|
Post by jussaateen on Jun 10, 2017 13:37:19 GMT
BEFORE "THE MISSION" 3 DAYS AT THE BATTLEFIELD "บุกเข้าไป !"
เสียงกู่ร้องของชายทหารดังกึกก้องไปทั่วบรรยากาศโดยรอบในขณะที่สายตาของชายหนุ่มกำลังมึนเมา มองไม่เห็นสิ่งใดจากเศษดินที่กระเด็นเข้าดวงตาจากการล้มกระแทกสู่พื้นดินไปไม่นาน ทุก ๆ อย่างไม่ว่าจะเสียงฝีเท้า เสียงเหล็กของดาบเสียดสีกระทบกัน เสียงร้องของทหารกำลังตายจากบาดแผลของการต่อสู้ เสียงของม้าล้มลงกระทบสู่ผืนดิน ชายคนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในตอนนี้อะไรกำลังเป็นอะไร ทุก ๆ อย่างนั้นพาให้งุนงงไปหมด
เขาลุกขึ้นมาและใช้มือที่ว่างอยู่่ข้างหนึ่ปัดเศษดินออกจากดวงตา เมื่อนั้นเขาจึงเห็นภาพของทหารนับพันกำลังต่อสู้กันเพื่อชิงชัย สังหารกันอย่างเหี้ยมโหด ต่อสู้ด้วยทุกวิธีที่สามารถทำได้ เพื่อคร่าชีวิตของอีกฝ่าย เขามองไปอย่างน่าเวทนาและผิดหวัง มิใช่ในการกระทำของคนกลุ่มนั้น แต่เป็นเขาเองที่เลือกจะจับดาบในฐานะชายกล้า เป็นทหารมาออกศึก ทั้ง ๆ ที่เขาก็มีลูกมีเมียให้เลี้ยงดูก็ตาม เขารู้สึกได้ว่าการตัดสินใจของเขาในครั้งนี้นั้นเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะที่ดวงตาเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาทีละเล็กทีละน้อย
"ย้า !" ทหารถือดาบคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาชายคนนี้อย่างบ้าคลั่ง หวังที่จะสังหารชายคนนี้ทิ้งซะ เมื่อนั้นในคราวที่เขาได้สตินั้นเอง เขารีบคว้าตัวก้มหลบคมดาบที่ถูกกวัดแก่งมาไม่ทันตั้งตัวในทันที "ฝืด !" เสียงคมดาบแกว่งผ่านหัวของชายคนนี้ไปเพียงเล็กน้อย
ทหารที่แกว่งดาบพลาดเป้าหมายไป หยุดฝีเท้าลงแล้วคว้าตัวหันกลับมา ในขณะที่ชายคนนี้กำลังลุกขึ้นยืนพร้อมยกดาบตรงด้านหน้าดังที่ถูกฝึกซ้อม แม้เขาจะมิได้ก่งชำนาญแต่ก็มากพอที่จะปกป้องชีวิตเขาได้ ทหารคนนั้นวิ่งตรงเข้ามาอย่างบ้าคลั่งอีกคัร้งพร้อมยกดาบขึ้นเหนือหัว ก่อนจะเหวี่ยงมันลงอย่างรุนแรง หวังจะสับหัวและสมองออกเป็นสองซีก ให้เลือดและเนื้อเหวอะวะกระเด็นไปทั่วผืนดิน
"เคร้ง !" ชายคนนี้รับดาบเอาไว้ด้วยดาบของเขา เสียงของคมดาบดังกระแทกหูอย่างไม่ทันตั้งตัว ชายคนนั้นกัดฟันและพยายามดันคมดาบออกทว่าแรงของทหารคนนั้นก็มิใช่น้อย ๆ แต่อย่างใด
ไร้ซึ่งวาจาเตือนดังนวนิยาย ทหารคนนั้นจัดการก้าวถอยออกมาในทันที ทำให้ชายคนนี้เอนตัวไปข้างหน้าเปิดเป็นช่องโหว่ให้โจมตีขนาดใหญ่ เมื่อนั้นทหารคนนั้นจัดการต่อยใบหน้าของชายคนนี้อย่างรุนแรงลงไปในทันที
"ควั่บ !" แรงหมัดซัดขายคนนี้ถอยออกไปนอนกับพื้น ทหารคนนั้นเดินตรงเข้ามาและจัดการยกดาบขึ้นมาด้วยสีหน้าของผู้รอดชีวิต "ผัวะ !" คมดาบแทงทะลุร่างของทหารคนนั้นจากด้านหลัง ช่วยชีวิตชายคนนี้เอาไว้ทันเวลาจากความประมาทของทหาร หรือโชคร้ายของเขากันแน่
"กระจายคำสั่ง พลทหาร !" ผู้ที่ช่วยชีวิตเขาผลักร่างของทหารลงสู่พื้นดินราวกับขยะ และดึงตัวชายคนนี้ขึ้นมา เครื่องแบบของชุดเกราะมียศบรรดาศักดิ์อธิบายอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นใคร และเหตุที่ช่วยชีวิตเขา ต้องเป็นเหตุใหญ่แน่แท้ "ไปหาท่านแม่ทัพเกเบรียลแนวหน้า ให้ถอยทัพกลับมา ! คำสั่งจากราชินี !" เขาพูดขึ้นสั่งคำสั่งมา โดยไม่รีรอให้ชายคนนี้ตั้งตัวแต่อย่างใด "ไป ! ไป !" เขาสั่งต่อในทันทีโดยรีบร้อน
เมื่อชายคนนี้ลุกขึ้นยืนได้เขาจึงรีบวิ่งตรงเข้าแนวหน้าตามคำสั่งในทันที ตรงเข้าไปในแนวหน้าของทัพ ที่ ๆ ชีวิตทหารกลายเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ถูกกำจัดอย่างง่ายดาย ที่ ๆ เป็นความหวาดกลัวของชายทุกคนที่มิใช่อัศวินโดยแรงกล้าในทัพ ที่ ๆ ถูกขนานนามว่า แนวหน้า นั้น เป็นนรกของเหล่าทหารโดยแท้
"ช่วยข้าด้วย !" ทหารคนหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้นดินกรีดร้องขอความช่วยเหลือ สภาพของเขาเละรุงรัง ใบหน้าเปื้อนไปด้วยเลือด และเต็มไปด้วยความกลัวผุดออกมา แม้ชายคนนี้ต้องการจะช่วยแต่ก็ไม่มีเวลาใด ๆ แล้ว และการจะแบกทหารที่สูญเสียขาไปข้างหนึ่งกลับไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อะไรที่เขาจะทำได้เลย "ข้าขอโทษ !" เขาตะโกนขึ้นมาทั้งความกลัวและความโศกที่มิอาจช่วยเพื่อนรบของเขาได้ ในขณะที่กำลังวิ่งตรงไปด้านหน้าโดยไม่หันกลับมาแต่อย่างใด
เขาวิ่ง และวิ่ง ผ่านกองศพมหึมา และทหารที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทหารคนหนึ่งวิ่งตรงเข้าหาชายคนนี้หวังจะสังหารทิ้ง เขาจัดการใช้ดาบของเขาพุ่งตรงเข้าไปหาตามอย่างบ้าคลั่งและดวลกับการโ๗มตีเดียวในทันที
"ปัก !" คมดาบของชายคนนี้แทงเข้าที่กลางหัวของทหารที่ตรงเข้าหาเขา คมดาบของทหารกระแทกกับเกราะหัวของเขาเล็กน้อย หากไม่มีมันเขาก็คงจะตายไปแล้วเช่นกัน
"ตายซะ แก !" เสียงร้องของทหารม้าวิ่งตรงเข้ามาจากขนาบด้านซ้ายอย่างรวดเร็วโดยที่ชายคนนี้ไม่ทันตั้งตัว เสียงฝีเท้าของม้าดังอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับหัวใจของเขาที่เต้นรวดเร็วด้วยความกลัว
"ป่าป !" ทหารม้าอีกคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาชนกับม้าของทหารคนนั้นอย่างจังและรุนแรง ม้าทั้งสองล้มลงไปจากแรงกระแทก และทหารทั้งสองที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ ชายคนนี้รีบวิ่งตรงต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยความกลัวและตื่นตระหนก
"หลบเร็ว !" เสียงร้องของทหารด้านหลังเขาดังขึ้นเตือนทุก ๆ คนโดยรอบ เมื่อนั้นเองชายคนนั้นที่ไม่ทันได้มีเวลาตั้งตัวเห็นทหารอีกคนวิ่งตรงเข้ามาด้านหน้าจึงจัดการก้มหลบในทันที
"ควั่บ !" ธนูปักทะลุร่างของชายคนนั้นนับสิบดอกเช่นเดียวกับทหารคนอื่น ๆ ที่ไร้ซึ่งโล่กำบังป้องกันตนเอง
ชายคนนั้นจัดการดันร่างของทหารคนนั้นออกก่อนจะผลักออกไปด้านหน้า เข้าหาทหารอีกคนหนึ่งที่วิ่งตรงเข้ามาหาเขา ร่างของทหารไร้ชีพทับทหารอีกคนหนึ่งเอาไว้ เมื่อนั้นชายคนนี้จัดการใช้ดาบของเขาแทงทะลุศพสังหารทหารคนนั้นในทันทีทันใด
"อ้า !" เขาร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ชายคนนี้ดึงดาบออกและจัดการรีบวิ่งต่อไปโดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นหรือตายในทันที "ท่านแม่ทัพ !" เขาตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นชายในชุดเกราะสีดำสนิทกำลังกวัดแกว่งดาบสังหารทหารฝ่ายตรงข้ามอยู่ในขณะที่กำลังถอยกลับมา เมื่อนั้นเขาที่เห็นทหารอีกคนหนึ่งวิ่งตรงมาหาด้านหลังของแม่ทัพของเขา เขาไม่รอช้าที่จะวิ่งไปสังหารมันในทันที
"ปัก !" เขาใช้ดาบแทงทะลุท้องของทหารคนนั้นจากด้านหลัง ก่อนจะมองไปที่แม่ทัพของเขาในทันที "คำสั่งจากรองแม่ทัพ บอกว่าให้ถอยทัพครับ !" เขาตะโกนลั่นขึ้นมาในขณะที่มองแม่ทัพของเขาอยู๋ เมื่อนั้นแม่ทัพหันกลับมามองชายคนนั้น แล้วพูดขึ้นต่อในทันทีโดยในสายตาไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
"เราจะสู้ต่อไป พลทหาร !" เขาลั่นขึ้นมาก่อนจะสังหารทหารเบื้องหน้าของเขาอีกคราวหนึ่งอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งราวกับกำลังเกรี้ยวโกรธหลังจากที่เห็นทหารของเขาหลายพันคนต้องสิ้นไปแล้ว "แต่เป็นคำสั่งจากท่านราชินีอีกทีหนึ่งนะครับ !?" ชายคนนี้ตะโกนขึ้นต่อในขณะที่ตัวเขากำลังกลัวที่จะต้องอยู่ในแนวหน้าสุดของกองทัพอีกนานเพียงใด "พวกมันก็เริ่มถอยแล้วเหมือนกัน ! นี่แหละคือโอกาส ! เราสู้กลับได้ พลทหาร !" เกเบรียลลั่นสั่งการโดยไม่สนใจวาจาใด ๆ ในตอนนี้ ราวกับสิ่งเดียวในหัวเขาตอนนี้คือการสังหารทหารทุกคนเบื้องหน้าโดยไม่ก้าวถอยหลังออกจากแนวหน้าใด ๆ ยืนหยัดสู้ต่อไปจนกว่าจะได้ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้
"ต- แต่ว่า !"
"นี่มันสงคราม ! เราฆ่าเพื่อชัยชนะ ! เจ้าจะกลับไปด้านหลังคอยจัดการพวกทหารม้าที่เล็ดรอดเข้ามาก็ได้ ข้าไม่ว่า ! แต่เราจะไม่ถอยกลับไป เพียงเพราะความกังวลของท่านราชินี !" "พวกเรามีหน้าที่ปกป้องราชินี ไม่ใช่ให้ราชิีคอยปกป้องสั่งการเรา ! เราสั่งการตัวของเราเอง !" เกเบรียลตะโกนลั่นขึ้นมาใส่ชายคนนั้น ก่อนที่เขาจะจัดการดันพลโล่ของทัพฝ่ายตรงข้ามออกไปให้ได้ด้วยแรงของเขาและใช้ดาบจัดการแทงขาของเหล่าทหารถือโล่ให้มากที่สุดเพื่อให้เสียสมดุลและสังหารทิ้งไปทีละคน ทีละคน ในขณะที่ชายคนนั้นค่อย ๆ ถอยกลับมาด้วยความตกตะลึงในวาจาอันหนักแน่นของแม่ทัพของเขา
ทัพแนวหน้าของเกเบรียลตีแตกทัพศัตรูออกในไม่นานหลังจากนั้น เหล่าทหารฝ่ายตรงข้ามต่างเริ่มที่จะรีบวิ่งหนีออกไปในขณะที่ทัพที่เหลืออยู่เป็นพันของเกเบรียลวิ่งตีตามล่าพวกมันไป ราวกับฝูงหมาป่าไล่ต้องแกะ
ในขณะที่ชายคนนั้นยืนมองการไล่ล่าของพวกเกเบรียลในขณะที่ทหารคนอื่น ๆ วิ่งผ่านชนตัวเขาไปอย่างบ้าคลั่ง เขาปักดาบลงไปกับพื้น และดึงหมวกเกราะเปื้อนเลือดของเขาออกมาวางลงไปกับพื้นดินชุ่มด้วยศพและเลือด
เขามองตรงไปที่เบื้องหน้าในท่าคุกเข่า เสียงร้องของเหล่าทหารที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะดังกึกก้องออกมาอย่างแผ่วเบา ตัวเขาไม่สนใจสิ่งใดนอกจากฟากฟ้าอรุญสีเหลืองทอง มันช่างดูน่าต้อนรับและอบอุ่น ทว่าที่ ๆ เขายืนอยู่กลับเป็นสถานที่อันร้อนระอุ ชุ่มด้วยเหงื่อ เลือด ศพ และกลิ่นอายของความกลัวและความตาย สถานที่ที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังในสายตาเขา
แต่ยังมีทหารคนหนึ่งที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่ออิสระภาพของพวกเรา เพื่อให้พวกเราหลุดพ้นจากสถานที่แห่งนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะหลุดพ้นไปได้สั้นเพียงใดก็ตาม เขายืนหยัดต่อสู้ กัดฟันฝ่านความกลัวออกไป นำทัพเหล็กแห่งเอลลาสอันน่าภาคภูมิผ่านป้องปราการแห่งเบาเร็นไป ผ่านทัพอัศวินอันเกรียงไกรของอีซาน และไล่ต้อนราวกับแกะไป..
ช่างน่าเคารพ.. ชายคนนั้นคิด
ที่เขาต้องทนรับแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวนี้ไป แบกความหวังของชายทหารแห่งเอลลาสทุก ๆ คนในทุกสมรภูมิที่ก้าวไป นั่นเป็นภาระที่หนักอึ้งเอามากโขเลยจริง ๆ
ข้าขอเคารพเขาในฐานะผู้นำที่แท้จริงของข้าในทุก ๆ ศึก ข้าขอติดตามเขาไป ตั้งแต่วันนี้จวบจนวันสุดท้ายของข้า
________________
"He carried all our fear in all battlefields we fought , He's my true war commander from this day until my dying day"
-Soldier at The Battle of Bauren Fortress
|
|
|
Post by jussaateen on Jun 11, 2017 13:06:53 GMT
BEFORE "THE MISSION" 2 MONTHS AT THE BONFIRE "พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องของ.. ไวเวิร์นสีฟ้ามั้ย"
ท่ามกลางป่าไม้ในยามราตรีนี้ นอกเสียจากแสงของดวงจันทราที่ส่องสว่างอย่างแผ่ว ๆ ที่ทำให้รู้สึกเหงาเดียวดายนั้น ยังมีเสียงพูดคุยดื่มด่ำสำราญของกลุ่มทหารเจ็ดถึงแปดคนที่นั่งล้อมรอบกองไฟเล็ก ๆ อยู่ พวกเขานั้นกำลังดื่มเหล้าที่ขโมย ปล้นสะดมจากหมู๋บ้านใกล้ ๆ ด้วยการอ้างนามของกษัตริย์แห่งจักรวรรดิอีซาน พวกเขาจับตัวเด็กสาวหน้าตาน่ารัก สวย ๆ งามมามัดเอาไว้และวางทิ้งไว้ข้าง ๆ ต้นไม้ใกล้ ๆ กันเพื่อเตรียมสำหรับความสนุกหลังจากอาหารเย็นนี้
เมื่อนั้นเองหนึ่งในทหารกลุ่มนี้ หลังจากที่เขาได้กัดน่องของไก่ที่ถูกย่างสดไป เขาก็พูดทักถามขึ้นมาในทันที ราวกับเรื่องเล่าสยองขวัญที่กำลังจะเล่าให้ผองเพื่อนหวาดกลัวเล่น ๆ หรืออะไรแบบนั้น เนื่องจากทันทีที่เขาถามขึ้นมา เสียงพูดคุยสำราญก็เบาลง ทหารบางส่วนเริ่มมองหน้ากันด้วยความเงียบกริบ หากมิใช่พวกเขาไม่รู้ ก็คงจะรู้แต่กลัวไม่กล้าพูดออกมามาก
"ไหนลองเล่ามาซิ" ทหารตัวอ้วนพูดขึ้นตอบแทน เขาพอจะเดาได้ว่าชายคนนี้ต้องการจะเล่าเรื่องจึงเริ่มด้วยคำถาม ชายอ้วนคนนี้จึงเปิดโอกาสให้เล่าในทันที ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้แล้วก็ตาม "ก็.. เรื่องมีอยู๋ว่า"
"ว่ากันว่าในยุคสมัยที่มังกรยังคงดำรงครองแดนโดเรียร์อยู่นั้น พวกมนุษย์ที่ต้องการจะล่ามังกรนั้นมิอาจต่อกร ต่อสู้ได้ เนื่องด้วยพวกเขาไม่สามารถที่จะบินตามล่ามังกรขึ้นสู่ฟากฟ้าได้" "เมื่อนั้นเอง ไวเวิร์น มังกรขนาดเล็กตัวหนึ่งได้อาสาที่จะช่วยพามนุษย์คนหนึ่งขี่มันและมันจะพาไปหาจ้าวมังกรยักษ์ตัวหนึ่งนาม อาร์นุส เพื่อแลกกับการล้างแค้นให้กับครอบครัวของมันที่อาร์นุสสังหารทิ้งไป"
"มนุษย์คนนั้นรับคำพูดอาสาที่จะช่วยสังหารมังกรอาร์นุส ไวเวิร์นตัวนี้ได้บินขึ้นสู่เวหา ตรงไปหาเทือกเขาที่มันอาศัยอยู่ในทันที" "มังกรเกล็ดดำขนาดยักษ์นาม อาร์นุส ต่อสู้กับไวเวิร์นตัวนั้นและมนุษย์นักล่าฝีมือฉกาจ พวกเขาดวลต่อสู้กันบกฟากฟ้า ต่อสู้ด้วยเปลวเพลิง เวทมนตร์ และหอกจากเหล็กกล้าอันทรงพลังพอจะเข้าทะลุเกล็ดอันหนาและแข็งแกร่งของมังกร"
"จนกระทั่งสุดท้าย ไวเวิร์นสีฟ้าจัดการกัดปีกของอาร์นุสทั้งสองข้าง มังกรอาร์นุสร่วงหล่นสู่พื้นดิน เช่นเดียวกับไวเวิร์นสีฟ้าที่เข้าต่อสู้กับอาร์นุสจนตัวตาย สุดท้ายมันจัดการทิ้งมนุษย์บนเทือกเขา และตกสู่พื้นดินไปพร้อมกับอาร์นุส ตายไปกับมัน เพื่อการล้างแค้นและภารกิจของมันเอง.." "และกลายเป็นว่าเรื่องเล่านี้ กลายเป็นตำนานให้กับพวกเอลลาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับกลุ่มอัศวิน.. นักฆ่ากลุ่มหนึ่งขึ้นมา"
"กลุ่มไวเวิร์นสีฟ้านั่น.. สินะ" ชายอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้น เขาเคยได้ยินถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของพวกอัศวิน "ข้าเคยได้ยิน.. พวกมันเป็นกลุ่มทหารที่บ้าระห่ำที่สุด รวมไปด้วยพวกทหารที่มีปัญหา พวกมันสังหารทหาร และอัศวินของพวกเราไปหลายร้อยคนในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้" เขาพูดขึ้นด้วยสายตาที่หวาดกลัวไม่น้อย
"ข้าได้ยินว่า หมาป่าเงิน ก็เป็นหนึ่งในหน่วยไวเวิร์นสีฟ้าเหมือนกัน" "ทหารรับจ้าง อานาทาส นั่นน่ะเหรอ !?" ชายตัวอ้วนเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับตกใจออกมาในทันที "ใช่.. ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน เห็นมีคนบอกว่าหมอนั่นเก่งพอจะสังหารร้อยคนได้ในคืนเดียว" ผู้ที่เริ่มเล่าเรื่องเสริมขึ้นต่อ
"ไม่รู้ว่าเวอร์วังหรือเรื่องจริง" เขาพูดต่อด้วยความไม่แน่ใจ "เพื่อนของข้าเคยเจอกับพวกนั้น.. ตอนนี้เขาพิการขาทั้งสองข้างไปแล้ว กำลังพักในเมืองหลวง" ทหารอีกคนหนึ่งเริ่มพูดขึ้นต่อพร้อมกับโยนแก้วเหล้าเปล่าลงไปในกองเพลิง เขาหันกลับมามองหน้าทหารคนอื่น ๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความจริงจัง "มันมีกันแค่.. สองคน" ทันทีที่เขาพูดขึ้นมา คนอื่น ๆ ที่ไม่สนใจถึงกับหันหน้ามามองเขาในทันที
"แกบ้ารึเปล่า สองคนเนี่ยนะ ?" "มันบอกอย่างนั้น.. พวกมันโจมตีไม่ให้ทันตั้งตัว ทั้งในความมืดและในยามอรุญ พวกมันไม่เลือกเวลา พวกมันแค่บุกเข้ามาและฆ๋าทิ้งให้หมด"
"เขาถูกทหารตัวใหญ่ใช้ดาบสับขาทั้งสองข้างทิ้ง ก่อนที่จะมีทหารคนอื่น ๆ มาช่วยพาตัวออกไป.. ก่อนหน้านั้นเขาเห็นผู้หญิงใช้ดาบสังหารทหารทีเดียวไปสามคน" "ในวันนั้น ทหารในที่พักตายไป สามสิบสี่คน.. สามสิบสี่คน" เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับย้ำจำนวนคนที่ตาย "สองคน ชาย หนึ่ง หญิง หนึ่ง.. ตาย สามสิบสี่คน" สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว เมื่อนั้นเอง
"ครืด" เสียงของเชือกถูกตัดออก พวกทหารหันมองไปหาพวกหญิงสาวในทันที "ตึก! ตึก! ตึก!" พวกหญิงสาวพากันวิ่งหนีเข้าไปในป่า ทันใดนั้นเองพวกทหารที่รู้ว่ามีคนข่วยพวกนางเอาไว้ ต่างก็ยกดาบขึ้นมาเตรียมป้องกันตัวเองในทันที "แกเห็นอะไรมั้ย ?" ชายตัวอ้วนถามคนอื่น ๆ ขึ้นมาในขณะที่ทุก ๆ คนเริ่มพากันยืนหลังชนหลังกัน
เสียงของฝีเท้าเคลื่อนในเงามืดหลังต้นไม้ที่แทบมองไม่เห็น เสียงฝีเท้าไปรอบ ๆ ดูท่าราวกับว่ามันจะไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย ทำให้เหล่าทหารเริ่มที่จะหวาดกลัว เมื่อนั้นเอง
"แม่งเอ้ย ใครวะ !" ทหารคนหนึ่งที่เริ่มกลัวสุดขีดตะโกนขึ้นมา "ปรัก !" เสียงของคมดาบขนาดยักษ์ตัดผ่านร่างของชายคนนั้นไป อย่างรุนแรง "โครม !" หัวและไหล่ของชายคนนั้นกระเด็นสู่พื้นพร้อมกับเลือดไหลนองอย่างน่าหวาดกลัว สายตาของทหารทุก ๆ คนมองไปที่ชายผู้สังหารเพื่อนของพวกเขาไปในทันที
"ก- แก !?"
ชายร่างยักษ์สวมเกราะเหล็กทั่วร่างกายพร้อมกับผ้าคลุมหลังสีฟ้าอันเป็นที่เลื่องลือ มือข้างซ้ายถือดาบเหล็กขนาดใหญ่เอาไว้ที่เปื้อนไปด้วยเลือดและไส้ของศพแรกก่อนหน้านี้ มันเป็นภาพที่น่าหวาดกลัว ทหารทุก ๆ คนเริ่มที่จะขยับขาไม่ออกด้วยความเกรงขามของชายคนนั้น มันทำให้ทุก ๆ คนต่างคิดว่าภายใต้ชุดเกราะนั้นเป็นมนุษย์จริง ๆ หรือไม่
เมื่อนั้นเองทหารคนหนึ่งรีบวิ่งออกตรงเข้าไปในป่า อีกทางหนึ่งในทันทีโดยไม่รอช้าแต่อย่างใด ทหารคนอื่น ๆ ที่เห็นดังนั้นจึงต่างพากันเริ่มวิ่งตรงเข้าไปในป่า วิ่งตรงไปกันหมดเหลือเพียงทหารอีกคนหนึ่งที่ถือหอกเหล็กเป็นอาวุธ เขายืนนิ่งและตั้งท่าขึ้นอย่างกล้าหาญ เขาคือผู้ที่เล่าเรื่องว่าเพื่อนของเขานั้นบาดเจ็บสาหัสในการรบ และในตอนนี้เขากำลังจะลองประมือกับชายที่เลื่องลือ หากมิใช่การกิฬาท้าทาย ก็คือการล้างแค้น เมื่อนั้นชายในชุดเกราะจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเห็นทหารเยี่ยงนี้
"ข้าชื่ออานาทาส อานาทาส หมาป่าสีเงิน.." อานาทาสแนะนำตัวเองขึ้นมา "แล้วเจ้าชื่อว่าอะไรล่ะ ?" เขาถามทหารถือหอกที่ยืนเบื้องหน้าเขาขึ้นต่อ "ข้ามิได้มีเกียรติที่จะบอกชื่ออะไรแก่เจ้า" ทหารคนนั้นตอบปฏิเสธที่จะระบุนามของตนไป
"แล้วเจ้าไม่กลัวข้าเหรอ ?" "ไม่" ทหารถือหอกตอบกลับไปอย่างแข็งกระด้าง "ก็ดี.. " อานาทาสที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหัวตนเอง ก่อนจะตั้งดาบขึ้นจากพื้นดินและสะบัดดาบสู่พื้นอีกรอบหนึ่ง เศษไส้และเลือดกระเด็นสู่ผืนดิน ในขณะที่ทหารถือหอกคนนั้นพยายามรวบรวมสมาธิ มองระยะ วางแผนการต่อสู้รบ
เมื่อนั้นทหารถือหอกเริ่มก้าวเท้าตรงไปข้างหน้า การดวลประลองฝีมือเริ่มต้นขึ้น เขาจัดการพุ่งทะยานหอกตรงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
"เคร้ง !" อานาทาสตั้งดาบรับหอกเอาไว้ได้ทันเวลา
ตัวทหารจัดการถอยกลับมาใหม่ เมื่อเห็นการอ่านท่าทางวิธีการต่อสู้ของเขาทัน เขาเริ่มเดินวนไปแนวทวนเข็มนาฬิกาในขณะที่ควงหอกไปมา เขาจัดการตั้งหอกของเขาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะจัดการพุ่งทะยานตรงเข้าใส่อานาทาสอย่างรวดเร็วอีกครั้ง อานาทาสที่เห็นดังนั้นก็จัดการเหวี่ยงดาบเหล็กขนาดยักษ์ของเข้าใส่ทหารคนนั้นในทันที
"ฝืด !" ทหารคนนั้นก้มหลบดาบเหล็กได้ทันพอดิบพอดี ทหารคนนั้นจัดการพุ่งหอกเข้าใส่ในอีกคราวหนึ่งเข้าหาไหล่ของอานาทาส หวังจะสร้างรอยบาดแผลมากกว่าการสังหาร "ควั่บ !" หอกเข้าแฉลบกับเกราะไหล่ของอานาทาส สร้างความเสียหายได้ไม่มากเท่าที่คิด ทว่ากลับกลายเป้นตัวทหารเองในตอนนี้ที่เปิดช่องโหว่อย่างชัดเจน "ตึก !" อานาทาสจัดการยกเข่าเสยท้องของทหารขึ้นในทันที ตัวทหารล้มลงไปกับพื้นชั่วขณะหนึ่ง อานาทาสจัดการยกดาบของเขาขึ้นเหนือหัวแล้วผลักลงสู่พื้นดิน
ดาบปักลงไปที่พื้นดินเต็ม ๆ ตัวทหารกลิ้งหลบทัน ทว่าก็ยังไม่ไกลมาก อานาทาสยกดาบของเขาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วฟาดลงไปใหม่อีกคราว ตัวทหารก็จัดการกลิ้งหลบอีกครั้งและกลับมาตั้งท่ายืน เขาจัดการแทงหอกเข้าใส่ท้องของอานาทาสในทันทีทันใด
"เคร้ง !" อานาทาสไหวตัวหลบทัน เกราะเหล็กของอานาทาสดันหอกออกไปแทน ตัวทหารคนนั้นจึงรีบกระโดดถอยออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นการโจมตีของเขาพลาดเป็นรอบที่สอง
อานาทาสที่เห็นว่าตนต้องตั้งรับไปสองรอบติด แน่แท้ว่าเขาจะไม่ยอมตั้งรับอีกเป็นรอบที่สาม เขาจัดการยกดาบขึ้นมาพาดที่ไหล่ของเขาและวิ่งตรงเข้าไปอย่างบ้าระห่ำ ทหารคนนั้นที่เห็นการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของอานาทาสที่ดูราวกับการฆ่าตัวตายทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง อานาทาสจัดการเหวี่ยงดาบเหล็กของเขาเต็มกำลังขนานกับพื้นดิน
ทหารคนนั้นชิงถอยหลบออกมา หาได้การโจมตีจะหยุดลงเมื่ออานาทาสเหวี่ยงดาบกลับมาอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง ตัวทหารที่มองการไม่ทันจึงใช้หอกของเขาตั้งสวนกับดาบเหล็กขนาดยักษ์แทน
"เคร้ง !" หอกถูกดาบพังลงไปอย่างง่ายดาย ตัวทหารที่บังเอิญก้มหลบจึงทำให้คมดาบไม่ตัดหัวของเขาออกไป ทว่าปราศจากอาวุธ ทหารคนนี้ไม่มีสิ่งใดจะต่อกร อเานาทาสจัดการยกดาบขึ้นตวัดดาบขึ้นสู่ฟ้าในทันทีก่อนที่ทหารคนนั้นจะตัดสินใจอะไรได้
"ฉับ !" ร่างของทหารกระเด็นพุ่งชนกับกองเพลิงอย่างรุนแรง
ปากของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดจากคมดาบขนาดยักษ์ที่เขาพยายามหลบแล้วแต่ก็ไม่ทัน ตัวทหาคนนั้นใช้มือปิดรอยเฉือน ผ่าปากของเขาเอง แล้วพยายามลุกขึ้นมา อานาทาสที่เห็นดังนั้นก็ค่อย ๆ เดินตรงเข้าไปหาทีละก้าว ทีละก้าว ราวกับยมฑูตที่กำลังจะมาเอาชีวิตของทหารคนนี้ไป
"ต่อสู้ได้ดี.. ข้าขอชม-"
ไม่ทันที่อานาทาสจะได้ชื่นชม ทหารคนนั้นจัดการดึงมีดขึ้นจากกางเกงของเขาและปาเข้าใส่อานาทาสในทันที ตัวอานาทาสใช้มือขวาของเขารับมีดแทนอกของเขา มีดนั้นปักทะลุมือของอานาทาส ในขณะที่ตัวอานาทาสถอยกลับมาก้าวหนึ่งพร้อมกับมองตรงไปที่ทหารที่กำลังบาดเจ็บลุกขึ้นยืนพร้อมกับมีดอีกเพียงเล่มเดียวบนมืออีกข้างที่ไม่ได้ปิดแผลเอาไว้
อานาทาสจัดการดึงมีดออกมาจากมือของเขา พร้อมกับพิงดาบไว้กับตัวของเขา ในขณะที่ทหารคนนั้นวิ่งตรงเข้ามาพร้อมกับมีดเพียงเล่มเดียว เมื่อนั้นเองทหารคนนั้นร้องลั่นไม่เป็นภาษาขึ้นมาในขณะที่วิ่งตรงไปหาอานาทาส ตัวอานาทาสที่เห็นสีหน้าของคนบ้า เส้นเลือดผุดเต็มไปทั่ว ทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ ภาพในอดีตอันน่าหวาดกลัวย้อนแล่นกลับมาเข้ามาในหัวของเขาโดยเร็ว ตัวอานาทาสที่พยายามดึงสติออกมาจากความกลัวในอดีต เมื่อดึงกลับมาได้ก็ไม่ทันเวลาที่ทหารคนนั้นวิ่งตรงเข้ามาประชิดตัวเขาทัน
อานาทาสใช้มือทั้งสองข้างของเขายันมีดเอาไว้ก่อนจะถึงท้องพอดี ทหารคนนั้นจัดการปล่อยมือของเขาออกจากบาดแผลที่ปาก ปล่อยให้เลือดไหลลงคอ ลิ้มรสชาติของมันไป และจัดการดันมีดของเขาไป ต่อยมีดของเขาเข้าหา ใช้แรงเท่าที่จะทำได้ที่จะแทงอานาทาสลงไปที่ท้องของเขา เมื่ออานาทาสเห็นดังนั้น ตัวเขามองมีดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจเสี่ยงดูในทันที เนื่องจากมีดนั้นมาใกล้เกินกว่าที่เขาจะดันออกไปได้แล้ว
"ปัก !" มีดพุ่งตรงเข้าแทงท้องของอานาทาสลงไปในทันที "ตุบ ! ตุบ ! ตุบ !" ทหาารคนนั้นจัดการต่อยลงไปที่มีดซ้ำตอกลงไปในท้องอีกหลายหมัด ก่อนที่อานาทาสจะรับหมัดสุดท้ายเอาไว้ "แกรก !" อานาทาสหักแขนของทหารทิ้ง
"อ้า ! แม่งเอ้ย !" ทหารคนนั้นสบถคำหยาบออกมาในขณะที่ถอยออกมา เมื่อนั้นอานาทาสจัดการเดินตรงเข้าไปหาดาบเหล็กขนาดใหญ่ของเขาแล้วจัดการยกขึ้นเหนือหัวของเขาอีกคราวหนึ่งโดยไม่มีแรงตกลงมาแต่อย่างใด "โครม !" ดาบผ่าร่างของทหารคนนั้นในคราวเดียว ก่อนที่ทหารคนนั้นจะได้ตั้งตัว เลือดกระจัดกระจายไปทั่วพื้นและเกราะของเขา อานาทาสหายใจหืดหาดเสียงดังออกมา ในขณะที่ทหารคนนั้นที่ยังไม่ตายพยายามคลานออกไปอีกสักคราวเดียวเพื่อเอาชีวิตรอด ทว่าก็ตายลงไปในไม่กี่พริบตาต่อมา
อานาทาสดึงมีดออกมาจากท้องของเขา เขาเขวี้ยงมีดลงไปกลับพื้นในขณะที่ดึงดาบกลับไปพาดที่หลังของเขาและใช้มือขวาจับบาดแผลวิ่งตามพวกที่เหลือเข้าไปในป่าโดยไว ราวกับบาดแผลนั้นแม้จะเจ็บแต่ก็มิได้ทำให้เขาอ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย
"มันกลับมาอีกแล้ว ภาพพวกนั้น" อานาทาสพูดขึ้นกับตนเองในขณะวิ่ง ภาพในอดีตที่เขาพยายามจะลืมแต่กลับกลายเป็ฯว่ามันกลับมาอีกครั้งในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะเลยแม้แต่น้อย "ตึก ! ตึก ! ตึก !" เสียงฝีเท้าวิ่งสวนมา อานาทาสยกดาบขึ้นและกระโดดสู่เวหาในทันที
"เมื่อกี้มันอะไรวะ-!" "โครม !" คมดาบขนาดใหญ่ตัดซีกหนึ่งของร่างกายออกจากทหารที่วิ่งหนีจากบางสิ่งอันตรายอีกทางหนึ่งมาหาอานาทาส ตัวมันล้มลงไปกับพื้นในขณะที่ร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว อานาทาสที่เห็นดังนั้นก็จัดการยกดาบขึ้นมาและปักลงไปกลางสมองของทหารคนนั้นในทันทีทันใด
"แย่แล้ว ! โดนล้อมเหรอวะเนี่ย !" ทหารอีกคนหนึ่งที่วิ่งตามมาร้องด้วยความหวาดกลัวก่อนจะมองไปรอบ ๆ ด้วยความกระวนกระวาย "ฉับ !" คมดาบสีเงินตัดหัวของทหารคนนั้นออกจากร่างกาย เลือดนั้นไหลออกมาทีละเล็กทีละน้อยในขณะที่ร่างไร้เศียรจะล้มลงไปสู่พื้นดิน อานาทาสที่เห็นดังนั้นแทนที่จะตั้งดาบขึ้นมาเตรียมสู้แต่กลับค้นศพของทหารที่ตนพึ่งสังหารและขโมยเงินของพวกมันมาแทน ในขณะเดียวกันก็ใช้ผ้าคลุมของศพเช็ดเลือดและเศษเนื้อจากดาบทิ้ง
"สายลมขอรับดวงวิญญาณอีกดวงมาอยู่คู่กับความนิรันดร์" หญิงสาวผมสีเงินสวมผ้าปิดตาสีดำเดินออกมา ดวงตาสีฟ้าของนางมองตรงไปด้านหน้าโดยไม่กะพริบตาแต่อย่างใดเหมือนกับคนตาบอด ทว่าตัวนางก็ยังพอที่จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ เพียงแค่จางลงกว่าคนอื่นก็เท่านั้น ตัวหญิงสาวเก็บดาบของนางกลับเข้าฝักดาบแล้วเดินตรงไปทีละก้าว ทีละก้าวเข้าหาอานาทาส
"สายลมบอกข้าว่าการกระทำของท่านไม่เหมาะสม" หญิงสาวมองใบหน้าของอานาทาสแล้วพูดขึ้นมาราวกับคนเพ้อเจ้อ ตัวนางกำลังสื่อถึงการที่อานาทาสกำลังขโมยของคนตายนั้นเป็นสิ่งไม่ดี "คนตายใช้เงินไม่เป็นฝากบอกพวกเขาอย่างนั้นด้วย" อานาทาสตอบกลับราวกำลังล้อเลียน แต่ก็มิใช่ เขาลุกขึ้นยืนและเดินนำเด็กสาวไป ในขณะที่นางยืนหยุดนิ่งชั่วขณะราวกับกำลังนึกคิดบางอย่างแล้วจึงค่อยเดินตามไป ทว่าสีหน้าของนางที่ดูนิ่งเฉยทำให้คาดเดาได้ยากว่านางกำลังคิดอะไร
"พวกเค้าบอกว่าเจ้ากำลังล้อเลียนข้า" "แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร เฟลิเซีย" อานาทาสถามหญิงสาวนามเฟลิเซียขึ้นต่อ "ข้าเชื่อในสิ่งที่สายลมบอกกับข้า" นางตอบกลับไปอย่างนิ่งเฉยก่อนที่ทั้งสองจะหยุดก้าวเดิน
"ข้าแนะนำว่าอย่าเชื่อให้หมดจะดีกว่า" หญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินมาหาอานาทาสและเฟลิเซีย ข้างกายของนางคือดาบคู่ ซึ่งจากสภาพที่เปื้อนด้วยเลือดพอจะเดาได้ว่านางได้สังหารทหารคนที่เหลือไป เช่นเดียวกับเฟลิเซียที่อานาทาสเห็นต่อหน้าต่อตา "ไง อเล็กซ่า.. เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ" อานาทาสถามขึ้นมา "เจ้าต่างหากล่ะ แผลมีดที่ท้องของเจ้าน่ะ ยังไม่ทำให้เจ้าตายอีกเหรอ ?" อเล็กซ่าถามอานาทาสขึ้นด้วยวาจาดูกำลังประชดประชันล้อเลียนกลับเล็กน้อย ทว่าก็แอบแฝงด้วยความห่วงใยที่สังเกตุเห็นบาดแผลและพูดเตือนขึ้นก่อนใคร ในขณะที่เฟลิเซียนั้นยังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับบาดแผลเลย ทว่าดูเหมือนนางจะไม่สังเกตุมากกว่าไม่ห่วงใยเสียมากกว่า
"ข้ามันอึด ไม่ต้องห่วงข้าหรอก" อานาทาสตอบกลับไปก่อนจะเดินต่อ อเล็กซ่าที่เห็นดังนั้นก็ยิ้มขบขันเล็กน้อยก่อนจะเดินนำไปราวกับว่านางคือหัวหน้า "ไปกัน.. มีงานให้ทำอีกเยอะ"
_______________
The Infamous "Arnatas The Silver Wolf"
|
|
|
Post by jussaateen on Jun 30, 2017 12:23:58 GMT
__________
"ปัง ๆๆๆๆๆ !" "ตู้ม !" "อ้า !"
