Post by kiwada on May 12, 2020 8:35:33 GMT
บทนำ
มนุษย์ สิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาที่สุดบนดาวโลก พวกเราล้วนคิดมาโดยตลอดว่ามีบางสิ่งที่อยู่ด้านนอกดาวดวงนี้ และทรงภูมิปัญญามากกว่าเรา และเราย่อมเชื่อว่าชักวันนึงพวกเขาจะมาหาเรา
และนั่นมันจะเป็นวันสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ
24 มิถุนายน 1947 นักบินชาวอเมริกันชื่อแคเน็ท อาร์โนล กำลังบินเหนือรัฐวอชิงตัน ได้พบยานบินลึกลับจำนวน 9 ลำ ก่อนที่จะบินหายไป ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ของกองทัพก่อนพบว่ามันเร่งเครื่องผิดปกติไม่เหมือนเครื่องบินของกองทัพรุ่นไหนที่ทำได้
14 กรกฎาคม 1947 ชาวนาคนหนึ่งได้พบการระเบิดครั้งใหญ่นอกบ้านของเขา ก่อนที่เช้าวันรุ่งขึ้นจะพบกับซากโลหะปริศนารอบฟาร์มของเขาที่รอสเวล หลายคนเชื่อว่านั่นคือซากยานบินต่างดาว แต่นักบินกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาตอบไปเพียงว่าเป็นบอลลูนตรวจสภาพอากาศ
1952 Project blue book ถูกก่อตั้งเพื่อไขปริศนากรณีการค้นพบUFO (Unidentified flying object) ว่าคืออะไรกันแน่ในทางวิทยาศาสตร์ ก่อนจะปิดตัวลงในปี 1969 โดยมีรายงานกว่า 16,000 ฉบับ 701 ฉบับนั้นไม่สามารถอธิบายได้ แต่กลับให้คำสรุปว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติ
1955 Area 51 ถูกก่อตั้ง โดยจุดประสงค์อย่างเป็นทางการคือการสร้างเครื่องบินสอดแนม U2 และ SR71 แต่หลายคนกลับเชื่อว่าที่นี่มีการทดลองสิ่งมีชีวิตจากภายนอก
21 กรกฎาคม 1969 ในขณะที่นักบินอวกาศ นีล อาร์มสตอร์ง และ บัส อัลดริน กำลังทำภารกิจบนดวงจันทร์นั้น เกิดสัญญาณขาดหายไปสองนาที แม้ว่าทางการจะแจ้งว่าเป็นเพราะปัญหาจากระบบสื่อสาร แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า กองทัพอากาศนั้นได้ตัดสัญญาณเพื่อป้องกันไม่ให้สื่อมวลชนได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน
1977 มหาวิทยาลัยแห่งโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ได้พบสัญญาณที่มีความซับซ้อนสูงจากอวกาศ ที่เรียกสัญญาณนั้นว่า สัญญาณ WOW หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตขั้นสูง อีกฝ่ายกลับบอกว่ามันเป็นเพียงสัญญาณจากดาวนิวตรอนเท่านั้น
1981 F 117 NightHawk บินครั้งแรก นักทฤษฎีสมคบคิดบางคนเชื่อว่า เครื่องบินที่หลบหลีกเรดาห์ได้นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ได้จากการทำวิศวกรรมย้อนกลับจากสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญามากกว่ามนุษย์
2014 นักบินเครื่องบิน F18 ได้ตรวจจับวัตถุประหลาดผ่านกล้องตรวจจับความร้อนที่บินอยู่กับที่ก่อนจะหายไป โดยมีกล้องบันทึกภาพไว้อย่างชัดเจนแม้ว่าจะเป็นภาพขาวดำก็ตาม ในปี 2020 ทางการออกมายอมรับว่าภาพถ่ายเป็นของจริงแต่ไม่ได้ให้คำตอบว่า สิ่งที่เห็นคืออะไร
19 ตุลาคม 2017 นักดาราศาสตร์ Robert Weryk ได้ค้นพบวัตถุนอกระบบสุริยะที่เคลื่อนี่เข้ามาภายในระบบสุริยะ มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า 1I/2017 U1 และมีชื่อเล่นว่า Omuamua โดยวัตถุนี้มีลักษณะคล้ายแท่งซิการ์ยาว 1,000 เมตร และในจังหวะที่ออกไปจากระบบสริยะ Omuamua กลับเร่งความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดให้กับนักดาราศาสตร์มาก จนมีหลายคนเชื่อว่านี่คือยานอวกาศขนาดใหญ่ที่เราตรวจเจออย่างเป็นทางการ
2025 หลังจากการฟื้นตัวจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจมนุษย์เดินทางกลับไปยังดวงจันทร์เพื่อก่อตั้งฐานปฏิบัติการในการเตรียมการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารและขุดเหมืองภายใต้สนธิสัญญา Artemisในปีเดียวกันมนุษย์ได้ค้นพบวัตถุลึกลับจากนอกระบบสุริยะที่เข้ามาเป็นดวงที่3 โดยพบอยู่ในแถบวงจรไคเปอร์ โดยจากการคำนวนของนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มันจะเคลื่อนเฉียดดาวอังคารก่อนจะเคลื่อนตัวออกนอกระบบสุริยะ มีการตั้งชื่อว่า I3/Quetzalcoatl โดยตั้งชื่อตามเทพอินคาที่บอกชาวอินคาว่าจะกลับมาหาพวกเขา
