|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 19:53:17 GMT
Intro
ในอาคารทรงครึ่งวงกลมที่มีเรือนกระจกขนาดใหญ่อยู่ด้านข้าง
สภาพทรุดโทรมแต่มีนักวิทยาศาสตร์หลายชีวิตกำลังทำงานอยู่ภายใน
ท่ามกลางผู้คนที่ใส่ชุดกาวน์สีขาวสะอาดกำลังควบคุมคอมพิวเตอร์และ
เครื่องจักรหน้าตาพิลึกหลายชิ้น มีชายชราที่มีแววตาตื่นเต้นแต่ท่าทางสงบนิ่ง
กำลังตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้องทดลองแห่งนี้
"ตั้งค่าเครื่องจักรทุกอย่างครบแล้วใช้มั้ย"ชายชราที่เป็นหัวหน้าทีมวิจัยเอ่ย
"เรียบร้อยครับด็อกเตอร์ พร้อมปฏิบัติการทันทีที่มีคำสั่ง"ชายหนุ่มในชุดกาวน์ตอบ
"ยอดเยี่ยม ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มกันเลยดีกว่า คุณแตงโม ช่วยจดผลการทดลองและขั้นตอน
ทั้งหมดด้วยนะ ทางต้นสังกัดเค้าต้องการทุกขั้นตอนอย่างละเอียด"ด็อกเตอร์กล่าว
สาวน้อยในชุดกาวน์พยักหน้าเร็วๆ2-3ทีก่อนที่จะเขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษ
"ไฟฟ้าพร้อม เช็ค สารตั้งต้นพร้อม เสถียรดี เช็ค สัตว์ทดลองพร้อม เช็ค เครื่องฉายรังสี พร้อม"
คุณแตงโมพูดเสียงเรียบราวกับน้ำเสียงของเสมียนออฟฟิศแทนที่จะเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์
10. 9. 8. 7. 6. 5. 4. 3. 2. .... ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Link สำหรับนิยายตัวเต็มที่เด็กดีดอทคอม ติดตามผลงานอื่นๆได้ที่นี่ Mutagen : something in the woods LINK
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 19:57:07 GMT
1.Secret of lightning rod co.:เรื่องลับ บริษัท สายล่อฟ้า
บริษัทสายล่อฟ้า จำกัด เป็นหนึ่งในบริษัทจำหน่ายและผลิตสินค้าทางการเกษตรที่ทรงอิทธิพลมากนับว่าใหญ่อันดับต้นๆของประเทศเลยทีเดียว แต่รายได้และผลกำไรอันมหาศาลของบริษัทนี้นั้น ไม่ได้มาจากการขายผลผลิตทางการเกษตรเพียงอย่างเดียว มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในบริษัท
ณ ห้องใต้ดินแห่งนั้น ภายในห้องที่มีแสงไฟสว่างไสว มีโต๊ะตัวยาวพร้อมเก้าอี้12ที่นั่ง และเก้าอี้ทุกตัวถูกจับจองเรียบร้อย
ทั้งหมดอยู่ระหว่างการประชุมลับๆที่สำคัญมากของบริษัท เหล่าผู้ร่วมประชุมเป็นคณะกรรมการของบริษัทนี้และที่สำคัญ
ท่านประธานของบริษัทก็มาด้วย เขานั่งอย่างสงบนิ่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ระหว่างที่บรรดาคณะกรรมการกำลังถกเถียงกันอย่างออกรส ในหัวข้อที่พิเศษมากๆในวันนี้
"ท่านประธานครับ ผมมีความเห็นว่าเราควรพักโครงการนี้ออกไปก่อน บริษัทคู่แข่งอันดับหนึ่งของเรา เคเฟรช กำลังหาทางโค่นเราอยู่ แน่นอนว่าพวกเขาต้องหาช่องทางเอาผิดเราในไม่ช้านี้แน่ๆ ถ้าตำรวจเล่นด้วยละก็ ไม่อยากจะคิด"หนึ่งในกรรมการกล่าว
"ผมขอค้านครับ เงินที่ลงทุนไปในโครงการนี้มหาศาลมาก หากเราล้มเลิกโครงการนี้กลางคันหละก็ เท่ากับเราศูนย์เงินลงทุนแทบทั้งหมดไปเลยนะครับ"กรรมการอีกคนแย้ง
"ผมเห็นด้วย ค่าอุปกรณ์ที่สร้างไปไม่ใช่น้อยๆ ถ้าคิดจะล้มเลิกหละก็ มันควรจะเป็นตอนก่อนที่เราจะสั่งทำอุปกรณ์และว่าจ้างพนักงานนะครับ"กรรมการอีกคนเอ่ย
"นอกจากนี้ ลูกค้าของเราก็จ่ายเงินค่าวิจัยให้เราแล้ว ถ้าเราล้มเลิกโครงการ เขาต้องไม่พอใจมากๆที่สูญเงินจำนวนมากขนาดนั้นเชื่อขนมกินได้เลยว่าเขาต้องเอาเรื่องนี้มาปูดแน่ๆ ผมยังไม่อยากให้เราทุกคนในห้องนี้ได้ขึ้นข่าวพาดหัวในกรณีนั้น"กรรมการอีกคนพูด
"ไม่จะไม่จบที่ข่าวหน้าหนึ่งหนะสิ เราอาจโดนดำเนินคดีก็เป็นได้"กรรมการคนแรกพูดอย่างไม่พอใจ
"ติดคุกว่าแย่แล้ว ลูกค้าของเราอาจส่งคนมาเก็บเราปิดปากก็เป็นได้"อีกคนพูดเสียงเครียด
"แล้วเราจะทำยังไงหละ กลืนก็ไม่ลง คายก็ไม่ได้ เคี้ยวก็ไม่เข้า สงสัยเราจะกัดคำใหญ่เกินตัวไปซะแล้วหนะสิ"กรรมการอีกคนพูดอย่างเป็นกังวล
"ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย นั่นเป็นเหตุผลที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ใครมีข้อเสนอแนะอะไรบ้าง"กรรมการคนที่อยู่ท้ายโต๊ะพูดเสียงสูง เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างจะไม่เรียบร้อย
"โปรดอยู่ในความสงบ ทุกท่าน ผมมีความคิดดีๆแล้ว ถ้าเราจะเลิกเรามาไกลเกินกว่าที่จะเลิกไปนานแล้ว แต่ถ้าพวกเคเฟรชได้หลักฐานมามัดเรา เราก็จะตกที่นั่งลำบากมากๆ อาจโดนดำเนินคดีกันยกก๊วนแน่ๆ ผมจึงคิดว่าเราควรจะย้ายข้าวของที่มีค่าเหล่านี้ไปยังศูนย์ย่อยของเราในต่างจังหวัดแทน"กรรมการคนหนึ่งที่ใส่แว่นสี่เหลี่ยมเอ่ย
"แล้วเราจะทำยังไงไม่ให้ผิดสังเกตุหละคุณ ถ้าอยู่ๆเราย้ายสารพัดวัตถุอันตรายไป พวกเคเฟรชต้องสังเกตุแน่ๆ พวกนั้นมีตามากมายซะจนสับปะรดอาจแทบมุดดินหนี"กรรมการอีกคนเอ่ย
"กองทัพมดไงหละครับ ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผมได้เตรียมคนไว้เรียบร้อยแล้ว ขนไปทีละชิ้น2ชิ้นก็อาจจะใช้เวลาซักหน่อยแต่หากคู่แข่งเราได้ไปพวกเขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไร พิสูจน์ทราบกันยาว พวกสำคัญๆผมก็ให้คนในโครงการเอาไป แล้วเอาไปรวมที่ศูนย์ไหนซักศูนย์ จากนั้นเราก็ดำเนินงานต่อได้เลย"กรรมการแว่นเหลี่ยมพูด
แปะ แปะ แปะ เสียงตรบมือช้าๆดังมาจากหัวโต๊ะ ทุกคนในห้องเงียบราวกับโดนสากยัดปากในทันใด
"พูดได้ดีนะคุณไกรศร ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าสถาณที่นั้นคือที่ไหน"ท่านประธานเอ่ยอย่างมีเลิศนัย
"ถ้าหากเราเอาของไปทำที่ศูนย์ย่อยอาจจะโดนส่องได้เพราะเป็นพื้นที่สว่าง แต่ถ้าเป็นศูนย์วิจัยลับที่เราเคยวิจัยมะเขือสีรุ้งที่โดนถอนไปเมื่อ4ปีก่อนหละท่าน "ไกรศรพูด
"ที่นั่นอยู่ในป่าลึกทางชายแดนตะวันตกติดกับประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ในเขต no man's land(พื้นที่กั้นระหว่างประเทศที่ห้ามมีผู้อยู่อาศัย)ไม่มีทางหาเจอได้ง่ายๆ มีอยุ่สองวิธีคือ ส่องจากทางอากาศกับมีคนพาไป ซึ่งการหาจากทางอากาศเป็นไปได้ยากเพราะประเทศเพื่อนบ้านไม่ยอมให้เครื่องบินหรือคอปเตอร์ผ่านแน่ๆ"ไกรศรพูดต่อ
"แล้วมีความเป็นไปได้สูงแค่ไหนที่จะดำเนินโครงการนี้?"กรรมการอีกคนถาม
"ค่อนข้างสูง อาจมีปัญหาเล็กน้อยแต่อันนั้นมันเป็นเรื่องของฝ่ายปฏิบัติการหนะครับทุกท่าน"ชายใส่แว่นพูด
"ดี ทุกท่านมีความเห็นว่ายังไงบ้าง"ท่านประธานเอ่ย
"มีมติเป็น เอกฉันท์ ว่าเราจะส่งข้าวของเหล่านี้ไปที่ศูนย์เก่านั้น"กรรมการคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูด
หลังจากที่การประชุมจบลง เหล่าคณะกรรมการของบริษัทนี้กำลังทยอยขึ้นลิฟต์ออกไปจากสถาณที่ลับแห่งนี้ แน่นอนว่าพวกเขากำจัดหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการประชุมครั้งนี้ด้วย คณะกรรมการทั้ง12คนและท่านประธานมาปรากฎตัวอีกครั้งที่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท
"คุณช่วยเรียกผู้รับผิดชอบโครงการ ..อันนั้น.. มาที่ห้องประชุมหน่อยสิ"หนึ่งในกรรมการพูดกับเลขาหน้าห้องอย่างรู้งาน
ซักพักหนึ่ง ชายหนุ่มใส่สูทสีม่วงเข้ม และเน็กไทสีฟ้าสลับขาว แต่งตัวเนียบพร้อมกับผมสีดำขึ้นเงาที่จัดทรงด้วยเจลดัดผมอย่างปรานีตก็เดินยืดอกเข้ามาในห้องประชุม
"ที่ประชุมมีมติว่า คุณและทีมงานในโครงการทั้งหมดของคุณจะต้องย้ายศูนย์การวิจัยไปยังสถาณที่อื่นที่ปลอดภัย รับเอกสารนี้ไป แล้วทำให้ทุกอย่างราบรื่นที่สุด คุณสุรพงษ์" หนึ่งในกรรมการพูดแล้วยื่นเอกสารสำคัญที่อัดแน่นอยู่ในแฟ๊มสีเหลืองครีมที่แสนจะธรรมดา จ่าหน้าแฟ๊มว่า (รายงานยอดขาย กะหล่ำปลีรุ่นที่14ประจำปี2558 ไตรมาสที่3) แต่ภายในแฟ๊มนั้นไม่เหมือนที่จ่าหน้าไว้อย่างแน่นอน
"ฮัลโหล ด็อกเตอร์ ผมต้องการให้แผนกคุณเตรียมเก็บข้าวของให้เรียบร้อย อืม ฝากจัดการด้วย ใช่ เราจะไปที่หุบเขาดงโขมดเย็น"
คุณสุรพงษ์คุยกับใครบางคนทางโทรศัพท์อย่างแผ่วเบา
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 19:58:54 GMT
2.Hidden project:โครงการที่ซ่อนเร้น
ในป่าลึกในเขตชายแดนด้านตะวันตกของประเทศ ป่าแห่งนี้อยู่ในหุบเขาดงโขมดเย็น ซึ่งเป็นเขตที่เรียกว่า no man's land มีอุทยานแห่งชาติ ทุ่งดินดำ ตั้งอยู่ติดกัน ที่อุทยานแห่งชาติทุ่งดินดำเป็นสถาณที่ชมนกแห่งหนึ่งที่เป็นที่นิยมค่อนข้างมาก ในหุบเขาดงโขมดเย็นนอกจากมีสัตว์ป่ามากมายแล้วยังมีกลุ่มชาวบ้านไร้สัญชาติแอบอาศัยอยู่รอบๆ ในห้วงลึกของป่าดงดิบมีอาคารทรงครึ่งวงกลมขนาดไม่ใหญ่นักแฝงอยู่ภายใต้แมกไม้หนาทึบสีเขียวขจี มีแผงโซลาเซลล์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตะไคร่และไม้เลื้อยอยู่ด้านบนอาคารนั้น ด้านข้างมีเรือนกระจกเก่าๆที่เต็มไปด้วยซากต้นไม้มากมายอยู่เต็มไปหมดเพราะหลังจากที่สถาณที่นี้ถูกทิ้งร้างเมื่อ4ปีก่อน ก็ไม่มีใครรดน้ำให้ต้นไม้พวกนี้ ด้านหน้าของอาคารนี้มีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนกำลังขนของมากมาย ล้วนมีรูปร่างประหลาดเกินจินตนาการทั้งนั้น ระหว่างที่กำลังขนย้ายวัตถุประหลาดเข้าไปในอาคารรูปโดมครึ่งวงกลม คนงานหลายคนก็เริ่มคุยกัน
"ถามจริงเหอะพวก นี่เรามาทำบ้าบออะไรอยู่กลางป่ากลางเขาฟะ น้ำก็ไม่มี ไฟก็ไม่มี สาถรณูปโภคอะไรก็ม่ายมีซ๊ากกะอย่าง อุปกรณ์พิลึกกึกกือพวกนี้มันจะทำงานได้ยังไงเนี่ย"คนงานก่อสร้างคนหนึ่งพูดอย่างหัวเสียที่ต้องเข้ามาในป่ารกแบบนี้
"เค้าให้เรามาทำก็ทำๆไปเหอะ อย่ามาทำตัวฉลาด เป็นแค่คนงานก่อสร้างดันสงสัยยังกับจบด๊อกเตอร์ ถุ๊ย อย่าเยอะ"คนงานอีกคนสบถเพราะรำคาญคนงานคนแรก
"เฮ้ยๆ พูดจาอะไรก็เกรงใจด็อกเตอร์ที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนู้นด้วย ดูสิ มัวแต่คิดอะไรของเค้าอยู่ สงสัยคิดมากไปจนหงอกลามจะหมดหัวแล้ว ก๊ากกรักๆๆๆๆ"คนงานคนแรกพูดแซวชายชราหัวหงอกใส่ชุดกาวน์ที่กำลังเดินเข้ามาในอาคาร
ด็อกเตอร์ไม่ได้สนใจเสียงโห่ฮาของคนงานก่อสร้างเลยแม้แต่น้อย ราชสีห์เฒ่าผู้มากความรู้ย่อมไม่ลดตัวลงไปเถียงทะเลาะกับหมาชี้เรื้อนไร้การศึกษาและมารยาท ชายชราเดินตรงหรี่ไปหาโฟร์แมนซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ของการบูรณะอาคารหลังนี้ ทันทีที่เห็นลูกค้าเข้ามาหา โฟร์แมนก็ตะโกนให้ลูกน้องได้ยิน
"ทู๊กโคนนน เร่งมือกันหน่อยเร็ว ตามกำหนดการงานของเราจะต้องเสร็จภายในวันพรุ่งนี้นะพวก เอาเวลาที่จะไปแซวลูกค้าไปทำงานแทนจะดีกว่ามั้ย"โฟร์แมนในเสื้อเชิร์ทสีขาวและใส่หมวกกันกระแทกสีเหลืองสะท้อนแสงเริ่มตำหนิบรรดาคนงานในสังกัด
"เออคุณโฟร์แมนครับ " ด็อกเตอร์เฒ่าหัวขาวพูดกับหัวหน้าคนงาน
"ครับ"โฟร์แมนตอบในทันที เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าและแผ่นหลังของโฟร์แมน ความเครียดก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของชายเสื้อขาวอย่างช้าๆ
"เครื่องจักรตรงนั้นไม่ต้องเชื่อมปลั๊กไฟนะ เดี๋ยวคนของผมจัดการเอง แล้วเจ้าแผงควบคุมตรงนั้นก็ช่วยทำความสะอาดให้เกลี้ยงๆนะส่วนฐานเครื่องฉายรังสีตรงนู้นก็ช่วยขันน็อตให้แน่นๆหน่อยนะ"ด็อกเตอร์เริ่มเก็บรายละเอียดงานกับโฟร์แมน
"และนี่ เอาไปซื้อเบียร์กินนะ"ชายชรายื่นแบงค์สีม่วง2-3ใบให้กับโฟร์แมน ทิปเล็กๆก็ช่วยให้งานต่างๆราบรื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้บนใบหน้าของโฟร์แมนประทับไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับความเครียดเริ่มมลายหายไป
"ไม่มีปัญหา วางใจได้เลยและเรื่องนี้จะเป็นความลับสุดยอด ไปตลอด"โฟร์แมนตอบอย่างหนักแน่น
"แล้วแผงโซล่าเซลล์เก่าเนี่ย ซ่อมได้หรือเปล่า"ด็อกเตอร์ถาม
"ซ่อมได้ครับเดี๋ยวจัดการเรื่องระบบไฟให้ด้วยเลยมั้ย?"โฟร์แมนถามต่อ
"งั้นรบกวนด้วยครับ แล้วฝากเรื่องจัดการแบตเตอรี่สำรองให้ด้วยนะครับ "ด็อกเตอร์ตอบแล้วทำท่าจะเดินไปที่อื่น
"แบตเตอรี่รุ่นนี้ซ่อมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนตัวใหม่ ให้เข้าเมืองไปซื้อให้มั้ย?"โฟร์แมนถาม
"ไม่ต้อง ผมเตรียมมาด้วย ถ้าหากมีอะไรติดขัดก็บอกผู้ช่วยผมนะครับ คุณแตงโม ช่วยพาโฟร์แมนไปจัดการงานอื่นๆด้วย"ด็อกเตอร์พูดพร้อมลูบผมฟูฟ่องของเขา
ภายนอกอาคารระหว่างที่คนหลายคนกำลังทำงานบูรณะซ่อมสร้างอาคารทรงครึ่งวงกลมแห่งนี้มีสายตา2คู่จับจ้องดูความเคลื่อนไหวจากร่มไม้หนา ชายชาวป่าที่กำลังหาของป่ากำลังดูทุกฝีก้าวของผู้ที่กำลังสร้างสิ่งประหลาดในป่าแห่งนี้ ด้วยความสงสัย ทั้งสองค่อยๆเข้ามาใกล้อาคารสุดโทรมแห่งนี้ โดยที่ไม่มีคนงานก่อสร้างคนใดรู้ตัว ทั้งคู่ก็แอบอยู่ในพุ่มไม้ที่ใกล้พอที่จะได้ยินบทสนทนาของเหล่าคนงานได้
"เอ้ย โซล่าเซลล์ตรงนั้น ติดแผ่นกันแสงสะท้อนให้ด้วย ลูกค้าเค้าต้องการ แล้วเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เลย เอาให้เสร็จเย็นนี้นะ เค้าต้องสะสมพลังไฟฟ้าสำหรับงานของเค้า"โฟร์แมนหมวกเหลืองกำลังสั่งการลูกน้องอยู่อย่างขันแข็ง
"เค้าจะเอาไฟฟ้าไปทำอะไรกันนักกันหนาเนี่ย ท่าทางก็ฉลาดมันน่าจะรู้ว่าโซล่าเซลล์เป็นตัวเลือกที่หมาสุดๆสำหรับงานที่ต้องใช้ไฟฟ้าเยอะๆ ยิ่งอยู่ในป่าเบญจพรรณแบบนี้ ฝกก็ตก ไม้ก็บัง วันดีคืนดีเกิดพายุเข้าก็ไม่เหลือ จะว่าไปสงสัยไอ้หงอกกับยัยเตี้ยแว่นนั่นจะซื้อปริญญาสำเร็จรูปแถวๆคลองถมเอาละม้าง อีโถ่เอ้ยย การศึกษาไม่ช่วยให้บางคนฉลาดขึ้นจริจๆ"คนงานคนหนึ่งถากถางบรรดาผู้ที่มีความรู้ทั้งหลายแหล่ในที่แห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าคนงานก่อสร้างเหล่านี้อิจฉาริษยาด็อกเตอร์และคณะจนต้องหาทางด่า ไม่งั้นอาจอกแตกตายได้
"นั่นนะสิ แค่ต่อไฟเข้าป่าจ้างผู้รับเหมาสายมืดดีๆซักคนก็ได้แล้ว มาติดโซลาเซลล์รักโลก เฟค บอกได้คำเดียว เฟคมากๆ"คนงานอีกคนสมทบด้วย ระหว่างที่เขากำลังถอดสายไฟระโยงระยางที่ต่อกับแบตเตอรี่อันเก่าสนิมเกาะแถมน้ำเคมีที่ใช้ทำปฏิกิริยาไฟฟ้ายังรั่วไหลนองเต็มพื้นอีก
"แล้วไอ้สถาณที่แบบนี้เค้าจะทำอะไรกันวะ สงสัยไอ้หงอกเงินหนานั่นอยากทำบ้านพักตากอากาศกลางป่าแต่ที่ดีๆเค้าแย่งไปหมดแล้วเลยต้องมาแกร่วอยู่ชายแดน แถมยังมีเมียเด็กอีกตั่งหาก มีตาหามีแววไม่ ดันเลือกยัยแคระแว่นหนากะโหลกกะลา"คนงานคนแรกพูดแล้วหัวเราะเยาะอย่างสะใจ
"เมื่อตะกี่แกพูดอะไรนะ ไอ้ปลวกอยากกินเบียร์"เสียงเล็กๆชวนปวดประสาทดังอยู่หลังคนงานร่างท้วมที่กำลังนินทาเธออยู่
สาวน้อยตัวเตี้ยใส่ชุดกาวน์สีขาวมีเสื้อสีเขียวสดอยู่ข้างในกล่าว เธอตอนนี้หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ด้วยขนาดที่เรียกได้ว่า กระดูกคนละเบอร์(เธอสูงแค่ไหล่ของคนงานก่อสร้างแถมยังผอมราวกับไม่ได้กินอะไรมาเป็นสัปดาห์) เธอจึงได้แค่ขยับแว่นกลมโตแถมหนาเป็นนิ้วของเธอไปมา ก่อนที่จะเข้าสู่โหมดด่าไม่หยุด
