลวง?” เขาดื่มน้ำที่คอนสแตนตินนำมาให้ มันรสขมน่าดูเมื่อเห็น
ใบหน้าอันขมขื่นของโทนี่หลังจากดื่มมันเข้าไป
“ผมเห็นคนนอนเลือดอาบอยู่ที่พื้นรอความตายมาหา” เขาพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“จะให้ผมเดินหนีออกมาหรือยังไงครับ?” โทนี่จ้องมองเขาอยู่สักพัก แต่เขาไม่เชื่อคำพูดของบาทหลวง
ขี้เล่นคนนี้เลย เขาลุกขึ้นมาช้าๆแล้วหยิบปืนสองกระบอกขึ้นมาห้อยไว้ที่ตำแหน่งประจำที่เขาคุ้นเคย
“อย่ามาพร่ำอะไรไร้สาระให้ชั้นฟังเลย แกทำงานให้ใคร ใครจ้างวานแกมา บาทหลวง?”
“ผมทำงานให้คนสองคนเท่านั้นแหละครับ คุณโทนี่” คอนสแตนตินไม่มีท่าทีเกรงกลัวนักล่าค่าหัวคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ตัวผมเอง กับพระเจ้า”
“ในเส้นทางของคุณ จะต้องพบเจอกับ การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ผมเตือนแล้วนะ ว่าจากนี้ไปมันจะไม่ง่าย”
“ถ้าจะขอบคุณผมล่ะก็ ไม่ต้องหรอกนะ ขอบคุณโชคชะตาดีกว่า ที่ทำให้เส้นทางของเราสองคนมาประจบกันที่นี่”
“มุ่งหน้าต่อไปทางตะวันตกซะนะครับ คุณรีด” คอนสแตนตินกล่าวช้าๆ ก่อนที่เขาจะเริ่มมุ่งหน้าเดินออกไปจากที่นี่
ปล่อยโทนี่ให้ครุ่นคิดอยู่คนเดียว ว่าบาทหลวงปริศนาคนนี้เป็นใคร แรงจูงใจของเขาคืออะไรกันแน่
ดูเหมือนเขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับคดีที่เขาตามสืบอยู่ด้วย เขาเลือกที่จะเชื่อสัญชาติญาณตนเอง และบอกตนเองว่าชายคนนี้ไม่ใช่ศัตรู
“เดี๋ยวก่อน บาทหลวง” นักล่าค่าหัวในโค้ทแดงตะโกนเรียกคอนสแตนติน ที่หันมาหาเขา
“ชั้นติดหนี้ชีวิตแกจริงๆ ไว้เจอกันคราวหน้า จะบริจาคเงินให้โบสถ์เยอะๆเลย” เขาพูดจาติดตลกใส่บาทหลวงหนุ่ม
ทำให้ทั้งสองแสยะยิ้มออกมา
“อย่าเอาเงินไปโยนทิ้งแบบนั้นเลยครับ เราไปเล่นไพ่กันดีกว่านะ ถ้าได้เจอกันอีกน่ะ” ก่อนที่เขาจะหันและเดินจากไป
คอนสแตนตินก็หันมาหาโทนี่อีกครั้ง
“การเดินทางพันลี้ เริ่มต้นจากก้าวก้าวเดียวนะครับ คุณโทนี่ อย่าลืมล่ะ” โทนี่พยักหน้าตอบ
ก่อนที่ทั้งสองจะแยกทางกันไปตามทางของตนเอง
“บาทหลวงอะไรฟะ ชวนเล่นไพ่ด้วย” เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนที่จะเดินโซเซกลับไปยังจุดที่เขาก้บจอห์นสันอยู่
ก่อนที่จะถูกบุกโจมตี “บ้าเอ้ย…” เขาใช้มือก่ายหน้า ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงอย่างที่คอนสแตนตินบอก
สมองของเขานั้นได้รับการกระทบกระเทือน แค่แรงสั่นจากการเดิน ก็ทำให้เขาหน้ามืดแล้ว แต่โทนี่ต้องฮึดสู้และเดินทางต่อไป
เขารีบกลับมาในจุดเดิมที่พวกเขาอยู่ โทนี่สังเกตุเห็นศพหลายศพที่เขายิงตายไปเมื่อคืนก่อน
เขาจึงเข้าไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่เจออะไรที่จะพอเป็นเบาะแสได้เลย โทนี่จึงกลับมาแกะรอยเท้าม้า
ของเขาเองอีกครั้ง ที่บิ๊กดิ๊กจอห์นสันขี่หนีไป พบว่ามันมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ทางเดียวกับที่
คอนสแตนตินบอกให้เขาไปเมื่อครู่
“ตะวันตกงั้นหรือ…” นักล่าค่าหัวผมเงินกล่าวเบาๆกับตนเอง “เมืองที่ใกล้ที่สุดคือเมิร์กวู๊ด ถ้าเดินเท้าไป
คงใช้เวลาเกือบสองวัน” เขามองไปยังทิศตะวันตก ถึงจะมีคำถามมากมาย บวกกับการที่บาทหลวงบอก
ว่าการเดินทางของเขาจะอันตรายมากขึ้นมากนัก แต่ก็ไม่มีเวลาให้เสียอีกแล้ว
.............................................................................................................
หนึ่งวันถัดมา
โทนี่ห้าสิบกิโลเมตรจากเมิร์กวู๊ด
ชายปริศนายี่สิบกิโลเมตรจากริเวอร์แบงค์
ที่ตั้งแคมป์ของแก๊งค์เกทส์ เช้าตรู่วันนี้ของฐานทัพที่แก๊งค์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย วันนี้เป็นวันที่พวกเขาต้องออกปล้นรถไฟ
ขนทองที่วางแผนกันไว้สองวันก่อน ทุกคนตื่นเต้นและเต็มไปด้วยพลังงานสำหรับงานนี้ หลายๆคน
นั่งขัดปืนของพวกเขา แต่งตัวให้เรียบร้อย บ้างก็กำลังดูแลม้าของตนเพื่อให้พร้อมวิ่งในวันนี้ ทุกคนคุย
สนทนากันอย่างฮึกเหิม จนกระทั่งอลันเดินผ่านพวกเขา ทำให้พวกเขาโฟกัสกับงานตรงหน้ามากขึ้น
“เฮนรี่อยู่ไหนล่ะ? มีใครเห็นเฮนรี่บ้าง” บอสเล็กถามไปรอบๆ ถามหามือขวาของเขา โจรปล้นรถไฟ
หนุ่มแต่งตัวพร้อมลุยเหมือนอย่างเคย เสื้อเชิ้ตสีดำและเสื้อกั๊กตัวนอกสีน้ำเงิน พวกเขาต้องเปลี่ยนชุด
เรื่อยๆเพื่อป้องการการถูกจำได้ตามเมือง ผ้าปิดปากสีดำของเขาพร้อมใส่อยู่ที่คอ หมวกสีน้ำตาลบนศีรษะ
ปืนสองกระบอกที่ใต้รักแร้ของเขามันเงาพร้อมออกลุย
“เฝ้าทางเข้าอยู่ครับบอส” เสียงสองสามเสียงตอบในขณะที่เขาเดินผ่าน อลันพยักหน้าตอบและเดินจากมา
ปล่อยให้ลูกน้องของเขาเตรียมตัวกันต่อไป
“บอสเล็กคะ” เสียงผู้หญิงดังขึ้นจากด้านหน้าแคมป์ของพวกเขา หญิงสาวคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามา
ในแคมป์ช้าๆ เธอมีผมยาวถึงคอสีบลอนด์ ใบหน้าสวยงาม ปิดตาข้างซ้ายด้วยที่ปิดตาสีดำ
ดูท่าจะอายุราวๆยี่สิบกลางๆ เธอใส่เสื้อกั๊กสีแดงและพันผ้าปิดปากไว้ที่คอ