เสียงของการต่อสู้บนสมรภูมิรบอันดุเดือดของทหารในชุดสีดำและเขียวแก่ สนามรบอันเดือดดาลที่ดำเนินมาได้เป็นชั่วโมง กองศพทหารและซากปรักหักพังจากสงครามที่มากมายเหลือหลาย เสียงกระสุนปืน เสียงระเบิดและเสียงร้องของชายชาติทหารด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลกระสุนปืน เลือดที่ไหลซึมไปทั่วกองศพทหารนับพัน หนูสกปรกที่พากันวิ่งแตกตื่นในขณะที่มันจะกัดกินศพเน่า ๆ เสียงของดินและฝีเท้ากระทบกับผืนดินด้วยแรงวิ่งกระทืบของทหารและแรงระเบิดที่ทำให้ดิน และร่างของทหารกระจัดกระจายไปทั่ว
ทหารนาซีค่อย ๆ คลาดถอยออกมาตามสมรภูมิ วิ่งเข้าหลบตามเศษซากตึก เศษซากบ้านเรือนที่พอจะหลบกระสุนได้พักหนึ่งแล้วจึงค่อยวิ่งต่อไป ในขณะที่ทหารฝ่ายปกปักษ์ก็ยังคงลั่นไกปืนยิงสาดกระสุนใส่เพื่อหวังจะสังหารนาซีทุก ๆ ชีวิตที่เขาเห็น
"หนีเข้าไปในป่า !" ทหารคนหนึ่งสั่งตะโกนขึ้นด้วยสุดเสียง ในขณะที่เขากำลังแบกปืนวิ่งหนีกระสุนที่กำลังถูกสาดเข้ามา "เครื่องบินรบ ! เก้านาฬิกา !" เสียงของทหารจากอีกฟากหนึ่งตะโกนเตือนทหารคนอื่น ๆ ขึ้นมา "หาที่หลบเร็ว !" ทหารคนหนึ่งลั่นวาจาขึ้นมาก่อนจะรีบสไลด์ลงพื้น เข้าไปหลบใต้พื้นอิฐ ในขณะที่ทหารคนอื่น ๆ กำลังจดจ้องมองสายตาขึ้นไปบนฟ้าในขณะที่กำลังวิ่งอยู๋
เครื่องบินบรรจุระเบิดนับสิบลำค่อย ๆ บินมาพร้อมกับปล่อยระเบิดลงมายังพื้นดิน ในขณะที่กำลังกราดกระสุนลงมาจากฟากฟ้า ราวกับอินทรีที่กำลังโฉย สังหารเหยื่ออย่างน่าเวทนาในขณะที่คนอื่น ๆ ทำได้แค่หลบรอมันบินผ่านไปแล้วจึงค่อยวิ่งต่อ
"ตู้ม !" "โครม !" เศษดินและเลือด ร่างกายที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นดินอย่างน่าหวาดกลัวต่อหน้าต่อตาเพื่อนสหายรบด้วยกันในขณะที่เครื่องบินรบค่อย ๆ บินตลบออกไป
"แมร่งเอ้ย !" ทหารที่หลบอยู่ใต้พื้นอิฐค่อย ๆ คลานออกมาก็พบกับไส้ทหารและหน้าอันสยดสยองกำลังหันมาทางเขา ตัวทหารสบถขึ้นมาพร้อมกับเบนหน้าออกจากภาพและกลิ่นอันเหม็นคาว และค่อย ๆคลานหักออกไปทางอื่นในขณะที่สายตากำลังขยับไปยังทุกทิศทางเนื่องด้วยความไม่ไว้วางใจว่าอะไรจะออกมาอีก
"ถึงคราวล้างแค้นแล้วเปลี่ยน" "รับทราบ เบเฮมอทวัน" กองรบเครื่องบินของทัพนาซีค่อย ๆ บินโถมเข้ามานับร้อยลำ เปิดฉากยิงเครื่องบินกลางอากาศของอีกฝ่ายในทันทีโดยมิให้ตั้งตัว
"ปัง ๆๆๆ !" "แกรก ๆ !" "ตู้ม !" เครื่องบินรบของอีกฝ่ายถูกยิงร่วงตกลงมาทับซากปรักหักพังหนึ่งที่เต็มไปด้วยทหารของฝ่ายสัมพันธมิตร
ทหารนาซีในระแวกนั้นเมื่อเห็นดังนั้นจึงต่างพากันวิ่งโถมเข้าไปยิงซ้ำเติมเหล่าทหารสัมพันธมิตรที่กำลังวิ่งออกจากเศษซากตึกที่พังทลายลงมา เพื่อความอยู่รอดของตนเองและความหวาดกลัวว่าตนจะถูกคนเหล่านี้สังหาร จึงต้องชิงปลดชีวิตลงก่อน
เครื่องบินรบมากมายตกลงมานับสิบคำลงสู่พื้นดิน ฆ๋าชีวิตทหารทั้งสองฝ่าย การต่อสู้ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยหยดเหงื่อและซากศพของทหาร ทุก ๆ ชีวิตถูกส่งลงมาให้ตายเล่นราวกับเป็นหมากรุก กองรถถังนาซีค่อย ๆ ล่าถอยกลับมาในขณะที่ทหารนาซีกำลังถูกบีบล้อมจำนวน แม้จะมีเครื่องบินรบแต่ก็มิได้ช่วยอะไรมากนัก
"จ่าเฮสเซน !" "จ่าเฮสเซน !" เสียงเรียกของทหารที่กำลังวิ่งแล่นไปมากลางสนามรบ มีคนหนึ่งเรียกขานหาชายผู้ถูกเรียกว่าจ่าเฮสเซนซึ่งกำลังอยู่ในรถถังคอยสั่งการให้รถถังเดินหน้าอยู๋ เมื่อนั้นเองประตูรถถังด้านบนก็ถูกเปิดออกมาในขณะที่รถถังกำลังขับเคลื่อนตรงไปข้างหน้า ชายผมสีทองเงยหน้าขึ้น โผล่ออกมาจากรถถังและมองไปหาทหารที่กำลังวิ่งตามรถถังอยู่พร้อมกับอาวุธปืนแบกบนมือทั้งสองข้าง
"คอยอยู่ในบริเวญโบสถ์ ! ถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุดในขณะที่ทหารคนอื่น ๆ กำลังเข้าไปในป่า คำสั่งจากผู้บังคับบัญชาครับ !" เขาตะโกนพูดกับชายผมสีทองขึ้้น เมื่อนั้นจ่าเฮสเซนก็มองตรงไปด้านหน้า เห็นดินโคลนสีดำมืด และทหารนาซีหน้าเต็มไปด้วยโ๕ลนกำลังวิ่งหนีออกมาราวกับกำลังหนีออกจากขุมนรก เขามองตรงไปด้วยสีหน้าที่แฝงด้วยความกังวลทว่าก็ยังเข้มแข็ง ก่อนที่ตัวเขาจะลั่นวาจาออกมา
"จะบอกว่าให้พวกของฉันเป็นตัวล่อถ่วงเวลาอย่างนั้นหรือ?" "อีกประมาณสิบนาทีกำลังเสริมกำลังจะมา จนถึงตอนนั้น คุณ กองรบรถถังและกำลังพลสำรองอีกไม่มากกว่าหนึ่งพันนายได้ พร้อมกับกองบินรบจะต้องคอยถ่วงเวลาเอาไว้ก่อนครับ" ทหารคนนั้นตอบกลับไปตามที่จดจำมาจากคำผู้บังคับบัญชาด้วยน้ำเสียงที่ฮึกเหิม
".. รับทราบ ไอ้หนู" เขาตอบกลับไปสั้น ๆ ห้วน ๆ ราวกับไม่ชอบกับคำตอบนั้นนัก ก่อนจะกลับลงไปยังภายในรถถังพร้อมกับปิดประตูลง
ตัวพลทหารคนนั้นยืนจดจ้องมองไปที่รถถังกำลังขับเคลื่อนตรงไปยังบริเวญลานเศษซากโบสถ์ที่พังทลายลงไปแล้วไม่น้อย โดยนอกจากรถถังของจ่าเฮสเซนหนึ่งคันก็มีทหารตามมาประมาณร้อยคนเห็นจะได้ ในบริเวญนั้น ตัวทหารนาซีที่ตั้งหลักปกป้องฐานเดิมเหลืออยู่เพียงแค่สิบกว่าคนได้โดยมีบาดเจ็บไม่ต่ำกว่าสามคน สภาพขอวแต่ละคนสะบักสะบอมไปทั้งตัว แววตาที่แน่นิ่งกับมือที่สั่นไปหมด ตัวทหารที่กำลังวิ่งตามเข้ามาช่วย เมื่อเห็นภาพของทหารหลบหลังกำแพงรั้วโบสถ์ดังนั้นจึงหดหู่ตามเล็กน้อย
"จัดการมัน !" "ขว้างระเบิดไปแล้ว !" เสียงของกลุ่มทหารตะโกนแจ้งให้สัญญาณกัน เมื่อนั้นทหารหนึ่งคนวิ่งออกมายังที่โล่งพร้อมดึงสลักระเบิดออกมา เขาจัดการปาตรงไปเบื้องหน้าในทันทีทันใด โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น
"ระวัง !" เสียงของทหารฝ่ายัสมพันธมิตรในระแวกนั้นตะโกนหาเพื่อนพ้องด้วยกัน ดังกระหึ่มที่แม้แต่ฝ่ายนาซีก็ยังได้ยิน "ตู้ม !" เสียงของระเบิดดังขึ้นมาอีกคราวหนึ่งจนคุ้นหูของทหารทุก ๆ คนไปแล้ว
"ศัตรูปืนใหญ่ที่สิบนาฬิกา ! รถถังขนาดเล็กสองนาฬิกา" จ่าเฮสเซนตะโกนสั่งพลปืนด้านในรถถังขึ้นมาหลังจากที่เขายื่นกล้องส่องทางไกลมองดู เมื่อนั้นทหารผมสีทองใบหน้าคล้ายคลึงก็หันกระบอกปืนไปตามทิศทางโดยเร็วและจัดการลั่นปืนกลในทันที ในขณะที่ทหารที่คุมปืนใหญ่รถถังหันกระบอกปืน ยิงศัตรูอีกด้านหนึ่งสกัดรถถังขนาดเล็กอีกฝ่ายที่กำลังเข้ามาเอาไว้
"ปัง ๆๆๆๆๆๆ !" "ปัง !!"
"เก่งมาก โจเอล.. นายด้วย เฮอร์แมน" จ่าเฮสเซนชื่นชมทหารทั้งสองขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม "ขอบคุณครับ จ่าเฮสเซน!" ชายหนุ่มผมสีดำตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มขยันขันแข็ง แววตาที่เต็มไปด้วยความเต็มเปี่ยม ภาคภูมิ "ครับ พี่" ชายนามเฮอร์แมนตอนกลับไปอย่างเฉยชา มิได้หันกลับมายิ้มหรือสิ่งใด เขามองตรงไปด้านหน้าและสาดกระสุนใส่ศัตรูต่อไปราวกับไม่สนใจคำชมนั้น ๆ ซึ่งนั่นทำให้โจเอลแอบหัวเราะตลก ๆ ออกมา
"อย่าทำเป็นเท่ห์ ๆ หน่อยเลยน่า ! เฮอร์แมน.." "คราวนี้ฉันจะโชว์ให้นายเห็นเอง ว่าวีรบุรุษสงครามน่ะมันเป็นยังไง !" โจเอลพูดอย่างกระตือรือร้นต่อเฮอร์แมน "เอาที่แกสบายใจเลย" เฮอร์แมนตอบกลับไปเบา ๆ ด้วยท่าทางที่ไม่ถูกชะตานัก ซึ่งแทนที่จะทำให้โจเอลโมโหกลับกลายเป็นการเติมฟืนเขาเสียมากกว่า
การต่อสู้ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ รถถังของจ่าเฮสเซนขับเคลื่อนมาหยุดใกล้ ๆ เศษซากโบสถ์พอดี ตัวเฮสเซนส่องปืนสไนเปอร์ไรเฟิลของเขาออกมา ส่องมองไปทั่วทุกทิศทาง และยิงใส่พลซุ่มยิงของศัตรูทันทีที่เห็น ในขณะที่ทหารนายอื่น ๆ กำลังหลบอยู่ใต้เศษซากตึก และยิงศัตรูจากอาณัติบริเวณนั้น พร้อมกับเอาชีวิตรอดให้นานที่สุด มิให้ตนเองต้องถูกฝังลงลึกจากใต้ดินไปสี่หรือห้าเมตร
"เครื่องบินรบกำลังเลี้ยวกลับมาสองลำ !" "คอยดูซะ ไอพวกสัมพันธมิตร !" โจเอลยิ้มหัวเราะในขณะที่เล็งกระบอกปืนใหญ่รถถังขึ้นฟ้าในขณะที่เครื่องบินรบค่อย บินเข้ามาหาบริเวญที่ลำกล้องเล็งขึ้นไปด้านบน
"เดี๋ยว ๆ จะทำอะไรน่ะ โจเอ-" "หนึ่ง สอง!" "ปัง !" โจเอลยิงกระสุนปืนใหญ่รถถังขึ้นสู่ฟากนภาราวกับคนบ้า ตัวจ่าเฮสเซนที่เตือนไม่ทันเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ในขณะที่โจเอลยังคงมองวิถีกระสุนปืนใหญ่นั้นกำลังเลี้ยวเข้าหาเครื่องบิน ทว่าเครื่องบินลำนั้นบินผ่านกระสุนปืนใหญ่ไป โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ตู้ม !" เครื่องบินลำที่สองถูกกระสุนปืนใหญ่เข้าไปจัง ๆ โจเอลและจ่าเฮสเซนเห็นดังนั้นต่างก็ลุกขึ้นยืนตาเบิกกว้างด้วยความตกใจในขณะที่เฮอร์แมนยังคงตั้งใจสังหารศัตรูบนพื้นราบไปให้มากที่สุดด้วยกระสุนทั้งหมดที่มีอยู่บรรจุในปืนกล
เครื่องบินค่อย ๆ บินร่วงตกลงมาหาบริเวญรถถัง เมื่อนั้นจ่าเฮสเซนหันไปสั่งการพลทหารที่คอยขับเครื่องยนต์ในทันที
"พาไอเหล็กนี่ถอยไปที !" "หวืด !" เสียงเครื่องบิน บินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วและใกล้ชิด "โครม !" ตัวรถถังถอยออกมาได้ทัน เครื่องบินรบปักลงไปกับพื้น ปั่นเศษดินขึ้นสู่ฟ้าในขณะที่ไฟกำลังลุกโชนเครื่องบิน ตัวจ่าเฮสเซนและทหารคนอื่น ๆ ที่รอดมาได้ทันก็ถอนหายใจออกมาอย่างเฉียดฉิว
"วู้.. เกือบตายแล้วไง เรา" โจเอลหันกลับมาหาจ่าเฮสเซนด้วยรอยยิ้มขบขัน "อย่าทำเรื่องเวอร์ ๆ แบบนั้นอีก ฉันขอล่ะ" เขาตอบกลับไปพร้อมกับเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าของตนเอง
เฮอร์แมนก็หันกลับมามองทั้งสองที่กำลังสนทนาอยู๋ด้วยใบหน้าที่แน่นิ่ง และจริงจัง สีหน้าของเขาไม่ชอบกับการทำงานของพวกเขาแต่อย่างใด ทว่ารอยยิ้มกลับแอบผุดออกมาจากใบหน้า ที่เห็นพี่ชายของเขา ฮานส์ เฮสเซน นั้นกำลังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามากกว่าเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในปัจจุบัน
ตัวเฮอร์แมนหันกลับมายังด้านหน้าของเขาดังเดิม มือทั้งสองจับกระบอกปืน หลังจากสมรภูมิรบในวันนี้ เขาจะขอโทษพี่ชายของเขาถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อนที่เขาทอดทิ้งพี่ชายของตนในงานศพของแม่ของพวกเขา ในตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ตัวเฮอร์แมนคิดขึ้นในขณะที่ค่อย ๆ หุบรอยยิ้มของเขาและพริบตาชั่วขณะหนึ่ง
"เครื่องบินทิ้งระเบิด !" "ระวัง !!" "แอดด !!"
"ตู้ม !!!"
ทุก ๆ อย่างกลายเป็นสีดำมืดหลังวาจานั้น เสียงของเปลวไฟดังกึกก้องไปทั่วหูทั้งสองในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างของเฮอร์แมนปิดลง พร้อมสติที่กำลังพร่ามัว มีบางอย่างค่อย ๆ ดึงตัวเขาออกมาในขณะที่เสียงของชายคนหนึ่งดังไปทั่วหัวของเขาเป็นคำสุดท้ายก่อนจะหมดสติลง
"เฮอร์แมน.. เฮอร์แมน !- แค่ก! แค่ก!" "ทำใจดี ๆ เอาไว้นะ ! ทำใจดี ๆ เอาไว้-!"
"แค่ก ! แค่ก !"
ตัวเฮอร์แมนสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความเจ็บปวด ความร้อนและความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันเมื่อครู่ก่อน ตัวเขามองขึ้นไปบนเพดานสีขาวอันสงบนิ่ง ตัวเขาสูดหายใจหืดหาดออกมาเสียงดังและถี่ถ้วนราวกับกำลังกอบโกยเอาออกซิเจนไปเลี้ยงชีวิตที่กำลังจะดับสูญของเขา ในขณะที่พยายามตั้งสติของตนเอาไว้ไม่ให้แตกตื่นจนเกินตัว เพราะจากลักษณะตอนนี้ตัวเขาคงจะปลอดภัยแล้ว และที่นี่คงจะเป็นบริเวญสถานที่ลับสักแห่งของนาซีในแถบนี้ ซึ่งหากให้เดาก็คงจะเป็นศูนย์วิจัยของกองวิทยาศาสตร์ของ เออร์วิน เฟอร์เดริค ฮิมเลอร์
เมื่อเฮอร์แมนตั้งสติได้ จึงค่อย ๆ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เขามองเห็นทหารนาซีมากมายกำลังนอนบาดเจ็บในแถบเดียวกับเขา พร้อมกับคนอื่น ๆ ที่กำลังเดินว่อนไปทั่ว ไปส่งเอกสาร หรือไปทำอะไรอยู่หลายต่อหลายคนอยู่ เฮอร์แมนพยายามจะลุกขึ้นมาหากทว่า เขากลับไม่รู้สึกถึงร่างกายของเขาเลย เขารู้สึกชาไปทั้งตัวจากผลของยาชาที่พึ่งถูกฉีดเข้าไปในร่างกายเมื่อหลายสิบนาทีก่อน
เฮอร์แมนจรดสายตามองลงไปด้านล่าง ตั้งแต่ปลายเท้าของเขาจนถึงบริเวญหัวไหล่ขวาของเขานั้นถูกพันด้วยผ้าพันแผลนับหลายต่อหลายชั้น เขาพอจะมองเห็นสีของเลือดสีแดงซึมออกมาเล็กน้อยจากผ้าพันแผลเหล่านี้ ตัวเฮอร์แมนที่เห็นดังนั้นก็แอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ทว่าไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งเขาเหลือบเห็นชายที่นอนอยู่บนเตียงทหารบาดเจ็บข้าง ๆ เขา
ฮานส์ เฮสเซน นอนแขนตกลงมาจากเตียงไปทางเฮอร์แมน สายตาที่จรดสายตามองไปบนเพดานโดยไม่กะพริบตาแต่อย่างใดพร้อมรอยยิ้มที่กำลังมีความสุขหยุดนิ่งไปหาเฮอร์แมน ตัวเฮอร์แมนที่เห็นดังนั้นก็แอบตกใจเล็กน้อยถึงความกะทันหัน ก่อนที่เฮอร์แมนจะพูดขึ้นมาด้วยความกังวลเป็นห่วง
"พี่.. เป็นไงบ้าง.. " เสียงอันแผ่วเบาดังออกมาจากปากของเฮอร์แมน ในขณะที่เฮอร์แมนมองออกไป "..." ทว่ากลับไร้ซึ่งวาจาใดตอบกลับมา ตัวฮานส์ยังคงมองนิ่งมองไปทางเพดานโดยไม่กะพริบตาใด ๆ
"แล้ว.. คนอื่น ๆ ล่ะ" เฮอร์แมนยังมิได้หันกลับมาหาพี่ชายของเขา เขาถามขึ้นมาอีกคราวหนึ่งพร้อมรอยยิ้มที่แอบโล่งใจทีหลังว่าพี่ชายของเขายังมีชีวิตอยู่ "..." ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงใดตอบกลับมาหลังจากหลายนาทีที่เฮอร์แมนรอคำตอบ
ตัวเฮอร์แมนหันกลับมาหาพี่ชายของเขาด้วยความงุนงง ตัวพี่ชายของเขายังคงนอนนิ่งในท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สายตาจรดไปบนเพดานสีขาว รอยยิ้มที่เปิดกว้างค้างเอาไว้อย่างน่าสยดสยอง ส่วนมือของฮานส์นั้นก็ไม่ได้ขยับอะไรเลย ราวกับว่าฮานส์นั้นกำลังพักผ่อนไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ทั้งนั้น ทว่าการจะนอนพักผ่อนโดยยิ้มและเปิดตาทิ้งไว้นั้นเป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก เฮอร์แมนที่เห็นพี่ชายของเขาแน่นิ่งดังนั้นจึงค่อย ๆ เอื้อมมือซ้ายของเขาไปหาพี่ชายของตนเอง เขายืดแขนไปหาจนตรึง มือเหยียดถึงมือของฮานส์ที่ห้อยตกลงมาจากเตียง เมื่อนั้นเฮอร์แมนก็พยายามเขย่าเรียกสติพี่ชายของเขาให้พูดคุยกับตัวเขาหน่อย
"พี่.." ตัวฮานส์หน้าหันออกมาทางเฮอร์แมนจากแรงเขย่า
ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกเปลวไฟครอบจนเละ ส่วนหนึ่งของเปลวเพลิงเผาจนเห็นสีขาวของกระโหลกที่ผุดออกมาบริเวญปากด้านที่เปลวเพลิงมอดไหม้ใบหน้าอันหล่อเหลาของฮานส์ ตัวฮานส์ที่เห็นใบหน้าที่เละเช่นนั้นและเห็นว่าแม้เขาจะเขย่าแค่ใดพี่เขาก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ เลย ดวงตาที่จรดสายตามาทางเฮอร์แมนโดยไม่กะพริบตาใด ๆ ทำให้เฮอร์แมนเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา น้ำตาเริ่มคลอออกมาจากเบ้าตาเล็กน้อย
"พ.. พี่" ตัวเฮอร์แมนพยายามเรียกหาพี่เขาอีกครั้งหนึ่งในขณะที่เขย่าแขนของพี่ชายของตนเองแรงขึ้น
พี่ชายของเขายังคงนอนเช่นเดิม ราวกับเสียงเรียกของเฮอร์แมนนั้นสูญเปล่า น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้งในขณะที่เสียงของเฮอร์แมนเริ่มจะเปลี่ยนไป เปี่ยมไปด้วยความโศกที่เริ่มออกมาหลังจากเฮอร์แมนรู้แล้วว่าสาเหตุใดพี่ชายของเขาจึงยังคงเป็นเช่นนี้ได้ ทว่าจตัวเขาเลือกที่จะไม่ยอมรับมันและเรียกหาพี่ชายเขาต่อไป เพราะเขาไม่ต้องการเช่นนี้ เขาไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ของพี่ชายของเขาและตัวเขาเองจะต้องจบลงเช่นนี้
"ได้โปรดพี่... อย่ามาล้อเล่นแบบนี้" หากนี่เป็นการกลั่นแกล้ง มันก็คงจะเกินไปแล้ว เสียงของเฮอร์แมนเริ่มจะดังขึ้นมาเล็กน้อยในขณะที่ดวงตาของเฮอร์แมนเริ่มจะเล็กลง ใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำไปทั่ว แววตาที่เต็มไปด้วยของเหลวแห่งความเศร้าเริ่มที่จะไหลออกมาทีละนิด ทีละนิด "พี่ !... พี่ !.." เฮอร์แมนกระตุกแขนของพี่เขา ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตัวเฮอร์แมนร้องไห้ออกมา เขาเริ่มส่ายหน้าออกมาเล็กน้อยในขณะที่ร้องไห้ เขาปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงที่ไหลเข้าหัวเขาราวกับน้ำท่วม
"ตื่นสิ ! ตื่น !... ได้โปรดตื่น !.." "พี่.. ผม.. ผมขอโทษ !... ผมขอโทษจริง ๆ ผม..-" เฮอร์แมนเบนหน้าหนีออกในขณะที่ร้องห่มร้องไห้ออกมาราวกับเด็กน้อย
ตัวเขาต้องการจะขอโทษกับพี่ชายของเขา ต้องการจะขอโทษที่มิได้อยู่กับเขาในช่วงเวลาที่ทั้งสองต้องการจะอยู่ด้วยกันที่สุด ขอโทษที่มิได้ไปร่วมงานศพของพ่อและแม่ ขอโทษทุก ๆ ความผิดที่เขาพึงกระทำ ทว่ากลับกลายเป็นว่าคำขอโทษเหล่านั้นไม่สามารถส่งถึงพี่ชายของเขาได้อีกต่อไป
"อยู่กับผม ! .. อย่าพึ่งไป ! .. ไม่เอาตอนนี้ !.. พี่ !!" เฮอร์แมนเรียกหาพี่ชายของเขาเสียงดัง ใบหน้าที่ยิ้มแย้มหาเฮอร์แมนราวกับกลั่นแกล้งน้องชายของเขาเป็นคราวสุดท้าย "ตรงนั้นมี-.." "รีบตามแพทย์มาเร็ว ! พบคนไข้ฉุกเฉิน !"