"ถามโง่ๆแถมมโนเอาเองแบบนี้ไงถึงได้เป็นแค่กรรมกรกากๆดาษดื่นแบบนี้ ใช้ชีวิตมั่วๆไปวันๆ หาเช้ากินค่ำ วันๆในสมองมีแต่อยากกินเบียร์อยากกินเหล้า สมองยิ่งฝ่อๆอยู่ยังจะไปทำให้ลีบลงกว่าเดิมอีก น่าสมเพศเวทนาอนาถาอาลาดินจริงจริ้ง อย่ากินเลยเบียร์แรดเบียร์ลิงเนี่ย กินหญ้าหมักสาโทน่าจะเหมาะกับกระบือในร่างคนอย่างพวกแก ถามมาได้ทำไมไม่ต่อไฟเข้าป่า กฟผ.เค้าไม่ได้กินหญ้าเหมือนพวกแกหรอกนะ ต่อทีเดี๋ยวเค้าก็รู้กันหมดว่าเราอยู่ที่นี่ แถมเงินนี่ก็ไม่ใช่เงินของด็อกเตอร์ด้วย มันเป็นเงินของทางบริษัทสายล่อฟ้าต่างหาก ถ้ามีรางวัลดักดานดีเด่นกับมโนยอดเยี่ยมหละก็ พวกแกคงกวาดแชมป์ทุกปีชัวร์ การทดลองนี้สุดยอดขนาดต้องเอามาทำกันลับๆแกยังดูไม่ออกเล้ยยยย ที่สำคัญ ชั้นไม่ได้เป็นอะไรกับศาสตราจารย์นั่น จำใส่กะโหลกหนาปานพื้นถนนของแกเอาไว้เลย ฟายยยยยยยย.....แง่งๆๆแว๊ดๆๆแจ๊ดๆๆ" สาวร่างเล็กผู้ไม่ประมาณตนกำลังด่าเช็ดเหล่าคนงานก่อสร้างด้วยเสียงแปดหลอดของเธอจนลิ้นแทบพันกันเป็นปม ในสายตาของโฟร์แมนผู้อยู่ในเหตุการมันก็ไม่ต่างจากหมาชิวาว่าตัวจ้อยปากจัดเห่าใส่ฝูงไฮยีน่าอันธพาลที่กำลังโมโหหิว เห็นดังนั้นโฟร์แมนจึงรีบพาคุณแตงโมกลับเข้าตึกโดมก่อนที่จะโดนแปรรูปเป็นยำใหญ่ชิวาว่าราดน้ำแดง
แน่นอนว่าบทสนทนาเหล่านี้เข้าถึงหูชายชาวป่าทั้งสองอย่างชัดเจน ทั้งสองกำลังใช้สมองที่แทบไม่ได้ผ่านการขัดเกลาในการคิดวิธีหาประโยชน์จากข้อมูลชิ้นสำคัญที่พึ่งได้มาสดๆร้อนๆนี้ แต่แล้ว สเป็กสมองของทั้งสองต่ำเกินกว่าที่จะรันข้อมูลชุดนี้ให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งสองจึงฟังบทสนทนาต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"พอเลยพวกเอ็ง จะสำรากอะไรก็หัดระวังหลังมั่งเซ่ เรามาซ่อมตึกให้เค้าไม่ใช่ทะเลาะกับเจ้าบ้าน ถ้ายังอยากมีเบียร์กินฟรีตอนกลับเข้าเมืองก็เชิญรูดซิปปากซะ ชิวาว่ามันทนเสียงหมาตัวอื่นไม่ได้ เข้าใจ๊?"โฟร์แมนตำหนิลูกน้อง
"ครับ ว่าแต่เค้าจะทำอะไรเหรอถึงได้ต้องมาซุกกลางป่าแบบนี้"คนงานตัวผอมสูงที่ไว้เคราแพะถาม
"จะไปรู้เหรอ ทำพันธุ์สัตว์กะหมามั้ง ถ้าให้เดาก็ไม่พ้นของผิดกฎหมายแหละ ไม่งั้นจะมามุดอยู่ในป่าปิดแบบนี้เหรอ เค้าไม่ให้เรารู้ซักกะอย่างว่าเป็นใครมาจากไหน ช่างมันเถอะ ถ้าจ่ายตังค์ก็ไม่มีปัญหา"โฟร์แมนตอบแบบหงุดหงิด
"เอ๊ เมื่อกี้นี้เหมือนได้ยินแว่วๆว่าบริษัทเสาโทรเลขหรือเสาตอม่ออะไรซักอย่างเนี่ยแหละ ไม่รู้สิ"คนงานร่างอ้วนพูดพร้อมกับเกาหัวดังแกรกๆๆ
"สายล่อฟ้าต่างหากพวก ถ้าจำไม่ผิดมันเป็นบริษัทขายหมูขายผักหนิหน่า มาทำบ้าอะไรแถวนี้วะ"คนงานตัวผอมที่ไว้เคราแพะพูดขณะที่กำลังงัดเอาแบตเตอรี่เก่าสนิมเขรอะออกจากช่องในกำแพง น้ำเคมีที่ใช้ทำปฏิกิริยาไฟฟ้ารั่วออกมาจากรอยต่อแบตเตอรี่จนนองเต็มพื้น ของเหลวสีเทาโลหะส่งกลิ่นเคมีฉุนกึกไปทั่วบริเวณ แต่คนงานสายพันธุ์ถึกหาได้สนใจไม่
"หยุดสงสัยแล้วไปทำงาน ไม่งั้นอาจมีคนอดกินเบียร์ เข้าใจมั้ยยย!"โฟร์แมนเริ่มอารมณ์เสีย เสียงของเขาเข้มขึ้นอย่างชัดเจน
แล้วบรรดาคนงานก่อสร้างก็หันหน้ากลับไปต่อโซล่าเซลล์พร้อมแผ่นกันแสงสะท้อนต่อ ชาวป่าทั้งสองค่อยๆขยับออกจากพุ่มไม้อย่างชำนาญจึงแทบไม่มีเสียงเลย ไม่มีคนงานหรือนักวิทย์คนไหนรู้ตัวว่าถูกแอบฟังโดยชาวป่าทั้งสอง กลังจากทั้งสองออกไปไกลพอสมควร ชาวบ้านป่าคนหนึ่งหันหน้ากลับไปมองอาคารหน้าตาเหมือนส้มผ่าครึ่งที่มีตะใคร่เกาะและเถาวัลย์พันกันยั้วเยี้ย ชายคนนั้นกำลังคิดว่า (เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ใหญ่มาก รู้สึกได้เลยว่าอีกไม่นานจะต้องมีเรื่องสนุกเกิดขึ้น แน่ๆ)เขาคิดเช่นนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว สิ่งที่อยู่ภายในอาคารหลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าสนุกเลย ยกเว้นสำหรับด็อกเตอร์นะ
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:02:23 GMT
3.forester's business:ธุรกิจชาวป่า
ในหุบเขาดงโขมดเย็นอันหน้าทึบไปด้วยพรรณไม้สมกับเป็นป่าดงดิบสไตล์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาณที่นี้เป็นป่าปิดที่ทำหน้าที่เสมือนชายแดนธรรมชาติที่กั้นระหว่างประเทศทั้งสอง แต่ถึงแม้เป็นพื้นที่ต้องห้ามก็ยังมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ประปราย ชาวบ้านป่าเหล่านี้ไม่มีสัญชาติ แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะถูกจำกัดพื้นที่ บางคนปลูกผักเลี้ยงสัตว์ บางคนเก็บของป่ามาใช้สอยหรือขาย บางคนไปคบค้าสมาคมกับพวกลักลอบตัดไม้ รุกป่า ล่าสัตว์ และที่เลวร้ายที่สุดคือลักลอบขนยาเสพติดข้ามชายแดน ถึงแม้ไร้สัญชาติแต่การมีบัตรประชาชนก็ไม่ยากเกินความสามารถ หลายอย่างเป็นไปได้หากทำให้ถูกวิธี แน่นอนว่าหลายๆคนในหมู่บ้านนี้สามารถเข้าเมืองกรุงได้อย่างไม่มีปัญหามากนัก
ในขณะนี้ชายชาวป่าทั้งสองได้กลับมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่อาศัยทำจากไม้ผสมไม้ไผ่มุงหลังคาด้วยใบจากแห้งๆ มันเป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "บ้าน"
"อ้าว ตาโก้ ตาหมาน กลับมาแล้วเรอะ ได้อะไรมาบ้างเนี่ย ขอดูหน่อยซิ หายไปทั้งวันเลย"หญิงแก่ใส่เสื้อคอกระเช้าสีม่วงซีดและผ้าซิ่นขาดๆถามสองชายนักหาของป่า
"ก็ได้มันป่าแล้วก็เห็ดฟางอีกนิดหน่อย ไม่มีอะไรมาก จริงๆได้ไอ้ดุกมาตัวนึง เกือบสอยไก่ป่าได้แล้วแล้วแต่มันหนีทัน เฮอะ"ชายวัยกลางคนที่ไม่ใส่เสื้อ ใส่โสร่งตัวเดียวชื่อว่า โก้ตอบ ที่แน่ๆ เขาไม่ได้เจอไก่ป่าจริงๆหรอก
"เรื่องนั้นไว้ก่อนดีกว่าหน่า ไอ้โก้ วันนี้เรามีเรื่องใหญ่มาเล่าให้ฟัง ยายแม้นจำไอ้บ้านประหลาดๆกลางหุบเขาได้หรือเปล่า"ตาหมานซึ่งอยู่ในวัยเดียวกับตาโก้เอ่ย นอกจากอายุจะใกล้เคียงกันแล้ว ยังแต่งตัวคลายๆกัน เพียงแต่ตาหมานโพกหัวด้วยผ้าสีตุ่นๆเท่านั้นเอง
"จำได้ซี้ ไอ้ที่หน้าตาเหมือนส้มโอฝังดินครึ่งลูกนั่นหนะ ยังไงก็ไม่ลืม"ยายแม้นพูดเสียงแหลมสั่นตามประสาคนแก่
"วันนี้มีคนไปทำอะไรซักอย่างที่นั่นเยอะแยกเลย รู้สึกว่าเค้าจะมาทดลองวิทยาศาสตร์อะไรนี่แหละ มีตาเฒ่าขุดขาวกับคนที่มีกะลาสีเหลืองอยู่บนหัวเป็นหัวหน้า มีคนอื่นๆอีกเยอะแยะกำลังทำโซๆซาๆอะไรอยู่ก็ไม่รู้ มีของแปลกๆเยอะแยะเลย"ตาหมานเล่าอย่างออกรส
"ไม่จบแค่นั้นน้า ได้ยินจากผู้หญิงชุดขาวตัวเล็กๆกับคนชุดน้ำเงินตัวอ้วนๆว่า มันไม่ได้ทำกันเองแต่มันมาเพราะลูกพี่มันที่บริษัทสายล่อฟ้าสั่งมาให้ทำ ท่าทางเค้าจะทำงานใหญ่นะเนี่ย"ตาโก้เล่าต่อ
"เค้าเป็นพวกโค่นป่าแอบมาหรือเปล่าคราวที่แล้วปลอมเป็นทหาร เนียนมาก มองแทบไม่ออกเลย"ยายแม้นแย้ง
"ไม่ใช่น้าา พวกนี้ไม่ได้ตัดไม้แม้แต่ต้นเดียวแถมไม่มีเลื่อยหรือขวานเลย แปลกมาก ทำไมต้องมาทำอะไรกันกลางป่าด้วยเนี่ย"ตาหมานตอบ
"บางทีเค้าอาจไม่อยากให้ใครรบกวนก็ได้ม้าง หรือ ทำอะไรแบบผิดกฎหมายก็ได้"ตาโก้ตั้งสันนิฐาณ(เดาเอา)
"จะว่าไปใครเจอยัยน้ำอ้อยบ้าง หายหัวไปเป็นชั่วโมงแล้ว กลับมาเดี๋ยวยายตีให้ก้นลายเป็นเสือโคร่งเลย"ยายแม้นบ่น
บทสนทนาเหล่านี้เข้าสู่รูหูและโสตประสาทของชายวัยรุ่นตอนปลายคนหนึ่ง ชื่อว่าไอ้หนึ่ง เขาเป็นหนึ่งในชาวป่าเหล่านี้ที่มีบัตรประชาชนปลอมและสามารถเข้าเมืองได้ มีบางอย่างที่สะกิดใจเขาอย่างมากจากข้อมูลชิ้นนี้ เชื่อเถอะว่าเขาคนนี้ต้องมีวิธีหาประโยชน์จากสิ่งที่เขาได้ยินมานี้แน่ๆ นอกจากจะเข้าเมืองได้แล้ว เขายังเป็นผู้กว้างขวางในวงการสายมืดต่างๆด้วย
"หึๆๆๆ บริษัทสายล่อฟ้าอยู่ๆก็มาทำอะไรลับๆล่อๆอยู่ในพงไพร ต้องมีคนซื้อข่าวนี้ในราคาแพงๆแน่นอน น่าจะได้หลายตังค์อยู่ ฉันว่าฉันรู้จักคนๆนั้น" คิดได้ดังนั้น ไอ้หนึ่งก็คว้ากล้อง รุดเข้าป่าไปอย่างว่องไว ไวปานวอกเลยหละ
.
.
.
.
.
.
ในตรอกแคบๆ ณ เมืองแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นแหล่งซ่องสุมของวัยรุ่นไม่รักดี บุคคลกะเฬวกะราก และบรรดาอาชญากรน้อยใหญ่ทั้งหลายแหล่ ท่ามกลางฝูงเดนโลกันณ์มีวัยรุ่นเสื้อดำใส่ดางเกงขาสั้นใส่หมวกแก๊ปเดินอย่างระมัดระวัง มองซ้ายที ขวาที เขากำลังหาใครบางคน บางคนที่เขาต้องการจะเจรจาด้วย หลังจากที่เดินไปพอประมาณแล้ว เขาก็เจอสถาณบันเทิง ที่บรรลัยมากกว่าบันเทิงอยู่ตรงกลางตรอก ไม่แปลกที่เขาจะเห็นคนหลายคนนอนอ้วกราดใส่คนข้างๆกองอยู่ข้างๆร้าน นับว่าร้านนี้เป็นร้านที่ป๊อปมากในแถวๆนี้ ชื่อร้านมูมมามตะกละตะกลามสวาปามยัดทะนานบานตะโก(ชื่อหรือคำวิเศษเนี่ย แต่เหมาะกับร้านนี้ดี) ชายวัยรุ่นเดินเข้าร้านไปถึงแม้จะมีป้ายเขียนว่าห้ามเด็กอายุต่ำกว่า18ปีเข้าร้าน แต่ก็รู้ๆอยู่ เจ้าหน้าที่แถวนี้ก็มีพฤติกรรมไม่ต่างจากชื่อร้าน เมื่อเข้าไปในร้าน เขาก็เจอคนที่ตามหา
"แจ๊ค ฉันมีของมาเสนอนาย"ไอ้หนึ่งเดินฉับๆไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
"ว่ามา"แจ๊คพูดสั้นๆ ได้ใจความ
"นายรู้จักสายสืบของเคเฟรชใช่หรือเปล่า"หนึ่งว่า
"ของบริษัทใหญ่ๆ ฉันรู้จักหมด เคเฟรชก็ด้วย"แจ๊คพูดต่อ
"ดี ฉันมีข้อมูลพิเศษที่คนของเคเฟรชต้องการมากถึงมากที่สุดและพวกนั้นจะยอมจ่ายให้เป็นเงินก้อนโต"หนึ่งพูด
"หืม ขอดูหน่อยซิ"แจ๊คเริ่มตื่นเต้น มันสะท้อนออกมาจากแววตาวาววับของเขา แม้จะพยายามปั้นหน้านิ่งสุดๆแต่ใครๆก็ดูออกว่าเขาอยากได้เงินจนสั่นไปทั้งตัวแล้ว
"ให้ดูแต่ไม่มีพิกัดให้ จนกว่านายจะจ่ายเงิน ขอสองแสน แล้วข้อมูลทั้งหมดจะเป็นของนาย"หนึ่งว่า พร้อมเรียกเงินแทบจะในทันที
หนึ่งยื่นรูปภาพให้แจ๊คดู2-3รูป แจ๊คแสดงสีหน้าค่อนข้างพึงพอใจ และ ตรวจสอบรูปภาพเหล่านั้น
"บอกซิว่าคนพวกนี้กำลังทำอะไร และทำไม เคเฟรชถึงต้องการมันนักหนา"แจ๊คว่า
"ในภาพคือคนงานก่อสร้าง ที่พวกสายล่อฟ้ามันจ้างมา ดูนี่"หนึ่งยื่นภาพอีกภาพให้
"นักวิทย์เหรอ ไปเก็บตัวอย่างน้ำฝนหรืออะไรกลางป่าละเนี่ย"แจ๊คพูด
"สายล่อฟ้าเป็นบริษัทขายเนื้อ ขายผัก เช่นเดียวกับเคเฟรช ถ้ามันจะแอบทำอะไรลับๆ ไม่ต้องสงสัยว่ามันกำลังทำของGMOsแน่ๆ"หนึ่งว่า
"เรื่องใหญ่ แน่ๆ"แจ๊คพูด
"แสนนึง แล้วถ้าของขายได้ ค่อยมาเอาอีกครึ่ง"แจ๊คว่า
"แล้วถ้า อยู่ๆชั้นเกิดเปลี่ยนใจอยากขายให้คนอื่นที่เค้าต้องการของมากกว่านายหละ"หนึ่งตอบ
"ก็ได้ ตามนั้น สองแสน"แจ๊คตอบแล้วทั้งสองก็ยื่นหมูยื่นแมวกันก่อนที่จะแยกย้าย
"ไอ้เด็กเมื่อวานซืนก่อนพระเจ้าเหาครองราชเอ้ย ไอ้ฟักต้ม ถ้าข้อมูลไม่ดีจริงไม่จ่ายสดนะเนี่ย"แจ๊คก่นด่าอย่างอารมณ์เสีย
"ว่าไป ฉันต้องรีบไปหาเสี่ยดีกว่า เคเฟรชต้องดีใจสุดๆแหง็มๆ"แจ๊คว่าต่อ
.
.
.
.
.
.
"ฮัลโหล เสธ.เขียวเหรอ อืม ใช่ มีธุระอยากให้ทำ ฉันต้องการผลการทดลองอะไรก็ตามที่พวกสายล่อฟ้ามันงุบงิบอยู่ที่หุบเขาดงโขมดเย็น รู้ใช่มั้ยว่าที่ไหน อืม เงินหนะ ถ้าได้ของเมื่อไหร่ก็เอาเงินได้เลย เตรียมคนให้พร้อมหน่อยก็ดีนะ ใช่ เร็วที่สุดเมื่อไหร่ โอเช ตามนั้น เดี๋ยวส่งพิกัดไปให้ ...แค่นี้นะ" เมื่อเสียงโทรศัพท์สิ้นสุดลง ผู้พูดในชุดสูทเต็มยศก็วางหูโทรศัพท์ลง พร้อมกับเรียกเลขาส่วนตัวของเขามา
"คุณเลขา ของที่ผมสั่งเรียบร้อยรึยัง"ชายคนนั้นพูด
"เรียบร้อยแล้วค่ะ ตู้คอนเทนเนอร์กับคนของเราพร้อมแล้วค่ะ"
"เยี่ยม"ชายคนนั้นพูดสั้นๆแล้วลุกขึ้น
เขามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วแสยะยิ้มอย่างมีนัย
มันเริ่มขึ้นแล้ว...
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:03:56 GMT
4.meet the Moving Now!!! : หมูมะนาว!!!
ปรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!! เสียงสยองที่เจ้าหน้าที่ทุกคนคุ้นเคยดังขี้น
แน่นอน นี่เป็นสัญญานที่ทำให้มนุษย์ทุกคนในอาณาบริเวณต้องวิ่งตาตื่นปุเลงปุเลงมาเข้าแถวตามหมวดหมู่ที่ตนเองคุ้นเคย สิ่งมีชีวิตชั่วร้าย(ในสายตาผู้ใต้บังคับบัญชา)ในชุดเต็มยศ สารวัตร เกรียงไกร ผู้ที่มียศสูงที่สุดในศูนย์ตำรวจป่าไม้แห่งนี้ เรารู้จักพวกเขาในฐานะ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ข้าราชการสายบู๊ที่เป็นรองก็เพียงทีมชุดเขียวกับหน่วยสวาทเท่านั้น ในวันนี้ ภารกิจใหม่ที่ถูกส่งลงมาจากหน่วยเหนือจะถูกส่งมาให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการแล้ว
"เอาหละ แถวตรง!!!"
"ครับ" เจ้าหน้าที่ทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง(ลองไม่พร้อมสิ มีเฮ)
"วันนี้ กองพันตำรวจป่าไม้ของเราได้รับภารกิจพิเศษจากหน่วยเหนือ สืบเนื่องจากมีเหตุการผิดปกติเกิดขึ้น นับตั้งแต่ไอ้พวกโสร่งปากโป้งออกมาโวยวายว่าทางฝั่งเราส่งอากาศยานจำพวกคอปเตอร์ข้ามไปยังเขตชายแดนต้องห้าม ทั้งๆที่ไม่มีอากาศยานทางทหารลำไหนขึ้นบินเลยแม้แต่ลำเดียวในวันนั้น หลังจากเกิดเรื่องประหลาดขึ้นในบริเวณนี้ คนที่เข้าไปชมนกถูกสัตว์ป่าไม่ทราบประเภททำร้ายหลายรายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านในบริเวณก็พิการเป็นจำนวนมากผิดปกติ แถมยังมีข่าวลือต่างๆเกิดขึ้นเต็มไปหมด เราก็ส่งหมวด2หมู่1 หรือ หมู่กะเพราทมิฬ เข้าไปสืบหาต้นตอในพื้นที่หุบเขาดงโขมดเย็น เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่ก็ขาดการติดต่อไป คาดว่าพวกโสร่งมันติดตั้งเครื่องรบกวนสัญญาณรุ่นใหม่ที่ไอ้ประเทศมหาอำนาจซักแห่งให้มันมา แต่ไม่มีอะไรใต้ท้องฟ้าและเมฆาที่ผู้ผดุงความยุติธรรมอย่างเราทำไม่ได้ ดังนั้น หมวด2หมู่2 หรือ หมู่หมูมะนาว เตรียมออกปฏิบัติการในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าโดยมีหมวด เอกยุทธ เป็นหัวหน้าหมู่ ขอให้ทุกคนโชคดี เลิกแถว!!!" สารวัตรเกรียงไกรอธิบายและสั่งการลูกน้องในสังกัด
"หมวด2หมู่3 หมู่หอยแครงลวก ไปถอนหญ้าหน้าตึกด้วย แล้วก็ทำใจไว้เลยนะ ถ้าหมูมะนาวหายไปเกิน3วัน พวกแกต้องไปทำแทน"สารวัตรพูดปิดท้ายก่อนที่จะสะบัดก้นเดินกลับออฟฟิศอยางองอาจ(?)
ตอนนี้หมวดหมู่อื่นๆในกองพันต่างถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วแยกย้ายก
ลับไปประจำตำแหน่งเดิม ยกเว้น หมู่หมูมะนาว อันประกอบด้วย หมวดเอก (หัวหน้าหมู่) หมู่ โบกี้ (รองหัวหน้า) และเจ้าหน้าที่ไร้ยศอีก3ชีวิต อันประกอบด้วย ชาติ ตือ กอล์ฟ
ทั้ง5คนต่างหน้าซีดลงในทันตา ถึงแม้เจ้าหน้าที่ป่าไม้จะรู้จักภูมิประเทศและการเดินป่าเป็นอย่างดี แต่ในหุบเขาดงโขมดเย็นนั้นแตกต่างจากที่อื่น มันเป็นป่าที่เต็มไปด้วยชนกลุ่มน้อยที่เป็นมิตรและไม่เป็นมิตร เป็นแหล่งซ่องสุมของพวกวายร้ายถางป่าและพรานนอกกฎหมายอีกไม่น้อย ที่ร้ายไม่แพ้ใครคือกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดและพวกลักลอบค้าอาวุธเถื่อนที่อาจแอบอยู่ตามป่าเขา นอกจากนี้ ยังมีสัตว์ร้ายและโรคภัยนานับประการพร้อมที่จะเล่นงานโฮโมเซเปี้ยนคนไหนที่รุกล้ำเขตอาศัยของสัตว์ ยังไม่รวมภูติผีสารพัดชนิดที่เป็นที่เล่าขานกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แค่คิด อุจจาระปัสสาวะและอาเจียนก็พร้อมเพรียงกันขึ้นไปประจำตำแหน่งอยู่ในกะโหลกทันใด
"เออ หมู่หมูมะนาว มาหาผมที่ออฟฟิศด้วย"สารวัตรเรียก
"ครับบบ"ทั้ง5คนขานรับด้วยเสียงเหมือนแมวป่วย
.
.
.
