|
Post by greatbritian on Aug 5, 2017 16:18:38 GMT
Episode 9 : Battle of Assaye เมื่อผู้ดีท่องแดนไกล
Assaye , Bengal , India (ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอังกฤษ) เวลา 0600 น. 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1805
เช้าตรู่ของวันที่ 13 พฤศจิกายน.... กองทัพของ มราฐาได้เคลื่อนพลมาถึงบริเวณ Assaye หมายจะขับไล่ผู้รุกรานผิวขาวให้พ้นจากแผ่นดินของพวกเขา... แต่กองทัพแห่งจักรวรรดิอังกฤษนั้นได้เตรียมการรับมือตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พวกเขาขุดสนามเพลาะ และคูขึ้นเป็นแนวยาวขวางแม่น้ำทั้ง 2 สาย....... นอกจากนี้ยังถมเนินเพื่อตั้งปืนใหญ่ไว้อีกด้วย.....โดยแนวหน้านั้นจะเป็นปืนใหญ่ขนาด 12lb จำนวนกว่า 60 กระบอก แนวหลังนั้นเป็นปืนใหญ่วิถีโค้ง 18lb Howitzer ไว้สำหรับยิงกระสุนหัวระเบิดโดยเฉพาะ กองทัพเชิ้ตแดงต่างปกปักมั่นบนป้อมปราการของพวกเขา........ ระยะห่างของทั้ง 2 กองทัพนั้นประมาณ 3 ไมล์...เป็นระยะที่สามารถเห็นกันได้สุดสายตาพอดี...... Arthur Wellesey และองครักษ์ของเขาขี่ม้าไปตามแนวสนามเพลาะ.. ก็พบว่าเหล่าทหารอังกฤษส่วนใหญ่นั้นมีท่าทีที่ห่อเหี่ยว แววตาของพวกเขาเศร้าสร้อย.. ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้... บางคนตัวสั่นงันงกด้วยอาการของ มาเลเรีย แต่ก็ยังมาอยู่แนวหน้าเพราะคนไม่พอ!! Arthur ลงจากหลังม้า พร้อมกับทหารติดตาม... เขาเดินขึ้นไปยืนบนเนินดินสูงเพื่อให้ทุกคนโดยรอบเห็นชัด...แต่ในตอนนี้ดูท่าทางจะไม่มีใครสนใจเขาสักเท่าไหร่แม้เขาจะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดก็ตาม....... Arthur มองไปรอบๆตัวของเขาก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันฉะฉานฟังชัด!!
“พวกท่าน!! ทหารแห่งจักรวรรดิ!! ผมขอถามพวกท่านสักคำถาม.... ท่านมาที่นี่เพื่ออะไร!!!”
……………… เงียบกริบ ไร้เสียงตอบรับจากเลยหมายที่ท่านเรียก ทหารอังกฤษ ตอนนี้ไร้เรี่ยวและไม่สนอะไรทั้งนั้น... พวกเขากำลังจะตายด้วยโรคร้าย..พวกเขากำลังจะตายทั้งๆที่ห่างบ้านเป็นพันๆไมล์
“เรามาที่นี่เพื่อความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ!!!”
ทหาร Grenadier ร่างยักษ์ผู้หนึ่งตอบคำถามท่านนายพลด้วน้ำเสียงอันฮึกเหิม.. แววตาดุดันพร้อมฆ่าฟันศัตรูให้บรรลัยผิดแผกจากทหารทั่วไป.... Arthur หันมามองที่ทหารผู้นั้นและยิ้มอย่างพอใจ
“ใช่ .... เรามาที่นี่เพื่อความยิ่งใหญ่จักรวรรดิอังกฤษ เรามาที่นี่เพื่อพระเจ้าจอร์จ เรามาที่นี่เพื่อปกป้องศักศรีดิ์ของชาติ และจะยอมพลีชีพเพื่อมัน เหมือนท่านนายพล Nelson!!”
พอสิ้นคำพูดว่า Nelson เสมือนเป็นการกระตุ้นเตือนทหารอังกฤษทั้งหลายให้กลับมาเอาโลกอีกครั้ง อะไรกันเกิดอะไรขึ้นกับ Nelson!! เกิดอะไรขึ้นกับ วีรบุรุษแห่งผืนน้ำผู้นี้!! Arthur ยื่นม้วนกระดาษม้วนหนึ่งให้นายทหารติดตามของเขา นายทหารผู้นั้นคลี่ม้วนกระดาษออกก่อนจะอ่านข้อความข้างใน
“ ถึง พลตรี Arthur Wellesey
ผู้บัญชาการกองทัพรักษาพระองค์ที่ 3
ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1805 นโปเลียนจอมทรราชย์แห่งฝรั่งเศส นำเอาทัพเรืออันมหึมาของเขาออกจากอ่าว Toulon หมายจะพิชิตอังกฤษแผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งของเรา หากไม่มีใครหยุดพวกมัน... หากกองเรือปีศาจนั้นสามารถแล่นมาถึงช่องแคบอังกฤษได้ นั้นหมายถึงจุดจบของชาติเรา แต่วีรบุรุษของเรา Nelson นายพลเรือผู้ไม่รู้จักคำว่าพ่าย ได้นำกองเรือของเขาเข้าโรมรันกับกองเรือฝรั่งเศสอย่างสุดความสามารถ!! ณ แหลม Trafalgar ถึงแม้จำนวนที่มีน้อยกว่า แต่ด้วยเลือดรักชาติของ Neslon ด้วยความสามารถอันมากล้นแห่งราชนาวีอังกฤษ ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของหมู่เรือ ทำให้กองเรือฝรั่งเศสต้องพบกับความปราชัย ชัยชนะตกเป็นของเราอีกครั้ง แต่พวกหมาลอบกัดนั้นไม่ยอมเลิกรา แอบใช้วิธีสกปรกลอบยิงวีรบุรุษของเราอย่างเลือดเย็น กระสุนสังหารนัดนั้นพุ่งทะลุผ่านลำตัวของเขา... ท่านนาย Nelson ล้มลงไปและขาดใจตายในที่สุด...... วีรบุรุษของเราสิ้นชีพแล้ว ผู้ช่วยปกป้องปฐพีของเราถึงคราวต้องลาโลก แต่ท่านได้ทำสิ่งที่เป็นเกียรติยิ่งในชีวิต ท่านได้รับใช้ชาติ ท่านได้ปกป้องชาติให้พ้นภัย ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นว่า จักรวรรดิอังกฤษของเราจะไม่มีวันตกเป็นทาสของใคร ขอให้วิญญาณท่านไปสู่สุขคติ...อาเมน
พลเรือเอก John Deas Thompson
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือ "
พอพูดจบเหล่าทหารอังกฤษทั้งหลายที่ทำท่าหมดอาลัยตายอยาก ก็พร้อมใจกันลุกขึ้นมาและถอดหมวกของพวกเขามาทาบไว้ที่อกเป็นการไว้อาลัยให้กับท่านนายพลที่ล่วงลับ หลายคนน้ำตาคลอเบ้า.. ด้วยความห่างไกลทำให้พวกเขาไม่ทราบถึงข่าวๆนี้ ไม่ทราบว่ายุโรปเป็นอย่างไร... Arthur รับม้วนกระดาษนั้นมาและใส่กระเป๋าของตน เขาเริ่มปราศรัยอีกครั้ง
“ถึงแม้วีรบุรุษของเราจะสิ้นชีพไปแล้ว แต่หาใช่ว่าอังกฤษจะสิ้นคนดี!!! จักรวรรดิของเราจะยืนยงต่อไปได้ก็ด้วยพวกท่านทุกคน ทหารแห่งกษัตริย์!! ทหารแห่งพระเจ้าจอร์จ!!”
“ใช่!!!!!................ อังกฤษยังไม่สิ้นคนดี!!”
“ใช่แล้ว!!! อังกฤษต้องการพวกเรา!!!”
ทหารอังกฤษทั้งหลายเริ่มกลับมามีกำลังใจ พวกเขาเริ่มลุกขึ้นมาทำท่าขึงขังพร้อมสู้รบอีกครั้ง... Arthur กล่าวต่อ
“ท่านทั้งหลาย ในตอนนี้สถานการณ์ที่นี่ก็ไม่ต่างจากในบ้านเกิด ศักดิ์ศรีของเรากำลังย่ำยี โดยพวกป่าเถื่อนนั้น!! ทหารของเราถูกฆ่า ชาวอังกฤษที่อยู่ที่ล้วนโดนพวกมันบั่นคอจนสิ้น... พวกท่านจะยอมให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกไหม!!”
“ไม่!!!”
“เราจะฆ่าพวกมัน!!”
“สั่งสอนให้พวกป่าเถื่อนนั้นรู้เลยว่าใครเจ๋ง!!”
“อาวุธของพวกมันช่างล้าหลังราวกับหลุดมาจากยุคกลาง.... กองทัพของมันล้วนแต่มีพวกต้อยต่ำหาเทียบกับพวกท่านได้ไม่ ...... ชัยชนะของพวกเราอยู่เพียงเอื้อมหากเราร่วมกันต่อสู้ หากเราสามัคคี!! สู้ให้สมศักศรีดิ์ของจักรวรรดิ สู้ให้ท่านนายพล Nelson เห็นว่าพวกท่านจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง!!!”
“เราจะสู้!!!”
“สู้เพื่อ Nelson!!”
“สู้เพื่อจักรวรรดิของเรา!!”
“เพื่อจักรวรรดิอังกฤษ Rule Britannia!!”
พอ Arthur พูดจบเขาก็ชักดาบขึ้นมาพร้อมตะโกนคำว่า Rule Britannia กึกก้อง!! เหล่าทหารอังกฤษในตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน พวกเขาต่างชูปืนขึ้นมาและตะโกนโห่ร้องขึ้นมาอย่างกึกก้องด้วยความฮึกเหิม!! ในตอนนี้ขวัญกำลังใจของพวกเขากลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง หัวใจของพวกเขาพองโตไปด้วยคำว่า อังกฤษ!! พวกเขาจะสู้ไม่ถอยสู้จนกว่าจะได้รับชนะแม้จะน้อยกว่าก็ตาม แบบที่ Nelson วีรบุรุษที่ล่วงลับของพวกเขาเคยทำ!!! Arthur ยิ้มอย่างดีใจ Mission Complete ครับ เขาปลุกใจทหารของเขาได้สำเร็จ!! Arthur เดินกลับมาที่ม้าสีขาวของเขาและขึ้นขี่อีกครั้ง ผู้พัน Sandler ผู้พันอาวุโสขี่ม้าตรงมาหาเขาพร้อมสีหน้ายิ้มกรวนตีนๆเล็กน้อย
“หากินกับคนตายเก่งน่ะ ท่านนายพล....”
“การตายของเขาถึงไม่สูญเปล่าไงครับผู้พัน..”
“ผมยอมรับในความสามารถในการปลุกใจของคุณน่ะ....แต่จะเอาไงต่อ...”
“ชัยภูมิเราค่อนข้างได้เปรียบอยู่แล้วถ้าทหารมีกำลังใจสู้ก็ไม่มีอะไรน่ากังวลนิ.....”
“งั้นผมขอให้ท่าน ลองดูใหม่อีกครั้ง”
Sandler ยื่นกล้องส่องทางไกลของตนให้กับ Arthur.. Arthur ก็รับมาครับและจัดการส่องไปในทิศทางที่ Sandler ชี้.........
“ว้าว ช้างศึก... ตั้งแต่ผมเกิดมาเพิ่งเห็นช้างตัวเป็นๆครั้งแรกก็วันนี่แหละ อยากเข้าไปเห็นใกล้ๆจัง ตัวมันคง มโหราฬน่าดู..... เดี๋ยวถ้าคุณกังวลกับเจ้าสัตว์โลกน่ารักพวกนี้น่ะ ... ผมว่าคุณน่าจะเกิดผิดยุค...”
“ผมไม่ได้หมายถึงช้าง!!! ลองดูให้ดี ข้างหลังช้างอ่ะ.......”
Arthur หยิบกล้องมาส่องใหม่อีกครั้ง...และปรับโฟกัสให้มองไกลขึ้น เมื่อเขาเพ่งพินิจดีๆเขาก็พบกับ
“……….. นั้นมันถ้าผมมองไม่ผิดนั้นปืนใหญ่ 12lb ….. มีหลายกระบอกเลยแฮ่ะ.....เหมือนของฝรั่งเศสเลยแฮะ!! หา ฝรั่งเศสงั้นเหรอ!!”
เล่นเอา Arthur ตกใจเลยครับ ปกติพวก มราฐา มีปืนใหญ่ก็จริง แต่ก็เป็นปืนใหญ่ก๊องแก๊งๆที่มีอายุประมาณ 100 ปี.... แต่ที่เขาเห็นนั้นคือปืนใหญ่ขนาด 12lb ซึ่งมีประจำการในกองทัพ Grande Armee ของ นโปเลียน!! ไม่ได้มีกระบอกแค่กระบอกเดียวด้วยแต่มีมากถึง 50 – 60 กระบอก แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ไงหว่า....
เวลา 0630 น. ฝั่งกองทัพ มราฐา
กองทัพของสหพันธรัฐมราฐากองทัพของประชาชนชาวฮินดูขนาดใหญ่. แม้พวกเขาจะมาจากหลายที่ พวกเขาจะไร้อาวุธที่ดี และขาดการฝึกวินัย แต่พวกเขามีจุดมุ่งหมายเดียวกันนั้นคือ การขับไล่ผู้รุกรานชาวอังกฤษ!!! ... พวกเขาต่างรวมตัวกันภายใต้การนำของ มหาราชา ดูอารัต กษัตริย์ของมราฐา ในตอนนี้ มหาราชาใช้กล้องส่องทางที่ Import จากยุโรป ส่องดูความเคลื่อนไหวของพวกอังกฤษ...
“อืม......... พวกมานตั้งป้อมค่ายหนาแน่นเลยทีเดียว นายฝรั่ง....หวังว่าอาวุธของนายจะทำให้ มหาราชา กำชัยเหนือพวกบริเตน!!”
“มั่นใจได้เลย พ่ะย่ะค่ะ ปืนใหญ่ของจักรพรรดินโปเลียนนั้น มีอานุภาพและความแม่นยำกว่าของพวกอังกฤษเป็นไหนๆ .... ซ้ำร้ายกองทัพของพวกมันเดินทางไกลและยังไม่คุ้นชินกับสภาพอากาศเขตร้อนชื้น ป่านนี้คงเป็น มาลาเรีย ตายกันเกินครึ่งแล้วกระมัง ส่วนพวกที่เหลือคงใจฝ่อโยนปืนทิ้งตอนกองทัพของท่านบุกไปถึงเอง พ่ะย่ะค่ะ.....”
ชายที่ มหาราชา สนทนาด้วยอยู่นั้น ผิวขาว และผมสีน้ำตาลอย่างคนยุโรป และที่สำคัญเขาสวมเครื่องแบบชั้นยศนายพันสีน้ำเงินพร้อมมีตราสัญลักษณ์อินทรีย์ทองคำ!!!... เขาคือ พันโท มูรอง ซาเร่เกต์ นายทหารประจำอาณานิคมโพ้นทะเลของฝรั่งเศส!!!
“นายฝรั่ง.......หลังจาก มหาราชาเด็ดหัวพวกบริเตนจนสิ้นแล้ว หวังว่านายจะทำตามสัญญาที่นายรับปากน่ะ นายจะนำมาซึ่งความเจริญและก้าวหน้าของ มราฐา.... และ จักรพรรดิของนายจะไม่ข่มเหงรังแก มราฐา เยี่ยงพวกบริเตน!!”
“ข้าพเจ้าขอเอาเกียรติแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสมายืนยัน ข้าพเจ้าสัญญา..... ขับไล่พวกอังกฤษให้จักรพรรดิของข้าพเจ้า... และจักรพรรดิของข้าพเจ้าจะนำความเจริญมาให้ มราฐา!!”
“ได้ นายฝรั่ง มหาราชาผู้นี้ขอถือสัตย์สาบาน”
มูรอง พยักหน้าและโค้งคำนับ มหาราชาแห่งมราฐา.... มหาราชา พยักหน้าเหมือนเป็นการยอมรับ และ เขาก็ขึ้นช้างศึกของเขาและสวมชุดเกราะหนังแรด....ที่ประดับเพชรพลอยมากมาย...มหาราชาในตอนนี้พร้อมจะออกศึก ซึ่งเขาก็ได้กล่าวปลุกใจ ชาวอินเดียทั้งหลายที่มาร่วมรบเป็นครั้งสุดท้าย
“พ่อแม่พี่น้อง ชาวมราฐา!!!! วันนี้เราจะแสดงให้พวกมันเห็น ให้พวกมันเห็นว่าเราจะยอมโดนพวกมันข่มเหงอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่ยอมเป็นทาสของพวกมันอีกแล้ว!! จักรพรรดิ นโปเลศวรแห่งฝรั่งเป็นมิตรกับ มหาราชา เขาคือชายผู้ที่ทำให้พวกผิวขาวด้วยกันหวาดผวา!! เขาได้นำศาสตราวุธที่จะนำชัยมาให้เรา!!! เมื่อ 2 กษัตริย์ร่วมมือกัน 2 โลกร่วมมือกัน!! จะไม่มีอะไรหยุดเราได้!!! จงไปฆ่าพวกมัน!! ไอ้พวกลิงเผือก!! กุดหัวพวกมันแล้วเอาเลือดมาเซ่นเจ้าแม่กาลี!! เอาลิ้นของพวกมันมาเป็นอาหารของ รามสูร!! เอาหัวของพวกมันมาบูชาพระพิฆเนศ และสุดท้ายจงตามข้า มหาราชาผู้นี่ไปสู่ชัยชนะ!!!”
“เฮๆๆๆ มหาราชา!! มหาราชา!! มหาราชา!!”
กองทัพมราฐาต่างตะโกนกึกก้องด้วยความฮึกเหิม... ไม่มีอะไรมาหยุดพวกเขาจากการเข่นฆ่าผู้รุกรานได้ มหาราชา เบดูรัต ทรงช้างศึกเกราะสีทองอร่ามนำหน้าออกไป.... ช้างศึกกว่า 50 เชือกของกองทัพ มราฐา ก็ไสตามไปครับ กองทัพมราฐานั้นจัดขบวนแบบกองทัพสมัยโบราณไม่มีผิด .... ใช้ช้างเป็นทัพหน้าหวังทะลวงฟันข้าศึกให้แหลกเหมือนรถถังที่เจาะเข้าไปในแนวป้องกันข้าศึก ทหารม้าหนักของมราฐาคอยคุมเชิงอยู่ปีกทั้ง ซ้ายและขวา ตามด้วยทหารราบที่วิ่งตามตูดช้างมาติดๆ..... ทหารของมราฐานั้นส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน.ที่หาอะไรก็ได้มาเป็นอาวุธตั้งแต่ สากกะเบือ มีดทำครัว ยันไม้ตะบอง บางคนถือปืนก็มีแต่ก็เป็นปืนรุ่น Matchlock ซึ่งมีอายุกว่า 100 ปี... และไม่ได้มีการจัดระเบียบขบวนทัพแต่อย่างใด สักแต่ว่าวิ่งโถมใส่อย่างเดียวโดยอาศัยจำนวนที่มากกว่าให้เป็นประโยชน์.............
ฝั่งกองทัพอังกฤษ เวลา 0645 น.
“อืม.....มากันแล้วแฮะ....... ยังกะคณะละครสัตว์ยังไงงั้น....”
Arthur กล่าวออกมาพร้อมลดกล้องส่องทางไกลลงจากระดับสายตา... เขาเดินสั่งการณ์ทัพต่อทันที
“ผู้พัน Gif สั่งทหารทุกนายประจำแนวสนามเพลาะ!!”
“ครับผม”
“ผู้พัน Miller คุณนำหน่วย Grenadier ของคุณอยู่ในแนวที่ 2 เก็บพวกเขาไว้ใช้ยามรบแตกหัก”
“ครับผม”
“ผู้พัน Sandler คุณสั่งให้ทหารองครักษ์ Coldstream ตรึงแนวกลางไว้ มันเป็นจุดล่อแหลมที่สุดแหละผมก็มั่นใจในฝีมือของคุณ...”
“ผมจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
“Billy ทหารม้าของเราข้ามแม่น้ำไปยัง.....”
“ข้ามไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วครับ.... สิงกล กับ Marcus พาพวกเขาไปซุ่มตรงชายป่าด้านเหนือรอสัญญาณจากโจมตีจากท่าน...”
“ดีมาก......... เอาล่ะพลสัญญาณเตรียมสั่งการณ์ยิงปืนใหญ่...พวกมันเข้าใกล้ระยะยิงแล้ว!!”
Arthur ชูมือขึ้นไปบนฟ้าเพื่อเตรียมสะบัดลงซึ่งมีความหมายว่าเปิดฉากยิง!! ส่วนมืออีกข้างของเขานั้นใช้กล้องส่องทางไกลดูระยะห่างของข้าศึกที่กำลังรุกเข้ามา...
“เอาล่ะ 3000 หลา.............2950 หลา........ 2900 หลา...............2850 หลา......”
Arthur ก็เห็นว่าปืนใหญ่นับ 50 กระบอกของมราฐานั้นมีแสงวูบวาบออกมา!! โพยพุ่งออกจากปากกระบอก......
“หมอบลง!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
ชั่วอึดใจเสียงแหวกอากาศกัมปนาทของกระสุนปืนใหญ่ก็ดังขึ้น!!!
เฟี้ยวววววววววววววว เฟี้ยวววววววววววว เฟี้ยววววววววววววว ตู มมมมมมมมม เฟี้ยวววววววววว ตูมมมม เฟี้ยวววววววววววววว ตูม!! ตูมมมมมมมมม
กองทัพอังกฤษถูกระดมยิงด้วยปืนใหญ่........ ทหารทุกนายหมอบราบกับพื้นหลายนายตัวแนบชิดขูดินและสิ่งกีดขวางเพื่อหลบสะเก็ดระเบิด!!! โชคดีที่พวกเขาต่างสร้างแนวป้องกันไว้เพื่อป้องกันการโจมตีจึงทำให้ปืนใหญ่ทำความเสียหายไม่ได้มากนัก......
“พวกมันไปเอาปืนใหญ่มาจากไหนฟร่ะ.....”
“นั้นดิ!!! ระยะยิงมันไกลกว่าปืนใหญ่ของเราซะอีก!!”
“ฝรั่งเศส....”
Arthur ตอบคำถามสั้นๆให้กับพลทหารทั้ง 2 นายที่กำลังสงสัย... แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีเวลามาคิดอะไรมาก เพราะการระดมยิงชุดที่ 2 กำลังมา....................... เฟี้ยวววววววววว เฟี้ยวววววววววว ตูมมม ตูมมมมมม เฟี้ยววววววววววว ตูมมมมมมมม เฟี้ยววววววววววววว ตูม ตูม ตูม!!! คราวนี้ดูเหมือนพลปืนใหญ่ของฝั่ง มราฐาจะปรับระยะของปืนใหญ่ให้แม่นขึ้นครับ (ซึ่งน่าจะเป็นคำแนะนำของ มูรอง) ทำให้อานุภาพในการทำลายล้างของมันรุนแรงกว่าเดิม!!!....... ลูกกระสุนปืนใหญ่บางนัดยิงโดนปืนใหญ่อังกฤษจนกระเด็นกระดอน...กระเด็นไปฟาดเอาทหารอังกฤษที่ยืนอยู่จนล้มลงไป!! บางลูกยิงโดนหอสังเกตการณ์จนถล่มลงมา ทหารอังกฤษล่วงตกลงมาตายนับ 10!!!.......... Arthur เอาตัวไปแนบชิบกับคูดินพร้อมใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูพวก มราฐา...
“ประมาณ 2200 หลา!!! ............... ถ้าถึงระยะ 2000 หลาเมื่อไหร่เปิดฉากยิงได้เลย!!!”
เฟี้ยวววววววววววววว ตูมมมมม เฟี้ยววววววว ตูมมมม เฟี้ยววววววววววว ตูม............... ท่ามกลางการระดมยิงของปืนใหญ่ฝรั่งเศส Arthur ก็ยังคงใช้กล้องของเขาดูกองทัพมราฐาดูอย่างมั่นคง......
“2100…….2080……2060……….2040………2020…………2000 ยิงเลยยยยยยยยยยยยยยย!!!”
Arthur ลุกขึ้นมาชูมือของเขาขึ้นและสะบัดลงให้พลสัญญาณเห็น.....การเปิดฉากระดมยิงของปืนใหญ่อังกฤษได้เริ่มขึ้นแล้ว!!! ปืนใหญ่ 8lb 12lb รวมถึง 18lb Howitzer ต่างเปิเดฉากระดมยิงอย่างหนักหน่วง ไฟและควันจากปากกระบอกปืนนับ 100 พวยพุ่งออกมาประดุจมังกรพ่นไฟ!!!!
ตูมมมมมมมมมมมมม ตูมมมม ตูมมมมมมมมม เฟี้ยววววววววว ตูมมมม ตูมมมมมมมมมม เฟี้ยววววววววววว
กองทัพของมราฐาจำนวนมหาศาลที่วิ่งเข้ามาอย่างได้ใจเจอการโต้กลับ!..... ลูกเหล็กจากปืนใหญ่พุ่งทะลุผ่านลำตัวทหารนับ 10 จนตัวแตกกระจายเป็นเศษซาก บ้างลูกพุ่งลงต่ำตัดขาเหล่าทหารจนล้มลงนอนด้าวดิ้น บางลูกนั้นกระแทกเข้าที่หัวช้างจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำเอานักรบที่นั่งบนหลังช้างล่วงตกลงมา...... ทางฝั่ง มราฐาก็ยิงตอบโต้ครับ ลูกเหล็กพุ่งไปโดนคูดิน บ้างพุ่งไปโดนปืนใหญ่อังกฤษจนแตกเป็นเสี่ยงๆทำเอา พลปืนใหญ่กระเด็นไปคนละทิศคนละทาง..... การยิงซัลโวของปืนใหญ่ทั้ง 2 ฝั่งเกิดขึ้นอย่างเมามัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันครับ...... ปืนใหญ่อังกฤษยิงใส่ ทหารมราฐาที่วิ่งมาเข้ามา กระสุนโดนบางลูกโดนพื้นแล้วกระเด้งแฉลบขึ้นบนตัวเอาหัวของ มราฐา จนล้มลงไป!!! บางลูกตกเข้ากลางวงจนคนนับ 10 กระเด็นไปคนละทิศละทาง!! ความสูญเสียฝั่งมราฐานั้นเริ่มมากขึ้นเนื่องจากพวกเขาไม่มีที่กำบัง!! แขนขา ไส้ กระจุยกระจายตามพื้น ซากศพของช้างที่ลำตัวขาดครึ่งแต่งวงของมันยังสะบัดไปมาราวกับจะขอความช่วยเหลือ…. แต่ด้วยความที่ มหาราชายังคงนำหน้าพวกเข้าเสมอเลยทำให้พวกเขายังมีกำลังใจวิ่งชาร์จเข้ามาไม่หยุด
กองทหารปืนใหญ่ มราฐา เวลา 0720 น.
ปืนใหญ่มราฐายังคงระดมยิงใส่กองทัพอังกฤษอย่างไม่หยุดหย่อน…. ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธนี่เท่ากับเจ้าของประเทศ แต่ด้วยการนำของ ผู้พัน มูรอง ก็ทำให้เหล่า มราฐาใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่มากก็น้อย ผู้พัน มูรอง ใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูแนวป้องกันของฝั่งอังกฤษ ..
“อืม….ถ้ายิงอัดพวกมันตรงๆไม่ค่อยได้ผลแฮะ…. เฮ้ย ไม่ต้องยิงใส่ทหารราบมันแล้ว เล็งไปที่ปืนใหญ่ของมัน!! ลดอำนาจการยิงของมันให้น้อยลง!!”
มูรอง สั่งการให้ล่ามอินเดียที่พูดฝรั่งเศสเป็นครับ ล่ามคนนั้นก็สั่งการเป็น ภาษาอารบิก กระจายให้ทั้งกองทหารปืนใหญ่รับทราบ ดังนั้นเหล่าทหารบังก็จัดการปรับวิถีปืนใหญ่ให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อยิงปืนใหญ่ของอังกฤษที่ตั้งอยู่บนเนินดิน!!
“ยิงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!”
เฟี้ยววววววววววววว บรึ้มมมมมมมมมม ฟ้าวววววววว ฟ้าวววววว เฟี้ยวววววว ฟ้าววววววววววววว ตูม ตูม ตูมมมมมมม!!!
เหล่าลูกกระสุนบินเลยผ่านหัวของทหารอังกฤษไปยังแนวหลังที่มีปืนใหญ่ตั้งอยู่ครับ!!..... ตูม!! ครึกกก ครืนนนน โครมมมมมม ปืนใหญ่บางกระบอกของอังกฤษ ถูกลูกกระสุนปืนใหญ่ มราฐา ชนเข้าจนหักเป็นสองท่อน บางลูกโดนดุมล้อปืนใหญ่จน ปืนใหญ่เซไถลลงมาจากเนิน…. บางนัด แจ๊กพ๊อตกระเด็นไปกระแทกถังดินปืนข้างๆปืนใหญ่เกิดระเบิดกัมปนาทขนาดใหญ่ขึ้น!!!
บรึ้มมมมมมมมมมมมมมมมม
ดินปืนที่กองสุมอยู่ตรงนั้นระเบิดออกแรงอัดทำเอาปืนใหญ่ทั้งแถบตรงนั้นนับ 10 กระบอก กระเด็นกระดอนไปหมด ส่วนพลปืนใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นล้วนโดนเปลวเพลิงและแรงอัดจากระเบิดจนร่างกระจุยเป็นเสี่ยงๆ ทหารนับร้อยตรงนั้น นอนร้องคราวญคราง…. Arthur เห็นดังนั้นรู้สึกใจคอไม่ดีครับ.. ทำไมไอ้พวกฝรั่งเศสมันยังมาตามหลอกหลอนถึงนี่ว่ะ!!!! ขนาดกูหนีมานี่แล้วยังเจอพวกมันอีก…
“ผมเกรงว่า มันไม่ได้มีแค่ปืนใหญ่ฝรั่งเศสอย่างเดียวน่ะสิ น่าจะมีนายทหารฝรั่งเศสอยู่กับพวกมราฐาด้วย พวกมันถึงใช้ปืนใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพขนาดนี้!!”
“ใช่น่ะสิ…………. 1050……. 1020…………… 1000 พลปืนใหญ่ Howitzer ยิง!!!!!”
Arthur ลุกขึ้นมาพร้อมกับสะบัดแขนลงเพื่อเป็นการสั่งให้ปืนใหญ่วีถีโค้งยิงใส่…… ฟ้าววววววววววววว ฟุบบบบบบบบบบ…. ลูกกระสุนปืนใหญ่เฉี่ยวเอาหมวกของ Arthur จนล่วงหลุดไปจากหัว… แต่ Arthur ก็ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตกใจแต่อย่างใดครับ…..
“เฮ้ออ ต้องซื้อหมวกใหม่อีกแล้ว…………...”
ตูมมมมมมมม ฟ้าววววววววววว ตูมมมมมมมมมมมมมมม เฟี้ยวววววว ปืนใหญ่ขนาด 18lb Howitzer กว่า 25 กระบอกพ่นกระสุนหัวระเบิดลอยคว้างออกไปในอากาศ….. ตูมมมมมมมมมมมม พรึ่บบบบบบบบบ ว้ากกกกกกกกก ตูมมมม ตูมมมมมมมมพรึ่บบบบบบบบ จ๊ากกกกกกกกกก ตรูมมมมมมมมมมมมม เมื่อกระสุน Howitzer ตกกระทบพื้นมันพวกมันก็แตกตัวออกกลายเป็นเปลวเพลิงเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า เหล่าทหารมราฐาถูกเผาผลาญโดยไฟจากปืนใหญ่… ….ทหารมราฐาหลายนายดิ้นเร้าด้วยความทรมาณจากเปลวเพลิง… ยิ่งเข้ามาใกล้ปืนใหญ่ของอังกฤษเริ่มมีอานุภาพมากขึ้น…… กระสุนที่พ่นออกจากปากกระบอกปืนทุกนัด..โดนเป้าหมายเกือบหมด..ลูกเหล็กลูกแล้วลูกเล่าบินทะลุทุแนวทหารมราฐาจนล้มกลิ้งระเนระนาด….ยอดสูญเสียพุ่งถึง 2000!! ทั้งๆที่ยังไม่ได้เข้าปะทะเลยด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อ มหาราชายังไม่ถอยหนี เหล่าเคลื่อนกองทัพมวลชนแห่ง มราฐาก็ยังดาหน้าเข้าหากองทัพอังกฤษอย่างกล้าหาญ….
“500……550…… 400…………. 450………… 350…………………………200……...”
เฟี้ยวววววววววว ฟุบบบบ ปืนใหญ่มราฐาพุ่งมาเอาทหารติดตามของ Arthur ขาขาดกระจุบทั้ง 2 ข้าง…… ทหารนายนั้นร้อโอดครวญอย่างน่าสงสาร
“ว้ากกกกกกกกกก ขาโผมมมมมมมมมม”
“ไปเรียกแพทย์สนามมา… โธ่ไม่น่าเลยจอร์จ………125”
Arthur พูดด้วยนำเสียงที่ดูไม่ใยดีทหารติดตามเท่าไหร่ เพราะการรบใกล้ถึงจุดถึงพริกถึงขิงสุดๆ…. เพราะถ้าเข้าระยะ 100 หลาเมื่อไหร่นั้นหมายถึงระยะที่ปืนไรเฟิลยาวของอังกฤษจะยิงได้!!! เหล่าทหารเชิ้ตแดงต่างเอาปืนพานท้ายปืนมารองที่ร่องไหล่ สายตาเล็งไปที่ศูนย์หลัง!! พวกเขาประทับปืนในท่าพร้อมยิงขอเพียงแค่รอคำสั่ง!!
“100!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เอาล่ะเปิดฉากยิง!!!!!!!!!”
ยิง!!!!!!!!
ยิงงงงงงงง!!!
ยิง!!!!!!!!!!!!!!!!
นายทหารทุกนายต่างสั่งเปิดฉากยิงพร้อมกัน!!! การยิงแบบซัลโวนั้นได้เริ่มขึ้น
“ปังๆๆๆๆๆๆ ปังงงงงงงๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆๆๆ ฟุ่บ อ๊ากกกกกก ว้ากกกกกกกก ว้ากกกกกกกกก ปังงงง!!!”
ทหาร มราฐาในที่วิ่งมาถึงพวกแรกๆโดนห่ากระสุนปืนจากทหารเชิ้ตแดงจนล้มระเนระนาดไปกองกับพื้นจำนวนมาก!!!! แถวที่ 2 ของทหารอังกฤษเข้ามายิงต่อ…ส่วนแถวแรกนั้นไปต่อท้ายสุดเพื่อบรรจุกระสุน!!.... การยิงนั้นต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องและพร้อมเพรียง!! เพื่อเพิ่มอำนาจการทำลายล้างให้สูงสุด!!...... ปังงงๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆๆๆ!!!..... ร่างของทหารมราฐา ร่างแล้วร่างเล่าล้มลงไป…แม้พวกเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่อาจจะฝ่ากำแพงกระสุนของทหารอังกฤษได้ ไม่ใช่แค่ห่ากระสุนของทหารอังกฤษอย่างเดียวที่เป็นอุปสรรคของทหาร มราฐา….แต่คูดินที่ขุดไว้นั้นทั้งลึกและชัน ขวางหน้าแนวป้องกันและทหารมราฐาเอาไว้… หลายนายตกลงไปในคูดินและพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ก็โดนยิงซ้ำจนร่วงตกลงไป…บางนายก็โดนพวกเดียวกันเองเหยียบย่ำจนมิอาจจะโงหัวขึ้นมาได้…การระดมยิงอย่างต่อเนื่องยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นแก่ฝั่งมราฐา ทั้งๆที่ยังฝ่าแนวเข้าไปประชิดทหารอังกฤษไม่ได้ด้วยซ้ำ… จนกระทั่ง….
แปร๋นนนนนน
กองทัพช้างศึกหุ้มเกราะหนักของ มราฐามาถึงครับ…. มหาราชานั้นได้ปล่อยให้ทหารราบวิ่งไปเข้าไปปะทะก่อนเพื่อเป็นการหยั่งเชิงทหารอังกฤษ….. เมื่อรู้ว่าทหารราบนั้นไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของอังกฤษได้จึงไสช้างเข้าปะทะทันที!!!
“โจมตีแนวตั้งรับตรงกลางของพวกมัน!!!!!!!”
ว่าแล้ว กองทัพช้างร่วม 100 เชือกต่างวิ่งเข้าไปหวังทะลวงแนวตั้งรับของอังกฤษให้เป็นช่องโหว่…. ผู้พัน Sandler ผู้บังคับกองพันทหารการ์ด Coldstream ที่รั้งแนวตั้งรับตรงกลางต้องเจอศึกหนักเมื่อเห็นขบวนช้างศึกนับร้อยวิงปรี่เข้ามาในระยะ 100 หลา!!!!
“ทหารองค์รักษ์ จงอย่าได้หวดหวั่น จงสู้เพื่อกษัตริย์และแผ่นดิน!!! ยิง!!!!”
ทหารแถวแรกยิงปืน Rifle เข้าใส่ช้างศึกที่กำลังวิ่งมาแต่ดูเหมือนอานุภาพของมันจะไม่พอหยุดช้างได้!!! พวกมันเข้ามาใกล้ในระยะ 50 หลา……!!!!
“ยิงงงงงงงงงงงง!!!!”
ตูมมมม ตูมมมมมมมม ตูมมมมมมมม ตูมมมมมมมมม พลปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงแนวตั้งรับตรงกลางต่างพร้อมใจกันยิงลูกเหล็กใส่ช้างที่กำลังวิ่งเข้ามา!!! ตูมมม……..แปร๋นนน ว้ากกก ตูมมมม เผละ ตูมมมมม!!! ลูกกระสุนปืนใหญ่นั้นพุ่งทะลุผ่านลำตัวช้างไป บ้างตัดขาช้างจนล้มลงไปกองด้าวดิ้น….ควาญช้างและเหล่านักรบ มราฐา บนหลังช้างต่างร่วงลงตกลงมา แต่ปืนใหญ่ในแนวรบตรงกลางนั้นยังไม่มีอานุภาพพอจะหยุดกองทัพช้างอันแสนจะบ้าคลั่ง!! ควาญช้างบางคนใช้ขอสับช้างจนตกมัน!!! พวกมันในตอนนี้ไม่ต่างอะไรราวกับเครื่องจักรสังหารขนาดมหึมาที่ไร้ความกลัว!!! ทหาร Coldstream นั้นก็เช่นกันด้วยวินัยอันดีเยี่ยมของพวกเขา พวกเขาจะยังคงไม่ถอยตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่ง ถึงแม้สีหน้าของทหารหลายนายจะบ่งบอกถึงความตัวกลัวก็ตาม!!...
“เล็งไปที่ควาญช้างยิง………...!!!!”
ผู้พัน Sandler สั่งให้ทหารแถว 2 เล็งสูงขึ้นเพื่อยิงเหล่าควาญช้าง… ปังๆๆๆๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆ ห่ากระสุนหลายนัดนั้นถูกเข้าควาญช้างในระยะ 40 หลา!! ซึ่งนั้นคือระยะสังหาร ควาญช้างต่างกลิ้งตกลงมาจากคอช้างหลาย 10 นาย!! ช้างตกมันซึ่งไร้การควบคุมนั้นวิ่งสะปะสะปะไปมา!! ช้างตัวหนึ่งวิ่งไปกระแทกช้างตัวข้างๆจนล้มลงไป บางตัววิ่งหันหลังกลับชนเอาทหารมราฐาที่วิ่งตามมาข้างหลังจนกระเจิดกระเจิง แต่ยังมีช้างอีกหลายสิบตัวที่ยังคงวิ่งตรงมาข้างหน้า และกำลังจะปะทะกับแถวทหาร Coldstream ที่ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ!!
“เตรียมเข้าปะทะ!!!”
ผู้พัน Sandler ออกคำสั่งพร้อมกับชักกระบี่นายทหารออกมาจากฝัก!! ทหาร Coldstream เปลี่ยนจากท่าประดับเตรียมยิงเป็นท่าเตรียมแทง! แต่สิ่งที่พวกเขากำลังจะปะทะนั้นไม่ใช่ ทหารราบแต่เป็นช้างนับ 10 ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา………….. พวกมันอยู่ห่างออกไป 20 หลา!! เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นและดังกึกก้องของมันช่างน่ากลัวยิงนัก!!! ทหาร Coldstream หลายนายขาสั่น เหงื่อแตกพลั่กแต่พวกเขายังคงตั้งมั่นอย่างเหนียวแน่น… ช้างศึกชาร์จใส่พวกเขาอย่างรุนแรง!!
ว้ากกกกกกกกกก แปร๋นนนนนนน โอ๊ยยยยยยยย รักษาที่มั่นไว้!!!! ว้ากกกกก ฉึกกกกกกกก
ช้างศึกวิ่งชนทหาร Coldstream นับ 10 กระเด็นไปคนละทิศละทาง งาอันแหลมคมของช้างบางเชือกแทงทะลุหน้าอกทหารอังกฤษ… ช้างบางตัวใช้เท้าเหยียบทหารอังกฤษที่ล้มลงไปอย่างทารุณ….. ทหาร Coldstream นั้นก็พยายามโต้ตอบด้วยการยิงไปที่ควาญช้าง บางคนดาบปลายปืนแทงขาช้าง!! การต่อสู้อย่างชุลมุนในแนวรบตรงกลางเกิดขึ้น!!... ไม่ใช่แค่นั้นเหล่า ทหารมราฐาที่ตามหลังมานั้น วิ่งเข้ามาผสมโรงร่วมต่อสู้กับกองทัพของพวกเขา…
“เฮ้ลุยเข้าไป!!! ลุยยยยยยยยย!! ขับไล่พวกเสื้อแดงออกไป*”
(ทหารอังกฤษในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 จะใส่เสื้อสีแดงแปร๋ดเป็นเอกลัษณ์ฝ่ายตรงข้ามมักเรียก ทหารอังกฤษ ว่าพวกเสื้อแดง)
ทหารมราฐาราวๆ 5,000 – 6,000 ทะลักเข้าไปในแนวรบตรงกลาง!!! โดยทหาร Coldstream ที่ตรึงแนวรบตรงกลางนั้นมีเพียง 3,000 นายเท่านั้น มหาราชา เบดูรัต ทรงประทับอยู่บนช้างศึกมองแนวรบตรงกลางอยู่ห่างๆด้วยกล้องส่องทางไกล…. ก็พบว่าแนวตรงนั้นมีช่องโหว่และกำลังถูกเจาะในที่สุด!!....
“ชัยชนะใกล้ตกเป็นของเราแล้ว…….. ตามข้ามา เหล่านักรบของข้า!!!”
ว่าแล้ว มหาราชาก็ไสช้างศึกของตัวเองออกไปพร้อม กับนักรบชาวซิกส์ร่วม 5,000 นาย นักรบชาวซิกส์นั้นมิใช่ทหารชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นถึงสุดยอดนักรบในชมพูทวีปก็ได้ พวกเขานั้นสวมเกราะเหล็ก โล่เหล็ก และดาบโค้งเป็นอาวุธ รวมถึงรบดุดันประดุจราชสีห์และหากลัวความตายไม่!!
มหาราชาได้ทุ่มหมดหน้าตักเพือเจาะแนวรบตรงกลางของอังกฤษให้แตก!! ทหารซิกส์นั้นได้เข้าร่วมต่อสู้อย่างดุเดือด….. ทหาร Coldstream นั้นแม้จะเก่งกาจก็จริงแต่เมื่อไร้อำนาจการยิง ประสิทธิภาพของพวกเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดาบปลายปืนั้นยาวและเทอะทะไม่เหมาะต่อการต่อสู้แบบชุลมุน!! ดาบของนักรบซิกส์นั้นคล่องกว่าและมีประสิทธิภาพกว่าอย่างเห็นได้ชัด!! ….การต่อสู้แบบถึงตัวเป็นไปอย่างนองเลือด มราฐาใช้ดาบฟันทหารอังกฤษจนคอหลุดจากบ่า….. ทหารอังกฤษนายหนึ่งใช้ดาบปลายปืนแทงทหารซิกส์จนทะลุพุง…แต่ทหารซิกส์อีกนายก็ดาบฟันเข้ากลางหลังทหารอังกฤษนายนั้นจนล้มลงไป…ทหารอังกฤษนายหนึ่งยกปืนขึ้นมาเพื่อกันการฟัน..แต่ปืนนั้นถูกฟันขาดเป็น 2 ท่อน คมดาบตรงมาเฉาะกระโหลกทหารอังกฤษนายนั้นจนแยก…ทหารซิกส์ต่าง มีทหารซิกส์นายหนึ่งโดนยิงจนล้ม…แต่ทหารซิกส์อีกนายก็ใช้ดาบของเขาตัดแขนทหารอังกฤษนายนั้นจนปืนร่วงจากมือ เหล่าทหารซิกส์ใช้ดาบของพวเขาเข่นฆ่าทหารอังกฤษตายเป็นจำนวนมาก…แต่ Colstream ยังคงต่อสู้อย่างถวายหัว แนวของพวกเขาบางลงและใกล้ทะลักออกมาเต็มทน…
“จะยันไม่อยู่แล้ววว!! ไอ้เด็กเวรเมื่อไหร่จะมาช่วยว่ะ…”
ผู้พัน Sandler บ่นพลางด้วยความโมโห (ไอ้เด็กเวรนี่น่าจะ Arthur 55) …. กองทหารองครักษ์ของเขานั้นใกล้แตกเต็มทนแล้วแต่ยังไม่มีความช่วยเหลือจาก Arthur เลยแม้แต่น้อย!!! เขาส่งทหารแถวสุดท้ายออกเข้าประจัญบานรวมถึงตัวเองด้วย ผู้พัน Sandler นั้นลงใช้ดาบของเขากวัดแกว่งไปมาราวกับว่าตัวเองนั้นยังหนุ่ม เขาเข้ารวมรบโรมรันกับทหารของเขา… ถึงแม้จะรู้ว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาก็ตาม…
เนินดินสักเนินในแนวหน้าของอังกฤษ เวลา 0740 น.
Arthur นั้นใช้กล้องส่องทางไกลมองไปยังแนวรบตรงกลาง และเขาเห็นและทราบดีถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น!!
“เอาไงดีครับ ท่านนายพล!!”
“อืม…….พวกมราฐามันพยายามน่าดูเลยแฮะเล่นทุ่มกำลังส่วนใหญ่มาตรงกลางเลย.. ดูท่าทาง Coldstream จะเอาไม่อยู่แล้ว ระยะก็ใกล้เกินกว่าจะยิงปืนใหญ่สนับสนุนได้”
Arthur พูดพลางใช้กล้องส่องทางไกลมองดูแนวรบตรงกลางสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือการต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่านในระยะประชิดเหมือนสมัยกลางไม่มีผิด อาวุธปืนถูกใช้กันในระยะเผาขน ดาบ มีด หอก เส๊ยบทะลุร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่บันยะบันยัง เหล่าช้างมราฐาก็ยังคงกวัดแกว่งเท้าและงวงไปมา แต่สิ่งที่ตามหลังมานั้นคือมวลมหากองทัพมราฐาอีกนับหมื่นที่กำลังจะทะลักเข้ามาอย่างกับน้ำป่า!!
“ให้ส่งทหารจากแนวอื่นมาช่วยไหมครับ!!”
“ทำแบบนั้นแนวอื่นก็จะอ่อนลงแล้วคราวนี้เราก็ได้แพ้เร็วขึ้นน่ะสิ…..บอกพลสัญญาณส่งสัญญาณควันแดง เตรียมเอาทหารม้าเขาตลบหลัง…....ส่วนแนวตรงกลาง ส่งหน่วยรบ Grenadier ออกไปเตรียมโจมตี!!”
“ครับผม!!!!”
Arthur นั้นงัดไพ่ตายของเขาออกมาซึ่งนั้นคือหน่วยรบ Grenadier ซึ่งมีราวๆ 2,000 นาย หน่วยรบที่ยังสดชื่นและไม่ได้รับความเสียหายในการรบ เขาหวังว่า British Greandier นั้นจะมีพลิกสถานการณ์ของเขาได้แต่หากหน่วยทหารเหล่านี้พลาดท่านั้นหมายความว่าการศึกในครั้งนี้อังกฤษจะเป็นฝ่ายปราชัยแน่นอน!! Arthur นั้นมุ่งตรงไปที่อาชาสีขาวคู่ใจของเขาก่อนจะควบตรงออกไปสั่งการณ์หน่วยรบ Grenadier ด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันพลสัญญาณของฝั่งอังกฤษต่างสุมกองไฟพร้อมโรยสารบางอย่างซึ่งทำให้ควันออกมามีสีแดง!! เป็นสัญญาณให้เหล่าทหารม้าหนักแห่งอังกฤษเข้าโจมตีตลบหลังข้าศึก!!
แนวตรงกลางของอังกฤษ เวลา 0752 น.
แนวตรงกลางของอังกฤษ การต่อสู้ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด ทหาร Coldstream ยังตั้งรับไว้อย่างเหนียวแน่นแม้จะเสียทหารไปเกินครึ่งแล้วก็ตาม!! หน้าที่ของพวกเขาคือการตรึงแนวไว้จนกว่าทหารคนสุดท้าย!! ฟันต่อฟัน ดาบต่อดาบ ปืนต่อปืน ทหารอังกฤษเอาพานท้ายปืนกระแทกหน้ามราฐาจนล้มแล้วตามกระแทกซ้ำอย่างไม่ยังมือ นักรบซิกส์ใช้ดาบตัดขาทหารอังกฤษจนล้มลงไปกอง…แม้แต่ผู้พัน Sandler เอง… ผู้พัน Sandler นั้นดวบดาบกับนักรบซิกส์นายหนึ่งอย่างสูสี!!.....นักรบซิกส์แทงเข้าสีข้าง เอาร่องไหล่หนีบแขนของนักรบชาวซิกส์ก่อนจะแทงได้ทันท่วงทีแล้วจัดการถีบ นักรบซิกส์นั้นจนเซถอยหลัง Sandler อาศัยจังหวะนั้นฟันตวัดขึ้นบนทำเอาหน้าของนักรบผู้นั้นแหกลูกตาแทบถลนออกมา… Sandler ไม่ทันระวังข้างหลังเจอ ทหารชาวบ้านมราฐาเอาท่อนไม้มาทุบเข้าที่ศีรษะจนล้มลงไป…Sandler พลิกตัวขึ้นมาและตั้งท่าจะลุก มราฐาผู้นั้นตามมาหมายเอาท่อนไม้ทุบให้ตาย…. ปัง!!!!! ทหาร Coldstream ลั่นกระสุนออกมาปลิดชีพมราฐาผู้นั้นจนล้มลงไป….
“ผู้พันครับ…”
ทหารนั้นรีบวิ่งมาประคองผู้พันของเขาให้ลุกขึ้น พร้อมกับทหารนับ 10 ที่ตั้งขบวนมาล้อมรอบตัวผู้พันเหมือนกำแพง!!!
“จะเอาไงดีครับ ผู้พันตอนนี้กำลังทหารเราสูญเสียไปมากเกินครึ่งแล้ว!!”
“ถ้าเราถอย!! เราจะแพ้!! ไม่มีทางก้าวถอยหลังแล้วทหาร!!”
Sandler พูดอออกมาอย่างองอาจแม้จะดูสิ้นหวังก็ตาม ทหารการ์ด Coldstream ทุกนายยอมสู้ตายถวายหัวโดยไม่มีใครถอย!!...... ในวันนี้กองพันทหารรักษาพระองค์ที่ 1 จะลายยกองกระนั้นหรือ…. กองทัพอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิอังกฤษจะพ่ายแพ้แก่กองทัพอันป่าเถื่อนนี่เหรอ…..
เพลงมาร์ช British Grenadier ดังมาแต่ไกล……. เสียงพลดุริยางศ์ในชุดสีแดงกำลังบรรเลงกลองด้วยความฮึกเหิม….. ทหาร Coldstream บางนายหันหน้าไปดูข้างหลังของตนเอง ก็พบว่า
ทหาร Grenadier กว่า 2,000 กำลังเดินแถวมาอย่างองอาจ เหล่าชายร่างยักษ์สูงร่วม 2 เมตร ในชุดสีแดงช่างดูน่าเกรงขามยิ่งนัก.. ในแววตาของพวกเขาหามีความกลัวไม่ .. Arthur ควบม้าของเขามาที่หน้าแถวของ Grenadier ….
“พวกท่านทั้งหลาย ทหารแห่งจักรวรรดิ ในศึกนี้ เราจะพ่ายหรือปราชัยนั้นขึ้นอยู่กับพวกท่าน!! พวกท่านคือ ความหวังสุดท้ายของกองทัพอังกฤษ จงพิสูจน์ให้เห็นว่า จักรวรรดิของเรานั้นไม่มีวันพ่ายต่อใคร!!.......”
Arthur กล่าวออกมาครั้งสุดท้าย ก่อนผู้พัน Miller ผู้บังคับกองพันทหาร Grenadier จะสั่งแถว!!!.....
“ทหาร…..หน้าเดิน!!!”
เหล่า Grenadier เดินแถวเข้ามาใกล้การสู้รบอย่างชุลมุนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา…. พวกเขาห่างออกจากการปะทะประมาณ 150 หลา ผู้พัน Sandler เห็นดังนั้นจึงรู้ทันทีว่าควรทำอะไร….
“พลแตร รีบเป่าสัญญาณถอย!!!”
“รับทราบ ปู๊นๆๆๆๆ”
เหล่าทหาร Coldstream ได้ยินดังนั้น จึงรีบละจากแนวรบของตนเองและหันหลังวิ่งกลับมาโดยทันที ก่อนที่ความสูญเสียจะมากไปกว่านี้…. บางคนหนีไม่ทัน ถูกดาบแทงข้างหลัง บ้างคนยังไม่ทันหนี เจอดาบฟันจนล้มลงไปนอน..แต่ทหาร Coldstream กว่า 1,000 นายสามารถวิ่งกลับมาได้…. พวกเขาวิ่งเข้ามาหาแถวของ Grenadier ก่อนจจะหมอบลง ทหารฝั่งมราฐานั้นวิ่งตามาติดๆจนอยู่ในระยะห่าง 60 หลา!!
“ยิงงงงงงงง!!!!”
ทันทีที่ทหาร Coldstream ถอยกลับมาหมด นายทหารสัญญาบัตรสั่งยิงในบัดดล ปังๆๆๆๆๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆๆ ทหารมราฐาที่วิ่งมาต่างถูกหยุดด้วยกำแพงกระสุนของเหล่า Grenadier!!!
“แถว 2 ยิง!!!”
ปังๆๆๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆๆ มราฐาที่ยังคงวิ่งมาต่างต้องกระสุนจากการยิงอย่างซัลโวของทหาร Grenadier…. มราฐาล้มตายลงไปเป็นจำนวนมาก บ้างโดนกระสุนทะลุหน้าจนหน้าหายไปแถบ บ้างโดนเข้ากลางท้องจนล้มลงไปนอน…
“แถว 3 ยิง!!!”
การยิงอย่างไม่หยุดยั้งทำให้ทหารมราฐากว่าหลายร้อยล้มตายลงโดยทียังเข้าไปไม่ถึงระยะประชิดด้วยซ้ำด้วยความชำนาญในการบรรจุกระสุนอย่างรวดเร็ว… ทำให้การยิงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทหารมราฐา ล้มตายระเนระนาดจำนวนมาก แต่พวกเขายังกรูกันเข้ามา… ทหารมราฐานั้นวิ่งมาราวกับฝูงสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่งและมีจำนวนกว่าหมื่น กอปรกับช้างศึกที่ยังเหลือรอดอยู่นับ 20 เชือกกรูกันเข้ามาหมายตีแถวของ Grenadier ให้แตกกระเจิงเหมือนทหาร Coldstream เพื่อทำให้อำนาจการยิงของพวกเขานั้นเปล่าประโยชน์และดึงความได้เปรียบเป็นของพวกเขาอีกครั้ง!! มราฐาวิ่งเข้ามาจนถึงระยะ 35 หลา นั้นเกือบประชิดเต็มทน!!!
“เตรียมระเบิดมือ…..”
ทหารสัญญาบัตรสั่งการให้ Grenadier นำระเบิดมือออกมาจากกระเป๋า พวกเขาจัดการใช้นกปืนติดชนวนระเบิด….ทหารมราฐาวิ่งเข้ามาในระยะ 20 หลา!!
“ขว้างงงงงงงงง!!!”
ฟ้าวววววววววววววววววววววววว……ลูกระเบิดสีดำนับพันลูกถูกขว้างออกไปข้างหน้า…และตกลงสู่พื้นในระยะ 20 หลา………..
ตูมมมมม!!! ตูมมมๆๆๆๆๆ ตูมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมๆๆๆๆ ฟิ้วววววๆๆๆ ฉึกกกๆๆ อ้ากกกกกก ฉึกกกกก ตูมมมมมม
เหล่าลูกระเบิดต่างระเบิดออกในเวลาไล่เลี่ยกันกลายเป็นสนามระเบิดขนาดใหญ่!!!! ทหารมราฐาที่วิ่งเข้ามาในระยะ 20 หลา ต่างถูกแรงอัดระเบิดฉีกร่างเป็นชิ้นๆ!!! ร่างทหารมราฐาหลายร้อยต่างตายด้วยแรงอัดระเบิดแทบจะทันที สะเก็ดเหล็กบ้างชิ้นปลิวไปตัดแขน ตัดขาของทหารมราฐาจนลงไปนอนด้าวดิ้น แม้แต่ช้างเองที่โดนแรงระเบิดก็ถึงกับเท้าหายไปเลย ตัวที่ไม่เจ็บหนักส่วนใหญ่ก็ตกใจแรงระเบิดและวิ่งหนีกลับไป…. เหล่ามราฐาต่างล้มลงนอนโอยโอยบางคนตัวขาดครึ่งร้องหาความช่วยเหลือ พวกทหารมราฐาที่ตามข้างหลังเริ่มหายบ้าและชะงักลงพวกเขาตกใจในอาวุธหมัศจรรย์ของพวกอังกฤษ!!
“ยิงงงงงงงงงงงงงง!!!”
ทหารสัญญาบัตรสั่งการเปิดฉากยิงอีกครั้ง!!! เหล่าทหารมราฐาที่กำลังช๊อคโดนผสมโรงด้วยอำนาจการยิงไรเฟิลยาวจนล้มลงไปนอนแด้ดิ้น บางนายที่แขนขาดจากแรงระเบิดและกำลังลุกขึ้นมา…เจอกระสุนจากเหล่า Grenadier ซ้ำจนขาดใจ ทหารมราฐาหลายนายเริ่มหันหลัง!!! ส่วนเหล่า Grenadier ยิงซ้ำเข้าไปอีก!!! ยิงทำให้ทหารมราฐาเกิดความวุ่นวายมากขึ้น!! Arthur ซึ่งมองดูอยู่ห่างๆถึงกับยิ้มอย่างได้ใจ!!
กองทหารปืนใหญ่ มราฐา เวลา 0805 น.
ผู้พัน มูรอง มองผ่านสถานการณ์ฝั่งมราฐาผ่านกล้องส่องทางไกลด้วยความกังวล!! พวกทหารมราฐาเริ่มทำท่าจะถอย!!
“ไม่ได้การแล้ว สั่งเพิ่มระยะปืนใหญ่ยิงไปที่แถวทหาร Grenadier พวกนั้นเดียวนี้ ทำให้แถวมันแตก ทหารของพวกอินเดียจะได้บุกต่อได้!!”
“แต่ผู้พันครับ ระยะใกล้ขนาดนั้นมันจะโดนพวกอินเดียเอาด้วยน่ะครับ!!”
“ชีวิตชาวอินเดีย ไม่ใช่ชีวิตชาวฝรั่งเศส ผู้หมวดจะตายไปกี่คนก็เรื่องของพวกมันขอแค่พวกมันรบชนะก็พอ ไปสั่งการณ์ให้พวกโง่นั้นเพิ่มระยะปืนใหญ่!!!”
คำสั่งการณ์อย่างอำหมิตจากผู้พันมูรอง เผยแพร่ออกไป ผู้หมวดนายล่ามประจำกองทัพฝรั่งเศสโพ้นทะเลสั่งการณ์ให้ทหารมราฐาเพิ่มวิถีปืนใหญ่และยิงออกไปทันที!!!
เฟี้ยวววววววววววว ตูมมมมม เฟี้ยววววววววววว ตูมมมม ตูมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมม เฟี้ยว ตูมมมมมมมมมมมมมม
เสียงกัปนาทจากปืนใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง คร่าวนี้วิถีกระสุนปืนใหญ่ตกลงที่แถวของทหาร Grenadier!!! ทหาร Grenadier ที่ตั้งแถวอยู่นั้นถูกแรงกระแทกของกระสุนปืนใหญ่จนเด็นไปหลายนาย ทหารบางนายโดนกระสุนปืนใหญ่ทะลุท้องจนเป็นรู!!! แนวของพกวเขาเริ่มมีช่องว่าง แต่กระสุนปืนใหญ่หลายนัดนั้นก็ตกลงทหารมราฐาที่แตกตื่นอยู่เช่นกัน เหล่ามราฐาเจอการยิงจากปืนใหญ่ซ้ำไปอีกทำให้ขวัญกำลังใจฝ่อลงไปอีก!!!!!
“ปัดโธ่!!! ไอ้พวกฝรั่ง พวกมึงทรยศมหาราชา!!! ไอ้พวกผิวขาวขี้ปดมดเท็จกันทุกคน!! มหาราชาผู้นี้จะไม่ขอคบกับพวกผิวขาวอีกต่อไป!!! พวกเราชาวมราฐา พวกเราจะรบด้วยพลังของพวกเราเอง ลุย!!!!!! ”
มหาราชาสถบออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด พลางไสช้างของตัวเองและไล่ต้อนทหารที่หันหลังวิ่งหนีให้กลับไปรบ ซึ่งมันก็มีทหารหลายนายยังฟังและวิ่งตาม มามหาราชาไปร่วมรบอีกครั้ง!!
“ดีมาก มหาราชา ส่งคนของคุณไปรบเรื่อยๆ!!!!”
ผู้พันมูรอง มองกล้องส่องทางไกลและยิ้มด้วยความสะใจ!!
“แย่แล้วครับผู้พัน!!!!!!..................
นายทหารล่ามชาวฝรั่งเศสวิ่งมาหา ผู้พัน มูรอง หน้าตั้งด้วยอาการตกใจ!!!
“มีอะไร!!!!”
“นั้นมันมาแล้ววววววว!!!”
ทหารม้าหนัก Life Guard ของอังกฤษมาถึงแล้วครับ!! สิงกลกับผู้กอง Marcus นำทหารม้าของตนบึ่งข้ามช่องทางลับที่แม่น้ำอย่างไว และควบม้าจัดการกับทหารปืนใหญ่ของทหารมราฐา อย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าหนักๆนับพันของทหารม้าหนักควบตรงมาหากองทหารปืนใหญ่ดุจสายฟ้าฟาด…พลปืนใหญ่มราฐาต่างละทิ้งปืนใหญ่ของตนและวิ่งหนี!!!! แต่เท้าคนหรือจะไวเท่าเท้าม้า เหล่าทหารม้าใช้ดาบฟันทหารมราฐาที่กำลังจะหนีล้มตายเป็นเบือ ตัวผู้พัน มูรองเองหยิบปืนขึ้นมาตั้งท่ายิง…แต่ช้าไปถูก ทหารม้าผู้หนึ่งใช้ดาบ Saber อันคบกริบตัดหัวของเขาจนหลุดกระเด็น!! ตาของเขายังคงกะพริบด้วยความไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว….หลังจากไล่ตีทหารปืนใหญ่จนแตกระเจิง ก็ควบม้าตรงมาหมายตีกองทัพมราฐาจากด้านหลัง!! ปิดประตูตีแมวให้ตายตามแผนที่วางเอาไว้…..
แนวตรงกลางกองทัพอังกฤษ เวลา 0820 น.
Arthur ใช้กล้องส่องทางไกลมองดูทหารม้าอังกฤษที่กำลังมุ่งตรงมาด้วยความกระหยิ่มใจ ทหารม้า Life Guard ในเครื่องแบบสีแดงสดควบม้าสีขาว ช่างดูเหมือนอัศวินม้าขาวที่เข้ามาช่วยเขาในยามวิกฤ๖จริงๆ สีหน้าเขาดูครายจากความกังวลลงมาก ชัยชนะใกล้ตกเป็นของเขา!!!
“ผู้พัน Miller สั่ง ติดดาบปลายปืน เตรียมสู้ระยะประชิด!!”
“รับทราบ!!! …………. ทหารติดดาบ!!!!”
เหล่า Grenadier ชักมีดพกของพวกเขาออกมาติดเขาที่ดาบปลายปืนของพวกเขา Grenadier ต่างยกปืนขึ้นมาประทับในท่าเตรียมแทงอย่างพร้อมเพรียง!!
“กองทัพของพวกมันใกล้ปราชัยแล้ว!!! จงนำชัยชนะมาสู่ จักรวรรดิอังกฤษทหาร บุกกกกกกก!!!!”
“เฮ้ ย้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก เฮ้ !!!!!!!!!!!!!”
เสียงคำรามอย่างกึกก้องอย่างบ้าเลือดของเหล่าทหารร่างยักษ์นับพัน กำลังวิ่งตรงมาหาทหารมราฐาที่กำลังเรรวน มิหนำซ้ำทหารม้าหนักของอังกฤษก็กำลังวิ่งชาร์จเข้ามาจากด้านหลัง การโจมตีจากข้างหน้าข้างหลังพร้อมกันอย่างนี้ทำให้เหล่า มราฐา ทั้งหลายทำอะไรไม่ถูก!! จะบุกไปก็ไม่ได้ถอยหลังก็ไม่ได้ สงสัยคงได้ตายอยู่ตรงกลาง!!! ทหาร Grenadier วิ่งเข้ามาในระยะเกือบประชิดทหารมราฐาหลายนายพอได้เห็น ทหารร่างยักษ์กำลังวิ่งตรงมาปานจะกินเลือดเนื้อต่างวิ่งหนีมีเพียงนักรบชาวซิกส์ที่เหลือรอดประมาณ 2,500 ที่ยังเหลือรอดยังคงมีกำลังใจดีและยืนหยัดอยู่ Grenadier นั้นหากลัวไม่ครับวิ่งตรงมาใส่นักรบชากซิกส์ด้วยความฮึกเหิม ดูเหมือนจะมีทหารผู้หนึ่งบ้าพลังกว่าเพื่อนวิ่งนำแถวเพื่อนไป 1 ก้าว เขาคือ พลทหาร Arthur English แห่ง Liverpool!! Arthur วิ่งถือปืนเขาวิ่งตรงไปหมายเอาดาบปลายปืนเสียบทุกอย่างตรงหน้าให้ทะลุ!! ที่อยู่ตรงหน้าคือทหารซิกส์ 3 นาย ที่ใช้โล่เหล็กของพวกเขากันแรงปะทะจากการชาร์จจจจ
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
โครมมมมมมมมมมม Arthur ใช้ตัวของเขากระแทก ทหารซิกส์ทั้ง 3 นายจนล้มลงไปกองกับพื้น…. คนหนึ่งพยายามจะลุกขึ้นมา เจอ Arthur จัดการหวดด้วยปืนเข้าไปเต็มแรง จนกระดูกแทบหัก!! คนที่ 2 ลุกขึ้นมา เจอ Arthur หวดเข้าด้วยพานท้ายปืนเต็มหน้า จนกรามหัก!!! …. ส่วนคนที่ 3 ยังไม่ทันลุก เจอ Arthur เหยียบซ้ำแล้วเอาดาบปลายปืนแทงจนยับ!! แทงๆๆ แทงๆ!! เลือดกระเซ็นสาดใส่เสื้อของ Arthur !! แต่ Arthur ยังคงไม่หยุดบ้าและหาเป้าหมายต่อ ทหาร Grenadier เข้าปะทะกับ นักรบชาวซิกส์ อย่างดุเดือด ถึงแม้อาวุธของซิกส์จะเอื้อต่อการสู้ในระยะประชิด แต่ด้วยขวัญกำลังใจที่เริ่มต่ำลงและสู้รบมาร่วมชั่วโมงทำให้พวกเขาเริ่มเหนื่อยล้า เลยเจอกองทัพยักษ์ของอังกฤษถลุงเอา ดาบปลายปืนเล่มแล้วเล่มเล่าถูกเสียบทะลุอกของ นักรบซิกส์ พานท้ายปืนถูกกระทุ้งกระแทกหน้าจนเลือดกลบปาก บางคนวิ่งกระแทกนักรบชาวซิกส์จนเสียหลักล้มคมำ หรือ บางคนเมื่อปืนหลุดมือ ก็ใช้มือเปล่าทั้ง 2 ข้าง ยกนักรบชาวซิกส์ขึ้นเหนือพื้นก่อยทุ่มลงไปเสียบกับดาบที่ตั้งอยู่ ผีซ้ำดำพลอยกองทหารม้า Life Guard ของอังกฤษมาถึงและชาร์จเข้าใส่แนวหลังของมราฐาอย่างรุนแรง ทหารมราฐาถูกแรงชาร์จจากม้าชนปลิว คนที่วิ่งหนีล้วนถูกไล่ฟันอย่างไม่ปราณี!!! กองทัพมราฐาเข้าขั้นวิกฤต Arthur นั้นกำลังใช้นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้าง กดเข้าไปนัยน์ตานักรบซิกส์ผู้หนึ่งอย่างแรง!! นักรบชาวซิกส์ผู้นั้นกรีดร้องอย่างทรมาณ เลือดและน้ำเหลืองไหลรินออกมาจากตาของเขา ลูกตาของนั้นถูกนิ้วยักษ์ๆเสียบจนเละ!!!! Arthur ก็เหลือบไปเห็น ช้างทรงของ มหาราชา!! มหาราชา นั้นใช้ปืนคาบศิลากระบอกเบอเร้อยิงใส่ ทหาร Grenadier ที่อยู่เบื้องล่าง!! ตัวของมหาราชนั้นต่างร่วมสู้ศึกอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ข้างทหารมราฐา ช้างศึกของพระองค์กวัดแกว่งเท้างวงงาไปมา กระแทกเอาเหล่า Grenadier ทั้งหลายล้มเสียหลักลงไป เหล่า Grendier หลายนายต่างช่วยกันล้มช้างของ มหาราชาแต่มันก็ช่างยากยิ่งเมื่อใช้แค่ดาบปลายปืนและพลังของพวกเขา!! Arthur เห็นดังนั้นจึงวิ่งตรงไปหาช้างของมหาราชา พลางหยิบปืน Rifle กระปอกหนึ่งซึ่งมีดาบปลายปืนติดอยู่…….. Arthur วิ่งตรงไปพร้อมกับง้างแขนของเขาสุดราวกับจะขว้างปืนหอกไป….,มหาราชาบรรจุกระสุนปืนคาบศิลาของเขาเสร็จพอดี และก็กำลังจะยกขึ้นเล็งหาเป้าหมายใหม่….
Arthur วิ่งเข้ามาใกล้พอและก็กำลังจะขว้างปืนออกไป…
มหาราชาเหลือบไปเห็น Arthur พอดีครับและเล็งปืนตรงมายัง Arthur นิ้วของเขาเข้าโก่งไกพร้อมยิง
Arthur ขว้างปืนออกไปสุดแรงประดุจ ลีโอไนดัส นักรบแห่ง สปาต้าร์ ขว้างหอกหมายจะให้โดน เซอเซส ให้ได้!!!
มหาราชาเหนี่ยวไกปืนลั่นกระสุนออกไป………. ปัง!!!!!!!!!!! กระสุนปืนลั่นออกจากปากกระบอกปืนของเขา!!!!
ทุกอย่างดูราวกับสโลโมชั่น……………. กระสุนนัดนั้นพุ่งตรงเข้าทะลุไหล่ขวาของ Arthur ไป นักรบร่างยักษ์ผู้นั้นทรุดลงคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด….. ขณะเดียวกันดาบปลายปืนอันแหลมคมก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าของ มหาราชา
ปักกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!! มันปักเข้ากลางหน้าอกของมหาราชา!! ….ดวงตาของเขาเบิกโพลง….ปากของเขาอ้าเหวอและล่วงตกลงมาจากหลังช้าง
ปึกกกกกกกกกก มหาราชา เบดูรัต นอนตาค้างอยู่กับพื้นดิน… ดาบปลายปืนเล่มโตปักอยู่กลางหน้าอกของเขา ตัวเขานั้นตาค้างราวกับว่ายังมีความแค้นอยู่ในจิตใจ แขนขาของเขาสั่นระทวยไปหมดด้วยอาการชา Arthur เดินตรงมาหาราชา พร้อมกุมไหล่ข้างขวาที่ต้องกระสุนปืนคาบศิลา มหาราชาจ้องเขาด้วยสายตาอันอาฆาต!!!
“จำไว้………….ไอ้คนขาว………. ถึงพวกแกจะพรากชีวิตจากเราไปได้………….แต่แกไม่มีทางพรากเราจากอิสระภาพได้………….!!”
“เรื่องของมึง!!”
Arthur ตอบกลับได้ Badass มากครับ!! ไม่ได้แคร์โลกอะไรทั้งนั้นหน้าที่กูมีแค่รบราฆ่าฟันอย่างเดียว!! Arthur ชักมีดพกอันคมกริบของเขาเดินตรงมาที่ร่างของ มหาราชาที่นอนอยู่ และก้มลงไปเตรียมทำอะไรบางอย่าง…….. ตัดกลับมาทางท่านนายพล Arthur Wellesey (กรุณาอย่างง 55) ตัวนายพล Arthur ใช้กล้องส่องทางไกล มองสถานการณ์การรบอยู่ก็พบว่าทั้งทหารราบและทหารม้าของอังกฤษกำลังเข้าตีกองทัพ มราฐาจากด้านห้าและหลังพร้อมกันอย่างหนักหน่วง กองทัพของมราฐากำลังเสียเปรียบอย่างหนักและใกล้จนมุมเต็มที
“อืมมมมม ทหารจำนวนมากถูกตีขนาบข้างขนาดนี้น่าจะแตกพ่ายในไม่ช้า…. เดี๋ยวนั้นอะไร”
สิ่งที่นายพล Arthur เห็นผ่านกล้องส่องทางไกลของเขานั้นคือ หัวของมหาราชาถูกปักอยู่ปลายกระบอกปืนของทหาร Grenadier ผู้หนึ่ง เขาโบกปืนไปมา พร้อมตะโกนว่า ราชาของพวกมึงตายแล้ว!!!!!!! ราชาของพวกมึงตายแล้ว!! ทหารมราฐาหลายเห็นดังนั้นจึงหมดกำลังใจไปในที่สุดและพยายามหนี แต่จะหนียังไง ด้านข้าง 2 ด้านมีแม่น้ำ ข้างหน้ามีทหารอังกฤษ ข้างหลังก็มีทหารม้า!! มีแต่ตายกับตายเท่านั้น Arthur เห็นว่าจังหวะกำลังสุกงอมพอดีจึงสั่งการณ์ออกไป
“สิงมณี คุณไปกล่อมให้พวกเขายอมแพ้เหอะ ผมทำคนตายมามากพอแล้ววันนี้!!”
“ครับผม!!”
สิงมณี นายทหารอาณานิคมอินเดียอีกคนควบม้าบึ่งตรงเข้าไปในสมรภูมิพร้อมนำธงขาวไปด้วย!!!
“ยอมแพ้ซะ!! เจ้านายชาวอังกฤษจะมีเมตตาต่อผู้ที่ยอมจำนน ยอมแพ้เมิฉะนั้นพวกเจ้าจะตายตกตามไปกับ ท่านมหาราชา!!”