2026 วัตถุ I3/Quetzalcoatl ได้รับการยืนยันว่ามีการเกาะกลุ่มของวัตถุจำนวนมากกว่า 8 ชิ้น และโคจรรอบกันราวกับเป็นระบบขนาดเล็กและมีการเปลี่ยนแปลงวงโคจร โดยมีการเปลี่ยนทิศทางที่ตรงมายังโลก นักดาราศาสตร์NASAคำนวนว่ามันจะใช้เวลา 5 ปีก่อนจะถึงโลก ซึ่งเร็วกว่ายานนิวโฮไรซอนที่นาซ่าเคยส่งไปถึง 2 เท่า มีการจัดตั้งนักดาราศาตร์เพื่อศึกษามันอย่างละเอียด ขนาดที่คำนวนไว้อยู่ที่ 1 กม. -10 กม. ปฏิบัติการสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารถูกยกเลิก
2027 กลุ่มวัตถุ I3/Quetzalcoatl เคลื่อนที่ตรงเข้ามาจนถึงดาวอังคารซึ่งเร็วกว่าที่คำนวนไว้หลายเท่าหลังจากนั้นเพียง 1 เดือนมันก็มาถึงดาวโลก นาซ่าได้ส่งยานอวกาศไร้คนขับไปตรวจสอบก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่วัตถุหินหรือน้ำแข็งอย่างที่ควรจะเป็น พวกเขาพบจุดแสงที่กระจายออกมารอบดาว โลหะที่โค้งมนอย่างเห็นได้ชัด ท่อพลังงานเพื่อผลักดันยานที่ท้ายลำ และพบสัญญาณวิทยุที่ส่งออกมาจากตัวยานซึ่งในตอนแรกพวกเขาไม่สามารถจะแกะรหัสพวกนี้ได้ ต่อมาเมื่อให้นักถอดรหัสได้แกะรหัสออกมาจึงพบว่าเป็นรหัสการสื่อสารจากบางอย่างในนั้น โดยวัตถุดังกล่าวยังคงโคตรรอบโลกในตำแหน่ง l1 การแก้รหัสเป็นภาษาอังกฤษได้ใจความถึงการระบุตัวตนของสิ่งมีชีวิตในนั้นที่เรียกตนเองว่า ‘Emerian’
2028 มนุษย์ประสบความสำเร็จในการถอดรหัสและเริ่มทำการสื่อสารกับ Emerian เพื่อต้องการทราบถึงวัตถุประสงค์ของการมาของพวกเขา และได้ใจความว่าชาว Emerian นั้นได้อพยพออกมาจากดาวเคราะห์ที่ตายลงของพวกเขาและต้องการจะลงหลักปักฐานบนดาวโลก โดยพวกเขาอ้างว่าพวกเขานั้นล้วนมีบรรพบุรุษร่วมกันกับมนุษย์โลกเมื่อ 2ล้านปีก่อน
ในปีเดียวกัน UN ได้มีมติเอกฉันท์จาก5ชาติถาวรประกอบไปด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีนและรัสเซียว่าไม่สามารถที่จะรองรับพื้นที่อยู่อาศัยให้กับชาวEmerian ได้ถึง 100,000,000 ชีวิตได้ ไม่แม้กระทั่งในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่อย่างแปซิฟิคก็ตาม ชาว Emerian ได้มีการขอเจรจารอบที่2เพื่อที่จะขอพื้นที่อยู่อาศัยแลกกับการแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยี การเจรจาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ปี 2029 ในขณะที่ฝ่าย UN กำลังถกเถียงกันเองเพื่อหาข้อยุติ ยานบินของ Emerian ได้เคลื่อนตำแหน่งมายังระดับวงโคจรระดับวงโคจรต่ำซึ่งสูงจากพื้นผิวโลกเพียว 160 กิโลเมตรเท่านั้น เพื่อกดดันให้มีมติที่เป็นเอกฉันท์ สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ มนุษย์โลกหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ขับไล่ชาว Emerian ออกไป มีเพียงเสียงส่วนน้อยที่ขานรับที่จะให้พวกเขามาอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ ความขัดแย้งเริ่มตึงเครียด
วันที่ 13 มีนาคม 2029
สหรัฐอเมริกาได้ทำการใช้ปฏิบัติการลับสุดยอดเพื่อที่จะตัดปัญหาอย่างสมบูรณ์แบบ
Operation Titanomachy
เวลา 02.28 ตามเวลาท้องถิ่น
ฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกา Joint Base Langley–Eustis รัฐเวอร์จิเนียร์
กองบินที่ 633d
ห้องประชุม
ในห้องประชุมขนาดกลาง เก้าอี้โลหะถูกจัดวางตามตำแหน่งต่างๆเพราะแผนที่มหาสมุทรแอตแลนติกถูกตั้งไว้ตรงกำแพงตรงหน้าเก้าอี้พวกนั้น เพียงไม่นานเหล่าทหารในชุดนักบินกว่า10 นายได้เดินเข้ามานั่งในห้องพร้อมกับนายทหารอีกท่านที่อยู่ในชุดทหารอากาศเต็มยศระดับพลเอก