เฮอร์แมนยังคงร้องไห้ออกมาเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดยั้ง ในขณะที่ตัวเอื้อมมือคว้ามือของพี่ชายเขาเอาไว้ กำมันแน่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้พี่ชายของเขาไป ไม่ใช่ในตอนนี้ จนกว่าพี่ชายของเขาจะตอบว่า 'ไม่เป็นไร พี่ให้อภัย' กับเขา เขาจะไม่ปล่อยไปแน่
"กำลังพาจ่าฮานส์ เฮสเซนไปโซนตะวันตก เปลี่ยน" ตัวแพทย์คนหนึ่งเดินตรงเข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมทหารอีกสองคน ก่อนที่พวกเขาจะดันเตียงไข้ที่พี่ชายเฮอร์แมนนอนอยู่ออกไป มือของทั้งสองหลุดพรากออกจากกัน มือของเฮอร์แมนคว้าจี้ทหารของพี่ชายเขาที่อยู่บนมือของพี่ชายเขาไว้ได้ ตัวเฮอร์แมนที่กำมันเอาไว้ก็เอื้อมมือไปหาพี่ชายของเขาที่กำลังถูกเหล่าทหารพาออกไปรักษาโดยด่วน เขาอ้าปากกว้างตะโกนลั่นออกมาในขณะที่น้ำตาคลอตกลงมาจากคางของเขา
"ไม่ !!!... ไม่ !!!-" เฮอร์แมนร้องลั่นออกมา ทหารเหล่านั้นมิได้หันกลับมา แต่เปลี่ยนเป็นรีบเร่งพาออกไปให้เร็วที่สุดเพื่อรักษาชีวิตนายทหารคนนี้ที่จู่ ๆ ชีพจรก็หยุดลง พวกเขาจะลองช่วยเหลือ รักษาดู อย่างน้อย ปาฏิหารย์อาจจะช่วยชีวิตชายคนนี้ไว้ได้
"พระเจ้าได้โปรด.. ได้โปรดเมตตาด้วย !-" "ได้โปรดช่วยพี่ชายของผมด้วย.. ได้โปรด พระเจ้า !!- ได้โปรด !.." "พาเขากลับมาที-!! เอาผมไปแทนก็ได้ ! แต่ได้โปรดเถอะ-!!..." เฮอร์แมนผู้ที่ไม่เคยศรัทธาในพระเจ้ายอมที่จะเลื่อมใสครั้งเดียว เพื่ออ้อนวอนขอพระเจ้าองค์ใดก็ได้ ให้ช่วยชีวิตพี่ชายของเขาไว้ที เขาจรดวางมือซ้ายไว้บนหน้าผากและหลับตาลงในขณะที่น้ำตานั้นยังไม่มีทีท่าจะหยุดไหลลงมาจากดวงตาทั้งสอง
ความเงียบเข้าครอบงำหูทั้งสองข้างของเฮอร์แมน หลังจากนอนหลายนาทีจากการภาวนาในใจของเขา เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นเพียงเพดานสีขาวอันสงบเงียบ แทนที่มันจะช่วยให้เขาผ่อนคลายมันกลับทำให้เฮอร์แมนบ้าคลั่ง ราวกับพระเจ้ากำลังเย้ยหยันความผิดพลาดของเขา ความผิดพลาดที่จะขอโทษพี่ชายของเขาไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เข้าไปในรถถังคันนั้น วินาทีแรกที่ได้
"อ้า !!!" เขาตะโกนลันออกมาเสียงดัง จากความโศกเศร้ากลายเป็นความโกรธแค้น เส้นเลือดผุดออกจากใบหน้าในขณะที่น้ำตาหายไปจากดวงตาทั้งสองข้าง "ไอควย !! ไอควย !!"
"ไอพระเจ้าเฮงซวย !!! ไอเหี้ย !!!.." เฮอร์แมนสบถด่าพระเจ้าออกมาจากปากของเขา ในขณะที่แขนซ้ายของเขาทุบตีเตียงของเขาเองอย่างบ้าคลั่งด้วยความพิโรธในจิตใจของเขา เขาด่าทอพระเจ้าที่เงียบใส่เชาและมิได้ตอบกลับใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเย้ยหยันเขาด้วยความเงียบงันที่นานราวกับวันหนึ่ง เฮอร์แมนยังคงร้องออกมาเรื่อย ๆ ตัวเขากรีดร้องออกมา ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าเลย ตัวเขาในตอนนี้
"ไอบ้าเอ้ย ! .. บ้า ! บ้า ! บ้า !" "บ้า ๆๆๆๆๆๆ !!" เฮอร์แมนเบนหน้หนีออกและปิดตาลง เขาไม่ต้องการจะทนอยู่กับความจริงเฮงซวยนี่อีกต่อไป แม้แต่ขยับตัวลุกขึ้นออกจากเตียงยังทำไม่ได้ในตอนนี้ มันเป็นความน่าเวทนาอันน่าเจ็บปวด ตัวเขาเริ่มจะหัวเราะออกมาเล็กน้อยจากความน่าสังเวชของเขา ในขณะที่หัวของเขากำลังปั่นป่วนไปด้วยคำว่า น่าผิดหวัง และ น่าขบขัน
"ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ !" "ฮ่า ๆๆๆๆๆ..." "ฮ่า ๆๆๆๆ.."
"ฮ่า ๆๆ..." "ฮ่า...." "..........." และมันก็จบลงด้วยความเงียบงัน
_______________
A C T 1 " T H E H A U N T E D P A S T "
" T H E T I G E R A C E "
H E R M A N N H E S S E N
|
|
|
Post by jussaateen on Jul 2, 2017 14:33:56 GMT
_______________
"ได้โปรดเถอะ.. ข้าไม่ได้ทำจริง ๆนะ !" "ช้า-.. อ้า ! ได้โปรดเถอะ ข้าไม่ได้ทำ ! ข้าไม่ได้ทำ !!" "ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ !! ได้โปรดเถอะ อย- อย่า ! อย่า !!!"
"อ้า-!!!!" "ปัง !" "..."
เสียงร้องของชายคนหนึ่งกำลงร้องขอชีวิตดังกระหึ่มโหนหวนออกมาจากภายในบ้าน คฤหาศน์หรูหลังหนึ่งในยามค่ำคืน เขากรีดร้องด้วยความหวาดกลัวขอชีวิต ขอความเมตตาจากใครบางคนก่อนที่จะมีเสียงปืนเพียงนัดเดียวที่ดังและรวดเร็วจนน่าตกใจ ที่ทำให้ทุก ๆ อย่างรวมถึงเสียงที่ร้องออกมานั้นนิ่งเงียบไปไร้วี่แววที่จะมีเสียงอื่นออกมาอีกแต่อย่างใด
ชายสวมชุดคลุมสีดำปิดบังใบหน้าของตนเองกำลังยืนพิงกำแพงบ้านอยู่ตัวตรงแะเป็นระเบียบ เดาได้ไม่ยากว่าเป็นทหารกำลังยืนรอบุคคลคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านหลังนี้ หรือการกระทำอื่น ๆ ที่จะเป็นสัญญาณให้เขาเตรียมทำสิ่งต่อไป แววตาของชายคนนั้นแน่นิ่ง ดวงตาสีฟ้าดูไร้ซึ่งอารมณ์ไม่มีการกระพริบตาใด ๆ และท่าทางการยืนตัวตรงของเขานั้นทำให้เขาดูเหมือนกับข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีเอามาก ๆ
เมื่อนั้นเองประตูคฤหาศน์ก็ถูกเปิดออกอย่างแง้ม ๆ เล็กน้อย ตัวชายในชุดดำเมื่อเห็นดังนั้นจึงถอยออกมาพร้อมกับดึงหมวกคลุมใบหน้าของเขาออกมา เผยให้เห็นผู้บัญชาการกองจู่โจมที่หนึ่งแห่งกองทัพอีซาน มือขวาของท่านผู้นำแห่งทัพนาซีและเมืองเนฟออสนาร์ เออร์วิน เฟอร์เดริค ฮิมเลอร์
เขาคือ เฮอร์แมน เฮสเซน
"เป็นอย่างไรบ้าง ไคเน่.." เฮอร์แมนกล่าวถึงนามของบุคคลคนหนึ่งด้านหลังประตูบานนั้นขึ้นมา เมื่อนั้นเองเสียงถอนหายใจของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังออกมาอย่างแผ่วเบาด้านหลังประตูบานนั้น "มันบอกว่ามันไม่ได้ทำ" เสียงอันดูเลือดเย็นดังออกมาจากหญิงสาวด้านหลังประตู เฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนท่ามายืนกอดอกโดยมิได้เปลี่ยนสีหน้านัก เขาจรดสายตามองลงไปกับพื้น เพื่อครุ่นคิดว่าใครกันแน่กระทำการขโมยข้อมูลของพวกเขาไป "หึ.." เฮอร์แมนยิ้มมุมปากชื่นชมผู้ที่อยู่เบื้องหลังสิงนี้ ชื่มชมถึงความชาญฉลาดและความรอบคอบที่ทำให้หลุดจากมือเฮอร์แมนไปได้
"ได้ข้อมูลอะไรที่น่าจะช่วยมั้ย?" เฮอร์แมนถามขึ้นต่อ ก่อนจะค่อย ๆ เดินออกมาจากประตูเล็กน้อยประมาณก้าวสองก้าว
เมื่อนั้นเองบานประตูก็ถูกเปิดออก ด้านหลังประตูนั้นคือหญิงสาวผมสีขาวราวกับหิมะในชุดหนังสัตว์ของนักล่ามืออาชีพที่เปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงเต็มไปหมด หญิงสาวดึงผ้าสีขาวขึ้นมาและเช็ดรอยเลือดออกจากใบหน้าของนางและหมวกติดขนนกบนหัวของนางเล็กน้อยด้วยท่าทางที่ดูเบื่อหน่ายกับการที่นางต้องทำเช่นนี้ตลอด คอยขัดรอยเลือดของเหยื่อที่นางสังหารทุก ๆ ครั้งมา นี่คงจะเป็นรอบที่หนึ่งร้อยของปีได้แล้วมั้ง นั่นคือคำพูดที่ดูเหมือนนางกำลังจะคิดอยู่จากสีหน้าของนาง
"ไม่มีค่ะ.. ท่านเฮอร์แมน" ไคเน่พูดสุภาพขึ้นในขณะที่กำลังเดินออกมาจากคฤหาศน์หลังนั้นโดยมิได้ปิดประตูแต่อย่างใด
หญิงสาวนามไคเน่นั้นเป็นหนึ่งในมือสังหารของทัพอีซานที่เลื่องลือ นางถูกฝึกฝนโดยท่านผู้นำเออร์วิน เฟอร์เดริค ฮิมเลอร์เองกับมือและถูกส่งมาให้ทำงานให้กับตัวเฮอร์แมนและกองจู่โจมของเขา คอยสังหารผู้มีวี่แววจะทรยศจักรวรรดิอีซาน และสังหารผู้นำของอีกอาณาจักรให้ได้ในทันทีที่มีโอกาส
ไคเน่จัดการสะบัดดาบสองคมของนางลงกับพื้นเพื่อให้เลือดนั้นกระเด็นออกจากดาบ ส่วนมืออีกข้างก็กำลังเก็บปืนไรเฟิลยาวพาดไว้ที่ด้านหลังอยู่ นางเดินผ่านตัวเฮอร์แมนไปก่อนจะหยุดลงชั่วขณะเมื่อเห็นถึงภาพตรงหน้าของนางด้วยความตกใจเล็กน้อย
ทหารเก้าถึงสิบคนในชุดเครื่องแบบนาซีกำลังเดินออกจากคฤหาศน์ผ่านทางประตูใหญ่ ศพของทหารอัศวินนับร้อยคนถูกฆ่าทิ้งเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้นหญ้า เกราะเหล้กถูกกระสุนนับสิบยิงทะลุร่างจนขาดพรุน สีหน้าของทหารที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวแม้จะสิ้นใจลงแล้ว แม้นางจะรู้ถึงพลานุภาพของอาวุธแห่งอีซานที่นางรับใช้อยู่ รู้ถึงทัพแห่งนาซีที่มีชื่อเสียงว่าไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับศึกใดในโดเรียร์แห่งนี้เลย แต่การที่เห็นร่องรอยจากการต่อสู้ของทหารอัศวินร้อยคนต้องพ่ายแพ้ให้กับทหารเพียงแค่สิบคนนั้นมันดูจะเกินคาดไปไม่น้อย
"เดี๋ยวฉันจะส่งเอกสารของผู้ต้องสงสัยไปให้ในเที่ยงวันพรุ่งนี้ ถึงตอนนั้นก็นอนพักผ่อนเยอะ ๆ แล้วกัน" เฮอร์แมนพูดขึ้นกับไคเน่พร้อมกับดึงบุหรี่ขึ้นมาจากใต้เสื้อของเขามาคาบเอาไว้ ก่อนจะดึงไม้ขีดไฟของเขาขึ้นมาแจะจัดการจุดมันด้วยกล่องไม้ขีดไฟ
เฮอร์แมนจัดการจุดบุหรี่ที่เขาคาบเอาไว้ในปาก ในขณะที่ยืนอยู๋ข้าง ๆ ไคเน่อยู่ราวกับไม่เกรงใจแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่จะไปยืนที่อื่นก็ได้ พื้นที่ก็มีตั้งเยอะแต่เขากลับเลือกที่จะยืนอยู่ข้าง ๆ นาง ไคเน่ค่อย ๆ เดินออกห่างจากเฮอร์แมนเล็กน้อยเพราะมิต้องการจะสูดดมควันบุหรี่ของเฮอร์แมน
"หลังสงครามจะไปทำอะไรล่ะ ไคเน่"
เฮอร์แมนดึงบุหรี่ออกมาจากปากพร้อมกับพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างสุนทรีเล็กน้อย เขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องคนอื่น ๆ ออกไปดูลาดราวว่ามีผู้เห็นเหตุการณ์ก่อนรึเปล่า ก่อนที่เขาจะเบนหน้าหนีออกจากไคเน่แล้วถามตัวนางขึ้นมาราวกับกำลังปิดบังสีหน้าของเขา เมื่อนั้นเองไคเน่ที่ได้ยินคำถามในขณะที่นางกำลังดึงดาบสองคมของนางออกมาเป็นดาบสั้นสองเล่มและจัดการเก็บมันลงไปในฝักดาบข้าง ๆ ตัวของนาง
ใบหน้าของไคเน่ทำให้เฮอร์แมนนึกถึงคนรู้จักของเขา แม้มันจะนานหลายร้อยปีแล้วแต่เขาก็ยังพอจะจำโครงได้ ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณจี้ห้อยคอที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา ภาพของหญิงสาวที่เขารักที่สุดคนหนึ่ง หญิงสาวที่ผู้ชายทุก ๆ คนต้องรัก คน ๆ นั้นคือแม่ ใบหน้าของไคเน่เหมือนกับแม่ของเขาในสมัยที่นางยังสาว ๆ ไม่รู้ทำไมแต่เมื่อเห็นหน้าของไคเน่แล้วภาพตอนเด็กจะกลับเข้ามาในหัวของเฮอร์แมนตลอด
มันเริ่มทำให้เขาคิดว่าตัวเขาเองเป็นคนที่ยึดติดกับอดีตมากจนเกินไปหรือเปล่ากัน ตั้งแต่ที่ชีวิตเขาเริ่มจะยาวเกินมนุษย์ทั่วไป หลังจากที่ได้ประสบการณ์ในการรบเกือนถึงหนึ่งร้อยปี และมิได้ทำอะไรเลยนอกจากทำงาน วางแผนการรบและฆ่าชีวิตอื่นที่เห็นต้านเขา เออร์วินและนาซี
"หลังสงครามน่ะเหรอคะ" ไคเน่ทวนคำถามของเฮอร์แมนในหัว "ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน.." ไคเน่พูดขึ้นมา นั่นทำให้เฮอร์แมนกลับมาในขณะที่บุหรี่ยังอยู่ที่มือของตนเอง
"ตัวข้าถูกสอนให้สังหารคนมาตลอดตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก.. อย่างอื่นที่ข้าเคยทำนอกจากการฆ่าก็มีเพียงแค่.." "ขโมยของเหรอ..? นั่นจะนับหรือเปล่านะ" ไคเน่นึกขึ้นมาอย่างไร้เดียงสา อาจเป็นเพราะนางถูกฝึกให้ฆ๋าคนอย่างใจเย็นและไร้ปราณีมาอย่างเดียวตั้งแต่คราวยังเป็นเด็กทำให้นางนั้นไม่ค่อยเก่งในเรื่องอื่นมากนัก
เฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นแม้ในปกติเขาควรจะนิ่งเงียบเหมือนกับหุ่นยนต์แต่คราวนี้เขากลับยิ้มหัวเราะออกมาเบา ๆ ขัดกับภาพลักษณ์ที่ลูกน้องของเขาเคยเห็นมาตลอด คงเป็นเพราะหน้าของนางเหมือนแม่ของเขาก็ได้
"มันก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกนะ" เฮอร์แมนพูดกับไคเน่ขึ้น "ไว้ฉันจะสอนอะไรอย่างอื่นให้ทำหลังสงครามจบแล้วกัน" เฮอร์แมนหันกลับมาทางไคเน่ด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร ไคเน่ที่เห็นสีหน้าดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ได้เขินอายตามหรืออะไร แค่แปลกใจกับภาพนี้ของผู้บัญขาการของนางเท่านั้น และแน่นอนคำพูดของเฮอร์แมนก็ดึงความสนใจให้ไคเน่เช่นกัน
"จริงเหรอคะ ท่าน.." ไคเน่ถามขึ้นมา สีหน้าของนางดูสนใจไม่น้อยถึงสิ่งที่เฮอร์แมนจะสอนให้หลังสงครามจบ "แน่นอน" เฮอร์แมนพูดขึ้นก่อนจะหันออกไปสูบบุหรี่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นไคเน่ที่กำลังแอบตื่นเต้นเบา ๆ ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่อง ๆ หนึ่ง
"จะว่าไป ผบ.เฮอร์แมน.." "อะไรเหรอ ไคเน่?" เฮอร์แมนหันกลับมาหาไคเน่ "หลังจบสงครามไป.. ท่านจะทำอะไรเหรอ.."
หลังจบสงครามไปจะทำอะไรน่ะเหรอ..
คำถามนี้ทวนอยู่ในหัวของเฮอร์แมนในวินาทีนั้น ในขณะที่ตัวเขายังคงยืนนิ่ง แม้คำตอบจะผุดออกมาแล้วก็ตาม แต่เมื่อเขานึกดูแล้ว ทำไมมันช่างดูน่าเบื่อเช่นนี้ล่ะ
"ก็คงจะ.. " "รับใช้ชาติต่อไปเรื่อย ๆ.."
จนกว่าตัวเฮอร์แมนจะตาย ตัวเขาคิด แต่นั่นแหละคือคำถาม
ด้วยสูตรยาพิเศษที่ทำให้ร่างกายเขาไม่มีวันเจ็บป่วยไปตามกาลเวลาอย่างน้อยก็อีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ฉะนั้นตัวเขาจะคงอยู่จนกว่าจะถูกฆ่าทิ้ง.. มันไม่ต่างอะไรกับคำว่า อมตะ เลย..
หรือนี่จะหมายความว่าตัวเขาจะต้องรับใช้นาซีไปตลอดกาลล่ะ? .. หรือนี่จะหมายความว่าเขาจะต้องเป็นตัวตนอันโหดเหี้ยมและดุดันไปตลอดอีกศตวรรษหนึ่งกัน หรือว่าเขาจะไม่มีวันหลุดออกจากห่วงโซ่นี่เลย ? คำถามที่เขาไม่เคยคิดขึ้นมาเลยตั้งแต่วันที่เขาสูญเสียพี่ชายของเขาไปได้เข้ามาในหัวของเฮอร์แมน ราวกับว่านี่เป็นจุดทางแยกบางอย่างในหัวของเขา ที่เริ่มจะทำให้เขาสับสน
เป็นทหารรับใช้ไปอีกร้อยปีหรือมากกว่านั้น.. นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุดแล้วจริงหรือ?
"ล่ะมั้ง.. "
_______________
"ก็อก! ก็อก!" เสียงเคาะประตูดังออกมาจากอีกด้านของห้อง ๆ หนึ่งที่มีทหารติดอาวุธยืนเฝ้านับสิบคนหน้าห้องอยู่ เมื่อนั้นก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังกลับเข้ามาจากภายในห้อง "เข้ามาได้ !" เสียงอันบึกบึนของชายคนหนึ่งดังออกมาจากภายในห้อง เมื่อนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้นมา เผยให้เห็นเฮอร์แมนค่อย ๆ เดินเข้ามาทีละก้าว ทีละก้าวมาหยุดอยู่ตรงกลางห้อง
ห้องมีขนาดกว้าง ผนังรอบ ๆ ทำจากไม้โอ๊คราคาแพงถูกปูด้วยพรมสีเขียวและสีแดง มีโต๊ะที่นั่งและโคมไฟอยู่หลายที่ไว้สำหรับนั่งพักผ่อนเล่น หรือพูดคุย รอบ ๆ ผนังมีภาพวาด และรูปถ่ายมากมายเรียงรายกัน ในจำนวนรูปนั้นมีภาพของชายไว้หนวดคนหนึ่งกำลังยกแขนของตนขึ้นสู่ท้องฟ้า ภาพของท่านผู้นำแห่งนาซีที่เรื่องลือก่อนที่กลุ่มเออร์วินจะหนีมายังเอลลาส ชายนาม "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์"
เฮอร์แมนเดินมาหยุดยืนตัวตรงเบื้องหน้าของโต๊ะทำงานที่มีชายคนหนึ่งกำลังมองไปที่ตู้หนังสือด้านหลังโต๊ะของเขา ชายคนนั้นค่อย ๆ ปิดหนังสือบนมือของก่อนจะเกาหัวเบา ๆ พลางพูดขึ้นมาในขณะที่เฮอร์แมนยังคงยืนตัวตรงอยู่
"ได้เรื่องอะไรบ้าง เฮอร์แมน" วาจาอันดูราวกับการข่มขวัญดังออกมาจากชายคนนั้น ตัวเฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นไม่มีท่าทีหวาดกลัวใด ๆ ราวกับเขาชินแล้วจากประสบการณ์ที่ต้องมายังห้องนี้มาหลายต่อหลายครั้งจนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้ว "เซอร์พิโก้ไม่ใช่คนปล่อยข่าวเรื่องแผนของนาง" เฮอร์แมนรายงานขึ้นมา เมื่อนั้นเองชายคนนั้นก็ค่อย ๆ หันกลับมาหาเฮอร์แมนในทันทีทันใดพร้อมกับวางหนังสือบนมือของเขาลง
"อย่างนั้นเหรอ"
ดวงตาสีน้ำตาลจดจ้องมองไปที่เฮอร์แมน ใบหน้าที่ดูมีรอยย่นราวกับคนมีอายุพร้อมรอยยิ้มทำให้เขาดูเป็นผู้ที่มีอิทธิพลและเต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ เฮอร์แมนที่เห็นดังนั้นก็ก้มหัวลงทำความเคารพให้กับชายตรงหน้าของเขาอย่างเป็นระเบียบก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายืดตัวตรงดังเดิม ชายตรงหน้าเขา คือ เออร์วิน เฟอร์เดริค ฮิมเลอร์ ผู้นำของเฮอร์แมนนั่นเอง
"ยัยแม่มดนั่นได้ด่าข้าจนปากฉีกแน่.. แต่ก็ปล่อยมันไป" เออร์วินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขบขัน ราวกับเป็นเรื่องตลกแก่เขาที่ต้องการให้เฮอร์แมนฟัง "ทำตัวตามสบาย พักตรงนั้นก่อนเลย เฮอร์แมน เชิญเลย" เมื่อนั้นเออร์วินก็ชี้ไปที่บริเวญที่นั่งโซฟาให้เฮอร์แมนไปนั่งพักผ่อนลงตรงนั้นจากการคาดเดาท่าทางของเฮอร์แมนที่ดูเหนื่อย ๆ เล็กน้อยจากการทำงานติดต่อกันทั้งวัน ตัวเฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นจึงค่อย ๆ เดินตรงไปนั่งตามที่ ๆ เออร์วินชี้บอกอย่างงุนงง นาน ๆทีเออร์วินจะให้เขามานั่งพักอย่างนี้ จึงเป็นอันแปลกตาเป็นอันธรรมดา
"ข้าไม่ได้มีส่วนร่วมของแผนนี้ด้วยซ้ำ แต่ข้าต้องมาสั่งให้ทั้งกองกำลังสืบหาผู้ที่ขโมยเอกสารของแผน พลิกเกม ของพวกนั้นเฉยเลย" "ตอนนี้พวกมันก็คงจะได้แผนแล้วล่ะ.. เจ้าพวกเอลลาสน่ะ" เออร์วินพูดขึ้นมาในขณะที่เดินลงมานั่งใกล้ ๆ กับเฮอร์แมนพร้อมกับนั่งไขว่ห้างพักผ่อนเล็กน้อย
"ได้ยินข่าวลือว่าอะไร.. เกี่ยวกับแผนนั่นน่ะ เฮอร์แมน ข้าอยากรู้" เออร์วินเอ่ยปากถามเฮอร์แมนขึ้นมา เมื่อนั้นตัวเฮอร์แมนก็ตอบกลับไปด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่ไม่ขนาดเออร์วินที่อย่างกับว่าไม่ได้พักมาเป็นปี "ผมได้ยินมาว่ามันเกี่ยวกับเมืองเอเลเนียร์.. แค่นั้นแหละครับ ท่านเออร์วิน" เฮอร์แมนตอบกลับไป เมื่อนั้นเออร์วินก็ยิ้มหัวเราะออกมาเล็กน้อย
"น่าสนใจอยู่.. แล้วพอจะรู้ผู้ต้องสงสัยมั้ย?" "ผู้ต้องสงสัยน่ะเหรอครับ.. จากผู้คนทั้งหมดที่เซอร์พิโก้เข้าพบปะพูดคุยกันก็มีแต่เพื่อนสนิทของเขา เอนนีโอ่ เดเลนี เท่านั้นแหละ ผมได้ส่งไคเน่ไปให้จัดการแล้ว.. น่าจะทราบข่าวในอีกวันสองวัน" เฮอร์แมนรายงานข้อมูลที่เขาทราบมาโดยละเอียดให้เออร์วินฟัง เมื่อนั้นเออร์วินที่ได้ยินถึงคำ ๆ หนึ่งก็หยุดพูดลงชั่วขณะก่อนจะมองไปหาเออร์วินด้วยสายตาที่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
"พูดถึงนะ.. เรื่องของมือสังหารที่ข้าส่งไปหาเจ้าน่ะ.. ชื่อ ไคเน่ ใช่มั้ย? ถ้าข้าจำไม่ผิด"
เออร์วินพูดขึ้นพร้อมกับนึกถึงชื่อของหญิงสาวที่เขาฝึกฝนเองกับมือเล็กน้อย ราวกับว่าเขาลืมลูกศิษย์ของเขาไปแล้วอะไรอย่างนั้น เฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบกลับไปแทนการพูดด้วยวาจาในขณะที่มองรูปภาพที่อยู๋อีกด้านของห้อง มันคือภาพของนโปเลียน โบนาปาร์ตกำลังขี่อยู่บนหลังม้า มือชี้ไปที่แสงอาทิตย์เบื้องบน
"นางเก่งมั้ย ?" เออร์วินถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อนั้นเองเฮอร์แมนที่ได้ยินคำถามนั้นก็ตอบกลับไปตามความจริงพร้อมขยับสายตาหันกลับไปทางเออร์วิน "แน่นอนครับ นางเก่งเอามาก.. เผลอ ๆ อาจจะเก่งกว่าตัวผมอีกก็ได้" เฮอร์แมนตอบชื่นชมไคเน่
"หลังสงครามจบ ผมว่าจะลองช่วยปลูกปั้นนางให้ลองรบในแบบของผมดู เผื่อว่าตัวผมอาจเสียชีวิตในการรบ เมื่อนั้นตัวนางจะได้มาสานต่อหน้าที่ของผมได้" เฮอร์แมนกล่าวชื่นชมย่นยอต่อพร้อมวางแผนถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เออร์วินที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าพร้อมยิ้มให้กับแผนการนี้ของเฮอร์แมนเล็กน้อย
"ขนาดนั้นเลยเหรอ หืม.. ดูจะผูกพันและเชื่อใจนางมากเลยสินะ ไคเน่น่ะ" เออร์วินพูดขึ้นอีกครั้ง "ชื่นชมในศรัทธาของนายจริง ๆ ผู้บัญชาการเฮอร์แมน"
เออร์วินยกนิ้วโป้งให้กับเฮอร์แมน ท่าทางที่ดูย่นยอของเออร์วินเริ่มดูราวกับเป็นการแอบประชดประชันทางอ้อมแก่เฮอร์แมนเมื่อตัวเฮอร์แมนเริ่มจะรู้สึกตัวถึงสายตาที่เปลี่ยนไป จากการถามถึงความสามารถของศิษย์ของตนเอง กลับเริ่มกลายเป็นสายตาของคนที่กำลังสั่งสอนถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง รับรู้ สายตาของเออร์วินที่ดูจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ จากก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการจะให้เฮอร์แมนฟังให้เข้าใจและรับรู้เอาไว้
"ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกให้นายเก็บเอาไว้ในหัวของนาย.." "ครับ.." เฮอร์แมนตอบกลับไปห้วน ๆ ด้วยความกังวลในตัวเออร์วินเล็กน้อย่าเขากำลังจะทำอะไรต่อไป
เขาเริ่มหวาดกลัวแทนตัวเขา และที่สำคัญนั่นคือ ไคเน่ หญิงสาวที่เขาเริ่มจะผูกพันด้วยในฐานะที่ไม่ใช่เพื่อนทหาร แต่เป็นเพื่อนที่คอยพูดผ่อนคลายกันและกัน วันก่อนหน้านี้ไม่ใช่วันแรกที่พวกเขาพูดคุยกันเล่น พวกเขาเริ่มพูดสนิทสนมกันตั้งแต่วันแรกที่ไคเน่ย้ายเข้ามาทำงานให้พวกเขาแล้ว ตอนนี้น่าจะสักประมาณหนึ่งปีแล้ว เห็นจะได้
"ไคเน่น่ะมีสายเลือดของเอลลาสอยู่.. นางเป็นชาวเอลลาส.. ไม่ใช่ชาวอาร์ธีร์หรืออีซานแต่อย่างใด.." "นายคงจะจำได้เมื่อยี่สิบปีก่อนที่เมียฉันตายไป.. ใ่ช่มั้ย เฮอร์แมน" เออร์วินพูดขึ้นมากับเฮอร์แมน ตัวเฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบกลับไป "เราทุกคนเสียใจเรื่องนั้นครับ ท่านเออร์วิน-.." เฮอร์แมนที่พูดอยู่จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่างที่เออร์วินกำลังจะพูดถึง
"ท่านคงไม่ได้หมายความว่า.." "ภรรยาของฉันน่ะ.. ยัยชาวเอลลาสนั่นน่ะแอบมีชู้และมีลูกลักหลังฉัน.. ฉันจ้างพวกมือสังหารให้ลอบฆ่าทั้งสองทิ้ง.. ลูกของไอพวกเลือดเอลลาสสกปรกนั่นน่ะ.. คือ ไคเน่ในทุกวันนี้" เออร์วินพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง เฮอร์แมนที่ได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเอลลาสดังนั้นก็พูดขึ้นมาในทันทีทันใดด้วยความงุนงงว่าเออร์วินต้องการจะสื่ออะไร
"ท่านหมายความว่าอย่างไร-" "ก็เหมือนกับที่พวกเราเกลียดยิวนั่นแหละ เฮอร์แมน.. พวกมันไม่ควรจะได้รับการส่งเสริมมาตั้งแต่แรก.. เพราะพวกมันไว้ใจไม่ได้.. มันเป็นสันดานของพวกมันอยู่แล้ว"
"ไคเน่ก็เช่นกัน.. อย่าตีสนิทกับนางให้มากนัก ฉันขอเตือนไว้ก่อน.. พวกเอลลาสน่ะมันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยิวนั่นแหละ-" "ท่านหลงประเด็นไปใหญ่แล้ว ท่านเออร์วิน" เฮอร์แมนปฏิเสธชึ้นมา
"ไคเน่อาจจะมีเลือดของเอลลาสแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นเหมือนพวกเอลลาส.. นางถูกเลี้ยงโดยตัวท่านเอง-" เฮอร์แมนพยายามพูดเข้าข้างแทนไคเน่ เขาไม่เคยมองชาวเอลลาสเหมือนพวกยิวว่าเหมือนกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำจนกระทั่งเออร์วินยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็น ทว่าทันใดนั้นเองเออร์วินก็เข้าพูดแทรกขึ้นมาในทันทีด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น
"ฉันเลี้ยงมาให้เป็นอาวุธ ! ไม่ใช่เป็นคน เป็นเจ้าเป็นนาย !" เออร์วินเดือดดาลตะโกนขึ้นมาให้เฮอร์แมนเข้าใจ เมื่อนั้นเองเฮอร์แมนที่ได้ยินวาจาดังนั้นของเออร์วิน ตัวเขาก็มองจรดไปที่สายตาของเออร์วิน เฮอร์แมนไม่เคยคาดคิดว่าเออร์วินจะเป็นคนแบบนี้มาก่อน
"นายเข้าใจมั้ย .. สิบห้าปี ฉันทำให้นางกลายเป็นอาวุธไปแล้ว.. เพราะนางควรจะเป็นเช่นนั้น" "และจู่ ๆ นายจะมาปลูกฝังไว้ให้นางมาแทนที่นายไม่ได้.. นายมันเก่งเกินไป-" "อะไรตัดสินให้คุณทำเช่นนี้ล่ะ !" เฮอร์แมนเ่อยถามขึ้นมาเสียงดังแก่เออร์วินที่กำลังลดเสียงของเขาลงแล้วเพราะเขามิต้องการจะโต้เถียงให้เมื่อยปากมากในตอนนี้ แค่ต้องการจะพูดให้เข้าใจเท่านั้น
ทว่าเฮอร์แมนในอีกด้านหนึ่งนั้นไม่เข้าใจในตัวเออร์วิน ภาพลักษณ์ของวีรบุรุษสงครามของเขากำลังถูกพังทลายลงเพียงเพราะความสัมพันธ์ ความรักที่เฮอร์แมนเริ่มจะมีในรอบห้าสิบปี แก่ไคเน่
"ไคเน่เป็นเหมือนแกไม่ได้.. แกก็รู้ดี เฮอร์แมน.. แกอาจจะคิดว่าแกทำให้นางเป็นเหมือนแกได้ แต่ไม่.. นาย.. เฮอร์แมน นายแตกต่างกว่าคนอื่น ๆ" "นายมีพรสวรรค์.. นายทำในสิ่งที่คนอื่น ๆ ทำไม่ได้ คือนายเชื่อมาตลอดไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ นายถึงนำทัพกองรถถังบุกตะลุยไปได้ทุกที่โดยที่คนในกองกำลังของนายไม่เคยสูญสิ้นศรัทธา.. พี่ของนายก็เช่นกัน" เออร์วินพูดเกลี้ยกล่อมเฮอร์แมนขึ้นมา
"ท่านต้องการอะไรกันแน่.. ท่านเออร์วิน.." เฮอร์แมนถามเออร์วินขึ้นมา ในขณะที่ตัวเขามองลงต่ำลงไปกับพื้นด้วยสีหน้าที่กำลังสับสนและอ่อนไหวลง ".. ภารกิจของนายคือนำกองจู่โจมอ้อมผ่านป่ามิกซ์วู้ดไปห้าวัน.. อ้อมไปที่ด้านหลังเมืองร้างเบาเร็นและยึดเมืองกลับคืนซะ.."