“ว่าไง เอลิซ่า สำรวจทางเป็นไงบ้าง” อลันหันไปคุยกับเธออย่างผ่อนคลาย เอลิซ่า สมิธ
เป็นอีกหนึ่งในสมาชิกฝีมือดีในกลุ่มของเขา
“อีกสองชั่วโมงจะมาเจอที่จุดนัดภพ ดิชั้นว่าพวกเราน่าจะออกไปเตรียมตัวกันได้แล้วล่ะค่ะ”
เธอกล่าว หมายถึงเหล่าลูกน้องในกลุ่มที่ยังมัวแต่เอ้อระเหยเตรียมตัวกันไม่เสร็จเสียที
“อ่า…” อลันกล่าวตอบเบาๆ “เรื่องนั้นฝากเธอบอกเจ้าเอ็ดทีนะ ว่าให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม
เราจะออกเดินทางกันในอีกสิบนาที” บอสเล็กออกคำสั่ง เขาชี้ไปยังชายเม็กซิกันร่างใหญ่ที่
อยู่อีกฟากของแคมป์ “ชั้นต้องไปหาเฮนรี่ก่อน” เอลิซ่าพยักหน้า ก่อนจะลงจากม้าและมุ่งหน้าไปหาเอ็ด
“เอ็ด บอสเล็กบอกให้นายจัดการให้ทุกคนพร้อมออกเดินทาง” เอลิซ่าที่เดินมาหาเขากล่าวขึ้น
เอ็ดนั้นกำลังใส่ดินปืนปืนไรเฟิลทีละกระบอก ส่วนใหญ่พวกเขาไม่ได้ใช้หรอก แต่ก็เอาไว้ในกรณี
ที่ไม่มีทางเลือก ชายเม็กซิกันมองไปรอบๆแคมป์และมองหากลุ่มคนที่ยังเตรียมตัวไม่เสร็จ และเดินเข้าไปหา
แค่การมาของมือปืนชาวเม็กซิกัน ก็ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นหวาดกลัวจนเลิกเอ้อระเหยได้แล้ว
เอ็ดตะโกนเรียกความพร้อมของทุกคนในแคมป์ ไม่นานนักพวกเขาก็เตรียมการสำเร็จ
“คิดว่าไงเอลิซ่า แผนการวันนี้” เอ็ดถามโจรปล้นรถไฟหญิง
“คิดยังไงหรอ? ก็เหมือนทุกทีแหละเอ็ด” เธอกล่าวตอบขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปที่ม้าของตนเอง
“ขี่ม้า แหกปากโวยวายนิดหน่อย ลั่นกระสุนสักสองสามนัด แล้วก็ขี่กลับพร้อมเงินก้อนโต” เธอกล่าวอย่างเอ้อระเหย
“เรื่องใช้สมองน่ะปล่อยให้บอสกับเฮนรี่เขาทำกันก็พอแล้ว” เธอกล่าวต่อ
“เพราะแบบนี้ไง เธอกับชั้นเลยอยู่ด้วยกันได้ ฮ่าๆๆ!” ชายเม็กซิกันหัวเราะด้วยความร่าเริง
“แต่พักนี้ชั้นรู้สึกไม่ค่อยดีเลยนา เหมือนในกลุ่มเรามันมีคนไม่ลงรอยกัน เธอคิดแบบนั้นบ้างไหม?”
เอลิซ่าหันมามองชายร่างใหญ่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบ “ชั้นไม่สนอะไรแบบนั้นหรอกนะเอ็ด”
“หะ” คำตอบของเธอ ทำเอาเอ็ดตกใจเล็กน้อย “ครอบครัวแตกแยกเลยนะเฟ้ย นี่เธอจะไม่สนใจหน่อยหรอ”
“ครอบครัวงั้นหรอ … ไร้สาระน่า” เธอหัวเราะเบาๆทางจมูก
“ที่ชั้นมาอยู่ที่นี่ก็เพราะเงินเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ของไร้สาระอะไรแบบนั้นสักหน่อย”
ทั้งสองขึ้นม้าของตนเอง ดูเหมือนคนอื่นๆจะเริ่มออกเดินทางกันแล้ว มันใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง
จากแคมป์ไปถึงจุดนัดภพ โจรราวสามสิบราย ก็เริ่มทยอยออกเดินทางอย่างช้าๆ รวมถึงทั้งสองคนด้วย
ปกติแล้วนั้นอลันจะเป็นคนนำขบวน ตามด้วยเอลิซ่า ปิดท้ายที่เฮนรี่กับเอ็ดที่จะคอยระวังหลังให้
แต่คราวนี้อลันกับเฮนรี่นั้นอยู่ด้านหน้าสุด ทั้งสองจึงรอให้ทุกคนออกไปก่อน แล้วค่อยตามไป
“ฟังนะ เอ็ด” เอลิซ่าพูดขึ้นมาระหว่างการเดินทาง
“นายไม่ต้องกังวลอะไรให้มันมากมาย” เธอกล่าว “พวกเราน่ะเป็นแก๊งค์โจร มันไม่มีคำว่าแน่นอนอะไรทั้งนั้น”
“สิ่งเดียวที่วางแผนได้ก็คือการปล้นเท่านั้น ชีวิตที่เหลือน่ะ พวกเราก็ไหลไปตามลม ตามกระแสน้ำ”
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พวกเราไม่มีอำนาจไปหยุดมัน สิ่งที่พวกเราควรทำน่ะ”
“ก็คือไหลไปตามน้ำ และไม่ว่ายังไงก็ตาม ก็ให้หาเงินมาให้ได้ แค่นั้นเอง” สายตาของเอลิซ่า
มองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย มันเหมือนกับสายตาของคนที่ไม่มีความมุ่งมั่นใดๆในชีวิต
มีแค่ความร่ำรวยเท่านั้น ที่อยู่ในความคิดของเธอ
สิ้นเสียงของโจรสาว เอ็ดก็ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ เขานั้นไม่ได้ไม่เห็นด้วยอะไรกับคำพูดของเอลิซ่า
บางทีตัวเขาเองก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาเช่นกัน ไหลไปตามน้ำแบบไม่มีจุดหมาย เขาไม่ได้มีอุดมการณ์อันแน่วแน่
หรือความมุ่งมั่นที่น่านับถือของอลัน เขาก็แค่ไหลไปตามน้ำวันๆเท่านั้นเอง
หน้าขบวนอลัน เกทส์ หัวหน้าแก๊งค์โจรปล้นรถไฟแห่งนี้ ขี่ม้าสีดำนิลของเขานำขบวนเหล่าโจรกว่าสามสิบชีวิต
มุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบ ที่พวกเขาได้รับข้อมูลมาจากสาย สีหน้าของเขาเคร่งเครียด ดูโฟกัสมากเป็นพิเศษ
แต่เขาไม่ได้เครียดเกี่ยวกับการปล้นที่จะมาถึงนี่แต่อย่างใด เพราะแผนการของพวกเขาไม่เคยพลาด
ตราบใดที่ข้อมูลที่ได้รับมานั้นเป็นความจริง พวกเขาจะนำหน้าเหล่าผู้รักษากฏหมายอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ
แต่วันนี้สิ่งที่ทำให้อลันไม่สบายใจนั้น คือความสัมพันธ์ของเขากับลูกน้องของเขามากกว่า
“เฮนรี่ มาขับคู่ชั้นหน่อย” อลันหันไปบอกมือขวาของเขา ชายผมบลอนด์หน้าคมเข้ม ในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน
เฮนรี่หันไปมองด้านหลัง ก่อนจะเร่งความเร็วม้าของเขาขึ้นมาขนาบข้างอลัน ถึงทางที่พวกเขาวิ่งอยู่