“ทุกคนนั่งลง พวกนายทุกคนถูกเรียกตัวตามคำสั่งพิเศษของท่านประธานาธิบดี ภายใต้ข้อตกลงลับของสหประชาชาติ กองบิน633d จะเป็นกองบินที่จะเริ่มการทำสงครามกับEmerian” นายพลคนนั้นกล่าว เหล่าทหารเริ่มหันมาคุยกันทันที
“แล้วเราจะเอาอะไรโจมตีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาเหนือเราครับท่าน พวกเขาน่าจะมีระบบป้องกันยานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าพวกเราแน่” นายทหารอากศคนหนึ่งแย้ง
“ถามมาได้ดี สิ่งที่เราจะใช้โจมตีคืออาวุธทำลายดาวเทียมรุ่นใหม่ที่พวกเราทั้งหมดจะโจมตีพร้อมกันทั้งหมด แต่ก่อนนั้นเราจะทำการโจมตี เพื่อรบกวนการป้องกันของพวกมันเสียก่อนแล้วโจมตี เราจะใช้จรวดต่อต้านดาวเทียมที่มีการติดตั้ง EMP (Elecromagnetic pulse) เพื่อทำลายระบบป้องกันของพวกมันถ้าพวกมันใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการป้องกััน จากนั้น จรวด ICBM จากทั่วอเมริกาจะโจมตีเข้าทั้ง 8 ลำ” นายพลตอบกลับ “จรวดเราจะใช้ ASM-135X ซึ่งพัฒนาต่อมาจากจรวดต่อต้านดาวเทียมตัวเก่า ซึ่งเมื่อปล่อยออกไปโดยล็อคเป้าด้วยระบบอินฟราเรด และจะบินออกไปกระทบเป้าที่ความสูง 160 กิโลเมตร ในเวลาที่จรวดถูกยิงออกไป ท่านปธน. จะประกาศสงครามให้คนทั่วโลกได้รับรู้ว่าพวกเราจะทำสงครามกับเหล่าเอเลี่ยนนอกโลกพวกนี้”
“เครื่องบินที่เราจะใช้คือ F-22 Raptor Block 4.0 ซึ่งจะเป็นรุ่นใหม่ ค่า RCS ( Radar cross-section) ลดลงจะเหลือต่ำกว่า 0.00001 ตารางเมตร ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า 10 เท่า ซึ่งจะใช้ทั้งสิ้น 2 ลำ แต่ละลำจะบรรจุ ASM-135X ลำละ 4 ลูกพร้อมเครื่องบินคุ้มกัน 4 ลำ ในภาารกิจนี้ เราจะเริ่มเทคออฟเวลา 0341 จากนั้นจะบินไปทาง080พร้อมกับเพิ่มความสูงที่ 12 องศาจนถึงที่ระดับความสูง 11.6 กิโลเมตร ในเวลา 0400 ก่อนจะทำการปล่อยจรวดซึ่งจะกระทบเป้าหมายใน 10 นาทีหลังจากนั้น ในเวลาเดียวกันที่ ICBM (Intercontinental ballistic missile) จากทั่วสหรัฐอเมริกาจะกระทบเป้าหมายในอีก 3 นาทีให้หลัง”
“แล้วใครจะเป็นพลขับในภารกิจนี้ครับ”
“Leo กับ Wilbert จะเป็นพลขับทั้งสองลำทำหน้าที่โจมตี ส่วน Lanza, Lalel, Doug และ Spider จะเป็นพลขับทีมป้องกัน ที่เหลือให้ประจำการรอที่ฐานในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เอาล่ะแยกย้ายได้” เมื่อพูดเสร็จเหล่าทหารอากาศต่างเดินออกจากห้องเพื่อไปยังเครื่องบินที่จอดรออยู่บนสนามบิน ทั้งหมดล้วนทำตามการฝึกที่ทำมาตั้งแต่การตรวจเช็คความพร้อม เช็คอาวุธ เชื้อเพลิงและระบบปฏิบัติการทั้งหมด พวกเขาทำได้ราวกับเป็นระบบอัตโนมัติ เมื่อเตรียมการเสร็จพวกเขาต่างขึ้นเครื่องบินของตนเอง ติดเครื่องและเปิดไฟก่อนจะนำเครื่องตรงไปยังรันเวย์
“Leo กับ Wilbert ทำการนำเครื่องขึ้นก่อน ส่วนที่เหลือตามหลัง เมื่อเครื่องขึ้นแล้วตรงไปทางตะวันออก เมื่อถึงเป้าหมายทำการยิงทันที ท่านประธานาธิบดีกำลังรออยู่”
“รับทราบ Leo Wilbert เบรคออน เร่งกำลังเครื่อง ปล่อยตัวใน 3 2 1”
สิ้นคำสั่งขอหอบังคับการเครื่องบิน F-22 สองลำก็ทะยานออกจากรันเวย์ก่อนที่ 4 ลำที่เหลือจะบินตามออกไปในความมืด ทั้ง 6 ลำต่างดับไฟนำทางก่อนจะเริ่มใช้ระบบมองผ่านกล้องอินฟราเรดแทนที่ ทุกคนล้วนปิดการใช้อาฟเตอร์เบรินเนอะ์แต่กระนั้นเครื่องบินยังคงบินที่ความเร็วเหนือเสียงอยู่เล็กน้อย
“อีก15นาทีจะถึงเป้าหมาย ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงเตือนจากหอบังคับการดังขึ้นมา ทุกคนล้วนเร่งกำลังเครื่องเพื่อเร่งการไต่ระดับ
“30 วินาทีก่อนทำการยิง เตรียมนับถอยหลัง” สิ้นเสียงคำสั่ง ช่องใส่อาวุธใต้ท้องเครื่องF-22ทั้งสองลำก็เปิดออก
“10 9 8 7…” ระหว่างการนับถอยหลัง หน้าจอประมวลผลด้านหน้านักบินทั้งสองส่งสัญญาณให้นักบินว่าล็อคเป้าหมายได้ทั้งหมด
“6 5 4…” ทั้งสองเครื่องเร่งกำลังเครื่องถึงขีดสุดพร้อมดึงคันบังคับเข้าหาตัวจนชิด เครื่องทั้งสองหักหัวขึ้น 90 องศา
“3 2 1 ยิงได้!”
