|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:19:59 GMT
10.trail to the tainted swamp : ทางสู่บึงที่แปดเปื่อน
กรรมคือผลจากการกระทำ อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว สัตว์สี่ขาตัวหนึ่งกำลังชดใช้กรรมของมันอย่างสาสม วัตถุอันตรายกึ่งแข็งกึ่งเหลวและน้ำสีเหลืองที่สุนัขมักจะใช้ในการแสดงอาณาเขตเปรอะเปื้อนเต็มหัวและหลังของจ่าหญิงแห่งหมู่หมูมะนาว(ซึ่งพึ่งมาเมื่อวาน) กลิ่นของมันช่างขมคอยิ่งนัก ความหวาดกลัวเกินงามและความบกพร่องของระบบขับถ่ายทำให้เจ้าหมาตัวนี้ก่อกรรมชั่วอย่างไม่ได้ตั้งใจและไม่น่าให้อภัย จุดที่มันเคยคิดว่าปลอดภัยที่สุดกลับกลายเป็นจุดที่อันตรายที่สุดไปซะดื่อๆ ตอนนี้เจ้าฟองดูกำลังร้องเสียงหลงระหว่างที่กำลังรับโทษข้อหาขับถ่ายรดหัวผู้บังคับบัญชา ร่างของมันกำลังลอยไปมาในอากาศแบบที่นกหรือค้างคาวไม่สามารถทำได้ ถึงแม้จะสำนึกผิดเต็มประตูแต่นั้นก็ไม่ช่วยให้มันรอดพ้นจากมาดามมัจจุราชตรงหน้านี้ไปได้ การลงทัณฑ์อย่างโหดร้ายดำเนินต่อไปแบบไม่สิ้นสุด
"เอ๋งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง"
ฟองดูร้องอย่างน่าอนาถ เสียงลากยาวเป็นเครื่องยืนยันสภาพของมันได้เป็นอย่างดี
"เอาไปอีก นี่ ท่าตบสะเทือนจักรวาล"จ่าปลาออกอาวุธใส่เจ้าหมานักโทษแบบจัดเต็ม ฟองดูโดนซัดกระเด็นไปไกลเป็นเมตร
"ต่อด้วย ลูกเตะแฮททริก"จ่าปลาออกสกิลตามด้วยการเตะ3ทีเข้าเป้าทุกเท้า
"อุกกกกกก"ฟองดูร้องเพราะจุก
"และนี่ กำปั้นผลาญวิญญานสุนัข"จ่าปลาเข้าประชิดด้วยการกลิ้งตัวความเร็วสูง ในจังหวะสุดท้าย จ่าก็ปล่อยหมัดอัดแก้มเจ้าหมาอย่างเต็มไม้เต็มมือ
"นี่ กีโยตินคอมแบ็ตเดินป่า"จ่าประเคนเท้าที่สวมอุปกรณ์หนักเป็นกิโลใส่เจ้าหมากลางหลัง ทำเอาได้ยินเสียงดังกร๊อบทีเดียว
"ลูกตุ้มทลายรีสอร์ต"จ่าใช้มือยันพื้นก่อนที่จะเหวี่ยงทั้งร่างกายขึ้นไปกลางอากาศแล้วอัดกระแทกเจ้าฟองดูเต็มๆ ณ จุดเดิม
"ศอกเสยชีวิตสิ้น"จ่าใช้ศอกงัดเจ้าฟองดูขึ้นสู่กลางเวหาพร้อมใช้ท่าโจมตีชุดต่อไป
"ปืนใหญ่ส้นเท้าดำ"จ่าจัดส้นเท้าสวมคอมแบ็ตที่มีเหล็กสำหรับเอาไว้เท้าชิดให้มีเสียง กระแทกเข้ากลางลำตัวฟองดูจนมันแทบอ้วก
"ลูกข่างทอร์นาโด"จ่าจับหมาเคราะห์ร้ายเหวี่ยงไปมาเป็นวงกลมโดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง ฟองดูคายอาหารมื้อสุดท้ายออกมาอย่างช่วยไม่ได้
"ปิดท้ายด้วย กระสุนทรมานสัตว์"จ่าใช้พลังเกินหญิงส่งร่างหมาขนฟูพุ่งทะยานแหวกอากาศเข้าสู่เป้าหมายเข้าอย่างจัง
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!
ร่างกายร่อแร่ของฟองดูอัดก๊อปปี้แบบรถประสานงาเข้าใส่เจ้าอสูรกายภายใต้เงาดำ สัตว์ประหลาดตัวสูงเท่าคนชะงักหลังจากเจอแรงปะทะของหมาที่มีความเร็วใกล้เคียงกับเสียง ด้วยความตกใจ สิ่งมีชีวิตตัวนั้นรีบหนีหายเข้าไปในป่ารกทึบอย่างไวปานวอก ทิ้็งไว้เพียงรอยเท้าเป็นขีดๆของมันเท่านั้น
"กิ๊ซซซซซ ก๊าซซซซ กิก กิก แกร็ก"มันร้องก่อนจะเร้นกายหายไปในป่าดงดิบ ร่างกายของมันเป็นสีเขียวใบไม้ ค่อนข้างผอมโปร่ง ความสูงประมาณเท่าคนเป็นสิ่งที่ช่วยให้เหล่าเจ้าหน้าที่มั่นใจว่า เจ้าสัตว์ตัวนี้ไม่ใช่สัตว์ปกติสามัญที่ควรจะเป็น
"เจ้าตัวนั่นมันตัวอะไรเนี่ย ดูแล้วคล้ายๆแมลงนะ สงสัยจะสัตว์ประหลาดอีกแล้วสิ"ชาติหันไปคุยกับกอล์ฟและตือ
"แป๊ปนึงนะ มันไม่ได้อยู่ในพุ่มไม้เหรอ"หมู่โบกี้รีบเตือนคนที่เหลือให้โฟกัสไปที่พุ่มไม้นั้น เมื่อหันไปมองปรากฎว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในพุ่มไม้ไม่อยู่แล้ว ถึงแม้จะเร็วแต่สัตว์ตัวนั้นไม่เร็วพอที่จะย้ายที่ฉับพลันจากในพุ่มไม้ไปอยู่อีกฟากนึงแน่ๆ
"มันอาจไม่ได้มีตัวเดียว"ตือเสนอความคิด ศัตรูตัวนี้อาจหากินเป็นฝูงก็ได้
"ใช่ มันไม่ได้มีตัวเดียว พุ่มไม้นั่นไม่ใหญ่พอที่จะให้ตัวอะไรก็ตามที่มีขนาดใหญ่อย่างนั้นได้เข้าไปอยู่ได้หรอก ตัวในพุ่มไม้เป็นตัวดึงดูดความสนใจ แล้วตัวใหญ่ค่อยๆย่องมาข้างหลังเราแบบไม่มีเสียง นี่เป็นวิธีการล่าแบบมีแบบแผน มันฉลาดไม่เบาทีเดียวเลย ต่อไปนี้เราต้องระวังหลังด้วยนะ สัตว์ที่เราเจอตัวนี้หากไม่ได้จ่าปลาช่วยจัดการเราอาจจะเสร็จมันไปแล้วก็ได้ จริงๆต้องยกความดีความชอบให้เจ้าฟองดูด้วย"หมวดเอกพูดอย่างใจเย็น ถึงแม้ภายนอกจะเยือกเย็นแต่ในสมองของเขากำลังคิดวิธีรับมือวายร้ายตัวต่อๆไปที่จะเจอในอนาคต เขาไม่อยากเสียลูกทีมไปไม่ว่าครั้งนี้หรือครั้งไหนๆ แต่สิ่งที่เขาต้องรับมือด้วยในการเดินทางครั้งนี้ไม่มีในหลักสูตรการต่อสู้ งานนี้จึงเสี่ยงชีวิตกว่าครั้งไหนๆ
"เออ อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ แต่ชั้นอยากไปอาบน้ำเต็มทนแล้ว ผลงานชิ้นโบว์ดำของไอ้หมาเลวมันทำให้ชั้นขยะแขยงตัวเองเต็มทน"จ่าปลาพูดกดเสียงแสดงถึงความไม่พอใจ แน่นอนว่าไม่มีใครพอใจที่มีอาวุธชีวภาพติดอยู่บนหัวหรอก เจ้าตัวการของเรื่องยังขยับตัวได้อยู่ก็รีบวิ่งไปหลบหลังหมู่โบกี้ที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าอย่าทำให้จ่าปลาโกรธ
"เดี๋ยวถึงหนองเห็ดกระสือได้อาบแน่ แต่หมวดมีความคิดที่ดีกว่านั้น เราสามารถอาบน้ำสะอาดได้ในป่านี้"หมวดเอกตอบก่อนที่จะเสนอไอเดียสุดบรรเจิดใหม่ล่าสุดของเขา
"เยี่ยมมมมม"จ่าปลายิ้มกว้างก่อนที่จะหันไปหาหมวด
"ก่อนถึงหนองเห็ดกระสือ จะมีดงไม้เล็กๆที่มีเถาวัลย์เต็มไปหมด ด้วยน้ำหนักของเถาวัลย์นั้นอาจทำให้ต้นไม้บริเวณนั้นโค่นก็เป็นได้ เราควรไปกำจัดเถาวัลย์ซะหน่อย ในไส้ของเถาวัลย์จะมีน้ำสะอาดอยู่เยอะทีเดียว น่าจะมากพอที่จะให้จ่าอาบน้ำได้ เราคิดว่าน่าจะไปเติมน้ำซักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ไอ้ตือดันซดน้ำหมดกระติกก่อนเวลาอันควร"หมวดเอกเสนอแผนการใหม่ ซึ่งบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาพยักหน้าหงึกๆไปตามๆกัน การไปเติมน้ำแล้วไปพักแถวๆนั้นน่าจะเป็นไอเดียที่ดี น่าจะไปถึงตอนเที่ยงพอดี มีน้ำสะอาดก็พอจะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ ที่สำคัญตรงน้นก็มีกิ่งไม้แห้งเยอะอยู่ ก่อกองไฟไม่น่ายาก
"เอาด้วย เราไปกินข้าวเที่ยงกันตรงนั้นก็ดีเหมือนกัน"กอล์ฟเห็นด้วย
"งั้นรออะไรอยู่ พ่อแม่ไม่มาตัดริบบิ้นถึงที่นี่หรอกนะ ไปดิ อยากอาบน้ำจะขาดใจตายแล้ว ขมคอ"จ่าปลาที่กระตือรือร้นเป็นพิเศษ รีบเตรียมของพร้อมเดินทาง ฟองดูที่พึ่งโดนซ้อมจ้องมองตาปริบๆ
"สงสัยเจ้าฟองดู def 99+ ชัวร์เลยรอดจากกีบควายพิฆาตได้"หมู่โบกี้ปากปีจอแบบไม่ดูเวร่ำเวลาอีกแล้ว ในความคิดของคนอื่นๆคือ รู้ว่าเสี่ยงแต่ต้องขอลองงงงงงง(ของ)
ดีที่จ่าปลาไม่มีอารมณ์จะมาต่อล้อต่อเถียงกับบุคคลที่มีชื่อเหมือนตู้รถไฟเพราะพึ่งออกอาวุธใส่เจ้าหมาตูดไม่มีหูรูดไปหมาดๆ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่เท่าการได้อาบน้ำหลังจากเจอวีรเวรวีรกรรมของสุนัขหน้าโง่
"หมู่ครับ อย่าเลย เรายังไม่อยากเสียหมู่ไป"ชาติปรามผู้บังคับบัญชาที่ไม่รู้กาละเทษะของตนเอง การเดินทางนี้ยังอีกยาวไกล มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่าเป้าหมายอยู่ไหนด้วย แต่การได้เจอกับเจ้าสัตว์ร้ายถึง2-3ตัวที่กล้าโจมตีมนุษย์แล้ว เรามาถูกทางแล้ว
ด้านนักข่าวทั้งสอง
"นี่สมบัติ ถ่ายเจ้าตัวนั้นได้หรือเปล่า"เนยถามพร้อมทำหน้าตื่นเต้น ได้ถ่ายตุ๊กแกยักษ์ตัวใหญ่ปานตะกวด ยังไม่พอ ยิ่งได้ภาพเจ้าสัตว์ร้ายในเงามืดด้วยหละก็ ไม่เลวเลยจริงๆ นับว่าคุ้มแลกกับโดนไอ้ตุ๊กเข้กัด
"แน่นอน มือระดับนี้แล้ว กล้องความคมชัดรุ่นนี้แล้ว ไม่มีพลาด"สมบัติพูดขณะที่กำลังชมผลงานตัวเองอยู่ ภาพของสัตว์รูปร่างคล้ายแมลงเวลาถ่ายด้วยกล้องนี้แล้วเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นตัวอะไร สิ่งที่อยู่ในภาพคือตั๊กแตนตำข้าวตัวสูงเท่าคน ขาคู่หน้าที่เหมือนเคียวคมกริบคือสิ่งที่ใช้โจมตีเจ้าฟองดูในตอนแรก นั่นทำให้บนมื้นมีรอยเหมือนของมีคมขูด ในภาพถ่ายมีตั๊กแตนตัวใหญ่หนึ่งตัวส่วนตัวเล็กที่หลอกล่อเจ้าฟองดูและเจ้าหน้าที่ในทีแรก ถ่ายไม่เห็นเพราะมันหลบหนีไปหลังพุ่มไม้ ร่างกายของตั๊กแตนตำข้าวตัวใหญ่นั้นผิดแผกไปจากตั๊กแตนตำข้าวตัวอื่นๆ ไม่เพียงแค่ขนาด นัยตาของมันไม่ใช่ตาแบบแมลงแต่คล้ายกับตาของคนผสมกับตาของแมลง ที่สำคัญ มันไม่ได้มี6ขาเหมือนแมลงแต่มันกลับมี4ขาแบบเดียวกับสัตว์มีกระดูกสันหลังหลายๆชนิด เคียวคู่หน้าและเท้าที่ใช้ยืนคู่หลัง สีเขียวใบไม้ของมันมีลวดลายแปลกๆซ่อนอยู่ ไม่เพียงความแตกต่างทางกายภาพเท่านั้น ลักษณะนิสัยของมันก็เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนจากหากินตัวเดียวกลายเป็นหากินเป็นคู่ มิหนำซ้ำยังรู้จักวางแผนการโจมตี นับว่าแปลกยิ่งกว่าตุ๊กแกยักษ์ซะอีก