จะเป็นเส้นทางแคบๆที่ขนาบข้างไปด้วยต้นไม้ แต่มันก็มีที่พอให้ม้าสองตัววิ่งคู่กัน
“มีอะไรหรอบอสเล็ก!” เฮนรี่กล่าว
“ชั้นอยากจะคุยกับนายเรื่องที่ผ่านมาสักหน่อย” อลันเอ่ย “ชั้นรู้ว่านายเองก็ไม่สบายใจ ช่วงสองสามวันมานี่”
เฮนรี่หัวเราะเล็กน้อย ราวกับว่าเขาไม่อยากคุยเรื่องนี้ในตอนนี้
“ไม่เอาน่าบอส! จะมาแสดงความในใจอะไรกับผมก่อนงานเล่า!” เขาพยายามตีตลก แต่อลันไม่เล่นด้วย
“เฮนรี่ ชั้นอยากทำให้มั่นใจว่านายจะไม่ขัดคำสั่งชั้นอีก ต่อจากนี้” เขามองเฮนรี่ด้วยสายตาเย็นชา
เป็นด้านที่อลันไม่ค่อยโชว์ให้ใครเห็น “นายตั้งคำถามกับกฏของชั้น ครั้งที่แล้ว มันอาจจะทำให้
เรามีเงินใช้มากขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่มันทำให้อุดมการณ์ของพวกเราหมองหม่น”
“ของพวกเรางั้นหรอบอส!!” เขาพูดประชดประชัน แต่ไม่ได้ว่าอะไรมากกว่านี้ ทำให้อลันไม่ได้เอะใจอะไร
“ฟังนะเฮนรี่ มันไม่ใช่แค่เรื่องอุดมการณ์อย่างเดียว” อลันเร่งความเร็วม้าของเขา จากเดินเป็นวิ่งเหยาะๆ
เพื่อเพิ่มระยะห่างของเขากับลูกน้อง และเขาก็ส่งสัญญาณให้เฮนรี่ตามมาด้วย
“ผู้คนน่ะ ชอบศาลเตี้ย ชอบตัวละครชั่วร้าย แต่มีกลิ่นไอความเป็นคนดี มีกลิ่นไอความยุติธรรม”
“เมื่อเราปล้นรถไฟ คนที่ถูกปล้นก็จะโกรธแค้นพวกเรา สาปแช่งพวกเรา ตามล่าพวกเรา”
“แต่อีกครึ่งหนึ่งที่ไม่เป็นอะไรล่ะ?” อลันหยุดสักครู่ เฮนรี่ทำหน้าครุ่นคิด เขาไม่เคยใส่ใจเรื่องอะไรพวกนี้เลย
“มนุษย์น่ะเห็นแก่ตัว พวกมันไม่สนใจหรอกว่าใครจะเป็นอะไร ขอแค่ตนเองปลอดภัยก็พอแล้ว”
“พวกเขาอาจจะมองเราเป็นตัวอันตราย แต่ในเศษเสี้ยวความคิดนั้น มันมีบางสิ่งบางอย่างอยู่”
“มันคือความยุติธรรมไงล่ะ เฮนรี่” ทั้งสองมองหน้ากัน
“ขอแค่เมล็ดพันธ์ความคิดนั้นถูกฝังลงไปบนสมองคนพวกนั้น” อลันกล่าวเบาๆ
“เมล็ดพันธ์นั่นแหละ ที่ทำให้พวกเรารอดมาจนถึงวันนี้ได้”
เมื่ออลันพูดจบ เฮนรี่ก็ยิ้มเล็กๆขึ้นมา “บอส.. ผมไม่เข้าใจอุดมการณ์ หรือความคิดล้ำลึกอะไรแบบนั้นหรอกนะ” เขากล่าว
“แต่ ผมก็ไม่ใช่คนโง่” “ชั้นรู้” อลันตอบ
“ฟังนะ ผมไม่เคยคิดจะแหกกฏอะไรพวกนั้น นั่นมันแค่เรื่องที่เกิดครั้งเดียวแล้วจบไป”
“แต่นี่น่ะ … ไม่สมกับเป็นบอสเลยนะ” เฮนรี่กล่าวเบาๆ “หมายความว่ายังไง”
“รับงานนี้มา ผมรู้นะว่าบอสกลัวน่ะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กลัวว่าจะสูญเสียความนับถือจากพวกนั้น ผมดูออก”
“ชั้นเชื่อใจโทมัส” อลันกล่าว
“หึ บอสรู้อยู่แก่ใจน่า ว่าถึงพนักงานขายตั๋วนั่นจะเป็นเส้นให้เรา แต่มันก็ไม่ทำให้งานนี้น่าสงสัยน้อยลงเลย” เฮนรี่ตอบ
“อีกอย่างทองเนี่ยนะ! ปล้นมาก็ไม่ได้เอาไปใช้ ทองจากคราวก่อนยังซ่อนอยู่เลย จนลืมไปแล้วว่าซ่อนไว้ไหน!” เขาเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้เกิดความแตกแยกมากไปกว่านี้ พยายามใช้โทนไม่ซีเรียส แต่อลันนั้นดูออก
“หยุดก่อนทุกคน!” บอสแห่งแก๊งค์เกทส์ส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องที่ตามเขามาหยุดม้า
ทีมปล้นรถไฟเดินทางมาถึงจุดนัดพบของพวกเขา มันเป็นหน้าผาสูงหลายสิบเมตร
อลันที่หยุดม้าของเขาที่ขอบผา ทำให้มองเห็นทิวทัศน์กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ภูเขาแม่น้ำ
ดงหญ้าป่าไพร และแน่นอนว่ารวมไปถึงรางรถไฟที่พวกเขาเล็งเป้าหมายไว้ด้วย ถึง ณ
ตอนนี้จะยังไม่มีวี่แววขบวนรถไฟแล่นมา แต่เอลิซ่าที่ไปสำรวจต้นทางไม่มีทางพลาดเรื่องเวลาแน่ๆ
“เอาล่ะ ชั้นจะบรีฟคร่าวๆให้ฟังอีกครั้ง” อลันหันม้าของเขากลับหลังไปเผชิญหน้ากับสมาชิกทีม
ปล้นอีกยี่สิบกว่าชีวิต ชายฉกรรจ์หลากหลายยวัยอายุ อยู่ในสภาพพร้อมลุย พวกเขารอตั้งใจ
ฟังหัวหน้าของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ ถึงจะทบทวนแผนปล้นมาหลายรอบเพื่อให้การลงมือ
ไม่มีข้อผิดพลาดแล้วก็ตาม
“ระยะผ่านรางนี้ อย่างที่รู้ๆกัน หนึ่งสองร้อยกิโลเมตรไม่มีที่พัก บวกกับการที่พวกเราเพิ่งลงมือไปเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“สถานีรถไฟคงมีการคุ้มกันเยอะกว่าเดิมเป็นพิเศษ เพราะงั้นเราต้องใช้วิธีไล่รถด้วยม้า” เขากล่าว ความเป็นผู้นำของเขาทำให้ลูกน้องฟังอย่างใจจดใจจ่อไม่ละสายตา
“ชั้น เฮนรี่ จะนำทีมแรก ขนาบขวาตามแนวแม่น้ำ ขนาบคู่ขบวนคนขับ และทำให้พวกมันหยุด”
“หวังว่าจะไม่มีใครลืมนะว่าตัวเองอยู่ทีมไหน” เขาหยุดเพื่อให้คนพูดขึ้นมา แต่ไม่มีใคร ทุกคนพยักหน้าเพื่อบอกบอสเล็กว่าไม่มีใครลืม
“ดีมาก” เขากล่าวต่อ และชี้ไปยังมือปืนร่างใหญ่ชาวเม็กซิกัน “เอ็ดจะนำทีมสอง ขนาบซ้ายที่ท้ายขบวน วิ่งผ่านเนินเขาตรงนั้น เป็นเนินไม่ชันลาดยาว” อลันชี้ไปทางซ้าย สมาชิกทีมสองก็หันไปดูตามๆกัน
“และทีมสุดท้าย นำโดยอลิซ่า ในอีกห้านาทีพวกนายต้องออกก่อนที่รถไฟจะมา” เขาหันไปคุยกับโจรปล้นสาว พร้อมๆกับลูกทีมของเธอที่อยู่ด้านหลัง
“อ้อมป่าด้านขวาออกไป แล้ววนกลับมาตั้งหลักรอด้านหน้า สแตนด์บายไว้ถ้าเกิดพวกมันไม่หยุด ระเบิดรางได้เลย”
