Post by kiwada on Feb 10, 2022 13:44:59 GMT
///แปะไว้กันบอร์ดร้าง///
ตามไปอ่านใน Readawrite กันเน้อ
www.readawrite.com/a/608203cd1eb657a6a899e3eb64ab3d40
Text Log หมายเลข 200769920ตามไปอ่านใน Readawrite กันเน้อ
www.readawrite.com/a/608203cd1eb657a6a899e3eb64ab3d40
ระดับชั้นความลับ : สูงสุดห้ามเผยแพร่
วันที่ 20 กรกฎาคม 1969
มันเป็นวันที่แดดร้อนจัด แต่ในวันนี้ พนักงานขององค์กรทุกคนต่างยังคงทำงานในห้องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ที่วางอยู่กระจัดกระจาย แผงหน้าจอใหญ่เบื้องหน้าเราทุกคนคือรูปจากกล้องที่กำลังฉายภาพมนุษย์สองคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องแคบๆ และกำลังง่วนอยู่กับการแก้ข้อมูลที่ผิดพลาดครั้งที่สาม หากครั้งนี้พลาดอีกปฏิบัติการลงจอดอาจถูกยกเลิก หรือไม่อย่างนั้นท่านประธานาธิบดีอาจต้องกล่าวสุนทรพจน์ที่ไม่อยากเอ่ย คำกล่าวที่บอกว่านักบินทั้งสองจะหลับใหล ณ ที่แห่งนี้และไม่อาจเดินทางกลับโลกได้ และนั่นจะเป็นปัญหาสำหรับทีมงานทุกคนในที่นี้ เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมวิศวกรระดับประเทศเพื่อมาทำสิ่งสิ่งนี้สิ่งเดียว ทุกคนล้วนต่างคาดหวังที่ภารกิจนี้จะสำเร็จ กับงบประมาณที่จ่ายอันมหาศาลแถมด้วยชีวิตนักบินสามนายที่เสียชีวิตไปกับการทดสอบของภารกิจครั้งแรกอีกด้วย
ใช่แล้ว นี่คือปฏิบัติการลงจอดบนดวงจันทร์ของโครงการอพอลโล่ 11 ก่อนที่การลงจอดจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
เหล่าวิศวกร บางคนที่ผมเห็นเริ่มสวดมนต์ ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะตอนนี้มันอยู่กับที่ระบบลงจอดและขาของยานที่ทุกคนหวังว่ามันจะทำงานปกติ และมันคงไม่ได้เสียหายอะไรตอนขึ้นไปกับจรวด Saturn V หาไม่แล้วยานคงกระแทกกับดวงจันทร์ และเครื่องส่งสัญญาณวิทยุพร้อมกล้องที่ติดบนชุดนักบินที่ผมแอบติดไว้คงกลายเป็นเรื่องเสียเงินไปเปล่าๆ แบบไม่มีทางได้คืนแน่
ที่ผมทำเรื่องบ้าๆ นี่เพราะก่อนหน้าวันเริ่มภารกิจปล่อยจรวดเพียงสองสัปดาห์ วันนั้นผมนั่งแท๊กซี่เพื่อไปนั่งดื่มกาแฟกับเพื่อน แต่เจ้าคนขับแท๊กซี่คนนั้นโม้ว่าเขาเองก็เคยเป็นครูสอนพิเศษที่มิคาโทนิค ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนจบมา แถมมีบัตรประจำตัวด้วย พอผมถามว่าแล้วทำไมมาขับแท๊กซี่แบบนี้ เขาก็ตอบไปว่าทำเป็นพาร์ทไทม์เพียงเท่านั้นในเวลาที่เขาไม่มีสอน ก่อนจะเริ่มโม้ว่าตอนอพอลโล่ 10 เคลื่อนที่ผ่านด้านไกลของดวงจันทร์นั้น พวกเขาได้ยินเสียงประหลาดบางอย่าง และคนบนโลกบางคน พวกนักวิทยุสมัครเล่นก็สามารถอัดเสียงพวกนั้นได้เช่นเดียวกัน ก่อนที่เขานั้นจะบอกกับผมว่า หากมีโอกาส ก็แอบเอาเครื่องส่งสัญญาณไปสิ ในจังหวะที่ยานโคลอมเบียหมุนไปด้านไกลของดวงจันทร์ ซึ่งจะไม่มีใครบนโลกได้ยินเสียงจากนักบินอวกาศทั้งสองคนนานตั้ง 2 นาทีกว่าๆ บางทีพวกเขาอาจพูดถึงบางสิ่งที่เห็นแต่ไม่สามารถถ่ายรูปก็เป็นได้
ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งคิด ยานอีเกิ้ลก็เริ่มลดระดับลงมาเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มลุ้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ มันลงมาเร็วกว่าเวลาที่กำหนดไว้ไม่มาก แต่ระยะทางเทียบกับจุดลงห่างออกไปถึง 4 ไมล์ และตอนนั้นเองขาของยานที่มองจากกล้องด้านล่างของยานก็สัมผัสพื้น ฝุ่นของดวงจันทร์กระจายออก The Eagle Has Landed สิ้นเสียงของนักบินอวกาศเหล่าวิศวกรล้วนต่างกระโดดโลดเต้นอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาเอาชนะได้ในการมาเยือนดาวดวงอื่นเป็นครั้งแรก หลังจากที่พวกเราต้องเคยเผชิญกับสิ่งประหลาดในขั้วโลกใต้ อุกกาบาตหลากสีสัน หรืออย่างพวกอสุรกายที่อาจารย์ผมชอบเล่าให้ฟังสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไรนัก แต่นี่สิสิ่งนี้คือของจริง มนุษย์ได้เป็นเผ่าพันธุ์แรกที่ได้ออกไปยังอวกาศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก้าวเล็กๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ เสียงของนักบินอวกาศพูดตอนกระโดดลงมาเหยียบบนพื้นผิวของดวงจันทร์ ก่อนที่ นักบินอีกคนจะตามลงมาในอีกกว่า 20 นาที มันช่างสวยงามมาก คือคำพูดของนักบินอีกคน ในตอนนั้นเองที่พวกเขาทั้งสองไม่รู้ตัว กล้องของผมที่ซ่อนในชุดพวกเขาก็เริ่มทำงาน ผมออกแบบให้มันส่งสัญญาณไปยังยานลงจอด ก่อนจะส่งสัญญาณภาพขาวดำมายังหน้าจอส่วนตัวของผม ทำให้ผมนั้นได้เห็นในสิ่งที่หลายคนไม่เห็นและได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน
ในตอนนั้นเองขณะที่ทุกคนกลับเข้าสู่การนั่งตามปกติเพื่อทำงานกันต่อ สัญญาณภาพและเสียงบนศูนย์ควบคุมก็ขาดหายไปแต่ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เพราะยานโคลอมเบียนั้นได้โคจรไปยังด้านไกลของดวงจันทร์ ผมเองก็เริ่มงานของผม ทั้งเช็กระบบเสียงและภาพก่อนจะดูนักบินที่ยังคงปฏิบัติตามภารกิจตามเดิม ก่อนจะเห็นว่านักบินทั้งสองคนพูดคุยกันตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สงสัยอาจารย์จะคิดไปเอง คงต้องหาจังหวะที่แอบเอากล้องออกแล้วไปเก็บเงินกับอาจารย์คนนั้นเสียแล้ว แต่ทว่าในตอนนั้นเองเสียงของนักบินอวกาศที่พูดคุยนั้นเหมือนมีบางอย่างที่ผิดปกติ เหมือนพวกเขาไม่ได้คุยกัน พวกเขากำลังคุยกับใครอีกคน
ใครกันที่อยู่ตรงนั้น ผมรีบมองเป็นยังกล้อง บางสิ่ง แม้ว่าจะมองเห็นไม่ชัดแต่เงาของมันนั้นชัดเจน ดำทะมึนตัดกับแสงของดวงอาทิตย์ที่สะท้อนจากผิวของดวงจันทร์ราวกับยืนย้อนแสง รูปร่างมีแขนขาคล้ายมนุษย์แต่มีขาอยู่สามข้างที่เป็นสมมาตรกัน ส่วนที่เหลือมองไม่ออกเลยว่าสมมาตรหรือไม่ แขนนั้นมองเห็นอย่างไม่ชัดว่ามีอะไร สัดส่วนของร่างกายเสมือนมนุษย์ร่างผอมบางที่ตัวสูงเกือบ 8 ฟุต นักบินทั้งสองต่างพูดคุยเสมือนกำลังบูชาและเหมือนกำลังต่อรองกับสิ่งสิ่งนั้น นี่มันอะไรกัน นี่มันตัวอะไร ผมที่มองจากตรงนี้เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง และรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่กัดกินเข้ามาในก้นบึ้งของหัวใจของผม เจ้าสิ่งนี้เหมือนกับสิ่งที่เคยบรรยายในหนังสือเนโครโนมิคอนที่ผมเคยอ่านสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่เล่าถึงเสียงที่กระซิบจากความมืดที่ทำให้คนเขียนคนนั้นได้เขียนมันออกมา อสูรเทพผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง อสูรเทพผู้รอบรู้ในทุกด้าน อสูรเทพไร้นามเพราะนามของเขามีเยอะเกินกว่ามนุษย์จะเอ่ยนามออกมาได้ครบ
ในระหว่างที่นักบินกำลังคุยกันอยู่นั้น สัญญาณภาพและวิทยุก็กลับมา แต่ทว่าในกล้องนั้นกลับไม่เห็นสิ่งที่ผมเห็น เสียงของนักบินก็ไม่ใช้เสียงที่นักบินกำลังพูดอยู่จริงๆ นี่มันหมายความว่าพวกเขาตั้งใจใช้ภาพและเสียงปลอมเพื่อปกปิดเรื่องนี้ มีคนรู้เรื่องนี้อยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ ผมยิ่งหวั่นวิตกว่าได้ทำสิ่งที่หาเรื่องเข้าหาตัวเองหรือไม่แต่ก็ตัดสินใจฟังถึงการพูดของนักบินอวกาศและสิ่งสิ่งนั้นต่อไป ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำสัญญาแลกเปลี่ยนระหว่างของบูชาที่ทางการแอบนำมันขึ้นมาเพื่อแลกกับความรู้ที่มันจะส่งให้ นักบินคนหนึ่งกลับไปที่ยานก่อนจะเอากล่องโลหะมันวาวจนกล้องที่แอบใช้นั้นโดนแสงสะท้อนจนแทบมองไม่เห็น นักบินคนนั้นเดินกลับไปหาสิ่งสิ่งนั้น และส่งมอบกล่องโลหะให้ มันเองก็ส่งหนังสือสีดำสนิทให้นักบิน ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ผมเองก็ใคร่อยากรู้แล้วว่าภายในนั้นคืออะไรกันแน่ ตามกำหนดการหลังลงจอดที่โลกในอีก 4 วัน พวกเขาทั้งหมดจะถูกกักตัวที่ห้องกักเชื้อ ช่วงเวลานั่นแหละที่ผมจะแอบไปเอาเจ้าหนังสือเล่มนั้น
ในจังหวะนั้นนักบินอวกาศนายหนึ่งก็กลับไปยังที่ยานลงจอดเพื่อเก็บหนังสือและนำอุปกรณ์ต่างๆ มาติดตั้งตามจุดต่างๆ ที่พวกเขาเตรียมการวางไว้ ส่วนนักบินอีกคนยังคงคุยกับเจ้าสิ่งนั้น ทั้งฟิสิกส์ เคมี ไฟฟ้า จิตวิทยา ปรัชญาและอีกมากมายราวกับว่าคำถามเหล่านั้นมีใครส่งคำถามมาให้เขาไว้ล่วงหน้า หรือไม่งั้นก็เป็นเพราะมนุษย์เรานั้นเองก็แสวงหาความรอบรู้ในทุกสิ่งของจักรวาล การพูดคุยนั้นยาวนานและไม่รีบร้อน เพราะนักบินก็รู้ดีว่าพวกเขามีเวลาอีกเกือบวันก่อนจะกลับขึ้นยาน แม้ว่าผมจะไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา แต่คำพูดของนักบินคนนั้นราวกับว่าเขานั้นได้รับข้อมูลที่เขานั้นอยากได้รับฟังอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
ผมอยากรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ผมอยากรู้ว่าภาษาที่สิ่งสิ่งนั้นตอบกลับมาคืออะไรกันแน่ ผมพยายามที่จะแก้โค๊ทในวิทยุของผมเพื่อหวังว่าจะได้ยินเสียงเสียงนั้น ทั้งเปลี่ยนย่านความถี่และอะไรต่อมิอะไรก็ไม่ได้ผล จนผมกำลังจะหมดหวังและคิดจะปิดหน้าจอลงไป ทันใดนั้นเองเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูฟังของผม มันไม่ใช่เสียงจากนักบิน ไม่ใช่แม้แต่ภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ มันเป็นเสียงของเจ้านั่น มันไม่ได้โต้ตอบกับนักบิน มันยืนนิ่งและจ้องมายังกล้องของผม ไม่สิ
