Post by katawaredoki on Apr 10, 2017 7:08:11 GMT
{RESURRECTION OF THE BLOOD...}
Characters' detail : coming soon...
MAIN Characters :
creator : jussateen
creators : cranaria, senjumaru
creators : kiwada, kataware doki
Prologue :
.....เมื่อมนุษย์ทั้งโลกต่างพากันวุ่นวาย ประสบปัญหา แตกความสามัคคี เกิดการจราจลการประท้วงมากมายทุกหย่อมหญ้า'มนุษย์สายพันธ์ใหม่' ที่วิวัฒนาการมานานมากแล้วจึงได้โอกาสผงาดขึ้นมา.....
.....'มนุษย์สายพันธ์ใหม่' หรือพวก 'Semi-Immortality' เป็นมนุษย์สายพันธ์ที่มีชีวิตยืนยาวอายุขัยมากกว่ามนุษย์ปกติถึง 3-4 เท่า อยู่รวมปะปนกับมนุษย์มานานหลายยุคหลายสมัยจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น 'มนุษย์อมตะ' ไม่มีวันตาย..... ทว่าความจริงแล้วแค่มีอายุยืนยาวมากราวกับไม่มีวันตายเฉยๆ.....
.....พวก Semi-Immortality มีความสามารถในการเยียวยารักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็วจึงทำให้ไม่ตายง่ายๆ นอกจากนั้นยังทนทานต่อโรคภัยไข้เจ็บเชื้อโรคไวรัสต่างๆได้แทบจะทั้งหมด มีอายุไขราวๆ 350-380 ปี มนุษย์พวกนี้เป็นสายพันธ์ที่ได้รับการวิวัฒนาการโดยการตัดต่อพันธุกรรมเมื่อนานมาแล้วจากสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่อาจทราบได้ พวกเขาสืบทอดเชื้อสายมากันช้านานทว่าก็มีจำนวนที่น้อยนิดหากเทียบกับมนุษย์โลกทั้งใบพวกเขามีประชากรรวมกันไม่ถึง 1% ของประชากรโลกมนุษย์ทั้งหมด ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้การมีอยู่ของพวกเขาเสมือนกับไม่มีอยู่จริง เรื่องราวของพวกเขาเป็นแค่เทพนิยาย นิทานหลอกเด็ก เรื่องเล่าที่เล่ากันปากต่อปากแต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีอยู่จริง
.....ในอดีตสมัยยุคล่าแม่มดซึ่งเป็นสมัยที่นักรบจะออกล่าปีศาจเพื่อท้าทายพระเจ้า เคยมีมนุษย์สายพันธ์ใหม่พยายามจะก่อสงครามกับ 'มนุษย์โลก'เผ่าพันธ์ที่มีจำนวนมหาศาลกว่ามากนอกจากนั้นยังมีความดิ้นรน มีสัญชาติญาณการเอาตัวรอด มีความสามัคคีสูง พวกเขา(มนุษย์สายพันธ์ใหม่)จึงพ่ายแพ้ไปตั้งแต่ยังไม่ได้ทันก่อสงคราม จนถึงขั้นที่มนุษย์โลกยังไม่ทันที่จะได้รู้จักตัวตนของ 'มนุษย์สายพันธ์ใหม่' เลยด้วยซ้ำ....
.....พวกมนุษย์สายพันธ์ใหม่มีอยู่หลายเผ่าพันธ์ แต่ละเผ่าพันธ์ต่างมีความสามารถในการเยียวยาตัวเอง พลังเหนือมนุษย์แบบในเทพนิยาย รวมถึงจุดอ่อนของตัวเองที่แตกต่างกัน.....
.....เหล่า 'แวมไพร์' ก็เป็นหนึ่งในนั้น....