ณ ออฟฟิศของสารวัตร
"เรื่องของเรื่องก็คือ หมู่ของนายจะมีคนร่วมเดินทางไปด้วยอีก3คน คนแรก จ่าหญิง กรุณา เธอเสนอตัวมาร่วมเดินทางด้วย ผมเห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาก็เลยอนุญาต อีก2รายเป็นนักข่าวภาคสนามจากสำนักข่าว เผือกนิวส์ คุณเนยกับคุณสมบัติ ขอให้พวกนายทุกคน คุ้มครองและเดินทางไปกับคนพวกนี้ด้วย ทราบ"
"ทราบ"5สหายขานรับ
งานนี้เริ่มซับซ้อนขึ้นเพราะจาก5หน่อบวกกับ3หน่วยเป็น8ชีวิตที่จะต้องเดินทางไปสืบค้นสาเหตุของเรื่องประหลาดในหุบเขาดงโขมดเย็น ท่าทีของทั้ง5คนนั้นไม่สู้ดีนักต่างจากจ่าหญิงที่เพิ่งมาใหม่เอี่ยมอ่องซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจ และนักล่าข่าวทั้งสองที่จะเดินทางไปด้วยก็กระตือรือร้นสุดขีด คาดว่าคงได้รับเงินโบนัสก้อนโตหากหาข่าวสุดพิศดารชิ้นนี้ไปให้นายได้สำเร็จ ไม่แปลกใจหากเป็นเช่นนั้น ข่าวนี้เป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจในโซเชียลเน็ทเวิร์คเป็นอย่างมาก คาดว่าอีกไม่นานสำนักข่าวอื่นๆก็ต้องส่งนักข่าวมาหาข้อมูลเพิ่มแน่ๆ
หลังจากจัดข้าวของพร้อมเดินทาง ทั้ง5พร้อมเป้ขนาดใหญ่ ครบครันด้วยอุปกรณ์สำหรับเดินป่า ไม่ว่าจะเป็น เข็มทิศ6ตัว(กันเข็มทิศเสียและหาย) มีดพร้าซึ่งเป็นสิ่งที่นักเดินป่าขาดไม่ได้ เชือก ไฟแช็กและไม้ขีด เต็นท์ผ้าปันโจและถุงนอนสำหรับทุกคน กระติกน้ำ หม้อขนาดพกพาที่ครอบกระติกน้ำเอาไว้ วิทยุสื่อสารแบบพกพาหรือวอล์กกี้ทอล์กกี้ อาหารกระป๋องจำนวนหนึ่งและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลายห่อ ที่ขาดไม่ได้คืออาวุธประจำกายอย่างปืนลูกซองเดี่ยว6กระบอก กระสุนรวม30นัด และอาวุธประจำหน่วยปืนไรเฟิลจู่โจมHK33(เนื่องจากปืนรุ่นนี้มีจำกัด ความจริงควรมีคนละกระบอกแต่ งบเป็นสิ่งที่มีจำกัด)อันทรงพลัง ใช้ต่อกรกับผู้ร้ายได้เป็นอย่างดี แต่ส่วนมาก วายร้ายรุ่นเดอะมักจะมีอาวุธเทพๆอย่างปืนครก RPG(โค้ดเนม:หัวปลี) ลูกเกลี้ยง น้อยหน่า มะนาว ผลส้ม และ ปืนไรเฟิลจู่โจมรุ่นต่างๆไม่ว่าจะเป็น M16หรืออาก้าก็ไม่เกินความสามารถพวกมันที่จะหามาครอบครอง ที่นิยมให้หมู่พรานคือลูกซองแฝดที่แรงกว่าของเจ้าหน้าที่เป็นเท่าตัว แต่ด้วยความชำนาญและผ่านการฝึก ชัยชนะมักเป็นของเจ้าหน้าที่แม้จะด้อยกว่าด้านกำลังพลและอาวุธ(ถ้ามากันหลายสิบคนหรือระดมปาระเบิดมือก็ไม่ไหวเหมือนกัน)
ทางนักข่าวภาคสนาม ถึงแม้จะปราศจากอาวุธแต่ก็เตรียมของมาเป็นอย่างดี มีอุปกรณ์เดินป่าราวกับลูกเสือเลยหละ ที่แตกต่างจากคนอื่นๆคือทั้งคู่มีกล่องวีดีโอพร้อมขาตั้งขนาดเล็กน้ำหนักเบาที่พับให้เล็กพอที่จะใส่ในเป้ได้ นอกจากนี้ยังมีกล้องถ่ายรูปหลายเครื่อง(สำรองกันกล้องเสีย) พร้อมที่จะถ่ายทุกอย่างที่ขายได้ ถึงแม้จะมีเงินเดือนแต่มันก็น้อยเกินกว่าจะพอยาไส้ ทำงานเยี่ยงทาสแต่เงินได้น้อยราวกับกรรมกรไร้ฝีมือ นั้นเป็นเหตุผลที่นักข่าวทั้งหลายต้องหารายได้พิเศษ นักข่าวสายการเมืองมักจะสบายกว่าใครเพื่อนเพราะอัพสกิลไถของไถตังค์จากท่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งแวดวงการปกครองทั้งหลาย รองลงมาก็นักข่าวสายเศรษกิจและบันเทิง คนกลุ่มนี้ต้องการชื่อเสียงสำหรับหน้าที่การงาน การมีพันธมิตรเป็นนักข่าวจึงเป็นสิ่งที่สร้างความได้เปรียบสูงมาก ชัดเจนว่านักข่าวเองก็ต้องการ กินอิ่ม นอนอุ่น ชีวิตดี๊ดี มีเงินใช้ คงรู้ใช่ไหมว่านักข่าวสายนี้ทำเงินได้ใกล้เคียงกับสายการเมืองทีเดียว
ช่างน่าเศร้าสลดหดหู่ นักข่าวสายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสองเกลอตะลุยป่าที่กำลังจะปุเลงๆไปกับเจ้าหน้าที่ป่าเหล่านี้ ไม่มีคนให้ไถเงินดังนั้น ทั้งสองกระเสือกกระสนวิ่งเต้นเป็นร่างทรงลุยไฟกว่าจะได้มาทำข่าวอันดับต้นๆของสายอย่างข่าวนี้ หากพลาดหละก็ จะมีปรปักษ์นับร้อยและคู่แข่งอีกหลายสิบสำนักข่าวพร้อมจะมาแทนที่2สหายสายลุยคู่นี้ ถึงแม้จะไม่ลุยเท่านักข่าวสายภัยธรรมชาติและสายสงครามที่ชีวิตบัดซบเกินจินตนาการแต่การลุยป่าก็ไม่ใช่งานสบายแบบเดียวกับให้สัมภาษพ์ลูกท่านหลานเธออย่างแน่นอน(สายข่าวในฝันที่มีการแข่งขันสูงมาก หากเส้นไม่ใหญ่ไม่ได้เอาไมค์จ่อปากนายกหรอก)
ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป ทั้ง6ชีวิตก็ไปยืนจับกลุ่มกันอยู่ตรงท้ายรถปิ๊กอัพสำหรับลุยป่า เราได้เจอกับพลขับหน้าจืดตาลอยที่เดินเอื่อยเฉื่อยขึ้นรถข้างคนขับอย่างเบื่อหน่าย ส่วนที่นั่งข้างคนขับเป็นของผู้ที่ใหญ่ที่สุดในรถ ร้อยตรี เอกยุทธ หรือ หมวดเอก ผู้แบกรับความรับผิดชอบของภารกิจและชีวิตของหมู่ หมูมะนาว เพิ่มเติมคือแขกรับเชิญอีก2ราย ที่กำลังมา
"เฮ้ออออ"เสียงของหมวดเอกผู้ที่กำลังเซ็งกับภารกิจที่ได้รับ ตามชื่อ ภาระ-กิจ เป็นภาระจริงๆให้ตายเถอะพับผ่า
"ถามหน่อยเถอะหมวด ช่วยบอกเราอีกทีซิว่าเราจะเข้าไปทำอะไรในไอ้หุบเขานั่นและหมู่ กะเพราทมิฬ หายหัวไปไหนหมด"หมู่โบกี้ถาม
"เราต้องเข้าไปหาสาเหตุของเรื่องบ้าๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ มีนักชมนกถูกสัตว์ป่าทำร้ายมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านก็พิการมากขึ้นอย่างผิดสังเกตุ มีคนล้มป่วยด้วยโรคประหลาดที่ยังวินิจฉัยไม่ออก และ ที่สำคัญ มีข่าวลือหนาหูว่าเทพารักษ์ที่คอยปกป้องป่าเกิดพิโรธเลยมีพิธีขอขมากันยกใหญ่ พวกสำนักทรงเจ้าเข้าผีก็กุเรื่องหลอกชาวบ้านรีดเงินกันสนุกเชียว แถมคอหวยยังไปขูดหวยกับสารพัดสัตว์พิการกันเป็นวรรคเป็นเวร เท่าที่ได้ยินมาจะมีทัวร์มาขอขมาเทพารักษ์กับขูดหวยอีกเป็นกุรุส ทางเบื่องบนเลยสั่งการให้เรามาหาสาเหตุของเรื่องงี่เง่าพวกนี้เพื่อที่จะหยุดความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น กระจ่างหรือยัง"หมวดเอกพล่ามซะจนน้ำลายฟูมปาก
"ถามนิดเดียวฝอยแตกใหญ่เลย แล้ว พวกกะเพราทมิฬหละ หายไปเป็นอาทิตย์"หมู่โบกี้ถามต่อ
"ตามที่ลูกพี่บอกมา ขาดการติดต่อ ตามข้อมูลโดนเครื่องรบกวนสัญญาณจากเพื่อนบ้านแอบร้าย จะว่าก็ไม่ได้ ประเทศเค้ามีศึกชนเผ่าภายใน ซี้ซั้วกัดกันยุ่งวุ่นวายไปหมด การตัดสัญญาณวิทยุเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผล จบยัง"หมวดเอกพูดอย่างเหนื่อยใจ
"เฮ้ยพวก มาลองเดากันดูซิว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้"หมู่โบกี้ถามอีก3ชีวิตที่อยู่ใต้บังคับบัญชา
"ม่ายรู้ซิ พวกค้ายามันซัดกับแก๊งค์กะเพราทมิฬก็เลยทิ้งของกลางลงน้ำมั้ง สัตว์ไปกินน้ำเข้าเลยคลั่ง สัตว์เลี้ยงกับคนที่ไปกินน้ำก็เลยเป็นไปด้วย"ชาติตอบ พร้อมกับเกาหัวแกรกๆ หน้าเบื่อๆของเขาทำให้เขาดูทึ่มกว่าเก่าเวลาเกาหัว
"บ้าเหรอ เพราะเกิดเรื่องขึ้น กะเพราะทมิฬเลยโดนเข้าป่าไง แล้วจะไปซัดกันได้ไง อีกอย่าง ยาเสพติดแพงจะตาย เค้าไม่ทิ้งน้ำหรอกถ้าไม่จวนตัวจริงๆ"ตือพูด ร่างอ้วนของเขาเข้ากันได้ดีกับชื่อที่แปลว่าหมู ไขมันทั่วร่างกระเพื่อมทุกครั้งที่ขยับร่างกาย
"ไม่ใช่ยาหรอก ต่อให้โยนลงน้ำพวกนั้นก็ไม่มียามากพอที่จะทำให้สัตว์ที่กินน้ำคลั่งได้ขนาดนี้ แล้วมันจะส่งผลถึงชาวบ้านกับปศุสัตว์ได้ยังไงหะ ไอ้ชาติเอ้ย"กอล์ฟเสริม หัวกลมโตของเขากับฟันเหยินๆทำให้เขาดูตลกราวกับตัวการ์ตูน เหมือนตุ๊กตาล้มลุกกลายๆ
"อะแฮ่ม ทำความเคารพรองหัวหน้าหมู่คนใหม่หรือยังจ๊ะหนุ่มๆ"จ่าคนใหม่พูด
"หวัดดีคับ จ่ากรุณา"3สหายตะเบ๊ะพร้อมกับตอบส่งๆ
"เรียกจ่าปลาก็ได้จะ แล้วทำไมนายยังไม่ทำความเคารพ"จ่าปลาพูดใส่โบกี้
"หวัดดีครับ จ่าปลา"โบกี้ตอบแบบไม่เต็มใจ ตลอดมาเขาทำความเคารพแค่สารวัตรกับหมวดเอกเท่านั้น ตอนนี้นอกจากหลุดจากตำแหน่งรองหัวหน้าหมู่แล้ว ยังต้องมาทำความเคารพผู้หญิงอย่างช่วยไม่ได้อีก ชีวิตมันช่างโหดร้ายยยยยย ฟ้าส่งข้ามาเกิดแล้วทามมายส่งยัยนี่มาเกิดด้วยฟร้าาาา
"ฟ้าไม่ได้ส่งหมู่มาเกิดหรอก พ่อแม่หมู่ต่างหาก"หมวดเอกแซว
"เฮ้ยยยยย"หมู่โบกี้ร้องลั่น
"อย่าถามว่าทำไมถึงรู้ เล่นทำสีหน้าซะขนาดนั้น"หมวดเอกรู้ทัน
หมู่โบกี้พูดไม่ออกพร้อมกับตีหน้าเศร้าปั้นความเท็จอยู่บนท้ายรถกระบะ
"ว่าแต่ทำไมจ่าถึงจะมาร่วมเดินทางกับเราหละ"ไอ้ตือถาม
"พอดีว่าพี่ชายของจ่าอยู่หมู่กะเพราทมิฬ พ่อแม่จ่าเป็นห่วงก็เลยขอให้จ่ามาตามพี่กลับมา จะว่าไปหายไปเป็นอาทิตย์เนี่ยมันผิดปกติจริงๆนั่นแหละ ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นในป่านู้น"จ่าปลาตอบ
"ไม่โดนพ่อค้ายาเอาไปข่มขืนก็โดนเสือลากไปเป็นดินเนอร์"ชาติตอบ
"ปากเหรอนั่น จะเอาวิดพื้นกี่ที"จ่าปลาขู่ระหว่างที่ตือกับกอล์ฟหัวเราะคิกคักกัน
"โทษค้าบ คุคุคุคุคุ"ชาติตอบ
ตอนนั้นก็มีสองนักข่าวจากเผือกนิวส์วิ่งตารีตาเหลือกตรงมาที่รถกระบะ
"มาแล้วคร้าบ/คร้า"ทั้งสองตอบ
"ดี ขึ้นรถเลย"หมวดเอกเรียก
สองนักข่าวตะกายขึ้นรถอย่างทุลักทุเล แต่ไม่มีของอะไรเสียหาย
"หนูเนยค่ะ นักข่าวสายธรรมชาติจากเผือกนิวส์และนี่พี่สมบัติจากสังกัดเดียวกัน เราทำงานเป็นคู่"เนยแนะนำตัว
"ทราบแล้ว ออกรถเลย"หมวดเอกสั่งพลขับ แต่หมวดเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเห็นหน้าคุ้นๆภายใต้หมวกแก๊ปทรงชามข้าวหมา
"ไอ้จิงโจ้จากหมู่ ลิงละลาย หนิหว่า ได้ยินเค้าว่าแกชอบขับเร็ว คราวนี้ขอดีๆนะ"หมวดเอกว่า
"เค้าก็ว่าผมขับได้ไม่เลวนะหมวด"จิงโจ้ตอบ
"งั้นดีเลย ออกรถได้"หมวดสั่ง
คนบางคนเวลาปกติก็เป็นคนธรรมดา แต่พออยู่หลังพวงมาลัย พวกเขาสามารถผสานวิญญานกับคนขับรถF1ได้
"สู่ความเวิ้งว้างอันใกลโพ้นนนนนนนนนนนน"
ซูมมมมมมมมมม
รถปิ๊กอัพติดตราราชการคันนี้พุ่งทะยานออกจากตำแหน่งเข้าสู่ถนนลูกรังด้วยความเร็วใกล้เคียงกับกระสุนปืนสไนเปอร์ไรเฟิลรุ่นที่เร็วที่สุดเท่าทีทีมชุดเขียวของประเทศนี้จะมีได้
"ขับได้ไม่เลวจริงๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ชั่วเลยแหละ"
ทุกคนบนรถยกเว้นจิงโจ้คิด
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:05:52 GMT
5.red road journey : เส้นทางสายดินลูกรัง
การเดินทางเข้าสู่หุบเขาดงโขมดเย็นนั้นจะต้องผ่าน ป่าน้ำตาหนาม ป่าดิบแล้งที่เต็มไปด้วยไม้หนามสารพัดสายพันธุ์ เรื่องควรระวังคือไม้หนามพวกนี้มีลักษณะเป็นเล็บเหยี่ยวหรือหนามแบบโค้งเข้า หากโดนเกี่ยวเข้ามีสิทธิเจ็บหนัก เพราะหนามเหล่านี้ยิ่งดิ้นยิ่งแน่น ถ้าหากโดนตาหละก็ เตรียมบอกลาการมองเห็นไปได้เลย บางชนิดมีพิษและบางชนิดไม่มี แต่ทุกอันล้วนอันตราย ป่าน้ำตาหนามมีสภาพเป็นป่ากึ่งโปร่งกึ่งทึบ มีหญ้าสูงสีเหลืองซีดและพุ่มไม้แห้งกรอบขึ้นเต็มพื้นที่ควบคู่ไปกับดินสีแดงอิฐแสนแห้งผากที่โผล่ออกมาให้เห็นในบริเวณที่ไม่มีอะไรปกคลุม
บนถนนดินลูกรังสีแดงส้ม ยานพาหนะติดตราราชการคันหนึ่งกำลังพุ่งทะยานอย่างไม่เกรงใจกฎฟิสิกข์และแรงโน้มถ่วงของโลกแม้แต่น้อย บนรถมีชีวิตน้อยๆ 9ชีวิตที่ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย คนขับที่กำลังสุขสมอารมณ์หมายกับการเหยียบคันเร่งอย่างบ้าระห่ำก็ไม่คิดจะฟังเสียงรอบข้างเลย ฝุ่นควันสีแดงอิฐฟุ้งกระจายเป็นสายตามการหมุนของล้อรถและแรงกระแทกจากการเหินฟ้าทะยานดินของรถคันนี้ แน่นอนว่าถนนดินลูกรังมีสภาพไม่เหมาะแก่การขับรถเอฟวันเลย แต่ที่แน่ๆ สกิลการขับของไอ้จิงโจ้ต้องเทพไม่แพ้คนขับรถเมล์ในเมืองหลวงอย่างแน่แท้ หมู่หมูมะนาวและแขกรับเชิญแทบจะหัวใจล้มเหลวรอบที่ร้อยกว่านับตั้งแต่โดยสารบนพาหนะแห่งความพิโรธคันนี้ จุดหมายของเหล่าผู้โดยสารคือ ศาลเจ้าแม่ป้ายหยุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตรงนั้นเป็นที่สุดท้ายที่มีถนนเชื่อมไปถึง ศาลเจ้าแม่ป้ายหยุดนี้อยู่ตรงชายป่าน้ำตาหนามที่มีสภาพเป็นป่าโปร่ง การเดินทางไปหุบเขาดงโขมดเย็นจึงไม่ลำบากนัก
"อ่าห์!!!! รู้สึกสดชื่นเหมือนยืนบนไหล่เขาที่ซู้ดเลยว่ามั้ยหมวด นานๆทีได้ออกมาขับรถเล่นกินลมชมวิวแสนสุขสำราญใจ เหมือนได้ปลดปล่อยตัวตนออกมาจริงๆ"พลขับจิงโจ้เอ่ยอย่างสบายใจ
"ตอนนี้หมวดรู้สึกเหมือนกับกำลังขี่กระทิงพยศอยู่บนลานสเก็ตน้ำแข็งตอนเกิดแผ่นดินไหว12ริกเตอร์หลังจากดื่มหนักในวันเลี้ยงรุ่น ถามจริงเหอะ เค้าอนุญาตให้แกขับรถได้ไงว่ะ"หมวดเอกที่หน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวและใกล้จะปล่อยมื้อเช้าออกสู่ภายนอกผ่านทางเดิม ถามด้วยเสียงเหมือนคนป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
"ผมก็ไม่รู้นะหมวด รู้แต่หมวดดนัย หัวหน้าหมู่ผมเอง เค้ามอบหมายให้ผมมาขับรถให้หมวดโดยเฉพาะเลย เค้าบอกว่าไม่มีใครชำนาญเส้นทางในป่าน้ำตาหนามมากไปกว่าผมแล้ว"จิงโจ้ตอบด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนไร้เดียงสา
"สงสัยเป็นเพราะมันโกรธที่ผมยังไม่คืนเงินค่าเหล้าไป2000หละมั้ง เงินแค่2000นี่คิดจะฆ่าจะแกงกันแบบนี้เลยหรือไงว่ะ"หมวดเอกพูดอย่างหงุดหงิด
"ปลอดภัยหายห่วงหมวด ถึงผมจะขับเร็วที่สุดในหมู่ลิงละลาย แต่ผมไม่เคยเฉี่ยวใครเลยนะ อย่างมากก็แค่ประสานงา อัดก๊อปปี้ ทะลุกลางรถ ส่งมอไซค์ไปอยู่คู่กับเครื่องบิน ทลายไฟแดง บดหมาขยี้แมวกระแทกนก ถึงจะตีลังกาแต่ก็กลับลงมาด้วยล้อทั้งสี่ได้ขับต่อสบาย"ไอ้จิงโจ้เล่าผลงานชิ้นโบว์ดำของเขาให้บรรดาเพื่อนร่วมชะตากรรมฟัง
ทันใดนั้น รถก็ไปกระแทกกับเนินดินที่เป็นลูกระนาดตามธรรมชาติเข้าอีก จนชาวหมูมะนาวจุกกันเป็นแถบ
"อ๊อก โอ แหวะะะะะะะ โฮ๊กฮ้าก"หมวดเอกพ่นอาหารเช้าออกมาแล้ว ยังดีที่รถคันนี้มีถุงอ้วกอยู่ไม่งั้นรถคันนี้คงโดนปลดประจำการก่อนเวลาอันควร
"โห หมวดเมารถเหรอ แบบนี้จะไปที่ไหนไกลๆได้ไงเนี่ย"จิงโจ้ถาม พร้อมกับเกาหัวแกรกๆ ทั้งๆที่กำลังขับรถอยู่
ที่หลังรถเอง นักข่าวทั้งสองกำลังถ่ายสกู๊ป ระหว่างการเดินทางอยู่ เนยกำลังสัมภาษณ์สมาชิกระดับรองของทีมหมูมะนาวอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถ่ายรายการบนวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้เคียงกับบั้งไฟล้าน
"ขอสัมภาษณ์นะคะ ทำไมหมู่ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้อย่างพวกคุณถึงมีชื่อที่แปลกอย่างนี้หละ"เนยถามหมู่โบกี้
"ก็เพราะนโยบายลดความรุนแรงที่เบื้องบนสั้งมาเนี่ย สารวัตรเราเค้าไม่รู้จะทำยังไงก็เลยให้นักเรียนมัธยมจากโรงเรียนแถวนี้ตั้งชื่อให้ พอมีโจทย์ออกมาแบบนี้ พวกเด็กเกรียนก็เลยตั้งชื่อหมู่ให้เราแบบ.... กะเพราทมิฬงี้ หมูมะนาวงี้ ลิงละลายงี้ ยังมี ปลาทูคำรามกับแมลงสาบเหินฟ้าอีกนะ ที่พอฟังได้ที่สุดก็หมู่1หมวด1 ชื่อเล่น เสือคาบบ้อง"หมู่ตอบด้วยความเหนื่อยใจ แต่ชื่อเก่านั้นแย่กว่าหมูมะนาวซะอีก นับได้ว่า ต้องต่อรองกับเด็กเวรพวกนั้นพอสมควรกว่าจะได้ชื่อนี้มา แรงบันดาลใจก็มาจากเกมวางแผนการรบเกมหนึ่งที่มักจะมีประโยค moving now!!! ขึ้นมาทุกครั้งที่กดขยับทหาร พอฟังไปฟังมาก็เลยเป็น หมูมะนาว
"ไม่มีใครน่าสงสารไปกว่าหมู่5หมวด4แล้วหละ แมงดาอนาถ "ชาติสรุป
"แล้วไอ้หมู่ เป็ดปวดท้อง กับ ตุ๊กแกหงอย หละ"ตือถาม
"เพื่อนที่หมู่ หนูติดโรค ชะนีคราง และ ไส้เดือนป่วย ก็ด่าไอ้เด็กเปรตที่ตั้งชื่อหมู่ให้กันระงม"กอล์ฟเสริม
"แล้ว หมู่โบกี้ ปกติปฎิบัติหน้าที่แบบไหนบ้างคะ"เนยถามต่อ
"ก็แล้วแต่ว่าทางเบื่องบนเค้าสั่งมาว่าให้ทำอะไร ส่วนมากก็ช่วยเหลือสัตว์ที่บาดเจ็บหรือโดนกับดัก หลายๆงานก็ได้รับแจ้งมาจากตำรวจท้องที่ มักมีพวกเปิดร้านอาหารป่าที่ใช้สัตว์ป่ามาทำอย่างผิดกฎหมาย หรือก็พวกเอาอวัยวะสัตว์มาขาย ไม่รู้เชื่อเข้าไปได้ไง เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมูตัน กรามกระเบน จะช่วยให้แคล้วคลาดรอดปลอดภัย ยิ่งไอ้นั่นเสือดองเหล้าจะช่วยให้มีเพศสัมพันธ์อึด เสือมันมีอะไรกันเฉลี่ยแค่4-5วิเอง อยากอึดก็ไปกินนมแพะสิ ไอ้นั่นหนะตัวอึดเลย"หมู่โบกี้ระบายความในใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
"แล้วเคยเจองานหนักๆไหมคะ"เนยถาม
"เคย หลายครั้งที่เราต้องออกปฏิบัติภารกิจเสี่ยงอันตราย เช่น การปราบปรามขบวนการลักลอบตัดไม้และค้าสัตว์ป่า ถ้าโชคไม่ด็ก็เจอพวกแอบขนยาเสพติดข้ามชายแดน พวกนี้มีจำนวนไม่ใช่น้อยๆ ถึงเราจะผ่านการฝึกมา แต่พวกนั้นก็ไม่ใช่กระจอกๆ ยิ่งเส้นใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งมีอาวุธเยอะและร้ายแรงมากเท่านั้น บางครั้งเราก็โดนกับดักจนบาดเจ็บ หรือ อาจถูกสัตว์ร้ายฆ่าตายได้ บ่อยๆก็งูแหละ บางครั้งเสือแก่ที่ล่าสัตว์อื่นไม่ไหวก็หันมาล่าคนแทน "หมู่โบกี้ตอบ
"แล้วคิดว่าในภารกิจครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากอะไรคะ"เนยถามต่อ
"เรื่องนี้ค่อนข้างคลุมเครือมาก อาจเกิดจากหลายสาเหตุ คาดว่าอาจมีคนไปตั้งโรงงานแล้วปล่อยสารเคมีลงในแหล่งน้ำ ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น"หมู่ตอบ
"จ่าว่าไม่ใช่นะ ถ้าเป็นโรงงาน หมู่กะเพราทมิฬน่าจะกลับมาแล้วสิ เอิกเกริกซะขนาดนั้น จ่าว่าต้องเป็นพวกที่เส้นใหญ่และร้ายสุดๆ ไม่งั้นหมู่กะเพราทมิฬคงไม่ติดพันขนาดนี้"จ่าปลาแย้ง
"ผมก็ยังนึกไม่ออกเลยนะว่ามันเกิดจากอะไร แต่รู้สึกได้ว่ามันไม่ปกติ"ชาติเสริม
"แล้วพวกยาหม่องไม่คิดจะทำบ้าอะไรเลยเหรอ ปัญหามาจากประเทศมันแท้ๆ"กอล์ฟถาม
"พูดเหมือนมันจะทำอะไรได้ แค่รบรากับสารพัดชนกลุ่มน้อย17เผ่าพันธุ์ก็แทบกระอักเลือดแล้ว ไม่มีเวลาว่างมาไล่จับไอ้พวกนี้หรอก ยังไม่นับสงครามภายในและการแทรกแซงจากพวกมหาอำนาจนะ "หมู่โบกี้ตอบ
"แล้วเรื่องคอปเตอร์ที่พวกนั้นแจ้งมาหละ เกิดไรขึ้นกันแน่"ตือถาม
"โมเมเอาหนะซี่ โธ่ ไม่ก็ต้องเป็นคอปเตอร์ของเอกชนซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะไปแถวนั้นอยู่ดีแหละ"่ชาติตอบ
"แล้วเหตุผลที่จ่ามาร่วนภารกิจนี้คืออะไรคะ"เนยย้ายไปสัมภาษณ์จ่าปลาแทน
"ก็พี่ชายจ่าที่อยู่ในหมู่กะเพราทมิฬขาดการติดต่อและหายตัวไป พ่อแม่จ่า รวมทั้งจ่าเองก็เป็นห่วง จ่าเลยต้องออกมาตามหาพี่ บางทีเขาอาจต้องการความช่วยเหลือ มีสิ่งร้ายกาจมากมายซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาสุดสยองนั่น เจ้าหน้าที่หลายๆคนไม่ได้กลับออกมาแบบมีชีวิต คน สัตว์ และ สิ่งของในที่นั้นล้วนพร้อมที่จะพรากลมหายใจออกจากเราได้ทุกเมื่อ และที่สำคัญ ธรรมชาติไม่เคยปราณีใครหรืออะไรทั้งสิ้น"จ่าปลาตอบ
"'งั้นแสดงว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายมากเลยสินะคะ"เนยถามต่อ
"มันก็อันตรายเหมือนทุกๆทีแหละ มีไม่กี่คนในกองพันที่อยู่อย่างปลอดภัย และ นั่นไม่ใช่เรา"จ่าปลาตอบ
"ตอนเราไปปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์เนี่ย เกือบเอาชีวิตไม่รอด มันมีกองกำลังชนเผ่าติดอาวุธหนักมาด้วย งานนั้นเราเสียเพื่อนไปหลายคนแต่ก็พิชิตพวกชั่วนั่นได้ เจอแรงงานทาสเป็นร้อยเลยพับผ่าสิ"ตือเล่า
"ยังไม่จบตอนนั้น......"หมู่โบกี้กำลังจะเล่าแต่รถก็หยุดกระทันหันจนเหล่าผู้อยู่ท้ายกระบะเสียหลักไปตามๆกัน
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!
