Post by jussaateen on May 3, 2017 3:19:53 GMT
TO THE ELLAS CHAPTER 10 "ลูกนอกสมรส (รีไรท์)
_______________
"พี่ดิลเลี่ยน เชื่อผมสิ อย่าไปที่นั่นเลย" เดวิดรีบวิ่งขึ้นไปบนบันไดท่ามกลางความรีบร้อนและเร่งรีบในจิตใจของเขา วิ่งตามขึ้นไปก่อนจะเข้าไปสะกิดไหล่ของดิลเลี่ยนที่กำลังเดินขึ้นไปบนห้องของเขาเพื่อเก็บข้าวของเตรียมออกไปที่เมืองอตอมอส เมืองหลวงของโบเรเนียที่มีกษัตริย์ของโบเรเนียปกครองอยู่อย่างบาร์เนส ซาเอทัจ ตัวดิลเลี่ยนถูกสะกิดก็หันกลับมาหาเดวิดที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา
"มันไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่นั่นในยามนี้ รอดูก่อนว่าการค้าขายในเมืองเรเวนมันดีหรือเปล่าก่อน แล้วพี่ดิลเลี่ยนค่อยไปก็ยังไม่สายสักหน่อย" เดวิดพูดด้วยเหตุผลที่เขามีและนึกขึ้นได้ ตัวดิลเลี่ยนได้ิยนดังนั้นก็หัวเราะเบาๆแล้วยิ้มขึ้นมา
"มันอาจไม่จำเป็นแต่.. เราต้องการรู้ว่าสินค้าของเรามันค้าขายได้ดีเท่าเทียมกันรึเปล่า และอีกอย่างชั้นไปที่โบเรเนียเพื่อเป็นตัวแทนของเมืองเรเวนในงานมอบชื่อของหลานกษัตริย์บาร์เนสด้วย คิดดูสิ ประสบการณ์อย่างนี้ เดี๋ยวถ้าถ่ายบรรยากาศมาได้จะเอามาให้ดูแน่ชั้นสัญญาเดวิด" ดิลเลี่ยนพูดพลางยิ้ม
"แต่มันมีศัตรูที่หมายปองชีวิตคุณอยู่ข้างนอกนะ พี่ดิลเลี่ยน-"
"ช่างหัวมันสิ มีอาร์มันโด้อยู่ทั้งคน ใช่มั้ย" ดิลเลี่ยนตอบกลับไปก่อนจะเข้าไปในห้องของเขาก่อนจะหันกลับมาหาเดวิดที่ยืนมองดิลเลี่ยนอยู่
"ชั้นไม่เป็นอะไรหรอก กับอีแค่ไปพบกับราชวงศ์อีกมิติไม่แย่นักหรอก" ดิลเลี่ยนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มแล้วปิดประตูห้องของเขาเพื่อเก็บข้าวของ ภายในห้องนั้นมีอาร์มันโด้นั่งเก็บข้าวของของเขาอยู่เหมือนกัน หากทว่าของ ๆ เขาแทบจะมีแต่กระสุนปืน อาวุธ เกราะ ระเบิดต่าง ๆ จนเรียกได้ว่าเก็บอาวุธน่าจะดีกว่า
"นั่นข้าวของนายเหรอ อาร์มันโด้" ดิลเลี่ยนถามก่อนจะเปิดกระเป๋าของตนขึ้นมาแล้วค่อยๆนำเสื้อผผ้าที่พับไว้แล้วใส่เข้าไป
"ใช่ .. เจ้านี่ใช้หุบปากแกตอนเดินทาง" อาร์มันโด้พูดขึ้นพร้อมกับถือปืนพกสีดำของเขาขึ้นมา ดิลเลี่ยนเห็นดังนั้นก็พยักหน้าไปมาก่อนจะพูดต่อ
"มุกนี้เล่นไปแล้วนะ"
"แต่ก็ได้ผลเสมอ"
"เออ มรึงพูดถูก"
"ได้ข่าวมาว่าพวกนาระกำลังจะนำทัพไปที่ช่องเขาดิเอลนี่ ท่านพี่ไม่ไปด้วยเหรอ" ในขณะเดียวกันตัวเสตลล่าที่ถือแก้วไวน์สีแดงค่อยๆจิบออย่างบรรจงในห้องของอเล็กซิสก็ทักทายถามอเล็กซิสขึ้น อเล็กซิสที่นั่งเขียนบางอย่างอยู่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจขึ้นแล้วตอบกลับไป
"ส่งคนไปให้แล้ว 128 คน ล้วนเปนทหารฝีมือดีทั้งหมด"
"แล้วได้นับพี่ด้วยรึเปล่า" ทันทีที่อเล็กซิสพูดจบตัวเสตลล่าก็ถามอีกอย่างรวดเร็วทันที
"ทันทีที่ข้าไปจากคฤหาศน์ พวกที่คิดร้ายกับพวกเราก็จะบุกมาทันที ไม่เห็นเหรอแค่ 2 คืน ฑูตจากต่างมิติและคนรับใช้ที่ดีที่สุดแทบจะตายไปแล้ว"
"ข้าจะไม่ทิ้งคฤหาศน์นี้อีกแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ทิ้งเจ้าไว้ที่นี่แน่ น้องสาวของข้า" อเล็กซิสพูดพร้อมกับลุกขึ้นมาจับใบหน้าของเสตลล่าอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ว่าแล้ว
"อีกอย่าง เกเบรียล ชารล์ก็ไปด้วยกับกองทัพของนาระ" ทันทีที่อเล็กวิสเอ่ยชื่อเกบ ตัวเสตลล่าก็สำลักน้ำไวน์ที่ตนเองดื่มทันที ก่อนจะตั้งตัวใหม่ได้แล้วพพูดต่อ
"อสุรนั่นล่ะนะ พวกเขาจะไปโจมตีพวกปีศาจแต่เอาอสุรกายที่ฆ่ามนุษย์มานับพันมาแล้วเนี่ยนะ" เสตลล่าถามไปเพื่อความแน่ชัด อเล็กซิสได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นก่อนจะตอบกลับไป
"นั่นมันข่าวลือ เสตลล่า" อเล็กซิสตอบด้วยรอยยิ้มที่ตลกขบขัน
"ตอนแรกข้าเข้าใจผิดว่าเป็นผู้สืบทอดของมัตซึอุระ ริกะแห่งอาร์ธีร์ แต่จริงๆก็แค่มนุษย์ธรรมดาที่เกิดในเอเลเนียร์และโตในเมืองเยเกอร์ ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่เมืองมาร์เจนต้า รู้สึกบอกจะตามหาพ่อของตนอยู่นะ" อเล็กซิสอธิบายความเป็นมาให้เสตลล่าฟัง ก่อนจะมองไปที่ผนังกำแพงที่มีภาพของชายไว้หนวดเคราและผมสีน้ำตาลเข้มสวมเกราะสีแดงสลับสีทองอยู่
"แค่ฟังก็นึกว่าซาเอ็น ซาเอทัจเกิดใหม่แล้วว่ามั้ย
"ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจแรกเริ่ม"
"ได้ชื่อว่าหาตัวยากมาก"
"สลับแค่เกิดที่เมืองเยเกอร์ โตที่เมืองเอเลเนียร์ แล้วย้ายไปอยู่ที่เมืองเรเวน ได้ยินว่าฝีมือก็ใกล้เคียงกับซาเอ็นมากเลยนะ แต่ต่างกันที่อย่างเดียว"
"เสน่ห์กับผู้หญิง ได้ยินว่าจีบผู้หญิงไม่ติดสักรายเลยล่ะ"อเล็กซิสแอบนินทาตัวเกบเล็กน้อย เสตลล่าได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้น
"ชั้นได้ยินมาว่าท่านแม่ มัตซึอุระ ริกะ อาเรีย ฟอร์นัส และแม้แต่มาราอุสต่างตกหลุมรักเขานะ" เสตลล่าพูดก่อนจะดื่มไวน์จากแก้วของนางจนหมดเกลี้ยงก่อนจะวางลงไปบนโต๊ะทำงานของอเล็กซิส อเล็กซิสได้ยินดังนั้นก็พูดต่อ
"มีข่าวลือในอดีตว่าเขาทำผู้หญิงท้องในเอเลเนียร์แล้วหนีมาทำศึกกับกษัตริย์ชั่วนั่นแล้วสูญเสียความทรงจำนะ" อเล็กซิสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูโศกเศร้าหดหู่ตามเรื่องที่เขากำลังเล่าอยู่เล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
"และบ้างก็บอกว่าผู้หญิงที่เขาทำท้องตายในสนามรบพร้อมกับลูกในท้อง"
"มันจะมีตอนจบที่สวยงามไม่นะ พวกเรื่องราวพวกนี้เนี่ย" เสตลล่าถามตัวอเล็กซิสที่มองภาพวาดของซาเอ็นอยู่
"ตอนจบที่สวยงามนั้นมีเพียงช่วงที่คนลืมความจริงไปเท่านั้น"
ความมืดมิด ว่ากันว่าเป็นสิ่งๆเดียวที่สามารถทะลายความหวังได้ และเป็นสิ่งเดียวที่ความหวังสามารถทะลายลงได้ ปราศจากความมืด ปราศจากความหวัง ปราศจากความหวัง ก็ยังคงมีความมืดคอยปกคลุมอยู่ และในตอนนี้ความมืดนั้นเข้าคลอบงำจิตใจของดิลเลี่ยนภายในคุกจนแทบจะสมบูรณ์แล้วนับตั้งแต่ที่เขาถูกจองจำพร้อมกับอาร์มันโด้และจะต้องประลองให้ชนะจึงจะพ้นโทษนี้ลงได้ หากทว่าตัวดิลเลี่ยนเห็นแล้วว่าชัยชนะนั้นไม่มีวันเข้าข้างตัวเขา เขาเห็นศัตรูแล้วและไม่คิดแม้แต่น้อยว่าสามารถสังหารมันได้
หากทว่าตัวอาร์มันโด้ที่ถูกขังในห้องเดียวกันนั้นไม่คิดอย่างนั้นเลยว่าจะไม่ชนะ เขาเอาแต่นั่งจ้องผนังห้องที่เขาถูกขังอยู่ โดยไม่คิดอะไรแม้แต่น้อย เหมือนกับในหัวของเขาตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว คือความว่างเปล่า
"คิดว่าเราจะรอดมั้ย อาร์มันโด้ ไอโทษกล่าวหาฆ่ากษัตริย์เนี่ย" ดิลเลี่ยนทักถามอาร์มันโด้ที่จ้องผนังอยู่ อาร์มันโด้ได้ยินดังนั้นก็หันมาหาดิลเลี่ยนก่อนจะพูดตอบ
"ภารกิจชั้นคือไม่ให้เอ็งตาย เอ็งก็ต้องไม่ตาย" อาร์มันโด้พูดตอบกลับก่อนจะจ้องผนังเช่นเดิม
"ไอ้ที่เราต้องสู้มันไม่ใช่อะไรที่จะพูดแบบนั้นง่ายๆเลยนะ อาร์มันโด้ นั่นยักษ์นะเว้ย กระสุนปืนอาจฆ่าได้แต่มันไม่ให้ใช้ ใช้แต่มีด มันมีทางชนะด้วยหรอวะ" ดิลเลี่ยนสบถออกมาก่อนจะต่ยลงไปที่พื้นด้วยความโมโห
"แค่ใหญ่กว่าหน่อยนึงไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก" อาร์มันโด้ตอบกลับไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทันใดนั้นเองจู่ๆห้องขังที่มึดมิดนี้ก็เปิดออก แสงลัดลอดออกจากความมืดที่มิใช่แสงเทียนภายในห้อง มันคือแสงของคบเพลิงที่ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ในชุดอัศวินคนหนึ่งถือเข้ามา ดิลเลี่ยนเห็นดังนั้นก็หัวเราะขึ้นเบาๆก่อนจะค่อยๆขยับมานั่งพิงผนังห้องขัง
"มาทำอะไรเหรอ ลูกชายของบาร์เนส" ตัวดิลเลี่ยนทักทายชายผมสีบลอนด์คนนี้ ชายผมสีบลอนด์ได้ยินดังนั้นก็วางคบเพลิงลงไปบนเสากลางห้อง ก่อนจะจ้องมองดิลเลี่ยนที่มองหน้ากลับด้วยความมั่นใจ
"ชั้นรู้ว่านายไม่ได้ฆ่าบาร์เนส" ชายผมสีบลอนด์พูดขึ้น
"แล้วทำไมถึงยังปล่อยให้มีการไต่สวนล่ะ เอการ์" ดิลเลี่ยนถามต่อ เอการ์หรือชายผมสีบลอนด์ได้ยินดังนั้นก็คว้าบางอย่างออกมาจากด้านหลังของเขา มันคือกระบอกน้ำเล็กๆที่มีน้ำอยู่เต็มกระบอก ตัวดิลเลี่ยนเห็นดังนั้นก็ยื่นมือเข้าหาขอกระบอกน้ำนั้น ตัวเอการ์ก็มอบให้ด้วยความใจดีก่อนจะตอบต่อ
"แค่ต้องการจะให้แน่ใจว่าจริงรึเปล่า ถ้าจริงอย่างน้อยต้องมีสู้บ้างหน่อยแหละ"
"อีกอย่างเหตุจุงใจก็ไม่มี ชั้นว่าแม่ชั้นบ้าเองมากกว่าที่สั่งไต่สวนนายน่ะ" เอการอธิบายสาเหตุต่อ ดิลเลี่ยนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบก่อนจะดื่มน้ำทันที อาร์มันโด้เห็นดังนั้นก็ขบิมปากเหมือนหิงวน้ำเข่นกัน ตัวดิลเลี่ยนเห็นดังนั้นก็หยุดดื่มแล้วส่งให้ ตัวอาร์มันโด้จึงคว้ามาจิบเบาๆบ้างก่อนจะส่งคืนให้เอการ์ เอการเห็นดังนั้นก็รับคืนก่อนจะเก็บไว้ที่เดิม
"พยายามเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ พรุ่งนี้เช้าการไต่สวนจะเริ่มขึ้น ชั้นเชื่อว่าพวกนายสู้ได้นะ" เอการ์ตอบก่อนที่จะเดินออกจาห้องขังไปทันที ทว่าดิลเลี่ยนนั้นเรียกตัวเอการ์ก่อนที่เขาจะออกไปก่อน
"เอการ์ !.."