.....พวก 'แวมไพร์' เป็นเผ่าพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุดแล้วในบรรดามนุษย์สายพันธ์ใหม่ ความสามารถของพวกเขาคือการมอบความ 'กึ่งอมตะ' (Semi-Immortality) ให้กับมนุษย์ปกติและเปลี่ยนแปลงให้กลายมาเป็นแบบพวกเขา นับเป็นวิธีการขยายเผ่าพันธ์ที่ง่ายที่สุดแล้ว นอกจากนั้นพวกแวมไพร์ยังมีพละกำลังที่มหาศาลเหนือกว่ามนุษย์ปกติหลายเท่า รวดเร็วประดุจหายตัวได้ สายตาเฉียบคมดั่งเหยี่ยว เป็นพันธมิตรกับฝูงค้างคาว สามารถสื่อจิต แลกเปลี่ยนมุมมอง รวมไปถึงเปลี่ยนร่างกลายเป็นฝูงค้างคาวได้และพลังอันมหาศาลทั้งหลายเหล่านี้จะเพิ่มอย่างทวีคูณเมื่อโลกอยู่ในเวลา 'กลางคืน' โดยเฉพาะในคืนเดือนมืดพลังจะมากเป็นพิเศษ.....
.....ในอดีตแวมไพร์กลุ่มแรกช่วยกันขยายกลุ่มชาวแวมไพร์ให้มากขึ้นเรื่อยๆ จนมีจำนวนมากและสามารถก่อตั้งเป็นตระกูลแวมไพร์ก่อนจะแยกสาขาเป็นตระกูลแวมไพร์ต่างๆกระจายอยู่ทั่วโลกโดยเฉพาะบริเวณแทบยุโรปได้ โดยอยู่ปะปนกลมกลืนกับมนุษย์ปกติทั่วไปซึ่งแวมไพร์ส่วนมากมักจะมีผิวพรรณ รูปลักษณ์ ลักษณะภายนอกที่สง่าผ่าเผยดูมีราศีกว่ามนุษย์ปกติทั่วไป นอกจากนั้นยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งทำให้ตระกูลแวมไพร์ส่วนมากมีฐานะที่ร่ำรวยและอาศัยปะปนไปกับมนุษย์ปกติได้ไม่ยากเย็นนัก.....
.....ทว่าจุดอ่อนที่ร้ายแร้งที่สุดของเหล่าแวมไพร์ก็คือ 'แสงอาทิตย์' และช่วงเวลากลางวัน เพียงแค่แสงอาทิตย์อ่อนๆยามเช้าก็สามารถเผ่าผิวของแวมไพร์ให้ไหม้จนมอดม้วยกลายเป็นเศษธุรีได้ในเวลาไม่กี่นาที นอกจากนั้นยังไม่ถูกโลกกับ 'เงิน' เนื่องจากมันมีความวิบวับแวววาวที่เป็นของแสลงสำหรับพวกแวมไพร์ บาดแผลจากเงินจะทำให้แวมไพร์ต้องใช้เวลานานหลายวันในการรักษาให้หาย ผิดกับบาดแผลที่มาจากโลหะหรืออย่างอื่น ไม่ถึงชั่วโมงแวมไพร์ก็สามารถเยียวยาบาดแผลให้หายเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น....ดาบเงินแท้ๆหากแทงทะลุเข้ากลางหัวใจของแวมไพร์ก็สามารถมอบความตายให้กลับแวมไพร์ได้เช่นกัน และสิ่งที่น่ากลัวอย่างสุดท้ายของแวมไพร์นั่นก็คือ 'ไฟ' การจะฆ่าแวมไพร์ได้ในยามวิกาลมีทางเดียวนั่นก็คือการใช้ไฟ 'เผาทั้งเป็น' เปลวไฟสีแดงฉานจะเผาทำลายร่างของแวมไพร์ให้กลายเป็นฝุ่นผงไม่ต่างจากแสงอาทิตย์และจะส่งวิญญาณของแวมไพร์ไปสู่ปรโลก....
.....ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเหล่าแวมไพร์จะตั้งกฏสำคัญๆไว้อยู่ข้อนึง.... นั่นคือพวกเขาจะไม่เข้าไปสร้างความเดือดร้อนแก่พวกมนุษย์ปกติถ้าไม่จำเป็น.... พวกแวมไพร์สามารถบริโภคเลือดจากสรรพสัตว์อื่นๆไม่ว่าจะเป็นหมู หมา กาไก่ แพะ วัว ไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดชั้นสูงของมนุษย์เพียงอย่างเดียว.... หากแวมไพร์คนไหนแหกกฏจะถูกจับไปลงทัณฑ์ตามความเหมาะสม.....