ระบบแบ่งทีมเป็นสิ่งที่แก๊งค์เกทส์คุ้นเคยกันเป็นอย่างที พวกเขาทำการปล้นหลากหลายวิธี ปรับแต่ง
เปลี่ยนแปลงตามสถาณการณ์และพื้นที่ แต่ในการจี้รถไฟที่วิ่งอยู่นั้นจะต้องใช้ทีมเวิร์คมากกว่าปกติ
เนื่องจากความเร็วทำให้เกิดอันตรายสูง ทีมแรกของอลันนั้นเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการขี่ม้าสูง
สามารถพาม้าผ่านพื้นที่ที่อันตรายได้ และคล่องแคล่วว่องไว ทีมของเอ็ดนั้นเป็นเหมือนกำลังของแก๊งค์
พวกเขาข่มขู่ สร้างความหวาดกลัว เหมือนกับการตีกลองรบเพื่อข่มขวัญศัตรูเมื่อคราสงคราม
และเอลิซ่านำทีมอาวุธหนัก ปืนยาว ไรเฟิล ระเบิดไดนาไมต์
“ถึงเวลาแล้วค่ะบอส” เอลิซ่าหยิบนาฬิกาพกของเธอขึ้นมาดู ก่อนที่อลันจะได้ยิน
และพยักหน้าตอบกลับ
“ไปกันได้แล้วทุกคน!” เธอตะโกนสั่งลูกทีม ซึ่งทุกคนก็ดูเชื่อฟังและเคารพเธอไม่ต่างกับอลันเลย
ก่อนที่เหล่าโจรทั้งหกคนจะขี่ม้าออกไป
“ที่เหลือเราก็รอให้รถไฟขบวนนั้นแล่นมา..” อลันกล่าวเบาๆ ไม่กี่อึดใจ ที่สุดขอบฟ้า
รถไฟขนทองที่เหล่าโจรปล้นรถไฟรอคอยก็โผล่เข้ามาในสายตาพวกเขา ถึงมันจะอยู่ไกลจน
เหมือนเป็นจุดเล็กๆที่มองไม่เห็น แต่มันก็ถือเป็นสัญญาณให้พวกเขาออกรบ
“ลุยกันเลย!!” บอสเล็กตะโกนสั่ง ลูกน้องของเขาขานรับอย่างฮึกเหิม ก่อนที่ม้าสองกลุ่มใหญ่จะขี่แยกออกไปกันคนละทางด้วยความว่องไว
“ฮย่าห์!!” อลันนำทีมของเขาขี่ม้าลงเขามาอย่างว่องไว ซอกแทรกทางแคบในป่าใหญ่
ผ่านต้นไม้ รากไม้อย่างชำนาญและไร้ความเกรงกลัว ลูกทีมของเขาเองก็เช่นกัน
ทีมของอลันมีอยู่สิบกว่าชีวิต โดยที่มีเฮนรี่ คีน มือขวาของเขาปิดขบวน เขาหันกลับไปเช็ค
ลูกทีมของเขาเป็นพักๆ แต่ก็ไม่ลดสปีดลง ถ้าเป็นเรื่องบนหลังม้า ชายคนนี้ไม่แพ้ใครแน่ๆ
หลังจากขี่มาได้ชั่วอึดใจ อลันก็พ้นมาจากป่าทึบ ออกมาเจอกับรางรถไฟและแม่น้ำยาวสุดตา
เหมือนกับแผนที่พวกเขาวางไว้ และการกะเวลาของพวกเขาก็สมบูรณ์แบบ รถไฟขนทองนั้น
เพิ่งผ่านจุดที่พวกเขาอยู่ไปหมาดๆ หมายความว่าทีมของอลันจะเข้าตำแหน่งได้อย่างไม่มีปัญหา
บอสเล็กที่กำลังเร่งสปีดเพื่อไล่ตามรถไฟ หันไปดูด้านซ้ายมือของเขา และเห็นทีมของเอ็ด
กำลังตามมาไกลๆอยู่จากบนเนินกว้าง เมื่อเขาเห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว อลันจึงดึงผ้าปิดปาก
ของเขาขึ้นมาและใส่มัน ก่อนจะเร่งสปีดม้าของเขาไปจนสุด ระยะทางระหว่างทีมของอลันกับ
ขบวนเป้าหมายก็สั้นลงเรื่อยๆ
“ฉึกๆๆๆ!!” เสียงเครื่องยนต์และล้อที่กระแทกรางของรถไฟขนทองดังและดังขึ้นเรื่อยๆ
มันก้องกังวาลจนการสื่อสารด้วยคำพูดแทบเป็นไปไม่ได้นอกจากจะตะโกนสุดเสียง
แต่มือฉมังเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันก็รูว่าต้องทำอย่างไร อลันหันไปหาลูกน้อง
ของเขาที่วิ่งอยู่ใกล้ๆกัน เหมือนแค่มองตาก็รู้ใจ ชายฉกรรจ์คนนั้นเร่งความเร็วม้าแซงอลันไป
และมุ่งหน้าไปยังที่คนขับ
ด้านซ้ายมือของรถไฟ ทีมของเอ็ด เวลา 13.13มือปืนชาวเม็กซิกันนำทีมอันน่าเกรงขามของเขาขนาบซ้ายมาอย่างอึกทึก ตามหลังพวกของ
อลันแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น พวกเขาเป็นเหมือน ‘ทัพเสริม’ ที่มาข่มขวัญศัตรู ด้วยหลักจิตวิทยา
ในการวางแผนของอลัน ถ้าแยกกันมาแบบนี้จะส่งผลให้อีกฝ่ายหวาดกลัวและตื่นตระหนกกว่าวิ่ง
ไปพร้อมกันทุกคน และการขนาบสองด้านเป็นระบบ ก็ทำให้ช่วยแก้สถาณการณ์เฉพาะหน้าได้ง่ายกว่าด้วย
“เอาล่ะ! พวกเราได้เวลาตีเข้าไปแล้ว!!” เอ็ดตะโกนสั่ง หลังจากเห็นสมาชิกคนหนึ่งของทีมอลัน
วิ่งนำไปเพื่อหยุดรถไฟ เขาตีโค้งขวาเพื่อเข้ามาใกล้รถไฟมากขึ้น จากด้านนี้ เอ็ดสามารถเห็น
หน้าต่างและมองเข้าไปในรถไฟได้เล็กน้อย “ทำไมมันแปลกๆนะ” เขาคิดเบาๆในใจ ห้องเก็บของ
ที่ดูไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มันอาจเป็นลางสังหรณ์ของคนนอกกฏหมายก็เป็นได้
หลังจากมือปืนร่างใหญ่ตีโค้งเข้ามา ลูกทีมของเขาก็ตามเข้ามาอย่างฉับพลัน เอ็ดวิ่งขนาบท้ายขบวน
แต่รถไฟที่กั้นขวางพวกเขาไว้นั้นทำให้เขาไม่สามารถสื่อสารกับฝั่งอลันได้เลย “รถไฟจะหยุดในอีก
ไม่กี่อึดใจแล้ว เตรียมตัวได้เลย!!” หัวหน้าทีมที่สองตะโกนสั่งลูกน้อง ที่บางคนก็เริ่มชักปืนพกของพวกเขาขึ้นมาเตรียมตัว
เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ ทีมของเอ็ดยังคงขี่ไล่ตามหลังรถไฟมาติดๆ แต่ดูเหมือนว่ารถไฟขนทองคันนี้
จะยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด มันยังคงแล่นไปด้วยความเร็วคงที่ไม่ลดลง
“คุณเอ็ดครับ! ผมว่ามันแปลกๆนะเนี่ย!พวกมันไม่หยุดขบวนอย่างงั้นเรอะ!!” โจรคนหนึ่งตะโกนไล่หลัง
มาหาหัวหน้าของพวกเขา แน่นอนว่าเอ็ดก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีกับการปล้นครั้งนี้มาตั้งแต่ตอนที่เขามองเข้าไปยังขบวนรถแล้ว
“อดใจรอหน่อยน่า!!” เขาตะโกนตอบอย่างตะกุกตะกัก “ถึงยังไงถ้าพวกมันไม่หยุด เอลิซ่าก็เตรียมระเบิดรางข้างหน้า อย่าเสียสมาธิล่ะ!!”