สิงมณีควบม้าไปตลอดตามแนวรบพร้อมโบกธงขาวและปราศัยให้กองทัพมราฐาทั้งหลายได้ฟัง… ซึ่งทหารมราฐาทั้งหลายนั้นยอมวางอาวุธและยอมจำนนต่อกองทัพอังกฤษแต่โดยดี!! เมื่อเห็นดังนั้น ท่านนายพล Arthur ดีใจอย่างสุดๆพร้อมชักดาบของเขาออกมา
“ชัยชนะเป็นของเรา Rule Britannia!!!”
“Rule Britannia!! Rlue Britannia!! Rule Britannia!!”
ทหารอังกฤษทั้งหลายต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจ พวกเขาต่างชูปืนบ้างโยนหมวกด้วยความยินดี!! Arthur นั้นควบม้าเข้าไปในหมู่ทหารพร้อมกับเปิดหมวกเพื่อแสดงความยินดีต่อชัยชนะที่เกิดขึ้น สักพักทหารก็ตะโกนชื่อ Arthur ขึ้นมา!!
“Arthur!! Arthur!! Arthur!!”
“Arthur เสือแห่งแดนตะวันออก!!!”
“Arthur ผู้พิชิตอินเดีย!!!!”
“Arthur นโปเลียนแห่งอังกฤษ”
เมื่อ Arthur ควบม้าผ่านเหล่าทหารเหล่าทหารก็ต่างตะโกนเรียกชื่อของเขาด้วยความศรัทธา!!!! Arthur ยิ้มรับ และขอบใจเหล่าทหารของเขา… ผู้พัน Sandler นั้นมองมาที่เขาและยิ้มอย่างพอใจ ดูเหมือนนายทหารอาวุโสผู้นี้จะยอมรับในตัวของ นายพลหนุ่มผู้นี่สักที!! Sandler ทำท่าวันธยหัตถ์และเคารพนายพลของเขาอย่างเต็มภาคภูมิ ส่วนทาง Arthur ก็วันธยหัตถ์กลับครับ เขาเคารพในความสามารถของ Sandler และเหล่า Coldstream ที่ยันการบุกของมราฐาได้นานร่วมชั่วโมง ทั้งๆที่มีทหารแค่ 3,000…….
“Arthur ไอ้หำหอก เอ๊ยยยยยยย กูรักมึง!!!”
“มึงเจ๋งมากเพื่อน!!!”
“Arthur!! Arthur!! Arthur!!”
“Arthur ผู้กุดหัวมหาราชา!!”
“Arthur ผู้หำเป็นลำเท่าช้างศึก กร๊ากกกกกกกๆๆๆๆ!!”
ท่านนายพล Arthur ตกใจดิครับได้ยินแบบนี้ นี่ทหารสมัยนี่เขาสรรเสริญเจ้านายกันแบบนี้เหรอว่ะ!!! เขาหันหน้าไปมองทหาร Grenadier กลุ่มหนึ่งครับ!! ซึ่งดูเหมือนทหารกลุ่มนั้นจะช่วยกันยกตัวทหารนายหนึ่งให้สูงขึ้นราวกับบูชาเขาเป็เทพเจ้า ทหารนายนั้นกำลังถือหัว ของมหาราชา เบดูรัตในมือ!!! นายพล Arthur ควบม้าเข้าไปหาทหารกลุ่มนั้น
“นี่ทหาร……………..”
เหล่า Grenadier ตกใจรีบสลายวงและเกือบทิ้ง ทหารนายนั้นลงกับพื้น!!!... พวกเขายืนท่าตรงอกผายไหล่พึ่งทันที….
“ผมรู้ น้องชายผมอาจจะใหญ่เท่าช้างก็จริง แต่อย่ามาชมเรื่องแบบนี้ต่อหน้าทหารทั้งกองทัพสิ ผมอาย 55”
Arthur พูดติดตลกครับบ ขนาดโดนล้อขนาดนี้เขายังไม่โกธรสมเป็นทหารอาชีพจริงๆครับ!!
“คือ….ผม…ไม่ได้พูดลบหลู่ท่านครับ!! …ผมหมายถึงเขา”
ทหาร Grenadier ผายมือไปทางทหารที่ถือหัวของมหาราชาอยู่ในมือ นายทหารผู้นั้นมีแววตาที่เอิบอิ่มและภูมิใจ เขากำลังจะได้คุยกับท่านนายพลแห่งกองทัพรักษาพระองค์ที่ 3 เป็นครั้งแรก Arthur ควบม้ามาที่เขา
“คุณ คือคนที่โบกหัว ของมหาราชาไปมาใช่ไหม พลทหาร!!”
“ครับผม!!”
“คุณเป็นคนสังหารเขาด้วยตัวเองเลยใช่ไหม”
“ครับผม!!”
“คุณมีนามว่าอะไร พลทหาร!”
“ พลทหาร Arthur English แห่ง กองพัน Grenadier รักษาพระองค์ที่ 3 ครับผม!!”
“ออ Arthur English ชายที่แบกปืนใหญ่คนเดียวเดินขึ้นเรือโทงๆอ่ะน่ะ”
“ครับผม!!”
“งั้นท่านนายพล Arthur Weslley แห่งกองทัพรักษาพระองค์ที่ 3 ยินดีที่ได้รู้จัก!! พลทหาร Arthur English ผู้พิชิตมหาราชาและมีเจ้าโลกใหญ่เท่าช้างศึก”
Arthur ถอดถุงมือสีดำของเขา ก่อนจะยื่นมือมาจับกับ Arthur English !!! พลทหาร Arthur นี้ยิ้มอย่างปลาบปลิ้มสุดๆครับ ก่อนจะยื่นมือไปจับกับท่านนายพล Arthur เป็นพลทหารได้มีบุญจับมือกับนายพล!! เหล่าเพื่อนๆร่างยักษ์ของเขาต่างปรบมือกันกราวครับ เพื่อนกูได้ดิบได้ดีแน่นอน!! เตรียมเลื่อนขั้นเจ็ดชั้นเงินเดือนขึ้น 10 เท่าได้เลย!! เส้นทางอาชีพของ พลทหาร Arthur กำลังไปได้สวยครับ ในตอนนี้เข้าได้รู้จักกับนายพล Arthur เป็นการส่วนตัวแล้ว ส่วนทางท่านนายพล Arthur นั้นก็เช่นกันครับ บรรดาทหารทั้งหลายแหล่ รวมถึงนายทหารชั้นอาวุโสจอมหัวแข็งก็ยอมรับในตัวเขา!! ต่อไปนี้การบังคับบัญชาของเขาจะง่ายขึ้นมาก ชื่อเสียงของเขาในการรบจะดังขจรไกลไปทั่วทุกมุมของจักรวรรดิอังกฤษ กองทัพอังกฤษเพียง 10000 นาย สามารถเอาชนะ กองทัพ มราฐาที่มีมากถึง 40000 ได้อย่างงดงาม!! ฝั่งกองทัพอังกฤษนั้นเสียปืนใหญ่ไป 23 กระบอก ทหารอีก ราวๆ 1800 นาย (ส่วนใหญ่เป็น Coldstream) …. ส่วนทางฝากฝั่ง มราฐา นั้นเสียชีวิตไปเกือบ 160000 นาย ช้างศึก 50 เชือก ปืนใหญ่ถูกยึด 52 กระบอก (ของพรีเมี่ยมจากฝรั่งเศสทั้งนั้น) รวมถึงถูกจับเป็นเชลยอีกประมาณ 20000 กว่าๆ นี่คือบทสรุปของการยุทธแห่ง Assaye การยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีป!!
Dresden , Saxony , Confederation of the Rhine 18 พฤษจิกายน ค.ศ. 1805
ตึงๆ ตึงๆๆ ตึงๆๆๆๆ เสียงบรรเลงเพลงมาร์ช Hohenfriedberger เพลงมาร์ชประจำกองทัพปรัสเซียบรรเลงอย่างไม่ขาดสาย….. กองทัพในชุดสีดำเดินมาอย่างสง่างาม ทหารราบปรัสเซียจำนวนมหาศาลเดินทางมาถึงกำแพงเมือง Dresden …..
นายพล Thomas Ludendorff ผู้บัญชาการทัพภาตตะวันตกของปรัสเซีย พากองทัพของปรัสเซียมาถึง Dresden แววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม อยากจะเข่นฆ่าทหารฝรั่งเศสจนตัวสั่น เขาควบม้ามาที่หน้าแถวของทหารพร้อมยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องดูความเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้าม สิ่งที่เชาเห็นคือ กองทัพฝรั่งเศสบางส่วนได้ออกมานอกกำแพงเมือง และเขาเห็นชายผู้หนึ่งบนหลังม้าสวมเครื่องแบบชั้นยศนายพลของฝรั่งเศส โดยข้างๆเขานั้น เป็นทหารฝรั่งเศสผู้หนึ่งกำลังโบกธงขาวไปมา….. แสดงถึงการขอเจรจาด้วย…
“หึหึ พวกตุ๊ดรักสำอางนั้นจะขอเจราจา…..”
“ตามธรรมเนียมแล้วเราก็ควรตกลงคุยกันก่อนจะรบราฆ่าฟัน”
“ปกติผมชอบแหกกฎน่ะ Erwin แต่ครั้งนี้ผมจะคุยกับพวกมันดูสักครั้ง”
ว่าแล้ว นายพล Ludendorff ควบม้าออกไปพร้อมกับนายพล Erwin Rommel และทหารองครักษ์อีก 20 กว่านาย… ส่วนทางนายพลฝรั่งเศสนั้นควบม้าออกมาพร้อมกับทหารองครักษ์อีก 20 กว่านายเช่นกัน ทั้งคู่ก็ควบม้ามาพบกันครึ่งทาง นายพลทั้ง 2 ต่างจ้องหน้าอย่างไม่ละสายตา…. บรรยากาศต่างเต็มไปด้วยความตรึงเครียดและกดดัน จนฝั่ง Thomas เป็นฝ่ายเปิดการสนทนา
“ คุณจะมาขอยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขใช่หรือไม่ท่านนายพล…….”
“ผมมาขอเจรจากับคุณต่างหาก ท่านนายพล Ludendorff”
“รู้จักชื่อผมด้วยงั้นเหรอ…...”
“ทำไมจะไม่รู้จัก นโปเลียนหมายหัวคุณไว้อยู่ ว่าคุณเป็น 1 ในนายพลที่อันตรายสุดใน ยุโรป”
“555+ ดูท่าทางแม้จะแต่คนอย่าง นโปเลียน ก็ยังกลัวผม งั้นคุณชื่ออะไรท่านนายพล…”
“ผม ฌอง เมสซานา ผู้บัญชาการกองทัพแห่งสหพันธรัฐลุ่มแม่น้ำไรน์”
“ออ คุณ เมสซานา ….. ว่าแต่คุณต้องการตกลงประการใดกับผมล่ะ”
“………………. ผมต้องการจะร่วมมือกับคุณ!!!!!!!”
คำตอบของ ฌอง ทำให้ Ludendorff หน้าเหวอเลยครับ เงิบกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว อยู่ๆดีนายทหารระดับนายพลฝรั่งเศสจะมาขอร่วมมือกับเขาซะงั้น มันเป็นเพราะอะไร?? หน้าของ Ludendorff เปี่ยมไปด้วยความสงสัยอย่างชัดเจนและต้องการหาคำตอบ!!
“ร่วมมือ?”
“………………. เมื่อครั้งยังหนุ่มฉกรรจ์ ผมและนโปเลียนพวกเรา 2 คนเป็นเพื่อนกัน ตัวผมและเขาต่างยึดมั่นใน อุดมการณ์สร้างชาติใหม่ ชาติที่เต็มไปด้วย เสรีภาพ เสมอภาพ และ ภราดรภาพ เปรียบเสมือนแสงสว่างแห่งยุโรป… ประชาชนทุกคนมีเสรี ทุกคนเท่าเทียม และมีสิทธิของตนอย่างชอบธรรม จนกระทั่ง นโปเลียนนั้นตระบัดสัตย์ รวบอำนาจกลับเข้าสู่ศูนย์กลางอีกครั้งโดยอาศัยสงครามแรงผลักดัน… และตั้งตนเป็น จักรพรรดิ!! เขาทำให้ ปวงชนฝรั่งเศสทุกคนผิดหวัง ทำให้ผมผิดหวัง!! และผมนี่แหละจะล้มเขา และนำเสรีภาพกลับสู่ฝรั่งเศสอีกครั้ง ยุโรปจะกลับมาสงบสุขหากไม่มีชายผู้นี้ หากเรา 2 คนร่วมมือกัน แม้แต่กองทัพอันแข็งแกร่งของเขาก็มิอาจต้านทานได้…. มาร่วมกับผมเถอะ Ludendorff”
พูดจบ Ludendorff อ้าปากค้างไปสักพักหนึ่งครับ สายตาของ ฌอง นั้นหนักแน่นเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นคือความจริง Ludendorff ทำหน้านิ่งไปสักพักครุ่นคิดสิ่งที่ฌองพูดออกมา แต่สักพักเขาก็ยิ้มออกมาและหัวเราะเหมือนกำลังรับชมตลกอยู่ซะงั้น!!
“โอ๊ยยยย ฮาๆๆๆๆๆ ผมขำว่ะ ไม่เคยขำจนท้องแข็งแบบนี้มานานเป็นปีแล้ว จะให้ผมเชื่อคำปลิ้นปล้อนจากคุณงั้นเหรอ ฌอง!!!!”
“สิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นความจริง!!”
“อยู่ดีๆผมจะได้กองทัพมาฟรีๆเพื่อไปตีกับ นโปเลียน โดยไอ้กองทัพที่ว่านี้เป็นกองทัพของทหาร นโปเลียนเองซะด้วย ช่างน่าขำจริงๆ!!! อยู่ดีๆนายทหารชั้นยศนายพลอย่างคุณจะมาทรยศต่อจักรพรรดินั้นหาได้ยากเต็มทน!!”
“แต่…….”
“นี้คงเป็นแผนของนโปเลียนอีกสิท่า ผมไม่หลงกลเขาเหรอก… กะจะประวิงเวลาไว้รอให้ทัพหลักของนโปเลียนเดินทางมาถึง พอถึงปุ๊ปก็เข้าโจมตีขนาบข้าง…แผนช่างร้ายจริงๆ!! แต่ผมไม่เชื่อไอ้พวกลิ้น 2 แฉกฝรั่งเศสอย่างคุณหรอก….. พวกคุณมันเป็นชนชาติที่ชั่วร้าย หมาลอบกัด!!! และหาความจริงไม่ได้!!”
“…………………”
ฌอง ตอบไม่ถูกเลยครับ เขาได้แต่กัดฟันกรอดๆด้วยความเจ็บใจ Ludendorff นั้นกล่อมยากตามคาดไว้จริงด้วย…… แต่อยู่ดีๆก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก หากนายทหารชั้นยศนายพลมาขอยอมจำนนตั้งแต่ยังไม่เริ่มรบด้วยซ้ำมันดูเป็นเรื่องที่แปลกเอามากๆเลยทีเดียว
“แต่ไม่ต้องห่วง คุณ เมสซานา อีกไม่นานนักหรอกกองทัพของคุณ ก็จะมาอยู่กับผมเองโดยไม่ต้องอาศัยคุณด้วยซ้ำ!!
Ludendorff พูดออกมาแบบนี้ทำเอา ฌอง เองตกใจไม่น้อยครับ!! หมายความว่าไงกองทัพของเขาจะไปอยู่กับ Ludendorff โดยไม่ต้องลงแรง!!
(คำพูดต่อไปนี้เป็น ภาษาเยอรมัน) “ พวกท่านทหารแห่งสหพันธรัฐ….. เลือดของพวกเรานั้นเหมือนกัน!!! ภาษาของพวกเรานั้นเหมือนกัน!! พวกเราคือเชื้อชาติเดียวกันเผ่าพันธุ์เดียวกัน!! ใยท่านต้องไปรับใช้พวกหมาจิ้งจอกฝรั่งเศสด้วย จงมาร่วมมือกันดีกว่า สหายชาว Saxony , สหายชาว Bavaria สหายแห่งเยอรมัน!!! ร่วมมือกับข้าพเจ้า เราจะแข็งแกร่ง…ร่วมมือกันภายใต้ธงอินทรีดำแห่งปรัสเซีย!!”
Ludendorff ตะโกนออกมาเสียงดังเป็นภาษาเยอรมันซึ่งทาง ฌอง ก็ไม่ได้รู้ความหมายครับ แต่รู้ว่ามันคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ทหารกว่า 30,000 ของเขา กว่า 25000 เป็น ชาวเยอรมัน!! ซึ่งแถวทหารทั้งบนกำแพงเมืองและที่ออกมานอกกำแพงต่างเริ่มขาดวินัย พวกทหารคุยกันซุบซิบพึมพำๆกันเป็นภาษาเยอรมัน!!! จนนายทหารฝรั่งเศสต้องเอาปืนยิงขึ้นฟ้าขู่ให้พวกเขากลับเข้าระเบียบอีกครั้ง Ludendorff นั้น ยิ้มอย่างได้ใจก่อนจะควบม้าจากไป เข้าได้โยนระเบิดตูมใหญ่ทิ้งให้เป็นปัญหาของ ฌอง กองทัพของเขานั้นเริ่มโลเลแล้วว่าควรรับใช้ใครกันแน่…. ฌอง นั้นกำลังจะเจอศึกหนักซะแล้วครับ นอกจากทหารที่น้อยกว่าแล้วยังต้องเจอกับความไม่เป็นเอกภาพของกองทัพ แผนการณ์ที่จะล้มนโปเลียนคงต้องระงับไปสักครู่… เพราะ คนที่จะแก้ไขปัญหาตอนนี้ได้คงมีแค่ ผู้นำกองทัพอันฉกาจฉกรรจ์อย่างนโปเลียนเท่านั้น!!
Azov , Crimean , Russian Empire 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1805
ณ เมืองท่า Azov เมืองท่าน้ำลึกของรัสเซียที่ตั้งอยู่บริเวณคาบสมุทร ไครเมีย จรดทะเลดำ สินค้ามากมายจากฝั่งตะวันออก และ เติร์กต่างไหลเข้ามาทางเมืองท่านี้อย่างไม่ขาดสาย เรือสินค้ามากามายจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะ ออตโตมัน , จีน , เปอร์เซีย , สยาม เรียกว่าเป็นแหล่งรวมพ่อค้า ถือว่าเป็น St. Peterburgs แห่งตะวันออกก็ว่าได้…. ซึ่งเหล่าพ่อค้าวาณืชย์มากมายต่างนำสินค้าออกมาจับจ่ายกันบริเวณริมท่าเรือ บ้างผ้าไหม บางปลาทะเลน้ำลึก เครื่องเทศ ยาสูบ ซึ่งวันนี้ก็เป็นปกติครับ ท่าเรือ Azov คึกคักตามเคย… ชายผู้หนึ่งสวมชุดขนหมีน้ำตาลอย่างโก้หรู รองเท้าหนังขัดมัน และหมวกทรงสูง เขาคาบไปน์เลี่ยมทองคำ บ่งบอกฐานะทางสังคมได้เป็นอย่างดี เขาเดินไปตามท่าเรือพร้อมกับผู้ติดตามอีก 2 คน… เขาเดินมาเรื่อยๆจนพบกับเรือสินค้า สัญชาติอังกฤษที่มีนามว่า St. Angel… เขานำไปน์ออกจากปาก และพ่นควันออกมา…สายตาของเขาที่มองเรือลำนั้นบ่งบอกเลยว่าเขาต้องการบางสิ่งบางอย่างจากมัน… เขาเดินตรงไปหาชายวัยหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินและสวมหมวก Tricrone ดูจากเครื่องแต่งกายเขาน่าจะเป็นกัปตันของเรือลำนี้ กัปตันของเรือกำลังง่วนกับการสั่งลูกน้องให้นำสินค้าลงจากเรือ สินค้าดังกล่าวนั้นเป็นอะไรมิทราบรู้แต่ว่ามันเป็นกล่องไม้ขนาดใหญ่จำนวนมาก…… เศรษฐีรัสเซียผู้นั้นเดินตรงไปหากัปตันของเรือ….
“สวัสดีครับ คุณใช่น้องชาย Mr. Gales หรือเปล่าครับ…..”
“ใช่ครับ!! ผม Jonathans Gale ยินดีที่ได้พบคุณ…..”
Jonathan Gale ละสายตาจากงานของเขาและหันมาทักทายกับเจ้าของเสียง….
“ผม Laurente Yaroslav ท่าน Lord แห่ง สโมเลนซ์ และเจ้าของสมาคมพ่อค้า Golden Horde..”
“ออคุณ Yaroslav …. พี่ชายของผมฝากมาถามว่าคุณสบายดีไหม เขาให้สิ่งนี้มาฝากคุณ”
Jonathan ยื่นกล่องไม้ขนาดกลางให้กับ Yaroslav ซึ่ง Yaroslav ก็รับมันมาครับ กล่องนั้นเขียนว่า Cigar Havana!! เมื่อ Gale เปิดกล่องมาก็พบกับ Cigar อย่างดีจากคิวบากว่า 50 มวน ช่างถูกใจสิงห์อมควันอย่าง Yaroslav จริงๆ Cigar จากคิวบานั้นช่างหายากยิ่งในรัสเซีย
“พี่ชายคุณนี่รู้ใจผมจริง หึหึ…ว่าแต่สถานการณ์ทางฝั่งอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ตามข่าวเลย”
“แผนการณ์ที่เราวางให้ไว้ค่อนข้างยุ่งเหยิง…นโปเลียนดันชิงเปิดศึกกับอังกฤษซะก่อน ทำให้ปฎิการของเราล่มหมด คงต้องเริ่มนับ 1 ใหม่…”
“เฮ้อออ แย่จัง….. นโปเลียนอีกแล้วเหรอ เหมือนโลกช่วงนี้จะหมุนตามชายผู้นี้จริงๆสิน่ะ หันซ้ายหันขวาก็มีแต่คนพูดถึง นโปเลียน ….”
“ผมก็ว่างั้นแหละครับ จักรพรรดิผู้นี้จะสั่นคลอนโลกทั้งไปให้เต็มไปด้วยไฟของสงคราม”
“ใช่!! สงครามที่แม้แจ่พระเจ้าซาร์เองยังร้อนพระทัยออกไปสู้รบด้วยตนเอง….”
“นั้นสิ กษัตริย์ของคุณคงกลัว นโปเลียนจะผูกขาดการค้าสินค้าจากโลกตะวันออกแทนอังกฤษกระมังเลยตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าขนาดนั้น… ไอ้ไปช่วยพันธมิตรน่ะข้ออ้าง….เพราะถ้าฝรั่งเศสเข้าครอบครอง เมดิเตอร์เรเนียนเมื่อไหร่ เขาจะควบคุมเส้นทางสินค้าจากโลกตะวันออกได้ทันที….”
“ผมก็ว่างั้นแหละ 55+ ไอ้วงศ์วานของชนชั้นสูงเนี่ยมันไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรหรอก…. ซึ่งในระหว่างที่พระองค์ออกไปรบราฆ่าฟันอยู่ในแดนไกล ผมนี่แหละ…จะถือโอกาสปลุกระดมคนอย่างลับๆ…และพอพระเจ้าซาร์ทรงกับมาก็จะพบว่าบ้านเมืองของเขาถูกยึดครองโดยประชาชนของเขาเอง…..”
“ซึ่งผมจึงนำสิ่งนี้มาให้ตามสั่งไงครับ…..”
ว่าแล้ว Jonathan ก็พา Yaroslav เดินไปที่กล่องไม้ขนาดใหญ่กล่องหนึ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นก่อนเขาจะสั่งลูกเรือของเขาให้เปิดมันออก……..และในกล่องเหล่านั้นคือ อาวุธปืนจำนวนมาก!! Yaroslav ยิ้มอย่างพอใจ ด้วยอาวุธมากขนาดนี้เขาสร้างกองทัพขนาดย่อมได้เลยทีเดียว
“ปืนไรเฟิล Baker แบบที่ประจำการในกองทัพอังกฤษ ระยะยิงไกลสุด 100 หลา หวังผล 50 หลา… ซึ่งเรานำมาด้วยกว่า 5000 กระบอก!!”
“เดี๋ยวผมจะส่งคนของผมให้มารับสินค้า… ส่วนขนหมีสีน้ำตาลที่คุณต้องการอยู่ในเรือที่ชื่อ Yaroslav’ Rules กับ Tsarnovky แล้ว เชิญคุณนำไปได้เลย…...”
“ยินดีอย่างยิ่งครับที่ได้ร่วมงานกับคุณ Yaroslav”
“เช่นกันครับ….คุณ Gales”
ทั้ง 2 ต่างเปิดหมวกโค้งคำนับแก่กันครับ Jonathan ก็กลับไปทำงานของเขาต่อ ส่วนทาง Yaroslav นั้นก็เดินทางกลับครับ…แม้แผนการณ์จากฝั่งตะวันตกจะล้มเหลว แต่แผนการณ์ทางฝั่งรัสเซียยังคงดำเนินต่อไป…กูนี้แหละจะเป็นผู้โค่นอำนาจของซาร์!!
Nuremberg , ทางเหนือของ Bavaria , Confederation of th Rhine….
“ตึงตื่อตึง ตึงตือตึง ตึงตือตึง เพลง La Victoire est à Nous เพลงมาร์ชแห่ง Grande Armee กึกก้องไปทั่วผืนหญ้า ผืนดินต่างสั่นสะเทือนไปด้วยเสียงฝีเท้านับแสน กองทัพอันเกรียงไกรที่สุดในโลก กำลังเดินทัพอยู่บนแดนเยอรมัน… ทหารฝรั่งเศส ต่างเดินขบวนแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ในการเดินทัพครั้งนี้แตกต่างจากเดิม เหล่าทหารฝรั่งเศสนั้นจัดแถวของพวกเขาให้เล็กลง…. เพื่อความคล่องตัวในการเดินทัพ นอกจากนี้เหล่าผู้พัน นายกอง สามารถสั่งการณ์การเดินทัพได้อย่างเป็นอิสระ ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนทัพนั้นเร็วกว่าเดิมเกือบเท่าตัว
นโปเลียนจอมจักรพรรดิฝรั่งเศส ควบม้าอยู่ข้างๆกับ นายพลเนย์ นายพลคู่ใจของเขา….. พวกเขาขี่ม้าตรวจตราดูการความเรียบร้อยโดยรอบและค่อนข้างพึงพอใจในผลตอบรับเลยทีเดียว
“เราออกเดินทางจาก Dunkerque ในวันที่ 13 พฤศจิกายน วันนี้วันที่ 21 พฤศจิกายน ในตอนนี้เราเดินทางมากว่า 300 ไมล์ โดยใช้เวลาแค่ 8 วัน!!!! เฉลี่ยพวกเขาเดินทางได้วันล่ะ 35 ไมล์ ทุบสถิติทุกกองทัพที่เคยมีมาบนโลกฝ่าบาท!! ข้าพเจ้าขอน้อมรัในสติปัญญาอันเฉียบแหลมของพระองค์!!”
“คุณก็ชมเกิน ไปเนย์……. ว่าแต่ตอนนี้เราถึงไหนแล้ว”
“ครึ่งทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ที่นี่คือ Nuremberg ทางตอนเหนือของ Bavaria….”
“คงถึงเวลาแล้วสิน่ะที่เราต้องแยกทางกัน… คุณพากองทัพที่ 8 ขึ้นเหนือไปที่ Saxony โดยพลัน ด้วยอัตราเร็วขนาดนี้คุณน่าจะไปถึง Saxony ใน 3 วัน….พวกปรัสเซียคงจะงงงันมิใช่น้อย….ที่กองทัพของเราเคลื่อนทัพได้ไวขนาดนี้...”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!!”
ว่าแล้ว เนย์ ก็ควบม้าออกไปและสั่งให้นายกองของกองทัพที่ 8 เคลื่อนตัวขึ้นเหนือไปที่ Saxony เพื่อช่วยกองทัพของ ฌอง……. ส่วน Grande Armee ทั้งหมดที่เหลือจะมุ่งสู่ตะวันออกเพื่อสกัดการรุกรานของกองทัพพันธมิตร Austro – Russian …. แต่อยู่ดีๆพลนำสาส์นควบมามาจากทางใต้!! พลนำสาส์นฝรั่งเศสผู้นั้นท่าทางอ่อนล้า และหมดแรง เสื้อผ้าของเขามอมแมมเพราะการเดินทางติดต่อกันยาวนานโดยไม่ได้หยุดพักเลย…… คนนำสาส์น ควบม้าตรงมาที่ เหล่าทหาร Old Guard ซึ่งคอยคุ้มกัน นโปเลียนอยู่… ซึ่ง ดิออน หัวหน้า Old Guard สาวเดินไปหาพลนำสาส์น ด้วยตนเอง พลนำสาส์นลงจากหลังม้าอย่างทุลักทุเลพร้อมคุกเข่าลงและมอบสาส์นให้กับ ดิออน องค์รักษ์หญิง!!
“สาส์น จากท่านนายพล อองรี ครับ!!”
ว่าแล้วพลนำสาส์นก็ยื่นสาส์นให้กับ ดิออน นางก็รับมาครับ ส่วนตัวพลนำสาส์นนั้นเมื่อเสร็จภารกิจก็เดินกลับขึ้นมาของตน… แต่ก็เป็นลมลมพับไปด้วยความหมดแรง….
“เอาเขาไปพักก่อน…...”
นโปเลียนควบม้าตรงมาหา ดิออน และสั่งการณ์ให้ทหาร Old Guard หิ้วพลนำสาส์นไปงีบนอนเอาแรง ดิออน องครักษ์หญิง โค้งคำนับจักรพรรดิของนางก่อนจะน้อมเกล้าน้อมถวาย สาส์น ฉบับนั้นให้ นโปเลียน!! นโปเลียนเปิดสาส์นนั้นออกอ่าน
“ถึง เจ้าอยู่หัว จักพรรดิ นโปเลียน แห่ง จักรวรดดิฝรั่งเศสอันรุ่งโรจน์
ตัวข้าพเจ้า นายพล ฌอง-ปิแอร์ อองรี แห่งกองทัพภาคตะวันออก ได้น้อมรับบัญชาจากจักรพรรดิเดินทัพขึ้นเหนือเพื่อมาที่ Bohemia ตามรับสั่ง.. ในบัดนนี้ข้าพเจ้าได้เข้ามาในเขตพื้นที่ Bohemia แล้วจะให้ข้าพเจ้ากระทำการอันใดต่อ นั้นได้โปรดรับสั่งมา ข้าพเจ้าจะทำตามพระราชบัญชาอย่างสุดความสามารถ
พลเอก ฌอง-ปิแอร์ อองรี
ผู้บัญชาการทัพภาคตะวันออก "
นโปเลียนอ่านสาส์นแล้วยิ้มอย่างพอใจยิ่งนักครับ อองรีไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง กองทัพของ อองรี นั้นเคลื่อนตัวขึ้นเหนืออย่างไวมาก และด้วยขนาดกำลังที่เล็กกว่าทำให้กองทัพของเขานั้นเคลื่อนทัพเร็วปรู๊ดจนตัดหน้ากองทัพ Austro – Russian ไปโข!! และในตอนนี้เขาอยู่ใน Bohemia เป็นที่เรียบร้อยแล้วอีกเพียง 8 – 9 วันเท่านั้น นโปเลียนจะไปถึงที่นั้น!!! แล้วคราวนี้หล่ะจะได้รู้กัน ใครกันแน่จะได้ครองยุโรป!!! นโปเลียน หรือ เหล่ากลุ่มพันธมิตร ศึกในครั้งหน้านั้นช่างใหญ่หลวงและยิ่งใหญ่กว่าศึกไหนๆที่เกิดขึ้นมาบนโลกอย่างแน่นอน!!!
“ไอ้พวกขี้ขลาดทั้งหลาย นโปเลียน กำลังมาถึงแล้ว!!!!”
' ' ' ' ' ' ' ' ' '
To Be Continue
|
|
|
Post by greatbritian on Aug 12, 2017 17:08:00 GMT
Episode 10 : เนย์.......จอมสุริโยธิน Austerlitz , Moravia , Austria , Holy Roman Empire 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1805
ณ สถานที่แห่งนี้บริเวณเมือง Austerlitz ซึ่งหากเคลื่อนทัพไปทางตะวันออกอีกเพียง 10 ไมล์เท่านั้นก็จะถึง Bohemia…. กองทัพภาคตะวันออกของฝรั่งเศสนำโดย พลเอก ฌอง-ปิแอร์ อองรี ได้เคลื่อนพลมาถึงบริเวณนี้...... กองทัพของเขานั้นประกอบด้วยกำลัง 3 กองพล ทหารราบ 16000 นาย ทหารม้าอีก 2800 นาย และปืนใหญ่ 85 กระบอก... เหล่าทหารหาญแห่งฝรั่งเศสต่างเดินเป็นขบวนอย่างสง่างามรุดหน้าต่อไปทางตะวันออก.. นายพล อองรี นั้น สังเกตมองชัยภูมิรอบๆ พร้อมกับพูดคุยกับนายทหารม้าติดตามซึ่งได้ทำการลาดตระเวณล่วงหน้ามาที่นี่แล้ว 1 วัน.....
“กองทัพของพวกมันอยู่ไกลไปประมาณเท่าไหร่”
“ประมาณ 80 ไมล์ทางตะวันออกครับ ตอนนี้พวกมันเคลื่อนออกจาก Vienna และกำลังมุ่งตรงมาทางเราพอดี!! น่าจะใช้เวลาสัก 8 วันกว่ามันจะเดินทางมาถึง”
“แล้ว Grande Armee ล่ะ”
“กำลังมุ่งลงใต้มาอย่างว่องไวครับ ในตอนนี้อยู่ห่างจากเราไปประมาณ 150 ไมล์ แต่ด้วยความเร็วของการเคลื่อนทัพพวกเขาน่าจะมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกับพวก Austro – Russian น่ะครับ”
“แล้วไอ้ ข้างหน้านั้นเนินเขาใช่ไหม”
อองรีชี้ไปที่ข้างหน้าของเขาด้วยความสงสัย เมื่อตรงหน้าไกลออกไปประมาณระยะสายตาเขาเห็นเหมือนเงาดำๆทอดยาวไกลออกไปหลายไมล์
“ใช่ครับ ข้างหน้านั้นเนิน Pratzen เป็นเนินเขาเตี้ยๆทอดยาวไปกว่า 10 ไมล์ ซึ่งโชคดีที่เนินนั้นไม่ชันมาก ทหารและปืนใหญ่ของเราสามารถขึ้นไปบนยอดได้สบายๆ นอกจากนั้นบนยอดนั้นยังลาดและกว้างเหมาะสำหรับการตั้งค่ายอย่างยิ่งครับ!!”
“อืม .................. “
อองรีทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางนำมือของขึ้นมาจับคางราวกับกำลังใช้ความคิดในการตัดสินใจการดำเนินการณ์ขั้นต่อไป...
“พลส่งสาส์นมาแล้วครับ!!”
นายทหารองครักษ์คนหนึ่งตะโกนออกมาพลางชี้ไปทาง ทหารม้านายหนึ่งที่ควบม้าแต่ไกล..... แน่นอนว่าเขาคือพลส่งสาส์นที่มาจากกองทัพหลักของ นโปเลียน!! ด้วยฝีเท้าอันไวของม้าสายพันธุ์อิตาลีทำให้พลส่งสาส์นนายนี้ใช้เวลาเพียง 2 วันในการเดินทางเป็นระยะกว่า 150 ไมล์!!! เขาควบม้าตรงมาทาง นายพล อองรี ........
“ท่านนายพลครับ สาส์นจากจักรพรรดิ!!”
พลส่งสาส์นนั้นยื่นสาส์นจาก นโปเลียน ให้กับ อองรี อย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สนใจชั้นยศหรือพิธีรีตองอะไรเลย เพราะสาส์นนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะรับรู้ให้เร็วที่สุด!! หากช้าแม้แต่นาทีเดียวก็อาจจะพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย อองรีจัดการคลี่สาส์นนั้นและเปิดอ่านอย่างไม่รอช้า
“ หาที่ชัยภูมิที่ดีที่สุดในการตั้งรับข้าศึก......รอจนกว่าผมจะไปถึง.. อย่าลืมใสน้ำส้มสายชูก่อนกินข้าวด้วยล่ะ”
สาส์นสั้นๆแต่ได้ใจความ...อองรีนั้นต้องปักหลักอยู่กับที่ในตอนนี้ครับ...แต่ไอ้น้ำส้มสายชูที่ว่านี้คืออะไร....หรือว่า อองรีชอบกินน้ำส้มสายชูตอนกินข้าว?? แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเมื่ออองรีได้เห็นใจความในสาส์นดังกล่าวก็ยิ้มอย่างซาดิสก์ราวกับมีแผนบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวครับ...
“ท่านนายพลครับ คนในพื้นที่ ที่ท่านต้องการหาครับ!!”
“พาเข้ามาพบ”
อองรี สั่งให้ทหารของเขาพาชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาพบเพื่อสอบถามถึงข้อมูลที่จำเป็นและควรรู้ทั้งหมด ทหารองครักษ์ 2 นาย พาชาวบ้านผู้นั้นเข้ามาพบกับนายพลของเขาครับ เมื่ออองรีมองไปที่ชาวบ้านคนนั้นก็พบว่า
ชาวบ้านผู้นั้นเป็นสาววัยราว 20 ต้นๆ ใบหน้าคมเรียวดูงดงามเกินชาวบ้านธรรมดายิ่งนัก ผมของนางสีบลอนด์มาจะหยิกยุ่งเหยิงบ้างแต่ก็ยังดูยาวสลวย .... อองรี เห็นดังนั้นจึงลงจากหลังม้าครับ และเดินเข้ามาใกล้แนบชิดกับสาวน้อยผู้นั้น.....อองรี นั้นเดินวนไปรอบๆสาวน้อยผู้นั้นอย่างใจจดใจจ่อราวกับกำลังจะได้ของเล่นใหม่..สาวน้อยผู้นั้นยืนแข็งทื่อเหงื่อของนางแตกผลั่กไปด้วยความกลัว แน่ล่ะถูกทหารต่างชาติพาตัวมา มิหนำซ้ำยังมาเจออัปกริยาของชายแปลกหน้าผู้นี้ ไม่กลัวก็แปลกล่ะ อองรีมาหยุดตรงหน้าของนางอีกครั้ง..และกล่าวถามออกมา
คำพูดต่อไปนี้เป็นภาษาออสเตรีย* “เจ้าเป็นคนที่นี่เหรอ แม่สาวน้อย.........”
“ใช่ค่ะ....... ท่าน”
สาวน้อยผู้นั้นตามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา นั้นยิ่งทำให้ อองรี นั้นยิ้มเริงร่าอย่างมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีกครับ!
“ว่าแต่บ้านของเจ้าอยู่ไหนละ...”
“บ้านของข้า.........อยู่ห่างออกไป.....ประมาณ 3 ไมล์ทางตะวันออก ที่หมู่บ้าน St.Hilaire…”
“St. Hilaire .. ชื่อเหมือนนักบุญเลยเนอะ...... หวังว่าคนที่หมู่บ้านนั้นคงจะใจบุญพอจะต้อนรับ กองทัพที่เหน็ดเหนื่อยของข้าน่ะ แม่สาว....”
“……………….. ได้ค่ะท่าน”
“ ว่าแต่หมู่บ้านของเจ้านั้น คงจะงดงามใหญ่โต สมท่านชื่อนักบุญผู้นั้นแน่จริงไหมแม่สาว..”
“ไม่ค่ะท่าน...... หมู่บ้านของข้านั้นก็เหมือนหมูบ้านทั่วไป ......... เพียงแต่มีลำธารไหลผ่านเท่านั้น”
“ลำธาร งั้นเหรอ ลำธารที่นั้นกว้างและลึกมากไหม….”
“ลำธารนั้น ลึกแค่เอวของฉันเท่านั้นเองค่ะ......... กว้างประมาณ 50 เมตรเท่านั้น.”
“อืม.............. แล้ว ถนนที่ข้ากำลังนำกองทัพของข้าเดินอยู่นั้นจะนำพาไปสู่หมู่บ้านของเจ้าไหม??”
“ใช่ค่ะนายท่าน...... และถนนสายนี้ยังเป็นถนนที่จะตรงไปสู่ ใจกลางของจักรวรรดิ เมืองหลวงของเรา กรุง Vienna อีกด้วย!!”
“ถนนนี้จะนำพาเราไปถึง Vienna เลยงั้นเหรอ….!! งั้นเจ้าคงได้เห็นกองทัพออสเตรียเดินผ่านเป็นประจำสิท่า”
“ใช่ค่ะ พวกเขาจะใช้เส้นทางนี้เสมอ!!”
อองรีนั้นยิ้มร่าอย่างมีความสุขเลยครับ ดูเหมือนแม่สาวน้อยนี้จะให้ข้อมูลกับเขาครบถ้วนตามที่ต้องการเลยครับ.....ในตอนนี้ สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหื่นกระหาย.....อองรีใช้มือของเขาเชยคางของสาวน้อยผู้นั้น เพื่อยลความงามของนางให้เต็มตา
“สนทนากันมาเนิ่นนาน ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันเลย... เจ้าชื่ออะไร แม่สาว??”
“Andrea ค่ะ....Andrea Schzler”
“ข้ามีนามว่า ฌอง-ปิแอร์ อองรี ชายหนุ่มรูปงามจากฝรั่งเศส.....ยินดีที่ได้รู้จัก”
“………………ค่ะ”
“สายตาของเขาบกบ่องถึงความกลัว Andrea….. เจ้าว่าข้าน่ากลัวงั้นเหรอ?? กลัวเพราะว่าข้านั้นเป็น ฝรั่งเศสรึไงแม่นาง! ”
“…………………….”
“เจ้าไม่ต้องกลัวข้า Andrea เจ้าทำคุณประโยชน์มากมายแก่กองทัพของข้า Andrea….. เจ้าสมควรที่ได้รับรางวัล.....รางวัลจากข้าผู้นี้ หึหึ”
ดูเหมือนว่า อองรี จะถูกใจแม่สาวบ้านนามว่า Andrea อย่างยิ่งครับ และดูท่าทาง อองรี ก็น่าจะตบรางวัลให้สาวน้อยผู้นี้อย่างสาสม!!
Dresden , Saxony , Confederation of the Rhine 24 พฤศจิกายน ค.ศ.1805
ยิง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เฟี้ยวววววววววววววววววววว ตูมมมมม เฟี้ยววววววววววววว ตูมมมมม ตูมมมมมมม ตูมมมมมมมมม เฟี้ยวววววววววววววว ตูมมมมมมม!!
ปืนใหญ่ของปรัสเซีย กว่า 280 ระดมยิงใส่ป้อมปราการของเมือง Dresden อย่างไม่หยุดยั้ง ลูกเหล็กลูกแล้วลูกเล่าเข้าปะทะกับกำแพงฟินทำให้มันสึกกร่อนลงเรื่อยๆ!! ป้อมบางส่วนเริ่มแตกหักลงมาเผยให้เห็นรอยแยกแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นถล่ม! พลเอก Thomas Ludendorff ใช้กล้องส่องทางไกลมองดูตัวเมือง Dresden ...
“ยิงปืนใหญ่อัดไปเรื่อยๆ............ ทหารในนั้นอีกไม่นานนักหรอกจะเกิด Shell Shocked* ยิ่งพวกเยอรมันไม่มีใจสู้อยู่แล้ว ยิ่งถอดใจง่าย สุดท้ายก็จะยอมจำนนต่อเราคอยดู หึหึ” (อาการที่เขาเรียกว่า ผวาสงคราม คือเอาง่ายๆเลยคือกลัวหรือหลอนจนทำอะไรไม่ถูก เช่น โดนปืนใหญ่ยิงใส่อย่างไม่หยุดยั้งจนกลัวตัวสั่นงันงกไม่กล้ารบ)
“ถ้าง่ายงั้นก็ดีสิ ....... แต่อย่าลืมน่ะว่า กองทัพหลักของ นโปเลียน กำลังจะยกมาช่วยเช่นกัน”
“พวกมันอยู่ใน ฟลานเดอร์ ห่างจากที่นี่ตั้ง 200 ไมล์อย่างต่ำก็ใช้เวลา 2 อาทิตย์”
“อย่ามั่นใจในความคิดตัวเองไปหน่อย Ludendorff ผมขอแนะนำให้ส่งคนไปสังเกตุการณ์ความเคลื่อนไหวของพวกเขา.......”
Ludendorff ละสายตาจากกล้องส่องทางไกลทำหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งครับ.....
“ได้.................”
Ludendroff ตกลงตามนั้นครับ Erwin ก็จัดให้ตามที่ขอครับ เขาส่งทหารม้าเบาออกไปทางตะวันตกเพื่อทำการสอดแนมความเคลื่อนไหวของกองทัพ นโปเลียน..!!
ณ ภายในกำแพง Dresden
“ตูมมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมม ตูมมมมมๆๆๆ ว้ากกกกกกกก โอ๊ยยยยยยยยย”
ปืนใหญ่ของปรัสเซียที่ยิงเข้ามานั้นไม่ได้มีเพียงปืนใหญ่ ขนาด 12lb หรือ 18lb ที่ยิงวิถีราบเท่านั้น แต่ยังมี Mortar และ Howitzer ที่ยิงหัวกระสุนออกมาเป็นวิถีโค้ง กระสุนของพวกมันนั้นยิงโค้งข้ามกำแพงมาและตกใส่ตัวเมืองพอดิบพอดี!!........ ไฟจากกระเบิดนั้นทำให้ บ้านเมืองทั้งหลาย ไฟไหม้!! ลูกปืนใหญ่ลูกหนึ่งตกกลางวง ทหารทำเอาทหารหลายนายโดนระเบิดฉีกกระจุยกระจายเป็นชิ้นๆ บางลูกไปตกใส่โบสถ์ทำเอา ทั้งพระ ทั้งและแม่ชีหลายคนตายคาซากปรักหักพังที่ถล่มลงมา ชาวบ้านหลายแสนในเมืองต่างได้รับความเดือดร้อน!!..... นายพล ฌอง เมสซานา แห่ง กองทัพ Saxony เดินตรวจตราดูรอบๆกำแพงเมืองพร้อมกับ ผู้พัน โคเม่ต์ ผู้บังคับกองพันทหารราบ ถึง 3 กองพัน........เสียงปืนใหญ่ยิงมาเป็นระยะๆนั้นไม่ทำให้ ฌอง กลัวเป็นอย่างใดเนื่องจากน่าจะคุ้นชินกับมันเสียแล้ว ..... สีหน้าของ ฌอง นั้นหม่นหมองและเต็มไปด้วยความเครียด
“พวกมันเปิดฉากระดมยิงมาได้ 6 วัน ทหารของเราล้มตายไปกว่า 830 นาย แต่นั้นไม่เท่าไหร่ .. เพราะคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่า คือชาวบ้านที่อยู่ในเมืองพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย และต้องมาตายด้วน้ำมือของเรา!!”
“ท่านนายพลครับ ท่านน่าจะรู้สงครามมันต้องมีสูญเสียเป็นธรรมดา”
“ใช่ แต่คนที่ควรสูญเสียนั้นควรจะเป็นทหารอย่างเราไม่ใช่ ประชาชน!!”
“แล้วจะให้ทำเยี่ยงไรครับ.....”
“……………………. รอจนกว่า กองทัพของ นโปเลียนจะมา…….แต่คงรอไม่ได้นานเท่าไหร่หรอก..ใช่ไหม โคเม่ต์ เพราะฉันรู้สึกว่าสถานการณ์ภายในกองทัพของเราก็ย่ำแย่ใช่ไหม”
“...............................”
โคเม่ต์ นิ่งกริบไม่ตอบแต่ประการใด สายตาของเขาลดลงต่ำมองลงพื้นราวกับไม่อยากจะตอบคำถามนั้นทำให้ ฌอง เดือดดาลยิ่งนัก
“ฉันถามว่าใช่ไหม!!!!!!!”
“กองทัพของเราอยู่ในสภาพไม่พร้อมรบครับ!!!!”
“…………………………. เพราะคำพูดของ Ludendorff นั้นแท้ๆ!!”
“ทหารชาวเยอรมันของเราในตอนนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ขาดขวัญกำลังใจเป็นอย่างยิ่ง ....มิหนำซ้ำผมยังได้ยินข่าวลือมาว่า..”
“ข่าวลือว่า...??”
“ทหารบางกลุ่มจะแอบลอบเปิดประตูเมืองให้ พวกปรัสเซีย!! บางกลุ่มถึงขั้นขนาดบอกว่า จะจับตัวท่านไปให้ Ludendorff!! ในตอนนี้พวกเขาไว้ใจไม่ได้แล้วครับ!!”
“.............. ผมคาดไว้แล้วล่ะ สถานการณ์น่าจะเป็นแบบนี้... ว่าแต่ทหารฝรั่งเศสล่ะ”
“พวกเขายังคงเป็นหน่วยรบชั้นยอดของเราครับ...ทหารฝรั่งเศสทั้ง 5000 นายพร้อมสู้ตายและไม่ยอมให้พวกปรัสเซียแม้แต่นายเดียวก้าวเข้าประตูเมืองมา.....”
“เรามีทหารม้ากับปืนใหญ่เหลืออยู่ไหม”
“เรามีทหารทหารม้าหนัก Cuirassier ประมาณ 350 นายครับ ที่เหลือเป็นทหารม้าเบา อีก 1000 ส่วนปืนใหญ่นั้นมี 30 กระบอก โชคดีเช่นกันที่พวกเขาเป็น ฝรั่งเศส”
“ แต่มีน้อยเกิน………. ออกไปสู้กับพวกมันมีแต่ตายเปล่า ความหวังของเราในตอนนี้คงต้องพึ่ง จักรพรรดิผู้ปรีชาของเราแล้วล่ะ”
ฌอง เงยหน้าแหงนมองไปยังสุดขอบฟ้าหวังว่า เขาจะเห็นกองทัพ Grande Armme อันยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส โผล่ออกมาพลิกแพลงสถานการณ์ในตอนนี้ ถึงแม้เขาจะเกลียด นโปเลียน เพียงใด แต่ความหวังของเขาในตอนนี้ก็คือ การที่คนที่เขาเกลียดนักเกลียดหนามาช่วยเขา ช่วยให้เขามีชีวิตรอดไปอีกวัน มีชีวิตรอดเพื่อที่จะกำจัดผู้ที่มาช่วยเขาเองในภายหลัง!!
Smolensk , Russian Empire 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1805
ณ ดินแดนแห่งหิมะอันห่างไกลจากความขัดแย้งที่นี่คือ Smolensk ซึ่งเป็น เขตอำนาจของกลุ่มพ่อค้า Yaroslav……. ในรัสเซียนั้น อำนาจของเจ้าของที่ดินนั้นยังคงมากล้น ไม่มีการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางดังที่อื่น ผู้นำท้องถิ่นยังคงมีอิทธิพลต่อชาวบ้านเสมอ..... ในตัวเมือง Smolensk นั้นเป็เมืองชนบทขนาดใหญ่ บ้านและตึกถูกตั้งอยู่ห่างๆกันตามพื้นที่อันกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมี ยังมีทุ่งข้าวสาลีอันกว้างใหญ่ สุดลูกหูลูกตา ในใจกลางตัวเมืองจะมีปราสาท Yanozky อันเป็นที่พำนักของ Dimitry Yanozky เพื่อนสนิทของ Laurente Yaroslav…. และยังมี โบสถ์คริสต์นิกาย Orthodoxx ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน โบสถ์นั้นปกติเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านนับพันในย่านนั้น ทุกวันอาทิตย์พวกเขาจะเลิกงานและมาที่โบสถ์นี้เพื่อฟัง ท่านบาทหลวงเทศนา ซึ่งในวันนี้ก็เช่นกัน ชาวบ้านหลายพันนายมาชุมนุมกันหน้าโบสถ์ แต่แทนที่เหล่าชาวบ้านจะสงบเสงี่ยมเหมือนกำลังฟังธรรม พวกเขากับเฮเย้วๆๆ ยังกับฝังแกนนำประท้วงพูดยังไงงั้น!!
พระร่างใหญ่ หนวดเครายาวเฟิ้มผู้หนึ่งกำลังพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะชนอย่างออกรส ราวกับว่าตัวเองเป็นแกนนำประท้วง!!
“ข้าแต่พระเจ้าอันยิ่งใหญ่......โปรดตอบข้ามาพระเจ้าซาร์เคยทำอะไรให้พวกท่านไหม!!”
“ไม่!!!”
“ทำสิ ขึ้นภาษีไง!!”
“ขูดรีดภาษี!!”
“กดขี่!!”
“ใช่!! พระองค์มัวแต่ทำสงครามเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง!! โดยไม่สนใจพสกนิกรเลยแม้แต่น้อย.... ขูดรีดภาษี ขูดรีดขูดเนื้อประชาชน เพื่อนำเงินไปทำสงคราม!!.. ถึงแม้พระองค์จะชนะก็ตามผลประโยชน์ก็ไม่เคยตกถึงปากท้องของพวกท่านเลยแม้แต่น้อย แต่กลับตกถึงแค่พวกเชื้อพระวงศ์เท่านั้น!!”
“ใช่ๆๆ เลวมากก!!”
“เราต้องการเงินของเราคืน!!”
“พวกท่านทั้งหลายจงเมียงมองไปทางตะวันตก ฝรั่งเศสชาติอันรุ่งโรจน์ในตอนนี้ พวกเขารุ่งโรจน์ได้เยี่ยงไร!! พวกเขานั้นลุกฮือกันต่อต้านกษัตริย์ที่กดขี่!! จำพวกเขาเหล่าเชื้อพระวงศ์มาประหารด้วย กีโยติน!! และผู้นำของพวกเขาคนใหม่นั้น มาจากสามัญชน!! สามัญชนที่จะนำชาติไปสู่ความรุ่งโรจน์!!! ประชาชนอย่างเรานี่แหละจะทำรัสเซียรุ่งโรจน์!!”
“รุ่งโรจน์!!!”
“ชาติต้องการประชาชน!!”
“จงร่วมมือกับข้า!! ร่วมมือกับท่าน Lord Dimitry !! เจ้านายที่ทรงธรรมของพวกท่าน กำจัดไอ้เชื้อพระวงศ์นั้นให้สิ้น เอาเลือดของราชวงศ์โรมานอฟมาชโลมแผ่นดิน!!”
“เฮ!!!!!!!!!!! เฮ!!!!!!!!!! กำจัดพระเจ้าซาร์!!!!”
เหล่าฝูงชนต่างโห่ร้องกันกึกก้อง พร้อมชูเครื่องมือเกษตรทั้ง เคียว ขวาน คราด ราวกับมันเป็นดาบ!! พวกเขาในตอนนี้กลายเป็นฝูง Mob ที่บ้าคลั่งพร้อมจะจัดการกับเหล่าราชวงศ์โรมานอฟให้สิ้นจากแดนรัสเซีย!! ทาง Dimitry Yanozky กับ Laurente Yaroslav… นั้นได้เมียงมองอยู่ห่างๆบนยอดเนินที่ตั้งปราสาทของเขา.... พวกเขาทั้ง 2 คนต่างคาบ Cigar คนละมวน..
“ของดีจริงๆ นายเอามาจากไหนเนี่ย...”
“เพื่อนในอังกฤษให้มาน่ะ....มาจาก คิวบา เชียวน่ะ...”
“ฟู่ววววววววววววว (พ่นควัน) .... คิดว่าไอ้ม๊อบชาวบ้านไม่กี่พัน นี่มันจะล้มกองทัพของพระเจ้าซาร์ได้หรือไง??”
“ใครบอกว่ามีแค่นี้..... ฉันได้กระจายให้คนในสมาคมออกไปยัดเงินเหล่า บาทหลวงทั่วเขตเบลารุส , Smolensk , Crimea , Ukraine เอาง่ายๆเลยแถบภาคใต้ทั้งหมด... ให้พวกเขาพูดจาในทำนองเดียวกัน ... คราวนี้แหละเราจะมีม๊อบชาวบ้านหลายแสน มาเข้าร่วมกับเรา”
“อืม หลายแสน แล้วจะเอาอะไรไปสู้ล่ะ..... คราด กับ เสียม หรือไง เพื่อน??”
“ ....เรื่องนั้นฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าของ Cigar นี่ นอกจากจะหาของจิปาถะเก่งแล้ว ยังจัดหาอาวุธยุทธโธปกรณ์ได้เก่งไม่แพ้กันด้วย ... ตอนนี้ปืน Rifle Baker 5000 กระบอกล๊อตแรกได้เดินทางมาถึงแล้ว ... และ ล๊อตอื่นๆจะตามมาในอีกไม่ช้า”
“นี่แกกำลังสร้างกองทัพรึไงว่ะ เพื่อน!!”
“ใช่!!! กองทัพพลังประชาชนชาวรัสเซียยังไงล่ะ”
Yaroslav นำ Cigar ของเขาออกจากปากพร้อมพ่นควันออกมาอย่างสบายใจ แม้เพื่อนๆของเขาในอังกฤษจะประสบปัญหากับแผนการของพวกเขา แต่ในรัสเซีย แผนนั้นกำลังเดินไปได้ด้วยดีครับ!! กองทัพของ Yaroslav เริ่มเป็นรูปร่าง กองทัพมวลชนของรัสเซีย!!
Dresden , Saxony , Confederation of the Rhine 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1805
การระดมยิงของปืนใหญ่ปรัสเซียดำเนินอย่างต่อเนื่องกว่า 10 วัน!! กระสุนปืนใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าต่างถูกใช้ไปเป็นจำนวนมาก แรงระเบิดจากกระสุนปืนใหญ่เปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้กลายเป็นซากปรักหักพัก Dresden อันงดงามและเป็นศูนย์กลางของ Saxony ในแต่ก่อน ปัจจุบันกลับเต็มไปด้วยเปลวเพลิงจากระเบิด ศพของชาวบ้านนับพันนอนตายเกลื่อนถนน!! มีแม่ลูกคู่หนึ่งนั่งกอดกันกลมในมุมถนนเล็กๆ ด้วยมีความหวังว่ากระสุนปืนใหญ่จะไม่ตกใส่ตรงมุม!! ทั้งคู่ต่างสั่นเทาไปด้วยความกลัว........ เด็กสาววัย 6 ขวบ พูดกับแม่ของตนด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“แม่ค่ะ .....เราอยู่ตรงนี้มา 3 วันแล้ว....เมื่อไรเราจะไปจากตรงนี้กันค่ะ”
“อดทนไหวจ๊ะ ลูก........ เชื่อแม่เราต้องอยู่ตรงนี้ถึงจะปลอดภัย!!
“แม่...........หนูกลัว”
“ไม่เป็นไรน่ะลูกแม่อยู่นี่… แม่จะคอยปกป้องลูกเอง”
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!
ลูกกระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่งตรงลงตรงมุมของถนน ห่างจากแม่ลูกคู่นั้นไปเพียง 5 เมตรเท่านั้น!! ฝุ่นจากเศษดินที่กระจายและความร้อนวูบวาบจากระเบิด ทำให้หนูน้อยนั้นขดตัวหลับตาปี๋ในอ้อมอกของแม่!!.... ดูเหมือนจะโชคดีครับที่ไม่มีเศษกระสุนหรือสะเก็ดระเบิดใดๆปลิวเข้ามาทำร้ายเด็กน้อย
“แม่............”
หนูน้อยคนนั้นแหงนหน้ามองแม่ของตนอีกครั้ง ก็พบว่าแม่ของนางนั้นถูกสะเก็ดระเบิดปลิวมาแทงทะลุอก...... นางกระอักเลือกออกมาและล้มลงไปนอน ปล่อยให้หนูน้อยเขย่าตัวแม่ของนาง แต่ดูเหมือนนางจะไม่ตอบสนอง
“แม่ๆๆๆๆๆ แม่ต้องไม่ทิ้งหนู!!! แม่.............!”
หนูน้อยร้องเรียกแม่ของตนเสียงหลงราวกับจะให้แม่ฟื้น แต่ไร้ผลแม่ของหนูน้อยสิ้นใจลงดวงตายังคงเบิกโพลงเพราะยังห่วงลูกสาวของตน ทำเอาหนูน้อยร้องไห้กระงองอแงออกมาพร้อมเขย่าตัวแม่หวังว่าเทวดาในนิทานก่อนนอนจะมาช่วย..... แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครสนเพราะชาวบ้านทั้งหลายก็หามุมของตนหลบระเบิดมิฉะนั้นชะตากรรมของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรไปกับหญิงรายนี้!! ทางด้านทหารเยอรมันแห่งสหพันธรัฐก็ทำหน้าที่ลำเลียงคนเจ็บไปมา มีทหารเยอรมัน 2 นายกำลังห้ามเปลที่มีผู้หญิงท้องแก่ใกล้คลอดอยู่ แต่การห้ามเปลนั้นไม่ได้ทำอย่างทะนุถนอมแม่แต่น้อยเพราะพวกเขาต้องวิ่งหลบระเบิดไปมา!!!
“ทำใจไว้ดีๆน่ะ Maria!! ฉันกำลังพาเธอไปหาหมอ!!..”
ทหารเยอรมันผู้นั้นพูดหญิงท้องแก่ซึ่ง กำลังนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ซึ่งเอาจริงๆดูท่าทางผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นภรรยาของทหารผู้นั้น!!............
“จะออกแล้ว.........................”
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!
กระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่งตกห่างออกไปประมาณ 3 เมตรด้วยแรงระเบิดทำเอาทั้ง 3 กระเด็นไปคนละทิศละทาง!! ทหารเยอรมันผู้นั้นลุกขึ้นมาได้ก่อน เขามองดูรอบๆก็พบว่าตัวเองไม่เป็นอะไร......... สิ่งต่อไปที่เขาห่วงนั้นคือ
“Maria เธออยู่ไหน!!!!”
ทหารตะโกนหาภรรยาอันเป็นที่รักท่ามกลางฝุ่นอันตลบอบอวล........ เมื่อฝุ่นจางลง เพื่อนทหารของเขาอีกคนก็ลุกขึ้นมา......เขากับเพื่อนก็พบกับ Maria ในสภาพนอนคว่ำหน้าอยู่ สีหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บไป!! มือไม้เกร็งไปหมด
“Maria”
ทหารคนนั้นร้องเสียงหลง เขารีบวิ่งไปหาภรรยาท้องแก่ของเขาและประคองเธอให้นอนบนตักของเขา Maria แหงนหน้ามองสามีของหล่อนด้วยสายตาอิดโทรย
“Edmun ฉัน..............ชาไปหมดเลย”
พลทหาร Edman เอามือลูบไล้หน้าของภรรยาของเขาครับ...แต่สายตาของเขาพลางเหลือบไปเห็นน้ำเลือดที่ไหลออกมาจากหว่างขาของภรรยาเขาครับ!! และเมื่อมองดีๆก็พบว่า มีเด็กน้อยที่นอนขดตัวไหลออกมากองกับพื้น สายสะดือของเขายังคงติดกับรกของแม่อยู่เลย!! แน่นอนเด็กคนนี้คือลูกของเขา!! เขารีบอุ้มร่างของลูกเขาขึ้นมาและพบว่าร่างนั้นแข็งทื่อและเย็นเฉียบ ชีพจรของเด็กคนนั้นไม่เต้น เขาตายลงแล้ว ทันใดนั้นทั้ง Maria และ Edman ต่างใจสลาย!! พวกเขาต่างร้องไห้ออกมาเมื่อเสียลูกชายคนแรก...สักพักพลทหารหนุ่มก็เปลี่ยนจากความเศร้าเป็นความเดือดดาล!! เขาลุกขึ้นมาพลางปาหมวกลงกับพื้นพร้อมตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง!!!
“ไอ้ ฌอง!!!!!!!! เมื่อไหร่มึงจะออกไปจัดการกับมันว่ะ!!! กูทนไม่ไหวแล้วเว้ยยยยยยย!!!”
“เฮ้ย มึงใจเย็นนั้นนายพลของมึงน่ะ!!”
“นายพลห่าอะไรว่ะ ปล่อยให้ชาวบ้านตาดำถูกยิงเอาๆ!!!! แกยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า!! ไอ้ ฌอง!! ถ้าแกไม่รบก็สู้เปิดประตูเมืองให้มันเข้ามาดีกว่า!!!”
Edman เดือดดาลหุนหันพลันแล่น!!จนเพื่อนของเขาต้องรีบห้ามทัพใหญ่ครับ แต่ที่กล่าวมาข้างต้นนี่เป็นเหตุการณ์เล็กๆบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง เพราะทั้ง Dresden นั้นเต็มไปด้วยชาวบ้านมากมายที่ถูกผลของสงครามเล่นงาน!! เหล่าทหารเยอรมันทั้งหลายนั้นเริ่มหมดความอดทนกับ การระดมยิงอันหนักหน่วงนี่!! ฌอง เมสซานา นั้นนั่งอยู่ใน ปราสาท Dresden ซึ่งเริ่มปรักหักพังจากการถูกระดมยิง!! เขานั่งกลุ้มอยู่บนเก้าอี้ พร้อมกับเหล่าผู้พันฝรั่งเศสหลายนายที่ยืนรายล้อม!! สถานการณ์ดูสิ้นหวังสุดๆครับ!!
“ท่านนายพลครับ ทหารเยอรมันใต้สังกัดเราในตอนนี้ชักเริ่มทนไม่ไหวแล้วครับ พวกเขากว่าครึ่งเริ่มขัดคำสั่ง!!”
“ท่านครับ พวกถูกระดมยิงมา 10 วันแล้วน่ะครับ ชาวบ้านในเมืองกว่า 8000 บาดเจ็บล้มตาย!! พวกเราจะเอาไงต่อดีครับ!!”
“ท่านนายพลครับ กว่ากองทัพของเราจะมาก็อีก อาทิตย์กว่าๆครับ!! ถ้าขืนเรารอถึงขนาดนั้น มีหวังพวกเยอรมันได้จับตัวเราไปให้ ปรัสเซีย แน่ครับ!!”
“ท่านนายพลครับ.......”
“เออๆ ผมรู้สถานการณ์ดีแล้ว!!! แล้วจะให้ผมทำอย่างไรนอกจากรอล่ะ!!! กำลังของพวกเราที่มีศัยภาพการรบในตอนนี้มีน้อยกว่าแบบเทียบไม่ติด จะให้ผมทำยังไง!!”
“ผมว่า........เราควรจะขอเจรจายอมแพ้น่ะครับ!!”
“งั้นคุณคงไม่รู้จัก Ludendorff ดีสิน่ะ.... ไอ้ปรัสเซียผู้นี้มันจะฆ่า ทรมาณ และ ทำลายล้าง ชาวฝรั่งเศสทุกคนที่มันพบ!! ถ้าเรายอมแพ้นั้นเท่ากับเราฆ่าตัวตาย!! คุณเข้าใจไหม!!!”
เหล่าผู้พันในห้องนั้นเงียบกริบ! ยอมแพ้ก็ตาย ปล่อยให้มันยิงยังงี้ต่อไปเรื่อยๆก็ตาย!!... รอเฉยๆก็น่าจะตาย!! กองทัพแห่ง Saxony กำลังจะจนแต้มแล้วงั้นหรือ
กองทหารปืนใหญ่ปรัสเซีย เวลา 1100 น.
ปืนใหญ่ของปรัสเซียนั้นคงระดมยิงไม่หยุดครับ!! สงสัย Ludendorff คงจะขนกระสุนมาเป็นกระตั๊กเพื่อการนี้โดยเฉพาะ!! ในเต็นท์ของนายทหารชั้นยศนายพล Ludendorff นั้นกำลังยกซดเบียร์ในมืออย่างสบายใจครับ พลางผิวปากอย่างสบายอารมณ์ในขณะเดียวกัน นายพล Erwin ก็กำลังเทเบียร์ใส่แก้วของเขา
“ไม่นานนักหรอก Erwin ความเดือดดาลของทหาร Saxony ใกล้ถึงจุดเดือดแล้ว!! เดี๋ยวพวกเขาก็จะพากันออกมาขอยอมจำนนเอง!!”
“นี้เราไม่เสียทหารสักนายเลยน่ะเนี่ย....คุณนี่มันร้ายจริงๆ Thomas เอ้า เชียร์ไกเซอร์!!”
“เชียร์ไกเซอร์”
ทั้งคู่ก็นำแก้วเบียร์มาชนกันครับก่อนจะยกซดกันอย่างเมามัน.......
“พลลาดตระเวนที่ส่งไปมาแล้วครับ!!!”
ทหารปรัสเซียผู้หนึ่งตะโกนบอกให้เจ้านายของเขารับรู้!!! Ludendorff นั้นก้ชิวๆครับ เพราะยังคงนึกว่ากองทัพฝรั่งเศสไม่น่ามาถึงในเร็ววันนี้ เขาเดินออกมาจากเต็นท์พร้อมส่องกล้องส่องทางไกลของเขาไปทางพลลาดตระเวณ!!
“เฮ้ยยยยยย!!!”
สิ่งที่เขาเห็นก็คือ พลลาดตระเวนของนั้นเองครับ ซึ่งกำลังควบม้ามาด้วยความอิดโทรยเสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นเนื้อตัวมอมแมมราวกลับไปลุยกับอะไรมา ทันใดนั้นพลลาดตระเวนของเขาก็กระอักเลือด และร่วงตกลงจากหลังม้า แต่สิ่งที่ตามหลังพลลาดตระเวนของเขามานั้นคือ!!!
กองทัพฝรั่งเศสขนาดมหึมา!!!! มาโผล่ทางปีกซ้ายของเขา!! แน่นอนมันทำให้เขาตะลึงมาก!!
“บ้าน่า!!! มันเป็นไปไม่ได้!! ทำไมพวกมันถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ว่ะ!!!! มันเป็นไม่ด้ายยยยยยย!!”
Ludendorff อุทานออกมาเสียงหลง แน่นอนคนที่ตกใจไม่ใช่แค่ Ludendorff คนเดียว แต่เป็นทั้งกองทัพปรัสเซีย!! เหล่าทหารของปรัสเซียนั้นตะลึงงึงงันและตกใจไม่ต่างจากผู้นำของพวกเขา!! แต่ที่แน่ๆกองทัพของเขาในตอนนี้หันไปผิดทิศอย่างเห็นได้ชัด ปืนใหญ่กว่า 280 กระบอกหันไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมือง!!.... มิหนำซ้ำเหล่าทหารราบของเขาก็หันหน้าไปทางทิศของเมืองเช่นกัน แต่ทางปีกซ้ายของเขานั้นมีทหารอยู่เพียงเล็กน้อย!!
ปราสาท Dresden เวลา 1120 น.
ผู้พันคนหนึ่งรีบวิ่งแจ้นมาบอก ฌอง ด้วยน้ำเสียงตกใจ!!
“ท่านนายพลคร้าบบบบบบบบบ มาถึงแล้วครับ.............. กองทัพฝรั่งเศสครับบบบ!!”
“หา!!!!!!!!!”
ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงมาก ฌอง รีบวิ่งขึ้นไปบนหอคอยอันเสียดสูงของปราสาทและใช่กล้องส่องทางไกลมองออกไปทิศทางที่ผู้คนนั้นชี้สิ่งที่เขาเห็นคือ กองทัพทหารในชุดสีน้ำเงิน ธง 3 สี แดง ขาว น้ำเงิน โบกไสวไปตามสายลม!!! ใช่แน่ๆกองทัพฝรั่งเศส กองทัพ นโปเลียนมาช่วยแล้วววววววว!!
“มาแล้วเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!”
ฌอง ตะโกนล่าออกมาด้วยความดีใจพร้อมกระโดดโลดเต้นไปมา จนหลุดมาดอันเคร่งขรึมของเขาไป!! ในทีสุดก็มาถึงสักที Grande Armee อันเกรียงไกร!!!!
กองทัพฝรั่งเศส 1125 น.
ถึงแม้จะไม่ใช่ นโปเลียน ที่มาเอง แต่กองทัพที่ 8 ของ พลเอก มิเชล เนย์ ได้เดินทางมาถึงครับ!! ปืนใหญ่ของเขากว่า 150 กระบอกต่างตั้งเล็งไปที่ทัพของปรัสเซีย!! ถึงแม้เขาจะมีทหารแค่ 36000 นาย น้อยกว่าปรัสเซียที่มีถึง 60000 นาย แต่ล้วนมีกำลังใจสู้รบ!! นายพลผู้องอาจใช้กล่องส่องมาทางกองทัพปรัสเซีย
“อืม นายพลของพวกมัน เร่ง ทหารให้แปรขบวนหันกองกลางมาตรงเรา!! แหม ดูสิรุกรี้รุกรนอย่างกับเห็นผี!!”
“ปืนใหญ่ของพวกมันอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถยิงเราได้ครับ!! พวกมันกำลังเล็งถอนปืนใหญ่เป็นการด่วน!!”
“เอ้างั้นก็ให้มันชิมรสปืนใหญ่ของเราหน่อยสิ!!”
“ยิง!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เฟี้ยวววววววววววว เฟี้ยวววววววววววววว เฟี้ยววววววววววววว ตูมมมมม ตูมมมมมมมม ตูมมมมมม ตูมมมมมมมม
เหมือนดังกรรมตามสนองปืนใหญ่กว่า 150 กระบอกระดมยิงใส่กองทัพของ Ludendorff ที่กำลังแปรขบวนและไม่เป็นแถวเป็นแนว แรงระเบิดฉีกร่างของพวกเขาออกเป็นเสี่ยงๆ!! ลูกเหล็กมุ่งตรงเข้าไปทำลายปืนใหญ่ของปรัสเซียซึ่งกำลังถอนการติดตั้งอยู่!! สะเก็ดระเบิดปลิวว่อนไปแทงทะลุของพวกเขา แต่กองทัพปรัสเซียยังคงตอบโต้ไม่ได้!!! พวกเขาทำได้แค่แปรขบวน!!
“เอาล่ะ นายพล Lannes ส่งทหารราบของเราออกไปเตรียมประจัญบานเลย!! โจมตีกองทัพของพวกมันขณะกำลังเรรวนอยู่นี่แหละ!!”
“ครับผม”
“เดี๋ยวผมจะเอาทหารม้าทั้งหมดวิ่งอ้อมไปตีแนวหลังเอง!! โดนโจมตีจากทั้งทางข้างและหลังในสภาพอลม่านขนาดนี้ต่อให้มีมากแค่ไหนก็แพ้!!”
“เปิดเกมส์เร็วจังครับ!!”
“คนอย่างผมมันบ้าบิ่นอยู่แล้ว.....ทำตามที่สั่งพอ รับทราบ!!”
“รับทราบ!! ..............................ทหารราบ หน้าเดิน!!!”
ทหารของฝรั่งเศสร่วมๆ 30000 เดินแถวหน้ากระดานไปหากองทัพปรัสเซียที่กำลังเรรวนและสับสนอย่างเป็นระเบียบ!! ใน ขณะเดียวกัน นายพลเนย์ ก็ควบม้าสีน้ำตาลคู่ใจของเขาออกไปหากองทหารม้าของเขาซึ่งประกอบด้วยทหารม้าหนักอันเลื่องชื่อในสมรภูมิที่ Elchingen กว่า 3000 นาย เป็นกำลังหลัก รวมถึงทหารม้า Polish Lancer , Italian Lancer และทหารม้าเบาเกือบกว่า 2500 นาย!! ด้วยความที่ เนย์ เป็นนายพลทหารม้าเก่าจึงทำให้เขาช่ำชองในการรบบนหลังม้าเป็นที่สุด!! เขาควบม้าตรงมายังหน้าแถวทหารม้าของเขา พร้อมชักดาบออกมา!!