"คิดว่าเจ้านายจะให้เราวซักเท่าไหร่สำหรับข้อมูลชุดนี้"เนยหันไปยิ้มกว้างอย่างมีความสุขเวลาคิดถึงรายได้ก้อนโตที่เธอจะได้จากการทำงานชิ้นนี้
"ต้องมากกว่าค่าวิ่งเต้นที่เราจ่ายไปแน่นอน"สมบัติเผยรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าเหลี่ยมๆของเขา จริงๆคนกร้านโลกอย่างเขาไม่ค่อยได้ยิ้มอย่างมีความสุขซักเท่าไหร่ แต่จำนวนเงินขั้นต่ำที่เขาคิดออกมาได้ทำให้เขายิ้มออกมา แต่รับรองได้ว่าระหว่างนี้ ภาพตุ๊กแกยักษ์กับตั๊กแตนตำข้าวประหลาดอาจเป็นแค่อินโทรถ้าเทียบกับภาพสัตว์มหัศจรรย์อื่นๆที่พวกเขาน่าจะเจอในอีกไม่นาน ลางสังหรบอกว่า หนองเห็ดกระสือที่เราจะไปนั้นต้องมีตัวอะไรเด็ดๆแน่
"อสูรกายตัวไหนกำลังรอเราอยู่น้าาาา"เนยพูดอย่างอารมณ์ดี
"ถ้าเจอจระเข้สีรุ้ง รับรองเราดังแน่ๆ"สมบัติพูดกวนๆ
"ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ถ้าเจอจริงเราดังแน่นะจ๊ะ"เนยยิ้มเกรียนๆตอบ แผลที่โดนกัดไม่ค่อยเจ็บแล้วแต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องอย่าให้มันเจอสิ่งสกปรก ถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมายุ่งแน่ๆ
"แล้วเที่ยงนี้เรากินไรดี"หมู่โบกี้เปิดประเด็นคุยกับบรรดาคนในสังกัดด้วยคำถามสุดคลาสสิคที่ไม่ว่าที่ไหนก็ต้องเคยได้ยิน ว่ากันว่าอาหารยอดนิยมของบรรดามนุษย์เงินเดือนและพนักงานออฟฟิศคือ อะไรดี แต่ตามจริงแล้ว มันเป็นอาหารยอดนิยมของคนแทบทุกวงการ แม้แต่ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ป่าไม้เองก็ตาม
"บะหมี่กึงสำเร็จรูป"ชาติตอบ
"ปลากระป๋อง"ตือตอบ
"ถั่วอบในซอสมะเขือเทศ"กอล์ฟตอบ
"ไม่มีเฟร้ยยยยยย"ชาติกับตือตบหัวกบาลกอล์ฟดัง แป๊ะ อย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา ในเวลาแบบนี้ อาหารสดๆเป็นสิ่งที่ต้องการมาก แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำตามภารกิจ ถ้าไม่มีเหตุการอะไรเป็นพิเศษ การกินอาหารที่พกเตรียมมาจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ การที่โบกี้ไปหามันเทศมาก็เป็นกรณีพิเศษเนื่องจากเจอระหว่างหาฟืนพอดี
"อยากกินกระรอกปิ้ง"ตือบ่น เขายังอยากกินไอ้อาหารสุดพิเศษที่ได้มาโดยบังเอิญจากการปฏิบัติการครั้งก่อน กระรอกปิ้งอร่อยจริงๆ ถึงจะดูโหดแต่ทำไงได้ มันอร่อยเกินห้ามใจแถมตอนนั้นเสบียงหมดพอดี ถือว่าเป็นห่วงโซ่อาหารก็แล้วกัน
"ไม่มีอะไรดีกว่างูหลามย่างไฟโรยพริกไทยหมักเครื่องเทศหอมๆแล้วหละ น่าเสียดาย ในหน้าที่แล้วต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ นึกถึงตอนอยู่หมู่บ้านที่ต่างจังหวัดเลย"หมู่โบกี้พูดขึ้นมา จากการเติบโตในชนบทอันกันดาร นั่นทำให้เขามีความสามารถในการหาของกินดีกว่าคนอื่นๆเสมอ ไม่มีอะไรที่ไม่อร่อยสำหรับเขายกเว้นอาหารฝีมือแม่ครัวที่กองพัน ยังสู้เด็กแถวบ้านไม่ได้เลย
"พูดแล้วหิว ในกระเป๋ามีแต่บะหมี่รสต้มยำทะเลเดือด หมูย่างน้ำตก ไก่ตุ๋นโสม ที่มีแต่ชื่อแถมรสชาติไม่ไกล้เคียงกับที่จ่าหน้าซองเลย"กอล์ฟบ่นกระปอดกระแปด
"หวังว่าระหว่างทางเราจะเจอต้นผลไม้อะไรที่กินได้นะ ถ้าเจอมะม่วง แหล่มเลย"ชาติพูดขึ้นลอยๆ แม้ว่าจะมีมะม่วงจริงๆ แต่มะม่วงในป่ารสชาติมักจะเปรี้ยวซะยังกับมะนาว
"ถ้าที่หนองเห็ดกระสือมีปลาหละก็นะ ไอ้ดุกย่าง น่าจะเยี่ยมเลย"แค่คิดถึงเนื้อเหนียวกำลังดีกับหนังเด้งดึ๋งๆชุ่มด้วยน้ำมัน และกลิ่นโคลนเบาๆไม่สาบมาก ก็ทำให้ไอ้ตือท้องร้องคำรามเหมือนท้องฟ้าก่อนฝนจะตก
"บ๊อก บ๊อก โฮ่งง บ๊อก"เจ้าฟองดูกำลังจินตนาการภาพกระดูกวัวที่มีเนื้อติดกระดูกเต็มไปหมดทำให้มันน้ำลายไหล หลายเดือนแล้วที่มันไม่ได้แทะกระดูกวัวอย่างที่มันชอบหลังจากน้ำท่วมใหญ่ มันต้องย้ายจากหลังซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งมีพนักงานมักจะเอากระดูกวัวแท่งใหญ่ที่เหลือจากการหั่นเนื้อโยนให้มันเสมอๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ น่าเสียดายที่ฟ้าฝนโหดร้ายกับมันเหลือเกิน เกือบเป็นอาหารจระเข้แล้วยังต้องพลัดถิ่นอีก
"เจ้านายเห็นแก่หน้า ขี้ข้าเห็นแก่กิน"จ่าปลาพูดอย่างเย็นชาใส่หมู่โบกี้ เอาคืนเรื่องเมื่อเช้า ไม่เพียงแต่ทำให้หมู่โบกี้ชะงักหน้าแตกเท่านั้น ทั้งวงสนทนาเหมือนโดนน้ำอุณภูมิติดลบสาดกลางแดดเปรี้ยงๆ แม้แต่เจ้าฟองดูยังหงอยสนิท สุดท้ายเรื่องปากท้องก็แพ้เรื่องอาบน้ำ
ณ กองพัน
"ฮัดเช่ยยยย ใครนินทาฟระ"สารวัตรเกรียงไกรที่กำลังสวาปาม บรันช์(กรุณาออกเสียง ช.ช้าง ชัดๆ)ซึ่งก็คือข้าวเช้าผสมข้าวเที่ยงหรือมื้อสายนั่นแหละ
"ไม่ทราบครับ"พลทหารคนสนิทตอบ
"ไม่ได้ถามแกโว้ย ไปตัดหญ้าหน้ากองพันซะ คราวนี้ไม่ต้องแอบกินด้วย"สารวัตรสวนกลับแบบเนียนๆ
กลับไปที่หุบเขาดงโขมดเย็น
"นั่นไงข้างหน้า ดงไม้เถาวัลย์ ไปอาบน้ำเลยจ่า"หมวดเอกอนุญาต การให้ลูกน้องมีความสุขบ้างเป็นหนึ่งในหน้าที่ที่ผู้บังคับบัญชาควรจะทำ ยิ่งลูกน้องรักโอกาศที่จะประสบความสำเร็จก็มีมาก หัวหน้าสายเข้มที่มีแต่คนเดลียดที่หมวดเอกรู้จักโดนปืนลั่นจาดผู้ใต้บังคับบัญชามาหลายคนแล้ว หมวดเองก็ยังไม่อยากไปสวัสดีรุ่นพี่ในเร็วๆนี้
"เยสสสส หนูรอเวลานี้มานานแล้วค่าาาา"จ่าปลากระดี้กระด้าคว้ามีดพร้าเดินฉับๆๆเข้าไปที่ดงไม้ ข้างกายมีฟองดูกระดี้กระด้าตาม
"ออกไปเดี๋ยวเน้!!! ถ้ายังไม่อยากเป็นหมาตัวแรกที่โดนส่งไปดาวอังคารด้วยรองเท้าคอมแบ็ต"จ่าปลาเข้าสู่โหมดนางพญาปีศาจทันตาเห็น แน่นอนว่าฟองดูยังไม่อยากเป็นหมาอวากาศ มันเลยถอยออกไปตั้งหลักหลังขาไอ้ตือแทน
"หงิงๆ แหงง โฮ่ง โฮ่ง บ๊อกๆ"มันประท้วง ทั้งๆที่ยังไม่ออกไปจากที่กำบัง
ฉัวะะะะะ!!!เสียงของมีคมตวัดแหวกอากาศสับเถาวัลย์3เส้นรวดจนขาดสะบั้นในทีเดียว มีดพร้ามีคุณสมบัติพิเศษเหมาะอย่างยิ่งในการตัดและสับเนื่องจากตัวใบมีดมีสรีระสำหรับเพิ่มแรงสำหรับสับ เช่นเดียวกับขวาน แต่ง่ายต่อการพกพามากกว่าและเบากว่า แต่สำหรับคนเหล่านี้มันเป็นเหมือนมีดเอนกประสงค์ สับ ตัด หัน เฉือน แทง เหลา ชำแหละ ฝน และ เหมาะสำหรับแคะขี้เล็บในเวลาที่ว่างจัด
"อ่าห์"จ่าครางอย่างพึงพอใจหลังจากที่น้ำประมาณ3ลิตรไหลผ่านร่างกาย ชะล้างความอัปยศที่เจ้าฟองดูทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าออกไปหลายส่วน น้ำสีเหลืองและเนื้อสีน้ำตาลค่อยๆถูกชำระล้างออกไปจากร่างกายและความทรงจำของหญิงแกร่งคนนี้ เมื่อโดนน้ำแล้วหนุ่มๆก็เห็นสัดส่วนของสาวน้อยอาบน้ำคนนี้ จริงๆเจ๊ปลาของเราก็หุ่นดีใช้ได้ อกเป็นอก เอวเป็นเอว หุ่นแบบหญิงนักกีฬา มีน้ำมีนวลไม่ผอมแห้ง เป็นผลมาจากการฝึกหนักไม่แพ้ผู้ชายของเธอ
"เหอ เหอ เหอ ดูๆไปก็จ๋วยใช่ย่อยยยย"หมู่โบกี้เริ่มปลดปล่อยจักระแห่งความหื่นด้วยปาก ทำเอาคนในสังกัดเสียววูบไปพร้อมๆกัน ด้วยพละกำลังดุจควายป่า...เออ หมายถึงคนสุขภาพดีของเธออาจจะทำให้หลายๆคนโดนลูกหลงไปก็ได้
หมวดเอกเองก็ไม่แฮปปี้กับตลกร้ายชวนสิ้นชีพของอดีตหัวหน้าหมู่นัก
"นี่ จะพูดจะจาอะไรก็ให้เกียรติคนอื่นเขาบ้าง เดี๋ยวเกิดตายขึ้นมาหมวดไม่ฝังให้นะ เอ่า จะไปเติมน้ำ กินข้าว หรือจะทำอะไรก็รีบๆทำซะ เดี๋ยวเราต้องไปบึงน้ำเน่าเห็ดบานกันแล้ว ตรงนั้นร่มๆ ไป ไป ปะ"หมวดเริ่มไล่ให้โบกี้แอนด์เฟรนด์ไปพัก
ดงไม้นี้เป็นไม้ยืนต้นราวๆ40ต้นขึ้นใกล้ๆกันเป็นกระจุก มีเถาวัลย์หลายร้อยเส้นพาดไปมาเต็มต้นไม้ไปหมด เถาแต่ละเถาก็ใช่ว่าจะเบาๆ หลายกิโลอยู่ เถาวัลย์จำนวนมากขนาดนั้นสามารถโค่นต้นไม้ใหญ่ๆได้เลย นี่แหละคือเหตุผลรองที่หมู่หมูมะนาวมาเยือนดงไม้แห่งนี้ การกำจัดเถาวัลย์ที่มากเกินงามสามารถช่วยชีวิตต้นไม้ได้ นอกจากนี้ บริเวณนี้ยังมีตอไม้ที่หลงเหลือจากการลักลอบตัดไม้อยู่หลายตอ เอาไว้นั่งกินข้าวได้เป็นอย่างดี มีแสงแดดส่องถึง แถมมีกิ่งไม้แห้งหลายกิ่งอยู่แถวนี้ด้วย เหมาะแก่การทำฟืนยิ่งนัก