"แล้วค่อย ๆ ตีขนาบจากด้านหลังมาที่เมืองเอเลเนียร์ คอยดักโจมตีทัพเอลลาสจากด้านหลังสมรภูมิ แล้วรอคำสั่งต่อไป เมื่อสิ้นสุดภารกิจแล้วนั้น.." "มือสังหารไคเน่จะถูกย้ายไปอยู่กับกองอัศวินของเมืองเกนเดล.. เป็นมือสังหารให้กษัตริย์และแม่มดรีอา.." "ฉันรู้ว่านายผูกผันกับนางมาก เฮอร์แมน นางอาจจะเป็นมือขวาของนายไปแล้วก็ได้ ฉันรู้"
"แต่ฉันเกรงว่านางอาจจะเรียนรู้จากนายมากเกินไปจนทำให้ทักษะการทำงานของนางนั้นฝ่อลง.. อารมณ์อาจเข้าแทรกการทำงานของนางทำให้ชีวิตนายเสี่ยงเอาก็เป็นได้"
เฮอร์แมนนั่งเงียบในขณะที่มองลงไปที่พื้นพรมสีเขียว โดยปกติสีเขียวนั้นจะให้อารมณ์ผ่อยคลายแก่ผู้คนที่มองมัน..
แต่ทำไมในวันนี้เฮอร์แมนกลับรู้สึกคับแคบ.. อึดอัด..
ความรู้สึกผูกพันที่เขามิได้มีมันมาประมาณครึ่งศตวรรษ กำลังจะถูกพรักพรากแยกออกจากไปโดยชายที่เขาเคารพที่สุด..
มันเกิดขึ้นอีกแล้ว.. ความรู้สึกเจ็บปวดในจิตใจที่มิสามารถด่ากรีดร้องแกใครได้เลย นอกเสียจากตัวเขาเอง..
|
|
|
Post by jussaateen on Jul 10, 2017 13:44:14 GMT
__________
ภายในบริเวญตรอกซอยอันมืดมิดในยามดึกแห่งหนึ่ง ที่ ๆ เต็มไปด้วยขยะในถุงสีดำเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้น ชายในชุดคลุมสีดำคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ด้านหลังถังขยะพร้อมกับสูบบุหรี่บนมือของเขารออยู่อย่างใจเย็น สายตาจรดมองขึ้นไปบนฟากฟ้า มองดูดวงดาวในยามราตรีอย่างเบื่อหน่าย ตัวเขากำลังรอคน ๆ หนึ่งอยู่ในตอนนี้
เมื่อนั้นเองเสียงของฝีเท้าอันแผ่วเบาก็ดังแทรกเข้ามาในหู ชายในชุดคลุมค่อย ๆ เป่าควันออกมาจากปากของเขาอย่างไม่รีบร้อนในขณะที่หน้ากวาดมองรอบ ๆ ช้าก็ไม่พบว่ามีใครเดินผ่าน ตัวเขาจึงลั่นปากกล่าววาจาขึ้นมาในทันทีพร้อมกับทิ้งบุหรี่ลงไปกับพื้นไปดื้อ ๆ เลย
"ผู้ต้องสงสัยคือ เอนนิโอ่ เดเลนี.. เขากำลังจะเดินทางในอีกสามวันจากเมืองทรานเมียร์ ไปทางตะวันตก" ชายคนนั้นจู่ ๆ ก็ลั่นวาจาของเขาขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่สายตาเขามองไม่เห็นผู้ใดทั้งนั้น แต่ตัวเขาก็รับรู้ได้ว่ามีคน ๆ หนึ่งกำลังฟังอยู่
เมื่อนั้นเอง หญิงสาวผมสีขาวหิมะก็ค่อย ๆ หย่อนตัวเองลงมาจากหลังคาเหนือหัวของชายคนนั้น นางค่อย ๆ ปีนป่ายตัวเองลงมาทีละเล็กทีละน้อยอย่างปลอดภัยและรวดเร็วฉับไวจากประสบการณ์ของนางที่ทำอะไรแบบนี้มานานและบ่อยครั้งจนชำนาญ
"เอนนิโอ่ เดเลนี.. มือสังหารนั่นน่ะเหรอ ?" หญิงสาวลั่นปากถามขึ้นมา สีหน้าดูตกใจถึงนามเมื่อก่อนหน้านี้ไม่น้อย "หมอนั่นเกษียณมาเจ็ดปีแล้ว ไคเน่.. เธอจัดการมันไหวแน่" ชายคนนั้นตอบกลับไคเน่ไปเพื่อไม่ให้นางวิตกกังวลจนเกินตัว
เอนนิโอ่ เดเลนี คืออดีตมือสังหารของอีซาน นางเคยทำงานให้กับเฮอร์แมนมาก่อนเมื่อหลายสิบปีก่อน ทว่าด้วยระยะเวลานานจนเขาเริ่มที่จะแก่ลงทำให้เอนนิโอ่ได้เกษียณออกจากวงการไปแล้ว ตัวเอนนิโอ่นั้นมีชื่อเสียงเรื่องความว่องไวและความแม่นยำ เรียกได้ว่าเคยถูกได้ฉายาว่า ตาเหยี่ยวแห่งเนฟออสนาร์ เลยด้วยซ้ำไป
"หมอนั่นมันไม่มีศักดิ์ศรี ตอนเจอกันก็ระวังตัวไว้ด้วย มันไม่เคยรออะไรก่อนจะยิง" ชายในชุดคลุมกล่าวเตือนไคเน่ "ได้ยินมาว่าตอนนี้กำลังจะเดินทางออกจากเมืองทรานเมียร์ไปเมืองหลวงอตอมอส.. ซึ่งถือเป็นจุดเสี่ยงเอาพอสมควร เชื่อว่าอาจจะไปแพร่กระจายข่าวที่นั่น" เขาพูดอธิบายขึ้นต่อถึงแผนการครั้งนี้
"งานของเธอคือจับให้มันเปิดปากพูดออกมาให้ได้ และฆ่าปิดปากทิ้งซะ" "... รับทราบค่ะ หัวหน้า" นางตอบกลับไปสั้น ๆ ห้วน ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของชายในชุดคลุม หัวหน้าของตัวนาง เฮอร์แมน เฮสเซน
"จะว่าไป ท่านหัวหน้า.. ตัวข้าได้ยินมาจากปากของหัวหน้าหน่วยจู่โจมที่สี่.."
ไคเน่ที่กำลังจะเคลื่อนสายตาออกไปและเดินไปทำธุระอื่นของนางนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้และเบะปากพูดขึ้นแก่ตัวเฮอร์แมนในชุดคลุมสีดำปกปิดสีหน้าของเขาอย่างแนบชิดพร้อมกับความมืดที่ทำให้ไคเน่มองสีหน้าแทบไม่ออกเลยว่าตอนนี้เฮอร์แมนกำลังทำสีหน้าเช่นไร เฮอร์แมนที่ได้ยินคำพูดของเฮอร์แมนแล้วจู่ ๆ ก็เงียบลงจึงขยับหน้าของเขาเล็กน้อยด้วยความสงสัยว่าหยุดทำไม
ตัวเขาก็มองแทบไม่เห็นสีหน้าของไคเน่เช่นกัน
"ตัวข้าจะถูกย้ายออกจากกองของท่านอย่างนั้นหรือ?" เมื่อเฮอร์แมนได้ยินคำถามนั้นจากปากของไคเน่จึงพูดลั่นวาจาขึ้นมานั้นตัวเขาก็เปลี่ยนสีหน้าภายใต้เงามืดที่ไคเน่มิอาจมองเห็นได้ในทันที
ตัวเขาเริ่มรู้สึกกังวลในตัวของไคเน่ ความรู้สึกอึดอัดเมื่อไม่นานมานี้กลับมาหาเขา เหมือนกับตอบพบปะกับท่านเออร์วินและสนทนากันถึงเรื่องของไคเน่ ตัวเขาวิตกกังวลถึงนางมาตลอดทั้งวันตั้งแต่ตอนนั้นว่าหากไคเน่รู้เรื่องที่นางจะถูกย้ายไปยังเมืองหลวงเข้านางจะคิดเช่นไรกัน เฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นพยายามมองดูสีหน้าของไคเน่ในเงามืดหากทว่าก็มองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ตัวเขานั้นกำลังวิตกกังวลหนักจนเกินตัวถึงเรื่องนี้
"อ-.. ใช่" เฮอร์แมนเผลอพูดติดอ่างเล็กน้อย ไคเน่ที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ ในความมืดก่อนจะเบะปากพูดต่อกลับไป ".. ตัวฉันพอจะถามได้มั้ยคะว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น" ไคเน่ถามขึ้น
น้ำเสียงดูสั่นราวกับกลัวว่านางกำลังทำบางอย่างผิดพลาดที่ทำให้ผิดหวัง เมื่อนั้นเองเฮอร์แมนจึงรีบส่ายหน้าพร้อมปัดมือออกไปมาเพราะไม่ต้องการให้ไคเน่โทษตัวเองพร้อมกับตอบกลับไปเพื่อให้นางหายห่วง ในขณะที่สีหน้ายังแฝงด้วยความกังวลอยู่
"ท่านผู้นำ เขาต้องการให้เจ้าไปหาประสบการณ์ที่เมืองหลวง รับใช้กษัตริย์น่ะ" "ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นหรอก ไคเน่" เฮอร์แมนตอบโกหกกลับไป แท้จริงแล้วท่านผู้นำเพียงต้องการมิให้นางมีความเป็นมนุษย์ไปมากกว่านี้เท่านั้น ซึ่งด้วยความห่วงใยที่เฮอร์แมนมี เขาจึงจำปกปิดเรื่องนี้เพื่อมิให้ไคเน่ได้กลุ้มใจกับตัวของนาง
เพื่อปกป้องนางจากความคิดที่เออร์วินมี ความคิดที่สามารถที่จะฆ๋าเศษเสี้ยวอันไร้เดียงสาของไคเน่ทิ้งลงได้
น้ำเสียงแม้จะไม่ต่างจากเดิมที่ดูแน่นิ่งและแฝงด้วยความแข็งแกร่งและความเลือดเย็นกลับต่างไป มันกลับแฝงด้วยความสั่นกลัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แทบจะจับฟังไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทว่าไคเน่กลับได้ยินเข้า ทำให้ตัวนางเริ่มสงสัยว่าเหตุใดเฮอร์แมนจึงพูดด้วยเสียงเช่นนั้น หากเขามิได้กำลังกลัว ก็อาจกำลังโกหกอยู่ ทว่าการโกหกของเขามักจะแนบเนียนมาตลอดจากการเจรจาที่นางเคยเห็น ทว่ายกเว้นเพียงวันนี้ เหตุใดกันล่ะ.. นามใครคิดทวนคำถามในหัวในขณะที่ความเงียบงันเข้าครอบงำบทสนทนาของทั้งสอง
"อ้อ แล้วก็.. ตัวท่านผู้นำ-.. เออร์วิน เคยพูดอะไรเกี่ยวกับอดีตของเจ้ามั้ย ไคเน่" เฮอร์แมนถามขึ้นมา เมื่อตัวเขานึกขึ้นได้ในบทสนทนาหนึ่งของเขากับเออร์วิน
ไคเน่น่ะมีสายเลือดของเอลลาสอยู่.. นางเป็นชาวเอลลาส.. ไม่ใช่ชาวอาร์ธีร์หรืออีซานแต่อย่างใด.. คำพูดของเออร์วินลอยกลับเข้ามาในหัวของเขา
"ไม่นะ.. นอกจากที่ท่านผู้นำเก็บข้ามาเลี้ยงและฝึกสอนจนตอนนี้ก็.. ไม่เลย" ไคเน่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูงุนงง ใคร่สงสัยในคำถามของเฮอร์แมน "ทำไมเหรอคะ?"
"เปล่าหรอก.. ตัวข้าแค่อยากรู้" เฮอร์แมนเบนหน้าหนีออกพร้อมกับตอบกลับไป "นั้นเหรอ.."
"..." จู่ ๆ ทั้งสองก็กลับเงียบลงไปอย่างงุนงง
"ถ้าอย่างนั้น ท่านหัวหน้า.. ข้าเชื่อว่าหลังจากนี้พวกเราคงจะมิได้พบกับไปอีกนานพอสมควร" ไคเน่พูดขึ้นมาก่อนจะค่อย ๆ ก้าวขาของนางออกมาในขณะที่เฮอร์แมนยังคงเงียบอยู่ "ขอให้ท่านโชคดี-" ไม่ทันที่ไคเน่จะได้พูดจบนั่นเอง
"อ้อ! ข้าแทบจะลืมไปเสียสนิทเลย" เฮอร์แมนนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างที่เขาจะมอบให้นางก่อนจะล้วงเข้าไปในชุดคลุมของนางแล้วดึงบางอย่างออกมา ในขณะที่ไคเน่ี่ได้ยินดังนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ เฮอร์แมน
เฮอร์แมนดึงบางอย่างออกมาและยื่นมาให้กับไคเน่ มันคือจี้ห้อยคอทองคำที่ดูมีอายุเก่าแก่มานาน ไคเน่ที่เห็นดังนั้นก็มองกลับไปที่เฮอร์แมนและพูดขึ้นมาในทันทีด้วยความเกรงใจ
"นี่มันมิใช่ของท่านเหรอ-" "มันเหมาะกับเจ้ามากกว่า ไคเน่.." เฮอร์แมนพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอันเป็นมิตรที่ไคเน่พอจะมองเห็นได้เนื่องจากแสงของดวงจันทร์สาดส่องลงมาพอดิบพอดี
เมื่อนั้นเองไคเน่ก็รับมันเอาไว้ในมือของนาง ไคเน่มองดูมันอย่างพินิจ พิถีพิถัน ด้วยสายตาอันใคร่รู้ของนาง
"ลองเปิดดูสิ" เฮอร์แมนพูดขึ้นต่อ เมื่อนั้นเองไคเน่ก็ลองเปิดออกมาตามคำพูดของเฮอร์แมน
มันคือภาพสีขาวดำ ของเด็กตัวน้อย ๆ สองคน และชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งยืนเรียงอยู่ด้านหลังเด็กทั้งสองคนนั้น เด็กหนุ่มสองคนนั้นคือ ฮานส์ เฮสเซน และ เฮอร์แมน เฮสเซน ไคเน่พอจะเดาได้ว่าใครคือเฮอร์แมน หัวหน้าของนาง ทว่านางไม่รู้จักกับฮานส์ เฮสเซนแต่อย่างใดหรือแม้แต่เคยได้ยินชื่อ ทว่ามีคน ๆ หนึ่งที่สะดุดตาของนางเอาเป็นอย่างมาก มันคือภาพของหญิงสาวอ่อนวัยที่ดูงดงามราวกับนางฟ้ากำลังยืนยิ้มอยู่อย่างมีความสุขด้านหลังเด็กน้อยทั้งสองและชายหนุ่มข้าง ๆ นาง ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นคล้ายคลึงกับตัวไคเน่เองในระดับหนึ่ง
"นั่นคือครอบครัวข้า.. หลายปีมามากแล้ว" เฮอร์แมนพูดขึ้น "เด็กตรงนั้นคือพี่ชายของข้า.. ฮานส์ เฮสเซน.."
ฮานส์ เฮสเซน เสียชีวิตด้วยวัย สามสิบห้าปี สาเหตุจากการรบ
"ผู้ชายตรงนั้นคือพ่อของข้า เกบเบิล เฮสเซน.."
เกบเบิล เฮสเซน เสียชีวิตด้วยวัย เจ็ดสิบสองปี สาเหตุจากโรคภัยไข้เจ็บ
"ส่วนผู้หญิงคนนั้น.. คือแม่ของข้าเอง บรูมฮิลด้า เฮสเซน.."
บรูมฮิลด้า เฮสเซน เสียชีวิตด้วยวัย หกสิบปี สาเหตุจากลูกหลงในสงคราม
"พวกเขาคือ.. ครอบครัวที่ข้าเคยมีน่ะ.. แต่ตอนนี้เหลือเพียงข้าแล้ว" "... ข้าคนเดียว" เฮอร์แมนพูดเรียงชื่อครอบครัวที่เขาเคยมีด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร ทว่าทุก ๆ ชื่อที่เขาพูดออกมา สิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวของเขาคือป้ายหินหน้าหลุมศพที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีพร้อมกับตัวอักษรประกอบ
มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่เฮอร์แมนต้องทนมาตลอดทุก ๆ ครั้งที่เขามีความสัมพันธ์กับใคร ไม่ว่าจะความรักในครอบครัว ความรักแก่หญิงสาว จนไปถึงมิตรสหายในสงคราม พวกเขาล้วนตาย ทิ้งเฮอร์แมนเอาไว้เพียงคนเดียวจนหมด
ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะหัวเราะเหมือนกับตอนที่เขาเสียพี่ชายของเขาไปอีก
"แม่ของท่านดูงดงามมากเลยนะคะ.. ท่านหัวหน้า" คำพูดของไคเน่ดึงเฮอร์แมนกลับเข้ามา ออกจากความเศร้าในหัวของเขา ".. ใช่.. นางงดงามมาก" เฮอร์แมนที่ได้ยินคำชมจากปากของไคเน่ก็พูดขึ้นรับคำชมไปอย่างแผ่วเบา
"ข้าว่ามันไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ น่ะแหละค่ะ" "มันควรจะอยู่กับท่านมากกว่า" ไคเน่พูดขึ้นมาก่อนจะยื่นจี้ห้อยคอนั้นคืนให้กับเฮอร์แมน
".. ข้าพกมันมาและข้าก็รอดมาตลอด.. มันเป็นของนำโชคของข้า.." "ข้าต้องได้คืนแน่ ไคเน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้" "เจ้านำมาคืนให้กับข้าในครั้งหน้าที่เราเจอกันจะได้มั้ยล่ะ?"
เฮอร์แมนถามขึ้นมากับไคเน่ เมื่อไคเน่ได้ยินคำถามนั้นเองก็เผลอหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แสงของจันทราสอดส่องลงมาที่ใบหน้าเขินอายอันงดงามของไคเน่ในขณะที่เฮอร์แมนกำลังมองอยู่อย่างเป็นมิตร รอยยิ้มอันสวยงามของนางในช่วงเวลานั้นสะกดสายตาของเฮอร์แมนเอาไว้มิให้คลาดสายตาออกมาเลยแม้แต่น้อย
".. หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะนำมันมาคืนให้ได้เลยค่ะ.. ท่านหัวหน้า" "เฮอร์แมน.. เรียกเฮอร์แมนเถอะ.." เฮอร์แมนพูดขึ้นมา เมื่อนั้นเองไคเน่ก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
"..." "เฮอร์แมน"
"แล้วเจอกันนะคะ" ".. เฮอร์แมน"
__________
"เปิดประตู !" เสียงของทหารบนกำแพงเมืองสั่งการขึ้นมา "ครืด !" เมื่อนั้นบานประตูเมืองเนฟออสนาร์ขนาดใหญ่ก็ถูกเปิดออกมาด้วยแรงของทหารนับสิบคนในยามรุ่งอรุญ เสียงเฮฮา ตะโกนพูดคุย อวยพรนำชัยดังฮือออกมาจากกำแพงให้เหล่านกสรรพสัตว์ด้านนอกกำแพงได้ยินเล็กน้อย
ทหารนับเกือบร้อยคนค่อย ๆ เดินออกมาอย่างพร้อมเพรียง บนบ่าแบกอาวุธปืนไรเฟิลยาวกันครบมือ ชุดเกราะสีดำสนิท ป้ายแขนด้านซ้ายของทหารคือธงสีแดงฉานพร้อมตราอักษะสีดำตรงกลางธง สัญลักษณ์แห่งทหารกล้าผู้คุ้มครองจักรวรรดิอีซานและเมืองเนฟออสนาร์เอง มันเป็นตราแห่งชัยชนะของเหล่าอีซาน สัญลักษณ์ของเหล่ากองทหารนาซีอันเลื่องลือกำลังเคลื่อนตัวออกจากตัวเมืองอย่างมีระเบียบพร้อมเพรียง
"ครืด !" เสียงของสายพานตีนตะขาบของรถถังขนาดยักษ์สีเขียวพลางตัวถูกเคลื่อนตัวเสียงดังไปทั่ว เหล่าทหารมือใหม่ต่างพากันมาเรียงรายมองดูอสูรกายเหล็กไหลตัวนี้เคลื่อนออกจากตัวเมืองอย่างตกตะลึง ลำปืนขนาดยาวที่สามารถยิงฉีกกระชากร่างของเขาออกเป็นเศษเนื้อให้หมานักล่ากินเล่นได้เลย
มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังและนำมาความทำลายล้างอย่างสมบูรณ์แบบ
"ท่านเฮอร์แมน !"
ทหารบนกำแพงเมืองทำความเคารพชายผมสีทองที่เงยหน้าขึ้นมามองเหล่าทหารจากด้านบนรถถัง สีหน้าของทหารทุก ๆ คนดูเคารพและภาคภูมิใจในพลานุภาพของเฮอร์แมนเป็นอย่างมาก ซึ่งตัวเฮอร์แมนก็มิได้ตอบกลับยิ้มแย้มอะไรเนื่องด้วยตัวเขามิต้องการทำตัวหลงในวีรกรรมของตนเอง เขาจดจ่อเพียงแค่การทำงาน การวางแผนเท่านั้น
"ขอให้เดินทางอย่างสวัสติภาพครับ !" "จัดการพวกเอลลาสให้สิ้นซากเลยครับท่าน !" "กระผมจะต้องไปอยู่ในหน่วยของท่านให้ได้ครับ ท่านผู้บัญชาการเฮอร์แมน !" เสียงของเหล่าทหารตะโกนเชิดชต่าง ๆ นานาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจัง และรอยยิ้มทะเยอทะยาน เต็มเปี่ยมด้วยความปรารถนา
"โห หัวหน้า แฟนคลับเยอะไม่ใช่เล่นนะเรา" เสียงของทหารคนหนึ่งแซวเฮอร์แมนเล่นเล็กน้อย
ทหารคนนั้นเดินผ่านตัวรถถังโดยพอดิบพอดี ท่าทางการพูดของเขาดูไร้ซึ่งความเคารพ ดูเป็นพวกปากมาก พูดมาก ซึ่งเฮอร์แมนก็มิได้เกลียดแบบนี้นักจึงไม่ได้ต่อว่าด่าทอทหารคนนั้นอะไร ทว่าก็มิได้ยิ้มตอบกลับอะไรเช่นกัน ตัวเขาลดตัวลงจากรถถังลงพร้อมกับดึงขวดเหล้าด้านในออกมาถือไว้บนมือซ้ายของเขา
เฮอร์แมนไม่เคยดื่มเหล้าเลยสักครั้งในการทำงาน บุกออกนอกเมืองใด ๆ หากจะเรียกให้ถูกเขาไม่เคยดื่มเหล้ามาเกือบจะห้าสิบปีเห็นจะได้แล้ว ทว่าเขามิได้คิดจะดื่มเหล้าในครั้งนี้เพราะหวาดกลัวข้่าศึกเอลลาสแต่อย่างใด มันเป็นเพราะความเครียดที่ว่าหลังจากศึกในครั้งนี้แล้วอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อล่ะ ความรักที่เขาพึ่งจะเคยมีในรอบหลายปีนี้เป็ฯเหมือนกับการที่พระเจ้าให้โอกาสอีกครั้งแต่ในตอนนี้มันกลับเหมือนกับเป็นการทดสอบตัวเขา
ระหว่างการต่อสู้เพื่อจักรวรรดิอีซาน และนามแห่งกองกำลังนาซีที่เขาจงรักภักดีมาร้อยปี กับโอกาสที่จะได้รักใครสักคนอีกที่พึ่งจะได้มาไม่นาน เรื่องทั้งสองมันจะจบลงอย่างไรล่ะ เขาจะได้เพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือผลสุดท้ายแล้วทั้งสองสิ่งจะพัังทลายลงกันล่ะ?
ความเครียดนี้ทำให้เขาต้องเริ่มที่จะพึ่งขวดเหล้าสุรา แม้แต่ลูกน้องคนสนิทของเฮอร์แมนเมื่อเห็นท่าทางเคร่งเครียดของหัวหน้าพวกเขาก็เริ่มจะเครียดและกังวลตามเบา ๆ พวกเขาไม่เคยเห็นเฮอร์แมนในสภาพนี้มาก่อนเลย
เฮอร์แมนกระดกขวดเหล้ากรอกเข้าไปในปากของเขา เขาดื่มมันจนแทบจะหมดขวดแล้วดึงมันออกจากปากของเขา สายตามองขึ้นไปบนฟ้าเห็นก้อนเมฆสีขาวบนท้องนภาที่มีรูปทรงประหลาด
มันดูคล้ายกับใบหน้าของหญิงสาวเมื่อเฮอร์แมนจรดมอง ตัวเฮอร์แมนครุ่นคิดว่าเขาเริ่มที่จะเมาแล้วหรือ? หรือว่าพระเจ้ากำลังมอบบทเรียนให้กับเขาอยู่กัน
เฮอร์แมนยิ้มหัวเราะขบขันออกมาและจรดสายตามองลงไปที่ขวดเหล้าบนมือของเขา หัวเราะในความน่าสมเพชของตนเองเบา ๆ ว่าเหตุใดเขาจึงต้องมาครุ่นคิดมากกับเรื่องเช่นนี้ เรื่องของผู้หญิงที่แทบจะไม่สำคัญอะไรกับเขาเลย
"หัวหน้า" "หัวหน้าครับ" เสียงเรียกของทหารภายในรถถังคนหนึ่งเรียกขานหาเฮอร์แมน เมื่อนั้นเฮอร์แมนที่พึ่งรู้ตัวก็หันมาหาทหารหนุ่มคนนั้น
"ว่าไง .. เบรุส" เฮอร์แมนตอบกลับไป "เป็นอะไรรึเปล่าครับ เห็นท่าน-" ชายผมสีดำทักขึ้นมาด้วยสายตาเป็นห่วงกังวลจรดไปทางเฮอร์แมน เมื่อเฮอร์แมนเห็นสายตาดังนั้นก็ส่ายหน้าออกและตอบกลับไป
"ฉันแค่ไม่ได้หลับเมื่อคืนน่ะ.. อย่าคิดมากเลย" เฮอร์แมนโกหกตอบกลับไป เมื่อคืนเขาออกจะนอนเร็วกว่าวันอื่นด้วยซ้ำไป แต่ทั้งเช้าของวันนี้ในหัวของเขากลับมีแต่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
ทันทีที่เฮอร์แมนตอบกลับเพื่อให้ทหารนามเบรุสคนนั้นหายกังวล เมื่อนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของทหารทุก ๆ คนกำลังจรดสายตามาทางเฮอร์แมน พวกเขาล้วนเป็นห่วงในสภาพร่างกายและจิตใจของหัวหน้าพวกเขา อาจเป็นเพียงเพราะพวกเขากลัวว่าชายคนนี้จะไร้สติแล้วพาพวกเขาไปตาย..
หรือพวกเขากังวลว่าหัวหน้าที่พวกเขาเคารพจะกำลังเหน็ดเหนื่อยจากการช่วยเหลือพวกเขามาตลอดกัน
"เอาล่ะ.. คุณหัวหน้าสันหลังยาวไม่หลับไม่นอนในวันสำคัญ" "และไอพวกมิตรสหายโง่ ๆ ทั้งหลาย.." "ได้เวลาบุกไปฆ่าพวกเอลลาสแล้วโว้ย !" ทหารชายหัวล้านคนหนึ่งตะโกนพูดขึ้นมาอย่างฮึกเหิมและดูไร้ซึ่งความเคารพใด ๆ
"อีกแล้วเหรอวะ เอลลิส หุบปากแกไปเลย" เบรุสตะโกนด่าทอกลับไปด้วยรอยยิ้มตลกเช่นเดียวกับชายหัวล้านคนนั้น "แกเหงาหรอวะ เอลลิส นี่มา.. มาดูดจ้อนข้าไปพลางก่อนจะข้ามป่าไปดีกว่า เอามั้ย?" ชายไว้หนวดเคราที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จัดการกดหัวเอลลิสลงไปอย่างรุนแรงไปหาหว่างขาของเขาเพื่อกลั่นแกล้งเล่น
เมื่อนั้นทหารคนอื่น ๆ ต่างก็พากันหัวเราะในขณะที่ทั้งสองคนกำลังกลั่นแกล้งกันเอง เบรุสหัวเราะด้วยรอยยิ้มสนุกสนานจากการเห็นเพื่อน ๆ ของเขากำลังเล่นกันเยี่ยงกับพวกเขาเป็นเพียงเด็กโง่ ๆ ขนหมอยพึ่งขึ้นอะไรอย่างนั้น
เฮอร์แมนที่เห็นอย่างนั้นก็แอบยิ้มตลกออกมาเบา ๆ ในขณะที่ไม่มีใครสังเกตุ เขาเริ่มที่จะยินดีเมื่อเห็นลูกน้องของเขายังสามารถยิ้มหัวเราะได้แตกต่างจากตัวเขา
ภาพที่เขาเห็นในตอนนี้ก็คือภาพของเขาในยามอดีต เขายังจำได้อยู่เลยว่าเขามักจะทะเลาะกับโจบ่อย ๆ โดยมีพี่ชายของเขา ฮานส์ หัวเราะอยู่ข้าง ๆ
มันเป็นอดีตที่น่าชื่นชมและเบนหน้าหนีออก ถามว่าเหตุใดจึงจะต้องหนีออกจากอดีตเช่นนี้ล่ะ เฮอร์แมนค่อย ๆ ลุกขึ้นออกมามองไปที่ด้านนอกของรถถังในขณะที่ตัวเขาพยายามลืม ๆ ภาพในอดีตออกไป และหันมองภาพของทหารเดินอย่างพร้อมเพรียงนับร้อยคนพร้อมกับรถขนทหารอีกประมาณสี่คันเห็นจะได้
ทำไมน่ะเหรอที่จะต้องทิ้งอดีตออกจากหัว..