“เหล่าทหารม้าแห่ง จักรวรรดิ!! ไปสอนให้ไอ้พวกเยอรมันรู้หน่อยว่า จอมสุริโยธิน* ผู้นี้เป็นไง!!!” (ฉายาของ เนย์ ซึ่งมีความหมายว่า bravest of the brave กล้าหาญของกล้าหาญที่สุด)
ว่าแล้วเนย์ก็ควบม้านำหน้าเหล่าทหารม้าของเขาไป ถึงแม้จะเป็นนายพลแล้วแต่ก็ยังคงบ้าบิ่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
กองทัพปรัสเซีย 1140 น.
Ludendroff ใช้กล้องส่องทางไกลมองการเคลื่อนไหวของกองทัพที่ 8 ด้วยความกังวลเป็นที่สุด!!! แถวของทหารราบฝรั่งเศสนั้นเดินมาใกล้ปีกซ้ายของเขาเต็มทน!!! ในขณะเดียวกันปืนใหญ่ของฝรั่งเศสก็ยังระดมยิงอย่างไม่หยุด!! ซึ่งช่วยเพิ่มความเสียหายและสับสนให้กับกองทัพของเขาเป็นอย่างมาก การแปรขบวนจึงทำได้อยากขึ้นกว่าเดิม !!!!
“ทำไมมันเป็นแบบนี้ได้ไงฟร่ะ......!!! เออ ไม่เป็นไร กองทัพของพวกมันมีน้อยกว่า เราน่าจะชนะได้.....ถึงจะนองเลือดก็ตาม!!”
“Ludendorff!!! นั้นดูที่แนวหลังของเรา!!”
Erwin เตือนให้ Ludendorff หันไปที่แนวหลังของตนเขาใช้กล้องส่องทางไกลมองไปก็พบว่า กองทหารม้าฝรั่งเศสกว่า 4500 นาย กำลังชาร์จเข้าใส่แนวหลังของปรัสเซีย!!
“เฮ้ยยยยยยย ชิบหาย ถ้าปล่อยมันชาร์จใส่แนวหลังได้เราเสร็จแน่!!! ไป Erwin ไปหยุดมันให้ได้!!!”
นายพล Erwin รีบวิ่งไปขึ้นมาของเขาและสั่งให้ทหารม้าปรัสเซียทั้งหมดเข้าหยุดการชาร์จของ เนย์!!!
ปราสาท Dresden 1158 น.
ฌอง กำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองดูการรบพุ่งกันอย่างใจจดใจจ่อ!!
“ใช่!! นั้นแหละ ใช้ทหารม้าเข้าโจมตีแนวหลังของมัน มันแพ้แน่!! สู้เขาเหล่าทหารแห่งจักรวรรดิ!!....”
“เราจะไปช่วยเขาไหมครับ”
“อืม.................... ก็ดีผู้พัน ใช้ทหารม้าทั้งหมดของเรา เข้าโจมตีใส่ปืนใหญ่แนวหน้าที่กำลังถอนตัวอยู่นั้นยิ่งสร้างความสับสนให้มันอีก!! ไปผู้พัน โคเม่ต์ตามผมมา!!”
ว่าแล้ว ฌอง เมสซานาก็เดินลงจากหอคอยและออกมาจากปราสาท เมื่อเข้าเปิดประตูปราสาทออกมาก็พบเหล่า ประชาชนชาวเยอรมัน และทหารเยอรมันจำนวนมากต่างมายืนรายล้อมปราสาทด้วยสีหน้าอันบูดบึ้งและไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง...... ฌองนั้นทำหน้านิ่งขรึมก่อนจะเอ่ยออกมา
“ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการผม..........ผมก็จะรบโดยไม่มีพวกท่าน!!”
ว่าแล้ว ฌอง ขึ้นมาของเขาพร้อมกับควบม้านำทหารม้าฝรั่งเศสจำนวน 1350 นายออกจากประตูเมืองไป..
แนวหลังของกองทัพปรัสเซีย 1210 น.
ทหารม้าของฝรั่งเศสกำลังวิ่งชาร์จเข้าใส่แนวหลังของปรัสเซียอย่างรุนแรงหมายจะตีแนวหลังให้เรรวนสร้างความอลม่านให้กับกองทัพปรัสเซีย แต่ทางฝั่งปรัสเซียไม่ยอมง่ายๆครับ นายพล Erwin ก็นำทหารม้าปรัสเซียกว่า 5000 นายชาร์จสวนออกมาหมายจะหยุดการชาร์จของ เนย์!! ทหารม้าปรัสเซียนั้นแม้จะมีมากกว่า แต่ด้วยความเร่งรีบ พวกเขาจึงควบม้าออกมาไม่เป็นขบวน เหล่าทหารทั้ง Cuirassier , Dragoon , ทหารม้าเบา ปนกันมั่วไปหมด!! ในขณะที่กองทหารม้าของ เนย์นั้นควบเป็นขบวน และที่สำคัญเขาใช้เหล่า Polish และ Italian Lancer นำหน้าซึ่งทหารม้าเหล่านี้ถือทวนยาวกว่า 3 เมตร!! เหมาะอย่างยิ่งในการแทงศัตรูให้ตกจากหลังม้า!!!
“ขบวนรูปเพชร!!!!!!”
เนย์สั่งให้พลแตรเป่า สัญญาณให้ทหารม้า Lancer ของเขาแปรขบวนเป็นรูปเพชร!!!
“ปู๊นๆๆๆๆๆๆ”
พลสัญญาณเป่าแตรออกมาเหล่าทหารม้าของเขา ต่างแปรขบวนเป็นรูปเพชรหัวแหลมเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการตอกแนวข้าศึกให้แตกเป็นเสี่ยงๆ พวกเขาอยู่ในห่างกันในระยะ 50 หลา!!!!! และกำลังเข้าปะทะกัน!!!!
“ฮี้ กั่บๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฉึก!!!!! ฉึกกกกกกก!! ฉึก!!!!!! ว้ากกกกกกกกก อ้ากกกกกกกกก!! ฉึกกกกกกกก!! ตึกก!! ฉึกกกกกก สวบบบบบบบบบ!!”
เหล่าทหารม้าปรัสเซียโดนทวนของเหล่า Lancer เสียบจนล่วงจากหลังม้า!!! ทวนเล่มแล้วเล่มเล่าถูกแทงทะลุลำตัวของพวกเขา!! ทวนบางเล่มแทงทะลุหน้าของทหารปรัสเซียจนหน้าเป็นรู!! บางเล่มแทงทะลุคอหอยจน!! ถึงแม้ทหารม้า Cuirassier ปรัสเซียบางนายจะสวมเกราะแต่ด้วยแรงปะทะของม้าทำให้เกราะนั้นบุบทำเอาให้คนที่สวมช๊อคและพวกเขาหลายนายล่วงตกลงจากหลังม้า!!! ทหารม้าปรัสเซียลดลงฮวบฮาบจากการชาร์จอย่างรุนแรง!!! โดยทีทหารม้าของฝรั่งเศสสูญเสียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นายพล Erwin ที่กำลังงงันอยู่กลางสนามรบถูก Polish Lancer นายหนึ่งแทงเขาทะลุหน้าอกซ้าย เขาล่วงตกลงจากม้าและขาดใจตายในที่สุด!! ทหารม้าหนัก Cuirassier ตามตีซ้ำต่อ ยิ่งทำให้ขบวนทหารม้าปรัสเซียเสียหายหนักยิ่งขึ้น!! ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วปานสายฟ้าแลบ!! จนทหารม้าปรัสเซียเริ่มงงงันและล่าถอยไปในที่สุด!! ทหารม้าของฝรั่งเศสยังควบต่อไปไล่ล่าทหารม้าปรัสเซียและตีแนวหลังของทหารปรัสเซีย!!
ปีกซ้ายของกองทัพปรัสเซีย 1230 น.
การระดมยิงปืนใหญ่ยังคงทรงประสิทธิภาพทหารปรัสเซียหลายนายล้มระเนระนาด แถวของพวกเขายิ่งจัดยากขึ้นภายใต้การระดมยิ่งที่กดดันพวกเขา ขณะเดียวกันแถวของทหารราบฝรั่งเศสก็เดินมาถึงปีกซ้ายในระยะ 100 หลา!!!
“แถวหยุด!!!!”
นายทหารสัญญาบัตรออกคำสั่ง!!
“พร้อม..............”
ทหารราบฝรั่งเศสยกปืนขึ้นมาประทับที่บ่าพร้อมนิ้วของพวกเขาเข้าโก่งไกพร้อมยิง ในขณะที่ทหารปรัสเซียยังจัดแถวเสร็จบ้างไม่เสร็จบ้างมิหนำซ้ำแนวยังเว้าๆแหว่งๆจากการระดมยิงของปืนใหญ่!!!
“ยิงงงง!!!!!!!!”
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โป้งงง ปังๆๆๆ ฟิ้วววว ฟุบๆๆๆๆ ฟุบบบบ อ๊ากกกกกกกก ว้ากกกกกก จ๊ากกกกกกก
ห่ากระสุนนับพันพุ่งเข้าปะทะกับทหารปรัสเซียที่ยืนอยู่ บางโดนแขนบ้าง ขาบ้าง บางนัดโดนจนหัวเป็นรู!! ทหารปรัสเซียแถวแรกหลายร้อยนายล้มลงระเนระนาด!!...... โดยนายทหารสัญญาบัตรของเขายังคงไม่สั่งให้ยิงเพราะยังจัดแถวไม่เสร็จ!!!..
“แถว 2 ยิง!!!”
ทหารแถวแรกของฝรั่งเศสถอยไป เปลี่ยนให้แถว 2 มายิงต่อ!! โดยที่ยังไม่ได้ตอบโต้แถวของทหารปรัสเซียถูกระดมยิงโดยปืน Rifle ของฝรั่งเศส!! ทหารปรัสเซียล้มลงไปกองกับพื้นมากขึ้น!! พวกเขานอนร้องโอดโอยเจียนตาย ยิ่งทำให้เพื่อนทหารที่ยืนอยู่เสียขวัญกำลังใจไปอีก!!.....
“ยิง!!!”
นายทหารสัญญาบัตรปรัสเซียสั่งยิงบ้าง!!
ปังๆๆ..................ปังๆๆๆ..........
การยิงของพวกเขาทำเอาทหารฝรั่งเศสล้มไปนับ 10 แต่เหมือนกับยิงใส่กำแพงยังไงยังงั้น ทหารฝรั่งเศสไม่ได้ล้มระเนระนาดเหมือนพวกเขา การระดมยิงของฝั่งปรัสเซียนั้นหาได้มีประสิทธิภาพเหมือนของฝรั่งเศสไม่ การยิงของพวกเขาเป็นไปอย่างประปรายเนื่องด้วยเสียทหารไปจำนวนมาก และแถวของพวกเขาก็ยังขาดๆเกินๆซึ่งเป็นผลมาจากการที่ยังจัดแถวไม่เสร็จและการระดมยิงจากปืนใหญ่ สถานการณืในปีกซ้ายดูขับคันยิ่งนัก!!
กองบัญชาการกองทัพปรัสเซีย 1240 น.
Ludendorff ใช้กล้องส่องทางไกลมองดูสถานการณ์ทั้งปีกซ้ายและแนวหลังด้วยความประสาทแดกครับ แม่ทัพวิกลจริตเริ่มออกอาการบ้าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อกองทัพของเขาใกล้ปราชัย!!
“ไอ้พวกชาติชั่ว ไอ้ลูกหมา เอ๊ยยยยยยยยยยยยย ส่งทุกอย่างที่เรามีไปหยุดพวกมันให้ได้!!!”
“ท่านครับบบบบ!!!”
ผู้พันนายหนึ่งวิ่งแจ้นมาหา Ludendorff ด้วยอาการตกใจ!!
“มีอะไรอีกกกกกกกกกกกกกกก”
“ทหารม้าจาก Saxony วิ่งเข้ามาโจมตีแนวหน้าของเราครับ ตรงนั้นมีแต่ทหารปืนใหญ่ไม่มีอะไรหยุดมันได้เลย!!!”
“หา!!!!!!!!!!!”
แนวหน้าของปรัสเซีย 1242 น.
กองทหารม้าฝรั่งเศสจำนวน 1350 นายนำโดย ฌอง เมสซานา ควบเข้าโจมตีทหารปืนใหญ่ที่กำลังติดตั้งปืนใหญ่ใหม่ให้หันไปทางกองทัพฝรั่งเศส... แต่ยังไม่ทันได้ยิง เพราะพวกเขาเจอเข้ากับการโจมตีของทหารม้าฝรั่งเศสซะก่อน!!
“ฆ่าพวกมัน!! เอาให้สาสมที่ทำกับเรา!!”
ฌองกัดแกว่งดาบในมือตัดหัวทหารปืนใหญ่ผู้หนึ่งจนขาดออกมา เหล่าทหารม้า Saxony แค้นยิ่งหนักที่ต้องทนการระดมยิมจากปืนใหญ่ปรัสเซีย 10 กว่าวัน!! ในวันนี้แหละ แค้นจะได้ชำระแล้วล่ะเหวย เหล่าทหารปืนใหญ่ทิ้งปืนของพวกเขาแล้ววิ่งหนีกันจ้าวละหวั่น แต่ฝีเท้าของคนไม่มีทางทันมัจจุราชบนหลังม้าที่หมายจะเอาชีวิตพวกเขา
“ฉับบ!! ว้ากกกกกก ฉับ ฉัวะ!! ฉัวะ!!! ฉัวะ!! จ๊ากกก เอื๊อออออ!!”
ทหารปืนใหญ่ของปรัสเซียถูกฟันทิ้งอย่างเลือดเย็นไม่มีคำว่าปราณี หัวของพวกเขาหลุดจากบ่า แขนของพวกเขาขาดวิ่น ดาบถูกแทงทะลุหน้าอย่างจังๆ!! พวกเขาได้แต่หนีเท่านั้น เหล่าทหารเยอรมันที่ยืนมองอยู่บนกำแพงเมือง ห่างๆ มองการรบด้วยความสนใจ
“พวกฝรั่งเศสนี่แกร่งเหมือนกันน่ะ ขนาดมีน้อยกว่ายังทำให้กองทัพปรัสเซียรวนได้ขนาดนี้!!”
“ใช่ๆ”
แนวหลังของปรัสเซีย 1248 น.
ทหารม้าของปรัสเซียวิ่งหนีมาชนแนวหลังของพวกเขาเอง ทหารราบของปรัสเซียที่อยู่แนวหลังต่างสับสนและงุงงงเมื่อทหารม้าฝ่ายตนเองหันหลังกลับมาดื้อๆ ทหารม้านับพันต่างเบียดเสียดเข้าชนแถวทหารของปรัสเซียในแนวหลังสร้างอลม่านไปทั่ว แต่ที่ตามหลังมาคือ ทหารม้าฝรั่งเศสร่วม 4000 นายที่นำโดย นายพล เนย์!! เนย์ควบม้าของเขาและชี้ดาบไปข้างหน้าด้วยความกล้าหาญ!! ทหารปรัสเซียเห็นดังนั้นจึงหันหลังกลับมาตั้งท่าจะตอบโต้แต่ทหารม้าของฝั่งตนเองก็เบียดบังรัศมีการยิงซะงั้น ทหารม้าฝรั่งเศสชาร์จเข้าใส่แนวหลังของปรัสเซียอย่างรุนแรง!!
“ฉับบบ โครมมมมมมมม ตึกกกๆๆ ว้ากกก ฉัวะ ฉับ ตึกกก ว้ากกกกกก”
ทหารราบปรัสเซียล้มลงระเนระนาดเป็นแถบด้วยแรงชาร์จจากทหารม้า ดาบและทวนในมือของพวกเขาใช้ฟาดฟัน แทง ประหัตประหารชีวิตทหารปรัสเซียที่อยู่ตรงหน้า!!! เนย์ เองใช้ดาบของเขาฟันลงมาผ่ากะโหลกทหารปรัสเซียออกเป็นเสี่ยงๆ เขารบอย่างบ้าบิ่นประดุจทหารม้านายหนึ่ง!! ทหารราบปรัสเซียที่อยู่แนวหลังต่างสับสนและงุนงงวิ่งหนีไปชนกับกองกลางที่กำลังจัดแถวอยู่ยิ่งเพิ่มความอลม่านเข้าไปอีก!!..... กองกลางของทหารปรัสเซียนั้นก็สับสนเข้าไปอีก ทหารราบฝรั่งเศสอยู่ข้างหน้า ทหารม้าบุกด้านหลัง แถมข้างๆปืนใหญ่ของพวกเขาก็ถูกทำลาย!!........ สถานการณ์วิกฤตสุดๆชนิดที่ว่าไม่น่ามีโอกาสพลิกมาชนะได้!!
กองบัญชาการกองทัพปรัสเซีย 1255 น.
Ludendorff มองดูความพินาศกองทัพของเขาด้วยความเจ็บร้าวยิ่งนัก เขาไม่นึกว่าต้องมาแพ้ทั้งๆที่มีทหารมากกว่าอย่างนี้!!! เขาเอามือขยำแก้วเบียร์จนแตกเป็นเสี่ยงๆด้วยความโกธร (ไม่รู้แกเจ็บเปล่าน่ะ 55)
“บัดซบที่สุด..................!!!!!!!”
“ท่านครับผมว่าเราควรถอยน่ะครับ เพื่อป้องกันไม่ให้สูญเสียมากกว่านี้!!”
“เออ!!!!!!! ถอย!!!!”
คำสั่งถอยของ Ludendorff กระจายออกไปทั่วทั้งกองทัพ กองกลางและแนวหลังที่เหลือของ Ludendorff ต่างเดินถอยกลับอย่างมีระเบียบปล่อยให้แนวหน้า กองทหารปืนใหญ่ และแนวหลังที่เหลือเผชิญชะตากรรมกันเอง!! เหล่าทหารฝรั่งเศสที่อยู่ในกองทัพของเนย์ ต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี!!! รวมถึงเหล่าทหารเยอรมันที่อยู่บนกำแพงเมือง Dresden ด้วยเช่นกัน!!......
“เฮ!!!! ชนะแล้วเว้ยยยยยยยยย!!”
“ไปให้พ้นจากดินแดนของเรา!!”
“รีบหนีกลับบ้านไปไอ้พวกสันหลังยาว!!”
ทหารปรัสเซียที่กำลังติดพันการรบอยู่นั้นพอเห็นกองทัพส่วนใหญ่ของเขากำลังถอยก็หมดกำลังใจสู้เลยหันหลังและหนีท่าเดียว!! ทหารในแนวหน้าถูกระดมยิงเรื่อยๆจากทหารราบฝรั่งเศสในขณะที่ในแนวหลังและด้านข้างถูกทหารม้าไล่ฟัน!! เนย์และทหารม้าของเขาไล่ฟันทหารปรัสเซียที่หนีกันกระเจิดกระเจิงอย่างไม่หยุดยั้ง!!!......... จนทหารปรัสเซียหลายพันนายเลือกที่จะยอมแพ้!! พวกเขาโยนปืนทิ้งและยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ทหารม้าของเนย์ต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ!!!!
“ชัยชนะเป็นของเรา!!! la victoire”
“la victoire”
“la victoire”
เหล่าทหารม้า Cuirssier ต่างตะโกนลั่นออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า La Victoire ชัยชนะของพวกเรา!!! เนย์ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการยุทธแห่ง Dresden!! กองทัพของเขาเพียง 36000 ชนะกองทัพปรัสเซียมีกว่า 60000 ได้อย่างงดงาม เขาเสียทหารราบและทหารม้ารวมไม่ถึง 500 ในขณะที่ทหารปรัสเซียถูกฆ่าตายในการรบไปกว่า 10000 ถูกจับได้อีก 6000 ส่วนที่เหลือหนีไปได้!!! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ตกเป็นของฝรั่งเศสอีกครั้ง และพวกปรัสเซีย คงจะจดจำชื่อของ จอมสุริโยธิน คนนี้ไปอีกนาน!!
Austerlitz , Moravia , Austria , Holy Roman Empire 30 พฤศจิกายน ค.ศ.1805
กองทัพอันมหึมาของพันธมิตร Austro – Russian ได้เดินมาถึง Moravia พวกเขาเดินทางเลย Bohemia มาแล้วและกำลังจะเข้าสู่ Moravia ต่อจากนั้นจะเข้าโจมตี Ulms ใน Bavaria เพื่องชิงพื้นที่คืนซึ่งนั้นคือแผนของพวกเขา... กองทัพของพวกเขาประกอบด้วยทหารราบ 89000 นาย (รัสเซีย 74000 นาย ออสเตรีย 15000 นาย) ทหารม้า 13000 นาย (รัสเซีย 9500 นาย ออสเตรีย 3800 นาย) และปืนใหญ่กว่า 217 กระบอก ทหารพันธมิตรทั้ง ทหารรัสเซียในเครื่องแบบสีเขียว และทหารออสเตรียในเครื่องแบบสีขาว เดินกันมาอย่างพร้อมเพรียงตามถนน.... ที่ทอดไป พระเจ้าซาร์ Alexander II และ พระเจ้า Francis II ต่างควบม้าคู่กัน โดยเบื้องหลังเขานั้นคือนายพล Mikhali Kutozov ซึ่งกำลังนั่งเคี้ยวน่องไก่บนหลังม้า , Alexander Petrovich Tormasov นายพลทหารม้าชาวรัสเซีย กับ นายพล Sebestian Willhem นายพลชาวออสเตรีย กองทัพเคลื่อนไปเรื่อยๆ ตามถนน ซึ่งระหว่างเดินทัพบรรดาเหล่านายพลก็คุยกันเรื่องจิปาถะเพื่อคลายเครียดครับ
“คุณไม่คิดจะลดน้ำหนักมั้งหรอ Kutozov”
“ผมมีความสุขกับการกินน่ะ ถ้าให้ผมลดน้ำหนักเอาปืนยิงหัวผมให้ตายยังจะง่ายกว่า...”
คำพูด ของ Kutozov ทำเอานายพลทั้งหลายขำครับ รวมถึงพระเจ้าซาร์ และ Francis II เองด้วย!!
“เพราะงี้ไง เขาถึงได้ฉายาว่า หมีน้ำตาลจอมสวาปาม!!”
“5555+ มีน้ำตาล!!!”
“หลังจากได้รับชัยชนะในศึกนี้ ผมอยากให้คุณไปพักผ่อนหน่อยน่ะ คุณ Kutozov”
พระเจ้าซาร์ตรัสออกมา พร้อมด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม... ราวกับว่าชัยชนะมาถึงมีพระองค์แล้วกระนั้น!!
“ข้าพเจ้าอยากจะทราบเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ”
“คุณรับใช้บ้านเมืองมานานแล้ว กรำศึกมานาน 30 ปี สุขภาพคุณก็เริ่มทรุดโทรมลง ช่วงบั้นปลายชีวิตผมว่าคุณคงอยากจะตายอย่างสงบที่บ้านมากกว่า ตายคาสมรภูมิ”
“งั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ขัดประสงค์ของพระองค์”
Kutuzov เองก็เหนื่อยกับการกรำศึกมานานเช่นกันครับ เขาคงคิดว่าถึงเวลาที่เขาควรพักผ่อนและใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขกับครอบครัว..... ส่วนทาง Tamorsov กับ Sebestian เองก็สนทนากันเช่นกัน
“ไม่น่าเชื่อน่ะ ว่าจากทหารชั้นผู้น้อยอย่างคุณจะไต่เต้ามาเป็นนายพลได้เร็วปานนี้”
“ทางจักรวรรดิกำลังขาดแคลนนายทหารที่มีความสามารถน่ะครับ ผมถึงได้รับการปูนบำเหน็จไวปานนี้ อีกอย่างท่านนายพล Johaan ได้มอบตราอิสรยศชั้นนายพลให้กับผมก่อนตาย... พระเจ้า Francis จึงตั้งแต่งให้ผมเป็นนายพลแทนเขา”
“อืมงั้นขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยครับ.... ว่าแต่ ก่อนหน้านี้คุณทำหน้าที่อะไรในกองทัพล่ะ??”
“ผมเป็นพลทหารม้า Dragoon ครับ ผมเคยรบมาแล้วยิบย่อยๆกับพวกฝรั่งเศสตอน สงครามปฎิวัติฝรั่งเศส หมู่ทหารม้าของผมและเพื่อนพวกเราสนิทกันมาก แม้แต่ละคนจะมาจากคนละที่ แต่ละคนจะเป็นคนละเชื้อชาติแต่ พวกเราสามัคคี นั้นทำให้หมู่ของผมค่อนข้างประสบความสำเร็จ”
“แล้วหมู่ของคุณในตอนนี้เขาก็คงกลายเป็นลูกน้องคุณแล้วสิน่ะ 55+”
“ใช่ครับ ถ้าพวกเขายังมีชีวิต......แต่ที่ Elchingen กองทหารม้าฝรั่งเศส ได้สังหารพวกเขาจนสิ้น!! มีเพื่อนคนหนึ่งของผมเขาชื่อ Maxine เป็นชาวอิตาลี เขาถูก Cuirassier ฝรั่งเศสนายหนึ่งแทงตายจนตกหลังม้า!! ต่อหน้าต่อตาผม ทั้งๆที่ผมไม่มีโอกาสช่วยเขาด้วยซ้ำ!!”
พูดจบ Sebestian ก็ก้มหน้าลงสีหน้าของเขาดู เศร้าสร้อย คิดถึงคนรู้จักของเขาที่ล่วงลับไป Tomarsov ก็นิ่งไปเช่นกันครับ เขารู้สึกไม่ดีเล็กน้อย ที่เปิดประเด็นสนทนา..........
“พลสังเกตการณ์มาแล้วครับ!!!”
ทหารนายหนึ่งชี้ให้เหล่านายพลเห็น ทหารม้าเบาผู้หนึ่งควบม้าตรงม้าบอกสิ่งที่เขาพบให้ผู้นำทัพของเขาทราบ..!! ซึ่งทหารม้านายนั้นควบม้าตรงมาถึง นายพล Kutozov ก่อนลงจากหลังม้าของเขาและรายงานสถานการณ์ให้ทราบ
“ กองทัพของพวกมันตั้งค่ายอยู่บนเนิน Pratzen ห่างออกไป 3 ไมล์ครับ!!!!”
“เนิน Pratzen งั้นเหรอ.... ตั้งดักทางเราไว้พอดีเลยแฮะ!! พวกมันมีเท่าไหร่!!”
“ไม่มากครับ ประมาณ 15000 นาย!! แต่................”
“แต่อะไร!!”
“มีกองทัพของพวกมันอีกกองอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกแค่ 25 ไมล์เท่านั้นครับ!! กองทัพที่ว่านี้ใหญ่กว่ากองทัพที่อยู่บนเนินมาก!! แต่ผมไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน!!”
“กองทัพของ นโปเลียน แน่ๆ!! ทำไมมันมาถึงเร็วจังว่ะ”
แม่ทัพ Kutozov ประหลาดใจมากครับ เมื่อกองทัพใหญ่ของฝรั่งเศสที่ควรใช้เวลาเดินทางอย่างต่ำร่วมเดือนกลับมาถึงนี้ภายใน 2 อาทิตย์!! แผนที่เขาวางไว้อาจจะพังลงถ้ากองทัพฝรั่งเศสไม่ได้อยู่ในที่ที่เขาต้องการ!! เพราะว่าในตอนนี้กองทัพของพวกเขาเคลื่อนเขามาอยู่ใน จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ หาใช่ สหพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ตามที่คาดไม่!! Kutozov หยิบกล้องส่องทางไกลของเขาขึ้นมาส่องดูขึ้นไปบนเนิน Pratzen ที่ห่างออกไปราวๆ 3 ไมล์!!
เขาพบว่าบนเนินนั้นเหล่าทหารฝรั่งเศสกำลังตอกเสา กางเต็นท์กันอยู่ครับ มิหนำซ้ำยังเอาปืนใหญ่กว่า 80กระบอกหันมาทางทิศที่กองทัพ Austro – Russian ตั้งอยู่!! นายพล Kutozov หมุนกล้องไปมาเพื่อตรวจการณ์เพิ่มเติม และเขาก็พบกับ นายทหารฝรั่งเศสชั้นยศนายพลผู้หนึ่งซึ่งส่องกล้องทางไกลมาทางกองทัพของเขาเช่นกัน!!
“หึหึ มามี่นี่ตามคาดจริงๆด้วย!!....เป็นไปตามแผนที่วางไว้...”
นายพลชาวฝรั่งเศส ผมบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้า ผู้นั้นละกล้องส่องทางไกลลง รอยยิ้มอันดูเต็มไปด้วยเล่ต์เลี่ยมของเขาช่างน่ากลัวยิ่ง!! เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ พลเอก ฌอง ปิแอร์ อองรี นั้นเอง!! กองทัพของเขานั้นตั้งอยู่ถูกที่ถูกเวลาพอดีครับ!!...... ชัยภูมิของเขานั้นเป็นต่ออย่างเห็นได้ชัด... ต้องมาดูกันครับว่าทางพันธมิตร Austro – Russian จะดำเนินการณ์อย่างไรต่อไป!!
. .. . . . . . . .
To be Continue
|
|
|
Post by greatbritian on Aug 19, 2017 19:25:42 GMT
Episode 11 : สงคราม 3 จักรพรรดิ (Part One)
Austerlitz , Moravia , Austria , Holy Roman Empire 30 พฤศจิกายน ค.ศ.1805 เวลา 2200 น.
ตกดึกของคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน.... เหล่าพันธมิตร Austro – Russian ต่างตั้งค่ายอยู่บริเวณตีนเขาห่างออกจากเนิน Pratzen ไป 3 ไมล์ทางตะวันออก....... ด้วยความหวาดระแวงการลอบโจมตีของทหารฝรั่งเศสที่อยู่บนเนิน พวกเหล่าพันธมิตรจึงจัดเวรยามกันหนาแน่นพร้อมสร้างกำแพงของค่ายซะสูงชรูด!!... ส่วนทางฝั่งของกองทัพฝรั่งเศสบนเนินก็ไม่มีทีท่าว่าจะบุกลงมาครับ พวกเขาก็ตั้งค่ายอยู่บนเนินและประกอบกิจวัตรกันตามปกติ!!
“แหม............. ดื่มเหล้ากันสบายใจเลยน่ะไอ้พวกตุ๊ด!!”
คำพูดจากปากของท่านนายพล Mikhali Kutozov ซึ่งกำลังส่องกล้องส่องทางไกลมองเหล่าทหารฝรั่งเศสที่อยู่บนเนิน พวกฝรั่งเศสนั้นดูย่ามใจและเลินเล่อกันไปทั้งๆที่กองทัพมหึมาของเหล่าพันธมิตรอยู่ตรงหน้าแท้ๆ สร้างความหมั่นไส้ Kutozov ยิ่งนัก..... Kutozov ลดกล้องส่องทางไกลของเขาลง..และหอบร่างอันอุ้ยอ้ายของเขาเดินเข้าไปในเต็นท์บัญชาการ กองทัพพันธมิตร Austro – Russian….. ซึ่งภายในเต้นท์นั้น มีจักรพรรดิแห่งทั้ง 2 ชาติพันธมิตรอย่าง พระเจ้าซาร์ Alexander II , พระเจ้าฟรานซิสที่ II และเหล่านายพลอีกมากมายทั้ง พลเอก Alexander Petrovich Tormasov , พลตรี Sebestian Willhem , มกุฎราชกุมาร Charles แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ กลางเต็นท์นั้นมีแผนที่บริเวณ เมือง Austerlitz กางอยู่... ทุกคนต่างถกเถียงกันและหน้าดำคร่ำเครียด เพื่อตัดสินใจว่าจะเอาไงต่อ
Alexander II : กองทัพของ นโปเลียนจะมาถึงในพรุ่งนี้เป็นแน่!!!
Willhem : ชัยภูมิของมันค่อนข้างเป็นต่อครับ..... ถ้าเราบุกขึ้นเนินไปต่อให้มีมากกว่าคงเสียหนักแน่!!
Francis II : นี้เราเอาทหารอ้อมไอ้เนินบ้านี่ไปก็ได้!!..... ปล่อยให้มันอยู่บนนั้นแหละ เลี่ยงการปะทะกับมันไปเข้าโจมตีกองทัพหลักฝรั่งเศสก่อน!! พอกองทัพมันแตกเราเขาล้อมเนินแล้วบีบให้มันแพ้!!
Charles : ข้าพเจ้าส่งคนไปดูแล้วฝ่าบาท ...ถ้าเราอ้อมเนินไปจะเจอกับป่าสนหนา....กว่ากองทัพเราจะอ้อมไปได้น่าจะใช้เวลาถึง 2 วัน ....กองทัพของพวกมันจะได้มาตลบหลังเราแทนเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ....
Kutozov : แต่เรารอต่อไปได้แล้ว!! ถ้าไม่ยึดเนินในภายในพรุ่งนี้ กองทัพหลักของมันจะมาเสริมกำลังได้!! คราวนี้ และสิ่งเดียวที่เราทำได้คือถอยกลับไปตั้งหลัก!!
Francis II : ผมมาถึงที่นี่ไม่ได้มาเพื่อที่จะถอยกลับ!!! กรุณาเข้าใจไว้ด้วยคุณ Kutozov!! ผมจะไม่ปล่อยให้มันระรานจักรวรรดิของผมอีกต่อไปแล้ว พอกันที!!! ฝรั่งเศสจะต้องพินาศ!!
พระเจ้า Francis พูดเสร็จทุบดต๊ะดังปึง!!! พร้อมจ้องหน้า Kutozov เขม็งด้วยความโกธร..สิ่งที่เขาอยากจะทำมากที่สุดในตอนนี้คือกู้ศักดิ์ศรีของจักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิคืนไม่ใช่หันหลังกลับ ทำเอาหมีสีน้ำตาลกลืนน้ำลายดังเอื้อกและสงบเสงี่ยมลง
“งั้นผมว่าเรายึดเนินภายในคืนนี้เลยสิ!!”
Tormasov ที่ยืนเงียบอยู่นานพูดโพล่งออกมา ทำเอาคนทั้งเต็นท์หันไปทางเขาเป็นทางเดียวกัน.........
“ท่านอาร์คดยุค...ท่านส่งไปคนดูรอบๆเนินแล้วใช่ไหม?? ท่านเป็นคนบอกกับนิขอรับว่า เนินนั้นไม่ชันมาก ทหารราบธรรมดาสามารถเดินขึ้นไปด้สบายๆ”
“ใช่....เนินไม่ชันมาก...แต่ถ้าจะบุกขึ้นไปมันก็ลำบากอยู่ดี...”
“ท่านนาย Kutozov จากการที่ท่านสังเกตการณ์เนินนั้น พวกมันเลินเล่อมากใช่ไหม??”
“ใช่แล้ว.... ป้อมค่ายของพวกมันไม่ได้ถูกตั้งมากนัก....เวรยามก็พอมีบ้างแต่ถือว่าน้อยถ้าเทียบกับฝั่งเรา... คงเพราะมั่นใจว่าอีกไม่นานกองทัพหลักของพวกมันจะมาถึง!! "
“......ฝ่าบาท...ข้าพเจ้าขอเสนอแผนการอันบ้าบิ่นนี้แด่พระองค์..”
“แผนการอะไร...”
Alexander II พูดด้วยความสนใจครับ Tomasov เดินมาที่แผนที่ Austerlitz พลางชี้ไปที่เนินเขา...........
“บริเวณนี่คือบริเวณตีนเนิน Pratzen…. ที่ที่เราตั้งค่ายอยู่ ข้าพเจ้าขอนำกองทัพทหารม้ารัสเซียทั้งหมด 8000 นาย...... รวมพลด้วยความเงียบบริเวณตีนเนิน ….ในขณะที่ท่านนายพล Sebestian จะนำทหารม้าออสเตรีย 2500 นายออกจากค่ายในเวลาตี 1..... ไปถึง ที่บริเวณป่าสนทางเหนือของเนินในเวลาตี 3 หลังจากนั้นพวกเราจะโจมตีค่ายของพวกมพร้อมกันในเวลาตี 3!!”
“อืม................. ตี 3 งั้นเหรอ”
“เป็นเวลาที่เล่าเวรยามทั้งหลายกำลังอ่อนล้าพ่ะย่ะค่ะ และทหารที่ไม่ใช่เวรยามก็น่าจะยังหลับสนิทในยามนี้... กอปรกับความประมาทของพวกมันที่ไม่ยอมตั้งป้อมค่ายให้หนาแน่น!! จึงไม่มีอะไรหยุดการโจมตีอย่างสายฟ้าแลบของทหารม้า ....ด้วยความมืดของราตรี และความเพลียของทหารฝรั่งเศส ความอลม่านย่อมเกิดแก่กองทัพของมัน!! ในที่สุดเราก็จะยึดเนินได้ก่อนที่กองทัพหลักของพวกมันจะมาถึง!!”
ทุกคนในที่ประชุมต่างเออออ ทำทีท่าเหมือนจะเห็นด้วยกับ Tomarsov….. Tormarsov นั้นเป็นนายพลทหารม้าเลื่องชื่อของรัสเซียที่พระเจ้าซาร์ไว้ใจที่สุดคนหนึ่ง เขานำชัยชนะอย่างงดงามมาให้รัสเซียเสมอแม้จะพลาดที่ Ulms ก็ตาม แต่พระเจ้าซาร์ก็เห็นตามนั้นครับ
“จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักธิ์ท่านเห็นด้วยหรือไม่??”
“ผมเห็นด้วย!!”
“งั้นเชิญเริ่มปฎิบัติงานของคุณได้!!”
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งฝ่าบาท!!”
Tomarsov ก้มหัวโค้งคำนับพระเจ้าซาร์ด้วยความเต็มใจพร้อมยิ้มอย่างมีความสุข เขาจะได้โอกาสแก้มืออีกครั้งหลังจากทำพลาดไปที่ Ulms และครั้งนี้เขาจะต้องชนะให้ได้ เพื่อกู้ศักดิ์ศรีของจักรวรรดิรัสเซีย และ ชื่อเสียงในการรบของเขาเอง
ค่ายทหารฝรั่งเศส , เนิน Pratzen , Austerlitz เวลา 2300 น.
ค่ายของทหารฝรั่งเศสในยามราตรีนั้น ช่างเงียบสนิท เหล่าทหารส่วนใหญ่เริ่มเข้านอนพักผ่อนเอาแรงหลังจากทำงานมาทั้งวัน ... เหลือแต่ เวรยามไม่กี่ 100 นายที่เดินตรวจตราทั่วค่าย...
“อ๊า!!!!!!.... อย่าค่ะ..... อย่า.........ฉันเจ็บบบบ”
“ร้องดังๆสิ!! ร้องขอความเมตา!! ร้องงง!!”
เสียงกระเซ่าของคนกำลัง....ปั๊บๆๆๆๆ กัน ดังมาจากเต็นท์ของนายพล!!....คือปกติแล้วถือเป็นเรื่องหวงห้ามในการที่จะนำผู้หญิงเข้ามาในค่ายทหาร แต่สำหรับ Mr. Grey แห่ง Grande Armee ผู้นี้แล้วไม่มีปัญหาแน่นอน เรื่องรบน่ะเรื่องรอง แต่เรื่อง..เ..หย....ด น่ะเรื่องหลัก!! ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าเต็นท์ 2 นายนั้นต่างรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน ที่หว่างขาของพวกทั้ง 2 นั้นตุงและตั้งตรงขึ้นมา... สีหน้าของพวกเขานั้นซ่อนความหื่นกระหายเอาไว้ จนกระทั้งมีทหารยามผู้หนึ่งพูดออกมาเบาๆ
“เฮ้ . ลิยอง... เราน่าจะแอบแง้มม่านเข้าไปดู ความบันเทิงหฤโหดหรรษาข้างในน่ะ!!”
“เงียบไป มาคารอง!! ถ้าท่านนายพลรู้เขาพวกเราโดนยิงเป้าแน่!! ยืนเข้ายามต่อไป!! ”
ภายในเต็นท์นั้น ท่านนายพล ฌอง ปิแยร์ อองรี กำลังเสพสังวาสกับ แม่สาวชาวบ้าน Andrea Schzler บนเตียง อย่างเร้าร้อนและดูดดื่ม แต่ท่านนายพล อองรี แกเล่นแรงครับ เขาพันธนาการมือทั้งข้างของ Andrea ไว้.... และใช้ปากของเขาไซร้ซอกคอของ Andrea อย่างรุนแรง ซึ่งแม่นางนั้นได้แต่ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด........ ทันใดนั้น อองรี ใช้มือของเขากระชากผมของ Andrea อย่างรุนแรง พลางเอาหน้าของเขาซบเข้าที่ค้างหูของ Andrea!!
“ฉันรู้ว่าเธอเจ็บแม่สาวน้อย...............แต่ความเจ็บปวดของเธอมันทำให้ฉันมีความสุขยิ่งนัก!!”
“........... อ่า...........อองรี ฉันชอบมัน จัง!!”
“นี่ เธอเสร็จแล้วเหรอ!!”
“ตั้งแต่เมื่อ 5 นาทีก่อนแล้วจ๊ะ พ่อหนุ่มผมบลอนด์!!”
“………..เฮ้อออ....เซ๊งเบยยยย”
“แกมัดเค้าหน่อยน่ะตัว แก้มัดเค้าหน่อย”
Andrea ยื่นมือทั้ง 2 ข้างที่ถูกพันธนาการให้ ท่านนายพลอองรี ..... หน้าตาของเธอนั้นยิ้มแย้มมีความสุขราวกับพบรักใหม่ ทั้งๆที่ 3 วันก่อนยังกลัว อองรี จนตั่วสั่นงันงก!! อองรี ก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะแก้มัดสาวน้อยผู้นี้ครับ!! ..หลังอองรีปลดเปลื้องพันธนาการสาวน้อย นางก็เอาหน้าแนบอกของ อองรี ทันที พลางเอามือลุบไล้ไปตามหน้าท้องของเขา..... (สาบานได้น่ะครับ นี่ไม่ใช่นิยาย อีโรติก รักแรกพบของวัยรุ่น แต่อย่างใด)
“…. ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเจอใครที่ทำให้ฉันมีความสุขได้มากเท่าคุณเลย อองรี”
“ฉันก็สาบานได้เหมือนกันว่า ตั้งแต่เกิดฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนมีความสุขตอนโดนทรมาณ..”
“ฉันชอบคุณน่ะ อองรี ... คุณคือ ชายหนุ่ม ผมบลอนด์ รูปงามประดุจเจ้าชายแห่งเจนัว* ยังไงงั้น”
“ฉันไม่ ปฎิเสธ หึหึ..”
“จำสัญญาที่คุณให้กับฉันได้ไหมค่ะ อองรี...”
“สัญญาที่ว่าคุณจะตบรางวัลให้ฉันอย่างาม”
“จำได้สิ...ฉันก็มอบมันให้เธอแล้วไง..นั้นคือความสุขที่เธอไม่เคยได้พบพานมาก่อนในชีวิต!!”
“ แค่นั้นมันยังไม่พอ ... สัญญาว่าหลังจากเสร็จศึกนี้ พวกเรา 2 คน จะแต่งงานกัน!!”
“แต่งงาน เฮ้ย จะบ้าเหรอ!!!! เพิ่งอยู่ด้วยกัน 3 วันแต่งงานกันเลยเนี่ยน่ะ!!”
“น่ะน่ะน่ะน่ะ........ คุณมีภรรยาหรือยัง??”
“ยัง..แต่ถ้าเด็กๆในสังกัด ก็.... หลายสิบ อยู่..”
“งั้นรับฉันไว้อีกสักคนหนึ่งสิ น่ะน่ะน่ะน่ะ เค้าขอ”
Andrea เขย่าแขนของอองรีราวกับออดอ้อนแฟนหนุ่ม ... แต่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีหญิงใดทำกับอองรีเช่นนี้เหมือนกันครับ Andrea ทำให้ อองรี รู้สึกถึงความรู้สึกซึ่งไม่มีมาก่อน....... ความรู้สึกที่อาจจะเรียกได้ว่าความรัก!!
“ออ....ได้สิ....”
“เย้............ดีใจจัง ในที่สุด เค้าก็จะได้อยู่กับ อองรีแล้ว....”
“บ้านฉันอยู่ที่เมือง Metz ไกลจากนี้เกือบพันไมล์เลยน่ะ ไม่ห่วงครอบครัวเธอเลยเหรอ!!”
“งั้นก็พาพวกเขาไปอยู่ฝรั่งเศสให้หมดเลยสิ!!”
“เอางั้นเลยเหรอ.....แล้วแต่....”
“นี่ ตัวๆที่ฝรั่งเศสเป็นไงช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิ....”
“อืม..... ฝรั่งเศส ......... ฝรั่งเศส นั้นเป็นชาติที่มีอารยธรรมและศิวิไลซ์ที่สุดในโลก นักกวีชื่อดังของโลกทั้ง วอลแตร์ วากเนอร์ ล้วนเกิดที่ฝรั่งเศส ศิลปินอย่าง โมซาร์ท ก็เช่นกัน นอกจากนี้ เรายังมี สถาปัตยกรรมอันยิ่งยงอีกมากมาย ที่งดงามราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย เจ้าจะต้องชอบมัน!!”
“ว้าวววววว ฝรั่งเศสนี่ช่างงดงามจริงๆ ไม่บ้านนอกเหมือนที่นี่เลย.”
“ใช่ 555+ ที่นั้นคือศูนย์กลางของโลกเลยก็ว่าได้ อีกอย่าง เรามีจักรพรรดิที่เข้มแข็ง จักรพรรดิที่ปรีชาที่สุดในโลก และเขากำลังจะรวมโลกทั้งใบให้เป็น 1…”
“นโปเลียนอ่ะน่ะ??”
“ใช่ ..... จักรพรรดิของฉัน ... ตั้งแต่โลกนี้ถือกำเนิดมาไม่มีใครยิ่งใหญ่เท่าเขา!! ไม่มีใครที่สามารถทำได้เหมือนเขา แม้ ซีซ่าร์ อเล็กซานเดอร์ หรือ หลุยส์ที่ 14 ก็ตาม! เขาเคยช่วยฉันครั้งหนึ่งตอนผมยังเด็ก เขาทำให้ชีวิตเด็กเหลือขอในสลัมอย่างของฉันกลายเป็นนายพล ... เขาเปรียบเสมือนพ่อของฉันเลยก็ว่าได้........และฉันรัก เขา......”
“แล้วรักเค้าด้วยไหม??”
อองรี เจอ Andrea ยิงคำถามเข้าไปตรงๆถึงกับจุกอ้ำอึ้งพูดไม่ออกครับ.... ในใจของ อองรี ผู้ซาดิสก์สับสนไปหมด เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่ทำดีกับเขาแบบนี้เช่นกันครับ... ส่วนใหญ่มักจะโดนเข้าบังคับทั้งนั้น!!..... แววตาของสาวน้อยนั้นดูไร้เดียงสา และเชื่อถือได้..... เธอได้มอบหัวใจให้เขาไปแล้ว อองรีนั้นคิดอยู่ชั่วขณะครับ...
“รักสิ..........”
Andrea นั้นพึงพอใจกับคำตอบ ครับนางใช้มืออันเรียวยาวสัมผัสที่ใบหน้าของ อองรี และโน้มหน้าของเธอเข้าไปหา......
“ท่านนายพลครับ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“ไอ้สาสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส”
ทหารยามนายหนึ่งตะโกนอยู่หน้าเต็นท์ที่พักของ อองรี!!! เล่นเอาซะอองรีหัวเสียเป้นอย่างยิ่ง เขารีบแต่งตัว ใส่เสื้อยืดสีขาวและกางเกงลำรองออกไปพบกับนายทหารยามผู้นั้น
“มีไร!!!”
“มารายงานความเคลื่อนไหวผิดปกติของกองทัพข้าศึกครับ!!”
“ว่า....”
“พบทหารม้าชุมนุมจำนวนมากบริเวณทางทิศเหนือของค่ายพวกมันครับ บางส่วนควบไปทางเหนือที่ป่าสนเหนือเนิน Pratzen….จะให้ทำไงต่อดีครับ!!”
“มันคงไปลาดตระเวนมั้ง...ก็จัดเวรยามตามปกติ ในจุดอื่น ยกเว้นตรงทิศเหนือเพิ่มเวรยามเป็น 2 เท่า!! แล้วไม่ต้องมากวนแล้วกุจะนอน!!! ทราบ!!”
“ทราบ!!”
“ไปได้เชิญ......อย่าลืมทำตามแผนน่ะ....”
“ครับ ทหารของเรา พร้อมลงจากเนินแล้วครับ!!”
พูดจบ อองรี ก็รีบเดินกลับเข้าไปในเต็นท์ด้วยความหงุดหงิด แต่ดูเหมือนทางฝรั่งเศสนั้นก้มีแผนเหมือนกันครับ แต่ไม่ทราบว่าแผนนั้นคืออะไร พวกเขาเตรียมจะลงจากเนินเพื่อโจมตีค่ายของพันธมิตร Austro – Russian งั้นหรือ..... หรือ จะเตรียมตัวป้องกันการโจมตีจากทหารม้า...แต่ก็มิอาจทราบได้ครับ...
ตีนเนิน Pratzen , Austerlitz เวลา 0300 น.
เวลาตี 3 ท้องฟ้านั้นมืดสนิทในวันนี้แม้แต่พระจันทร์อันสุกสว่างก็ยังโดนเมฆบดบัง....... มีไฟจากค่ายของทหารทั้ง 2 ที่ให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อย....... ห่างจากค่ายประมาณ 500 หลา กลุ่มเงาดำทะมึนขนาดใหญ่นั้นปรากฏให้เห็น กลุ่มเงานั้นไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น แต่คือกองทหารม้าหนัก Cuirassier ของรัสเซียกว่า 4500 นาย Cossack 2000 และ Dragoon 1500!! ซึ่งนำโดย นายพลผู้ชำนาญการทำศึกอย่าง Tormasov …..
“เอาล่ะเคลื่อนไปช้าๆ......”
Tormasov พาทหารม้าของเขาย่องเบาๆเข้าไปใกล้ตีนเขาให้มากที่สุดครับ..... ทหารม้าของเขาอาศัยความมืดของราตรีบดบังร่างกายของพวกเขา.. พวกเขาเคลื่อนตัวมาเรื่อยๆ เหล่าทหารยามฝรั่งเศสนั้นไม่ทันสังเกตุครับ....จนกระทั่งมาถึงจุดตีนเขาพอดี
“โจมตี!!!!!!!!!!!!!”
“เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!! ฆ่ามานนนนนนนนนนนนน”
อยู่ดีๆเสียงฝีเท้ากึกก้องของม้านับพันก็ดังขึ้น เสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมของเหล่า Cossack ดังกึกก้องจนได้ยินมาถึงยอดเนิน ทหารยามฝรั่งเศสจึงใช้คบเพลิงของเขายื่นไปด้านล่างเพื่อมองดูสิ่งที่เขาได้ยิน!!
ทหารม้ารัสเซียหลายพันควบขึ้นมาบนเนินอย่างสายฟ้าแลบทำเอาเหล่าทหารยามตั้งตัวไม่ถูก อยู่ดีๆมันมาโผล่ตรงนี้ได้ไงว่ะ!!! พวกเขาหลายนายพยายามเอาปืนยิงลงๆไปยังเบื้องล่างทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกรัสเซียมากันเท่าไหร่หรือมากันได้ไง....การยิงใส่ของพวกเขานั้นทำให้เหล่า Cossack หลายสิบร่วงตกหลังม้า...แต่ด้วยความมืดและความตกใจทำให้พวกเล็งเป้าได้ไม่แม่นยำนัก......ไม่กี่อึดใจทหารม้ารัสเซีย ควบมาถึงยอดเนิน ทหารยามฝรั่งเศสต่างทิ้งหน้าที่ของตนและวิ่งหนี!!........... บางคนใช้ดาบปลายปืนของพวกเขาแทงสวน แต่ไม่สามารถหยุดยั้งมวลทหารม้าที่มีมากเหลือเกิน!!...... ความปั่นป่วนเกิดขึ้นไปทั่วค่ายของทหารฝรั่งเศส... Tomarsov ควบพาทหารม้าของเขาไล่ฟันทหารยามที่หลบหนี... แต่เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้เมื่อพบว่า..
“ทำไมเต็นท์ที่พวกมันนอนอยู่ ไม่มีคนอยู่เลย พวกฝรั่งเศสไปไหนหมด!!”
เหล่าทหารม้า รัสเซียหลายนายที่ใช้ตะขอเกี่ยวเต็นท์แล้วลากลงมาหวังจะให้เต็นท์พัง... ซึ่งเต็นท์หลายต่อหลายเต็นท์พังลงแต่ก็หามีทหารฝรั่งเศสอยู่ไม่..............
“เกิดอะไรขึ้นว่ะ.....!!!! ไปดูดิ!! เร็วๆๆๆ!!”
เสียงอึกทึกของทหารนับหมื่นจากใจกลางค่ายกำลังวิ่งตรงมายัง ทัพม้าของรัสเซีย...... Tomarsov หันไปหาต้นเสียงพบว่า
ทหารฝรั่งเศสในชุดพร้อมรบกำลังวิ่งกรูกันตรงมาหาพวกเขา.... สร้างความงุนงงให้แก่กันทั้ง 2 ฝ่าย!! ทางฝรั่งเศสนั้นก็จะแอบลอบโจมตีค่ายของพันธมิตรในเวลาตี 3 ครึ่ง!! ในขณะที่ทางฝั่งรัสเซียคาดการณ์ว่าจะเจอกับทหารของฝรั่งเศสที่งัวเงียๆและไม่พร้อมรบ!! ทหารทั้ง 2 ฝ่ายหยุดนิ่งกันสักพักด้วยความงง...ก่อนจะตั้งสติได้!!
ยิง!!!!!!!!!!!!!
ทหารราบฝรั่งเศสเปิดฉากยิงใส่ ทหารม้ารัสเซีย!!! ทำเอาทหารม้าหลายร้อยล่วงตกลงจากหลังม้า.... แต่ทหารฝรั่งเศสในตอนนี้นั้นยังไม่เป็นแถวเป็นแนว เพราะรีบวิ่งมาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“บุก!!!!”
Tomarsov สั่งให้ทหารม้าของเขาชาร์จใส่ทหารฝรั่งเศสโดยฉับพลันก่อนที่พวกเขาจะจัดแถวกันเสร็จ....!! ทหารฝรั่งเศสบางนายยิงสวนหวังหยุดยั้งการเข้าชาร์จ แต่ด้วยการยิงแบบสะเปะสะปะ มันทำความเสียหายให้กองทหารม้ารัสเซียไม่ได้มากนัก!!..... ด้วยความรวดเร็ว ทหารม้ารัสเซียชาร์จใส่ทหารราบฝรั่งเศส ทหารหลายนายโดนม้ากระแทกจนล้ม!! บางนายเจอดาบฟันเข้าจนเลือดพุ่งออกมา...ทหารฝรั่งเศสใช้ดาบปลายปืนเข้าสู้!! บางนายแทงใส่คอม้าจนม้าล้มลงไปด้วยความเจ็บปวด บางคนแทงสวนขึ้นบนเสียบโดนหน้าอก ทหารม้าจนทะลุ!! การต่อสู้อย่างชุลมุนอีรุงตุงนังจึงเกิดขึ้นกลางค่ายของฝรั่งเศส........
เต็นท์นายพล อองรี เวลา 0315 น.
อองรี รีบแต่งองทรงเครื่องชุดนายพลแล้วเดินออกมาดูสถานการณ์ด้วยความตกใจ! เมื่อเขาออกมานอกเต็นท์ก็พบว่า รอบๆตัวเขานั้นเต็มไปด้วยการต่อสู้ระหว่าง ทหารม้ารัสเซีย และ ทหารของเขา!! แต่เหมือนจะเป็นเหล่าทหารฝรั่งเศสที่เสียเปรียบเพราะการโจมตีแบบสายฟ้าแลบของ Tomarsov…!!! ผู้กองฝรั่งเศสนายหนึ่งวิ่งเข้ามาหา อองรี ด้วยทีท่าลุกลน!!
“ท่านครับ!! แผนที่เราวางไว้พังหมดเลยครับ!!! ท่านจะสั่งการอะไรต่อไปครับ??”
“ยังๆ เรายังทำตามแผนได้อยู่…..ถึงมันจะวุ่นวายก็ตาม……”
“เกิดอะไรขึ้นค่ะ”
Andrea วิ่งออกมาจากเต็นท์ของอองรี โดยทีท่าไม่ตกใจแพ้กัน และสิ่งที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้ามันทำให้เธอช๊อคเพราะ ว่า ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเห็นคนจำนวนมากฆ่ากันอย่างนี้ก่อน!! เธอทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนนิ่งและตัวสั่นเทาไปด้วยความกลัว……. อองรี รีบมาเขย่าตัวของ Andrea เบาๆเพื่อกระตุ้นสติ……
“Andrea!!! Andrea!! ฟังฉันน่ะ เธอต้องหนีไป!! หนีไปให้พ้นจากนี้!!... หนีกลับหมู่บ้านของเธอไปซะ….!! นี่เธอขี่ม้าเป็นไหม??”
“………..ไม่ค่ะ…...”
“จิรอง!! พาเธอไปที่ St. Hillaire
“ครับผม!!!”
ว่าแล้ว อองรี ก็สั่งให้ผู้กอง จิรอง พา Andrea ไปไปให้พ้นจากที่นี่ให้ไว้สุด…. จิรอง คว้าแขนของ Andrea ก่อนจะพาวิ่งตรงไปยังคอกม้าที่อยู่ใกล้ที่สุด….. Andrea หันหน้าไปมอง อองรี เป็นครั้งสุดท้ายราวกับว่าจะไม่ได้เห็นเขาอีก….
ค่ายทหารฝรั่งเศส ด้านเหนือ 0320 น.
ทหารยามที่เฝ้าทางเหนือของค่ายในตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ 10 เพราะทหารยามเกือบทั้งหมดถูกเรียกตัวไปช่วยแก้ไขสถานการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้นในค่าย… ทาง Sebestian เห็นเป็นจังหวะดีจึงสั่งให้ทหารม้าออสเตรียเข้าจู่โจมโดยฉับพลัน….
“บุกกกกกกกกกก”
ทหารยามขงฝรั่งเศสล้วนตกใจราวกับมฤตยูกำลังมา!! ทหารม้าออสเตรียกว่า 2,500 นายควบขึ้นเนินมาอย่างว่องไว โดยทีพวกเขามีกันแค่ 10 กว่านายเท่านั้น ไม่มีทางสู้ ไม่มีทางหนี ทหารม้าออสเตรียใช้ดาบของพวกปลิดชีพทหาร 10 นายอย่างว่องไว!! ก่อนจะควบตะลุยบุกเข้าไปให้ถึงกลางค่าย… เพื่อสมทบกับ Tomarsov!!! กองทัพของฝรั่งเศสจะปราชัยงั้นหรือ??
คอกม้าในค่ายทหารฝรั่งเศส 0325 น.
ผู้กอง จิรอง พา Andrea วิ่งมายังคอกม้าครับ… ซึ่งเป็นบริเวณที่ยังไม่ถูกทหารรัสเซียโจมตี… ไม่ใช่มีแค่ จิรอง คนเดียวที่มาที่นี่ครับ แต่เหล่าทหารม้าฝรั่งเศส วิ่งตรงมายังม้าของพวกเขาเพื่อหวังจะกลับไปต่อสู้กับผู้รุกราน…. แต่จำนวนมาในคอกนั้นก็มีน้อยมีเพียง 250 ตัวเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับทหารม้าของรัสเซียกว่า 8,000 นาย….จิรองวิ่งสวนกับ ทหารม้าฝรั่งเศสผู้หนึ่ง….ซึ่งมีชั้นยศเป็นถึงผู้กอง และดูท่าทางจะสนิทกับ จิรอง….
“มาควิส!!! ฉันเชื่อมือนาย!!หวังว่านายจะช่วยพลิกสถานการณ์ได้….”
“เออ…..”
สั้นๆง่ายๆแต่ได้ใจความครับ เพราะมันก็ไม่มีเวลามาหวานซึ้งระลึกถึงความหลังกันมาก!! มาควิส นายทหารม้าแห่งกองร้อย Falcon ขึ้นควบอาชาสีขาวของเขาก่อนจะพาลูกน้องกว่า 100 นายตามไป… ในขณะเดียว จิรอง อุ้ม Andrea ขึ้นบนหลังม้า… ส่วนตัวเองนั้นขึ้นตามไปครับ..เขากำลังพา Andrea กลับหมู่บ้านตามคำสั่งของเจ้านาย…. แต่ควบไปได้ไม่กี่นาที เขาก็ควบกลับทางเดิมครับ!!! เพราะที่อยู่ตรงหน้าเขา คือทหารม้าออสเตรีย นับพัน ซึ่งกำลังควบตรงมาหาเขา!! สร้างความสับสนและตื่นกลัวให้กับสาวน้อย Andrea ยิ่งนัก!!
ใจกลางค่ายทหารฝรั่งเศส 0330 น.
ในตอนนี้เกิดความหยุ่งเหยิงไปหมดครับ เหล่าทหารม้ารัสเซียหลายนายลงจากหลังม้า และสู้เยี่ยงทหารราบ ทหารราบฝรั่งเศสนั้นก็สู้อย่างกล้าหาญ แต่ด้วยความถี่ไร้ขบวน ไร้การสั่งการณ์ที่แน่ชัด เลยเกิดการรบแบบมั่วซั่วขึ้นแทนซึ่งเป็นแนวที่ทหารฝรั่งเศสไม่ถนัดเลยแม้แต่น้อย... ทหารรัสเซียหลายนายปาคบเพลิงใส่เต็นท์ของทหารฝรั่งเศสทำให้ไฟเริ่มลุกลาม!! ทางฝั่งนายพลอองรีนั้น อยู่ในวงล้อมของเหล่าทหาร Old Guard ที่ตั้งเป็นขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัสกันการบุกชาร์จเข้ามาของทหารม้า….
“ดูท่าทางทหารเราจะต้านไม่ไหวแล้ว ……เตรียมสั่งถอย….. เฮ้ยยยยยยย เดี๋ยววววว”
ธงอินทรีย์ทองคำ ตราประจำ Grande Armee กำลังจะถูก ทหารม้ารัสเซียยึดไปครับ!! ธงนี้คือตราสัญลักษณ์ของ นโปเลียน!! เปรียบเสมือนตัวแทนของ นโปเลียนก็ว่าได้!! หากถูกข้าศึกยึดไปนั้นเท่ากับความอัปยศอดสูที่สุดของนายทัพผู้นั้นเลยก็ว่าได้!!! ทหารม้ารัสเซียนายหนึ่งพยายามยื้อแย่งธง ไปจากมือของพลธงฝรั่งเศส แต่พลธงนายนั้นไม่ยอมครับ เหล่าทหารฝรั่งเศสและทหารม้ารัสเซียต่างยื้อยุทธไปมาๆเพื่อชิงธงนั้น อองรี นี้ถึงกับเต้นเร้าๆด้วยความตกใจ!!!
“ธงนั้นจะถูกยึดไม่ด้ายยยยยยยยย ไปช่วยพวกเขาเร็ว!!”
อองรีสั่งให้ Old Guard ที่ปกป้องเขากว่า 50 นาย สลายวงและกรูกันเข้าไปชุลมุนพันตูกบศึกชิงธงที่อยู่ข้างหน้า….. การสู้อย่างบ้าเลือดเพื่อธงๆเดียวจึงเริ่มต้น เหล่าทหารฝรั่งเศษาใช้ดาบปลายปืนแทงทหารม้าที่อยู่กับที่ บางใช้ปืนยิงแสกหน้าในระยะเผาขน!! ส่วนทหารม้ารัสเซียนั้นควบวนไปวนมาฟันทหารฝรั่งเศสจนล้มลงเรื่อยๆ.. จนกระทั่ง….
“ เฮ้ ดูนั้น เบเซอเกอร์ มาแล้ววววววววว!!!”
เหล่าทหารฝรั่งเศสหลายนายต่างโห่ร้อง ดีใจเมื่อเห็น ผู้กอง มาควิส ควบม้ามาถึง!!! มาควิส เดอ เลเฟย์ เขาคือ นายทหารม้าที่ขึ้นชื่อว่า รบได้ดุดันสุดในกองทัพของ อองรี!! กิตติศัพท์ของเขาร่ำลือไปทั่วในหมู่ทหารฝรั่งเศส….. จนได้ ฉายาว่า เบอเซอร์เกอร์ นักรบป่าเถื่อนอันแสนดุร้ายในยุคโบราณ …. มาควิส พาทหารม้าหนัก Cuirassier และ ทหารม้า Dragoon รวบ 100 กว่าน้อย เข้าร่วมการสู้รบที่อยู่ตรงหน้าทันที เหล่าทหารม้ารัสเซียถึงแม้จะมีหลายพันแต่ สู้รบมายาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง ทำให้ทั้งคนทั้งม้าเริ่มเหนื่อย… และมาเจอการชาร์จอย่างหนักหน่วงของทหารม้าฝรั่งเศส จึงทำให้พวกเขาหลายนายล่วงตกลงจากหลังม้า…. บางนายโดนปืนสั้นยิงเขาใส่ก่อนถึงระยะปะทะ….มี ทหารม้า Cossack นายหนึ่งควบม้าตรงมาหมายเอา หอก เสียบมาควิสให้เป็นรู…. มาควิส เบี่ยงตัวหลบได้ทันอย่างเฉียดฉิวครับ และควบเข้าไปตัดคอทหารม้า Cossack ผู้นั้นจนขาดกระเด็น….. ทหารม้ารัสเซียอีกนาย วิ่งตรงมาเงื้องดาบในมือหมายจะฟัน มาควิส ให้ดาวดิ้น มาควิสนั้นไวกว่าครับ เขาตวัดดาบของเขาขึ้นบนตัดมือของทหารม้าผู้นั้นจนขาดสะบั้นออกจากข้อ…… ทหารม้าผู้นั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เจอ มาควิส ดาบแทงสวบเข้าที่หน้าท้องจนทะลุ….. เขาขาดใจตายในที่สุด….. ห่างไปทางซ้าย ประมาณ 30 หลาของ มาควิส ทหารม้า Chevaliers Garde ของรัสเซีย ชิงธงไปจาก มือของพลธงได้และกำลังควบหนีออกไป… มาควิสชักปืนพกของเขาออกมา และเล็งปืนตามทางที่ทหารม้านายนั้นควบผ่าน… ทหารม้านายนั้นควบทิ้งห่างไปเรื่อยๆจนถึงระยะ 80 หลา…………….. มาควิสรวบรวมสมาธิพลางกลั้นลบหายใจของเขา…สายตาของเขาจ้อไปที่ทหารม้านายนั้นอย่างไม่ลดละ….
“ปังงงง!...............”
กระสุนพุ่งเข้าทะลุสีข้างซ้ายของทหารม้าผู้นั้น ธงอินทรีย์ทองคำที่กำแน่นอยู่ในมือผล๊อยตกพื้นไป…เขาล่วงตกหลังม้านอนหายใจโรยริน…. ธงตกอยู่กลางพื้นทำให้ทหารฝรั่งเศสและทหารม้ารัสเซียเปิดศึกชิงธงกันอีกหน…… Tomarsov มองดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ
“ชิงธงนั้นมาให้ได้ เอาคืนกับที่มันทำกับเราที่ Ulms!! บุกกกก!!”
นายพลลงเองครับ Tomarsov ชักดาบโง้งของเขาออกมา พลางนำทหารม้าหนัก Chevaliers Garde ที่เหลือกว่า 1,000 นายเข้าโรมรัน!! การยึดธงนั้นทำให้ทหารฝรั่งเศสเสียกำลังใจและแตกพ่ายไปในที่สุด!! …… มาควิสเครื่องแบบนายพลของรัสเซียก็ทราบได้ทันที ว่าเขาควรจะสังหารชยผู้นี้เพื่อพลิกสถานการณ์ให้ฝั่งฝรั่งเศสกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง….. เขาพาทหารม้าของเขาที่เหลือกว่า 50 นายเข้าชาร์จใส่ขบวนทหารม้าของ Tomarsov!!...
“ว้ากกกกก ฉึกกกกกก ฮี้ๆๆๆๆๆ ว้ากกกกกกกก”
ทหารม้าทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องอาวุธซึ่งกันและกัน Cuirassier โดนหอกทิ่มเขาทะลุลำคอ…ในขณะที่ Cossack โดนปืนของทหารม้า Dragoon ฝรั่งเศสยิงเข้าระยะประชิด… มาควิสเอง นั้น เห็น Tomarsov เข้าจึงชาร์จเข้าใส่!! เข้าชี้ดาบไปข้างหน้า…. Tomarsov นั้นก็เห็น มาควิส เช่นกันครับ… เข้าพุ่งเข้าใส่โดยหากลัวไม่ ตาจ้องตา ม้าต่อม้า ดาบต่อดาบ … ฝรั่งเศส ต่อ รัสเซีย …..
“เคร้งงงงงงง”
มาควิส จะเอาดาบเข้าแทงท้องของ Tomarsov…. แต่ Tomarsov นำดาบเข้ารับได้ทันครับ… มาควิสละดาบของเขามาฟันเข้าผ่ากลางหน้าของ Tomarsov… แต Tomarsov ยกดาบขึ้นกันทันครับ!! Tomarsov ตวัดดาบลงมาหมายฟันแขนอีกข้างของ มาควิส… มาควิสชักแขนออกทันครับ และแทงสวนเข้าจังๆ….. เฉียดไปเพียง 2 มิลครับ!! ดาบของมาควิสแทงถากเอาเสื้อสีเขียวของ Tomarsov เป็นรอย… Tomarsov เอียวตัวหลบทันได้อย่างเส้นยาแดงผ่า 8 … พลางใช้รักแร้ของเขาหนีบดาบของมาควิส…. มาควิสจะดึงดาบกลับ เจอ Tomarsov โหม่งเข้ากลางกบาล!! มาควิส มึนครับ!!..... Tomarsov กระโจนรวบตัวของ มาควิส จนล่วงตกลงจากหลังม้าไปทั้งคู่…..
ขณะเดียวกันทาง นายพลอองรี นั้น ยืนดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เข้าเหลือองครักษ์คุ้มกันเพียง 5 คนเท่านั้น…..
“บ้าจริงๆ แย่งธงมาให้ได้สิว่ะ ไอ้พวกโง่ จะได้รีบถอย!!!!”
เขาอุทานออกมาด้วยความไม่ได้ดั่งใจ!! ดูเหมือนจิตใจของเขาตอนนี้ต้องการถอยเพียงอย่างเดียวครับ.. ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ประเมินว่าสู้ต่อไปแล้วจะแพ้ หรือ เพราะกลัวกันแน่… แต่ทันใดนั้นเขาเหลือบมองไปด้านหลังก็พบ กับ ผู้กอง จิรอง…. และ Andrea ควบม้าตรงมาทางเขา!!! ….เฮ้ย กูสั่งให้มันพาเมียกูกลับหมู่บ้านไม่ใช่เหรอว่ะ!! อองรี นั้นฉุนหนักครับ ไหงไอ้ผู้กองนี้มันกล้าขัดคำสั่งกู!!!
“จิรองงงงง ฉันสั่งให้แกพา Andrea กลับหมู่บ้านไม่ใช่เหรอว่ะ!!!”
“ท่านครับ ด้านหลังงงง!!”
จิรอง ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากครับ เขาชี้ไปทางด้านหลังของเขาก็พบว่า ทหารม้าออสเตรียกว่า 2,500 นายกำลังควบตรงมา!!! ชิบหรายละครับ การมาของทหารม้าออสเตรียทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม!!..... ตอนนี้ กองทัพฝรั่งเศสไม่เห็นวี่แววของชัยชนะแล้วครับ .. ทหารฝรั่งเศสหลายส่วนรีบถอนตัวออกไปเพื่อตั้งแนวรับทหารม้าออสเตรีย…. ในขณะเดียวกัน อองรี รีบอุ้ม Andrea ลงจากหลังม้าครับ…
“Andrea เธอไม่เป็นไรน่ะ…...”
“ไม่ค่ะ อองรี…..ฉันกลัว……..เราจะตายไหม??”
“ไม่ Andrea เราจะหนีไปด้วยกัน……”
อองรีลืมทุกอย่างตรงหน้าไปชั่วขณะ กองทัพ ทหารฝรั่งเศส หรือ แม้แต่ธงอินทรีย์ทองคำ พอพูดจบ อองรี ก็จูบ Andrea อย่างดูดดื่ม สิ่งที่เขารับปากไปอาจจะเป็นไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ …
ทาง มาควิสนั้นล่วงตกลงจากหลังม้ามาพร้อม Tormasov…. เป็น Tomarsov ลุกมาได้ก่อนครับ Tormasov เดินถือดาบตรงมาหา มาควิส ที่กำลังคุกเข่าตั้งหลักลุกขึ้นมา… Tomarsov เข้ามาใกล้พอง้างดาบทำท่าจะฟันหัวของ มาควิส… มาควิส ที่ทำท่าคุกเข่าอยู่นั้น เงยตัวขึ้นมาเผยให้เห็น ปืนนกสับในมือของเขา… มาควิส ชูปืนขึ้นมาและเหนี่ยวไกออกไปทันที… ในขณะที่ Tomarsov กำลังจะลงดาบ…..
“ปัง!!!!!!!!!!!”
Tomarsov โดนกระสุนเข้าที่ลำตัวทางด้านซ้ายจังๆ….ดาบล่วงหลุดจากมือของเขา!! เขากุมท้องด้วยความเจ็บปวด.. ไม่มีการเล่นแบบแฟร์ๆในสนามรบ ฆ่าได้คือจบ!! Tomarsov ล้มลงไปพลางกุมท้องด้วยความเจ็บปวด!!! มาควิส ยิ้มอย่างสะใจครับ มีทหารรัสเซียเห็นเหตุการณ์นี้เขาครับจึงวิ่งเข้าไปช่วย….. ทหารนายนั้นถือดาบวิ่งเข้าไป… จะฟันแต่ มาควิสเห็นทันครับและใช้มือของเขาจับไปที่มือของทหารผู้นั้นได้ ทั้งคู่ต่างยื้อยุทธกันไปมา… เปิดโอกาสให้ Tomarsov คลานหนีไปทางอื่น
ทางด้านออสเตรีย ทหารม้าของพวกเขาที่สดชื่นและยังไม่ได้รับความเสียหายชาร์จใส่ทหารฝรั่งเศสที่เหนื่อยอ่อน กองกำลังของฝรั่งเศสใกล้แตกเต็มทน… การรบเป็นไปอย่างชุลมุนและถึงตัวขนาดที่ อองรี ชักดาบของเขาออกมาเพื่อรบในระยะประชิด… มี ทหารม้าออสเตรียผู้หนึ่งเห็น อองรี ซึ่งกำลังติดพันการรบอยู่เข้า จึงควบเข้าไปหา อองรี หมายจะปลิดชีพนายทัพฝรั่งเศส…. ทหารม้านั้นควบมาใกล้มาก!!! อองรีหันหลังให้อยู่นั้นไม่ทันเห็น!!!!!! หอกในมือของทหารม้าผู้นั้นถืออย่างมั่นคงเตรียมทิ่มแทงทุกอย่างให้ทะลุ…… เขาควบมาในระยะ 10 หลา!!!!!!... อองรี เหลือบหันกลับมาพอดี พบว่าสายไป!!!
“สวบบบบบบบบบบบบบบบบ!!!!”