ชายเม็กซิกันสั่งคำสั่งที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ทำตามไม่ได้ เขารู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์นี้มากๆ เหมือนกำลังจะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น
และแล้วสิ่งที่เอ็ดกังวลก็เกิดขึ้นจริง ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์และรางรถไฟอันดังกังวาล
เขาฟังไม่ผิดแน่ๆ เสียงปืนดังลั่นขึ้นมาหนึ่งนัดจากอีกฟากของรถไฟ ถึงเขาจะยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง
หรือสถาณการณ์ด้านนั้นเป็นยังไง แต่อีกไม่นานเขาก็ได้รู้แล้ว
“นั่นมันเสียงปืน!! เกิดอะไรขึ้น!!” หนึ่งในลูกน้องของเอ็ดตะโกนถาม “ให้ผมเร่งความเร็วขึ้นไปดูด้านหน้าไหมครับ!?”
“ไม่ต้อง! อย่าแตกขบวนไม่ว่ายังไงก็ตาม ทำตามแผนของบอส!” เอ็ดตะโกนกลับท่ามกลางความวุ่นวาย
‘
โครมมมมม’ เสียงรถไฟสะดุดรางดังลั่น พร้อมกับเสียงร้องของสัตว์เดรัจฉาน เมื่อเอ็ดหันไปดู
พบร่างม้าสีน้ำตาลอ่อนหนึ่งตัวนอนไร้ชีวิตอยู่ใกล้ๆรางรถไฟ ตั้งแต่บริเวณต้นคอของมันขึ้นไปนั้น
ขาดออกจากตัว เลือดสาดออกมาจากร่างกลายอันเน่าเฟะแปดเปื้อนรางที่รถไฟวิ่งผ่าน
เมื่อเห็นแบบนี้เอ็ดก็รู้ทันทีว่าเสียงปืนนั่นมันไม่ได้มาจากฝั่งของเขาอย่างแน่นอน เป็นคนบนรถไฟ
หรือไม่ก็คนนอกต่างหากที่ยิงพรรคพวกของเขาจนตกม้า ทำให้ม้าสะดุดและถูกเหยียบโดยรถไฟความเร็วสูง
“อะไรกันวะนั่น!!” เอ็ดตะโกนด้วยความตกใจ การปล้นของแก๊งค์เขานั้น ไม่มีคนถูกยิงหรือ
ได้รับอันตรายมานานมากแล้ว พอเหล่าม้าของทีมที่สองเห็นเพื่อนร่วมโลกของพวกมันโดนล้อ
รถไฟตัดคอขาด ก็ต่างกระวนกระวาย ทำให้ขบวนที่เอ็ดวิ่งนับ ระสับระส่ายเหมือนเริ่มเสียขวัญ
หลังจากนั้น เสียงปืนก็ปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน สิบนัด ยี่สิบนัด ตัวเขาเองก็ไม่ทราบ
แน่ว่ามีใครยิงอะไรกันเท่าไหร่
“คุณเอ็ด!!” ลูกน้องของเขาตะโกนขึ้นมาอีกครั้งเพื่อถามคำแนะนำจากหัวหน้าของเขา
แต่เอ็ดเองก็ไม่ได้มีความสารถขนาดที่จะให้คำตอบที่แก้ไขความตื่นตระหนกของทุกๆคนในตอนนี้ได้
ทันใดนั้นเอง ก่อนที่ทีมของเขาจะได้ตัดสินใจลงมืออะไร ก็มีม้าสองตัววิ่งตามมาจากด้านหลัง
พวกเขาอ้อมมาจากอีกฟากของรถไฟ เฮนรี่ และโจรจากทีมของอลันอีกหนึ่งคน ทั้งสองขี่ม้า
มาด้วยท่าทางตื่นตระหนก ถึงจะไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดนั้นว่าเฮนรี่
ไม่พอใจเอาอย่างมากๆ ส่วนอีกคนนึงนั้นเหงื่อแตกและกลัวสุดขีด ทั้งคู่ถือปืนพกของพวกเขาไว้หนึ่งมือ
ดูเหมือนว่าจะเกิดการยิงปะทะกันขึ้น
“เอ็ด!! พวกเราต้องไปกันแล้ว! เร็วเข้า!!” เฮนรี่ตะโกนพร้อมเร่งความเร็วขึ้นมาจากด้านหลัง
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมถึงหยุดรถไฟไม่ได้!? แล้วบอสล่ะ!?” เขาถามด้วยความตื่นตระหนก
เฮนรี่นั้นขี่ม้าฉีกออกไปด้านซ้ายเพื่อขึ้นเนินเขาและพยายามหนี ก่อนที่เขาจะหันไปตอบ
เพื่อนโจรของเขา “บอสตายแล้วเอ็ด ไม่มีเวลามาอธิบาย เดี๋ยวไวค่อยคุยกัน!!” คำตอบของเฮนรี่
ทำเอาทุกๆคนตรงนั้นตกใจและช็อคสุดขีด หัวหน้าผู้มากฝีมือของพวกเขาเนี่ยนะ จะตายจากการ
โดนยิงบนหลังม้า เอ็ดสับสน เพราะเขาจำได้ว่าม้าที่ถูกตัดคอไปนั้นไม่ใช่ของอลัน แต่ก็ยังไม่รู้ว่า
มีผู้เสียหายมากเท่าไหร่
“พูดอะไรของแกวะ!” เขาตอบกลับด้วยความโมโห “แล้วพวกเอลิซ่าล่ะ ทำไมเราถึงไม่หยุดรถไฟ!!”
“เอลิซ่ายิงคุ้มกันให้คนที่เหลือ กำลังพาพวกนั้นกลับมา” เฮนรี่ตะโกน
“รถไฟน่ะเดี๋ยวอีกไม่นานมันก็หยุดแน่ๆ แต่มันไม่ทองข้างในหรอกไอ้โง่เอ้ย!” เขาหยุดเล็กน้อย
“เราโดนไอ้คนขายตั๋วหลอกให้แล้ว บนนั้นน่ะมีแต่พวกมือปืนที่รัฐบาลจ้างมาฆ่าเรา!!”
เมื่อพูดจบ เฮนรี่ก็เร่งความเร็วขึ้นไปอีก ดูเหมือนพวกบนรถไฟจะยังต่อสู้กับพรรคพวกของ
พวกเขาอีกฟากหนึ่งอยู่ ทำให้ไม่มีเวลามาโจมตีพวกเขา และดูเหมือนว่าเฮนรี่จะไม่อยาก
ตอบคำถามอะไรของเอ็ดอีกแล้ว ทุกคนกำลังสับสนและหวาดกลัว พวกเขาไม่มีทางเลือก
นอกจากจะขี่ม้าหนีตามคำของเฮนรี่ เอ็ดชั่งใจเล็กน้อยและหันกลับไปมอง ก่อนที่จะตัดสินใจ
เปลี่ยนเส้นทางและหนีตามเฮนรี่ไป
“บอส…!”