.....หลายร้อยปีที่ผ่านมา 'แวมไพร์' เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเพ้อฝันของมนุษย์ปกติเท่านั้น.... ไม่มีครั้งไหนที่จะมีกลุ่มแวมไพร์ก่อเรื่องจนถึงขั้นชักศึกเข้าบ้านให้มนุษย์ปกติเดือดร้อนจนต้องออกตามล่าเหล่าแวมไพร์ การอยู่ร่วมกันลับๆระหว่าง 2 เผ่าพันธ์นี้ดูเหมือนจะไปได้สวยและเป็นไปได้ตลอดไป แต่ทว่า.....
.....เมื่อเข้าสู่ปีค.ศ 2019 แวมไพร์ตระกูล 'บารอน' ได้รวมกลุ่มคนในตระกูลพากันแหกกฏที่เหล่าแวมไพร์วางกันไว้เป็นเวลาช้านานและก่อกบฏด้วยการรวมพลังกันบุกฆ่าล้างเหล่ามนุษย์ปกติกลางกรุงลอนดอนในยามรัตติกาล.... นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกมนุษย์และโลกแวมไพร์ ประชาชนคนธรรมดาถูกฆ่าตายด้วยสภาพศพที่ไม่น่ามองกว่า 1000 ศพ.... ศีรษะหลุดออกจากบ่าเลือดสีแดงเข้มนองอาบพื้น แผลที่คอถูกกัดเหวอะหวะเลือดสาดไปทั่วร่าง ชิ้นส่วนอวัยวะภายในถูกฉีกกระชากหลุดออกมา ลำไส้สีแดงเลือดหมูถูกฉีกกระจุยกระจายราวกับเส้นสปาเก็ตตี้ ตับม้ามเครื่องในถูกดึงทะลักออกมาบดขยี้และถูกวางกองเอาไว้เป็นภูเขาเลือด กระโหลกมนุษย์ถูกต่อยทะลุมีสมองสีเทาๆไหลเยิ้มออกมาพร้อมกับเลือดที่รวมกับของเหลวสีต่างๆจนเป็นสีชมพูเข้มราวกับเยลลี่เหนียวหนืด หัวใจของมนุษย์ถูกหยิบขึ้นมากัดกินเล่นราวกับเป็นผลมะเขือเทศสีแดงสดขนาดลูกเท่าฝามือที่ถูกบดขยี้ กลิ่นคาวเลือดฟุ้งไปทั่วลอนดอน....
.....พวกตระกูลบารอนไล่ฆ่ามนุษย์อย่างโหดมเป็นการประกาศศักดาและดื่มเลือดสดๆจากมนุษย์อย่างสาแกใจ กระสุนปืนที่ทำจากโลหะไม่มีผลต่อพวกเขา กองกำลังไม่ว่ากี่นายก็ไม่สามารถหยุดยั้งความบ้าคลั่งในคืนวันนั้นได้ ที่เหมาะเจาะไปกว่านั้นก็คือ ช่วงเวลาต่อจากคืนวันนั้นซึ่งควรจะเป็นเวลากลางวันแต่แสงอาทิตย์กลับถูกบดบังด้วยสุริยคราส ทำให้งานเลี้ยงอันนองเลือดของเหล่าแวมไพร์ดำเนินไปเรื่อยๆจนมนุษย์แทบจะตายหมดกรุงลอนดอน....
.....แวมไพร์ตระกูลใหญ่อีกตระกูลหนึ่งชื่อว่า 'ตระกูลเซเนียร์' ผู้ยึดมั่นในกฏของแวมไพร์จึงต้องออกโรงมาปราบตระกูลแวมไพร์บารอน เกิดเป็นการต่อสู้ราวกับเทพนิยายระหว่างแวมไพร์ 2 ตระกูล.....