“Fox 3 Fox 3!” ทั้งสองคนส่งคำสั่ง จรวดทั้ง8 ลูกปล่อยออกจากเครื่องก่อนจะจุดฉนวนท้ายลำและพุ่งทะยานออกไป F-22ทั้งสองลำ รีบหักหัวและดิ่งลงกลับมาหาที่เหลือและรีบเร่งความเร็วกลับไปยังฐานทัพทันที
ภายในเสี้ยววินาที เครื่องบินของพวกเขาระบบไฟฟ้าก็เกินรวนขึ้นมาซักพักหนึ่งก่อนที่ระบบจะกลับมาใช้งานปกติอีกครั้ง
“EMP ทำงานตามที่วางไว้ครับท่าน เดี๋ยวนะ ทุกคน! บนฟ้า!” นักบินรายหนึ่งตะโกนขึ้นมา ก่อนที่ทุกคนจะหันมองตาม
ท้องฟ้าสีดำมืดและมองเห็นดวงดาวชัดเจนนั้น บรรเกิดแสงสีม่วง กระจายตัวไปทั่วคล้ายราวกับเป็นผืนผ้าที่คลุมใบโลก
“แสงเหนือเหรอ ไม่สิแสงจากระเบิดงั้นเหรอ!”
“แสงจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชั่นต่างหาก จรวดพวกนั้นคือหัวรบนิวเคลียร์!!!” นักบินตะโกนออกมาก่อนที่พวกเขาจะมองเห็นเส้นสีขาวพุ่งขึ้นจากแผ่นดินใหญ่มากมายตรงไปยังกองยานของ Emerian ที่ลอยลำอยู่เหนือพวกเขา “พวกเขาฝ่าฝืนสนธิสัญญาไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์!”
เวลา0430
หลังจากที่เครื่องบินทุกลำลงจอดที่ลานบิน นักบินแต่ละคนรีบวิ่งกลับไปยังห้องประชุมทันที
“ทุกคนนั่ง อย่าพึ่งรุนแรง Leo นั่ง!”
“นี่มันหมายความว่ายังไง พวกคุณให้พวกเราใช้อาวุธนิวเคลียร์เนี่ยนะ!”
“ชั้นขอยืนยันเลยนะว่า ชั้นเซนต์คำสั่งให้ใช้จรวดASMไม่ใช่หัวรบนิวเคลียร์ มันต้องมีอะไรผดพลาดแน่ๆ”
“ทางภาคพื้นรายงานมาว่า มีคำสั่งมาจากท่านให้ขนอาวุธพวกนั้นมาติดตั้งให้ครับ”
“อะไรนะ! เป็นไปไม่ได้”
“ผมว่าเรื่องนี้คงต้องสอบสวนกันยาวล่ะครับ ถ้าท่านยืนยันว่าไม่ได้ออกคำสั่งนั้น”
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วล่ะ” ชายคนหนึ่งพูดพร้อมเปิดประตูเข้ามา
“ท่านพลเอก!”
“หัวรบนิวเคลียร์นั่นด้วยพลังทำลาย 1Kt ถ้าเป็นอย่างอื่นบนโลกคงกระจุยไปนานแล้ว แต่จากการยนยันล่าสุดพบว่าตัวยานยังลอยลำเป็นปกติ ไม่พอ จรวด ICBM ทุกลูกที่โจมตีเข้าใส่ไม่สามารถทำอะไรมันได้ ทางหน่วยเหนือยืนยันแล้วว่าทาง Emerian ได้เตรียมการที่จะตอบโต้แล้ว ขอให้ทุกคนเตรียมความพร้อมที่ระดับ DEFCON 2 พร้อมที่จะออกปฏิบัติการตลอด 24 ชม.”
“ส่วนท่านพลจัตวา ผมจะรีบทำการสอบสวนและจะแจ้งให้ท่านปธน.ว่าเกดอะไรขึ้น ระหว่างนี้คุณถูกสั่งพักงานชั่วคราวพร้อมกับถูกลดยศไปก่อน เลิกประชุม”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์เป็นครั้งแรก..... ที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งไปยาวนานนับร้อยปี........