ยี่สิบกิโลเมตรด้านหน้ารถไฟ ทีมของเอลิซ่า เวลา 13.13
“ตรงนี้แหละ!” เอลิซ่าตะโกนบอกคนในทีม ก่อนที่พวกเขาจะหยุดม้าและค่อยๆลงจากม้าของพวกเขา
ทีมของเธอรวมตัวเธอด้วยทั้งเจ็ดคน ต่างสะพายปืนยาว ปืนไรเฟิล และอุปกรณ์สงครามต่างๆ
ไว้รอบตัวและบนม้า พวกเขามาหยุดที่บริเวณใต้หน้าผาแคบที่รางรถไฟวิ่งผ่าน มันเป็นทำเลที่ดี
ในการทำการดักซุ่มโจมตี แต่เพราะพวกเขานั้นไม่อยากสร้างความเอิกเกริกไปมากกว่าความจำเป็น
ระเบิดรางรถไฟให้ตกรางจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย
เอลิซ่า เดินมาใกล้ๆรางพร้อมกับก้อนระเบิดขนาดใหญ่ ไหล่ของเธอนั้นสะพายปืนไรเฟิลไว้
และค่อยๆก้มลงติดตั้งระเบิดอย่างชำนาญ ในขณะที่คนอื่นๆก็เตรียมการตรวจเช็คอาวุธของพวกเขา
“ส่งคนขี้ม้าไปบนหน้าผาหนึ่งคน คอยส่องสถาณการณ์จากด้านหลัง” เธอสั่ง ถึงแม้ปากเธอจะบอก
ว่าไม่สนใจแผนการ แค่ผลลัพธ์เท่านั้น ไม่ต้องคิดมาก ขอแค่ทำให้ได้เงินมา แต่นั่นเป็นจุดแข็งที่
ทำให้เธอวางแผนได้อย่างรอบคอบเช่นกัน และคนในแก็งค์ รวมถึงอลันเองก็มองเห็นความสามารถในด้านนี้ของเธอ
“้ถ้าเกิดรถไฟเข้าใกล้สักสิบกว่าโล ให้บอกด้วย!” เธอตะโกน “ถ้าเป็นงั้นเราจะขึ้นไปขนาบข้างมันบนผา”
“ถ้ามันเล่นตุกติกก็ยิงแม่งเลย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมกับทำสัญลักษณ์เชือดคอให้ลูกทีมเห็น
“เห็นแล้ว! รถไฟกับทีมของบอสวิ่งตีกันมา!” โจรที่ถูกส่งขึ้นไปบนผาตะโกนขึ้นมา เอลิซ่าจึงหันไปมองรถไฟ
แล้วก็บนหน้าผา “ไอโง่เอ้ย! เอาม้าไปซ่อนหลังหิน แล้วหมอบลงสิวะ!!” เธอตะโกนสั่งด้วยความฉุนเฉียว
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ทำตามทันที เอลิซ่ายกที่จุดชนวนระเบิดให้สมาชิกอีกคนหนึ่งในทีม ก่อนจะหยิบ
กล้องส่องทางไกลขึ้นมาและส่องไปยังทางที่รถไฟกำลังมุ่งหน้ามา
‘ปัง!!’ เสียงปืนดังลั่นขึ้นมาจากรถไฟ เอลิซ่ามองเห็นชายขี่ม้าที่อยู่หน้าขบวนถูกยิงเข้าอย่างจัง
กระสุนพุ่งทะลุบริเวณลำคอของเขาทำให้เสียชีวิตทันที ร่างไร้วิญญาณค่อยๆโซซัดโซเซอยู่บนหลังม้า
ก่อนที่จะตกลงข้างทางอย่างช้าๆ มันไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ข้างๆ ทำให้ม้าไร้เจ้าของเบี่ยงไปทางซ้าย
ก่อนที่ลำตัวของมันจะฟาดเข้ากับรถไฟที่แล่นด้วยความเร็วสูง และเสียท่า ทำให้มันโดนรถไฟเหยียบในที่สุด
“เวรเอ้ย…!” เอลิซ่าสบถเบาๆในลำคอ เธอไม่ต้องดูผ่านกล้องส่องทางไกลต่อก็รู้ทันทีว่าต้องทำอะไร
เสียงปืนอีกหลายนัดเริ่มดังขึ้น “ขึ้นม้า! เตรียมอาวุธให้พร้อม ว่าแล้วเชียวว่ามีอะไรแปลกๆ!”
เธอตะโกนอย่างเด็ดขาด “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!” ท่ามกลางความวุ่นวาย ทุกคนต้องการคำตอบจากหัวหน้าทีมของพวกเขา
“แม่งเป็นกับดัก!” โจรสาวตะโกนด้วยความพิโรธ
“มันล่อเรามาเชือดที่นี่ พวกบอสโดนเล่นทีเผลอแบบนั้นวงแตกแน่ พวกเราต้องรีบไปช่วย!” เธอกล่าว
“ดิเอโก้ตายโหงแล้ว บอสยังอยูดี แต่ถ้าเราไปช้าน่าจะลงนรกกันทั้งแก๊งค์แน่!”
สิ้นเสียงของเอลิซ่า เหล่าโจรประจำทีมสามทั้งเจ็ดนายก็รีบขี่ม้าไปช่วยพรรคพวกของพวกเขาทันที
แค่ชั่วพริบตา ทั้งเจ็ดก็เข้ามาถึงระยะการยิงของรถไฟขบวนนี้ เนื่องด้วยการที่พวกเธอนั้นเข้ามาโดย
ที่คนบนรถไฟไม่ตั้งตัว ทำให้มีความได้เปรียบอยู่ชั่วขณะ เอลิซ่าตั้งปืนไรเฟิลของเธอขึ้น และยิงใส่
มือปืนบนรถไฟ เมื่อเธอลั่นไกออกมาก็เหมือนเป็นสัญญาณที่บอกให้ลูกทีมของเธอเปิดฉากได้เลย
“ถอยไปตั้งหลักกันหลังเขา!!” เอลิซ่าตะโกนบอกเหล่าทีมของอลัน ในระหว่างที่พวกเขากำลังแตกตื่นและค่อยๆโดนยิงร่วงไปทีละคนสองคน “เดี๋ยวพวกชั้นยิงคุ้มกันให้ ไปเร็วว้อย!!”
ไม่ทันตั้งตัว เหล่ามือปืนบนรถไฟเริ่มเสียเปรียบเมื่อทีมของเอลิซ่ามาช่วยเหลือ แต่มันก็ไม่ทำให้
พลิกสถาณการณ์ได้ อีกไม่นาน หากเหล่าแก๊งค์เกทส์ไม่หนีออกจากที่นี่ พวกเขาจะต้องกลายเป็น
ศพกันหมดแน่ๆ เอลิซ่าและลูกทีมพยายามยิงคุ้มกันให้คนอื่นๆหนีไป ในขณะที่ในเวลาเดียวกัน เธอก็มองหาอลันอยู่
“บอสอยู่ไหน!!” เธอตะโกน หลายๆคนที่ได้ยินเธอก็หันมาส่ายหน้าให้ แต่ด้วยที่อยู่ในสถาณการณ์ยากลำบาก
การสื่อสารก็เลยไม่แน่ชัด เธอไม่มั่นใจว่าคนอื่นๆในแก๊งค์ บอกเธอว่าไม่รู้ว่าบอสอยู่ไหน หรือเขาตายไปแล้วกันแน่
รถไฟขบานนี้ยาวเป็นพิเศษ เอลิซ่าเริ่มขี่ม้าสวนขบวน แต่ดูยังไงก็ยังไม่สุดขบวนรถไฟนี้สักที
เธอพยายามวิเคราะห์ว่ามือปืนพวกนี้มีกี่คน ดูเหมือนพวกมันจะกระจุกอยู่แถวหน้าขบวน
แต่จำนวนน่าจะมากกว่าหรือพอๆกับเหล่าโจรเลย เธอมองซ้ายมองขวาสแกนหาบอส
แต่สิ่งเดียวที่เห็นคือคนในแก๊งค์เริ่มโดนยิงตกม้ากันทีละคน
“บัดซบ..!” โจรสาวกัดฟันพูด เธอยังหาบอสไม่เจอ ทันใดนั้นเธอก็นึกได้ว่ามีอีกคนที่เธอยังไม่เห็น เฮนรี่
“เฮนรี่ล่ะ!? เฮนรี่อยู่ไหน!” เอลิซ่าตะโกนถามท่ามกลางเสียงดินปืนที่ดังลั่นก้องฟ้า “ด้านหลัง!”