"ไอ้ตือ เตรียมหม้อเลย(หมายถึงแก้วโลหะเล็กๆที่ครอบกระติกน้ำอยู่) เราจะกินอาหารจีนกลางป่ากัน บรรยากาศเหมาะแก่การปิกนิคยิ่งนัก และไอ้กอล์ฟ ไปเอาน้ำซิ เรามีน้ำสะอาดออร์แกนิกส่งตรงจากท่อเถาวัลย์"หมู่โบกี้ยืดเส้นยืดสายก่อนที่จะสำรวจบริเวณโดยรอบ ถ้าโชคดีอาจมีหน่อไม้อ่อนแถวๆนี้ให้เอามาต้มกินก็เป็นได้
"ครับ"ตือกับกอล์ฟรับคำก่อนจะไปทำตามหน้าที่ตนเองโดยไม่อิดออด(เรื่องปากท้องสำคัญที่ซู้ด) ตือรื้อเป้เดินป่าขนาดมาตรฐานอย่างเร่งรีบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่อยู่ในมือพร้อมฉีกและเทลงในหม้อกระจ้อยร่อย ส่วนกอล์ฟสับเถาวัลย์เส้นใหญ่ขาดในฉับเดียวก่อนที่จะเอาหม้ออันกระจิ๋วไปรองน้ำสะอาดใสแจ๋วที่ไหลออกมาจากเถา
"ชาติ ไปเก็บฟืน"หมู่สั่ง ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง ชาติก็ลุกไปเก็บฟืนอย่างเอื่อยเฉื่อย
"กระฉับกระเฉงหน่อย หมู่หิว"หมู่สั่งต่อ นั่นเพิ่มความเร็วให้ชาติขึ้นเล็กน้อย
หลังจากเดินไปเก็บฟืนได้หลายท่อนแล้ว ชาติก็เห็นอะไรบางอย่างที่น่าประหลาดใจ มันเป็นวัตถุลักษณะฟูฟ่องทรงรี เหมือนกับไจที่มีด้ายพันจนนูนเกินขนาด มันมีสีขาวขุ่นและมีขนาดใหญ่พอๆกับเก้าอี้เรียน เขารู้สึกว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ดีมากๆเกิดขึ้นถ้าหากอยู่ไกล้ๆเจ้าวัตถุประหลาดก้อนนั้น
"หมู่โบกี้ ผมเจออะไรก็ไม่รู้อยู่ตรงนั้น มันเหมือนขนมสายไหมสีขาวก้อนเบอเริ่มพันอยู่รอบต้นไม้แหนะ ผมว่าหมู่กับจ่าน่าจะไปดูหน่อยนะ ผมมีความรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆหากเราอยู่ต่อ"ชาติรายงานให้หมู่และคนอื่นๆฟัง ทุกคนทำหน้าเหลอหลาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
"จะบ้าเหรอ มันจะไปมีขนมสายไหมกลางป่ากลางเขาได้ไงวะ นี่แกนอนไม่พอเลยเบลอหรือป่าว ไป พาไปดูเดี๋ยวนี้เลย"หมุ่โบกี้พูดอย่างอารมณ์เสีย
"เดี๋ยวนะ หรือว่าจะเป็นดักแด้ยักษ์"จ่าปลาตั้งข้อสันนิฐาน
"เป็นไปได้ แต่ดักแด้ยักษ์แล้วไง เราจะเจอผีเสื้อยักษ์เหรอ"ตือพูด
"ไม่ได้มีเฉพาะผีเสื้อเท่านั้นที่มีระยะดักแด้ แมลงที่มีวงจรชีวิตแบบสมบูรณ์ทุกชนิดต้องผ่านระยะดักแด้"หมู่โบกี้อธิบาย แมลงยักษ์ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเจอในวันนี้แน่นอน ที่แย่สุดๆคือเวลามันมาเป็นฝูงนี่แหละ
หมู่โบกี้และจ่าปลาพร้อมกับไอ้ชาติก็ไปดูเจ้าสิ่งประหลาดด้วยกัน
ทันทีที่เห็นเจ้าวัตถุต้องสงสัยก้อนนั้นหมู่โบกี้ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เจ้าก้อนนั้นเป็นสัญญานบ่งชี้ว่า ที่นี่มีสัตว์ร้ายผิดปรกติอยู่
"ดูล้วสัตว์ที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ก็มีแต่แมลงเท่านั้น ขนาดของเจ้าก้อนนี้ มันทำให้จ่าเดาขนาดโตเต็มวัยได้เลยแหละ แต่ดูยังไงมันก็ไม่เหมือนดักแด้นะ"จ่าปลาอธิบาย
"หมู่ว่า หมู่รู้แล้วหละว่ามันคืออะไร รีบกลับด่วน เราเจอปัญหาใหญ่แล้ว"หมู่โบกี้ตาลีตาเหลือกรีบกลับจุดรวมพลทันที
"มันคืออะไร"ชาติถาม
"มันไม่ใช่ดักแด้ มันคือไข่ แล้วแมลงชนิดเดียวที่วางไข่แบบนี้คือ..."หมู่โบกี้ยังพูดไม่จบ เจ้าตัวก็ปรากฎกายสีเขียวใบไม้และอวัยวะคมกริบออกมา
"เหวอออออ"
ทุกคนร้องออกมา เบื่องหน้าของหมู่หมูมะนาวและสองนักข่าวคือ แมลงยักษ์ตัวสูงเท่าคนสีเขียวกลมกลืนไปกับผืนป่า มีขาแค่4ขา ขาคู่หน้ามีลักษณะเหมือนเคียว ตั๊กแตนตำข้าวยักษ์กลายพันธุ์ เจ้าตัวที่เคยต่อสู้กับหมู่กะเพราทมิฬมาแล้ว และตอนนี้ รังของมันถูกบุกรุกโดยมนุษย์8คนและหมาอีก1ตัว สัตว์ป่าจะน่ากลัวที่สุดตอนที่มันรู้ว่าลูกของมันตกอยู่ในอันตราย ถึงตอนนั้น แม้แต่หมายังเข้าต่อสู้กับเสืออย่างไม่ลังเลเพื่อปกป้องลูก
"กิ๊ซซซซซ ก๊าซซซซซซซซซ"มันร้องด้วยเสียงอย่างแมลง มันกำลังข่มขู่คู่ต่อสู้ก่อนที่จะหาช่องว่างโจมตี ตั๊กแตนอีกตัวที่ตัวเล็กกว่าก็ขยับกายเข้ามายืนเคียงข้างตัวใหญ่ มันเป็นคู่รักกันนั่นเอง แปลกที่ทำไมตัวเมียยังไม่กินตัวผู้ทั้งๆที่ปกติมันจะกินตัวผู้หลังจากผสมพันธุ์เสร็จ
"หลบเร็ว"หมวดสั่งก่อนจะคว้าอาวุธประจำกายเล็งไปที่กลางลำตัวของอสูรกายร่างใหญ่ตรงหน้า คนอื่นๆก็คว้าปืนลูกซองเดี่ยวประจำตัวขึ้นพร้อมต่อสู้ ทางนักข่าวเองก็ไม่น้อยหน้ายกกล้องขึ้นถ่ายภาพและวีดีโออย่างชำนาญ ตั๊กแตนไม่ใช่แมลงปีกแข็ง ร่างกายที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความเสียหายและความเร็วไม่ได้มีการป้องกันอาวุธระยะไกลที่ดีนัก ปืนลูกซองเดี่ยวน่าจะแรงพอที่จะปราบแมลงอันตรายเบื้องหน้าได้หากยิงโดน
"กิ๊ซซซซซซ"มันเงื้อขาหน้าข้างขวาที่เหมือนเคียวเตรียมเสียบอริตรงหน้า
ฉึก!!!!!ขาข้างนั้นปักลงบนพื้นดินจนแน่น ชาติกลิ้งหลบการโจมตีนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น แต่หากพลาดขึ้นมานี่ หมอไม่รับเย็บ
"ก๊าซซซซซ"มันตวัดขาอีกข้างใส่หมู่โบกี้แต่หมู่เอาปืนลูกซองบังเคียวมรณะได้พอดี เนื้อหรือจะสู้เหล็กได้ เคียวคมกริบทำได้เพียงแค่รอยขนขีดข่วนเล็กๆบนปืนลูกซอง ลักษณะอวัยวะของมันทำให้น้ำหนักโจมตีไม่เหมาะสมกับการต่อสู้กับศัตรูขนาดใหญ่
เปรี้ยงงงงงง อาวุธร้ายทรงกระบอกแผดเสียงและกระสุนใส่เป้าหมาย แต่มีหรือที่สัตว์ร้ายตัวนี้จะยอมอยู่เฉยให้โดนยิงง่ายๆ จากการต่อสู้กับหมู่กะเพราทมิฬมาแล้วสอนมันว่า ระวังอาวุธทรงกระบอกในมือมนุษย์ให้ดี
ตั๊กแตนยักษ์เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าตั๊กแตนทั่วไปทำให้มีแรงต้านอากาศมากกว่าทำให้มันหลบไม่พ้น กระสุนลูกซองเจาะเข้าสู่ลำตัวผอมเพรียวของมัน สร้างรูเล็กๆและรอยไหม้บนร่างกายสีเขียวสดอย่างน่ากลัว เนื้อเยื่อของแมลงต่างจากของสัตว์มีกระดูกสันหลังโดยสิ้นเชิง ตุ๊กแกยักษ์อาจได้รับบาดเจ็บพอสมควรจากกระสุนลูกปลายแต่สำหรับตั๊กแตนแล้ว อาจร้ายแรงถึงชีวิตต่อให้เป็นตั๊กแตนตัวเท่าคนก็ตามที
"กี๊ ก๊าซ แกรก แกรก"ตั๊กแตนตำข้าวตัวนั้นกำลังโกรธสุดขีด มันดึงขาขวาหน้าขึ้นมาจากพื้นดินได้สำเร็จก่อนจะกวัดแกว่งเคียวคมๆของมันไปมาในอากาศ ดัง ควับ ควับ ควับ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ทำให้มันดูเหมือนเส้นสีขาวๆตวัดไปมากลางอากาศอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น มันแทงขาหน้าของมันใส่ตือกับหมู่โบกี้พร้อมๆกัน
เปรี้ยงงงงง!!!!กระสุนลูกซองขนาดเล็กทั้ง32นัดเจาะทะลุท้องแขนซ้ายของมัน เนื้อเยื่อของแมลงตามที่บอกไป ไม่เหนียวนัก ขาหน้าข้างนั้นโดนแรงอัดระเบิดจากปากกระบอกปืนในระยะประชิดอย่างแรงจนเกือบขาด ปล่อยให้ขาข้างนั้นห้อยร่องแร่งติดกับเนื้อเยื้อที่เหลือซึ่งไหม้เกรียม เลือดสีใสอย่างแมลงซึมออกมาจากบาดแผลหยดติ๋งๆเหมือนน้ำกลั่นหยดน้อยๆที่ไหลออกมาจากท่อเล็กๆ
แรงอัดของปืนลูกซองระยะประชิดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพียงแค่ดูขนาดกระบอกปืนก็รู้ พลังของปืนลูกซองขึ้นอยู่กับระยะทาง ยิ่งไกล้ยิ่งแรงเพราะเป็นการโจมตีแบบกระจาย ไม่เพียงแค่ทำให้ขาหน้าข้างนั้นฉีกขาด ร่างอันเพรียวบางนั้นกระเด็นออกไปประมาณ2-3เมตร ขาหลังของมันไม่แข็งแรงพอที่จะหยุดการกระเด็นได้ในทันที ขาเคียวของมันอีกข้างก็เอื่อมไม่ถึงเจ้าหน้าที่
"ก๊าซซซซซซ"มันแผดเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราด นอกจากถูกบุกรุกรังแล้วยังถูกทำร้ายจนสาหัส มันยอมไม่ได้ ตายเป็นตายยยยงานนี้
"อ๊ากกกกก"ขาข้างที่เหลือจิ้มเข้าที่ไหล่ขวาของชาติเป็นแผลลึก การเคลื่อนไหวเมื่อครู่เร็วเสียจนตาคนมองไม่ทัน เวลาเอาจริงมาถึงแล้ว
"แย้กกกกก"ไม่เพียงแค่ปักเคียวข้างเดียวลงบนไหล่เท่านั้น มันตวัดปลายเคียวออกด้านข้างจนแผลแทงลึกกลายเป็นแผลฉีกขาดอย่างรุนแรง ถึงไม่หนักหน่วงแต่เฉียบคม นี่คือวิธีการจู่โจมแบบตั๊กแตนตำข้าวแหละ
ดวงตาคู่โตของมันสะท้อนถึงความเกรี้ยวกราด มันซัดการโจมตีอีกระรอก คมเคียวของมันตวัดอย่างเอาเป็นเอาตายหมายจะเชือดเฉือนคู่ต่อสู้ตรงหน้าให้สิ้น ไอ้ชาติถอยมาตั้งหลักแล้ว จ่าปลากำลังหาทางปิดปากแผลที่ชุ่มไปด้วยเลือดอย่างรีบร้อน หมวดเอกเริ่มรู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไปแล้ว