แม่สาวน้อย Andrea เอาตัวเข้ามารับคมหอกแทนชายที่นางรัก….. หอกนั้นทะลุท้องนางและปักคาอยู่กลางลำตัว…. ทหารม้าออสเตรียผู้นั้นไม่ได้รู้หรอกครับว่า หญิง หรือ ชาย เพราะมันค่อนข้างมืด... แต่นั้นทำ ให้อองรี แทบบ้าครับ!!... เขากระโจนเข้าหาทหารม้าออสเตรียผู้นั้นจนล่วงตกจากหลังม้า... ทหารม้านายนั้นไม่ทันได้ลุก เจอ อองรีเอาดาบในมือของเขา สับเข้าที่หน้า!! สับ!! สับ!! สับ!! สับ!! จนหน้าเละไม่มีชิ้นดี!! หลังจากจัดการกับทหารมาผู้นั้นเสร็จ อองรี หันมาหานางอันเป็นที่รัก ในตอนนี้ Andrea นั้นนอนแน่นิ่งกับพื้น สายตาของนางเบิ่งค้างราวกับยังมีเรื่องฝังใจ... อองรี ใช่มือทั้ง 2 ข้างเขย่าตัว Andrea ให้ฟื้น...... ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ นางสิ้นใจแล้ว!!!....... อองรี ถึงกับคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างใดๆทั้งนั้น!!!! รักแรกที่เขาอาจจะมีในชีวิตได้ถูกพังลงโดยไฟของสงคราม!!!
“ท่านนายพลครับ!!!!!!!! ตอนนี้เราไม่สามารถตรึงแนวไว้ได้แล้วครับ!!!! กองทัพของเรากำลังจะโดนละลาย!!”
“โปรดสั่งถอยเถอะครับท่านนายพล!!”
คำพูดของเหล่าทหารทำให้เขาได้สติมาชั่วครู่........ เขาหันหน้ากลับมองทหารของเขาด้วยตาแดงก่ำ...
“เราจะถอยไปไม่ได้..โดยไม่มีธงอินทรีย์ทองคำ!!!”
“แต่ว่าเราจะตายกันหมดแล้วน่ะครับ!!”
อองรีมองดูสภาพการณ์รอบๆแล้วก็พบว่า กองทัพของเขาตอนนี้อยู่ในสภาพระส่ำระสายเต็มทนทหารไม่อยู่ในแถวในแนวทุกคนต่างสู้กันอย่างตามลำพัง แบบถึงตัวกับเหล่าทหารม้า!!.... ธงอินทรีย์ทองคำนั้นก็ไปอยู่ไหนไม่รู้ครับ!!....... อองรีจึงสั่งการณ์ออกไป
“พลสัญญาณให้สัญญาณถอย!!!”
“ครับผม!! ปรู๊นนนนนนๆๆๆ ถอย!!”
ทหารฝรั่งเศสได้ยินสัญญาณดังกล่าวก็รีบละจากการต่อสู้และวิ่งหันหลังให้กับเหล่าทหารม้า ..... พวกเขาต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดกันอย่างเจ้าละหวั่น!! ซึ่งมีบางส่วนหนีไม่ทันโดนทหารม้าไล่ฟัน ส่วนหลายนายก็หนีลงจากเนินไปได้โดยอาศัยความมืดของราตรีและความชุลมุน ไปยังจุดรวมพลที่หมู่บ้าน St………… อองรี ใช้มือของเขาลูบหน้าของ Andrea ให้ตาของนางหลับลง ก่อนจะจากไป!!! มิเช่นนั้นคงได้ตายตกไปตามนางเป็นแน่.....
ทางด้าน มาควิส นั้นก็จัดการกับนายทหารรัสเซียผู้นั้นได้..... และกำลังมองหา Tomarsov แต่ก็ไม่พบ!! มิหนำซ้ำธง อินทริย์ทองคำ ก็หาไม่เจอ!! ในตอนนี้อาจจะตกไปอยู่ในมือของรัสเซียก็เป็นได้!! มาควิสหันซ้ายหันขวาก็พบว่าเพื่อนทหารฝรั่งเศสพากันหนีหมดแล้วครับ ขืนตัวเองไม่หนีถูกจับแน่!! มาควิสเลยควบม้าที่อยู่ใกล้ๆและจากไป!!!! ในขณะเดียวกันทาง Sebestian Willhem ก็ออกคำสั่ง!!
“ไม่ต้องตามแล้ว”
Sebestain สั่งการณ์ให้ทหารม้าออสเตรีย และ รัสเซีย หยุดการตามล่าทหารฝรั่งเศสครับ เพราะความมืดของราตรี ขืนควบลงเนินไปไล่ฟันต่อสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะถูกซุ่มโจมตีได้!!!
“ท่านนายพลครับ!!! ธงอินทรีย์ทองคำของพวกมัน!!”
ว่าแล้วมีทหารผู้หนึ่งชูธงอินทรีย์ทองคำขึ้นมา พร้อมยิ้มอย่างภูมิใจ!!
“ใช่เราทำได้!! เรายึดเนินได้ เราชนะพวกมันได้!!”
เสียงอันไร้เรี่ยวแรงแต่แฝงไปด้วยความดีใจดังออกมาในหมู่ทหารรัสเซีย .. Sebestian หันหน้าไปทางต้นเสียงก็พบว่า เขาคือ นายพล Tomarsov ซึ่งอยู่ในสภาพเจียนตาย เขาต้องใช้ทหาร 2 นายพยุงให้เขายืนขึ้นได้ ที่ลำตัวเยื้องทางซ้ายของเขามีแผลฉกรรจ์จากการถูกยิงในระยะเผาขน!! กระนั้นเขาก็ยิ้มออก เข้าแก้มือจากที่ทำพลาดที่ Ulm ได้สำเร็จ .... Sebestain ทำสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยครับ แต่ไม่มีใครอยากทำลายบรรยากาศของชัยชนะในค่ำคืนนี้!!! เขาจึงชูดาบขึ้นมาพร้อมตะโกนออกมาอย่างดีใจ!!
“ชัยชนะ!!! ชัยชนะ!! เฮ!!!!!!!!!! เฮ!!!!!!!!!!!!”
เหล่าทหารม้า ออสเตรีย และ รัสเซียต่างเฮกันอย่างกึกก้องด้วยความฮึกเหิม พวกเขาสามารถเอาชนะกองทัพฝรั่งเศสและยึดเนิน Pratzen ได้!! เนินที่จะชี้ชะตาของการยุทธที่จะเกิดขึ้นในอนาคต!!!
Sea lion Room , Windsor Palace , Berkshire , England , British Empie 1 ธันวาคม ค.ศ.1805
ห่างไกลจากความขัดแย้ง... ข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่เกาะอังกฤษ ..ในขณะที่บรรดา 4 ชาติมหาอำนาจในยุโรปกำลังห่ำหั่นแต่ทางอังกฤษนั้นปลอดภัยแทบไร้กังวล เนื่องจากมีทัพเรืออันเกรียงไกรคอยคุ้มกะลาหัว. ณ พระราชวังวินเซอร์ พระราชวังอันเก่าแก่ตั้งแต่ยุคกลาง แม้ภายนอกจะดูโบราณแต่ภายในกับตกแต่งให้วิจิตระการตาตามแบบเรเนซองส์ และที่สำคัญที่นี่คือ ที่ตั้งของ กระทรวงกองทัพเรือแห่งจักรวรรดิอังกฤษในปัจจุบัน!! ภายในห้องสิงโตทะเล นั้นเต็มปูด้วยพรหมกำมะหยี่สีแดง ตรงกลางท้ายห้องมีโต๊ะทำงานตัวเขื่องตั้งอยู่ ชายคนหนึ่งสวมเครื่องแบบสีแดงสดแบบทหารเรืออังกฤษ อินธรธนูของเขาบ่งบอกถึงชั้นยศนายพล ใบหน้าอันเริ่มเหี่ยวย่น และผมหงอกบ่งบอกถึงอายุของเขาเป็นอย่างดี..... เขานั่งอยู่บนเก้าอี้พลางเซ็นท์เอกสารกองใหญ่ตรงหน้าพลาง เขาคือ พลเรือเอก John Deas Thompson รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือ...... แอ๊ด..... ทหารรับใช้ของเขาเปิดประตูเข้ามา และเดินตรงมายังท่าน รัฐมนตรี
“มีแขกมาขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา”
ทหารรับใช้เดินกลับยังประตูพลางเชิญให้แขกของเขาเข้ามา........ ชายหนุ่มวัยราว 30 กลางๆ 2 คนเดินเข้ามาในห้องทำงานของท่านรัฐมนตรี พวกเขาสวมเสื้อคลุมราคาแพงคนหนึ่งนัยน์ตาสีเขียวและถือไม้เท้าเลี่ยมทอง ส่วนอีกคนนัยน์ตาสีน้ำตาลและไว้หนวดเคราจอนดำ... พวกเขาเดินมาหยุดหน้าโต๊ะทำงานของท่านรัฐมนตรี John
“เชิญนั่งครับ”
ชายหนุ่มทั้ง 2 นั่งลงบนเก้าอี้......... ตามคำเชื้อเชิญ
“Earl Will Bradley แห่ง Essex”
“Count Henry Graham แห่ง Lemmington”
ชายหนุ่มทั้ง 2 แนะนำตัวให้ท่านรัฐมนตรีได้รู้จักพลางยื่นมือมาจับซึ่งท่าน รัฐมนตรี ก็ตอบรับเป็นอย่างดี..
John : ว่าแต่พวกคุณทั้ง 2 มานี้มีธุระอันใดครับ
Will : ผมได้รับมอบหมายจาก รัฐสภา ให้เป็นผู้ดูแลเรื่องการสงครามระหว่าง เรา กับ ฝรั่งเศส
Henry : หรือเรียกสั้นๆง่ายๆว่า สภาสงครามแห่งอังกฤษ!!
John : อืม...... เพิ่งเคยได้ยินแฮะ.....
Will : คือในตอนนี้สิ่งที่ สภาสงครามก็คือ กำลังทางเรือของคุณทั้งหมดจะต้องเข้าร่วมกับปฎิบัติการของสภา…
John : ปฎิบัติการณ์อะไรล่ะ.......
Will : เรื่องนั้นยังเป็นความลับ.......
John : แล้วถ้าผมไม่รู้อะไรเลย ผมจะช่วยพวกคุณได้ยังไง
Henry : คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เอาเป็นว่านี่คือคำสั่งโดยตรง จากพระเจ้าจอร์จที่ 3….
ว่าแล้ว Henry ก็ชักตราสาส์นจาก พระเจ้าจอร์จที่ 3 ให้รัฐมนตรีดูครับ!! แน่นอนมันเป็นของจริง!! ทำเอา John ต้องยอมรับแต่โดยดี
John : ก็ได้ ............. แต่คนที่วางแผนทั้งหมดเกี่ยวกับกองทัพเรือไม่ใช่ผมน่ะ มีนายพลเรืออีกหลายคน ที่เขาไม่ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง.... คุณต้องไปคุยกับพวกเขาเอาเอง
Henry : แค่นั้นก็เพียงพอ....
ทั้ง Will และ Henry ต่างยิ้มอย่างพอใจพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการแล้ว กองทัพเรือส่วนใหญ่ของอังกฤษตกอยู่ในอำนาจของสภาแห่งสงคราม!! ซึ่ง เขาจะทำประการใดต่อไปก็ไม่ทราบ แต่ดูท่าทางจะไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนครับ แผนการใหม่ของคณะปฎิวัติแห่งอังกฤษกำลังจะเริ่ม!!
|
|
|
Post by greatbritian on Aug 20, 2017 2:50:25 GMT
Episode 11 : บทสรุปแห่ง สงคราม 3 จักรพรรดิ St. Hilaire , Austerlitz , Moravia , Holy Roman Empire 1 ธันวาคม ค.ศ.1805
ในขณะเดียวกันกลับมายังฝากฝั่งพื้นทวีป ณ เมือง Austerlitz ใจกลาง จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์..... หมู่บ้านอันเงียบสงบอย่าง St. Hilaire ซึ่งมีชาวบ้านไม่กี่ 100 ในวันนี้กลับดูอึกทึกและวุ่นวายไปหมด เพราะ กองทัพฝรั่งเศสได้เดินทางมาถึงทีนี่ กองทัพใหญ่ Grande Armee ของ นโปเลียนตั้งค่ายหลังแนวป่าสนที่รายล้อมรอบหมู่บ้าน!.... พวกเขามีจำนวนทั้งสิ้น 68000 นาย (รวมทหารของอองรีที่หนีลงมาจากเนินด้วย) ทหารม้าทั้งหมด 6500 และปืนใหญ่กว่า 358 กระบอก ในขณะเดียวกัน เหล่าทหารช่างฝรั่งเศสทั้งหลายก็ทยอย ดัดแปลง บ้านทั้งโรงนาให้กลายเป็นหอรบ!! พวกเขานำกระสอบทรายมาตั้งตามขอบถนนและช่องเว้าแหว่ง.......และบริเวณลำธารเล็กที่ไหลผ่านกั้นระหว่างเนิน Pratzen กับตัวหมู่บ้าน พวกเขาก็นำกระสอบทราย และขวากไม้อันแหลมเสียดมาตั้งไว้ กันการบุกของทหารม้า!..... ในขณะเดียวกัน นโปเลียนก็ยึดเอาบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านมาเป็น ศูนย์บัญชาการของทหารฝรั่งเศสชั่วคราว!! ภายในบ้านนั้นมีขนาดใหญ่พอที่จะให้คน 10 คนเข้าไปอยู่ ซึ่งเหล่าทหารฝรั่งเศสจัดแจงเคลียร์พื้นบ้านให้โล่งเพื่อที่พวกเขาจะได้เปลี่ยนมันเป็นห้องวางแผนการณ์รบของ จักรพรรดิ ... นโปเลียนและ เหล่า บรรดา นายพลฝรั่งเศสทั้งหลายเช่น อองรี, ดาวูด , มูร่าต์ , และ ฌอง เดอลุยส์ ซอล 1 ใน 18 นายพลของเขา ทั้งหมดต่างมีหน้าตาขะมักเขม้นในแผนการที่กำลังจะได้ฟัง ยกเว้น อองรี ที่มีหน้าตาเศร้าส้อยและเหม่อลอยราวกับอกหักยังไงงั้น!! นโปเลียนเห็นท่าทีที่แปลกไปของ อองรี จึงตรัสออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรน่า อองรี ฉันไม่โกธรนายหรอก ถึงนายจะรักษา ธงอินทรีย์ทองคำ ไว้ไม่ได้ แต่นายก็ทำตามแผนการที่ฉันได้ดำเนินไว้อย่างลุล่วง!! ”
ลุล่วง? จักรพรรดินโปเลียนตรัสคำว่า ลุล่วง ออกมาทั้งๆที่กองทัพของ อองรี เพิ่งจะโดนตีจนตกเนินมาแต่เมื่อวาน!! ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น
“เอาล่ะ ทุกท่าน..... จงดูความสำเร็จของเราให้เต็มตา...”
พอพูดจบ นโปเลียน กวักมือเรียก องครักษ์หญิง ดิออน ให้นำของบางอย่างออกมา.... ซึ่งมันดูเหมือนม้วนกระดาษเปล่าๆ... ที่ไม่มีอะไร นโปเลียนจัดการคลี่ม้วนกระดาษเปล่านั้นออกครับ ซึ่งมันก็เป็นกระดาษเปล่าๆผืนใหญ่จริงๆไม่มีอะไรเลย สร้างความงงงันให้กับเหล่านายพลยิ่งนัก.. (ยกเว้น อองรีที่ยังคงก้มหน้ามองพื้นเหมือนเดิม 55) ...
“นี่มัน กระดาษ ธรรมดา พ่ะย่ะค่ะ...”
นโปเลียนไม่พูดอะไรครับ เขาหยิบโหลน้ำส้มสายชูมาและพลางหยดพรมน้ำส้มสายชูจนทั่วกระดาษผืนนั้นก็พบว่า
มันเผยให้เห็นแผนที่บริเวณเมือง Austerlitz โดยละเอียดครับ แผนที่นี้ดูสมัยใหม่มากเพราะ ระบุเลขแลตติจูด ลองติจูด ไว้อย่างละเอียด!! ราวกับแผนที่ทางการทหารในอนาคตไม่มีผิด!! …. นโปเลียนยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างลำพองใจ ในขณะที่เหล่านายพลได้แต่ยืนตะลึงเล็กน้อย ราวกับ จักรพรรดิของเขาเล่นมายากลให้ดู!!
“ต้องขอบคุณท่านนายพล อองรี ที่ อุตส่าห์ไม่ลืมใส่น้ำส้มสายชูตอนกินข้าว ตามที่ผมได้รับสั่งไป .. ในเวลา 3 วันที่ผ่านมาผมได้สั่งให้เขา วัดรังพื้นที่บริเวณตำบล Austerlitz โดยละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณระหว่างตีนเนิน Pratzen และ หมู่บ้าน St. Hilaire ไว้ละเอียดขนาดนี้ที่ว่า แบ่งซอยย่อยเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆได้หลายร้อยผืนเลยทีเดียว!! ซึ่งไอ้พื้นที่เหล่านี้แหละจะเป็น ทุ่งสังหาร!!”
“งั้นกองทัพของ อองรี ที่แตกพ่ายหนีลงมาจากเนิน นั้นเป็นสิ่งที่จงใจกระนั้นหรือ ฝ่าบาท!!”
“ถูกต้อง!! ดาวอย .. การตั้งมั่นบนเนินนั้นเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่งก็จริงอยู่ ... แต่การหลอกให้พวกมันยึดชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่า ย่อมเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้แก่ชัยชนะของพวกมัน!! ทำให้มันมั่นใจที่จะบุกเข้ามาหาพวกเรา!..... ซึ่งนั้นแหละคือแผน!!”
“แต่พวกมันคงจะขนปืนใหญ่ขึ้นเนินเป็นแน่แท้พ่ะย่ะค่ะ และ การระดมยิงของพวกมันจะทรงประสิทธิภาพยิ่งนัก!! ปืนใหญ่ของพวกเราไม่สามารถยิงตอบโต้ขึ้นสูงขนาดนั้นได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ผมไม่ต้องการจัดการกับปืนใหญ่ของมันที่อยู่บนเนิน มูร่าต์.. สิ่งที่ผมอยากจัดการก็คือ ทหารราบของพวกมันที่บุกลงมาจากเนินอย่างย่ามใจตะหาก!! อย่างที่คุณเห็นแผนที่นี่ได้บอกเสกลพื้นที่โดยละเอียดนั้นเท่ากับว่า ปืนใหญ่ของเราจะยิ่งได้อย่างแม่นยำ!! ยิ่งกว่าปืนใหญ่ของพวกมันซะอีก และที่สำคัญทหารของเรานั้นมีทั้ง ลำธาร และ หมู่บ้าน เป็นเกราะกำบัง ในขณะที่ทหารของมันนั้นเดินในที่โล่ง หามีที่หลบไม่!! เท่ากับว่าพวกมันเดินเข้ามาในกับดักอย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้น!!”
“............. ทรงพระปรีชามากพ่ยะค่ะ ฝ่าบาท!!!”
เหล่านายพลถึงกับปรบมือกันเกรียวกราวในอัจฉริยะภาพในการทำสงครามของ นโปเลียน.. เว้นแต่ อองรี ที่ยืนนอยโลก.. นโปเลียนหันหน้าไปมอง อองรี ระยะหนึ่งด้วยความสงสัย มันจะเศร้าอะไรหนักหนา!! แต่เขาก็หันกลับมาเพื่อบรรยายสรุปแผนการณ์รบทั้งหมดให้เหล่านายพลฟังอีกครั้ง!!
“เอาล่ะทุกท่าน...... ภายในพรุ่งนี้ เมื่อพวกมันเห็นว่ากองทัพหลักมาถึง พวกมันคงจะระดมยิ่งใส่เราเป็นแน่!! ไม่ว่าจะเริ่มกี่โมง แต่ผมก็ขอสั่งห้ามไม่ให้กองปืนใหญ่ของเรายิงตอบโต้เด็ดขาด .... ให้พวกเขาตั้งอยู่บริเวณหลังแนวป่าสนเท่านั้น.... หลังจากผ่านการระดมยิงไปสัก ชั่วโมง สิ่งที่ตามมาคือการบุกลงมาจากเนินของเหล่าทหารราบ... ซึ่งมันจะบุกลงมาเพื่อทะลวงแนวของเราที่ St. Hilaire … การบุกโถมด้วยจำนวนมากกว่าจะทำให้ทหารที่อยู่ที่นี่ต้องเจอศึก ... ผมมอบหมายให้ อองรี และกองทัพของเขาที่เหลือ กว่า 10000 นาย ดูแลพื้นที่นี่!!”
“แต่กองทัพของเขาเพิ่งได้รับความเสียหายจากการรบเมื่อวานน่ะพ่ะย่ะค่ะ!! และกำลังพลแค่ 10000 นายคงไม่เพียงพอจะปกป้องหมู่บ้านนี้ได้!!”
“ใช่ ผมจึงเสริมกำลังให้เขาโดยให้ทหารองครักษ์ Old Guard ชั้นดีของผม 5000 นาย ตรึงแนวที่ St. Hilaire ด้วยชีวิต!! ในขณะเดียวกัน ทหารของพวกมันที่บุกลงจากเนินจะเจอการระดมยิงอย่างหนักชนิดที่บนโลกนี้ไม่เคยมีมาก่อน ผมประมาณการณ์ได้เลยว่า เพียง 30 นาทีเท่านั้น ตีนเนินนั้นจะเต็มไปด้วยศพของทหารพวกมันต่ำกว่า 6000!! หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง พวกมันจะเสียหนักจนถึงขั้นถอยกลับไปตั้งหลักบนเนินใหม่อีกครั้ง!! ซึ่งคราวนี้แหละพวกมันจะทุ่มหมดตักเพื่อบุกเรา ทหารทั้งหมดราวๆ 8000 จะโถมบุกลงจากเนินราวกับคลื่นมนุษย์..... เพื่อจะเจาะแนวของเรา... คราวนี้ ดาวอย ผมให้ทหารคุณ 3000 นายอยู่ที่แนวป่าสน เป็นกองหนุนยามที่สถานการณ์ขับคันจงยกไปช่วยทหารเราที่ St. Hilaire! และต่อไปนี้คือทีเด็ด แน่นอนว่า ปืนใหญ่ของเรานั้นทรงประสิทธิภาพยิ่งนัก!! พวกมันต้องหาทางจัดการกับกองปืนใหญ่ของเราที่ แนวป่าสน..... ซึ่งผมคาดว่ามันจะใช้ทหารม้าวิ่งอ้อมวกไปตีแนวทหารปืนใหญ่ของเรา .... ดังนั้น มูร่าต์ ผมจะให้คุณคุมกองทหารม้า 5000 คอยสกัดมันไม่ให้ทำเช่นนั้นได้!!...และท้ายสุด ซอล คุณคุมทหารม้าที่เหลือ 1500 และทหาราบ 23000 ซุ่มอยู่หลังแนวป่า.... เมื่อทหารพวกมันลงจากเนินหมดใช้ กองทัพของคุณบุกขึ้นเนิน ทำลายปืนใหญ่ของพวกมัน และใช้ทหารราบของคุณเข้าโจมตี ปีกซ้ายของพวกมัน!! ในขณะที่กำลังรบติดพัน!! เท่านี้แหละ ชัยชนะก็จะตกมาอยู่ในมือของเรา!!”
หลังจากได้ฟังบรรยายสรุปแผนของ นโปเลียน เหล่านายพลทั้งหลายต่าง กระหยิ่มใจทำหน้าขึงขังพร้อมออกศึก ในขณะที่ อองรี ก็เหมือนเดิมครับ ทำหน้านอยโลก ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นใดก็ตาม... นโปเลียนเดินมาหา อองรี พร้อมจ้องไปที่ใบหน้าของเขาเขม็ง
“นายเป็นอะไรไป ฮ่ะ ไอ้ลูกชาย..... เกิดอะไรขึ้น ไหนลองบอกมาสิ!!”
“ข้าพเจ้าสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ... เพียงอยากแค่ขอความกรุณาจากฝ่าบาทอยู่อย่าง”
“ว่า...??”
“ช่วยอพยพชาวบ้านที่นี่ออกจาก St. Hilaire ก่อนเปิดศึกพ่ะย่ะค่ะ!!”
นโปเลียทำหน้างงเล็กน้อยครับ ไหงไอ้ อองรี ที่ ซาดิสก์ วิปลาส ฆ่าคนได้ไม่เลือกกลับมาห่วงชาวบ้านตาสีตาสาที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกันว่ะ... แต่มันก็ไม่เสียหายอะไรถ้าจะทำแบบนั้น
“ก็ได้......... กู้เกียรติของฉันคืนมาให้ได้ล่ะ อองรี นายไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง!!”
พูดจบ นโปเลียน ตบไหล่ อองรี เบาๆเป็นเชิงไว้ใจ อองรี ก็พยักหน้าครับ.... นโปเลียนก็สั่งให้เหล่านายพลแยกย้ายออกไป... พักผ่อนตามอัธยาศัย เหลือเพียงเขากับองครักษ์หญิง ดิออน เพียง 2 ต่อ 2…. องครักษ์หญิง นั้น แม้งดงามราวกับเจ้าหญิงแต่มีทีท่าขึงขังดูไม่แพ้ทหารคนในกองทัพ..... นโปเลียน นั่งลงบนเก้าอี้ พลางปล่อย อิริยาบถ ตามสบาย... และเขาเอ่ยออกมา
“เธอคงรู้สิน่ะ ว่า กองร้อยที่ 9 ของทหาร Old Guard จะต้องร่วมรบที่ St. Hilaire”
“ในฐานะ ผู้บังคับกองร้อยที่ 9 หม่อมฉันทราบดีเพค่ะ…...”
“เธออยากจะร่วมรบกับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา หรือ อยากอยู่กับฉันในแนวหลังล่ะ ดิออน... ฉันให้สิทธิเธอเลือก”
“การรักษาความปลอดภัยจักพรรดิเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งขององรักษ์ ... แต่การทำเพื่อชัยชนะของจักรวรรดินั้นสำคัญยิ่งกว่า เพค่ะ”
“คำพูดคมคายดีมาก สมเป็นยอดองรักษ์...... ไปพักผ่อนได้ ฉันอยากจะอยู่คนเดียวสักหน่อย”
พอพูดจบ นโปเลียน ก็ถอดชุดคลุมของเขาพลางงีบหลับบนเก้าอี้ไม้ด้วยความอ่อนล้า..... ดิออน นั้นทำท่าโค้งเคารพ จักรพรรดิของนางหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินออกนอกประตูไป แม่ Old Guard สาวทำในสิ่งที่กล้าหาญยิ่งนัก.... นางเลือกที่จะร่วมรบกับเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาแทนที่จะอยู่ในแนวหลังอันปลอดภัย!!
เนิน Pratzen เวลา 1100 น.
ณ เนินที่เมื่อวานเป็น สมรภูมิรบ ในวันนี้เหล่าทหารรัสเซีย – ออสเตรีย ต่างเคลียร์พื้นที่โดยรอบเนิน พวกเขาตั้งค่ายของพวกเขาแทนพลางเก็บซากศพของเหล่าทหารที่ตายในศึก. และพวกเขาต่างพากันขนปืนใหญ่นับร้อยกระบอกขึ้นมาที่เนินแห่งนี้ เพื่อใช้มันในวันรุ่งขึ้น!! ..... Sebestian Willhem นายพลแห่ง จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์เดินดูบริเวณรอบๆ เขาก็พบ ศพสาวน้อยผมของสาวน้อยผมสีบลอนด์นอนอยู่บนพื้น ผิวของนางเริ่มขาวซีดและเริ่มส่งกลิ่นเหม็น แต่หน้าตาของนางยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก แสดงความงดงามเมื่อครั้งยังมีชีวิต... Sebestian มองดูศพของนางด้วยความสงสัยและ เวทนา .... งามแต๊แต่ต้องมาตายแต่เยาว์ ว่าแต่นางคือใครมาทำอะไรในค่ายของพวกฝรั่งเศส........
“ท่าน Sebestian!!!”
เสียงอันทุ้ม ของนายพลร่างอ้วนตะโกนเรียกให้เขาได้ยิน Sebestain ละความสนใจจากศพของสาวน้อย และเดินกลับเข้าที่เต็นท์บัญชาการของเหล่านายพล!! ….. Sebestian เดินเข้ามาภายในเต็นท์ซึ่งก็ประกอบด้วย คณะนายทหารระดับสูงแก๊งเดิม เพิ่มเติมคือนายพล Tomarsov นั้นนั่งบนเก้าอี้ด้วยสภาพอิดโทรย เขาไม่ได้สวมเครื่องแบบอาภรณ์ชั้นยศแต่อย่างใด แต่กับมีผ้าพันแผลพันรอบกาย.....ที่บริเวณลำตัวของเขายังมีเลือดซิบเล็กน้อย.... Sebestian นั้นก็ดูเป็นห่วงใยเขาราวกับเป็นเพื่อนกัน
“อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง....”
“หมอบอกว่า ข้ารอด .... กระสุนเฉี่ยวตับข้าไปบ้างส่วน แต่ร่างกายของข้ายังคงทำงานได้ปกติ... แต่การศึกในวันพรุ่งนี้ข้าคงเข้าร่วมไม่ได้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
“ไม่เป็นไรน่า ท่านไปพักผ่อนซะไป... เรื่องของการสงครามปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง..”
Kutozov นายพลร่างอ้วนกล่าวออกมา...ในขณะที่เขาใช้มือซ้ายกางแผนที่เมือง Austerlitz ออก และข้างขวา ถือ ขนมปังก้อนหนึ่งที่มีรอยกัดคำโตอยู่ ... ขนาดวางแผนการณ์รบยังจะกินอีกครับคิดดู 55+
“ว่าแผนการของท่านมาเลยท่านนายพล”
พระเจ้าซาร์กล่าวออกมาด้วยความร้อนพระทัยกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะรบจนตัวสั่น
“อะแฮ่มมมม.... จาการที่ผมเฝ้าสังเกตมันในช่วงเช้า กองทัพของพวกมันได้ใช้แนวลำธารหน้าหมู่บ้านเป็นแนวป้องกันการบุก และตั้งสิ่งกีดขวางและหอรบไว้บริเวณ St. Hilaire ส่วนปืนใหญ่นั้นตั้อยู่ที่แนวป่าสนหลังหมู่บ้าน ....... การจัดกำลังแบบนี้แสดงว่าพวกมันไม่คิดจะบุกมาหาเราแน่ เพราะฉะนั้นภายในคืนวันนี้ปืนใหญ่กว่า 315 กระบอกของเราจะขึ้นมาบนเนินจนครบถ้วน .... ข้าพเจ้าได้สั่งให้พวกเขาตั้งปืนใหญ่หันไปทางทิศของกองทัพพวกมันเรียบร้อย ด้วยชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่า ... ปืนใหญ่ของเราจะมีอานุภาพการทำลายล้างสูงสุด ในขณะที่พวกมันตอบโต้ไม่ได้แม้แต่น้อย ในเวลา 1000 น. กองปืนใหญ่ของพวกเราจะยิงถล่มที่มั่นของมันที่หมู่บ้าน St. Hilaire ... สัก 1 ชม. ซึ่งนั้นน่าจะทำให้แนวตั้งรับของมันบางลง... พอถึงเวลานั้น ท่าน อาร์คดยุค Charles จะนำกองทหารของเรากว่า 60000 บุกลงจากเนินเข้าถล่มกองทัพของพวกที่อยู่ในหมู่บ้านให้ราบ.... ในขณะเดียวกันท่านนายพล Sebestian จะพาทหารม้าอ้อมไปด้านหลัง จัดการกับปืนใหญ่และแนวหลังของพวกมัน... ส่วนตัวผมจะนำทหารที่เหลือกว่า 40000 ยกลงจากเนินบุกเข้าไปในแนวป่าสนและขยี้ทหารฝรั่งเศสที่เหลือในบริเวณแนวป่า!! ด้วยจำนวนที่มากกว่าและอำนาจการยิงที่มากกว่า กอปร กับความพ่ายแพ้ของพวกมันในเมื่อวานจะทำให้ขวัญกำลังใจของพวกมันต่ำลงและแตกพ่ายไปในที่สุด!!”
“แต่เดี๋ยว.... ถ้าคุณระดมยิงใส่หมู่บ้าน St. Hilaire แล้วชาวบ้านที่อยู่ที่นั้นล่ะ ท่านนายพล!!”
Francis II จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ ทัดทานออกมา ทำเอา Kutozov นิ่งไปพักหนึ่ง......
“ถ้าพวกมันมีจริยธรรมพอ........ก็น่าจะอพยพพวกเขาออกไปหมด........แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
Kutozov ตอบไปอย่างอ้ำอึ้งๆ เพราะเขาก็ไม่รู้หรอกว่า ทหารฝรั่งเศสจะเอาชาวบ้านออกจากหมู่บ้านรึเปล่า!! …. แต่เขาไม่สน!!
“แต่ที่คุณพูดอยู่มันประชาชนของผม!!!! ไม่ใช่ของคุณ!!!”
“Francis ท่านใจเย็นลงก่อน........ ท่านต้องมองการณ์ไกลกว่านี้..... หากเราไม่ชนะศึกนี้ ไม่ใช่แค่ชาวบ้าน 100 คนที่จะตาย แต่จักรวรรดิของท่านจะล่มสลาย!! ประชาชานอีกนับล้านจะได้รับความเดือดร้อน.... เพียงแค่หมู่บ้านๆเดียวเท่านั้น!! ที่ท่านต้องเสียในสงครามนี้!! หลังจากนั้นจะไม่มีการสูญเสียอีกต่อไปแล้ว!!”
Francis II เย็นลงด้วยคำพูดของ พระเจ้าซาร์..... ซึ่งสิ่งที่เขาพูดมันมีเหตุผล แค่หมู่บ้านเดียวเท่านั้นที่ต้องเสีย!! แต่แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจของเขานั้นยังแสดงออกอย่างชัดเจน เขานั้นไม่ค่อยชอบบุคลิกและการวางแผนของ Kutozov แม้แต่น้อย Kutozov นั้นก็รับรู้ครับ และก้มหัวลงหลบสายตาของเขา...
“เอาล่ะท่านสุภาพบุรุษแผนจะเป็นไปตามนี้!!! แยกย้ายพักผ่อนได้ พรุ่งนี้เราจะต้องเจอศึกหนักแน่”
พระเจ้าซาร์กล่าวปิดการประชุมซึ่งเหล่านายพลต่างแยกย้ายกลับไปพักผ่อน พระเจ้าซาร์นั้นยิ้มอย่างมั่นใจในชัยชนะที่กำลังจะเกิดขึ้น........... การสงครามในวันรุ่งขึ้น สงครามอันยิ่งใหญ่ระหว่าง 3 จักรพรรดิกำลังจะบังเกิดขึ้น
St. Hilaire , Austerlitz , Moravia , Holy Roman Empire 2 ธันวาคม ค.ศ.1805
ณ บริเวณค่ายทหารฝรั่งเศสบริเวณชายป่าสนเวลา เวลา 0950 น.
ค่ายของทหารฝรั่งเศสในตอนนี้นั้นไร้ผู้คนเหล่าทหารล้วนออกมาประจำตามแนวรบของตนเอง .... เหล่าทหารม้าภายใต้การบัญชาของ มูร่าต์ เคลื่อนแยกออกไป เฝ้าระวังทหารม้ารัสเซียตามแผน ในขณะที่ทหาร Old Guard ของเขากว่า 5000 เคลื่อนไปที่หมู่บ้าน St. Hilaire ไปสมทบกับกองทัพของอองรีที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 1 ไมล์ ส่วนทหารที่เหลือประมาณ 40000 กว่าๆภายใต้การบัญชาของ ดาวูด และ ซอล ประจำตามแนวป่าสน... เบื้องหน้าของเขาคือ จักรพรรดินโปเลียน จักรพรรดิอันยิ่งยงของพวกเขา นโปเลียนประทับบนหลังอาชาสีน้ำตาล เขาสวมหมวก Bicrone ใบเขื่องประจำตัวของเขา เขาใช้กล่องส่องทางไกลส่องมองไปบนยอดเนิน...ก็พบว่าเหล่า ทหารรัสเซีย ที่อยู่บนเนิน Pratzen กำลังเตรียมปืนใหญ่พร้อมยิง....การรบกำลังจะเริ่มในไม่ช้า.... นโปเลียน สอดส่ายกล้องไปมาเพื่อสังเกตการณ์ และเขาก็เห็น ทหารรัสเซีย และ ออสเตรีย สองคนกำลังโบกธงอินทรีย์ทองคำเล่นไปมาเพื่อเป็นการเยาะเย้ย นโปเลียน!!! นโปเลียน ยิ้มมุมปากเล็กน้อยตลกในความแสบของทหาร 2 ตัวนั้น... เขาละกล้องส่องทางไกลลง พลางหันกลับมาที่กองทัพของเขา ทหารฝรั่งเศสในเครื่องแบบสีน้ำเงินยืนเป็นแถวอย่างสง่างาม สวมหมวกทรงสูง Shaka ยืนนิ่ง.. แววตาของพวกเขานั้นดุดันพร้อมห่ำหั่นศัตรู... นโปเลียน ควบม้าไปตามแถวทหารพร้อมพูดปลุกใจพวกเขา
“พวกท่าน!! ทหารแห่งจักรพรรดิ วันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่จะจารึกลงในประวัติศาสตร์!! 3 จักรพรรดิ 3 จักรวรรดิ มาห่ำหั่นกันใน 1 สมรภูมิ ณ ที่นี่ Austerlitz !! ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ ถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของเรา!! ชัยชนะเหนือจักรวรรดิทั้ง 2!! พวกมันจักต้องศิโรราบต่อเรา!!”
“เฮ!!!!!!!!!! นโปลียยนนนน!!”
“จักรพรรดิจงเจริญ!!”
“จักรวรรดิฝรั่งเศสจงเจริญ!!”
เหล่าทหารฝรั่งเศสนับหมื่นต่างโห่ร้องด้วยความฮึกเหิม แม้จะมีน้อยกว่าเกือบเท่าตัว แต่พวกเขาก็หากลัวไม่!! ในเมื่อตรงหน้าพวกเขาคือ นโปเลียน จักรพรรดิที่เข้มแข็งของเขา ภายใต้การนำของ นโปเลียนกองทัพฝรั่งเศสไม่เคยแพ้ใคร!! และวันนี้เช่นกัน!! ชัยชนะจะต้องตกเป็นของพวกเขา
ยิง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เฟี้ยวววววววววววววว ตูมมมมมม ตูมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมม เฟี้ยววววววววว ตูมมมมมมมมม โครมมมมมมมมมม ตูมมมมม ตูมมมมมมมม
การระดมยิงปืนใหญ่กว่า 315 กระบอก จากฝั่งพันธมิตร Austro – Russian เริ่มขึ้น ตอน 1000 น. ตรงครับ!! ปืนใหญ่ของพวกเขายิงถล่มมาที่มั่นของ ฝรั่งเศสใน St. Hilaire!! ด้วยความที่อยู่สูงทำให้ลูกกระสุนส่วนใหญ่โค้งลงและตกลงกลางหมู่บ้าน!!!! ปืนใหญ่ของพวกเขานั้นช่างทรงอานุภาพยิ่งนัก!!! ลูกปืนใหญ่ระเบิดกลางหมู่บ้าน ทำเอาทหารฝรั่งเศสวิ่งหาที่หลบกันยกใหญ่...!! บางคนหลบไม่ทันเจอแรงระเบิดจากปืนใหญ่ฉีกแขนฉีกขาออกจากกัน สะเก็ดระเบิดปลิวว่อนไปทั่ว ไม่พอลูกปืนใหญ่ยังยิงถล่มบ้านทำเอาเศษไม้กระเด็นกระดอนไปมา ทิ่มขามั้ง ทิ่มตามั้ง!! ทำเอาทหารฝรั่งเศสหลานายร้องลั่น!! ……… ทหารส่วนใหญ่ของพวกเขาบางคนหลบหลังกระสอบทราย ตามมุมตึกบ้าง บางคนก็หมอบเรียบลำธาร!... ตัวอองรี นั้นนั่งนิ่งในบ้านหลังหนึ่ง... แรงสั่นสะเทือนจากปืนใหญ่ทำให้บ้านหลังนั้นโครง!! แต่เขาก็หาหวาดหวั่นไม่ครับ เขานั่งนิ่งแววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความแค้น ความแค้นที่เหล่าชาติพันธมิตรพรากรักแรกไปจากเขา!! ….
เนิน Pratzen เวลา 1020 น.
ปืนใหญ่ของพันธมิตรนัดแล้วนัดเล่าระดมยิงอย่างต่อเนื่อง พลปืนใหญ่ต้องเอาน้ำราดเพื่อให้ปืนใหญ่เย็นลง และยิงได้ตลอดโดยไม่ต้องหยุด...... Kutozov ใช้กล้องส่องทางไกลมองลงมายัง St.Hilaire ซึ่งเขาก็เห็นทหารฝรั่งเศสวิ่งหลบไปมา เหมือนหนูโดนไล่ต้อนก็สะใจยิ่งนัก!!
“555+ ดูพวกมันสิ ช่างน่าเวทนาจริงๆ!!.........สั่งการณ์ให้พลปืนใหญ่พยายามเล็งไปที่ตึกรามบ้านช่อง!! ไม่พวกมันมีที่หลบ!!”
Kutozov สั่งให้นายทหารปืนใหญ่ไปกระจายคำสั่งของเขาให้ทราบโดยทั่วกันครับ.... ทาง พลตรี Sebestian สวมชุดเกราะและหมวกเหล็กแบบทหารม้าเต็มยศ... พร้อมลุยศึก.. เขาเดินมาคุย Kutozov….
“ถึงเวลาของกองทหารม้ายังท่าน Kutozov”
“ยังครับ รออีกสักพักหนึ่ง..... โชคดีน่ะ ผมไม่เห็นชาวบ้านในหมู่บ้านเลยแม้แต่คนเดียว.. ไม่งั้น จักรพรรดิของคุณโกธรผมตาย”
“ท่านเป็นรักสงบน่ะ ..... การตายของประชาชนทั่วไปทำให้เขาเศร้าเสียใจมาก..”
“อืม..... ผมเข้าใจครับ...แต่ยังไงซะสงครามมันก็ต้องมีความสูญเสีย”
“ใช่...ผมเข้าใจดี.....งั้นผมขอตัวก่อนล่ะครับ ถ้าต้องการให้โจมตีเมื่อไหร่ก็ส่งสัญญาณมาได้เลย”
ทาง Sebestian เดินจากไปครับ ส่วน Kutozov ก็ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะใช้กล่องส่องทางไกลสังเกตุการณ์การรบต่อ......
ค่ายทหารฝรั่งเศส เวลา 1040 น.
นโปเลียนใช้กล้องส่องทางไกลของเขา ส่องไปยังหมู่บ้าน St.Hilaire ก็พบว่าที่นั้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก ตึกรามบ้านช่องจำนวนมากถูกทำลายลงโดยฤทธิของปืนใหญ่ทหารฝรั่งเศสหลายพัน บาดเจ็บล้มตาย!!! โดยทีกองทัพของเขายังไม่ได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ!! แต่ถึงกระนั้น จักรพรรดิก็ยังคงเยือกเย็น เขายังคงมั่นใจในแผนของตน....
“ยิงได้ยิงไป ........เดี๋ยวได้รู้กัน”
เนิน Pratzen เวลา 1100 น.
เฟี้ยว ตูมมมมมมมมมมมม หวืดดดดดดดดดด ตุมมมมมมมมมม บรึ้มมมมมมมมมมม เป็นเวลากว่า 1 ชม. เสียงกัมปนาทจากปืนใหญ่ของรัสเซียยังคงระดมยิงอย่างไม่หยุดหย่อน สิ่งที่นายพล Kutozov ต้องการนั้นค่อนข้างบรรลุผลครับ ... ตึกรามบ้านช่องทั้งหลายพังลงมาเกือบหมด.... เหลือแต่เศษซากปรักหักพัง..และทหารฝรั่งเศสที่นอนร้องโอดโอยนับพัน!!... Kutozov ส่งสัญญาณให้ อาร์คดยุค Charles เคลื่อนทหารราบลงจากเนินทันที!!! ……..
“ทหารราบหน้าเดิน!!......”
ทหารราบจำนวนมหาศาลกว่า 60000 นายของพันธมิตร Austro – Russian เดินลงมาจากเนินอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยจำนวนที่มากกว่า และ สภาพของทหารฝรั่งเศสที่อยู่ตรงหน้า นั้นทำให้พวกเขาล้วนมีความฮึกเหิมยิ่งนัก กองทัพของพวกเขาค่อยๆเคลื่อนลงจากเนินมาอย่างเป็นระเบียบ เดินเป็นแถวเป็นแนวพร้อมกวาดล้างทุกอย่างที่ขวางทาง.......
ค่ายทหารฝรั่งเศส เวลา 1110 น.
นโปเลียนเห็นคลื่นทหาร จำนวนมหาศาลของเหล่าพันธมิตรเดินลงจากเนินอย่างย่ามใจ ก็ยิ้มอย่างดีใจครับ!! เป็นไปตามแผน!! กองทัพของพวกมันกำลังเดินเข้าสู่ทุ่งสังหารที่ นโปเลียน สร้างไว้อยู่!!...
“ที่มุมเงย 60 องศา.....”
นโปเลียนสั่งการณ์ให้เหล่าทหารปืนใหญ่ของเขาปรับมุมปืนองศาของปืนใหญ่ตามที่เขาต้องการครับ ด้วยความที่เขาเก่งคณิตศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้การคำนวณวิถีปืนใหญ่ของเขานั้นแม่นยำราวจับวาง... นโปเลียนชูมือขึ้นราวกับเตรียมพร้อมสั่งการณ์!....... สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังเขารอให้ทหารของเหล่าพันธมิตรเดินเข้ามาในระยะที่ต้องการ!! ………
“ยิงงงงงงงงง!!!!!!!!!”
นโปเลียนสะบัดแขนลงเป็นคำสั่งให้เปิดฉากระดมยิงปืนใหญ่ทุกกระบอก!!! ปืนใหญ่ กว่า 358 กระบอกต่างระดมยิงเข้าใส่ตีนเนินอย่างรุนแรง.....
เฟี้ยวววววววววววววว เฟี้ยววววววววววววววว ฟรุ่บบบบบบบบบบบบ เฟี้ยวววววววววววววว
เหล่าทหารพันธมิตรที่กำลังเดินลงมาจากเนินอย่างย่ามใจ ได้ยินเสียงแหวกอากาศของกระสุนปืนใหญ่นับร้อยดังมาแต่ไกล..... และเมื่อพวกเขาแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า ก็พบว่าลูกเหล็กหลายร้อยลูกนั้นกำลังจะตกลงมายังพวกเขา!!.........
ตูมมมมมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมม ว้ากกกกกกกกก ตูมมมมมม ฉึกๆๆๆ ตูมมมมมมม ตูมมมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมม
ระเบิดกัมปนาทไปทั่ว ผืนดินสั่นสะเทือนไปด้วยแรงอัดจากระสุนปืนใหญ่ ทหารพันธมิตรโดนโต้กลับบ้างด้วยปืนใหญ่ นโปเลียน!!! ร่างหลาย 10 แหลกเหลวหายไปกับตา...... สะเก็ดระเบิดปลิวว่อนได้รอบทิศทางเนื่องจากเป็นที่โล่ง.... บางชิ้นปลิวไปตัดขาของทหารคนหนึ่งและยังวิ่งตรงไปตัดขาทหารคนที่ 2!! .. แถวของพวกเขาเริ่มเว้าๆแหว่งๆและเป็นรูจากแรงระเบิด ถึงกระนั้นมันยังเป็นเรื่องปกติที่จะเจอเหตุการณ์แบบนี้ พวกเขายังคงเดินหน้าต่อ อีก 15 นาทีก็ถึง St. Hilaire แล้ว!! ทางนายพล Kutozov ก็ไม่ได้เอะใจอะไรครับ เพราะนึกว่ามันเป็นการยิงตอบโต้ตามปกติ.... และปืนใหญ่บนเนินของเขาก็ยังคงระดมยิงต่อไปใส่ St.Hilaire
St. Hilaire เวลา 1115 น.
หมู่บ้านชนบทอันอบอุ่นแห่งนี้ไม่เหลือเค้ารางอีกต่อไป บ้านส่วนใหญ่โดนถล่มด้วยปืนใหญ่จากฝั่ง..พันธมิตรจนถล่มลงมา เหล่าทหารฝรั่งเศสยังคงหาที่หลบกันตามภูมิประเทศ ..... นายพล อองรี เดินออกมาพร้อมด้วยสีหน้าแววตาที่จริงจังและซีเรียส!!.......
“เหล่าทหารแห่งจักรวรรดิ!! ใยพวกท่านจึงมัวมุดหัวอยู่แต่ในที่กำบัง!!.......... ศัตรูของพวกท่านอยู่ตรงหน้าแล้ว!! ไฉนจึงนิ่งเฉย!!.... จงประจำที่มั่นของพวกท่าน ใช้ปืนของเรายิงมันให้ด้าวดิ้น ล้างตาที่พวกมันทำให้กับเราที่ Pratzen!! เอาให้เลือดของมันชโลมแผ่นดิน!!....”
พอพูดจบ ทหาร Old Guard องครักษ์ของนโปเลียนกว่า 5000 ก็เดินออกมาแถวมา.. (ไปหลบลูกปืนใหญ่ซะไกล 55) ..... สมทบกับทหารของอองรี ทำให้พวกเขามีกำลังใจขึ้นมาบ้างที่ได้กองหนุน ทั้งทหารราบและเหล่า Old Guard ต่างเข้าประจำกระสอบทราย และทตำแหน่งที่พร้อมสำหรับการรับมือการบุก... ซึ่งในทหาร Old Guard ที่อยู่แถวหน้านั้นมี มาควิส ดิออน เลอแคล ทหาร Old Guard หญิงอยู่ด้วยครับ.......
ขณะเดียวกันการระดมยิงจากปืนใหญ่ของฝรั่งเศสก็เริ่มทรงประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเข้าใกล้ยิ่งขึ้น!! ตูมมมมมม!! ว้ากกกกกกก ตูมมมมมมมมม!! ห่ากระสุนปืนใหญ่ตกใส่เป้าหมายอย่างแม่นยำราวกับถูกกำหนดไว้ว่าให้ตกตรงไหน!! ซ้ำร้ายยังไร้ที่กำบังไม่มีหยุดเขาจากห่ากระสุนนรกได้ ทหารพันธมิตรบางแถวหายไปทั้งแถวเนื่องจากโดนปืนใหญ่ยิงใส่จนละลาย!! รอบข้างของพวกเต็มไปด้วยดงระเบิด..!! ทหารหลายร้อยนาย ลอยขึ้นฟ้า บางคนล้มนอนลงไปด้วยความเจ็บปวด เริ่มสร้างความปั่นป่วนให้กับกองทัพพันธมิตรเหล่าทหารที่ยังเหลือรอดและเดินมาเมื่อเห็นเพื่อนของเขาล้มตายลงทีละคน 2 คนจนหมดทั้งกอง..... คนที่ยังเดินอยู่หลายคนเริ่มใจฝ่อ...... แต่ตรงหน้าของพวกเขาอีกประมาณ 200 หลาคือ หมู่บ้าน St. Hilaire ซึ่งเป็นเป้าหมาย...... แต่ข้างหน้าของพวกคือลำธารเล็กๆซึ่งพอจะให้คนเดิมข้ามไปได้ ....... แต่นั้นเท่ากับว่าทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ช้าลงเป็นกอง!!... ทาง อองรี เห็นทหารพันธมิตรมาใกล้ขนาดนี้ก็สั่งให้เตรียมตัวทันที!!
“พวกมันเข้ามาใกล้ระยะยิงแล้ว!!! เตรียมพร้อม!!”
เหล่าทหารฝรั่งเศสนั้นประทับปืนขึ้นบ่าครับ.. ส่วน ดิออน นั้นถือกระบี่ยาวคอยคุมกองร้อย Old Guard ที่ 9 ของเธอ!!.... แต่การระดมยิงจากปืนใหญ่ของฝั่งตรงข้ามยังคงมีเป็นระยะๆครับ ทหารฝรั่งเศสหลายนายที่ลุกขึ้นมาทำท่าเตรียมพร้อม เจอลูกปืนใหญ่โฉบเอาหัวหลุดจากบ่า บางคนเจอลูกปืนใหญ่กระแทกใสหน้าอกจนระเบิดออกมา แต่พวกเขายังคงยืนนิ่งพร้อมรอรับการบุก.......ทหารพันธมิตรนั้นเดินเข้ามาติดกับลำธาร!! โดยเป็นระยะ 100 หลาพอดีครับ!!
“ยิงงงงงงงงงงงงงง!!!”
เสียงแหลม แต่ทรงพลังของ ดิออน สั่งการณ์ออกมา เหล่าทหารฝรั่งเศสยิงซัลโวใส่ทหารพันธมิตรที่มาถึง!!! ฟิ้ววววว ฟิ้วววว ปังๆๆๆๆๆๆ ....... เหล่าทหารพันธมิตรล้มลงระเนระนาดบ้างโดนกระสุนเจาะเข้าขาจนล้ม!! บางล้มลงกลิ้งลงลำธารหาย!!
“ยิง!!!!!!!!”
ปังๆๆๆๆๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ เหล่าพันธมิตรยิงกลับบ้างครับ!!... แต่เหล่า ทหารฝรั่งเศสมี กระสอบทรายและที่กำบังกั้นลำตัวของพวกเขาไว้!! อำนาจการทำลายล้างของปืนเลยลดลงมากครับ!! กระสุนพุ่งไปปะทะกับเหล่าที่กำบัง แต่ก็มีหลายนัดที่พุ่งทะลุหัว และ ลำคอของทหารฝรั่งเศส!! ทำให้พวกเขาล้มลง.....
“แถว 2 ยิง!!!”
ทหารฝรั่งเศสแถว 2 ยิงใส่แถวทหารพันธมิตรต่อ เปิดทางให้แถวแรกถอยไปบรรจุกระสนุใหม่... ทหารพันธมิตรในแถวแรกเริ่มเสียหายหนัก พวกเขาล้มลงไปกองกับพื้นความสุญเสียมากขึ้น ในขณะเดียวกันแถวกลางๆ และ หลังๆก็ยังคงโดน ปืนใหญ่ฝรั่งเศสถล่มอย่างไม่บันยะบันยัง!!! ทหารพันธมิตรหลายพันที่ยังไม่ได้สู้รบโดนปืนใหญ่ยิ่งใส่จนเสียหายหนัก!! เศษซากกระจุยกระจายไปมาตามพื้น บนพื้นเต็มไปด้วยทหารพันธมิตรหลายร้อยนอนร้องคราญคราง!! อานุภาพมันช่างรุนแรงยิ่งนัก ทหารในแนวหลังหลายนายเริ่มวิ่งหนีกลับขึ้นเนิน !!
“แถวที่ 2 ยิง!!!!”
ทหารพันธมิตรยิงตอบโต้กลับ ปังๆๆๆ ปังๆๆๆๆ กระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวหัว ดิออน ไปและไปโดน Old Guard ข้างๆแทน แต่เธอยังยืนนิ่งสมเป็นหญิงเหล็ก! ทหารฝรั่งเศสหลายนายโดนกระสุนเข้าที่แขนบ้าง ไหล่บ้าง ทำให้พวกเขาบาดเจ็บและล้มลงแต่ส่วนใหญ่ของพวกเขายังปลอดภัย การยิงของพวกเขาช่างไร้อานุภาพเนื่องจากที่กำบังของพวกฝรั่งเศส........
แถว 3 ยิง!!!
ปังๆๆๆๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฟุ่บบบ อ๊ากกกกก ว้ากกกกกกกกก เหล่าทหารพันธมิตรร่วงกราวเมื่อเจอการระดมยิงจากฝั่งฝรั่งเศส ทหารหลายนายล้มตายกองสุมกัน..... ศพหลายศพกลิ้งตกลงลำธารข้างหน้าและลอยไปตามไม่ใช่แค่นั้น ปืนใหญ่ของฝรั่งเศสก็ยังระดมยิงใส่ไม่หยุด!! ฉีกแขนฉีกขาของทหารที่อยู่แถวหลังออกเป็นชิ้นๆ!! เหล่าทหารพันธมิตรกำลังยืนอยู่ในทุ่งสังหารอันโล่งและที่กำบัง!!......
เนิน Pratzen 1130 น.
Kutozov เฝ้ามองสภาพการณ์การรบอยู่บนเนินกึค่อนข้างเจ็บใจครับที่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้...... ทาง อาร์คดยุค Charles เดินเข้ามาเพื่อปรึกษากับเขา
“ผมว่าเราถอยกลับมาตั้งหลักก่อนดีกว่าไหม ขืนดันทุรังบุกต่อไปเดี๋ยวจะสูญเสียหนักกว่านี้”
“ผมก็ว่างั้นแหละ….. ไม่นึกจริงๆว่าการระดมยิงของพวกมันจะหนักหน่วงขนาดนี้!!”
แต่ก่อนที่เขาจะทันตัดสินใจ Sebestian ควบม้ามาหาเขาแต่ไกล!! ….. Sebestian ลงจากหลังม้าด้วยสีหน้าที่งงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“ท่านรออะไรอยู่......... กองทหารม้าของผมยังไม่ได้เริ่มปฎิบัติการณ์เลย”
“เราต้องพลิกแพลงตามสถานการณ์ตรงหน้าท่านนายพล......... เดี๋ยวเวลา 1230 ทหารของเราจะรวมพลใหม่และกลับลงไปตีอีกรอบ!! … คราวนี้ใช้ทหารม้าของคุณอ้อมไปด้านหลังจัดการกับปืนใหญ่ของมันเลยไม่ต้องรอเราตี St.Hilaire ให้แตกแล้ว!!”
“ทำแบบนั้นมันบ้าเลยน่ะ.... ถ้าไม่รอสถานการณ์ให้มันคับขันแล้วเข้าตี มีหวังได้โดนทหารม้าของมันสกัดไว้ก่อนแน่!!”
“ถึงเสี่ยงก็ต้องทำ ท่าน Sebestian ….. นี่เป็นทางเดียวที่จะหยุดยั้งไม่ให้ปืนใหญ่ของพวกมันยิงได้!!”
พอพูดจบ Sebestian ก็ขึ้นหลังม้าและควบกลับไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ Kutozov สั่งให้ทหารที่รบติดพันอยู่ถอยหลับ!! ทหารพันธมิตรพอเห็นสัญญาณธงให้ถอยก็รีบวิ่งหนีกลับขึ้นเนินกันอย่างจ้าวละหวั่น!!! โดยมีปืนใหญ่ยิงไล่หลัง!! ในขณะเดียวกันบริเวณ St. Hilliare ทหารพันธมิตรที่หันหลังหนีเลยโดนยิงไล่หลัง!!! ทหารหลายนายล้มลงหน้าคว่ำ!! เมื่อโดนยิงทะลุกระดูกสันหลัง!! แต่ทหารส่วนใหญ่ยังคงหนีไปได้ แต่นั้นก็ทำให้เหล่าทหารฝรั่งเสสที่ St. Hilaire นั้นโห่ร้องออกมาได้อย่างฮึกเหิม!!
“เฮ้!!! ไปให้พ้น ไอ้พวกออสเตรีย!!”
“วันนี้ชัยชนะจะเป็นของเราเว้ยยยย!!”
“มันยังแค่เริ่มต้น”
เสียงของผู้กองสาว ดิออน ย้อนแย้งออกมาทำเอาเหล่า Old Guard งงงันยิ่งนัก นี่เพิ่งเริ่มเหรอแล้วเมื่อไหร่จะจบว่ะ!!!
เนิน Pratzen เวลา 1230 น.
ในตอนนี้ทหารพันธมิตรได้ถอยขึ้นเนินและรวมพลกันใหม่เป็นที่เรียบร้อยครับ แต่เบื้องล่างบริเวณตีนเนิน นั้นเต็มไปด้วยซากศพของเหล่าพันธมิตรกว่า 6500 นาย!!! สภาพศพนั้นส่วนใหญ่โดนแรงระเบิดอัดจนเละไม่เป็นชิ้นดี บางร่างตัวขาดครึ่งไส้ทะลักออกมากรองข้างนอก บางศพพรุนไปด้วยสะเก็ดปืนใหญ่ แต่มีบางนายนั้นยังไม่ตายและร้องโอดโอยกับพื้น หวังว่าจะมีคนมาช่วย....... คราวนี้ Kutozov สั่งการณ์ใหม่อีกครั้งโดยให้บุกโจมตีอย่างรวดเร็ว เอาง่ายๆเลยเขาจะใช้ยุทธวิธีแบบคลื่นมนุษย์ครับ วิ่งชาร์จเข้าไปรบระยะประชิด!! ใช้จำนวนมากกว่าเข้าโถมให้ตนได้เปรียบ!! Kutozov ให้สัญญาณบุกอีกครั้งครับ แต่คราวนี้ไม่เหมือนคราก่อน เหล่าทหารรพันธมิตรวิ่งลงจากเนินอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่ง เพื่อให้ระยะเวลาที่อยู่บนทุ่งสังหารน้อยสุด!!
“เฮ บุกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!”
Kutozov ทุ่มหมดหน้าตักครับเข้าใช้ทหารกว่า 80000 นายหรือเกือบทั้งหมดบุกเข้าชาร์จใส่แนวรับของฝรั่งเศสที่ St. Hailire !! ในขณะเดียวกันทหารม้าของ Sebestian ก็เคลื่อนขึ้นเหนือตีออกห่างไปโดยจะพาทหารม้าวกอ้อมไปตีแนวหลังของฝรั่งเศสที่มีปืนใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่หลังแนวป่าสน… ส่วนปืนใหญ่ของฝั่งพันธมิตรยังคงระดมยิงอย่างไม่หยุดหย่อนใส่แนวข้าศึก!!
ค่ายทหารฝรั่งเศส เวลา 1245 น.
นโปเลียนดูสถานการณ์อยู่นั้นถึงกับยิ้มเลยครับ ทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่วางเอาไว้.. ทหารกว่า 80000 นายลงจากเนิน และ เนิน Pratzen ในตอนนี้ว่างเปล่าและมีทหารน้อยเต็มทน!!.....
“มูร่าต์ คอยสกัดม้าของพวกมันไว้!......... ดาวอย เดี๋ยวสั่งให้ทหารของคุณที่เหลือไปสมทบกับ อองรี ที่ St. Hilaire “
พอพูดจบ ดาวอย ก็นำกองกนุนฝรั่งเศสกว่า 30000 นายเดินไปที่หมู่บ้าน St . Hilaire ในขณะเดียวกัน กองทหารปืนใหญ่ของฝรั่งเศสก็ยิ่งใส่ทหารพันธมิตรที่บุกชาร์จลงจากเนินราวกับน้ำป่าไหลหลาก!! ….
ตีนเนิน Pratzen ใกล้หมู่บ้าน St. Hilaire เวลา 1250 น.
เฟี้ยวววววววววววว ตูมมมมมมม ตูมมมมมมมมม ว้ากกกกก เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ บุกกกก ตูมมมมม ตูมมมมม เฟี้ยววววววว ตูมมมม ตูมมมมมมม
ปืนใหญ่ของฝรั่งเศสยังคงยิ่งถล่มอย่างต่อเนื่องเหมือนในช่วงการรบช่วงแรกๆ แต่คราวนี้ทหารพันธมิตรไม่ได้เดินเป็นแถวเป็นแนวเหมือนงวดแรก!! พวกเขาต่างวิ่งด้วยความเร็วสูงและกระจายตัวกันออกไป เพื่อลดอานุภาพการยิงจากปืนใหญ่ที่จะทำต่อพวกเขา ถึงกระนั้น ปืนใหญ่พระราชทานจากนโปเลียนก็ประเคนความสูญเสียแก่ฝั่ง พันธมิตรได้อยู่ดี!! เหล่าทหารวิ่งลงจากเนินมา ต่างถูกระเบิดจากกระสุนปืนใหญ่ซัดจนกระเด็นไปคนละทิศละทางหลายคนาย!! บางนายวิ่งๆอยู่ ... ตูมม... เพื่อนข้างๆหายไปเฉย 555+ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและคำรามอย่างฮึกเหิม ปนๆกันจนแยกไม่ออก แต่ที่ดังฟังชัดคงเป็นเสียงของปืนใหญ่นี่แหละ...... ในตอนนี้มวลคลื่นมนุษย์ของพวกเขาวิ่งมาถึง ลำธารหน้าหมู่บ้าน สถานที่ที่พวกเขาต้องมาหยุดชะงักลงเมื่อ ราวๆชั่วโมงก่อน!! แน่นอนครับ แถวของทหารฝรั่งเศสที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นพร้อมรับมือกับการโถมเข้ามาของทหารพันธมิตร!! ดิออน Old Guard หญิงนั้นหาหวาดหวั่นไม่... นางชักดาบออกจากฝักอีกครั้ง พร้อมสั่งการณ์!!
“พร้อม!!!!!!”
เหล่าทหารพันธมิตรวิ่งมาถึงแนวลำธาร........
“ยิงงงงง!!”
ปังงงงงงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เหล่า ทหารพันธมิตรโดนยิงจนล้มตายไปหลายนาย แต่พวกเขายังคงวิ่งดาหน้ามาอย่างไม่หยุด!! ด้วยความที่พวกเขากระจายตัวกันอยู่ทำให้อำนาจการยิงนั้นส่งผลน้อยลง!!..... ถึงอย่างไรก็ตามพวกเขาเริ่มทยอยตะลุยข้ามลำธารมา ซึ่งถึงแม่น้ำจะไหลเอื่อยๆและตื้นเขิน แต่นั้นเพียงพอที่จะลดความเร็วของพวกเขาลง!!.....
“แถว 2 ยิง!!”
คราวนี้เหล่าทหารพันธมิตรที่อยู่กลางลำธารเหมือนเป้านิ่ง พวกเขาหลายร้อยถูกยิงจนล้มลงศพลอยไปตามกระแสน้ำ!!! ลำธารเริ่มกลายเป็นสีแดง!... แต่ด้วยความที่มากเหลือเกินเหล่าทหารพันธมิตรเลยโถมเข้ามาเรื่อยๆ..... แต่ฝั่งทหารฝรั่งเศสอาศัยการยิงอย่างพร้อมเพรียงยิงเข้าใส่ทหารพันธมิตรที่พยายามเข้ามา จนลำธารแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสนิท!!.... ศพเริ่มกองถมจนลำธารตื้นเขิน............สุดท้ายพันธมิตรก็สามารถแหวกดงกระสุนและฝ่าเข้าไปหาแนวหน้าของทหารฝรั่งเศสได้ครับ!!.....
“ยิงงงงง......”
ปังๆๆๆๆๆๆ ถึงข้ามลำธารมาได้ ก็พบว่าการระดมยิงอย่างหนักของฝรั่งเศสนั้นก็สร้างความเสียหายให้กับเหล่าทหารที่ข้ามมา.. จนกระทั่ง!!
Grenadier!!!
เหล่าทหารร่างยักษ์แห่งรัสเซียกว่า 8000 นายเดินทางมาถึงครับ... พวกเขานั้นถูกเก็บไว้บริเวณแนวตรงกลางเพื่อให้เสียหายน้อยที่สุด!! พอพวกทหารพันธมิตรข้ามลำธารมาได้เหล่า Grenadier นั้นตามหลังพวกเขามาติดๆและใช้ทหารพวกแรกๆเป็นโล่กำบังกระสุนเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใกล้พอ!! เหล่า Grenadier ขว้างระเบิดมือพวกเขาเข้าใส่แนวรบของฝรั่งเศส อย่างพร้อมเพรียง!! ฟ้าวววววว ฟ้าววววววววว ฟ้าวววววววว ตุบบบบบ ตุบบบบบ ตุบบบบบบบบบบ
ตูมมมมมมมม ตูมมมมมมมม ตูมมมมมม บรึ้ม ฉัวะ ฉึกกกก ว้ากกกกกกกก
ลูกระเบิดนับพันลูกต่างระเบิดใส่แนวรับของฝรั่งเศสพร้อมกัน เหล่าทหารที่ประจำตามกระสอบทรายและที่กำบัง ต่างโดนระเบิดเข้าเล่นงาน!!.. แรงระเบิดทำให้แขนขาของเหล่า Old Guard หลายนายขาดกระเด็น บางสะเก็ดระเบิดฝังลึกเข้าที่ขา หรือ พุ่งผ่านลำตัวทำให้พวกเขาล้มลงเกรียวกราว แม้แต่ ดิออน เองก็โดนแรงอัดระเบิดกระแทกเอาจนปลิวไปกระแทกบ้านหลังหนึ่งวึ่งอยู่ใกล้ๆ เธอหมดสติลงในที่สุด... เท่านั้นแหละครับเหล่า Grenadier และทหารราบพันธมิตรหลายหมื่นต่างกรูเข้าจู่โจ่มทหารราบฝรั่งเศสทันที การต่อสู้อย่างถึงตัวได้เกิดขึ้นแล้ว!! ย้ากกกก ฉึกกกก ว้ากกกก ฉึกกก ป้าบบบบบ ปั้กกกก เหล่าทหารพันธมิตรนั้นได้กรูกันเข้าโรมรันกับ ทหารฝรั่งเศส ดาบปลายปืนถูกใช้เสียบร่างฝ่ายตรงข้ามจนทะลุ!! ทหารฝรั่งเศสใช้ดาบปลายปืนแทงเข้าที่ ทหารลำตัวทหารออสเตรียนายหนึ่งที่วิ่งเข้ามา แต่เจอทหารรัสเซียอีกนายพุ่งเข้ามาเสียบดาบเข้าที่ลำคอจนทะลุ เหล่า Grenadier นั้นอาศัยความยักษ์ของพวกเขากระแทกให้ทหารฝรั่งเศสล้มลง!! บางคนเอาปืนมาฟาดฝ่ายตรงข้ามจนปืนหักเป็น 2 ท่อน!! …….. แต่เหล่า Old Guard ของฝรั่งเศสนั้นวินัยเยี่ยมพวกเขาไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวถึงมีจะมีน้อยกว่าก็ตาม......
ชายป่าสนหลังแนวทหารฝรั่งเศส เวลา 1308 น.
ทหารม้าพันธมิตรกว่า 8500 นำโดย นายพล Sebestian ควบมาถึงบริเวณชายป่าสน ถึงใกล้ถึงแนวหลังของทหารฝรั่งเศส.... Sebestian ใช้กล้องส่องทางไกลของเขามองดูไปที่บริเวณค่ายของทหารฝรั่งเศส..... และเขาก็พบว่ามันใกล้มากไม่ถึง ไมล์ ด้วยซ้ำ!! เขาสังเกตเห็นได้เลยว่า ปืนใหญ่ฝรั่งเศสยังระดมยิงอย่างไม่หยุด …..
“บุกกกกกกกกกกกก!!”””
แต่แล้วชายป่าสนที่เคยสงบทั้ง 2 ข้างกลับกลายเป็นว่า เหล่าทหารม้าฝรั่งเศสทั้งหลายนั้นซุ่มเงียบ รอให้กองทหารม้าของพันธมิตรเคลื่อนมาตามที่ นโปเลียนคาดไว้เป๊ะๆ!! กองทหารม้าพันธมิตรถูกโจมตีอย่างสายฟ้าแลบไม่ทันตั้งตัว ถูกการชาร์จอย่างหนักหน่วงเข้าไปทำเอาเสียขบวน.... ทหารม้าออสเตรียหลายนายโดนแทงล่วงตกจากหลังม้าทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เงื้องดาบด้วยซ้ำ….. Sebestian ก็นำม้าของเขาเข้าสู้อย่างสุดความสามารถเขานำปืน Musket Sniper Rifle ของเขาออกมาและยิงเข้าใส่ทหารม้าฝรั่งเศสนายหนึ่งจนล้มลง แต่นั้นไม่พอจะหยุดกองทหารม้าของ ฝรั่งเศสได้...
ค่ายทหารฝรั่งเศส เวลา 1315น.
ปืนใหญ่ของฝรั่งเศสยังคงระดมยิงใส่ทหารของพันธมิตรที่โถมลงมาแบบไม่หยุด... นโปเลียนนั้นใช้กล้องส่องทางไกลสอดส่องไปทางหมู่บ้าน St. Hilaire ก็พบว่าการรบที่นั้นเข้าใกล้จุดวิกฤตเต็มทน การต่อสู้แบบถึงตัวได้เกิดขึ้นในที่นั้น!! ทหารของอองรี ประมาณ 13000 ต้องรับมือกับทหารพันธมิตรที่มีมากกว่า 40000 ในแนวรบตรงนั้น.....
“ดาวอย.......ไปถึงให้ทันท่วงทีล่ะ...”
เขาบ่นพึมพำกับตนเองในใจนั้นเต็มไปด้วยความกดดัน เพราะถ้า ดาวอย ไปถึงไม่ทันนั้นอาจจะความว่ากองทัพตรงนั้นต้องละลายไปทั้งหมด!! … ในขณะเดียวกัน ผู้พันนายหนึ่งควบม้าตรงมาหา นโปเลียน เพื่อรายงานสถานการณ์ให้เขาทราบ....
“กองทหารม้าของท่าน มูร่าต์ เข้าปะทะกับพวกพันธมิตรแล้ว พ่ะย่ะค่ะ!!”
“งั้นเหรอ!!”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้ดูท่าทางทหารม้าฝั่งเราจะได้เปรียบ น่าจะหักชัยเหนือพวกมันได้”
นโปเลียนรีบเอากล้องส่องทางไกลส่องขึ้นเนิน Pratzen ทันทีก็พบว่า บนเนินในตอนนี้เหลือทหารพันธมิตรแค่ไม่กี่พันเท่านั้น!! และที่สำคัญเข้าเห็นเหล่า นายทหารระดับสูง และ จักรพรรดิทั้ง 2 แห่งชาติพันธมิตรอยู่บนนั้นอีกด้วย!! ทหารของพวกเขาโดนล่อให้ลงมาจากเนินหมดแล้ว!! นโปเลียนนี้ถึงกับยิ้มอย่างดีใจคลายความกดดันที่มี
“ได้เวลาปิดเกมส์แล้ว!! ซอล แบ่งของคุณเป็น 2 กอง กองแรก 10000 นายเข้าโจมตีปีกซ้ายของมันทันที!!! โอบมันไว้จากด้านข้างให้พวกมันหนีไปทางใต้ได้อย่างเดียว... ส่วนที่เหลืออีก 13000 และทหารม้า 1500 จะรีบบุกขึ้นเนินเข้าโจมตีกองปืนใหญ่ของพวกมันและจัดการกับกษัตริย์ของพวกมันซะ!!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
นายพล ซอล รับบัญชาและเร่งนำทัพของเขาทำตามแผนของ นโปเลียนโดยเร็ว!! …
St. Hilaire เวลา 1325 น.
การต่อสุ้อย่างถึงตัวนั้นดำเนินไปอย่างดุเดือด..ทหาร Old Guard ต้องรับมือการโถมเข้าโจมตีของคลื่นทหารพันธมิตรอย่างเหนี่ยวแน่น... สวบบบบ ดาบปลายปืนถูกแทงทะลุ Grenadier ร่างยักษ์ผู้หนึ่ง แต่ Grenadier คนนั้นไม่ตายทันที... เขาจับปืนของทหารฝรั่งเศสนายนั้นไว้แน่น ทำให้เขาดึงดาบปลายปืนไม่ออก พลางใช้ดาบฟันทหารฝรั่งเศสนายนั้นจนแขนขาดออก.... Grenadier หลายนายนั้นได้สร้างความเสียหายให้ทหารฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก... ดิออน ได้สติมา.. เธอลืมตาขึ้นพบว่า รอบตัวเธอนั้นเต็มไปด้วยการต่อสู้แบบตัวต่อตัว!! ทุกคนสังหารกันด้วยอาวุธระยะประชิด!! เธอส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นมาได้ Grenadier ผู้หนึ่งเดินมาหาเธอ พร้อมกับดาบทั้ง 2 เล่มในมือ..... เขาทำหน้าอย่างหื่นกระหายเล็กน้อยเมื่อเห็นคู่ต่อสู้เป็นหญิง... ดิออน ก็หากลัวไม่ครับ เธอชักดาบ Raiper ออกมา...... ทั้ง 2 เดินจดๆจ้องๆสักพักก่อนจะวิ่งเข้าปะทะกัน ด้วยแรงปะทะทำเอา ดิออน ล้มลงตอนดาบประกัน!! …. Grenadier ฟาดดาบลงไปที่ร่างของดิออน... ตานางไหวตัวทันกลิ้งหลบได้ครับ... ดิออน ลุกมาได้ครับ Grenadier หันหน้ามาทางนางพลางวิ่งเข้าไปฟัน... ดิออน กระโดดขึ้นไปยืนบนกระสอบทรายหลบการฟันของ Grenadier อย่างคล่องแคล่ว Grenadier ยังงงๆอยู่เจอนางถีบจนหน้าหัน!! Grendier ผู้นั้นก้มหน้าลงยืนมึนเล็กน้อย... เป็นโอกาสให้ ดิออนกระโดดลงมาฟันดาบเข้ากลางกบาล Grenadier ผู้นั้น
โป๊ะ!!!