เสียงตะโกนตอบกลับมาจากใครสักคน เธอไม่มีเวลาหันไปดูว่าใครตอบ แต่แค่มุ่งหน้าไปด้านหลังเท่านั้น
เอลิซ่าวิ่งมาได้อีกชั่วพริบตา เธอมองเห็นเฮนรี่อยู่ไกลๆ เขาอยู่บนหลังม้า ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ
แต่ที่แปลกคือเขาอยู่นิ่ง หันหลังให้รถไฟ ด้านหน้าของเขาเป็นทุ่งต้นไม้เล็กๆ ทางเชื่อมลงไปที่แม้น่ำใหญ๋
ดูเหมือนเฮนรี่จะถือปืนพกของเขาจ่อใครบางคนที่นอนอยู่ในบริเวณพุ่มหญ้านั้น
“เฮนรี่-----!!!” เอลิซ่าตะโกนเรียกสุดเสียงพร้อมกับเร่งความเร็วเข้าหามือปืนผมบลอนด์ดำ
เมื่อระยะทางของทั้งสองเริ่มลดลง สิ่งที่เธอเห็นก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น คนที่กำลังนอนอยู่ใกล้ๆเขา
คนที่กำลังจะถูกเฮนรี่ยิงนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบอสแห่งแก๊งค์เกทส์ อลัน นั่นเอง
‘ปัง!!!’เสียงปืนดังลั่นขึ้นมา มันไม่ได้มาจากการปะทะกันแถวรถไฟ มันคือปืนของเฮนรี่ ที่ยิงไปหา
อลันที่นอนอยู่บนพุ่มไม้ เอลิซ่าเมื่อเห็นดังนั้นก็หยุดม้าของเธอด้วยความตกใจ เธออ้าปากหวอ
ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอเห็น เฮนรี่ทันใดนั้นก็หันมาหาเธอทันที ดูท่าทีของเขาเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น
ทั้งสองจ้องตากัน ไม่มีคำพูดอะไรจะกล้าหลุดออกจากปากของเอลิซ่า
“คุ้มกันคนที่เหลือ ชั้นจะไปบอกเอ็ดก่อน!” ในที่สุดความเงียบก็จบลง เฮนรี่ตะโกนบอกคำสั่งกับเธอ
ก่อนจะขี่ม้าสวนรถไฟต่อ เพื่ออ้อมไปอีกด้านเพื่อหาทีมของเอ็ด เอลิซ่าเมื่อเห็นดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก
เธอต้องตัดสินใจระหว่างแวะไปดูบอส หรือช่วยคนในแก๊งค์ที่เหลือ ในความคิดของเธอ
เธอเองก็นับถืออลันเหมือนกับทุกๆคนในแก๊งค์นี้ แต่ก็ไม่ได้บูชาหรือเคารพอะไรแบบบางคน
อย่างเช่นเอ็ด แต่ผลลัพธ์เท่านั้นคือสิ่งที่เธอต้องการ เธอไม่ได้เข้ามาที่นี่เพื่ออุดมการณ์ เพื่อพรรคพวก
เพียงแค่ความร่ำรวยเท่านั้น
“รีบถอยไปหลังเนิน!!” เธอหันม้ากลับไปทางรถไฟและวิ่งไปด้านหน้า “เร็วเข้า!! พวกเราจะยิงคุ้มกันให้!”
เธอตั้งปืนขึ้นมายิงปะทะกับมือปืนบนรถไฟอีกครั้ง ในขณะที่เพื่อนๆขับหนี เธอวิ่งสวนทางกับคนอื่นๆ
ราวกับผู้กล้าในภาพยนต์ ฝีมือการยิงปืนของเธอไม่ได้แม่นยำเท่าเฮนรี่หรืออลัน แต่แค่มันขู่ศัตรูให้หลบ
ได้มันก็เพียงพอแล้วสำหรับการคุ้มกันให้คนอื่นหนี เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มออกไปได้ เอลิซ่าและทีม
ของเธอก็รีบหนีออกจากโซนนี้ทันที
“แล้วบอสล่ะเอลิซ่า!!” สมาชิกคนหนึ่งในแก๊งค์ถาม
“....” เธอกัดฟัน “ตายแล้ว…!” คำตอบของเอลิซ่าทำเอาลูกทีมคนนั้นพูดไม่ออก ทั้งสองรีบหนีไปหลังเนินเขาที่พวกเขานัดกับคนอื่นๆไว้อย่างรวดเร็ว ด้วยความเงียบงัน
หวังว่าจะมีคำอธิบายที่ดีนะ เฮนรี่!!ทีมของอลัน เวลา 13.13สมาชิกทีมของอลันขี่ม้าแซงหน้าเขาไปด้วยความว่องไว เขาเป็นชายวัยกลางคนร่างสูงผอม
ผมบลอนด์ยาวลงมาถึงไหล่ ใส่หมวกคาวบอยและเสื้อแขนกุด ขบวนของคนขับอยู่ห่างไปไม่ไกลมากนัก
อีกไม่กี่วินาทีชายคนนี้ก็จะไปถึง ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของพวกเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
อลันสังเกตุการณ์ไปยังตู้ขนของด้านหน้าของเขา มันควรจะเป็นคาร์โก้เปล่าๆที่มีทองคำอยู่เท่านั้น
แต่เขาเอะใจแปลกๆ พร้อมกับที่ว่าอลันเห็นเงาของอะไรบางอย่างขยับอยู่ด้านใน มันค่อยๆคืบคลาน
ออกมาใกล้หน้าต่างมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ่งที่เขากลัวก็เป็นจริง มันคือเงาของมนุษย์ที่ถืออาวุธ
“ดิเอโก้!!! ถอยมา!!!” อลันตะโกนสุดเสียพร้อมเร่งความเร็วขึ้นไปหาลูกน้องของเขา
“อะไรกันครับ บอ-...”
‘ปัง!’ ต่อหน้าต่อตาบอสเล็ก ชายสองคนจากในขบวนรถไฟ ใส่ชุดที่บอกได้แต่ว่าเป็นมือสังหาร
พวกเขาปกปิดใบหน้ามิดชิด ใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ ลั่นไกจากด้านในรถไฟเข้าใส่คอของชายผมยาว
ในทันที อีกนัดเข้าไปโดนบริเวณสะโพกของม้าสีน้ำตาลอ่อนของดิเอโก้
“ดิเอโก้----!!!” อลันตะโกนเรียกชื่อลูกน้องของเขา ที่หมดลมหายใจไปก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร
ร่างอันว่างเปล่าค่อยๆโซซัดโซเซตกจากหลังม้า จนในที่สุดก็กลิ้งหายไปจากสายตาอลัน
ม้าของเขาที่ถูกยิงจนเสียการควบคุม วิ่งไปกระแทกเข้าให้กับรถไฟความเร็วสูง ร่างของมันถูกดูด
เข้าไปในราง ถูกเหยียบอย่างโหดร้ายและไม่ปราณี เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็ชักปืนขึ้นมายิงต่อสู้กับ
มือปืนบนรถไฟทันที อลันเป็นคนที่ไวที่สุด จัดการไปได้หลายคนในเวลาไม่นาน แต่ดูเหมือนพวก
มันไม่หมดไม่สิ้นสักที
“เยอะขนาดนี้… บ้าเอ้ย โทมัสหลอกเรางั้นเรอะ!!” ถึงจะเชื่อใจพนักงานขายตั๋วคนนั้นมากขนาดไหน แต่นี่ไม่ผิดแน่ เป็นการวางกับดักของรัฐบาล
อลันและลูกทีมยิงปืนแลกกับคนบนรถไฟอยู่พักใหญ่ๆ ด้วยฝีมือยิงปืนบนหลังม้าของอลันนั้น
ทำให้เขาเป็นผ่ายได้เปรียบอย่างมาก เขาหันไปมองลูกน้องของเขาที่พอจะโต้ตอบได้อยู่
และสังเกตุเห็นเฮนรี่ที่ค่อยๆเร่งความเร็วขึ้นมาหาเขา
เฮนรี่นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในมือปืนที่แม่นยำที่สุดในแก๊งค์เลยก็ว่าได้ เขายิงพวกบนรถไฟร่วงเหมือน
เป็นแมลงวันโดยไม่มีปัญหา ทั้งเฮนรี่และอลันจัดการพวกมันได้อย่างอยู่หมัด ดูเหมือนว่ากับดัก
นี้ของรัฐบาลจะโค่นล้มแก๊งค์เกทส์ไม่ได้ง่ายๆ
อลันนั้นตั้งใจลดความเร็วลง เพราะยังไงสู้แบบนี้ก็ต้องเสียท่าอยู่วันยังค่ำ “ทุกคนถอยไปรวมตัวกันบนเนินเขาอีกฟาก!”