มนุษย์ สิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาที่สุดบนดาวโลก พวกเราล้วนคิดมาโดยตลอดว่ามีบางสิ่งที่อยู่ด้านนอกดาวดวงนี้ และทรงภูมิปัญญามากกว่าเรา และเราย่อมเชื่อว่าชักวันนึงพวกเขาจะมาหาเรา
และนั่นมันจะเป็นวันสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ
24 มิถุนายน 1947 นักบินชาวอเมริกันชื่อแคเน็ท อาร์โนล กำลังบินเหนือรัฐวอชิงตัน ได้พบยานบินลึกลับจำนวน 9 ลำ ก่อนที่จะบินหายไป ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเครื่องบินรุ่นใหม่ของกองทัพก่อนพบว่ามันเร่งเครื่องผิดปกติไม่เหมือนเครื่องบินของกองทัพรุ่นไหนที่ทำได้
14 กรกฎาคม 1947 ชาวนาคนหนึ่งได้พบการระเบิดครั้งใหญ่นอกบ้านของเขา ก่อนที่เช้าวันรุ่งขึ้นจะพบกับซากโลหะปริศนารอบฟาร์มของเขาที่รอสเวล หลายคนเชื่อว่านั่นคือซากยานบินต่างดาว แต่นักบินกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาตอบไปเพียงว่าเป็นบอลลูนตรวจสภาพอากาศ
1952 Project blue book ถูกก่อตั้งเพื่อไขปริศนากรณีการค้นพบUFO (Unidentified flying object) ว่าคืออะไรกันแน่ในทางวิทยาศาสตร์ ก่อนจะปิดตัวลงในปี 1969 โดยมีรายงานกว่า 16,000 ฉบับ 701 ฉบับนั้นไม่สามารถอธิบายได้ แต่กลับให้คำสรุปว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติ
1955 Area 51 ถูกก่อตั้ง โดยจุดประสงค์อย่างเป็นทางการคือการสร้างเครื่องบินสอดแนม U2 และ SR71 แต่หลายคนกลับเชื่อว่าที่นี่มีการทดลองสิ่งมีชีวิตจากภายนอก
21 กรกฎาคม 1969 ในขณะที่นักบินอวกาศ นีล อาร์มสตอร์ง และ บัส อัลดริน กำลังทำภารกิจบนดวงจันทร์นั้น เกิดสัญญาณขาดหายไปสองนาที แม้ว่าทางการจะแจ้งว่าเป็นเพราะปัญหาจากระบบสื่อสาร แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า กองทัพอากาศนั้นได้ตัดสัญญาณเพื่อป้องกันไม่ให้สื่อมวลชนได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน
1977 มหาวิทยาลัยแห่งโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ได้พบสัญญาณที่มีความซับซ้อนสูงจากอวกาศ ที่เรียกสัญญาณนั้นว่า สัญญาณ WOW หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตขั้นสูง อีกฝ่ายกลับบอกว่ามันเป็นเพียงสัญญาณจากดาวนิวตรอนเท่านั้น
1981 F 117 NightHawk บินครั้งแรก นักทฤษฎีสมคบคิดบางคนเชื่อว่า เครื่องบินที่หลบหลีกเรดาห์ได้นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ได้จากการทำวิศวกรรมย้อนกลับจากสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญามากกว่ามนุษย์
2014 นักบินเครื่องบิน F18 ได้ตรวจจับวัตถุประหลาดผ่านกล้องตรวจจับความร้อนที่บินอยู่กับที่ก่อนจะหายไป โดยมีกล้องบันทึกภาพไว้อย่างชัดเจนแม้ว่าจะเป็นภาพขาวดำก็ตาม ในปี 2020 ทางการออกมายอมรับว่าภาพถ่ายเป็นของจริงแต่ไม่ได้ให้คำตอบว่า สิ่งที่เห็นคืออะไร
19 ตุลาคม 2017 นักดาราศาสตร์ Robert Weryk ได้ค้นพบวัตถุนอกระบบสุริยะที่เคลื่อนี่เข้ามาภายในระบบสุริยะ มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า 1I/2017 U1 และมีชื่อเล่นว่า Omuamua โดยวัตถุนี้มีลักษณะคล้ายแท่งซิการ์ยาว 1,000 เมตร และในจังหวะที่ออกไปจากระบบสริยะ Omuamua กลับเร่งความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดให้กับนักดาราศาสตร์มาก จนมีหลายคนเชื่อว่านี่คือยานอวกาศขนาดใหญ่ที่เราตรวจเจออย่างเป็นทางการ
2025 หลังจากการฟื้นตัวจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจมนุษย์เดินทางกลับไปยังดวงจันทร์เพื่อก่อตั้งฐานปฏิบัติการในการเตรียมการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารและขุดเหมืองภายใต้สนธิสัญญา Artemisในปีเดียวกันมนุษย์ได้ค้นพบวัตถุลึกลับจากนอกระบบสุริยะที่เข้ามาเป็นดวงที่3 โดยพบอยู่ในแถบวงจรไคเปอร์ โดยจากการคำนวนของนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มันจะเคลื่อนเฉียดดาวอังคารก่อนจะเคลื่อนตัวออกนอกระบบสุริยะ มีการตั้งชื่อว่า I3/Quetzalcoatl โดยตั้งชื่อตามเทพอินคาที่บอกชาวอินคาว่าจะกลับมาหาพวกเขา