"ล่อให้มันเอาขาหน้าปักต้นไม้ หยุดการเคลื่อนไหวมันซะ"หมวดเอกตะโกน
เปรี้ยงงง!!!ปืนลูกซองอีกชุดสาดใส่ขาหลัง2ข้างของมันอย่างจัง ขาอันเปราะบางขาดสะบั้นลงเหมือนกับต้นข้าวโดนเคียวตัด เลือดสีใส่สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ หมู่โบกี้คิดว่าการกำจัดขาคู่หลังเป็นวิธีที่จะหยุดการเคลื่อนไหวได้ดีที่สุด ซึ่งเป็นแบบนั้นจริงๆ ตั๊กแตนตัวโตล้มลงดิ้นพราดๆอยู่บนพื้นเพราะเสียการควบคุมร่างกาย
"เก็บของให้หมด เราจะไปเดี๋ยวนี้ ตั๊กแตนสิ้นฤทธิ์แล้วแต่เดี๋ยวมันต้องมีตัวอะไรโผ่ลมากินซากมันแน่นอน"หมวดเอกสั่งอย่างเฉียบขาด ทุกคนไม่มีใครอิดออดงี่เง่าหรือแม้แต่เสียงถอนหายใจก็ยังไม่มี ข้าวของเตรียมพร้อมสำหรับปิคนิกถูกเก็บกลับเข้าที่เดิมแทบจะในทันที ร่างกายของคนทุกคนในดงไม้เถาวัลย์วิ่งขวักไขว่เก็บข้าวของกันชุลมุนก่อนที่จะมายืนเรียงแถวหน้ากระดาน พร้อมออกเดินทาง ใกล้ๆกันมีตั๊กแตนตำข้าวตัวเท่าคนที่กำลังลากตัวเองอย่างทุลักทุเลเข้าหาเป้าหมายด้วยความเร็วเฉลี่ย2เมตรต่อชั่วโมงซึ่งถือว่าไม่เร็วมากไปกว่าหอยทากนัก
ตั๊กแตนตัวเล็กนั้นไปเฝ้ารังหน้าตาเหมือนกุ้งพันอ้อยสีขาวขุ่นเรียบร้อยแล้วจึงไม่มีใครเห็นมันอีก ถ้าไม่ไปเข้าไกล้รังมันนะ
"ไปที่หนองเห็ดกระสือเลย เราต้องฝ่ามันไปก่อนจะมืดนะ ลองคิดดูว่าถ้าเจอตัวแบบนี้อีกตอนกลางคืนมันจะเป็นยังไง"หมวดสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดูหล่อเฟี้ยวขึ้นในบันดล ทำเอาจ่าปลาเหงื่อไหลเลย
"ไป ไป ปายยย"หมวดสั่งก่อนที่ทุกคนในขบวนจะเดินตาม การเดินทางอย่างเร่งรีบมุ่งหน้าไปยังหนองเห็ดกระสือ ทุกคนยกเว้นหมวดเอกทำหน้าเซ็งสุดขีด ข้าวเที่ยงก็ไม่ได้กิน พักก็ไม่ได้พัก ดันมาเจอไอ้แมลงใหญ่เกินขนาดซะได้ น่าหงุดหงิดที่สุด ยังดีที่จ่าปลาล้างวัตถุอัปมงคลออกจากตัวเรียบร้อยแล้ว ไอ้ตือกำลังหิวจัดจนท้องใหญ่ๆของเขาเริ่มส่งเสียงคำรามอย่างน่ากลัว ชาติที่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วกำลังฝืนเดินทางด้วยแขนขวาที่ดูเหมือนจะใช้งานไม่ได้อีกนาน การใช้ปืนลูกซองด้วยมือข้างเดียวเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ นักข่าวทั้งสองยังได้ภาพเด็ดจากการต่อสู้ ภาพนี้ชัดกว่าภาพก่อนๆมาก เนยเองที่ได้รับบาดเจ็บจากตุ๊กแกที่ขาก็ยังฝืนเดินอย่างไม่ลดละ บึงมรณะข้างหน้าต้องมีอะไรแจ๋วๆอยู่แน่นอน
ถึงแม้หมู่หมูมะนาวจะผ่านการต่อสู้มาแล้วสองยก รอบแรกคือตุ๊กแก รอบต่อมาคือตั๊กแตนตำข้าว แต่รอบต่อๆไปนั้น อสูรกายไม่ทราบชนิดที่เหล่าผู้พิทักษ์แห่งพงไพรต้องเผชิญคงจะไม่ง่ายดายอย่างที่แล้วๆมา สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายไม่ได้มีตัวเดียวและมันย่อมใช้จำนวนให้เป็นประโยชน์แน่ๆ
ปีศาจร้ายแห่งหนองน้ำที่แปดเปื้อน มันกำลังรอ รอ รอ ใครก็ตามที่กล้าเข้ามาในจุดสังหารของมัน เหมือนจระเข้ที่ซ่อนกายในน้ำนิ่งไม่ไหวติง รอโจมตีในจังหวะที่เหมาะสม หอกดาบจากเบื้องหน้าป้องกันได้ ลูกธนูจากเงามืด ป้องกันไม่ได้
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:30:01 GMT
11.pest infested swamp : บึงแห่งสัตว์รังควาญ
หลังจากที่เดินทางมาประมาณ2ชั่วโมง ทุกคนก็เดินทางมาถึงหนองเห็ดกระสือ หนองน้ำเน่าขุ่นขลักที่อุดมไปด้วยตะไคร่น้ำนานาชนิดและพืชริมบึงนับร้อยสายพันธุ์ มีเห็ดจำนวนมากขึ้นอยู่รอบๆบึง น่าจะเป็นเห็ดกระสือหรือเห็ดเรืองแสงที่สามารถเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนยามค่ำคืน บนผิวน้ำนิ่งสนิทสีเขียวอื๋อที่เต็มไปด้วยพืชน้ำสารพัดรูปแบบและสาหร่ายมากมายมีขอนไม้ผุๆจำนวนมากลอยละล่องอยู่เต็มไปหมด พอเดาได้ว่าเป็นจระเข้แฝงตัวมาไม่มากก็น้อย มีกบเขียดและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอยู่ให้เห็นบ้างเป็นบางครั้ง แมลงมากมายบินว่อนอยู่เต็มบึงนี้ บนผิวนี้มีฟองฟอดดังปุด ปุด ปุด ให้เห็นหลายๆจุด ไม่จระเข้ก็ก๊าซมีเทนแน่ๆ ต้นไม้จำนวนมากที่ปกคลุมบริเวณนี้ล้วนแต่มีหญ้ามอสและพืชชั้นต่ำเกาะอยู่เต็มไปหมด มีเชื้อราสีขาวๆและส้มๆเกาะแทรกอยู่ในหมู่ตะใคร่น้ำน่าสะอิดสะเอียน หอยทากและปลิงเกาะกันอยู่บนพื้นผิวของพืชน้ำ บางครั้งจะเห็นปลาตัวสีขาวที่มีขีดเหลืองอ่อนข้างลำตัวฝ่าจอกแหนขึ้นมาฮุบกินแมลงที่เกาะอยู่บนผิวน้ำเช่นแมลงปอ ยุง และ จิงโจ้น้ำ กลิ่นเน่าเหม็นของน้ำนิ่งที่สมบูรณ์ไปด้วยแบคทีเรียและจุลินทรีย์ทำให้ใครหลายๆคนอุดจมูกกันอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่เจ้าฟองดูยังทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้กินหิน(หมามีความสามารถในการดมกลิ่นสูงกว่าคน400เท่า ลองคิดดูว่ามันทรมานกับกลิ่นเหม็นโฉ่ขนาดไหน) สภาพแวดล้อมแถวนี้ทำให้หลายๆคนหายหิวไปโดยปริยาย แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่เห็นว่าจะมีสัตว์ประหลาดตัวไหนอยู่ในบริเวณนี้เพราะเท่าที่เห็นก็มีแต่สัตว์ธรรมดาเต็มไปหมด ถึงจะเป็นสัตว์ธรรมดา แต่จระเข้ยาว4เมตรที่นอนอาบแดดเรียงรายกันเป็นทิวแถวอย่างสบายอารมณ์และงูเห่าหลายตัวที่กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ในบึงก็ไม่ใช่ตัวอะไรที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ชุดนี้อยากไปผูกมิตรด้วยเท่าไหร่
"หมวด อย่าบอกนะว่าจะให้เราว่ายฝ่าไอ้...พวกนี้ข้ามไป"หมู่โบกี้เหงื่อตก ถึงเขาจะว่ายน้ำเก่งอยู่แต่ การไปดำผุดดำว่ายกับงูเห่า จระเข้ และสารพัดพืชน้ำที่พร้อมจะพันแข้งพันขาเนี่ย ฆ่าตัวตายชัดๆ
"บ้าเหรอ เราจะอ้อมไปต่างหาก ที่ต้องมาก่อนมืดจะได้มองทางเห็น ปุดโธ่ ทำไมไม่ใช้สมองซะหน่อย ฝ่าไปเนี่ย เห็นมั้ย ฟองฟอดปุดๆๆ ในน้ำมีเข้กี่อีกตัวก็ไม่รู้ นี่ยังไม่นับไอ้ที่สแตนด์บายอีกเป็นสิบตรงนั้นนะ ลองลงไปได้พรุนเป็นหินพัมมิซ(หินอัคนีที่เป็นรูพรุนทั้งก้อน สามารถลอยน้ำได้)แน่ จริงๆบึงนี้กว้างมากแต่มีส่วนที่เป็นเนินดินอยู่ตรงคอขวด เราจะรีบผ่านตรงนั้นข้ามไป ถ้าจะอ้อมจริงๆแบบให้พ้นก็เป็นวัน ฉะนั้น ผ่านคอขวดแหละ"หมวดเอกบอกแผนการให้ทุกคนได้ยิน
"บึงนี้ ระบบนิเวทศ์สมบูรณ์มาก แบบนี้ต้องถ่าย"เนยยกกล้องติดกับขาตั้งแล้วถ่ายทัศนียภาพรอบด้านอย่างครบถ้วน นี่เป็นสิ่งที่ทั้งมหัศจรรย์และเลวร้ายในที่เดียวกัน หาไม่ได้ง่ายๆแน่ ลองคิดดูถ้าขายภาพพวกนี้ให้โรงฟอกหนังจระเข้หละก็ เฮแตกแน่(แน่นอนว่าเจ๊เนยลืมนึกถึงฟาร์มจระเข้ที่มีอยู่เยอะแยะเต็มประเทศไปซะสนิท)
"ไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มี ระวังตัวด้วย อาจมีเหตุการไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้"หมู่โบกี้เตือนคนอื่นๆ จากประสบการณ์เมื่อคืนและเมื่อตอนเที่ยง ยิ่งเข้ามาในป่าลึกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจอของแปลกประหลาดและอันตรายมากเท่านั้น เรื่องแปลกๆพวกนี้ต้องมีสาเหตุ และสาเหตุที่ว่ามันต้องอยู่ที่ไหนซักแห่งในป่าปิดแห่งนี้ ร่องรอยของมันคือสัตว์ประหลาดเหล่านี้ ยิ่งไกล้ยิ่งเยอะแถมยิ่งอันตรายอีก
"แล้วเราจะไปที่คอขวดเลยป่าวหรือจะนั่งกินข้าวกันก่อน"ตือถาม เขาเองก็หิวจะแย่แล้ว เสียงเหมือนเขตก่อสร้างดังมาจากพุงของเขาเป็นสัญญานแสดงถึงความหิว
"ถ้าอยู่กับที่ ไอ้พวกเข้มันก็แห่กันมาหนะสิ ยังไม่รู้ว่ามีตัวอะไรอยู่ในน้ำอีกบ้าง จริงๆแล้วน้ำขุ่นขนาดนี้แถมพืชน้ำปกคลุมหนาแน่นแบบนี้ให้จ่าเดานะ ต้องมีตัวอะไรที่ไม่เป็นมิตรอยู่ในน้ำแน่ๆ"จ่าปลาเดา ถึงจะชื่อปลาแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจ่าจะว่ายน้ำเก่งกว่าคนอื่นนะ
"ดูนั่น"หมู่โบกี้ชี้ไปที่ฝูงจระเข้แสนสำราญที่กำลังอาบแดดอยู่ หลังจากที่มันสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติได้ มันเริ่มแห่กันลงน้ำก่อนที่จะเหลือจระเข้บนบกแค่ไม่กี่ตัว จระเข้ที่ลงน้ำแล้วไม่ทิ้งสัญญานใดๆบนผิวน้ำให้เห็นว่ามันไปทางไหน พืชน้ำจำนวนมากขนาดนี้บดบังการมองเห็นทั้งหมด การที่เรารู้ว่ามีสัตว์เลื้อยคลานอันตรายสิบกว่าตัวดำอยู่ใต้น้ำโดยที่มองมันไม่เห็นเลยแม้แต่ตัวเดียวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสียวไส้ทีเดียว