เพราะมันมีแต่จะทำให้เขาเจ็บปวดกว่าเดิมยังไงล่ะ เฮอร์แมนคิดในขณะที่สีหน้าของเขาราวกับคนที่สูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเขาแล้ว
และที่น่าขันนั้นคือสีหน้านั้นคือตัวตนที่แท้จริงของเฮอร์แมน.. เมื่อเฮอร์แมนนึกขึ้นได้ถึงสิ่งนี้ทำให้หยาดน้ำตาเริ่มออกมาจากเบ้าตาของเขาเล็กน้อยในขณะที่ลมแรงกำลังพัดสนั่นไปตามทิศทางที่รถถังกำลังเคลื่อนไป
"โชคดีนะ.. ไคเน่" เขาพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาในขณะที่สายตามองไปที่กำแพงเมืองเนฟออสนาร์ที่เขาค่อย ๆ จากทิ้งออกไปทีละเล็กทีละน้อย ด้วยรอยยิ้มอันดูเป็นมิตรและอ่อนโยน
|
|
|
Post by jussaateen on Jul 19, 2017 13:47:21 GMT
__________ ณ เมืองร้างเบาเร็น หลังจากศึกครั้งก่อนระหว่างทัพของแม่ทัพเกเบรียล ชารล์กับทัพอีซานไปได้ประมาณสิบสี่ราตรีหรือสองสัปดาห์ ในตอนนี้เป็นช่วงยามราตรีอันสงบเงียบงันเช่นเดียวกับค่ำคืนก่อน ๆ เสียงลมและนกเค้าแมวดังแว่ว ๆ มาจากรอบ ๆ ป่าทำให้บริเวญโดยรอบเมืองดูพิศวงและลึกลับแม้จะไม่มีอะไรอยู่เลยก็ตามที แสงของจันทราอันอร่ามสะท้อนมาอย่างริบหรี่สู่พื้นดินหญ้าสีเขียวที่ปะปนไปด้วยกลิ่นคาวของซากศพและหยาดเหงื่อจากการรบราที่แม้จะผ่านมาได้นานแล้วแต่ภาพของการตายราวกับฝนตกในสมรภูมิรบนั้นยังคงติดตาของทหารหลาย ๆ นาย
"สตีฟ ทางด้านนั้นมีกี่คน" เสียงของวิทยุดังออกมาอย่างแผ่วเบาภายในด้านในของป่าที่ไร้ซึ่งผู้คนกำลังเฝ้ามอง
ทหารชายสวมชุดพรางตัวสีเขียวปกคลุมด้วยใบไม้เล็กน้อยหลบอยู๋หลังพุ่มไม้พร้อมกับปืนไรเฟิลสีดำที่ถูกเล็งออกมา ไปหาทางหน้าตัวเมืองของเมืองร้างเบาเร็นพอดิบพอดีซึ่งก็พอจะเดาได้ว่ามันกำลังจะกลายเป็นเศษซากในไม่ช้าแน่แท้จากการรบรา เพราะชายคนนี้มิใช่ทหาร มือสังหารธรรมดาแต่อย่างใด แต่เป็นหนึ่งในกองจู่โจมที่หนึ่งแห่งอีซานซึ่งถูกส่งมาสอดแนมดูราดราวโดยรอบ
"สี่คน.. ตั้งกองไฟกันอยู่ เปลี่ยน" ทหารคนนั้นตอบกลับไปในขณะที่สายตาเล็งผ่านเล็นกล้องส่องไปที่ด้านหน้า เขาเห็นอัศวินเอลลาสสี่คนกำลังนั่งคุยกันรอบกองไฟกัน ท่าทางดูผ่อนคลายและร่าเริงดี พอจะเดาได้ว่าพวกเขาทุกคนล้วนเป็นเพื่อนสนิทต่อกันหมด
"ทางนี้มีประมาณสี่สิบกว่าคนกำลังเฝ้ารอบป่าได้ เปลี่ยน" เสียงของวิทยุรายงานกลับไป "ถ้าอย่างนั้นก็จู่โจมทางทิศใต้แล้วกัน ฝากจัดการทางนั้นด้วย สตีฟ" "รับทราบ ไทเลอร์ ฝากรายงานผู้บัญชาการด้วย เปลี่ยน"
"ทราบแล้ว" ทั้งสองทหารนามสตีฟ และทหารผ่านวิทยุนามไทเลอร์พูดคุยสื่อสารต่อกันอย่างกระทัดรัดรวดเร็ว ไม่มีทีท่าลังเลในการตัดสินใจหรือหยุดคิดชั่วขณะแต่อย่างใดราวกับทุก ๆ คำตอบเฝ้ารออยู่ตรงหน้าแล้ว
เมื่อนั้นทหารมือซุ่มยิงนามสตีฟก็มองดูท่าทีของทหารทั้งสี่รอบกองไฟเพื่อดูว่าเขาควรจะจัดการคนไหนก่อนดี เมื่อนั้นเองเขาเล็งไปที่หัวของอัศวินนายหนึ่งที่กำลังจะลุกขึ้นยืนเดินออกไปพอดิบพอดี
"พิ้ว!" เสียงปืนติดกระบอกเก็บเสียงยิงดังออกมาในระแวกของมือซุ่มยิง ทว่าไม่ดังพอที่จะให้ทหารเหล่านั้นรู้ได้ว่ากระสุนถูกยิงจากทางไหน
อัศวินผู้โชคร้ายคนนั้นล้มลงไปนอนตายในทันที ส่วนอัศวินคนอื่น ๆ ก็รีบลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปดูอาการเพื่อนของเขา อีกคนหนึ่งท่าทางลังเลระหว่างวิ่งหนีหรือเข้าไปช่วยด้วยเี เมื่อนั้นมือซุ่มยิงเช่นสตีฟที่ได้รับการฝึกซ้อมมาก็ไม่รอช้าที่จะเล็งกระบอกปืนไปยังหัวของผู้โชคร้ายรายต่อไป
"พิ้ว!"
อัศวินที่เข้าไปดูอาการถูกยิงตามเข้าไป ล้มลงไปนอนตายอีกรายหนึ่งในทันที เมื่ออัศวินที่กำลังลังเลเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งหนีออกไปในทันทีด้วยความหวาดกลัว
"พิ้ว!"
อัศวินคนนั้นถูกยิงเข้าที่ขาก่อนจะล้มลงไปฟูบกับพื้นพร้อมเสียงร้องที่ดังออกมาแผ่ว ๆ ไปถึงตัวสตีฟ
"อ้า!.. สัสเอ้ย !" "พิ้ว!"
เขาคาดเดาบริเวญที่อัศวินคนนั้นล้มลงไปและจัดการยิงไปอีกนัดหนึ่ง ทันใดนั้นเสียงก็เงียบลงไปในทันทีแม้จะดูเหมือนยังร้องไม่จบก็ตามราวกับบางอย่างไปขัดจังหวะเข้า เมื่อนั้นสตีฟก็เล็งกระบอกปืนไปที่ผู้เหลือรอดคนสุดท้ายที่ยืนหยุดนิ่งและมองศพของมิตรสหายของเขารอบ ๆ ตัว อัศวินคนนั้นหยุดนิ่งมองตรงเข้าไปในป่า จากระยะใกลที่แม้แต่เล็งกล้องก็ไม่สามารถช่วยให้มองสีหน้าได้ทำให้ไม่รู้ว่าอัศวินคนนั้นกำลังคิดเช่นใดแต่ที่แน่ ๆ คือเขาคงจะมองเห็นมือซุ่มยิงหรือเดาตำแหน่งได้แล้ว
มือซุ่มยิงคนนั้นเล็งไปที่หัวอย่างเลือดเย็นก่อนจะตัดสินใจที่จะเหนี่ยวไกในทันที
"สู่สุขติ" "พิ้ว!" "ตุบ !" ร่างของอัศวินคนนั้นร่วงหล่นลงไป
มือซุ่มยิงคนนั้นค่อย ๆ เลื่อนตัวเองออกมาจากบริเวญซุ่มยิง ลุกขึ้นมานั่งกับพื้นพร้อมแหงนสายตาขึ้นฟ้าพร้อมปาดเหงื่อออก สีหน้าดูเหนื่อยหน่ายจากการอดกลั้นหายใจเมื่อครู่เพื่อสังหารอัศวินทั้งหลายอย่างรวดเร็ว
"จัดการเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยน" "รับทราบ สตีฟ"
"กองจู่โจมหลักกำลังตรงเข้าไป ย้ายจุดซุ่มยิงไปดูทิศตะวันตกเฉียงใต้ เปลี่ยน" "รับทราบ"
สตีฟติดต่อกับทหารอีกคนหนึ่งผ่านวิทยุไปก่อนจะค่อย ๆ ยกปืนไรเฟิลซุ่มยิงของเขาขึ้นมาและวิ่งตรงออกจากตำแหน่งเดิมที่เขาอยู่ไปในทันที
"อีธานเรียกผู้บัญชาการเฮอร์แมน เปลี่ยน" "นี่ฉันเอง.. ว่ามา.." "กองจู่โจมพร้อมโจมตีแล้วครับ" "รับทราบ พลทหาร"
เฮอร์แมนขยับสายตามาหาลูกน้องของเขาคนอื่น ๆ ภายในรถถังหลังจากได้ยินการรายงานความพร้อมของพลทหารจากวิทยุนามอีธาน เอลลิสที่ร่างกายสั่นไปทั่วพร้อมสีหน้ายิ้มแย้มลุ่นระทึดราวกับว่าเขาทนไม่ไหวที่จะไปปลดปล่อยหายนะในขณะที่เบรุสด้วยนิ่งเงียบ ท่าทางดูหวาดกลัวกับงานต่อไปที่พวกเขาจำต้องพึงกระทำ นั่นคือการสังหาร
"ได้ยินแล้วนะ พวกแก" "ลุยได้" เฮอร์แมนพูดขึ้นสั่งการขึ้นมาซึ่งไม่เหมือนกับคราวก่อน ๆ คราวนี้เขาดูมีส่วนร่วมมากขึ้นกว่าคราวไหน ๆ เอลลิสที่ได้ยินวาจาเช่นนั้นจึงยิ้มออกมา
"ไปถล่มเจ้าพวกเอลลาสชั้นต่ำกัน !"
พลธนูแห่งเอลลาสคนหนึ่งบนหอคอยเมืองกำลังส่องดูจากด้านบน เฝ้ามองดูว่ามีอะไรบ้างกำลังเกิดขึ้นรอบตัวเมือง เขามองด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายและเรี่ยงแรงดูอ่อนเพลียจากการเฝ้ามองมานานกว่าสามชั่วโมงเป็นอย่างต่ำในค่ำคืนนี้ แต่เขาก็ยังคงมองหาศัตรู ลาดราวต่อไปเพราะมันเป็นหน้าที่ของเขา
เมื่อนั้นพลธนูก็สังเหตุถึงบางอย่างผิดปกติได้ พุ่มไม้ ณ ทิศตะวันออกเคลื่อนไหว จากทางนั้นเป็นฝั่งบริเวญศัตรู และเมื่อเขาเห็นดังนั้นเขาเริ่มขยับสายตามองหาอัศวินอารักขาแถวนั้นจึงพบกับสภาพของอัศวินประมาณสี่คนนอนตายเกลื่อนกลาด ณ บริเวญกองไฟที่มอดไหม้จนแทบหมดแล้ว
"ศัตรูจากทิศตะวันออก !!" เขารีบวิ่งไปทางด้านล่างตัวเขาและตะโกนขึ้นมาในทันทีทันใด ในขณะที่หัวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก "ว่าอะไรนะ !!" "พวกอีซานเหรอ !!?" "ลอบโจมตี !? หรือว่าจะเป็นกองจู่โจมนั่น !?" เหล่าทหารพากันตื่นตระหนก
"ขออาวุธของพวกอีซานหน่อย ! ปืนน่ะ !!" "แกใช้เป็นเรอะ !?" "เป็นไม่เป็น ก็ต้องใช้แล้วเว้ย !!" ทหารบนหอคอยขออาวุธขึ้นมา เมื่อนั้นอัศวินคนหนึ่งจึงรีบวิ่งขึ้นปีนหอคอยขึ้นไป และโยนอาวุธปืนสีดำให้กับพลธนูคนนั้นในทันที
"ให้พวกทหารทุก ๆ คนที่สู้ไหวขึ้นไปบนกำแพงเมืองปรักหักพังนั่นทุก ๆ คนพร้อมอาวุธปืนของพวกอีซาน !! พวกที่อยู๋กองเดียวกับข้าประมาณสองร้อยกว่าคนเข้าไปหลบตามซากปรักหักพัง กองของจิมมี่ไป !!" อัศวินคนหนึ่งสั่งการอัศวินและทหารคนอื่น ๆ ขึ้นมาในขณะที่ทุก ๆ อย่างเต็มไปด้วยความโกลาหล
"ตามข้ามา !! เจ้าพวกสันหลังยาว !!" ทหารคนหนึ่งหน้าตาเต็มไปด้วยบาดแผลจากสงครามสั่งการลูกน้องของเขาขึ้นมาในขณะที่ตัวเองกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้า มือทั้งสองข้างของเขาถือปืนกลของพวกอีซาน ส่วนสูกน้องคนอื่น ๆ ถือปืนคนละกระบอก กำลังขึ้นไปขี่บนหลังม้าเช่นกัน
เสียงพูดคุยดังไปทั่วเมืองร้างแห่งนี้ ทั้งหมดมาจากฝั่งของเอลลาสใขณะที่พวกเอลลาสยังคงนิ่งเงียบ กองม้านับสองร้อยคนกำลังเตรียมตัวพวกเขาให้พร้อมในการโจมตีส่วนกองอัศวินเข้าไปหลบตามซากกำแพงเตรียมโจมตีเมื่อได้โอกาส ที่เหลือหลบอยู่ภายในตัวเมืองหลักพร้อมที่จะปกป้องจุดยุทธศาสตร์แห่งนี้ให้ถึงที่สุด
ชายในชุดอัศวินคนหนึ่งวิ่งออกมาจากตัวเมืองร้างอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางของเขาดูหวาดกลัวและพยายามจะหนีออกจากตัวเมือง ใบหน้าภายใต้ชุดเกราะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและต้องการขอความช่วยเหลือ มือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดเอาไว้ให้อยู่ในท่าถือดาบสองมือ
"ช่วยด้วย ! ข้าคือเชลย-!" "ปัง ๆๆ !" เสียงของกระบอกปืนจากพลทหารอีซานคนหนึ่งลั่นไกขึ้นมา สังหารอัศวินคนนั้นก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบประโยค
"ยิงเชลยคนสุดท้าย.. เก่งดี.." จิมมี่มองออกไปตามต้นเสียงด้วยรอยยิ้มยินดี
"... บุกได้ !" เฮอร์แมนสั่งการขึ้นมาอย่างดุดัน
"ย้าาาา !" เสียงของทหารกู่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง พลทหารอีซานวิ่งออกมาจากภายในป่าอย่างรวดเร็วพร้อมกระบอกปืนเล็งไปด้านหน้า "บุกกกก !" ทหารเอลลาสนามจิมมี่นำกองม้าออกจากตัวใจกลางเมือง มือถืออาวุธของพวกอีซาจที่พวกเขายังไม่ชำนาญแต่รู้กลไกหลักในการสังหาร
กองม้าและทหารบนพื้นดินวิ่งเข้ามายังบริเวญใจกลาง เมื่อนั้นทหารอีซานหยุดวิ่งและจัดการเล็งปืนตรงไปด้านหน้าพร้อมก้มหลบต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะที่กองม้าอีซานจัดการเล็งปืนตรงไปอย่างสั่นครือเนื่องด้วยตัวม้ายังคงวิ่งต่อไปอยู่
"ปัง ๆๆๆๆๆๆๆ !" "ปัง ๆๆๆๆๆๆๆๆ !" เสียงของกระบอกปืนถูกยิงเข้าหากันทั้งสองฝ่าย ความบ้าคลั่งถูกปลดปล่อยในขณะที่ทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มพากันตายลงไปจากกระสุนปืนที่พุ่งเข้าหาไปทั่วทุกทิศทาง
"ตุบ !" ทหารเอลลาสบนหลังม้าถูกม้าล้มลงทับไปจากการยิงปืนอันแม่นยำของอีซานทว่ายังมีความสั่นกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นสมรภูมิรบตรงหน้าอย่างจัง ๆ "อ้า !" พลทหารอีซานถูกยิงเข้าไปจากกระสุนปืนที่ถูกยิงมั่วซั่วจากเอลลาส
"ไปเลย อีธาน !" เอลลิสในรถถังตะโกนลั่นขึ้นด้วยรอยยิ้ม "เมียน้อยของเราเข้าสู่สมรภูมิแล้ว" อีธานพูดอย่างขบขันในขณะที่ขับเคลื่อนรถถังของพวกเขาตรงไปด้านหน้า "เอลลิส เล็งยิงไปเป็นแนวโพรเจ็กไตล์ขึ้นฟ้า" เฮอร์แมนสั่งการ เม ื่อนั้นกระบอกปืนใหญ่รถถังก็ถูกยกขึ้นเล็งไปบนองศาที่พอเหมาะ
"ยิงได้" "ปัง !!" รถถังลั่นปืนใหญ่ของมันออกมา แสงไฟขนาดใหญ่ปะทะให้เห็นจากด้านหน้าป่าในความมืดให้พลทหาร ณ ใจกลางเมืองได้มองเห็น กระสุนปืนค่อย ๆ ร่วงลงมาจากเวหาตกลงไปในกลางสมรภูมิ ไปที่บริเวญฐากอาคารหลังหนึ่ง
"ตู้ม !" แรงระเบิดเป่าร่างของทหารปลิวกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง ร่างของอัศวินเอลลาสที่ไปหลบตรงนั้นต้องโชคร้าย ร่างถูกฉีกขาดออกไปทั่วตกกระเด็นลงไปยังพื้น จิมมี่ขี่ม้าผ่านแรงระเบิดนั้นราวกับมันไม่มีผลกระทบอะไรกับเขาในขณะที่เขาควบม้าตรงไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่งไร้ซึ่งสิ่งใดหยุดยั้งเขาได้
"ฆ่ามัน !! ปกป้องเอลลาส !!" จิมมี่ตะโกนขึ้นมาพร้อมเล็งปืนไปด้านหน้ายิงตรงไปที่รถถังในขณะที่ตัวเขารีบวิ่งลงมาจากหลังม้าหลบห่ากระสุนจากพวกอีซานที่กำลังตรงมาทางเขา
กระสุนของจิมมี่ไร้ซึ่งขีดข่วนใด ๆ ต่อหน้ารถถังอันเกรียงไกร.. ในขณะที่ทหารั้งสองฝ่ายต่างเริ่มพากันตายคาที่ พวกของอีซานค่อย ๆ เคลื่อนตรงมาเรื่อย ๆ เพราะแม้คนของเขาจะตายลงไปบ้างแต่ก็เทียบไม่เท่ากับเอลลาสที่ไร้ซึ่งประสบการณ์เมื่อต่อกรกับอาวุธอันแปลกประหลาดของอีซาน นั่นทำให้คนของเอลลาสเริ่มถูกบีบให้เข้าไปใจกลางเมืองเรื่อย ๆ กองทหารม้าถูกส่งไปด้านหน้าราวกับให้ตายเปล่าอะไรแบบนั้น
"เอาอาวุธของพวกแกเองไปกิน !" ทหารบนหอคอยเล็งอาวุธปืนไปที่ด้านล่างบริเวญที่สงครามกำลังเกิดขึ้นอย่างโกลาหล "ปัง !" "ตู้ม !!" อาวุธบนมือของทหารเอลลาสคนนั้นคือปืนยิงระเบิดอันรุนแรง กระสุนปืนสังหารพวกของอีซานที่บังเอิญไปกระจุกรวมกันในบริเวญหนึ่งพอดีโดยบังเอิญเนื่องด้วยบริเวญนั้นเป็นอาคาร มีกำแพงให้หลบกระสุนปืนที่ยังคงตรงมาเพื่อสังหารพวกเขาเรื่อย ๆ
ร่างของทหารอีซานปลิวกระจัดกระจายไปทั่วอาณัติตรงนั้น เลือดกระจัดกระขจายไปทั่ว เช่นเดียวกับไส้ แขน ขา สภาพของศพตกลงมายังพื้นดินอย่างน่าอนาถา ในขระที่รถถังและทหารคนอื่น ๆ ยังคงบุกตรงไปด้านหน้า
"ยิงสนับสนุน !!"
ทหารบริเวญใจกลางเมืองเริ่มพากันวิ่งออกมาเพื่อช่วยเหลือพร้อมอาวุธปืนของอีซานเช่นกัน ดูเหมือนทหารของเอลลาสในบริเวญนี้จะเริ่มพากันเรียนรู้ที่จะใช้อาวุธของอีซานแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะมันคือคำสั่งของแม่ทัพเกเบรียลให้หัดเรียนรู้อาวุธของศัตรูเพื่อที่เราจะได้ไม่พ่ายนแพ้อย่างง่ายดายเมื่อเข้าต่อสู้กัน เฉกเช่นในศึกก่อน ๆ ที่ผ่านมา ที่พวกเอลลาสแม้จะชนะอยู๋บ้างแต่เห็นได้ขัดว่าอีซานดูจะกำลังเล่นกับจิตใจของทหารเอลลาสก็เท่านั้น
"ปัง ๆๆๆๆๆ !" ห่ากระสุนตรงออกมา ทหารนอกรถถังต่างหวาดกลัวบ้างวิ่งเข้าไปหลบหลังรถถังเพื่อหวังให้ตนเองรอด "ปัง ๆๆๆๆๆ !" เฮอร์แมนขึ้นไปด้านบนและจัดการกราดกระสุนปืนกลบนรถถังอย่างบ้าคลั่ง ทว่าในความบ้าคลั่งก็มีคึวามแม่นยำและการคาดการณ์
"จงดูข้า เจ้าพวกอีซาน !!" ทหารเอลลาสคนหนึ่งวิ่งออกมาจากกองซากศพและจัดกสารขว้างระเบิดที่อยู่ในศพของทหารอีซานคนหนึ่งออกไปพร้อมดึงสลักระเบิดออก "ตู้ม !" แม้ชายคนนั้นจะถูกยิงตายแต่แรงระเบิดก็ฆ่าชีวิตของทหารอีซานในระแวกนั้นเช่นกัน
"ท่านฮิตเลอร์ช่วยข้าด้วย ! ท่านฮิตเลอร์ !" ทหารอีซานคนหนึ่งหลบหลังกำแพง สวดอ้อนวอนขอร้องพระเจ้าแห่งศาสนานาซีที่พวกเขาได้เรียนรู้จากท่านผู้นำเออร์วินแห่งอีซาน ขอร้องให้ช่วยชีวิตเขาด้วย "ฉึก !" อัศวินที่หลบอยู่หลังกำแพงอีกด้านหนึ่ง กระโดดอ้อมมาและใช้มีดแทางลงไปที่คอของทหารอีซานคนนั้นในทันทีทันใด ในขณะที่เขาพยายามดึงมีดออกจากคอของเขา อัศวินคนนั้นจัดการลากอีซานคนนั้นออกมายังกำแพงฝั่งเขาและจัดการกดมีดลงไปลึกจนทะลุคอไปในทันที สังหารชายคนนั้นอย่างเลือดเย็น
"ปัง ๆ !" อัศวินคนนั้นถูกยิงทิ้งไปในทันทีจากด้านหลังในขณะที่เขาดึงมีดออกจากร่างของทหารคนนั้นและแทงซ้ำลงไปอย่างไร้ซึ่งความหวัง เหตุที่อัศวินคนนั้นทำเช่นนั้นเพราะเขาณู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเขาก็ต้องตาย เขาแค่ต้องการบันดาลโทสะลงไปในศพอันน่าเวทนานี้เท่านั้น
รถถังเคลื่อนตรงไปด้านหน้าเรื่อย ๆ ในขณะที่พวกของเอลลาสเริ่มถูกบีบให้ถอยกลับเข้าไปในใจกลาง แม้จะมีการยิงสนับสนุนจากบริเวญใจกลางเมืองแต่ก็มิได้ช่วยอะไรมาก เหล่าอัศวินที่หลบอยู๋ตามบริเวญด้านนอกฆ่าได้เพียงเล็กน้อยก่อนจะถูกรุมยิงตายด้วยจำนวนพลทหารของอีซานที่เหนือกว่าและความชำนาญได่เปรียบในอาวุธ
ภาพของทหารอีซานด้านหลังที่บาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีเริ่มถูกพาถอยออกมา ในขณะที่พวกที่ยังไหวยังคงบุกตรงเข้าไปในตัวเมือง เฮอร์แมนมองดูทหารอีซานที่บาดเจ็บมากมายกำลังถูกรักษา ร่างกายที่ถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ เหลือเพียงร่างกายและจิตใจ บ้างไร้ซึ่งหนทางรักษาได้เพียงแค่ยื้อเวลาให้ผลาญลมหายใจไปก่อนหมดวัน มันเป็นภาพที่ดูสิ้นหวังที่เขาไม่เคยใคร่คิดดูเลยว่ามันดูน่าหวาดกลัวแค่ไหน
หากในบรรดาทหารเหล่านั้นจะมีคนแบบเขาในอดีตอยู๋ล่ะ.. เหล่าคนที่โ๙คร้ายมิอาจได้บอกลาครอบครัวของพวกเขา.. ไม่สิ มันต้องมีอยู่แล้ว.. และทำไมเรายังคงพาพวกเขามาให้โชคร้ายเช่นเราอีกล่ะ.. พาพวกเขามายังสมรภูมิรบที่มีเพียงการสูญเสีย.. เพื่อชาติเหรอ? แล้วมันจะคุ้มกันรึเปล่า?
ปกป้องผู้คนที่ก่อสงคราม แต่เสี่ยงที่จะต้องลาจากกับคนที่เรารักดั่งเป็นโลกของเราอีกใบ.. เฮอร์แมนเริ่มใคร่คิดขึ้นมาในขณะที่สายตาของเขามองไปที่ด้านหลังรถถังของเขา
"ถอยกลับเข้ามา ! เร็ว ! เร็วเข้า !" ทหารเอลลาสในตัวเมืองร้างเรียกหาคนอื่น ๆ ที่กำลังหนีออกจากห่ากระสุนปืนของอีซาน "ยิง !" เอลลิสตะโกนขึ้นมาทันทีที่เขาลั่นไกปืน
"ปัง !!" "ชิบหาย-!" ทหารบนหอคอยตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นกระสุนปืนที่ตรงมายังหอคอยที่เขาอยู๋ในชั่วพริบตา "ตู้ม !!" กระสุนปืนใหญ่ของรถถังยิงเข้าใส่ตัวหอคอยทำให้หอคอยตกลงไปยังบริเวญของใจกลางเมืองที่ทหารเอลลาสกำลังรวมตัวกันอยู่พอดิบพอดี สังหารทหารเอลลาสไปได้อย่างต่ำก็สิบคน
ในขณะเดียวกันเฮอร์แมนที่มองสมรภูมิรบจากด้านนอกยังคงนิ่งเงียบอยู่ ราวกับการรบในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเขาอะไรอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเขาผ่านการรบมาแล้วนับร้อยครั้งเห็นจะได้แล้ว เขาผ่านสงครามอันยิ่งใหญ่มาแล้วถึงสี่ศึกสงคราม สงครามโลกครั้งที่สอง สงครามแห่งการปฏิวัติเอลลาส สงครามกับทัพปีศาจมาราอุส และสงครามแห่งจักรวรรดิอีซานอันเกรียงไกรนี้
"ไปตายซะ-!!" จิมมี่ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับวิ่งออกจากกำแพงที่เขาหลบอยู่และกราดกระสุนใส่พวกอีซานนับสิบคนที่กำลังเข้ามายังกำแพงที่มีรอยรั่วของใจกลางปราสาทแห่งเมืองร้างเบาเร็นแห่งนี้
"ปัง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ !" ทหารอีซานล้มตายจากจิมมี่ที่ไร้ซึ่งผู้ใดคาดว่าจะพบเจอ "กึก !" เสียงของระเบิดสองลูกถูกโยนเข้ามายังบริเวญที่จิมมี่อยู๋ "ตู้ม !" แรงระเบิดทำลายกำแพงบริเวญนั้นลงไปพร้อมกับจิมมี่ที่หายไปเลย เหลือเพียงเศษเนื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ บนพื้นที่มอดไหม้
"พวกแกคนใดที่ไม่อยากจะสู้อีกแล้ว ! หนีไปซะ !!" "แต่จงรู้ไว้ว่าทุก ๆ คนที่จะยังอยู่ ณ ตรงนี้จะสู้จนตัวตาย !! และพวกเจ้าทุก ๆ คนที่รอดมาได้จะต้องจดจำนามของทุก ๆคนตรงนี้เอาไว้เพื่อบอกเล่าว่าพวกเรามิได้ตายเยี่ยงคนขลาด !! และพวกเรามิได้สู้เพื่อเอลลาส !! แต่สู้เพื่อครอบครัวของพวกเขา !!" ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาแก่พวกของเอลลาสที่เหลือประมาณร้อยคนได้เป็นอย่างมาก สีหน้าของเขาดูหวาดกลัวแต่ก็กัดฟันพูดจนจบพร้อมชี้ทางให้เห็นทางลับใต้ดินเพื่อหนีออกจากเมืองร้างแห่งนี้
"ม- มอร์โทส แกจะบ้ารึไง !?" "ใช่ !! ทีนี้ก็ไปซะ !! ข้าไม่ต้องการให้พวกเราต้องตายเช่นเดียวกับข้า !" ชายผู้ตะโกนขึ้นก่อนหน้านี้นามมอร์โทสตะโกนขึ้นทั้งน้ำตาทั่วเนตร มองไม่ยากว่าเขาสูญเสียทุกอย่างไปแล้ว จึงคิดจะทิ้งชีวิตทีนี่ หาใช่คนอื่น ๆ ณ ตรงนี้ที่ยังคงมีครอบครัว
"... แล้วแต่แกวะ.." ชายคนนั้นเมื่อเห็นดวงตาเช่นนั้นของมอร์โทสจึงเดินนำเข้าไปในทางลับนั้น ตามด้วยอัศวินคนอื่น ๆ ที่เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามกรูลงไปพร้อมทิ้งอาวุธของพวกเขาเอาไว้ตรงนั้น
อัศวินและทหารคนอื่น ๆ กรูลงไปนับเกือบครึ่งหนึ่งที่เหลือ เหลือเพียงชายทหารที่พร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองเอาไว้จริง ๆ เท่านั้นในบริเวญนี้ ในขณะที่ทหารคนอื่น ๆ ที่ไร้ซึ่งโอกาสหนี มารวมกันตรงนี้ยังคงสู้ต่อไป เมื่อนั้นมอร์โทสจัดการโยนระเบิดลงไปที่ซากกำแพงใกล้ ๆ กัน แรงระเบิดดันกำแพงให้ปิดทางลับลงไปเพื่อมิให้พวกอีซานคนอื่น ๆ ตามลงมาได้ในขณะที่พวกเอลลาสยังคงเดินตามทางลับไป
".... ไปช่วยคนอื่น ๆ กันพวก" มอร์โทสหลับตาลงและกัดฟันพูดขึ้นมาก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังบริเวญที่ห่ากระสุนยังคงถูกสาดไปทั่ว เสียงปืนดังสนั่นอย่างน่าหวาดกลัวราวกับเป็นเสียงคำรามของมัจจุราช
การต่อสู้ดำเนินไปเรื่อย ๆ เหล่าชายทหารแห่งเอลลาสมีแต่ตายกับตายไปเรื่อย ๆ กองศพเริ่มกองเป็นเนินเขาเล็ก ๆ หากมารวมกันเป็นกองใหญ่กองเดียวก็อาจมากพอที่จะทำให้คนสักคนกระโดดเล่นโดยไม่ระวังให้มากขาหักเลยก็ยังได้จากความสูงของมัน เสียงร้องของทั้งสองฝ่ายดังไปทั่ว คนพากันบาดเจ็บ ไร้ซึ่งผู้ใดจะหัวเราะให้ได้ยินเลยมีเพียงเสียงร้องไห้ สั่งการ และสาปแช่งเท่านั้นที่ออกจากปากของแนวหน้า ส่วนตัวเอลลิสก็เริ่มเงียบลงและจริงจังขึ้นมาในการต่อสู้ครั้งนี้เมื่อเข้าใกล้ด้านหน้าขึ้น
"ตายกันให้หมด !!" ทหารอีซานคนหนึ่งตะโกนชึ้น เมื่อนั้นเองอีซานนับร้อยวิ่งกรูออกมาและสาดกระสุนใส่เหล่าเอลลาสที่ไร้ซึ่งโอกาสต่อกร ยิงกราดใส่จนตายคาที่ภายในใจกลางเมืองทรี่ดูราวกับเป็นเขาวงกตให้แมวไล่จับหนูอะไรเช่นนั้น ตัวรถถังหยุดอยู่ตรงหน้ากำแพงของซากปราสาทร้าง เฮอร์แมนเดินลงมาจากรถถังก่อนจะนั่งพิงรถถังพักหายใจในขณะที่เอลลิสและคนอื่น ๆ ลงมาจากรถถังพร้อมอาวุธครบมือและรีบวิ่งตรงเข้าไปในปราสาทนั้นเพื่อสนับสนุนต่อในทันที ส่วนเบรุสเมื่อลงมาและเห็นเฮอร์แมนนั่งเงียบพักหายใจหืดหาดอยู่จึงเข้าไปดูอาการของผู้บัญชาการของเขาในทันที
"ท่านผู้บัญชาการครับ ?" "ไปก่อนเลย พลทหาร เดี๋ยวฉันจะตามพวกนายไปเอง" "ค.. ครับ" เบรุสที่ได้ยินคำพูดอันแหบแห้นเหน็ดเหนื่อยจากเฮอร์แมนที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนดังนั้นก็ค่อย ๆ เดินออกไปในขณะที่ตัวเขายังคงมองไปที่เฮอร์แมนด้วยความกังวล
เฮอร์แมนที่นั่งพักนั้นพอผ่านไปได้สักพักหนึ่งเมื่อตัวเขาหายเหน็ดเหนื่อยจากความคิดที่โลดแล่นจนมึนเมาในหัวของเขาจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมาและวิา่งตามทหารคนอื่น ๆ ไปพร้อมกระบอกปืนพกของเขาในทันที
เมื่อเฮอร์แมนวิ่งเข้ามาในปราสาทนั้นเขาก็พบกับทหารของอีซานเริ่มพากันตรวจเช็คตามบริเวญที่อาจมีพวกเอลลาสหลบอยู๋ในแต่ละที่ เฮอร์แมนที่เห็นดังนั้นก็เกาหัวออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงไปตามสัญชาตญาณและความคาดคะเนของเขาว่าเอลลาสจะไปอยู่บริเวญที่ใด และคำตอบนั้นก็คือใต้ดิน
เฮอร์แมนเดินลงไปตามบันไดสู๋ใต้ดินซึ่งดูจะยังไม่มีทหารผู้ใดมาเช็คเลย เฮอร์แมนเดินลงมาเรื่อย ๆ อย่างข้า ๆ และเงียบงั้นเพื่อมิให้ผู้ใดรู้สึกตัว เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่น่าจะเป็นพวกเดียวกับเขากำลังวิ่งลงไปเช่นกันทว่าทันใดนั้นเองก็มีเสียงของบางอย่างล้มลงไป
"ม-! แมร่งเอ้ย-!" "ปล่อยข้านะ !" เสียงของเบรุสจากด้านล่างกำลังต่อสู้กับใครบางคนอยู่ เมื่อนั้นเฮอร์แมนจึงรีบวิ่งลงไปในทันทีเมื่อได้ยินเสียงของลูกน้องคนสนิทของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย
เบรุสถูกแย่งปืนออกจากมือของเขา มันคือมอร์โทสเล็งปืนไปยังเบรุสด้วยท่าทางสั่นกลัวเมื่อเห็นเฮอร์แมนลงมาเพิ่ม
"อย่าขยับ !" เฮอร์แมนเล็งปืนไปที่มอร์โทส ทหารเอลลาสผู้ไร้ชื่อเสียงใด ๆ ในการศึก "แกน่ะแหละ !" มอรโทสที่ไม่รู้ว่าเฮอร์แมนเป็นคนสำคัญขู่กลับไปพร้อมกระบอกปืนเล็งไปที่เบรุสในขณะที่เขาค่อย ๆ ก้าวขาออก เบรุสพยายามหันไปมองเฮอร์แมนแต่กลัวว่าหากหันไปมอง ชาวเอลลาสผู้นี้อาจยิงเขาทิ้งก็ได้
"แกทิ้งปืนลงซะ ! เจ้าพวกอีซาน ! หรือจะให้ข้ายิงหมอนี่ทิ้ง !?" มอร์โทสใข้เบรุสเป็นตัวประกัน
หากนี่เป็นเฮอร์แมนคนเก่า เขาคงยิงมอร์โทสทิ้งไปแล้ว ทว่าคราวนี้กลับทำให้เขาไม่กล้าเหนี่ยวไกออกมา มิใช่แค่เขามิได้จับปืนพกมานานอาจทำให้เขายิงไม่โดนจุดตายเอาก็ได้ และทำให้มอร์โทสมีโอกาสยิงสวน ทว่าโดยปรกตินั่นไม่เคยหยุดยั้งเฮอร์แมนจากการยิงใครเลย แต่มันกลับมีบางอย่างในหัวที่สั่งมิให้เฮอร์แมนเหนี่ยวไก บางอย่างที่เฮอร์แมนขาดหายไปนาน
เฮอร์แมนรู้สึกแล้ว ว่าตัวตนเก่าของเขาได้กลับมาแล้วในขณะนี้ ตัวตนของทหารธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ต้องการจะช่วยชีวิตทุก ๆ คนให้มากที่สุดบนผืนนรกแห่งนี้..