เสียงดริฟดังสนั่นหวั่นไหวจนนกในบริเวณนั้นบินหนีแตกกระจายไปตัวละทางพร้อมกับฝุ่นควันตลบอบอวลสีแดงจางๆฟุ้งไปทั่วบริเวณ
"ถึงที่หมายแล้ววว ศาลเจ้าแม่ป้ายหยุด"จิงโจ้ตะโกนบอก
"นายที่สูดดดด"เจ้าหน้าที่ผู้นั่งข้างคนขับคลานกระเสือกกระสนออกมาจากรถกระบะที่ขับได้เหมือนรถไฟเหาะตีลังกา แล้วปล่อยโฮอยู่บนพื้นดินลูกรัง
เบื่องหน้าของทั้ง9ชีวิตคือป้ายหยุดสีฟ้า-แดงขึ้นสนิมนิดๆ เสาที่ค้ำป้ายนั้นหงิกงอราวกับถูกกันชนรถซักคันกระแทกเข้าเต็มรัก รอบๆป้ายมีซากพวงมาลัยและผ้าสามสีเต็มไปหมด เศษเครื่องเซ่นกองกระจัดกระจายเต็มอาณาบริเวณ ตัวป้ายถูกห่อหุ้มด้วยผ้าหลากสี พวงมาลัย และ แป้งทาตัว มีร่องรอยการขูดขีดทั่วแผ่นป้ายและเสาที่ค้ำมัน
แถวๆนั้นมีหมาจรจัดอยู่2ตัว ตัวแรกมีสีขาวลายน้ำตาล คาดว่าเป็นสายพันธุ์เทอเรียผสมกับอื่นๆ อีกตัวเป็นหมาสีออกน้ำตาลเหลือง เดาว่าคงมีบรรพบุรุษเป็นหมาโกลเด้น ทั้งสองกำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ตรงต้นไม้หนามใกล้ๆป้ายหยุด
เส้นทางต่อจากนี้เข้าสู่เขตป่าดงดิบสีเขียวชอุ่ม ไม่ได้มีบรรยากาศน่าเข้าไปเดินเล่นเลย
แต่มีบางอย่างที่ผิดปกติ ที่แห่งนี้ควรจะมีคอหวยบ้าเลขมาออแออัดอยู่เต็มไปหมด แต่ที่นี่ร้างผู้คนโดยสิ้นเชิง
ถ้าสังเกตุดีๆ เครื่องเซ่นที่กระจัดกระจายเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าที่นี่เกิดเรื่องขึ้น
ดินลูกรังสีแดง ทำให้ทุกคนไม่ทันสังเกตุคราบเลือดที่อยู่ใต้ทรายสีอิฐนี้
"ใครรู้สึกได้บ้างว่า มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นที่นี่"ชาติพูด
"รู้สึกเหมือนกัน อะไรที่น่ากลัวเคยมาที่นี่"หมู่โบกี้พูด
"กลิ่นอะไรเหม็นๆลอยมาจากทางนู้นหนะ ไปดูกัน"จ่าปลาพูด
หมวดเอกลุกขึ้นยืนอย่างเก้ๆกังๆ พร้อมกับเดินตรงไปที่จ่าปลาว่า
"เฮ้ พวกเรามาดูนี่ซะก่อน"หมวดเอกเรียกคนอื่นๆมาดูบางสิ่งที่กองอยู่บนพื้น
หมูป่าตัวหนึ่งนอนตายอย่างน่าอนาถอยู่บนพื้นดินสีแดง ไม่ได้แดงเพราะเป็นดินลูกรัง แต่แดงเพราะถูกชโลมด้วยเลือดของหมูป่าผู้เคราะห์ร้ายตัวนี้ ร่างของมันถูกฉีกกระชากอย่างรุนแรงอย่างเด่นชัด อวัยวะภายในแทบไม่เหลือเพราะโดนสัตว์ร้ายกัดกินจนพรุน ไม่เพียงอวัยวะภายในเท่านั้น ร่างกายท่อนล่างของมันถูกแทะซะจนไม่เหลือเค้าเดิม ยังดีที่ส่วนหัวยังเหลือไม่งั้นคงดูไม่ออกว่าเป็นหมูป่า
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หมูป่าซักตัวจะถูกกินแต่ สิ่งที่ผิดปกติคือ ไม่มีสัตว์ป่าตัวไหนมาต่อสู้กันในพื้นที่แบบนี้หรอก ที่สำคัญ หมูป่าไม่อาศัยอยู่แถวนี้ มันจะอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา
"งานนี้เริ่มต้นได้ไม่สวยซักเท่าไหร่นะเรา"หมวดเอกพูด
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:08:38 GMT
6.first fright : ความกลัวที่หนึ่ง
ซากหมูป่าสุดสยองนั้นทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้หน้าถอดสีกันเป็นทิวแถว แม้แต่นักขับตีนพญายมอย่างจิงโจ้ยังไม่อยากจะข้าใกล้ มีสัตว์ไม่กี่ชนิดที่แกร่งพอจะล้มหมูป่าโตเต็มวัยตัวขนาดนี้ได้ แต่ไม่มีสัตว์ชนิดไหนกระชากหมูป่าจนเป็นแผลฉีกรอยยาวขนาดนี้ได้ ต่อให้เป็นเสือ มันจะกัดคอหมูป่าให้หักไม่ใช่ฉีกให้เละแบบนี้ บางอย่างที่ทำสิ่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาดงโขมดเย็นอันเลืองชื่อ(โดยเฉพาะชื่อเสียงในด้านลบ)
"โห่ให้ตายเถอะ เกิดมายังไม่เคยเจอตัวอะไรที่ชำแหละเหยื่อได้น่าเกลียดแบบนี้มาก่อนเลย แถมดันมาฆ่าหมูป่าอยู่ตรงใกล้ๆศาลเจ้าแม่ป้ายหยุดเนี่ยนะ ถ้ามันไม่กลัวคนได้ขนาดนี้ก็นับว่าอันตรายสุดๆเลยหละ"หมวดเอกบ่น
"ขอกลับกองพันก่อนนะ เดินทางโดยสวัสดิภาพ ลาขาดหละ"พลขับจิงโจ้พูดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเลี้ยวรถกลับและพุ่งทะยานอย่างไม่คิดชีวิตกลับกองพันอย่างไวจนวอกอาย ไวกว่าขามาซะอีก
ท่าทางจะเหยียบมิดแบบไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้วในตอนนี้ เข้าสู่โหมดทะยานกลับนรกแบบเต็มตัว
"ขอให้สารวัตรส่งหมู่หอยแครงลวกมาด้วยก็ดีนะ ชักใจคอไม่ดีแล้ว"ตือพูดพร้อมๆกับลูบหน้าตัวเอง ถึงแม้ว่าไอ้จิงโจ้จะพุ่งราวกับเสือชีตาร์โดนไฟไหม้หางแต่ตือก็พูดเหมือนจะปลอบใจตัวเองยังไงหยั่งงั้น
เอาเถอะ ถึงยังไงไอ้ตัวที่อาละวาดอยู่ก็เป็นสัตว์ ดูจากรอยฟันอันน่าสยองนั้นแล้ว ต้องเป็นสัตว์กินเนื้อที่ตัวใหญ่มากๆ HK33 ไม่กี่นัดน่าจะจบชีวิตมันได้ไม่ยากหากเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เข้ามาแหย็มกับหมู่หมูมะนาว
หลังจากตรวจสอบร่องรอยที่อยู่บนซากหมูป่าเสร็จ นักข่าวแห่งเผือกนิวส์ทั้ง2ก็เข้ามาถ่ายภาพและวีดีโอเก็บเอาไว้ เผื่อจะได้นำไปประกอบสกู๊ปเด็ดของตนเอง
"เอาหละ ดูจากร่องรอยแล้ว คาดว่าหมู่กะเพราหมิฬน่าจะไปหุบเขาดงโขมดเย็นผ่านทาง หนองเห็ดกระสือ ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าพรุ หรือภาษาชาวบ้านก็คือหนองน้ำเน่านั่นแหละ เนื่องจากน้ำในหนองน้ำนั้นเป็นน้ำนิ่งและภูมิประเทศที่ค่อนข้างต่ำ น้ำที่มีเศษใบไม้ซากพืชซากสัตว์ จะเริ่มเน่าเสียอย่างรวดเร็วและเป็นแหล่งที่หมักหมมของจุลินทรีย์และเชื้อโรคหลายชนิด"หมวดเอกอธิบายให้นักข่าวทั้งสองระหว่างที่กำลังถ่ายวีดีโอ
"พับผ่าเหอะ ไอ้ท่านพี่กะเพราดำพวกนั้นทำไมไม่อ้อมภูเขาช้างล้มฟร๊ะ แห้งกว่า ง่ายกว่า ดีกว่าในทุกๆด้าน"หมู่โบกี้บ่น คนอื่นๆก็พยักหน้าหงึกๆแสดงความเห็นด้วย
"นอกจากนั้น ภูเขาช้างล้มยังเป็นแหล่งซ่องสุมพวกผิดกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในหุบเขาดงโขมดเย็นด้วย แค่6ชีวิตของหมู่กะเพราทมิฬแทบไม่มีทางผ่านสารพัดเดนมนุษย์ไปได้หรอก"จ่าปลาให้คำตอบแทนหมวดเอก ทำเอาหมู่โบกี้เสียเซลฟ์ไปในบัลดล
"หนองเห็ดกระสือเป็นแหล่งสะสมก๊าซมีเทนที่ใหญ่มาก ที่มาของชื่อโขมดกับกระสือก็คือ ก๊าซมีเทนที่ลอยตัวขึ้นมาจากหนองน้ำเกิดลุกไหม้กลางอากาศทำให้ดูเหมือนลูกไฟผีนั่นเอง ด้วยเหตุผลนี้ พวกเดนคนทั้งหลายจึงไม่อยากตั้งแหล่งซ่องสุมที่นั่น อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต่ำ น้ำป่าจะถล่มแทบทุกฤดูมรสุม การอยู่ในระยะยาวจึงไม่เหมาะ"หมวดเอกสมทบ
"แล้วนี่เรากำลังไปที่หนองเห็ดกระสือใช้มั้ยคะ"เนยถาม
"ถูกต้อง ที่สำคัญ สัญญาณวิทยุครั้งสุดท้ายก็มาจากที่นั่น คลื่นรบกวนจากพวกหม่องน่าจะไปถึงแค่นั้น"หมวดเอกตอบ
ตอนนี้บรรยากาศโดยรอบนั้นไม่ค่อยน่าเดินเที่ยวนัก ป่าดงดิบที่ยอดไม้สูงชะลูดทำให้บดบังแสงอาทิตย์ออกไปหลายส่วน ข้างล่างจึงค่อนข้างมืด มองไปทางไหนก็มีแต่สารพัดพืชและต้นไม้เต็มพื้นที่ เห็นแมลงและสัตว์เลื้อยคลานบ้างประปราย มีเสียงนกและสัตว์ป่าหลายๆชนิดดังสะท้อนออกมาไกลๆ ชวนให้รู้สึกถึงธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ในทางกลับกัน แมกไม้หนาทึบนี้สูงพอที่เสือทั้งตัวจะไปซ่อนอยู่ข้างใน การถูกลอบโจมตีนั้นง่ายมาก
"ข้อควรระวังคือ ในป่าฟ้าจะมืดเร็วมาก กลางคืนจะมาเยือนก่อนเวลาจริง ตอนนี้ก็บ่ายสามแล้ว เราควรจะไปถึงหนองเห็ดกระสือภายในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเราควรจะหาฟืนกัน"หมวดเอกสั่งการ
"แล้วเราจะนอนที่เดิมหรือเปล่า"หมู่โบกี้ถาม
"ที่เดิม"หมวดตอบสั้นๆ
"เห ที่เดิมนี่หมายถึงที่ไหน"จ่าปลาถามด้วยความสงสัย
"เอางี้ เดี๋ยวถึงที่หมายแล้วจะบอก"หมวดตัดบทจบ
ระหว่างที่ชาวหมูมะนาวและพรรคพวกกำลังตรงไปยังสถาณที่พิเศษ มีสายตาคู่หนึ่งจ้องเหล่าผู้เดินทางอยู่ใต้แมกไม้หนาทึบ มันค่อยๆย่องตามหมู่หมูมะนาวช้าๆไม่ให้เกิดเสียง ไม่มีคนไหนในหมู่รู้ตัวแม้แต่น้อย มันยังคงรักษาระยะห่างไว้เพื่อความปลอดภัย
หลังจากเดินทางไปราวๆ2กิโลเมตรจากศาลเจ้าแม่ป้ายหยุด เจ้าหน้าที่ป่าไม้และพรรคพวกก็มาถึงจุดหมายแรก
"นี่มันคืออะไรกันเนี่ย"จ่าปลาพูดขึ้นด้วยความสงสัย ระหว่างที่นักข่าวทั้งสองยกกล้องถ่ายวีดีโอขึ้นมาถ่ายอย่างรู้งาน
"นี่คือ โรงแรมห้าดาวกลางป่า และเราจะพักกันที่นี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครอยู่ ใครๆเค้าก็รู้ว่าที่นี่คือที่ของเจ้าหน้าที่อย่างเราๆ"หมู่โบกี้ตอบ
ภาพด้านหน้าของหมวดเอกและคณะคือบ้านไม้หมดสภาพที่มีไม้เลื้อยขึ้นเต็มไปหมด บ้านหลังนี้มีหน้าต่างอยู่บานเดียว ประตูบ้านอยู่ในสภาพยับเยิน ห้อยร่องแร่ง พื้นบ้ายกสูงขึ้นมาจากพื้นดินประมาณ1เมตร มีหลังคามุงใบจากอย่างดีที่สามารถกันฝนได้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรดีไปกว่าโฮมสเตย์สุดหรูในป่ารกอันตรายแบบนี้อีกแล้ว
"ใครมาสร้างบ้านไว้กลางป่ากลางเขาคะ"เนยถาม
"นี่ไม่ใช่บ้านคนหรอก นี่คืออดีตบ่อนการพนันที่แอบมาซุกอยู่ในป่า เมื่อ2-3เดือนก่อนหมู่กะเพราทมิฬได้บุกมาทลายบ่อนนี้ตามคำสั่งสารวัตร แน่นอนว่าหลังจากนั้นเราก็ยึดบ่อนแห่งนี้เป็นค่ายพักแรมชั้นยอดกลางป่า โค้ดเนม:บ่อนสุขสบาย เอาหละ ขนของต่างๆเข้าไปแล้วเราไปหาฟืนกัน"หมวดเอกพูดอย่างอารมณ์ดี
ภายในห้องโถงใหญ่เพียงห้องเดียวของบ่อนแห่งนี้ มีโต๊ะเล็กๆคล้ายๆโต๊ะญี่ปุ่นหรือโต๊ะขันโตกอยู่ราวๆ8โต๊ะ มีหมอนอิงทรงสามเหลี่ยมอยู่หลายใบ และมีเสื่อจำนวนหนึ่งม้วนกองอยู่ริมผนัง มีไหดินเผาซึ่งเคยเป็นไหสาโทอยู่อีกมุมหนึ่ง ที่นี่มีทุกอย่างที่บ่อนสไตล์บ้านนอกควรจะมี ยกเว้นอุปกรณ์การพนันซึ่งถูกเอาไปเป็นของกลางจนหมด ยกเว้นไพ่สำรับหนึ่งที่หมู่กะเพราทมิฬแอบทิ้งเอาไว้เผื่อวันหลังจะได้มานั่งเล่น โดยรวมที่นี่เป็นบ่อนที่มีบรรยากาศสบายๆทำให้นึกถึงคุณลุงคุณป้าแก่ๆที่ชอบมารวมตัวกันเล่นไฮโลหลังฤดูเก็บเกี่ยว แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง กลางบ่อนแห่งนี้มีกองก้อนหินและดินอยู่กองหนึ่ง เอาไว้ทำเป็นกองไฟจุดไว้ให้ความอบอุ่นและทำอาหาร
"ไปหาฟืนได้แล้วทุกคน ส่วนเนยกับสมบัติช่วยอยู่เฝ้าสัมภาระหน่อยนะ"หมวดเอกสั่งการ ทุกคนในสังกัดก็ขยับตัวออกไปยังประตู ยกเว้นนักข่าวทั้งสองที่กำลังถ่ายบรรยากาศวินเทจภายในบ่อนน้อยน่ารักแห่งนี้ หมู่โบกี้เดินหน่ายๆออกประตูก่อนที่จ่าปลาจะถีบเขาเพราะรำคาญความช้า เจ้าหน้าที่ไร้ยศอีก3คนก็เดินออกไปตามพวกที่เหลือ
เนื่องจากในป่าดิบชื้นแบบนี้การหาฟืนที่แห้งพอที่จะจุดไฟนั้นไม่ง่ายนัก ทั้ง6คนจึงแยกย้ายกันออกไปทางละ2คน ไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์นักที่จะแยกทางกันในป่าแต่ ถ้าจะหาฟืนให้ได้ก่อนมืดก็คงต้องทำแบบนี้แหละ หมวดเอกไปกับชาติ จ่าปลาไปกับตือ หมู่โบกี้ไปกับกอล์ฟ
"เออจ่า แล้วเราจะเอาน้ำที่ไหนกินหละ ตรงหนองเห็ดกระสือน้ำก็เน่าเกินกว่าจะกรองได้ซะด้วย เราพกน้ำกันมาก็กินได้ไม่เกิน4วัน เอาไงดีอ่ะ"ตือปาดเหงื่อไหลย้อยของตัวเอง เขาเองก็ไม่ชอบเดินทางไกลซักเท่าไหร่ เขาชอบนั่งๆนอนๆอยู่กับหมวดที่กองพันมากกว่า แต่อย่างน้อยการมาทำภารกิจครั้งนี้ ก็ช่วยให้เขาไม่ต้องฝึกที่กองพันเช่นกัน
"นี่ตือไม่ได้เรียนการเอาชีวิตรอดในป่ามาเหรอ เราก็หาเถาวัลย์มาแล้วก็ตัดปลายมาสิ ได้น้ำพอดีสำหรับ1คนต่อแต่ละเถา ป่าดิบชื้นแบบนี้น่าจะหาเถาวัลย์ได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้หาฟืนก่อนนะ เดี๋ยวมืดซะก่อนจะอันตราย"จ่าปลาพูด เธอเองก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีตั้งแต่เข้ามาที่นี่ แน่นอนว่าการเข้ามาในหุบเขาอันแสนไม่เป็นมิตรแบบนี้ย่อมทำให้ใครก็ตามรู้สึกไม่ดี แต่คราวนี้มันแตกต่างออกไปจากทุกๆที ถึงแม้จะรู้ตัวว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลแต่ก็ไม่สามารถหาต้นตอของสิ่งนั้นได้ ในบางครั้งสิ่งที่มองไม่เห็นอาจเล่นตลกร้ายกับพวกเขา เหมือนกับที่พวกหมู่เสือคาบบ้องเคยเล่าให้ฟังที่กองพัน ทำเอาภารกิจของหมู่หมาตะกายแทบล่ม(แน่นอนว่าหมู่หมาตะกายจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับรองจากรายชื่อกิ๊กของสารวัตร เกรียงไกรนะ)
"ท่อนนั้นไง น่าจะแห้งมากแล้ว ตอนโดนเผาน่าจะมีควันไม่เยอะ กำลังเหมาะเลยแหละ"ตือพูดก่อนที่จะก้มลงไปหยิบท่อนไม้ท่อนนั้นแต่แล้วเจ้าหน้าที่ป่าไม้ตัวอ้วนฉุคนนั้นก็ต้องฉะงัก
แกร็ก แกร็ก... มีเสียงบางอย่างดังมาจากพุ่มไม้ด้านหลังจ่าปลาและไอ้ตือ สร้างความแปลกใจให้กับทั้ง2 ขีดระดับความเครียดของทั้ง2พุ่งจนมิดหลอดแทบจะในทันที
"จ จ จะ จ่า บอกผมทีว่าไม่ใช่ไอ้นั่น อ อไอ้ตัวที่หมู่เสือคาบบ้องเคยเล่าอ่า"ตือพูดตะกุกตะกัก เขายังอยู่ในท่าก้มเก็บฟืนยังค้างท่าเดิมอย่างไม่ไหวติง เหงื่อไหลโชกเต็มตัวเพราะอะดรีนาลีนพุ่งขึ้นสูงอย่างฉับพลัน
"ชั้นจะไปรู้ได้ยังไงว่าไอ้หมู่เสือคาบบ้องเคยเล่าไรให้ฟัง พึ่งเข้าหมู่เมื่อเช้าเอง"จ่าปลาพยายามพูดข่มความรู้สึกกลัวของตัวเอง
"ง งะ งั้นจ่าแหงนหน้ามองบนหน่อยว่ามี ต ตะ ตัวอะไรบนต้นไม้เปล่า"ตือเริ่มทำเสียงเหมือนอยากจะร้องไห้ ตัวของเขาสั่นระริกเหมือนยืนแก้ผ้าอยู่ขั้วโลกใต้
จ่าปลาไม่ตอบแต่ค่อยๆแหงนหน้าขึ้นมองบนต้นไม้ ใจสั่นเหมือนจะหัวใจวายได้ทุกเมื่อ ตอนนี้หูของจ่าหญิงคนนี้เหมือนได้ยินแต่เสียงกลองศึกจากหนังประวัติศาสตร์ชาติจากหน้าอกตัวเอง แต่ไม่ว่าจะพยายามแหงนหน้าก็เหมือนมีสมอเรือคอยถ่วงเอาไว้ไม่ให้เงยหน้าแต่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้
"เร็วๆหน่อยจ่า ตะคริวกินขาจะลามถึงก้นแย้ว เดี๋ยวคืนนี้ขี้ไม่ได้"ตือร้องครวญครางดุจโดนปลาหมอไชก้น ตะคริวจริงๆแล้วตอนนี้ขึ้นไปครึ่งน่องแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นตือก็ยังคงยืนค้างท่าเดิมอย่างมั่นคงแบบสั่นพับๆๆๆ
เมื่อทำใจได้แล้วจ่าปลาจึงเงยหน้าเต็มกำลัง90องศาจากพื้นโลก และสิ่งที่อยู่ด้านบนของไอ้ตือคือ
.
.
.
.
.
.
"ไม่มีอะไรหรอก แค่นกเค้าแมวที่กำลังหลับหนะ มันตื่นตอนกลางคืนตอนนี้มันเลยกำลังนอน"จ่าปลาพูดอย่างเบาปาก เหมือนยกภูเขาออกจากอก จ่าถอนหายใจเฮื้อกใหญ่อย่างโล่งใจ
"ฟุ้ว นึกว่าเจอกับ ไอ้นั่น เข้าซะแล้วซะแล้ว"ตือพูดอย่างโล่งใจก่อนจะล้มทั้งยืนในท่าเก็บฟืน หายใจหอบรุนแรงสไตล์คนน้ำหนักเกินพร้อมเหงื่อแตกครบเซ็ต แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางอย่างสะกิดใจเขาอยู่
"เออ จ่า เสียงมันดังมาจากข้างบนหรือข้างหลังนะ"ตือถาม
"อึก...ม ม มะ มันข้างหลังหนิหว่า ไม่ใช่เสียงนกเค้าแมวแต่เป็น..."จ่าปลาพูดตะกุกตะกักอย่างร้อนใจแล้วค่อยๆหันหลังไปดูอย่างเสียวสันหลัง ดูจากหางตาแล้วมันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนหนา มันพุ่งเข้าใส่จ่าปลาสุดกำลังเมื่อเห็นว่าเป้าหมายรู้ตัวแล้ว
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!"
เสียงกรีดร้องของจ่าปลาดังโหยหวนชวนบาดใจก่อนที่จะเงียบไปกลายเป็นความสงัดจนน่าขนลุก
อีกฟากหนึ่งไม่ไกลจากจุดที่คู่ตือ-จ่าปลา อยู่นัก
"เสียงใครร้องเนี่ย ถ้าเสียงดังไปถึงเขาช้างล้มละก็เราเดือดร้อนสุดๆแน่"หมวดเอกพึมพำให้คู่หูของเขาฟัง ไอ้ชาติจอมบื้อนั่นเอง
"ไม่เนยก็จ่าปลาแหละ เสียงผู้หญิงชัดเจนเต็มรูหูแบบนี้ ไม่พลาด"ชาติบอกหัวหน้าหมู่ของเขาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
"ยัง ยังมีไอ้แกลบหมู่หอยแครงลวกอีกตัวที่ร้องเสียงแบบนี้ได้ โดยเฉพาะตอนที่มันมีตัวบึ้ง(แมงมุมทูรันทูล่าในภาษาแถวๆเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)เกาะอยู่บนหัวนะ แต๋วแตกสาแหรกขาดกันไปข้าง ดีนะไม่โดนกัดไม่งั้นยุ่งแน่ เซรุ่มยิ่งไม่มีอยู่ด้วย"หมวดเอกเล่าถึงวีรกรรมที่ไม่น่าจดจำซักเท่าไหร่ของเพื่อนร่วมหมวด
"เป็นผม ผมก็กรี๊ดว่ะหมวด"จริงๆไอ้ชาติเองก็ไม่ชอบแมงมุม ตัวบึ้งจะเป็นอย่างสุดท้ายที่เขาอยากให้มันมาทำหน้าที่แทนหมวกรองจากไอ้ตัวที่หมู่เสือคาบบ้องเคยเล่าให้ฟังนะ
"อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องหน่า เรามาดูว่าใครกรี๊ดดีกว่า"หมวดเอกพูดตัดบท
"แต่หมวดเป็นคนเปลี่ยนเรื่องเองนะ"ชาติทักท้วง
"เอาไว้ก่อนหน่า"หมวดเริ่มอารมณ์เสีย
"ไม่ยอม พอผมเถึยงชนะทีไรหมวดก็ตัดบททุกที ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย"ชาติเริ่มเข้าสู่โหมดงี่เง่าแล้ว วิญญาณเด็กอนุบาลเข้าสิงหรือยังไงไม่ทราบแต่บางครั้งชาติก็มังแสดงตัวงี่เง่าแบบนี้
"พวกชาติชั่วในหุบเขานี้เค้าคงจะประชาธิปไตยกับเอ็งด้วยมั้ง หยุดงอนแล้วกลับบ่อนสุขสบายก่อนดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันหละแย่แน่ หมวดยังไม่อยากเสียสมาชิกในกลุ่มวันนี้นะ"หมวดพูดอย่างอารมณ์เสีย
"ทำไมต้องใช้คำว่าชาติชั่วอ่ะ ใช้คำว่าเอกชั่วไม่ได้เหรอ เค้างอนละ"ชาติยังไม่หยุดแสดงบทเด็กออทิสติกสุดกวนประสาท
"เย็นนี้จะกินมั้ยข้าวหนะ ถ้ายังไม่หยุดจะให้กินหญ้าแทน"หมวดเอกเอาจริงหลังจากทนมามากแล้ว
"ก็ได้ ชิส์"ชาติหยุดงี่เง่าแล้วแต่ก็ยังแสดงอาการปัญญาอ่อนอยู่
"อ้าวหมวด ได้ยินเสียงดังมาจากทางโน้นมีอะไรเหรอ"หมู่โบกี้กับกอล์ฟโผ่ลออกมาจากดงไม้พร้อมฟืนอีกจำนวนหนึ่ง นับว่าหมู่โบกี้เป็นคนที่หาของกินเก่งมาก คนอื่นยังเก็บฟืนไม่เสร็จหมู่ได้มันป่ามาพวงเบอเริ่มเทิ่มแหนะ
"ไม่รู้ รู้แต่ว่ามีเสียงผู้หญิงกรี๊ด เรารีบตามไปดีกว่า"หมวดออกคำสั่งแล้วทั้ง4ก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่บ่อนสุขสบาย
.
.
.
.
.
.
.