"เรารีบไปดีกว่า อีกอย่าง ถ้าจระเข้โจมตีเรา ให้วิ่งออกให้ห่างจากน้ำมากที่สุด ระวังหัวและหางไว้ให้ดี ที่สำคัญ อย่าไว้ใจน้ำนิ่งเด็ดขาด อย่าเดินใกล้น้ำ"หมวดให้คำเสนอแนะกับคนอื่นๆ การโจมตีของจระเข้ส่วนมากเป็นการโจมตีแบบเฉียบพลัน ถ้ามันลากเราลงน้ำได้แล้ว โอกาศรอดแทบไม่มี
"กรรรร"เจ้าฟองดูขู่ใส่บึงน้ำ ท่าทางจะมีตัวอะไรเข้ามาไกล้
"ถอย"หมวดออกคำสั่งก่อนที่ทุกคนจะได้รับอันตราย ทุกคนถอยออกมาตั้งหลักทันที ฟองดูก็เช่นกัน
ซ่า...แปะ แปะ แปะ เสียงเดินของสัตว์เลื้อยคลานขึ้นมาจากน้ำแต่มันไม่ใช่จระเข้ มันคือตัวเงินตัวทองตัวไม่ใหญ่นัก เดินตัวเอียงขึ้นมาพร้อมปลาสวายตัวใหญ่ในปาก ก่อนที่มันจะขึ้นไปนอนผึ่งแดดอยู่บนโขดหินแห้งๆมีตะไคร่เล็กน้อย พร้อมกับกินมื้อบ่ายเรียบง่ายของมัน มันไม่สนใจผู้มาเยือนเลยแม้แต่น้อย สำหรับสัตว์เลือดเย็นตัวหนึ่งแล้ว จะมีอะไรเพอร์เฟคไปกว่ามีอาหารสดๆอยู่ในปากพร้อมที่นอนวีไอพีสุดสำราญที่แสงแดดส่องถึง แม้แต่เจ้าฟองดูยังเขม่นมันไม่เลิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปลาสวายตัวโตในปากมัน
"แฮ่ กรรรร แง่งๆๆๆๆๆๆ โฮ่งๆๆๆๆๆ"ฟองดูเริ่มทำตัวเหมือนติดเชื้อหมาบ้า กรณีนี้น่าจะเรียกว่าอยากแย่งของกินชาวบ้านชาวช่องมากกว่า นิสัยหมาๆแบบนี้สมกับเป็นหมาดี
"หยุดน่าฟองดู อายสัตว์อื่นเค้ามั้ย หิวก็ไปล่ามาเองสิ นิสัยยยย"หมู่โบกี้ตำหนิมัน
"อือออออ"มันครางในลำคอพร้อมกับจ้องหน้าหมู่ ส่งสายตาประมาณว่า(ผมเป็นหมาบ้านนะ หากินเองเป็นที่ไหนกัน)
"เออ คืนนี้เดี๋ยวหาอะไรให้กิน"หมู่ตอบส่งๆซึ่งทำให้หมาตะกละตัวนี้กระดิกหางอย่างมีความสุข แหม อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปฟัดกับไอ้ตัวเกล็ดวาวที่นอนอยู่ตรงนั้น ถ้าไปแย่งมื้อบ่ายมันอาจเจ็บตัวก็ได้ ดูเล็บมันสิ
"แล้ว ลองคิดๆดูนะ ทำไมต้องเป็นเราที่มาบุกป่าฝ่าดงมาหาไอ้อะไรก็ไม่รู้ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ ทำไมไม่ส่งตัวท๊อปๆอย่างหมู่เสือคาบบ้องมาหละ พวกนั้นเก่งกว่าเราตั้งเยอะ"ไอ้ชาติบ่น การเดินทางนานๆโดยมีแผลใหญ่เหวะหวะอยู่บนไหล่ไม่ใช่เรื่องดีเลย
"เค้าส่งเรามาลองเชิงไงไอ้งั่ง ใครเค้าจะใส่ไพ่ตายก้นหีบกันตั้งแต่เริ่มเล่า"กอล์ฟตอบแบบเซ็งๆ
"แล้วพอหมู่กะเพราทมิฬหายไป ทำไมเค้าไม่ส่งเรามาสองหมู่หละ หมู่หอยแครงลวกก็น่าจะมาด้วยนะมีอะไรจะได้ช่วยๆกัน"ชาติถามต่อ
"สารวัตรเราโง่เกินกว่าจะคิดได้ไง"กอล์ฟตอบพร้อมอมยิ้ม
"น่าจะเพราะเค้าอยากให้เราเข้าไปก่อนจะได้รู้สถานการณ์ เสร็จแล้วหอยแครงลวกก็เข้ามาซัพพอร์ต ถ้าส่งเข้ามาพร้อมกัน2หมู่จะทำให้ทั้ง2โทรมเร็ว แต่ส่งหมู่นึงมาก่อน อีกหมู่มาทีหลัง หมู่ที่มาทีหลังก็จะพร้อมกว่าไง"หมู่โบกี้อธิบายแผนการ
"นั่นคือเหตุผลที่เราต้องมาตะลอนๆอยู่ในป่า เจอสัตว์ประหลาด และต้องฝ่าบึงจระเข้กลิ่นชวนอ้วกเนี่ยนะ"จ่าปลาถาม
"ใช่ แต่ยังไงมะรืนนี้เค้าก็จะส่งหมู่หอยอครงลวกมาช่วย น่าจะพอช่วยได้บ้าง"หมู่โบกี้ตอบ ในใจหวังว่า ส่งมาตอนนี้เลย จะตายอยู่แล้ว
"แล้วเมื่อไหร่จะถึงคอขวดฟะ เนินดินที่ว่าแข็งแรงพอจะให้เราข้ามไปหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แถมไอ้เขร้ฝูงใหญ่กำลังตามเรามาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้"ตือบ่น เขาเริ่มโมโหหิว
"งั้น ดูนี่ซะ"หมู่โบกี้พูดพร้อมก้มตัวลงไปหยิบอะไรบางอยางบนพื้น
ขวับ! หมู่ปาก้อนหินขนาดประมาณผลส้มไปกลางหนองน้ำ ก้อนหินตกลงไปในน้ำดัง จ๋อม เท่านั้นแหละ สัตว์อัปมงคลทั้งบึกก็กรูกันไปอยู่ตรงจุดนั้นๆ เห็นเป็นจระเข้ ตะกวด งู และสัตว์น้ำหลายชนิดดำผุดดำว่ายอยู่กลางน้ำจนน้ำสีเขียวชวนแขยงพุ่งกระจายไปทุกทิศทาง ลองคิดดูว่าถ้าไม่ใช่ก้อนหินแต่เป็นคน สงสัยจะไม่เหลือซาก
"แถวนี้มีปิรันย่าด้วยเหรอ รุมซะ"กอล์ฟมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นกลางหนองน้ำ ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับพักร้อนชมธรรมชาติจริงๆ
"พี่สมบัติ ดูนี่สิ"เนยยื่นกล้องวีดีโอให้คู่หูดู ภาพที่จับได้ไม่ได้มีเพียงจระเข้ ตะกวด ปลา เท่านั้น ในวงชุลมุนมีตัวอะไรซักอย่างที่ดูแตกต่าง จระเข้มีสีเขียวขี้ม้า ตะกวดมีสีเทาหม่นอมเหลือง แต่เจ้าตัวประหลาดนั่นมีสีดำมะเมื่อมเป็นมันสะท้อนกับแสงแล้วเห็นเป็นสีรุ้งเหมือนถูกเคลือบด้วยน้ำมันดิบ มีหางเป็นใบพายลักษณะคลายตะหลิว ร่างกายเป็นข้อๆคล้ายกับไส้เดือน เจ้าสัตง์ตัวนี้มันคือตัวอะไรน้า
"หนอนน้ำกลายพันธ์ุมั้ง ท่าทางเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ภาพไม่เต็มตัวแบบนี้ไม่น่าสนใจเท่าไหร่หรอก"สมบัติตอบเสียงเนือยๆ
"นั่นไง เรามาถึงตรงคอขวดแล้ว"หมวดเอกบอกชาวคณะอย่างยินดี การได้ข้ามบึงน้ำอุบาทย์นี้ก่อนมืดนับเป็นเรื่องดี
การจะข้ามไปอีกฝั่งต้องผ่านเนินดินขนาดประมาณคันนาใหญ่ๆหน่อยความยาวราวๆสิบเมตร เนินดินมีลักษณะเป็นดินเหนียวปนๆกับดินร่วน บางส่วนไม่ปะติดปะต่อกัน มีพืชริมน้ำอย่างต้นอ้อและต้นกกขึ้นประปราย โดยรอบยังไม่เห็นว่ามีตัวอะไรเป็นอันตราย มีเขียดตัวนึงอยู่บนใบบัวกำลังกินแมลงปออยู่ สิ่งที่สะดุดตาคือ มีใบบัวใบใหญ่ลอยโดดเด่นอยู่กลางแม่น้ำมีดอกบัวด้วย คาดว่าเป็นบัวหลวง
"โบกี้ จัดดิ"หมวดมองหน้าหมู่ซึ่งทำให้หมู่โบกี้เข้าใจความหมายทันที
"ย่ะห์"หมู่โบกี้ปาก้อนหินก้อนใหญ่เท่าอิฐลงน้ำ ตกลงไปดัง จ๋อม แต่ไม่มีสัตว์หรือตัวอะไรมารุมเลย บริเวณนี้ไม่มีตัววายร้ายจ้องเราเลยเหรอ
"ปลอดภัย"หมวดบอกคนอื่นๆในหมู่หมูมะนาว
ถึงแม้จะไม่มีสัญญาณถึงภัยคุกคาม แต่หมวดเอกเองก็รู้สึกแปลกๆ มัน..มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแถวๆนี้แน่ๆ มันเงียบเกินไป
เงียบจนน่ากลัว
แต่หน้าที่ต้องเป็นหน้าที่
"หมวดนำเอง คุมเชิงด้วย เงียบแบบนี้อาจมีอะไรไม่คาดฝันก็ได้"หมวดเอกบอกคนอื่นๆพร้อมทำหน้าเคร่งขรึมแบบเวลาเครียดอีกแล้ว
"กรรรรร"เจ้าฟองดูเองก็รู้ว่ามันมีอะไรแปลกๆอยู่
หมวดเอกทำใจดีสู้บึงเดินก้าวขึ้นเนินดินนั้น แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมวดก็เริ่มอุ่นใจขึ้นนิดนึง แต่ความจริงจังยังคงไม่เปลี่ยนไป ในมือของหมวดไม่ใช่ปืนลูกซองแสนกระจอกอีกต่อไป HK-33ในสภาพพร้อมยิงอยู่ในมือหมวดเอก แน่นอนว่าลูกซองล้มจระเข้ไม่ได้ต่อให้จ่อยิงเพราะผิวเกล็ดหนาแข็งของมันที่ค่อนข้างทนทานต่อการโจมตี
"โฮ่งๆๆๆๆๆ"เจ้าฟองดูเห่าอย่างบ้าเลือดขึ้นทันที หัวใจของหมวดหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในใจคิดว่า เอาแล้วไง
ทิศที่ฟองดูเห่าเป็นเนินหินแสนสบายที่มีตะกวดตัวเดิมกำลังแทะปลาช่อนตัวโตอย่างเอร็ดอร่อย บนสีหน้ามันเห็นได้ชัดว่ากำลังยิ้มเยาะหมาผู้หิวโซอย่างน่าหมั่นไส้ มันแทะปลาต่ออย่างอารมณ์ดี มิหนำซ้ำยังแลบลิ้น2แฉกของมันใส่พร้อมกลอกลูกตาดำวาวของมันไปมา เป็นตะกวดที่กวนใช่ย่อยเลย
"แกนี่มัน ดูสถาณะการณ์บ้างก็ได้นะ ฟองดู"หมู่โบกี้ดุมัน แต่ก็ไม่ทำให้ฟองดูหายบ้า แล้วจู่ๆ มันก็หยุดเห่าไปโดยปริยาย
"หงิง หงิง"มันครางก่อนจะรีบวิ่งกลับไปหลบระหว่างขาไอ้ตือ ทุกคนงงอยู่ประมาณ5วิก่อนที่จ่าปลาจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
"หมวดระวัง"จ่าตะโกนก่อนที่จะสายเกินไป สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวในน้ำคือใบบัวหลวงที่มีดอกบัวติดอยู่ใบนั้น หมวดก็พึ่งสังเกตุว่า ใบบัวที่ปกติมักจะมีเป็นจำนวนมากๆ ทำไมถึงมีอยู่ใบเดียวโด่เด่
เปรี้ยง!!!กระสุนไรเฟิลจู่โจมหนึ่งนัดยิงใส่ใบบัวหลวงน่าสงสัยใบนั้นหลังจากนั้นใบบัวก็หยุดเคลื่อนไหวทันที น้ำขุ่นเหม็นตุๆสีเขียวตอนนี้มีสีแดงปนขึ้นมา มีบางอย่างอยู่ใต้ใบบัวนั้น แล้วมันมีเลือดสีแดง
"แฮร่ กรรรรร"เสียงหลายเสียงดังขึ้นมาจากหนองน้ำ จระเข้จำนวนหลายสิบตัวปรากฎกายเหนือน้ำก่อนจะพุ่งจู่โจมหมวดเอกอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยงงงง!!!!เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้สาดกระสุนลูกปลายขนาดเล็กใส่เจ้าอสูรกายสี่ขาเหล่านั้น เกล็ดแข็งๆทำให้การโจมตีไม่ได้ผลแต่สามารถทำให้สัตว์เลื้อยคลานปากยื่นเหล่านั้นชะงักได้
"ก๊าซซซซซซซซซซซซซซ!!!"
