|
Post by wildrose on Sept 16, 2019 13:59:10 GMT
Turn 8
ป้อม : ผมคิดว่าพวกเราควรจะต้องไปที่สถานีตำรวจนะ แผนที่ซึ่งพวกเรามีอยู่ตอนนี้มันไร้ประโยชน์เกินไป บางทีที่นั่นอาจจะมีอะไรที่พวกเราพอจะใช้สำหรับหลบหนีออกจากที่นี่ได้ก็ได้
พัสสร : อันนี้ฉันค่อนข้างจะเห็นด้วยนะคะ แล้วทุกคนล่ะคะว่ายังไง ?
สร : เอายังไงก็เอาเถอะ ไปไหนก็ไปกัน
สึคาสะ : สถานีตำรวจ พวกเราต้องไปที่นั่น (ภาษาอังกฤษ)
นานะ : น่าสนุกจังเลยนะคะ พวกเราออกเดินทางกันเลย (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
ขวัญ : แต่ว่าฉันไม่คิดแบบนั้นนะคะ บางทีอาจจะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ยังเหลืออยู่พวกเขาอาจจะหลบไปอยู่ในอาคารที่มันดูปลอดภัยกว่านั้นก็ได้ ทำไมพวกเราไม่ลองไปสำรวจที่โรงพยาบาลดูล่ะคะ ?
ดูเหมือนว่าขวัญจะมีความคิดที่แตกต่างจากทุกคนภายในกลุ่ม เธอนั้นคิดว่าอาจจะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ยังหลงเหลืออยู่แล้วพวกเขานั้นอาจจะไปหลบอยู่ในอาคารที่มีความแข็งแรงอย่างอาคารของโรงพยาบาล แต่ความคิดของเธอนั้นก็ต้องถูกระงับเอาไว้ก่อนเนื่องจากว่าเธอคงไม่สามารถจะเดินทางไปที่โรงพยาบาลคนเดียวได้
หลังจากที่ทุกคนตกลงมาได้แล้วพวกเขาก็ออกเดินทางไปยังสถานีตำรวจซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะทางใกล้ๆ แต่ว่าอุปสรรคของสิ่งก่อสร้างที่ทรุดโทรมและเศษของวัสดุก่อสร้างที่กระจายอยู่ตามพื้นทำให้พวกเขานั้นออกเดินเท้าไปอย่างเชื่องช้าและยากลำบาก
พวกเขาเดินผ่านย่านการค้า ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆเรียงรายกันอยู่ สถานีตำรวจของเมืองนี้อยู่ทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นทางเดียวกับเจ้าสัตว์ประหลาดที่พวกเขาพบเมื่อคืนนี้มุ่งหน้าไป แต่เวลาในตอนกลางวันทำให้ทัศนวิสัยของพวกเขานั้นค่อนข้างดี พวกเขาไม่เห็นสิ่งที่ผิดปกติในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินมายังสถานีตำรวจเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดพวกของป้อมก็มาถึงที่บริเวณสถานีตำรวจของเมือง Moonlight City สถานีตำรวจแห่งนี้ดูเก่าและผุพังเนื่องจากว่ามันถูกทิ้งร้างไปเป็นระยะเวลาหลายสิบปี แต่ว่าตัวอาคารนั้นยังคงมีสภาพดีอยู่เนื่องจากว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากอิฐและปูน ถึงแม้ว่าบางส่วนจะมีการชำรุดไปบ้างแล้วก็ตาม
ป้อม : มาถึงสักทีสินะ ใหญ่โตกว่าที่คิดอีกนะเนี่ยสถานีตำรวจของเมืองนี้
พัสสร : ตอนนี้ก็ใกล้จะค่ำแล้วนะคะ บางทีพวกเราอาจจะต้องพักแรมที่นี่อีกคืนนึงก็ได้
พัสสรสังเกตดวงอาทิตย์ที่กำลังคล้อยไปทางด้านทิศตะวันตก บางทีตอนนี้อาจจะเป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว
สร : ต้องมานั่งสังเกตดวงอาทิตย์ดูเวลาแบบนี้ยังกับย้อนกลับไปในยุคโบราณเลยนะ โทรศัพท์มือถือของพวกเราก็แบตเตอรี่หมดกันไปตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันแล้ว แย่จังเลยนาาา
สร พูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูเซ็ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่เป็นโรคขาดสมาร์ทโฟนไม่ได้ แต่เขาก็ต้องรู้สึกไม่ดีเมื่ออุปกรณ์สื่อสารของเขานั้นไม่สามารถใช้การได้และแน่นอนทุกคนก็เช่นกัน
ขวัญ : พวกเราเข้าไปดูข้างในกันเถอะค่ะ
นานะ : Let's go ! (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
ป้อมพยายามที่จะผลักประตูหน้าของสถานีตำรวจซึ่งทำมาจากไม้เนื้อแข็งเข้าไปภายใน ฝุ่นที่ถูกจับอยู่ที่บริเวณบานประตูหนา เป็นสิ่งบ่งบอกว่าไม่มีอะไรมาเปิดมันเป็นระยะเวลานานแล้ว
ป้อม : หืม…. นี่มันอะไรกันน่ะ ?
ป้อมดูที่มือของเขาซึ่งมีฝุ่นสีดำติดอยู่จำนวนมาก แต่ว่าภายในฝนพวกนั้นกับมีของเหลวที่คล้ายกับเมือกสีดำปะปนอยู่ด้วย และมันยังส่งกลิ่นแปลกๆ แต่ก็เป็นกลิ่นที่เขาเหมือนว่าจะเคยได้กลิ่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ความทรงจำของเขานั้นทำงานทันที มันคือเมือกที่เขาได้เจออยู่ที่รถบัสซึ่งประสบอุบัติเหตุ ทันทีที่ความทรงจำของเขาจำได้เขาก็รู้สึกหนาวไขสันหลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ป้อม : ทุกคนระวังตัวด้วยนะครับ …..
เขาบอกกับทุกคนอย่างแผ่วเบา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจะบอกให้ทุกคนระวังเรื่องอะไร แต่ตัวของเขานั้นกับรู้สึกได้ถึงอันตรายขึ้นมาได้เป็นอย่างดี
ทันทีที่พวกเขาเข้ามาถึงด้านในบริเวณของสถานีตำรวจ ห้องโถงเล็กๆซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดอยู่ในสภาพที่รกและเต็มไปด้วยเศษวัสดุซึ่งตกลงมาเต็มพื้น ป้ายบอกทางถึงห้องต่างๆที่มีอยู่ในสถานีตำรวจแห่งนี้ยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี
พัสสร : ห้องพักเจ้าหน้าที่ ห้องสืบสวน ห้องขังชั่วคราว แล้วก็ ห้องพักของสารวัตร พวกเราจะเริ่มสำรวจที่ไหนกันก่อนดีคะ ?
To Be Continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 20, 2019 13:36:04 GMT
Turn 9 หลังจากที่ทุกคนเข้ามาในสถานีตำรวจแล้ว พวกเขาก็ได้พบกับอาคารซึ่งภายในมีสภาพชำรุดทรุดโทรม เป็นอย่างมาก ข้าวของทุกอย่างกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นราวกับว่าข้างในนี้เกิดการรื้อค้นขึ้นหลายครั้ง และผ่านเวลามาเนิ่นนาน จนทุกสิ่งทุกอย่างถูกฝุ่นจับจนหนาเตอะ
ป้อม : ผมจะเข้าไปสำรวจที่ห้องพักของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านซ้ายมือนะครับ ในห้องนั้นน่าจะมีอะไรหลายอย่างอยู่ ผมว่าจะเข้าไปดูสักหน่อย
สร : เข้ามาในสถานีตำรวจแล้วก็ต้องเข้าไปหาสารวัตรสิ ห้องด้านขวานั่นไง
พัสสร : ฉันเองก็อยากจะเข้าไปในห้องของสารวัตรเหมือนกันนะคะ ห้องนั้นประตูดูจะมีสภาพดีที่สุดด้วยบางทีอาจจะเป็นห้องที่ไม่ค่อยได้รับความเสียหายก็ได้นะคะ
ขวัญ : ถ้าอย่างนั้นฉันจะเข้าไปในห้องสืบสวนนะคะ ภายในนั้นน่าจะมีเอกสารอะไรที่เขียนเกี่ยวกับเมืองนี้เอาไว้เยอะแยะเลยและอาจจะมีแผนที่ที่เรากำลังตามหาอยู่ด้วย น่าตื่นเต้นจังเลยค่ะ
นานะ : ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับเธอก็แล้วกันนะขวัญ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
สึคาสะ : ถ้าอย่างนั้น ผมจะไปดู ในห้องขัง ก็แล้วกันนะครับ (ภาษาอังกฤษ)
หลังจากที่ทุกคนเลือกจุดหมายปลายทางในการสำรวจของตัวเองได้แล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันออกไปสำรวจตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ สถานีตำรวจของเมือง Moonlight City ไปสถานีตำรวจที่ค่อนข้างจะกว้างใหญ่และมีห้องอยู่มากมาย แต่ละห้องนั้นก็มีขนาดใหญ่โตและมีข้าวของมากมายที่ถูกปล่อยทิ้งให้กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นเต็มไปหมด และเนื่องด้วยตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้าแล้วภายในตัวอาคารก็จะมืดสนิทตามมาด้วย ดังนั้นการสำรวจจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้าและต้องใช้ความระมัดระวัง
ภายในห้องขังชั่วคราว
ภายในห้องขังชั่วคราวของสถานีตำรวจ เป็นที่ซึ่งตำรวจจะนำตัวคนร้ายมาควบคุมตัวเอาไว้ก่อนที่จะส่งตัวไปให้ศาล ภายในห้องขังแห่งนี้เป็นลูกกรงเหล็กที่ดูเป็นสนิมไปหมดแต่ก็ยังคงความแข็งแรงเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ภายในห้องนั้นมืดมากและมีหน้าต่างบานเล็กๆที่พอให้แสงจันทร์ภายนอก 2 เข้ามาได้แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้มองเห็นข้างในได้อย่างชัดเจน
สึคาสะ เดินเข้ามาภายในห้องขังของสถานีตำรวจ ข้างในเขาได้กลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกเวียนหัวขึ้นมาในทันที มันคือกลิ่นเหม็นอับซึ่งปะปนกับกลิ่นคาวของอะไรบางอย่าง เมื่อสายตาของเขานั้นเริ่มชินกับแสงสว่างอันน้อยนิดที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
เขาก็เริ่มเดินสำรวจเข้าไปภายใน สถานีตำรวจขนาดใหญ่แห่งนี้มีห้องขังชั่วคราวอยู่ประมาณ 10 ห้อง ซึ่งทุกห้องในตอนนี้ว่างเปล่า เขาค่อยๆเดินเข้าไปตามพื้นเข้าไปยังด้านในสุด ซึ่งพื้นของห้องที่เขาเดินไปนั้นมีน้ำเฉอะแฉะอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากฝนตกเมื่อคืนนี้ และหลังคาของห้องนี้น่าจะรั่ว
สึคาสะ : ข้างในมืดมากเลย แล้วก็แฉะไปหมด คงจะไม่มีอะไรที่พอใช้งานได้หรือว่าอะไรที่เราตามหาอยู่หรอกมั้ง ?