"ถ้านายคุมเมืองเมื่อไหร่บอกด้วยว่าให้ทหารยามอยู่ทุกที่ทั่วปราสาทเลยเข้าใจนะ จะได้ไม่ต้องเป็นแบบชั้นอีก" ตัวดิลเลี่ยนพูดเพื่ออนาคตของเมือง เอการ์ได้ยินดังนั้นก็พยักตอบกลับพร้อมรอยยิ้มที่หล่อเหลาของเขาแล้วเดินจากไป
"ชั้นไม่แปลกใจเลยทำไมเมียสวย หล่อเกือบเท่าชั้นเลยว่ะ"
"...." ตััวอาร์มันโด้เงียบแล้วถอนหายใจไปเลยครับคุณผู้อ่าน
"ท่านฝ่าบาท" ชายแก่ที่รีบร้อนคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่ง เมื่อตัวเขาเปิดประตูออกมาก็พบกับผ้าม่านสีแดงคลุ่มเตียงๆหนึ่งอยู่ซึ่งดูเหมือนมีใครบางคนนอนอยู่ในปัจจุบัน ตัวชายแก่มองไปรอบๆก็เห็นของประดับในโบราณมากมายหลากหลายหากทว่าก็ไม่ได้ดูศกดิ์สิทธิ์อะไรมาก บ้างก็แค่มีดเล็ก ๆ ทื่อ ๆ บ้างก็ ขลุ่ยที่มีสนิมขึ้น บ้างก็กำำไลข้อมือที่ทำจากทองประดับด้วยอัญมณีมากมาย ทันใดนั้นเองประตูนั้นก็ปิดเองโดยที่ชายแก่ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
"ข่าวสารในวันนี้คือ.." เสียงของเด็กสาวดังออกมาจากเด็กคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อตัวชายแก่ได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงมองกับพื้นก่อนจะเอ่ยปากขึ้น ทันทีที่ชายแก่คุกเข่าลงนั้นเอง ผ้าคลุมนั้นก็เปิดออก เด็กสาวค่อยๆขยับตัวลงมาจากเตียง ยืนอยู่เบื้องหน้าของชายแก่ ทว่าชายแก่ไม่เห็นใบหน้าของเธอ เห็นเพียงเท้าเปล่าที่มีสีขาวดุจดั่งพระจันทร์
"น.. นาระได้ยกทัพผ่านเมืองเอเลเนียร์ไป สายของเราบอกว่าจะมุ่งไปที่ช่องเขาดิเอลที่มีซีโนโซเฟียสประทับอยู่ ตอนนี้ทัพของนาระนั้นยังคงเคลื่อนพลเรื่อยๆและน่าจะถึงที่หมายในอีก 3 วันพะยะค่ะ" ตัวชายแก่พูดบอกข่าวที่เขาทราบขึ้นมา เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็เดินผ่านชายแก่คนนั้นไป ก่อนที่จะเมีเสียงของเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอนั้นตกลงมาสู่พื้น ชายแก่คาดว่าเธอกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธออยู่
"แล้วไงต่อ" ตัวเด็กสาวถามขึ้นพร้อมกับคว้าชุดหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะที่มีเสื้อผ้าพับเรียงไว้เป็นระเบียบ
"กษัตริย์บาร์เนส ซาเอทัจแห่งโบเรเนียเสียชีวิตแล้วพะยะค่ะ" ทันทีที่ชายแก่เอ่ยข่าวนี้ขึ้น เด็กสาวนั้นคว้าสายตามองไปที่ชายแก่ทันที ก่อนที่ตัวเด็กสาวที่แต่งตัวเสร็จแล้วจะค่อยๆเดินมานั่งบนเตียงแล้วถามคำถามหนึ่งขึ้น
"ใครเป็นคนทำ" ตัวเด็กสาวถามชายแก่
"สายบอกว่าอาจเป็นดิลเลี่ยน อาร์วิเนล .. ฑูตจากต่างโลก" ชายแก่ตอบคำถามไป
"ต่างโลก ?" ตัวเด็กสาวขานคำนี้อีกรอบเพื่อความแน่ชัด ก่อนที่เธอจะค่อยๆยกใบหน้าของชายแก่ขึ้น เมื่อชายแก่มองขึ้นไปก็เห็นเด็กสาวผิวขาวซีด ผมสีดำสั้น ดวงตาสีม่วงอ่อน และกลิ่นกายที่เม่อดมแล้วรู้สึกหอมหวานยั่วยวนชายแก่คนนั้น เมื่อเด็กสาวคนนั้นเห็นหน้าชายแก่แล้วก็หัวเราะขึ้นเบาๆ ก่อนที่เธอจะยกเท้าขึ้นมาแล้ววางบนไหล่ของชายแก่คนนั้นทั้งสองข้าง นั่นทำให้ชายแก่มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ชุดของเธอ
"เจ้าไม่ได้โกหกสินะ ใช่มั้ย" เด็กสาวคนนั้นพูดขึ้นอย่างแก่แดด ก่อนที่จะลดขาลงมานั่งท่าเดิม ชายแก่ที่เห็นไปก็ก้มหัวลงใหม่อีกครั้งด้วยความละอายใจของตน
"ข้าว่าไม่มีทางที่บาร์เนสจะตายโดยฑูตหรอก ถึงเขาจะอ่อนหัดแต่ก็มีศิลปะป้องกันตัวที่สุดยอดอยู่เหมือนกัน และยังเป็นมิตรกับแทบทุกคนอีกต่างหากเหตุจูงใจนี่อย่าพูดถึงเลย"
"จะให้สืบเรื่องนี้หรือมั้ยพะยะค่ะ" ชายแก่คนนั้นถามเด็กสาวขึ้น ตัวเด็กสาวก็แสยะยิ้มอย่างน่ารักขึ้นก่อนจะตอบกลับไป
"แน่นอน เริ่มที่สองพี่น้องนักฆ่าเมอร์ด็อกแล้วกัน.."
"คนน้องนะ มือขวาคนใหม่ ข้าสงสัยคนน้องที่สุดแล้วในคดีนี้ ความสัมพันธ์ของแพทริเซียกับบาร์เนสนั้นมันอาจเป็นเหตุก็ได้" ตัวเด็กสาวพูดอย่างแก่แดดและเหมือนจะรู้อะไรมากมาย ก่อนที่จะสะกิดตัวชา่ยแก่คนนั้นขึ้น ชายแก่คนนั้นจึงค่อยๆลุกขึ้นมาตามคำสั่งของเด็กสาว
"ขอตัวนะฝ่าบาท" ชายแก่คุกเข่าลงก่อนจะค่อยๆเดินออกไปจากห้องของเด็กสาวแล้วปิดประตูเอง เมื่อเด็กสาวเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจก่อนจะไปนอนใหม่บนเตียงของตนอีกครั้ง
"เราต้องจัดการกับเรื่องนี้แล้วสินะ .."