ที่หน้าบ้านไม้อดีตบ่อนหลังหนึ่ง
หมวดเอกรีบรุดเข้าบ้านหลังนั้นทันที
"เนย สมบัติ มีอะไรมั้ย"หมวดเอกรีบถามอย่างเร่งรีบ
"หือ ไม่มีอะไรหนิ แต่ได้ยินเสียงกรี๊ดดังมาจากข้างนอกหน่ะ"สมบัติบอก เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างเหลือเชื่อ
"งั้นคนที่กรี๊ดก็คือจ่าปลาสินะ ไม่รู้จ่าเป็นอะไรมั้ย ถ้าเกิดตายไปสามีจ่าคงดีใจแย่"หมู่โบกี้พูดแซว
"ชั้นยังไม่ตาย และยังไม่ได้แต่งงานด้วย วิดพื้น100ที ปฏิบัติเดี๋ยวนี้!!!"จ่าโผ่ลออกมาจากแมกไม้พร้อมหน้าแดงก่ำและอุณภูมิหัวที่ไกล้เคียงกับเหล็กอ๊อก
"เจี๊ยกกก จ่าโผ่ลมาทามมายเนี่ย ต๊กกะใจหมด นี่จ่ากรี๊ดทำไม"หมู่โบกี้เหงื่อแตกเพราะตกใจกระทันหัน เข่าแทบทรุดในทีเดียวแต่ด้วยความที่เป็นคนคุยเก่งจึงรีบใช้ความสามารถเบี่ยงประเด็นในทันได้
"ไม่ต้องมาเฉไฉ วิดพื้นเดี๋ยวนี้ ชั้นยศสูงกว่านะ"จ่าปลาไม่หลงกล มุขตื้นๆแบบนี้จ่าเองก็เคยเจอมานักต่อนักแล้ว
"แล้วกรี๊ดทำไม"หมวดเอกถามสีหน้าแสดงให้เห็นว่าต้องการคำตอบ โดยด่วน
"ก็ตกใจเจ้านี่หนะสิ เจ้าหมาโง่แกทำให้ชั้นดูแย่"จ่าพูดพร้อมชี้ไปที่เจ้าหมาตัวหนึ่งซึ่งยืนกระดิกหางอยู่ข้างๆไอ้ตือ
"แล้วเจ้าหมานี่ตามเรามาทำไม"หมู่โบกี้ถาม
"ไม่รู้สิ มันคิดว่าเรามีอาหารมั้ง เลยตามมา"จ่าพูด
"แต่แกยังไม่ได้วิดพื้นเลยนะเฟ้ย วิดเดี๋ยวนี้ไม่งั้นจะให้หมวดเอกมาจัดการ"จ่าปลาพูดเสียงแข็ง พร้อมส่งแรงกดดันออกไป เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้บังคับให้ใครซักคนทำตาม
"ก็ได้ ยัยผู้หญิงยิงเรือ ยิงนัดเดียวไททานิคจมเลยนะ"หมู่โบกี้ลงไปวิดพื้นท่าเตรียมอยู่บนพื้นพร้อมความไม่พอใจ
"ตอนนั้นเก็บฟืนอยู่ ไอ้หมาตัวนี้ดันทะเล่อทะล่ากระโจนใส่จ่านี่สิ ตะคริวกินไปครึ่งขา"ไอ้ตือบ่น
"แต่ว่านี่ก็จะมืดแล้ว ดีนะที่ไอ้โบกี้มันหาฟืนมาเผื่อ เรามีมันเผากินกันคืนนี้ด้วย มะ เข้าไปเตรียมมื้อเย็นกัน"หมวดเอกพูด
"41 42 43 รอด้วยหมวด ยัยมนุษย์ป้าหน้าเลือดนี่ยังไม่ให้ผมพักเล้ยยย"หมู่โบกี้คร่ำครวญครางสไตล์คนเก่งแต่ปากไร้ความรับผิดชอบ
"เพิ่มอีก50ที โทษฐานอู้"หมวดเอกซ้ำ
"ห่านเอ้ยยยย ไห้ตายเถอะซาร่า"หมู่โบกี้คร่ำครวญเหมือนหมา
"พอ ล้อเล่นหน่า แกเป็นคนหามันป่ามาจะให้ใจร้ายก็ปะไรอยู่ เข้ามาสิ"หมวดเอกโบกมือให้หมวดโบกี้เข้ามา
"ขอบคุณค้าบ"หมู่โบกี้เด้งขึ้นจากพื้นราวกับปลาชะโดได้น้ำแล้วตะกายเข้าบ่อนสุขสบายอย่างรวดเร็ว
มันเผาในกองไฟโชติช่วงมีสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามราตรี ช่างเข้ากับบรรยากาศบ้านๆวินเทจกลางป่าแบบนีซะจริงๆลมหนาวโชยมาทักทายบรรดาชาวคณะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นจากการเดินทางมาตลอดทั้งวันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนั่งรถที่มีคนขับสายเถื่อนอย่างจิงโจ้ในเวลาที่มันคึกสุดขีดราวกับพี้โคเคนมาเต็มพิกัด หมวดเอกค่อยๆใช้กิ่งไม้เล็กๆแต่ยาวเขี่ยมันป่าพวกนั้นกลิ้งไปนาในกองขี้เถ้าคุกรุ่นกลางบ่อนที่ตอนนี้ทำหน้าที่เสมือนโรงแรมฟรีกลางป่า เหล่านักข่าวยังเก็บรายละเอียดบรรยากาศสุดคลาสสิคด้วยกล้องความคมชัดสูงขนาดพอๆกับปากกระบอกบาซูก้าของตนอย่างสบายใจ คนที่กระตือรือล้นที่สุดในที่แห่งนี้คือไอ้ตือ ซึ่งกำลังหิวจัด ส่วนไอ้หมาสีน้ำตาลเหลืองตัวนั้น ถูกปล่อยไว้หน้าบ่อนเพราะหากยอมให้มันเข้ามามันอาจแย่งกินมันเผาหมดก็เป็นได้ หมู่โบกี้กับจ่าปลายังไม่หยุดจ้องหน้ากันราวกับคู่พระ-นางในละครน้ำเน่าแต่สายตาของทั้งคู่นั้นเป็นตัวแสดงถึงความเป็นอริอย่างชัดเจน(หมู่โบกี้เสียตำแหน่งรองหัวหน้าหมู่ให้กับจ่าปลาเพราะยศน้อยกว่า) ไอ้ชาติกับกอล์ฟยังมัวแต่คุยเรื่องไร้สาระเหมือนเดิม ทั้งคู่ช่วยกันเอาเสื่อเก่าสีซีดที่มุมห้องออกมากางให้ชาวคณะได้นั่งและนอนอย่างสบายใจ
นอกบ่อนหลังน้อยนั้น นกเค้าแมวตัวที่เจอเมื่อตอนกลางวันกำลังจ้องมองบ่อนร้างที่ตอนนี้มีแสงสว่างออกมาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นนานแล้ว ดวงตาสีเหลืองส้มกลมโตสะท้อนแสงในความมืดนั้นช่างดูสวยงามและน่าหลงไหลยิ่งนักในยามราตรี มันค่อยๆขยับตัวไปตามกิ่งไม้เขียวชอุ่มเพื่อเข้าไกล้บ่อนหลังนั้น
"มันสุกแล้ว ทุกคนมากินกันเร้ว"หมวดเอกเรียก เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้งหมดกุลีกุจอกึ่งเดินกึ่งคลานมารวมตัวกันรอบกองไฟอย่างไม่รักษาฟอร์ม มีเพียงนักข่าวเผือกนิวส์ทั้ง2คนที่ยังสงวนท่าทีไม่รีบร้อน
คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือไอ้ตือที่กำลังหิวสุดขีด เขาวิ่งมาที่กองไฟจนไขมันส่วนเกินกระเพื่อมราวกับมีคลื่นสึนามิวิ่งไปมาบนชั้นไขมันหนาของเขา
หนูตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากรูแล้ววิ่งตัดหน้าทุกคนอย่างเร่งรีบแล้วกระโจนออกไปทางหน้าต่างเพียงบานเดียวอย่างชำชอง แต่วันนี้โชคไม่เข้าข้างมันซักเท่าไหร่ นกเค้าแมวตัวนั้นบินโฉบลงมาหาหนูตัวนั้นอย่างแม่นยำ ภาพมัจจุราชสีเนื้อขอบน้ำตาลที่มีดวงตาสีเหลืองกลมโตสองดวงคือภาพสุดท้ายที่เจ้าหนูน้อยผู้ไม่ระวังได้เห็น กรงเล็บแหลมคมจิกเข้าไปบนตัวและหัวของเจ้าหนูน้อยทำให้มันสิ้นชีวิตทันทีอย่างไม่ทรมาณ นกเค้าแมวตัวนั้นเริ่มลงมือกินเหยื่อที่มันล่ามาได้อย่างละเมียดละไม ระหว่างที่กำลังเอร็จอร่อยอยู่นั้น มันไม่ทันสังเกตุดวงตาของสัตว์เลื้อนคลานสีเหลืองสะท้อนแสงเช่นเดียวกับของมันคู่หนึ่งปรากฎอยู่ท่ามกลางความมืด สัตว์ร้ายที่อยู่เหนือกว่านกเค้าแมวในห่วงโซ่อาหารค่อยๆย่องอย่างเงียบเชียบเข้ามาทางด้านหลัง ฟันเล็กๆแต่แหลมคมสีขาวนับร้อยซี่ค่อยๆเผยออกมา ทีละนิด ทีละนิด
"จ่ายังไม่ได้ฟังเรื่องของหมู่เสือคาบบ้องใช่ป่าว"ไอ้ตือถามระหว่างที่กำลังเคี้ยวมันเผาสีเหลืองอร่ามชุ่มฉ่ำด้วยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต แค่ดูก็รู้ว่าหวานเจี๊ยบจนทำให้เป็นเบาหวานเฉียบพลันได้ไม่ยาก
"อืม"จ่าปลาตอบสั้นๆไม่ได้ใจความ
"งั้นหมู่จะเล่าให้ฟังเอง"หมู่โบกี้พูดก่อนจะเริ่มเรื่อง การโม้เหม็นและชวนคุยเป็นสิ่งที่เขาถนัด เล่านิทานก็เช่นกัน
"อือ หมู่บิ้วเยอะอ่ะ ฟังแล้วหลอน เราไปเล่นไพ่กันดีกว่า"ชาติบอกแล้วไปรวมตัวกับ กอล์ฟ หมวดเอก เนย และ สมบัติ หลังจากเจอไพ่ที่หมู่กะเพราทมิฬซุกไว้แล้ว ตามที่พวกนั้นบอกเป๊ะ
"เรื่องมีอยู่ว่า . . . . . . .
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:10:38 GMT
7.camping tales : เล่าเรื่องผีรอบกองไฟ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ6เดือนก่อน ระหว่างที่หมู่เสือคาบบ้องหรือหมู่1หมวด1กำลังไปทำภารกิจปราบปรามขบวนการลักลอบตัดไม้ตามชายแดนอยู่ หมู่เสือคาบบ้องมีสมาชิก 6 คน หมวดเด่น หมู่จัมโบ้ และ เจ้าหน้าที่ไร้ยศอีก 4 คนได้แก่ จิ๋ว ขาว น้อย โป๊ยเซียน กำลังเดินทางอยู่ในป่าดงดิบสุดโหดแห่งหุบเขาดงโขมดเย็น
"หัวหน้า นี่มันใกล้จะมืดแล้วนะ ผมว่าเราไปไม่ถึงแคมป์ของพวกตัดไม้หรอก"หมู่จัมโบ้ออกความเห็นกับหัวหน้าหมู่ของหมู่เสือคาบบ้อง หมวดเด่นนั่นเอง
"อย่าเหลาะแหละน่า ทุกๆนาทีที่เราเสียไปคือความเป็นความตายของต้นไม้น้อนใหญ่ทุกต้นในป่านี้เลยนะ เราเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องรักษาป่า อีกอย่าง เราจะโจมตีแคมป์พวกมันในตอนกลางคืนจะดีกว่า"หมวดเด่นสั่งให้ไปต่อ เขาเป็นคนที่ยึดมั่นถือมั่นมาก เอาจริงเอาจังไปกับทุกๆอย่างในชีวิต นับว่าเป็นผู้หมวดที่เฉียบขาดและเข้มงวดที่สุดในกองพัน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาได้เป็นหัวหน้าหมู่1หมวด1ซึ่งถือเป็นหน้าเป็นตาของกองพันตำรวจป่าไม้นี้
"ก็ได้ เอ้าพวกเรา ไปต่อกันเร็ว"หมู่จัมโบ้สั่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้คนอื่นๆ แม้ว่าเขาเองจะอยากพักเต็มทีแต่การทำตามคำสั่งหัวหน้าต้องมาก่อน
"โอย เราเดินมาทั้งวันแล้วนะ นี่ถึงตีนเขาช้างล้มแล้ว ถ้าเราขืนไปกันทั้งหยั่งงี้จะสู้ไอ้พวกตัดไม้ไหวเหรอ ได้ยินว่าเสี่ยหอยกับขบวนการเปซองก็อยู่เบื้องหลังพวกมันด้วย งานนี้เจอหัวปลีแหง็มๆ"ไอ้ขาวครวญคราง เพราะเหนื่อยเต็มทน
"ต่อให้เสี่ยหอยกับเปซองอยู่เบื่องหลังเราก็ต้องจัดการไม่งั้นมันจะยิ่งได้ใจ ไม่แน่งานนี้อาจมีหลักฐานสาวไปถึงตัวเสี่ยได้ เราอาจได้ผลงานชิ้นโต ไม่แน่อาจเลื่อนยศ2ขั้น"หมู่จับโบ้พูดปลอบบรรดาลูกทีม
"เฮ้ออออ"ไอ้จิ๋วถอนหายใจยาวเหยียด เพียงแค่ได้ฟังเสียงพยางค์เดียวนี้ เจ้าหน้าที่คนอื่นๆก็รู้ถึงมรสุมชีวิตตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของไอ้จิ๋วอย่างถ่องแท้ ข้าราชการชั้นผู้น้อยและชนชั้นแรงงานสามารถสื่อสารกันผ่านเสียงถอนหายใจได้ เรียกได้ว่าเป็นอีกภาษานึงเลยแหละ คล้ายๆกับซอมบี้ที่สื่อสารผ่านการครวญครางยาวๆ
ความเจ็บปวดแสนสาหัสยังคงดำเนินไปเรื่อยๆสำหรับทุกชีวิตที่กำลังเดินทางอยู่ในป่าอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแห่งนี้ ตามจริงสภาพป่าเบญจพรรณอย่างแถวๆนี้สุดลูกกะตาก็ไม่เกิน8เมตรเพราะโดนมวลมหาสารพัดพืชป่าบังกันมิดในทุกทิศ
ท้องฟ้าขมุกขมัวยามค่ำคืนไม่ปราณีเหล่าผู้พิทักษ์แห่งพงไพรเลยแม้แต่น้อย สายฝนเย็นฉ่ำแบบไม่ถูกที่ถูกเวลาก็ค่อยๆโปรยปรายลงมาหล่อเลี้ยงหุบเขาและสร้างปัญหาให้เหล่านักเดินทางเพิ่ม
"หมวด พอเถอะ ฝนตกแบบนี้ทัศนวิสัยแย่ เราอาจพลาดได้ ที่สำคัญเราต้องขึ้นเขา อาจลื่นตกเขาได้ ไม่คุ้มนะหมวด"หมู่จัมโบ้ขอร้องหมวดเด่นให้หยุดเดินทาง
"ก็ได้ พวกเราหาที่พักโดยด่วน เราจะค้างแรมกันที่นี่ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยเดินทางต่อ"หมวดเด่นจำใจพักการเดินทางเพราะตามตำราที่บอกว่าการเดินป่าในเวลาฝนตกหนักเช่นนี้ อันตรายมากถึงมากที่สุด
"ค่อยยังชั่วหน่อย"โป๊ยเซียนครวญครางออกมาอย่างโล่งใจ
ในคืนอันโหดร้ายนั้น ทั้ง6ได้หากระท่อมร้างเป็นที่สำหรับพักฟื้นร่างกายที่ใช้งานมาอย่างหักโหมตลอดทั้งวันได้ ไม่มีใครรู้ว่ากระท่อมนี้เคยเป็นอะไรมาก่อน แต่คาดว่าไม่ที่ซ่องสุมโจรป่าก็โกดังยาเสพติดแหละ
"เฮ้อ ที่นี่ก็ดีไปอย่างนะกันฝนได้ แม้จะแคบแต่ก็หรูที่สุดในแถวๆนี้แล้วแหละ"ไอ้จิ๋วพูดมาอย่างเซ็งๆ
"อย่าบ่นหน่า"หมู่จัมโบ้พูดกระแทกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในสังกัดเพราะเริ่มกวนใจ
"ดูสิฝนเริ่มซาแล้ว"น้อยชี้ไปทางป่าซึ่งฝนเริ่มหยุด
"หยุดไวแห๊ะ สงสัยฝนไล่ช้าง หยุดไวผิดปกติ"หมวดเด่นตั้งข้อสังเกตุ
"อือ เดี๋ยวผมไปหาของกินนะ ในป่าตอนฝนตกน่าจะมีกบมีอึ่งอ่างให้จับมาปิ้งบ้างแหละ ดีไม่ดีอาจได้หนูตัวโตๆซักตัวมาทำเนื้อเค็ม ถ้ากระต่ายนี่ฟลุคสุดๆ"ไอ้ขาวบอกก่อนจะทำท่าจะลุกออกไปจากกระท่อมน้อยกลางพงไพร
"เฮ้ย! เข้าป่าคนเดียวมันอันตราย ต้องมีบัดดี้ไปด้วย น้อย แกไปกับมันด้วย ถ้ามีอะไรพอเป็นเสบียงก็ขนมาเยอะๆนะ เราไม่รู้ว่าภารกิจนี้จะเสร็จเมื่อไหร่ "หมู่จัมโบ้สั่งเสียงเข้ม
"ทราบ จัดไป น้อย ตามมาเร็ว เดี๋ยวกบเกิบมันมุดหนีหมด"ขาวเรียก บัดดี้ ใหม่ล่าสุดของเขาก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยๆเดินเข้าป่าไป
"กลับมาไวๆหละ อยู่แถวนี้แล้วใจคอไม่ดี เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่เป็นมิตรอยู่แถวๆนี้"หมวดเด่นบอก
"ขาวกับน้อยตะเบ๊ะสั้นๆเป็นความหมายว่า รับทราบ ก่อนจะไปทำภารกิจหาเลี้ยงปากท้องหมู่เสือคาบบ้อง แค่นึกถึงกบป่าตัวอ้วนๆเสียบไม้แล้วย่างไฟแบบสุกกำลังดี เท่านี้ก็เริศแล้วสำหรับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในระดับปฏิบัติการอย่างพวกเขา นึกแล้วอิจฉาพวกฝ่ายนั่งโต๊ะชะมัด ได้นั่งทำงานสบายๆ กินอาหารดีๆ มีเงินทองใช้ ที่สำคัญ ไม่ต้องมาแลกชีวิตกับสารพัดคน สัตว์ สิ่งของที่พร้อมจะสังหารพวกเขาในหุบเขาเวรตะไลแบบนี้
หลังจากที่ขาวกับน้อยออกไปแล้ว อีกสี่ชีวิตที่เหลือก็หาอะไรทำแก้เบื่อ หมวดกับหมู่คุยกันเรื่องภารกิจกันอย่างเข้มข้น เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยอีก2คนจึงนั่งเล่นเกมทายปัญหาอยู่ในกระท่อมหลังน้อยนี้
หลังจากฝนซาได้ไม่นาน ท้องฟ้ายามราตรีก็เปล่งแสงสว่างวาบตามด้วยเสียงเหมือนท้องร้องหิวข้าว สายฝนอันทารุณกำลังจะกลับมาในไม่ช้า ช่างเป็นช่วงเวลาที่ไม่ชวนให้อารมณ์ดีเลย กลิ่นอับชื้นของดินร่วนสีน้ำตาลเข้มที่พบได้ทั่วไปในป่าเขตร้อนเช่นนี้ทวีความรุนแรงขึ้นก่อนและหลังฝนตกเสมอ บางคนก็ว่าเป็นความหอบแบบพิเศษที่ทำให้เข้าถึงธรรมชาติ แต่ไม่ใช่6สหายที่อยู่ตรงนี้
"เอาหละ อะไรเอ่ย มีตานับพันหัวฟูกว่าใคร อยู่คู่กับหมูและมีสีเหลืองอร่าม"โป๊ยเซียนถามเพื่อนอีกคนของเขา ไอ้จิ๋วผู้เดียวดาย
"อีโธ่เอ้ย ปัญหาง่ายๆ สับปะรดไงหละ ตานับพัน ใบชี้โด่เด่ มักถูกกินคู่กับหมูแฮมแล้วก็มีสีเหลืองเป๊ะ" จิ๋วตอบอย่างไม่ลังเล
"ผิดหวะ"โป๊ยเซียนปฏิเสธคำตอบนั้น พร้อมกับยิ้มอย่างมีเลิศนัย
"ได้ ยอม คำตอบคืออะไร"จิ๋วอยากรู้คำตอยเต็มทน เขาเองก็นึกไม่ออกว่านอกจากสับปะรดแล้วมันจะมีอะไรที่ตรงตามคุณสมบัตินั้น
"เจ๊เปรี้ยวเยี่ยวราดที่คุมห้องกล้องวงจรปิดไงหละ ตานับพันเป๊ะ ไว้ผมทรงแอฟโฟ่รฟูฟ่องราวกับพ่อเป็นคนแอฟริกา มีแฟนตัวอ้วนหยั่งกับหมูโดนขุนแถมยังเป็นโรคดีซานตัวเหลืองอ๋อยหยังกับชาติก่อนเคยเกิดเป็นข้าวโพดยังไงหยั่งงั้นแหละ"โป๊ยเซียนอธิบาย ที่แน่ๆ หมู่เสือคาบบ้องไม่ถูกโรคกับเจ๊เปรี้ยวคนนี้ซักเท่าไหร่
"เมพสุดอ่ะ โดนจาย"จิ๋วรับมุข เขาเองก็ไม่ชอบมนุษย์ป้าขี้ฟ้องที่ชอบขุดคุ้ยเรื่องคนอื่นราวกับเป็นไฮยีน่าคอยคาบข่าวไปบอกสารวัตรเกรียงไกรเสมอๆ ยกเว้นว่าเจ้าตัวต้องจ่ายค่าขนมให้ถึงจะเก็บเรื่องต่างๆเป็นความลับ คนที่เกลียดเจ๊ที่สุดในหมู่เสือค้าบบ้องก็คือหมู่จัมโบ้ที่ไม่ยอมเลี้ยงขนมเลยโดนแฉเรื่องที่เขาใส่กางเกงในลายลิตเติ้ลไทเกอร์ การ์ตูนเสือน้อยผจญภัยที่เด็กๆรวมถึงหมู่จัมโบ้ชอบ ทำเอาหมู่หมดความน่าเกรงขามไปเป็นเดือน
หมู่จัมโบ้ได้ยินมุขถูกใจก็ตรบมือให้พอได้ยิน
คำถามต่อไปจิ๋วเป็นคนถามบ้าง
"ไก่ เสือ ลิง หมี โคอาล่า นี่เป็นรหัสที่เกี่ยวข้องกับอะไร"จิ๋วถาม
"สวนสัตว์มั้ง"โป๊ยเซียนตอบ
"ม่าย"
"มาสคอคสวนสนุก"
"ม่าย"
"การ์ตูน ลิตเติ้ลไทเกอร์"
"ป่าว ลิตเติ้ลไทเกอร์ ไม่มีโคอาล่า"
"ยอม"โป๊ยเซียนขี้เกียจนึกคำตอบต่อ
"ชีเรียล 5 รสชาติที่มันขายในซุปเปอร์ไงหละ มีสัตว์แต่ละชนิดคือแต่ละรสชาติเคยกินป่าวเนี่ย กินเล่นตอนดูหนังอร่อยอย่าบอกใครเลย"จิ๋วเฉลยคำถามสุดเกรียนให้กับเพื่อนร่วมงาน
"อือหือ แบบนี้ใครจะตอบได้ฟร๊ะ ถามจริงเหอะ"โป๊ยเซียนบ่นอย่างอารมณ์เสีย
"แล้วอะไรเอ่ย มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่รู้ว่ามีอยู่"
"ผีไง คำถามกระจอก กากมาก"จิ๋วตอบก่อนที่จะชะงักไปพร้อมกับอีก3คนที่เหลือ
ใช่แล้ว โป๊ยเซียนไม่ได้เป็นคนถามคำถามนั้น เสียงเมื่อกี้นี้เป็นเสียงแหลมเล็กที่สั่นเครือ เหมือนเสียงของผู้หญิงก่อนขาดใจตาย หมวดเด่นกับหมู่จัมโบ้กวาดตามองไปทั่วกระท่อมอย่างหวาดระแวงในทันที จิ๋วกับโป๊ยเซียนกอดกันกลมเป็นลูกมะพร้าวแต่หมวดเด่นคิดว่านี่อาจเป็นฝีมือของบรรดาวายร้ายในป่านี้
สมองจองหมวดเด่นคิดถึงความเป็นไปได้ว่าอาจมีพวกมันคนใดคนหนึ่งแอบอยู่ในกระท่อมแล้วแกล้งหลอกผีให้พวกเขากลัว
ฉับพลันก็มีตัวหนังสือภาษาประหลาดๆที่หมวดเด่นเคยเห็นเมื่อนานมาแล้วปรากฎขึ้นตรงผนังของกระท่อมน้อย ที่สำคัญ ตัวอักษรเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นด้วยสีแดงเข้มเหมือนกับมันถูกเขียนขึ้นด้วยเลือด
แคร่ไม้ไผ่สีเหลืองซีดที่จิ๋วกับโป๊ยเซียนนั่งเล่นเกมทายคำถามก็ตะแคงลงอย่างที่ขัดกับกฎของธรรมชาติ มีกล่องไม้ขึ้นรากล่องหนึ่งขนาดประมาณกล่องใส่รองเท้ากีฬากระเด็นออกมาจากใต้แคร่ น่าแปลกที่พวกเขาไม่ทันเห็นกล่องนี้ตั้งแต่แรก ขนาดของมันก็ไม่ใช่เล็กๆ ไม่น่าจะหลุดรอดสายตาถึง4คู่ไปได้ยกเว้นว่าสิ่งลี้ลับได้เล่นงานทีมเสือคาบบ้องแล้ว
ตอนนี้ทั้งสี่กำลังหวาดหวั่นอยู่กับเหตุการณ์ประหลาดนี้ จิ๋วก็ทำใจดีสู้เสือ ค่อยๆเดินขาแข็งเข้าไปหาเจ้ากล่องไม้ผุๆกล่องนั้น ทั่วทั้งร่างของเขาและพ้องเพื่อนสันระรัวราวกับโดนเชื้อมาลาเรียแทะโลมร่างกาย ความเย็นของสายฝนและอุณภูมิในป่าตอนกลางคืนช่วยเสริมความสั่นสะท้านของร่างกายเข้าไปอีก ทุกย่างก้าวของไอ้จิ๋วยาวนานราวกับผ่านไปเป็นชั่วโมงสำหรับโป๊ยเซียนและคนอื่นๆ
ในที่สุดจิ๋วก็ตัดสินใจหยิบกล่องไม้สุดแขยงใบนั้นขึ้นมา และเปิดเจ้ากล่องใบนั้นดูว่ามีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในกล่องที่ไม่มีใครอยากจินตนาการถึง
แอ๊ด!!!
