|
Post by greatbritian on Jul 28, 2017 15:01:09 GMT
หลายๆคนอาจจะงงน่ะครับว่าทำไมนิยายผมศัพท์แปลกๆเยอะ และผมไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนผมจะมาชี้แจ้งเบื้องต้นน่ะครับ
สำหรับทหาร Guard นั้น ในแต่ละชาติจะมีชื่อเรียกต่างกันครับ แต่จะลงท้ายด้วยคำว่า Guard หมด หมายถึงทหารองค์รักษ์
France = Old Guard
British = Coldstream Guard
Russia = Russian Imperial Guard
Holy Roman Empire = Emperor Guard
Prussia = Prussia Guard
|
|
|
Post by greatbritian on Jul 29, 2017 8:09:30 GMT
Episode 8 ของ Europe At War ลงแล้วน่ะครับ ตอนนี้จะค่อนข้างเน้นไปที่การวางแผนกลยุทธ์ของแต่ละฝ่าย ถ้าใครงงไม่เข้าใจการเดินทัพก็สามารถดูแผนที่ประกอบได้น่ะครับ
ฝีมือการตัดต่อภาพระดับเทพของผม 5555+ แต่หวังว่ามันจะช่วยให้ผู้อ่านทุกท่านเข้าใจขึ้นไม่มากก็น้อย
|
|
|
Post by greatbritian on Jul 30, 2017 17:15:36 GMT
เดี๋ยววันนี้จะมาไขข้อกระจ่างน่ะครับ ว่าทำไมถึงเป็นอย่างงู้นทำไมถึงเป็นอย่างงี้ เริมจากการเสริมชื่อเรียกหน่วยทหารอีก 2 หน่วยน่ะครับ นั้นก็คือ ทหารม้าหนัก กับ Dragoons นั้นเอง โดยแต่ละชาติก็จะมีชื่อเรีกยต่างกันแต่บางชาติก็เหมือนกัน
Heavy Cavalry
France : Cuirassiers (ปกติ) , Carabiniers (พิเศษ)
British : Life Guard (ปกติ) , Horse Guards (พิเศษ)
Prussia : Cuirassiers (ปกติ) , Horse Guards (พิเศษ)
Austria : Cuirassiers (ปกติ) , Archduke Ferdinand Cuirassiers (พิเศษ)
Russia : Cuirassiers (ปกติ) , Chevaliers Garde (พิเศษ)
สังเกตุอย่างหนึ่ง ทุกชาติจะมี Cuirassiers หมดยกเว้น อังกฤษ Cuirassiers ที่ว่านี่คือทหารม้าที่สวมเกราะเหล็กบริเวณลำตัว และใช้ดาบ Sabar เป็นอาวุธ ส่วน Life Guard ของอังกฤษนั้นไม่สวมเกราะ
สำหรับ Dragoon นั้นจะไม่ใช่ทหารม้าซะเดียวอย่างที่เคยชี้แจงไป ้พวกเขาคือหน่วยทหารราบที่ขี่ม้าไปรบ... เอาง่ายๆเลยเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการรบ พอถึงจุดที่ต้องการรบพวกเขาจะลงจากหลังม้าและสู้เยี่ยงทหารราบ ... ทุกชาตินั้นมี Dragoon หมดครับ
1. ทำไม สมัยก่อนเยอรมันถึงเรียกตัวเองว่า ปรัสเซีย แล้วทำไม Saxony ถึงมีชาวเยอรมันอยู่เต็มไปหมด..
ต้องขอเท้าความก่อนครับ ว่าคนเยอรมันสมัยก่อนนั้นอยู่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณประเทศเยอรมัน แต่ก็รวบตัวกันไม่ติดสักที เพราะแต่ละรัฐ แต่ละเมืองไม่ยอมมีใครขึ้นต่อกัน และยังไม่มีผู้นำที่มากความาสามารถพอที่จะรวมชาติเป็นปึกแผ่น เยอรมันจึงแตกเป็นรัฐยิบๆย่อยๆมากมาย ทั้ง Saxony , Prussia , Bavaria , Hessen , Hannover , Wuttemberg ประมาณนี้ครับ โดยในตอนหลัง Prussia 1 ในรัฐเยอรมันเริ่มพัฒนาตนเองขึ้นมาจนเริ่มรวมรัฐอื่นๆ เริ่มแผ่อำนาจทำให้ตนเป็นรัฐที่กว้างขวางและมีอำนาจมากสุด ไม่แพ้ ออสเตรีย หรือ ฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ และปรัสเซียนี้แหละจะเป็นจุดเริ่มต้นการรวมชาติเยอรมันในภายหลัง
2. จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ กับ ออสเตรีย มันอันเดียวกันหรือเปล่า....