สึคาสะคิดในใจในขณะที่เขานั้นเดินเข้าไปใกล้จะถึงห้องขังห้องสุดท้ายซึ่งอยู่ด้านในสุด ที่ไหนห้องขังห้องสุดท้าย ประตูลูกกรงถูกเปิดออกค้างเอาไว้อย่างนั้น ทำให้เขานั้นมองเข้าไปด้านในด้วยท่าทางที่ดูสงสัย ข้างในห้องขังซึ่งถูกเปิดค้างไว้นั้น มีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งตกอยู่ มันถูกทำขึ้นมาจากกระดาษที่ดูคุณภาพดี ปกหนังสือนั้นเป็นปกแข็ง น่าจะเป็นของคนที่เคยถูกขังอยู่ในห้องนี้ และเขาไม่ได้นำมันออกไปในตอนที่เขาออกไปจากที่นี่ สึคาสะเดินเข้าไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูสงสัย แต่เนื่องจากว่าความมืดภายในห้องนี้มีมากเกินไป เขาต้องไปหาแสงสว่าง ที่มากพอเพื่อที่จะอ่านมัน เขาเก็บหนังสือเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อของเขา ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินออกไปจากห้องขังชั่วคราวของสถานีตำรวจ
แต่ว่าก่อนที่เขานั้นจะเดินออกไปเท้าของเขาก็ลื่นเข้ากับน้ำซึ่งเจิ่งนองอยู่ที่พื้น ทำให้เขาเสียหลักล้มลงสะโพกของเขากระแทกพื้นเข้าอย่างจัง เขารู้สึกเจ็บปวดมาก เขาพยายามรีบจะลุกขึ้น แต่ว่าทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างตกลงมาจากเพดานเข้าใส่เขาอย่างจัง
ผลั๊ก ! โอ้ย !
ภายในห้องสืบสวน
ขวัญและนานะ เดินเข้ามาภายในห้องสืบสวนของสถานีตำรวจ มันเป็นห้องกว้างที่แบ่งออกเป็นล็อกขนาดใหญ่ 6 ล็อค ซึ่งแต่ละบล็อกนั้นคงจะมีเอาไว้ใช้ในการสืบสวนคดีแต่ละคดีแตกต่างกัน
ขวัญ : เอาล่ะเราจะเริ่มจากตรงไหนดีนะ
นานะ : เราต้องหาแผนที่ดูก่อนนะคะ ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่นี่หรือเปล่า ถ้ายังไงก็ลองสำรวจดูก่อนก็แล้วกันนะคะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
หญิงสาวทั้งสองคนจึงได้เริ่มทำการสำรวจห้องสืบสวนของสถานีตำรวจแห่งนี้ พวกเธอเจอเอกสารมากมายซึ่งบางส่วนก็เสื่อมสภาพไปแล้วและบางส่วนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประวัติความเป็นมาของเมือง Moonlight City แห่งนี้มากเท่าไหร่นักเป็นเพียงแค่คดีประจำวันหรือไม่ก็บันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับอาชญากรรมต่างๆ
แต่แล้วขวัญก็ไปสะดุดเข้ากับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งซึ่งถูกวางเอาไว้บนโต๊ะมันกองอยู่รวมกับอุปกรณ์จำนวนมากซึ่งดูเหมือนว่าจะใช้งานไม่ได้
มันคือตะเกียงน้ำมันแบบโบราณ ซึ่งข้างในนั้นยังคงมีน้ำมันก๊าดอยู่เกือบจะเต็ม มันมีป้ายที่ถูกติดเอาไว้ที่ตัวมันเป็นเลขกำกับ ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะเป็นของกลางที่ถูกยึดมาได้จากคดีลักลอบขายของเก่าผิดกฎหมาย และที่ด้านข้างของตะเกียงน้ำมันแบบโบราณ มีไฟแช็ค Zippo วางเอาไว้ด้านข้าง อีกทั้งยังมีพวงกุญแจพวงใหญ่ที่มีกุญแจหลายลูกวางอยู่ด้วย
นานะ : ว้าว ตะเกียงเจ้าพายุ ของโบราณหาดูได้ยากเลยนะคะเนี่ย ใส่ก็ยังอยู่น้ำมันก็ยังมี ถ้าแบบนี้เราสามารถใช้งานได้ทันทีเลยนะคะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
นานะพูดขึ้นในขณะที่เธอหยิบไฟแช็คซึ่งวางอยู่ใกล้ๆกับตะเกียง เจ้าไฟแช็คอันนี้ก็มีป้ายเลขที่กำกับติดเอาไว้เช่นกันมันก็คงจะเป็นของกลางในคดีที่ถูกยึดมาเหมือนกัน และโชคยังดีที่เจ้าไฟแช็คนี้ยังคงใช้งานได้เธอจึงใช้มันจุดตะเกียงโบราณและไฟที่สว่างไสวของตะเกียงก็ลุกขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่ามันจะไม่สว่างเท่ากับไฟฉายแต่ว่ามันก็ยังให้ความสว่างไสวในยามค่ำคืนได้อย่างน่าพอใจ
ขวัญ : ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ค้นหาอย่างอื่นต่อได้แล้วสินะคะ เริ่มกันเลยเถอะค่ะ
นานะ : ใช่แล้วค่ะแต่ว่าก่อนอื่นเราต้องเอาเจ้านี้ไปด้วยนะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
นานะหยิบพวงกุญแจที่มีลูกกุญแจอยู่หลายดอกขึ้นมาถือไว้ ภายในกุญแจบางดอกก็มีสัญลักษณ์ที่ถูกสลักเอาไว้ว่ามันใช้ในการเปิดประตูบานไหนซึ่งกุญแจพวกนี้ก็คือกุญแจที่ใช้เปิดประตูส่วนใหญ่ภายในสถานีตำรวจแห่งนี้นั่นเอง
หลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสองคนก็ได้ทำการรื้อค้นภายในห้องสืบสวนเพื่อที่จะหาของที่ใช้งานได้หรือว่าเอกสารบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเมืองแห่งนี้ พวกเธอได้เอกสารมาจำนวนหนึ่ง แต่ว่าภายในห้องสืบสวนแห่งนี้ไม่มีแผนที่ฉบับเต็มของเมือง Moonlight City อยู่ เลยแม้แต่ฉบับเดียว
ที่ด้านหน้าห้องของสารวัตรตำรวจ
สร : ฮึบ ! ฮึบ ! ฮึบ ! ฮึบ ! ฮร้าาา ! แฮ่กๆๆๆ
สรพยายามที่จะใช้กำลังในการเปิดประตูไม้บานใหญ่ซึ่งถูกล็อคอยู่จากด้านใน ไม่ว่าเขาจะใช้ไหล่กระแทก ใช้เท้าถีบ หรือว่าทำอะไรกับมันก็แล้วแต่ ประตูไม้บานใหญ่สีน้ำตาลก็ไม่ได้มีท่าทางว่าจะเปิดออกมาเลยแม้แต่น้อย ลูกบิดทองเหลืองซึ่งบัดนี้มีสนิมเขียวเกาะอยู่เต็มไปหมดยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี
สร : โอ๊ยเหนื่อย ! เราไม่มีทางเปิดประตูบานนี้ได้โดยที่ไม่มีเครื่องมือหรอกนะครับ คุณพัสสร
พัสสร : น่าจะแบบนั้นแหละค่ะ แต่ว่าถ้าให้ทุกคนมาช่วยกันบางทีอาจจะพอเปิดได้ก็ได้นะ
สร เห็นด้วยกับความคิดของเธอ พวกเขาจึงตัดสินใจเดินกลับมาที่ยังบริเวณจุดรวมตัวด้านหน้าบริเวณล็อบบี้ของสถานีตำรวจ
ภายในห้องพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ป้อม เข้ามาสำรวจภายในห้องพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงลำพัง ภายในห้องพักแห่งนี้มีเก้าอี้โต๊ะสำหรับวางของและก็ล็อกเกอร์สำหรับใส่ของ ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่แต่ละคน ที่พักที่ด้านหน้าล็อคเกอร์นั้นมีชื่อของเจ้าหน้าที่แต่ละคนถูกเขียนติดเอาไว้ด้วย
ป้อม : มืดจังเลยแหะ มองอะไรไม่เห็นเลย
ป้อมเดินเข้ามาภายในด้วยท่าทางที่ดูระมัดระวัง ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเขานั้นตื่นตัวเต็มที่ เนื่องจากว่าเมือกสีดำที่เขาได้เห็นก่อนที่จะเข้ามาในสถานีตำรวจทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวและไม่ปลอดภัย
ภายในห้องพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจนี้มีข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นเต็มไปหมดแต่ว่าเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้วทำให้ของทุกอย่างเสื่อมสภาพและดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่พอจะใช้การได้เลย ป้อมพยายามที่จะสำรวจตามล็อกเกอร์ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งบางอันก็ถูกเปิดเอาไว้ และมีล็อกเกอร์อยู่ 2 ช่องที่ไม่ได้ถูกปิดไว้ ซึ่งด้านหน้าของล็อกเกอร์นั้นถูกเขียนชื่อเอาไว้ช่องหนึ่งมีชื่อว่า โมนิก้า และอีกช่องหนึ่ง มีชื่อเขียนไว้ว่า บาบาร่า
ภายในล็อกเกอร์ของบาบาร่าป้อมเจอกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกเขียนข้อความเอาไว้ และตราสัญลักษณ์อะไรบางอย่างซึ่งถูกทำจากทองแดง มันมีลักษณะวงกลมเท่ากับเหรียญ 10 บาทของประเทศไทย แต่มีน้ำหนักมากกว่า และมันก็ไม่ใช่เข็มกลัดหรือว่าตราของตำรวจในเมืองนี้อย่างแน่นอน
ภายในล็อกเกอร์ของโมนิก้า ป้อมเจอเข้ากับสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นของเจ้าของล็อกเกอร์นั่นเอง เขาหยิบมันมาด้วยความสงสัยหลังจากนั้นเขาก็เดินออกมาจากห้องพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อมารวมตัวเข้ากับคนที่ไปสำรวจยังบริเวณห้องอื่นก่อนหน้านี้
ทุกคนมารวมกันที่ด้านหน้าล็อบบี้ของสถานีตำรวจ และเมื่อทุกคนกลับมาจนครบถ้วนทุกคนก็ต้องตกใจ
พัสสร : สึคาสะ นั่นคุณเป็นอะไรหรือเปล่า ?
พัสสรอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อสึคาสะนั้นกลับมาในสภาพที่ศีรษะของเขานั้นแตกเลือดสีแดงไหลเต็มหน้าของเขา ท่าทางของเขานั้นดูเจ็บปวดและอ่อนแรง
สึคาสะ : เศษกระเบื้องมุงหลังคาตกลงมาใส่หัวผมตอนนี้ผมเดินสำรวจ ตอนนี้ผมรู้สึกเวียนหัวมากเลยครับ (ภาษาอังกฤษ)
สึคาสะอธิบายขึ้นมาด้วยท่าทางที่ดูอ่อนแรง ขวัญและพัสสรรีบไปทำแผลให้กับเขา ในขณะที่ทุกคนนั้นดูเหมือนว่าจะดีใจมากที่ขวัญและนานะสามารถจะนำตะเกียงที่มีแสงสว่างมาให้กับพวกเขาได้
สร : ได้เอกสารมาเต็มไปหมดแต่ก็ไม่มีแผนที่ แถมมีคนบาดเจ็บ ข้างนอกก็มืดสนิทไปแล้วด้วย พักกินข้าวกันก่อนดีกว่ามั้ง ?
สร พูดขึ้นในขณะที่เขานั้นเปิดกระป๋องน้ำอัดลมและกระดกเข้าไปเพื่อดับกระหาย ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของเขา พวกเขาจึงตัดสินใจพักกันที่ล็อบบี้ของสถานีตำรวจ อาหารกระป๋องที่ป้อมนั้นเก็บมาถูกนำมาเปิดกินไปเท่ากับจำนวนของทุกคนที่อยู่ในกลุ่ม (อาหารกระป๋อง -6 , น้ำอัดลมกระป๋อง -1 )
สึคาสะ : รสชาติไม่ได้เรื่องเลย (ภาษาอังกฤษ)
พัสสร : มันก็ไม่ค่อยจะมีรสชาติอะไรเท่าไหร่หรอกค่ะแต่ว่าก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกนะคะ
อาหารกระป๋องรสชาติไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถที่จะดับความหิวของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหาร สมาชิกทุกคนในกลุ่มอาศัยแสงจากตะเกียงเจ้าพายุนำเอกสารทั้งหมดที่พวกเขานั้นนำติดตัวมาได้ขึ้นมาอ่านดู สึคาสะนำสมุดบันทึกซึ่งเขาเก็บได้จากห้องขังชั่วคราวมาให้กับทุกคนได้อ่านด้วย
หลังจากทุกคนได้อ่านเอกสารและรับประทานอาหารกันจนเสร็จสิ้นแล้ว เวลาในตอนนี้ก็ผ่านไปพอสมควร ซึ่งเวลาในตอนนี้น่าจะเป็นเวลาประมาณเกือบจะ 20:00 น คงจะได้
พัสสร : ตอนที่ฉันขึ้นไปสำรวจบริเวณห้องพักของสารวัตรตำรวจครับคุณ สร พวกเราไม่สามารถเข้าไปในห้องได้ค่ะห้องถูกล็อคมาจากด้านใน แล้วพวกเราก็ไม่เจอแผนที่ภายในห้องไหนๆเลย บางทีอาจจะอยู่ในห้องของคุณสารวัตรตำรวจก็ได้นะคะ ถ้ายังไงขอแรงทุกคนไปช่วยกันพังประตูเข้าไปในห้องนั้นหน่อยได้ไหม ?
พัสสรเสนอความคิดเห็นขึ้นมา ในขณะที่ป้อมนั้นมีท่าทางครุ่นคิดจากนั้นเขาก็ถามทุกคนในกลุ่มว่าจากนี้ไปจะเอาอย่างไรต่อดี
To be continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 20, 2019 14:10:43 GMT
ข้อความในเอกสารทั้งหมด
หนังสือพิมพ์เก่า (ขวัญและพัสสร ได้มาจากร้านหนังสือ ภายใน Turn 5)
ข่าวพาดหัวขนาดใหญ่ “คดีคนหายยังคงไร้ร่องรอย”
หลังจาก 1 เดือนที่ผ่านมา ภายใน Moonlight City มีคนหายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 12 คน โดยที่พวกเขานั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่มีใครได้เห็นพวกเขากลับมาอีกเลย การค้นหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น ซึ่งนำทีมค้นหาโดยร้อยตำรวจโท ลูคัส บราว ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น
บันทึกของผู้ต้องขังภายในห้องขังชั่วคราว (สึคาสะ ได้มาจากห้องขังชั่วคราวของสถานีตำรวจ ภายใน Turn 9)
เจ้าของสมุดบันทึกมีชื่อว่ากัฟฟี่ มิลเลอร์
23 มีนาคม XXXX
ผมพยายามอธิบายกับผู้กองลูคัส ว่าผมไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องที่คนหายตัวไป ผมแค่เข้าไปหาของป่าภายในป่าซึ่งอยู่ใกล้กับโบสถ์ของเมืองเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดเลย ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมเล่ามันจะดูประหลาดไปหน่อย แต่สาบานได้นะว่าผมพูดความจริงทุกอย่าง
24 มีนาคม XXXX
สิบโทโมนิก้า เข้ามาหาผม เธอเป็นคนที่น่ารัก อีกทั้งเธอยังใจดีและเป็นห่วงคนอื่นอยู่เสมอ เธอรับฟังในสิ่งที่ผมพูดและดูเหมือนว่าเธอจะเชื่อผม ผมดีใจจริงๆ เธอพยายามอธิบายกับผมว่าผู้กองลูคัสพยายามจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูด อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าสิ่งที่ผมเล่ามันดูเหนือจินตนาการเกินไป
26 มีนาคม XXXX
ผลตรวจออกมาแล้วว่าเลือดของผมนั้นไม่ได้ผลเปื้อนสารเสพติด และจิตแพทย์ก็บอกว่าผมยังปกติดีไม่ได้มีอาการจิตเภท คำพูดของผมจึงมีน้ำหนักขึ้นมา พวกเขากำลังทำเรื่องปล่อยตัวผมชั่วคราว แต่ว่าก่อนที่ผมจะได้ออกจากห้องขังดูเหมือนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ผมเดาว่าน่าจะเป็นสารวัตรไทเลอร์ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ผมถึงต้องอยู่ในห้องขังต่อไปอย่างไร้กำหนด ผมรู้สึกเสียใจมาก ผมอยากจะเป็นบ้า ผมอยากจะเจอกับสิบโทโมนิก้าที่สุดเลยในตอนนี้
เอกสารจากห้องสืบสวน (ขวัญและนานะ ได้มาจากห้องสืบสวนของสถานีตำรวจ ภายใน Turn 9)
บันทึกประจำวันหมายเลข 5679
“มีการตรวจพบวัตถุโบราณ จำนวนมากที่ถูกลักลอบเข้ามาซื้อขายภายในเมือง ถึงแม้ว่าเราจะจับตัวพ่อค้าได้แต่พวกมันปฏิเสธว่าใครเป็นคนสั่งซื้อวัตถุโบราณเหล่านี้ บางชิ้นถูกนำมาจากอินเดียโบราณ บางชิ้นก็ดูเหมือนว่าจะมาจากยุโรป และทุกชิ้นนั้นดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาหรือว่าลัทธิอะไรบางอย่าง พวกเราสืบสวนตัวพ่อค้าต่อไป แต่พวกเขาให้การปฏิเสธและไม่พูดอะไรที่พวกเราอยากรู้”
บันทึกการสอบสวนหมายเลข 7743
“ข้าพเจ้าเข้าไปเก็บสมุนไพรภายในป่า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโบสถ์ทางทิศตะวันตก หลังจากที่ข้าพเจ้าเก็บสมุนไพรจนถึงช่วงเวลาพลบค่ำ ข้าพเจ้าก็พยายามที่จะเดินออกมาจากป่า ข้าพเจ้าเห็นเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายบางคนที่หายตัวไป เดินเข้าไปในป่าจริง ข้าพเจ้าพยายามที่จะตามพวกเขาไป แต่ว่าข้าพเจ้าได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเหมือนกับเสียงของสัตว์ร้าย ข้าพเจ้าเกิดความกลัว ข้าพเจ้าไม่กล้าแม้แต่กระทั่งจะห้ามไม่ให้พวกเขาเดินต่อไป และดูเหมือนว่าพวกเขาก็จะไม่สนใจข้าพเจ้าที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ด้วย ข้าพเจ้าไม่มีส่วนรู้เห็นในการหายตัวไปของคนภายในเมือง ขอยืนยันว่าทุกอย่างเป็นความจริง”
สมุดบันทึกของโมนิก้า (ป้อม ได้มาจากภายในล็อกเกอร์ของโมนิก้า ซึ่งอยู่ภายในห้องพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายใน Turn 9)
24 มีนาคม XXXX
ฉันได้เข้าไปคุยกับ กัฟฟี่ มิลเลอร์ เขาถูกจับมาเนื่องจากว่าเป็นผู้ต้องสงสัยสำหรับการหายตัวไปของชาวเมืองในช่วงสัปดาห์นี้ คำให้การของเขานั้นดูประหลาดและวกวน แต่ว่าท่าทางของเขานั้นไม่เหมือนกับคนที่พูดโกหกอย่างน้อยสัญชาตญาณของฉันก็คิดว่าเป็นแบบนั้น ฉันเข้าไปคุยกับเขาที่ด้านหน้าห้องคุมขัง เขาให้ความร่วมมือกับฉันเป็นอย่างดีและตอบคำถามของฉันทุกอย่าง ฉันคิดว่าเขาไม่น่าจะใช่คนร้าย
26 มีนาคม XXXX
สารวัตรไทเลอร์เรียกฉันกับหัวหน้าลูคัสเข้าไปคุยกันเป็นการส่วนตัว เขาอยากจะให้พวกเราคัดค้านการปล่อยตัวกัฟฟี่ ฉันไม่เข้าใจเหตุผลในการกระทำของเขา แต่พวกเราก็ยอมทำตามแต่โดยดีถึงแม้ว่าหัวหน้าลูคัสจะไม่พอใจในสิ่งที่เขาทำก็ตาม
1 เมษายน XXXX
สิบตรีบาบาร่า ชวนฉันไปดื่มที่บาร์ เธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของหัวหน้าลูคัส ให้กับฉันได้ฟัง ดูเหมือนว่าตอนนี้เขากำลังติดใจว่ามีอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยอยู่ภายในป่าซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเมืองใกล้กับโบสถ์ บางทีฉันคิดว่าฉันควรจะต้องรอสะกดรอยตามหัวหน้าลูคัสสักระยะหนึ่ง
กระดาษบันทึกของบาบาร่า (ป้อม ได้มาจากภายในล็อกเกอร์ของบาบาร่า ซึ่งอยู่ภายในห้องพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายใน Turn 9)
“โมนิก้า ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง เธอเป็นคนที่น่ารัก กล้าหาญและใจดี ฉันควรจะต้องบอกให้เธอออกไปจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุดมากกว่า ฉันนี่มันเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริงๆ โมนิก้าได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย และขอร้องล่ะหนีไปจากที่นี่ซะ และได้โปรดอย่าเล่าเรื่องทุกอย่างให้ใครฟังเป็นอันขาด”
|
|
|
Post by wildrose on Sept 21, 2019 12:46:43 GMT
Turn 10
ป้อม : เอาล่ะครับ จากนี้ไปจะเอายังไงกันต่อดี ?