หัวของเขาแยกออกเป็น 2 เสี่ยงครับ!! ร่างยักษ์ของเขาล้มหงายหลังลง.... ถึงแม้จะล้มยักษ์ได้ แต่ทหารฝรั่งเศสส่วนใหญ่ไม่ได้ OP แบบ ดิออน... สถานการณ์ที่ St. Hilaire นั้นเลวร้ายสัสๆ ทหารพันธมิตรทะลัก เข้ามาเรื่อยๆด้วยจำนวนที่มากกว่า.... ทหารราบฝรั่งเศสนายหนึ่งโดนรุมแทงด้วยดาบปลายปืน บางคนกำลังยื้อยุทธแย่งปืนจากอีกฝ่าย เจอทหารรัสเซียเอาดาบปลสยปืนมาแงจากด้านหลัง! ทหารบางคนต้องรับมือกับทหาร 3 นาย!! นายพล อองรี นั้นหากลัวไม่ ความเกลียดชังต่อข้าศึกนั้นพุ่งสูงกว่าเหล่าทหารทั่วไป!! เขาชักดาบออกมาและรบอย่างบ้าเลือด!!! Ring Hilt Swiss Saber ในมือของเขากวัดแกว่งไปมาเอาชีวิตทหารทุกนายตรงหน้า!! ทหารออสเตรียนายหนึ่งวิ่งมาหมายเอาดาบปลายปืนจะแทงเขาให้พรุน!! ...ฟุ่บ..เขาแทงพลาดครับอองรีใช้แขนนั้นหนีบปืนเอาไว้..ก่อนจะทันได้แทง!!... อองรีฟันดาบใส่แขนของทหารผู้นั้นจนขาดวิ่น!!... จ๊ากกกก ทหารผู้นั้นร้องด้วยความเจ็บปวด!! ก่อนเขาจะเอาดาบแทงสวบเข้าที่ลำตัวทหารผู้นั้น!! ไม่พอเขาชักดาบออกและแทงซ้ำอีก!! สวบ!! สวบ!! สวบ!! สวบ!! แทงจนทหารผู้นั้นพรุนไปด้วยแผลเหวอะ.... สายตาของเขายังคงดูอำหมิต หมายจะเอาเลือดพันธมิตรทุกคนชโลมแผ่นดินตามที่พูด.......... แต่คแค่ความบ้าเลือดของเขาคนเดียวมันไม่อจะหยุดมวลกองทัพมหาศาลของพันธมิตรหรอก...
กองทัพของนายพล ดาวอย มาถึงแล้วครับ.....!!! พวกเขาเดินขบวนมาอย่างพร้อมเพรียง..... มาได้ถูกจังหวะถูกเวลาจริงๆ!! อองรี นี่ยิ้มอย่างดีใจเลยครับ!! กองหนุนมาถึงแล้ว!! ทหารราบพันธมิตรหลายนายพอเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปใส่แนวทหารฝรั่งเศส...
“ยิงงงง!!!”
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ทหารที่วิ่งออกมาเหล่านั้นล้วนเป็นเหยือของการยิงซัลโวจากเหล่าทหารราบฝรั่งเศส!! ซึ่งมาอย่างเป็นระเบียบ.............. ทหารฝรั่งเศสของดาวอย จึงเปิดฉากยิงซัลโวใส่ทหารราบพันธมิตรเพื่อลดทอนกำลังของพวกเขาลงเรื่อยๆๆๆ...
เนิน Pratzen 1337 น.
นายพล Kutozov เฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนเนินเริ่มใจไม่ค่อยดีครับ ทหารพันธมิตรกว่า 80000 (น่าจะเหลือไม่ถึง 80000 ล่ะตอนนี้) ลงไปต่อสู้ที่หมู่บ้าน St. Hilaire มาเกือบ ชั่วโมง แต่ยังตีหมู่บ้านไม่แตก.... ในขณะที่กองปืนใหญ่ของฝรั่งเศสก็ไม่มีทีท่าจะหยุดยิง แต่แล้ว...........
“เฮ้ยยยยยยยยยยยย!!”
ทหารม้าฝรั่งเศส 1500 นายวิ่งออกจากแนวป่าสนมาและกำลังตรงมาทางพวกเขาอย่างว่องไวครับ ตอนนี้บนเนิน มีแต่กองทหารปืนใหญ่ (ซึ่งศักยภาพในการสู้ระยะประชิดมันไม่มีอยู่แล้ว) กับทหารม้าและทหารองรักษ์รวมกันไม่เกิน 1200 !!! ถ้าบุกขึ้นมาได้เสร็จแน่!! ….
“ชิ หายยยยยย มันมาได้ยังไงว่ะเนี่ย!!! ทหารหยุดมานนนน”
ทหารม้าควบมาด้วยความเร็วสูง ทหาร Emperor Guards หลายนายต่างยิงใส่ทหารม้าฝรั่งเศสที่ควบม้า!! แต่ด้วยความร้อนรนทำให้พวกเขาไม่ได้ตั้งแถวแต่อย่างใด ต่างยิงกันคนละโป้ง 2 โป้ง ทำเอาทหารม้าฝรั่งเศสล้มไป 2 – 3 นาย!! แต่ด้วยความว่องไวของพวกเขาไม่กี่อึดใจพวกเขาก็ควบถึงยอดเนิน Pratzen ทำเอาเหล่าทหารปืนใหญ่แตกกระเจิงคนละทิศละทาง!! เหล่าทหาร Guards นั้นไม่ทันตั้งแถวเจอเหล่า ทหารม้าฝรั่งเศสวิ่งเข้าไล่ฟันจนลงไปล้มตายหลายนาย!!.. พระเจ้า Francis II กับ อาร์คดยุค Charles พอเห็นดังนั้นก็พาทหารม้า Arcduke Ferdinan Guard กว่า 100 นาย เข้าประจัญบานกับฝรั่งเศสทันที!! ส่วนนายพล Kutozov นั้นรีบทัดทานพระเจ้าซาร์เป็นการใหญ่ไม่ให้เขาร่วมกับการรบ
“หนีเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ในตอนนี้ยังไม่สาย!!!..”
“แล้วถ้าหนีใครจะบัญชาการรบต่อล่ะ!!”
“แต่ถ้าไม่หนีตอนนี้จะไม่เหลือใครเลยน่ะพ่ะย่ะค่ะ!!”
“ปัดโธ่ จะให้ข้าทิ้งเพื่อนไว้กลางสนามรบหรือไงว่ะ!!”
“ถ้าเขาฉลาดเขาควรรู้ตัวว่าต้องทำอย่างไร!!”
ว่าแล้ว Kutozov ไม่ฟังใครทังนั้นครับควบม้าหนีไปแล้วทิ้งให้ใครบัญชการต่อก็ไม่รู้ 55+ ในขณะที่พระเจ้าซาร์ มองไปทาง พระเจ้า Francis II เป็นครั้งสุดท้ายด้วยความสงสารก่อนจะควบม้าหนีตาม Kutozov ไป พร้อมเหล่าทหารม้าองครักษ์อีก 50 นาย!! พระเจ้า Francis II นั้นไม่ได้ปรีชาด้านการรบ ไม่นานนักพระองค์ถูกนายทหารม้าฝรั่งเศสผู้หนึ่งกระแทกจนตกลงม้า..... ปั้ก!! จักรพรรดิทรงล่วงตกลงมาและก่อนที่พระองค์จะลุก ทหารม้าผู้นั้นก็ลงจากหลังม้าและเหยียบที่หน้าอกของพระองค์ พร้อมเงื้องดาบขึ้นราวกับจะฟันพระองค์ให้ตาย!!
“หยุดน่ะ มาควิส เราไม่ใช่พวกป่าเถื่อน!!”
เสียงของนายพล ซอล ดังขึ้นทันทาน ผู้กอง มาควิส เดอย์ เลเฟย์ ที่กำลังจะปลิดชีพพระเจ้า Francis II อยู่แล้ว!! มาควิส ทำหน้าเซ๊งๆเล็กน้อยก่อนจะเก็บดาบของตนเข้าฝัก การต่อสู้รอบๆจบลง...ทหารม้าฝรั่งเศสนั้นมีชัยเหนือทหารพันธมิตรที่อยู่บนเนินเพียงเล็กน้อย... และพระเจ้า Francis II กับ อาร์คดยุค Charles ถูกจับตัวได้ในสนามรบ
“เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
นายพลซอล ปฎิบัติกับ Francis II อย่างให้เกียรติ ถึงแม้จะแกมบังคับก็ตาม!!.... เขาเชิญ พระเจ้า Francis II เข้าไปประทับในเต็นท์ของพระองค์และคุมตัวไว้ในขณะเดียวกัน ก็สั่งให้พลสัญญาณกระจายข่าวให้ทั่วกันได้ทราบว่า กองทัพฝรั่งเศสนั้นจับกุมพระเจ้า Francis II ได้!! จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ถูกควบคุมตัวเรียบร้อย
St.Hilaire เวลา 1400 น.
การรบอย่างดุเดือด ณ St. Hilaire ยังดำเนินต่อไป!! …. ตามหมู่บ้านเหล่าทหารทั้ง 2 ฝ่ายต่างห่ำหั่นกันด้วยอาวุธระยะประชิด ดิออน ใช้ดาบของเธอฟาดฟันเหล่าทหารพันธมิตรที่ขวางหน้า แม้กองหนุนจากดาวอยจะมา แต่พันธมิตรอาศัยความที่พวกของตนมีมากพยายามใช้วิธีโถมใส่เพื่อให้อำนาจการยิงนั้นเปล่าประโยชน์!! …… ซ้ำร้ายครับ กองทัพของซอลร่วมๆ 20000 หมื่นนั้นได้เดินทางมาถึงและเข้าโจมตีปีกซ้ายทางข้างของกองทัพพันธมิตร!!!!! พวกเขาระดมยิงใส่ด้านข้างกองทัพพันธมิตรอย่างหนักหน่วง!!... ไม่พอปืนใหญ่ของฝรั่งเศสยังระดมยิงกดดันตลอดทำให้ กองทัพพันธมิตรแม้จะมีมากแต่ก็ถูกลดทอนกำลังลงเรื่อยๆ......... จนกระทั่ง ธงอินทรีย์ 2 หัวบนเนินถูกแทนที่ด้วยธงชาติ 3 สีของฝรั่งเศสแทน และเหล่าทหารฝรั่งเศสก็โบกธงอินทรีย์ 2 เศียร สัณลักษณ์ของ จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์!! เหล่าทหารฝรั่งเศสบนเนินต่างตะโกนป่าวร้องออกมาด้วยความดีใจ!!
“จักรพรรดิของพวกแกโดนจับแล้ว!!!!! จักรพรรดิของพวกแกโดนจับแล้ว!!”
ไม่รู้ว่าจริงไม่จริงประการใดครับ แต่ถ้าไม่จริงงั้นไหงทหารฝรั่งเศสไปโบกธงเล่นบนเนินที่พวกเขายึดมาได้ไง คราวนี้ก็วงแตกสิครับ ทหารพันธมิตรในตอนนี้ไม่เหลือกำลังใจสู้แล้ว ถูกระดมยิงจากรอบด้าน!!.. ผู้นำทัพของพวกเขาถึง 2 คนก็โดนจับอีก... พวกเขาหันหลังและวิ่งหนีกันอย่างเจ้าล่ะหวั่น แต่จะหนีไปไหนล่ะ!!!!! ไม่มีคนนำทัพ (ชิ่งไปอยู่ไหนไม่รู้ 55) ไม่มีพลสัญญาณ!! ไม่มีที่จะให้ไป พวกเขาหนีกันโดยไร้ทิศไร้ทาง วิ่งเหยียบกันเองมั้ง!! ไม่พอทั้งเหล่าปืนใหญ่และทหารราบฝรั่งเศสต่างระดมยิงซ้ำเพิ่มความวายป่วงให้กองทัพพันธมิตรเข้าไปอีก!!... ทันใดนั้น มีชายผู้หนึ่งผ้าพันแผลพันอยู่เต็มตัว ควบม้าตามถนนที่ตัดผ่านเนินไปสู่ Vienna!! เขาคือนายพล Tomarsov ที่อุตส่าห์หอบสังขารตัวเองขึ้นหลังม้าได้ (ไม่งั้นกูก็โดนจับดิว่ะ!!) เหล่าทหารรัสเซียต่างจำเขาได้แม้อยู่ไกลก็ตาม
“ทางนี้เหล่าทหารตามข้ามา!!”
ว่าแล้ว Tomarsov ทำท่าทางให้ทหารตามเขาครับ!! ซึ่งเหล่าทหารส่วนใหญ่ก็ตามครับเพราะไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว หน้า ซ้าย หลัง มีแต่พวกฝรั่งเศส!! Tomarsov จึงทำให้กองทัพส่วนใหญ่ที่เหลือรอดหนีออกมาได้!! แต่ก็มีไม่น้อยที่โดนจับได้ ตัดมาทาง นโปเลียน ซึ่งดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ ... เขาลดกล้องส่องทางไกลลงและยิ้มอย่างภูมิใจ!! Grande Armee ของเขานำชัยมาสู่ฝรั่งเศสอีกครั้ง!! ถึงแม้จะมีน้อยกว่าก็ตามแต่ด้วยความอัจฉริยภาพของ นโปเลียนทำให้กองทัพฝรั่งเศสพลิกมาชนะได้อีกครั้ง บทสรุปแห่งการยุทธ Austerlitz สงคราม 3 จักรพรรดิ ฝ่ายฝรั่งเศสเสียทหารไป 6500 นาย ทหารม้าอีก 350... ส่วนพันธมิตรเสียทหารไปกว่า 35000 นาย ถูกจับได้ 9000 นาย ทหารม้าอีก 5000 นาย และปืนใหญ่ถูกยึดไปทั้งสิ้น 315 กระบอก นับเป็นอีกครั้งที่ฝรั่งเศสได้ชัยชนะอย่างงดงาม
.. . . . . . .
The End of Season 1
|
|
|
Post by greatbritian on Aug 22, 2017 7:42:27 GMT
Special Episode : Franco - Austro Alliance?? Vienna , Austria , Holy Roman Empire 4 ธันวาคม ค.ศ. 1805
เพียง 2 วันหลังจากชัยชนะที่ Austerlitz กองทัพฝรั่งเศสก็ยาตราเข้าสู่ กรุง Vienna เมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ อย่างเต็มภาคภูมิ เหล่าประชาชนชาวออสเตรียทั้งหลายต่างแห่แหนมาดูขบวนทัพของกองทัพฝรั่งเศส ถือขึ้นชื่อว่า มีชัยในทุกสมรภูมิ… เหล่าทหาร Old Guard องครักษ์นโปเลียน เดินมาตั้งแถวเป็นรายกราบไปตามความยาวถนนที่จะพาเข้าสู่ พระราชวัง Schönbrunn Palace….. ทันใดนั้น กองดุริยางศ์ก็บรรเริงเพลง la marseillaise ขึ้น อันเป็นเพลงชาติฝรั่งเศส!!...... การกระทำนี้ดูเหมือนจะเป็นการเกย์ทับฝั่งออสเตรีย…ตอกย้ำว่า พวกเขาคือผู้พิชิต!! ผู้มีชัยเหนือจักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์….
ไม่กี่อึดใจ เหล่าทหารม้าหนัก Carabiner นับร้อยก็เดินนำเสด็จออกมมตามถนนครับ.. และที่ตามหลังพวกเขามานั้นคือ …. ชายร่างเตี้ยในชุดคลุมสีเทา สวมหมวก Bicrone ใบเขื่อง… แน่นอน ชายผู้นั้นคือ จักรพรรดิ นโปเลียน แห่ง จักรวรรดิฝรั่งเศส!! …. แต่เหล่าฝูงชนนั้นกลับไม่ได้โห่ไล่ หรือ ก่นด่าแช่ง ผู้พิชิตผู้นี้แต่อย่างใด กลับกัน… พวกเขากับเหมือนถูกมนต์สะกด จักรพรรดิผู้นี้ช่างทรงบารมียิ่งนัก.. แม้พสกนิกรต่างชาติก็ยังสามารถรับรู้ได้ ส่วนข้างๆของ นโปเลียน นั้นคือ ชายที่เหล่าชาวออสเตรียรู้จักกันดี เพราะเขาคือ พระเจ้า Francis II จักรพรรดิของพวกเขา!!... จักรพรรดิ รูปงาม ผมสีบลอนด์ทองผู้นี้ ดูไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย คอเขาตก ใบหน้าเศร้าส้อย.. นั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เขาหาได้มีความสุขไม่.. ทั้ง 2 จักรพรรดินั้น ควบม้าของเขาเข้าไปในตัว ปราสาท…. โดยไร้การตอบรับของฝูงชน.. เมื่อมาถึงหน้าประตูพระราชวัง นโปเลียน และ Francis II ต่างลงจากหลังม้า.. นโปเลียนนั้นจ้องมองมาที่หน้าของ Francis II ด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มราวกับไม่ได้อาฆาตกันมาก่อน พลางเดินไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปในพระราชวัง… ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปทั้งคู่เปิดบทสนาทนากัน
“…..ท่านจะทำอย่างไรกับ จักรวรรดิของข้า ต่อไปล่ะ นโปเลียน”
“ข้าเหรอ ข้าไม่ต้องการอะไรนอกจากสันติภาพ”
“สันติภาพ”
“ใช่….หรือว่าท่านต้องการสงครามต่อล่ะ ท่านจักรพรรดิ”
“………………”
แล้วทั้งคู่ก็เดินมาถึงท้องพระโรงครับ .. ซึ่งมีเหล่า ขุนนาง นักการเมือง ออสเตรีย นับ 10 ส่วนอีกฝั่งของห้องก็เช่นกันครับ มีเหล่านักการเมืองและขุนนาง ฝรั่งเศสนับ 10 รวมถึง ตันเลย์ลอง รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส ผู้หลักแหลมอีกด้วย.. กลางท้องพระโรง มีโต๊ะใหญ่ตั้งอยู่ บนโต๊ะนั้นมี กระดาษแผ่นใหญ่วางอยู่ และมีปากกา น้ำหมึกพร้อมสำหรับการเซ็นท์สนธิสัญญา.. ทั้ง นโปเลียน และ Francis II ต่างเดินมาที่คนละมุมของโต๊ะ และพวกเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้นวมสีทองขนาดใหญ่ เบิ้องหลังพวกเขาเป็นขุนนางของแต่ละชาติ ถึงแม้จักรพรรดิทั้ง 2 จะปฎิบัติกันอย่างให้เกียรติ แต่บรรยากาศภายในห้องนั้นกับเต็มไปด้วยกดดัน…. สีหน้าของ นโปเลียนนั้นดูนิ่งและมั่นใจ ผิดกับ Francis II ที่ดูหงอ เหงา ห่อเหี่ยว…
“พวกเราทั้งคู่ต่างเป็นจักรพรรดิ เพราะฉะนั้น เราก็จะมาคุยกันอย่าง จักรพรรดิคุยกัน”
“ได้ ท่านจักรพรรดิ นโปเลียน”
นโปเลียนหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาและบรรจงอ่านมันอย่างละเอียดถี่ถ้วนครับ
“สืบเนื่องจาก ครั้งเมื่อสมัยสงครามปฎิวัติฝรั่งเศส* ออสเตรียได้เปิดฉากรุกราน ฝรั่งเศสก่อน ด้วยสาเหตุเพียงเพราะต้องการช่วยอดีตกษัตริย์ราชวงศ์ บูบอง* เพียงคนเดียวเท่านั้น …. จักรพรรดิ Francis II ถึงกับได้ลั่นออกมาว่า “จะทำให้ปารีสกลายเป็นเมืองผี!!!” นั้นถือเป็นการหยามหน้าและหยามเกียรติยศฝรั่งเศสเป็นที่สุด!! ณ บัดนี้เพื่อเป็นการกู้ศักดิ์ศรีให้แก่ชาติของเรา ข้าพเจ้า จักรพรรดิ นโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส จึงมีข้อเรียงร้องดังนี้
(สงครามปฎิวัติฝรั่งเศส สงครามที่เกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1792 - 1802 มูลเหตุของสงครามนั้นเกิดจากความกลัวกระแสชาตินิยมและปฎิวัติของบรรดาชติมหาอำนาจต่างๆในยุโรป เนื่องจากที่ฝรั่งเศส ประชาชนถึงขั้นจับเหล่าเชื้อพระวงศ์ประหารโดย กีโยติน ทำให้เหล่ามหาอำนาจทั้งหลาย ต้องการจะโค่นล้ม สาธารณรัฐฝรั่งเศส และ ตั้งระบอบกษัตริย์ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งผลของสงครามนั้นคือ เหล่าชาติต่างๆไม่สามารถล้ม สาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้ และยังเป็นผลให้นายทหารหนุ่มรุ่นใหม่หลายคนเข้ามามีบทบาทในฝรั่งเศส ซึ่ง 1 ในนั้นคือ นโปเลียน)
(ราชวงศ์บูบอง คือ ราชวงศ์ที่ปกครองฝรั่งเศสตั้งแต่ ค.ศ. 1598 - 1792 โดย เริ่มตั้งแต่รัชสมัยของ พระเจ้า Henry ที่ 4 จนมาจบที่ พระเจ้า หลุยส์ที่ 16 (ซึ่งตายห่านด้วยกีโยติน) นอกจากนี้ยังได้แผ่ขยายอำนาจไปทั่วยุโรป ทำให้มี บูบอง หลายสายทั้ง สายสเปน , ซิซิลี , เนเปิลส์ , ลักเซมเบิร์ก)
1. อิตาลีจะต้องเป็นเอกราช และ มีการปกครองเป็นของตนเอง
2. ห้ามออสเตรีย เข้าไปยุ่งเกี่ยวทั้งด้านการเมืองและด้านการทหารกับแคว้นในเยอรมัน
3. ห้ามออสเตรีย ทำสนธิสัญญาที่แสดงถึงความเป็นพันธมิตรกับ อังกฤษ และ รัสเซีย!
4. ออสเตรียจะต้องเสียแคว้น Slovinia , Dalamantia , Kustenland ให้ฝรั่งเศส!!
5. อำนาจของสันตะปาปาจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองในทุกๆทางรวมถึง ชื่อ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์จะต้องถูกถอดถอน และให้ ออสเตรียใช้ชื่อใหม่เป็น จักรวรรดิออสเตรีย แทน!! "
พอเหล่าข้าราชริพารขุนนางชาวออสเตรียได้ยินข้อเสนอเหล่านี้ก็ถึงกับปรี๊ดแตกครับ พวกเขาโวยวายอึกทึก กันใหญ่
“นี่มันกดหัวกันชัดๆ!!”
“จะให้เราอดตายหรือยังไง มายึดเมืองท่าเราแบบนี้!!”
“จะวางอำนาจเหนือพระเจ้าหรือไง นโปเลียน!!”
แน่นอนครับ สนธิสัญญานี้มันเอาเปรียบสุดๆยิ่งกว่าครั้งก่อนซะอีก การที่เสีย อิตาลี และอีก 3 แคว้นไปให้ ฝรั่งเศส เมื่อรวมกับบรรดารัฐเยอรมันที่เสียไปครั้งก่อน เท่ากับว่า อาณาเขตของ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิหายไปครึ่งหนึ่ง!! ไม่พอ แคว้น 3 แคว้นที่ว่านั้นเป็นอาณาเขตของ จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ทั้งหมดที่ติดทะเล การเสียสามแคว้นนั้นทำให้ จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์กลายเป็น Land Lock ไปโดยปริยาย และที่สำคัญพวกเขาจะทำการค้าขายทางทะเลไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้น การห้ามคบค้ากับอังกฤษหรือรัสเซียนั้นจะทำให้ขาดรายได้และสินค้าที่เหล่าประชาชนต้องการ…..สุดท้ายทีเด็ดสุด นั้นคือการท้าทายอำนาจของนโปเลียนกับศาสนาอีกครั้งเมื่อเขา สั่งให้ลบชื่อ “จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์” ซึ่งเป็นชื่อที่ พระสันตะปาปา ถวายให้กับจักรพรรดิมาเป็นพันๆปี เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไอ้ เตี้ย ผู้นี้ มันไม่กลัวอำนาจของศาสนาแม้แต่น้อย………. ไม่แปลกครับที่พวกเขาจะโวยวาย แต่โวยวายได้ไม่นานครับ ทางเหล่าองรักษ์ Old Guard ทั้งหลายต่างมารุมล้อมขุนนางเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้ขู่เข็ญหรือกระทำการรุนแรงประการใด แค่มายืนนิ่งๆเท่านั้นทำเอาเหล่าขุนนางสงบลง … ใครจะกล้าเอาปากไปสู้กับปืน พอ นโปเลียนเห็นว่าเหตุการณ์สงบแล้วเขาจึงพูดต่อ…
“แต่เพื่อเป็นการแสดงถึงมิตรไมตรีอันเกิดขึ้นกับเราในอนาคต ทางจักรวรรดิฝรั่งเศส จึงขอมอบผลประโยชน์ให้กับ ทาง จักรวรรดิออสเตรีย ดังนี้
1. ฝรั่งเศส และ ออสเตรีย จะเป็นพันธมิตรกันทั้งการทหารและการเมือง
2. การค้าขายระหว่างฝรั่งเศส และ ออสเตรีย จะเป็นไปอย่างเสรี
3. สามารถหยิบยืมเมืองท่าของฝรั่งเศส เพื่อทำการค้าขายทางทะเลได้ 3 เมือง
4. กองทัพของฝรั่งเศสสามารถเคลื่อนผ่าน ทั่วจักรวรรดิออสเตรีย ได้อย่างเสรี
5. เหล่าแม่ทัพนายกอง ขุนนาง และนักการเมืองของฝรั่งเศส สามารถมีส่วนร่วมในการปกครอง ออสเตรีย!!
ฟังดูมันก็ดูมีข้อดีบ้างครับ แต่โดยรวมยังไงมันก็แย่อยู่ดี โดยเฉพาะข้อหลัง “เหล่าแม่ทัพนายกอง ขุนนาง และนักการเมืองของฝรั่งเศส สามารถมีส่วนร่วมในการปกครอง ออสเตรีย” นั้นหมายความว่าการปกครองของ ออสเตรีย จะต้องถูกแทรกแซงโดยฝรั่งเศสเป็นแน่แท้ ถึงในสนธิสัญญาจะใช้คำพูดสวยหรูแค่ไหนก็ตาม นโปเลียนพูดจบปุ๊ป เขาก็ว่างกระดาษสนธิสัญญาลงครับ พลางจรดปากกาเซ็นท์ลงนามในสนธิสัญญานั้นทันที… พอเสร็จ เขาก็หันสนธิสัญญาไปทาง Francis II….. Francis II นั้น ไม่มีอะไรจะมาต่อรองด้วยครับ.. เขาตกเป็นไก่รองบ่อน เป็นรองในทุกๆด้านอย่างเห็นได้ชัด…. ถ้าไม่เซ็นต์นั้นอาจจะหมายถึงชีวิตของเขาต้องดับลง ความจริง นโปเลียนจะเอาชีวิตเขาตอนไหนก็ได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาให้เกียรติจักรพรรดิด้วยกันเองเสมอ เขาหยิบปากกาขึ้นมาและลงนามในสนธิสัญญานั้นช้าๆ แววตาของเข้าเต็มไปด้วยความเศร้า แน่นอน เกียรติยศของออสเตรียถูกเหยียดหยามสุดๆ เมื่อเซ็นสนธิสัญญาเรียบร้อย นโปเลียน ก็ลุกขึ้นและยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิ… เขาหยิบสนธิสัญญานั้นขึ้นมา และเดินตรงมาหา Francis II พลางยืนมือไปจับเพื่อกระชับมิตร
“ภายใต้การลงพระปรมาภิไทย จาก จักรพรรดิทั้ง 2 สนธิสัญญา Pressberg ฉบับนี้!! ถือว่าได้รับการยินยอมจาก 2 ฝ่าย ต่อไปนี้ทั้ง 2 จักรวรรดิจะเลิกห่ำหั่นกัน พวกเราจะหันมาจับมือกัน เพื่อความรุ่งโรจน์ของเราทั้ง 2 สหาย!!”
Francis จ้องหน้า นโปเลียนกลับด้วยสายตาที่ดูหมดอาลัยตายอยาก เขาลุกขึ้นมาและจับมือกับ นโปเลียนครับ!! ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็กำที่สนธิสัญญาราวกับว่ายอมรับมัน!!
“ใช่สหาย….. จักรวรรดิของเราจะเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน”
แต่ที่แน่ๆเหล่าทหารและนักการเมือง ฝรั่งเศส ต่างปรบมือกันเกรียวกราวด้วยความยินดี!!
“ออสเตรีย – ฝรั่งเศส จงเจริญ!!”
“พวกเราจะเป็นมิตรกัน!!”
แต่ในขณะเดียวกัน ณ อีกมุมหนึ่งเหล่าขุนนางออสเตรียกับยืนนิ่งราวกับไว้อาลัยให้กับ จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ที่ล่วงลับไป ไม่มีอีกแล้ว จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ มีแต่ จักรวรรดิออสเตรีย และ ฝรั่งเศส!!
ห้อง ชาร์ลมาร์ล , พระราชวัง Schönbrunn เวลา 2000 น.
เสียงอึกทึกเจี้ยวจ้าวโวยวายของเหล่าชนชั้นสูงในห้องรับแขกขนาดมโหฬารนี่ มีทั้งขุนนางฝรั่งเศส และ ออสเตรีย ร่วมในงานเลี้ยง “สานสัมพันธ์มิตรภาพ ฝรั่งเศส – ออสเตรีย” ที่ถูกจัดขึ้นตามประสงค์ของ นโปเลียน… ในงานเลี้ยงนั้น เหล่านักดนตรีต่างเล่นเพลง ที่แสดงถึงความกล้าหาญของทหารฝรั่งเศส… อาหารมากมายถูกจัดวางบนโต๊ะ ไม่ว่า จะไก่งวงยัดไส้ หมูป่ารมควัน ตับห่านฝรั่งเศส ไส้กรอกขาวบาวาเรีย และอื่นๆอีกมากมาย… นโปเลียนนั้นนั่งอยู่ตรงที่นั่งตรงริมสุดของห้อง…ซึ่งมีเหล่า องครักษ์ Old Guard คอยคุ้มกัน ส่วนที่นั่งข้างๆเขานั้นคือ จักรพรรดิ Francis II แห่ง ออสเตรีย ซึ่งในตอนนี้ดูท่าทางจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาติ๊สหนึ่ง …. อาหารที่อยู่ต่อหน้าพระองค์แม้จะดูเลิศรส แต่พระเจ้า Francis II หา ได้มีพระทัยอยากจะเสวยเลยแม้แต่น้อย.. นโปเลียนนั้น ก็ทรงสรวลและชอบใจเหล่าการแสดงของ ตัวตลก….. เมื่อเขาเห็นสีหน้าของพระเจ้า Francis II ที่นั่งอมทุกข์มาตั้งแต่ที่ Austerlitz เขาจึงชวน สหายใหม่เปิดฉากสนทนากันเพื่อคลายเครียด….
“ท่านจะเครียดไปใยล่ะสหายข้า……มีเรื่องอะไรให้กังวลใจ??”
“……………………… ถามมาได้น่ะไอ้สาสสสส (คิดในใจ)”
“ตอนนี้เรา 2 จักรวรรดิเป็นพันธมิตรกันแล้ว ….. หาได้เป็นอริดังแต่ก่อน…..”
Francis II ยังทำหน้าจิตตกไม่ตอบอะไร นโปเลียน … ทำให้ นโปเลียนเริ่มคะยั้นคะยอมากขึ้น
“ท่านจักรพรรดิ ท่านคงทราบดีว่ากองทัพของข้านั้นหามีผู้ใดทัดเทียมได้ในยุโรป ในเมื่อตอนนี้ท่านกับข้าเป็นพันธมิตรกัน ท่านไม่ต้องกลัวสิ่งใดต่อไปบนโลก”
Francis II ยังคงนั่งกริบไม่ตอบอะไร…….
“ท่านลองคิดดู ผืนดินของรัสเซียนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาลนัก…. หากเราได้ครอบครองมัน เท่ากับว่าพื้นที่ในการทำกสิกรรมของเรานั้นจะมากขึ้นเป็น ทวีคูณ!! …. การค้าขายผลผลิตทางการเกษตรจะทำให้ออสเตรียกลับมามั่งคั่งยิ่งกว่าเดิม..โดยไม่ต้องง้อการค้าทางทะเลกับ อังกฤษ ด้วยซ้ำ!!”
“แต่ พระเจ้าซาร์เป็นสหายของข้าท่านจะให้ข้ารบกับสหายของตนเองรึไง”
“ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกันสหายที่ไหนทอดทิ้งกันกลางสนามรบ ดูสิตัวท่านถูกจับได้ ในขณะที่เขากับหนีหางจุกตูด!! นี่เหรอสหายที่พึ่งพาได้สหาย ??”
คำพูดดอกนี้ของ นโปเลียนทำเอา Francis II ฉุกคิดขึ้นมาได้ครับ ใช้ พระเจ้าซาร์ Alexander ทรงทิ้งพระองค์กลางสนามรบ!!! ทิ้งให้พระองค์ถูกจับ ทรงทำให้พระองค์ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้!! นโปเลียนมองแววตาของ Francis II ออกครับ ในตอนนี้ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนไปบ้างแล้ว…
“ลองใช้สติปัญญาของท่านทบทวนให้มากๆ รัสเซียที่ยอมเข้าร่วมสงครามกับท่านนั้นเพราะ ต้องการรักษาผลประโยชน์การค้าของตนเองใน เมดิเตอร์เรเนียน เช่นเดียวกับ อังกฤษ ที่เกรงกลัวการขยายอำนาจของข้า… ใช่ทุกชาติล้วนรับรู้ว่าข้านั้นอันตรายและเกรงกลัวข้าราวกับข้าคือภัยพิบัติธรรมชาติ แต่หากท่านลองมุมกลับกัน… หากชาติของท่านเปลี่ยนมาร่วมมือกับข้าแทน …การค้าทางทะเลที่เคยผูกขาดกับอังกฤษจะไม่มีอีกต่อไป … และที่สำคัญที่สุดท่านจะได้ล้างตาให้ไอ้คนที่มันเคยทรยศท่านอย่างสาสม!! เรา 2 จักรพรรดิ 2 จักรวรรดิ ช่วยกันเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ เปลี่ยนดุลย์อำนาจของโลกให้มาอยู่ที่เรา!!”
เจอ นโปเลียนเป่าหูเข้าไปขนาดนี้ Francis II เริ่มเอนเอียงมาเข้าข้างฝรั่งเศสอย่างเต็มอกเต็มใจบ้างครับ แต่เขาก็ต้องใช้เวลานานในการพิจราณานั้นแหละ เรื่องพรรค์นี้มันตัดสินไม่ได้ในวันเดียว!! นโปเลียนยิ้มอย่างร้ายกาจ แต่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็น….
แม่สาวชนชั้นสูงนางนี้ เดินแหวกฝูงชนตรงมาที่หน้าพระพักต์ของจักรพรรดิทั้ง 2…. ความงามประดุจเทพธิดาของนางทำให้เหล่าชายทั้งหลายต่างเหลียวมองตาม แม้แต่ นโปเลียนเอง ซึ่งตกตะลึงในความงามของนางจนอ้ำอึ้งลืมแผนการณ์ที่วางเอาไว้ไปหมด….. Francis II เมื่อเห็นหน้าของนาง แล้ว สีหน้าอันเศร้าหมอง และตรึงเครียดเปลี่ยนมาเป็นยิ้มอย่างมีความสุข
“Marie!!! เจ้าเป็นอย่างไงบ้าง!!”
“สบายดีเพค่ะ ท่านพี่… ว่าแต่เสด็จพี่ทรงไม่ได้ภัยอันตรายใดๆน่ะเพค่ะ… กรำศึกมานานนาม จนหน้าตาดูซีดเซียวเศร้าหมองหมดแล้ว…….ดูแลตัวเองดีๆน่ะเพค่ะ.. เอ๊ะ ว่าแต่”
หญิงสาวที่ชื่อ Marie จ้องมาทางมาทางจักรพรรดิของฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่ครับ … ซึ่งเอาจริงๆนางน่าจะรู้คำตอบอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าชายผู้นี้คือใคร ชื่อเสียงของเขาขจรไกลไปทั่ว ยุโรป ไม่ใช่สิ ทั่วโลกเลยก็ว่าได้ จนอาจกล่าวได้ว่า โลกหมุนตามนโปเลียน!! นโปเลียนลุกขึ้นมาอย่างเต็มภาคภูมิ พร้อมกับยื่นมือไปจับมือของแม่นาง Marie และจุมพิตไปเบาๆที่มือขอนาง (มันเป็นการเคารพสุภาพสตรีตามมารยาทสากลในสมัยนั้นไม่ถือว่าเป็นการล่วงละเมิดแต่อย่างใด) ก่อนจะแนะนำตัว
“นโปเลียนที่ 1 แห่ง จักรวรรดิฝรั่งเศส ว่าแต่แม่นางคือ”
“แกรนด์ดัชเชส Marie Louise แห่ง Pama ขนิษฐาแห่ง จักรรพรรดิ Francis II เพค่ะ ฝ่าบาท”
Marie โค้งตัวลงคำนับ นโปเลียนเพื่อเป็นคารวะจักรพรรดิฝรั่งเศสูผู้นี้ …. แววตาของ นโปเลียนในตอนนี้ดูราวกับต้องมนต์สะกดในเสน่ต์ของนาง… ดูท่าทางเป้าหมายต่อไปที่เขาต้องการพิชิตไม่ใช่จักรวรรดิใดทั้งสิ้น แต่เป็นนางมากกว่า… พระเจ้า Francis II อ่านสีหน้าของ นโปเลียนออกในทันที.. ชิบหายแล้วนอกจากเสียเมืองแล้วกูต้องเสียน้องสาวให้มันด้วยอีกเหรอเนี่ย…….
|
|
|
Post by greatbritian on Sept 19, 2017 16:57:30 GMT
Season 2 : สงครามพญาอินทรีย์
Episode 1 : The Fallen King
ห้อง ชาร์ลมาร์ล , พระราชวัง Schönbrunn เวลา 2020 น.
ณ งานเลี้ยงฉลองความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรียยังดำเนินต่อไป.. โดยทาง นโปเลียนนั้นขอตัวกลับไปก่อนหน้านั้น..เพื่อพักผ่อน ส่วนทาง Duchess แห่ง Pama ขนิษฐา นั้นก็ทรงเสวนาผู้หญิงชั้นสูงออสเตรียอย่างออกรสตามภาษาอิสตรี..
หญิง 1 :หนุ่มๆฝรั่งเศสนี่หล่อน่ะ ข้าว่า...พวกเขาดูเข้มแข็ง..สมาร์ท ไม่อุ้ยอ้ายเหมือนหนุ่ม ออสเตรีย
หญิง 2 : เจ้าหมายถึงนายพลหนุ่มที่ชื่อ อองรี ที่อยู่ตรงนั้นไหม”
สตรีผู้หนึ่งชี้ไปยัง นายพล ฌอง ปิแยร์ อองรี ซึ่งกำลังเต้นระบำกับหญิงออสเตรียผู้หนึ่ง ดูท่าทางเขาจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อพบกับสตรี
หญิง 1 : เขาก็หล่อน่ะ.....หล่อเหมือนเจ้าชายแห่ง Savoy เลย....ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั่นช่างชวนฝันเหลือเกิน...หน้าหมั่นเขี้ยวจริงๆงี้ๆๆ
ดูท่าทางสตรีผู้นี่จะเกิดอาการดันมิใช่น้อยทำเอาเหล่าสาวๆคนอื่นที่รวมวงพากันขำคิกคักๆ
หญิง 3 : แล้ว จักรพรรดิฝรั่งเศสล่ะ... ท่านว่าเขา Sexy ไหมล่ะ??
อยู่ดีๆมีสตรีนางหนึ่งพูดโพร่งขึ้นมาครับ ทำเอาทั้งวงเงียบไปพักหนึ่ง ดูขนาดนโปเลียนก็ยังไม่วายมาโดนสาวๆกลุ่มนี้เม้าจนได้ ทาง Duchess แห่ง Pama ก็เลยแสดงความเห็นออกมา
Duchess : ข้าว่าเขา...ก็ดูสง่าราศีสมเป็นจักรพรรดิดีน่ะ แม้จะตัวเล็กไปหน่อย...
หญิง 1 : งั้นเหรอท่าน Duchess… แต่เขาเป็นผู้รุกรานน่ะ..เขาทำลายชีวิตชาวออสเตรียไปหลายหมื่นในศึกที่ Ulms และ Austerlitz แถมยังกดดัน จักรพรรดิของพวกเราอีกด้วย...
Duchess : ....ใช่ แต่นั้นเป็นอดีตน่ะแม่หญิง ท่านก็รู้ว่าโลกมนุษย์ใบนี้ ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นผู้อยู่รอด.. ตอนนี้พวกเราทุกคนต่างรู้ดีว่าใครคือผู้แข็งแกร่ง.. และข้าคิดว่าจะเป็นการดีไม่น้อยหากเราเชื่อมสัมพันธ์กับเขา..
หญิง 3 : ใช่ๆ..ท่านพูดถูก...แต่มันเกี่ยวอะไรกับประเด็นที่ข้าถามไหม ข้าถามว่าเขา Sexy ไหม....”
Duchess : คือ.... เรื่องแบบนี้มันต้องลองจ๊ะ ^^
หญิง 1 : ว้ายๆๆๆ ได้ร่วมรักกับ นโปเลียนแต่หญิงสาวคนไหนมีบุญบารที่จะรับโอกาสแบบนั้นกันน่า
หญิง 2 : ก็คงมีแต่ Marie Louise Duchess แห่ง Pama นี่แหละน่า นางเป็นถึงขนิษฐาของจักรพรรดิ Francis II เชียวน่ะ..
หญิง 3 : ใช่ๆข้า สังเกตกริยาของเขาดูน่ะ ในตอนแรก นโปเลียนยังวางท่าทีองอาจแสดงอำนาจเหนือพี่ชายของท่านอย่างเห็นได้ชัด แต่พอท่านเดินเข้ามาเท่านั้นแหละ เขาถึงกับตะลึงอ้าปากค้างเลยทีเดียว
Duchess : ท่านก็พูดเกินไปน่า... เค้ารู้ว่าตัวเองสวย แต่ถึงขนาดทำให้ นโปเลียตะลึงจนหมดฟอร์มเลยมันก็ดูเกินไปนิสน่ะ
หญิง 1 : ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนเบาปัญญาท่าน Duchess ท่านได้ใกล้ชิดกับเขาแล้ว.... ท่านก็น่าจะรู้ดีว่าสายตาของเขานั้นมองท่านด้วยความเสน่ต์หา..
หญิง 2 : แล้วยิ่ง นโปเลียนยิ่งอยากความสัมพันธ์กับพี่ชายของท่านอยู่ด้วย.... ซึ่งวิธีการสร้างความสัมพันธ์ให้เร็วที่สุดนั้นคือ การดอง ไงล่ะจ๊ะ
หญิง 3 : แค่คิดมันก็น่าจะเลอเลิศมากเลยล่ะค่ะ ... งานแต่งงานระหว่าง จักรพรรดิ นโปเลียนที่ 1 และ Duchess แห่ง Pama เอ้ย ไม่ใช่สิ จักรรพรรดินีแห่งฝรั่งเศส Marie Louise มันจะออกมายิ่งใหญ่ขนาดไหน เขาคงขนทหารมาเป็นกองทัพและให้ทหารถือดอกไม้แทนปืน!!! หลังจากนั้นก็ใช้ปืนใหญ่ของนับพันกระบอกยิงพลุออกมา!! มันช่างดูเว่อร์วังเหลือเกิน อิอิ
Duchess : แหมพวกท่านนี่นะ แต่เขามีภรรยาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ....??
หญิง 1 : ท่านคงรู้จัก นโปเลียนน้อยเกินไปสิน่ะ ขนาดโป๊ปเขาท้าทายมาแล้ว แค่จดทะเบียนสมรสซ้อนมันจะไปยากอะไร!!
Duchess : พวกท่านพูดอย่างกับว่าท่านจะแต่งงานกับเขาในเร็ววัน ทั้งๆที่ข้ากับเขาเพิ่งพบเจอกันครั้งแรกเอง. เขาอาจจะมีใจให้ข้าก็จริง แต่ถ้าเกินเลยกว่านี้มันคงยังเร็วไปหน่อยละม้างงง..
หญิง 1 : แต่ไม่ปฎิเสธใช่ไหมล่ะ ที่จะรับ จักรพรรดินโปเลียนผู้นี้ เขามาเป็น 1 ใน List รายชื่อ Marie Lousie’s Boy Friends
Duchess : ก็คงไม่หรอกจ๊ะ.... เดี๋ยวๆนี้เป็นถึงจักรพรรดิยังเป็นได้แค่ชายใน List รายชื่อของฉันเหรอเนี้ย ฮิฮิ
แล้วเหล่าสาวๆก็ขำกันเอิ่กอ่ากๆแม้พวกนางจะดูพูดกันไร้สาระ แต่พระนาง Marie Losuie ก็เริ่มคิดนิดๆแล้วว่า คงจะมีเปอร์เซ็นท์สูงเลยทีเดียวที่นางจะได้แต่งงานกับ นโปเลียน
ห้องรับรองแขก , พระราชวัง Schönbrunn เวลา 2200 น.
ตกดึกคืนนั้น งานเลี้ยงต่างเลิกรา .... นโปเลียนทรงอยู่ในห้องรับรองแขกอันหรูหราของพระราชวัง ... เขาสรงน้ำและเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อนอนยาวสีขาวพร้อมจะเตรียมเข้าบรรทมหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูของห้องรับรองดังขึ้น
“เข้ามา....”
นโปเลียนกล่าวเชื้อเชิญผู้มาเยือนยามดึก อย่างไร้ความกังวลเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าบุคคลนี้จะต้องมา.. ผู้มาเยือนเปิดประตูเข้าห้องรับรองมา นั้นคือผู้หญิงสูงศักดิ์ชาวออสเตรียใน Dress สีขาวยาว ผมสีดำสลวย นัยน์ตาสีฟ้า ดูงดงามจริงๆ นี่คือหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในแก๊งเม้า นโปเลียนตอนอยู่ในงานเลี้ยงนั้นเอง
“เป็นไงได้เรื่องไหม??”
“เพค่ะฝ่าบาท หม่อมฉันได้ลองสนทนากับ Duchess แห่ง Pama แล้ว พบว่านางนั้นเป็นหญิงฉลาด มองการณ์ไกล รูปโฉมงดงาม คู่ควรอย่างยิ่งกับพระองค์เพค่ะ”
“แล้วความรู้สึกของนางที่มีต่อข้าดีไหมล่ะ??”
“พระนางหามองพระองค์เป็นศัตรูไม่เพค่ะ มิหน้ำซ้ำยังชมอีกว่าพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ ดูราศี สมเป็นจักรพรรดิ”
“งั้นเหรอดี..... สมเป็นชายาของข้าในอนาคตจริงๆ เจ้าไปพักได้แล้ว ดิออน ”
“เพค่ะ ฝ่าบาท”
ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินออกจากห้องรับรองของ นโปเลียนไปก่อนจะปิดประตู ที่แท้หญิงสาวสูงศักดิ์ชาวออสเตรียนั้นคือ มาร์ควิส ดิออน เลอแคลค์ หัวหน้าองครักษ์ Old Guard สาวผู้เจนศึกนั้นเอง นี่แค่นางถอดชุดเครื่องแบบ Old Guard มาเป็นชุด Dress ยาว ก็ทำให้นางดูงดงามราวกับเป็นองค์หญิงเลยทีเดียว ...... ซึ่งนอกจากจะเก่งรบแล้วแม่สาว Old Guard ผู้นี้ยังถนัดด้านปลอมตัว และ โจรกรรมข้อมูลอีกด้วย นับว่าเป็นบุคคลากรของฝรั่งเศสที่มีคุณภาพมากคนหนึ่งเลยทีเดียว
Budapest , Hungary , Austrian Empire 8 ธันวาคม ค.ศ.1805
ณ ทุ่งข้าวสาลีอันเหลืองอร่ามของ บูดาเปสต์ เมืองหลวงของเขตฮังการีในจักรวรรดิ ออสเตรีย เหล่ากองทัพรัสเซียที่เพิ่งแตกพ่ายจากศึกใน Austerlitz ได้ถอยมายังที่นี่ ... กองทัพของพระเจ้าซาร์นั้นทั้งหมดเรี่ยวแรงและขวัญกำลังใจ เขาเสียทหารไปเกือบถึงครึ่งของกองทัพที่ยกมาในตอนแรก ม้าศึกก็เหลือไม่กี่พันตัว รวมถึงปืนใหญ่ซึ่งเหลือประมาณ 30 กระบอก เท่านั้น เหล่าทหารรัสเซียต่างนักพักริมถนนอย่างหมดอาลัยตายอยาก.. ทางด้านพระเจ้า Alexander II ซาร์แห่งรัสเซีย ทรงควบม้าของเขาออกตระเวนดูเล่าทหารที่หมดเรี่ยวแรงของเขา ส่วนผู้ติดตามที่อยู่ขนาบข้างซ้ายและขวาของเขานั้นคือ นายพล Mikhail Kutozov และ นายพล Alexander Petrovich Tormasov ตามลำดับ สีหน้าของพระเจ้าซาร์ในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากทหารของนั้นคือ หม่นหมองและไร้ชีวิตชีวา.. ทาง Kutozov ยังคงดึงหน้านิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฝ่าบาท แพ้ชนะมันเป็นเรื่องธรรมดาของการรบพ่ะย่ะค่ะ... เดี๋ยวข้าจะเร่งส่งสาส์นให้ พลเอก Pavel เร่งส่งกองทัพมาหนุน เพื่อทำศึกกับ นโปเลียนต่อ ยังไง นโปเลียนบุกมาไกลขึ้นเรื่อยๆ สายการส่งกำลังบำรุงของมันก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะทำให้มันเคลื่อนทัพไม่ได้เร็วเมื่อช่วงแรกๆ!! คราวนี้แหละเราก็จะมีสิทธิ์ขยี้มันได้พ่ะย่ะค่ะ!!”
“ขยี้ด้วยอะไรฮ่ะ Kutozov ทหารซึ่งอ่อนแอและแตกพ่ายมางั้นเหรอ!! ท่านไม่เห็นรึไงว่ากองทัพของเรานั้นโดนนโปเลียนบดขยี้จนยับ!! เพราะแผนของท่าน Kutozov!!”
“แต่ฝ่าบาท!! ข้าพเจ้ารับรองว่าหากได้ประมือกับ นโปเลียนครั้งหน้าข้าพเจ้าจะไม่พลาดแล้ว!! กองทัพของนโปเลียนนั้นเน้นการเคลื่อนทัพที่ว่องไวและอาศัยอำนาจการยิงจากปืนใหญ่ที่มีมากกว่าทำให้มันชนะ!! คราวนี้ข้าพเจ้ารู้ถึงยุทธวิธีของมันแล้ว และข้าพเจ้าจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ กองทัพของเราจะไม่สู้กับมันตรงๆ !! …...”
“พอแล้ว Kutozov ข้าเบื่อที่จะต้องมาฟังคำจากปากไอ้หมูตอนขี้ขลาดอย่างเจ้า!! เพราะเจ้าทำให้ข้าแพ้ เพราะเจ้าทำให้ข้าต้องทิ้งสหายของข้า Francis ไว้กลางสนามรบ … ป่านนี้เขาคงมองหน้าข้าไม่ติดแล้ว!!! เป็นเพราะเจ้าคนเดียว!!”
Kutozov นั้นก้มหน้าฟังเสียงก่นด่าจากเจ้าอยู่หัวของตนเอง…. ดูเหมือนเขาจะชราเกินที่จะรบแล้วงั้นหรือ ทาง Alexander นั้นรีบมาห้ามทัพก่อนที่พระเจ้าซาร์จะทางพิโรธหนักไปกว่านี้
“ฝ่าบาทโปรดสงบสติอารมณ์ก่อน Kutozov นั้นแม้จะพลาดพลั้งมา แต่ตัวเขานั้นมีคุณความดีอยู่มาก ออกศึกรบรามาหลายครั้งเพื่อจักรวรรดิรัสเซีย .. ส่วนการกระทำของ Kutuzov ที่ฝ่าบาทเห็นว่าขี้ขลาดนั้น ข้าพเจ้ากลับมองว่าดีซะกว่าที่จะตายอย่างไร้ประโยชน์สู้ถอยกลับมาเพื่อสู้ศึกในวันหน้าดีกว่าเป็นไหนๆ ลองไตร่ตรองดูดีๆพ่ะย่ะค่ะ
พระเจ้าซาร์นิ่งสักพักเพื่อใช้ความคิดของตน…. แต่ยังไม่ทันต้องทำอะไร อยู่ๆดีพลส่งสาส์นแห่งจักรวรรดิรัสเซียก็กำลังควบม้าตรงมายังกองทัพของพระองค์…คนส่งสาส์นนั้นท่าที่เลิกลั่ก รนรานพอเขาควบมาถึงนายพล Alexander เขารีบแจ้งข่าวเป็นการด่วน
“แย่แล้วครับท่านนายพลตอนนี้เหล่าประชาชนในจักรวรรดิรัสเซีย ต่างลุกฮือกันก่อจลาจลทั่วทุกหย่อมหญ้าเลยครับ!!”
“หา…...ประชาชน!!”
“ใช่ครับ แกนนำของมัน ท่าน Lord Dimitry Yanozky ปลุกปั่นเหล่าชาวบ้านประชาชนจากแทบภาคใต้เรือนแสนต่างลุกจับอาวุธและลุกฮือต่อต้านอำนาจของพระเจ้าซาร์!!”
พระเจ้าซาร์ได้ยินแล้วสะดุ้งเฮิอกเลยครับ เหตุการณ์ครั้งนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในฝรั่งเศส ประชาชนต่างจับอาวุธขึ้นสู้กษัตริย์ของตน ผลสุดท้ายคือเหล่าประชาชนต่างจับบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายมาประหารด้วย กีโยติน!! และเหตุการณ์นี้ต่างทำให้เหล่าประเทศต่างๆในยุโรปหวั่นเกรงพลังของประชาชน!
“บ้าน่า!!! มันไม่มีทาง…. มันไม่มีทาง!! ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์บ้าๆนั้นในแผ่นดินของข้า!!! เร่งยกทัพกลับรัสเซียให้เร็วที่สุด!!”
ว่าแล้วพระเจ้าซาร์ก็สั่งกองทัพของเขาให้เดินทางกลับสู่มาตุภูมิ จักรวรรดิรัสเซียอันยิ่งใหญ่ ซึ่งกำลังลุกเป็นไฟด้วยพลังของประชาชน!!!
Malta Islands , British Empire 12 ธันวาคม ค.ศ. 1805
ที่นี่คือเกาะมอลต้า เกาะกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางทหารและทางเศรษฐกิจหากใครยึดครองเกาะนี้ก็เท่ากับว่าสามารถควบคุมการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ทีเดียว และแน่นอนผู้ครอบครองเกาะแห่งนี้ก็หนีไม่พ้น จักรวรรดิอังกฤษซึ่งทรงแสนยานุภาพทางทะเลนั้นเอง … เกาะๆนี้เต็มไปด้วยท่าเรือรบของอังกฤษ และมีเรือรบมากมายรวมกว่า 40 ลำจอดอยู่ที่ท่า แต่ในวันนี้เหล่าลูกประดู่และทหารเรือนับพันต่างมายืนแถวบนเขื่อนอย่างเป็นระเบียบเหมือนรอการตรวจเยี่ยมจากใครสักคน.. .. ในตอนนี้ มีเหล่า นาวิกโยธินกว่า 10 นายต่างยืนเป็นแถวรายกราบ.. รอรับนายทหารที่ลงจากเรือหลวง Victory เรือซึ่งถือว่าอาวุโสในหมู่เรือทั้งหมด
“ผู้บังคับกองเรือยิบรอลตาร์ ลงเรือ!!”
พรึ่บ!!! ทหารนับพันต่างชิดเท้าและยืดอกพร้อมยกปืนขึ้นทำท่า วันธยาวุธ!! เสียงของรองเท้าบู๊ทหนักๆเดินลงมาจากบันไดของเรือที่ละขั้น ตึก….ตึก… ตึก… ตึก….. ผู้บังคับกองเรือยิบรอลตาร์ลงจากเรือมายืนบนเขื่อนเป็นที่เรียบร้อย ไล่แต่หัวจรดเท้าเขาคนนี่ช่างดูดีสมเป็นทหารเรืออังกฤษจริงๆ รองเท้าบู๊ตมันวาว กางเกงขาวสะอาด ห้อยกระบี่พร้อมฝักสีทอง สวมคลุมสีน้ำเงินพร้อมติดเหรียญตราตำแหน่งยศนายพล รวมถึงหน้าตาอันดูรกรุงรังไปด้วยหนวดเคราสีน้ำตาล และหน้าตาเหมือนคนเมาเหล้า.. เฮ้ยๆ ดูอีกที!! ไม่ผิดแน่ๆครับ นี่มัน กัปตัน Henry Lawrence!!! ไอ้ขี้เมาแห่งราชนาวีอังกฤษ!! …. หลังจากการเสียชีวิตของท่าน Lord Nelson ... เนื่องจากทางกระทรวงทหารเรือเห็นว่า Henry Lawrence มีประวัติการรบมานานและยังเป็นคนสนิทของ Nelson จึงได้แต่งตั้งใหเขาเป็น พลเรือโท และ รั้งตำแหน่งเดียวกับที่ Nelson เคยเป็นนั้นคือ ผู้บังคับกองเรือยิบรอลตาร์ Lawerence เดินลงมาตรวจตราแถวทหารเรือที่ประจำการณ์อยู่ที่ Malta … Lawrence เดินด้วยท่าทางอิเระขะเขะตามประสาสายเมา ดูไม่สง่าเหมือนเครื่องแบบที่สวมเลยแม้แต่น้อย… เขาเดินมาหยุดอยู่หน้า นาวิกโยธินร่างใหญ่คนหนึ่ง
“นายชื่ออะไร ไอ้หนุ่ม!!!”
“สิบโท ริเชอลิเยอ ครับ!!”
“ริเชอลิเยอ!! นี่เอ๊งเป็นฝรั่งเศสเหรอว่ะ!!”
“ไม่ครับ คือ….พ่อผมเป็นพ่อค้าผ้าจากฝรั่งเศส ท่านเดินทางมายังอังกฤษ … และพบกับแม่ผมที่นั้น..”
“งั้นตอนนี้เอ๊งรับใช้ใครไอ้หนุ่ม!!”
“จักรวรรดิอังกฤษ และ ราชนาวีอังกฤษ ครับ!!”
“ดี!!”
Lawrence เดินมาไปตามแถวทหารเรื่อยๆต่อและมาหยุดตรง ทหารตัวเล็กผู้หนึ่งเขาสูงไม่ถึง 160 เซนติเมตรด้วยซ้ำ
“นี่ตอนเด็กๆแม่เลี้ยงเอ๊งด้วยอะไรเนี่ย!!”
“ขี้เลื่อยครับ!!”
“จริงดิ!!! มิน่าเอ๊งถึงตัวเท่านี้ ว่าแต่ใครเขาคัดเอ๊งเข้ามาเนี่ย”
“กองเรือป้องกันมาตภูมิครับ!!”
“ถึงส่วนสูงจะต่ำกว่าเกณฑ์ก็ไม่เป็นไร… คนตัวเตี้ยแต่ห้าวเป้งมีตั้งเยอะ .. ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ในฝรั่งเศส เตี้ยจนหมาเลียปากได้ 555”
ทาง Lawrence พูดจาติดตลกครับ ทำเอาทหารในละแวกนั้นขำกันคิกคักๆ… แต่ในระหว่างกำลังเดินตรวจเยี่ยมกำลังพลอยู่นั้น อยู่ดีๆก็มีเรือโทผู้หนึ่งวิ่งมาหาเขาพร้อมกับสาส์นบางอย่าง
“ท่านนายพลครับ ข้อความด่วนจาก สภาสงครามแห่งอังกฤษ ครับ”
“สภานี่มันมีด้วยเหรอว่ะ??”
“ผมก็เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกันครับ แต่มันมีตราประทับของพระเจ้าจอร์จที่ 3 อยู่ครับ..”
Lawrence เห็นดังนั้นจึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆครับเลยหยิบสาส์นขึ้นมาอ่าน เนื้อความในสาส์นนั้นดูจะเป็นเรื่องที่จริงจังและน่าจะเป็นสถานการณ์ที่รุนแรงมาก ทำเอา Lawrence ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด … เมื่อเขาอ่านสาส์นเสร็จ เขาก็จัดการม้วนสาส์นและเก็บมันไว้ในเสื้อคลุม สีหน้าของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความกดดัน… เขาสูดลมหายใจเข้าก่อนจะพูดออกมา
“เหล่าราชนาวีทุกท่าน ในขณะที่พวกเรากำลังนั่งจิบเหล้าอย่างสบายใจอยู่ที่นี่ กองเรือผสม ฝรั่งเศส – สเปน – ฮอลันดา กว่า 63 ลำ กำลังมุ่งตรงไปยังช่องแคบอังกฤษ!! จุดมุ่งหมายของพวกมันนั้นแน่ชัด คือทำลายกองเรือป้องกันมาตภูมิของเรา!! … เพราะฉะนั้นเรามัวอยู่เฉยได้เยี่ยงไร ข้าศึกกำลังจะไปอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเรา!! แต่พวกมันจะทำพลาดอีกครั้ง!!! ที่ Trafalgar กองเรือของเราที่มีน้อยกว่าสามารถเอาชนะมันได้!! และเหตุการณ์นั้นมันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อราชนาวีอังกฤษไปเยือน!!! แสดงให้ไอ้พวกลูกหมาหัดว่ายน้ำนั้นเห็นหน่อยว่าใครกันแน่เป็นเจ้าทะเล!!”
“ใช่!!!”
“ทำให้พวกมันจมลงก้นทะเลไปเลย!!”
“พวกมันแพ้แน่!!! พวกเราคือเจ้าทะเล!!”
“งั้นมัวช้าอยู่ไร!! ไม่ต้องตรวจย่งตรวงเยี่ยมแล้วเสียเวลา ไปเตรียมตัวออกเรือภายใน 24 ชั่วโมง!! กำลังพลทุกคนแยกย้ายได้!!”
พอสิ้นเสียงพูดของ ผู้บังคับกองเรือยิบรอลตาร์ เหล่าราชนาวีอังกฤษต่างแยกย้ายไปตระเตรียมการออกเรือครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในพรุ่งนี้!! Lawrence จะต้องหยุดยั้งการรุกรานจากฝรั่งเศสอีกครั้ง!! และครั้งนี้อาจจะใหญ่กว่าที่ Trafalgar…. แต่ทาง นาวาเอก Martin Sherman รองผู้บังคับกองเรือยิบรอลตาร์กับรู้สึกตงิดใจแปลกๆ
“แต่ท่านนายพลครับ ฝรั่งเศสเพิ่งเสียเรือรบไปจำนวนมากที่ Trafalgar ภายในเวลา 2 เดือนนี้พวกเขาจะหากองเรือรบขนาดมหึมาขนาดนั้นมาจากไหนครับ”
“นั้นสิ ฉันก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล เพิ่งรบแพ้มาไม่ทันไรมันยังจะห้าวเป้งมาใหม่อีกแล้วเหรอว่ะ แต่ทางสภาสงครามแห่งอังกฤษไม่น่าโกหกเราหรอกน่า สาส์นนั้นมีตราแผ่นดินอยู่ด้วย.. เอาเป็นว่าทำตามคำสั่งไปก่อนล่ะกัน”
Lawrence แม้จะดูบ้าๆป้ำเป๋อๆ แต่ก็เอะใจเช่นกันครับ กองเรือฝรั่งเศสเพิ่งโดนถล่มจนย่อยยับไปไม่กี่เดือนไหงอยู่ๆมันสร้างกองเรือใหม่ได้อีกแล้ว!! แต่ทหารนั้นต้องทำตามคำสั่งก่อนเหนือสิ่งอื่นใด!!
ห้อง สิงโตทองคำ , พระราชวัง Buckingham , London , England , British Empire 2 มกราคม ค.ศ. 1806
ณ ห้องสิงโตทองคำ ห้องอันเป็นที่พำนักโอ่อ่า ในพระราชวัง Buckingham ที่นี่คือที่พำนักของกษัตริย์อันยิ่งใหญ่ผู้ครองผืนน้ำ พระเจ้าจอร์จที่ 3 … พระองค์ทรงแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยฉลองพระองค์บางๆ พระวรกายของท่านนั้นเหี่ยวย่นและผอมบางด้วยความชรา พระองค์ทรงไอค่อกแค่กๆตลอดเวลา สุขภาพของท่านนั้นนับวันยิ่งทรุดโทรมลง ด้วยวัย 78 ปี แต่พระองค์ก็ยังคงทรงงานหนักตามเดิม มิหนำซ้ำสงครามระหว่าง อังกฤษ – ฝรั่งเศส ยิ่งทำให้พระองค์เครียดหนักกว่าเดิม ทั้งๆที่ชายชราคนนี้อยากจะวางมือแล้ว แต่คนหนุ่มสมัยนี้มันก็ขยันก่อสงครามจริงๆ !! ในตอนนี้พระองค์นั่งอยู่บนโซฟาเลี่ยมทองคำ เหมือนกำลังรอใครสักคน….
“แอ๊ดดดด….”
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นครับ… ชายหนุ่มวัยราวๆ 30 ต้นๆเข้ามาในห้อง สิงโตทองคำ เขาสวมชุดคลุมผ้าไหมสีน้ำเงินราคาแพง ใบหน้ามีหนวดเคราสีน้ำตาลขึ้นเล็กน้อย เขาคือ Court Henry Graham III แห่ง Lemmington .. นั้นเอง แต่ถ้าให้พูดตำแหน่งปัจจุบันของเขานั้นคือ ประธานสภาสงครามแห่งจักรวรรดิอังกฤษ พระเจ้าจอร์จ มองหน้า Henry ด้วยสายตาไม่พึงพอใจนักก่อนจะยิงคำถามออกมาด้วยความเคลือบแคลง!!
“เจ้าหนุ่ม!! … นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า… ดึงกองทัพของเราทั้งหมดกลับมาที่แผ่นดินใหญ่เพื่ออะไรกัน!!! แค่กๆๆ คิดว่าเจ้าได้เป็น ประธานสภาสงครามแห่งอังกฤษ แล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้งั้นเหรอ ”
“ที่ข้าพเจ้าทำไปนั้นมีเหตุผล พ่ะย่ะค่ะ เพื่อปกป้องแผ่นดินของเราจากการรุกรานจากอริราชศัตรูพ่ะย่ะค่ะ….”
“รุกรานจากใคร นโปเลียนหรือไง?? แค่กๆๆ……นี่ เจ้าลืมไปแล้วหรือไง……แค่ก อังกฤษเป็นเกาะ… ถ้ามันคิดจะบุกมันต้องใช้กองเรือขนาดมหึมา…..แล้วมันมีไหมล่ะกองเรือฝรั่งเศสทีว่า….”
“ไม่มีกองเรือฝรั่งเศสใดๆทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ และการรุกรานที่ว่าก็ไม่ได้มาจากฝรั่งเศสเช่นกัน!!”
“งั้นจากไหน!!”
“ศึกจากภายในพ่ะย่ะค่ะ ข้าหมายถึงพวกที่ต่อต้านระบบกษัตริย์!! ท่านก็รู้จากเหตุการณ์ประชุมสภาในครั้งก่อนว่ามีพวกที่ไม่นิยมในระบอบกษัตริย์มิใช่น้อย พ่ะย่ะค่ะ”
“ซึ่งเจ้าก็เป็น 1 ในนั้นไอ้หนุ่ม!! เจ้าเป็นตัวตั้งตัวตีในการอภิปรายไม่ไว้วางใจข้า มิหนำซ้ำยังกล่าวหาว่าข้าอ่อนแออีก! เพราะฉะนั้นศัตรูควรเป็นเจ้ามากกว่าพ่อหนุ่ม!!”
“ขอฝ่าบาทโปรดให้อภัยข้าพเจ้าด้วยในการกระทำครั้งนั้น มันเป็นอุบายเพื่อที่จะได้หลอกล่อดูอัปกริยาของเหล่าขุนนางต่างๆว่าภักดีต่อท่านหรือไม่… ซึ่งการกระทำของข้าพเจ้านั้นประสบผลสำเร็จโดยดี เหล่าผู้ไม่จงรักภักดีพวกนั้นแสดงถึงความก้าวร้าวออกมาอย่างรุนแรง!! และนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่กำจัดพวกมันพ่ะย่ะค่ะ….”
“55 แค่กๆๆ โอ๊ยขำ!! คิดว่าสิงห์เฒ่าอย่างข้าจะหลงเชื่อคำตอแหลจากเจ้าเหรอพ่อหนุ่ม พวกนักการเมืองมันก็สันดานปลิ้นปล้อนเหมือนกันหมด .. เจ้าเล่นขนทหารจากทั่วทุกมุมอังกฤษมาเพื่อปราบพวกนักการเมืองสวะไม่กี่คนในสภาเนี่ยน่ะ!! แค่กๆ ใครเชื่อเจ้าก็บ้องตื้นแล้ว 55”
“ถ้าท่านไม่เชื่อข้า แล้วท่านจะไว้ใจใครได้อีกล่ะ ท่านพ่อ!!!”
พ่อ!! คำนี้ทำเอาพระเจ้าจอร์จฉุกคิดขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนในการประชุมสภาครั้งก่อน ท่าน Court Henry Graham III ผู้นี้ก็เรียกเขาว่าพ่อ กษัตริย์เฒ่าเริ่มสงสัยในตัวของ Herny ทำไมไอ้หนุ่มคนนี้ถึงเรียกเขาว่าพ่อ
“…….. พ่องั้นเหรอ…. เจ้าหมายความว่าไง….”
“ท่านคงจะจำสร้อยคอเส้นนี้ได้น่ะ ท่านพ่อ…. สร้อยคอที่ท่านมอบให้ Mary Stuart แห่ง Wales หรือ แม่ของข้า!!”
ว่าแล้ว Henry ก็ล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกงของเขาและโชว์ให้เห็นสร้อยคอในมือของเขา ซึ่งมีสัญลักษณ์ของพระเจ้าจอร์จที่ 3 อย่างชัดเจน ทำเอาพระเจ้าจอร์จอึ้งไปอยู่ชั่วขณะ… และทำให้เขาหวนคิดไปเมื่อวันวานที่ผ่านมา
ปราสาท Kennedy , Cardiff ,Wales , British Empire 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1774
ณ ปราสาท Kennedy ปราสาทอันเป็นที่อยู่ของขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งใน Wales แต่ในวันนี้กับมีเหล่าทหารองค์รักษ์ Coldstream มากมายมายืนรายล้อมปราสาททำยังกะจะบุกปราสาทยังไงงั้น …. แต่เปล่าหรอกพวกเขามาเฝ้าเจ้าอยู่หัวของเขาพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษนั้นเอง….. ภายในสวนต้นไม้รอบๆปราสาทนั้นมีพันธ์ไม้สวยงามมากมาย… ประดับไว้ นอกจากนี้ยังมีกวางตัวน้อยๆหลายสิบตัวซึ่งท่าน Lord Adam Sturat นั้นได้เลี้ยงเอาไว้….
“หยุดน่ะจะหนีไปไหน มาให้จับซะดีๆ”
“ตามหม่อมฉันให้ทันสิ เพค่ะ ฮิฮิ”
“หนีแหน่ะ…...จับได้แล้ว”
“ว้ายยยย”
นี้ไม่ใช่เสียงคนที่ไล่ล่ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เป็นเสียงกระดี๊กระด๊าของชายหญิงที่กำลังจู๋จี๋กันมากกว่า..
“นี่แน่ะพวกอเมริกันต้องเจอแบบนี้!!”
ว่าแล้วฝ่ายชายหนุ่มที่ตะครุบตัวฝ่ายหญิงได้ ก็ใช้ปากของเขาไซร้ไปตามซอกคอของฝ่ายหญิง … .
“อ่า….. ฝ่าบาทเพค่ะ พระองค์จะทำอย่างนี้กับพวกอเมริกันจริงๆงั้นเหรอ….”
“บ้า… ข้าจัดการกับพวกมันแน่ แต่คงไม่ไปนั่งไซร้ซอกคอพวกมันหรอก 55”
“มีอารมณ์ขันเพค่ะ ฝ่าบาท ฮิฮิ”
ทั้งคู่ต่างจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความเสน่ต์หา แต่แล้วทางฝ่ายชายก็เริ่มแปรเปลี่ยนสีหน้าอันมีความสุขเป็นสีหน้าเศร้าส้อยแทน… เขาจ้องมองฝ่ายหญิงราวกับว่าจะไม่ได้พบนางอีกครั้ง
“วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน…ดูเหมือนข้าจะต้องกลับอังกฤษแล้วน่ะสิ.... ยังจำได้ไหม Mary วันแรกที่เราเจอกันเมื่อ 10 ปีก่อน…..”
“หม่อมฉันยังจำได้อย่างแม่นยำฝ่าบาท… มันคือวันนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์…”
“ใช่ ข้าจำได้ดี เจ้าช่างงดงามเหลือเกิน …. ข้า อยากจะแต่งงานกับเจ้า Mary… ข้าอยากเหลือเกิน...แต่ว่า...”
“หม่อมฉันทราบดีเพค่ะ หม่อมฉันเป็นเพียงแค่ลูกสาวของขุนนางชั้นผู้น้อยไม่มีเกียรติพอที่จะคู่ควรกับฝ่าบาท...”
“ข้าไม่ได้คำนึงถึง ยศศักดิ์เลย Mary แต่ข้านั้นได้สัญญากับ เฟรเดอริค กษัตริย์ปรัสเซียแล้วว่าจะแต่งงานกับน้องสาวของเขา Anastasia เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์กันระหว่าง 2 อาณาจักร..”
Mary อึ้งไปสักพักหนึ่ง…แม้จะรู้ลึกๆอยู่แล้วว่าการแต่งงานของทั้ง 2 นั้นเป็นไปไม่ได้.. แต่นางก็รู้สึกเศร้าที่คนรักของตนจะไปแต่งงานกับคนอื่น…. นางถึงกับน้ำตาคอเบล้าแม้จะพยายามกลั่นแล้วก็ตาม
“เรื่องนั้นหม่อมฉันเข้าใจดีฝ่าบาท…… ฝ่าบาทจงทำในสิ่งที่เป็นผลดีต่อบ้านเมืองนั้นถูกแล้ว เพค่ะ.. แต่หม่อมฉันก็มีเรื่องอยากจะทูลฝ่าบาทเช่นกัน”
“เจ้ามีอะไรจงว่ามา Mary…...”