.....การต่อสู้อันนองเลือดกินเวลายืดยาวจนเข้าสู่ช่วงราตรีที่ 2 การต่อสู้ชนิดที่ว่าให้ตายกันไปข้างนึงแต่กลับไม่มีแวมไพร์ซักตัวล้มตายลงซักที เขี้ยวปะทะเขี้ยว คมเล็บปะทะคมเล็บ อาวุธปะทะอาวุธ คมดาบปะทะคมดาบ กระสุนปะทะกระสุน การต่อสู้ของเหล่าอมตะ 2 ตระกูลไม่มีทางจะจบสิ้นลงง่ายๆ....
.....ท้องฟ้ากำลังเข้าสู่รุ่งอรุณเป็นครั้งที่ 2 ทว่ายามเช้าครั้งนี้กลับเป็นเช้าที่เต็มไปด้วยเมฆฝนครึ่มบดบังแสงอาทิตย์ไปหมด การต่อสู้จึงยังคงดำเนินต่อไป 'มาร์คัส เซเนียร์' ผู้นำตระกูล 'เซเนียร์' ต้องการจะหยุดยั้งความบ้าคลั่งในครั้งนี้จึงใช้พลังวิเศษของเค้าบังคับให้ท้องฟ้าเปิดออก ปล่อยให้แสงอาทิตย์สีทองอร่ามสาดส่องลงมาแผดเผาทำลายร่างของแวมไพร์ทั้งหมดที่ยังคงยืนหยัดอยู่ในสนามรบครั้งนั้น.... ผู้นำทั้งหลายของทั้ง 2 ตระกูลถูกแสงแดดแผดเผาจนร่างกายไหม้เกรียมสลายกลายเป็นฝุ่นผงทั้งหมด และการต่อสู้ครั้งนั้นก็จบลง ท่ามกลางกองซากศพที่กองรวมกันได้เป็นภูเขาเล็กๆหลายลูก ตึกราบ้านเมืองถูกทำลายไปบ้าง สาธารณูปโภคเสียหายเล็กน้อย แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดนั่นคือ ทั้งลอนดอนเหมือนถูกย้อมไปด้วยสีแดง....
.....ประชาชนพากันตื่นกลัวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น.... ผู้คนพากันหวาดหวั่นและตั้งให้ลอนดอนเป็นเมืองต้องคำสาป แทบไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่อาศัยในลอนดอนอีก..... เรียกได้ว่าเมืองหลวงของอังกฤษตอนนี้กลายเป็นเมืองล้างไม่มีใครอยากอยู่..... นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรปลอดภัยดีเนื่องจากแอบซ่อนตัวอยู่ในบังเกอร์ลับของกรุงลอนดอน ผู้คนขนานนามการต่อสู้ของเหล่าแวมไพร์ครั้งนั้นว่า 'Twilight of Death' (สนธยาแห่งความตาย)
.....ผู้นำแต่ละประเทศในยุโรปเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นภัยต่อมนุษยชาติ โลกได้รู้จักกับเผ่าพันธ์อมตะหรือเหล่าแวมไพร์ซึ่งสามารถล้มล้างมนุษยชาติได้.... มีการประชุมกันระหว่างผู้นำประเทศของยุโรป จนได้ข้อสรุปว่าจะมีการสร้างกองกำลังในการกวาดล้างแวมไพร์ขึ้นมาชื่อว่า 'Dark Blood Assassin' (นักล่าเลือดทมิฬ) มีการตรวจสอบประชากรในแต่ละประเทศอย่างละเอียดว่าเป็นมนุษย์ปกติหรือแวมไพร์ มีการไล่ตรวจตราปราสาทเก่าแก่ต่างๆว่าอาจจะเป็นปราสาทแวมไพร์แบบลับๆ
.....เหล่าลูกหลานตระกูลเซเนียร์และตระกูลแวมไพร์อื่นๆต่างพากันหลบหนีหลบซ่อน รวบรวมอุปกรณ์ อาวุธลับของเหล่าแวมไพร์ต่างๆไปไว้ในที่ปลอดภัย ปราสาทแวมไพร์จำนวนมากถูกเผาและทิ้งร้างไว้ พี่น้องเหล่าแวมไพร์ต่างอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย หิวโหย ทุกยาก แต่ก็ยังมีตระกูลใหญ่บางตระกูลที่ยังคงยืนหยัดซ่อนตัวอยู่ในปราสาทลึกลับของพวกเขาได้โดยยังไม่มีมนุษย์คนไหนหาพบ
.....ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาจำนวนแวมไพร์ลดลงมากเนื่องจากถูกตามล่า ลูกหลานตระกูลบารอนก็ยังคงพยายามจะก่อสงครามกับมนุษย์ต่อแต่ก็ต้องพ่ายแพ้เนื่องจากจำนวนคนที่น้อยกว่า แวมไพร์หลายตนถูกจับเอาไปทำการทดลอง ฆ่าอย่างทรมาร เพื่อศึกษาและสร้างวิทยาการใหม่ๆของมนุษย์ในการนำไปกวาดล้างเหล่าแวมไพร์ต่อ....