เบรุสที่เริ่มเห็นท่าทีลังเลของเฮอร์แมนทำให้เบรุสรู้ได้อย่างแน่แท้ว่าเฮอร์แมเปลี่ยนไปแล้ว เขากลืนน้ำลายลงไปเล็กน้อยในขณะที่สถานการณ์ใต้ดินเริ่มตึงเครียด
"ก็.. ก็ได้" เฮอร์แมนพูดขึ่้นพร้อมกับค่อย ๆ ลดปืนลงไป "ใครข้างล่างน่ะ" เสียงของพวกอีซานดังลงมาจากด้านบน เมื่อนั้นเองมอร์โ?สที่ตกใจเมื่อได้ยินเสียงนั้นนิ้วมือจึงเผลอดีดเข้าที่ไกปืน
"ปัง !" กระสุนปืนยิงเฉี่ยวเข้าที่คอของเบรุส ตัวเบรุสล้มลงไปพร้อมมือกุมที่คอของเขาในขณะที่เลือดไหลพร่าน "ไม่ !" เฮอร์แมนตะโกนลั่นขึ้นมาในทันทีทันใดพร้อมเล็งปืนเข้าที่มอร์โทสใหม่อีกครั้ง "ปัง ๆๆๆ !" เฮอร์แมนเหนี่ยวไกถึงสี่ครั้งในการสังหารมอร์โทส ตัวมอร์โทสล้มลงไปนอนตายคาที่ ในขณะที่เฮอร์แมนรีบวิ่งไปหาเบรุสในทันทีทันใด
"พลทหารเป็นอะไรมั้ย ? พลทหาร !?" เฮอร์แมนเข้าไปหาเยรุสโดยเร็วในทันทีทันใด ตัวเบรุสมองไปที่เฮอร์แมนในขณะที่เขาพยายามกดบาดแผลที่คอของเขาให้แน่น บาดแผลที่คอเละเหวอะหวะ มันยิงเข้าไปโดนคอหอย แม้จะเพียงบางส่วนแต่ก็มากพอจะสังหารชีวิตนั้นทิ้งแล้ว "ผ.. ผบ. เฮอร์แมน.." เบรุสพูดขึ้นมาเบา ๆ ในขณะที่เลือดเริ่มไหลฟูมออกจากปากของเขา เฮอร์แมนที่เห็นดังนั้นก็รีบจับเบรุสพยุงขึ้นมาที่ไหล่ของเขาในทันที
"มีทหารบาดเจ็บ !" เฮอร์แมนตะโกนเรียกทหารด้านบน เมื่อนั้นเองทหารอีซานสองถึงสามคนก็นรีบลงมาตามเสียงในทันทีและต้องถึงกับอึ้งตะลึงเมื่อเห็นว่าผู้บัญชาการเฮอร์แมนที่ไม่เคยห่วงชีวิตทหารใด ๆ กำลังพยุงทหารใกล้ตายอยู่
"ไปเร็ว !" ทหารคนนั้นเรียกสติเพื่อนของเขาและรีบเข้าไปช่วยเฮอร์แมนพาเบรุสขึ้นไปด้านบนในทันที เมื่อทหารสองคนนั้นพาเบรุสขึ้นมาด้านบนได้แล้วนั้นก็วางลงไปกับพื้นและดูบาดแผลของเบรุสในทันที ในขณะที่เฮอร์แมนค่อย ๆ วิ่งตามไป
"ช่างข้า.. ไปซะ" เบรุสบอกกับทหารสองคนนั้นเมื่อทั้งสองเห็นบาดแผลของเบรุส เมื่อนั้นพวกเขาก็มองไปที่เบรุสด้วยสายตาเวทนาเศร้าสลดและค่อย ๆ วิ่งออกไปช่วยทางอื่น เฮอร์แมนที่เห็นดังน้ันจึงรีบมาดูเบรุสในทันที
"ท.. ท่าน..." เบรุสพูดขึ้นเมื่อเห็นเฮอร์แมนเข้ามาหาตัวเขา "ข- ข้าขอโทษ ข้าพลาดเอง-" "ขอบ... คุณ" เบรุสพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา คำพูดนั้นทำให้เฮอร์แมนตกใจขึ้นมาและเงียบไป เหตุใดเบรุสจึงขอบคุณตัวเขาล่ะ
"ขอบคุณที่ตัวท่านได้เริ่ม.." "เปลี่ยนแปลงมาเป็นเช่นนี้.. ทั้งท่านและไคเน่.." "ข้า... ขอบคุณ.." เบรุสขอบคุณที่เฮอร์แมนได้เปลี่ยนกลับมาเป็นทหารธรรมดา ๆ คนหนึ่ง มิใช่ผู้บัญชาการเลือดเย็นที่เบรุสคุ้นตาอีกต่อไป ในขณะที่เฮอร์แมนนิ่งเงียบพร้อมความเศร้าที่เริ่มผุดออกมาจากจิตใจอันลึก ๆ ของเขา
"...." เบรุสนิ่งเงียบไปในขณะที่เลือดยังคงไหลออกมาจากคอของเขา เฮอร์แมนที่เห็นดังนั้นก็ก้มต่ำลงไปในทันที ในขณะที่ทหารอีซานคนอื่น ๆ ไม่ทันสังเกตุ "แค่ก !.." เบรุสไอออกมาเป็นเลือดอย่างทรมาณ สายตาของเขาสั่นกลัวมองขึ้นไปบนเพดานหิน มันคงถึงวาระสุดท้ายแล้วของเบรุส
"น้องรัก.." "ได้โปรดอย่าเข้าเอสเอสเลย.." "อย่าทิ้งชีวิตมาตายเยี่ยงพี่เลย..." ".........." คำพูดสุดท้ายจากปากของเบรุสก่อนที่หัวใจเขาจะหยุดเต้นต่อหน้าต่อตาเฮอร์แมนที่พยายามอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ซึ่งก็ทำสำเร็จ
... ตัวตนเก่าของฉัน.. กลับมาแล้วเหรอ ?
เฮอร์แมนลุกขึ้นมาอย่างแน่นิ่งพร้อมกับก้มต่ำมองไปที่เบรุสที่ตายอย่างอเนจอนาถ
จะขอบคุณพระเจ้าหรือด่าทอดี.. แม้ตัวผมจะกลับมาแต่กลับต้องสูญเสียคนที่ดีกว่า.. มันคุ้มแล้วเหรอ ท่านบิดาบนสรวงสวรรค์..
"... เฮือก"
เฮอร์แมนหายใจออกมาอย่างโศกเบา ๆ ก่อนจะทิ้งปืนบนมือของเขาลงไปบนพื้นและเดินหนีออกไปอย่างเงียบกริบ
....
"พวกเราชนะแล้ว !!" และธงแห่งอีซานก็ถูกโบกสะบัด ณ เมืองร้างที่เต็มไปก้วยกองซากศพของทหารเอลลาสนับพัน และเหล่าทหารอีซานเกินสามร้อยได้
มันจบด้วยชัยชนะของอีซานเช่นเดียวกับคราวก่อน ๆ โดยปกติเฮอร์แมนจะต้องทำท่าเคารพแก่ธงชาติด้วยท่าทางอันแข็งตรงและจงรักภักดี
แต่คราวนี้เขากลับหายออกไป หลบอยู่ในเมืองและดึงป้ายชื่อทหารของพี่ชายของเขาขึ้นมามองดู
"พี่... " "ผมกลับมาแล้ว.." เฮอร์แมนพูดด้วยน้ำตา ตัวเขาทั้งดีใจและเสียใจในช่วงเวลานี้
|
|
|
Post by jussaateen on Jul 28, 2017 3:36:33 GMT
__________ "เจมส์ แครอล .. ชาวนาจากเมืองเอเลเนียร์ ขอเจ้าสู่สุขติ.. เวก้า คาร์เทอร์.. นายพรานจากเมืองเยเกอร์ ขอเจ้าสู่สุขติ.. แลร์รี ไวท์ หนึ่งในแพทย์ผู้คิดค้นการรักษาโรคเนื้อทอง ขอเจ้าสู่สุขติ.."
เหล่าทหารแห่งอีซานต่างมารวมกันในรุ่งสางยืนอย่างสงบนิ่งไร้เสียงร้องเฮฮาอันน่ายินดีจากทหารใด ๆ ในช่วงเวลานี้ มีเพียงเสียงลมและตัวแทนทหารผู้เคยเป็นนักบวชแห่งศาสนาหนึ่งกำลังกล่าวชื่อของทหารแต่ละคนผู้เสียชีวิตไปในการรบเมื่อไม่นานมานี้ ศพของทหารเกินร้อยคนถูกจัดเรียงกันเป็นแถว ผ้าคลุมสีขาวอันสะอาดสะอ้านถูกนำไปปิดบังใบหน้าของทหารเหล่านั้น บางรายไร้ซึ่งใบหน้าหลงเหลืออยู่ บางรายไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย ซากให้นำไปฝัง แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาล้วนโชคร้ายในการต่อสู้ในครั้งนี้
ทหารบางคนกำลังอดกลั้นหายใจเสียงดังฝืดฝาดอย่างเจ็บปวดและเศร้าโศก ทหารข้าง ๆ กายยืนเงียบและไม่หันไปมองหัวเราะเยาะแต่อย่างใดให้แก่ทหารบางรายที่กำลังอดกลั้นเสียงร้องไห้คร่ำครวญของพวกเขา หากมิตรสหายของพวกเขาตายก็คงจะร้องไห้เช่นกันนั่นแหละ พวกเขาล้วนคิดในขณะยืนไว้อาลัยเคารพเหล่าผู้กล้าทั้งหลายนี้
"มิคาเอล เบรุส.. อาจารย์จากสถานกำพร้าของเมืองเนฟออสนาร์ ขอเจ้าสู่สุขติ.." ชื่อ ๆ หนึ่งสะดุดหูของทหารชายคนหนึ่งเข้าทำให้ชายคนนั้นร้องสะอึดสะอื้นออกมา
ชายที่ร้องออกมาคนนั้นคือเอลลิส คนที่มักถูกเบรุสด่าทออย่างตลก ๆ อยู่เสมอ ๆ ชายที่สังหารเหล่าเอลลาสไม่เลือกหน้ากำลังเสียใจให้กับการตายของมิตรสหายที่ไม่เคยจะถูกชะตากันนัก แม้จะมิได้คุยกันบ่อยครั้งแต่ก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน นั่นคือสิ่งที่สำคัญ และต่อให้ชินตากับภาพของศพแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะมองศพของมิตรสหายคนรู้จักได้ชินดาหรอก จะเรียกว่าไม่มีวันชินตาก็ยังได้สำหรับเอลลิส
เอลลิสขยับสายตาของเขามองไปทางซ้ายขวา ดูมิตรสหายของเขาคนอื่น ๆ พวกเขาล้วนมีสีหน้าที่เสียใจไม่แพ้กันเลย ทุก ๆคนล้วนเสียใจให้กับการตายของเบรุสผู้นี้ หากทว่าเอลลิสสังเกตุเห็นคน ๆ หนึ่งที่หายไปในกองของเขา เอลลิสขยับสายตากลับมามองไปยังเบื้องหน้าดังเดิมเพื่อรักษาระเบียบ ทว่าคำถามยังคงดังก้องในหัวของเขาอย่างโกรธาที่ไม่เห็นชายคนนี้
"ฟู่ว" ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาจากปากของเฮอร์แมนที่กำลังหลบอยู๋หลังรถถังที่มีเขาคอยควบคุม เฮอร์แมนมองไปยังรถถังด้านหลังเขาด้วยสีหน้าตายอยาก ในขณะที่แอบขยับสายตา ชะเง้อหน้ามองออกไปที่บริเวญเหล่าทหารคนอื่น ๆ กำลังรวมตัวไว้อาลัยให้กับทหารที่ตายจากไปอยู่
เฮอร์แมนดึงบุหรี่ออกและปาลงไปยังพื้น เขามองตรงไปตามทางนั้นด้วยสีหน้าแอบสลดไม่น้อย คำว่าเห็นมิตรสหายตายจนชินตานั้นคงจะสามารถใช้ได้กับเฮอร์แมนได้เพียงคนเดียว เพราะเขามีอายุมาเป็นร้อยปีแล้ว และครึ่งชีวิตของเขานั้นอาศัย และหายใจในกลางสมรภูมิรบนี้นั่นเอง ซึ่งการที่เฮอร์แมนเห็นมิตรสหายของเขาตายจากไปมากมายเฉกเช่นนั้นเองจึงทำให้เฮอร์แมนแตกต่างจากทหารนายอื่น ๆ มาตลอด นั่นคือเขาเห็นจนชินตาแล้ว และพร้อมจะสูญเสียอีกเรื่อย ๆ
"ขอให้พวกเขาเหล่านี้ทุก ๆ คนไปสู่สุขติ" ชายคนนั้นหยุดเงียบลงจบสิ้นวาจาไว้อาลัยก่อนจะก้มหัวลงทำความเคารพ "เตรียมตัวยิง! ยิงได้!" ทหารที่มียศถาบรรดาศักดิ์พอประมาณแม้จะไม่เทียบเท่าเฮอร์แมนแต่ก็สามารถสั่งการทหารคนอื่น ๆ ได้ เขาสั่งตะโกนขึ้นมาอย่างดุดันเยี่ยงชายชาติทหาร "ปัง !" ทหารประมาณห้าคนเล็งปืนขึ้นฟ้าและลั่นไกไปหนึ่งนัด
"เตรียมตัวยิง! ยิงได้!" "ปัง !" พวกเขายิงขึ้นฟ้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง
"เครียมตัวยิง! ยิงได้!" "ปัง !" และนัดที่สาม
เฮอร์แมนแหงนสายตาขึ้นฟ้า เหล่านกวิหคเริ่มพากันบินออกจากป่าไม้เมื่อได้ยินเสียงปืนและร่อนไปตามนภาหนีห่างจากความไม่สงบที่กำลังจะคืบคลานมาออกไป
เอลลิสเดินออกมาจากแถวนั้นในทันทีเช่นเดียวกับทหารในกองคนอื่น ๆ และอีกมากมายกระจัดกระจายไปเพื่อเตรียมตัวในการเดินทางต่อไปสมทบกับทัพอื่น ๆ ทิ้งไว้เพียงทหารบางส่วนให้ฝังทหารผู้เสียชีวิตเหล่านี้และคอยเฝ้าดูลาดราวจากซากเมืองเบาเร็นแห่งนี้
เฮอร์แมนเคลื่อนสายตามาเห็นเข้ากับเอลลิสที่กำลังเดินตรงมาหาเขา ท่าทางดูเกรี้ยวโกรธาอย่างเห็นได้ชัดจากท่าทางยืดตัวกางแขนเล็กน้อยเยี่ยงอสูรกายที่กำลังจะบ้าคลั่งปลดปล่อยความเดรัจฉานออกมา จังหวะก้าวขาเริ่มรุนแรงและรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่มิตรสหายคนอื่น ต่างพากันวิ่งตามเอลลิสมาด้วยสีหน้าที่ดูจะแตกตื่นกลัวจะเกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเข้า
"ควั่บ!" หมัดถูกเหวี่ยงออกมาอย่างรวดเร็วเข้าไปยังเฮอร์แมน แม้เฮอร์แมนจะมองหมัดทันและสามารถหลบได้อย่างสบาย ๆ แต่ตัวเขากลับไม่ "ปัป!" หมัดอัดเข้าเต็มหัวขมับเฮอร์แมน ตัวเฮอร์แมนเสียการทรงตัว ร่างกายเซถอยออกมาจนแทบล้ม ในขณะที่เอลลิสแทนที่จะหยุดหมัดของเขาแต่กลับเหวี่ยงหมัดด้วยแขนอีกข้างของเขาไปอีกคราวหนึ่งด้วยความโมโหและเคียดแค้น
"ปั่ป!" "ตุบ!" ตัวเฮอร์แมนล้มลงไปนอนหงายกับผืนหญ้าสีเขียว เอลลิสคุกเข่าลงไปและจัดการเหวี่ยงหมัดของเขาลงไปอีกคราวหนึ่ง
"ปั่ป!" "ปั่ป!" "ปั่ป!" "ปั่ป!" "ปั่ป!"
".. ไอบัดซบ!"
"ปั่ป!" "ฉึก!" "ปั่ป!" "ควั่บ!" "ควั่บ!" เอลลิสรัวหมัดลงไปที่หน้าของเฮอร์แมนโดยไร้ซึ่งความเคารพ ไร้ความสนใจแก่เรื่องที่ว่าเฺฮอร์แมนเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา เขาเพียงต้องการจะอัดเฮอร์แมนให้ตายไปข้างเพียงเท่านั้นจากสายตาที่เฮอร์แมนเห็น
"เอลลิส พอได้แล้ว!" "ไอห่าเอ้ย! ทำบ้าอะไรของแกวะ!" "จับมันนอนลง! เร็ว!" "แกทำบ้าอะไรของแกวะ เอลลิส!" สหายประมาณสองถึงสามคนวิ่งเข้าไปดึงตัวเอลลิสออกอย่างรุนแรงโดยเร็วและพยายามจับนอนคว่ำลงไปในขณะที่ตัวเอลลิสขัดขืนสุดแรงเกิดของเขาพร้อมหันหน้าไปมองผองมิตรของเขาอย่างพิโรธโกรธาถึงการกระทำของสหายของเขา
"ปล่อยกู !! ปล่อยกูสิวะ !" เขาตะโกนขึ้นมาเสียงดังในขณะที่พยายามดิ้นออกจากแรงพันธนาการของชายทหารสองคนกดทับร่างของเขา "กูจะเล่นมัน ! กูไม่สนแล้วเว้ยว่าจะหัวหน้าหรืออะไร !! กูจะอัดมัน !!!" เอลลิสตะโกนด้วยความแค้นในขณะที่สายตาคว้าหันกลับมองไปที่ตัวเฮอร์แมนที่กำลังพยายามลุกขึ้นมา
ตัวเฮอร์แมนใช้มือข้างหนึ่งปิดบังใบหน้าของเขาเล็กน้อยทั้งนอนอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ ใช้มือเช็ดเลือดออกจากใบหน้าของเขา จมูกของเขาหักเบี้ยวออก สภาพของมันดูย่ำแย่อย่างบอกไม่ถูก เลือดเต็มทั่วใบหน้าเมื่อเขาใช้มือจับดูก็รู้สึกถึงอะไรคล้ายกับเศษเนื้อราวกับมันหลุดออกจากใบหน้าของเขาไปจากแรงหมัดแห่งความแค้นจากลูกน้องของเขาเอง
"เป็นอะไรมั้ยครับ ท่านผู้บัญชาการ.." ชายไว้หนวดเครายื่นมือไปหาเฮอร์แมน ผู้บังคับบัญชาของเขา เฮอร์แมนที่เห็นดังนั้นก็คว้ามือและลุกขึ้นยืน
"ทำไมแกไม่มา !" "ทำไม !!" เอลลิสตะโกนถามขึ้นด้วยความโกรธและความสงสัยที่ค้างคาใจเขามานานนัก
"ครั้งที่แล้วก็ บรอน! คราวนี้ก็ มิคาเอล !" "แกไม่คิดจะอย่างน้อยก็เคารพพวกเขาหน่อยหรอวะ ! ไอบัดซบ !!"
"พวกเขาเคารพแกอย่างสมศักดิ์ศรี !!" "พวกเขารับคำสั่งแกโดยไม่ต่อเถียง !!" "พวกเขาทำหน้าที่อย่างสมเกียรติ !!"
"แล้วแกจะไม่เคารพแรงกล้าของพวกเขาหน่อยหรอ !! ไอ !!" เอลลิสตะโกนด่าทอ ต่อว่าเฮอร์แมนโดยไร้ซึ่งความเคารพ มีเพียงความเกลียดชังที่ถูกพ่นออกมาจากปากของชายผู้ในช่วงเวลานี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความโศกและความโกรธแค้น และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะการกระทำอันไร้ซึ่งเหตุผลของเฮอร์แมน การกระทำที่ดูเป็นการดูหมิ่นอย่างสูงที่จะไม่มีใครเข้าใจนอกจากตัวเฮอร์แมนเอง
"บอกข้าที !! .. ทำไม .. ทำไม !?" "ทำไมวะ !!!??"
ข้าไม่ต้องการมองดูลูกน้องของข้าถูกฝังอีกแล้ว !! ข้าไม่อยากจะต้องมาท่องชื่อเขาในยามดึกอีก !! ข้าไม่ต้องการ !! ทั้งชีวิตนี้ข้าเห็นมามากพอแล้ว !!! ข้าแค่ต้องการจะพักเท่านั้นเอง มันยากมากหรอวะ !!!!
ฮานส์! คาร์ล! ฮูโก้! ชารล์! เจมส์! แจ็ค! ไรนัส! โรคิอ้อน! เกรซ! วินเทอร์! ซามูเอล! เนโร! คาร์เทอร์! โจนาธาน! ทรอยด์! เกรก! บรอน! เบรุส! คนสนิทของข้าตายไปหมดแล้ว ! หมดทุกคน !! และข้าก็ไม่เคยลืมเขา !! มันอยู่ในหัวของข้าตลอด !! ข้าสวดให้พวกเขาทุกคืนจึงจะหลับลงได้ !!! แค่นี้ข้าก็ฝันร้ายมามากพอแล้ว !!! ได้โปรดไอบัดซบ ให้ข้าพักหน่อยไม่ได้หรอวะ !!!!
เพียงแค่นี้ข้าก็ฝันเห็นพวกเขาตายไปนับแสนครั้งในความฝันแล้ว.. หนึ่งร้อยปีที่หลุมศพทหารคอยหลอกหลอนข้า ! .. ข้ายังไม่เคยได้พักผ่อนเลยสักครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ออกมาจากแฟรงค์เฟิร์ท !! นับแต่วันนั้นข้าก็ฝันร้ายมาตลอด !! เจ้าเข้าใจมั้ย ! ...
ความคิดไหลพร่านไปทั่วหัวของเฮอร์แมน เขาจ้องมองกลับไปหาเอลลิสอย่างตายอยากในขณะที่เลือดยังคงหยดลงมาจากจมูกของเขา ปากที่สั่นราวกับต้องการจะพูดแต่ก็จำใจพูดออกมาไม่ได้ น้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลออกจากดวงตาที่แน่นิ่งเยี่ยงซากศพมองไปทางเอลลิส เขาต้องการจะพูดความในใจออกมาแต่ก็มิกล้าจะหยั่งลึกลงไปในตามหยากใย่ภายใต้จิตใจของเขา เพราะมันมีแต่จะทำให้เฮอร์แมนต้องเห็นภาพของคนตายซ่้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวแทน และนั่นเป็นสิ่งที่เฮอร์แมนเกลียดชังที่สุด ภาพของคนตาย
เมื่อเอลลิสได้เห็นสีหน้าและแววตาของเฮอร์แมนดังนั้นจึงเงียบลงไปเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ พวกเขาตัวแข็งทื่อลงไป มันเงียบลงราวกับจู่ ๆ ทุก ๆ คนก็หยุดหายใจอะไรอย่างนั้นเพราะมันไร้ซึ่งเสียงใดหลงเหลืออยู่เลย พวกเขาได้เห็นแล้วว่าฝันร้ายที่แท้จริงเป็นเช่นไร เพราะคนตรงหน้าพวกเขาเป็นตัวอย่างของผู้ที่อยู๋ในฝันร้ายมานานเกินไป
คนตรงหน้าของพวกเขา คือคนที่สูญเสียตัวตนไปให้กับสงคราม ผู้ที่ได้คร่ำครวญหน้าหลุมศพมานานจนกลายเป็นเช่นนี้ และตอนนี้เขาก้ยังคงแบกความเศร้าโศกและความทุกข์นั้นไว้อยู่โดยไม่เคบนำมันลงจากบ่าของเขาสักครั้งเดียว
"... เพราะข้ากลัวไงล่ะ เอลลิส.." "ข้ากลัวที่จะต้องเห็นสหายต้องตายอีกคราวในฝันร้ายของข้า...."
เฮอร์แมนตอบออกมาอย่างแผ่วเบาให้เอลลิสได้เข้าใจ ดวงตาที่ไร้ซึ่งการกระพริบตาใด ๆ มีเพียงหยดน้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลพร่านออกมาโดยไม่หยุดส่วนเลือดนั้นก็เริ่มหยุดไหลออกจากจมูกของเฮอร์แมนแล้ว เมื่อทุก ๆ คนได้ยินดังนั้นก็มิได้ตอบกลับอะไรหัวหน้าของเขา บ้างยังคงสงสัย บ้างยังคงค้างคา และบ้างก็มิได้คิดอะไรไปเลยถึงตัวของเฮอร์แมนตั้งแต่หลังจากเห็นใบหน้าอันเต็มไปด้วยความทุกข์ของเฮอร์แมนเมื่อก่อนหน้านี้
"ขอตัว..."