เขาออกคำสั่งพร้อมลดความเร็วลงเพื่อให้คนอื่นๆหนีไป แต่เมื่ออลันหยุดยิง ก็ทำให้มือปืนบนรถไฟเริ่มออกมากระหน่ำยิง
อีกครั้ง แต่เขารู้เรื่องนี้ดี ที่เขาลดความเร็วลงมาก็เพื่อจะมาขี่ม้าคู่ไปกับเฮนรี่ ทั้งสองคนหากร่วมมือกันแทบไม่มีใครต้านทานได้
เฮนรี่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจแบบนั้น จึงเร่งความเร็วเข้าด้านหลังไปหาอลันระหว่างที่เขากำลังใช้สมาธิกับการยิงมือปืนด้านซ้าย
“เฮนรี่ คุ้มกันชั้--”
‘ปัง!!!’กระสุนพุ่งเข้าใส่สะโพกหลังของอลัน มันถูกยิงจากระยะใกล้มากจนทำให้ร่างของเขากระเด็นตกจากม้าในทันที
ร่างของอลันพุ่งตกไปยังดงป่าใกล้ๆ เขางุนงงและเจ็บปวด ทั้งๆที่เขาคิดว่าเขาจัดการกับคนที่ยิงปะทะกับเขาอยู่
แล้วแท้ๆ ทำไมเขาถึงถูกยิงได้ อลันลงไปนอนเลือดอาบอยู่กับพื้น เขาสังเกตุเห็นว่าแผลของเขาอยู่ด้านหลัง
และในจังหวะเมื่อสักครูู่ก็มีมือปืนอยู่คนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขาคนเดียวเท่าที่เขาจำได้
“เฮนรี่..?” ความคิดที่น่ากลัวผุดเข้ามาในหัวของอลัน ถ้าคนที่ยิงเขาไม่ใช่มือปืนที่รัฐบาลจ้างมา แต่เป็นเฮนรี่ล่ะ?
มือขวาของเขา คนที่เขาไว้ใจ แม่นยำ และแข็งแกร่งที่สุดในแก๊งค์ เฮนรี่คีน ถ้าชายคนนั้นตัดสินใจทรยศเขา
ในช่วงเวลาอันวุ่นวายเนื่องจากการไม่เห็นพ้องกันเมื่อคราวก่อน หรือแย่กว่าเดิม ถ้าเฮนรี่ตัดสินใจขายแก๊งค์
ของอลันให้กับรัฐบาล แล้วทรยศพวกเขา แต่มันก็เป็นแค่ข้อสงสัยของคนใกล้ตาย มันไม่มีมูลน้ำอะไรทั้งนั้น
“บอส!!” เสียงเรียกชื่อของเขาดังขึ้นมาท่ามกลางเสียงกระสุน เฮนรี่ขี่ม้ามาเจอกับอลันที่บาดเจ็บสาหัสอยู่
“นี่มันบ้าอะไรกันครับ? ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าแผนการปล้นรอบนี้มันบ้าชัดๆ” เขากล่าวด้วยท่าทางไม่พอใจสุดขีด
“ชั้นก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ว่าโทมัสจะขายเรา.. “ อลันตอบอย่างตะกุกตะกัก เนื่องจากการเสียเลือด
“นี่บอส” เฮนรี่พูด เขาหันไปมองสถานการณ์ด้านหน้า เนื่องจากทั้งสองหลุดมาท้ายแถว เขาจึงมองเห็นการยิงปะทะกันด้านหน้าอย่างชัดเจน และเมื่อไม่มีเฮนรี่กับอลันคอยจู่โจม ก็ดูเหมือนแก๊งค์เกทส์จะค่อยๆแพ้อย่างช้าๆ
“พวกเราคงต้านไว้ไม่ได้อีกนาน ตอนนี้ทีมของยัยเอลิซ่ามาสมทบแล้ว ต้องรีบไป” เขากล่าว
“บอสเป็นคนพาพวกเรามาจุดนี้ พวกเราตายไปแล้วแปดคน ผมนับอยู่ตลอด”
“พวกตำรวจมีใบนำจับแค่ของบอสกับของผมสองคน ตอนนี้แก๊งค์เราจะทำยังไงให้พวกมันเลิกตามสักพัก บอสคิดว่ายังไงล่ะ?” เขากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา เหมือนกับคำนวณแผนอยู่ในหัวตลอดเวลา
“นี่นาย พูดบ้าอะไรของนายน่ะ” อลันกล่าวเบาๆ
“ผมให้บอสหนีไปไม่ได้ พวกมันจะลงมาจากรถไฟแล้วมาจับบอส เพื่อทุกคนในแก๊งค์นะครับ”
เขาพูดอย่างหนักแน่น จากนั้นก็ยกปืนขึ้นมาจ่อไปที่บอสของเขาที่นอนเลือดอาบอยู่กับพื้น
ทันใดนั้นเองม้าของอลันที่วิ่งหนีไปด้วยความตกใจในตอนแรกก็วิ่งกลับมายืนข้างๆเจ้านายที่รักของเขา
ทำให้เฮนรี่หันไปสนใจ
“เฮนรี่… อย่าบอกนะว่า นายเป็นคนยิงชั้นตั้งแต่ตอนแรก?” อลันถาม เมื่อได้ยินดังนั้น
เฮนรี่ก็หัวเราะในจมูก และส่ายหัวเบาๆ ท่าทางผิดหวังกับคำพูดของอลัน “บอสเนี่ยไม่เชื่อใจผมเลยสินะ”
เขาตอบ “ผมเสียใจจริงๆ แล้วก็ขอโทษด้วยนะ” เมื่อพูดจบ เขาก็ใช้นิ้วโป้งของเขาดึงนกสับบนลูกโม่ของเขาลงมา
“เฮนรี่---!!”
เสียงตะโกนของเอลิซ่าดังมาจากไกล แต่ในตอนนี้นั้นทั้งสองคนไม่มีใครสนใจทั้งนั้น “ทำไม่ได้จริงๆนะบอส”
เขาถอนหายใจเล็กๆ และหันไปยิงม้าของอลันแทน เข้าจุดตายในนัดเดียว เป็นการสังหารที่ไม่มีความเจ็บปวด
อลันไม่มีแรงที่จะโต้ตอบเพราะเขาบาดเจ็บอย่างสาหัส
“คุ้มกันคนที่เหลือ ชั้นจะไปบอกเอ็ดก่อน!” เฮนรี่หันไปตะโกนคุยกับเอลิซ่า ก่อนที่จะหันม้า
ของเขาและขับออกไป อลันที่นอนเลือดอาบอยู่ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นเดิน เขารู้ว่าเขาต้อง
ทำอะไรสักอย่าง ม้าของเขาตายแล้ว หากเขารอไปนานกว่านี้พวกตำรวจก็จะมาเคลียร์พื้นที่และจับเขาไป
“เกิดอะไรขึ้น … ทำไมเฮนรี่ถึง..?”
“แล้วคนอื่นล่ะ..”
“ทำไมเอลิซ่าถึงไม่มาช่วยเรา?” เขายังคงไม่แน่ใจกับสถาณการณ์ในตอนนี้ แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำอะไร เสียงม้าหลายชีวิตก็ขับผ่านเขาไป
จุดที่เขาอยู่มันมิดชิด ถูกปิดโดยใบหญ้าและต้นไม้ ทำให้ไม่มีใครมองเห็น เสียงแม้แต่จะตะโกนก็ไม่มี
อลันตัดสินใจฉีกเสื้อกั๊กและพยายามปิดแผลเท่าที่เขาจะทำได้ และดึงร่างของตนเองไปยังแม่น้ำ
มันเป็นหนทางเดียวที่เขาจะรอดออกไปจากที่นี่ได้แบบยังหายใจอยู่
หลังจากความพยายามพักใหญ่และความเจ็บปวดอันสาหัส เขาก็ลากตัวเองมาถึงขอบแม่น้ำเชี่ยว
แผลของเขายังเลือดไม่หยุดไหล การลงน้ำตอนนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่ฟังจากเสียง พวกบนรถไฟ
เริ่มลงมาเก็บศพพรรคพวกของเขาแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น อลันจึงลากตัวเองลงในน้ำ
และหลับตาลง ร่างของเขาไหลช้าๆไปตามสายน้ำ พร้อมกับสติของเขาที่ค่อยๆเริ่มเลือนราง