“หม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์”
พระเจ้าจอร์จที่ 3 ถึงกับตกตะลึง นี่เขากำลังจะเป็นพ่อคนหรือเนี่ย ลูกคนแรกของเขากำลังจะได้ลืมตาดูโลกแล้ว!! แต่ถึงจะดีใจแต่พระเจ้าจอร์จนั้นก็ทราบดีเช่นกันว่า ลูกนอกสมรสนั้นจะไม่มีสิทธิ์ใดๆในบัลลังก์ พระเจ้าจอร์จนั้นก้มคุกเข่าลงพร้อมกับเอาแก้มของเขาแนบท้องของ Mary… สีหน้าของเขาช่างดูมีความปิติยิ่งนัก
“ลูกของข้า…….เจ้าคือของขวัญที่พระเจ้าประทานมาให้ข้า….”
“ก่อนที่ฝ่าบาทจะอภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิง Anastasia หม่อมฉันขอความกรุณาจากฝ่าบามเรื่องหนึ่งเพค่ะ”
“เจ้าจะได้สิ่งที่ต้องการ Mary จงว่ามา”
“ขออย่าให้พระองค์ทอดทิ้งเขา……. ปฎิบัติกับเขาอย่างที่บิดาที่ดีทำต่อบุตร…ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นกษัตริย์ก็ตามแต่ขอให้เขามีอนาคตรุ่งโรจน์สดใสในจักรวรรดิอังกฤษ”
“ข้าสัญญา Mary……..ก่อนข้าจะไปข้าขอมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับเจ้า.. ,มันคือตัวแทนของคำมั่นสัญญาที่ข้ามีแต่เจ้า…..และเมื่อเขาลืมตาดูโลก ข้าจะมารับเขาและเลี้ยงดูเขาเยี่ยงโอรสกษัตริย์…”
พระเจ้าจอร์จสวมกอด Mary นางอันเป็นที่รักของเขาก็จะยื่นสร้อยเส้นนั้นให้กับ Mary ..สร้อยอันมีตราประทับแห่ง พระเจ้าจอร์จที่ 3 อยู่….. พระเจ้าจอร์จก็เดินจากไป Mary กำมันไว้แน่น นางเชื่อว่าบุคคลอันเป็นที่รักจะทำตามสัญญา… แต่ด้วยภารกิจอันมากมายของกษัตริย์กอปรกับ ปีต่อมา สงครามปฎิวัติอเมริกา เกิดขึ้นทำให้ พระเจ้าจอร์จที่ 3 ไม่มีแม้แต่เวลาจะไปรับลูกน้อยหรือหา Mary นางอันเป็นที่รัก จนกระทั่งสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของอังกฤษมิหนำซ้ำยังเศรษฐกิจตกต่ำจากพิษของสงคราม ยิ่งทำให้พระเจ้าจอร์จทรงกลุ้มพระทัย ไม่มีไปรับลูกน้อยของเขาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งผ่านไป 20 ปี Mary นั้นได้เสียชีวิตลงจากโรคมะเร็ง และแม้ทุกอย่างจะคลี่คลายลง แต่พระเจ้าจอร์จในวัยชรานั้นก็ได้ลืมสัญญานั้นไปแล้ว ยิ่งการกลับมาผงาดของฝรั่งเศส โดย นโปเลียน โบนาร์บาร์ต ยิ่งทำให้พระองค์ทรงกลุ้มพระทัยแต่เดิม และยังไม่ได้มีเวลาหวนมานึกถึงสัญญาที่ให้ไว้กับนางอันเป็นที่รักเลย.. จนถึงปัจจุบัน พระเจ้าจอร์จจึงได้พบกับหน้าลูกชายของเขาซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน…
“นั้นใช่เจ้าจริงๆเหรอ……… เจ้าจริงๆใช่ไหม!!!”
“ใช่ ฝ่าบาท …. ท่านจะไซร้ซอกคอพวกอเมริกันทุกคนเลยหรือไง……นี่คือคำพูดที่พระองค์พูดกับแม่ของข้า”
พระเจ้าจอร์จนั้นถึงกับน้ำตาไหลด้วยความปิติ เขาทั้งรู้สึกงง สับสน และรู้สึกผิดไปในตัว…. เขาลืมไปเสียสนิทว่าเขานั้นเคยมีลูกชายอีกคน ลูกนอกสมรสกับ Mary Staurat ….พระเจ้าจอร์จทรงพยุงร่างกายของตนขึ้นมาและตรงเข้าไปโผกอดลูกในไส้ของเขา ทาง Henry เองก็ดีใจครับที่พ่อของเขานั้นได้รู้ความจริงสักที Henry นั้นก็กลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่และตรงเข้าโผกอดบิดาเช่นกัน….
“พ่อขอโทษ……… พ่อขอโทษ…….ฮึกๆๆ พ่อ……เสียใจจริงๆ”
“ท่านพ่อ…ทุกๆอย่างที่ข้าทำลงไป ก็เพื่อที่ข้าจะได้เข้าถึงตัวพ่อ เพื่อที่ข้าจะได้พบหน้าพ่ออีกครั้ง ฮึกๆๆ ข้ารอวันนี้มานานแล้ว……ฮึกๆๆๆ วันที่จะแก้แค้น!! …..ฉึก!!!!!”
“อ่า…………….อั้ก!!!!”
อยู่ดีๆพระเจ้าจอร์จก็ล้มลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้น…. ชายชราดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาณ…..ในมือของ Henry มีเข็มเล่มหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเคลือบสารพิษอะไรบางอย่างอยู่…. Henry เอามือปาดน้ำตาจระเข้ของเขา พร้อมยิ้มอย่างสะใจ!!
“ท่านรู้ไหม ว่าท่านแม่นั้นทุกข์ทรมาณใจแค่ไหนที่ต้องรอการกลับมาของท่าน คำสัญญาลมๆแร้งๆที่ท่านมีให้กับแม่ข้านั้นมันกัดกินหัวใจของนาง….. ผ่านไป 10 ปี 20 ปี แม่ของข้านั้นไม่มีกะจิตใจจะทำอะไรนางเพราะนางก็มัวแต่หวังว่าพระองค์จะกลับมา…. จนกระทั่งก่อนสิ้นลม นางก็ยังเชื่อว่าพระองค์จะกลับมา… แต่ข้านั้นฉลาดพอที่จะรู้ว่า ท่านไม่มีทางกลับมาแน่…. เพราะท่านมันเป็นไอ้พ่อเฮงซวย”
“ฝ่าบาท!! ฝ่าบาท!!!”
เสียงของเหล่าข้าราชบริพารข้างนอกกำลังวิ่งเข้ามาในห้อง เพราะได้ยินเสียงหกล้มดังตึงของพระเจ้าจอร์จ พระเจ้าจอร์จในตอนนี้ได้แต่หายใจพะงาบๆพูดไม่ออกเนื่องจากลิ้นจุกปากทำท่าเหมือนจะขาดลมหายใจ!! กษัตริย์แห่งจักรวรรดิอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมาสิ้นชื่อตรงนี้หรือ…. ส่วนทาง Henry ยังคงยิ้มอย่างสะใจพลางก้มลงไปกระซิบข้างหูของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่…
“ข้าไม่ฆ่าท่านหรอกท่านพ่อ…. ยังไงท่านก็ยังคงเป็นพ่อของข้า ท่านยังคงเป็นกษัตริย์ของข้า และข้านี่แหละจะช่วยพ่อที่อ่อนแอปกครองบ้านเมืองเอง!!”
เหล่าข้าราชบริพารมาถึง ก็พบว่าพระเจ้าจอร์จในตอนนี้หมดสติไปแล้ว ทาง Henry ทำท่าก้มไปเขย่าตัวทำเป็นดูอาการของพระเจ้าจอร์จ!!
“ฝ่าบาท!! ฝ่าบาท เมื่อสักครู่อยู่ดีๆพระองค์ก็ล้มลงไปกับพื้น!!! ข้าไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นได้ไง”
เหล่าข้าราชบริพารก็ไม่ได้สงสัยอะไรครับ เพราะด้วยอายุอานามอันมากของพระเจ้าจอร์จที่ 3 นั้นเอง คนแก่อายุเท่านี้ถ้าอยู่ดีๆจะเวียนหัวลมลงไปกองกับพื้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกกะไร!! ทาง Henry ลุกขึ้นมาและเดินออกจากห้องไป ในใจตอนนี้เขามีความสุขยิ่งนัก อีกไม่นานนักหรอกอำนาจแห่งจักรวรรดิอังกฤษจะเป็นของเรา
|
|
|
Post by greatbritian on Sept 30, 2017 18:33:01 GMT
Episode 2 : Hannover?? ห้องสิงโตทองคำ , พระราชวัง Buckingham , London , England , British Empire 2 มกราคม ค.ศ. 1806 เวลาประมาณพลบค่ำ
ในขณะนี้ ณ ห้องพำนักของจอมกษัตริย์อังกฤษ นั้นเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารมากมาย… รายล้อม ซึ่งแน่นอนหนึ่งในนั้นมีประธานสภา Newton Bradley ลูกชายของเขา Will Bradley รองประธานสภาสงครามแห่งอังกฤษ และอื่นๆ ซึ่งเหล่าขุนนางและนักการเมืองเหล่านั้นต่างส่งเสียงจ้อกแจ้ก จอแจอยู่หน้าห้องกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปมากมาย ทั้งกษัตริย์จะสวรรคตไหม ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แล้วประตูห้องสิงโตทองคำก็เปิดขึ้นเพยให้เห็น นายแพทย์หลวงชราผู้หนึ่งผมหงอกยาวและสีหน้านั้นเต็มไปด้วยความกดดัน
“ท่านทรงเป็นอย่างไรบ้างหมอ….”
“ตอนนี้อาการของฝ่าบาททรงพ้นขีดอันตรายแล้วครับ… แต่สติสัมปชัญญะของท่านนั้นกลับเลอะเลือน..ราวกับวิกลจริตยังไงงั้น”
พอเหล่าขุนนางได้ยินดังนั้น ถึงกับเสวนากันสนุกปากใหญ่เลยครับ
“ถ้าพระองค์วิกลจริตจริงงั้น คงต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนแล้วล่ะ”
“งั้นใครล่ะ!!!”
“ไม่ได้ อำนาจจะตกอยู่ในมือคนๆเดียวไม่ได้ เราต้องตั้งคณะปกครองบ้านเมืองแทนพระองค์!!”
“งั้นให้ สภาสงครามแห่งอังกฤษรับเรื่องนี้ไว้เอง!!!”
“พวกเอ๊งก็ดูเรื่องสงครามไปสิ!!!”
“ท่าน Duke แห่ง Manchester เสด็จ!!!”
อยู่ดีๆทหารการ์ด Coldstream ที่เฝ้าหน้าประตูก็ป่าวตะโกนออกมาให้เหล่านักการเมืองที่อยู่นอกห้องรับรู้ก่อนจะทำท่าตรงขึงขังราวกับจะมีเชื้อพระวงศ์เสด็จยังไงยังงั้น และประตูอีกด้านในวังก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็น ชายรูปวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองและผ้าคลุมสีแดง เขาสวมหมวกปีกกว้างพร้อมมีขนนกประดับ ดูยังไงก็เป็นคนมีตำแหน่งสูงอย่างแน่นอน…เหล่านักการเมืองที่รออยู่หน้าห้องต่างนิ่งกริบเพราะชายผู้นี้คือ Duke of Manchester , เจ้าชายจอร์จ เฟรเดอริค ออกัสตัสที่ 4 ง่ายๆเลยเขาคือ โอรสองค์โตของพระเจ้าจอร์จที่ 3 นั้นเอง …. เจ้าชาย จอร์จ นั้นเดินแหวกฝูงนักการเมืองไปอย่างไม่ใยดีใครทั้งนั้นพลางเปิดประตูผัวะเข้าห้องไปอย่างว่องไว……
“ท่านพ่อ!!!!”
เจ้าชายจอร์จพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงพ่อของตน ซึ่งภาพที่เข้าเห็นคือ ชายชรานอนอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงบนเตียงสีทองอร่าม ตาของเขากรอกไปกรอกมาด้วยความระแวง ริมฝีปากสั่นงันงกเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง เจ้าชายจอร์จจึงย่างเข้าไปใกล้บิดาของเขาพลางคุกเข่าลงต่ำเพื่อให้ตนนั้นอยู่สูงระดับเดียวกับบิดา….
“ท่านพ่อ…..นี่ข้าเอง….บุตรคนหัวปีของท่าน เจ้าชายเฟรเดอริคน้อยผู้ยิ่งใหญ่ยังไงพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายพูดพลางยิ้มออกมาหวังให้บิดาของตนนั้นระลึกได้ ซึ่งพระเจ้าจอร์จก็หันมามองด้วยสายตาอันดูรุกลี้รุกรน ราวกับไม่รู้จักกันมาก่อน
“อเมริกา!!!!!!!!!!!!!!!!!......Mary………..Maryyyy….ช่วยข้าด้วย นโปเลียนกำลังขี่ช้างมาจับข้าแล้ว!!”
พระเจ้าจอร์จนั้นร้องโวยวาย พลางดิ้นไปมาราวกับกลัวลูกชายตัวเองสุดชีวิต นั้นทำให้เจ้าชายจอร์จใจอคอเสียถึงกับน้ำตาคลอเบ้า…. เจ้าชายลุกขึ้นมาถามแพทย์หลวงถึงอาการที่ทรงเป็น
“เกิดอะไรขึ้นกับท่าน…...”
“ข้าไม่ทราบเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่ประกอบอาชีพนี้มาข้าพเจ้าไม่เคยเจออาการแบบนี้มาก่อน บางทีอาจเป็นเพราะท่านชราภาพมากแต่ มันควรค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่เป็นภายในชั่วข้ามคืน!!”
เจ้าชายจอร์จได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความสับสนและเสียใจ ถ้าบิดาของเขาเป็นอะไรไปนั้นเท่ากับว่าเขาจะได้เป็นกษัตริย์อังกฤษคนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การเป็นกษัตริย์ในภาวะที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟเช่นนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่สำหรับเจ้าชาย.. ทางประธานรัฐสภา Earl Newton Bradley II และทาง Will Bradley รองประธานสภาสงครามแห่งอังกฤษได้ถือวิสาสะเข้ามาในห้องบรรทมโดยยังไม่มีผู้ใดอนุญาต.... ทางเจ้าชายมองพวกเขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
“ในตอนนี้กษัตริย์ทรงวิปลาสไปแล้ว อำนาจของพวกท่านคงจะเพิ่มพูนขึ้นมากเลยสิน่ะ!!!”
“ทรงอย่าเพิ่งร้อนพระทัย ฝ่าบาท... ในตอนนี้พวกเราทุกคนชาวอังกฤษล้วนเป็นห่วงเจ้าเหนือหัวของเราทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ทาง Newton พูดออกมาด้วยท่าทีนอบน้อมและประนีประนอม ทางลูกชายของเขา Will ก็พูดออกมาเช่นกัน
“ในเดือนหน้าเราจะจัดประชุมสภาขึ้นอีกครั้งเพื่อที่จะตกลงกันว่าใครกันแน่จะเป็น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ถ้าไม่มีสิ่งใดผิดพลาดบุคคลคนนั้นก็น่าจะเป็น ท่านเจ้าชาย แต่ในตอนนี้ทาง สภาสงครามแห่งอังกฤษก็มีมติเร่งด่วนที่ต้องจัดการเช่นกัน และมันเกี่ยวกับตัวท่านด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เกี่ยวกับข้างั้นเหรอ….”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ในตอนนี้กองทัพของฝรั่งเศสในเยอรมันนั้นมีมากถึง 40000 นาย ยังไม่นับกำลังทหารชาวเยอรมันภายใต้การบัญชาการของฝรั่งเศสด้วย และเมืองของเราในเยอรมันอย่าง Hannover นั้นมีทหารอังกฤษเพียง 5000 นายเท่านั้น เราจึงจำเป็นต้องส่งกองกำลังภาคพื้นทวีปเข้าไปเสริมเป็นการด่วน ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ายึดมันได้.....”
“ท่านหมายถึงกองทัพรักษาพระองค์ที่ 1 จำนวน 25000 นายที่อยู่ใต้การบัญชาการกของข้าใช่ไหม Will….แต่กองกองกำลังนั้นเป็นกองกำลังสุดท้ายที่มีอยู่ในอังกฤษน่ะ หากให้พวกเขาไปอยู่ที่ Hannover เกาะของเราก็ไร้กองกำลังทหารป้องกันภัยจากภายใน”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลฝ่าบาท ข้าได้เรียกนายพล Arthur ผู้บัญชาการกองทัพรักษาพระองค์ที่ 3 กลับจากอินเดียไปตั้งแต่กลางเดือนปานนี้สาส์นน่าจะถึงเขาแล้ว Arthur เขาเป็นเพื่อนของข้าเอง เขาเป็นคนดีไว้ใจเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหมายความว่า ข้าจะต้องไปบัญชาการรบที่ Hannover เองสิน่ะ...”
“ท่านไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ฝ่าบาท!!! ให้นายพลคนอื่นที่ปรีชาในการทำศึกไปแทนพระองค์. การไปอยู่ใน Hannover นั้นเท่ากับอยู่กลางดงเสือ ขวามีฝรั่งเศส ซ้ายมีปรัสเซีย ซึ่งก็เอาแน่เอานอนไม่ได้!! การไปจะเป็นการเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์และหากท่านพลาดท่านั้นเท่ากับว่า.. ”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นท่านรองประธาน.. Hannover เป็นการเกิดของต้นตระกูลข้า ถิ่นกำเนิดของบิดาข้า อังกฤษไม่เคยเสียมันให้ใคร!!! และภายใต้การนำของข้า!! จะไม่มีธงผืนใดนอกจากธง Union Jack ที่โบกสะบัดเหนือ Hannover!”
เลือดนักรบในเจ้าชายจอร์จสูบฉีดไปทั่วร่าง นี้เป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้ปฎิบัติการณ์ทางทหาร เขาจะไม่ทำให้บิดาผิดหวังโดยการปกป้องเมืองๆนี้ไว้ Hannover บ้านเกิดเมืองนอนของตระกูล ออกัสตัส สายกษัตริย์อังกฤษจะไม่ถูกใครปกครองทั้งนั้น!!! ในขณะเดียวกันทาง 2 พ่อลูกตระกูล Bradley กับแอบยิ้มคิกคักๆในใจ! ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผน!!! สายเลือดของกษัตริย์กำลังจะถูกกำจัดโดยน้ำมือของชาวต่างชาติ!! ใช่แผนของพวกเขานั้นคือดึงกำลังทหารของเหล่าเชื้อพระวงศ์และองค์รัชทายาทไปให้ฝรั่งเศสกำจัด ในขณะเดียวกันกองทัพของเหล่าพวกสภาก็จะเข้ามามีอำนาจแทน!!!! ดูเหมือนจักรวรรดิอันร่มเย็นแห่งนี้จะไม่ได้สุขสบายอย่างที่คิด
Taj Mahal , Agra , India , British Empire 6 มกราคม ค.ศ. 1806
ณ ทัชมาฮาลสถาปัตยกรรมอันงดงามแห่งอินเดีย ไข่มุกแห่งชมพูทวีป มันถูกสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักของ จักรพรรดิ ชา ชะฮัน แห่งโมกุล..... ซึ่งในตอนนี้ จักรวรรดิโมกุลนั้นได้พ่ายแพ้ต่ออังกฤษและเสียดินแดนมากมายให้กับ จักรวรรดิอังกฤษรวมถึงสถานที่นี้เช่นกัน..... เหล่าทหารโมกุลโดนขับไล่ออกไปเปิดทางให้เหล่าทหารเชิ้ตแดงจากแดนไกลเข้ามายึดครองได้อย่างสะดวกโยธิน ในวันนี้พลตรี Arthur Wellsey แห่งกองทัพรักษาพระองค์ที่ 3 ในชุดเครื่องแบบนายพลสีแดงสดของอังกฤษเต็มยศ กำลังเดินคู่กับ นายทหารอาณานิคมอินเดียผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังบรรยายถึง ทัชมาฮาล สถาปัตยกรรมอันเลอค่าแห่ง โมกุล โดยที่ติดตามเขาอยู่นั้นคือเหล่าทหารองครักษ์ Coldstream และ Greandier กว่า 10 นาย 1 ในนั้นมี Arthur English ทหาร Greandier ร่างยักษ์อยู่ด้วย เหล่าชาวอังกฤษต่างมองสิ่งปลูกสร้างตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ รวมถึงตัวท่านนายพล Arthur เองที่สนอกสนใจในอารยธรรมอินเดียมิใช่น้อย เขาสักถามทหารอินเดียเป็นการใหญ่
“พวกแรงงานขนหินอ่อนขนาดนี้มายังไงเนี้ย..”
“พวกเขาอาศัยแม่น้ำในการขนขอรับ ท่านนายพล เหล่าช่างชาวอินเดียจะบรรจงกะเทาะหินอ่อนและผูกมันไว้กับแพก่อนจะลอยตามแม่น้ำมาถึงที่นี่..”
“ออ... ช่างน่าทึ่งจริงๆว่าแล้วสร้างมันนานไหมเนี่ย”
“เกือบ 20 ปีได้ครับ ท่านนายพล”
ระหว่างที่เหล่าบรรดาทหารอังกฤษกำลังสนอกสนใจกับ ทัชมาฮาล พลม้านำสาส์นชาวอินเดียผู้หนึ่งควบม้าตรงมาหา Arthur พร้อมนำสาส์นมาให้อย่างรวดเร็ว.... Arthur จึงละความสนใจมาที่สาส์นนั้นอย่างทันควัน!!
“ Court Henry Graham แห่ง Lemmington
ประธานสภาสงครามแห่งอังกฤษ
ในยามนี้บ้านเมืองกำลังโกลาหลยิ่งนัก.... นโปเลียนเอาชนะกองทัพพันธมิตรได้ที่ Austerlitz เรือรบฝรั่งเศสนับวันยิ่งมากทวีคูณ นอกจากนี้ภัยการเมืองในอังกฤษยิ่งทวีความรุนแรงกว่า เกิดการแตกแยกกันระหว่างกลุ่มนิยมกษัตริย์และต่อต้านกษัตริย์ยิ่งหนักหนาขึ้นทุกวัน เราต้องการท่าน ท่านนายพล Arthur สิงห์แห่งอินเดีย กลับมาพร้อมกำลังทหารของท่าน เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์บ้านเมืองให้สงบสุขอีกครั้ง อังกฤษจงเจริญยิ่งนานสืบไป
พลตรี Arthur Wellsey ผู้บัญชาการกองทัพรักษาพระองค์ที่ 3”
Arthur อ่านสาส์นเสร็จก็ถอนหายใจดังเฮือก เฮ้อออ อุตส่าห์หนีมาอยู่แดนภารตะอันสงบเงียบแล้วแท้ๆภัยการเมืองยังถามหา... แต่เป็นทหารนั้นต้องทำหน้าที่!! ปกป้องชาติ และ กษัตริย์!! เพราะฉะนั้นกองทัพรักษาพระองค์ที่ 3 ได้เวลากลับสู่มาตุภูมิแล้ว!! อังกฤษจงเจริญสืบยิ่งยืนนาน
ป่าแห่งหนึ่งในบริเวณ Vienna , Austria , Autrian Empire 8 มกราคม ค.ศ 1806
ชายป่าอบอุ่นแบบยุโรป เหล่าพืชพรรณต่างๆเริ่มกลับมาเบิ่งบานเนื่องจากกำลังเข้าสู่ ฤดูร้อน สัตว์ป่าทั้งหลายอาทิ กวาง หมูป่า ต่างตื่นจำศีลและออกหากินตามปกติ ในวันนี้เหล่าคณะของชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งกำลังออกล่าสัตว์เพื่อความบันเทิง …. ซึ่งประกอบด้วยทหารม้าหนักฝรั่งเศส Carabiner จำนวนกว่า 30 นาย ซึ่งเป็นคณะนำในการกวาดต้อนฝูงสัตว์ให้ออกจากป่ามายังที่โล่ง… เหล่าทหารม้าต่างใช้ทั้งดาบ ไม้ตะบอง หรือ ปืนในการไล่ต้อนสัตว์น้อยใหญ่ให้ออกมา…. ในทุ่งหญ้าอันโล่งกว้างนั้น มีคณะล่าสัตว์อีกกลุ่ม 1 รออยู่ พวกเขายืนรออย่างใจจดใจจ่อรอให้ฝูงสัตว์วิ่งออกมา …. ซึ่งประกอบไปด้วย นายทหารองครักษ์ Old Guard ร่วม 50 และเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ คุณหญิงคุณนายออสเตรียกว่า 10 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส ตันเลย์ลอง , พระเจ้า Francis II แห่ง ออสเตรีย , Marie Louise ดัสเชส แห่ง ปามา ,และคนสุดท้าย จอมจักรพรรดิฝรั่งเศส นโปเลียนที่ 1 …. นโปเลียนทรงถือปืน ไรเฟิล กระบอกโตอยู่ แม้จะไม่ได้จับมันนานร่วม 8 ปี แต่พระองค์ก็ยังคงมั่นใจที่จะใช่มัน…
“ปกติท่านชอบล่าสัตว์ไหม สหายฟรานซิส”
นโปเลียนพูดออกมาพลางรอสัตว์ที่เหล่าคณะของเขาออกไปต้อน
“ไม่……..”
“ข้าก็เหมือนกัน การล่าสัตว์มันเป็นงานอดิเรกของพวกชนชั้นสูงซึ่งไม่รู้ว่าเวลาว่างๆควรจะเอาไปทำอะไร…. ซึ่งในจักรวรรดิของข้ากิจกรรมแบบนี้มันแทบจะสูญพันธ์ไปหมดแล้ว…”
“แต่ท่านก็ยังคงอนุรักษ์มันไว้สิน่ะ ฝ่าบาท”
ตันเลย์ลองพูดขึ้นมาเสริมทัพ นโปเลียน
“ใช่ เพราะ กีฬาประเภทนี้มันมีไว้จีบสาวน่ะสิ ท่านรัฐมนตรี”
นโปเลียนพูดไปพลางยิ้มไป นัยน์ตาของเขาเหล่มาที่ ดัชเชสแห่ง ปามา เล็กน้อย เรียกว่ารู้จังหวะจะโคนกันจริงๆครับคู่นี้…. ทาง Marie Louise ยิ้มอย่างเขินอายและหัวเราะเบาๆ เรียกได้ว่าเชื้อไฟกำลังติดครับ ส่วนทางพี่ชายของนางนั้นได้แต่ถอนหายใจ ก้มหน้ายอมรับ ขนาดเป็นจักรพรรดิแท้ๆยังห้ามความรักของทั้ง 2 ที่กำลังเบ่งบานมิได้ ทันใดนั้นเหล่านกในป่าต่างบินออกมาจากยอดไม้เป็นสัญญาณว่ากำลังจะมีสัตว์ป่าฝูงใหญ่มุ่งตรงมา…..
“เชิญเจ้าบ้านก่อน"
นโปเลียนเชื้อเชิญให้พระเจ้า Francis II เป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน…พระองค์ทรงไม่สันทัดในการใช้อาวุธนัก จับปืนด้วยความงุ่มง่ามกลัวมันจะลั่นใส่… ว่าแล้วห่างออกไปประมาณ 80 หลา ก็มีฝูงกวางนับ 10 วิ่งออกมาจากพุ่มหญ้า…….. Francis II ยกปืนขึ้นมาประทับที่บ่า!!! 2 ตาเล็งไปที่กวางตัวหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งตรงมา…..
ปัง!!!!!
พระองค์เหนี่ยวไกแต่กระสุนนัดนั้นหลุดวิถีไปไกลหลายหลาเลยทีเดียว…… พระเจ้าฟรานซิสทำหน้าเจื่อนๆเล็กน้อย เป็นทีของ นโปเลียน เขาเล็งไปที่กวางอีกตัวซึ่งกำลังวิ่งห่างออกไป 2 มือของเขาจับไว้ที่ไรเฟิลแน่น สมองพลางคิดแรงลม และแรงเฉื่อนต่างๆที่จะมีผลต่อกระสุน…..เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เขาเหนี่ยวไกออกไป…
ปัง!!!!!!!
ฟิ้วววววววววว ปุก….กระสุนถูกเจ้ากวางน้อยตัวนั้นที่พุงจังๆ เจ้ากวางน้อยล้มลงดิ้นทุรนทุรายจากบิดบาดแผล…. แต่เหล่าคณะติดตามทั้งหลายต่างปรบมือให้ ฝีมือในการยิงปืน ของนโปเลียน!!!
“แม่นจริงๆ!!”
“สมแล้วกับที่เป็นจักรพรรดิผู้พิชิต ขนาดปืนเล็กยาวยังยิงได้แม่นยำเพียงนี้”
“ก็ว่าทำไม จักรพรรดิของเราถึงแพ้ ขนาดปืนยังไม่กล้าจับเลย คิกคิกๆ”
เหล่าขุนนางออสเตรียต่างพูดกันเบาๆซึ่ง นโปเลียนก้มหน้าพงกหัวรับคำชมเชยครับ….. พระเจ้าฟรานซิสที่ 2 ก็ทรงปรบมือให้อย่างไม่เต็มใจนัก
“ทรงมีทักษะอันยอดเยี่ยมมาก เพค่ะฝ่าบาท”
ทาง Marie Louise ถึงกับออกปากชม นโปเลียน ด้วยตัวเองครับ ขนาดน้องสาวกูแท้ๆยังไปอวยมันเลย ไอ้เตี้ยบรรลัยยยย (คงได้แค่คิดในใจแหละ 55) นโปเลียนยิ้มอย่างดีอกดีใจที่สาวที่ตนชื่นชอบเอ่ยปากชมตนเอง
“ข้าไม่ได้จับปืนมาร่วม 8 ปีได้กระมังเนี่ย…..นี่ถือว่า โชคและทิศทางลมเข้าข้างข้ามากกว่า ดัชเชส”
“ หม่อมฉันคิดว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะกวางน้อยตัวนั้นถึงคราวอับโชคมากกว่าที่ต้องมาเจอกับ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่”
“งั้นเหรอ องค์ดัชเชส ข้าก็คิดยังงั้นแหละ….. งั้นข้าขอตั้งชื่อเจ้ากวางน้อยดวงซวยนี่ว่า ปรัสเซีย ล่ะกัน”
พอพูดถึงปรัสเซีย ทุกคนในคณะถึงกับหันขวับมาทางเดียวกัน ปรัสเซีย นี่คงจะเป็นเป้าหมายต่อไปของ นโปเลียนเป็นแน่แท้ นโปเลียนพูดพลางชี้นิ้วไปที่กวางเพื่อให้เหล่าองครักษ์ไปตามเก็บซากมาดูผลงานของเขา….
“ปรัสเซีย แม่ของหม่อมฉันเป็นชาวปรัสเซีย…….”
“ภรรยาของพระเจ้าจอร์จแห่ง อังกฤษ ก็เช่นกัน….. อันตัว ดัชเชสเองมองว่า ปรัสเซีย เป็นเยี่ยงไร”
“หม่อมฉันคิดว่า ปรัสเซียนั้นเป็นแคว้นเล็กๆแต่เต็มไปด้วยความเจริญ ศิวิไลซ์ และหน้าแปลกใจ พวกเขาเก่งทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ การทหาร และยังมีสายเลือดกระจายไปทั่วยุโรปอีกด้วย…. หม่อมฉันคิดว่า พวกเขาประสบความสำเร็จในทุกด้าน และ กำลังจะเป็นอนาคตอันสดใสของยุโรป”
“ใช่ ….ปรัสเซีย….ดินแดนที่พระเจ้าเฟรเดอริคมหาราชสร้าง ท่านทรงเป็นกษัตริย์ที่ข้าเคารพและยำเกรง….. นักการทหารที่ดีควรเอาเยี่ยงอย่าง แต่ในวันนี้ดูเหมือนหลานของเขาคงคิดเหมือนท่าน ดัชเชส…. ถึงได้กล้ายกทัพมารุกรานฝรั่งเศส”
“ท่านจะทำสงครามกับพวกเขางั้นหรือฝ่าบาท”
นโปเลียนไม่ตอบอะไรครับแต่เขาจ้องมองไปที่กวางน้อยตัวนั้นเพื่อให้องค์ ดัชเชส มองตาม เหล่าทหารองครักษ์ของ นโปเลียนนั้นได้ใช้ มีดเชือดคอกวางน้อยตัวนั้นจนสิ้นลม เรียกได้ว่าน่าจะเป็นคำตอบได้อย่างดี…. ทาง Francis II เงียบอยู่นานก็พูดเปิดตัวออกมาก่อน
“สหาย……สงครามครั้งนี้ กองทัพของข้าคงไม่สามารถร่วมรบได้ เนื่องจากบอบช้ำมาจากสงครามหลายครั้งหลายครา…… แต่ข้าให้สัญญาว่าจะส่งเสบียงและยุทธปัจจัยมาสนับสนุนอย่างแน่แท้”
“แค่นั้นก็เกินพอแล้ว ขอบพระทัยอย่างยิ่งในน้ำใจอันงดงามของท่าน”
“ฝ่าบาท…….ตอนนี้ข้าพเจ้าได้ข่าวแว่วๆว่าพวกอังกฤษจะยกกำลังมาสนับสนุนที่ Hannover”
ตันเลย์ลองรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศพูดออกมา Hannover นั้นหากดูในแผนที่แล้วมันเป็นเสมือนเกาะอังกฤษใจกลางเยอรมัน ง่ายๆเลยมันคือ รัฐๆหนึ่งในเยอรมันที่เป็นของอังกฤษและตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง สหพันธรัฐลุ่มแม่น้ำไรน์ของฝรั่งเศส และ ราชอาณาจักรปรัสเซีย!!
“Hannover …ถิ่นกำเนิดของพระเจ้าจอร์จ….หึหึ พวกปรัสเซีย สัญญากับพวกอังกฤษไว้นานนมแล้วว่าจะปกป้อง Hannover เยี่ยงชีวิต* แต่กองทัพปรัสเซียก็ยังเป็นอุปสรรคอยู่ดี กองทัพของ เนย์ใน Saxony ไม่น่าจะรับมือพร้อมกัน 2 กองทัพไหว”
(ในช่วงสงคราม 7 ปี พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชนั้น ได้สัญญากับพระเจ้าจอร์จที่ 3 ไว้ว่า จะปกป้อง Hannover ให้พ้นจากการรุกรานของ ฝรั่งเศส และ ออสเตรีย ซึ่งเป็นคู่สงครามในตอนนั้นซึ่งก็ทำได้จริง)
“ข้าพเจ้านั้นคิดว่าด้วยคารมคมคายของข้า ข้าจะเป่าจะสามารถเป่าหู ไกเซอร์ของพวกมันจะลังเลไม่กล้ายกทัพมาช่วยในเร็ววัน เพื่อที่จะถ่วงเวลาไม่ให้กองทัพปรัสเซีย ยกมาหนุนอังกฤษได้ทัน”
“ในระหว่างท่านกำลังถ่วงเวลาของปรัสเซีย กองทัพของเนย์ ใน Saxony จะยกทัพไปถล่ม Hannover ให้ราบเป็นหน้ากอง ได้ถล่มพวกอังกฤษให้หายแค้นไม่พอ ได้ตบหน้าพวกปรัสเซียด้วย หึหึ ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัวจริงๆ!!! หลังจากนั้น ข้าจะ Grande Armee อันเกรียงไกรไปสมทบกับเนย์ ถล่มพวกปรัสเซียให้ราบ!!!!! และแผ่นดินของพระเจ้าเฟรเดอริค มหาราชก็จะตกอยู่ในมือของข้า!!!”
ความทะเยอทะยานของจักรพรรดิฝรั่งเศสได้แสดงออกมาอย่างแจ่มแจ้งเหล่าขุนนางออสเตรียต่างรับรู้ได้ถึงความกระหายในอำนาจของจักรพรรดิผู้นี้ จักรพรรดิผู้จะร่วมโลกเป็น 1 ภายใต้ธงอินทรีย์ทองคำ .... แต่ Marie Lousie กับชื่นชอบในความทะเยอทะยาน และเข้มแข็งของชายร่างเล็กผู้นี้ยิ่งนัก อาจจะเนื่องจากเบื่อสังคมอันเรียบร้อยของออสเตรีย หรือเพราะเบื่อพี่ชายที่ทรงธรรม.. นโปเลียนนี่แหละคือชายในฝันของนาง!!
พระราชวัง Sanssouci , Potsdam , West Prussia 24 มกราคม ค.ศ. 1806
ณ พระราชวังแห่งปรัสเซีย อันโออ่า และ ศิวิไลซ์ไม่แพ้ที่ใดในยุโรป กษัตริย์หนุ่มแห่งปรัสเซีย ผู้มีรูปร่างสง่างาม และไว้หนวดโง้งเข้าควายอันเป็นสัญลักษณ์ชาวปรัสเซีย พระเจ้าไกเซอร์ Frederick William III ทรงกำลังเดินเสวนาอยู่กับ ผู้บัญชาการกองทัพของเขา Thomas Ludendorff ซึ่งพึ่งพ่ายแพ้ในศึกที่ Dresden มาเมื่อราวๆเดือนก่อน ทางพระเจ้าไกเซอร์นั้นดูมีทีท่ากังวลเล็กน้อยถึงสถานการณ์ที่กำลังตามมา .. ส่วนทาง Ludendorff เองก็มีสีหน้าที่ดูตรึงเครียดไม่แพ้กษัตริย์ของเขาเช่นกัน
“ในตอนนี้กองกำลังภาคพื้นทวีป Landwher ของเรามีทั้งหมดทั้งมวลทั้งสิ้น 150000 นาย เราเสียทหารที่ Dresden ไปราวๆ 15000 แต่อย่างไรก็ตาม กองทัพของนโปเลียนนั้นมีมากกว่าของเราแน่ เห็นทีการเปิดศึกกับฝรั่งเศสครั้งนี้มันอาจจะกลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อเข้าแล้วน่ะสิ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท......พวกมันไม่รามือ พวกมันเพิ่งมีชัยเหนือพันะมิตรออสเตรีย – รัสเซียใน Austerlitz และน่าจะใช่เวลารวมกำลังพลใหม่อีกราวๆ 3 เดือน....ถึงพร้อมทำศึกครั้งต่อไป แต่คราวนี้ข้ามีแผนการณ์ที่จะทำให้เรากลับเข้าไปมีอิทธิพลในบรรดารัฐเยอรมันอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“แผนการงั้นรึ??”
“ในตอนนี้ยังมีรัฐๆหนึ่งในเยอรมันซึ่งขึ้นอยู่กับ อังกฤษ รัฐๆนั้นคือ Hannover ยังไงซะเราเป็นพันธมิตรกับอังกฤษมานานแสนนานแล้ว เราจะใช้ Hannover เป็น ฐานของกองทัพเราในการโจมตีสหพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ของฝรั่งเศส โดยมีการสนับสนุนทางทะเลจากอังกฤษ หกได้การส่งกำลังบำรุงที่ไม่ขาดสายจากอังกฤษไม่มีทางแน่ที่กองทัพเราจะปราชัยเป็นครั้งที่ 2”
“Hannover งั้นเหรอ อืม........”
กษัตริย์แห่งปรัสเซียก้มหน้าและเอามือจับคางทำท่าครุ่นคิดเป็นการใหญ่ถึงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอังกฤษ... แผนการครั้งนี้จะประสบความสำเร็จไหม แต่แล้วไม่ทันไรทหารองครักษ์รายหนึ่งวิ่งมาหาพวกเขา.....
“ท่านนายพลครับ….. ในตอนนี้มีทูตจากฝรั่งเศสเดินทางมาครับ”
“มันมาทำไมตอนนี้ว่ะ บอกมันให้รอไปก่อน...”
“เดี๋ยวให้เขาเข้ามา!!”
ดูเหมือน ไกเซอร์ จะเป็นกังวลกับปัญหาความขัดแย้งเป็นที่สุดครับ เขารีบให้ทูตฝรั่งเศสนั้นเข้าพบโดยทันทีเนื่องจากต้องการเคลียร์ปัญหาทางฝรั่งเศสให้จบๆไป ซึ่งนั้นทำให้ Ludendorff ไม่พอใจเล็กน้อยครับ.... เพียงไม่กี่อึดใจ ทูตฝรั่งเศสรายนั้นก็เดินเข้ามาพบกับเขา เขาเป็นชายชราวัยประมาณ 60 สวมวิกผมสีขาวยาวเฟื้อยบ่งบอกถึงชั้นชนอันสูงส่ง พอเขาเข้ามาถึงก็ก้มโค้งคำนับ ไกเซอร์แห่งปรัสเซียด้วยความเคารพทันที ในขณะที่ Ludendorff ทำสีหน้าจงเกลียดจงชังทูตผู้นี้สุดๆ
“ข้าพเจ้า มองซิเออร์ ตันเลย์ลอง รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่ง จักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบกับท่าน กษัตริย์แห่งปรัสเซีย”
“ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ต์!!!”
“เย็นไว้ Ludendorff ท่านรัฐมนตรีมีธุระอันใดถึงได้เดินทางมาไกลถึงเพียงนี้”
“ในตอนนี้ทางจักรพรรดิของข้าพเจ้านั้น ต้องการเจริญสัมพันธไมตรีกับทางอาณาจักรของท่าน ไกเซอร์แห่งปรัสเซีย หลานแห่งเฟรเดอริค มหาราชผู้ยิ่งใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
ไกเซอร์ วิลเลี่ยม ทรงตกพระทัยเล็กน้อยฝรั่งเศสจะมาไม้ไหนอีกครับ ทั้งๆที่เขาเป็นฝ่ายเปิดฉากเองแท้ๆแต่ทางฝรั่งเศสกลับยอมอ่อนข้อด้วยซะงั้น...
“ท่านหมายความว่า ทางจักรพรรดิของท่านจะยอมเจรจาสงบศึกกับเรางั้นหรือ”
“ทรงพระปรีชายิ่งฝ่าบาท.... จักรพรรดิของข้าพเจ้านั้นประสงค์ที่จะสงบศึกกับ ปรัสเซีย เนื่องด้วยเห็นว่าหามีความจำเป็นไม่ที่อาณาจักรทั้ง 2 ต้องมาเข่นฆ่ากันเพราะ ถูกชักใยโดยพวกชาวเกาะนั้น!!”
ชาวเกาะที่ ตันเลย์ลอง ว่านั้นคือ อังกฤษนั้นเอง จริงอย่างที่เขาว่า ที่ไกเซอร์ วิเลเลี่ยม ทรงกรีธาทัพบุกฝรั่งเศสในรอบแรกนั้นเนื่องจากเห็นว่าฝรั่งเศสกำลังเปิดศึกหลายด้าน นอกจากนี้ยังเป็นเพราะคำยุยงของ มาดาม Rachel Ducan ศรีภรรยาของ ท่าน Henry Graham ประธานสภาสงครามแห่งอังกฤษคนปัจจุบัน... เพราะนังผู้หญิงอังกฤษนั้นแท้ๆจึงเป็นชนวนสงครามระหว่าง ฝรั่งเศส และ ปรัสเซีย...
“ท่านไกเซอร์ ผู้มีปัญญาแหลมคม... ท่านอาจจะหลงผิดไปหลงเชื่อคำยุยงของพวกชาวเกาะนั้น... แต่หากท่านลองพิจารณาดูแล้ว ที่พวกมันยุยงท่านนั้นก็เพราะอะไรกัน... เพราะต้องการให้เราทั้ง 2 ตีกันเองจนหมดแรงอ่อนเปลี้ยไปในที่สุดหรือเปล่า พวกอังกฤษนั้นรู้ว่าเมืองของพวกมันนั้นยังคงสุ่มเสี่ยงต่อการรุกรานจากทั้ง ฝรั่งเศส และ ปรัสเซีย... หากพวกเราหมดอำนาจในเยอรมันแล้วไซร้ Hannover ก็จะปลอดภัย!!! ดูยังไงก็มีแต่อังกฤษที่ได้ประโยชน์!!”
ตันเลย์ลองใช้วาจาของเขาเกลี้ยกล่อมให้ไกเซอร์นั้นเห็นตาม แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นมันมีเหตุผลอยู่มากในขณะที่ ไกเซอร์กำลังครุ่นคิด Ludendorff ก็สวนทาง รัฐมนตรีเฒ่าออกมาด้วยความไม่พึงพอใจ
“ไอ้หมาจิ้งจอกเจ้าเล่ต์เอ๊ย!! พวกแกคิดจะฮุบ Hannover ไว้เองน่ะสิ!!! ตราบใดที่ Hannover ยังอยู่มันเป็นอุปสรรคสำคัญของฝรั่งเศสในการขยายอิทธิพลเข้ามาในเยอรมัน!!! แต่อย่าหวังเลยว่าพวกแกจะได้มันเพราะ กองทัพแห่งอินทรีย์ดำจะขัดขวางพวกแก และไล่ตะเพิดพวกแกออกจากแผ่นดินเยอรมัน!!!”
Ludendorff ชี้หน้าด่าท่านทูตอย่างไร้มารยาท ด้วยความชิงชังชาวฝรั่งเศสที่สั่งสมมาแต่นานทำให้เขาแสดงออกมาเช่นนั้น แต่ทางไกเซอร์กลับไม่เห็นเช่นนั้น
“......... พวกอังกฤษ มันชักใยประเทศต่างๆบนโลกให้ทำสงครามกันมานานแล้ว ทุกๆอย่างที่มันทำไปก็เพราะผลประโยชน์ของมัน.... และปรัสเซียก็เป็นหมากตัวหนึ่งซึ่งอังกฤษใช้มานาน นับตั้งแต่สมัยปู่ของข้า พ่อของข้า จนมาถึง ตัวข้าเอง .....แต่พอกันที!!!! เราจะไม่ให้ความช่วยเหลืออังกฤษอีกแล้ว!!!”
ทางไกเซอร์นั้นกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น พอกันทีสำหรับ จักรวรรดิอังกฤษ!!! นั้นเข้าทาง ตันเลย์ลอง พอดี เขาแอบยิ้มที่มุมปากอย่างผู้ชนะ!! เขาสามารถยุยงกษัตริย์ปรัสเซียให้แตกคอกับอังกฤษได้สำเร็จ!! ทาง Ludendorff รีบท้วงติงกษัตริย์ของเขาทันควัน
“ฝ่าบาท!!! ถ้า Hannover ถูกพวกฝรั่งเศสยึดนั้นเท่ากับว่า พวกเราจะหมดหนทางในการเข้าไปมีอิทธิพลในดินแดนเยอรมันที่เหลือพ่ะย่ะค่ะ ยังไงคบค้ากับพวกอังกฤษ ก็ยังดีกว่าฝรั่งเศสเป็นไหนๆ!!!! พวกอังกฤษอาจจะมีเล่ต์กระเท่คมคายในการเมือง แต่ฝรั่งเศสมีกองทัพอันทรงประสิทธิภาพที่จะรุกรานเราได้โดยตรงเลยพ่ะย่ะค่ะ ยังไงข้าพเจ้าก็ยังคงยืนกรานให้เราเป็นมิตรกับอังกฤษ!!”
“จะได้ถูกพวกมันปั่นหัวให้รบกับฝรั่งเศสอีกหรือไง!!!! ตั้งแต่สมัยปู่ของข้าแล้ว ข้าไม่เคยเห็นสักครั้งที่กองทัพอังกฤษจะมารบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเรา แต่พอพวกตัวเองมีภัยกับรีบกุลีกุจอขนทหารยกมาช่วยเป็นการใหญ่!!! ถ้ามันเจ๋งจนได้ฉายาว่า จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน งั้นก็ให้มันรบอย่างลำพังล่ะกัน!! ดูสิจะยันพวกฝรั่งเศสได้สักกี่น้ำ!!!”
“แต่...........”
“ทางจักรพรรดิของข้าพเจ้าจะต้องพอพระทัยกับผลของการเจรจาแน่ ฝ่าบาท.... หลังจากยึด Hannover ได้ พวกเราทั้ง 2 อาณาจักรจะร่วมกันแบ่งปันเขตแดนเยอรมันเพื่อปกครองอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ... เพราะยังไงซะ เขตแดนหลายส่วนของเยอรมันก็อยากจะอยู่รวมกับปรัสเซียมากกว่าฝรั่งเศส ถ้าให้เราปกครองเองจะลำบากสู้ยกให้ท่านจะดีกว่า.....ถือเป็นข้อตกลงที่ดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เราเห็นด้วยกับท่านทูต กลับไปบอกจักรพรรดิของท่านว่าเรายินดีจะเป็นมิตรด้วย....อินทรีย์สีทอง และ อินทรีย์สีดำ จะเลิกทำลายกันและร่วมกันสร้างยุโรปให้มั่นคงอีกครั้ง!!”
ทางตันเลย์ลองโค้งคำนับรับคำของไกเซอร์แห่งปรัสเซียด้วยเปรมปรีดาอย่างยิ่ง ทุกอย่างเป็นไปตามแผนไม่มีกองทัพใดจะยกมาช่วย Hannover ได้แล้ว พวกอังกฤษต้องเอาตัวรอดกันเอง ส่วนทาง Ludendorff นั้นสีหน้าอันเกรี้ยวกราดอยากจะชักดาบออกมาฟันให้ทูตเจ้าเล่ต์นี้ให้สิ้นใจ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะยังคงเกรงใจกษัตริย์..... Ludendorff นั้นรู้ดีว่า จุดประสงค์ของฝรั่งเศสนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าอังกฤษเท่าไหร่นัก.... เผลอๆอาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ
Dresden , Saxony , Confederation of the Rhine (Cilent State of French Empire) 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806
ณ เมือง Dresden เมืองหลวงของเขต Saxony ซึ่งเพิ่งเกิดศึกสงครามไปเมื่อไม่กี่เดือน เหล่าทหารฝรั่งเศสภายใต้การบัญชาของจอมพล เนย์ กำลังเร่งทะนุบำรุงเมืองเป็นการใหญ่ พวกทหารในกองทัพต่างกะลีกุจอกันขนเศษไม้ ซากปรักหักพังเพื่อเคลียร์ที่ทางในขณะเดียวกันทาง จอมพล ก็ได้กำชับหนักกำชับหนาว่าให้ ทหารฝรั่งเศสทุกนายปฎิบัติกับพลเมืองเชื้อสายเยอรมันอย่างสุภาพ ซึ่งพวกเขาก็ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด.......
“แงๆๆ............แม่จ๋า”
มีเด็กสาวน้อยผู้หนึ่งร้องไห้อยู่กลางถนน จนทหารม้า Dragoon กลุ่มหนึ่งควบม้าเข้ามาพบนางเข้า 1 ในนายทหารม้าควบเข้ามาใกล้แม่สาวน้อยผู้นั้น.... ด้วยรูปร่างอันใหญ่โตของเขา กอปรกับชุดเกราะและดาบที่ห้อยระโยงรยางค์ทำให้เขาดูน่ากลัวยิ่งนัก เด็กสาวนั้นแหงนหน้านายทหารม้านั้นด้วยสายตาที่หวาดกลัวราวกับเป็นมัจจุราชที่กำลังมาเอาชีวิต.. นายทหารม้านั้นกับยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับสาวน้อยผู้นั้น
“เป็นอะไรจ๊ะหนู มีอะไรให้ อัศวินแห่งฝรั่งเศสผู้นี้ช่วยไหม??”
เขาพูดออกมาเป็นภาษาเยอรมัน ด้วยท่าทีที่เป็นมิตรทำให้สาวน้อยนางนี้วางใจเขายิ่งขึ้น...และกล้าปริปากคุยกับเขาด้วย..
“นะนะนะหนู....หลงกับแม่ค่ะ....คือ หนูเดินมากับแม่เมื่อช่วงเช้า แต่ว่าช่วงเช้าคนเยอะมาก....หนูเดินตามแม่ไม่ทัน..........แล้วหนูก็.....จำทางกลับบ้านไม่ได้ค่ะ คุณจะช่วยหนูงั้นเหรอค่ะ คุณอัศวิน”
“ใช่สิแม่หนู...... ว่าแต่แม่หนูชื่ออะไรจ๊ะ....”
“Elsa ค่ะ Elsa Gutenberg”
“ฉัน ร้อยเอก มาควิส เดอ ลาเฟย์ แห่งกองทหารม้าหนัก Falcon ที่ 1.....หรือจะเรียกฉันว่า อัศวินดำก็ได้น่ะ 55+”
“ค่ะ คุณอัศวินดำ”
“เดี๋ยวอัศวินจะพาหนูน้อย Elsa กลับบ้านเอง...”
ว่าแล้วเขาก็ลงจากหลังม้าและอุ้มหนูน้อย Elsa ขึ้นไปบนหลังม้าของเขา เด็กสาวคลายความโศกเศร้าและดูเหมือนตื่นเต้นที่ได้ขึ้นหลังม้าครั้งแรก.....ในขณะเดียวกัน มาควิส ได้สั่งให้บรรดาลูกน้องของเขาแยกย้ายกันหาบ้านของหนูน้อย Elsa………ไกลจากพวกเขาไปไม่มากหน้าปราสาท Dresden มี นายทหารชั้นยศนายพลของฝรั่งเศส 2 คน เฝ้าดูการปฎิบัติของ ผู้กอง มาควิส อยู่เอาจริงๆพวกเขานั้นดูการปฎิบัติโดยรวมของเหล่าทหารฝรั่งเศสมากกว่า.......... นายพล 2 คนนั้นคือ จอมพลเนย์แห่งกองทัพที่ 8 และ จอมพล ฌอง เมสซานา แห่งกองทัพฝรั่งเศสในสหพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์นั้นเอง.. พวกเขากำลังสนทนากันตามประสานายทหารระดับสูง
“นั้นดูสิ มาควิส เดอ ลาเฟย์ เขาเพิ่งย้ายมาจากหน่วยทหารม้าของท่านนายพล มูร่าต์ เมื่ออาทิตย์ก่อน…. ได้ข่าวว่าเขารบบ้าบิ่น บ้าเลือด จนได้ฉายาว่า เบเซอร์เกอร์”
“ไอ้เบอเซอร์เกอร์ที่คุณว่ากำลังช่วยสาวน้อยเยอรมันที่กำลังผลัดหลงกับแม่อยู่น่ะ”
“ผมถึงประหลาดใจไง 55+ แต่ดีกองทหารม้าของผมต้องการคนอย่างเขา.. เพราะผมถนัดการใช้ทหารม้ามากกว่าหน่วยรบอื่น”
“แต่ นโยบายของคุณทำให้ Saxony อ่อนข้อต่อเราง่ายขึ้น พวกเขาเริ่มมีใจฝักใฝ่ในฝรั่งเศสแล้ว...ยิ่งคุณรบชนะพวกปรัสเซียทั้งๆที่มีทหารน้อยกว่า ยิ่งทำให้พวกเขามั่นใจยิ่งขึ้นว่าเราแข็งแกร่ง”
“ใช่เป็นผลดี ในตอนนี้กองทัพแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์เริ่มเชื่อฟังเรา.. วินัยของพวกเขาดีขึ้นและพร้อมร่วมรบกับเรา..นั้นแหละสิ่งที่ผมต้องการ มีชาวเยอรมันกว่า 10 ล้านอยู่ภายใต้การปกครองของเรา และเมื่อเราทำดีกับพวกเขา พวกเขาก็จะพร้อมรบเพื่อรบ”
“คุณทราบคำสั่งจาก จักรพรรดิหรือยัง เนย์??”
“ผมทราบแล้วครับ ให้กองทัพของเราบุกเข้าโจมตี Hannover ของอังกฤษ.... ไม่ใช่งานยากอะไรมากมาย ทหารอังกฤษที่นั้นมีไม่ถึง 10000 ด้วยซ้ำ”
“และพวกเขากำลังได้รับกองหนุนจากอังกฤษ ยังไม่นับพวกปรัสเซียที่เป็นมิตรกับอังกฤษอีก ถ้าพวกมันผนึกกำลังกันได้ก้น่าจะเป็นปัญหาอยูน่ะ ท่านนายพล”
“ปรัสเซีย........ พวกเขาเพิ่งแพ้ไปยังไม่น่าจะรีบเปิดศึกตอนนี้ล่ะม้าง... ยังไงซะต่อให้พวกมันยกกำลังมาหนุน มันก็ไม่มีทางต้านแสนยานุภาพของกองทัพฝรั่งเศสได้หรอก ท่านนายพล เมสซานา กองกำลังฝรั่งเศสใน ลุ่มแม่น้ำไรน์มีรวม 45000 และยังมีทหารเยอรมันราวๆ 38000 ภายใต้การบัญชาการของเรา นอกจากนี้ยังมีทหารฮอลแลนด์ของ พระเจ้าหลุยส์ โบนาร์บาร์ตอีก 16000 นั้นเฉียดแสนเลยน่ะท่าน พวกอังกฤษไม่มีทางหาทหารเฉียดแสนมาเสริมที่ Hannover ได้ภายในเวลา 1 เดือนแน่นอน......”
“ใช่ ถ้าปรัสเซียไม่มาพวกอังกฤษแพ้แน่.....”
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น....แต่ถึงมาก็คงไม่ทันการณ์หรอก เพราะกองทัพของผมและคุณจะพร้อมในอีก 7 วัน!!! และภายใน 10 วันเราจะเข้าไปจิบเบียร์ดำใน Hannover คุณ ฌอง”
เนย์พูดอย่างมั่นใจในศักยภาพการรบของกองทัพฝรั่งเศส Hannover นั้นมีกำลังน้อยเกินไปที่จะปกป้องตนเองได้ ในไม่ช้า La Grande Armee แห่งฝรั่งเศสจักพิชิตที่นั้นได้อย่างเป็นแน่แท้...ทาง ฌอง เมสซานา นั้นช่วงนี้ก็วางตัวเงียบๆและเอาใจมามุ่งด้านการรบอีกครั้ง แต่ยังไงซะเขาไม่มีทางลืมอุดมการณ์ของแน่นอน อุดมการณ์ที่จะล้ม นโปเลียน เพื่อนรักของเขานั้นเอง!!!
|
|
|
Post by greatbritian on Oct 22, 2017 11:09:42 GMT
Episode 3 : Emperor's Girl Friends
ห้อง Husburg ,พระราชวัง Schönbrunn , Vienna , Austria Empire 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1805
ณ ห้อง Husburg ห้องอันเป็นห้องสันทนาการของเหล่าเชื้อพระวงศ์ออสเตรีย… ห้องนั้นถูกตกแต่งอย่างสวยงามแบบเรเนซองส์ นอกจากนี้ยังมีรูปพระเจ้า ชาร์ลที่ 5* จักรพรรดิอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์อยู่ด้วย… แต่ในบัดนี้มีชายผู้หนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่ทัดเทียมหรือเผลอๆอาจจะยิ่งใหญ่กว่านั้นประทับอยู่ในห้อง ชายร่างเล็ก วัยกลางคน ผมสั้นเรียบแปล้สีดำสนิท ในชุดคลุมสีแดง เขาคือ จักรพรรดิ นโปเลียน…. พระองค์ทรงปล่อบอิริยาบถตามสบายพลางจิบชา…และสนทนากับหญิงสาวผมสีบอลนด์หน้าตางดงามประดุจนางฟ้าอย่างสนุกสนาน…สาวผู้นั้นคือ ขนิษฐาของพระเจ้า Francis II พระนาง Marie Louise องค์ ดัสเชสแห่ง ปามา…… ทั้ง 2 นั้นอยู่ในห้องเพียง 2 ต่อเท่านั้นหามีผู้ใดอื่นอยู่ในอาณาบริเวณนั้น
(ชาร์ลที่ 5 จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงมีชีวิตอยู่ช่วง ค.ศ. 1500 - 1558 เป็นจักรพรรดิที่อาจจะนับได้ว่าครองพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในโลกตอนนั้นก็ว่าได้ เพราะเขาครองทั้ง สเปน (และอาณานิคมโพ้นทะเลทั้งหมดซึ่งนั้นก็มากโขแล้ว) เยอรมัน ออสเตรีย เนเธอแลนด์ อิตาลี ฮังการี แต่ด้วยความกว้างใหญ่ของจักรวรรดิและความไม่เป็นเอกภาพของเชื้อชาติทำให้แม้ใหญ่โตแต่ก็ขาดความแข็งแกร่ง ทำให้พระองค์ปกครองจักรวรรดิไม่ไหว จนพอสิ้นรัชสมัย จักรวรรดิของพระองค์จึงแบ่งแยกออกจากกันโดยมีส่วนหลักๆคือ จักรวรรดิสเปน และ จักรวรรดิออสเตรีย นั้นเอง)
“โบนาร์บาร์ต ปกติท่านชอบจิบชาของพวกอังกฤษกระนั้นหรือ”
“ข้าเห็นพวกชนชั้นสูงชอบทำกันก็ไม่รู้ทำไม ส่วนตัวแล้วข้าว่า…มันโคตรจะขม เลย ซู่ดดดดด”
นโปเลียนพูดออกมา พลางซดน้ำชาจนหมดถ้วยและทำหน้านิ่วเหมือนเพิ่งกลืนยาขมเข้าไป คิกกกๆ ฮ่าๆๆๆๆ องค์ ดัชเชส ทรงขำขันกริยาของ นโปเลียน ความสนิทสนมของนางกับจักรพรรดิฝรั่งเศสนับวันยิ่งใกล้ชิดขึ้น สังเกตุได้จากคำพูดของทั้ง 2 ซึ่งดูจะลดความเกรงใจลง และ เพิ่มความเป็นกันเอง… ถึงขนาดที่ว่า องค์ดัชเชส กล้าเรียก นโปเลียน ด้วยนามสกุล ธรรมดาๆ!!! จักรพรรดิฝรั่งเศสนั้นหาเคืองไม่เพราะ แต่เดิมเขานั้นก็หาคนสูงศักดิ์แต่เป็นลูกของข้าราชการธรรมดาๆที่ต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนจนมาถึงจุดๆนี้
“ชีวิตของท่านช่างน่าทึ่งยิ่งนัก…จาก ทหารชั้นผู้น้อย สู่ จักรพรรดิ จะมีสักกี่คนที่ทำแบบท่านได้”
“ข้าเคยได้ยินคำกล่าวว่า ทุกๆ 1,000 ปี โลกเราจักบังเกิดมหาบุรุษขึ้นมาบนปฐพี เมื่อ 2,000 ปีก่อน มี Alexander มหาราช ผู้พิชิตได้ค่อนโลก เมื่อ 1,000 ปีก่อน มี เจงกิสข่าน ผู้พากองทัพม้าไปทั่วสารทิศ และ ในตอนนี้ มี…..”
“นโปเลียน โบนาร์บาร์ต จักรพรรดิร่างเล็ก แต่จิตใจเข้มแข็ง”
“ไม่ใช่….มี พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กษัตริย์ขี้เมาของสยามตะหาก”
“สยาม ท่านหมายถึงป่าเถื่อนทางตะวันออกนั้นน่ะเหรอค่ะ…..5555 ฮุฮุ”
“ใช่แดน ป่าเถื่อนก็จริง แต่ข้าจะเล่าเรืองของเขาให้ฟัง ก่อน พุทธยอดฟ้าจะมาเป็นกษัตริย์ของสยามในตอนนี้ เขามีนามเดิมว่า ทองด้วง เป็นลูกของขุนนางชั้นผู้น้อยของ สยาม…..จนกระทั่งเมืองหลวงของพวกเขาถูกรุกราน…ทองด้วง กับ เพื่อนชื่อว่า สิน ซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยเช่นกัน พวกเขารวบรวมผู้คนขับไล่ผู้รุกราน…และตั้งเมืองขึ้นมาอีกครั้ง…สิน นั้น ตั้งตนเป็นกษัตริย์ของสยาม แต่พอนานวันเข้าเมื่อ ทองด้วง อยากขึ้นมามีอำนาจแทนเพื่อของเขา เขาจึงฆ่าเพื่อนของเขา และ ตั้งตนเป็นกษัตริย์แทน…และนี่คือเรื่องราวของเขาล่ะ”
“ท่านรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรค่ะ..”
“จากปากต่อปากของพ่อค้าชาวสยามน่ะสิ…. แล้วเจ้าได้อะไรจากเรื่องนี้ล่ะ องค์ดัชเชส…”
“อืม….พวกตะวันออกนั้นล้าหลังและโหดร้าย มั้งค่ะ… ว่าแต่ เขาไม่เห็นจะยิ่งใหญ่ตรงไหนเลย เทียบกับพระองค์มิได้เลยแม้แต่น้อย”
“อาจจะใช่ …แต่ข้ามองในอีกแง่มุม ทองด้วง นั้นมาจากขุนนางชั้นผู้น้อย…..ไฟของสงครามสร้างชื่อให้เขา…ทำให้เขาได้แสดงความสามารถออกมาให้ผู้คนประจักษ์…จนผู้คนยอมรับเขา…… และสุดท้ายก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์ โดยหามีผู้ใดคัดค้านไม่ เรื่องของเขาฟังดูคุ้นๆไหมล่ะ??”
“……………นี่มันเรื่องราวของท่านนิ โบนาร์บาร์ต”
“ใช่ ของข้าและเขา เจ้าด่าว่าพวกเขานั้นโหดร้าย แต่ทว่าไหงเรื่องราวของเราจึงเหมือนกันได้ขนาดนี้ ต่างกันแค่สถานที่เท่านั้นเอง…. ที่ข้ากำลังจะบอกเจ้าคือ 1. คนเราหากมีโอกาสที่จะทำอะไรก็ควรจะไขว้คว้ามันไว้…ไม่ใช่ปล่อยให้มันหลุดลอย…. 2. เจ้าจำไว้ดัชเชส ว่าอย่าดูถูกคนๆหนึ่งเพียงเพราะเขาแตกต่าง…. การกระทำของกษัตริย์สยามนั้นถือว่าฉลาดและน่ายกย่องอย่างยิ่งในความสามารถของเขา เขาไต่เต้าจนมาถึงจุดสูงสุดได้ก็เพราะฝีมือของเขาล้วนๆ ข้าถึงได้ยกย่องเขาไงว่าเป็น มหาบุรุษ”
ดัชเชสได้ฟังตะลึงเล็กน้อย และฉุกคิดคิดมาได้ ที่ นโปเลียนพูดนั้นถูกเลยทีเดียว ค่าของคนและความสามารถของคนนั้นหาใช้จากลักษณะภายนอกไม่ นโปเลียนนี่ช่างฉลาดล้ำลึกและมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งจริงๆ ผู้ชายอะไร Perfect แมนเป็นบ้า ^^ (หายากน่ะครับผู้หญิงที่ชอบผู้ชายจากสติปัญญา โดยไม่สนลักษณะภายนอก)
“ฝ่าบาท ทรงพระปรีชาเป็นเลิศมากค่ะ …… องค์ดัชเชสผู้นี้ขอนับถือ ฝ่าบาท ทั้งกายและใจ….”
“ทั้งกายและงั้นเลยหรือองค์ ดัชเชส”
นโปเลียนเอามือเชยคางของ ดัชเชส เพื่อยลความงาม นางช่างงดงามประดุจนางฟ้าเหลือเกิน ในขณะที่ ดัชเชส นั้นก็หาจะรักนวลสงวนตัวไม่ นโปเลียนกล่าวเอาไว้ โอกาสมาให้รีบคว้า งั้นงานนี้กูจะคว้าล่ะ….. ดัชเชส ค่อยใช้มืออันเรียวงามของนางลูบไล้ไปที่แขนของ นโปเลียน พลางใช้ปากอันอวบอิ่มดูดนิ้วของจักรพรรดิฝรั่งเศส… นโปเลียนนั้นก็ประดุจชายทั่วไปครับ เกงเกงสีแดงสดของเขานั้นเริ่มตุงตั้งขึ้นมา พึ่งรู้ว่านโปเลียนนั้นพกปืนใหญ่ไว้ตรงกลางเป้าด้วย 55 สีหน้าของเขานั้นดูมีความสุขยิ่ง…แต่แล้วเขาก็พูดออกมาเพื่อเบรคองค์ดัชเชส
“ข้า….ข้า …มีบางอย่างจะบอกเจ้า…...”
องค์ดัชเชส หยุดการกระทำของนาง
“ว่ามา….พ่อยอด.องค์จักรพรรดิ”
“ข้าจะกลับฝรั่งเศสในวันพรุ่งนี้…..”
“งั้น……..ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่??”
“เรื่องนั้นมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทราบได้..”
“สัญญากับข้าน่ะ โบนาร์บาร์ตท่านจะกลับมา….”
“ไม่ Marie แต่ข้าสัญญาว่าจะพาเจ้าไปอยู่ด้วยตะหาก!!”
“จริงเหรอ!!!! ที่ฝรั่งเศสอ่ะน่ะ ในวังแวร์ซายด์อันสุดแสนจะงดงามราวกับแดนสวรรค์นั้นใช่ไหม??”
“ใช่!!! สวยสดงามก็จริง แต่ก็หาเทียบความงามของเจ้าไม่ Marie”
“ปากหวานจัง ^^ (ว่าแล้วนางก็จัดการถอนชุดคลุมของ นโปเลียน แล้วขึ้นไปนั่งคร่อมเขาบนเก้าอี้)”
“เจ้าจะข่มขื่น จักรพรรดิไม่ได้ ทหารรรรรรรร”
“เงียบน่า…..”
ว่าแล้วนางก็ใช้ปากของนางปิดปากนโปเลียน คิกๆๆ ฮ่าๆๆๆ…โอ๊ย ข้าแพ้ผู้หญิงออสเตรียคนเดียวเนี้ยน่ะ ไม่ยอม เสียงของชายหญิงที่กำลังสนุกสนานอยู่ในห้องดังลอดออกมา เหล่าองค์รักษ์ Old Guard ของ นโปเลียน 4 – 5 นาย ต่างเอาหูเขาไปแนบประตูห้อง Husburg อย่างใจจดใจจ่อ….. ทันใดนั้นเหล่าองค์รักษ์หนุ่มทั้งหลายหันขวับไปทางเดียวกันตรงที่ หัวหน้าองครักษ์ Old Guard หญิงยืนอยู่ พวกเขาต่างมองนางหัวจรดเท้าและซุบซิบๆกันถึงทรวดทรงอันงดงามของนาง แต่เมื่อนางหันกลับมาจ้องพวกเขาด้วยแววตาอันดุดันเท่านั้นแหละ!!
“ทหารกลับไปประจำที่!!”
เหล่า Old Guard ต่างสลายวงและกลับไปยืนรักษาความปลอดภัยให้องค์จักรพรรดิโดยบัดดล…. แหม่ ดุจริงๆ แม่คุณ
Humburg , Hannover , British Empire 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806
ณ เมืองท่า Hamburg เมืองอันเป็นต้นกำเนิดอาหารชื่อดังจากแดนเยอรมันอย่าง Hambergur นอกจากนี้แล้ว Hamburg ยังถือเป็นหัวใจสำคัญแห่งดินแดนลุ่มแม่น้ำไรน์ก็ว่าได้ ปลายสายของแม่น้ำไรน์นั้นไหลออกสู่ทะเลบอลติก ซึ่งจะนำเอาเรือสินค้ามากมายจากนานาชาติมายังดินแดนแห่งนี้ หากใครคุมที่นี่ได้ย่อมหมายถึงคุมหัวใจของเยอรมันไว้ได้นั้นเอง จึงไม่แปลกใจที่ใครๆก็อยากได้แคว้น Hannover…. ทั้ง ฝรั่งเศส และ ปรัสเซีย หรือแม้แต่ สวีเดนก็หมายปองเมืองๆนี้…. แต่เมืองๆนี้กลับตกอยู่ภายใต้การปกครองแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่เหนือสมุทรา…จักรวรรดิบริติช อันเกรียงไกรหาใครเทียบนั้นเอง…ในวันนี้ เรือรบอังกฤษน้อยใหญ่ร่วมกว่า 40 ลำต่างวนเวียนอยู่รอบๆปากแม่น้ำไรน์…นอกจากนี้เรือลำเลียงพลกว่า 50 ลำก็เทียบท่าและกำลังขนถ่ายกำลังพล ยุทธปัจจัย อมภัณฑ์ เป็นการใหญ่ เหล่าทหารเชิ้ตแดงกำลังขะมักเขม้นกับงานของพวกเขา ทั้ง ปืนเอย ปืนใหญ่ ม้าศึก.. และอื่นๆ…. เมืองท่าแห่งนี้จึงอึกทึกไปด้วยเหล่ากองทัพ… ผู้บังคับบัญชาของเขา ชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาสมส่วนในชุดผ้าคลุมสีแดงและตราสัญลักษณ์ของกษัตริย์ Duke of Manchester หรือ เจ้าชายจอร์จที่ 4 กำลังเดินตรวจตราเหล่ากำลังพลของเขา… ข้างๆกายของเขา มีทหารชั้นยศนายพลทหารบกในชุดเครื่องแบบสีแดงสด แต่เขากลับไว้หนวดงุ้มเขาควายอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวเยอรมัน เขาคือ พลตรี Colin Halkett ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษใน Hannover ซึ่งเป็นชาวเยอรมัน ส่วนทางด้านขวามือของเขา มีนายทหารชั้นยศนายพลเรือในเครื่องแบบยับเยินๆ หนวดเคราเฟิ้มเต็มหน้าและหน้าตาเหมือนเพิ่งสร่างเมา เขาคือ พลเรือโท Henry Lawrence ผู้บังคับบัญชากองเรือยิบรอลตาร์……. ทางเจ้าชายจอร์จนั้น มีสีหน้าที่ดูวิตกกังวลนักเขาพูดไปพร้อมเดินก้มหน้าไปราวกับคิดอะไรบางอย่าง….
“ท่านนายพล Halkett กำลังพลของเราใน Hannover นั้นมีประมาณเท่าไร??”
“ทหารอังกฤษ 5000 นาย ทหารราบชาวเยอรมัน 6000 นาย ทหารม้าอีก 2800 และ ปืนใหญ่อีก 68 กระบอกพ่ะย่ะค่ะ แต่ทางแคว้น Kessel และ Brunwisck ที่เป็นพันธมิตรกับเราจะส่งทหารมาสมทบด้วยประมาณ 12000 นายพ่ะย่ะค่ะ”
“อืมมม…ทหารของผมมี 25000 ทหารม้าอีก 5400 ปืนใหญ่อีก 128 กระบอก เบ็ดเสร็จเราจะมีทหารประมาณ…48000 นาย และทหารม้าอีก 8300 นายปืนใหญ่อีก 196 กระบอก… แล้วพวกเขาประจำการอยู่ที่ใดบ้าง”
“ที่เมือง Hannover และปริมณฑลรอบมีทหารอยู่ 11000 ส่วนพันธมิตรชาวเยอรมันนั้นกำลังดำเนินการอยู่ในขั้นตอนการเตรียมทัพ พวกเขายังไม่ได้สร้างกองทัพขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างพ่ะย่ะค่ะ”
“เยี่ยม แบบนี้เรามีทหารไม่พอแน่….ทีท่าของฝรั่งเศสและปรัสเซียล่ะ พอทราบไหม??”
“ตอนนี้สหพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ กำลังระดมพลชาวเยอรมันจำนวนมากซึ่งอาจจะมากถึง 40000 นายและ ทหารฝรั่งเศสที่ประจำในสหพันธรัฐอีกประมาณ 45000 นาย นั้นเท่ากับว่าพวกมันจะมีทหารประมาณ 80000 – 85000 … แต่เรายังไม่ทราบท่าทีและเป้าหมายของมันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ส่วนทางปรัสเซียนั้นยังหามีความเคลื่อนไหวประการใด”
“งั้นท่านนายพล Halkett ท่านเร่ง ส่งมาเร็วไปส่งสาส์นขอความช่วยเหลือจากปรัสเซียเป็นการด่วนมิเช่นนั้น กองทัพของเราโดนล้อมกรอบแน่… ใช่ไหมท่านผู้บังคับการเรือยิบรอลตาร์”
“zzzzz…………….zzzzz”
ทั้งเจ้าชายจอร์จ และนายพล Halkett หันควับมาทาง Lawrence เป็นสายตาเดียวกันก็พบว่า ท่านผู้บังคับกองเรือนั้นกำลังยืนโงนไปเงนอยู่ในอาการเมาค้าง…..ด้วยอัปกริยาอันดูไร้มารยาทของ Lawrence นั้นทำให้ ทั้งเจ้าชายและนายพลชาวเยอรมัน มองเขาด้วยสายตาอันงงงัน..... สักพัก Lawrence ก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา...... พร้อมส่ายหัวไปมา
“ไหนๆ พวกฝรั่งเศสอยู่ไหน.......... ข้าจะจัดการมันเอง..!!”