2026 วัตถุ I3/Quetzalcoatl ได้รับการยืนยันว่ามีการเกาะกลุ่มของวัตถุจำนวนมากกว่า 8 ชิ้น และโคจรรอบกันราวกับเป็นระบบขนาดเล็กและมีการเปลี่ยนแปลงวงโคจร โดยมีการเปลี่ยนทิศทางที่ตรงมายังโลก นักดาราศาสตร์NASAคำนวนว่ามันจะใช้เวลา 5 ปีก่อนจะถึงโลก ซึ่งเร็วกว่ายานนิวโฮไรซอนที่นาซ่าเคยส่งไปถึง 2 เท่า มีการจัดตั้งนักดาราศาตร์เพื่อศึกษามันอย่างละเอียด ขนาดที่คำนวนไว้อยู่ที่ 1 กม. -10 กม. ปฏิบัติการสร้างอาณานิคมบนดาวอังคารถูกยกเลิก
2027 กลุ่มวัตถุ I3/Quetzalcoatl เคลื่อนที่ตรงเข้ามาจนถึงดาวอังคารซึ่งเร็วกว่าที่คำนวนไว้หลายเท่าหลังจากนั้นเพียง 1 เดือนมันก็มาถึงดาวโลก นาซ่าได้ส่งยานอวกาศไร้คนขับไปตรวจสอบก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่วัตถุหินหรือน้ำแข็งอย่างที่ควรจะเป็น พวกเขาพบจุดแสงที่กระจายออกมารอบดาว โลหะที่โค้งมนอย่างเห็นได้ชัด ท่อพลังงานเพื่อผลักดันยานที่ท้ายลำ และพบสัญญาณวิทยุที่ส่งออกมาจากตัวยานซึ่งในตอนแรกพวกเขาไม่สามารถจะแกะรหัสพวกนี้ได้ ต่อมาเมื่อให้นักถอดรหัสได้แกะรหัสออกมาจึงพบว่าเป็นรหัสการสื่อสารจากบางอย่างในนั้น โดยวัตถุดังกล่าวยังคงโคตรรอบโลกในตำแหน่ง l1 การแก้รหัสเป็นภาษาอังกฤษได้ใจความถึงการระบุตัวตนของสิ่งมีชีวิตในนั้นที่เรียกตนเองว่า ‘Emerian’
2028 มนุษย์ประสบความสำเร็จในการถอดรหัสและเริ่มทำการสื่อสารกับ Emerian เพื่อต้องการทราบถึงวัตถุประสงค์ของการมาของพวกเขา และได้ใจความว่าชาว Emerian นั้นได้อพยพออกมาจากดาวเคราะห์ที่ตายลงของพวกเขาและต้องการจะลงหลักปักฐานบนดาวโลก โดยพวกเขาอ้างว่าพวกเขานั้นล้วนมีบรรพบุรุษร่วมกันกับมนุษย์โลกเมื่อ 2ล้านปีก่อน
ในปีเดียวกัน UN ได้มีมติเอกฉันท์จาก5ชาติถาวรประกอบไปด้วย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีนและรัสเซียว่าไม่สามารถที่จะรองรับพื้นที่อยู่อาศัยให้กับชาวEmerian ได้ถึง 100,000,000 ชีวิตได้ ไม่แม้กระทั่งในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่อย่างแปซิฟิคก็ตาม ชาว Emerian ได้มีการขอเจรจารอบที่2เพื่อที่จะขอพื้นที่อยู่อาศัยแลกกับการแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยี การเจรจาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ปี 2029 ในขณะที่ฝ่าย UN กำลังถกเถียงกันเองเพื่อหาข้อยุติ ยานบินของ Emerian ได้เคลื่อนตำแหน่งมายังระดับวงโคจรระดับวงโคจรต่ำซึ่งสูงจากพื้นผิวโลกเพียว 160 กิโลเมตรเท่านั้น เพื่อกดดันให้มีมติที่เป็นเอกฉันท์ สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ มนุษย์โลกหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ขับไล่ชาว Emerian ออกไป มีเพียงเสียงส่วนน้อยที่ขานรับที่จะให้พวกเขามาอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ ความขัดแย้งเริ่มตึงเครียด
วันที่ 13 มีนาคม 2029
สหรัฐอเมริกาได้ทำการใช้ปฏิบัติการลับสุดยอดเพื่อที่จะตัดปัญหาอย่างสมบูรณ์แบบ
Operation Titanomachy
เวลา 02.28 ตามเวลาท้องถิ่น
ฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกา Joint Base Langley–Eustis รัฐเวอร์จิเนียร์
กองบินที่ 633d
ห้องประชุม
ในห้องประชุมขนาดกลาง เก้าอี้โลหะถูกจัดวางตามตำแหน่งต่างๆเพราะแผนที่มหาสมุทรแอตแลนติกถูกตั้งไว้ตรงกำแพงตรงหน้าเก้าอี้พวกนั้น เพียงไม่นานเหล่าทหารในชุดนักบินกว่า10 นายได้เดินเข้ามานั่งในห้องพร้อมกับนายทหารอีกท่านที่อยู่ในชุดทหารอากาศเต็มยศระดับพลเอก
“ทุกคนนั่งลง พวกนายทุกคนถูกเรียกตัวตามคำสั่งพิเศษของท่านประธานาธิบดี ภายใต้ข้อตกลงลับของสหประชาชาติ กองบิน633d จะเป็นกองบินที่จะเริ่มการทำสงครามกับEmerian” นายพลคนนั้นกล่าว เหล่าทหารเริ่มหันมาคุยกันทันที