คือมันเป็นเรื่องซับซ้อนครับ ขอบอกไว้ก่อนแต่จะอธิบายง่ายๆ คือตำแหน่งจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์นั้นจะถูกมอบให้ กษัตริย์ที่ขึ้นชื่อว่าปกป้องศาสนาหรือทำให้ศาสนารุ่งเรืองประมาณนั้นครับ ซึ่งถ้าใครได้ตำแหน่งนี้ไปครองเมื่อไหร่ จักรวรรดิของกษัตริย์ผู้นั้นจะกลายเป็น จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ไปโดยปริยาย... สมมุติถ้า นโปเลียนทำตัวดีมีศีลธรรม บริจาคเงินให้วัด ทะนุบำรุงศาสนา โป๊ปใจดียกตำแหน่ง จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ให้ นโปเลียน เพราะฉะนั้น ฝรั่งเศสจะกลายเป็น จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ไปโดยปริยาย 555 แต่กษัตริย์ Francis II แห่ง จักรวรรดิออสเตรียได้ตำแหน่งนี้จึงทำให้ ออสเตรียกลายเป็น จักรวรรดิโรมันอันศักสิทธิ์ ครับ
หากมีอะไรผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยน่ะครับ
ปล. 2 นิยายผมมันค่อนข้าง Open World ตัวละครมันจะเยอะมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นรับสมัครเรื่อยๆน่ะครับ
|
|
|
Post by greatbritian on Aug 5, 2017 16:23:43 GMT
Episode ที่ 9 ลงแล้วน่ะครับ สำหรับใครที่สนใจเปิดรับสมัครอยู่ตลอดน่ะครับ
|
|
|
Post by greatbritian on Aug 6, 2017 6:49:18 GMT
|
|
|
Post by Merlin on Aug 6, 2017 10:20:50 GMT
เนื้อเรื่องมันเริ่มพีคตั้งเเต่ตอนที่ 5 ตรงความทะเยอะทะยานของเเก๊งรัฐประหารนี่ละ ( เรียกเเบบนี้ละกัน ) เเต่เเผนการนี่เจอเเต่อุปสรรค์ ที่ฝรั่งเศสนโปเลียเริ่มระเเวงณอง ที่อังกฤษสภาขุนนางเเตกเป็นสองฝ่าย
การบรรยายการรบนี่ก็โอเคครับบรรยายได้เห็นภาพดี มีใส่มุกมาด้วย เเป๊กบ้างไม่เเป๊กบ้าง
เเต่ที่พีคสุดคงเป็นตอนเนลสันตายศึกยุทธนาวีมันมากกกชอบที่บรรยายว่า ทะเลคือบ้านของพวกเขา มันให้อารมณ์ประมาณว่าต่อให้มึงเป็นเจ้าเเผ่นดินใหญ่ เเต่มึงอย่ามาเก๋าบนท้องทะเลของพวกกู
ส่วนตอนล่าสุด เป็นการโชว์ความเก่งกาจของ Arthur Weasly ผู้ที่จะ.... ตอนหน้าเเต่ละชาติคงจะเริ่มเข้าปะทะตะลุมบอลกันเเล้ว
|
|
|
Post by greatbritian on Aug 12, 2017 18:02:41 GMT
Episode 10 ลงแล้วน่ะครับ ใครเป็นแฟนๆนิยายคอสงครามผมก็สามารถเม้นต์ได้น่ะครับ ส่วนไหนชอบไม่ชอบ จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขในภายภาคหน้าขอบคุณครับ
|
|
|
Post by greatbritian on Aug 13, 2017 9:07:19 GMT
Europe At War Fact
ถ้าให้ผมเดาหลายๆคนอาจจะสงสัยมานานแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ นั้นคือ ทำไมทหารในสมัยนั้นต้องตั้งแถวยิงกัน??