“ท่านผู้บังคับกองเรือ...
เมื่อ Lawrence เห็นว่าชายที่ยืนพูดกับเขานั้นมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายแห่งจักรวรรดิอังกฤษ.. ก็ถึงกับตาค้าง เหมือนเพิ่งจะรู้ตัว เขารีบคุกเข่าลงไปและขอโทษเจ้าชายเป็นการใหญ่!!
“ข้าพเจ้าผิดไปแล้ว ฝ่าบาท.... ข้าพเจ้าผิดไปแล้ว ข้าพเจ้ามึนเมาในขณะปฎิบัติหน้าที่ สำหรับโทษนี้ข้าพเจ้าสมควรตาย..”
ว่าแล้ว Lawrence ก็ขวักกระบี่คู่กายของเขาออกมาและทำท่าจะจ้วงแทงเข้าท้องตัวเอง จนเจ้าชายรีบห้ามทัพเป็นการใหญ่!!
“เฮ้ย เดี๋ยววววว ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก ท่านผู้บังคับกองเรือ ข้าแค่อยากจะถามความเห็นของท่านเฉยๆ”
Lawrence รีบเก็บกระบี่กลับเข้าฝักและปรับเปลี่ยนอารมณ์ตัวเองอย่างว่องไงจากเศร้าโศกกลายเป็นมั่นใจตนเองอย่างเปี้ยมล้น เขาใช่มือทาบอกตัวเองพร้อมกล่าวออกมาอย่างฉะฉาน
“อะแฮ่ม....ขออนุญาต Duke of Manchester เจ้าชาย George Federick Augustus ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งราชวงศ์ Hannover ข้าพเจ้า ผู้บังคับกองเรือยิบรอลตาร์ผู้นี้ได้ทำการนำเรือแล่นตรวจการณ์ระหว่างช่องแคบอังกฤษจนถึงปากแม่น้ำไรน์แล้ว ก็ขอบอกว่าหาพบเรือรบของข้าศึกแม้แต่ลำเดียวไม่พ่ะยะค่ะ!!!”
“ใช่ ท่านผู้บังคับกองเรือ ข้าไม่หนักใจเรื่องนั้นหรอก แต่ที่ข้าหนักใจยิ่งกว่าคือ กองทัพในภาคพื้นทวีปของเรานั้นมีจำนวนน้อยกว่ามาก....และหากปรัสเซียไม่เข้าร่วมกับเรามีหวังเราได้เสียเมืองเป็นแน่เท้”
“ข้าพเจ้าคิดว่ามันมีบางอย่างผิดไปจากธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”
“ผิดไปจากธรรมดาที่ว่านั้นคืออะไร??”
“สภาสงครามแห่งอังกฤษ อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ….
คำพูดของ Lawrence นั้นทำให้เจ้าชายแห่งจักรวรรดิอังกฤษนั้น ฉุกคิดขึ้นมาเป็นประเด็นอันเดิมตัวเขานั้นไม่ได้ถูกคอกับพวกนักการเมืองในสภาอยู่แล้ว เขาหันมาทาง Lawrence ด้วยความสนใจ
“ทำไมล่ะท่าน.....”
“ดูคำสั่งของพวกมันสิผ่าบาท ตอนมันส่งสาส์นมาให้ข้าพเจ้าพวกมันบอกว่า กองเรือฝรั่งเศสชุมอยู่มากแถบ Hollands มากกว่ากองเรือป้องกันมาตุภูมิซะอีก จนต้องเรียกกองเรือของข้ามาช่วย แต่พอข้าพเจ้าเดินทางมาถึงกลับเจอแต่เรือประมงฝรั่งเศส 2 – 3 ลำ!! พอข้าไปถามเหตุผลถึงคนในคณะของพวกมัน พวกมันดันบอกอีกว่า ข้อมูลผิดพลาดขออภัยด้วย ไหนๆท่านมาแล้วงั้นช่วยลำเลียงทหารของเจ้าชายไปที่ Hannover พร้อมช่วยเหลือปฎิบัติการณ์ทางทะเลเท่าที่จะทำได้ล่ะกัน ป้าดดดดด ดูมันดิ มันใช่ไหม พ่ะย่ะค่ะ!!!”
“…….. ข้าก็ไม่ไว้ใจพวกเขาเช่นกัน แต่ข้ามองว่ายังไงซะ การป้องกัน Hannover นั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญที่สุด.. การที่พวกเขาตัดสินใจเช่นนี้นับเป็นเรื่องถูก..”
“แต่ข้าพเจ้าว่า พวกมันกำลังจะส่งฝ่าบาทเข้ามาสู่กับดักพ่ะย่ะค่ะ ถึงข้าจะปัญญาทึบเรื่องการมงการเมืองอันโสโครก แต่ข้าก็พอมีความรู้เรื่องสงครามด้านภาคพื้นทวีปอยู่บ้าง ไอ้แคว้นๆเยอรมันที่มีชื่อ Hannover เนี่ยมันตั้งอยู่ตรงกลางเป๊ะ ชนิดที่ว่าถ้ามันโดนโจมตีเมื่อไหร่มันจะโดนล้อมกรอบเป็นแน่ แล้วทำไมล่ะ ทำไมเหล่าสภาสงครามแห่งอังกฤษจงได้ส่งท่านมาในที่ๆเสี่ยงถึงปานนี้ ทำไมไม่ส่งแม่ทัพคนอื่นมาแทน!!”
“ข้าอาสามาเอง ท่านผู้บังคับกองเรือ ที่นี่เสมือนบ้านเกิดข้าและจะไม่มีกองทัพจากชาติไหนทั้งนั้นที่จะยึดครองมันได้นอกจาก จักรวรรดิอังกฤษ!!”
“แล้วฝ่าบาทมีแผนจะปกป้องไอ้เนื้อมันกลางดงฉลามนี่ยังไงพ่ะย่ะค่ะ”
“คงต้องหวังพึ่งปรัสเซียเท่านั้นแหละ พวกเขาคือความหวังประการเดียวของเรา ถ้ารวมกำลังกับปรัสเซียเราจะมีทหารมากพอที่จะสู้กับ Grande Armee”
“แล้วถ้าพวกเขาไม่มาล่ะ......”
ใช่ถ้าปรัสเซียไม่มาล่ะ แม้กริยาคำพูดของ Lawrence จะดูอิเระเขะขะและไร้มารยาทแต่มันก็เปี่ยมไปด้วยเหตุผล.. เจ้าชายจอร์จไม่ตอบคำถามของ Lawrence เพียงแต่ก้มหน้าขบคิดถึงการกระทำทั้งหมดของสภาแห่งสงครามและตัวเขาเองในตอนนี้ เขาคิดถูกแล้วหรือที่มาที่นี่.... แม้มันจะเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรจะปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของเขา แต่มันก็มีเปอร์เซ็นต์สูงที่เขาจะพ่ายแพ้!! Lawrecne มองถึงแววตาแห่งความกังวลของเจ้าชายออก เขาจึงพูดออกมา..
“ถ้าสถานการณ์ของเลวร้ายเหมือนพายุกระหน่ำท่ามกลางมหาสมุทร ขอฝ่าบาทจงระลึกไว้..... ว่าสมุทรานุภาพของเรานั้นช่างยิ่งใหญ่หาใครเทียม... หากฝ่าบาทเพลี่ยงพล้ำจงถอยมายัง Hamburg ณ ที่นี่ กองเรือรบแห่งราชนาวีอังกฤษพร้อมรอรับท่านกลับสู่ อังกฤษ........”
“ขอบใจความหวังดีของท่านมากท่านผู้บังคับกองเรือ....”
เจ้าชายจอร์จตอบ Lawrence ด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความหวังขึ้นมา.... สวนทาง Lawrence ทำท่าก้มโค้งคำนับรับคำขอบคุณจากเจ้าชายของเขา.... แผ่นดินนี้ช่างปกป้องยากยิ่งนัก หวังเดียวของอังกฤษในตอนนี้คือ ปรัสเซีย เท่านั้น!! ปรัสเซีย……….ปรัสเซีย.........ปรัสเซีย....
Krakow , Russian Empire 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806
หลังจากรอนแรมมาไกลในที่สุดกองทัพอันเหนื่อยล้าร่วม 40000 ของจักรวรรดิรัสเซียนั้นได้เดินทางมาถึงเมือง Krakow เมืองทางใต้ของรัสเซีย ซึ่งเป็นเมืองทำกสิกรรมขนาดใหญ่มีพื้นที่เพาะปลูกมากมาย และเนินเข้าเตี้ยๆมากมายสลับไปมา..... ตามภูมิประเทศ กองทัพของพระเจ้าซาร์เลือกที่จะตั้งมั่นที่นี่เนื่องจาก Krakow ยังคงเป็นเมืองทางใต้ไม่กี่เมืองซึ่งยังปราศจากการก่อจลาจลของม๊อบชาวบ้านรัสเซียนับแสน.... ซาร์แห่งรัสเซียพร้อมด้วย 2 นายพลของเขา Mikhail Kutozov และ Alexander Tormarsov กำลังยืนอยู่ในเต็นท์สนามที่ถูกกางขึ้นอย่างลวกๆ ภายในเต็นท์มีโต๊ะที่มีแผนที่แถบภาคใต้ของรัสเซียกางไว้อยู่ .. สถานการณ์ตรึงเครียดยิ่งนักสำหรับกองทัพจักรวรรดิรัสเซีย นอกจากพ่ายแพ้ต่อนโปเลียนอย่างหมดรูปพวกเขายังต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่สงบภายในอีก..... ทาง Kutozov นั้นยังคงใจเย็นและบรรยายสถานการณ์สรุป
“ตอนนี้กองทัพร่วม 250000 นายของเราทั่วจักรวรรดิกำลังกระจายตัวกันเพื่อปราบกบฏอยู่อย่างจริงจัง.... ทางท่านนายพล Pavel Chichagov มีกองทัพอยู่ทางเหนือ 100000 ตรึงไว้อยู่ที่ St. Peterburg เพื่อป้องกันภัยจากการรุกรานทางเหนือ ส่วนทางท่านนายพล Pyotr Bagration กระจายกำลังของเขาร่วม 150000 เข้าปราบปรามกบฏที่มีอยู่ทั่วทุกหย่อมหญ้าในแถบภาคใต้....พลนำสาส์นของเขากล่าวเอาไว้ พวกกบฏผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด เราต้องตามถอนโคนมันทุกๆที่ที่เราเคลื่อนพลไป ยิ่งปราบพวกมันมากเท่าไหร่พวกมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ.. พวกมันมีอาวุธปืน และปืนใหญ่ ถึงแม้จะขาดซึ่งการจัดระบบระเบียบวินัยที่ดี แต่จำนวนของพวกมันนั้นมีมากล้น.... ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่า เราอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้”
ซาร์แห่งรัสเซียได้ยินถึงกับหัวร้อนทุบโต๊ะดังปึง พร้อมตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด!!
“ที่ท่านพูดถึงอยู่มันประชาชนของข้าน่ะเว้ยยย!! พวกมันเป็นบ้าอะไรกัน!! อยู่ดีๆถึงได้ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านข้า!!! ร้อยวันพันปี ไอ้พวกชั้นต่ำพวกนี้มันอยู่ใต้ตีนข้ามาตลอด!!! มันเป็นไปได้ยังไงกันมันเป็นไปได้ยังไง!!”
“ท่าน Tormasov หน่วยทหารม้าที่ท่านส่งสอบแนมมาได้ความเยี่ยงไรบ้าง
Kutozov หันหน้าไปทาง Tormasov นายพลทหารม้าแห่งกองทัพรัสเซีย ทาง Tormasov นั้นได้ส่งหน่วยทหารม้าเบา Cossack ของเขาออกไปลาดตระเวนล่วงหน้าทั่วภาคใต้มาร่วมหลายวันได้แล้ว Tormasov นั้นถอนหายใจเล็กน้อยก่อนพูดออกมาด้วยความหนักใจ....
“รู้สึกเหมือนกับว่า....พวกชาวบ้านนั้นถูกปลุกระดมโดยบาทหลวงประจำชุมชนของพวกเขาเอง ทหารม้าของข้าพเจ้านั้นรายงานว่า เหล่าบาทหลวงทั้งหลายนั้นต่างกล่าวปราศรัยต่อหน้าฝูงชน ... ด้วยวาจาอันจาบจ้วงและล่วงเกินท่าน...และเป็นอย่างนี้ด้วยกันถึง 5 ชุมชน และนี้เป็นแค่ชุมชนที่พวกเขาไปลาดตระเวนมาเท่านั้น พวกเขาคาดว่ามันชุมชนอื่นน่าจะเป็นเช่นนี้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
“บ้าน่า!! พระเนี่ยน่ะ!! ทำไมอยู่ดีๆพระมันถึงไปพูดเรื่องควายๆแบบนั้นได้ไงว่ะ!! มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ มันต้องมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง!!!”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่เรายังไม่ทราบว่ามันเป็นใครเพราะพวกมันใช่พระบังหน้า แต่มันผู้นั้นต้องมีอิทธิพลมากแน่ๆ เพราะเหล่ากบฏหลายพันนายนั้นใช้อาวุธปืน Baker Rifle ชั้นดีของอังกฤษ!!”
พอพระเจ้าซาร์ได้ยินคำว่า “อังกฤษ” เท่านั้นความตกใจและความโกธรของเขาพุ่งถึงขีดสุด
“อังกฤษงั้นรึ!!!!! ไอ้พวกสุนัขเจ้าเล่ต์เอ่ย ไอ้พวกพ่อค้าเห็นแก่ได้!! กูเป็นพันธมิตรกับพวกมึงแท้ๆทำไมมึงถึงมาแทงข้างหลังกูแบบนี้!!! ไอ้พวกระยำตำบอน !! รู้งี้กูเปลี่ยนขั้วไปอยู่กับฝรั่งเศสดีกว่า อย่างน้อยไอ้ นโปเลียน มันยังเป็นชายชาตินักรบสู้อย่างลูกผู้ชายไม่เคยลอบกัดกูแบบนี้!!”
“สงบสติอารมณ์ลงเถิดฝ่าบาท... บางทีอาจจะเป็นเพียงแค่กลุ่มคนในอังกฤษเท่านั้นไม่ใช่รัฐบาลอังกฤษที่กระทำการแบบนี้ แต่เราควรจัดการเรื่องในบ้านเมืองให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ อย่าเพิ่งไปยุ่งกับพวกอังกฤศ ฝรั่งเศส เลย มันยิ่งทำให้เรื่องบานปลายมากขึ้น”
คำพูดของท่านนายพลร่างอ้วนทำให้พระเจ้าซาร์ใจเย็นลงบ้าง เขาสงบลงและหันมาวางแผนจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
“อืม ท่านพูดถูก Kutozov…. งั้น ข้าให้ท่านวางแผนจัดการทำสงครามปราบกบฏในภาคใต้ทั้งหมด....และไปติดต่อกับท่านนายพล Bagration ให้เขานำทัพเขามาเข้าร่วมกับเรา... เตรียมทำศึกใหญ่น๊อคพวกมันให้อยู่หมัดในครั้งเดียว...... ยังไง พวกมันไม่ใช่ทหารไม่มีทางสู้กองทัพได้อยู่แล้ว.. ส่วนท่าน Tormarsov ข้าให้ท่านคุมกองทหารม้าเบาทั้งหมด ไล่กวาดล้างโบสถ์และสำนักสงฆ์ที่มีทีท่าต่อต้านเรา....”
“ท่านหมายความว่าจะให้ข้า ฆ่าพระงั้นรึพ่ะย่ะค่ะ”
“นั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำท่านนายพล ประชาชนก็เหมือนฝูงแกะที่มีต้องมีคนต้อน ถ้าคนต้อนของพวกมันตาย แกะมันก็จะเตลิดไปเอง!!”
“แต่ว่า พระพวกนั้นก้ล้วนมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังอีกทีน่ะพ่ะย่ะค่ะ เราควรจะจัดการกับมันผู้นั้นมากกว่าเหล่าพระที่ถูกล่อลวงพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วท่านรู้ไหม Tormarsov ว่าไอ้มันผู้นั้นคือใคร..........”
Tormarsov นิ่งและก้มหน้าลง เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าผู้นำในการกบฏนั้นคือใคร .... เพราะถ้ารู้เขาคงควบม้าไปบั่นศีรษะของมันผู้นั้นจนไปแล้วทาง Kutozov เดินเข้ามาตบไหล่ของ Tormarsov ของเขา เชิงๆเป็นการให้เขายอมรับการตัดสินใจของพระเจ้าซาร์ นี่เขาจะต้องฆ่าเหล่านักบวชผู้รับใช้พระเจ้าจริงหรือ........
Dresden , Saxony , Confederation of the rhine (French Cilent States) 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806
ณ เมือง Dresden เมืองหลวงของเขต Saxony ซึ่งบัดนี้หลายๆส่วนได้ถูกบูรณะกลับมาจนเป็นเหมือนเดิม ด้วยฝีมือของทหารช่างชาวฝรั่งเศส ในวันนี้ ท่านจอมพล มิเชล เนย์ ได้จัดเตรียมกองทัพของเขาและเตรียมพากองทหาร Grande Armee อันเกรียงไกรแห่งฝรั่งเศสออกจากประตูเมือง ท่ามกลางการรอรับของฝูงชนทั้ง 2 ข้างทาง ท่านจอมพลวัยกลางคนดูองอาจเมื่ออยู่บนหลังม้าของเขา…. เขาควบม้าไปข้างหน้าพาเหล่าทหารราบออกเดินแถวจากตัวเมืองอย่างเป็นระเบียบ ทหารราบฝรั่งเศสนับหมื่นต่างเดินแบกปืนกันอย่างพร้อมเพรียง จังหวะเท้าของพวกเขานั้นตรงกันและก้าวพร้อมกันราวกับเป็นคนเดียวกัน สิ่งนี้สะท้อนวินัยของพวกเขาอย่างชัดเจน….. ถัดมาคือกองทหารราบเยอรมันซึ่งสวมใส่เครื่องแบบชุดสีเขียวอ่อนต่างจากของฝรั่งเศส แต่พวกเขาในตอนนี้ล้วนมีใจรบและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกองทัพฝรั่งเศส…. ถัดมาคือกองทหารปืนใหญ่อันเลื่องชื่อของฝรั่งเศส อันมีพลานุภาพในการทำลายล้างสูงสุดๆ พวกมันถูกลำเลียงลากจูงด้วยเกวียนด้ามม้า…
และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดนั้นคือ กองทหารม้าฝรั่งเศสที่ลือลั่นไปทั่วหล้าว่าแข็งแกร่งสุดๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของ เนย์….. เหล่าทหารม้าหนักหุ้มเกราะ Cuirassier อันเป็นขุมกำลังหลักของเนย์ นั้นควบนำหน้า…. ตามมาด้วยเหล่าทหารม้าทวน Polish Lancer ซึ่งชำนาญในการใช้หอก ปิดท้ายด้วยทหารม้า Dragoon อันเป็นหน่วยที่เนย์เพิ่งได้รับมาจาก ท่านนายพล Joachim Murat…. เหล่าทหารม้า Dragoon ในเครื่องแบบสีฉูดฉาดมากมายหลายสีทั้ง แดง เขียว น้ำเงิน ขาว…. ทุกนายต่างมีดาบโง้งยาว และปืนพกสั้นเป็นอาวุธ…. มีนายทหารม้าผู้หนึ่งแต่งเครื่องแบบสีขาว… ควบนำทหารม้า Dragoon อยู่หมวดหนึ่ง รูปร่างใหญ่โตหน้าตาดูน่าเกรงขาม ผมของเขายาวประบ่า…เขาคือผู้กอง มาควิส เดอร์ ลาเฟย์ ผู้บังคับกองร้อยทหารม้า Falcon….. ในตอนแรกนั้น มาควิส ยังคงไม่แยแสต่อเสียงจอแจของฝูงชนที่มายืนดูการเคลื่อนพล แต่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็น หนูน้อย Elsa Gutenberg โบกมือไปมาพร้อมส่งยิ้มให้ มาควิส…
“คุณ อัศวินดำ…แล้วเจอกันใหม่….”
หนูน้อยพูดด้วยความไร้เดียงสา ในขณะที่แม่ของนางก็ส่งยิ้มให้ มาควิส พลางก้มหัวเป็นการขอบคุณที่พาลูกสาวนางกลับสู่อ้อมอก… มาควิสนั้นก็ส่งยิ้มให้พลางโบกมือลาแม่ลูกทั้ง 2 ก่อนจะควบม้าไปตามแถวทหารต่อไป… ผู้กองอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับ มาควิส จึงได้ควบม้าเข้าไปข้างๆเขาพลางเปิดบทสนทนา
“นี่….ไอ้ยอดนักรบ แกไปได้กับแม่สาวชาวเยอรมันคนนั้นตอนไหน”
“หา….. ได้อะไรของแก ฉันไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงมาตั้ง 3 เดือนแล้ว!!!”
“เอ้า ฉันนึกว่านั้นเมียเก็บแกซะอีก….. เก็บซะนานนม จนนางมีลูกกับแก!!”
“ไอ้บักโกรก นี่….ฉันแค่ช่วยพาลูกสาวของนางกลับบ้านก็เท่านั้นเอง…ไม่ได้คิดอะไรเล๊ย…”
“นั้นดิ ประหลาดจริงๆปกติคนที่บ้าสงครามอย่างแก มีกะจิตกะใจดีมาช่วยเหลือ พวกต่างชาติด้วยเหรอว่ะ...”
“ไม่มีอะไรหรอก…ฉันเห็นหน้าแม่หนูน้อยคนนั้นแล้วนึกถึง ลูกสาวของฉันน่ะ…”
มาควิส พูดพลางอมยิ้มไปแม้ในสนามรบเข้าจะดุดันปานอมนุษย์แต่ลึกๆแล้วในจิตใจของเขาก็ยังคงมีความรักเช่น ปุถุชนทั่วไปเช่นกัน… ตลอดทางที่กองทัพที่ 8 และกองทัพสหพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ เคลื่อนผ่านไปตามถนน เหล่าฝูงชนเยอรมันต่างก่นโห่ร้องด้วยความยินดี ปรีดา ราวกับว่าพวกเขาจะไปรบเองยังไงงั้น ดูเหมือนในตอนนี้ประชาชนชาว Saxony จะเริ่มนิยมชมชอบชาวฝรั่งเศสซะแล้ว… ท่านจอมพล เนย์ และ จอมพล ฌอง เมสซานา ที่ควบม้านำแถวทหารอยู่นั้น ก็ต่างสนทนากันถึงสถานการณ์ภาพรวมและแผนการณ์ที่จะดำเนินต่อไป
“ท่านจอมพล เนย์ ผมว่าแผนของคุณนั้นประสบความสำเร็จได้ดีเลยน่ะ ในตอนนี้ประชาชนชาว Saxony ให้การสนับสนุนเราแล้ว….”
“ไม่ใช่ แค่ Saxony ท่านนายพล ฌอง แต่ทั้ง สหพันธรัฐต่างหาก ตอนนี้รายงานจากเหล่า ผู้ปกครองทั้ง Hessen , Bavaria , Westphalia , Bohemia ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ประชาชนชาวเยอรมันในตอนนี้ให้ความร่วมมือกับเราอย่างดี”
“เยี่ยม…ต่อไปนี้ชาวเยอรมันจะเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งของเรา… แล้วพวกอังกฤษกับปรัสเซียมีท่าทีอย่างไรบ้าง”
“หายห่วงเรื่องปรัสเซียได้ครับ จักรพรรดิได้รายงานมาทางผมเรียบร้อยแล้ว ว่าปรัสเซียจะไม่เข้ามาก้าวก่ายปฎิบัติการณ์ทางทหารของเรา ส่วนพวกอังกฤษกำลังชุมพลอยู่ที่ Hamburg มีทหารประมาณ 2 หมื่นกว่าๆได้มั้ง แต่เรายังไม่ทราบถึงรัฐเยอรมันที่ให้การสนับสนุนพวกมัน แต่คาดว่าระดมทหารได้มากสุดไม่เกิน 2 หมื่นหรอก”
“หึหึ คงได้มากสุดแค่ 40000 กว่าๆสิน่ะ… เทียบไม่ติดกับกองกองทัพของเราหรอก”
“ใช่ กองทัพของเราแค่ฝรั่งเศส กับ เยอรมัน รวมกันนั้นเกือบแสนแล้ว ยังไม่นับทหาร ฮอลแลนด์ ของ กษัตริย์หลุยส์ ที่จะยกมาขนาบพวกมันทางตะวันออกอีกน่ะ…. ศึกนี้ยังไงเราก็ชนะใสๆ”
“อย่าประมาทไปล่ะ ท่านเนย์ กองทัพของ Ludendorff ที่มากกว่าท่านถึง 2 เท่าก็พ่ายแพ้ต่อท่านก็เพราะความประมาทเกินไป”
“ท่าน ฌอง ………. พวกอังกฤษมันเก่งก็แค่ตอนอยู่ในน้ำ…… แต่ถ้ามาอยู่บนบกแล้ว มันก็แค่ลูกแกะกลางดงเสือ!! ไม่มีทางเหนือไปกว่าเราได้เลย กองทัพของเรานั้นมีการจัดระบบกองทัพที่ดีกว่า เสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคงกว่า และมียุทธศาสตร์ในการทำสงครามที่ทันสมัยยิ่งกว่าชาติใดในโลก และด้วยจำนวนที่มากกว่า!!! ไม่มีทางที่พวกมันจะชนะ”
เนย์ พูดออกมาด้วยความมั่นใจเต็มอก… ไม่มีทางที่ La Grande Armee จะพ่ายแพ้พวกปลาเกยตื้นอย่างอังกฤษแน่นอน…. กองทัพของฝรั่งเศสและพันธมิตรนั้นในตอนนี้รุกล้อมกรอบ Hannover ในทุกด้าน ออก ใต้ ตก เหลือเพียงทิศเหนือที่เป็นทะเลเท่านั้นที่เป็นทางให้ถอย… ไม่มีทาง ไม่มีทางที่ กองทัพภายใต้ธงอินทรีย์ทองคำจะปราชัย!!!!!!!! ชัยชนะจักตกเป็นของพวกเรา!!”
No One can't stop Grande Armee
|
|
|
Post by greatbritian on Nov 4, 2017 15:42:05 GMT
Episode 4 : Battle For Germany
Paris , French Empire 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1806
ปารีส เมืองหลวงอันศิวิไลซ์แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส ศูนย์กลางทางอำนาจและวัฒนธรรมของยุโรปและถือเป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆของโลกในขณะนั้นก็ว่าได้… ตึกรามบ้านช่องมากมายนับพันหลังต่างเรียงรายกันอย่างหนาแน่น ที่ ผู้คนกว่าล้านคนอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้…. แต่ใน ณ วันนี้เหล่าฝูงชนกับพร้อมใจกันออกมายืนรอคอยกลางถนน เหมือนกำลังรอบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะช่างตัดเสื้อ คนงาน แม่บ้าน หรือแม้กระทั่ง หนูน้อยที่วิ่งส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้าน ต้องเรียกว่าทุกคนจริงๆที่หยุดทำงาน… ชาวบ้านนับหมื่นนับแสนต่างออกมายืนริมถนนของ ปารีส อย่างคับคั่ง พวกเขามายืนรออะไรกัน “นั้นไงมาแล้ว…..” เสียงของชายชนชั้นกลางผู้นหนึ่งตะโกนออกมาพร้อมชี้นิ้วไปที่ปลายสุดของถนน….. เหล่าฝูงชนต่างฮือฮาและหันหน้ามองไปยังทางเดียวกันด้วยความสนใจ…ที่ปลายสุดของถนนมีทหารม้าหนักเกราะสีทองอร่าม Carabinier กว่า 100 นายค่อยๆควบม้าเดินมาอย่างช้าๆตามถนน… ตามด้วยทหารรักษาพระองค์ Old Guard ใน ชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเดินแถวมาอย่างสง่างาม......พวกเขาเดินแปรเป็น Line การ์ด ทั้ง 2 ข้างของถนนเพื่อกันฝูงชนไม่ให้บังขบวนเสด็จ… ไม่กี่อึดใจเท่านั้น ชายที่ทุกคนรอคอยก็เดินทางมาถึง นโปเลียน โบนาร์บาร์ต จักรพรรดิฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่ เขาอยู่บนหลังม้าสีขาวดูสง่างามยิ่งนัก!! ประชาชนต่างก่นโห่ร้องด้วยความดีใจ!! “นโปเลียนนนนนน!!” “จักรรพรรดิของเรา!!!” “นโปเลียน จงเจริญ!! นโปเลียน จงเจริญ”“นโปเลียนผู้พิชิตยุโรป!!” ราษฎรชาวฝรั่งเศสต่างตะโกนสรรเสริญนโปเลียนด้วยความบ้าคลั่งราวกับเขาเป็นเทพเจ้า...... 3 เดือนที่เขาจาก ปารีส ไปนั้นทำให้ฝูงชนคิดถึงเขายิ่งนัก.. นโปเลียนโบกมือประชาชนของเขาด้วยรอยยิ้มอันภูมิใจ!! ในนาทีนี้ไม่มีชาวฝรั่งเศสคนไหนต่อต้าน จักรพรรดิ พวกเขารัก นโปเลียน ยิ่งกว่าสิ่งใด.. ส่วนชายชราในวิกผมสีขาวอันยาวเฟื้อยที่ควบม้าอยู่ข้างๆ นโปเลียนนั้นคือ ตันเลย์ลอง รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศซึ่งเฉียบแหลมของเขา.... ระหว่างที่ นโปเลียนกำลังโบกมือให้เหล่าฝูงชน ตันเลย์ลองตรัสกับจักรพรรดิของเขา “เหตุการณ์ในตอนนี้เหมือนกับตอนที่ Ceasar กลับโรมอย่างไม่มีผิด ฝูงชนต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดีให้กับเขา สรรเสริญเขาราวกับพระเจ้า....แต่จะมีสักกี่คนกันน่ะที่ได้รับการสรรเสริญเช่นเขา.” “ข้าไม่ใช่ Ceasar ตันเลย์ลอง ข้าคือ นโปเลียน และ ข้านั้นนั้นสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิในขณะที่ Caeser ทำไม่ได้ แล้วคิดว่าในขณะนี้ใครกันที่ยิ่งใหญ่กว่า ตันเลย์ลอง ข้าหรือเขา” คำตอบของ นั้นแสดงให้เห็นเด่นชัดว่าในตอนนี้เขาตีตนเหนือ Julius Caesar ไปเรียบร้อย คำพูดของเขานั้นหนักแน่นยิ่งนัก ความทะนงและความรุ่งโรจน์ของเขานั้นได้รับการพิสูจน์อย่างไร้ข้อกังขา...... ตันเลย์ลองยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขารู้จักจักรพรรดิของเขาดี ว่าแล้วเขาชวน จักรพรรดิตรัสเรื่องการเมืองต่อ “ข้าพเจ้าได้ข่าวมาจากทาง รัสเซีย ว่าประชาชนของพวกเขาก่อกบฏหมายจะล้มพระเจ้าซาร์ สภาวะภายในของรัสเซียตอนนี้ใกล้เข้าสู่ สงครามกลางเมืองขึ้นทุกที” “กระแสชาตินิยมนี่มันช่างแพร่ขยายรวดเร็วยิ่งกว่าโรคระบาดซะอีก... แต่ก็ดีแล้วพวกรัสเซียมันคงยุ่งกับเราไม่ได้สักพักใหญ่” “แล้วก็มีอีก 2 ข่าว ที่ท่านควรทราบ ท่านจะเลือกฟังข่าวไหนก่อน ดี หรือ ดีมาก พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”“มีทั้งดีและดีมากด้วยเหรอ…… งั้นข่าวดีก่อนล่ะกัน” “ในขณะนี้พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่ง อังกฤษทรงเสียสติกลายเป็นคนวิปลาสแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าเฒ่านั้นเหรอ!!! งานนี้พวกนิยมเจ้ากับพวกเหล่าชนชั้นสูงหัวใหม่คงเถียงกันสภาแตก 5555”“และที่ดียิ่งกว่าคือ ลูกชายของเขา Duke of Manchester กำลังเดินทางมาที่เยอรมันเพื่อเสริมกำลังให้ Hannover” “Hannover!! เยี่ยมกำลังของเรากำลังเคลื่อนไปที่นั้นพอดี….แบบนี้โอกาสที่เราจะจับเจ้าชายได้ก็สูงมากสิน่ะ” “เฉียบแหลมมากพ่ะย่ะค่ะ มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษเป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองที่ยอดเยี่ยม เท่านี้เราสามารถกดดันอังกฤษได้โดยมิต้องเสียกำลังพลมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ”“หึหึ ข้าอยากได้ตัวเขามานั่งเสวนาใน แวร์ซายด์ด้วยจริงๆคนหนุ่มๆรุ่นใหม่ย่อมมีแนวคิดก้าวหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดของพวกอังกฤษ” นโปเลียนยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข อะไรดีๆล้วนประเดประดังเข้ามาในชีวิตมากมาย ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาสำหรับการเป็นจักรพรรดิ เขาชนะศึกใหญ่มาแล้วถึง 2 ศึกเพิ่มพูนอำนาจบารมีให้ตัวเองอย่างมากล้น… นอกจากนี้ยังพบรักใหม่อีกตะหาก ชีวิตมันช่างโรยด้วยกลีบกุหลาบอะไรเช่นนี้ ฝูงชนยังต่างโห่ร้องยินดีไปตลอดกว่า 30 ไมล์!!!!! ประชาชนฝรั่งเศสตั้งแต่ตัวเมือง ยันถึงชานเมืองต่างออกมาต้อนรับขบวนเสด็จอย่างไม่ขาดสาย…. จนกระทั่งถึงพระราชวังแวร์ซายด์ ฝูงชนเริ่มเบาบางเนื่องจากที่นี่คือเขตพระราชฐาน…. ขบวนเสด็จของจอมจักรพรรดิเข้ามาถึงประตูพระราชวัง จักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศส โจเซฟิน ยอดรักของ นโปเลียนมายืนรอรับเสด็จพร้อมเหล่าข้าราชบริพารอีกมากมายนับร้อย….. เมื่อ จักรพรรดิฝรั่งเศสเห็นหน้าชายาของเขา เขาก็ลงจากหลังม้าและเดินตรงปรี่ไปหา โจเซฟินด้วยความดีใจ “โจเซฟิน!!!!!” “โบนาร์บาร์ต…..” นโปเลียนเข้าโผกอดจักรพรรดินีของเขา แม่ยอดดวงใจของเขา….และเขาจุมพิตนาง.. โจเซฟินรู้สึกปิติสุขยิ่งนักที่สามีของนางกลับมาจากการศึก… “ฝ่าบาท ไปรบทัพจับศึกมาเป็นเช่นไรบ้างเพค่ะ ได้รับบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า? หม่อมฉันเป็นห่วง” “ตัวข้านั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนประการใดยอดรัก… เพียงมีอย่างเดียวที่มันช่างเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก” “อะไรหรือค่ะ โบนาร์บาร์ต” “ใจของข้ามันช่างเจ็บปวดนักยามที่ไม่ได้เจอเจ้า…..” “บร้า ^^ ว่าแต่ ท่านรู้ไหมวันนี้วันอะไร…..” “ฮะฮ่า…คิดว่าคนที่อัจฉริยะที่สุดในผู้นี้จะไม่รู้หรืออย่างไรว่าวันๆนี้คือวันอะไร วันที่นักบุญวาเลนไทน์ถูกจักรพรรดิโรมันประหารชีวิตยังไงล่ะ….” “พูดสั้นๆว่า วันวาเลนไทน์ก็ได้ เพค่ะ ^^” “รู้น่า เพราะเหตุนี้ไงข้าจึงมีบางอย่างมอบให้เจ้าแม่ยอดรักของข้า บุปผาจากแดนไกล….ของขวัญจากออสเตรีย” ว่าแล้ว นโปเลียนกวักมือเรียกให้ทหารองครักษ์ของเขาทำอะไรบางอย่าง…..Old Guard นายหนึ่งเดินตรงมาหาเขา พร้อมช่อดอกไม้สีขาว เบอเร่ออยู่ในมือของเขา….นโปเลียนรับมันมาจากองครักษ์พร้อมยื่นให้ จักรพรรดินีของเขา…. “ดอกเอเดลไวล์ แห่งขุนเขาแอลป์….สีของมันช่างขาวบริสุทธิ์ประดุจใยไหมไม่มีผิด” โจเซฟิน กำลังยื่นมือไปรับช่อดอกไม้จากจักรพรรดิ…แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ทันชื่นชมความงามของมัน นโปเลียนก็ปรบมือ 2 ที เหมือนเป็นการให้สัญญาณ….ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์ Old Gurad นับ 10 ก็เดินแถวเข้ามาเบื้องหน้า จักรพรรดินีของพวกเขาและในมือทั้ง 2 ของพวกเขาแทนที่จะมีอาวุธแต่กลับเป็นช่อดอก เอเดลไวล์ แทน!!! แค่นั้นยังไม่พอ ทหารองครักษ์ยังเข็นเกวียนเล่มเบอเร้อเข้ามาในตัวพระราชวัง ซึ่งเกวียนนั้นบรรทุกดินจากออสเตรียและมีดอกเอเดลไวลน์ นับร้อยดอกถูกเพาะปลูกอยู่บนดินเหล่านั้น………ท้ายสุด เหล่าดุริยางศ์ทหารก็บรรเลงเพลง Love Strory อันเป็นเพลิงแห่งความรักของ บีโธเฟน กวีเอกชาวเยอรมัน! ช่างทำอะไรเว่อร์วังสมเป็นนโปเลียนจริงๆ!! “ข้านำเอาดินและดอกไม้จากออสเตรียมาเป็น บรรณาการแก่เจ้า จักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศส ออสเตรียยอมศิโรราบแก่เจ้าแล้ว และดอกไม้ทั้งหมดของจักรวรรดิออสเตรียก็เป็นของเจ้าเช่นกัน” “โบนาร์บาร์ต…………ท่านนี่……….สุดยอดที่สุด” โจเซฟินน้ำตาคลอเบ้าด้วยความปิติ….สามีของนางนั้นยังคงรักนางไม่เสื่อมคลาย….. นางตรงเข้าโผกอดสามีของนาง ….นโปเลียนนั้นยิ้มอย่างดีใจที่ภรรยาของตนนั้นมีความสุข นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ
.
. . . . .
“อ่า……โอ้………อืออออ สุดยอดดดด”
“อ่า……ใช่แล้ว ใช่!! ใช่!!!”
“อร่า!!!!!!....................”
ยามราตรีเข้ามาเยือน ในตอนนี้เสียงอันกึกก้องของ 2 ชายหญิงนั้นดังไปทั่วท้องพระโรงของพระราชวังแวร์ซายด์ …..ต้นเสียงนั้นดังมาจากห้องบรรทม พญาอินทรีย์ อันเป็นห้องบรรทมของจักรพรรดิฝรั่งเศส….!!! ภายในห้องนั้น….ตลบอบอ่วนไปด้วยกลิ่นของเทียนหอม…แสงไฟสลัวๆของมันทำให้บรรยากาศช่างดูเป็นใจยิ่งนัก บนเตียงบรรทมสีขาวนั้นมีร่างอันเปลือยเปล่าของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังนอนคลอเคลียกัน…ฝ่ายชายนั้น ร่างเล็ก ผมสั้นรองทรงสีดำ และท้วมเล็กน้อย ในขณะที่ฝ่ายหญิงนั้นผิวผ่องสีขาวบริสุทธิ์ มีทรวดทรงอันดูงดงามอวบอึ๋ม…ผมสีบลอนด์ทองยาวสลวยบ่งบอกถึงการดูแลเป็นอย่างดี…แต่มันคงไม่มีชายหญิงคู่ไหนไปร่วมรักกันบนเตียงของจักรพรรดิฝรั่งเศสหรอก ถ้าเกิดพวกเขาไม่ใช่ นโปเลียนและ โจเซฟิน!!! ทาง นโปเลียนนั้นเขาโอบกอบยอดรักของเขาจากด้านหลังพลางพูดถ้อยคำพิสวาทต่างนานา “ยอดเขามองบลังต์ที่ว่าใหญ่แล้วนั้น ยังมิอาจเทียบหน้าอกของโจเซฟินอันสุดแสนจะยิ่งใหญ่ได้”“บ้าน่าท่าน!! นมคนน่ะไม่ใช่นมช้าง ฮิฮิฮ่าฮ่า” “แม่จูเลียตของข้า ข้านั้นมีเรื่องจะขอร้องเจ้าประการหนึ่ง” “จักรพรรดิฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่มีสิ่งใดที่ต้องการจากสาวน้อยผู้ต่ำต้อยผู้นี้ค่ะ” “คือ……….ว่า” เป็นไม่กี่ครั้งที่ จักรพรรดิฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่อ้ำๆอึ้งๆไม่กล้าจะบอกอะไรไปตรงๆในขณะที่ โจเซฟินนั้นนอนหันหน้ามาทาง นโปเลียน และส่งสายตาอันอ่อนหวานให้… “เรามาพูดกันอย่างเปิดอกตามภาษาชาวบ้านเถอะ ยอดรัก….” “ว่ามาสิ โบนาบาร์ต….” โจเซฟินใช้มืออันขาวเรียวลูบเข้าที่แก้มของ นโปเลียนเบาๆ ในขณะที่ นโปเลียนั้นยังลดตาลงต่ำดูเหมือนเขาจะเสียความมั่นใจเล็กน้อย “คืออย่างที่รู้ๆกันว่าเจ้านั้นไม่สามารถให้กำเนิดทายาทให้ข้าได้… ทายาทที่จะสืบราชบัลลังก์ไปตลอดชั่วกาลนาน” “ใช่ค่ะ…...”“คือ……….ในตอนนี้ทางจักรวรรดิฝรั่งเศสนั้นต้องการเป็นพันธมิตรอันแน่นแฟ้นกับ จักรวรรดิออสเตรีย … ซึ่งการแต่งงานระหว่าง 2 ราชวงศ์นั้นย่อมเป็นการสานสัมพันธไมตรีอันดีในอนาคต” “นโป…กำลังหมายถึงอะไรอ่ะ เรางง”“คือ เอิ่มมม เจ้าหญิงแห่งออสเตรียนั้นย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีในการสานสัมพันธครั้งนี้…. และ………คือ……ตัวข้านั้นก็ต้องการทายาทในการสืบบัลลังก์” โจเซฟินทำสีหน้าตึงๆเล็กน้อย นางเข้าใจดีแล้วตอนนี้นโปเลียนกำลังพูดถึงอะไร… แต่นางนั้นเข้าใจดีว่าการเมืองระหว่างประเทศนั้นอาจสำคัญกว่ารักระหว่างเรา 2 “ข้าเข้าใจแล้ว นโปเลียน……ข้าเข้าใจท่าน…. และถึงท่านทำไปก็ไม่มีใครขัดท่านได้..เพราะท่านคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” พอเมียยอมอ่อนข้อให้ นโปเลียนยิ้มอย่างดีอกดีใจ เว้ย ฮ่าๆๆๆ ต่อให้กูเก่งแค่ไหนรบชนะใครเขาไปทั่ว แต่การชนะมนุษย์เมียเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกู!!! “โอ้แม่ยอดรักของข้า เจ้านี่ช่างเข้าใจหัวอกของข้าจริงๆ ข้ารักเจ้าเหลือเกิ๊นนน!!! ต่อไปนี้ระหว่างที่ข้าไปออกศึกเจ้าจะได้มีเพื่อนสาววัยใสคอยคุยเล่นแก้เหงาแล้ว!!!! ขอบพระคุณจักรพรรดินี!! ขอบพระคุณ!!” นโปเลียนทั้งกอดทั้งหอมแก้ม โจเซฟินเป็นการใหญ่เพื่อเป็นการขอบคุณที่จะให้เขาอนุญาตนำ “ภรรยาคนที่ 2” เขามายังแวร์ซายด์ได้อย่างเปิดเผย แต่นี่อาจจะเป็นรอยร้าวเล็กๆระหว่างเรา 2!! ชานเมือง Hannover , British Empire 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806 เวลา 1000 น. ตื้ด ตือ ตืด ตือ ดือ ดือ ดือ เดอะ บริติช เกรนาเดียร์ เพลงมาร์ช British Grenadier เพลงมาร์ชแห่งกองทัพบกอังกฤษดังไม่ขาดสาย....ประกอบจังหวะการเดินทัพของทหารเชิ้ตแดง เหล่ากองทัพอังกฤษนับหมื่นกำลังเดินแถวอย่างเป็นระเบียบไปข้างหน้าอย่างองอาจ กองทัพรักษาพระองค์ของอังกฤษพร้อมด้วยทหารผู้สนับสนุนชาวเยอรมัน ราวๆ 48000 นาย ทหารม้า 5500 นาย และปืนใหญ่ราวๆ 130 กระบอก แม้จะดูมีจำนวนมากแต่ก็ยังน้อยนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขากำลังจะเผชิญ พวกเขากำลังเคลื่อนทัพไปรับมือกับ กองทัพฝรั่งเศส – เยอรมัน ขนาดมหึมาของ จอมพลเนย์ 1 ในจอมทัพอันเลื่องชื่อของ ฝรั่งเศส ในระหว่างเคลื่อนทัพเจ้าชายจอร์จที่ 4 พร้อม กับ นายพลชาวเยอรมัน Colin Halkett ก็ควบม้าตรวจตราการเดินทัพของเหล่าทหารในกองทัพ... และพวกเขาพูดคุยกันถึงแผนการและสถานการณ์ที่อาจจะเป็นไปได้ในอนาคต....โดยท่านนายพล Colin นั้นกางแผนที่ของเยอรมันออกมาอย่างหยาบๆและชี้ให้เห็นจุดยุทธศาสตร์ที่เจ้าชายควรจะรีบไปให้ถึงก่อนฝรั่งเศส... “จุดประสงค์ในการทำสงครามครั้งนี้ของเราคือ ป้องกัน Hannover ให้พ้นจากการคุกคาม ถ้าเป็นไปได้เราควรจะทำให้กองทัพของพวกเขาเสียหายหนักที่สุดเพื่อบีบเขาให้มาเจรจากับเรา....ท่านคิดว่าพอมีทางเป็นไปได้ไหม ท่านนายพล” “ฝ่าบาท....นี้คือตำแหน่งที่กองทัพของเราอยู่ในปัจจุบัน....เราต้องรีบรุดลงใต้มา 53 ไมล์เพื่อยึด Westphalia ที่นั้นมีป้อมปราการหนาแน่นพอจะตั้งรับกำลังรบที่มากกว่าได้ กองทัพฝรั่งเศสต้องเสียหายหนักแน่ๆหากเข้าตีป้อมนี้ตรงๆซึ่งอาจจะถ่วงเวลามันได้ 2 – 3 เดือน รอให้กองหนุนจากอังกฤษ หรือ ปรัสเซีย เข้ามาเสริมทัพกับเราได้ทันถ่วงที เท่านี้แหละพวกมันจะโดนล้อมและยอมเจรจาในที่สุด” “53 ไมล์งั้นรึ.... 3 วันคงถึง ...แล้วกองทัพของฝรั่งเศสล่ะในปัจจุบันนี้อยู่ตำแหน่งใด” “พวกเขาออกจาก Saxony เมื่อ 7 วันก่อน ....แต่ก็ยังคงห่างจาก Westphalia ราวๆ 60 ไมล์ ถ้าเราเร่งรุดไปให้เร็วที่สุดเราก็จะถึงที่นั้นก่อน!!” “งั้นเราคงต้องรีบแล้ว สั่งการให้เหล่าทหารลดเวลาพักประจำชั่วโมงลง.....และลดเวลานอนของพวกเขาให้เหลือ 5 ชั่วโมง เราต้องรีบเคลื่อนทัพให้เร็วที่สุด!!”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!!” นายพลเยอรมันรับบัญชาก่อนจะสั่งให้ทหารเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุด!! เข้าต้องไปยึดป้อมปราการแห่ง Westphalia ให้ได้ทันก่อนที่ฝรั่งเศสจะไปถึง!!! แต่คำสั่งที่เจ้าชายจอร์จออกไปนั้นอาจจะส่งผลต่อกองทัพของเขาในอนาคต การให้ทหารอดหลับอดนอนนั้นไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกองทัพข้าศึกที่มากกว่า!! Westphalia , Confederation of the rhine (Cilent State of French) 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806 เวลา 1200 น.
ที่นี่คือ Westphalia เมืองเยอรมันเมืองหนึ่งซึ่งมีป้อมปราการหนาแน่นพอจะตั้งรับการบุก เมืองที่เจ้าชายจอร์จหวังจะใช้เป็นฐานที่มั่นในการศึกครั้งนี้ แต่กลายกลับเป็นว่ากองทัพฝรั่งเศสของ เนย์ นั้นเคลื่อนพลมาถึงที่นี่ได้ก่อนครับ ....... ต้องขอบคุณอานิสงค์ของการจัดกองกำลังแบบใหม่ของ นโปเลียน ทำให้ กองทัพของเขาเคลื่อนทัพได้เร็วปานติดจรวดขนาดนี้ เร็วเกินกว่าที่พวกอังกฤษซึ่งยังไม่เคยรบทัพจับศึกกับฝรั่งเศสบนบกจะทันคาดคิด.... ตอนนี้กองทัพฝรั่งเศส – เยอรมัน ร่วม 82000 นายตั้งมั่นอยู่ที่นี่เป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีทหารม้าหนักเบาอีก 38000 และปืนใหญ่อีก 420 กระบอก แน่นอนกองทัพของ เนย์ นั้นมหึมามาก เพราะในตอนนี้เหล่าบรรดาเมืองขึ้นเยอรมันทั้งหลายแหล่นั้นเต็มใจส่งทหารออกมาช่วยฝรั่งเศสอย่างเต็มพิกัดทำให้ Grande Armee ทวีจำนวนมากขึ้นขนาดนี้!!!...... จอมพลเนย์ นั้นอยู่บนหลังม้าสีขาวคู่ใจ.....ข้างๆเขานั้นคือ จอมพล ฌอง เมสซานา แห่งกองทัพ Saxony ….. เนย์นั้นมีสีหน้ายิ้มแย้มและปรีดารางกับชัยชนะนั้นอยู่แค่เอื้อม เขาพูดโม้กับ ฌอง เพื่อนของเขา “ท่าน เนย์ ตอนนี้พลสังเกตการณ์แจ้งมาว่าพวกอังกฤษอยู่ห่างจากนี้ราวๆ 50 ไมล์ มิหนำซ้ำยังเคลื่อนลงใต้ตรงมายังที่นี้อีกด้วย พวกมันคิดจะยึด Westphalia เป็นแน่” “คิดเหมือนที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ยิ่งข้าศึกมีกำลังที่น้อยกว่าพวกมันต้องเร่งหาที่มั่นที่แข็งแกร่งเพื่อใช้ตั้งรับการบุกโจมตีอย่างหนัก....แต่ในตอนนี้ที่มั่นที่ว่านั้นอยู่ในมือของพวกเราแล้ว....พวกมันจะเหลืออะไรล่ะ!!.. ผมล่ะอย่างเห็นสีหน้าพวกลิงทะเลพวกนั้นจริงๆว่าจะเป็นไงเมื่อเห็นว่า Westphalia มี ธงชาติฝรั่งเศสโบกไสวอยู่!! 5555+” เนย์ขำออกมาด้วยความสะใจ ฌองเองก็ขำเช่นกัน การเคลื่อนทัพอันเร็วประดุจสายฟ้าแลบของฝรั่งเศสนั้นส่งผลให้แผนของฝั่งอังกฤษนั้นผิดพลาดไปหมด.... ถึงแม้เนย์จะขำแต่ เจ้าชายจอร์จ คงไม่ขำแน่นอน!! Westphalia , Confederation of the rhine (Cilent State of French) 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806 เวลา 0800 น. กองทัพอังกฤษ – เยอรมัน ภายใต้การนำของเจ้าชายจอร์จที่ 4 เดินทางมาถึง Westphalia โดยใช้เวลาตามกำหนดการณ์เป๊ะๆนั้นคือ 3 วัน แต่สิ่งที่ตามมานั้นคือ เหล่าทหารเชิ้ตแดงแห่งจักรวรรดิอังกฤษล้วนหมดเรี่ยวแรงและอ่อนเพลียจากการเดินทางเนื่องจากเร่งรุดจะมาถึงที่นี่ให้ได้...จากที่เคยเดินอย่างองอาจผ่าเผยกับเดินห่อเหี่ยว นัยน์ตาหลายคนคล้ำดำเป็นหมีแพนด้าเพราะอดนอน.... เจ้าชายจอร์จทรงควบม้าอยู่ใกล้ๆเหล่าทหารและพูดปลอบประโลมใจพวกเขาตลอดทาง “ทหารแห่งจักรวรรดิอังกฤษ อีกไม่นานแล้วเราก็จะถึงป้อมปราการ ที่นั้น มีอาหาร สุรา และ นารี รอพวกท่านอยู่!! ขอให้พวกท่านจงอดทน อดทนเพื่อเกียรติภูมิแห่งจักรวรรดิอังกฤษและตามข้าพเจ้ามา...” ระหว่างที่ เจ้าชายจอร์จ กำลังพูดปลุกระดมทหารอยู่นั้นอยู่ดีๆทหารม้าเบาสังเกตการณ์ของอังกฤษก็ควบแจ้นตรงมายังเหล่าองครักษ์ Coldstream ที่ยืนรายล้อมเจ้าชายอยู่....เขามีทีท่าแตกตื่นราวกับไปเห็นผีมายังไงงั้น “ท่านองครักษ์!!...ท่านองครักษ์ ......... ฝรั่งเศส.......ฝรั่งเศส.......!!!” “ฝรั่งเศสทำไม!!” “พวกมันอยู่ห่างเราไปไม่ถึง 2 ไมล์เองครับ!!!!” “หา!!” เจ้าชายจอร์จได้ยินถึงกับอ้าปากเหวอตาค้าง บ้าน่า!! มันเป็นไปได้ยังไงทำไมกองทัพฝรั่งเศสที่อยู่ไกลกว่า Westphalia ตั้งเยอะกับมาถึงก่อนได้!! พระเจ้าจอร์จรีบควบม้าไปยังแนวหน้าเพื่อดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง
แนวทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศส เวลา 0810 น.
จอมพล ฌอง เมสซานา ใช้กล้องส่องทางไกลของเขาดูการเคลื่อนทัพของทหารอังกฤษซึ่งเข้ามาใกล้เต็มทน!!! จากล้องส่องทางไกลของเขา เขาเห็นทหารอังกฤษแต่ละนายเดินร่อแร่ๆด้วยสภาพอิดโทรย.....นั้นยิ่งทำให้ จอมพลแห่งฝรั่งเศสได้ใจยิ่งขึ้น “อะไรกันเนี่ย นี่หรือกองทัพอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิอังกฤษ.... นึกว่าจับเด็ก 2 ขวบมาเดินแถว...เอ้าทหาร ให้พวกมันรู้รสของปืนใหญ่ฝรั่งเศสหน่อยสิ” นายทหารปืนใหญ่รับบัญชาจอมพลทันที!! “ยิง!!!!!!!!!!!!” เฟี้ยวววววววววว เฟี้ยวววววววววว เฟี้ยวววววววววว เฟี้ยวววววววววววววววววววววววววว เสียงกัมปนาทจากปืนใหญ่ราวๆ 200 กระบอก แผดออกมาจากลำกล้อง เหล่าทหารอังกฤษที่เดินแถวอยู่ในแนวหน้านั้นพอได้ยินเสียงเริ่มหันซ้ายหันขวาด้วยความแตกตื่น!! เสียงมันมาจากไหนกัน!! ตูมมมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมมมมมมมมมม ตูมมมมมม เฟี้ยววววววววววว ตูมมมมมมมมมมม ปืนใหญ่แห่ง Grande Armee แผลงฤทธิ์อีกครั้ง ลูกเหล็กนับร้อยพุ่งเข้าทะลุแถวของทหารอังกฤษจนเหว้าแหว่งๆ !! ทหารหลายร้อยนายถูกลูกกระสุนปืนใหญ่ทะลุลำตัวจนร่างแหลกเป็นเสี่ยงๆ..บ้างลูกกระเด้งกระดอนว่อนไปโฉบเอาหัวของทหารบางนาย.......เพียงไม่กี่วินาทีกองทัพของอังกฤษต่างบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก!! แต่ปืนใหญ่จากฝากฝั่งของฝรั่งเศสก็ยังคงระดมยิงไม่หยุดครับ พวกมันต่างพ่นกระสุนออกมาเรื่อยๆ นายทหารปืนใหญ่ของฝรั่งเศสกะไม่อังกฤษรวมตัวกันติดเลยทีเดียว....ส่วนทางฝั่งอังกฤษนั้นเริ่มเสียขวัญกำลังใจจากการระดมยิงอย่างหนักของฝรั่งเศส กอปรกับการที่พวกเขาไม่ได้พักผ่อนและไม่ได้คาดคิดว่าศัตรูจะมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างนี้!!! ทหารอังกฤษหลายนายเริ่มแตกแถวและหันหลังวิ่งหนีกลับ จนนายพล Collin ต้องควบม้าไปข้างหน้าเพื่อไล่ต้อนไม่ให้พวกเขาแตกแถว!! “ทหารทุกนาย!! กลับเข้าแถว!!” เข้าตะโกนออกมาพร้อมแกว่งดาบไปม้าหมายให้ทหารเชื่อฟัง ซึ่งยังคงมีบางส่วนที่ยังเชื่อฟังเขาแต่ส่วนใหญ่นั้นหันหลังกลับและวิ่งหนีไปรวมกับทัพใหญ่!!..ท่ามกลางห่ากระสุนปืนใหญ่นายพล Colin พยายามอย่างสุดความสามารถก็ไม่ได้ผล จนกระทั่งเจ้าชายจอร์จควบม้ามายังแนวหน้าเพื่อดูสถานการณ์....... “เฟี้ยววววววววววววว............ตูม!!! ฝ่าบาท......ทรงกลับไปเถะพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้พวกฝรั่งเศสระดมยิงเราหนักมาก!!! ทหารเราเริ่มระส่ำระส่ายแล้ว!!” “ตูมมมมมมมมมม.......มันเป็นไปได้ยังไงกัน พวกมันมาถึงก่อนเราได้ไง!!! แบบนี้จะทำยังไงกันดีล่ะเนี่ย เผละ!!!!” กระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่งกระเด็นโฉบเอาร่างของนายพล Collin ลอยละลิ่วออกไปต่อหน้าต่อตาเจ้าชายจอร์จ!! พระองค์ถึงกับช๊อคไปจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ..... เมื่อพระองค์ได้สติก็พบว่า เหล่าทหารอังกฤษมากมายนับพันบาดเจ็บล้มตายจากการระดมยิงของฝรั่งเศส ซากศพทหารเชิ้ตแดงป่นบี้เละไม่มีชิ้นดีสักศพ..เหล่าทหารที่เหลือรอดนั้นก็ต่างหวาดผวาและขวัญหนีดีฝ่อกันถ้วนหน้า....... กองทหารม้าฝรั่งเศส เวลา 0825 น.
ทางฟากฝั่งท่านจอมพลเนย์ นั้นได้ใช้กล่องส่องทางไกลดูความหายนะของกองทัพผสมอังกฤษ – เยอรมันที่อยู่ตรงหน้า “หึหึ พวกมันใกล้แตกพ่าย....ได้เวลาของทหารม้าแล้ว” เนย์ละกล้องส่องทางไกลลงพร้อมชักดาบ Saber คู่ใจของเขาออกมาจากฝัก จอมพลเนย์นั้นช่างบ้าเลือดยิ่งนัก....... เบื้องหลังของเขานั้นคือเหล่าทหารม้าฝรั่งเศสร่วม 12000 นาย!! ซึ่งที่เป็นกองทหารม้าขนาดมโหฬารมากเยอะกว่าแนวหน้าของทหารอังกฤษด้วยซ้ำ!! เนย์หันกลับไปยังด้านหลังของเขาพร้อมพูดปลุกใจก่อนออกศึก!! ”เหล่าทหารม้าผู้เก่งกล้าแห่งฝรั่งเศส จงดูเบื้องหน้าของพวกท่าน!! จงดูความกลัวและความอ่อนแอของพวกมัน!!! ไม่มีสิ่งใดมาหยุดเกือกเหล็กของเราได้ ไม่มีสิ่งใดมาหยุดกองทัพม้าอันลือลั่นของเราได้!! ว่าแล้ว เนย์ก็สะบัดดาบของเขาลงเป็นสัญญาณให้เหล่าอาชาศึกฝรั่งเศส ควบไปข้างหน้า..!! กองทัพม้าอันยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสนั้นช่างฮึกเหิมยิ่งนัก ไม่มีอะไรมาหยุดพวกเขาได้จริงๆ.. กองทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศสเวลา 0830 น.
ทางจอมพล ฌอง นั้นก็เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ห่างๆก็พบว่า เนย์ นั้นควบมาทะยานออกไปแล้ว “แหมเลือดร้อนจริงๆตาเนย์..............สั่งปืนใหญ่ทุกกระบอกหยุดยิง” เนื่องจากกลัวโดนพวกเดียวกันเอง จึงมีคำสั่งให้หยุดยิง คำสั่งของ ฌอง แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เหล่าปืนใหญ่ฝรั่งเศสทั้งหลายต่างสงบลง แนวหน้าของทหารอังกฤษ 0835 น.
เมื่อเห็นว่าปืนใหญ่ฝั่งฝรั่งเศสสงบลง ทหารอังกฤษจึงเร่งกลับเข้าแถวกลับเข้าระเบียบใหม่ ...และยังทำการลากจูงขนปืนใหญ่มายังแนวหน้าเพื่อยิงตอบโต้ฝรั่งเศสอีกด้วย … ในขณะเดียวกัน เจ้าชายจอร์จทรงตรัสกับนายพลชาวอังกฤษอีกคนที่มาด้วยอย่างเคร่งเครียดว่าจะเอาไงต่อ...... “กำลังทหารของเราเป็นรองซ้ำยังเสียขวัญกำลังใจเป็นอย่างมากฝ่าบาท.... เราควรจะถอยไปตั้งหลักก่อน” “อืม.....ข้าก็คิดเช่นนั้นแต่พวกฝรั่งเศสเห็นเรากำลังถอยมันต้องตามตี เราต้อง................. ครึ่กกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แผ่นดินสนั่นหวั่นไหวราวกับแผ่นดินไหวยังไงงั้น ทหารอังกฤษที่เพิ่งโล่งอกจากการหยุดระดมยิงของฝรั่งเศสต้องกลับมาลุกลี้ลุกลนอีกครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เจ้าชายจอร์จจึงใช้กล้องส่องทางไกล ส่องไปข้างหน้าเพื่อหาต้นเสียงดังกล่าว!! “บ้าเอ๊ย นั้นมันทหารม้า ฝรั่งเศส สั่งทหารทุกนายจัดแถวรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเดี๋ยวนี้!!” “จัดแถวรูปขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัส!!” เหล่าผู้พันนายกองทั้งหลายต่างเร่งให้ทหารในแถวของตนจัดแถวเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพื่อป้องกันทหารม้า แต่เนื่องด้วยความเสียขวัญของทหารอังกฤษจากการระดมยิงอย่างหนัก ประกอบกับความอ่อนเพลียที่อดหลับอดนอน และที่สำคัญไอ้กองทัพม้าข้างหน้าไม่ด้มีแค่ 1000 – 2000 แต่มีเป็นหมื่น นั้นมันมีเยอะเหลือเกิน ด้วยปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้นทำให้เหล่าทหารเชิ้ตแดงอันหน้าเกรงขามของอังกฤษนั้นอยู่ในพร้อมจะหนีตลอดเวลา ... ทหารหลายนายตาค้างเมื่อเห็นว่ากองทัพม้านั้นกำลังพุ่งตรงมาหาตนด้วยความเร็วสูงและใกล้เต็มทน!! หลายสิบนายเริ่มวิ่งหนีออกจากแถว!! บางแถวก็ยังจัดไม่เสร็จ!! พอทหารบางนายเห็นเพื่อนวิ่งหนีก็วิ่งหนีตามอีก เกิดความสับสนอลม่านอย่างยิ่งในหมู่ทหารอังกฤษ ในขณะที่กองทัพม้ามหึมาของฝรั่งเศสควบเข้าใกล้เรื่อยๆ…. และที่สำคัญที่สุด การบุกชาร์ครั้งนี้กองร้อยทหารม้า Dragoon Falcon ของ มาควิส เดอร์ เลเฟยร์ เป็นหัวหอกสุดโดยผู้บังคับกองร้อยนั้นควบนำหน้าทหารม้าทั้งหมด!!......... ตึกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงฝีเท้านับพันอยู่ห่างไปกี่ 100 หลา เหล่าทหารเชิ้ตแดงเหงื่อแตกพลั่กบางคนยังตั้งมั่นในแถว ขณะที่บางคนถอยหนี ยิ่งเหล่าอาชาควบม้าใกล้สติของพวกเขาเริ่มเตลิดเตลิง… ทหารทั้งหลายยิงปืนออกไปสะเปะสะปะ โป้งป้างๆ หายิงเป็นชุดไม่ ทำให้อำนาจการยิงของพวกเขาลดลงอย่างน่าใจหาย….กระสุนที่พ่นออกไปนั้นถูกเหล่าทหารม้าหลายสิบนายล้มลง…แต่ก็หาหยุดคลื่นทหารม้าที่ถาโถมเข้ามาได้ โอ้มันใกล้มากแล้ว!!!! “เตรียมเข้าปะทะ!!!!!!!!!!!!!!” ระยะห่างเพียง 10 กว่าหลา เหล่าทหารอังกฤษเยี่ยวแทบราดขาสั่นงันงก พวกเขาต่างเร่งบรรจุกระสุนเข้าปากลำกล้องใหม่อย่างลนลาน……ในขณะที่มัจจุราชกำลังเร่งฝีเท้ามาปลิดชีพพวกเขา… ทหารอังกฤษนายหนึ่ง เห็นทหารม้า Dragoon ร่างใหญ่ผมสีขาวยาวกำลังง้างดาบโง้งขึ้นมามหายจะฟันเขาให้ด้าวดิ้น….เขารีบยกปืนขึ้นมาประทับบ่าเตรียมยิง…………. “ปังๆๆๆๆๆ ฉึกกกกก ฉัวววะ อ๊ากกกกกกก ตึกกกกกกก ฮี้ๆๆๆ อ้ากกกกกก รักษารูปขบวนไว้!!!” แต่หาทันการณ์ไม่ทหารผู้นั้นโดน ทหารม้า Dragoon ซึ่งมีนามว่า มาควิส ใช้ดาบอันคบกริบตัดคอของเข้าจนหลุดออกจากบ่า เสียงอันชุลมุนของการรบดังขึ้นไม่ว่าจะเสียงปืนที่ถูกยิงออกมา เสียงของม้าที่ได้รับบาดเจ็บ เสียงของดาบปลายปืนที่ถูกใช้จ้วงแทงอย่างเลือดเย็น หรือเสียงของนายทหารที่สั่งการณ์ให้ทหารทุกนายยังอยู่ในระเบียบ แต่สถานการณ์ของกองทัพอังกฤษตอนนี้ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ทหารม้าฝร่งเศสต่างควบบุกตะบันอย่างไม่หยุดยั้ง ทหารอังกฤษหลายร้อยนายถูกม้ากระแทกจนล้มระเนระนาด….. แม้พวกเขาจะจัดขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัสก็ตาม…แต่ก็เปราะบางเกินกว่าจะต้านทานทหารม้านับหมื่นของฝรั่งเศส มาควิส ใช้โกลนทั้ง 2 ข้างของเขากระทบข้างลำตัวม้าสีดำตัวเขื่องของเขาให้ควบไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดมาของเขา วิ่งชนเหล่าทหารอังกฤษที่ขวางทางจนล้มกราว…. “เพื่อจักรวรรดิอังกฤษ!!!” ผู้กองอังกฤษนายหนึ่งอยู่ท่ามกลางขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัส เขาใช้ปืนสั้นของเขายิงทหารม้าฝรั่งเศสที่คิดจะทำลายแนวป้องกัน ทหารทุกนายในขบวนนั้นยังคงตั้งมั่นอยู่ได้เนื่องด้วยการบัญชาการของเขา…. มาควิส จึงควบม้าตรงเข้าไปตรงเข้าไปกลางดงขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัสของทหารเชิ้ตแดง… ขณะที่ทหารม้านายอื่นของฝรั่งเศสที่พยายามจะควบฝ่าแนวป้องกันเข้าล้วนถูกดาบปลายปืนแทงสวน ไม่ก็โดนปืนยิงสะกัดกั้นจนรอบๆขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นเต็มไปด้วยศพม้ากองพะเนินถึง 30 กว่าตัว!! แต่นายทหารม้าผู้นั้นหากลัวไม่……..ผู้กองอังกฤษผู้นั้นสังเกตุการณ์เห็น มาควิส ที่กำลังบุกเดี่ยวฝ่าเข้ามาหาเขา…..เขาจึงสั่งการณ์” “พร้อม!!!!!!!” ทหารอังกฤษทุกนายต่างประทับปืนขึ้นบ่าพร้อมยิง!!! “เล็ง!!!” สายนับตา 30 กว่าคู่จดจ้องมาที่ มาควิส ซึ่งอยู่ห่างไปราว แค่ 5 หลา!! ระยะเผาขนขนาดนี้ถ้าโดนห่ากระสุนนับ 30 ลูกไปต่อให้เก่งยังไงก็ตายแน่นอน…. แต่เขาก็ยังคงควบต่อ!! “ยิง!!!!!!!!!!” “ฮึบบบบบ!!!” สิ้นเสียงสั่งการณ์จากผู้กองชาวอังกฤษทหารในแถวต่างยิงปืนออกมาอย่างพร้อมเพรียง เป็นจังหวะเดียวกับที่ มาควิส กระตุกบังเหียนของเขา!! ทำให้ม้าของเขานั้นกระโดดข้ามหัวเหล่าทหารม้าอังกฤษไป!!!!...ราวกับ Slow Motion ทหารเชิ้ตแดงร่วม 60 กว่านาย ต่างอ้าปากเหวอ ทึ่งในการกระทำของทหารม้าฝรั่งเศส พวกเขาได้แต่แหงนหน้ามอง ขณะที่ มาควิส ลอยข้ามหัวของพวกเขาไป!!! ผู้กองชาวอังกฤษตกตะลึง เขากำลังจะง้างดาบของเขาออกจากฝัก ในขณะที่ มาควิส กระโดดข้ามมาจะถึงตัวเขา….เขาชักดาบออกมาจากฝักและง้างออกมา…. “ปั้ก!!!!” ตีนของม้ากระแทกเข้าไปเต็มหน้าของผู้กองชาวอังกฤษ ด้วยแรงกระแทกอันหนักหน่วงทำให้ผู้กองคนนั้นหน้ายุบลงไปและล้มลงขาดใจตาย!!! เมื่อผู้บังคับบัญชาตาย..เหล่าทหารในแถวต่างเสียขวัญกำลังใจ!! ทหารม้าฝรั่งเศสนับ 10 จึงควบเข้ามาบุกทำลายแนวป้องกันได้อย่างง่ายดาย!!! ทหารเชิ้ตแดงหลายพันนายเริ่มหันหลังวิ่งหนีในขณะที่ ทหารม้าฝรั่งเศสเป็นหมื่นต่างวิ่งไล่ควบฆ่าฟันพวกเขาจนล้มลงตายเป็นใบไม้ร่วง……. มาควิส ยังคงนำลูกน้องของเขาไล่ฆ่าฟันทหารอังกฤษจนล้มตายไปนับร้อย…..ทหารอังกฤษวิ่งหนีมาจนถึงแนวปืนใหญ่ของพวกเขา!!! ซึ่งถูกตั้งขึ้นอย่างลวกเมื่อไม่กี่นาทีก่อน….ปืนใหญ่ราวๆ 30 กระบอกของอังกฤษ ซึ่งเพิ่งถูกขนมายังแนวหน้าในบัดนี้พร้อมที่จะยิงแล้ว……ทหารอังกฤษหลายพันนายวิ่งเข้ามาในรัศมีปืนใหญ่ของพวกเขาเองในขณะที่ทหารม้าฝรั่งเศสตามมาติดๆ!!!!