เสียงร้องคำรามกึกก้องกัมปนาถเป็นของเจ้าสัตว์ร้ายที่แฝงกายใต้ใบบัวใหญ่ยืนขึ้นด้วยสองขาหลัง จระเข้ขนาด7เมตรกว่าที่ห่อหุ้มด้วยเกล็ดสีเขียวเข้มแลดูเหมือนมรกตเจียระไนที่แข็งแกร่งดูดีมีราศียิ่งกว่าจระเข้ตัวใดในหนองเห็ดกระสือ ขาหน้าของมันดูคล้ายกับมือของมนุษย์จนน่ากลัว มือขวาของมันถือท่อนไม้หงิกงอเปียกโชกยาวเมตรครึ่งกวัดแกล่งไปมาราวกับอัศวินถือดาบโลหะคู่ใจ ปากที่ยื่นยาวและขบเคี่ยวเคี้ยวฟันแน่นของมันมีฟันสีขาวมุกนับร้อยซี่พร้อมที่จะฉีกกระชากเป้าหมายให้มลายสิ้นในทันที ดวงตาสีเหลืองอำพันแวววาวเป็นประกายหรี่ลงแสดงถึงอารมณ์ที่บูดสุดขีดจากการถูกทำร้าย ที่แปลกคือ ลูกตาดำมันไม่ได้เป็นขีดแนวตั้งเยี่ยงจระเข้และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ มันเป็นลูกตาดำกลมที่กลอกไปมาได้แบบของมนุษย์ หางยาวเหยียดที่เต็มไปด้วยแผงขรุขระเป็นสันคู่สีเขียวอ่อนที่ไล่จากลำคอไปถึงปลายหางตวัดไปมาอย่างมุ่งร้าย บนหัวอันขรุขระของมันมีใบบัวหลวงและดอกบัวสีชมพูอ่อนคลุมอยู่ดูคล้ายกับสตรีชั้นสูงที่ใส่หมวกปีกกว้างประดับด้วยดอกไม้สวยงาม บนใบบัวมีรอยแยกเล็กๆให้เป็นช่องสำหรับมองเห็น ไหล่กว้างของมันมีเลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกมา มันถูกกระสุนไรเฟิลสังหารยิงเข้าตรงนั้นนั่นเอง
บัดนี้ จอมอสูรกายเดรัจฉานแห่งบึงน้ำที่แปดเปื้อน บอสพญาจระเข้ยักษ์จ้าวแห่งหนองน้ำและพรรคพวกตัวฉกาจ ปรากฎกายขึ้นและพร้อมที่จะลุยกับผู้บุกรุกทั้ง9ชีวิตแล้ว มันคำรามเสียงทุ้มต่ำราวกับสัตว์ประหลาดยักษ์ด้วยพลังแห่งโทสะ ถืออาวุธคู่กายพร้อมหวดศัตรูให้ปลิวหายไปจากสายตาของมัน ร่างหนากำยำน่ากลัวของมันสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง สมควรไปพบจิตแพทย์อย่างยิ่ง...หมายถึงให้ไปเข้าคอร์สควบคุมอารมณ์
"กี้ กี้ กี้"เสียงแหลมสูงของสัตว์ประหลาดที่พุ่งขึ้นมาจากน้ำเน่าด้วยความเร็วซะจนจระเข้ยังอาย สัตว์ร้ายตัวใหญ่เท่าขวดน้ำสีดำเงาทั้งตัวที่มีปากแบบดูดพร้อมด้วยฟันแหลมซี่โต3ซี่วนอยู่ในปากทรงกลมเหมือนท่อพีวีซี ตาเล็กๆเหมือนเมล็ดถั่วลิสงสีแดงสดไร้ลูกตาดำของมันตัดกับผิวกายสีดำสนิท บนหัวมีหงอนสีเดียวกับตาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า3แฉกชี้ตั้งโด่เด่ ลำตัวที่เป็นข้อปล้องอ่อนนุ่มความยืดหยุ่นสูงทำให้มันสามารถพุ่งเข้าใส่เป้าหมายอย่างรวดเร็วได้ ต้องขอบคุณมัดกล้ามเนื้อทรงพลังที่ท้องของมัน(แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ ต้องเปลี่ยนเป็นสาปแช่งมากกว่า)
"เหวอ ปลิงบ้าอะไรเนี่ย ตัวใหญ่ยังกับกินหมูป่าเข้าไปทั้งตัว"ใช่แล้ว อสูรกายตัวเท่ามะเขือม่วงนี้คือปลิงหงอน สัตว์ร้ายไม่มีกระดูกสันหลังหน้าตาเหมือนถุงยางอนามัยชุบปิโตรเลียมที่สูบเลือดเหยื่อเพื่อประทังชีวิต ปรสิตขนาดมหึมาน่าทุเรศที่พร้อมจะก่อปัญหาให้กับอะไรก็ตามที่สันจรผ่านคันดินนี้
"เอานี่ไปกิน"เปรี้ยง!!!จ่าปลาสาดกระสุนลูกซองซึ่งใช้ไมได้ผลกับจระเข้โตเต็มวัย แต่สำหรับสัตว์ในไฟลัม แอนเนลิด้า ที่มีลำตัวอ่อนนุ่มและเป็นข้อปล้องแล้ว การสังหารปลิงยักษ์5ตัวต่อลูกซอง1นัดไม่ใช่เรื่องยากเลย
ปลิงหงอนหลายตัวปลิวกระจายไปหลายทาง เลือดสีแดงที่เหมือนสัตว์มีกระดูกสันหลังสาดกระเซ็นไปทั่วทิศทาง ชิ้นส่วนสีดำสนิทที่อ่อนนุ่มเหมือนชิ้นหมูสามชั้นตุ๋นกระเด็นและสะบัดไปมาเนื่องจากกล้ามเนื้อยังมีสัญญาณจากเส้นประสาทอยู่ เสียงกรีดร้องแหลมสูงเหมือนค้างค้าวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าดังเป็นระยะๆ
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือฝูงปลิงยังไม่หยุดการโจมตี เมื่อกี้เป็นแค่แนวหน้าเท่านั้น ปลิงตัวอื่นๆที่ได้กลิ่นเลือดเจือปนบนผิวน้ำสีเขียวขุ่นก็เริ่มตื่นตัว กองหนุนแห่งป่าพรุมรณะเริ่มทยอยกันมาทีละหลายสิบตัว หลังจากได้ยินเสียงคำรามศึกของพญาจระเข้ สัตว์ป่าหลายๆตัวก็เริ่มเข้ามาสมทบ รวมถึงสัตว์น้ำอันตรายที่แหวกว่ายฝ่าน้ำเน่าขึ้นมาขอส่วนแบ่งการโจมตี การรบเต็มรูปแบบระหว่างสารพัดสัตว์กลายพันธุ์สุดพิศดารกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้ง6นักข่าวอีก2พ่วงท้ายด้วยหมาพันธุ์ทางขนาดกลางอีกตัว
"กี้ กี้ กี้"ปลิงหงอนเผยตัวขึ้นมาจากหนองน้ำมากขึ้น บึงสีเขียวตอนนี้เต็มไปด้วยก้อนสีดำๆมีหงอนที่โผ่ลเต็มไปหมด สัตว์ประหลาดอื่นๆและจระเข้ขนาดใหญ่ปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงปลิงร้ายกาจ ปลิงหงอนไม่รอช้าพุ่งเข้าใส่เป้าหมายที่ไกล้ที่สุดนั่นคือหมวดเอกอย่างไม่ลดละ เหมือนกระสุนจากปากกระบอกปืนกลหนักขาทราย
ปรอดดด!!! ปรอดดดด!!! ปรอดดดดด!!! ปรอดดดดดดดด!!! เสียงปืนHK-33ยิงแบบออโตกราดไปทั่วทั้งหนองน้ำ ซากปลิงตัวแล้วตัวเล่าถูกปืนกลอานุภาพร้ายแรงฉีกกระชากจนสิ้นฤทธิ์แต่ถึงแม้ปืนจะแรง ก็รับการโจมตีทั้ง2ด้านไม่ได้ หมวดเอกถูกปลิง2-3ตัวเข้ากัดขาอย่างจัง ด้านหลังเองปลิงก็พุ่งมาฝังคมเขี้ยวซี่เท่าเขี้ยวหมาลงบนแผ่นหลังของหมวด เรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าบาดแผลรูปดาว3แฉกขนาดเท่าคุ๊กกี้ปีใหม่คือปลิงจะปล่อยสารที่ทำให้เลือดไหลไม่หยุดหลังจากกัดเป้าหมายได้สำเร็จ เพื่อให้มีเลือดไหลมาให้มันได้ดื่มกินอย่างไม่อั้น ปลิงตัวเท่าขวดสามารถทำให้คนเสียเลือดจนตายได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะปลิงสามารถดูดเลือดได้4-5เท่าของน้ำหนักตัว ยิ่งรุมกันหยั่งกับปิรันย่าแบบนี้ด้วยแล้ว...
"จ๊วบ ด๊วบ จ๊วบ"ลำตัวของปลิงกระเพื่อมไปมาตามแรงดูดอย่างน่ากลัว ตัวมันค่อยๆขยายร่างกายเป็นเมือกลื่นของมัน ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง จ่าปลาคงได้เป็นหัวหน้าหมู่แทนซึ่งหมู่โบกี้รับไม่ด้ายยยยย
ปลิงกลัวไฟ กลัวแอลกอฮอ น้ำเกลือ และ น้ำส้มสายชู กอล์ฟรีบยื่นท่อนไม้ที่พันผ้าเอาไว้ตรงปลายให้หมู่โบกี้ทันที คบเพลิงที่ยังไม่ได้จุดเตรียมไว้สำหรับเดินทางคืนนี้ถูกนำออกมาใช้ในกรณีฉุกเฉินอย่างการโจมตีโดยปลิง
"ยอดเยี่ยม หมวดผมมาช่วยแล้ววว"หมู่โบกี้จุดไฟที่ผ้าอย่างชำนาญ คบเพลิงลุกโชติช่วงในไม่กี่วินาทีเมื่อมีเชื้อเพลิงดีๆ
"ก๊าซซซซซซซซซ!!!!!"