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ถึงต้น ศตวรรษที่ 19 อาวุธปืนคาบศิลาในสมัยก่อนนั้นมี ยิงได้ทีละนัด อัตราการยิงที่ต่ำนั้นคือ 2 นัด ต่อ 1 นาทีเท่านั้น (และไอ้หนึ่งนัดต่อ 2 นาทีนี้คือทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีด้วยน่ะ เจ้าบ้ง เจ้าบ้านไม่ต้องพูดถึงช้ากว่านี้แน่นอน) นอกจากนี้ยังมีความแม่นยำที่ต่ำเนื่องจากหัวกระสุนที่กลมไม่ต้านลม และ ปืนลำกล้องเรียบ (ในภายหลังมีปืนลำกล้องเกลียวทำให้ถือกำเนิดปืน Rifle ขึ้นมา) ทำให้เมื่อกระสุนออกจากปากกระบอกปืนไปแล้วเกินระยะ 70 หลา กระสุนจะเริ่ม วิ่งไม่เป็นเส้นตรง คดเคี้ยวไปมา ลงต่ำมั้ง ขึ้นสูงมั้ง หรือถ้าอย่างดีหน่อยก็ปืน ไรเฟิลล่าสัตว์ของเยอรมันซึ่งมีระยะยิงไกลมากสุด 120 หลา แต่มันก็เท่านั้นแหละ ด้วยเหตุนี้การที่ยิงสะเปะสะปะหรือยิงอย่างไม่พร้อมเพรียงจึงทำให้อำนาจการยิงต่ำมาก
เคยมีทหารอังกฤษ (หรือเปล่า ไม่แน่ใจ) ทดลองให้ทหาร 10 นาย ยิงเป้าในระยะ 100 หลาแบบยิงกันตามใจชอบ ผลปรากฎว่า กระสุนโดนเป้าแค่ 3 นัด จาก 10 นัดเท่านั้น แต่เมื่อลองให้พวกเขาตั้งแถวเรียงกันเป็นตับและยิงซัลโวออกมาพร้อมกันผลปรากฎว่า กระสุนนั้นโดนเป้าถึง 7 ใน 10 นัด ด้วยประการฉะนี้แหละทำให้พวกเขาต้องตั้งแถวยิงกัน เพื่อเพิ่มอำนาจการยิงให้สูงสุด จนกระทั่งการถือกำเนิดปืนกล ทำให้การตั้งแถวยิงหมดไป ไม่งั้นก็ตายยกตับครับ 555
แล้วทำไมถึงไม่ก้มหลบหรือหมอบหลบตอนฝั่งตรงข้ามยิงมา??
นั้นสิโอเค เวลายิงตั้งแถวยิงก็จริงนั้นพอเข้าใจแต่ทำไมเวลายิงมาไม่ก้มหรือหมอบหลบ คือมันก็เห็นอยู่ชัดๆว่าฝั่งตรงข้ามมันเล็งปืนมาทางเรานิ้วเข้าโก่งไกจะยิงอยู่รอมร่อแล้ว คือทำไมพวกคุณท่านยังยังยืนรอใจตุ้มๆต่อมๆลุ้นว่ากูจะตายเปล่าว่ะ แบบนี้มันบ้าชัดๆ!!
คือถ้าเรามองในแง่คิดของคนปัจจุบันอาจจะเห็นว่ามันบ้ามากที่ไปยืนหัวโด่เป็นแถวให้เขายิงแบบนั้น แต่สำหรับในยุคนั้นแล้วมันคือการจัดกระบวนการรบที่มีประสิทธิภาพสุดแล้วครับ ลองคิดเล่นๆถึงขอแรกดูน่ะครับทหารในยุคนั้นต้องตั้งแถวยิงกันถูกต้องไหม?? ถ้าพวกเขาเหล่านั้นเอาแต่หมอบหลบ หรือก้มหลบกระสุนไปมา แล้วแถวมันอยู่ในสภาพที่พร้อมยิงและฟังคำสั่งต่อไปไหมครับ!! เท่ากับว่าเป็นการเปิดช่องให้ฝั่งตรงข้ามได้มีโอกาสยืนยิงเรื่อยๆแทนที่เราจะยิงตอบโต้ไปได้บ้าง และปืนในสมัยก่อนนั้นต้องยืนบรรจุครับเพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะหมอบไปบรรจุไปได้ คือถ้าคิดจะนอนหมอบบรรจุแล้วค่อยลุกขึ้นมายิงไม่มีทางครับ มันเหมือนเป็นไฟต์บังคับเลยทีเดียวว่าต้องยืนเท่านั้น!!!