ยิง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ฟิ้วววววววววววววววปุ้งงงงงงงงงงงง ปุ้งงงงงงงงงงงงงงงง โดยไม่คำนึงถึงพวกตัวเอง นายทหารปืนใหญ่สั่งให้ยิงทันที กระสุนลูกปรายนับพันนัดแตกพวยพุ่งออกมาจากปืนใหญ่อังกฤษ….ทหารอังกฤษที่หลบไม่ทันต่างโดนกระสุนพุ่งเข้าทะลุร่างจนล้มกันระเนระนาด!! ในขณะที่ทหารม้าฝรั่งเศสที่ตามหลังมาก็โดนกระสุนเหล็กจนล้มลงตายกันระนาว!!! ปืนใหญ่ของอังกฤษต่างระดมยิงใส่ทหารม้าฝรั่งเศสให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะมิฉะนั้นพวกเขาย่อมตกเป็นเหยือของทหารม้าแน่!!! ……ทหารอังกฤษที่รอดมาได้ต่างตั้งแถวขนานไปกับแนวปืนใหญ่ของพวกเขาอย่างลวกๆแล้วระดมยิงใส่ทหารม้าฝรั่งเศสที่ควบเข้ามา……!!!! พวกเขาต่างช่วยกันระดมยิงอย่างสุดฤทธิมิสู้อย่างหมาจนตรอก!! “ปังๆๆๆๆๆๆๆ ฟิ้วววๆๆๆๆ ฮี้ๆๆๆ ปังๆๆๆๆๆๆๆ ตูมมมมมม ตูมมมมมมมมมมม” ด้วยอำนาจการยิงจากปืนน้อยใหญ่ของอังกฤษนั้นทำให้คลื่นทหารม้าของฝรั่งเศสถูกหยุดลงได้ชั่วขณะ พวกเขาร่วงตกลงลงจากหลังม้าในขณะที่ทหารม้าข้างหลังพยายามชาร์จเข้ามาเรื่อยๆ จนหลายหลายนายเหยียบย่ำพวกเดียวกันเอง บางนายก็สะดุดศพม้าจนล้ม…..แม้แต่ มาควิสเองที่ม้าของเขาโดนกระสุนลูกปรายถึง 10 ลูกเจาะเข้าทะลุร่างจนทำให้ม้าของขาดใจตาย ส่วนตัวเขานั้นร่วงตกลงจากหลังม้า เจ้าชายจอร์จนั้น มองดูสถานการณ์อยู่ในระยะเสี่ยงอันตราย “โอ้ ข้าแต่พระเจ้า ขอให้พลังอำนาจแห่งพระองค์จงหยุดการบุกเข้ามาของเหล่าปีศาจพวกนี้ด้วยเถิด” เจ้าชายจอร์จได้แต่ภาวนาให้ปืนใหญ่ของเขายันเหล่าทหารม้าบ้าเลือดของฝรั่งเศสได้นานพอขณะที่เขาพากำลังส่วนใหญ่ถอยกลับ!! กองหน้าของฝรั่งเศส เวลา 0900 น. ส่วนหน้าของกองทัพฝรั่งเศส.. จอมพลเนย์กำลังใช้กล้องส่องทางไกลของเขาดูการสถานการณ์การรบที่กำลังตึงเครียดสุดๆ ทหารม้าของเขาถูกสกัดกั้นด้วยปืนใหญ่…..แต่เบื้องหลังเขานั้นเป็นทหารราบฝรั่งเศสร่วม 50000 นายที่พร้อมออกเดินไปขยี้ข้าศึกที่อยู่ตรงหน้า….ในขณะเดียวกัน จอมพล ฌอง เมสซานา ก็ควบม้ามาหา เนย์ เพื่อปรึกษาว่าเอาไงต่อไป ฌอง ลงจากหลังม้ามาและเดินตรงปรี่มาหา เนย์ อย่างร้อนรน ในขณะที่เนย์ใช้กล้องส่องทางไกลของเขาดูการรบดูอย่างไม่ลดละ “เนย์ เราควรสั่งให้ทหารม้าถอยก่อนดีกว่าไหม ขืนบุกชาร์จไปดื้อๆแบบนี้เรื่อยๆมีหวังได้สูญเสียอย่างใหญ่หลวงแน่”“อืม แน่นอน….. สั่งให้กองทัพของเราทั้งหมดถอนกลับเข้าไปในตัวป้อม Westphalia ได้…” “อ้าวท่าน…. กองทัพของเรานั้นยังเหลือตั้งมาก ท่านส่งทหารทั้งหมดออกไปบดขยี้มันในวันนี้ยังได้ ดีกว่าปล่อยให้โอกาสหลุดรอยไป” เนย์ลดกล้องส่องทางไกลลงพร้อมหันหน้ามาตอบคำถามของ ณอง ด้วยสีหน้าอันมั่นอกมั่นใจ “แต่ผมมีแผนที่ดีกว่านั้น ฌอง…. ท่านน่าจะรู้ว่าผมได้สั่งให้นายพล Lannes พาทหาร ราวๆ 30000 นายแยกออกไปตั้งแต่ 3 วันก่อน” “ใช่….แล้วเขากำลังเคลื่อนพลไปยังที่ใดล่ะ” “Hannover ไงล่ะ ฌอง ในระหว่างที่อังกฤษกำลังยกทัพมาที่นี่ ผมก็ได้สั่งให้ Lannes ยกทัพสวนทางพวกมันไปยึด Hannover!!! แค่นั้นยังไม่พอ กษัตริย์หลุยส์แห่ง Holland ก็เคลื่อนทัพทางตะวันออกอย่างรวดเร็วเพื่อยึด Hamburg และตัดทางหนีของมัน!!! เท่านี้แหละ พวกชาวเกาะนั้นก็จะติดอยู่บนแผ่นดินใหญ่และไปไหนไม่ได้!!” “และหลังจากนั้นค่อยบีบให้พวกเขายอมแพ้”“…..หึหึ นั้นเป็นสิ่งที่จักรพรรดิพอใจอย่างยิ่ง….. การที่ได้ลูกพญาราชสีห์ตัวเป็นๆมาอยู่ในกำมือ” เนย์พูดจบก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย สิ่งที่เขาทำนั้นคือการกักบริเวณไม่ให้เจ้าชายจอร์จนั้นหนีไปไหนได้ รอบทิศของเขาจะรายล้อมไปด้วยศัตรู และเมื่อจนมุมเขาจะทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมจำนน…..ในขณะเดียวกันพลสัญญาณของฝรั่งเศสได้ส่งสัญญาณให้เหล่าทหารม้าทั้งหมดถอยกลับ รวมถึงทหารม้าที่กำลังทำการบุกโจมตีอยู่!! แม้อาจจะดูเหมือนศึกครั้งนี้ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีใครแพ้ชนะ แต่ฝ่ายที่เสียหนักกว่านั้นคือ กองทัพแห่งจักรวรรดิอังกฤษ คฤหาสน์ตระกูล Gales , Liverpool , Englands , British Empire 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1806 พลบค่ำของเมือง Liverpool 1 ในเมืองท่าสำคัญของอังกฤษ ที่นี่คือคฤหาสน์ตระกูล Gales อันดูคร่ำครึแต่ต้องไปด้วยมนต์ขลังมันถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปลายราชวงศ์ทิวดอร์ ด้วยความอุตสาหะของตระกูลพ่อค้า Gales อันมีมานาน…ทำให้พวกเขาเก็บหอมรอมริบทรัพย์สมบัติมากมายและได้ตกทอดมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน…. ณ วันนี้วันที่ 22 กุมภาพันธ์ คือวันเกิดของ Jonathan Gales นายพ่อค้าผู้มั่งคั่งแต่ใจบุญ จนคนทั่วสหราชอาณาจักรยกย่องว่าเขานั้นคือพ่อพระ…. พ่อพระแห่งอังกฤษผู้นี้จัดงานฉลองอยากเอิกเกริกซึ่งจัดในห้องโถงใหญ่ใจกลางอาคาร บนเพดานมีโคมไฟคริสตรัลแขวนอยู่ส่งแสงระยิบระยับดูงดงาม อาหารเลิศรส…มากมายถูกจัดวางบนโต๊ะยาวร่วมหลายสิบเมตร.. เหล่าบรรดาเศรษฐีนักการเมืองมากหน้าหลายตาต่างร่วมอวยพรแก่เขา… รวมถึงท่านประธานรัฐสภาและลูกชาย รวมถึง ประธานสภาสงครามแห่งอังกฤษอีกด้วย…. หลังงานเลี้ยงเริ่มไปได้ครึ่งชั่วโมง Gales ก็ได้เดินขึ้นพูดบนโพเดียมเพื่อกล่าวเปิดงาน ท่ามกลางเสียง ปรบมือ กู่ร้องด้วยความยินดี!! Gales จัดเสื้อคลุมขนมิ้งสีเขียวของเขาให้เรียบร้อยก่อนจะยืดอกพร้อมขึ้นพูดมั่นใจ “สวัสดีท่านสุภาพบุรุษ และ สุภาพสตรี ทุกท่าน ก็ต้องขอกล่าวขอบคุณทุกๆท่านที่อุตส่าห์เดินทางมาไกลแสนไกล เพื่อ ร่วมสังสรรค์ในวันคล้ายวันเกิดของชายผู้ต่อต้อยคนนี้น่ะครับ…และขอขอบคุณทุกท่านที่ทุกท่านต่างนำของมีค่ามากมายบริจาคให้ผม…ไหนดูสิ” ว่าแล้ว Gale ก็ก้มลงไปหยิบของขวัญวันเกิดชิ้นหนึ่งซึ่งเขาได้จาก เศรษฐีผู้หนึ่ง….และพบว่ามันคือ โมเดล กีโยตินขนาดย่อม เครื่องประหารสุดลื่อลั่นของฝรั่งเศส !!! Gales ก็ใช้สายตาของเขาเพ่งไปที่ของขวัญเพื่อดูคำอวยพรที่เศรษฐีผู้นั้นเขียนให้ “ถึงคุณ Jonathan Gales… หวังว่าเลือดฝรั่งเศสของคุณคงจะได้รับการชำระบาป….จาก Mr.Hermann โอ้ให้ตายเหอะ ถึงตาผมจะเป็นฝรั่งเศสแต่ผมไม่ได้ฝักใฝ่ นโปเลียน น่ะ 5555” “55555 ฝรั่งเศสไปตายซะ!!!!” “ฝรั่งเศสกาก!!!” “ไอ้เตี้ย ไปตายไปชิ้วๆ” “ใจเย็นๆครับทุกท่าน นี่งานวันเกิดน่ะครับไม่ใช่ การยุทธที่ Trafalgar ทำไมเราต้องมาถกกันเรื่องสงครามด้วยล่ะ มาสนุกกันดีกว่า!!!! เอ้า… ดนตรีมา!!” ว่าแล้ว Gales ก็ดีดนิ้วเป็นสัญญาณ ให้วงดนตรีออเครสตาขนาดย่อมที่เขาจ้างไว้บรรเลงเพลง…ขับกล่อมบรรยากาศงานเลี้ยงให้สนุก Gales เดินลงมาจากโพเดียมมาพบปะกับเหล่าแขกมากมายของเขา..ซึ่งทุกคนต่างทักทายกับเขาเป็นอย่างดี…จนเขาเดินมาพบกับ Newton และ Will Bradley 2 พ่อลูกซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดในอังกฤษ…. Gales เดินเข้าไปทักทายพวกเขาทั้ง 2 คนด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มทันที Gales : ลงทุนมาถึง Liverpool เลยเหรอครับ ท่านประธานรัฐสภา” Newton : วันเกิดพ่อนักบุญแห่งอังกฤษทั้งทีทำไม ผมจะไม่มาล่ะ 55” Will : ไง คุณ Gale ไม่ได้เจอตั้งนาน ช่วงนี้ธุรกิจเป็นอย่างไรบ้างครับ Gales : ก็เรื่อยๆครับ การค้าขายในโลกใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ช่วงนี้ผมเน้นหนักไปทางรัสเซียมากกว่า…Will : รัสเซียงั้นเหรอ….ออ…… (ที่แท้เอ๊งขายปืนให้กับพวกกบฎในรัสเซียนั้นเอง ทำไมกูจะไม่รู้ )Newton : เอ้า หนุ่มๆผมขอขัดจังหวะการสนทนาสักครู่น่ะ ท่าน Court Henry….. Newton ตะโกนเรียกใครบางคนซึ่งอยู่ห่างจากพวกเขาไปประมาณ 10 กว่าเมตร ไม่กี่อึดใจชายหนุ่มหน้าตาหล่อเข้ม หนวดหรอมแหรมในชุดคลุมสีน้ำเงิน พร้อมกับสตรีชนชั้นสูงหน้าตาคมสวยผมยาวสีดำในชุดราตรีสีชมพูอ่อนก็เดินตรงมาหาพวกเขา….เขาคือท่าน Court Henry Graham และภริยา Rachel Ducan…… Newton : Gales นี่ท่าน Court Henry…. Gales : ออพวกเรารู้เคยเจอกันมาก่อนแล้วครับจริงไหมท่าน!Henry : ใช่แล้ว คุณ Gales… Gales ยื่นมือจับกับ Henry พร้อมขยิบตา แน่นอนพวกเขาทั้งหลายแหล่นั้นล้วนอยู่ในวงการเดียวกันและพบปะกันทั้งอย่างเป็นทางการและลับๆมาโดยตลอด… เมื่อ Gales เห็นว่าครบองค์ประชุมจึงเริ่มดำเนินการต่อ Gales : เอาล่ะครับ ไหนๆ..ก็มากันพร้อมแล้วงั้นผมจะพาไปฉลองในที่ที่เป็นการส่วนตัวดีกว่า Gales เดินนำพาเหล่าผองเพื่อนของเขาออกจากบริเวณตัวงานเลี้ยง พวกเขาเดินตรงขึ้นบันไดมายังชั้น 2 ของบ้านซึ่งผู้คนเบาบางและพาเดินนำมายังห้องทำงานของเขา เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเดินผ่านมาแถวนี้ Gales จัดการล๊อคประตูเพื่อกันมิให้มีคนเข้ามายุ่งขณะที่พวกเขากำลังปรึกษากันถึงแผนการณ์อันชั่วร้าย ทางฝั่ง เจ้าบ้าน นั้นเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนากับ Henry Graham ก่อนด้วยอัธยาศัยอันดี “เป็นไงบ้างท่าน Court…ยาพิษจากกบอเมริกาใต้ช่างทรงประสิทธิภาพสมกับราคาคุยไหมครับ??”“มันยอดเยี่ยมมากคุณ Gales…ในตอนนี้ตาแก่นั้น วิปลาสเสียสติจนมิอาจประกอบกิจดังเดิมได้ ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของคุณจริงๆที่ทำให้แผนการณ์ของพวกเราลุล่วง” Gales โค้งรับคำชมอย่างภูมิใจ ในขณะที่ทางฝั่ง Will Bradley ใช้มือของเขาลูกคางพลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงซีเรียส “ฟังน่ะสุภาพบุรุษทั้งหลาย …. สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องลับสุดยอด ถ้ามีการแพร่พรายออกไปภายนอก เพราะถ้ามันเกิดขึ้นล่ะก็….ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำมาได้สูญเปล่าแน่ …” ทุกคนในห้องตามทำสีหน้าซีเรียสและตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่ Will กำลังจะกล่าว Will : อย่างที่บอกในตอนนี้ พระเจ้าจอร์จ นั้นสติวิปลาสนั้นหมายความว่าในเร็ววันนี้ต้องมีการประชุมรัฐสภาขึ้นเพื่อหารือเรื่อง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งชายผู้นี้จะมีอำนาจเต็มเท่ากับกษัตริย์เลยทีเดียว… แต่เดิม ตำแหน่งนี้ สมควรตกเป็นของเจ้าชายจอร์จที่ 4 Duke of Manchester เนื่องจากเขาเป็นโอรสของพระเจ้าจอร์จ แต่ทางสภาแห่งสงครามนั้นได้มีมติส่งเจ้าชายจอร์จออกไปปกป้อง Hannover….”Rachel : ยืมมือฝรั่งเศสเพื่อจัดการกับเจ้าชายและกองทัพของเขาน่ะเหรอค่ะ” Will : เฉียบแหลมมาก Lady Rachel….. ซึ่งถึงเขาจะรอดและตกเป็นเชลยก็ตาม แต่เราก็จะกดดันสภาเพื่อไม่ให้พวกเขาต่อรองกับฝรั่งเศสในเรื่องการเจรจาแลกเปลี่ยนเชลย… เรื่องนี้ต้องอาศัยคุณ Lady Rachel”Rachel : คงเป็นแผนที่ต้องการเล่ต์และมารยา อีกสิท่า” ทาง Rachel ยิ้มอย่างเจ้าเล่ต์และส่งสายตาดูเย้ายวน…. ทาง Will นั้นก็หันมาทาง Henry เป็นเชิงขอ.”อนุญาตยืมเมีย” ทาง Henry ก็กอดอกและพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก Henry : ไม่เป็นไรผมชินกับเรื่องพรรค์นี้แล้ว...” Will : ขอบคุณมากครับท่าน Court ….. ในตอนนี้เสียงของสภานั้นจะแตกออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ Bradley , Wellesley , Lanchester และ Cromwell โดยทาง พ่อของผมท่านประธานสภาสนิทสนมกับ Sir Archer Wellesley เป็นพิเศษ ซึ่งท่าน Sir นั้นมีนิสัย เจ้าชู้หัวงูเป็นทุนเดิม…เราจะอาศัยความเจ้าชู้นี้แหละ ในการทำให้แผนของเราสำเร็จ โดยการส่ง Rachel ไปใช้เสน่ต์ยั่วยวนเขาหลอกล่อให้เขาหลงและเข้าร่วมกับเรา เท่านี้เราก็จะมีเสียงส่วนมากในสภา” ทาง Newton Bradley ประธานแห่งรัฐสภาอังกฤษก็พูดแทรกขึ้นมา…. Newton : และเราก็จะแต่งตั้งท่าน Court Henry Graham ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน โดยอ้างจากสายเลือดทางมารดาของเขา…..เท่านี้แหละอำนาจของจักรวรรดิอังกฤษก็อยู่ในมือเรา” Gales นั้นทำท่าทางสงสัยและสอบถามขึ้นมา….. Gales : เอ่อ ขออนุญาตทุกท่านน่ะครับ ว่าแต่ ถ้าสมมุติน่ะ เกิดเจ้าชายจอร์จเกิดหนีรอดกลับมาได้อย่างปาฎิหาริย์หรือ ว่าเขาเอาชนะฝรั่งเศสและโค่นนโปเลียนได้!!! ความนิยมในตัวของเขาคงจะพุ่งสูดปรี๊ด ผมว่าเหตุการณ์มันจะกลับตาลปัตรเลยน่ะครับ”ทุกคน: ชนะ นโปเลียน!!!” คนทั้งห้องค่อนข้างอึ้งในคำพูดของ Gales แต่ยังไงซะการประเมินสถานการณ์รอบด้านนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี ทาง Henry นั้นพูดออก Henry : ชนะ นโปเลียน …….โอกาสชนะเขามันถึง 1% หรือเปล่า ในตอนนี้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีกองทัพบกที่ใหญ่โตและเข้มแข็งที่สุดในโลก… ด้วยกองทัพขนาดกระจ่อยหร่อยของ เจ้าชาย น่ะเหรอ…สิ่งๆเดียวที่เขาจะประสบนั้นคือถูกบดขยี้จนราบเป็นหน้ากอง!!”Will : ใช่ครับ… ผมนั้นวิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าแล้ว Hannover นั้นเหมือนเกาะกลางดงฉลามโอกาสที่เขาจะชนะนั้นน้อยถึงน้อยที่สุด..แม้ปรัสเซียจะมาช่วยก็เหอะ แต่…..พวกเขาก็ยังคงห่างชั้นจากฝรั่งเศสอยู่ดี และถ้าสมมุติเขาหนีรอดกลับเกาะอังกฤษมาได้อย่างปาฎิหาริย์เราก็ยังคงมีแผน 2Newton : แผน 2 งั้นเหรอ…... Will : ใช่ครับพ่อ…. ถึงแม้เขาจะรอดกลับมาได้แต่เราก็ใช้อำนาจจากสภาที่เราได้จากแผนแรกนั้น บีบให้เขาไม่ได้ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทน… ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นน่าจะทำให้เหล่าพวกนิยมเจ้าทั้งหลายส่วนใหญ่ไม่พอใจและก่อความรุนแรงแน่ ถึงกระนั้นพวกเขายังคงทำอะไรไม่ได้มาก เนื่องจากกองทัพของเขาได้มลายหายไปหมดแล้ว… ในขณะเดียวกันกองทัพของ Arthur เพื่อนของผมที่เดินทางมาจาก อินเดียจะมาสมทบและเป็นฐานกำลังให้กับเรา และปราบปรามพวกนิยมเจ้าให้สิ้น ส่วนกองเรือยิบรอลต้าร์ที่อยู่นอกเหนือจากกควบคุมของ กระทรวงทัพเรือผมก็ได้จัดการให้โยกย้ายพวกเขามายังที่นี่ เพื่อที่จะได้ใช้กองทัพเรือป้องกันมาตุภูมิทั้งหมดนั้นบีบบังคับให้พวกเขายอมเป็นพวกกับเรามิเช่นนั้น ก็ถล่มซะให้ยับ….. Rachel : ฟังดูรุนแรงจังน่ะค่ะ Will : ใช่ครับ แต่นั้นเป็นทางเลือกสุดท้าย ….ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นจุดประสงค์ของเรานั้นคือการทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎและใช้กำลังให้น้อยที่สุดที่สุดนี่คือเป้าหมายของแผน แต่ถ้าทำไม่ได้เราก็มีแผนสำรองคือการใช้กำลังทหารนั้นเอง Newton : ไอ้ Arthur เพื่อนของลูกนี้ไว้ใจได้หรือเปล่า เขาเป็นขุมกำลังทางบก กองทัพเดียวที่เรามีในมือตอนนี้” Will : เขาจงรักภักดีต่อกษัตริย์ก็จริง แต่เขาเป็นคนหัวใหม่ ถ้าผมลองเกลี้ยกล่อมเขา เขาน่าจะยอมเป็นพวกกับเรา”Henry : แล้วเรารู้เรื่องการรบระหว่างกองทัพของ เจ้าชายจอร์จกับพวกฝรั่งเศส บ้างไหม??”Will : นั้นสิ เรื่องนั้นผมก็ยังไม่ทราบข่าว Gales : อะแฮ่มมม หูของพวกพ่อข้าวานิชอย่างผมนั้นว่องไวกว่าพวกท่านเยอะ …ผมนั้นได้ยินจากเหล่าพ่อค้าฮอลแลนด์ว่า กองทัพฮอลแลนด์นั้นเคลื่อนไปทางตะวันออก…..ส่วนพ่อค้าเยอรมัน นั้นก็บอกว่า กองทัพของทั้ง 2 ฝ่าย นั้นยังไม่ได้ทำการรบกัน หรือว่ารบกันแล้วยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะ อันนี้ผมไม่แน่ใจ …. Will : ไม่เป็นไรอีกไม่นานนักหรอก เจ้าลูกสิงโตนั้นจนตรอกแน่….. ยังไงซะแผนการนี้นั้นรัดกุมกว่าแผนการเก่าและมันจะต้องสำเร็จ!! Will ลั่นออกมาด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ แผนครั้งนี้ต้องไม่ล้ม!!!!! ทุกคนในห้องล้วนเชื่ออย่างนั้น อำนาจแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจะตกมาอยู่ในกำมือของคนกลุ่มนี้กระนั้นหรือ
|
|
|
Post by greatbritian on Nov 25, 2017 15:14:01 GMT
Episode 5 : Lion in the cage
Brunswick , British Empire 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806
ณ เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในเยอรมันที่มีชื่อว่า Brunswick …เมืองๆนี้ไม่ใหญ่มากและไม่มีป้อมปราการใดไว้ป้องกันการรุกรานข้าศึกได้ เว้นแต่ทะเลสาบ Brunswick อันกว้างใหญ่กว่าหลาย 30 ไมล์ ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองเป็นปราการสำคัญเพื่อชะลอการบุกของกองทัพฝรั่งเศสที่กำลังรุกขึ้นเหนือมาอย่างรวดเร็ว….. ทางฝากฝั่งอังกฤษนั้นได้ตั้งค่ายพักทหารของเขาไว้ห่างจากทะเลสาบประมาณ 1 ไมล์….. กองทัพแห่งจักรวรรดิอังกฤษในตอนนี้ดูไม่เกรียงไกรสมคำร่ำลือ…..เหล่าทหารเชิ้ตแดงส่วนใหญ่นั่งหมดอาลัยตายอยากเหม่อลอย…. การบุกเข้าชาร์จอย่างบ้าคลั่งราวกับปีศาจของทหารม้าฝรั่งเศสทำให้พวกเขาขวัญกระเจิง นอกจากนี้พวกเขายังต้องเร่งรุดเดินทาอย่างรวดเร็วทั้งไปและกลับเพื่อหลบหนีการไล่ตามของกองทัพฝรั่งเศส ทำให้พวกเขาไม่ได้พักผ่อนและยิ่งอ่อนเพลียไปกว่าเดิม ซ้ำร้ายกำลังสนับสนุนที่มีมาเพิ่มเติมนั้นก็น้อยนัก… เกณฑ์ได้แต่ชาวบ้านเยอรมันไม่กี่พันซึ่งไม่เต็มใจมารบนัก.. ยิ่งทำให้สถานภาพของอังกฤษในตอนนี้ดูไม่พร้อมรบยิ่งนัก…… พลบค่ำเจ้าชายจอร์จ เดินออกมาจากเต็นท์ที่พักของเขา พร้อมกับผู้พันคนสนิทเพื่อดูสภาพแวดล้อมของเหล่า ทหารเชิ้ตแดงที่เป็นอยู่ตอนนี้..ซึ่งแน่นอนพวกเขานั้นอยู่ในสภาพอ่อนล้า หลายนายเสื้อผ้าขาดวิ่น บางคนหน้าตาดำค่ำเครียด ด้วยเหตุน่านับประการทั้งปวงนั้นล้วนทำให้ เจ้าชายจอร์จกลุ้มใจยิ่งนักเขาต้องหาทางแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าโดยด่วนที่สุดก่อนที่กองทัพแห่งจักรวรรดิอังกฤษอันเกรียงไกรจะละลายยกกองทัพ!!..... เจ้าชายทรงปรึกษาผู้พันคนสนิทของเขาว่าควรจะทำประการใดต่อไปดี
“ผู้พัน Farrel ผลการสำรวจบัญชีพลเป็นอย่างไรบ้าง”
“……ขอชี้แจงผลการสำรวจบัญชีพลเมื่อช่วงเช้าน่ะครับ… ทหารม้าของเราทั้งหมดเหลือประมาณ 5600 นาย ปืนใหญ่นั้น ทหารราบเดินเท้า สูญเสียในการรบ 4000 นาย และหนีทัพอีกเป็นจำนวนมาก
“หนีทัพงั้นเหรอ!!!”
“ใช่ครับ…ส่วนใหญ่เป็นพวกเยอรมันพวกเขาเลือกที่จะหนีมากกว่าจะรบต่อ….และก็…..”
“และอะไร!!!”
“มีข่าวลือกันให้ทั่ว พวกเยอรมันนั้นล้วนกริ่งกลัวในแสนยานุภาพของฝรั่งเศส และยินดีที่จะแปรพักต์เข้าร่วมกับฝรั่งเศสทันทีหากสถานการณ์คับขัน…..”
.”บ้าที่สุดเล๊ย…...”
เจ้าชายจอร์จนั้นกัดฟันกรอดๆตัวของเขานั้นสั่นสะท้านไปด้วยความเครียดและความกังวล ทหารกว่า 40000 นายของเขานั้น กว่าครึ่งเป็นชาวเยอรมัน…… และถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นขึ้นจริง จะไม่มีทางเลยที่อังกฤษจะหวนพลิกกลับมาชนะได้อีก…. เจ้าชายได้แต่กวาดสายตามองไปรอบๆตัวของพระองค์ก็ว่าทหารเยอรมันในชุดสีน้ำเงินฝาดกว่าหลายร้อยนายจ้องมองมายังพระองค์ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร…… สิ่งๆนั้นล้วนทำให้เจ้าชายจอร์จนั้นหนักใจยิ่งหนัก เขากล่าวกับผู้พันคนนั้นอย่างมีความหวัง….
“ทีท่าของพวกปรัสเซียล่ะ”
“ยังคงเงียบกริบไร้ความเคลื่อนไหวเช่นเดิมครับ”
คำตอบนี้เหมือนฟางเส้นสุดท้ายของกองทัพอังกฤษ ไร้ความช่วยเหลือ ไร้ทางหนี ข้าศึกกำลังเข้ามาใกล้ทุกย่างก้าว นี่กองทัพแห่งจักรวรรดิอังกฤษกำลังพ่ายแพ้งั้นรึ!!
“ถ้าพวกเขาไม่มาช่วยงั้นเราก็จะบังคับให้พวกเขาช่วย!!”
“ด้วยวิธีการใดครับ”
“สั่งทหารเดินทัพไปทางตะวันออกให้เร็วที่สุด ทิ้งสัมภาระต่างๆที่ไม่จำเป็นและเทอะทะ เราจะเคลื่อนทัพเข้าสู่ชายแดนของปรัสเซีย!!! ถ้าพวกฝรั่งเศสยกทัพตามมายังไงปรัสเซียก็ตกยกทัพมาสกัดแน่…...รีบทำตามสั่งเลยผู้พัน!!”
“พ่ะย่ะค่ะ!!”
แม้จะริบหรี่แต่ยังมีความหวัง เจ้าชายจอรฺจตัดสินใจหนีอย่างหงางจุกตูดไปทางตะวันออก เพื่อเข้าสู่ปรัสเซีย!! นี้คือหนทางรอดเดียวของอังกฤษเท่านั้น!!
Brunswick , British Empire 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806 เวลาพลบค่ำ
ช่วงค่ำ ณ สถานที่แห่งเดียวกัน แม้จะเป็นยามราตรีแต่ไฟจากคบเพลิงหลายหมื่นดวงนั้นโชติช่วงสว่างทำให้เห็นทุกๆอย่างในรอบด้าน คบเพลิงเหล่านั้นอยู่ในมือของเหล่าทหารฝรั่งเศสอันเหี้ยมหาญ พวกเขานั้นมีจำนวนที่มากมายและขวัญกำลังใจอันเต็มเปี่ยม ในใจของพวกเขาตอนนี้คงอยากจะถล่มพวกอังกฤษให้เต็มเหนี่ยว!! ท่านจอมพล เนย์ สั่งให้เดินทัพอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นกันเพื่อตามไล่ประกบติดกองทัพอังกฤษอย่างใกล้ชิด….. และ ณ ที่ทะเลสาบ Brunswick เหล่า Grande Armee ก็พบกับซากของค่ายทหารที่ถูกรื้ออย่างลวกๆ สัมภาระมากมายก่ายกองถูกทิ้งไว้ ทั้งปืนใหญ่ร่วมหลายร้อยกระบอก เสบียงกรัง เครื่องสนาม แม้แต่ปืนเล็กยาวหลายพันกระบอกก็ถูกทิ้งไว้อยู่เบื้องหลังบ่งบอกถึงความเร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด…. ทางจอมพลเนย์ ซึ่งอยู่บนหลังม้าสีดำสนิทกลมกลืนไปยามราตรี เนย์นั้นได้มองตรวจการณ์ไปรอบๆและก็นึกกระหยิ่มยิ้มในใจ
“ฮะฮ่า ดูเหมือนพวกมันจะกลัวเราจนหนีเตลิดเปิดเปิงขนาดนี้ ดูสิขนาดปืนใหญ่ร้อยกว่ากระบอกมันยังทิ้งไว้ข้างหลัง แสดงว่าแบบนี้พวกมันไม่คิดสู้แน่”
“ว่าแต่พวกมันจะรีบหนีไปกันน่า…… ปรัสเซียงั้นรึ”
ชายผมยาวสีน้ำตาลหางม้าในชุดจอมพลก็พูดแทรกขึ้นมา เขานั้นนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวและดูสูงสักดิ์เท่ากับจอมพลเนย์ เขาคือท่านจอมพล ฌอง เมสซานาแห่งกองทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศส… หน้าตาของเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง…
“ปรัสเซียงั้นเหรอ…อืมเป็นไปได้…..แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอก..ตอนนี้นายพล Lannes แจ้งมาทางผมแล้วว่าเขายึด Hannover ได้โดยได้รับการต่อต้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และในตอนนี้เขากำลังเคลื่อนพลไปดักหน้าพวกมันที่ Luneburg ชายแดนของปรัสเซีย….ต่อให้พวกเขาหนีเราทันพวกเขาก็จะพบว่ามีกองทัพอีกกองตั้งดักหน้าอยู่ดี ยังไงพวกมันก็เหมือนหนูที่อยู่ในกรง วิ่งไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน!!…...”
เนย์พูดอย่างราบเรียบราวกับทุกอย่างถูกคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว…… ส่วนทาง ฌอง นั้นนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในใจของเขายังคงคิดเสมอ ถ้าตราบใดนโปเลียนยังมีทั้งขุนพลและกองทัพที่ปรีชาไปทุกด้านอย่างนี้ก็คงเป็นการยากแน่ที่จะโค่นเขาลงจากบัลลังก์
ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง Hamburg , Hannover , British Empire 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806
ณ โรงเหล้าเยอรมันแห่งหนึ่งใน Hamburg เมืองท่าอันพลุกพล่าน ของอังกฤษในเยอรมัน…โรงเหลาแห่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นแหล่งอโคจรที่รวมผู้คนต่างๆจากหลายที่ทั้ง ชาวอังกฤษ เยอรมัน ดัตช์ ฝรั่งเศส และผู้คนที่มาร่วมดื่มด่ำสำราญที่นี่ก็มีตั้งแต่ พ่อค้ากำมะลอ ยัน นายพลเรืออังกฤษ ………… ใช่ นายพลเรืออังกฤษจริงๆนั้นแหละ….
“เฮ้ยยยยยยย……..นี่พวกแกรู้ไหม หำ ของพระเจ้าจอร์จ ……..ยาว ……….เท่าไหร่ …..เอื้อกก”
ผู้คนส่วนใหญ่ในร้านเหล้าต่างมุงดูชายผู้หนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะซึ่งมีเหล่า นาวิกอังกฤษในชุดสีแดงหลายสิบคนยืนล้อมรอบอยู่….เขานั้น สวมชุดเครื่องแบบสีแดงสด บั้งอินทรธนูแสดงถึงชั้นยศจอมพลเรืออังกฤษชัดเจน…… หมวก Bicorne ประดับขนนกเรียวยาววางอยู่บนโต๊ะ….แต่ในตอนนี้ชายในเครื่องแบบผู้นี้กับกำลังเมามายไม่ได้สติ มือขวาของเขานั้นถือขวดเหล้าพร้อมจะกระดกมันตลอด นัยน์ตาของเขาเยิ้มลอย….หนวดเครารุงรังใบหน้าอันดูทรุดโทรมและอดนอน…. นี้หรือทหารเรือแห่งจักรวรรดิอังกฤษอันเกรียงไกร….ผู้คนในโรงเหล้าต่างซุบซิบนินทาเขาเป็นการใหญ่
“คนนี้เปล่าว่ะ Henry Lawrence จอมพลเรือขี้เมาของอังกฤษ”
“นี้เหรอว่ะ…..จอมพลเรืออังกฤษ ….เหมือนกุ๊ยข้างถนนมากกว่า”
“บ้าหรือเปล่า มาคุยเรื่องของลับของกษัตริย์ตนเอง”
“มันกินดื่มมา 3 วันแล้วน่ะเนี่ย ยังไม่กลับอีกรึไงกัน!!!”
“นี่ๆฉันได้ข่าวลือ ว่ากองทัพของอังกฤษที่นำโดยเจ้าชายจอร์จนั้นโดนถล่มจนราบเป็นหน้ากองแล้ว”
“จริงเหรอ…………..
เพล้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
“นี่พวกแกว่าไงน่ะ!!!!!!!!”
Lawrence ปาขวดเหล้าลงพื้นด้วยความโมโห เขาลุกขึ้นมาด้วยท่าทีทีโงนเงนพร้อมชักดาบของเขาออกมาจากฝัก ตาของเขาขวางดุรากับโกธรใครมานับพันปี เขาตะโกนออกมาดังลั่นตามประสาคนเมา!!!
“กองทัพอังกฤษไม่มีวันพ่ายแพ้เว้ยยยยยยย ไอ้พวกโง่!!!!”
ปึง!!!
Lawrence ขึ้นไปยืนบนโต๊ะพร้อมเอาดาบกวัดแกว่งไปมาด้วยความเมามายจากฤทธิ์แอกอฮอล์ ....
“พวกฝรั่งเศส พวก สเปน กูก็ถล่มจนเละมาแล้วที่ Trafalgar พวกมันไร้น้ำยา แล้ว…………………..จะมีหมาตัวไหนกล้าต่อกรเราอีกว่ะ!!!! พวกแกบอกสิ!! บอกมา!! ใคร!!”
Lawrence ใช้ดาบตัวเองชี้โบ้ชี้เบ้ไปทั่วพลางท้าทายให้คนในร้านลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา แต่ก็ไม่มีใครกล้าหรอก ใครกันจะกล้าลุกขึ้นสู้กับคนมีสี….
“แย่แล้วครับ ท่านนายพลลลล!!!”
อยู่ดีๆทหารนาวิกโยธินอังกฤษหลายสิบพังประตูร้านเหล้าแล้ววิ่งแจ้นตรงมาหา Lawrence ด้วยความลุกรี้ลุกรน จนทำให้คนในร้านตกใจกันยกใหญ่… นี้มันเกิดเหตุบ้าอะไรกันขึ้นอีก……
“มีรายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย…….ไอ้ลูกชาย.”
“กองทัพฮอลแลนด์ครับ……กองทัพฮอลแลนด์เป็นหมื่นมันเดินทางมาถึงที่นี่แล้วครับ!!!”
“หา!! ไอ้พวกดอกทิวลิปนั้นน่ะเหรอ!!!..........มันมาทำไมว่ะ!!!”
“ผมไม่ทราบครับ!!! …..”
“แล้วทำไมพวกแกถึงปล่อยให้พวกมันเข้าเมืองมาง่ายๆว่าไอ้พวกเต่าเดินดิน!!”
“ท่านนายพลพวกเราเป็นทหารเรือ!!! จะเอากำลังที่ไหนไปตั้งสกัดมันบนบกล่ะ!!!”
“เออ จริงด้วยว่ะ!!”
Lawrence เหมือนจะเริ่มสร่างเมาเล็กน้อยเมื่อภัยเริ่มมาถึงตัว!!! เขาสะบัดหัวไปมาเพื่อเรียกสติ และเรียกการใช้งานสมองกับมาให้ไวที่สุด!!
“เราจะทำไงต่อไปดีครับ!!”
“เผ่นดิเหรี้ย รอไร!!!”
ว่าแล้ว Lawrence ก็พาเหล่าลูกประดู่นาวิกโยธินกว่า 30 นายวิ่งออกจากร้านเหล้าด้วยความว่องไว ใส่ตรีนหมาไม่ยั้ง…..แต่พอ Lawrence ก้าวออกจากประตูมาเท่านั้นแหละ….ทหาร ฮอลแลนด์ในเครื่องแบบสีส้มร่วมกว่า 1 กองร้อยกำลังเดินแถวตรงมาพอดี!!...... พอพวกฮอลแลนด์เห็นทหารอังกฤษเข้าก็ตกใจเล็กน้อย ทั้ง 2 ฝ่ายต่างจ้องอีกฝ่ายด้วยความอ้ำอึ้ง….
“ยิง!!!!!!!!!!”
“ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ”
นายทหารฮอลแลนด์ออกคำสั่งให้ยิงทันที!! ทหารฮอลแลนด์ ยิงปืนคาบศิลาออกมาอย่างพร้อมเพรียง……. ด้วยประสบการณ์อันโชกโชน กอปรกับสัญชาตญาณอันว่องไวทำให้ Lawrence ก้มหลบลงหมอบกับพื้นอย่างว่องไว แต่นาวิกหลายนายนั้นหลบไม่ทัน ต้องกระสุนปืนจนร่วงกันระนาวไปหลายสิบ……
“หนี!!!!!”
Lawrence รีบลุกขึ้นมาและโกยตรีนผีนำหน้าลูกน้องที่เหลือให้วิ่งตามตนไปติดๆ!!!...... ทหารฮอลแลนด์ในตอนนี้ก็แยกแถวออกมาและวิ่งตามเหล่าทหารอังกฤษไปเช่นกัน……บางส่วนเริ่มยิงปะทะกัน ทหารฮอลแลนด์บางนายยิงปืนเข้ากลางหลังนาวิกอังกฤษจังๆจนล้ม…..นาวิกอังกฤษบางคนวิ่งไปสะดุดอิฐตามถนนเข้าจนล้มลง!!! และถูกทหารฮอลแลนด์ที่ตามมาถึงรุมแทงจนตายคาที่ กระนั้น Lawrence วิ่งมาถึงท่าเรือที่เรือรบอังกฤษจอดอยู่ดเรียงรายกว่า 40 ลำ!!!
“ออกเรือเว้ยไอ้พวกโง่ออกเรือให้เร็วที่สุด!!!”
Lawrence กระโดดโลดเต้นโวยวายให้เหล่าลูกประดู่บนเรือได้ยิน….
“หา!!! ออกเรือเว้ย!! ท่านนายพลสั่งให้ออกเรือ!!. เดี๋ยวๆลำไหนครับ!!”
“ทั้งหมดเลยเว้ย!! ทั้งหมดเลย!!! มันจะมาแล้ว!!”
“ทำไมครับ!!”
“มันใช่เวลาถามไหมไอ้เหรี้…………ปัง.ฟิ้ววววววววววว”
หมวก Bicorne ที่ Lawrence ส่วมใส่อยู่ลอยละลิ่วออกจากหัวด้วยแรงกระสุนปืน!! พวกฮอลแลนด์วิ่งตามมาถึง่ท่าเรือแล้ว!! Lawrence ไม่สนอะไรทั้งนั้นครับ รีบโกยจ้ำขึ้นเรือหลวง Victory เรือธงของกองเรือยิบรอลต้าร์ทันที!! ด้วยประสบการณ์อันมากมายของเหล่าราชนาวีอังกฤษทำให้พวกเขารับส่งข่าวกันระหว่างลำต่อลำอย่างรวดเร็ว!! ภายในเวลาไม่กี่นาที เรือทุกลำก็ปลดเชือกผูกเรือทั้งหมดได้หมดและเตรียมการออกเรือ!!...แต่เหล่า ทหารฮอลแลนด์ซึ่งในตอนนี้ไม่ได้มีแค่ 1 กองร้อย แต่กลับมีหลายกองพัน กับโผล่มาจากทั่วทุกสารทิศของมุมเมืองโดยไร้การต้านทาน พวกเขามาล้อมท่าเรือไว้หวังที่จะยึดเรือเหล่านี้….. และคนที่นำพวกเขามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน พระเจ้าหลุยส์ โบร์นาบาร์ต น้องชายของ นโปเลียนั้นเอง!! เขาควบม้าเขามาใกล้บริเวณท่าเรือพร้อมออกคำสั่ง
“ยึดเรือพวกมัน!!”
ทหารฮอลแลนด์หลายพันนายต่างวิ่งกรูกันเข้ามาที่เรือรบของอังกฤษซึ่งยังคงจอดเรียงรายอยู่!!! บางลำก็สามารถถอนสมอออกจากท่าไปได้แล้ว ในขณะที่บางลำยังไม่ได้ถอนสมอและสะพานออก ทหารฮอลแลนด์หลายนายขึ้นมาบนสะพานเพื่อจะเข้ายึดเรือ ทำให้เกิดการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง!!...ซึ่งเรือรบหลวง Victory นั้นก็ยังคงจอดเทียบท่าอยู่ !! ทหารฮอลแลนด์นับ 10 นายพยายามปีนขึ้นมาตามสะพานที่พาดระหว่างตัวเรือกับท่า!! แต่เหล่านาวิกอังกฤษยิงสกัดทำเอาทหารฮอลแลนด์ร่วงจมน้ำไปหลายนาย!!
ยิง!!!!!!!!
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฟิ้วๆๆๆๆ
ทหารฮอลแลนด์ที่ยืนอยู่บนฝั่งต่างระดมยิงกดหัวไม่ให้นาวิกอังกฤษทีอยู่บนเรือสามารถปฎิบัติการณ์ได้!! ในขณะที่ทหารฮอลแลนด์หลายนายเริ่มปีนเข้ามาในตัวเรือ….. Lawrence นั้นเข้าควบคุมพังงาเรือพร้อมกับนายทหารบนเรือ 2- 3 นาย Lawrence ตะคอกถาม ต้นเรือด้วยความเร่งร้อน
“เฮ้ย ต้นเรือ กัปตันไปไหนวะ!!!”
ต้นเรือไม่ตอบเพียงชี้ไปในน้ำด้วยสีหน้าตื่นกลัว เมื่อ Lawrence มองลงไปยังเบื้องล่างก็พบศพของกัปตันเรือหลวง Victory ลอยอยู่ร่างของเขานั้นต้องกระสุนปืนเข้าไปถึง 3 นัด….. Lawrence สบถออกมาด้วยความโมโห!!!
“นี้กูต้องกลับมาเป็นกัปตันอีกช่ายม่ายด้ายยยยยยยยย ต้นเรือ มึงรายงานสถานการณ์มาดิ!!!”
“ตอนนี้ทหารฮอลแลนด์ทะลักเข้ามาในเรือเรื่อยๆเลยครับ พวกฮอลแลนด์บนฝั่งก็ยิงกดหัวเราอยู่ทำให้เราไม่สามารถชักสะพานออกได้!!!”
ต้นเรือพูดพลางก้มหลบกระสุนพลาง ในขณะที่ Lawrence ทำห้าวยืนอยู่หัวโด่คนเดียว…… เขาใช้มือลูบเคราพลางอันหรอมแหรมของเขาพลางใช้ความคิด….
“ปัง…………ฟิ้ววววว …… ถ้าปฎิบัติงานบนดาดฟ้าเรือไม่ได้ก็ลงไปทำข้างล่างสิไอ้โง่!! เอาถังดินปืนไปกองสุมกันตรงกราบขวาที่สะพานทอดอยู่สัก 2 -3 ถัง แล้วระเบิดแม่งทิ้ง!!! ทำให้กราบขวาเราเสียหาย!! สะพานมันจะพังตามเอง!!!”
“นี่ท่านจะระเบิดเรือตัวเองเหรอครับ!!”
“หรือมึงจะปล่อยให้มันยึดเรือ!!! รีบไปดำเนินการไป ไอ้อ้วนขี้ขลาด!!”
Lawrence ทั้งตบทั้งเตะ ต้นเรือไล่ให้เขาไปสั่งลูกน้องให้ทำตามที่บอก!! ต้นเรือรีบย้ายก้นอ้วนๆของเขาวิ่งลงบันไดลงไปชั้นล่างอย่างว่องไว ในขณะที่ดาดฟ้านั้น มีทหารฮอลแลนด์นร่วม 20 -30 คนกำลังต่อสู้กับนาวิกอังกฤษอย่างดุเดือด !! พวกเขาต่อสู้กันระยะประชิด ใช้ทั้งมีด พานท้ายปืน ขวาน…. เข้าห่ำหั่นอีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งมือ แต่ทหารฮอลแลนด์นั้นยิ่งทวีมากขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากพวกเขานั้นปีนขึ้นมาบนเรือเรื่อยๆโดยไร้การขัดขวาง……
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!
เสียงระเบิดกัมปนาทดังขึ้นจากข้างล่าง ทหารที่อยู่บนดาดฟ้าทุกนายต่างล้มระเนระนาด สะพานที่พาดอยู่บนกราบขวานั้นได้หักโค่นลงมาทำเอาทหารฮอลแลนด์ที่ปีนขึ้นเรือมานั้น ร่วงตกน้ำหลายสิบนาย กราบขวาของเรือหลวง Victory นั้นทะลุออกมาเป็นรูโบ๋จากแรงระเบิดแต่เรือยังคงลอยอยู่ได้…เมื่อไร้สะพาน เรือหลวง Victory ก็ดึงสมอขึ้นแล้วออกเรือทันที!! โดยมีทหารฮอลแลนด์ยิงปืนใส่ไล่หลัง…… ทางพระเจ้าหลุยส์นั้นทรงมองดูเรือหลวง Victory ที่กำลังแล่นออกห่างไปด้วยความเจ็บใจ ในขณะที่ Lawrence หันกลับมาที่ท่าเรือพลางชูนิ้วกลางให้พระเจ้าหลุยส์!!
“Fuck you Bonaparte!!!”
Lawrence ส่ายหัวแลบลิ้นกวนตีนพระเจ้าหลุยส์สบายใจเฉิบ และหนีก็เป็นอีกครั้งที่ Lawrence และเหล่าราชนาวีอังกฤษสามารถหนีรอดไปได้ ภายใต้อาทิตย์อันอัสดง!!
Luneburg , Brunswick , British Empire 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1806
ณ Luneburg อันเป็นเมืองชายแดนระหว่าง Brunswick และเขต Brandenberg ของปรัสเซีย กองทัพอังกฤษภายใต้การนำของเจ้าชายจอร์จ นั้นเดินทัพอย่างเร่งรีบเพื่อเข้าสู่ปรัสเซีย ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว เพราะ Brandenberg นั้นอยู่ห่างเพียงแค่ 15 ไมล์ เท่านั้น แต่มันก็ต้องแลกไปกับขวัญกำลังใจและแรงกายของเหล่าทหารเชิ้ตแดงนี้ลดน้อยถอยลงทุกวัน พวกนั้นทั้งอิดโทรย และอ่อนล้า ซ้ำยังระแวงการโจมตีของฝรั่งเศส จากทหารอันองอาจกับกลายเป็นกองทัพของผู้ยากไร้ยังไงงั้น เสื้อผ้าของพวกเขามอมแมมขาดวิ่น ผมเผ้าหนวดเครายุ่งเหยิง และเดินอย่างห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง ซ้ำร้ายเหล่าทหารชาวเยอรมันนั้นพากันเฮโลหนีทัพไปกว่าครึ่ง!! ทำให้กองทัพของ เจ้าชายจอร์จนั้นเหลือเพียง 30000 กว่าๆ เท่านั้น……… สำหรับตัวเจ้าชายจอร์จเองนั้น ก็อยู่ในสภาพอิดโทรยและอ่อนล้าไม่ต่างจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เขานั้นสูบผอม ตาหมองคล้ำ ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงทำท่าทีองอาจอยู่บนหลังม้าของเขา….. ข้างๆกายของเขาคือผู้พันคนสนิทคนหนึ่ง…ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเขา….. ทางเจ้าชายจอร์จพูดหารือกับเข้าด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง..
“อีก 15 ไมล์ก็จะถึง Brandenberg แล้วสิน่ะ………ว่าแต่พลสังเกตุการณ์ได้รายงานอะไรมาหรือยังผู้พัน”
“เขาบอกกับข้าพเจ้าว่า กองทัพฝรั่งเศสกองหนึ่งไล่ตามเรามาติดๆและอยู่ห่างจากเราไม่ถึง 5 ไมล์ เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ!!!!”
“บ้าน่า!!!!! นี่ข้าทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วน่ะ!!!! ทำไมกองทัพที่ใหญ่โตและมีอาวุธยุทธโธปกรณ์เต็มพิกัดถึงตามเรามาทัน!!”
“ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรทิ้งทหารกองหลังไว้ถ่วงเวลาพวกมัน… ส่วนกองทัพที่เหลือนั้นเรารีบหนีต่อไปให้ถึงปรัสเซีย จะเป็นการดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“อืมม……………….
ยังไม่ทันที่เจ้าชายจอร์จจะคิดสารตะอะไรทั้งนั้น พลสังเกตุการณ์การจากแนวหน้าก็ควบเข้ามาหาผู้พันอย่างเร่งด่วน!! เขามีท่าทีร้อนรนแล้วกับไฟลนก้นยังไงงั้น!!
“ฝรั่งเศส!!! ฝรั่งเศส !! พวกมันไปดักรอเราอยู่ข้างหน้าแล้ว!!!”
“มันเป็นไปไม่ได้!!!”
แค่พูดคำว่า ฝรั่งเศส เหล่าทหารเชิ้ตแดงเริ่มกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อเป็นไปได้ยังไงมาอยู่ข้างหน้าข้างหลังพร้อมกัน!!! นี้กำลังหนีเสือปะจระเข้อยู่หรือไง ทหารอังกฤษและเยอรมัน ต่างเริ่มกระวนกระวายและแตกแถวดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้จะคุมไม่อยู่เสียแล้ว
“ฉันยังไม่อยากตาย!!”
“พวกมันเป็นปีศาจแน่ๆ!!!”
พระเจ้าจอร์จค่อนข้างตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน…….. เขายกกล้องส่องทางไกลส่องไปด้านหน้าก็พบว่า
ทหารม้าหนัก Cuirassier หลายพันนายนั้นกำลังเดินมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ…..พวกเขาตั้งแถวเป็นหน้ากระดานเหมือนพร้อมจะเข้าจู่โจมในไม่นาน!!!
ครึ่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อยู่ดีๆแผ่นดินสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว …เสียงอันหนักแน่นของฝีเท้าอาชาดังมาจากด้านหลัง!!! เจ้าชายจอร์จรีบส่องกล้องไปทางด้านหลัง
สิ่งที่ปรากฎนั้นคือเหล่าทหารม้าฝรั่งเศสหลายพันนายกำลังมุ่งเข้าจู่โจมทหารเขาจากด้านหลัง….. ดูเหมือนกองทัพเนย์ก็จะตามมาทันเช่นกันครับ สถานการณ์ในตอนนี้นับว่านรกแตกสุดๆสำหรับอังกฤษ ถูกโจมตีทั้งด้านหน้าและหลังพร้อมกันในสภาพอิดโทรย แบบนี้มีแต่ตายสถานเดียว!!! ทหารอังกฤษนับหมื่นในตอนนี้เสียสติ พวกเขาหลายนายโยนปืนประจำกายทิ้งและวิ่งไปวิ่งมาโยนปืนประจำกายของพวกเขาทิ้ง สถานการณ์ในตอนนี้ดูไร้การควบคุมและยุ่งเหยิงเป็นที่สุด
แนวหน้ากองทัพของเนย์ เวลาประมาณ 1000 น.
จอมพลเนย์และฌองควบม้ามายังแนวหน้าของพวกเขาเพื่อที่จะได้ดูสถานการณ์การรบอย่างใกล้ๆ เนย์นั้นดูเหมือนจะได้ใจสุดๆในช่วงนี้อังกฤษนั้นเสียท่าเขาตลอด รบไปมีแต่คำว่าชนะๆและชนะ….. เขาพูดกับเพื่อนจอมพลของเขาอย่างสบายใจ
“ดูพวกมันสิ ท่านฌอง แตกแถว ไร้ระเบียบ….ไร้การควบคุม ……ชัยชนะคงจะเป็นของพวกเราอย่างง่ายดายแล้วล่ะ…..”
“คุณส่งทหารม้าไปแค่ 4000 นายเองเหรอ ท่านเนย์”
“ แต่ 4000 นั้นคือ Dragoon ชั้นยอด 4000 นาย จะส่งไปเยอะทำไมแค่นี้ก็ถล่มพวกมันจนราบได้”
“คุณไม่คิดว่ามันน้อยไปเหรอ….”
เนย์หันหน้ามามอง ฌอง ด้วยสีหน้าอันดูมั่นใจสุดๆ เขายิ้มและพูดออกมาอย่างฉะฉาน
“งั้นมาพนันกันไหม คุณทหารปืนใหญ่ ถ้าทหารม้าของกวาดพวกอังกฤษได้เรียบ คุณต้องเลี้ยงไวน์ผม”
“เอ้า ได้……ผมพนันว่าคุณต้องส่งทหารม้าไปเพิ่มอีกสักเท่าตัวถึงจะถล่มพวกอังกฤษจนอยู่หมัด”
“ว่าไป”
พูดจบ เนย์ ก็หยิบกล้องส่องทางไกลของเขามาดูผลการพนันอย่างใกล้ชิด
กองกลางของอังกฤษ เวลา 1005 น.
นอกจากทหารม้าจากกองทัพของเนย์จะชาร์จเข้ามาหมายจะทำลายกองทัพอังกฤษให้เป็นราบหน้ากองแล้ว กองทหารม้า Cuirassier ของนายพล Lannes ที่เคลื่อนมาดักหน้าควบเข้าใส่อีกด้านหมายจะปิดประตูตีแมวทำลายกองทัพอังกฤษให้สิ้น!!!
“รูปขบวนสี่เหลี่ยมจัตุรัส!!”
“จัดแถวสี่เหลี่ยมจัตุรัสเดี๋ยวนี้ไอ้พวกโง่”
ดูเหมือนทหารเชิ้ตแดงที่แสนจะเหนื่อยล้า ตื่นกลัวจะไม่ฟังคำสั่งซะแล้วครับ ในตอนนี้พวกเขาหันหลังและวิ่งหนีทหารม้าฝรั่งเศสอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่คมดาบ Saber ในมือของเหล่าทหารม้าเข้าใกล้มาทุกขณะ!!!! มัจุราชกำลังมาเยือนแล้วไอ้พวกเสื้อแดง
ฉัวะ!!! ฉับ!! ฮี้ๆๆ ว้ากกกกกกกกก!! ปังๆๆ สวบ ฮี้ๆๆ ฉึก เสียงของดาบของทหารม้าฟาดฟันเขาใส่ร่างของทหารอังกฤษจนล้มตายระเนระนาด คลื่นกองทัพม้าต่างวิ่งกระแทกทหารอังกฤษจนร่วงกราว ทหารหลายร้อยนายต่างถูกบดขยี้โดยเกือกเหล็กของม้า!!....ในตอนนี้ไม่มีอะไรหยุดเหล่าทหารม้าอันกระหายเลือดของฝรั่งเศสได้ หลายนายยิงปืนสู้แต่ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง…..ทหารฝรั่งเศสบางนายโดนปืนยิงจนร่วงจากหลังม้า..บางนายใช้ดาบปลายปืนแทงสวนเข้าที่ลำตัวม้าจนทหารม้าหกเคมนล้มลงมา… ทหารม้า Cuirassier ใช้ดาบปลายตรงทิ้มเขาทะลุอกทหารเชิ้ตแดง การต่อสู้เป็นไปอย่างชุลมุนและสับสน….. เจ้าชายจอร์จซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ท่ามกลางศัตรูที่กำลังรุกคืบเข้ามาใกล้ทุกย่างก้าว!!! ทั้งแนวหน้าและแนวหลังกำลังจะโดนเจาะทะลุเข้ามา!!........ เขาเหงื่อแตกพลั่กมองทั้งหน้าและหลังก็เจอแต่อาชาของฝรั่งเศสไปทั่วแผ่นดิน ทหารภายใต้บัญชาของเขาต่างหนีตายกันเจ้าละหวั่นทุกคนทิ้งแถวทิ้งหน้าที่และหันหลังให้คมดาบศัตรู ถึงบางคนจะสู้แต่มิอาจจะต่อกรกับมวลมหาม้าศึกได้ …..นี่จะเป็นจุดจบของเขางั้นรึ สีหน้าของเจ้าชายบ่งบอกถึงความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจ.. แต่ลูกราชสีห์นั้นต้องไว้ลายยันหยดสุดท้าย!! เขาชักดาบออกมาจากฝัก พร้อมตะโกนปลุกใจเหล่าทหารที่เหลือขึ้นมา…
“เหล่าทหารแห่งจักรวรรดิอังกฤษ….ผมกำลังจะออกไปต่อสู้กับพวกทรราชย์…..มีใครจะตามผมมาบ้าง”
พระเจ้าแผ่นดินของพวกเขาจะนำการต่อสู้ด้วยตัวเอง!! นั้นทำให้ทหารอังกฤษที่เหลือมีใจขึ้นมาอีกครั้ง!! พวกเขากู่ร้องออกมาเสียงดังกึกก้อง เหมือนครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย!!
“Rule Britannia!!”
“อังกฤษไม่เคยเป็นทาสใคร!!”
“งั้นตามข้าพเจ้ามา!!!”
เจ้าชายจอร์จชี้ดาบไปข้างหน้าพลางแล้วเขาควบม้าสีขาวออกไป…..พร้อมกับเหล่าทหารม้าองครักษ์ Life Guard จำนวนหนึ่งเพื่อเข้าปะทะกับกองทหารม้าฝรั่งเศส….กองทหารม้า Dragoon ของฝรั่งเศสกองหนึ่งเห็นดังนั้นจึงควบเข้ามาหมายเข้าปะทะกับกองทหารม้าหนัก Life Guard ของอังกฤษให้รู้แล้วรู้รอดไป!! ว่าใครเจ๋งกว่า…
โครมมมมม!! ปั้กก!! ฮี้ๆๆๆๆ ปั้ก!!! ฉัวะ!! ฉับ ว้ากกกกกกก โอ๊ยยยย ม้าทั้ง 2 ฝ่ายต่างพุงเข้ากระแทกกันต่างฝ่ายต่างล้มกันมากมาย!! ดาบในมือของพวกเขาต่างห่ำหั่นกันอย่างไม่ปราณี!! ทหารม้า Dragoon บางคนชักปืนพกมายิงใส่ทหารม้าอังกฤษในระยะเผาขน!!! บ้างยิงถูกหัวม้าทำเอาคนขี่เสียหลักร่วงตกลงมา!! … มีนายกองทหารม้า Dragoon นายหนึ่งต่างเข้าปะทะกับทหารม้าอังกฤษอย่างดุเดือด…. เขาใช้ดาบ Saber ของเขาอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ!! ทหารม้าอังกฤษนายหนึ่งควบม้าตรงเข้ามาพร้อมง้างดาบหมายจะฟันเขา….แต่นายทหารม้า Dragoon นั้นไวกว่า เขาตวัดดาบของเขาขึ้นฟันมือของนายทหารม้าอังกฤษผู้นั้นจนขาดวิ่น…ทหารม้าอังกฤษควบม้ามาพร้อมใช้ดาบของเขาแทงลำตัวของนายทหารม้า Dragoon…..แต่เขานั้นเอี่ยวตัวหลบก่อนจะใช้แขนของเขาหนีบแขนข้างที่ถือดาบของนายทหารอังกฤษผู้นั้น….ทหารม้าอังกฤษชักดาบไม่ออกเจอทหารม้า Dragoon โหม่งใส่!! ทหารม้าอังกฤษเสียหลัก เป็นจังหวะที่ทหารม้า Dragoon ใช้ดาบฟันเข้ากลางหน้าจนเหวอะ!! ทหารม้าอังกฤษร่วงตกม้าไป……
“มาควิส!!!!”
เพื่อนของนายทหารม้า Dragoon ร้องเรียกชื่อของเขาออกมาเสียงหลงพลางชี้ดาบไปข้างหน้า!! นั้น ธงประจำราชวงศ์ Hannover!!!! เจ้าชายจอร์จอยู่ไม่ไกลจากนี้แน่!! มาควิส กับลูกน้องอีก 3 คนควบตรงเข้าไปหาธงนั้นอย่างว่องไวหมายจะเผด็จศึก……. ทางด้านพระเจ้าจอร์จในตอนนี้กำลังต่อสู้อย่างถึงเนื้อถึงตัวกับทหารม้าฝรั่งเศส แต่รอบๆของพระองค์ยังคงมีทหารม้าหนัก Life Guard คอยคุ้มกันอยู่ ทางเจ้าชายจอร์จสังเกตุเห็นทหารม้าฝรั่งเศสกลุ่ม 1 ควบม้าตรงมายังพระองค์…ในจังหวะชุลมุนอย่างนี้คงจะเป็นการยากที่จะต้านทาน…. ทหารม้า Life Guard ที่ยังคงเหลืออยู่เคียงข้างพระองค์ประมาณ 4 – 5 ควบไปสกัดพวกฝรั่งเศส…..ทั้งหน่วยของมาควิสและทหารม้าอังกฤษต่างใกล้ปะทะกัน!! แต่ฝั่งของมาควิสนั้นกับชักปืนออกมาและยิงใส่ทหารม้า Life Guard!! ปังๆๆๆ กระสุนต้องร่างทหารม้าอังกฤษจนร่วงตกลงจากหลังม้าระนาว…… ทหารม้า Life Guard บางส่วนที่เห็นเหตุการณ์รีบผละตัวเองมาช่วยเจ้าชายเป็นการด่วน หลายนายต่างเข้าปะทะกับหน่วย Dragoon ของ มาควิส…มีทหารม้านายหนึ่งตรงเข้ามาหยุดมาควิส…มาควิสใช้ดาบของเขาแทงสวนจนทะลุลำตัวนายทหารม้าผู้นั้น แต่เคราะห์ร้ายดาบของ มาควิสดันปักคาร่างของนายทหารผู้นั้น!!! มาควิสสยังคงควบม้าตรงไปหาเจ้าชายจอร์จต่อด้วย 2 มือเปล่า!!! ในตอนนี้เจ้าชายจอร์จเห็นมาควิสเข้ามาในระยะเผาขน เขาจึงควบม้าตรงเข้าไปหมายฟันมาควิสให้ด้าวดิ้น แต่มาควิสนั้นกระโจนเข้าใส่ลำตัวของ เจ้าชายจอร์จ จนร่วงตกลงจากหลังม้าไปทั้งคู่!!!
ปั้ก!!!
ทั้งคู่ลงไปนอนกองกับพื้นท่ามกลางสมรภูมิอันดุเดือด…มาควิสนั้นลุกขึ้นมาได้ก่อนและรีบฉวยปืนคาบศิลากระบอกหนึ่งที่ตกพื้นขึ้นมา….ส่วนเจ้าชายจอร์จนั้นคลานไปเก็บดาบของตนอย่างว่องไว…..แล้วลุกขึ้นมา…. ปั้ก!!! มาควิสใช้พานท้ายปืนกระแทกเข้าเต็มหน้าเจ้าชายจอร์จจนเข้าเสียหลักโงนเงน!! มาควิสใช้พานท้ายปืนกระแทกเข้าหน้า จอร์จ อีกรอบ!! แต่คราวนี้จอร์จหลบทันแล้วใช้ดาบของเขาฟันมายัง มาควิส!! มาควิสยกปืนขึ้นรับดาบ!!! แล้วถีบเจ้าชายจอร์จจนเซถอยหลังไป!! มาควิส ใช้มือทั้ง 2 ข้างจับปากกระบอกปืนจนเหมาะมือแล้วหวดเข้าใส่เจ้าชายจอร์จเต็มแรง!! เจ้าชายจอร์จใช้ดาบของเขารับปืนได้ทัน!! พลางคว้าปืนของมาควิสได้แล้วดึงตัวมาควิสเข้ามา หาคมดาบของเขา ….ปึก!! มาควิสนั้นสวมชุดเกราะอยู่ดาบของเจ้าชายจอร์จจึงแทงเขาไม่เข้า…และก็เป็นจังหวะให้ มาควิสจับแขนของเจ้าชายจอร์จพลางบิดอย่างรุนแรง!! อ๊ากกก….ดูเหมือนเขาจะหักข้อมือของเจ้าชายจอร์จเข้าให้…. มาควิสถีบเจ้าชายจอร์จจนล้มลงไป!! …..ป้าบ!! เจ้าชายจอร์จนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บ….มาควิสในตอนนี้ได้ดาบของเจ้าชายจอร์จมาอยู่ในมือ เขาใช้ดาบนั้นจ่อมาที่คอของเจ้าของของมัน มาควิสแสยะยิ้มอย่างเลือดเย็น
“George Frederick Augustus IV …Duke of Manchester………จักรพรรดิของผมต้องการทานมือค่ำกับท่าน!!”
ดูเหมือน มาควิส จะได้รับคำสั่งมาให้จับเป็นเจ้าชายจอร์จ ….ในตอนนี้เจ้าชายจอร์จจะตกอยู่ในอุ้งมือของฝรั่งเศสซะแล้ว… .ในขณะเดียวกันรอบๆสมรภูมิศพของทหารเชิ้ตแดงและทหารม้าฝรั่งเศสมากมายนอนตายเกลื่อนทุ่ง คนบาดเจ็บต่างร้องโหยหวนด้วยความน่าเวทยา ไส้คนไส้ม้ากองทะลักทั่วผืนดิน ทหารเชิ้ตแดงที่เหลือในตอนนี้เลือกที่จะยอมแพ้!! ในขณะเดียวกัน เพื่อนและลูกน้องในสังกัดของมาควิสควบม้าตรงมายังเขา และลงจากหลังม้าเพื่อเขาควบคุมตัวเจ้าชาย จอร์จอย่างสุภาพ…..
“เชิญทรงม้าพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายอังกฤษ”
ผู้หมวดคนหนึ่งนำมาสีขาวมาให้เจ้าชายจอร์จขี่….เจ้าชายจอร์จในตอนนี้นั้นทั้งสิ้นหวังและท้อแท้ เขาต้องตกมาเป็นเชลยแล้วเหรอนี่ ถึงแม้จะเป็นเชลยสูงศักดิ์ก็ตาม!! เขาเหลือบไปมองมาควิสเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขึ้นม้า ก็พบว่ามาควิสนั้นโบกสะบัดธงชาติอังกฤษไปมา!!!
“เราพิชิตจักรวรรดิอังกฤษได้!!!”
มาควิสพูดออกมาด้วยความฮึกเหิมพลางขึ้นไปยืนบนศพม้าที่กองสุมกันเพื่อให้ตัวเองนั้นดูเด่นชัด!!! ทหารม้าฝรั่งเศสทั้งหลายต่างชักดาบออกมาด้วยความยินดีปรีดา!!
“ชัยชนะเป็นของเรา!!!”
“ชัยชนะ!!”
แนวหน้ากองทัพของเนย์ เวลา 1040 น.
ด้านจอมพลเนย์มองดูภาพเหล่าทหารของเขาที่กำลังคึกคะนองกับชัยชนะด้วยความเปรมปรีดา! นี่คือความสำเร็จสูงสุดของอาชีพเขาเลยก็ว่าได้ การที่จะจับพระเจ้าแผ่นดินของชาติหนึ่งนั้นเป็นเรื่องยาก แต่เขานั้นทำได้!!!
“ไอ้ผู้กอง มาควิส นี่ผลงานเข้าตาจริงๆ สงสัยผมต้องปูนบำเหน็จ ให้เขาอย่างงดงามเลยทีเดียว”
“นั้นยังคงไม่เท่ากับที่ จักรพรรดิจะปูนบำเหน็จคุณหรอกมั้ง”
ฌองพูดแซว เนย์ เล็กน้อย
“ใช่จักรพรรดิต้องพอพระทัยเป็นอย่างมากแน่ เจ้าชายอังกฤษเป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองที่ดีที่สุดของเรา…ว่าแต่คุณลืมสัญญาที่คุณให้กับผมไว้ไหม”
“ออ ไม่ลืมสิ ผมจะยกฟาร์มองุ่นให้คุณทั้งฟาร์มเลย!!”
“ผมล้อเล่นน่า!! เรามันเพื่อนกันอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอก ไปเตรียมรอรับเจ้าชายดีกว่า!!”
เนย์นั้นยิ้มแย้มอย่างมีความสุขพลาง ตบไหล่ ฌอง คนที่เขาคิดว่าเป็นสหายด้วยเบาๆอย่างฉันมิตร แล้วเขาเดินจากไป…..ฌองนั้นได้แต่ก้มหน้าถอนหายใจอย่างตัดพ้อ นับวันมีแต่อำนาจนโปเลียนจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น สงสัยหนทางในการโค่นบัลลังก์ทองของเขานั้นคงจะหลุดลอยไปไกลลิบซะแล้ว
สวน Luxembourg , Paris , French Empire 2 มีนาคม ค.ศ.1806
ที่นี่คือสวนสาธารณะลักเซมเบิร์ก สวนอันร่มรื่นและเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติ มีทั้งไม่พุ่มไม้สวน ไม้ยืนต้นและพันธ์ไม้พื้นเมืองฝรั่งเศสนานาชนิด ลมอ่อนๆในกดูใบไม้ผลิยิ่งทำให้สวนนี้ช่างดูงดงามยิ่งนัก ในปกติสวนแห่งนี้คือที่สาธารณะที่เหล่าชนชั้นต่างๆก็สามารถเดินเข้ามาผ่อนคลายอิริยาบถได้ตามอัธยาศัย แต่ในวันนี้เหล่าพลเมืองฝรั่งเศสทั้งหลายกลับพร้อมใจกันแหงหน้ามองขึ้นฟ้าเพื่อดูอะไรบางอย่างอยู่ บางคนทำสีหน้าตื่นตกใจ บางคนประหลาดใจ เสียงซุบซิบมากมายต่างดังจากเหล่าฝูงชน
“นี้มันวันพิพากษาโลกหรือไงกัน??”
“ปีศาจหรือเปล่าน่ะ!! ไม่ใช่สิ นั้น นโปเลียน!!!”
“ไหนๆ จักรพรรดิของเรา ท่านเหาะได้ด้วยเหรอ!!”
“นโปเลียนผู้มีฤทธิ์เหมือนพระเจ้า!!”
สิ่งที่พวกเขาเมียงมองอยู่นั้นคือ ลูกบอลกลมๆพองลมจำนวนมากลอยอยู่บนท้องฟ้า… แต่ที่น่าตื่นตกใจกว่านั้นคือ บางลูกบอลนั้นมีกระเช้าที่มีคนยืนอยู่ข้างในด้วย!!!! นี่คนกำลังจะบินได้แล้วหรือนี้เป็นไปได้ยังไงกัน เหตุการณ์อัศจรรย์อย่างนี้มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้!! และคนที่บนบอลลูนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส และ จักรพรรดินี โจเซฟิน รวมถึง มาแตล ข้ารับใช้ชราผู้ซื่อสัตย์ของนโปเลียน ทางจักรพรรดิได้หันมาพูดกับชายชราด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“พวกนักวิทยาศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่าอะไรน่ะ….”
“บอลลูน พ่ะย่ะค่ะ..มันอาศัยแรงดันอากาศจากความร้อนช่วยให้มันลอย!!”
“คอยควบคุมมันให้ดีๆน่ะ…..ข้าไม่อยากตายจากการตกจากที่สูงถึงเพียงนี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
นโปเลียนก้มหน้ามองยังปฐพีเบื้องล่างก็พบว่ากรุงปารีสอันใหญ่โตนั้นถูกย่อเหมือนเป็นโมเดลเล็กๆ…ตึกรามบ้านช่อง เคหะสถาน ผู้คนล้วนดูเล็กจิ๋วไปหมดเมื่อมองจากเบื้องบน นโปเลียนหันกลับมามอง ชายาของเข้า โจเซฟิน ซึ่งกำลังตื่นตาตื่นใจราวกับสาวน้อยที่หลุดเข้าไปในโลกอัศจรรย์ เธอตาลุกวาวราวกับได้เสื้อผ้าใหม่สัก 100 ตัวเห็นจะได้ นโปเลียนพอใจยิ่งที่เห็นภริยาของเขานั้นมีความสุข เขาเดินเข้าไปกอด โจเซฟินจากด้านหลัง พลางกระซิบเข้าที่หูซ้ายของนางด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวาน
“ข้าสัญญากับเจ้าแล้วใช่ไหมว่า เราจะได้โบยบินเหมือนนก…แล้วข้าก็ทำได้จริงๆ!!”
“ทรงปรีชาอย่างยิ่งเพค่ะฝ่าบาท!! ไม่น่าเชื่อว่าพระองค์จะสามารถทำได้จริงๆ!! ทำในสิ่งที่แม้แต่พระเจ้าก็มิอาจทำได้”
“วิทยาศาสตร์ทำได้ทุกอย่าง ยอดรัก….. เจ้าลองเมียงมองลงเบื้องล่างสิ ใน ขณะที่ทั่วทั้งปารีส อยู่ใต้อุ้งเท้าของเรา….เราสามารถมองเห็น พระราชวังแวร์ซายด์ได้ทางเหนือ ตุยเลอรีได้ทางตะวันออก เห็นยันร้านขนมของคุณนาย Marie ที่เจ้าชอบไป…”
“55 ใช่เพค่ะ…… ดูสิฝูงชนข้างล่างนั้นเล็กจ้อยเหมือนหมดปลวกเลย….งั้นท่านคงเห็นกองทัพอันมหึมาของท่านเล็กเหมือนตุ๊กตุ่นตุ๊กตาเด็กเล่นแน่ๆเลย 55”
“กองทัพงั้นรึ…..”
เมื่อพูดถึงกองทัพ นโปเลียนก็เหมือนปิ๊งไอเดียอะไรบางอย่างเขาใช้มือลูบคางและทำหน้านิ้วคิ่วขมวด….ทันใดนั้น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจอย่างยิ่ง!! ดูเหมือนคำพูดของโจเซฟินจะไปจุดประกายไอเดียอะไรบางอย่างของนโปเลียน!!
“โอ้ ยอดรัก!!!!!!!!! แม่เทพวีนัสของข้า!!!! ต้องขอบใจเจ้ามากที่เจ้าพูดถึงมัน!!!”
ว่าแล้ว นโปเลียน ก็เขาโผกอดจักรพรรดินีของเขาพลางจุมพิตเข้าที่กระหม่อมเหมือนการตบรางวัลให้กับ จักรพรรดินีที่กำลังงงงวยอยู่…
“หม่อมฉันได้กระทำการอันได้ให้พระองค์พอพระทัยถึงเพียงนี้ เพค่ะ??”
“โจเซฟิน เจ้าลองนึกดูสิ……ด้วยความสูงของมัน…ข้าสามารถตรวจการณ์การเคลื่อนไหวของข้าศึกได้ถึง 30 ไมล์ โดยไม่ต้องพึ่งเนินเขาสักลูก!!.... ข้าสามารถมองเห็นรูปแบบการจัดทัพของมันและจำนวนของมันได้ทั้งกองทัพ!! ….เจ้าสิ่งนี้แหละคือศาตราวุธชนิดใหม่ที่จะนำชัยมาสู่ฝรั่งเศส!!”
แววตาของจักรพรรดินโปเลียนในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความอยากริอยากลอง เจ้าบอลลูน นี่ว่าหากนำไปใช้ในสมรภูมิจริงๆมันจะเป็นเช่นไหน จักรพรรดินีโจเซฟินส่ายหน้าและยิ้มเล็กน้อย นางรู้ดีว่า สามีของตนนั้นคิดอะไรอยู่…ทั้งๆที่เวลานี้ควรเป็นของแค่เรา 2 เท่านั้น แต่สามีดันเอาเรื่องสงครามมาคิดถึงอีก โธ่ นโปเอ๊ย……..
|
|