เสียงฝืดของกล่องไม้ใบนั้นทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่น้อยใหญ่สะดุ้งเฮือก หมวดเด่นคือคนเดียวที่ฝืนความกลัวตัวเองได้พร้อมกับแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรน่ากลัว จิ๋วถือกล่องใบนั้นมาหาคนอื่นพร้อมมือที่สั่นเทา
ภายในกล่องใบนั้นมีวัตถุลึกลับที่ไม่น่าแตะต้องอยู่หลายชิ้น เช่น ตุ๊กตาดินเผาผูกด้วยด้ายสีดำถูกตอกด้วยตะปูขึ้นสนิม หัวกะโหลกของหนูที่มีรอยเขียนด้วยภาษาแปลกๆ กระบอกไม้ไผ่สีเขียวสดที่ควรจะเป็นสีเหลืองไปนานแล้วมีจุกผ้าสีแดงอุดอยู่ หลอดแก้วเล็กๆที่มีควันสีดำไหลไปมาอยู่ข้างใน เขี้ยวของสัตว์อะไรซักอย่างที่ถูกร้อยขึ้นมาเป็นสร้อย ที่สะดุดตาที่สุดคือหนังสือปกสีน้ำตาลอ่อนที่มีคราบลายน้ำอยู่เต็มไปหมด หน้าปกของมันมีรอยรูปมือสีดำแดง เมื่อเปิดดูข้างใน มีรายชื่อคนจำนวนมากเขียนอยู่เต็มไปหมด เมื่อเปิดไปเรื่อยๆ ชื่อคนที่ไม่คุ้นเคยถูกเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินก็มีมากขึ้นเรื่อยๆจนหลังๆ ชื่อเหล่านั้นก็เริ่มมีอะไรแปลกๆ
"เฮ้ย ชื่อนี้มันไอ้แก้วหรือเปล่า"หมู่จัมโบ้หันหน้าไปถามหมวดทันที
หมวดเด่นนิ่งไม่พูด เขาอยากให้มันไม่ใช่แต่ชื่อที่ปรากฎในหนังสือปริศนาเล่มนี้เป็นชื่อของไอ้แก้วจริงๆ ครบทั้งชื่อและนามสกุล
ที่สำคัญที่สุด ไอ้แก้ว ถูกพวกลักลอบล่าสัจว์เป่าหัวสมองกระจายไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว หมู่เสือคาบบ้องยังไปร่วมงานศพแก้วอยู่เมื่อสามอาทิตย์ที่แล้วเลย แล้วทำไม ชื่อไอ้แก้วถึงมาอยู่ในหนังสือเล่มนี้
"หมวด ผมว่าหมวดพลิกด้านหลังสมุดดูดีกว่า"โป๊ยเซียนว่า
"ทำไม"หมวดถามกลับ
"หนังสือรายชื่อคนตายของสัปเหร่อในวัฒนธรรมชนกลุ่มน้อยแถวนี้เค้าจะไม่เขียนว่าเป็นหนังสืออะไรตรงหน้าปก เค้าจะเขียนตรงปกหลัง "โป๊ยเซียนบอก
หมวดเด่นก็พลิกหน้าปกหลังทันที มีตัวหนังสือภาษาชนกลุ่มน้อยเขียนอยู่ แปลออกมาว่า บันทึกรายชื่อผู้ตาย
"ผมว่าเราควรไปแล้ว"จิ๋วบอกคนอื่นๆพร้อมเหงื่อตก
"ว่าแต่อะไรคือจามะนาโป"อยู่ๆหมู่จัมโบ้ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
"ถามทำไม"โป๊ยเซียนทำท่าสงสัย
"หน้าสุดท้ายมันเขียนว่า จามะนาโปหลุดออกมา ที่นี่ไม่ปลอดภัย ให้ระวังสิ่งที่อยู่ข้างบน"หมู่จัมโบ้พูด
"อ้ากกกกกกกกกก" เสียงโหยหวนดังออกมาจากในป่า ทุกคนในหมู่เสือคาบบ้องหันหน้าไปทางต้นตอของเสียงอย่างพร้อมเพรียง 4ชีวิตที่อยู่ในกระท่อมสุดสยองรีบวิ่งพล่านออกมาด้วยความเร่งรีบ เสียงนี้เป็นเสียงของขาวไม่ก็น้อยแน่ๆ(ก็ออกไปหากบหาหนูอยู่แค่สองหน่อหนิหว่า)
"เกิดอะไรขึ้น"หมู่จัมโบ้ตะโกนทันทีที่เห็นไอ้ขาวยืนตัวสั่นจัก้าอยู่กลางดงไม้
"น้อย..."ไอ้ขาวที่หน้าขาวยิ่งกว่าชื่อพูดสั้นๆ จ้องตรงไปยังไอ้น้อย คนอื่นๆที่มองตรงไปก็หน้าซีดไปตามๆกัน
ตรงหน้าของทั้งห้าชีวิตคือไอ้น้อยที่กำลังดิ้นพราดๆ มีเจ้าก้อนเส้นผมสีดำมืดสยายเส้นผมรุงรังน่าสยดสยองเกาะอยู่บนใบหน้า ในกลางเส้นผมสีดำน่ากลัวนั้นมีลูกตาสีแดงสดหลายดวงที่มีนัยตาดำเป็นขีดแนวตั้งแบบเดียวกับตาของแมวหรือของงู อสูรกายสีดำนั้นหันมาหาอีกห้าคน ด้านหน้าของมันมีฟันสีขาวแหลมคมเหมือนกับฟันของปลาตกเบ็ดนับพันซี่อัดแน่นอย่างไร้ระเบียบอยู่ภายในปากที่มองไม่เห็นริมฝีปากของมันเพราะโดนเส้นผมสีดำยาวเหยียดบดบัง ทันทีที่เห็นกำลังสนับสนุนอีก4ชีวิตเข้ามา มันก็ส่งเสียงแหลมสูงชวนเสียวประสาทแบบเดียวกับเสียงชอล์กหมดอายุขูดกับกระดานดำเต็มแรง สายตาที่มุ่งร้ายอย่างเต็มที่จ้องมาด้วยลูกตาหลายดวงที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้เส้นผมสยายของมันก่อนที่จะพุ่งใส่หน้าของหมู่จัมโบ้ ด้วยความเร็วสูง แต่หมู่สามารถปัดเจ้าอสูรกายร้ายกาจออกไปได้ มันถอยออกไปตั้งหลักอยู่กลางอากาศพร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตสีดำออกมาอย่างน่าสยดสยองก่อนที่จะแสยะปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมของมันแล้วพุ่งตัวออกหนีไปในทันที
หนังสือบันทึกคนตายสั่นกึกๆก่อนที่จะร่วงออกจากมือของหมวดเด่น พลิกไปหน้าสุดท้าย ชื่อของน้อยเด่นหลาอยู่ในหน้าบันทึกคนตาย แต่ต่างจากรายชื่ออื่นๆ ชื่อของน้อยเขียนด้วยหมึกสีดำ ฉับพลันก็มีเสียงหัวเราะแหลมสูงน่าขนลุกดังสะท้อนกึกก้องไปทั่วหุบเขาดงโขมดเย็น ท้องฟ้าที่ฝนตกเปล่งแสงฟ้าแลบออกมาจนเม็ดฝนดูเป็นสีเงิน เงาของเจ้าอสูรกายสีดำที่เร้นกายในความมืดนับร้อยปรากฎให้เห็นเต็มท้องฟ้า ดวงตาสีแดงเลือดของมันปรากฎแล้วก็หายไปตามจุดต่างๆบนท้องฟ้ามืดสนิท พวกมันตัวแล้วตัวเล่าค่อยๆเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ เสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวค่อยๆบั่นทอนประสาทหูของทั้ง6ชีวิตลงเรื่อยๆ
เมื่อเข้าใกล้ในระยะโจมตีแล้ว ผมผีสุดสยองฝูงนั้นก็ล้อมวงเข้ามารุมกัดกินเจ้าหน้าที่ทั้ง6อย่างเลือดเย็น
เจ้าอสูรร้ายเหล่านั้นคือ จามะนาโป วัตถุอาคมแรงสูงที่ยากจะควบคุม ปลุกเสกขึ้นมาจากผมของผีตายโหง วันไหนที่เลิกใช้งานแล้ว พวกนักเล่นของจะปล่อยให้พวกมันล่องลอยไปตามสายลม ใครที่โชคไม่ดี ดวงกำลังตกก็จะโดนทำร้ายเอาได้ นับเป็นอาวุธสายเวทประเภทลมเพลมพัดที่ร้ายกาจอันดับต้นๆ ใครไม่แข็งจริงปลูกมันขึ้นมาไม่ได้หรือต่อให้ปลุกขึ้นมาได้ก็อาจโดนจัดการซะเอง ชนกลุ่มน้อยในหุบเขาบางคนก็เล่นของเหมือนกัน
กลับมาที่บ่อนสุขสบายในปัจจุบัณ
ครื่นนนนน!!!
เสียงฟ้าร้องชวนน่าขนลุกดังขึ้นตอนที่หมู่โบกี้เล่าเรื่องสยองจบพอดี
"มั่วอีกแล้ว หมู่เสือคาบบ้องไม่มีใครตายซักหน่อย แล้วที่มันเล่าก็มีจามะนาโปแค่ตัวเดียว เอามาจากไหนมีเป็นร้อย"ไอ้ตือแย้งหลังจากที่ทนฟังเรื่องเสริมเติมแต่งของหมู่โบกี้จนจบเรื่อง
"หน่า มันต้องบิ้วบรรยากาศให้น่ากลัวหน่อย เนื่องผีก็แบบนี้แหละมีหลายเวอร์ชั่น"หมู่พูดขึ้นพร้อมยักไหล่
"บิ้วซะจนจ่าไม่กล้ามองบนเลย บรื๋อ ผมผีตาแดง ฟังแล้วน่าขยะแขยงชะมัด"จ่าปลาทำท่าขนลุก
"จริงๆหมวดว่าเค้าแกล้งกุเรื่องมาหลอกเราเล่นหรือเปล่า"หมวดเอกพูดเปรยๆก่อนที่จะหันไปเล่นไพ่ต่อ มือกำลังขึ้น
"หลอกเล่นแต่กลัวจริงนะหมวด อย่างหมู่หมาตะกายงี้ ไปส่องไอ้พวกลักลอบล่าสัตว์ ดันเจอรากไทรพวงใหญ่กับแมวป่าอยู่ที่เดียวกันเลยคิดว่าเป็นไอ้ผีจามะนาโป ร้องลั่นป่าราบเลย กรี๊ดแตกกันเป็นแถว พวกลักลอบล่าสัตว์รู้ตัวหมด ดีนะพวกมันมีกันไม่เยอะแถมปืนก็ไม่แรง งวดนั้นจับได้คนนึง ที่เหลือหนีกันคนละทิศ ถ้าไม่เกิดตกใจเรื่องผีนะ ป่านนี้จับได้ยกแก๊งค์แล้ว"ชาติพูดพร้อมจั่วไพ่ขึ้นมือ
"ใช่ ตอนนั้นฮาสุดๆ หมู่หมาตะกายต้องไปทำบุญห้าวัดเลยล้างซวย โดนล้อซะเสีย เสียจริงๆแบบหมดความน่าเกรงขามไปโดยสิ้นเชิง "กอล์ฟพูดมั่ง
"แล้วใครอยากฟังเรื่องต่อไปบ้าง"หมู่โบกี้บอกพร้อมประกบมืออย่าพร้อมเพรียง มองซ้ายขวาดูว่าใครอยากฟังอีกบ้าง
"ว่าแต่ไอ้แก้วในเรื่องของนายเป็นใครฟะ ไม่เห็นเคยจะได้ยินมาก่อนเลย"ไอ้ตือบ่นพร้อมพิงหลังลงในกองสัมภาระ
"จริงๆไอ้แก้วเค้าเสียก่อนที่แกจะประจำการที่กองพันนี้ซะอีก เมื่อ8ปีก่อน หมู่อินทรีเหิน ตอนนี้กลายเป็นหมู่คางคกเหินซะแล้ว สาเหตุก็มาจากที่เคยเล่าไปแล้วนั่นแหละ ไแสู่สุขตินะเฮียแก้ว หลับให้สบาย"หมู่โบกี้พูดพร้อมกับมองขึ้นฟ้า แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเห็นคือเพดานของบ่อนน้อยหลังนี้ ไม่มีผมผีจามะนาโปแน่นอน
ปัจจุบัณ หมู่เสือคาบบ้อง กำลังจามไม่หยุดเพราะโดนนินทา เรื่องเล่าของเขาไม่ได้หลอกได้เฉพาะหมู่หมาตะกาย หมู่อื่นๆก็โดนดักไปหลายดอกเหมือนกัน เห็นคนอื่นกลัวกันขี้หดตดแตกนี่มันสนุกจริงๆว่าไหม
"ว่าแต่ได้ยินเสียงอะไรไหม"จ่าปลาถามพร้อมหันหน้าไปมองทางประตูด้วยความสงสัย เสียงเหมือนหมาเห่าดังเป็นระยะๆ
ใช่แล้ว เจ้าหมาสีน้ำตาลเหลืองกำลังเห่าอะไรบางอย่างแบบเอาเป็นเอาตาย เสียงเห่ากรรโชกแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติภายนอก
"เอ๋งงงงง งี๊ดดดดด อิ๋งๆ อุ๋ง เอ๋งงง"ท่าทางเจ้าหมาไม่น้อยตัวนี้จะเจอบางอย่างที่เกินความสามารถมันเข้าให้แล้ว
หมาตัวนั้นพุ่งหลาวเข้ามาในบ่อนด้วยความตื่นตระหนก ตีลังกาข้ามกองไฟไปราวกับสิงโตละครสัตว์ที่ผ่านการฝึกมาอย่างโชกโชน พุ่งไปหมอบลงกลางวงไพ่อย่างสวยสดงดงามซัมเมอซอล์ต เอาซะจนไพ่กระจายไปใบละทิศเลยทีเดียว
"หงิงๆ เอ๋ง โฮ่งๆ ฮาก บรู๋ววว อิ๋งๆ"เจ้าหมาร้องสุดเสียง พยายามจะสื่อสารสุดความสามารถเท่าที่หมาอย่างมันจะทำได้
แปะ! เสียงเท้าแปลกๆที่เหมือนกับเสียงเท้าแบนๆของตัวอะไรซักอย่างดังขึ้นมาจากทางบันไดขึ้นบ่อน
แปะ
แปะ
แปะ
เงาดำๆของสัตว์อะไรซักอย่างปรากฎขึ้นตรงริมบันได เจ้าสัตว์ตัวนั้นมีตากลมโตสีเหลืองสว่าง ตาดำเป็นขีดแนวตั้งเฉกเช่นงู ตัวมันเตี้ยติดพื้นสูงแค่เข่า และมันขู่ฟ่อๆพร้อมกวาดสายตามองอย่างมุ่งร้ายไปทั่วบ่อน มันแสยะปากของมันเผยให้เห็นฟันแหลมคมทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วนับร้อยซี่อย่างเป็นระเบียบ เท้าห้านิ้วที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดละเอียดของมันก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ทำให้รู้ว่ามันเป็นสัตว์เลื้อยคลาน และมันไม่ใช่จระเข้ ไม่ใช่ตะกวด แต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
อั๊บแอ่ นี่คือเสียงร้องของมัน
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:12:17 GMT
8.night of the wild gecko : คืนตุ๊กแกผี
เจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวเขือง ร่างกายปกคลุมด้วยเกล็ดสีเขียวอมน้ำเงิน มีจุดสีแดงส้มกับเหลืองประปรายเต็มร่างกาย เท้าที่ประกอบด้วยนิ้วโตๆ5นิ้วขยับไปมาด้านข้างลำตัวอย่างเชื่องช้า ลิ้นสีม่วงอมชมพูอวบๆเลียไปตามริมฝีปากของมันพร้อมกับน้ำลายสีใสฟองฟอดไหลหยดลงตามพื้น มีขนนกสีน้ำตาลติดตามริมฝีปากแสดงให้เห็นว่ามันพึ่งกินอะไรลงไป ดวงตาเหลืองเป็นประกายแวววาวสะท้อนกับแสงจากกองไฟเบิกโพลงจ้องมาทางเจ้าหมา สรีระร่างกายของมันเหมือนกับตุ๊กแกทุกอย่างยกเว้นขนาดของมันใหญ่กว่าตะกวดเล็กน้อย ฟันเล็กๆสีขาวขยับไปมาตามปากอันใหญ่โตพร้อมกัดฉีกกระชากเป้าหมาย หัวที่ใหญ่ไม่สมส่วนกับร่างกายอาจจะเหมาะกับมันเวลาที่มันตัวยาวแค่2คืบ แต่ไม่ใช่เวลาที่ตัวมันยาว2เมตรกว่าๆ
"อั๊บแอ่ อั๊บแอ่ อั๊บแอ่"มันร้องอย่างมุ่งร้าย มันกำลังข่มขู่เป้าหมายของมัน ก่อนจู่โจม เท้าที่สามารถยึดติดกับทุกสภาพพื้นผิวพร้อมขยับอย่างรวดเร็ว
"กรี๊ดดดดดดด วี๊ดดดดดดด อ๊ายยยยยยย วี๊ดดดดดดด "จ่าปลาร้องไม่หยุด ด้วยความกลัวสุดขีด สำหรับผู้หญิงหลายๆคนแล้ว การที่ต้องประจัญหน้ากับตุ๊กแกนั้นอาจเป็นเรื่องที่เลวร้ายกว่าเจอผีทั้งป่าช้ามารุมหลอกซะอีก ลวดลายและหน้าตาที่ชวนให้เส้นขนทุกเส้นบนร่างกายชี้ตั้งทำมุม90องศาจากรูขุมขน ที่แย่สุดๆคือโดนเกาะหรือกัดเพราะตุ๊กแกนั้น หนึบสุดยอด ขนขนาดจิ๋วที่ปกคลุมทั่วฝ่าเท้าของตุ๊กแกสร้างแรงยึดเหนี่ยวมหาศาล(แรงแวนเดอร์วาลส์) ไม่มีทางแกะออกได้โดยง่าย ยิ่งตัวไซส์มหึมาแบบนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าหลายเท่า
ทันทีที่เจ้าสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ผิดปกติตัวนี้ปรากฎกายขึ้นที่ธรณีประตู เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกคนยกเว้นจ่าปลารีบคว้าอาวุธประจำกายซึ่งนั่นก็คือ ปืนลูกซองเดี่ยวคุณภาพต่ำบรรจุกระสุนทีละนัดนั่นเอง ปืนรุ่นแมน่วลแบบนี้ต้องหักกลางลำกล้องแล้วใส่กระสุนสีแดงขอบเหลืองลงไปทีละนัด กระสุนแบบปลาย32นัดย่อยที่อัดแน่นอยู่ในกระสุดสีแดงพร้อมยิง นั่นทำให้ปืนลูกซองเดี่ยวเสียเปรียบปืนลูกซองแฝดเป็นเท่าตัว
เจ้าตุ๊กแกตัวนี้ไม่ได้พุ่งเข้ามาตรงๆอย่างที่สัตว์ทั่วไปจะทำ มันกระโดดเข้าหากำแพงอย่างว่องไวก่อนจะไต่ไปตามผนัง เพียงแค่2วินาทีมันก็วิ่งไปถึงอีกฟากของห้องแล้ว
เป้าหมายที่มันจะโจมตีคือ หมาตัวนั้น
ถึงตุ๊กแกโตเกินขนาดตัวนี้จะเร็ว แต่ถ้าวัดกันแล้ว หมาเร็วกว่า เจ้าหมาขนฟูฟ่องตัวนี้ผ่านชิวิตข้างถนนมาอย่างโชกโชนเป็นเวลานาน การหลบหลีกสัตว์เลื้อยคลานตัวเป้งแบบนี้มันเคยทำมาแล้วตอนน้ำท่วมจังหวัด รวมถึงฟาร์มจระเข้ด้วย ถ้าฝีมือไม่ถึงมันคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรอก
มันกระโดดหลบคมเขี้ยวนับร้อยของตุ๊กแกยักษ์อย่างชำนาญ ประสบการณ์ตอนที่มันทรงตัวอยู่บนยอดกระต๊อบสังกะสีท่ามกลางสายน้ำเชี่ยวกรากเพราะภัยธรรมชาติกลับมาอีกครั้ง ถ้าวัดกันแล้ว ศัตรูตรงหน้าอันตรายกว่าไอ้เข้ที่มันเคยเผชิญหน้าเมื่อนานมาแล้ว ตุ๊กแกสามารถเคลื่อนที่บนบกได้อย่างคล่องแคล่วแถมเท้าที่ออกแบบมาเพื่อไต่ไปมาตามผนังทุกสภาพพื้นผิวทำให้การเดาทิศทางโจมตีของตุ๊กแกตัวนี้ยากกว่าจระเข้หลายขุม มันสามารถพุ่งเข้ามาได้ทุกทิศทางทั้งเบื่องบน ด้านข้าง ตรงหน้า และ ข้างหลัง
มันโจมตีตรงจุดที่หมาตัวนั้นเคยอยู่ นั่นคือ วงไพ่นั่นเอง การจะยิงตัวอะไรซักอย่างด้วยปืนลูกซองขณะที่มีคนอยู่ถึง5คนนั้นไม่เรื่องที่ควรจะทำ ทั้ง5คนจึงได้แต่เล็งไปที่ตุ๊กแกตัวเบิ้มโดยที่ทำอะไรไม่ได้ นักข่าวทั้งสองรีบถอยฉากออกมาจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้แล้วคว้ากล้องวีดีโอขึ้นมาถ่ายเจ้าสัตว์ร้ายน่าแขยงตัวนี้อย่างมืออาชีพ
"ดู ดู นี่คือสัตว์ที่รูปร่างเหมือนตุ๊กแกแต่ตัวใหญ่กว่ามาก มันเข้ามาจู่โจมเราขณะที่เรากำลังพักกันอยู่"เนยรีบรายงานสิ่งที่เห็นทันที กล้องโฟกัสไปที่เจ้าสัตว์เลือดเย็นตัวนั้นในทันที
"อั๊บแอ่ อั๊บแอ่"ตุ๊กแกตัวนั้นร้องขู่ก่อนที่จะพุ่งตามเจ้าหมาตัวนั้นไปอย่างมุ่งร้าย
หมาตัวนั้นหลบหลีกสิ่งกีดขวางแล้ววิ่งไปหลังกองไฟ ซึ่งก็เป็นไปตามที่มันวางแผนไว้ ตุ๊กแกเบรคไม่ทันวิ่งทะลุกองไฟไปทำให้มันได้รับบาดเจ็บจากแผลไฟไหม้และความร้อน
"แอ้ แอ้ แอ้ แอ้ แอ้"เจ้าตุ๊กแกร้องโหยหวนอย่างน่ากลัว จ่าปลาเห็นก็ยิ่งกรี๊ดหนักเข้าไปใหญ่ เสียงกรี๊ดกับเสียงร้องของตุ๊กแกผสานกันเป็นเสียงสุดสยองพร้อมทำลายเซลล์ประสาท
ตอนนี้มันดิ้นพราดๆอยู่ตรงหน้าประตูก่อนออกจากบ่อน หมู่โบกี้ก็ยิงลูกซองกระสุนปลาย32นัดย่อยใส่เจ้าตุ๊กแกยักษ์นั้น กะจะทำให้มันกลัวแล้ววิ่งหนี
ผิดคาด มันตกใจ แต่มันไม่หนี มันเจ็บเลยวิ่งพล่านไปทั่วบ่อนด้วยความเร็วสูงกว่าเดิม มันไต่ผนังปีกเพดานแล้วพุ่งกัดทุกอย่างอย่างไร้ทิศทาง มันเกือบกัดโดนเจ้าหมาได้แล้วแต่เจ้าหมากระโดดหลบได้อีก คนอื่นๆก็พยายามหันลูกซองเดี่ยวใส่เจ้าสัตว์ร้ายบ้าคลั่งสีอความารีนลายจุดตัวนี้แต่ด้วยความที่มันวิ่งอย่างไม่มีทิศทางจึงเล็งยากมาก
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"
มันเอี้ยวตัวเข้ากัดขาเนยแถมไม่ปล่อยอีก เขี้ยวของมันฝังลงไปในหน้าแข้งของสาวนักข่าวประมานครึ่งเซ็นติเมตร เธอร้องกรี๊ดอย่างบ้าคลั่งพยายามสะบัดขาให้เจ้าตุ๊กแกยักษ์หลุดออกทั้งๆที่รู้อยู่ว่าถ้าถูกตุ๊กแกกัดแล้ว ยากที่จะให้มันหลุดออกไปได้ ดีที่กางเกงยีนส์ขายางช่วยเธอไว้บางส่วน ฟันทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วไม่เหมือนฟันจำพวกเขี้ยวที่ใช้แทงทะลุผิวหนัง มันเหมาะกับการต่อสู้ของสัตว์เล็กๆไม่ใช่สัตว์ขนาดตัวเท่ามนุษย์
เมื่อตุ๊กแกตัวนั้นอยู่กับที่แล้ว ไอ้ชาติจึงฉวยโอกาศนี้ซัดกระสุนลูกซองใส่อีกนัดในระยะประชิด
ตุ๊กแกตัวนี้ร้ายกาจไม่เบา มันรู้ตัวแล้วว่าถ้าอยู่นิ่งๆจะโดนยิงมันจึงปล่อยขากรรไกรขนาดใหญ่ของมันออกจากหน้าแข้งของหญิงสาว พุ่งตัวออกด้านข้างทำให้กระสุนลูกซองเฉียดๆตัวมันไปเท่านั้น แต่มันก็ยังได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มันรีบกระโดดเกาะผนังแล้วปีนขึ้นเพดาน เบิ่งตาดูทัศนวิสัยจากด้านบนแล้วเตรียมตัวทิ้งดิ่งลงมาหาเป้าหมายเดิม
เจ้าหมาสีน้ำตาลเหลืองขนชี้ตัวนี้รู้ทันการโจมตี มันวิ่งวนไปวนมาทั่วห้องเพื่อให้ตุ๊กแกพุ่งเข้ามาไม่ถนัด เพราะไม่สามารถเล็งเป้าเคลื่อนไหวได้
เปรี้ยงงงงงง!!! กระสุนลูกซองอีกชุดสาดใส่สีข้างของมันขณะที่กำลังเกาะอยู่บนเพดานซึ่งไม่มีสิ่งกีดขวาง นับว่ามันตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหันต์เลยที่ขึ้นไปอยู่ในบริเวณที่ไร้ที่กำบัง มันไม่เคยต่อกรกับอาวุธระยะไกลอย่างปืนมาก่อน มันจึงไม่รู้วิธีการเข้าที่กำบังซึ่งอาจจะช่วยมันได้ หลังจากโดนกระสุนชุดนั้นมันก็ยังไม่ตายเพราะกระสุนลูกปลายไม่ได้ออกแบบมาเพื่อสังหารเป้าหมายขนาด2เมตรกว่า สัตว์ร้ายได้รับบาดเจ็บพอสมควรทั้งจากความร้อนและจากกระสุนจำนวนมากที่เจาะทะลุผิวสีเขียวแกมน้ำเงินของมัน อสูรร้ายตัวนั้นโดนซัดกระเด็นไปยังทิศทางที่ทุกคนใจหายวาบ
มันกระเด็นไปทางจ่าปลาที่กำลังสติแตกเพราะตุ๊กแกไซส์ไจแอ๊นท์ตัวนี้
จ่าปลาวีนแตกสุดขีดคว้าฟืนที่กำลังติดไฟ ฟาดอีกเข้าใส่เจ้าตัวอุบาทย์ตัวเป้งตัวนี้กลางอากาศราวกับนักเบสบอลหญิงมือทองหวดลูกเบสบอลเต็มกำลังอย่างสวยงาม เจ้าตุ๊กแกสุดสยองตัวโตโดนอัดกลางลำตัวด้วยท่อนไม้ไฟลุกปลิวตีลังกาหมุนหลายตลบกระแทกเข้าใส่กำแพงบ่อนดัง แอ๊ก!!!