.....ทว่า.....เหมือนเรื่องราวจะพลิกผันกลับตาลปัตรจนผลที่ออกมาแย่กว่าเดิม....
.....หลังจากที่มนุษย์ได้ทำการกวาดล้างเหล่าแวมไพร์และกุมอำนาจเหนือกว่าเหล่ากึ่งอมตะทั้งหลายตลอด 20 ปี....
.....ปีค.ศ 2039 เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับภัยพิบัติภาวะการขาดแคลนและปัญหาต่างๆที่มีผลต่อความมั่นคงของพวกเขา ส่งผลให้พวกมนุษย์หันมาก่อสงครามแก่งแย่งชิงอาหารและดินแดนที่อยู่อาศัยกันเอง.... ปรามณูถูกยิ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าและร่วงลงมาทำลายทุกสรรพสิ่งที่อยู่บนพื้นดิน.... เหล่ามนุษย์โลกก่อสงครามสู้กันเอง....
.....พวกเหล่าพี่น้องตระกูลบารอนได้อาศัยช่องว่างนี้รวบรวมกลุ่มแวมไพร์ที่มีความเครียดแค้นกับมนุษย์ก่อสงครามกับมนุษย์อีกครั้ง แต่คราวนี้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมในขณะที่พวกมนุษย์อ่อนแอลงทุกวันๆจากการตีกันเอง เกิดเป็นสงคราม 3 เส้า ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น.... นอกจากนั้นยังเหมือนมี 'บางสิ่ง' ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเพื่อรอวันเวลาที่จะหุบโลกทั้งใบเป็นของพวกเขาเองอยู่....
.....วิกฤตการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจจะเป็นการล้างโลก ล้างทุกเผ่าพันธ์ุ ทุกเผ่าพันธ์ุจะล้มลงหมดไม่ว่าจะพวกมนุษย์หรือแวมไพร์ แล้วใครกันจะมายับยั้ง 'จุดจบครั้งนี้ได้'
.....แวมไพร์ตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งที่ยังคงยืนหยัดซ่อนตัวอยู่ได้นั้นต่างพากันค้นคว้าหาคัมภีร์ลับ อาวุธลับ คำสาปลึกลับ เวทมนตร์เก่าแก่ต่างๆของเหล่าบรรพบุรุษเพื่อที่จะนำมาลบล้างวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นกับเผ่าพันธ์แวมไพร์.... บ้างก็ได้พบกับแม่มดและเหล่า Semi Immortality อื่นๆ ที่ไม่ใช่แวมไพร์.... จนในที่สุดก็พบว่าวิธีการในการแก้วิกฤตการณ์ล้างเผ่าพันธ์นี้นั่นก็คือการรวบรวม 'ชิ้นส่วนเครื่องลางสีเลือดทั้ง 7' (Seven-Red Blood Amulet) และต้องทำการร่ายมนตร์โดยแม่มดเพื่อที่จะสร้างปาฏิหารย์บางอย่าง.....
.....แวมไพร์นามว่า 'ไอริช เองค์เกิ้ล' ผู้เหลือรอดของแวมไพร์ตระกูล 'เองค์เกิ้ล' จึงได้ทำการค้นหาพี่น้องแวมไพร์ที่เหลือรอดและที่กระจัดกระจายอยู่ให้มารวมทีมกันและออกตามหาเครื่องลางทั้ง 7 เพื่อสร้างปาฏิหารย์และแก้วิกฤตการณ์ล้างโลกให้จงได้....