พญาจระเข้ยักษ์ร้องอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นเปลวไฟจากคบเพลิง มันที่กำลังหาจังหวะโจมตีหมวดเอกอยู่(มีปืนอานุภาพร้ายแรงอยู่ต้องหาวิธีเข้าไปไม่งั้น7เมตรก็7เมตรเหอะ ไม่เหลือ)มันต้องการล้มคู่ต่อสู้ทีละคนเพื่อตัดกำลัง ฝูงปลิงจอมตะกละกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างดีเยี่ยม ไม่มีทางที่มันจะยอมให้ใครมาขวาง จระเข้สีมรกตตัวนี้ใช้มือข้างที่ว่างชี้ตรงไปที่หมู่โบกี้เป็นการสั่งให้สมุนจระเข้ตัวอื่นๆเข้าจัดการเป้าหมาย แต่ไม่ได้มีเพียงจระเข้เท่านั้นที่ทำตาม ปลาที่มีครีบหลังชี้โด่เด่เหมือนครีบของปลาสิงโตว่ายจากก้นบึงขึ้นมาถึงผิวน้ำแล้ว ร่างกายสีโคลนตัดกับดวงตาสีฟ้าใสแวววาวดูบ๊องแบ๊วของมันทำให้มันดูน่ารักไปอีกแบบ ปลาสีโคลนเหล่านั้นพองตัวขึ้นก่อนจะพ่นโคลนเหลวๆก้อนใหญ่ใส่หมู่โบกี้เป็นการขัดขวาง โคลนพวกนั้นก้อนใหญ่พอที่จะดับไฟได้ แล้วหมู่มีคบเพลิงแค่อันเดียว
"กรรรรร แง่ง แง่ง"จระเข้ตัวเขื่องสีเขียวขี้ม้าหลายตัวคลานขึ้นมาจากหนองน้ำเหม็นโฉ่ มันตะกุยเนินดินเตี้ยๆขึ้นมาขวางการเข้าไปช่วยของหมู่โบกี้ ปลาโคลนราวๆ8ตัวเข้ามาช่วยสมทบด้วยการพ่นโคลนผสมน้ำเน่าใส่หมู่โบกี้
"พวกเรา ยิงมันให้กระจุยเลย"จ่าปลาสั่งก่อนที่ ตือกับกอล์ฟจะช่วยกันพ่นกระสุนลูกซองเดี่ยวใส่เหล่าปลิงบางส่วนที่เปลี่ยนเป้าหมายกับฝูงปลาพ่นโคลนตาบ๊องแบ๊วแต่รายกาจไม่แพ้พรรคพวกของมัน นั่นทำให้สัตว์สติปัญญาต่ำถูกหลอกล่อให้ไปสู้กับจ่าปลาและพรรคพวกทั้ง2ได้ เมื่อไม่มีหน่วยดับเพลิงมุ้งมิ้ง จระเข้อีกหลายตัวต้องทำงานหนักขึ้นในการขัดขวางหมู่โบกี้ไม่ให้เอาไฟไปช่วยหมวดที่กำลังแย่เพราะปลิงร้าย ปลิงหงอนที่เกาะหมวดอยู่ค่อยๆพองตัวใหญ่ขึ้นทีละนิด ถ้าหากปล่อยให้มันมีขนาดเท่าลูกโป่งสวรรค์อัดก๊าซฮีเลียม หมวดไม่รอดแน่ สีดำสนิทของมันค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด อาหารสดๆที่มันกำลังดูดจากตัวเหยื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายน่าขยะแขยงของมัน
"โฮ่งๆๆ"เจ้าฟองดูเห่าอย่างกล้าหาญก่อนที่จะพุ่งตัวไปช่วยหมู่โบกี้ ด้วยความเร็วของสัตว์จำพวกหมาที่มีเหนือจระเข้ มันวิ่งลัดเลาะหลบการโจมตีจากในน้ำของจระเข้ มันหลบปลิงหงอนได้หลายตัวแต่พลาดท่าโดนปลิงตัวเล็กตัวนึงพุ่งมาโดนสีข้างทำให้มันเสียจังหวะ ดีที่ขนฟูๆของมันช่วยให้มันรอดจากคมเขี้ยวปลิงตัวนั้นมาได้ จระเข้ขนาด3เมตรตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาหมายจะกัดเข้ากลางลำตัวเจ้าฟองดู
"กรรรร แก๊บ"ใช่มันกัดพลาด ฟองดูกระโดดขึ้นไปบนหลังของสัตว์เลื้อยคลานแห่งบึงน้ำ หลบการโจมตีระรอกต่อมาของจระเข้ตัวอื่นแต่แล้วความหายนะก็โผ่ลมาจนได้
"บุ๋ง ฮ้าดดดดดดด"ปลาสีโคลนตัวเบิ้มลอยตัวขึ้นเหนือน้ำด้านหน้าฟองดู สูดอากาศเข้าตัวเป็นท่าก่อนที่จะพ่นโคลนสีน้ำตาลเทาใส่เป้าหมาย ระยะแบบนี้ มันไม่พลาดแน่ๆ ถ้ามันโดนโคลนพ่นใส่ มันจะมองไม่เห็นไปซักพัก มากพอที่จะเสียท่าให้จระเข้อีก5ตัวที่ไล่งับมันอยู่ ถ้าโดนงับหละก็ รู้ๆกันอยู่ว่าจบยังไง
"แง่งงง ง่ำ!!!"
ตะกวดตัวหนึ่งพุ่งเข้ามางับช่องเหงือกของปลาโคลนแล้วกระชากจนเศษเหงือกสีแดงสดติดปากมาด้วย ปลาโคลนร้องด้วยความทรมาน เหงือกของปลามีเส้นประสาทเยอะมากแสดงว่ามันต้องเจ็บพอๆกับคนโดนมีดกรีดลูกตาเชียวหละ จังหวะที่ปลาโคลนตะแคงข้าง หมาขนสีน้ำตาลเหลืองตัวนี้ก็กระโดดเหยียบสีข้างปลาโคลนกระโจนสู่คันดิน มันอยู่ข้างๆหมู่โบกี้แล้ว เบื่องหน้าคือจระเข้ยาว3-4เมตรเกือบสิบตัวกำลังขวางทางหมู่โบกี้ตามการบัญชาของจ้าวแห่งหนองน้ำ
"ก๊าซซซซซซซซซซซ!!!!!"
จอมจระเข้ไม่ต้องการให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่มีกองหนุนเพิ่มอีกจึงเดิน2ขาขึ้นจากน้ำ มันดูเหมือนหมีควายสูงเกือบ5เมตรที่ใส่ชุดเกราะซามูไรสีเขียวมรกต อาวุธชิ้นโตในมือพร้อมที่จะเหวี่ยงใส่เป้าหมายทั้ง6ชีวิต ได้แก่ จ่าปลา ชาติ ตือ กอล์ฟ สมบัติ และเนย
ลูกสมุนอีก7-8ตัวคลานตามมาสมทบอยู่ข้างๆ หลังของพวกมันมีปลิงหงอนหลายตัวที่ไม่สามารถกัดทะลุหนังขรุขระของมันแต่ฟันติดก็เลยแหง็กอยู่กับที่
"กรรร"มันเอาท่อนไม้หวดใส่ปลิงเหล่านั้นกระเด็นพุ่งเข้าใส่กลุ่มคน เป็นการโจมตีระยะไกลก่อนเพื่อตัดกำลัง ปลิงพวกนี้สูบเลือดได้ดีจริงๆ ถ้าโดนมันกัดแล้วหาสิ่งที่มันกลัวมาจัดการไม่ทันหละก็ โอกาศตายคาที่มีสูงลิบลิ่ว
จ่าปลากับพรรคพวกหลบปลิงได้หลายตัวเนื่องจากหลังจากโดนท่อนไม้ขนาดใหญ่ฟาด ปลิงหงอนก็เลยเดี้ยงคาที่ก่อนที่จะได้แผลงฤทธิ์ แต่พญาจระเข้รู้ถึงข้อผิดพลาดของตนแล้ว มันใช้มือใหญ่ๆที่เต็มไปด้วยเกล็ดรวบปลิง6ตัวแล้วดึงออกมาปาใส่เจ้าหน้าที่แบบเป็นๆ
"ยิงสกัดปลิงไว้"จ่าสั่งอย่างร้อนรน การถูกปลิงเกาะถือเป็นฝันร้ายที่สุดของทั้งลูกเสือและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ยิ่งตัวที่กัดถึงชีวิตแล้วด้วย
เปรี้ยงๆ ตือกับกอล์ฟใช้ลูกซองสกัดปลิงเหินหาวได้5ตัว ปลิงนุ่มนิ่มพวกนั้นโดนแรงปืนระยะประชิดฉีกเป็นชิ้นๆแทบจะในทันที ฟันสีขาวของมันกระเด็นไปทั่ว เหลืออีกตัวที่กระแทกใส่หมวกของจ่าปลากระเด็นไปชนต้นไม้จนสลบ
"เหวอ" ตู้มมมม!!! ชาติกระโดดหลบท่อนไม้พิฆาตของจอมจระเข้ได้พื้นที่ถูกฟาดด้วยท่อนไม้เป็นรอยนิดหน่อยเนื่องจากบริเวณนั้นดินค่อนข้างแน่น แต่มันจะไม่เกิดกับคนแน่นอน เจ้าจระเข้ยักษ์หวดท่อนไม้ไปมาอีกครั้ง การโยนปลิงไม่ใช่การตัดกำลัง มันใช้เป็นตัวล่อความสนใจต่างหาก
"ใครมีเชือกบ้าง"จ่าปลาตะโกนถาม การปราบจระเข้มักจะไม่ใช้ปืนแต่สวนมากมักจะใช้ไม้คล้องเชือกสำหรับรัดคอแบบเดียวกับที่ใช้จับหมา งู ตุ๊กแก และ ตะกวด ยิ่งรัดยิ่งเจ็บจะทำให้สัตว์ร้ายยอมสยบอย่างไร้ทางสู้
"นี่ครับ"ชาติยื่นเชือกเดินป่าสีขาวให้จ่า กอล์ฟเองก็เอาท่อนไม้มาให้จ่าปลาทำบ่วงคล้องคอ ระหว่างนี้ต้องถ่วงเวลาไม่ให้สัตว์ร้ายเข้าประชิด ปืนลูกซองมีกระสุนจำกัดและตอนนี้ กระสุนทั้งหมดไม่น่าจะล้มไอ้เข้8ตัวกับบอสสุดเดิ้นตัวนี้ได้
"กรรรร กรัม แกรรรรรม ง่ำ"จระเข้3ตัวพุ่งเข้ามา ตัวแรกพยายามใช้หางฟาดเพื่อให้ศัตรูล้มเพราะจระเข้เสียเปรียบเรื่องความสูง ตัวที่2และ3เข้าประชิดตัวเตรียมกัดให้จมเขี้ยว
เป้าหมายคือไอ้ตือ แต่ถึงจะอ้วนตุ๊ต๊ะ เขาเองก็ผ่านการฝึกแบบเจ้าหน้าที่ป่าไม้มา เขากระโดดหลบท่าจระเข้ฟาดหางอย่างรู้แกว แล้วถอยออกมาก่อนที่อีก2ตัวที่เหลือจะเข้ามาขย้ำขาเขาได้ แล้วจากนั้น...