แผลไฟไหม้จากการโดนฟาดด้วยฟืนทำให้มันดิ้นทุรนทุรายอย่างน่าเวทนาก่อนที่มันจะได้สติ กลอกลูกตาอันใหญ่โตของมันไปมามองหาเป้าหมายซึ่งก็คือเจ้าหมาตัวนั้น
"มันอยู่ตรงนั้น จัดการเลย"หมวดเอกสั่งการท่ามกลางความวุ่นวาย สมบัติกำลังจับภาพตุ๊กแกตัวฉกาจอย่างตื่นเต้น เนยเองก็เช่นกันทั้งที่มีแผลใหญ่อยู่ตรงหน้าแข้ง ชาติกับกอล์ฟกำลังบรรจุกระสุนปืนลูกซองเดี่ยวอยู่โดยที่ไม่ละสายตาจากสัตว์ร้ายตาโปน จ่าปลายังกำฟืนท่อนนั้นแน่นไม่ยอมปล่อยด้วยความตื่นกลัว หมู่โบกี้ที่บรรจุกระสุนเรียบร้อยแล้วยืนอยู่ในท่าพร้อมยิง ตือก็เช่นกัน ปืนในมือเขาค่อนข้างนิ่งเลยทีเดียว สมาธิของเกือบทุกคนจดจ้องอยู่ที่เจ้าตุ๊กแกยักษ์ที่กำลังกลอกตาไปมา
"แอ๊บ แอ่ อั๊บ แอ่ ก๊าซซซซซซ"ตุ๊กแกตัวนั้นร้องด้วยความโกรธ มันจ้องเจ้าหมาเขม็งด้วยความไม่ประสงค์ดีอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น มันก็ตวัดลิ้นยาวเฟี้อยของมันไปหาเหยื่อที่มันหมายตาเอาไว้ ความเร็วของลิ้นมันเร็วเกินกว่าที่เจ้าหมาจะหลบพ้น
"เอ๋ง เอ๋ง อิ๋ง หงิง"เจ้าหมาขนฟูร้องด้วยความตกใจ ลิ้นสีม่วงอมชมพูอวบๆที่ชุ่มไปด้วยน้ำลายเหนียวหนึบสีใสราวกับกาวน้ำการงานอาชีพพันร่างกายของเจ้าหมาขนฟูตัวนี้เอาไว้แต่แล้วเจ้าหมาก็ต้องประหลาดใจ
แต่ หมาไม่ใช่แมลง ถึงตุ๊กแกจะตัวใหญ่แต่ขนาดตัวของหมานั้นใหญ่เกินกว่าที่ตุ๊กแกยักษ์จะตวัดเข้าปากด้วยลิ้นยาวนี้ได้
พอเจ้าหมารู้สึกตัวว่าลิ้นของตุ๊กแกไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดมันก็งับลิ้นยาวนั้นด้วยฟันแบบสัตว์กินเนื้อของมัน รู12รูปรากฎขี้นบนลิ้นอันอ่อนนุ่มของสัตว์เลื้อยคลานวายร้ายในทันใด เลือดสีแดงฉานค่อยๆซึมออกมาจากปากแผล
ตุ๊กแกตัวนั้นสะดุ้งโหยงรีบสะบัดลิ้นยาวของมันไปมาอย่างร้อนรน จนในที่สุดลิ้นของมันก็หลุดจากคมเขี้ยวของสุนัขตรงหน้าจนได้ มันร้องโหยหวนอีกด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะกระโดดเกาะกำแพงอีก
มันพุ่งตรงมากลางวงเพราะมันรู้ว่ามันจะไม่ถูกอาวุธเสียงดังทรงกระบอกพวกนั้นเล่นงานหากมันเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆเหล่าศัตรู
"เอานี่ไปกินซ้าาาา"หมู่โบกี้เหวี่ยงขาที่ห่อหุ้มด้วยกางเกงขายาวและรองเท้าคอมแบ็ตหนังอึ้งใส่ยอดหน้าเจ้าตุ๊กแตตัวเท่าตะกวดตัวนี้จนมันกระเด็นไปอีกทาง
"อั๊บแอ่ อั๊บแอ่"มันร้องระหว่างที่เสียท่าก่อนที่จะตั้งหลักแล้วรวบรวมแรงตะกายขึ้นเพดานก่อนจะโจมตีแบบเดิมอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของมันไม่ใช่หมาแต่เป็นหมู่โบกี้
มันตวัดลิ้นปัดปืนลูกซองของหมู่ให้เฉไปอีกทางเพื่อไม่ให้หมู่ตอบโต้มันได้ ลิ้นยาวที่มีรอยแผลจากการโดนหมากัดยังรวดเร็วเหมือนเดิม ปืนถูกปัดจนเอียงไปอีกทางเปิดช่องว่างให้จู่โจม
เจ้าสัตว์เลื้อยคลานที่ไต่ไปมาบนเพดาน พุ่งเข้าใส่หมู่โบกี้ด้วยความเร็วสูงพร้อมตากลมโตสีเหลืองและฟันแหลมสีขาวเปื้อนเลือดของนักข่าวสาว ระยะนี้หมู่หลบไม่พ้นแน่หมู่จึงยกมือกันการกัดของตุ๊กแกหวังว่าแขนเสื้อหนาของเครื่องแบบจะช่วยกันคมเขี้ยวของตุ๊กแกผีตัวนี้ได้ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันช่วยได้ไม่มากนัก
ป้าบบบบ!!!!
เสียงนั้นสิ้นสุดลงพร้อมตุ๊กแกที่กระเด็นออกไปก่อนที่มันจะรู้ตัวว่า สู้ศัตรูกลุ่มนี้ไม่ไหว จ่าปลาฟาดหลังหัวมันด้วยพานท้ายปืนลูกซองเพราะจ่าเสียสมาธิเกินกว่าจะใส่กระสุนเข้าช่องได้ จริงๆ จ่ากลัวว่ามันจะพุ่งใส่ระหว่างใส่กระสุนปืน
หลังจากได้รับผลตอบแทนจากการโจมตีไปหลายแผล ทั้งแผลไฟไหม้จากการลุยกองไฟและโดนฟาดด้วยท่อนไม้คุกรุ่น ร่องรอยการถูกยิงด้วยกระสุนลูกซองถึงแม้จะเป็นลูกปลาย แต่ผิวของมันไม่ได้แข็งเหมือนจระเข้ มันจึงมีแผลเหวะหวะเต็มไปหมด รวมถึงลิ้นยาวๆสีม่วงอมชมพูที่ชุมไปด้วยเลือดของตัวมันเอง มันตัดสินใจพลาดที่คิดจะกินหมาตัวนี้ ตอนนี้มันจะทำในสิ่งที่มันคิดว่าควรจะทำแล้ว
มันกระโดดหนีออกนอกประตูบ่อนแล้วพุ่งทะยานหายไปในความมืดด้วยเกียร์ตุ๊กแกของมัน ไม่แม้แต่เหลียวกลับมามองกระท่อมหลังน้อยนี้เลย
เสียง แปะ แปะ แปะ จากการเดินของมันค่อยๆเงียบหายไป กลายเป็นความเงียบงัน
ชาติหมาต้องไว้ลาย ชาติควายต้องไว้ชื่อ เจ้าหมาตัวนั้นไปยืนเชิดอกอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงธรณีประตูก่อนจะเห่ากรรโชกอย่างรุนแรง ถ้าหากมันเป็นคนมันคงพูดประมานว่า "อย่ากลับมาให้เห็นอีกนะเฟ้ยย ให้มันรู้ที่ต่ำที่สูงซะมั่ง กระจอกหวะ"แต่ตอนนี้เสียงที่ออกมาจากปากมันมีแต่เสียงเห่าที่แสดงความเย่อหยิ่งอย่างหมาๆชัดเจน
"เฮ้ย เบาหน่อยซิ เมื่อกี้นี้ยังอิ๋งๆเอ๋งๆอยู่เลย จากชิวาว่ากลายเป็นร็อทไวเลอร์ทันตาเลยนะเอ็ง ไม่ประมานตนเลย ทำเป็นเก่ง"หมู่โบกี้แซวเจ้าหมา
"แฮ้กๆๆ หงิงๆ งี๊ดๆ"เจ้าหมาหันมาแล็บลิ้นอย่างดีใจ กระดิกหางรัวๆด้วยความยินดีในชัยชนะของมัน(เหรอ?)
"โอยยยย เจ็บ"เสียงของผู้บาดเจ็บเพียงคนเดียวครางให้คนอื่นได้ยิน เนยที่ถูกงับเข้าเต็มปากเต็มคำจากไอ้ตุ๊กแกลายตัวเบอเร่อ
"ใครปฐมพยาบาลเป็นบ้าง เลือดซึมไม่หยุดเลย"สมบัติเรียกบรรดาเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่กำลังถอนหายใจชุดใหญ่ หลังจากพึ่งสู้รบตรบมือกับวัตถุดิบทำยาโด๊บหนักสิบกว่าโลตัวตะกี๊
"จ่าเอง"จ่าปลาพูดสั้นๆก่อนที่จะค้นกระเป๋าเป้เดินป่าของตน จ่าปลาเองก็เป็นหน่วยพยาบาลมาก่อนก็เลยมีชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นติดตัวไว้ด้วย เจ้าหน้าที่บางครั้งก็ได้รับบาดเจ็บจากหลายๆสาเหตุจึงต้องมีชุดปฐมพยาบาลไว้
จ่าปลาหยิบเอาผ้าพันแผลสีขาวม้วนใหญ่ออกมาและแอลกอฮอกับเบทาดีนอละน้พสะอาดที่แย่งมาจากกระติกน้ำของไอ้ตือ จ่าก็ลงมือล้างแผลด้วยน้ำสะอาดอยางเชี่ยวชาญ ตามด้วยใส่ยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอ ปิดท้ายด้วยการพันผ้าปิดแผลเอาไว้ป้องกันการติดเชื้อจากภายนอก
"แผลไม่ลึกมาก ดีนะที่กางเกงยีนส์ของเนยช่วยไว้ได้หลายส่วน แถมฟันตุ๊กแกตัวนั้นไม่ได้ยาวแบบฟันสัตว์นักล่าด้วย อีกซักอาทิตย์ก็น่าจะหายแล้วหละ"จ่าปลาพูดปลอบ
"ขอบคุณจ่ามาก"เนยพูดก่อนที่จะมองไปที่สมบัติ
"ครบทุกช็อต บอสต้องพึงพอใจแน่ๆ"สมบัติตอบ
"หวังว่าคงไม่เป็นโรคหมาบ้านะ ถ้าไม่ได้วัคซีนภายใน3วันก็ไม่รอด"ชาติพูดแบบไม่ถูกกาละเทศะเท่าไหร่
"หมาบ้าบ้านแกดิ โรคหมาบ้ามันเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเฟร้ยยย ตุ๊กแกเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหรอ หา"หมู่โบกี้สบถใส่
"ไม่มีโรคหมาบ้าหรอก แต่แบคทีเรียนาๆชนิดนี่สิที่น่าเป็นห่วง อาจมีบาดทะยักก็ได้ ควรดูอาการจะดีกว่านะ"หมวดเอกอธิบาย
"แล้วเอาไงต่อ"กอล์ฟถามหมวดเอก
"ปิดประตูหน้าต่างเท่าที่ทำได้ อย่าให้ไฟดับ และเรารีบนอนพักเอาแรงกันดีกว่า หมดอารมณ์เล่นไพ่แล้ว แนะนำให้นอนใกล้ๆกันไว้ มีอะไรจะได้ปลุกเพื่อนทัน"หมวดสั่งการ
"ทราบ"เจ้าหน้าที่ป่าไม้คนอื่นๆขานรับก่อนที่จะกางผ้าปันโจทับเสื่อแล้วกางถุงนอน ในคืนที่พึ่งผ่านเหตุการระทึกแบบนี้ หลายคนคงข่มใจให้หลับได้ยากยิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าตุ๊กแกผีตัวเบิ้มตัวนั้นจะกลับมาหรือเปล่า อะไรทำให้มันซึ่งปกติยาวไม่กี่คืบกลับตัวใหญ่ขึ้นจนผิดปรกติอย่างนี้ได้ คืนที่บรรยากาศไม่สบายอีกต่อไปแล้วทำให้ทุกคนนอนเ้วยความเสียวสันหลัง เนยเองก็ต้องรีบนอนเพื่อให้แผลสมานตัวให้ไวที่สุด จะกลับกลางคันไม่ได้ ถ้ากลับตอนนี้ก็มีนักข่าวอีกเป็นพันที่พร้อมจะมาแทนที่เธอ ข่าวใหญ่แบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อยๆนัก งานนี้เธอต้องไม่พลาด สมบัติเองก็รีบนอนพรุ่งนี้อาจต้องแบกเนยไป ส่วนคนอื่นๆที่เคยเดินทางในป่ามาแล้วก็นอนได้ง่ายกว่าคนที่มาใหม่
เจ้าหมาตอนนี้ถูกเพิ่มเข้ามาในวงแล้ว การเห่าเตือนภัยน่าจะมีประโยชน์ในสถาณะการณ์ที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายผิดปรกติเช่นนี้ การโจมตีสามารถเกิดได้ทุกเมื่อและการเตือนมีประโยชน์แน่นอน
ทั้ง8คนกับอีกตัวนึงมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีว่า เจ้าตุ๊กแกวิปริตใหญ่ประชดโลกตัวนี้ เป็นเพียงแค่ออร์เดิร์ฟเท่านั้น อีกนานกว่าจะถึงจานหลัก ที่ไม่มีใครอยากลิ้มลอง ในหุบเขานี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่อย่างแน่นอน ทุกคนรู้ แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:18:12 GMT
9.big clue : ร่องรอยชิ้นสำคัญ
หลังจากค่ำคืนอันฤโหดผ่านพ้นไป เช้าวันใหม่ก็มาเยือนหุบเขาแห่งนี้ แสงแดดยามเช้าสีทองส้มสาดส่องจากฟากฟ้าสู่ป่าเขา ขับไล่ความมืดมิดแห่งราตรีกาลออกไปทีละน้อยจนหมดสิ้น เสียงของสารพัดสัตว์ที่พึ่งตื่นจากนิทรากำลังจะออกหากินและสัตว์ยามค่ำคืนที่กำลังกลับเข้ารังเตรียมตัวนอน ถึงแม้อาทิตย์จะฉายแสงปัดเป่าความมืดจนมลายหายสิ้นสูญแต่ฝันร้ายและความเจ็บปวดที่พึ่งเจอะเจอมาเมื่อคืนไม่ได้หายไปพร้อมกับราตรีทมิฬ เจ้าสัตว์เลื้อยคลานสีอความารีนจุดส้มเหลืองขนาดน้องๆจระเข้ที่มีฟันแหลมคมเต็มปากและดวงตาปูดโปนกลมโตสีเหลืองราวกับอำพันนั้นไม่ได้ฝากเพี่ยงแค่รอยแผลรูปตัวUไว้บนหน้าแข้งของนักข่าวสาวเท่านั้นแต่ยังฝากความทรงจำอันเลวร้ายและความตื่นตระหนกไว้ในสมองของเจ้าหน้าที่แห่งพงไพรทั้งหลายด้วย ภาพของสัตว์ร้ายนั้นยากที่จะลืมเลือนราวกับถูกผนึกไว้ในเนื้อสมองของผู้พิทักษ์แห่งป่าเขาเหล่านี้ ถึงแม้ค่ำคืนที่ผ่านมาจะทรหดโหดร้ายเพียงใด งานก็คืองานและหากชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นพราดๆๆกันต่อไป พวกเขาทั้งหลายจะออกเดินท่างด้วยหัวใจที่มั่นคงไม่หวาดหวั่นหรือหวาดกลัวใดๆ
"ฮัลโหล ฮัลโหล หมูมะนาวเรียกหอยแครงลวก มีใครอยู่มั้ย มีใครได้ยินป่าว จะบอกว่าเราไม่ไหวแล้ว ขอกำลังเสริมและกำลังใจด่วน เยี่ยวจะราดแล้ว เปลี่ยน"เสียงของอดีตรองหัวหน้าหมู่ร้องขอความเห็นใจกลับไปที่ฐานด้วยน้ำเสียงเหมือนเยี่ยวใกล้จะราดจริงๆ
"ติดป่าว"จ่าปลาถาม
"มีแต่เสียงซ่าๆๆๆ เหมือนทีวีที่ภาพล้มอ่ะ"หมู่โบกี้บอก
"อืม พอเดาได้ว่าเป็นเพราะอะไร"หมวดตอบ
อีกฟากหนึ่งของหุบเขาดงโขมดเย็น ในฐานทัพของประเทศเพื่อนบ้าน ที่นี่มีอุปกรณ์ใหม่เอี่ยมอ่อง แบบยังวิ้งวับเป็นประกายเมื่อต้องแสงทองแห่งรุ่งอรุณ เสาอากาศขนาดปานกลางสีเขียวกลมกลืนกับผืนป่าแต่สะอาดสะอ้านและทรงประสิทธิภาพนั้นขัดกับตัวฐานทัพที่ทั้งโทรมทั้งรกสภาพบักโกรกแสดงให้เห็นว่ากาลเวลาและข้าศึกไม่เคยปราณีพวกเขาเลยตลอด30ปีที่ผ่านมา ภายในห้องทำงานรกๆที่มีคอมพิวเตอร์โบราณอ้วนฉุตั้งอยู่คู่กับคอมพ์รุ่นใหม่ล่าสุดไม่แพ้เสาอากาศที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าราวกับหอคอยงาช้างนั้น ชายในชุดเขียวขี้ม้าท่าทางไม่เอาอ่าวทั้ง4คนกำลังมองดูผลงานของตนภายในจอคอมพิวเตอร์
"มูยาเอปาปาเหโก ตะแยงาลังแกตาลาลา(เฮ้ยพวกดูนี่สิ มีพวกง่าวส่งสัญญาณมาอีกแล้ว)"
"ยาเอเดดูจากาซาน เนวาอายิงุบกั๊บ (แล้วสรุปว่าเป็นไง เราดักได้หรือเปล่า)"
"เยปากา ซิตังสัดเลปารำ (ได้แล้ว เดี๋ยวเปิดให้ฟัง)"
"ฮัลโหล ฮัลโหล หมูมะนาวเรียกหอยแครงลวก มีใครอยู่มั้ย มีใครได้ยินป่าว จะบอกว่าเราไม่ไหวแล้ว ขอกำลังเสริมและกำลังใจด่วน เยี่ยวจะราดแล้ว เปลี่ยน"เสียงนั้นดังออกมาจากเครื่องดักฟังสัญญาณอยางชัดเจน
"เหนาร งุงาสารปังเป็ดโต กาลเมดาสิสาหาไล (เยี่ยม เจ้าเครื่องนี่สุดยอด ลูกพี่เราเก่งชะมัดที่ได้มา)"
"กูลูหาสีปีซังอราเนยะวะเกเสา กุบลิโกโหฟารนาพาเงล (เค้าให้เรามาเพราะรู้ว่าเราต้องใช้ไง พวกประเทศมหาอำนาจนี่ใจป้ำดีจัง)"
กลับมาที่เดอะแก๊งค์กลางป่าของเราต่อ
"ปัดโธ่วเอ้ย ให้ตายเถอะ แล้วเราจะติดต่อฐานยังไงดีเนี่ย"หมู่โบกี้โวยวาย
"ถ้ามันติดต่อได้พวกกะเพราทมิฬคงติดต่อไปนานแล้ว"หมวดเอกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดอยู่ว่าจะแก้สถาณการณ์แบบนี้ได้ยังไง
"ว่าแต่ เจ้าตัวเมื่อคืนอยากเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหมูป่าตัวนั้นถูกฉีกเป็นชิ้นๆก็เป็นได้นะ "กอล์ฟออกความเห็น
"สรีระไม่ให้หวะ ฟันของไอ้ตัวเมื่อคืนไม่สามารถฉีกกระชากหนังหมูป่าที่เหนียวจนเป็นตำนานได้หรอก แล้วถ้าทำได้ ขาของเนยคงไม่ได้อยู่ติดกับตัวแล้วตอนนี้ แต่ที่แน่ๆ ตุ๊กแกนั่นจะไม่ใช่สัตว์ร้ายตัวสุดท้ายที่เราจะเจอหรอก"หมวดเอกวิเคราะห์
"มันยังจะมีตัวอะไรอีกนอกจากไอ้ตุ๊กเข้นั่น"ชาติถาม
"ถ้าอยู่ตุ๊กแกเกิดตัวขนาดนั้นขึ้นมาได้ แถมยังดุร้ายผิดวิสัยสัตว์ทั่วไปที่จะหลีกเลี่ยงคนอีก หมวดว่าไอ้สิ่งที่เราตามหาน่าจะเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องพวกนี้แน่ๆ จำได้มั้ยที่มีนักท่องเที่ยวที่มาชมนกโดนทำร้ายหนะ ต้องเป็นไอ้ตัวแบบนี้ไม่ก็คล้ายๆ"หมวดเอกตอบ
"เดาไม่ถูกเลยว่าที่หนองเห็ดกระสือนั่นจะมีตัวอะไรรอเราอยู่"ตือพูดพร้อมกับบิดขี้เกียจ บนหลังของเขามีเป้ใบใหญ่ที่เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินทาง
"ว่าแต่เนยกับสมบัติไหวป่าว"หมู่โบกี้หันไปถามสองนักข่าว เขาเองก็ยังกังวลแขกทั้งสองไม่น้อย สารวัตรก็มอบหมายให้เขาและคนอื่นๆช่วยดูแลทั้งคู่ หากเป็นอะไรไปละก็ มีสิทธิ์โดนถอดยศ
"ไหว แผลไม่ลึก แค่นี้เจ็บนิดหน่อยเองงงง"เนยตอบ ดีที่กางเกงยีนส์ช่วยขาเธอไว้ได้เยอะอยู่เหมือนกัน แผลเลยแค่ถากๆ ถ้าเทียบกับเพื่อนร่วมงานที่ต้องไปรางงานข่าวโต้พายุแล้วโดนสารพัดข้าวของพัดใส่ซะกระจุย แค่นี้จิ๊บจ้อย อีกอย่างเจ็บแผลไม่ทรมานเท่าอดตายหรอก เธอยกกล้องอันเดิมที่มีขนาดไม่ใช่เล่นขึ้นถ่ายบรรยากาศโดยรอบ
"ไหว ถ้าเธอบอกว่าไม่ไหวหละก็ ต้องเจ็บอย่างต่ำเท่ากับสิบล้ออัดกำแพง"สมบัติพูดเสียงเรียบก่อนที่จะทำหน้าที่ของตนต่อ
"แล้วเราจะไปเลยมั้ย"จ่าปลาถาม เธอมองบ่อนหลังน้อยบรรยากาศวินเทจ ถ้าหากไม่มีเรื่องตุ๊กแกนรกแตกแล้วหละก็ ที่นี่เป็นสถาณที่ที่เหมาะแกการตั้งแคมป์ค้างคืน เล่าเรื่องผี ปิ้งมาร์ชเมโล่วแล้วก็เล่นไพ่กับพ้องเพื่อนจริงๆ แต่พอมีตุ๊กแกแล้ว จบเห่
"แพ็คของเสร็จยัง ถ้าเสร็จแล้วเราไปกันเลย เราควรจะถึงไอ้บึงเหม็นโฉนั่นก่อนมืด คงรู้ใช่มั้ยว่าการเดินป่าตอนกลางคืนในตอนที่มีสัตว์ประหลาดเดิน คลาน และบินกันยั้วเยี้ยเต็มหุบเขามันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำขนาดไหน"หมวดเอกเร่งลูกฝูงในสังกัด การเดินผ่านหนองเห็ดกระสือในตอนกลางคืนก็ไม่ต่างจากการแต่งตัวเป็นตัวตลกเดินท่อมๆเข้าไปในงานศพเจ้าพ่อระดับประเทศ สวยไม่สวยน่าจะคิดเองได้
"ครบแล้วครับ พร้อมเดินทาง"หมู่โบกี้ตะเบ๊ะให้หมวดพร้อมยืนตัวตรง
"นั่นมันหน้าที่รองหัวหน้าหมู่ยะ ครบแล้วค่ะ พร้อมเดินทาง"จ่าปลามาทำหน้าที่แทนหมู่โบกี้ทันควันทำเอาได้ยินเสียงเหมือนแก้วแตกละเอียดดังมาจากหน้าบิดเบี้ยวของหมู่
"รวมพล"หมวดเอกสั่ง ก่อนที่บรรดาคนในสังกัดจะมารวมตัวกัน
"โฮ่ง"เจ้าหมาสีน้ำตาลเหลืองวิ่งมาเข้าแถวด้วย ท่าทางจากเหตุการเมื่อคืนมันคิดว่ามันได้เป็นสมาชิกหมู่แล้ว
"เอ จะเรียกมันว่าอะไรดีน้า"หมวดเอกมองเจ้าหมาพร้อมกับคิดว่าถ้ามันร่วมเดินทางไปด้วยน่าจะดีไม่น้อย ประสาทสัมผัสของหมาดีกว่าคนถึง400เท่า การเตือนภัยจากมันน่าจะช่วยให้พวกเขารอดจากอันตรายประเภทต่างๆได้
"เรียกว่าเจ้า วานิลา ดีม่ะ"จ่าปลาออกความเห็น ชื่อก็มาจากสีขนมันนั่นแหละ
"ชื่อเจ้าครีมก็ดีนะ วิปครีม"ชาติออกความเห็น
"หรือชื่อเจ้าฟู ขนมันฟูดี"กอล์ฟถาม
"รู้แล้ว เรียกว่า สมหมา สม-กับ-เป็น-หมา"หมู่โบกี้ทัก
"เซนส์การตั้งชื่อของแกห่วยมากรู้ป่าวโบกี้ มิน่าพ่อแม่แกถึงตั้งชื่อแกเป็นตู้รถไฟ กลวงสนิท"จ่าปลาแขวะคู่อริอย่างไม่แนบเนียน
"งั้น ชื่อ ฟองดูละกันนะ สีขนเหมือนฟองดูชีสเลย "หมวดเอกตัดสิน จริงๆแล้วหมวดเองก็ไม่เคยกินฟองดูมาก่อนเนื่องจากสภาพGDPส่วนบุคคลที่มีน้อยมาก อย่างน้อยเค้าก็เคยเดินห้างแล้วเห็นป้ายโฆษณาฟองดูชีสเหนียวหนึบดูน่ากินแต่น่าเศร้าที่ดันเอื้อมไม่ถึง ดูๆไปก็ไม่ต่างจากหมาเห่าเครื่องบิน เรื่องนี้เลยเป็นที่ตะขิดตะขวงใจมานานแล้ว
"เอ้อ เจ้าฟองดู นี่คือเจ้านายของแกนะ"หมู่โบกี้ชี้ไปที่หมวดเอก
"นี่คือรองเจ้านายของแก"หมู่โบกี้ชี้ที่ตัวเอง
"นี่คือเจ้านายคนอื่นๆของแก"หมู่ชี้ไปที่คนอื่นๆ
"แล้วท้ายสุด นี่คือขี้ข้าส่วนบุคคลของแก"หมู่โบกี้ชี้ไปยังคนที่รู้ว่าใคร(ไม่ใช่ไอ้จมูกแหว่งในหนังพ่อมดนะ)