“แล้วเราจะเอาอะไรโจมตีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาเหนือเราครับท่าน พวกเขาน่าจะมีระบบป้องกันยานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าพวกเราแน่” นายทหารอากศคนหนึ่งแย้ง
“ถามมาได้ดี สิ่งที่เราจะใช้โจมตีคืออาวุธทำลายดาวเทียมรุ่นใหม่ที่พวกเราทั้งหมดจะโจมตีพร้อมกันทั้งหมด แต่ก่อนนั้นเราจะทำการโจมตี เพื่อรบกวนการป้องกันของพวกมันเสียก่อนแล้วโจมตี เราจะใช้จรวดต่อต้านดาวเทียมที่มีการติดตั้ง EMP (Elecromagnetic pulse) เพื่อทำลายระบบป้องกันของพวกมันถ้าพวกมันใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการป้องกััน จากนั้น จรวด ICBM จากทั่วอเมริกาจะโจมตีเข้าทั้ง 8 ลำ” นายพลตอบกลับ “จรวดเราจะใช้ ASM-135X ซึ่งพัฒนาต่อมาจากจรวดต่อต้านดาวเทียมตัวเก่า ซึ่งเมื่อปล่อยออกไปโดยล็อคเป้าด้วยระบบอินฟราเรด และจะบินออกไปกระทบเป้าที่ความสูง 160 กิโลเมตร ในเวลาที่จรวดถูกยิงออกไป ท่านปธน. จะประกาศสงครามให้คนทั่วโลกได้รับรู้ว่าพวกเราจะทำสงครามกับเหล่าเอเลี่ยนนอกโลกพวกนี้”
“เครื่องบินที่เราจะใช้คือ F-22 Raptor Block 4.0 ซึ่งจะเป็นรุ่นใหม่ ค่า RCS ( Radar cross-section) ลดลงจะเหลือต่ำกว่า 0.00001 ตารางเมตร ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า 10 เท่า ซึ่งจะใช้ทั้งสิ้น 2 ลำ แต่ละลำจะบรรจุ ASM-135X ลำละ 4 ลูกพร้อมเครื่องบินคุ้มกัน 4 ลำ ในภาารกิจนี้ เราจะเริ่มเทคออฟเวลา 0341 จากนั้นจะบินไปทาง080พร้อมกับเพิ่มความสูงที่ 12 องศาจนถึงที่ระดับความสูง 11.6 กิโลเมตร ในเวลา 0400 ก่อนจะทำการปล่อยจรวดซึ่งจะกระทบเป้าหมายใน 10 นาทีหลังจากนั้น ในเวลาเดียวกันที่ ICBM (Intercontinental ballistic missile) จากทั่วสหรัฐอเมริกาจะกระทบเป้าหมายในอีก 3 นาทีให้หลัง”
“แล้วใครจะเป็นพลขับในภารกิจนี้ครับ”
“Leo กับ Wilbert จะเป็นพลขับทั้งสองลำทำหน้าที่โจมตี ส่วน Lanza, Lalel, Doug และ Spider จะเป็นพลขับทีมป้องกัน ที่เหลือให้ประจำการรอที่ฐานในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เอาล่ะแยกย้ายได้” เมื่อพูดเสร็จเหล่าทหารอากาศต่างเดินออกจากห้องเพื่อไปยังเครื่องบินที่จอดรออยู่บนสนามบิน ทั้งหมดล้วนทำตามการฝึกที่ทำมาตั้งแต่การตรวจเช็คความพร้อม เช็คอาวุธ เชื้อเพลิงและระบบปฏิบัติการทั้งหมด พวกเขาทำได้ราวกับเป็นระบบอัตโนมัติ เมื่อเตรียมการเสร็จพวกเขาต่างขึ้นเครื่องบินของตนเอง ติดเครื่องและเปิดไฟก่อนจะนำเครื่องตรงไปยังรันเวย์
“Leo กับ Wilbert ทำการนำเครื่องขึ้นก่อน ส่วนที่เหลือตามหลัง เมื่อเครื่องขึ้นแล้วตรงไปทางตะวันออก เมื่อถึงเป้าหมายทำการยิงทันที ท่านประธานาธิบดีกำลังรออยู่”
“รับทราบ Leo Wilbert เบรคออน เร่งกำลังเครื่อง ปล่อยตัวใน 3 2 1”
สิ้นคำสั่งขอหอบังคับการเครื่องบิน F-22 สองลำก็ทะยานออกจากรันเวย์ก่อนที่ 4 ลำที่เหลือจะบินตามออกไปในความมืด ทั้ง 6 ลำต่างดับไฟนำทางก่อนจะเริ่มใช้ระบบมองผ่านกล้องอินฟราเรดแทนที่ ทุกคนล้วนปิดการใช้อาฟเตอร์เบรินเนอะ์แต่กระนั้นเครื่องบินยังคงบินที่ความเร็วเหนือเสียงอยู่เล็กน้อย
“อีก15นาทีจะถึงเป้าหมาย ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม” เสียงเตือนจากหอบังคับการดังขึ้นมา ทุกคนล้วนเร่งกำลังเครื่องเพื่อเร่งการไต่ระดับ
“30 วินาทีก่อนทำการยิง เตรียมนับถอยหลัง” สิ้นเสียงคำสั่ง ช่องใส่อาวุธใต้ท้องเครื่องF-22ทั้งสองลำก็เปิดออก
“10 9 8 7…” ระหว่างการนับถอยหลัง หน้าจอประมวลผลด้านหน้านักบินทั้งสองส่งสัญญาณให้นักบินว่าล็อคเป้าหมายได้ทั้งหมด
“6 5 4…” ทั้งสองเครื่องเร่งกำลังเครื่องถึงขีดสุดพร้อมดึงคันบังคับเข้าหาตัวจนชิด เครื่องทั้งสองหักหัวขึ้น 90 องศา
“3 2 1 ยิงได้!”