เฮอร์แมนกล่าวขึ้นเป็นวาจาสุดท้ายก่อนจะเดินทิ้งทหารที่เหลือตรงนั้นไป เฮอร์แมนเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อหาที่เงียบ ๆ ให้เขาได้ล้างแผลบนใบหน้าของเขาออกและสงบสติอารมณ์ พลางเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาของเขาทิ้งพร้อมกับปิดบังสายตาของเขาจากแสงแดด ในขณะที่ทหารคนอื่น ๆ ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและมองไปทางที่เฮอร์แมนเดินไปโดยมิได้กล่าววาจาใด ๆ
__________
ไร้ซึ่งเสียงวาจาใด ๆ ในขณะการเดินทางบนรถถังของเฮอร์แมนนอกจากเสียงวิทยุติดต่อ พูดคุยสนทนากันของเหล่าทหารแต่ละกองจากวิทยุ เอลลิสที่โดยปกติมักจะพร่ามไม่หยุดถึงความมันส์ ความสนุกสนานของตนเองในครั้นอดีตและปัจจุบัน บัดนี้กลับเงียบอย่างตึงเครียดลง ไร้ซึ่งอารมณ์ขันหรือรอยยิ้มบนหน้าเขาอีกต่อไปเช่นเดียวกับทหารคนอื่น ๆ ภายในรถถังที่เพียงทำหน้าที่ของตนเองอย่างเงียบ ๆ ไป
เฮอร์แมนแหงนหน้าออกจากรถถังตั้งแต่เริ่มการเดินทางเพื่อไปล้อมโจมตีกองทัพของเกเบรียล ชารล์ เขามองตรงไปด้านหน้าส่องดูป่าไม้พงไพรและทหารค่อย ๆ เดินผ่านรถถังไป เสียงสนทนาเบา ๆ ควบคู่กับเสียงของนกบนต้นไม้สีเขียวอร่ามส่งเสียงเรียกหามิตรของมันตัวอื่น ๆ มันดูช่างสงบเงียบยิ่งนักเมื่อเทียบกับในคราวที่เขาถูกลงหมัดอย่างเกลียดชังโดยลูกน้องของตนเอง
ใบหน้าของเฮอร์แมนถูกผ้าพันแผลสีขาวพันไปทั่วหน้า ส่วนมากจะรวมกันที่จมูกของเขา เลือดสีแดงยังคงมีซึมออกจากผ้าพันแผลเล็กน้อย ตอนนี้สภาพของเฮอร์แมนนั้นดูเละตุ้มเป๊ะไม่จากทหารธรรมดา ๆ คนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย
"เรียกท่านผู้บัญชาการ เฮอร์แมน เปลี่ยน" เสียงจากวิทยุติดต่อดังออกมา "นี่เฮอร์แมน มีอะไร เปลี่ยน" เฮอร์แมนที่ได้ยินเสียงเรียกจากวิทยุภายในรถถังจึงค่อย ๆ ลงมานั่งภายในรถถังพร้อมดึงวิทยุขึ้นมาติดต่อกลับไป
"มีสายจากท่านผู้นำครับ" เสียงจากวิทยุดังตอบกลับไป เมื่อเฮอร์แมนและคนอื่น ๆ ภายในรถถังได้ยินดังนั้นต่างก็สะดุ้งตกใจขึ้นมาในทันที เอลลิสหันหน้ากลับมามองเฮอร์แมนด้วยความสงสัยใคร่รู้ เฉกเช่นเดียวกับเฮอร์แมนท่ี่ตายังเบิกโพลนอยู่
"เฮอร์แมน นี่ฉันเอง เออร์วิน" ท่านผู้นำ เออร์วิน เฟอร์เดริค ฮิมเลอร์รับสายแล้ว "ครับผม" เฮอร์แมนตอบกลับไป
"มีคำสั่งใหม่ นำกองจู่โจมไปที่เมืองเยเกอร์" "ขอผมถามได้มั้ยครับว่าทำไม?" เฮอร์แมนถามตอบกลับไปด้วยความสงสัยเนื่องจากอีกวันเดียวพวกเขาก็จะไปถึงเมืองเอเลเนียร์แล้ว
"กองทัพของแม่ทัพเกเบรียลมาถึงเมืองเอเลเนียร์แล้ว บัดนี้กำลังต่อสู้กันอยู่ก่อนกำหนด คาดว่าทัพของพวกเอลลาสน่าจะเอาชนะลงได้ ฉะนั้นขอสั่งให้ไปดักโจมตีที่เมืองเยเกอร์ซะ" เออร์วินพูดอธิบายขึ้นมาถึงสาเหตุ
"และก็.. ทันทีที่ถึงเมืองเยเกอร์ ขอสั่งให้นายและกองรถถังของนายเข้าไปดักศัตรูที่ป่าอีนส์เมียร์ ทิศตะวันตกของเมืองเยเกอร์ ส่วนที่เหลือของกองจู่โจมจะไปร่วมรบกับทัพตั้งรับของเมืองเยเกอร์อีกคราวหนึ่ง" เออร์วินอธิบายเสริมต่อ ทันทีที่เฮอร์แมนได้ยินดังนั้นตัวเขาก็ถึงกับถุมขมับของเขาในทันทีถึงคำสั่งนั้นพร้อมสีหน้าที่แอบสื่อแววของความโกรธผุดออกจากใบหน้า
"กระผมขอถามอีกเช่นกันว่าทำไม? หากทัพของเกเบรียลจะถอยออกมา ทิศใต้เป็นทางที่ดีที่สุด เพราะที่นั่นมีเมืองยะมิที่พวกมันยึดครองจากเราได้อีกที แม้จะไกลหน่อยแต่ก็อันตรายน้อยกว่า และยังเป็นการเพิ่มกำลังทัพอีกคราวหนึ่งด้วย-" "เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับทัพของเกเบรียลแล้ว เฮอร์แมน นี่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า และฉันขอให้นายทำมันให้สำเร็จ" เสียงของเออร์วินดูโกรธกร้าวขึ้น ดูเหมือนเขาจะเอาจริงเอาจังกับพูดนี้มาก
"พวกอัศวินไวเวิร์นสีฟ้าอย่างน้อยสามนายกำลังจะหนีกลับไปที่เอลลาส โดยพวกมันยังไม่รู้ว่าเมืองร้างเบาเร็นถูกยึดไปแล้ว ความเป็นไปได้คือพวกมันจะหนีกลับไปทางนั้น" ทันทีที่เฮอร์แมนได้ยินคำพูดนั้น ตัวเขาถึงกับต้องตกใจในทันทีเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในรถถังที่ได้ยินคำพูดนั้น คำ ๆ หนึ่งที่สะดุดหูของพวกเขามากที่สุดเริ่มดังก้องไปทั่วหัวของพวกเขา เพราะไม่เคยมีใครเคยรับรู้ว่ามันมีอยู่จริง รู้เพียงแค่ว่าหากได้พบกันมีหวังต้องถูกฆาตเป็นแน่แท้
".. ไวเวิร์นสีฟ้า.." เฮอร์แมนพูดออกมาเบา ๆ "พวกมันจับตัว มัตซึอุระ ริกะ .. ราชินีพันปีไปจากเมืองเอเลเนียร์ คาดว่าคงมีแผนการ" เออร์วินพูดเสริมขึ้นต่อ
"เราได้ข้อมูลมาจากสองทาง.. สายสืบของเราในเอลลาส และ หัวหน้ากองจู่โจมที่สี่แห่งอีซาน ราอูล นาซาริ" เออร์วินบอกถึงแหล่งที่มา หนึ่งในนั้นคือหัวหน้ากองจู่โจมผู้มีชื่อเสียงลือลั่น เฮอร์แมนจำได้ว่าชายนามราอูลผู้นั้นเคยบอกกับไคเน่ถึงเรื่องที่ว่านางจะถูกย้ายออกจากกองของเขา
"ราอูลบอกกับข้ามาว่าเขาสังหารคนของไวเวิร์นสีฟ้าไปแล้วหนึ่งชีวิต และจับเป็นได้อีกหนึ่งนาย" "... ครับ"
".. ก็.." "ฉันมีคำสั่งมาให้นายแค่นี้นั่นแหละ เฮอร์แมน.. แล้วเจอกัน" เออร์วินเงียบชะงักชั่วขณะก่อนที่เขาจะพูดจบไปและวิทยุก็ถูกตัดไปในทันที
เฮอร์แมนค่อย ๆ ดึงวิทยุออกมาวางกับไปที่เดิม พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างของเขาเช็ดเหงื่อที่ไหลออกจากใบหน้าของเขาเล็กน้อยทิ้งไป ในขณะที่ทหารคนอื่น ๆ ยังคงครุ่นสงสัยอยู๋ถึงสิ่งที่ท่านผู้นำรายงานให้หัวหน้าของพวกเขาฟัง
"มีพวกนั้นอย่างน้อย ห้าคนเรอะ.. ไวเวิร์นสีฟ้าน่ะ" อีธานพูดถามกับใครก็ไม่รู้ขึ้นมาด้วยความอึ้งตะลึง "กี่ตัวไม่สำคัญ... นี่งานสุดท้ายข้าแล้ว" เอลลิสตอบกลับไปอย่างจริงจังโดยไม่หันกลับมามองอีธานด้านหลังเขา
"เสี่ยงชีวิตมามากพอแล้ว.. หลังจากสิ้นสุดงานนี้ ข้าขอลาออกนะ ท่านผู้บัญชาการเฮอร์แมน" เอลลิสหันกลับมาถามเฮอร์แมน เฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นก็หันมามองเอลลิสกลับไๆปและตอบกลับเขาตามความจริง
"ออกจากกองได้ แต่อาจจะถกย้ายไปอยู่แนวราบแทน.." "... เลือกยากแฮะ" เอลลิสที่ได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นมาพร้อมกรอกสายตาขึ้นเหนือหัวราวกับกำลังใช้สมอง
โดยปกติทหารผู้ใดก็ต้องเลือกที่จะอยู่ในรถถังอยู่แล้วเพราะมันปลอดภัยกว่า แต่จากคำพูดของเอลลิสนั้นสื่อออกมาว่าเขาไม่สามารถเลือกได้ ระหว่างความปลอดภัยกับอันตรายด้านนอก อาจจะเพราะเขาเกลียดที่จะต้องอยู๋ในรถถังแล้วก็ได้
"และก็.. ขอโทษด้วย ท่านเฮอร์แมน.. เรื่องที่ตัวข้า-.." "ข้าให้อภัย เอลลิส.. ข้าไม่ว่าเจ้าหรอก" ไม่ทันที่เอลลิสจะพูดจบ ตัวเฮอร์แมนก็บอกให้อภัยกลับไปในทันที
เมื่อเอลลิสได้ยินวาจาที่เขาไม่เคยได้ยินจากท่านผู้บัญชาการของเขาเฉกเช่นนั้นเขาก็หันกลับมาใช้สายตาจรดมองดูอีกคราวหนึ่ง หากทว่าสีหน้าของเฮอร์แมนมิใช่อย่างที่เอลลิสคาดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย เพราะแทนที่มันจะแน่นิ่งเยี่ยงเช่นก่อน มันกลับมีรอยยิ้มเล็กน้อยผุดออกจากใบหน้า แม้จะมิได้มากเช่นคนอื่น ๆ เวลามีความสุขแต่มันก็มากพอที่จะให้เอลลิสสังเกตุเห็นว่าเฮอร์แมนเปลี่ยนไปแล้ว แม้เขาจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แต่มันก็เปลี่ยนไปแล้ว
"ขอบคุณ" เอลลิสพูดทิ้งท้าย
__________ "แมร่งเอ้ย !!! ...." "ไอ้แม่ !! ....." "บัดซบที่สุด !!!"
เสียงร้องแห่งความทุกข์ทรมาณดังโอดอวนจากปากของเฮอร์แมนภายในห้องทำงานของเขา ตัวเฮอร์แมนคุกเข่าลงไปที่พื้นห้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก โอดครวญ แววตาคลุมไปด้วยน้ำตา ทว่าภายใต้ความเศร้าเหล่านั้นก็มีความพิโรธเกรี้ยวโกรธาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองของเขา ใบหน้าของเฮอร์แมนตอนนี้นั้นไร้ซึ่งความสุขเลยแม้แต่น้อยนิด ราวกับถูกช่วงชิงไปในทันทีทันใดจากร่างกายและจิตใจของเขา
บนมือของเฮอร์แมนคือจดหมายพร้อมกับของสิ่งหนึ่งที่เฮอร์แมนจดจำมันได้ และเขาไม่ต้องการที่จะเห็นมันจากจดหมาย แต่เขาต้องการจะได้มันมาจากมือของมนุษย์จริง ๆ
'ถึงท่านผู้บัญชาการ เฮอร์แมน เฮสเซน
ตัวข้าคิดว่าอีกไม่นานข้าคงจะตายในไม่ช้า ภารกิจครั้งนี้นั้นมันมิได้ง่ายอย่างที่ข้าและคนอื่น ๆ คาดการณ์ไว้ มันเกี่ยวโยงถึงเหล่าไวเวิร์นสีฟ้าแห่งเอลลาสด้วย ข้าจึงคิดว่าหากข้าตายไปแล้วนั้นจี้ห้อยคอเส้นนี้จะกลับมาหาท่านได้เช่นไรกัน? ข้าจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาและส่งมายังท่านควบคู่กับจี้ห้อยคอของท่าน
ตัวข้าเพียงต้องการขอบคุณท่านจริง ๆ ขอบคุณที่ท่านอยู่เคียงคู่ข้ามาโดยตลอด ขอบคุณที่ท่านคอยพยายามปกป้องข้าจากสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ แม้จะเป็นการโกหกข้าก็ตามแต่ข้าก็ขอบคุณ
สุดท้ายนี้ ข้าอยากจะบอกกับท่านว่า ข้ารักท่าน แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม แต่ข้าก็อยากที่จะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของท่านอีก
ขอให้โชคดีนะท่านเฮอร์แมน
จาก ไคเน่'
"..." เฮอร์แมนเงียบลงไป น้ำตายังคงไหลพร่านจากดวงตาทั้งสองข้างในขณะที่มือข้างหนึ่งของเขาดึงจี้ห้อยคอขึ้นมาจรดมองดูอย่างพินิจ ก่อนที่เขาจะกุมมันและวางแนบหน้าอกของเขาชั่วขณะแล้วจึงวางมันลงควบคู่กับจดหมายฉบับนั้นดังเดิม ในขณะที่สายตาจรดมองไปรอบ ๆ ห้องของเขา ปากอ้ากว้างราบกำลังจพูดวาจาออกมา
"พระเจ้า.. ท่านเกลียดข้ามากเลยใช่มั้ย?" เฮอร์แมนถามขึ้นมา "เพราะข้าสังหารในสนามรบมามากเกินจะอภัยใช่มั้ย?" เฮอร์แมนอ้าแขนทั้งสองขึ้นมา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ความสับสนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมา "หรือว่าท่านแค่ต้องการจะกลั่นแกล้งข้ากัน?"
เฮอร์แมนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมใช้มือจับโต๊ะช่วยพยุงตัวเขาเอาไว้
"ตอบข้า.. ตอบข้า !" "อย่าเงียบใส่ข้าสิวะ !!" เฮอร์แมนตะโกนลั่นออกมาด้วยความโกรธ
"..." เฮอร์แมนเงียบลงไป ตัวเขาหลับตาลงไป และพยายามทำใจของเขาให้เย็นลง ตัวเขาจำใจรับไม่ได้อีกต่อไปแล้วจึงหลับตาลง ปิดบังสายตาของตนเองจากความโหดร้ายทั้งปวงเพือให้ผ่อนคลายลงในความเงียบสงบ
"ก็อก ก็อก" เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา เรียกให้เฮอร์แมนกลับเข้ามายังความชั่วร้ายรอบตัวเขา เฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและขยับก้าวขาของเขาไปเปิดประตูนั้นอย่างยากเย็น "เฮอร์แมน.. ฉันแค่อยากจะบอกว่าฉันเสียใจด้วยถึงเรื่องการตายของไคเน่และ-" "เออร์วิน.. ผมขอให้คุณช่วยออกไปก่อนเถอะ" เฮอร์แมนพูดขัดจังหวะเออร์วิน การกระทำที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเลยสักครั้งเดียว ทันทีที่เออร์วินได้ยินดังนั้นตัวเขาก็เอะใจมองกลับไปที่เฮอร์แมนในทันที
".. นายพูดขัดฉันเหรอ เฮอร์แมน" เออร์วินถามขึ้นด้วยรอยยิ้มขบขันตามภาษาของเขาเอง ทว่าเฮอร์แมนนั้นมิได้ยิ้มตามด้วย เขามองกลับอย่างมโหด ตอนนี้เฮอร์แมนไม่ได้ต้องการเล่นหรือคุยอะไรทั้งนั้น เขาต้องการความสงบ "ฉันแค่จะมาขอโทษเรื่องไค-"
"และผมก็ขอให้คุณช่วยออกไปก่อน.." เฮอร์แมนพูดขัดเออร์วินอีกรอบหนึ่ง เออร์วินที่ได้ยินดังนั้นก็มองกลับไปหาเฮอร์แมนด้วยแววตาเอาจริงเอาจังเช่นกัน
"นายรู้ตัวใช่มั้ยว่านายกำลังคุยอยู๋กับใคร" เออร์วินถามขึ้นมา "นายกำลังพูดอยู๋กับกษัตริย์แห่งอีซานคนใหม่ และเป็นผู้นำของแก" "เผื่อแกจำไม่ได้ ฉันช่วยชีวิตแกออกจากซากรถถังพวกนั้น" เออร์วินพูดย้ำเตือนพร้อมกับชี้ไปที่ใบหน้าของเฮอร์แมน
"ทีนี้ ขอโทษฉันซะถึงกิริยาไร้สัมมาคารวะของแก" เออร์วินพูดขึ้นมาทันทีที่เฮอร์แมนได้ยินดังนั้นตัวเขาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากตอบกลับไปโดยไร้ซึ่งความกลัว หรือความเคารพ
"คุณรู้ตัวมั้ย คุณเออร์วิน ว่าคุณทำอะไรลงไป?" เฮอร์แมนถามขึ้นมาอย่างสุภาพ "กำลังสั่งสอนแก.." เออร์วินตอบกลับไปพร้อมลอกเลียนเสียงสำเนียงของเฮอร์แมน
"ไม่.. ผิดมหันต์เลย เดี๋ยวผมจะอธิบายให้คุณฟัง" เฮอร์แมนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเบา ๆ เล็กน้อย "ประมาณสองสามสัปดาห์ก่อนผมเริ่มรู้สึกแล้วว่า.. ผมจะทำตามที่ครอบครัวของผมเคยขอเมื่อร้อยกว่าปีก่อนได้ ว่าให้ผมเป็นตัวผมไปตลอด" "คนที่ยิ้มได้ หัวเราะได้ พวกที่คุณชอบเรียกว่าพวกไร้ความสามารถนั่นแหละ" เฮอร์แมนอธิบาย
"แต่ผมเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นอาวุธชิ้นหนึ่งให้กับอีซาน.. ให้กับนาซี.. ให้กับคุณ" "แต่แล้วสองสามสัปดาห์ก่อน ผมก็ได้รู้สึกว่าตัวผมคนเดิมกำลังกลับมา.. ผมรู้สึกว่าผมกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งเพราะไคเน่ และทหารคนอื่น ๆ.."
"และคุณรู้มั้ยมันเกิดอะไรขึ้น?" เออร์วินเริ่มจับทางได้แล้วว่าเฮอร์แมนกำลังจะพูดคำใด สีหน้าของเฮอร์แมนจากเป็นมิตรเปลี่ยนแปลงกลายเป็นศัตรูอาฆาตแค้น "แก !!! ทำลาย !!! ความหวังของฉัน !!!" "สงครามฆ่าพวกเขา !!!!! หมด !!! ทุกคน !!!!" เฮอร์แมนตะโกนขึ้นด้วยความพิโรธ
"แกพาพวกเขาไปสู่สงคราม !! และปล่อยให้พวกเขาต้องตาย !!! แกทำลายความเป็นมนุษย์สุดท้ายของฉันไป !!!" "และฉันต้องกลายเป็นอาวุธให้แกไปอีกกี่ปีล่ะ !? ห้าสิบปี !? หนึ่งร้อยปี !? สองร้อยปี !? จนกว่าแกจะกลายเป็นพระเจ้ารึไงวะ !!!?"
"... นายรู้ดีนะว่าถ้านายทำอย่างนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น.." เออร์วินพูดกับเฮอร์แมนขึ้นมาอย่างแผ่วเบา "รู้.. และฉันก็เตือนนายแล้วว่าให้ออกไป.. แต่นายเลือกที่จะอยู่เอง.." "แต่ไม่เป็นไรฉันจะให้โอกาสแก ไอบัดซบ ออกไป !!!!!" เฮอร์แมนพูดขึ้นมาเสียงดังลั่น ตอนนี้เขาไม่สนใจสิ่งใดแล้วนอกจากความแค้น ความเกลียดชังที่มีต่อเออร์วิน
"... ก็ได้.. ก็ได้ เฮอร์แมน ฉันจะทำตามนั้น" เออร์วินพูดขึ้นก่อนจะเดินทิ้งออกไปเลยโดยไม่ปลดปล่อยอารมณ์ใด ๆ ออกมานอกจากความผิดหวัง
เฮอร์แมนที่เห็นดังนั้นก็จัดการปิดประตูไปในทันที
"ตึง!"
__________ สามเดือนต่อมา..
ภายในห้องอันโทรมเละไปหมดในสักที่แห่งหนึ่ง ตัวเฮอร์แมนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่น และหนวดเครากำลังเก็บข้าวของของเขา ในช่วงเวลานี้เขาได้ถูกไล่ออกจากตำแหน่งหัวหน้ากองจู่โจมแล้ว เขาในปัจจุบันไม่ต่างจากคนไร้ตัวตนคนหนึ่งในสลัมคนยากจนเท่านั้นเอง มิหนำซ้ำเขายังถูกตามล่าโดยทั้งเอลลาสและอีซานด้วยซ้ำไป
"นายคงจะเป็นเฮอร์แมน เฮสเซน" เสียงของคน ๆ หนึ่งดังขึ้นด้านหลังเฮอร์แมน เฮอร์แมนที่ได้ยินดังนั้นก็จะถอยหลัง หันมามองทว่าถูกกระบอกปืนจ่อไปที่หัวของเขาอย่างใกล้ชิดทำให้เฮอร์แมนไม่สามารถทำอะไรได้ ตัวเฮอร์แมนถอนหายใจออกมาพร้อมหลับตาลงก่อนจะพูดขึ้นกับมือสังหารด้านหลังเขา
"เข้ามาทางไหน?" "หลบใต้เตียงแกมาสองวัน" มือสังหารตอบกลับไป
"เอลลาส หรืออีซาน?" เฮอร์แมนถามต่อ "ไม่สำคัญ"
"นั้นเหรอ.." เฮอร์แมนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มตลก ๆ เล็กน้อย เขาเริ่มหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับคนบ้าในขณะที่มือสังหารยังคงจ่อปืนอยู่ "จัดการเลย.. ยิงผมซะ" เฮอร์แมนพูดขึ้น
"ไม่อยากจะอยู๋บนโลกแล้วล่ะ.. ตายไปคงจะดีกว่า" เฮอร์แมนมองขึ้นไปบนฟ้า ตอนนี้เขากำลังนึกภาพของมิตรสหายของเขาทั้งหลายแหล่ "นั้นเหรอ?" มือสังหารถามต่อ
"เช่นนั้นก็.." "เจอกันในนรกแล้วกัน เฮอร์แมน"
"ปัง!" "ตุบ!" ร่างของเฮอร์แมนล้มลงไป เลือดไหลออกจากหัวของเขา ในขณะที่มือสังหารยังคงยืนอยู่ที่เดิม เฮอร์แมนยังรู้สึกตัว รู้สึกถึงความเจ็บปวดและความหนาวเหน็บ สายตาของเขาสั่นครอนไปทั่วในขณะที่เขากำลังนึกชื่อของมิตรสหายของเขาที่ตายไป
ฮานส์.. คาร์ล.. ฮูโก้.. ชารล์.. เจมส์.. แจ็ค.. ไรนัส.. โรคิอ้อน.. เกรซ.. วินเทอร์.. ซามูเอล.. เนโร.. คาร์เทอร์.. โจนาธาน.. ทรอยด์.. เกรก.. บรอน.. เบรุส.. อีธาน.. เอลลิส..
ไคเน่...
ข้ารู้สึกหนาว.. ข้ารู้สึกโดดเดี่ยว..
เขาเห็นความมืดมิดรอบกายเขา เขาไม่รู้สึกถึงร่างกาย แต่ยังคงมีความรู้สึก เขายังนึกคิดได้อยู่ แต่ก็ทำอะไรนอกจากนั้นไม่ได้เลย
ที่นี่คือ..? นรกหรือ?...
หรือจะเป็นสวรรค์?... แต่ที่สำคัญคือหรือว่าข้าจะ..
ต้องอยู่อย่างนี้ไปตลอดเลยหรือ....
E N D A C T 1
|
|
|
Post by jussaateen on Aug 6, 2017 3:47:13 GMT
T H E B L U E W Y V E R N S
A C T 2 "T H E G U A R D I A N O F E L L A S"
A L E X A N D R A R O S E
__________
ในช่วงเวลาใกล้พรบค่ำ ดวงอาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตกเปล่งประกายแสงสีส้มสาดส่องสู่ตัวเมืองโอเรียร์ หนึ่งในสี่หัวเมืองสุดท้ายแห่งอาณาจักรเอลลาสหลังจากการโจมตีอันเฉียบขาดของทัพปีศาจผสมกับทัพอีซานเมื่อสองหรือสามปีก่อนทำให้สูญเสียเมืองหลวงแห่งเอลลาสเฉกเช่นเมืองอตอมอสไป แต่ทว่ายังคงมีเมืองโอเรียร์ อดีตเมืองหลวงแห่งเอลลาสที่ยังคงเกรียงไกรอยู่ได้พร้อมกับหัวเมืองที่มีการป้องกันแน่นหนาที่สุดในทวีปเฉกเช่นเมืองโซเดีย และเมืองยะมิทางทิศใต้และทิศตะวันออกตามลำดับ
กำแพงเมืองจากอิฐและเหล็กกล้าผสมปะปนรวมกันคู่กับอัศวินที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีกำลังเฝ้าอยู๋บนกำแพงและหอคอยของเมืองอยู๋อย่างแน่นหนา ประชาชนทั้งหมดถูกอพยพไปอยู่ยังเมืองทรานเมียร์และเมืองยอรันด้านหลังเมืองโอเรียร์เพื่อให้สามารถรวมกำลังพลตั้งรับให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ภายในเมืองโอเรียร์เหลือเพียงแค่พ่อค้าแม่ค้าไม่ถึงพันชีวิตที่เหลือคือเหล่าอัศวิน ทหาร มือสังหาร เหล่าผู้กล้าหาญที่จะต่อสู้ในสงครามที่ยังคงดำเนินอยู่ในช่วงเวลานี้คู๋กับราชินีแห่งเอลลาสคนปัจจุบันที่กำลังประทับอยู่ในเมืองโอเรียร์แห่งนี้นั่นเอง
"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะถูกเรียกเข้ามายังพระราชวังเฮลรอนแห่งนี้.. นี่มันบ้าชัด ๆ"
หญิงสาวผมสีน้ำตาลในชุดหนังสีดำคล้องด้วยกระเป๋าหนังสัตว์ข้างกายนางพูดขึ้น มือข้างหนึ่งกุมดาบสั้นที่คาดเอวนางอยู่เล่นในขณะที่กำลังขยับสายตามองดูผนังอันโบราญและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเหล่าเชื้อพระวงศ์เมื่อร้อยปีก่อน นางดูตื่นตาตื่นใจกับการเข้ามายังพระราชวังแห่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของนาง
"เจ้าล่ะ? อานาทาส.. รู้สึกอย่างไร?"
หญิงสาวคว้าหันมามองชายร่างยักษ์สูงประมาณสองเมตรด้านหลังมีดาบขนาดยักษ์ที่สูงและใหญ่กว่าร่างกายของหญิงสาวเสียอีก ชายร่างยักษ์หันมาตามชื่ออานาทาสที่ขับขานจากปากหญิงสาวและตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่าย ดวงตาสีฟ้าของชายคนนั้นเหมื่อลอยมองผนัง
"ไม่" เขาตอบสั้น ๆ ออกมาราวกับไม่สนใจถึงเรื่องเช่นนี้ "ออเหรอ" หญิงสาวลอกเลียนสำเนียงของนักดาบร่างใหญ่คนนั้นด้วยความเบื่อหน่ายในกิริยาของสหายของนาง
เมื่อนั้นนางคว้าหันกลับมามองหญิงสาวร่างเล็กผมสีเงินใชุดกระโปรงสีดำด้านหลังนางด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ในขณะที่หญิงสาวผมสีเงินมองตรงไปด้านหน้าด้วยเนตรสีฟ้าข้างเดียวของนาง ส่วนดวงตาอีกข้างหนึ่งมีที่ปิดตาสีดำปกปิดเอาไว้อยู่ราวกับโจรสลัดในนวนิยายและเรื่องเล่าพื้นเมือง
"แล้วเธอล่ะ เฟลิเซีย.. คิดว่าไง?" นางถามหญิงสาวดวงตาข้างเดียวนามเฟลิเซียขึ้น เมื่อนั้นหญิงสาวนามเฟลิเซียก็คว้าสายตามามองตัวนางและอ้าปากเพื่อตอบกลับไปอย่างแน่นิ่งไร้ซึ่งรอยยิ้มหรืออะไรทำนองนั้น
"สายลมบอกกับข้าว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความมืดมิด.. สิ่งชั่วร้ายของเอลลาสเคยปกคลุมสถานที่แห่งนี้" "พวกเค้าบอกกับข้าว่าเมื่อย่าวก้าวมายังที่แห่งนี้แล้วต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี-" เฟลิเซียพูดขึ้นมาอย่างคนเพ้อเจ้อ ซึ่งทำให้หญิงสาวถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและหันกลับมามองทางดังเดิมด้วยความเบื่อหน่ายกับกิริยาของสหายทั้งสองคนที่ดูน่าเบื่อสิ้นดีจริง ๆ
"นี่ข้าต้องทนอยู๋กับคนเช่นนี้จนสิ้นสงครามจริง ๆ ใช่มั้ย?" หญิงสาวพูดกับตนเองเบา ๆ อานาทาสที่ได้ยินคำนินทาก็หันมามองหญิงสาวและพูดต่อ "เหมือนข้าทนอยู่กับหญิงปากหมา พูดมากอย่างเจ้าได้ล่ะ อเล็กซ่า" อานาทาสตอบกลับไปพร้อมเรียกชื่อของหญิงสาว
เมื่อหญิงสาวนามอเล็กซ่าได้ยินดังนั้นก็มิได้ตอบกลับอะไร นางเพียงนำมือทั้งสองข้างกุมหัวของนางและเดินไปเรื่อย ๆ ราวกับเป็นท้องถนนทั่วไปอะไรเช่นนั้นซึ่งดูราวกับเป็ยการสบประหม่าเชื้อพระวงศ์อันศักดิสิทธิ์ ทว่าจริง ๆ ก็แค่เบื่อเท่านั้นแหละสำหรับตัวนางเอง
ทั้งสามนักรบที่ดูพิศดารเอามาก ๆ ยังคงก้าวเท้าเดินตามทางมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อถึงตรงหน้าบานประตูขนาดใหญ่สีแดงฉาน พวกเขาก็หยุดเดินลง เหล่าอัศวินเฝ้าประตูทั้งสองคนยกหอกทั้งสองเล่มขึ้นมาบังทางเดินด้วยสีหน้าอันเคร่งขึมภายใต้ชุดเกราะสีทองอร่าม พวกเขามิใช่อัศวินธรรมดา แต่เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์
พวกเชื้อสายเก่าแก่ควบคู่กับเชื้อพระวงศ์เก่านับสิบหรือยี่สิบตระกูลจะถูกส่งมาฝึกฝนเพื่อให้กลายเป็นอัศวินในพระราชวัง มีหน้าที่อารักขากษัตริย์และราชินี ปกป้องจนตัวตาย นั่นจึงทำให้อัศวินเหล่านี้มีสิทธิ์พิเศษเทียบเท่ารองแม่ทัพเลยก็ว่าได้ ทว่าประสบการณ์ในการรบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าที่ไม่เคยออกล่า อัศวิน ทหาร นักรบ คนต่าง ๆ ต่างก็รู้ว่าพวกเขารบไม่เป็นด้วยซ้ำไป จึงทำให้ใคร ๆ ต่างก็เกลียดขี้หน้าพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง กดขี่ด้วยชื่อสกุลและทำตัวราวกับนักรบผู้ยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วก็แค่ทหารธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นแหละ
อเล็กซ่าที่เห็นดังนั้นก็ใช้มือดันอานาทาสให้ถอยออกมาเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ส่วนเฟลิเซียนั้นก็ยังคงนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เหมือนปกติ อเล็กซ่าก็ยิ้มขึ้นมากับอัศวินในชุดเกราะสีทองทั้งสองพร้อมกับกล่าวลั่นวาจาขึ้นเยี่ยงมิตรสหายร่วมรบคนหนึ่ง
"ข้าคืออเล็กซานดร้า โรส.. สองนักรบด้านหลังข้าคือ อานาทาส หมาป่าสีเงิน และ เฟลิเซีย อันโดร่า แห่งลัทธิมอไฮน์.. พวกเราคือหน่วยอัศวินชั้นพิเศษที่ถูกแต่งตั้งโดยแม่ทัพเกเบรียล ชารล์.." "เมื่อสองวันก่อนเราได้จดหมายจากพระราชวังเฮลรันว่าถูกเรียกพบโดยพระราชินี ณ ที่แห่งนี้..นี่คือจดหมายฉบับนั้น" อเล็กซ่าพูดขึ้นพร้อมกับค่อย ๆ เอื้อมมือขวาของนางลงไปล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋าของนาง
อเล็กซ่าดึงจดหมายออกมาพร้อมกับมีตราประทับของเชื้อพระวงศ์อยู่ นางยื่นมันให้กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง หนึ่งในอัศวินเหล่านั้นก็รับจดหมายมาและลองตรวจดูว่าเป็นของปลอมหรือไม่ ในขณะที่อัศวินอีกคนหนึ่งยังคงตั้งหอกไปด้านหน้าจับตามองดูอเล็กซ่าและนักรบที่เขาไม่เคยเห็นหน้าทั้งสองคนอยู่
อัศวินคนนั้นคืนจดหมายให้กับอเล็กซ่าก่อนจะตั้งหอกกลับมายังท่าเดิมและพยักหน้าให้กับอัศวินข้างกายเขา เมื่อนั้นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ก็ตั้งหอกกลับมาประจำท่าเดิมพร้อมกับเปิดประตูห้องโถงของพระราชวังออกให้กับอัศวินไร้เครื่องแบบทั้งสาม อเล็กซ่าทีี่เห็นประตูห้องโถงถูกเปิดขึ้นมาก็ตาเบิกโพลนด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ห้องโถงขนาดใหญ่ ผืนอันสร้างจากทองคำทั้งหมดเปล่งประกายจนน่าพิศวงถึงปริมาณทองทั้งหมดภายในห้องโถงนี้ อัญมณีมากมายถูกประดับบนเพดานห้องโถง หากนำทองและอัญมณีออกจากห้องโถงทั้งหมดมาขายคงจะสามารถสร้างเมืองหลวงใหม่ขึ้นมาได้เลยด้วยซ้ำไปหากลองพินิจิคิดดู ห้องโถงแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อพันปีก่อน กลิ่นอายของบัลลังก์อันเก่าแก่ลอยละริ่วออกมาให้นักรบทั้งสามได้รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของมัน
บัลลังก์ทองคำแท้ตั้งตระการตาพร้อมกับหญิงสาวผมสีบลอนด์กำลังนั่งอยู๋บนบัลลังก์ ดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีแดงฉานจากพิษบาดแผล สายตาที่จับจ้องมายังพวกอเล็กซ่าดูเกรงขามราวกับพระเจ้ากำลังมองมายังมนุษย์อะไรเช่นนั้น มันดูต่างจากที่ทั้งสามเคยได้้ยินมามากถึงเรื่องของราชินีวัยสิบแปดปีนี้ ธิดาของกษัตริย์องค์ก่อน นาระ เมอร์ซิอ้อส
"ยินดีต้อนรับ.. เหล่าอัศวินชั้นพิเศษ ไวเวิร์นสีฟ้า.." วาจาของราชินีลั่นขึ้นมา เมื่อนั้นอัศวินศักดิ์สิทธิ์นับยี่สิบคนต่างก็ก้มคุกเข่าลง ก่อนที่อเล็กซ่าและเฟลิเซียจะคุกเข่าลงตาม ตามมาด้วยอานาทาสที่วางดาบลงกับพื้นและคุกเข่าลงก้มมองลงพื้นทองคำที่สะท้อนให้เห็นใบหน้าของพวกเขากำลังก้มหมอบอยู่
"เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์.. พวกเจ้าออกไปได้แล้วล่ะ.." วาจาของราชินีกล่าวขึ้นต่อ เมื่อนั้นเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ยินคำสั่งก็รีบพากันเดินออกจากห้องโถงไป เหลือเพียงอัศวินนอกเครื่องแบบทั้งสามคน เหล่าอัศวินนาม ไวเวิร์นสีฟ้า อันสร้างชื่อเสียงอันเกรียงไกรไปทั่วโดเรียร์ในขณะนี้
อัศวินหน่วยพิเศษนั้นเป็นที่รวมของเหล่านักรบที่แปลกประหลาดและอยู่กับกรมอัศวิน และทหารคนอื่น ๆ ในกองทัพไม่ได้ เป็นที่รวมของพวกผู้มีปัญหาหากจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ซึ่งมีมากกว่าร้อยหน่วย ทว่าหน่วยไวเวิร์นสีฟ้าเป็นหน่วยเดียวที่ยังคงรอดมาได้และแถมยังกลายเป็นฝันร้ายของเหล่าทหารอีซานไปแล้ว เดิมมีเพียงสามคนนั่นคือ อเล็กซ่า อานาทาสและสายสืบปริศนาในนามแฝง ไนล์เซอร์ ส่วนเฟลิเซียพึ่งจะได้เข้ามาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้
"พวกเจ้าลุกขึ้นได้แล้วล่ะ.. เหล่าไวเวิร์นสีฟ้าแห่งเอลลาส" ราชินีพูดขึ้นกับอัศวินทั้งสาม เมื่อนั้นอเล็กซ่า อานาทาส และเฟลิเซียต่างก็ลุกขึ้นและเงยหน้าขึ้นมาประจักษ์ต่อหน้าราชินีแห่งเอลลาสที่พวกเขารับใช้อยู่
"เป็นเกียรติมากพะยะค่ะที่ได้เข้าเฝ่าท่าน ฝ่าบาท" อเล็กซ่าพูดขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิและวาจาอันนอบน้อมเต็มไปด้วยความเคารพก่อนจะโน้มตัวโค้งคำนับอีกคราวหนึ่งและเงยหน้าขึ้น
อานาทาสยกดาบขนาดยักษ์ของเขาขึ้นมาคาดไว้ด้านหลังเขาดังเดิมและมิได้พุดวาจาใด ๆ เช่นเดียวกับเฟลิเซียที่ยืนนิ่งอยู่ อเล็กซ่าที่ไม่ได้ยินอะไรจากสหายของนางก็หันมามองและขยับปากโดยไม่ส่งเสียงขึ้นด้วยสีหน้าโมโห
"เคารพหน่อยสิวะ" นางขยับปากเป็นคำเช่นนั้น อานาทาสที่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างแข่งทื้อ
"กระหม่อมเช่นกัน ฝ่าบาท" เขาไม่สนใจเรื่องเช่นนี้อยู๋แล้ว เขาจึงไม่คิดจะซีเรียสกับมันนัก นั่นทำให้อเล็กซ่ากัดฟันโมโหเล็กน้อย "ตัวข้ายินดีที่ได้พบท่าน ท่านราชินี" เฟลิเซียก็กล่าวออกมาเช่นกัน คล้ายคลึงกับอานาทาส นางดูไม่ค่อยสนใจในเรื่องเชื้อพระวงศ์อะไรพวกนี้เช่นกัน
อเล็กซ่าที่เห็นก็กำหมัดเอาไว้โดยแน่น นางดูเคืองไม่น้อยที่เห็นกิริยาไร้ซึ่งความเคารพแก่ราชินีของนาง มันดูเป็นการดูหมิ่นอาณาจักรเอลลาสที่นางปกปักษ์อยู่เลยก็ว่าได้ อเล็กซ่าหันกลับมาหาราชินีและโค้งลงอีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการขอโทษ
"กระหม่อมต้องขออภัยในท่าทางของสหายของกระหม่อมด้วย คือ-" "ไม่เป็นไรหรอก.. ข้าก็ไม่ค่อยชอบบรรยากาศตึงเครียดอะไรแบบนี้เหมือนกัน" ราชินีขัดวาจาของอเล็กซ่าขึ้น น้ำเสียงดูเป็นมิตรและแตะต้องได้มากกว่าเก่าราวกับก่อนหน้านี้ราชินีเพียงแค่กำลังแสดงอยู่เท่านั้น และตอนนี้นางก็เผยนาระ ตัวตนจริง ๆ ของนางออกมาแล้ว
"ถ้าให้เดา เจ้าคงเป็นอเล็กซานดร้า โรส.. อัศวินต้องโทษคนนั้นสินะ" นาระพูดกับอเล็กซ่าขึ้นด้วยท่าทางดูเป็นมิตรร่าเริงดี อเล็กซ่าที่ได้ยินดังนั้นก็ตอบพยักหน้ากลับไป "พ-.. พะยะค่ะ.."