พัสสร : คุณนานะได้กุญแจมา ฉันว่าหนึ่งในลูกกุญแจพวกนั้นน่าจะต้องเป็นลูกกุญแจที่ใช้เปิดประตูห้องนั้นได้แน่เลยค่ะ
สร : แต่ตอนนี้มันก็มืดมากแล้วนาา ตะเกียงเราก็มีอยู่แค่อันเดียว แล้วเราก็มีคนเจ็บด้วย ไว้เราพักสักคืนนึงก่อนแล้วค่อยไปเปิดมันตอนเช้าไม่ดีกว่าเหรอ ?
ขวัญ : แต่ว่าถ้าเกิดว่าคืนนี้เจ้าประหลาดตัวนั้นมันเจอเราเข้าจะทำยังไงคะ ? ฉันว่าเราไม่ควรจะต้องอยู่ในที่โล่งแบบนี้นะ ในห้องพักของสารวัตรตำรวจนั้นน่าจะเป็นห้องที่มีสภาพดีและแข็งแรงที่สุดภายในสถานีตำรวจนี้ ดูจากสภาพของประตูนะคะ เราเปิดเข้าไปแล้วไปหลบในนั้นไม่ดีกว่าเหรอ
นานะ : แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันนะคะว่าถ้าเราเปิดเข้าไปในนั้นแล้วมันจะมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
หลังจากที่ทุกคนถกเถียงถึงความคิดเห็นของตนเอง ในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร
ป้อม : เอาอย่างนี้ไหมครับ พวกเราแบ่งกันออกเป็น 2 กลุ่ม ผม สร แล้วก็คุณนานะ จะไปลองเปิดประตูนั่นดู ส่วนคุณพัสสรกับขวัญ ดูแลคุณสึคาสะอยู่ที่นี่ มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ถ้าหากว่าเราทิ้งให้เขาอยู่คนเดียว
พัสสร : เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แล้วถ้าเกิดว่าในห้องนั้นมีสภาพที่ดีและปลอดภัยกว่าตรงนี้พวกเราค่อยเข้าไปหลบ ข้างในนั้นกัน
พัสสรตอบตกลงในข้อเสนอที่ป้อมยื่นให้ พวกเขาจึงแบ่งออกกันเป็น 2 กลุ่ม โดยที่ทางป้อมเป็นคนเอาตะเกียงเจ้าพายุไปสำรวจภายในห้องพักของสารวัตรตำรวจ
ที่ด้านหน้าห้องพัก
หลังจากที่ได้ลองไขกุญแจดูทีละดอกในที่สุดพวกเขาก็ สามารถที่จะเปิดประตูห้องพักของสารวัตรตำรวจเข้าไปได้ มันเป็นจริงอย่างที่พัสสรคาดการณ์ ว่าลูกกุญแจดอกใดดอกหนึ่งภายในพวงนั้นจะต้องเป็นกุญแจที่ใช้เปิดประตูห้องนี้ได้
พวกเขาใช้ตะเกียงเจ้าพายุในการให้แสงสว่างภายในห้องพักของสารวัตรนั้นเป็นห้องที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เกือบจะทั้งหมด โต๊ะทำงานไม้ขนาดใหญ่สีน้ำตาลที่วางอยู่ตรงกลางห้องถูกแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม มันดูเหมือนกับว่าจะเป็นของโบราณมากกว่าของที่ทำขึ้นภายในยุคสมัยนี้บ่งบอกได้ถึงรสนิยมของสารวัตรตำรวจได้เป็นอย่างดี
ป้อม : ภายในห้องนี้ยังสภาพดีมากเลย เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องก็เหมือนกับว่ายังไม่เคยถูกรื้อค้นเลยด้วย
นานะ : อี๋~~ ไม่นะ !! (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น) (นานะ BP-3)
แต่ว่าในทันใดนั้นเสียงของนานะที่ฟังดูไม่สู้ดีเหมือนกับว่าเธอกำลัง ตกใจ รังเกียจ และขยะแขยงก็ดังขึ้น ป้อมหันเปลวไฟส่องสว่างของตะเกียงเจ้าพายุไปยังทิศทางที่นานะอยู่ทันที
บนเก้าอี้ทำงานที่ถูกทำจากไม้เนื้อแข็งท่าทางจะมีราคาแพงและถูกสลักลวดลายอย่างสวยงามมีร่างของชายคนหนึ่งซึ่งแต่งชุดตำรวจเต็มยศนั่งอยู่ ร่างกายของเขานั้นเน่าเปื่อยไปจนหมดแล้วเหลือเพียงแค่กระดูกสีขาวที่ยังคงสวมชุดตำรวจเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่วันสุดท้าย
สร : อุ...หวาาาา เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมห้องนี้มันถึงถูกล็อคจากข้างใน
สร เดินเข้าไปใกล้ๆกับโครงกระดูกสีขาวซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ที่ขวามือของโครงกระดูกนั้นมีปืนพกกระบอกหนึ่งอยู่ในมือ และที่ด้านขวาของกะโหลกศีรษะก็มีรอยลูกกระสุนปืนอย่างเห็นได้ชัด บริเวณเสื้อผ้าชุดตำรวจซึ่งโครงกระดูกนั้นสวมใส่มีรอยเลือดสีแดงกระเซ็นติดอยู่มันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาเข้ามาในห้องนี้และฆ่าตัวตาย
ป้อม : พันโทไทเลอร์ คิซซิงเจอร์ สารวัตรตำรวจคนที่เราได้อ่านเรื่องของเขาในเอกสารก่อนหน้านี้สินะ
ป้อมอ่านชื่อซึ่งอยู่บนป้ายชื่อซึ่งถูกติดอยู่บนเครื่องแบบที่โครงกระดูกสวมใส่อยู่ เขาคือพันตำรวจโทไทเลอร์ สารวัตรตำรวจผู้เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโรงพักแห่งนี้ บนโต๊ะทำงานของเขามีเอกสารประมาณ 3-4 แผ่นวางอยู่ด้วย และมีกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งซึ่งเขาเขียนอะไรบางอย่างลงไปด้วยลายมือของเขามันน่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเขียนก่อนที่เขานั้นจะฆ่าตัวตาย ภายในลิ้นชักที่อยู่บริเวณโต๊ะทำงานของเขา มีเอกสารอีกหลายฉบับและจดหมายอีกบางส่วน
(ได้รับเอกสารบนโต๊ะของสารวัตรตำรวจ , ได้รับจดหมายภายในลิ้นชักบนโต๊ะของสารวัตรตำรวจ)
ป้อม : เจ้านี้ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่านะ …..
ป้อมเดินเข้าไปหยิบปืนซึ่งอยู่ในมือของไทเลอร์ มันเป็นปืนพกลูกโม่ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคือรุ่นอะไร แต่ว่ามันเก่ามากแล้วและมันถูกใช้งานครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณ 20 - 30 ปีที่แล้ว กระสุนภายในรังเพลิงเหลืออยู่เพียงแค่ 1 นัด แสดงว่าเขาบรรจุกระสุนไว้แค่ 2 นัดและ 1 นัดในนั้นก็คือกระสุนที่เขาใช้ฆ่าตัวตายนั่นเอง
สร : เจ้านี้มันเก่าเอาเรื่องเลยนะเนี่ย สนิมเต็มไปหมดเลยมันจะยิงได้อยู่หรือเปล่า ?
ป้อม : ก็ไม่รู้เหมือนกันสินะแต่ว่าขอเก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า
นานะ : ฉันขอดูปืนนั่นหน่อยสิคะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
ป้อม : คุณนานะ มีอะไรที่มันแปลกอย่างนั้นหรือครับปืนกระบอกนี้ ?