"เดี๋ยวไปที่เมืองเรเวนในพรุ่งนี้เช้าแล้วกันน่าจะสักสัปดาห์ถึงจะถึง"
"เจ๊ ขอไวน์อีก !" ชายไว้หนวดคนหนึ่งโบกมือเรียกบาร์เทนเดอร์สาวที่กำลังรินเหล้าลงไปให้ลูกค้าท่านอื่นอยู่ เสียงพูดคุย ร้องเพลงนั้นรื่นเริงเต็มไปหมด เต็มไปด้วยชายหญิงมากมายเข้ามาในที่แห่งนี้
"จ้า ๆ !" บาร์เทนเดอร์ตะโกนกลับไปก่อนจะรีบรินไวน์ลงไปในแก้วๆหนึ่งก่อนที่จะรีบเดินตรงไปที่ชายไว้หนวดคนนั้นแล้ววางลงไปบนโต๊ะ
"มีตังค์จ่ายใช่มั้ยเนี่ย" บาร์เทนเดอร์สาวคนนั้นพูดกับชายไว้หนวดพร้อมรอยยิ้มที่ตลกขบขันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะไปเบาๆ
"มีสิ ไปเอามาจากบ้านกะลาสีของชั้นแล้ว แต่ไม่รับประกันว่าจะจ่ายนะ" ชายไว้หนวดคนนั้นพูดกลับพร้อมกับหัวเราะตาม ตัวบาร์เทนเดอร์สาวได้ยินดังนั้นก็ตอบต่อ
"ค่า ๆ คุณกัปตันลูฟี่ เอส" ตัวบาร์เทนเดอร์สาวหัวเราะต่อก่อนจะรีบเดินกลับไปที่เดิม ลูฟี่ได้ยินดังนั้นก็ยกแก้วไวน์ของตนขึ้นก่อนจะดื่มหมดในคราวเดียว ทันใดนั้นเอง
"แล้วสรุปพาเรามาทำไมที่นี่เนี่ย คุณลูฟี่" เกลนี่นั่งคุ่นเครียดอยู่ตรงข้ามลูฟี่พูดขึ้น ตัวลูฟี่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นแล้วพูดต่อ
"มาดื่มไวน์ไง ที่นี่ดังมากเลยนะเรื่องไวน์เนี่ย" เกลได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆก่อนจะพูดต่อ
"เจ้าบอกจะไปเอาเรือมาให้แล้วพาเราไปที่ช่องเขาดิเอลนี่ จำไม่ได้แล้วเหรอ" ตัวเกลพูดขึ้น ก่อนที่แฟรี่ที่นั่งอยู่ข้างๆกันจะหัวเราะขึ้นอย่างมัวเมา ดูเหมือนแฟรี่จะเริ่มเมาแล้ว ตัวลูฟี่เห็นดังนั้นก็ยิ้มตามเบาๆ
"เดี๋ยวพาไปไง ไม่ต้องห่วงหรอก ข้ารู้จักกับอเล็กซิสมาก่อนแล้ว ตกลงกันได้น่า" ตัวลูฟี่พูดขึ้นพร้อมกับวางเหรียญทองลงไปบนโต๊ะทั้งหมด 3 เหรียญทอง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่พวกเขาดื่มรวมกันทั้งหมด 20 แก้ว .. ถึงส่วนใหญ่จะลูฟี่เกินครึ่งที่รวมก็เถอะ ว่าแล้วลูฟี่ก็ค่อยเดินไปหาแฟรี่แล้วอุ้มเธอขึ้น เกลเห็นดังนั้นก็ระแวงเล็กน้อยพร้อมกับเดินตามลูฟี่ออกไปนอกร้าน
"ว่าไงท่านเจ้าหญิง" ลูฟี่ทักทายแฟรี่ที่อุ้มอยู่ แฟรี่เห็นดังนั้นก็สะบัดตัวลงมายืนด้วยตัวเองก่อนจะมองไปที่ลูฟี่ เกลเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ
"ออกจากร้านทำไมล่ะ ยังสนุกไม่พอเลย-"
"อย่าเชียวนะ ขืนเมาขึ้นมาชิบผายชัวร์" ลูฟี่พูดตามสิ่งที่ตนเองสัมผัสได้ ก่อนจะมองไปที่เกล
"ยัยนี่เมาง่ายขนาดนี้เลยเหรอ"
"พวกเราทั้งคู่น่ะแหละ ข้าดื่มไปแค่แก้วเดียวเลยไม่เป็นไรน่ะ" เกลพูดพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
"ได้ข่าวยัยนี่ดื่ม 3 แก้วเองนะ" ลูฟี่พูดด้วยความงุนงง
"ฝึกให้ดื่มเก่งกว่านี้ก็ดีนะ เผื่อมีปีศาจพ่นไวน์ได้น่ะ" ลูฟี่แซวเล่นเบาๆ เกลได้ยินดังนั้นก็โมโหเล็กน้อย ส่วนแฟรียังคงมึนเมาอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้นเอง
"เดี๋ยวนะ นั่นมัน.." ตัวเกลมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งจากระยะไกล หากทว่าลูฟี่และแฟรี่นั้นแทบมองไม่เห็นเลย
"แพทริเซีย เมอร์ด็อก ใช่มั้ยน่ะ" ตัวเกลพูดขึ้นโดยไม่แน่ใจก่อนจะรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อดูให้ชัดขึ้น ตัวแฟรี่และลูฟี่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามทันที
"เธอตอนเมานี่ก็ดูไม่ผิดแปลกอะไรนี่-"
"หุบปาก"
"....." ลูฟี่เจอไปนี่สตั๊นท์ยาว ๆ ครับ ก่อนที่แฟรี่จะรีบวิ่งนำลูฟี่ไปก่อนอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันตัวเกลนั้นรีบวิ่งไปถึงจุดๆหนึ่ง จุดที่มองเห็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลได้อย่างชัดเจน เมื่อเกลเห็นดังนั้นก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาลนฟ้า ว่าแล้วจู่ ๆ ธนูสีดำก็อยู่บนมือของเกลทันที เหมือนกับถูกอากาศบดบังอยู่และตอนนี้ก็เลือนหายไปแล้ว เกลค่อย ๆ ง้างธนูขึ้นพร้อมกับลูกศร ก่อนจะยิงไปทันที เข้าใส่หญิงสาวผมสีน้ำตาล ทว่าตัวหญิงสาวคนนั้นหันกลับมาก่อนจะชูมือขึ้นทั้งสองข้างของเธอ แสงสีแดงนั้นแผ่ออกมาจากมือเธอ หยุดลูกธนูกลางอากาศไว้ได้ก่อนที่ตัวเธอจะเริ่มมองเห็นผู้ที่ยิงลูกธนูใส่เธอ เกลนั้นเอง
"แพทริเซีย เมอร์ด็อก" เกลพูดด้วยรอยยิ้มบางอย่างที่ดูเจ้าเล่ห์ ตัวแพทเห็นดังนั้นก็เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย เหมือนจะคุ้นเคยกับหน้าตาของคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ
"ทำไมนักรบเวทย์ถึงยิงลูกธนูใส่นักฆ่าเหรอคะ ได้ข่าวว่านักรบเวทย์ล่าแต่ปีศาจกับมังกรนี่" แพทพูดกลับพร้อมกับค่อยๆถอยหลังออกไปทีละก้าว ทีละก้าว เกลเห็นดังนั้นก็เดินหน้าตามพร้อมกับใส่ลูกศรลงไปเตรียมที่จะยิงออกไปอีกครั้ง
"นั่นธนูเทพเหรอ" แพทถามตัวเกลที่ง้างธนูอีกครั้ง
"เปล่า" เกลตอบสั้นชัดเจน ก่อนที่จะยิ้มอีกครั้ง
"และข้าก็ไม่ได้ยิงใส่เธอ" เกลพูดต่ออีกครั้ง ก่อนจะยิงธนูเข้าหาแพท ทว่าแพทอ่านเกมที่เกลคิดขึ้นทัน ก่อนจะหันหลังกลับไป เธอเห็นแฟรี่พุ่งเข้าหาเธอด้วยความเร็วก่อนจะคว้าธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยมือเปล่า แล้วใช้มันเป็นอาวุธ แพทเห็นดังนั้นก็เดินถอยหลังกลับไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายหนังสือพิมพ์เล็กๆร้านหนึ่ง เกลกับแฟรี่ก็เข้ามาล้อมตัวแพทเอาไว้ ไม่ให้หนีไปไหน ตัวแฟรี่นั้นหักลูกธนูทิ้งก่อนจะคว้ามีดสั้นสีดำเล็ก ๆ ขึ้นมา
"เราแค่จะจับเธอไปให้อเล็กซิส แพท ฟังข้าหน่อย" เกลพูดกับแพทที่กำลังหวาดกลัวอยู่เบา ๆ ขึ้น
"แล้วคิดว่าจับข้าได้เหรอ" ตัวเเพทถามขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้ม ว่าแล้วแพทก็นำมือทั้งสองข้างแตะลงไปกับพื้นถนนเล็ก ๆ นี้ ทันใดนั้นเอง ฝุ่นที่กระจัดกระจายทั่วถนนก็เข้ามารวมกันบดบังวิสัยทัศน์ของเกลและแฟรี่ทำให้มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
"คิดว่าแค่นี้จะพอเหรอ แพทริเซีย เมอร์ด็อก" เกลพูดขึ้น ก่อนที่จะเล็งธนูไปด้านขวาของเธอ เกลเห็นแพทยืนอยู่ ทว่า ก่อนที่เกลจะยิงลูกศรทัน แพทก็ต่อยใบหน้าของเกลไปก่อน เกลที่โดนไปก็ทรุดลงไปกับพื้นก่อนที่จะยิ้มขึ้นเบา ๆ
"ยุ่งกับผู้หญิงผิดคนแล้ว-" ไม่ทันที่เกลจะพูดจบ แพทก็ต่อยไปที่ใบหน้าของเกลอีกทีหนึ่ง เกลนั้นทรุดตัวลงไปก่อนจะพึมพำบางอย่างขึ้นแล้วเช็ดเลือดจากปากของเธอ แพทก็ถอยหลังออกมาก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเกลแล้วใช้เข่าพุ่งแทงไปที่ใบหน้าของเกล ทว่าเกลนั้นลุกขึ้นมาได้ก่อน แล้วใช้กำปั้นขวาของเธอ เหวี่ยงอัดไปที่ใบหน้าของแพทอย่างรุนแรง ตัวแพทนั้นปลิวไปชนกับร้านหนังสือพิมพ์เล็กๆ ฝุ่นจึงค่อยๆหายไปตามด้วยแพทที่ถูกเศษซากร้านพังทลายทับลงไป แฟรี่เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นมาดูอาการของพี่ของเธอที่ยืนงง ๆ อยู่
"เป็นไงบ้างพี่" แฟรี่ถามเกล เกลเห็นดังนั้นก็พยักหน้าไปมาสื่อว่า ไม่เป็นไร ก่อนจะรีบเดินเข้าไปค้นหาแพทใต้เศษซากนั้น แฟรี่เห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยตาม
"อยู่ไหนนะ ยัยตัวแสบ" เกลพูดขึ้นก่อนจะค้นจนสุดซึ่งไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนอกจากระดาษหนังสือพิมพ์ที่ขาดกระจุย ทันใดนั้นเองระหว่างที่ทั้งคู่ไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น แพทก็ค่อยๆเดินเข้ามาจากด้านหลังของพวกเธอด้วยสภาพที่สะบักสะบอมอยู่เล็กน้อย เลือดออกจากจมูกและปากจากแรงกระแทกของหมัดของเกลที่จู่ ๆ ก็แรงเหมือนช้างยักษ์บางอย่าง แพทก็ดึงมีดขึ้นมาเล่มหนึ่ง ก่อนจะโยนขึ้นไปบนฟ้า แสงสีแดงแผ่ออกมาปกคลุมมีด แพทค่อยๆควบคุมมีดมา เล็งไปที่แฟรี่ที่ยืนหาตัวแพทอยู่ ก่อนที่แพทจะพูดขึ้นเบา ๆ..
"วาฮัลลา ซิกส์" คำบอกลาของชนเผ่าลับในประเทศอาร์ธีร์ ทันใดนั้นมีดก็พุ่งไปอย่างรวดเร็ว แพทเห็นดังนั้นก็หันไปที่มีดที่พุ่งเข้ามา เธอยิ้มขึ้นเหมือนกับมันง่ายมากที่จะรับ ทันใดนั้นเองจู่ ๆ มีดที่แฟรี่เห็นก็ค่อย ๆ แยกออกเป็นมีดจำนวนที่นับไม่ถ้วยดพุ่งมาหาเธอ แฟรี่เห็นดังนั้นก็หลับตาลง พยายามที่จะนึกจากเสียงว่ามีดอยู่ไหน
"ฉึก !" เสียงของมีดปักลงไปที่ขาของแพทอย่างรุนแรง
แพทร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างกุมลงไปที่ขาของเธอ มีดที่ควรจะพุ่งเข้ามาแทงท้องของแฟรี่ก็ตกลงไปกับพ้นทันที เกลและแฟรี่เห็นดังนั้นก็หันไปหาแพทและพบว่าลูฟี่เป็นคนใช้มีดแทงลงไป ลูฟี่เห็นดังนั้นก็ดึงมีดออกจากขาของแพทก่อนที่จะใช้มือปิดแผลของแพทขึ้น แพทเห็นดังนั้นก็โมโหก่อนที่จะใช้มือของเธอควบคุมพลังจิต บีบคอของลูฟี่ขึ้น
"ข-ข้าช่วยเธออยู่นะ.." แพทที่บีบคอลูฟี่อยู่ได้ยินคำพูดของลูฟี่ที่พยายามปะติดปะต่ออยู่นั้นก็ไม่สนใจ ก่อนที่จะดันลูฟี่ออกไปด้วยพลังจิตของเธอ ร่างของลูฟี่ปลิวออกไปตกลงที่พื้น ลูฟี่ร้องออกมาเบา ๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะพยายามใช้สายตาหันมองแพททั้งนอน เห็นเกลกับแฟรี่ช่วยกันทำอะไรบางอย่างกับแพทอยู่ ลูฟี่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ
"สรุปยัยแฟรี่ตอนเมาก็สู้เป็นอยู่หรอฟะ เชรี่ยหญิงสมัยนี้.." ลูฟี่ดูไม่สนใจอะไรเท่าไหร่นักแม้แต่น้อย"
"ปีเตอร์" ชายคนหนึ่งขานชื่อเด็กผมสีดำตัวน้อยๆคนหนึ่ง เมื่อเด็กผมสีดำได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปหาต้นเสียงนั้น นั่นคือชายผมสีดำสั้นไว้หนวดเครา ปีเตอร์รีบวิ่งขึ้นไปกอดชายคนนั้น ชายคนนั้นเห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
"นี่น้องสาวของเธอไง" ชายไว้หนวดคนนั้นพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มขึ้นแล้วก้าวถอยหลังออกมา เผยให้เห็นถึงเด็กสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งค่อยๆก้าวขาขยับเข้าไปหาปีเตอร์ ตัวปีเตอร์เห็นดังนั้นก็เข้าไปกอดเด็กสาวคนนั้น
"เธอชื่อแพทริเซียเป็นน้องสาวของเธอน่ะ เมื่อหลาย ๆ ปีก่อนถูกลักพาตัวไปน่ะ พ่อแม่ของเธอพึ่งพาตัวกลับมาได้คืนเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง" ตัวชายไว้หนวดคนนั้นพูดขึ้น
"ทำไมพ่อแม่ถึงไม่มาพาเราไปล่ะครับ" พีทพูดขึ้นพลางลูบหัวของแพทไป
"พวกเขายังไม่พร้อมที่จะเลี้ยงพวกเธอน่ะ เมื่อพร้อมเมื่อไหร่พวกเขาก็จะกลับมารับพวกเธอเองแหละ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงไป เจ้าหนูน้อย" ชายคนนั้นพูดขึ้นอย่างสุภาพและเป็นมิตร
"ครับ .. ขอบคุณนะครับ คุณเอสเตอร์"
"ไม่เป็นไรเจ้าหนู ถ้าไม่ว่าอะไร ขอตัวก่อนนะ" ตัวเอสเตอร์หรือชายไว้หนวดพูดขึ้นก่อนจะค่อยๆเดินออกจากสายตาของพีทกับแพทไป ว่าแล้วชายไว้หนวดนั้นก็เดินออกจากบ้านเด็กกำพร้าของพวกเขา แล้วเดินออกไปที่หลังบ้าน เอสเตอร์พบกับชายสองคน นั่นคือชายผมสีทองอร่าม ดวงตาสีแดงสนิท และ ชายที่มีผมและดวงตาสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน เอสเตอร์เห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยปากพูด
"ทั้งคู่ปลอดภัยดีครับ" เอสเตอร์พูดขึ้น
"ทั้งคู่.. แน่ใจนะครับ ที่ให้กระผมลบความทรงจำแล้วให้พวกเขาอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าที่นี่" เอสเตอร์ถามทั้งคู่ ชายผมสีทองได้ยินดังนั้น
"สงครามครั้งนี้มันเสี่ยงเกินไป พวกเราอาจตายกันหมดก็ได้ หากทำอย่างนี้ อย่างน้อยลูก ๆ ของเราก็ไม่เสียใจกับการตายของพวกเรา ไม่คิดล้างแค้น และไม่ตายตามเรา" ตัวทราตัสพูดขึ้นก่อนจะหันไปหาชายผมสีน้ำตาลหรือบาร์เนส
"ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นลูกนอกสมรส หากตระกูลเราสิ้นเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะได้ครองบัลลังก์โดยชอบธรรมแทนได้ และนายจะต้องบอกพวกเขาเมื่อถึงเวลาอันควร เอสเตอร์" บาร์เนสพูดขึ้น เอสเตอร์ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆแล้วพูดต่อ
"หากพวกท่านคิดว่านี่ถูกต้องแล้วกระผมก็จะไม่ขัดขอรับ ฝ่าบาท" ตัวเอสเตอร์ตอบกลับไปพร้อมกับโค้งคำนับลง
"ขอให้กลับมาจากสมรภูมิรบอย่างปลอดภัยนะพะยะค่ะ"
"แน่นอน เอสเตอร์ พวกเราจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน" ตัวทราตัสพูดขึ้นก่อนจะกอดคอกับบาร์เนสแล้วเดินตรงไปจากบ้านกำพร้าทันที ทว่าบาร์เนสหันกลับไปที่บ้านอีกครั้ง เขาเห็นปีเตอร์และแพทริเซียมองไปที่เขา ด้วยสายตาที่สงสัยบางอย่าง บาร์เนสเห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้น ไม่ใช่มารยาท แต่เพราะเขาดีใจ ที่ได้มองลูกสาวของเขา อย่างน้อยก็อีกครั้งก่อนจะสายเกินไป
"ดิชั้นจับตัวแพทริเซีย เมอร์ด็อกมาได้ค่ะ ท่านลอร์ดอเล็กซิส" เกลนั่งคุกเข่าเข้าเฝ้าอเล็กซิสที่ห้องโถงในคฤหาศน์ขึ้น ภายในห้องโถงนั้นมีอเล็กซิส เสตลล่า เดวิด และเจค็อบ โดยด้านข้างมีอาร์มันโด้และลินดาอยู่ ส่วนคนที่มาเข้าเฝ้านั้นก็มี เกล แฟรี่ และลูฟี่นั่นเอง ทันใดนั้นอเล็กซิสก็มองไปที่หญิงสาวผมสีน้ำตาลยาว ดวงตาสีฟ้ำที่ชื่อว่าแพทริเซีย เมอร์ด็อกที่ถูกมัดอยู่ที่ข้อมือ และปากขึ้น แพทเห็นดังนั้นก็โมโหเล็กน้อยก่อนที่พยายามจะใช้พลังจิตของเธอ หากว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ที่หน้าผากของเธอเหมือนกับสัญลักษณ์ที่เขียนด้วยเลือดเป็นอาคมบางอย่าง นั่นทำให้แพทไม่สามารถใช้พลังจิตได้ อเล็กซิสเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้มเบาๆ
"แล้วกัปตันลูฟี่มาทำอะไรรึ" อเล็กซิสพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่ลูฟี่ที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่เบาๆ
"จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เจอกันคือที่แถบทะเลแอมาดอร์ที่เจ้านำขบวนเรือของเจ้าตีล้อมขบวนเรือประมงของเมืองข้าแตก และเจ้าก็เอาดาบแทงไปที่ท้องของข้าเกือบทำข้าตายในตอนนั้น ถูกใช่มั้ยลูฟี่"
"นี่นายทำงั้นจริงๆหรอเนี่ย นั่นเชื้อสายผู้กล้านะ" แฟรี่กระซิบลูฟี่ที่คุกเข่า่อยู่ข้างๆ
"ข้าไม่รู้" ตัวลูฟี่กระซิบกลับก่อนจะชะโงกหัวหาอเล็กซิส
"แต่ตอนสงครามข้าก็สนับสนุนฝั่งแม่ท่านนะ ท่านอเล็กซิส ข้าร่วมรบคู่กับนางในสงครามอ่าวแอมาดอร์ และกำราบทัพเรือของอเล็กซิส ฟอร์นัสลงได้-"
"แต่เจ้าก็เกือบฆ่าข้าอยู่ดีนั่นแหละ.." อเล็กซิสพูดความจริงจากปากออกมาก่อนจะกลับไปนั่งลงที่เดิม
"ยังไงก็ขอขอบพระคุณมากนะคะ ท่าน.." สเตลล่าพูดขอบคุณแทนพี่ชา่ยของเธอ
"เกล ค่ะท่านลอร์ดเสตลล่า" เกลบอกชื่อของเธอกับเสตลล่าขึ้น เสตลล่าได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าขึ้นแล้วพูดต่อ
"ขอบพระคุณมากนะ เกล ที่ช่วยพาแพทกลับมาที่นี่ได้ เราต้องการไต่สวนเธออย่างมากเลยล่ะ รู้มั้ย แพท" ตัวเสตลล่าพูดกับแพทที่ถูกมัดปากอยู่ แพทได้ยินดังนั้นก็มองเสตลล่ากลับไปด้วยสายตาที่พร้อมจะเข่นฆ่าทุกคนในห้องนี้
"แล้วต้องการอะไรตอนแทนล่ะ" ตัวเสตลล่าเอ่ยถามขึ้น เกลได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเบาๆแล้วพูดตอบ
"เราต้อง-"
"เราต้องการเรือดี ๆ หนึ่งลำพร้อมกับลูกเรือที่มีฝีมือพร้อมครับ ท่านลอร์ดเสตลล่า" ไม่ทันที่เกลจะพูดจบ ตัวลูฟี่ก็แย่งพูดไปก่อน เกลเห็นดังนั้นก็เอนสายตามองไปที่ลูฟี่ด้วยสายตาที่โมโหเป็นอย่างมาก ลูฟี่เห็นดังนั้นก็ยิ้มกวนตรีนกลับไปให้เกล
"ดิชั้นถามเกลไม่ใช่กัปตันลูฟี่ค่ะ-" เสตลล่าพูดกับลูฟี่ขึ้น ทว่าลูฟี่ได้ยินดังนั้นก็รีบตอบกลับไปทันที
"กระผมมากับคุณเกลและแฟรี่แถามผมยังช่วยพวกเขาจับแพทริเซียอีกพะยะค่ะ" ตัวลูฟี่พูดขึ้นด้วยแววตาที่ซซื่อสัตย์ อเล็กซิสเห็นดังนั้นก็มองไปที่เกลที่นั่งอยู่ทันที เกลเห็นแววตาของอเล็กซิสก็ตอบกลับไป
"จริงพะยะค่ะ" เกลพูดเหมือนรับความจริงไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเศร้าหรืออะไรเข้าข่ายไม่อยากพูดถึงมากกว่า
"แต่ข้าเข้าข้างความเห็นสตรีมากกว่าฉะนั้นคุณเกลและคุณแฟรี่ต้องการอะไรเหรอครับ" อเล็กซิสเอ่ยถามเกลกับแฟรี่อีกครั้งหนึ่ง ลูฟี่เห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ เล็กน้อย
"ม้าสองตัวพะยะ-"
"สาม ! สาม !" ไม่ทันที่เกลพูดจบลูฟี่ก็เข้ามาขัดอีกครั้ง
"ค่ะ ๆ สามตัวพะยะค่ะ" เกลพูดต่อจนจบเหมือนรำคาญลูฟี่
ณ ลานประลองเมืองฟอร์นัส ที่มีผู้คนดูอยู่เป็นร้อยคน ซึ่งแทบทุก ๆ คนนั้นต่างเป็นขุนนางราชวงศ์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกหนแห่งในโบเรเนียทั้งนั้น บนที่นั่งที่สูงพิเศษกว่าใคร ๆ นั้น มีเอการ์ ซาเอทัจ และภรรยาของเขา ไดอาน่า การ์เซส กับลูกของพวกเขานั่นคือ ซามันทัส ซาเอทัจ ว่าแล้วเอการก็ยกมือของเขาขึ้นมา ทุก ๆ คนเริ่มเงียบลงเพื่อตั้งใจฟังคำพูดของเอการ์ เอการ์เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นยืน
"ขอให้ในการประลองในครั้งนี้มีพระเจ้าแห่งโดเรียร์เฝ้ามองและเป็นสักขีพยานอยู่ ให้คมดาบของผู้พิพากษาเผื้อนเลือดหากมันทำความผิดจริง ให้คมดาบของผู้ถูกไต่สวนนัยหากพวกเขาบริสุทธ์ และ.." เอการ์กำลังจะพูดต่อแต่ภรรยาของเขาไดอาน่าเข้ามากระซิบเอการ์ที่ยืนอยู่ เอการ์ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าก่อนจะพูดต่อ
"ให้ช่างหัวคำพูดที่เหลือและเริ่มการไต่สวน ณ บัดนี้ !" เอการ์ตะโกนขึ้นด้วยรอยยิ้มของเขา เหล่าขุนนางราชวงศ์ต่าง ๆ ได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นปรบมือ ทันใดนั้น อาร์มันโด้ ตัวแทนของผู้ถูกไต่สวนนั่นคือตัวเขาและดิลเลี่ยนก็ค่อยๆเดินเข้ามาพร้อมกับดาบที่เอการ์เตรียมไว้ให้ มันคือดาบที่สร้างจากเหล็กดำซึ่งว่ากันว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ในโลก สามารถผ่าเหล็กได้ทุกชนิด
ว่าแล้วระหว่างที่อาร์มันโด้กำลังยืนรอผู้พิพากษาของเขาอยู่ จู่ ๆ ประตูกรงขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าอาร์มันโด้ก็เปิดขึ้น เสียงกระทบขออะไรบางอย่างดังออกมาทีละรอบเหมือนกับเป็นก้าวเท้าของอะไรบางอย่าง ว่าแล้วเบื้องหน้าของอาร์มันโด้ ก็พบกับมนุษย์ร่างยักษ์ที่สูงกว่าอาร์มันโด้ประมาณ 3 เท่า มือของยักษ์ผู้นี้ถือกระบองยักษ์ที่สูงได้พอ ๆ กับขนาดตัวของอาร์มันโด้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทำไมดิลเลี่ยนถึงกลัวมากในครั้งนี้ เมื่ออาร์มันโด้เห็นดังนั้นก็แสยะยิ้มออกมา ก่อนที่จะเหวี่ยงดาบไปมาด้วยความสำราญ ก่อนจะสะบัดดาบไปที่พื้นอีกครั้งและตั้งท่าพร้อมที่จะสู้่กับเจ้ายักษ์ตัวนี้