".. ส่วนเจ้าก็คงจะเป็น อานาทาส.. นักรบร้อยศพคนนั้นสินะ" นางหันมาพูดกับชายร่างยักษ์หน้าตาเคร่งขรึมต่อ เขามิได้ตอบกลับวาจาใด ๆ แต่ก็มิได้ส่ายหน้าปฏิเสธ "และเจ้าก็เด็กใหม่.. เฟลิเซีย อันโดร่า.. ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทุกคนเลย" นาระยิ้มขึ้นทักทายอย่างอบอุ่น
"ข้าว่าเข้าเรื่องเลยคงจะดีกว่า" อานาทาสขัดจังหวะอันดูไร้ความจำเป็นในสายตาของเขาซะ ตอนนี้เขาต้องการเพียงแค่รายละเอียดที่ต้องมายัง ณ พระราชวังแห่งนี้ก็เท่านั้น "อานาทาส แสดงความเคารพหน่อย.. ไม่อย่างนั้นข้าฆ่าแก่แน่ และแกก็คงรู้ดีว่าอารมณ์ข้ามันขึ้นลงได้ง่าย ๆ น่ะ" อเล็กซ่าเตือนขึ้นด้วยอารมณ์เสีย นางเกลียดกิริยาของอานาทาสมากในตอนนี้ที่ไม่แสดงความเคารพให้กับราชินีเลย นางหันมามองอานาทาสพร้อมมือข้างหนึ่งจับดาบสั้นของนางเอาไว้
อานาทาสจ้องมองกลับมายังอเล็กซ่า ราวกับกำลังท้าทายว่าเมื่อใดพร้อมก็ลองเข้ามา มือข้างซ้ายค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ดาบยักษ์ด้านหลังเขา ราวกับเตรียมที่จะสะบั้นสหายของเขาทิ้งเช่นเดียวกัน
"สายลมบอกกับข้าว่าพวกเจ้ากำลังทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง" เฟลิเซียขัดขึ้นมาเมื่อเห็นสหายทั้งสองของนางกำลังแสดงความเกลียดขี้หน้าใส่กัน
"พวกเจ้าเนี่ยนะ.. เป็นหน่วยเดียวกันจริง ๆ ใช่มั้ย เนี่ย" นาระที่เห็นกิริยาดังนั้นก็พูดอกมาตามความคิดเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วค่อยลั่นวาจาขึ้นต่อในขณะที่อเล็กซ่าและอานาทาสก็กลับมามองราชินีนาระบนบัลลังก์อันสง่างาม "เอาล่ะ.. เข้าเรื่องเลยกัน"
"พวกเจ้าคงจะเห็นแล้วใช่มั้ยว่าอีกคนในหน่วยอัศวินของเจ้าไม่ได้มาด้วยในวันนี้" นาระพูดขึ้นมา ท่าทางของนาดงูเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นแต่ก้มิได้เท่ากับตอนทีแสดงเป็นราชินีในวินาทีแรกที่พบปะ
นางกำลังพูดถึงสายสืบ ไนล์เซอร์
"ต้องเรียกว่าไม่เคยโผล่ออกมาเลยมากกว่านะ พะยะค่ะ" อเล็กซ่าแก้คำพูด แม้นางจะเป็นสมาชิกคนที่สองต่อจากสายสืบไนล์เซอร์ แต่นางก็ไม่เคยเห็นบุคคลคนนั้นมาก่อนเลยด้วยซ้ำไป "เธอกำลังแฝงตัวอยู๋ในอาณาจักรอีซานน่ะ" นาระตอบกลับไป
"และล่าสุดก็ได้รับข่าววงในมาว่า แผนการต่อไปของพวกอีซานนั้นจะเป็นภัยกับพวกเรามากแน่แท้" นาระเสริมขึ้นต่อ "ไนล์เซอร์คิดจะส่งข่าวไปให้กับทางกองทัพ.. แต่ไนล์เซอร์คาดว่าจะมีสายสืบอยู่ในกองทัพจึงส่งจดหมายเฉพาะเจาะจงมาให้กับข้าเอง เพื่อเรียกพบพวกเจ้า.. ไปพบนางที่เมืองหลวงอตอมอส" นาระอธิบายถึงรายละเอียดแผนการในครั้งนี้
"เมืองหลวงอตอมอสเหรอ?" อเล็กซ่าตกใจขึ้นมา "บ้าชัด ๆ จราจลก็กำลังเกิด จะให้พวกเราไปพบปะกับสายสืบในที่ชุลมุนแบบนั้นมันบ้าชัด ๆ" อเล็กซ่าเสริมขึ้นต่อ สถานการณ์ในเมืองหลวงอตอมอสที่ถูกอีซานยึดครองเอาไว้นั้นเกิดกบฎบ่อยครั้งมาก มันเสี่ยงเกินไปสำหรับอเล็กซ่า
"ไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ที่ ๆ อันตรายที่สุดนั้นปลอดภัยที่สุดเหรอ.. น้องสาว" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากภายในเงามืดของเสาเหล็กที่ค้ำห้องโถงเอาไว้ เมื่อนั้นอเล็กซ่า อานาทาสและเฟลิเซียก็คว้าหันไปมองทางต้นเสียงนั้นพร้อมกับชักอาวุธออกมาอย่างรวดเร็ว
"ไม่ ๆๆ เขาเป็นมิตร.. ลดอาวุธลงได้น่า" นาระรีบลุกขึ้นจากบัลลังก์และพูดขึ้นมาในทันทีทันใด เมื่ออเล็กซ่าได้ยินดังนั้นก็หันมามองนาระด้วยสีหน้างุนงง
เมื่อนั้นชายในชุดแจ็คเก็ตสีดำสวมหมวกเฟโดร่าสีเดียวกันเดินออกมาด้วยท่าทางสบาย ๆ ใบหน้าวัยประมาณสี่สิบปีมองมายังอเล็กซ่าพร้อมกางแขนออกมาในระดับหนึ่ง รอยยิ้มต้อนรับที่แทนที่จะดูเป็นมิตรกลับดูกลายเป็นการเยาะเย้ยตลก ๆ อะไรเช่นนั้นซึ่งแอบทำให้อเล็กซ่าอยากจะไปลงหมัดใส่หน้าเขาเล็กน้อย อานาทาสที่เห็นชายคนนั้นก็มองไปราวกับกำลังพินิจดูว่าเขาเคยเห็นใบหน้านั้นมาจากที่แห่งใดกัน เพราะมันดูคุ้นตาเขาเสียเหลือเกินราวกับเขาเคยเห็นชายสวมหมวกคนนี้ในสมรภูมิรบสักแห่งหนึ่ง
"สวัสดีสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี.." เขากล่าวต้อนรับขึ้นพร้อมถอดหมวกออกจากหัวลงให้เห็นผมสีม่วงสั้นภายใต้หมวกเฟโดร่าของเขา "แล้ว.. ชายคนนี้คือใครหรือพะยะค่ะ ฝ่าบาท?" อเล็กซ่าหันมาถามนาระ "ไม่ต้องทางการเช่นนั้นก็ได้ อเล็กซ่า.." นาระพูดกับอเล็กซ่าขึ้นด้วยชื่อเล่นของนาง ก่อนจะมองไปที่ชายที่อเล็กซ่าถามถึงขึ้น
"ชายคนนั้น.. คืออดีตทหารระดับสูงของเอลลาส.. เชื่อว่าหากบอกชื่อพวกเจ้าคงรู้ดีว่าเขาคือใคร" นาระพูดขึ้นมาเกี่ยวกับชายคนนั้นขึ้น "แอนยอน ซิลเวอร์สเปลล์ขอรับ.." ชายคนนั้นตัดบทของราชินีที่ปูมาไปดื้อ ๆ ด้วยการแนะนำตนเองเสียเลย จึงทำให้นาระถอนหายใจออกมาเบา ๆ เล็กน้อย
"บ้าอะไรนะ.." "แอนยอน ซิลเวอร์สเปลล์..?" อเล็กซ่าอ้าปากค้างเมื่อได้ยินชื่อนั้น แอนยอนที่ได้ยินดังนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้อเล็กซ่าพลางตอบกลับไป "ใช่จ่ะ คนสวย-"
"หมับ !" อเล็กซ่าเสยหมัดเข้าหาแอนยอนอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ทหารระดับสูงยังมองไม่ทันจากระยะที่ใกล้เกินไป อานาทาสที่เห็นดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งไปดึงตัวอเล็กซ่าออก
"หมับ !" "หมับ !" "หมับ !" "ไอคนทรยศ !" อเล็กซ่าตะโกนขึ้นก่อนที่จะหยุดลงหมัดและชักดาบสั้นออกมาอย่างรวดเร็วและจ่อไปที่คอของแอนยอนที่นอดเหมือดคนอยู่พื้นและกำลังเมากับหมัดทั้งหลายที่ถูกลงตรงเข้าใส่ใบหน้าของเขา
"แกฆ่าพวกพ้องของตนเอง ! ลูกน้องของตนเอง ! แล้วยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ-!!"
ไม่ทันที่อเล็กซ่าจะพูดจบ อานาทาสก็ดึงตัวอเล็กซ่าออกมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ตัวอเล็กซ่าปลิวออกมานอนเหมือดใกล้ ๆ กับเฟลิเซียที่ยืนนิ่งอยู่ ส่วนอานาทาสก็เดินกลับมาดึงดาบออกจากมือของอเล็กซ่าเอาไว้เพื่อความปลอดภัย ในขณะที่นาระที่นั่งอยู๋บนบัลลังก์ก็ส่ายหน้าออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพของแอนยอนนอนเหมือดเช่นนั้น แม้นางจะคาดการณ์เอาไว้แล้วก็เถอะแต่ก็ไม่ค่อยชอบมากนักที่เห็นอะไรเช่นนี้
"หมัดของเธอก็ไม่ใช่ย่อยเลยนะ แม่สาวน้อย" แอนยอนหัวเราะออกมาเล็กน้อยพลางถุยน้ำลายปนเลือดลงบนพื้นทองคำก่อนจะค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนพลางเช็ดเลือดออกจากใบหน้าตนเอง
"ไอบ้าเอ้ย.. ทำบ้าอะไรของแกวะ อานาทาส!" อเล็กซ่าหันมามองอานาทาสที่ยืนข้าง ๆ นาง ซึ่งกำลังมองดูดาบสั้นของอเล็กซ่าอยู่ "ราชินีที่เจ้าเคารพก็บอกอยู่ว่าเป็นมิตร.. เสือกไปต่อยมันทำมะเขืออะไรล่ะ?" อานาทาสตอบประชดประชันอเล็กซ่าถึงเรื่องที่นางมักจะเคารพราชินีอยู๋เสมอ แต่พอเห็นคนเช่นแอนยอนก็ดันเดือดดาลละเมิดคำสั่งทำอะไรที่ดูเห็นแก่ตัวไปแทน
"มันทรยศเอลลาสเมื่อหนึ่งปีก่อนโดยการสังหารพลทหารชั้นดีทิ้งไปมากกว่าสิบนาย.. จะให้ข้า ในฐานะอัศวินคนหนึ่งลืมสิ่งนี้ไปง่าย ๆ นั้นเหรอ !?" อเล็กซ่าเดือดดาลขึ้นก่อนจะลุกขึ้นพยายามแย่งดาบสั้นออกจากมืออานาทาส ตัวอานาทาสที่เห็นดังนั้นก็จัดการจับข้อมือข้างหนึ่งของอเล็กซ่าเอาไว้ในทันที "ปล่อยข้านะ ไอเวร-!"
"ป่าป!" อานาทาสจัดการเขกหัวอัดกับดั้งของหน้าผากของอเล็กซ่าในทันที ตัวอเล็กซ่าล้มลงไปนั่งกับพื้น มือกุมหัวในทันที
"พวกเค้าบอกข้าว่าความเกลียดชังกำลังครอบงำเจ้า.. อเล็กซานดร้า.. ข้าขอแนะนำให้ท่านสงบสติอารมณ์ก่อน" เฟลิเซียพูดตักเตือนอเล็กซ่าขึ้นด้วยความเป็นห่วงในแบบของนาง
"อะแฮ่ม.." นาระเรียกทุก ๆคนให้กลับมาฟังราชินีแห่งเอลลาสเช่นนางก่อน "แอนยอน ซิลเวอร์สเปลล์แม้จะเคยมีโทษทัณฑ์มาก่อนแต่ในตอนนี้เราต้องการกำลังพลที่มีฝีมือดีให้มากที่สุด ซึ่งเขาก็คือหนึ่งในนั้น"
"โดยในภารกิจของพวกเจ้าในคราวนี้.. แอนยอนจะเป็นหัวหน้าคอยนำหน่วยไวเวิร์นสีฟ้าเอง" นาระพูดขึ้นอธิบาย ในขณะที่แอนยอนค่อย ๆ เดินมาหยุดตรงหน้าอเล็กซ่า
"หากให้ข้าเดาเจ้าคงจะเป้นหัวหน้าของพวกเขามาโดยตลอด.. แต่ในคราวนี้ข้าจะนำพวกเจ้าเอง" แอนยอนพูดขึ้นมา เมื่อนั้นอเล้กซ่าที่ไม่สบอารมณ์ก็ลุกขึ้นมาและจัดการผลักแอนยอนออกไปในทันทีทันใดด้วยความที่อารมณ์เสีย
"ฝ่าบาท ท่านหมายความว่าอย่างไร?" "ท่านคงไม่ได้หมายความว่าจะให้ไอทรยศคนนี้มานำไวเวิร์นสีฟ้าแทนข้าหรอก ใช่มั้ย? เพราะถ้าที่ท่านพูดเป็นความจริงนี่ ข้าทนไม่ได้แน่" อเล็กซ่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมชี้ไปที่แอนยอน ตัวแอนยอนที่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเล็กน้อย ส่วนนาระก็ยังคงนั่งอยู๋เงียบ ๆ บนบัลลังก์ราวกับกำลังประมวลความคิดว่าควรจะตอบอย่างไรดี
"ข้าสื่อตามนั้นจริง ๆ.. และข้าต้องการให้พวกเจ้า ร่วมมือสามัคคีกันเข้าไว้.. อย่างน้อยก็คิดเสียว่าเขาแค่ช่วยแนะนำพวกเจ้าในการทำงานก็เท่านั้น.. อย่าไปใส่ใจที่เหลือมาก" นาระพยายามพูดให้อเล็กซ่าเข้าใจ ในขณะที่อเล็กซ่ายังคงมองแอนยอนด้วยสีหน้าที่ดูไม่ถูกชะตาอย่างแรงด้วยอยู่ "เจ้าจะชี้ดาบไปที่ข้าตลอดก็ได้ แต่ข้าสาบานได้เลยว่าข้าจะไม่ทรยศเอลลาสอีกเป็นครั้งที่สองแน่.. ข้าสาบานกับแม่ทัพเกเบรียล และราชินีแล้ว และข้าก็จะนำพวกเจ้าไปจนสิ้นสุดภารกิจเอง.." แอนยอนพูดกับอเล็กซ่าขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง อเล็กซ่าที่ได้ยินคำพูดจากแววตาอันดูไร้ซึ่งการหลอกลวงของแอนยอนก็เงียบกริบไป ก่อนจะหันหน้าเบนออกจากแอนยอนไป
"เจ้าพูดแล้วนะ" อเล็กซ่าย้ำคำที่แอนยอนพูด ที่ว่านางจะชี้ดาบเข้าใส่แอนยอนตลอดก็ได้ "อ่า.. แม่สาวน้อย" แอนยอนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูตลกทะเล้น กวนตีนขึ้นเล็กน้อย
"ก็โดยสรุปเลยแล้วกัน.. ภารกิจของพวกเจ้าคือไปพบกับสายสืบเพื่อรับรายละเอียดของภารกิจแล้วกลับมารายงานกับข้า.. แอนยอน ซิลเวอร์สเปลล์จะนำพวกเจ้าไปในขณะนี้ ขอให้พวกเจ้าทำตามเขาเฉกเช่นสมุนตามผู้นำ.. รายละเอียด เขาจะอธิบายให้พวกเจ้าฟังอีกทีหนึ่ง.. ที่ข้าเรียกมาก็เพียงแค่นี้แหละ พวกเจ้าไปได้แล้วล่ะ.."
นาระพูดสรุป อธิบายขึ้นให้เหล่าอัศวินแห่งไวเวิร์นสีฟ้าทั้งสาม พร้อมสมาชิกใหม่ แอนยอน ซิลเวอร์สเปลล์ที่ได้กลายเป็นหัวหน้าของไวเวิร์นสีฟ้าไปในขณะนี้ เมื่อนั้นเองประตูห้องโถงก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว นาระที่เห็นหญิงสาวผมสีน้ำเงินในชุดเกราะสีทองคู๋กับชายในชุดเกราะไม่คุ้นตาพร้อมอาวุธปืนคล้ายคลึงกับของทหารอีซานเดินเข้ามายังพระราชวังแห่งนี้ เหล่าไวเวิร์นสีฟ้าที่เห็นดังนั้นก็หันมามองหญิงสาวและชายคนนั้นในทันทีด้วยความสงสัย
"นาระ.. พวกนี้คือไวเวิร์นสีฟ้านั้นหรือ?" หญิงสาวถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ท่าทางของนางดูจะเป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์พอสมควรและสนิทสนมกับราชินีมิใช่น้อย จากอาวุธดาบยาวข้างกายหญิงสาวคนนั้น อเล็กซ่าจึงเดาได้ในทันทีว่านางเป็นใคร
"พี่สการ์เล็ตต์.. และก็อาร์มันโด้.. -" นาระกล่าวต้อนรับทั้งสองขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันมามองพวกอเล็กซ่า แอนยอน อานาทาส และเฟลิเซียที่ยืนนิ่งอยู่
หญิงสาวคนนั้นก็คือแม่ทัพสการ์เล็ตต์ ฮิซุเมะ หนึ่งในสองแม่ทัพอันเกรียงไกรคู่กับแม่ทัพเกเบรียล ชารล์ ซึ่งทั้งสองได้หมั้นกันแล้วเมื่อเดือนก่อน เรียกได้ว่าเป็นการปลุกขวัญกำลังใจที่ยอดเยี่ยมมากส่วนอีกคนหนึ่งคือ อาร์มันโด้ ดิอ้อน.. ทหารนิรนามที่ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน มีข่าวลือแปลก ๆ มากมายเกี่ยวกับเขา บ้างก็บอกว่ามาจากอีกมิติหนึ่ง.. ซึ่งฟังอย่างไรก็ไม่ขึ้นสำหรับอเล็กซ่า
"พวกเจ้าไปได้แล้วล่ะ.. ข้าอยากจะสนทนากับมิตรสหายของข้าสักหน่อยน่ะ" นาระหันมามองพวกเขาแล้วก็พูดกลับไป
เมื่อพวกของอเล็กซ่าได้ยินดังนั้นก็เดินออกจากห้องโถง สวนทางกับพวกของแม่ทัพสการ์เล็ตต์ไป
__________
... หนาว ...
รอบตัวของข้ามันช่างดำมืดมัวและเหน็บหนาว สถานที่อันดูว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดแห่งนี้คือที่ใด ข้าพินิจคิดในขณะที่เคลื่อนสายตาไปรอบ ๆ ก็เห็นเพียงสีดำเท่านั้น มิหนำซ้ำตัวข้ายังเริ่มสั่นกว่าเดิมจากความหนาวเหน็บของที่แห่งนี้ ข้ากอดร่างของตนเองพลางเคลื่อนมองรอบตัว มันว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย..
ชุดของข้าขาดวิ่นราวกับถูกคมดาบของศัตรูโจมตีมาก่อนหน้านี้ คราบเลือดที่แห้งสนิทเต็มร่างกายข้าไปหมดพร้อมความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังคงชาอยู่ไม่น้อย ข้าคงจะพึ่งผ่านสนามรบมาเมื่อก่อนหน้านี้แต่ข้าก็จำสิ่งใดไม่ได้เลย
ที่นี่มันที่ไหน? และเหตุใดข้าจึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ?
ตัวข้าเดินตรงไปด้านหน้า ร่างกายข้าสั่นขึ้นเรื่อย ๆ จากอากาศที่เริ่มหนาวลงเรื่อย ๆ ลมหายใจจากปากของข้าปล่อยออกมาเป็นควันหนาว ร่างกายข้าเคลื่อนช้าลงมาก โดยปกติข้านั้นเร็วกว่าใครในสมรภูมิรบแต่ในตอนนี้จากบาดแผลและร่างกายอันสั่นหนาวของน้านั้น มันช้ายิ่งกว่าใคร ๆ ที่ข้าเคยเจอมาเลย ตัวข้าล้มลงไปคุกเข่าหน้ามืดมองลงสู่พื้น ข้าเห็นพื้นสีขาวหิมะ.. รอยเท้าขนาดแตกต่างกันเต็มไปทั่วราวกับเคยมีคนผ่านทางนี้มาก่อนแล้ว
เมื่อนั้นข้าก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากด้านหน้าข้า ข้าจึงเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย ข้าเห็นอานาทาส เจ้าบ้าเลือดกำลังถือดาบยักษ์ตัวแทบจะเท่ามัน หากเป็นไปได้ก็อยากจะเรียกว่าท่อนเหล็กมากกว่าดาบด้วยซ้ำไป คนบ้าอะไรยกมันฆ่าคนไปทั้งวันได้ จนตอนนี้ข้ายังไม่อยากจะเชื่อเลย นอกจากหมอนั่นแล้วก็มีเฟลิเซียยืนนิ่งหลบอยู่ด้านหลังอานาทาสและมองมาทางข้า
พวกเขาอยู่ห่างจากข้าพอสมควร ข้ามองไม่เห็นหรอกว่าสีหน้าของพวกเขาเป็นเช่นใด ข้ารู้แค่ข้าต้องไปหาพวกเขาก็เท่านั้น ข้าจึงลุกขึ้นและรีบเคลื่อนตัวไปหาอานาทาสและเฟลิเซีย หากจะบอกว่าวิ่งมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะตอนนี้มันเหมือนกับว่าข้ากำลังลากขาของตนให้ขยับไปข้างหน้าซะมากกว่า ไม่รู้แต่เมื่อไหร่แต่ร่างกายข้าจู่ ๆ ก็เหน็ดเหนื่อยมาก มากจนอยากจะนอนลงไปสักประมาณห้านาทีเพื่อพักเหนื่อย
"อานาทาส" ข้าอุตส่าห์ออกแรงเปล่งเสียงเรียกขานพวกเขาได้ ถือว่าเป็นบุญมาก "ข้า-.. หนาว" ข้าเปล่งวาจาออกมา ร่างกายข้าสั่นไปหมดแล้ว เกล็ดหิมะเริ่มเกาะคลุมร่างกายของข้า จากสีดำสนิทมันเริ่มกลายเป็นพายุหิมะอันรุนแรง มันดูบ้าคลั่งและปั่นป่วนไปหมดจนบอกไม่ถูก อานาทาสและเฟลิเซียยังคงยืนนิ่ง หรือว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินข้ากัน?
"อย่าเข้ามา !" อานาทาสตะโกนลั่นวาจาขึ้น ตัวข้าที่ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดเดินลง ตัวข้าจะถึงเขาแล้วแท้ ๆ แต่จู่ ๆ สัญชาตญานกลับสั่งให้ข้าหยุดเดินลง
สีหน้าของอานาทาสเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ.. มันเกิดอะไรขึ้นกัน? อานาทาสใช้มือซ้ายของเขาดึงดาบขนาดยักษ์ออกมาและชี้ตรงมาที่ข้า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าตั้งคำถามขึ้นมาในหัวอีกครั้ง สายตาของเฟลิเซียจ้องมาที่ข้าด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่าข้าพึ่งกระทำสิ่งเลวร้ายบางอย่างมา
"แกทำไปได้ยังไง?" อานาทาสถามข้าขึ้น ข้าไม่เคยเห็นเขาโมโหขนาดนี้มาก่อนเลย เพราะปกติเขาก็ไม่เคยสนใจอะไรนอกจากการต่อสู้อยู่แล้ว แต่คราวนี้มันดูราวกับข้าไปกระตุ้นบางอย่างให้เขาต้องการจะสับข้าเป็นชิ้น ๆ อะไรเช่นนั้น "ข-.. ข้าไม่รู้ว่าข้าทำอะ-" "โกหก !!" เมื่อนั้นอานาทาสจัดการสะบั้นดาบยักษ์ของเขาเข้าหาข้า ดาบขนาดยักษ์เฉี่ยวใบหน้าของข้าไป ตัวข้าล้มลงไปคุกเข่า เลือดหยดจากใบหน้าของข้าสู่พื้นหิมะ ย้อมมันด้วยเลือดสีแดงฉาน
"แกพังทุกอย่างจนหมด ! แกพังทุกอย่างจนหมด !!" เขาลั่นวาจาขึ้น ตัวข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าข้าทำอะไรลงไป ข้าไม่รู้อะไรเลยนอกจากว่าตอนนี้ข้าเจ็บเพียงแค่ไหน "แกฆ่าแอนยอน ! .. และพาพวกเรามาตายที่นี่ !!" อานาทาสพูดขึ้นมา เฟลิเซียเดินเข้ามาดึงตัวอานาทาสให้ถอยออกมา ในขณะที่ตัวข้าทำได้แค่ประคองตนเองไม่ให้ล้มลงตายจากความเหน็บหนาว
"แกบอกว่าแกรักชาติแต่กลับทำลายความหวังของชาติไป ! เพียงเพราะแกเกลียดมัน !! แกรู้มั้ยว่าแกโง่เง่าแค่ไหนน่ะ ! ห้ะ !!" อานาทาสด่าทอตัวข้า ตัวข้าที่ได้ยินดังนั้นก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตัวข้าเงยหน้าขึ้นมองอานาทาสด้วยความสับสน "ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร ข้าจำอะไรไม่ได้เลย" ข้าพูดกับอานาทาสขึ้นมา
"ฉึก !!" จู่ ๆ ก็มีคมดาบพุ่งออกมาแทงทะลุหัวของอานาทาสจากด้านหลัง เลือดไหลกระเด็นเข้ามยังใบหน้าของข้า ดวงตาข้าเบิกโพลน นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย "ตุบ !" ร่างของอานาทาสล้มลงไป เฟลิเซียพยายามจะวิ่งหนีแต่ถูกมือสังหารคนนั้นจัดการบีบคอฟูบหมอบลงไปกับผืนหิมะสีขาว
"ครื...ค..." ข้าได้ยินเสียงของเฟลิเซียพยายามดิ้นรน ร่างกายของนางสั่นเคลื่อนไปทั่วพยายามหลุดจากพันธนาการในขณะที่ข้าพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน "ครา...ค...." เฟลิเซียกำลังจะตาย ไอบัดซบเอ้ย ขยับสิวะ ตัวข้า !!
"อัก-.." "ครอด !!!" เสียงของคอเฟลิเซียถูกหักลงอย่างง่ายดายด้วยมือทั้งสองข้างของมือสังหาร "ควั่บ !" ข้าพุ่งตรงไปต่อยร่างของมือสังหารคนนั้นล้มลงไปนอนกับผืนหิมะ ข้าจัดการดึงตัวมันมานอนหงายและง้างหมัดลงสู่ใบหน้ามัน
"อ่ะ.." ตัวข้าหยุดนิ่ง ข้าไม่อยากจะเชื่อภาพตรงหน้าที่ข้าเห็น
มือสังหารคนนั้นคือตัวข้าเอง และข้ากำลังยิ้มอยู่
"เฮือก !!!" "..."
"ฝัน..? ขอบคุณพระเจ้า.."
|
|