นานะ : กระสุนของมันค่ะ ฉันเคยเห็นกระสุนปืนเก่าๆมาบ้างเขามักจะใช้ตะกั่วหรือไม่ก็ทองแดงเป็นหัวกระสุน แต่ดูเหมือนว่ากระสุนนัดนี้ หัวของกระสุนจะเป็นเงินนะคะ แปลกดีเหมือนกันนะคะเนี่ย
หลังจากที่นานะดูปืนกระบอกนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็ส่งคืน ให้กับป้อมตามเดิม ป้อมรับปืนกระบอกนั้นไปและเก็บมันไว้ภายในกระเป๋าของเขา
( ได้รับปืนลูกโม่เก่า X1 กระสุนเงินX1 )
นานะ : มาดูตรงนี้สิคะฉันเจอแผนที่แล้วล่ะ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
นานะพูดขึ้นด้วยความดีใจหลังจากที่เธอนั้นได้เห็นแผนที่ฉบับตัวเต็มของเมืองซึ่งถูกติดเอาไว้ในกรอบบริเวณฝาผนังภายในห้องพักของสารวัตรตำรวจ
สร : ดีจังเลย แบบนี้จะได้หาทางออกจากเมืองนี้ได้สักที เดี๋ยวสินี่มัน !
สรเดินเข้าไปดูแผนที่เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะได้สามารถหาทางออกจากเมืองนี้ได้สักทีแต่เมื่อเขาได้ดูแผนที่โดยละเอียดแล้วเขาก็พบว่าทางเข้าออกของเมืองนี้มีอยู่เพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือทางที่รถบัสประสบอุบัติเหตุ นั่นเอง
ป้อม : แย่อยู่เหมือนกันนะเนี่ย ถึงแม้ว่าพวกเราจะคิดเอาไว้แล้วว่ามันอาจจะเป็นแบบนี้ก็เถอะ
ป้อมพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูผิดหวังเล็กน้อย เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าบางทีเมือง Moonlight City แห่งนี้ อาจจะมีทางเข้าออกอยู่เพียงแค่ทางเดียวตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ถ้าเกิดว่าพวกเขาคิดจะกลับออกไปจากที่นี่พวกเขาเขาจะต้องไปตามถนนซึ่งรถบัสนั้นประสบอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ ร่องรอยที่อยู่บนรถบัสคงบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันถูกโจมตีจากสัตว์ประหลาดอะไรบางอย่างซึ่งน่าจะยังคงวนเวียนอยู่ที่บริเวณนั้น
สร : เอาเถอะจะยังไงก็หาที่พักกันก่อนดีกว่า ภายในห้องนี้แข็งแรงดีถ้าเกิดว่าเราปิดหน้าต่างมันก็คงจะเป็นป้อมปราการที่จะช่วยปกป้องเราได้จนถึงเช้าละมั้ง ?
นานะ : นั่นสินะคะตอนกลางคืนที่นี่อันตรายมากเลย เอาอย่างไรต่อกันดีคะแบบนี้
To Be Continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 21, 2019 14:26:51 GMT
ข้อความภายในเอกสาร
เอกสารบนโต๊ะของสารวัตรตำรวจ (ป้อม สร นานะ เก็บได้ภายใน Turn ที่ 10)
รายชื่อและประวัติของผู้ที่สูญหาย
1.ร๊อกกี้ บิลสัน เพศชาย อายุ 30 ปี อาชีพ พนักงานเสิร์ฟประจำบาร์เหล้า หายตัวไปเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ XXXX พบตัวแล้ว วันที่ 10 มีนาคม สภาพกลายเป็นศพอยู่ที่บริเวณชายป่า ทางทิศตะวันตก
2.อามาด้า ลี เพศชาย อายุ 24 ปี อาชีพ พนักงานทำงานในร้านขายยาแผนโบราณ หายตัวไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ XXXX พบตัวแล้ว วันที่ 13 มีนาคม สภาพกลายเป็นศพที่ถูกแยกส่วนอยู่ในท่อระบายน้ำภายในย่านการค้า
3.เจนิเฟอร์ การ์ล่า เพศหญิง อายุ 33 ปี อาชีพ โสเภณี หายตัวไปเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ XXXX
4.ลิลิก้า เคฟ เพศหญิง อายุ 11 ปี อาชีพ - หายตัวไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ XXXX
5.ลิลลี่ เคฟ เพศหญิง อายุ 10 ปี อาชีพ - เป็นน้องสาวของ ลิลิก้า เคฟ หายตัวไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ XXXX
6.ฮัล ทวิ้ง เพศชาย อายุ 18 ปี อาชีพ นักเรียนมัธยม หายตัวไปเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ XXXX พบตัวแล้ว วันที่ 10 มีนาคม สภาพกลายเป็นศพอยู่ที่บริเวณชายป่า ทางทิศตะวันตก
7.มิคาเอล การ์ล่า เพศชาย อายุ 25 ปี อาชีพ พนักงานส่งหนังสือพิมพ์ เป็นน้องชายของ เจนิเฟอร์ การ์ล่า หายตัวไปวันที่ 1 มีนาคม XXXX
8.เบน ลอเรนซ์ เพศชาย อายุ 15 ปี อาชีพ นักเรียนมัธยม เป็นน้องชายของสิบตำรวจตรี บาบาร่า ลอเรนซ์ หายตัวไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคม XXXX
10.โรซารี่ เคฟ เพศหญิงอายุ 34 ปี อาชีพ แม่บ้าน เป็นแม่ของลิลิก้า และ ลิลลี่ หายตัวไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม XXXX
11.กัฟฟี่ มิลเลอร์ เพศชาย อายุ 42 ปี อาชีพ นายพราน หายตัวไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม XXXX
12.เจสซิก้า ไวส์วินด์ เพศหญิง อายุ 14 ปี อาชีพ นักเรียนมัธยม น้องสาวของสิบตำรวจโท โมนิก้า ไวส์วินด์ หายตัวไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม XXXX
กระดาษเปล่าที่ถูกเขียนด้วยลายมือของสารวัตรไทเลอร์
ผมพยายามจนถึงที่สุดแล้ว แต่ผมก็ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว บาทหลวงบอกกับผมว่าผมจะได้สิ่งที่ผมต้องการ ชีวิตของลูกสาวผมจะกลับมา ผมพยายามที่จะเชื่อท่าน จนถึงที่สุด ผมทำทุกอย่างผมยอมกลายเป็นแม้แต่กระทั่งปีศาจร้ายในสายตาของทุกคน เพื่อที่จะให้เป้าหมายเดียวของผมประสบความสำเร็จ
แต่มันก็ไม่เป็นไปตามที่ผมคิด สิ่งที่ผมได้มาคืออสุรกายจากนรก พวกมันคืบคลานออกมาจากประตูนั่นไม่หยุด มันแทรกซึมเข้ามาในจิตใจของผู้คน มันแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของผู้คน แน่นอนรวมถึงผมด้วย ก่อนที่ผมจะกลายเป็นปีศาจร้าย ผมพยายามต่อสู้กับมันอย่างถึงที่สุดด้วยวิธีทางทุกอย่างที่ผมจะนึกออก
ผมกลายเป็นฆาตกรที่ไม่น่าให้อภัย ผมไม่มีแม้แต่กระทั่งคุณสมบัติที่จะเป็นมนุษย์ แต่อย่างน้อยก่อนที่วิญญาณของผมจะตกลงไปสู่ห้วงอเวจี ผมอยากที่จะหยุดมัน
ผมกลับไปหาหลวงพ่ออีกครั้ง เพื่อที่จะบอกกับเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจบลงแล้ว ความต้องการของเขาและความต้องการของผมไม่มีวันเป็นจริงได้หรอก มันไม่มีทางเป็นจริงแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าหลวงพ่อเขาจะไม่เข้าใจ หรือผมเองก็คิดว่าเขาเข้าใจอยู่นะแต่ว่าเขาไม่ยอมรับ
ผมกลับมาที่สำนักงาน ผมปฏิเสธการปล่อยตัวกัฟฟี่ เพราะว่าเขารู้เห็นมากจนเกินไป ในสิ่งที่พวกเรากำลังทำ และในที่สุดเขาก็ได้หายตัวไป ผมเชื่อว่าน่าจะต้องเป็นฝีมือของหลวงพ่ออีกนั่นแหละ ฝีมือของเขาและบริวารปีศาจร้ายของเขา
ผมบอกกับผู้กองลูคัส ว่าอย่าให้เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี ผมกลัวว่าเขาจะเป็นอันตราย ผมไม่อยากจะให้นายตำรวจที่มีอนาคตแบบเขาต้องมาจบลงที่นี้ ต้องมาจบลงเพราะความโง่เง่าของผม แต่เขาฉลาดและซื่อตรงเกินไปเขารู้ว่าผมอยู่เบื้องหลังเรื่องเกือบจะทั้งหมด และเขาก็คงจะไม่ยอมปล่อยผมแน่
2-3 วันที่ผ่านมานี้ผมรู้สึกร่างกายของผมมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ผมพยายามมากกว่า 10 ครั้งที่จะฆ่าตัวตาย แต่ว่ามันไม่สำเร็จ นี่คงจะเป็นสิ่งที่ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างแน่นอน ตอนนี้มันกลับมาเล่นงานผมแล้ว ผมตัดสินใจที่จะไปหาสิ่งที่จะจบชีวิตผมได้ และในที่สุดผมก็ได้เจอมัน ตำนานปรัมปราบางทีก็เป็นเรื่องจริง ผมตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงในวันนี้ แล้วผมหวังว่าเหล่าทวยเทพจะให้อภัยแก่ความโง่เง่าของผม ในวันพิพากษา
ลงชื่อ ไทเลอร์ คิซซิงเจอร์
จดหมายจำนวนหนึ่งที่อยู่ภายในลิ้นชักของสารวัตรตำรวจ
ผู้ส่ง อาเธอร์ ลอเรนซ์ ลงวันที่ 18 มกราคม XXXX
“สวัสดีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของฉัน ตอนนี้ฉันรวบรวมของที่จะใช้ในการเปิดประตูได้เกือบจะครบแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่วิญญาณของผู้บริสุทธิ์เท่านั้น และฉันรู้ว่าต่อจากนี้ไปฉันควรจะต้องทำอะไรฉันต้องการความร่วมมือจากนาย แน่นอนทั้งหมดนี้เพื่อเป้าหมายของนายเองด้วยนะ”
ผู้ส่ง อาเธอร์ ลอเรนซ์ ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ XXXX
“การบูชายัญครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เราได้ทำลงไปนั้นยังไม่พอ มันยังไม่พอเลยแม้แต่น้อย ประตูยังต้องการเครื่องสังเวยมากกว่านี้อีก และแน่นอนว่าพวกเราต้องการความช่วยเหลือจากนาย”
ผู้ส่ง อาเธอร์ ลอเรนซ์ ลงวันที่ 2 มีนาคม XXXX
“พวกเราใกล้จะทำสำเร็จแล้ว นั่นเป็นเพราะความช่วยเหลืออย่างดีของนายสหาย และแน่นอนว่าสิ่งที่นายปรารถนาจะต้องเป็นความจริง ฉันขอสัญญา ดังนั้นขอให้ร่วมมือกันไปจนกว่าจะถึงภารกิจสุดท้าย แล้วพบกันที่เดิมนะ ฉันมีเรื่องอีกหลายอย่างที่จำเป็นจะต้องคุยกับนาย”
|
|
|
Post by wildrose on Sept 21, 2019 14:31:24 GMT
แผนที่เมือง Moonlight City
ท่าเรือ โรงพยาบาล เขตชุมชนที่อยู่อาศัย โรงเรียน ย่านการค้า สถานีตำรวจ โบราณสถานทางทิศเหนือ โบราณสถานทางทิศใต้ โบสถ์ประจำเมือง
|
|
|
Post by wildrose on Sept 22, 2019 15:30:05 GMT
Turn 11
ป้อม : นั่นสินะครับถ้ายังไงเราไปบอกพวกคุณพัสสร ให้เข้ามาพักในนี้กันก่อนเถอะ ยังไงก็ตามภายในห้องนี้ก็ยังดูปลอดภัยกว่าด้านนอกเยอะเลย ผนังประตูและหน้าต่างอยู่ในสภาพแข็งแรงดี สร : แล้วจะเอายังไงกับคุณสารวัตรดีล่ะครับ จะให้นอนในนี้ทั้งๆที่เขานั่งอยู่ตรงนี้เหรอ ส่วนตัวผมไม่เป็นไรหรอกแต่พวกนายสิ แบบนั้นจะไม่ไหวเอานาาานานะ : นั่นสินะคะ ถ้ายังไงเรานำร่างของเขาออกไปข้างนอกก่อนไหม (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)ป้อมและสร ตกลงตามที่นานะพูด พวกเขาช่วยกันนำร่างของสารวัตรไทเลอร์ ซึ่งเหลือเพียงแค่กระดูกออกไปนั่งอยู่ด้านนอกห้อง และใช้เสื้อนอกตำรวจของเขา คลุมร่างของเขาเพื่อไม่ให้พวกพัสสรที่ไม่เห็นเข้าทีหลังต้องตกใจ เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้วพวกของป้อมก็เดินกลับไปบอกพวกของพัสสรที่รอคอยอยู่ที่ล็อบบี้ ในระหว่างที่กำลังเคลื่อนย้ายร่างของสารวัตรไทเลอร์ สร สังเกตเห็นที่บริเวณคอของเขามีเชือกเส้นหนึ่งถูกห้อยเอาไว้ เชือกเส้นนั้นได้คล้องเอากุญแจสีทองดอกหนึ่งเอาไว้ด้วย สร ปลดมันออกมาและเก็บมันเอาไว้ (ได้รับกุญแจโบราณสีทอง X1)หลังจากที่พวกของป้อมไปแจ้งข่าวกับพวกพัสสรให้ได้ทราบแล้วทุกคนก็ทำการขนย้ายสิ่งของทุกอย่างรวมถึงสึคาสะที่ได้รับบาดเจ็บ ให้เข้ามาพักผ่อนภายในห้องของสารวัตรตำรวจ จากนั้นพวกเขาทำการปิดหน้าต่าง ลงกลอนประตู อย่างแน่นหนาที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ เวลาในตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าแล้ว พวกเขาจุดตะเกียงเจ้าพายุเพื่อให้แสงสว่างในห้อง และรอคอยอยู่อย่างเงียบเชียบเวลาในตอนนี้ผ่านไปจนเกือบจะถึงตีหนึ่งแล้ว ทุกคนภายในกลุ่มหลับไปหมด เหลือเพียงแค่สรที่มีหน้าที่เฝ้ายามและยังคงตื่นอยู่เท่านั้น ทันใดนั้นโสตประสาทของสรก็ได้ยินเสียงที่ผิดปกติดังขึ้นมาจากด้านนอก มันไม่ใช่เสียงของลม ไม่ใช่เสียงของพายุฝน ไม่ใช่เสียงของสัตว์เล็กสัตว์น้อยซึ่งปกติก็ไม่มีอยู่แล้ว กึก กึก กึก กึกเสียงของมันคล้ายกับเสียงของฝีเท้าของมนุษย์ แต่ว่าเบากว่ามาก ถ้าเกิดว่าเป็นเสียงฝีเท้าของมนุษย์จริงมนุษย์คนนี้น่าจะมีน้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม เสียงของมันใกล้เข้ามาที่ประตูหน้าห้อง จากนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก !เสียงเคาะประตูดังขึ้นโดยที่ปราศจากคำเอ่ยขานใดๆ สรนั่งฟังเสียงเคาะประตูนั้นด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง สร : ดึกป่านนี้ ในเมืองร้าง สิ่งที่อยู่ข้างนอกก็คงจะ มีแค่ไม่กี่อย่างหรอกนะ…..เสียงปริศนา : ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ในนั้น ข้าไม่ต้องการจะทำร้ายพวกเจ้าหรอก เปิดประตูให้ข้าเข้าไปเถอะ เสียงปริศนา : เจ้ามีเรื่องที่อยากจะรู้ใช่ไหม ข้ายินดีจะบอกเจ้าทุกอย่าง เจ้ามีบ้านที่อยากจะกลับใช่ไหม ข้าจะเป็นคนนำทางเส้นทางที่ปลอดภัยให้กับเจ้าเอง ขอเพียงแต่เจ้าเปิดประตูมาคุยกับข้าก่อน เสียงปริศนา : เจ้าคงจะคิดล่ะสินะ ว่าข้าจะต้องทำอันตรายกับเจ้าแน่ ถ้าอย่างนั้นยังไม่ต้องเปิดก็ได้ ส่งเสียงออกมาคุยกับข้าหน่อยสิ แค่นั้นก็พอ แล้วหลังจากนั้น ข้ายินดีที่จะตอบคำถามของเจ้าทุกอย่าง ว่ายังไงล่ะ เสียงปริศนานั้นฟังดูเหมือนกับเสียงของชายที่อยู่ในวัยกลางคน แต่มันเป็นเสียงที่ไม่ได้ยานคาง ไม่ได้น่ากลัว ไม่ได้ฟังดูน่าสะพรึงเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนกับเสียงของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ว่ามีอะไรบางอย่างที่ฟังแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน สร : ก็เคยได้ยินเรื่องผีมาบ้างหรอกนะ แต่ว่าเล่นมาพูดกันตรงๆแบบนี้เอายังไงดีล่ะเนี่ย ?เขากล่าวขึ้นกับตนเองเบาๆ ในขณะที่มองไปทางเพื่อนร่วมชะตากรรมของเขาซึ่งอยู่ในห้อง ที่กำลังหลับไหลไม่ได้สติ To Be Continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 23, 2019 10:40:07 GMT
Turn 12 สร : ครับๆ รอเดี๋ยวนะจะไปเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้แหละ ให้ตายสิใครกันนะมาซะดึกดื่นขนาดนี้ ?
สร เดินตรงไปที่ประตูซึ่งถูกใส่กลอนเอาไว้อย่างหนาแน่นโดยที่เขานั้นแทบจะไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไรเลย เขาเดินตรงเข้าไปปลดสลักของกลอนซึ่งทำมาจากทองเหลืองออกอย่างไม่ลังเล ตามคำพูดของเสียงปริศนาซึ่งดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งของประตู
แอ๊ดดดดดด
เสียงของบานพับประตูดังขึ้นอย่างโหยหวน ถึงแม้ว่ามันจะถูกทำมาจากทองเหลืองแต่ด้วยมันถูกทิ้งให้ไม่ได้รับการใช้งานมาเป็นระยะเวลายาวนานมันจึงต้องมีสนิมสีเขียวเกาะอยู่บ้างเป็นธรรมดาเสียงการเปิดประตูมันจึงได้ดังเช่นนี้
ที่นอกประตูนั้นมืดสนิท มีแค่เพียงแสงของตะเกียงเจ้าพายุซึ่งถูกจุดเอาไว้ภายในห้องส่องสว่างออกไปด้านนอกเล็กน้อย สายตาของสรค่อยๆปรับเข้ากับความมืดด้านนอกอย่างช้าๆและสิ่งที่เขาได้เห็นก็คือ
ตัวประหลาดตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูนั้น มันคล้ายกับมนุษย์แต่ว่ามีรูปร่างผอมกว่า ผิวกายของมันมีสีขาวซีดและดูหม่นเป็นสีเทา ดวงตาของมันนั้นมีสีเขียวบ้างแดงบ้างกระจายอยู่เต็มใบหน้า มันมีฟันเต็มปากที่ฉีกใหญ่จนเกือบจะเท่ากับครึ่งนึงของใบหน้าของมันเอง ดวงตา 3-4 ดวงของมันอยู่ผิดที่จากมนุษย์ทั่วไป ภายในปากของมันนั้นส่งกลิ่นเหม็นคาวราวกับซากศพ ลิ้นของมันมีสีแดงแกมม่วงและมีปุ่มตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด อีกทั้งในปากของมันยังมีน้ำเมือกสีดำหล่อลื่นอยู่ตลอดเวลา
สร : นี่มัน ! ….
ก่อนที่ สร จะได้พูดอะไรออกไปเจ้าตัวประหลาดก็ใช้ปากของมันพุ่งเข้าใส่บริเวณลำคอของเขาด้วยความเร็วสูง ฟันของมันคมกริบราวกับใบมีดโกนแทงทะลุผิวหนังของเขาเข้าไปอย่างง่ายดาย
สร : อ๊าคคคคคคค !