"นี่สิ เหตุผลให้มาทำภารกิจที่นี่น่ะ"
_______________
5 วันก่อน ณ คฤหาศน์ขุนนางริห์ม ประเทศเอลลาส อีกมิติหนึ่ง
"พี่ดิลเลี่ยน เชื่อผมสิ อย่าไปที่นั่นเลย" เดวิดรีบวิ่งขึ้นไปบนบันไดท่ามกลางความรีบร้อนและเร่งรีบในจิตใจของเขา วิ่งตามขึ้นไปก่อนจะเข้าไปสะกิดไหล่ของดิลเลี่ยนที่กำลังเดินขึ้นไปบนห้องของเขาเพื่อเก็บข้าวของเตรียมออกไปที่เมืองอตอมอส เมืองหลวงของโบเรเนียที่มีกษัตริย์ของโบเรเนียปกครองอยู่อย่างบาร์เนส ซาเอทัจ ตัวดิลเลี่ยนถูกสะกิดก็หันกลับมาหาเดวิดที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา
"มันไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่นั่นในยามนี้ รอดูก่อนว่าการค้าขายในเมืองเรเวนมันดีหรือเปล่าก่อน แล้วพี่ดิลเลี่ยนค่อยไปก็ยังไม่สายสักหน่อย" เดวิดพูดด้วยเหตุผลที่เขามีและนึกขึ้นได้ ตัวดิลเลี่ยนได้ิยนดังนั้นก็หัวเราะเบาๆแล้วยิ้มขึ้นมา
"มันอาจไม่จำเป็นแต่.. เราต้องการรู้ว่าสินค้าของเรามันค้าขายได้ดีเท่าเทียมกันรึเปล่า และอีกอย่างชั้นไปที่โบเรเนียเพื่อเป็นตัวแทนของเมืองเรเวนในงานมอบชื่อของหลานกษัตริย์บาร์เนสด้วย คิดดูสิ ประสบการณ์อย่างนี้ เดี๋ยวถ้าถ่ายบรรยากาศมาได้จะเอามาให้ดูแน่ชั้นสัญญาเดวิด" ดิลเลี่ยนพูดพลางยิ้ม
"แต่มันมีศัตรูที่หมายปองชีวิตคุณอยู่ข้างนอกนะ พี่ดิลเลี่ยน-"
"ช่างหัวมันสิ มีอาร์มันโด้อยู่ทั้งคน ใช่มั้ย" ดิลเลี่ยนตอบกลับไปก่อนจะเข้าไปในห้องของเขาก่อนจะหันกลับมาหาเดวิดที่ยืนมองดิลเลี่ยนอยู่
"ชั้นไม่เป็นอะไรหรอก กับอีแค่ไปพบกับราชวงศ์อีกมิติไม่แย่นักหรอก" ดิลเลี่ยนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มแล้วปิดประตูห้องของเขาเพื่อเก็บข้าวของ ภายในห้องนั้นมีอาร์มันโด้นั่งเก็บข้าวของของเขาอยู่เหมือนกัน หากทว่าของ ๆ เขาแทบจะมีแต่กระสุนปืน อาวุธ เกราะ ระเบิดต่าง ๆ จนเรียกได้ว่าเก็บอาวุธน่าจะดีกว่า
"นั่นข้าวของนายเหรอ อาร์มันโด้" ดิลเลี่ยนถามก่อนจะเปิดกระเป๋าของตนขึ้นมาแล้วค่อยๆนำเสื้อผผ้าที่พับไว้แล้วใส่เข้าไป
"ใช่ .. เจ้านี่ใช้หุบปากแกตอนเดินทาง" อาร์มันโด้พูดขึ้นพร้อมกับถือปืนพกสีดำของเขาขึ้นมา ดิลเลี่ยนเห็นดังนั้นก็พยักหน้าไปมาก่อนจะพูดต่อ
"มุกนี้เล่นไปแล้วนะ"
"แต่ก็ได้ผลเสมอ"
"เออ มรึงพูดถูก"
"ได้ข่าวมาว่าพวกนาระกำลังจะนำทัพไปที่ช่องเขาดิเอลนี่ ท่านพี่ไม่ไปด้วยเหรอ" ในขณะเดียวกันตัวเสตลล่าที่ถือแก้วไวน์สีแดงค่อยๆจิบออย่างบรรจงในห้องของอเล็กซิสก็ทักทายถามอเล็กซิสขึ้น อเล็กซิสที่นั่งเขียนบางอย่างอยู่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจขึ้นแล้วตอบกลับไป
"ส่งคนไปให้แล้ว 128 คน ล้วนเปนทหารฝีมือดีทั้งหมด"
"แล้วได้นับพี่ด้วยรึเปล่า" ทันทีที่อเล็กซิสพูดจบตัวเสตลล่าก็ถามอีกอย่างรวดเร็วทันที
"ทันทีที่ข้าไปจากคฤหาศน์ พวกที่คิดร้ายกับพวกเราก็จะบุกมาทันที ไม่เห็นเหรอแค่ 2 คืน ฑูตจากต่างมิติและคนรับใช้ที่ดีที่สุดแทบจะตายไปแล้ว"
"ข้าจะไม่ทิ้งคฤหาศน์นี้อีกแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ทิ้งเจ้าไว้ที่นี่แน่ น้องสาวของข้า" อเล็กซิสพูดพร้อมกับลุกขึ้นมาจับใบหน้าของเสตลล่าอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ว่าแล้ว
"อีกอย่าง เกเบรียล ชารล์ก็ไปด้วยกับกองทัพของนาระ" ทันทีที่อเล็กวิสเอ่ยชื่อเกบ ตัวเสตลล่าก็สำลักน้ำไวน์ที่ตนเองดื่มทันที ก่อนจะตั้งตัวใหม่ได้แล้วพพูดต่อ
"อสุรนั่นล่ะนะ พวกเขาจะไปโจมตีพวกปีศาจแต่เอาอสุรกายที่ฆ่ามนุษย์มานับพันมาแล้วเนี่ยนะ" เสตลล่าถามไปเพื่อความแน่ชัด อเล็กซิสได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นก่อนจะตอบกลับไป
"นั่นมันข่าวลือ เสตลล่า" อเล็กซิสตอบด้วยรอยยิ้มที่ตลกขบขัน
"ตอนแรกข้าเข้าใจผิดว่าเป็นผู้สืบทอดของมัตซึอุระ ริกะแห่งอาร์ธีร์ แต่จริงๆก็แค่มนุษย์ธรรมดาที่เกิดในเอเลเนียร์และโตในเมืองเยเกอร์ ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่เมืองมาร์เจนต้า รู้สึกบอกจะตามหาพ่อของตนอยู่นะ" อเล็กซิสอธิบายความเป็นมาให้เสตลล่าฟัง ก่อนจะมองไปที่ผนังกำแพงที่มีภาพของชายไว้หนวดเคราและผมสีน้ำตาลเข้มสวมเกราะสีแดงสลับสีทองอยู่
"แค่ฟังก็นึกว่าซาเอ็น ซาเอทัจเกิดใหม่แล้วว่ามั้ย
"ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจแรกเริ่ม"
"ได้ชื่อว่าหาตัวยากมาก"
"สลับแค่เกิดที่เมืองเยเกอร์ โตที่เมืองเอเลเนียร์ แล้วย้ายไปอยู่ที่เมืองเรเวน ได้ยินว่าฝีมือก็ใกล้เคียงกับซาเอ็นมากเลยนะ แต่ต่างกันที่อย่างเดียว"
"เสน่ห์กับผู้หญิง ได้ยินว่าจีบผู้หญิงไม่ติดสักรายเลยล่ะ"อเล็กซิสแอบนินทาตัวเกบเล็กน้อย เสตลล่าได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้น
"ชั้นได้ยินมาว่าท่านแม่ มัตซึอุระ ริกะ อาเรีย ฟอร์นัส และแม้แต่มาราอุสต่างตกหลุมรักเขานะ" เสตลล่าพูดก่อนจะดื่มไวน์จากแก้วของนางจนหมดเกลี้ยงก่อนจะวางลงไปบนโต๊ะทำงานของอเล็กซิส อเล็กซิสได้ยินดังนั้นก็พูดต่อ
"มีข่าวลือในอดีตว่าเขาทำผู้หญิงท้องในเอเลเนียร์แล้วหนีมาทำศึกกับกษัตริย์ชั่วนั่นแล้วสูญเสียความทรงจำนะ" อเล็กซิสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูโศกเศร้าหดหู่ตามเรื่องที่เขากำลังเล่าอยู่เล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
"และบ้างก็บอกว่าผู้หญิงที่เขาทำท้องตายในสนามรบพร้อมกับลูกในท้อง"
"มันจะมีตอนจบที่สวยงามไม่นะ พวกเรื่องราวพวกนี้เนี่ย" เสตลล่าถามตัวอเล็กซิสที่มองภาพวาดของซาเอ็นอยู่
"ตอนจบที่สวยงามนั้นมีเพียงช่วงที่คนลืมความจริงไปเท่านั้น"
ณ คุกใต้ดินของเมืองฟอร์นัส ประเทศโบเรเนีย อีกมิติหนึ่ง
ความมืดมิด ว่ากันว่าเป็นสิ่งๆเดียวที่สามารถทะลายความหวังได้ และเป็นสิ่งเดียวที่ความหวังสามารถทะลายลงได้ ปราศจากความมืด ปราศจากความหวัง ปราศจากความหวัง ก็ยังคงมีความมืดคอยปกคลุมอยู่ และในตอนนี้ความมืดนั้นเข้าคลอบงำจิตใจของดิลเลี่ยนภายในคุกจนแทบจะสมบูรณ์แล้วนับตั้งแต่ที่เขาถูกจองจำพร้อมกับอาร์มันโด้และจะต้องประลองให้ชนะจึงจะพ้นโทษนี้ลงได้ หากทว่าตัวดิลเลี่ยนเห็นแล้วว่าชัยชนะนั้นไม่มีวันเข้าข้างตัวเขา เขาเห็นศัตรูแล้วและไม่คิดแม้แต่น้อยว่าสามารถสังหารมันได้
หากทว่าตัวอาร์มันโด้ที่ถูกขังในห้องเดียวกันนั้นไม่คิดอย่างนั้นเลยว่าจะไม่ชนะ เขาเอาแต่นั่งจ้องผนังห้องที่เขาถูกขังอยู่ โดยไม่คิดอะไรแม้แต่น้อย เหมือนกับในหัวของเขาตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว คือความว่างเปล่า
"คิดว่าเราจะรอดมั้ย อาร์มันโด้ ไอโทษกล่าวหาฆ่ากษัตริย์เนี่ย" ดิลเลี่ยนทักถามอาร์มันโด้ที่จ้องผนังอยู่ อาร์มันโด้ได้ยินดังนั้นก็หันมาหาดิลเลี่ยนก่อนจะพูดตอบ
"ภารกิจชั้นคือไม่ให้เอ็งตาย เอ็งก็ต้องไม่ตาย" อาร์มันโด้พูดตอบกลับก่อนจะจ้องผนังเช่นเดิม
"ไอ้ที่เราต้องสู้มันไม่ใช่อะไรที่จะพูดแบบนั้นง่ายๆเลยนะ อาร์มันโด้ นั่นยักษ์นะเว้ย กระสุนปืนอาจฆ่าได้แต่มันไม่ให้ใช้ ใช้แต่มีด มันมีทางชนะด้วยหรอวะ" ดิลเลี่ยนสบถออกมาก่อนจะต่ยลงไปที่พื้นด้วยความโมโห
"แค่ใหญ่กว่าหน่อยนึงไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก" อาร์มันโด้ตอบกลับไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทันใดนั้นเองจู่ๆห้องขังที่มึดมิดนี้ก็เปิดออก แสงลัดลอดออกจากความมืดที่มิใช่แสงเทียนภายในห้อง มันคือแสงของคบเพลิงที่ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ในชุดอัศวินคนหนึ่งถือเข้ามา ดิลเลี่ยนเห็นดังนั้นก็หัวเราะขึ้นเบาๆก่อนจะค่อยๆขยับมานั่งพิงผนังห้องขัง
"มาทำอะไรเหรอ ลูกชายของบาร์เนส" ตัวดิลเลี่ยนทักทายชายผมสีบลอนด์คนนี้ ชายผมสีบลอนด์ได้ยินดังนั้นก็วางคบเพลิงลงไปบนเสากลางห้อง ก่อนจะจ้องมองดิลเลี่ยนที่มองหน้ากลับด้วยความมั่นใจ
"ชั้นรู้ว่านายไม่ได้ฆ่าบาร์เนส" ชายผมสีบลอนด์พูดขึ้น
"แล้วทำไมถึงยังปล่อยให้มีการไต่สวนล่ะ เอการ์" ดิลเลี่ยนถามต่อ เอการ์หรือชายผมสีบลอนด์ได้ยินดังนั้นก็คว้าบางอย่างออกมาจากด้านหลังของเขา มันคือกระบอกน้ำเล็กๆที่มีน้ำอยู่เต็มกระบอก ตัวดิลเลี่ยนเห็นดังนั้นก็ยื่นมือเข้าหาขอกระบอกน้ำนั้น ตัวเอการ์ก็มอบให้ด้วยความใจดีก่อนจะตอบต่อ
"แค่ต้องการจะให้แน่ใจว่าจริงรึเปล่า ถ้าจริงอย่างน้อยต้องมีสู้บ้างหน่อยแหละ"
"อีกอย่างเหตุจุงใจก็ไม่มี ชั้นว่าแม่ชั้นบ้าเองมากกว่าที่สั่งไต่สวนนายน่ะ" เอการอธิบายสาเหตุต่อ ดิลเลี่ยนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบก่อนจะดื่มน้ำทันที อาร์มันโด้เห็นดังนั้นก็ขบิมปากเหมือนหิงวน้ำเข่นกัน ตัวดิลเลี่ยนเห็นดังนั้นก็หยุดดื่มแล้วส่งให้ ตัวอาร์มันโด้จึงคว้ามาจิบเบาๆบ้างก่อนจะส่งคืนให้เอการ์ เอการเห็นดังนั้นก็รับคืนก่อนจะเก็บไว้ที่เดิม
"พยายามเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ พรุ่งนี้เช้าการไต่สวนจะเริ่มขึ้น ชั้นเชื่อว่าพวกนายสู้ได้นะ" เอการ์ตอบก่อนที่จะเดินออกจาห้องขังไปทันที ทว่าดิลเลี่ยนนั้นเรียกตัวเอการ์ก่อนที่เขาจะออกไปก่อน
"เอการ์ !.."