“Fox 3 Fox 3!” ทั้งสองคนส่งคำสั่ง จรวดทั้ง8 ลูกปล่อยออกจากเครื่องก่อนจะจุดฉนวนท้ายลำและพุ่งทะยานออกไป F-22ทั้งสองลำ รีบหักหัวและดิ่งลงกลับมาหาที่เหลือและรีบเร่งความเร็วกลับไปยังฐานทัพทันที
ภายในเสี้ยววินาที เครื่องบินของพวกเขาระบบไฟฟ้าก็เกินรวนขึ้นมาซักพักหนึ่งก่อนที่ระบบจะกลับมาใช้งานปกติอีกครั้ง
“EMP ทำงานตามที่วางไว้ครับท่าน เดี๋ยวนะ ทุกคน! บนฟ้า!” นักบินรายหนึ่งตะโกนขึ้นมา ก่อนที่ทุกคนจะหันมองตาม
ท้องฟ้าสีดำมืดและมองเห็นดวงดาวชัดเจนนั้น บรรเกิดแสงสีม่วง กระจายตัวไปทั่วคล้ายราวกับเป็นผืนผ้าที่คลุมใบโลก
“แสงเหนือเหรอ ไม่สิแสงจากระเบิดงั้นเหรอ!”
“แสงจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชั่นต่างหาก จรวดพวกนั้นคือหัวรบนิวเคลียร์!!!” นักบินตะโกนออกมาก่อนที่พวกเขาจะมองเห็นเส้นสีขาวพุ่งขึ้นจากแผ่นดินใหญ่มากมายตรงไปยังกองยานของ Emerian ที่ลอยลำอยู่เหนือพวกเขา “พวกเขาฝ่าฝืนสนธิสัญญาไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์!”
เวลา0430
หลังจากที่เครื่องบินทุกลำลงจอดที่ลานบิน นักบินแต่ละคนรีบวิ่งกลับไปยังห้องประชุมทันที
“ทุกคนนั่ง อย่าพึ่งรุนแรง Leo นั่ง!”
“นี่มันหมายความว่ายังไง พวกคุณให้พวกเราใช้อาวุธนิวเคลียร์เนี่ยนะ!”
“ชั้นขอยืนยันเลยนะว่า ชั้นเซนต์คำสั่งให้ใช้จรวดASMไม่ใช่หัวรบนิวเคลียร์ มันต้องมีอะไรผดพลาดแน่ๆ”
“ทางภาคพื้นรายงานมาว่า มีคำสั่งมาจากท่านให้ขนอาวุธพวกนั้นมาติดตั้งให้ครับ”
“อะไรนะ! เป็นไปไม่ได้”
“ผมว่าเรื่องนี้คงต้องสอบสวนกันยาวล่ะครับ ถ้าท่านยืนยันว่าไม่ได้ออกคำสั่งนั้น”
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วล่ะ” ชายคนหนึ่งพูดพร้อมเปิดประตูเข้ามา
“ท่านพลเอก!”
“หัวรบนิวเคลียร์นั่นด้วยพลังทำลาย 1Kt ถ้าเป็นอย่างอื่นบนโลกคงกระจุยไปนานแล้ว แต่จากการยนยันล่าสุดพบว่าตัวยานยังลอยลำเป็นปกติ ไม่พอ จรวด ICBM ทุกลูกที่โจมตีเข้าใส่ไม่สามารถทำอะไรมันได้ ทางหน่วยเหนือยืนยันแล้วว่าทาง Emerian ได้เตรียมการที่จะตอบโต้แล้ว ขอให้ทุกคนเตรียมความพร้อมที่ระดับ DEFCON 2 พร้อมที่จะออกปฏิบัติการตลอด 24 ชม.”
“ส่วนท่านพลจัตวา ผมจะรีบทำการสอบสวนและจะแจ้งให้ท่านปธน.ว่าเกดอะไรขึ้น ระหว่างนี้คุณถูกสั่งพักงานชั่วคราวพร้อมกับถูกลดยศไปก่อน เลิกประชุม”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์เป็นครั้งแรก..... ที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งไปยาวนานนับร้อยปี........