สร ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดและตกใจ เสียงของเขานั้นปลุกให้ทุกคนซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทราตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่งัวเงีย เจ้าตัวประหลาดไม่ได้สนใจสมาชิกคนอื่นภายในกลุ่มเลยแม้แต่น้อย มันใช้ฟันอันแหลมคมของมันเปิดผิวหนังและกล้ามเนื้อของ สร ออกมาและตัดเส้นเลือด ซึ่งอยู่ภายในลำคอ ลิ้นของมันมีลักษณะคล้ายกับท่ออะไรบางอย่างซึ่งมันได้ชอนไชเข้าไปในบาดแผลและดูดซับเอาเลือดซึ่งไหลออกมาจากเส้นเลือดใหญ่เข้าไปอย่างหิวกระหาย
สร : อึกกกก อ่าาาา……..
เสียงของ สร จากที่ฟังตอนแรกมีความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในตอนนี้เสียงของเขานั้นดูแผ่วเบาราวกับว่ามันแทบจะไม่มีเสียงอะไรออกมาอีกเลย เส้นเสียงที่อยู่ภายในลำคอของเขาคงจะถูกทำลาย และน้ำลายของเจ้าตัวประหลาดนี้บางทีอาจจะมีสารอะไรบางอย่างที่คล้ายกับยาชาทำให้เขานั้นรู้สึกไม่เจ็บปวดทั้งๆที่ในความจริงเขาถูกดูดเลือดออกไปหลายลิตรภายในระยะเวลารวดเร็ว
(สร HP -7)
ป้อม : แย่แล้ว !! ทุกคนตื่นเร็วเข้า นั่นมันตัวอะไรกัน !!
ป้อมที่ตื่นขึ้นมาและได้เห็นภาพอันสยดสยองตรงหน้า รีบตะโกนปลุกทุกคนด้วยท่าทางที่ดูตกใจสุดขีด เสียงของเขานั้นดังมากพอที่จะทำให้ทุกคนภายในกลุ่มนั้นตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา และทุกคนนั้นก็ได้เห็นภาพเดียวกัน นั่นก็คือภาพของสร ที่กำลังถูกดูดเลือดโดยตัวประหลาดอะไรบางอย่าง
(ตัวละครทุกตัว BP -4)
พัสสร : มะ…..ไม่นะ นี่มันตัวอะไรกัน !
ขวัญ : ไม่รู้เหมือนกันค่ะ น่าขยะแขยงที่สุดเลย !
นานะ : แวมไพร์ ? ไม่ใช่แล้วล่ะมั้ง !?!
ในขณะที่หลายๆคนกำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนกเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ป้อมดูเหมือนว่าเป็นคนที่สามารถจะควบคุมอารมณ์ได้มากที่สุดถึงแม้ว่าเขาเองก็จะตื่นตระหนกไม่น้อยเช่นกัน เขาพยายามคิดจะหาทางทำอะไรสักอย่างในสถานการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเช่นนี้
To be continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 26, 2019 15:44:59 GMT
Turn 13 ป้อม : เอานี่ไปกินซะ ไอ้ตัวประหลาด !
ป้อมลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่สรกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาได้นำปืนลูกโม่ซึ่งเก็บได้จากร่างไร้วิญญาณของสารวัตรไทเลอร์ ซึ่งภายในนั้นมีกระสุนเงินบรรจุอยู่ 1 นัด เล็งปืนไปที่บริเวณส่วนหัวของเจ้าตัวประหลาด ที่กำลังสูบเลือดจากลำคอของ สร อยู่อย่างไม่ลังเล
กริ๊ก…….. เปรี๊ยง !! (กระสุนเงิน -1)
ถึงแม้ว่าปืนลูกโม่กระบอกนั้นจะมีสภาพให้ดูเก่าแก่ แต่ดูเหมือนว่ากาลเวลาจะไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของมันลดลงไปเท่าไหร่นัก ลูกกระสุนเงินที่นอนอยู่ในรังเพลิงถูกยิงออกไปยังบริเวณส่วนหัวของเจ้าตัวประหลาดอย่างรุนแรงและแม่นยำ
กิ๊สสสสสสสส !!!
เสียงร้องเล็กแหลมฟังแสบแก้วหู ดังขึ้นมาในทันที เจ้าตัวประหลาดร้องโหยหวนๆด้วยท่าทางที่ดูเจ็บปวดและโกรธแค้น ปากของมันปล่อยลำคอของ สร ออก ในทันที สรล้มตัวลงกับพื้นราวกับคนที่หมดเรี่ยวแรงแต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีลมหายใจอยู่
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะยังไม่สิ้นฤทธิ์ ถึงแม้ว่าจะถูกกระสุนเงินยิงเข้าตรงบริเวณศีรษะอย่างจัง เจาะเลือดของมันซึ่งเป็นของเหลวสีดำและข้นราวกับเมือกจะไหลออกมาอย่างมากมาย แต่ว่ามันก็ไม่ได้ล้มลงแต่อย่างใด
พัสสร : โดนยิงไปตั้งขนาดนั้นยังยืนอยู่ได้อีกหรอนี่มันตัวอะไรกัน !
เจ้าตัวประหลาดดูเหมือนว่าจะกำลังพยายามที่จะพุ่งเข้ามาโจมตีคนอื่นในกลุ่ม แต่เพราะอาการบาดเจ็บของมันจึงทำให้มันลังเลและยังไม่โจมตีเข้ามา ในจังหวะนั้นนานะได้หยิบกล้องดิจิตอลของเธอขึ้นมา โดยที่เธอหวังว่าก่อนที่เจ้าตัวประหลาดนี้จะทำอะไรไปมากกว่านี้อย่างน้อยในจิตวิญญาณของช่างภาพเธอก็อยากจะเก็บภาพอันสุดแสนจะหายากนี้เอาไว้อย่างน้อยสักภาพหนึ่ง
แช๊ะ !!
แสงสว่างสีขาวประกายขึ้นภายในความมืดมิด หากในยามรัตติกาลที่มืดมิดเช่นนี้แสงสว่างจากแฟลชของกล้องดิจิตอล มันก็สว่างราวกับสายฟ้าฟาดเลยทีเดียว เจ้าตัวประหลาดเมื่อได้เห็นแสงนั้นมันก็หยุดชะงักและหันความสนใจไปที่นานะ แสงแฟลชของกล้องดิจิตอลทำให้มันรู้สึกสับสนได้เล็กน้อย แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้คนอื่นเปิดฉากลงมือ
ป้อม : โซ้ย ยร่าาาาา !!
ป้อมลุกขึ้นมาและใช้เท้าถีบเจ้าตัวประหลาดเข้าอย่างเต็มแรง ด้วยน้ำหนักลำตัวที่เบาของมันบวกกับแรงที่ถีบเข้าไปอย่างเต็มที่ทำให้เจ้าตัวประหลาดนั้นพุ่งกระเด็นออกจากบานประตูออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เป็นภัยอันตรายกระเด็นออกไปนอกห้องแล้วขวัญก็ไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปปิดบานประตูและลงกลอนทองเหลืองอย่างแน่นหนาในช่วงวินาที (ฺBP +2 ทุกตัวละคร)
นานะ : ยอดไปเลยค่ะ ! (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
เสียงปริศนา : เปิดเดี๋ยวนี้นะ ! ข้าบอกให้พวกเจ้าเปิดเดี๋ยวนี้ !
เสียงปริศนา : พวกเจ้าจะต้องชดใช้ที่ทำกับข้าแบบนี้ !
เสียงปริศนา : ข้าจะไล่ล่าพวกเจ้า ! ข้าจะกินพวกเจ้าให้หมด ! ข้าจะดูดเลือดพวกเจ้าจนกว่าพวกเจ้าจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ! แม้แต่กระทั่งหยดเดียวก็จะไม่ให้เหลือ ! แม้แต่กระทั่งหยดเดียวก็จะไม่ให้เหลือ !!
เสียงปริศนาที่ฟังดูเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยวอาฆาตพยาบาท ดังขึ้นมาจากอีกฝั่งนึงของประตูตลอดเวลา แต่ว่าทุกคนภายในห้องนั้นไม่ได้กล่าวโต้ตอบอะไรกับเสียงปริศนานั่นเลยแม้แต่คำเดียว เพราะว่าในตอนนี้อาการของสรที่เพิ่งจะถูกดูดเลือดไปนั้นดูสาหัสกว่ามาก
กลิ่นเลือดตลบอบอวลเหม็นคาวไปทั่วห้อง เลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาไม่หยุดจากลำคอของเขาบ่งบอกได้ว่าแผลที่เจ้าตัวประหลาดนั้นฝากไว้ให้กับเขาลึกเพียงใด พัสสรใช้มีดของป้อมที่ได้มาจากร้านกาแฟร้างตัดส่วนหนึ่งของเสื้อนอกของเธอเพื่อใช้เป็นผ้าพันแผล
ในขณะที่ขวัญทุกคนนั้นพยายามกดปากบาดแผลเอาไว้เพื่อไม่ให้เลือดไหลออกมามากกว่านี้ มันเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ปราศจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ใดๆ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่ได้ทำอะไรเลย (สร HP+1)
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องพักของสารวัตรตำรวจ ต่างพากันหลบอยู่ในห้องอย่างนิ่งเงียบและอดทน ในขณะที่เสียงของอีกฟากหนึ่งที่ดังมาจากประตู มีทั้งเสียงราวกับกำลังใช้กำปั้นทุบประตูอย่างรุนแรง หรือไม่ก็เสี่ยงเหมือนกับกำลังใช้ของมีคมกรีดบานประตู พวกเขาภาวนาให้บานประตูไม้สีน้ำตาลแก่ที่หนาและหนัก ปกป้องพวกเขาเอาไว้ได้ในคืนนี้ และดูเหมือนว่าบานประตูนั้นจะทำได้สำเร็จ
ในที่สุดเวลาเช้าก็มาถึง เลือดของ สร ไหลออกมาจากบาดแผลน้อยลงมากแล้วแต่เขาก็สูญเสียเลือดไปจำนวนมากจนทำให้เขานั้นไม่อาจที่จะยืนได้ด้วยตนเอง ป้อมจะต้องคอยประคองให้เขาลุกขึ้นและเดินได้อย่างช้าๆ
พัสสร : สภาพข้างนอกโหดร้ายน่าดูเลยนะคะเนี่ย …..