"รู้ตัวมั้ยว่าปากแกนี่มันหมากว่าหมาจริงๆซะอีก"จ่าปลาจ้องหน้าหมู่โบกี้เขม็ง ถ้าไม่ติดเรื่องภารกิจหละก็ หมู่โบกี้คงโดนฆาตกรรมด้วยมือเปล่าแล้วหละ
"อะคึอะคึอะคึ"หมู่โบกี้ขำพร้อมทำท่าล้อเลียน
"อะไร"จ่าปลาหันมามองตาเขียว
"ขี้ข้า"หมู่โบกี้พูดสั้นๆ ได้ใจความเต็มเปี่ยม
"ไม่ไหวแล้วโว้ยยยย"จ่าปลาเข้าสู่โหมดเดือด เตะผ่าหมากใส่หมู่โบกี้ด้วยความเร็วเท่ากับรถซุปเปอร์คาร์เหยียบคันเร่งค้าง ถึงอย่างนั้น หมู่โบกี้ที่สวมวิญญาณแมวรออยู่แล้วก็กระโดดหลบลูกเตะล้างเผ่าพันธุ์ได้อย่างไม่มีปัญหา
"ฝีเท้าขี้ๆหว่ะ ขี้ข้า"หมู่โบกี้แซวไม่เลิก
"วิดพื้นท่าเตรียม เดี๋ยวเน้!!! 5000ครั้งปฏิบัติ!!!"จ่าปลาออกท่าไม้ตาย
"เผอิญว่าเราไม่มีเวลาจะมารอคนวิดพื้น5000ครั้งหนะสิ ไปได้แล้ว"หมวดเอกสั่งก่อนที่จะเดินนำพวกเข้าไปในป่าซึ่งเห็นได้ชัดว่าค่อยๆเตี้ยลงไปเรื่อยๆ เส้นทางสู่ป่าพรุ
"ฝากไว้ก่อนเหอะ ไอ้ผักบุ้งค้างคืน ไอ้เห็ดเผาะรมควัน"จ่าปลาพึมพำก่อนที่จะเดินตามหมวด
"ฮิ ยัยปลาสลิดดองเค็มเอ้ย ได้กลิ่นแล้วอยากกินข้าวต้มเลยหว่ะ"หมู่โบกี้แซว(แรงมากถึงมากที่สุด)
จ่าปลานิ่งไปซักพักนึงก่อนที่จะเดินต่อ แม้จะมองจากข้างหลังแต่รู้ได้ทันทีว่าจ่าปลาทะลุจุดเดือดไปหลายกิโลแม้ว เรียบร้อย ดูจากสีของใบหูที่เหมือนกับสีของสตรอเบอรี่ไม่มีผิด
"ผมว่าหมู่ตั้งการ์ดไว้ตลอดเวลาจะดีกว่านะ เดี๋ยวขีปนาวุธมาจะได้หลบทัน"ตือบอก
"ระดับไหนแล้ว ตือ จ่าเคยหลบลูกโม่6นัดซ้อนพร้อมๆกับอุ้มของกลาง20กิโล วิ่งผ่านทางลงเขามาแล้วนะจะบอกให้"หมู่โบกี้โม้ (หมู่คงไม่บอกหรอกว่า6นัดซ้อนนั่นเค้ากำลังยิงกับอีกคนอยู่)
"เอ๊ะใครเห็นอะไรแปลกๆตรงนั้นมั้ย"หมวดเอกเรียก
"เห็น"หมู่โบกี้ตอบ สิ่งที่อยู่ตรงนั้นคือ ชิ้นส่วนหมวกทรงขันข้าวหมามีปีกด้านหน้าออกมา ใช่แล้ว จากขนาด สี รูปทรง มันคือหมวกของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ปกติแล้วถ้าไม่ฉุกเฉินจริงๆจะไม่มีใครทิ้งหมวกแน่นอน หมวกสีเขียวขี้ม้าใบนั้นห้อยต่องแต่งอยู่ตรงพุ่มไม้ ยั่วยวนให้ใครซักคนเข้าไปหยิบ
"กับดักหรือเปล่า"จ่าปลาพูด พร้อมกับมองหน้าหมู่โบกี้เป็นสัญญาณว่า ไปเอามาสิ
"ไม่น่าใช่ จากสภาพพื้นลาดชันแบบนี้ การวางกับดักจะมีพิรุธมาก แถมที่พื้นไม่มีใบไม้ปกคลุมอย่างหนาแน่น กับระเบิด ตาข่าย กับดักหมี พวกนี้ต้องใช้ของมาคลุมจะได้เนียนๆ"หมวดตอบอย่างชำนาญ ก่อนจะได้เป็นหมวดเขาเองก็เคยเห็นเพื่อนเสียขาเพราะกับดักหมีแบบงับมาแล้ว
"แล้วแบบเชือกสะดุดหละ"หมู่ถาม
"เท่าที่ดูแล้วไม่มีนะ แต่เพื่อความปลอดภัย"หมวดพูดแล้วหันไปทางนักข่าวทั้งสองซึ่งกำลังยืนงง
"ขากล้อง พลีส"หมวดถามเสียงกวนๆ ยิ้มอย่างรู้ทันเป็นเอกลักษ์ของหมวดเวลาที่เขารู้ว่าจะต้องรับมือกับอะไรและอย่างไร
หลังจากที่ใช้ขากล้องเขี่ยหมวกใบนั้นมาได้ ทั้งหมดก็พลิกดูข้างในหมวกทันที แล้วก็พบว่าชื่อที่อยู่ในหมวกนั้น เป็นชื่อของคนในหมู่กะเพราทมิฬ เขียนด้วยปากกาเคมีสีน้ำเงิน สงสัยจะตราม้าลายแต่นั่นไม่สำคัญ
"เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของหมวกใบนี้ ไอ้จั่ว เรื่องนี้เราต้องรู้ให้ได้"หมวดทำหน้าเข้มพร้อมกับส่งสายตาสุดเท่ไปกรีดหัวใจของเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เวลาทำท่าทางเข้าขรึมแล้ว หมวดของเราก็เท่ไม่เบา
"แล้วเราทำไมไม่ตามรอยเลือดนั่นไปหละ"หมู่โบกี้เสนอพร้อมชี้ไปที่รอยเลือดแห้งกรัง สภาพเหมือนไอ้จั่วถูกตัวอะไรซักอย่างลากไปกับพื้น เพียงแค่ดูร่องรอยชิ้นโตนี้ หลายๆคนก็เริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ เวลาหยอกล้อเล่นหมดลงแล้ว
"หึยยย ผมคิดว่าเราไม่ควรตามไปนะหมวด อาจเป็นกับดักล่อให้เราเข้าไปแล้ว..."กอล์ฟออกความเห็น
"ร่องรอยถูกลากไปทางหนองน้ำ หมวดว่ามันไม่น่าใช่ฝีมือของมนุษย์นะ อาจจะเป็นตัวอะไรที่คล้ายๆกับตัวเมื่อคืนก็ได้"หมวดเอกตอบ
"แต่ยังไงเราก็ต้องไปทางหนองน้ำนั่นอยู่แล้ว เราควรเดินเลียบๆไปแล้วกัน"หมวดออกคำสังก่อนจะนำคนที่เหลือตามไป เจ้าฟองดูสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ปลอดภัยข้างหน้า มันจึงค่อยๆตามไปช้าๆพร้อมกับแสดงอาการหงอยๆ
หลังจากเดินมาได้ซักพักใหญ่ๆแล้ว ร่องรอยนั้นก็หายไป สิ่งที่น่าสยดสยองกว่าก็มาแทนที่ บริเวณโดยรอบมีรอยกระสุนปืนลูกซองปรากฎตามต้นไม้และพื้นดิน มีรอยไหม้ตามรอยกระสุนลูกซอง ที่น่าห่วงกว่าคือบนพื้นมีรอยเท้ามั่วซั่วดูไม่เป็นรอยเต็มไปหมด ร่องรอยนี้ไม่เหมือนรอยเท้าของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือสัตว์เลื้อนคลานแต่ รอยเท้าแบบขึดๆแบบนี้ ดูไม่ออกว่าเป็นรอยเท้าของสัตว์ประเภทไหน มีรอยเหมือนของมีคมครูดไปกับพื้นหลายรอย บางรอยอยู่บนต้นไม้ด้วย
"หมวดว่าเราเจอสาเหตุที่หมู่กะเพราทมิฬไม่กลับมาแล้วหละ รอยพวกนี้ไม่เหมือนสัตว์ทั่วไป พนันได้เลยว่าไม่แพ้ไอ้ตัวเมื่อคืนแน่ๆ"หมวดหันหน้ามาพูด หน้าของเขาแสดงถึงความจริงจัง
"ทุกคน เตรียมปะทะ มันอาจอยู่แถวๆนี้ก็ได้"จ่าปลาเตือนทุกคนซึ่งนักข่าวทั้งสองเปิดกล้องไว้รอถ่ายตัวอะไรก็ตามที่โผ่ลมาอีก ไม่เพียงแค่นั้น ทั้งคู่พร้อมที่จะวิ่งแล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
"กึก กัก กึก"มีเสียงอะไรบางอย่างอยู่ในพุ่มไม้
"สูตรสำเร็จคือ คนร้ายมักจะกลับไปที่จุดก่อเหตุเสมอ และสัตว์นักล่ามักจะกลับมาป้วนเปี้ยนในบริเวณที่มันล่าเหยื่อได้"หมวดเอกพูดพร้อมหันปืนลูกซองไปยังทิศที่ได้ยินเสียง นิ้วยังไม่เข้าไกแต่พร้อมที่จะยิง
"โฮ่ง โอ่ง กรรร แฮ่ ฮึ่มมม"เจ้าฟองดูเห่าไล่เจ้าสิ่งที่อยู่หลังพุ่มไม้อย่างดุร้ายแววตาของมันบ่งบอกว่าคราวนี้มันเอาจริง สิ่งที่อยู่หลังพุ่มไม้น่าจะมีขนาดไม่ใหญ่เกินความสามารถมัน ในพุ่มไม้มีการเคลื่อนไหวไปมาอย่างต่อเนื่อง เสียงเห่าของเจ้าฟองดูดังขึ้นเรื่อยๆตามการเคลื่อนไหว ไม่ว่าในแมกไม้สีเขียวดกหนานั้นจะเป็นอะไรก็ตาม มันน่าจะรับมือง่ายกว่าเจ้าตุ๊กแกไซส์ไม่ธรรมดาแน่นอน
"จิ๊ก จิด กะ แก๊ก จิ"เสียงดังออกมาจากพุ่มไม้ก่อนที่เจ้าสิ่งที่อยู่ในพุ่มไม้พุ่งออกจากที่กำบังขึ้นต้นไม้ด้วยความเร็วสูงจนเห็นเพียงเงาดำๆเท่านั้น จากขนาดของมันตัวไม่ใหญ่นัก
"โฮ่ง โฮ่ว แง่ง แฮร่ แง่งๆ"เจ้าหมาสีน้ำตาลเหลืองรีบออกตัวไปประจำตำแหน่งใต้ต้นไม้ด้วยเกียร์หมาก่อนจะเห่าใส่เจ้าสิ่งที่หนีไปอย่างจริงจัง เสียงคำรามอย่างมุ่งร้ายดังสนั่นไปทั่วบริเวณจนทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เอาเจ้าสัตว์สี่ขาตัวนี้เข้าเป็นสมาชิกใหม่
"ว่าแต่ ไอ้ตัวตะกี๊มันตัวอะไรฟะ ขนาดใกล้เคียงกับแมวเลย"หมวดมองตามเจ้าสัตว์ตัวนั้นไม่ทัน มันเร็วมากจริงๆ
"ผมว่าช่างมันเถอะ เราไม่ควรสนใจอะไรที่ไร้สาระอย่างสัตว์เล็กสัตว์น้อยริมทางนะ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ใช่หนูน้อยหมวกแดง จะได้เอาเวลาเยื่ยมคุนยายไปโลกสวยเก็บดอกไม้ตลอดทาง"หมู่โบกี้เริ่มรู้สึกเสียเวลา เสียเวลากับของแบบนี้สู้เอาเวลาไปก่อกวนหรือคุยเล่นซะยังดีกว่า
"ก่อนอื่น ทำให้ไอ้หมาปากเปราะตัวนี้เงียบก่อนดีกว่า แค่นี้เค้าก็รู้กันทั้งบางแล้วว่าเราอยู่ที่นี่ ดีไม่ดีไอ้เวรจากเขาช้างล้มจะแห่กันมา"กอล์ฟออกความเห็น
"ไม่ม้างงง มันจะมาหาเหาใส่หัว ชักศึกเข้าตัว มันไม่ใช่วิสัยของขโมยขโจรพวกนั้น มันน่าจะเปิดไปไกลแล้วหละอีแบบนี้เนี่ย"ชาติว่า
"มานี่ ไอ้ฟองดู หยุดเห่าได้แล้ว เงียบ"ตือพยายามสั่งเจ้าหมาให้หยุดเห่า
"งืดๆๆ"ฟองดูที่หยุดเห่าแล้วหันมาทำหน้าเศร้าเจ้าน้ำตา หมาตัวนี้เปลี่ยนอารมณ์ไวซะจนตั้งตัวไม่ทันเลยแหละ
"ดีมากกกก ดี เด็กดีนะฟองดู เดี๋ยวไว้มีอะไรค่อยเห่าใหม่ก็ยังไม่สายนะ"ไอ้ตือพูดกับฟองดู ราวกับว่าฟองดูมันจะรู้ภาษาคนยังไงอย่างงั้น ทำเอาหมู่โบกี้ทำหน้าหมั่นไส้เพราะความรักหมาสไตล์โอเวอร์ของไอ้ตือ แต่ถึงยังไงการมีคนที่คุมหมาได้ในกลุ่มก็ถือเป็นเรื่องดี
"ว่าแต่ จากร่องรอยพวกนี้ หมู่กะเพราทมิฬยังไม่ได้งัดไม้เด็ดประจำหน่วยออกมาใช้เลยนะ HK33 ยังไม่ได้ถูกเอาออกมาใช้ แสดงว่าเจ้าตัวที่หมู่กะเพราทมิฬสู้ด้วย น่าจะเอาอยู่ด้วยปืนลูกซอง จากรอยเท้ามันตัวก็ไม่น่าจะใหญ่มากแต่ จากรูปแบบของเหตุการแล้วประเมินได้ว่า ไอ้จั่วน่าจะไปทำอะไรซักอย่างหลังพุ่มไม้ แต่ระหว่างที่กำลังเผลอ น่าจะโดนไอ้ตัวที่ว่าลอบทำร้ายจึงไม่สามารถยิงป้องกันตัวได้ สังเกตุได้จากบริเวณนั้นไม่มีร่องรอยกระสุนลูกซอง ประเมินว่าไอ้สัตว์ตัวนั้นต้องเป็นสัตว์ที่มีความเร็วสูงพอที่จะเข้าถึงเจ้าหน้าที่โดยไม่โดนตอบโต้ก่อนไม่ก็เป็นสัตว์ที่ถนัดซุ่มโจมตีเหยื่อ นอกจากนั้นมันต้องแข็งแรงพอที่จะลากเหยื่อได้ด้วย พอไอ้จั่วโดนทำร้ายน่าจะยังไม่ตาย เสียงร้องของเขาน่าจะเรียกพวกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆมาและสู้กับไอ้ตัวนั้น จากร่องรอยกระสุนลูกซองเห็นได้ชัดว่ามันหลบได้หลายนัดอยู่ และรอยลากที่หายไปคือตัวบ่งชี้ว่ามีคนพาไอ้จั่วไปแล้ว เดาว่าหมู่กะเพราทมิฬยิงไม่โดนจังๆมันเลยไม่ตาย มันเจ็บก็เลยหนี และหมู่กะเพราทมิฬก็ออกเดินทางต่อ คาดว่าน่าจะหาที่พักให้จั่วรักษาตัว และคาดว่า ที่พักนั้นอยู่ไม่ไกลจากหนองเห็ดกระสือซักเท่าไหร่ เราควรจะรีบตามไปสมทบ"หมวดเอกวิเคราะห์สถาณะการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม สมกับที่มียศถึงนายร้อยทีเดียวเชียวหละ ระหว่างที่กำลังอธิบายหมวดเอกก็ทำหน้าเคร่งขรึมจนดูเท่ราวกับวิญญาณเซอร์ล็อก โฮลม์ เข้าสิง ระหว่างที่กำลังพล่ามอย่างออกรส ผู้คนรอบด้านของเขาก็เงียบกริบเหลือแต่เพียงเสียงของธรรมชาติรอบกายและเสียง ติ๊ด เบาๆจากกล้องถ่ายวีดีโอความคมชัดถึงเซลล์หนังกำพร้าอันนั้น แม้แต่เจ้าฟองดูยังอ้าปากหวอมองตาค้างอยู่กับที่
"เฉียบขาด เท่วัวตายควายล้ม หล่อจนหมอศัลยกรรมต้องกลับไปเรียนสุขศึกษาใหม่ ยอมใจจริงๆหมวดคนนี้"โบกี้ยกนิ้วให้ด้วยความนับถือ ตามจริงคือเขากำลังใช้ทักษะ เทคนิคการปูทางสู่การเลื่อนขั้นด้วยปาก
"นี่คือการสันนิฐานจากร่องรอยอย่างมืออาชีพที่เจ้าหน้าที่พบเจอค่ะ มีอะไรจะพูดอีกมั้ยคะ"เนยซึ่งกำลังพูดหน้ากล้องเอาไมค์ไปจ่อปากหมวดเอกทันที
"เราควรตามหาหมู่กะเพราทมิฬให้เร็วที่สุด"หมวดพูดอย่างรวดเร็ว เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขารีบแค่ไหน
"คัต"สมบัติปิดกล้องอย่างไวแล้วเดินตามคนอื่นๆไป
"อีกไม่ไกลแล้ว เดี๋ยวเราก็จะถึงหนองเห็ดกระสือ สิ่งที่ผมแนะนำคือ ถ้าเห็นฟองอากาศในหนองน้ำให้รีบแจ้งเราทันที มี2สาเหตุที่จะทำให้เกิดฟองอากาศแบบนั้นคือ มีจระเข้ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำและอีกอย่างคือ แก๊สมีเทนที่เกิดจากการย่อยสลายของซากสิ่งมีชีวิตอยู่ก้นบึงกำลังลอยตัวขึ้นมา ถ้ามันติดไฟขึ้นมา ตู้มมมมม เป็นกาก้าครันช์ เละเทะ"หมู่โบกี้อธิบายก่อนที่จะเข้าสู่หนองน้ำเน่า
"เยี่ยมจริงๆ ถ้าตุ๊กแกกลายเป็นขนาดนั้นแล้ว จระเข้จะตัวขนาดไหนเนี่ย ไปๆมาๆเดี๋ยวเราจะได้ลุยกับก๊อดซิลล่าจริงๆซะแล้ว"กอล์ฟบ่น
"สกู๊ปเด็ดเกี่ยวกับสัตว์ร้ายตัวเท่าก๊อดซิลล่า รวยเละแน่เรา"เนยหันไปหาสมบัติ ในแววตาเปี่ยมไปด้วยความกระหายเงินตรา ชีวิตอันโหดร้ายที่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในวงการธุรกิจหล่อหลอมเธอให้เป็นแบบนั้น ยอมตายดีกว่ายอมจน
"แผลที่ขา ยังอยากได้อีกแผลเหรอ"สมบัติที่ด้านและกร้านต่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่คิดว่าการทำอะไรโดยไม่ประมาณตนเป็นสิ่งดี
"โฮ่ว โฮ่ง แฮร่ กรรรร แง่งๆ แง่"เจ้าฟองดูมีปฏิกิริยากับพุ่มไม้อีกครั้ง ตอนนี้สูตรสมการเคมีล่าสุดที่หมู่หมูมะนาวเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงคือ หมา+พุ่มไม้=เห่าไม่หยุดราวกับพุ่มไม้เคยไปข่มขืนบรรพบุรุษมัน โอกาศที่สูตรนี้จะประสบความสำเร็จคือ95%
"พอเหอะ น่ามคาน จะแมวป่าหรือกระรอกก็ปล่อยๆมันไปก็ได้ ซีเรียสทำไมวะ ไม่เคยเห็นกระรอกมาก่อนหรือไง ถ้าหิวมากเดี๋ยวตอนกลับไปจะหากระดูกหมูต้มให้กิน"กอล์ฟบ่น ถ้าหากรำคาญมากๆเข้า เจ้าหมามีสิทธิ์โดนฟันเหยินๆของเขาเฉาะทะลุหัวก็เป็นได้
ฉัวะ!!!!! เสียงเหมือนของมีคมตวัดเฉี่ยวเจ้าหมาขนฟูจนขนสีน้ำตาลเหลืองของมันร่วงเป็นแถบ ยังดีที่ไม่เข้าเนื้อไม่งั้น... รอยถากที่สีข้างทำให้มันดูเหมือนโดนตัดขนโดยเจ้านายไร้ฝีมือ ด้วยความเร็วของเจ้าฟองดูทำให้มันรอดจากคมของวัตถุปริศนาไปฉิวเฉียด เมื่อคมของสิ่งนั้นเหวี่ยงออกมาจากพุ่มไม้ระรอกสอง เจ้าหมาก็แสดงความสามารถด้านการกระโดดสูงทะยานขึ้นเกาะอยู่บนหัวของจ่าปลาอย่างแม่นยำ ถ้ามันเป็นคนมันคงได้เป็นนักชู๊ตมือทองโยนลูกบาสลงห่วงฟุบๆเป็นว่าเล่น
"เหงง อิ๋ง เอ๋งๆ งิดๆ แอ๋งง อุ๋ง หงิงง"มันพยายามสื่อสารสุดความสามารถ เสียงครางด้วยความตื่นกลัวของมัน หางที่สอดเข้าระหว่างขาของมันเสียบเข้ารูจมูกของจ่าปลาพอดี
"ไอ้หมาบ้า แกเป็นอะไรของแกว่ะ โอ๊ย หางเข้าจมูก ไอ้หมาโง่ หยุดเดี๋ยวนี้"จ่าปลาโวยวาย เจ้าหมาตัวสั่นงกๆๆๆร้องครางไม่หยุด ระหว่างที่จ่ากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับฟองดูอยู่นั้น คนอื่นๆก็สังเกตุเห็นรอยของมีคมที่ขูดไปกับพื้นตรงที่ฟองดูเคยยืนอยู่ เจ้าตัวอะไรก็ตามที่เคยโจมตีหมู่กะเพราทมิฬ ปรากฎตัวขึ้นมาแล้ว
ในที่สุดจ่าปลาก็สะบัดเจ้าฟองดูออกพ้นหัวในที่สุด
"ชิ้ว ชิ้ว ออกไปจากหัวช้านนน อย่า..."จ่าเหวี่ยงเจ้าหมากลับไปทางเดิมซึ่งก็คือพุ่มไม้ เจ้าตัวนั้นก็เคลื่อนไหว เจ้าหมากลัวสุดขีด รีเทิร์นกลับจุดเซฟเก่าซึ่งก็คือบนหัวจ่าปลาก่อนที่จะพูดจบด้วยซ้ำ
"แง้วววว หงิง เอ๋งงงง อิ๋ง หงอง"เจ้าหมาที่อะดีนารีนพุ่งเต็มพิกัดเกาะหัวจ่าปลาแน่น ขนทุกเส้นชี้ไปเส้นละทาง งวดนี้มันหลบมือของจ่าได้อย่างคล่องแคล่ว แต่จ่าเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ปืนลูกซองเดี่ยวลูกปลายเล็งไปยังเป้าหมายซึ่งก็คือพุ่มไม้ที่เจ้าฟองดูเห่าแล้วหนีออกมานั่นเอง
"กิ๊ด กิซซ กีดดดดดด กิซซซ"เสียงแหลมสูงปริศนาชวนปวดหัวดังออกมาจากพุ่มไม้ สิ่งมีชีวิตที่มีอวัยวะเหมือนใบมีดส่งสัญญานเตือนจากในพุ่มไม้ น่าแปลกที่ถ้าหากมันเป็นสัตว์ที่ชอบซุ่มโจมตี ทำไมมันถึงแสดงตัวให้ศัตรูรู้
จ่าปลาและฝ่ายเจ้าหน้าที่ทุกคนเหงื่อแตก เมื่อคืนพึ่งผ่านฝันร้ายที่เป็นจริงมาหมาดๆวันนี้ ยังไม่เที่ยงเลย กลับต้องเผชิญกับสัตว์ร้ายวิปริตอีกตัว นัดข่าวทั้งสองตั้งกล้องเตรียมถ่ายอะไรก็ตามที่โผ่ลออกมา อสูรกายเหล่านี้คือตัวทำเงินเกรดเอสำหรับนักหาข่าวแต่มันคือความเป็นความตายสำหรับเจ้าหน้าที่ จ่าปลาที่เล็งอาวุธประจำกายไปยังพุ่มไม้ดกหนาที่เคลื่อนไหวน้อยๆนั้นส่งสัญญานให้หมวดว่า
(จะใช้HK33เลยดีไหม)
(ไม่ นี่ยังไม่ถึงครึ่งทาง เราต้องต่อกรกับอะไรอีกยังไม่รู้ เราต้องเก็บไม้เด็ดไว้ตอนเจอตอ)
(เค)
ในสภาพโดยรอบตอนนี้ทุกคนเกร็งเป็นหินไปหมด ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจจนกระทั่ง ได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงของมันเหมือนน้ำจากสายฉีดเล็กๆ ทันใดนั้นเธอก็เริมรู้สึกเปียก เปียกเกินกว่าที่จะเป็นเหงื่อ ทันใดนั้น หมู่โบกี้ก็ทำท่าเหมือนกลั้นหัวเราะสุดชีวิต แล้วเธอก็เริ่มได้กลิ่นเหมือนแอมโมเนีย เพียงเท่านี้ เธอก็รู้สถานการณ์ในทันที
"ฟ ฟะ ฟองดู นี่ แกร ..."จ่าปลาพูดเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับแผ่ออร่าแห่งโทสะ ราวกับทุกชีวิตในรัศมีถูกเปลวรัศมีแห่งความหายนะเผาผลาญ เหมือนเห็นพื้นดินที่เธอเหยี่ยบแตกระแหงและต้นไม้ใบหญ้าค่อยๆเหยี่ยวเฉายืนต้นตาย เจ้าหมาขนฟูที่กำลังเกาะจุดเซฟที่ไม่เซฟอีกต่อไปรู้ตัวแล้วว่าถึงฆาต มันยิ้มแหยๆก่อนจะตอบว่า
"อิ๋ง อิ๋ง งีด แฮะ แหะ งุด หงิง(เค้าขอโทษ เค้ากลัวจริงๆเลยอั้นไม่อยู่)"นี่อาจเป็นเสียงสุดท้ายของมัน
แพ๊รดดดด!!! ปู้ด ป้าด ปุ๋ง แป๊ด แปด แปด แปร๊ด เสียงสยองอีกชุดดังออกมาจากบั้นท้ายของเจ้าหมา หูรูดของมันทำพิษอีกแล้วเวลาที่มันได้รับแรงกดดันหรือกลัวสุดชีวิต หางของมันแข็งเสียจนน่ากลัวแถมร่างของมันคล้ายกับเป็นอัมพาต หน้าตาของมันตื่นกลัวสุดขีด นี่เป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของมัน
ไอ้ตือกระซิบเบาๆให้มันว่า
"ไปสู่สุขตินะ ฟองดู"
"แก ไอ้ หมา เลวววววววววว อย่า อยู่ เลยยยยยยย"
เสียงของใครบางคนที่หัวกบาลถูกชโลมด้วยน้ำสีเหลืองและเนื้อน้ำตาลดังลั่นกึกก้องไปทั่วหุบเขาดงโขมดเย็น จนแม้แต่ที่กองพันยังคิดว่าคลังแสงเถื่อนที่ซ่อนอยู่กลางป่าเกิดระเบิดขึ้นมา
|
|