และเหตุผลอีกประการนั้น คือ ทหารม้าครับ .. ทหารม้าในยุคนั้นแม้อาจจะไม่มีบทบาทสำคัญเหมือนใน ยุคอัศวินที่ควบม้าเข้าตะลุมบอนทหารราบอย่างองอาจ เพราะขืนชาร์จเข้ามาใส่แถวของทหารที่ยืนอย่างเป้นระเบียบ อันดับแรกจะถูกยิงกันจนล้มระเนระนาดก่อน ส่วนอันดับ 2 นั้นทหารราบที่ยืนกันเป็นแถวจะพร้อมใจกันชูดาบปลายปืนขึ้นเป็นกำแพงดาบอันแหลมคม เหมือนพลหอกในยุคโบราณไม่มีผิด ทำให้ทหารม้าฝ่าเข้ามาได้อยากยิ่งและไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง แต่ในทางกลับกับ ถ้าแถวของทหารราบเรรวน หรือ มัวแต่หมอบหลบกระสุนจนไม่เป็นกระบวน นายพลของฝั่งตรงข้ามนี่ยิ้มแกล้มปริและสั่งทหารม้าชาร์จเข้าใส่ทันที แน่นอนมัวแต่หมอบหลบ ไม่ได้ตั้งขบวนไว้สำหรับกันทหารม้าก็โดนชาร์จใส่จนเสียหายหนักอย่างแน่นอน นั้นแหละครับทำให้พวกเขาต้องยืนกันอย่างเป็นขบวนพร้อมตั้งรับการบุกทุกรูปแบบ
และอีกอย่างมันสะท้อนถึงวินัยและกำลังใจของทหารชาตินั้นๆครับ คิดดูครับถ้าคุณเป็นข้าศึกยิงใส่ทหารฝั่งตรงข้ามไปเรื่อยๆก็พบว่าทหารฝั่งตรงข้ามยังยืนตรงแน่วยังกับไม่เกิดอะไรขึ้นแถมยังยิงสวนเรากลับมาอีก มันจะน่ากลัวขนาดนไหนยิงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมถอยยังยืนอยู่นั้นแหละ!! ฝั่งที่มีระเบียบน้อยกว่าหรือกำลังใจน้อยกว่าก็จะเป็นฝ่ายที่แตกแถวและหนีในที่สุด ตัวอย่างง่ายๆเลยครับ ในช่วง สงครามกู้อิสรภาพของอเมริกา ในตอนแรกกองทัพ Continental ของอเมริกานั้นได้รับการฝึกมาไม่ดีและส่วนใหญ่นั้นเป็นชาวบ้าน มาเจอกับกองทัพของอังกฤษที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลกตอนนั้น ทหาร Redcoat อังกฤษยิงเอาๆ โดนยิงสวนมาก็ยังไม่ถอย สุดท้ายฝั่งอเมริกาโดนยิงหนักเขาเลยถอยหันหลังหนีเสียกระบวนหมดเลยทำให้พ่ายแพ้อย่างยับเยินในช่วงแรกๆนั้นเอง
ทำไมต้องใส่เสื้อสีปรี๊ดๆ ฉูดฉาดๆด้วยครับ??
อย่างทหารอังกฤษก็ใส่เสื้อสีแดงแปร๋ด ฝรั่งเศสน้ำเงินเข้ม รัสเซียก็เขียวปี๋ ทำไมไม่ใส่ให้กลมกลืนๆกับ ธรรมชาติ คำตอบง่ายๆครับ ควันจากปืนและปืนใหญ่สมัยก่อนนั้นมันเยอะมากเวลายิงออกมาทีนี่ทำให้ควันตลบอบอวลไปทั่วสมรภูมิ ทำให้แทบจะมองไม่เห็น สภาพการณ์ข้างหน้าเลยครับ เพราะฉะนั้นการใส่เสื้อสีฉูดฉาดจะทำให้เราสามารถแยกแยะออกครับ ว่าเฮ้ย นั้นสีแดงๆ ฝั่งเราน่ะ นั้นสีน้ำเงินๆ ฝรั่งเศสนิหว่า....
สำหรับ Europe At War ก็ดำเนินมาถึงตอน 10 แล้วน่ะครับ แต่อยากจะบอกว่านิยายเรื่องนี้อีกยาวแน่นอนกว่าจะจบ 555+ ผมจึงมีความคิดหลัง Episode ที่ 12 เดี๋ยวจะพัก Europe At War ไปสักพัก แล้วมาเริ่ม Project ใหม่อย่าง Stalingrad ยึดเมืองนรก ซึ่งก็แนวคล้ายๆแบบเ้ดิมแหละครับ แต่จะดำเนินเรื่องในยุคของ สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือว่าถ้าอยากอ่าน Europe At War ให้จบ ก็ รีเควสมาได้ครับ จะปฎิบัติตามผู้อ่านอย่างเคร่งครัด ครับ 555
|
|
|
Post by greatbritian on Aug 18, 2017 16:56:42 GMT
สำหรับนิยาย Europe At War นั้นก็ได้ดำเนินมาจนจะจบ Season แรกแล้วน่ะครับ ในตอนหน้าจะเป็นตอนปิดของ Season 1 ซึ่งจะลงในพรุ่งนี้ และทางตัวผมก็ขอพักการเขียนไปประมาณ 1 เดือนครับ เนื่องจากติดภาระหลายอย่าง และกลับมาผมก็เริ่มโปรเจ๊คนิยายใหม่ครับ ซึ่งจะเขียนสลับกับ E@W กันพวกท่านทั้งกลายเบื่อ ขอขอบคุณทุกท่านมากน่ะครับที่ติดตามมาตลอด
ทหารราบฝรั่งเศสในร่างสาวเมะ น่าจะถูกใจสายการ์ตูนหลายคน 55+
|
|
|
Post by kiwada on Aug 20, 2017 0:00:30 GMT
|
|