เมื่อเห็นว่าในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นและเวลาเช้ามาถึงแล้วเสียงที่ดูดังอึกทึกครึกโครมภายนอกก็จบลงพวกที่อยู่ในห้องทุกคนจึงเปิดประตูออกไปดูด้านนอก สภาพของประตูอีกฟากหนึ่งเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนมากมายเหมือนกับถูกเล็บที่แหลมคมขีดข่วนอย่างต่อเนื่อง ของเหลวซึ่งเป็นเมือกสีดำ กระจายอยู่เต็มพื้นด้านหน้าและมีรอยยาวเป็นทางลากออกไปจนถึงด้านนอกสถานีตำรวจ เป็นเครื่องบ่งบอกอย่างดีว่าเจ้าตัวประหลาดที่เขาพบเมื่อคืนนี้ออกไปจากที่นี่เรียบร้อยแล้ว
ขวัญ : อย่างกับว่าพวกเราหลุดเข้าไปในหนังสยองขวัญเลยนะคะ ฉันอยากกลับบ้านจังเลย จากนี้ไปจะเอายังไงกันดีคะ
To be continued
|
|
|
Post by wildrose on Sept 27, 2019 17:27:49 GMT
Turn 14 พัสสร : ฉันว่ายังไงตอนนี้เราก็ควรที่จะต้องหาอะไรสักอย่างมาทำแผลให้กับสรนะคะ แล้วเขาก็ต้องการยาฆ่าเชื้อและอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วย ถ้าไม่รีบล่ะก็ …..
ป้อม : นั่นสินะ เลือดของเขาไหลออกมาไม่หยุดเลยตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ถึงตอนนี้มันจะไหลออกมาน้อยกว่าตอนแรกก็เถอะ
นานะ : ถ้าอย่างนั้นฉันว่าเราลองไปที่โรงพยาบาลกันดูไหมคะ เผื่อว่าบางทีที่นั่นอาจจะมีเครื่องมือทางการแพทย์หลงเหลืออยู่บ้างก็ได้ (ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น)
ดูเหมือนว่าทุกคนนั้นจะเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือคนที่ได้รับบาดเจ็บก่อน และอุปกรณ์การแพทย์รวมทั้งยารักษาก็เป็นของที่สำคัญมากที่สุดในตอนนี้ พวกเขาน่าจะลองเข้าไปที่โรงพยาบาลของ Moonlight City แห่งนี้ ถึงแม้ว่ามันจะถูกทิ้งร้างมานานแล้ว แต่ว่าสารเคมีบางชนิดและอุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างน่าจะยังใช้การได้อยู่บ้าง
ขวัญ : ถ้าลองดูจากแผนที่แล้วโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอกนะคะ พวกเราต้องมุ่งหน้าลงไปทางทิศใต้ แต่ว่าเรามีคนเจ็บอยู่ด้วย ระยะทางถึงจะไม่ไกลแต่ว่าคงจะทุลักทุเลน่าดูนะคะ
ป้อม : ถ้าอย่างนั้นลองทำแบบนี้ดูไหมครับ
ป้อมเดินออกไปข้างนอกภายในตัว Lobby ของสถานีตำรวจ เขาหยิบท่อนเหล็กที่ถึงแม้ว่ามันจะขึ้นสนิมแต่ว่ามันก็ยังพอที่จะแข็งแรงและรับน้ำหนักได้ เขาถอดเสื้อนอกของเขาออกและผูกกับท่อเหล็กทั้ง 2 ท่อนทำให้กลายเป็นเปลสนาม เพื่อที่จะให้สรนอนในนั้นและพวกเขาจะสามารถขนย้ายไปได้
พัสสร : ความคิดไม่เลวเหมือนกันนะคะ
ป้อมจึงได้เป็นคนที่หิ้วเปลสนามอยู่ด้านหน้าส่วนขวัญและนานะ เป็นคนที่ถือเปลสนามทั้งสองข้างจากด้านหลัง เพื่อช่วยกันกระจายน้ำหนักและทำให้ไม่เหนื่อยมาก พัสสรเป็นคนที่ช่วยพยุงสึคาสะซึ่งอาการไม่หนักมากนัก ในที่สุดพวกเขาก็สามารถที่จะออกจากสถานีตำรวจมาได้อย่างไม่ยากเย็น
สร : โอ้ยยยยยย อืออออออ
ป้อม : อ้าว รู้สึกตัวแล้วหรอ ดีจังเลยแต่ว่าอย่าเพิ่งขยับนะนายได้รับบาดเจ็บมากเลยล่ะ
สร : ที่นี่ ……. ที่ไหน ? ……. เหวออออออ !! (สร BP -4)
ขวัญ : เกิดอะไรขึ้นคะคุณ สร มีอะไรอย่างนั้นเหรอทำไมถึงได้หน้าซีดขนาดนั้น
ขวัญพยายามที่จะถามสรเพราะว่าเมื่อทันทีที่เขาตื่นขึ้นมาเขาก็มีอาการหวาดกลัวอย่างรุนแรง และเขาก็ร้องออกมาอย่างสุดเสียงทำให้บาดแผลที่เคยเกือบจะปิดไปแล้วเปิดขึ้นมาอีกครั้งและเลือดก็ไหลออกมาอีกจำนวนหนึ่ง
สร : ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดง ! ……. เหม็น มีกลิ่นเหม็นเหมือนอะไรสักอย่างเน่าออกมาจากทุกที่เลย !! …… ไม่นะ ไม่นะ !!
สร ร้องโวยวายขึ้นมา ก่อนที่เขาจะสลบไปอีกครั้ง ตามปกติแล้วเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะใจเย็นและไม่ค่อยจะตกใจกับสถานการณ์อะไรง่ายๆ การที่เขาเห็นภาพอะไรบางอย่างตรงหน้าจนถึงขนาดสลบลงไปได้ขนาดนี้ สิ่งที่เขาเห็นและสัมผัสได้คงจะเป็นอะไรที่เลวร้ายน่าดู
พัสสร : เขาเพิ่งจะเจอกับสถานการณ์ที่น่ากลัวมา บางทีอาจจะทำให้ความทรงจำของเขา และประสาทสัมผัสของเขาเกิดอะไรที่แปลกๆขึ้นมาก็ได้นะคะ นี่เป็นข้อสันนิษฐานของฉันนะคะ
พัสสรพยายามที่จะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งทุกคนก็ดูเหมือนว่าจะยอมรับในสิ่งที่เธอพูด เพราะว่าพวกเขานั้นได้เผชิญหน้ากับเจ้าตัวประหลาดเมื่อคืนนี้มาแล้วและพวกเขาก็รู้ว่า มันเป็นอะไรที่เลวร้ายเพียงใด
ที่ด้านหน้าโรงพยาบาล
หลังจากที่พวกเขาเดินกันประมาณ 2 ชั่วโมง ยังดีที่เป็นช่วงเวลาเช้าอากาศที่บริสุทธิ์และเย็นสดชื่นทำให้พวกเขานั้นไม่มีอาการเหนื่อยล้ามากนัก แต่ว่าหนทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังก็ยังคงเป็นอุปสรรคที่ทำให้พวกเขาเดินทางได้ช้าอยู่ดี
ป้อม : ในที่สุดก็ถึงสักที แต่ว่ามันดูโทรมกว่าที่คิดนะเนี่ย …..
ป้อมเงยหน้าดูโรงพยาบาลซึ่งเป็นอาคารสูง 5 ชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าของเขา สภาพของมันนั้นเก่าและชำรุดทรุดโทรม แต่ว่าตัวของตึกที่ทำด้วยคอนกรีตก็ยังคงสภาพของมันได้เป็นอย่างดี ที่ด้านหน้าของโรงพยาบาลเป็นประตูกระจก แต่ว่าบานกระจกทั้งสองข้างของประตูโรงพยาบาลนั้นแตกไปหมดแล้ว พวกเขาจึงสามารถเดินเข้าไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
นานะ : เริ่มสำรวจกันเถอะค่ะ
พัสสร : อาคารนี้มีความสูง 5 ชั้น ฉันคิดว่าเราควรที่จะต้องไล่สำรวจทีละชั้นจะดีกว่านะคะ ถ้าแยกกระจายกันไป บางทีอาจจะมีเรื่องไม่ดีก็ได้ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าที่นี่มันมีอะไรอยู่บ้าง
ป้อม : เราเริ่มจากชั้น 1 กันก่อนก็แล้วกันนะ
หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในตัวอาคารของโรงพยาบาล สร และสึคาสะ ก็ได้รับการนั่งพักอยู่ที่บริเวณห้องโถงของโรงพยาบาลซึ่งก็คือห้องแรกที่พวกเขาเข้ามา ภายในห้องนี้มีป้ายบอกว่าภายในชั้น 1 ของโรงพยาบาลนั้นประกอบด้วยห้องอะไรบ้างซึ่งพัสสรกำลังยืนมองมันและกำลังขอความเห็นจากทุกคน
พัสสร : มีห้องหลายห้องอยู่เหมือนกันนะคะเนี่ยเราจะเริ่มสำรวจจาก…..
กึก กึก กึก กึก …….
ในขณะที่พัสสรกำลังจะกล่าวขอความเห็นกับทุกคน ทันใดนั้นภายในความเงียบทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างที่เหมือนกับฝีเท้าของคนกำลังเดิน เสียงฝีเท้านั้นดังห่างออกไปจากกลุ่มของพวกเขา และมันก็ดังถี่ ราวกับว่าเจ้าของสีเทานั้นกำลังรีบเร่งที่จะหนีจากพวกเขา
ป้อม : เสียงเมื่อกี้นี่มัน มีใครบางคนอยู่ที่นี่งั้นหรอ ?
ขวัญ : แต่ดูเหมือนว่าเขาจะวิ่งหนีพวกเรานะคะ !
นานะ : อาจจะเป็นลูกทัวร์คนอื่นที่ยังเหลือรอดก็ได้ เราจะลองไปดูไหมคะ ?
พัสสร : ทางที่เสียงดังมาเมื่อกี้นี้มันดังขึ้นไปทางบันไดขึ้นไปชั้น 2 ของโรงพยาบาล แต่พวกเรามีคนเจ็บอยู่ด้วย จะให้ทิ้งไปก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ จะเอายังไงดีคะ ?
ทุกคนในตอนนี้อยู่ในความเงียบและพยายามใช้ความคิดตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์เบื้องหน้าดี
To Be Continued
|
|