มันกำลังจ้องมาที่ผม
ใบหน้าที่กลวงเป็นรูโบ๋ ดุจดั่งมองไปยังหุบเหวที่ลึกสนิท มองไม่เห็นอะไรภายในราวกับว่าสามารถมองลึกไปได้เกินกว่าที่จะหยั่งถึง และสิ่งที่อยู่ในหุบเหวลึกนั้นกำลังมองกลับมาที่ผมเช่นเดียวกัน มันน่ากลัว น่ากลัวเกินกว่าทุกสิ่งจะอธิบาย ราวกับสิ่งเลวร้ายทุกอย่างที่มนุษย์จะสรรหาขึ้นมาหลอมหลวมเป็นเจ้าสิ่งที่อยู่ตรงใบหน้านี้ มันเป็นดั่งความสยดสยองเกินกว่าที่ผมจะรับมันได้ ผมกรีดร้องออกมา แต่เสียงของผมไม่อาจผ่านทะลุคอให้คนไหนได้ยินมัน และจู่ๆ เหมือนกับมีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของผม ทั้งๆ ที่มันเป็นกำแพงขาวและไม่น่ามีใครควรอยู่ตรงนั้น และเมื่อผมหันกลับไปมอง ผมก็ได้มองเห็น
เจ้าสิ่งสิ่งนั้นกำลังนั่งมองผมทะลุกำแพงออกมา มันมองมาที่ผมและเสียงของมันก็ดังกึกก้องในหัวของผม ถ้อยคำและคำพูดของมันได้พูดออกมาอย่างชัดเจนว่า มันรู้มาตลอดว่าผมจะเห็นมัน มันจึงอยากลองสนุกเลยบอกให้ผมนั้นหาวิธีมาเจอกับมัน
ใช่ มัน สิ่งที่ไร้หน้า ไร้ตา ไร้จิตใจ เจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม มันคือเจ้าอสูรเทพที่ไม่มีเทพเจ้าตนไหนจะปกป้องผมจากมัน และไม่มีสิ่งใดจะหนีจากความโกลาหลที่มันจะสรรค์สร้างได้ ผมพยายามที่จะตะโกนเรียกผองเพื่อนเพื่อให้พวกเขาช่วย แต่ตอนนี้ผมนั้นกลับมิอาจจะเอ่ยปากออกมา สติสัมปชัญญะของผมเริ่มเลือนราง และทุกอย่างก็ดับวูบลง
ผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในห้องแคบขาวโพลน บนเตียงนอนสีขาว ประตูขาวตรงหน้าผมนั้นปิดสนิท มีเพียงแสงอาทิตย์สลัวๆ ส่องเข้ามาในห้องจากประตูบานนั้น ยามนั้นผมคิดว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝันจนผมนั้นลุกขึ้นจึงเห็นว่า
แขนของผมนั้นถูกผูกมัดไว้ไม่ให้จับของสิ่งใดได้ ไม่จริง นี่ผมถูกจับเข้าโรงพยาบาลจิตเภทอย่างนั้นหรือ ผมโดนจับได้แล้วอย่างงั้นนั้นหรือ ผมควรทำยังไง ตอนนั้นเองเจ้าสิ่งนั้นโผล่ออกมาจากมุมห้องตรงข้ามผม คราวนี้ผมมองก็เดาออกได้ว่ามันกำลังยิ้มให้กับผม ทั้งๆ ที่ผมไม่เห็นฟันของมันด้วยซ้ำ ผมรู้ตัวแล้วว่าโดนมันหลอกเสียสนิท ผมนั้นกรีดร้องออกมา ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างกับคนบ้า แขนของผมฉีดชุดพันธนาการโง่ๆ ออกจากกัน หากผมต้องอยู่ที่นี่ งั้นทุกคนต้องรับรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้ เรากำลังจะกลายเป็นทาสของสิ่งนี้ไม่ได้ ผมใช้เล็บของผมกรีดบนแขนจนเลือดออก และเขียนทุกอย่างที่จำได้ลงบนกำแพงยาวลงมาจนถึงพื้น เจ้าสิ่งนั้นมองดูผมขีดเขียนอย่างพึงพอใจก่อนที่มันจะอันตธารหายไป ผมเริ่มที่จะสติจางหายไปอีกครั้ง เลือดไหลออกมาไม่หยุด ผมต้องเตือนไว้ ที่นั่น บนดวงจันทร์มีเจ้าตนนั้นอยู่บนนั้น มองจ้องมองเราตลอดเวลา และมันก็รอวันที่จะจัดการเราทุกคน เจ้าสิ่งนั้นที่มี น า ม ว่ า . . .
Text Log End