"ถ้านายคุมเมืองเมื่อไหร่บอกด้วยว่าให้ทหารยามอยู่ทุกที่ทั่วปราสาทเลยเข้าใจนะ จะได้ไม่ต้องเป็นแบบชั้นอีก" ตัวดิลเลี่ยนพูดเพื่ออนาคตของเมือง เอการ์ได้ยินดังนั้นก็พยักตอบกลับพร้อมรอยยิ้มที่หล่อเหลาของเขาแล้วเดินจากไป
"ชั้นไม่แปลกใจเลยทำไมเมียสวย หล่อเกือบเท่าชั้นเลยว่ะ"
"...." ตััวอาร์มันโด้เงียบแล้วถอนหายใจไปเลยครับคุณผู้อ่าน
ณ ที่ใดสักแห่งในประเทศอาร์ธีร์ อีกมิติหนึ่ง
"ท่านฝ่าบาท" ชายแก่ที่รีบร้อนคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่ง เมื่อตัวเขาเปิดประตูออกมาก็พบกับผ้าม่านสีแดงคลุ่มเตียงๆหนึ่งอยู่ซึ่งดูเหมือนมีใครบางคนนอนอยู่ในปัจจุบัน ตัวชายแก่มองไปรอบๆก็เห็นของประดับในโบราณมากมายหลากหลายหากทว่าก็ไม่ได้ดูศกดิ์สิทธิ์อะไรมาก บ้างก็แค่มีดเล็ก ๆ ทื่อ ๆ บ้างก็ ขลุ่ยที่มีสนิมขึ้น บ้างก็กำำไลข้อมือที่ทำจากทองประดับด้วยอัญมณีมากมาย ทันใดนั้นเองประตูนั้นก็ปิดเองโดยที่ชายแก่ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
"ข่าวสารในวันนี้คือ.." เสียงของเด็กสาวดังออกมาจากเด็กคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อตัวชายแก่ได้ยินดังนั้นก็คุกเข่าลงมองกับพื้นก่อนจะเอ่ยปากขึ้น ทันทีที่ชายแก่คุกเข่าลงนั้นเอง ผ้าคลุมนั้นก็เปิดออก เด็กสาวค่อยๆขยับตัวลงมาจากเตียง ยืนอยู่เบื้องหน้าของชายแก่ ทว่าชายแก่ไม่เห็นใบหน้าของเธอ เห็นเพียงเท้าเปล่าที่มีสีขาวดุจดั่งพระจันทร์
"น.. นาระได้ยกทัพผ่านเมืองเอเลเนียร์ไป สายของเราบอกว่าจะมุ่งไปที่ช่องเขาดิเอลที่มีซีโนโซเฟียสประทับอยู่ ตอนนี้ทัพของนาระนั้นยังคงเคลื่อนพลเรื่อยๆและน่าจะถึงที่หมายในอีก 3 วันพะยะค่ะ" ตัวชายแก่พูดบอกข่าวที่เขาทราบขึ้นมา เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็เดินผ่านชายแก่คนนั้นไป ก่อนที่จะเมีเสียงของเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอนั้นตกลงมาสู่พื้น ชายแก่คาดว่าเธอกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธออยู่
"แล้วไงต่อ" ตัวเด็กสาวถามขึ้นพร้อมกับคว้าชุดหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะที่มีเสื้อผ้าพับเรียงไว้เป็นระเบียบ
"กษัตริย์บาร์เนส ซาเอทัจแห่งโบเรเนียเสียชีวิตแล้วพะยะค่ะ" ทันทีที่ชายแก่เอ่ยข่าวนี้ขึ้น เด็กสาวนั้นคว้าสายตามองไปที่ชายแก่ทันที ก่อนที่ตัวเด็กสาวที่แต่งตัวเสร็จแล้วจะค่อยๆเดินมานั่งบนเตียงแล้วถามคำถามหนึ่งขึ้น
"ใครเป็นคนทำ" ตัวเด็กสาวถามชายแก่
"สายบอกว่าอาจเป็นดิลเลี่ยน อาร์วิเนล .. ฑูตจากต่างโลก" ชายแก่ตอบคำถามไป
"ต่างโลก ?" ตัวเด็กสาวขานคำนี้อีกรอบเพื่อความแน่ชัด ก่อนที่เธอจะค่อยๆยกใบหน้าของชายแก่ขึ้น เมื่อชายแก่มองขึ้นไปก็เห็นเด็กสาวผิวขาวซีด ผมสีดำสั้น ดวงตาสีม่วงอ่อน และกลิ่นกายที่เม่อดมแล้วรู้สึกหอมหวานยั่วยวนชายแก่คนนั้น เมื่อเด็กสาวคนนั้นเห็นหน้าชายแก่แล้วก็หัวเราะขึ้นเบาๆ ก่อนที่เธอจะยกเท้าขึ้นมาแล้ววางบนไหล่ของชายแก่คนนั้นทั้งสองข้าง นั่นทำให้ชายแก่มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ชุดของเธอ
"เจ้าไม่ได้โกหกสินะ ใช่มั้ย" เด็กสาวคนนั้นพูดขึ้นอย่างแก่แดด ก่อนที่จะลดขาลงมานั่งท่าเดิม ชายแก่ที่เห็นไปก็ก้มหัวลงใหม่อีกครั้งด้วยความละอายใจของตน
"ข้าว่าไม่มีทางที่บาร์เนสจะตายโดยฑูตหรอก ถึงเขาจะอ่อนหัดแต่ก็มีศิลปะป้องกันตัวที่สุดยอดอยู่เหมือนกัน และยังเป็นมิตรกับแทบทุกคนอีกต่างหากเหตุจูงใจนี่อย่าพูดถึงเลย"
"จะให้สืบเรื่องนี้หรือมั้ยพะยะค่ะ" ชายแก่คนนั้นถามเด็กสาวขึ้น ตัวเด็กสาวก็แสยะยิ้มอย่างน่ารักขึ้นก่อนจะตอบกลับไป
"แน่นอน เริ่มที่สองพี่น้องนักฆ่าเมอร์ด็อกแล้วกัน.."
"คนน้องนะ มือขวาคนใหม่ ข้าสงสัยคนน้องที่สุดแล้วในคดีนี้ ความสัมพันธ์ของแพทริเซียกับบาร์เนสนั้นมันอาจเป็นเหตุก็ได้" ตัวเด็กสาวพูดอย่างแก่แดดและเหมือนจะรู้อะไรมากมาย ก่อนที่จะสะกิดตัวชา่ยแก่คนนั้นขึ้น ชายแก่คนนั้นจึงค่อยๆลุกขึ้นมาตามคำสั่งของเด็กสาว
"ขอตัวนะฝ่าบาท" ชายแก่คุกเข่าลงก่อนจะค่อยๆเดินออกไปจากห้องของเด็กสาวแล้วปิดประตูเอง เมื่อเด็กสาวเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจก่อนจะไปนอนใหม่บนเตียงของตนอีกครั้ง
"เราต้องจัดการกับเรื่องนี้แล้วสินะ .."
"เดี๋ยวไปที่เมืองเรเวนในพรุ่งนี้เช้าแล้วกันน่าจะสักสัปดาห์ถึงจะถึง"
ณ กลางดึกภายในร้านเหล้วแห่งหนึ่งในเมืองเรเวน ประเทศเอลลาส อีกมิติหนึ่ง
"เจ๊ ขอไวน์อีก !" ชายไว้หนวดคนหนึ่งโบกมือเรียกบาร์เทนเดอร์สาวที่กำลังรินเหล้าลงไปให้ลูกค้าท่านอื่นอยู่ เสียงพูดคุย ร้องเพลงนั้นรื่นเริงเต็มไปหมด เต็มไปด้วยชายหญิงมากมายเข้ามาในที่แห่งนี้
"จ้า ๆ !" บาร์เทนเดอร์ตะโกนกลับไปก่อนจะรีบรินไวน์ลงไปในแก้วๆหนึ่งก่อนที่จะรีบเดินตรงไปที่ชายไว้หนวดคนนั้นแล้ววางลงไปบนโต๊ะ
"มีตังค์จ่ายใช่มั้ยเนี่ย" บาร์เทนเดอร์สาวคนนั้นพูดกับชายไว้หนวดพร้อมรอยยิ้มที่ตลกขบขันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะไปเบาๆ
"มีสิ ไปเอามาจากบ้านกะลาสีของชั้นแล้ว แต่ไม่รับประกันว่าจะจ่ายนะ" ชายไว้หนวดคนนั้นพูดกลับพร้อมกับหัวเราะตาม ตัวบาร์เทนเดอร์สาวได้ยินดังนั้นก็ตอบต่อ
"ค่า ๆ คุณกัปตันลูฟี่ เอส" ตัวบาร์เทนเดอร์สาวหัวเราะต่อก่อนจะรีบเดินกลับไปที่เดิม ลูฟี่ได้ยินดังนั้นก็ยกแก้วไวน์ของตนขึ้นก่อนจะดื่มหมดในคราวเดียว ทันใดนั้นเอง
"แล้วสรุปพาเรามาทำไมที่นี่เนี่ย คุณลูฟี่" เกลนี่นั่งคุ่นเครียดอยู่ตรงข้ามลูฟี่พูดขึ้น ตัวลูฟี่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นแล้วพูดต่อ
"มาดื่มไวน์ไง ที่นี่ดังมากเลยนะเรื่องไวน์เนี่ย" เกลได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆก่อนจะพูดต่อ
"เจ้าบอกจะไปเอาเรือมาให้แล้วพาเราไปที่ช่องเขาดิเอลนี่ จำไม่ได้แล้วเหรอ" ตัวเกลพูดขึ้น ก่อนที่แฟรี่ที่นั่งอยู่ข้างๆกันจะหัวเราะขึ้นอย่างมัวเมา ดูเหมือนแฟรี่จะเริ่มเมาแล้ว ตัวลูฟี่เห็นดังนั้นก็ยิ้มตามเบาๆ
"เดี๋ยวพาไปไง ไม่ต้องห่วงหรอก ข้ารู้จักกับอเล็กซิสมาก่อนแล้ว ตกลงกันได้น่า" ตัวลูฟี่พูดขึ้นพร้อมกับวางเหรียญทองลงไปบนโต๊ะทั้งหมด 3 เหรียญทอง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่พวกเขาดื่มรวมกันทั้งหมด 20 แก้ว .. ถึงส่วนใหญ่จะลูฟี่เกินครึ่งที่รวมก็เถอะ ว่าแล้วลูฟี่ก็ค่อยเดินไปหาแฟรี่แล้วอุ้มเธอขึ้น เกลเห็นดังนั้นก็ระแวงเล็กน้อยพร้อมกับเดินตามลูฟี่ออกไปนอกร้าน
"ว่าไงท่านเจ้าหญิง" ลูฟี่ทักทายแฟรี่ที่อุ้มอยู่ แฟรี่เห็นดังนั้นก็สะบัดตัวลงมายืนด้วยตัวเองก่อนจะมองไปที่ลูฟี่ เกลเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ
"ออกจากร้านทำไมล่ะ ยังสนุกไม่พอเลย-"
"อย่าเชียวนะ ขืนเมาขึ้นมาชิบผายชัวร์" ลูฟี่พูดตามสิ่งที่ตนเองสัมผัสได้ ก่อนจะมองไปที่เกล
"ยัยนี่เมาง่ายขนาดนี้เลยเหรอ"
"พวกเราทั้งคู่น่ะแหละ ข้าดื่มไปแค่แก้วเดียวเลยไม่เป็นไรน่ะ" เกลพูดพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
"ได้ข่าวยัยนี่ดื่ม 3 แก้วเองนะ" ลูฟี่พูดด้วยความงุนงง
"ฝึกให้ดื่มเก่งกว่านี้ก็ดีนะ เผื่อมีปีศาจพ่นไวน์ได้น่ะ" ลูฟี่แซวเล่นเบาๆ เกลได้ยินดังนั้นก็โมโหเล็กน้อย ส่วนแฟรียังคงมึนเมาอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้นเอง
"เดี๋ยวนะ นั่นมัน.." ตัวเกลมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งจากระยะไกล หากทว่าลูฟี่และแฟรี่นั้นแทบมองไม่เห็นเลย
"แพทริเซีย เมอร์ด็อก ใช่มั้ยน่ะ" ตัวเกลพูดขึ้นโดยไม่แน่ใจก่อนจะรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อดูให้ชัดขึ้น ตัวแฟรี่และลูฟี่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามทันที
"เธอตอนเมานี่ก็ดูไม่ผิดแปลกอะไรนี่-"
"หุบปาก"
"....." ลูฟี่เจอไปนี่สตั๊นท์ยาว ๆ ครับ ก่อนที่แฟรี่จะรีบวิ่งนำลูฟี่ไปก่อนอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันตัวเกลนั้นรีบวิ่งไปถึงจุดๆหนึ่ง จุดที่มองเห็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลได้อย่างชัดเจน เมื่อเกลเห็นดังนั้นก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาลนฟ้า ว่าแล้วจู่ ๆ ธนูสีดำก็อยู่บนมือของเกลทันที เหมือนกับถูกอากาศบดบังอยู่และตอนนี้ก็เลือนหายไปแล้ว เกลค่อย ๆ ง้างธนูขึ้นพร้อมกับลูกศร ก่อนจะยิงไปทันที เข้าใส่หญิงสาวผมสีน้ำตาล ทว่าตัวหญิงสาวคนนั้นหันกลับมาก่อนจะชูมือขึ้นทั้งสองข้างของเธอ แสงสีแดงนั้นแผ่ออกมาจากมือเธอ หยุดลูกธนูกลางอากาศไว้ได้ก่อนที่ตัวเธอจะเริ่มมองเห็นผู้ที่ยิงลูกธนูใส่เธอ เกลนั้นเอง
"แพทริเซีย เมอร์ด็อก" เกลพูดด้วยรอยยิ้มบางอย่างที่ดูเจ้าเล่ห์ ตัวแพทเห็นดังนั้นก็เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย เหมือนจะคุ้นเคยกับหน้าตาของคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ
"ทำไมนักรบเวทย์ถึงยิงลูกธนูใส่นักฆ่าเหรอคะ ได้ข่าวว่านักรบเวทย์ล่าแต่ปีศาจกับมังกรนี่" แพทพูดกลับพร้อมกับค่อยๆถอยหลังออกไปทีละก้าว ทีละก้าว เกลเห็นดังนั้นก็เดินหน้าตามพร้อมกับใส่ลูกศรลงไปเตรียมที่จะยิงออกไปอีกครั้ง
"นั่นธนูเทพเหรอ" แพทถามตัวเกลที่ง้างธนูอีกครั้ง
"เปล่า" เกลตอบสั้นชัดเจน ก่อนที่จะยิ้มอีกครั้ง
"และข้าก็ไม่ได้ยิงใส่เธอ" เกลพูดต่ออีกครั้ง ก่อนจะยิงธนูเข้าหาแพท ทว่าแพทอ่านเกมที่เกลคิดขึ้นทัน ก่อนจะหันหลังกลับไป เธอเห็นแฟรี่พุ่งเข้าหาเธอด้วยความเร็วก่อนจะคว้าธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยมือเปล่า แล้วใช้มันเป็นอาวุธ แพทเห็นดังนั้นก็เดินถอยหลังกลับไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายหนังสือพิมพ์เล็กๆร้านหนึ่ง เกลกับแฟรี่ก็เข้ามาล้อมตัวแพทเอาไว้ ไม่ให้หนีไปไหน ตัวแฟรี่นั้นหักลูกธนูทิ้งก่อนจะคว้ามีดสั้นสีดำเล็ก ๆ ขึ้นมา
"เราแค่จะจับเธอไปให้อเล็กซิส แพท ฟังข้าหน่อย" เกลพูดกับแพทที่กำลังหวาดกลัวอยู่เบา ๆ ขึ้น
"แล้วคิดว่าจับข้าได้เหรอ" ตัวเเพทถามขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้ม ว่าแล้วแพทก็นำมือทั้งสองข้างแตะลงไปกับพื้นถนนเล็ก ๆ นี้ ทันใดนั้นเอง ฝุ่นที่กระจัดกระจายทั่วถนนก็เข้ามารวมกันบดบังวิสัยทัศน์ของเกลและแฟรี่ทำให้มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
"คิดว่าแค่นี้จะพอเหรอ แพทริเซีย เมอร์ด็อก" เกลพูดขึ้น ก่อนที่จะเล็งธนูไปด้านขวาของเธอ เกลเห็นแพทยืนอยู่ ทว่า ก่อนที่เกลจะยิงลูกศรทัน แพทก็ต่อยใบหน้าของเกลไปก่อน เกลที่โดนไปก็ทรุดลงไปกับพื้นก่อนที่จะยิ้มขึ้นเบา ๆ
"ยุ่งกับผู้หญิงผิดคนแล้ว-" ไม่ทันที่เกลจะพูดจบ แพทก็ต่อยไปที่ใบหน้าของเกลอีกทีหนึ่ง เกลนั้นทรุดตัวลงไปก่อนจะพึมพำบางอย่างขึ้นแล้วเช็ดเลือดจากปากของเธอ แพทก็ถอยหลังออกมาก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเกลแล้วใช้เข่าพุ่งแทงไปที่ใบหน้าของเกล ทว่าเกลนั้นลุกขึ้นมาได้ก่อน แล้วใช้กำปั้นขวาของเธอ เหวี่ยงอัดไปที่ใบหน้าของแพทอย่างรุนแรง ตัวแพทนั้นปลิวไปชนกับร้านหนังสือพิมพ์เล็กๆ ฝุ่นจึงค่อยๆหายไปตามด้วยแพทที่ถูกเศษซากร้านพังทลายทับลงไป แฟรี่เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นมาดูอาการของพี่ของเธอที่ยืนงง ๆ อยู่
"เป็นไงบ้างพี่" แฟรี่ถามเกล เกลเห็นดังนั้นก็พยักหน้าไปมาสื่อว่า ไม่เป็นไร ก่อนจะรีบเดินเข้าไปค้นหาแพทใต้เศษซากนั้น แฟรี่เห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยตาม
"อยู่ไหนนะ ยัยตัวแสบ" เกลพูดขึ้นก่อนจะค้นจนสุดซึ่งไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนอกจากระดาษหนังสือพิมพ์ที่ขาดกระจุย ทันใดนั้นเองระหว่างที่ทั้งคู่ไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น แพทก็ค่อยๆเดินเข้ามาจากด้านหลังของพวกเธอด้วยสภาพที่สะบักสะบอมอยู่เล็กน้อย เลือดออกจากจมูกและปากจากแรงกระแทกของหมัดของเกลที่จู่ ๆ ก็แรงเหมือนช้างยักษ์บางอย่าง แพทก็ดึงมีดขึ้นมาเล่มหนึ่ง ก่อนจะโยนขึ้นไปบนฟ้า แสงสีแดงแผ่ออกมาปกคลุมมีด แพทค่อยๆควบคุมมีดมา เล็งไปที่แฟรี่ที่ยืนหาตัวแพทอยู่ ก่อนที่แพทจะพูดขึ้นเบา ๆ..
"วาฮัลลา ซิกส์" คำบอกลาของชนเผ่าลับในประเทศอาร์ธีร์ ทันใดนั้นมีดก็พุ่งไปอย่างรวดเร็ว แพทเห็นดังนั้นก็หันไปที่มีดที่พุ่งเข้ามา เธอยิ้มขึ้นเหมือนกับมันง่ายมากที่จะรับ ทันใดนั้นเองจู่ ๆ มีดที่แฟรี่เห็นก็ค่อย ๆ แยกออกเป็นมีดจำนวนที่นับไม่ถ้วยดพุ่งมาหาเธอ แฟรี่เห็นดังนั้นก็หลับตาลง พยายามที่จะนึกจากเสียงว่ามีดอยู่ไหน
"ฉึก !" เสียงของมีดปักลงไปที่ขาของแพทอย่างรุนแรง
แพทร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างกุมลงไปที่ขาของเธอ มีดที่ควรจะพุ่งเข้ามาแทงท้องของแฟรี่ก็ตกลงไปกับพ้นทันที เกลและแฟรี่เห็นดังนั้นก็หันไปหาแพทและพบว่าลูฟี่เป็นคนใช้มีดแทงลงไป ลูฟี่เห็นดังนั้นก็ดึงมีดออกจากขาของแพทก่อนที่จะใช้มือปิดแผลของแพทขึ้น แพทเห็นดังนั้นก็โมโหก่อนที่จะใช้มือของเธอควบคุมพลังจิต บีบคอของลูฟี่ขึ้น
"ข-ข้าช่วยเธออยู่นะ.." แพทที่บีบคอลูฟี่อยู่ได้ยินคำพูดของลูฟี่ที่พยายามปะติดปะต่ออยู่นั้นก็ไม่สนใจ ก่อนที่จะดันลูฟี่ออกไปด้วยพลังจิตของเธอ ร่างของลูฟี่ปลิวออกไปตกลงที่พื้น ลูฟี่ร้องออกมาเบา ๆ เล็กน้อย ก่อนที่จะพยายามใช้สายตาหันมองแพททั้งนอน เห็นเกลกับแฟรี่ช่วยกันทำอะไรบางอย่างกับแพทอยู่ ลูฟี่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ
"สรุปยัยแฟรี่ตอนเมาก็สู้เป็นอยู่หรอฟะ เชรี่ยหญิงสมัยนี้.." ลูฟี่ดูไม่สนใจอะไรเท่าไหร่นักแม้แต่น้อย"
เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ณ บ้านเด็กกำพร้าเมอร์ด็อก
"ปีเตอร์" ชายคนหนึ่งขานชื่อเด็กผมสีดำตัวน้อยๆคนหนึ่ง เมื่อเด็กผมสีดำได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปหาต้นเสียงนั้น นั่นคือชายผมสีดำสั้นไว้หนวดเครา ปีเตอร์รีบวิ่งขึ้นไปกอดชายคนนั้น ชายคนนั้นเห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
"นี่น้องสาวของเธอไง" ชายไว้หนวดคนนั้นพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มขึ้นแล้วก้าวถอยหลังออกมา เผยให้เห็นถึงเด็กสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งค่อยๆก้าวขาขยับเข้าไปหาปีเตอร์ ตัวปีเตอร์เห็นดังนั้นก็เข้าไปกอดเด็กสาวคนนั้น
"เธอชื่อแพทริเซียเป็นน้องสาวของเธอน่ะ เมื่อหลาย ๆ ปีก่อนถูกลักพาตัวไปน่ะ พ่อแม่ของเธอพึ่งพาตัวกลับมาได้คืนเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง" ตัวชายไว้หนวดคนนั้นพูดขึ้น
"ทำไมพ่อแม่ถึงไม่มาพาเราไปล่ะครับ" พีทพูดขึ้นพลางลูบหัวของแพทไป
"พวกเขายังไม่พร้อมที่จะเลี้ยงพวกเธอน่ะ เมื่อพร้อมเมื่อไหร่พวกเขาก็จะกลับมารับพวกเธอเองแหละ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงไป เจ้าหนูน้อย" ชายคนนั้นพูดขึ้นอย่างสุภาพและเป็นมิตร
"ครับ .. ขอบคุณนะครับ คุณเอสเตอร์"
"ไม่เป็นไรเจ้าหนู ถ้าไม่ว่าอะไร ขอตัวก่อนนะ" ตัวเอสเตอร์หรือชายไว้หนวดพูดขึ้นก่อนจะค่อยๆเดินออกจากสายตาของพีทกับแพทไป ว่าแล้วชายไว้หนวดนั้นก็เดินออกจากบ้านเด็กกำพร้าของพวกเขา แล้วเดินออกไปที่หลังบ้าน เอสเตอร์พบกับชายสองคน นั่นคือชายผมสีทองอร่าม ดวงตาสีแดงสนิท และ ชายที่มีผมและดวงตาสีน้ำตาลเช่นเดียวกัน เอสเตอร์เห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยปากพูด
"ทั้งคู่ปลอดภัยดีครับ" เอสเตอร์พูดขึ้น
"ทั้งคู่.. แน่ใจนะครับ ที่ให้กระผมลบความทรงจำแล้วให้พวกเขาอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าที่นี่" เอสเตอร์ถามทั้งคู่ ชายผมสีทองได้ยินดังนั้น
"สงครามครั้งนี้มันเสี่ยงเกินไป พวกเราอาจตายกันหมดก็ได้ หากทำอย่างนี้ อย่างน้อยลูก ๆ ของเราก็ไม่เสียใจกับการตายของพวกเรา ไม่คิดล้างแค้น และไม่ตายตามเรา" ตัวทราตัสพูดขึ้นก่อนจะหันไปหาชายผมสีน้ำตาลหรือบาร์เนส
"ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นลูกนอกสมรส หากตระกูลเราสิ้นเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะได้ครองบัลลังก์โดยชอบธรรมแทนได้ และนายจะต้องบอกพวกเขาเมื่อถึงเวลาอันควร เอสเตอร์" บาร์เนสพูดขึ้น เอสเตอร์ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆแล้วพูดต่อ
"หากพวกท่านคิดว่านี่ถูกต้องแล้วกระผมก็จะไม่ขัดขอรับ ฝ่าบาท" ตัวเอสเตอร์ตอบกลับไปพร้อมกับโค้งคำนับลง
"ขอให้กลับมาจากสมรภูมิรบอย่างปลอดภัยนะพะยะค่ะ"
"แน่นอน เอสเตอร์ พวกเราจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน" ตัวทราตัสพูดขึ้นก่อนจะกอดคอกับบาร์เนสแล้วเดินตรงไปจากบ้านกำพร้าทันที ทว่าบาร์เนสหันกลับไปที่บ้านอีกครั้ง เขาเห็นปีเตอร์และแพทริเซียมองไปที่เขา ด้วยสายตาที่สงสัยบางอย่าง บาร์เนสเห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้น ไม่ใช่มารยาท แต่เพราะเขาดีใจ ที่ได้มองลูกสาวของเขา อย่างน้อยก็อีกครั้งก่อนจะสายเกินไป
1 วันต่อมา ณ คฤหาศน์ขุนนางริห์ม เมืองเรเวน ประเทศเอลลาส อีกมิติหนึ่ง
"ดิชั้นจับตัวแพทริเซีย เมอร์ด็อกมาได้ค่ะ ท่านลอร์ดอเล็กซิส" เกลนั่งคุกเข่าเข้าเฝ้าอเล็กซิสที่ห้องโถงในคฤหาศน์ขึ้น ภายในห้องโถงนั้นมีอเล็กซิส เสตลล่า เดวิด และเจค็อบ โดยด้านข้างมีอาร์มันโด้และลินดาอยู่ ส่วนคนที่มาเข้าเฝ้านั้นก็มี เกล แฟรี่ และลูฟี่นั่นเอง ทันใดนั้นอเล็กซิสก็มองไปที่หญิงสาวผมสีน้ำตาลยาว ดวงตาสีฟ้ำที่ชื่อว่าแพทริเซีย เมอร์ด็อกที่ถูกมัดอยู่ที่ข้อมือ และปากขึ้น แพทเห็นดังนั้นก็โมโหเล็กน้อยก่อนที่พยายามจะใช้พลังจิตของเธอ หากว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ที่หน้าผากของเธอเหมือนกับสัญลักษณ์ที่เขียนด้วยเลือดเป็นอาคมบางอย่าง นั่นทำให้แพทไม่สามารถใช้พลังจิตได้ อเล็กซิสเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้มเบาๆ
"แล้วกัปตันลูฟี่มาทำอะไรรึ" อเล็กซิสพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่ลูฟี่ที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่เบาๆ
"จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เจอกันคือที่แถบทะเลแอมาดอร์ที่เจ้านำขบวนเรือของเจ้าตีล้อมขบวนเรือประมงของเมืองข้าแตก และเจ้าก็เอาดาบแทงไปที่ท้องของข้าเกือบทำข้าตายในตอนนั้น ถูกใช่มั้ยลูฟี่"
"นี่นายทำงั้นจริงๆหรอเนี่ย นั่นเชื้อสายผู้กล้านะ" แฟรี่กระซิบลูฟี่ที่คุกเข่า่อยู่ข้างๆ
"ข้าไม่รู้" ตัวลูฟี่กระซิบกลับก่อนจะชะโงกหัวหาอเล็กซิส
"แต่ตอนสงครามข้าก็สนับสนุนฝั่งแม่ท่านนะ ท่านอเล็กซิส ข้าร่วมรบคู่กับนางในสงครามอ่าวแอมาดอร์ และกำราบทัพเรือของอเล็กซิส ฟอร์นัสลงได้-"
"แต่เจ้าก็เกือบฆ่าข้าอยู่ดีนั่นแหละ.." อเล็กซิสพูดความจริงจากปากออกมาก่อนจะกลับไปนั่งลงที่เดิม
"ยังไงก็ขอขอบพระคุณมากนะคะ ท่าน.." สเตลล่าพูดขอบคุณแทนพี่ชา่ยของเธอ
"เกล ค่ะท่านลอร์ดเสตลล่า" เกลบอกชื่อของเธอกับเสตลล่าขึ้น เสตลล่าได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าขึ้นแล้วพูดต่อ
"ขอบพระคุณมากนะ เกล ที่ช่วยพาแพทกลับมาที่นี่ได้ เราต้องการไต่สวนเธออย่างมากเลยล่ะ รู้มั้ย แพท" ตัวเสตลล่าพูดกับแพทที่ถูกมัดปากอยู่ แพทได้ยินดังนั้นก็มองเสตลล่ากลับไปด้วยสายตาที่พร้อมจะเข่นฆ่าทุกคนในห้องนี้
"แล้วต้องการอะไรตอนแทนล่ะ" ตัวเสตลล่าเอ่ยถามขึ้น เกลได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเบาๆแล้วพูดตอบ
"เราต้อง-"
"เราต้องการเรือดี ๆ หนึ่งลำพร้อมกับลูกเรือที่มีฝีมือพร้อมครับ ท่านลอร์ดเสตลล่า" ไม่ทันที่เกลจะพูดจบ ตัวลูฟี่ก็แย่งพูดไปก่อน เกลเห็นดังนั้นก็เอนสายตามองไปที่ลูฟี่ด้วยสายตาที่โมโหเป็นอย่างมาก ลูฟี่เห็นดังนั้นก็ยิ้มกวนตรีนกลับไปให้เกล
"ดิชั้นถามเกลไม่ใช่กัปตันลูฟี่ค่ะ-" เสตลล่าพูดกับลูฟี่ขึ้น ทว่าลูฟี่ได้ยินดังนั้นก็รีบตอบกลับไปทันที
"กระผมมากับคุณเกลและแฟรี่แถามผมยังช่วยพวกเขาจับแพทริเซียอีกพะยะค่ะ" ตัวลูฟี่พูดขึ้นด้วยแววตาที่ซซื่อสัตย์ อเล็กซิสเห็นดังนั้นก็มองไปที่เกลที่นั่งอยู่ทันที เกลเห็นแววตาของอเล็กซิสก็ตอบกลับไป
"จริงพะยะค่ะ" เกลพูดเหมือนรับความจริงไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเศร้าหรืออะไรเข้าข่ายไม่อยากพูดถึงมากกว่า
"แต่ข้าเข้าข้างความเห็นสตรีมากกว่าฉะนั้นคุณเกลและคุณแฟรี่ต้องการอะไรเหรอครับ" อเล็กซิสเอ่ยถามเกลกับแฟรี่อีกครั้งหนึ่ง ลูฟี่เห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ เล็กน้อย
"ม้าสองตัวพะยะ-"
"สาม ! สาม !" ไม่ทันที่เกลพูดจบลูฟี่ก็เข้ามาขัดอีกครั้ง
"ค่ะ ๆ สามตัวพะยะค่ะ" เกลพูดต่อจนจบเหมือนรำคาญลูฟี่
ณ ลานประลองเมืองฟอร์นัส ประเทศโบเรเนีย อีกมิติหนึ่ง
ณ ลานประลองเมืองฟอร์นัส ที่มีผู้คนดูอยู่เป็นร้อยคน ซึ่งแทบทุก ๆ คนนั้นต่างเป็นขุนนางราชวงศ์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกหนแห่งในโบเรเนียทั้งนั้น บนที่นั่งที่สูงพิเศษกว่าใคร ๆ นั้น มีเอการ์ ซาเอทัจ และภรรยาของเขา ไดอาน่า การ์เซส กับลูกของพวกเขานั่นคือ ซามันทัส ซาเอทัจ ว่าแล้วเอการก็ยกมือของเขาขึ้นมา ทุก ๆ คนเริ่มเงียบลงเพื่อตั้งใจฟังคำพูดของเอการ์ เอการ์เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นยืน
"ขอให้ในการประลองในครั้งนี้มีพระเจ้าแห่งโดเรียร์เฝ้ามองและเป็นสักขีพยานอยู่ ให้คมดาบของผู้พิพากษาเผื้อนเลือดหากมันทำความผิดจริง ให้คมดาบของผู้ถูกไต่สวนนัยหากพวกเขาบริสุทธ์ และ.." เอการ์กำลังจะพูดต่อแต่ภรรยาของเขาไดอาน่าเข้ามากระซิบเอการ์ที่ยืนอยู่ เอการ์ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าก่อนจะพูดต่อ
"ให้ช่างหัวคำพูดที่เหลือและเริ่มการไต่สวน ณ บัดนี้ !" เอการ์ตะโกนขึ้นด้วยรอยยิ้มของเขา เหล่าขุนนางราชวงศ์ต่าง ๆ ได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นปรบมือ ทันใดนั้น อาร์มันโด้ ตัวแทนของผู้ถูกไต่สวนนั่นคือตัวเขาและดิลเลี่ยนก็ค่อยๆเดินเข้ามาพร้อมกับดาบที่เอการ์เตรียมไว้ให้ มันคือดาบที่สร้างจากเหล็กดำซึ่งว่ากันว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ในโลก สามารถผ่าเหล็กได้ทุกชนิด
ว่าแล้วระหว่างที่อาร์มันโด้กำลังยืนรอผู้พิพากษาของเขาอยู่ จู่ ๆ ประตูกรงขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าอาร์มันโด้ก็เปิดขึ้น เสียงกระทบขออะไรบางอย่างดังออกมาทีละรอบเหมือนกับเป็นก้าวเท้าของอะไรบางอย่าง ว่าแล้วเบื้องหน้าของอาร์มันโด้ ก็พบกับมนุษย์ร่างยักษ์ที่สูงกว่าอาร์มันโด้ประมาณ 3 เท่า มือของยักษ์ผู้นี้ถือกระบองยักษ์ที่สูงได้พอ ๆ กับขนาดตัวของอาร์มันโด้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทำไมดิลเลี่ยนถึงกลัวมากในครั้งนี้ เมื่ออาร์มันโด้เห็นดังนั้นก็แสยะยิ้มออกมา ก่อนที่จะเหวี่ยงดาบไปมาด้วยความสำราญ ก่อนจะสะบัดดาบไปที่พื้นอีกครั้งและตั้งท่าพร้อมที่จะสู้่กับเจ้ายักษ์ตัวนี้
"นี่สิ เหตุผลให้มาทำภารกิจที่นี่น่ะ"