"แอ้กกก"ตือโดนปลาโคลนตัวอ้วนกลมตาใสแจ๋วอัดกระแทกหน้าอย่างแรง จอมจระเข้สีมรกตเขวี้ยงปลาโคลนที่แอบเอาขึ้นมาด้วยใส่ไอ้ตือเหมือนคนปาลูกดอดจ์บอล ปลาโคลนที่หนักกว่าแต่ไม่แน่นเท่าทำให้แรงปะทะไม่ร้ายแรง แต่การทำให้เสียจังหวะแล้วค่อยโจมตีเป็นเทคนิคสุดร้ายกาจที่จระเข้อัจฉริยะตัวนี้สามารถใช้ได้ เข้3ตัวที่เข้ามาเป็นแค่ตัวดึงดูดความสนใจและจะจัดการเผด็จศึกในจังหวะสุดท้าย
"ม่ายยยยย"ตือร้องเสียงหลง
ฉึกกก เสียงมีดพร้าแทงเข้าไปในกะโหลกของจระเข้ตัวที่เข้ามาไกล้ไอ้ตือ จระเข้ตัวนั้นได้รับความเสียหายที่สมองอย่างรุนแรงทำให้ตายทันทีแต่ไม่ตายสนิท ร่างของมันดิ้นพราดๆแบบที่สัตว์เลื้อยคลานมักจะทำก่อนตาย ชาติเป็นผู้สังหารสมุนจระเข้ตัวนั้น เขาที่ใช้ปืนไม่ได้เพราะลูกซองต้องใช้2มือในการยิงแต่มืออีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสามารถใช้มีดได้(อีกข้างโดนตั๊กแตนยักษ์แทงไหล่ทำให้ขยับไม่ได้)
มีหรือหัวหน้าจะยอมให้ลูกน้องตายฟรี มันง้างอาวุธหนัก10กว่ากิโล(+น้ำที่ซึมเข้าไปในเนื้อไม้ด้วย)ของมัน รัศมีเมตรครึ่งทำให้การหลบด้วยการถีบตัวถอยหลังนั้นยากยิ่ง ต้องก้มหลบซึ่งก็เข้าทางจระเข้ลูกสมุน ถึงความสูงจะเป็นจุดอ่อน แต่จระเข้สีมรกตตัวนี้สามารถพลิกกลับมาให้เป็นจุดแข็งได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ
"แช๊ะ!"
เสียงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปขนาดใหญ่ประชดโลกดังไปทั่วหนองน้ำไม่แพ้เสียงพญาจระเข้คำราม แสงสีขาวบริสุทธิ์ทำลายสายตาทุกคู่ที่จ้องมองมาในป่าพรุแห่งความตายนี้ จ้าวแห่งจระเข้ไม่เคยเห็นกล้องถ่ายรูปมาก่อนเลยเสียท่าจ้องแสงสว่างอันตรายนั้น สงผลให้มันมองไม่เห็นไปหลายวินาที ภาพที่เบลอสุดขีดในสายตาทำให้มันชะงักการโจมตี เกรงว่าอาจจะฟาดโดนลูกน้องตนเอง
"กล้องรุ่นนี้ถ่ายเซอร์ราวด์ช็อตแบบใช้แฟลชได้ สำหรับถ่ายความคมชัดสูงระยะไกลในตอนกลางคืน หากใครมองแสงแฟลชนี้จะมองไม่เห็นไปอย่างน้อนครึ่งนาที รีบไปเถอะ"เนยบอกก่อนที่จ่าปลาจะรีบลัดเลาะหลบฝูงจระเข้สุดมึนและบอสใหญ่ ก้าวขึ้นเนินดินไปหาหมวดและหมู่
ปรากฎว่าหมู่โบกี้กำลังรักษาแผลให้หมวดเอกตรงฝั่งตรงข้าม
"หมู่โบกี้ หมวดเอก ฝ่าเจ้าสารพัดสัตว์มาได้ไง"จ่าปลาถามระหว่างที่กำลังวิ่งข้ามคันดิน
"กี้ กี้ กี้ กี้"ฝูงปลิงพุ่งเข้าโจมตีจากในน้ำ การที่มันหลบอยู่ใต้น้ำขุ่นคลักที่เต็มไปด้วยโคลนเหลวจากปลาสีโคลนทำให้มันรอดจากแสงแฟลชพิฆาตได้ หลายคนที่ไม่ทันตั้งตัวโดนปลิงเข้ากัดฝังคมเขี้ยว3อันลงบนผิว
"อ๊ากกกก "ตือร้อง ปลาโคลนตัวหนึ่งพ่นก้อนขี้โคลนสุดแขยงใส่หน้าไอ้ตือทำให้เสียการทรงตัว เขาเซไปเซมาแต่ไม่ล้ม ตอนนี้เหล่าจระเข้เริ่มกลับมามองเห็นแล้ว พญาจระเข้ที่กำลังโกรธจัดกระโจนนำหน้าเหล่าสมุนลงน้ำทันที
"กรรรร ก๊าซซซซซ!!!!!!"
มันคำรามก่อนที่จะขว้างท่อนไม้คู่กายใส่มนุษย์ทั้ง6คน ท่อนไม้ชุ่มน้ำยาวเมตรครึ่งเฉี่ยวร่างของทั้ง2คน เนยกับตือ จนเสียหลักตกน้ำ ถ้าหากโดนไม้ท่อนขนาดนั้นอัดใส่อาจจะไม่รอด ต้องมีกระดูกหักกันบ้างแหละ
ยังไม่สาแก่ใจ มันรีบคว้าท่อนซุงผุๆที่ลอยน้ำอยู่ตั้งท่าจะทุ่มใส่อีก4คนที่ยังไม่ตกน้ำ
"เหวอไม่รอดแน่"ชาติร้องอย่างวิตก ท่อนใหญ่ขนาดนั้นสามารถทำให้เขาทั้งหมดตกน้ำได้ในทันที
ผิดคาด จ้าวแห่งหนองน้ำทุ่มอาวุธชิ้นใหม่ของมันข้ามหัวไปหาหมู่โบกี้ที่กำลังใช้HK-33เล็งไปที่มัน มันรู้ว่าปืนที่หมู่โบกี้ถืออยู่เป็นอาวุธเดียวของเจ้าหน้าที่ ที่สามารถปลิดชีพมันได้ ท่อนซุงเปียกโชกกระแทกเข้าใส่หมู่โบกี้จนหงายหลังลงไปนอน ดีที่หมู่โบกี้เอาปืนไรเฟิลจู่โจมกระบอกนั้นบังร่างเอาไว้แถมยังเบี่ยงตัวหลบได้นิดหน่อยเลยไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก
"กรรรรรร"มันพุ่งลงน้ำแล้วว่ายอย่างรวดเร็วมาหาเป้าหมายอันโอชะ ชนปลิงหงอนและปลาโคลนกระเด็นขึ้นไปบนอากาศหลายต่อหลายตัว
บัดนี้ พญากุมภีล์แห่งหนองเห็ดกระสือ พิโรธจนถึงที่สุด ด้วยความเร็วในน้ำของจระเข้บวกกับมันสมองอัจฉริยะเหนือจระเข้ทั่วไป มันเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเหนือกว่าสิ่งใดในบึงน้ำมรณะแห่งนี้ จองแหนโดนเลาะออกมาจากผิวน้ำเป็นแผ่นๆเหมือนแผ่นลาซานญ่าชั้นบนสุดที่ถูกเลาะออกมากินก่อน คลื่นรูปตัวvเห็นเด่นชัดบนผิวน้ำ ใบบัวหลวงอันเป็นสัญลักษ์ถึงอำนาจการปกครองแห่งหนองน้ำลู่สะบัดกับสายลมบนหัวขรุขระของมัน ดวงตาสีอำพันสดใสที่หรี่ลงเป้นตัวบ่งชี้ความโกรธของมันได้ดี
"ก๊าซซซซซซซซ!!!!!"
เสียงแห่งความคับแค้นถูกปลดปล่อยออกมา กระแทกอากาศจนเห็นเป็นคลื่น เหมือนมีพายุลูกเล็กๆเกิดขึ้นเมื้อกี้นี้ กำลังเสริมใต้น้ำและบนฟ้าได้ยินสัญญาณลั่นกลองรบแล้ว ความวุ่นวายกำลังจะเกิด ในหนองน้ำที่แปดเปื้อน
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:31:41 GMT
12.wrath of the crocodile lord : โทสะของพญาจระเข้
ก๊าซซซซซซซซซซ!!!!!!
ทันทีที่สิ้นเสียงของจ้าวแห่งจระเข้ แนวต้นไม้ริมหนองน้ำก็สั่นไหว ฝูงแมลงวันและยุงตัวเท่าผลมะนาวหลายพันตัวก็เข้ามาร่วมวง ในน้ำสีขุ่นขลัก ไม่เพียงแต่ปลาโคลนและปลิงหงอนเท่านั้นที่สู้ศึก ปลาช่อนฟันคมกริบและปลาดุกตัวเท่าตู้เย็นก็มาช่วยทำสงคราม จระเข้อีกหลายสิบจากอีกฟากของหนองน้ำก็ไกล้เข้ามาเรื่อยๆ งูพิษสารพัดชนิดและหนอนตัวกลมก็แทรกตัวอยู่ระหว่างปลิงปีศาจ ปลาซัคเกอร์หลังหนามตัวเท่าขาและขนาดที่ใหญ่กว่าก็มาร่วมแจม ปลาสวายยักษ์และอื่นๆก็เข้ามาจนมั่วไปหมด มีแม้กระทั่งปลาไหลที่ตัวเป็นตุ่มพุพอง ตะกวดหลายตัวก็เริ่มเข้ามาช่วยสู้ คางคกตัวมหึมาเกือบเท่าเก้าอี้กระโดดขึ้นมาจากน้ำขึ้นมายืนบนหลังเจ้าเต่าตัวใหญ่ งูหลามห้อยหัวลงมาจากกิ่งไม้เตรียมช่วยโจมตีจากด้านบน ตอนนี้จำนวนของพวกมันทั้งหมดเหยียบหมื่นได้แล้วมั้งเนี่ย
"หนี"คำสั้นๆพยางค์เดียวสื่อความหมายในใจนับล้านคำได้เป็นอย่างดี กองหนุนขนาดเท่ากองทัพหลวงตรงหน้าแสดงถึงอำนาจของจระเข้ยักษ์ เสียงคำรามคลื่นกระแทกเมื่อครู่ไม่ได้เป็นเพียงการปลดปล่อยความบ้าคลั่งเท่านั้น ยังเป็นคำสั่งเรียกกองหนุนระรอก2ของมันซึ่งเหล่าลูกน้องก็ยินดีที่จะรุมกัดกินอาหารอันโอชะ9ชิ้นตรงหน้า
"จับไว้"จ่าปลายื่นไม้บ่วงที่ตอนแรกกะจะใช้กับจระเข้ให้ตือกับเนย ทั้งสองจับบ่วงนั้นอย่างแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทันทีที่ทั้งคู่จับบ่วงไว้แล้วจ่าปลากับคนอื่นๆก็ช่วยกันลากตือกับเนยไปตามน้ำ ปลิงหงอนและปลาช่อนพยายามขีดขวางสุดกำลัง ฝูงสัตว์แหวกว่ายเข้ามาอย่างรวดเร็ว กองบินอย่างยุงและแมลงวันเข้าประชิดตัวก่อนใครเพื่อน แมลงวันพ่นน้ำลายที่เป็นกรดอ่อนใส่เป้าหมายส่วนยุงปากสีดำสนิทพุ่งตัวเข้ามาทิ่มแทงและดูดเลือด
"อีกนิดเดียว"จ่าปลาและคนอื่นๆเกือบถึงฝั่งแล้ว จระเข้ลูกสมุนเข้ามาไกล้เรื่อยๆ ถึงกองทัพใหญ่นี้จะน่ากลัวแต่มันช้าเกินไป
"กรรรรร ก๊าซซซซ"จระเข้ยักษ์ที่มีใบบัวอยู่บนหัวเอี้ยวตัวเอาหางกวาดสรรพสัตว์ในอานัติ ทำให้เกิดคลื่นน้ำที่มีสารพัดสัตว์ปะปนอยู่สูงเกือบเมตรได้ ถึงคลื่นจะไม่ใหญ่แต่ก็แรงพอที่จะท่วมเนินดินเตี้ยๆนั้นได้ สัตว์ร้ายแห่งหนองบึงโต้คลื่นอย่างสนุกสนาน ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นมากเวลามีน้ำหนุน
แต่จ่าปลาและพรรคพวกไวกว่า จ่าได้ไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้วกำลังลากเนยกับตือที่ถูกปลิงหงอนเกาะเต็มตัว ปลาโคลนและปลาช่อนกำลังยื้อไม่ให้ตือกับเนยขึ้นบกได้ จระเข้2ตัวว่ายมาหมายจะลากทั้งคู่กลับลงไปในน้ำที่พวกมันได้เปรียบอีกครั้ง
"ฮุยเลฮุย ฮุยเลฮุย"ทั้งสี่คนช่วยกันลากเนยขึ้นมาได้แต่ตือโดนจระเข้กัดเข้าที่ขาซะแล้ว
"กรรรรร ง่ำ แง่ง แง่ง"ไอ้เข้ตัวขนาดเมตรครึ่งที่ยังโตไม่เต็มที่งับขากางเกงซ้ายไอ้ตือจนฉีกขาด อีกตัวที่เกือบจะถึงแล้วกะจะงับขาขวาแต่พลาดโดนถีบปลายจมูกด้วยคอมแบ็ตแทน
เปรี้ยง!!!ปืนลูกซองนัดนี้กวาดฝูงปลิงและสารพัดปลาที่กำลังฉุดไอ้ตือให้ลงน้ำได้ในนัดเดียว แถมยังทำให้จระเข้เผลออ้าปาก ตือฉวยจังหวะนั้นตะกายขึ้นฝั่งได้สำเร็จ แต่จระเข้อีก2ตัวก็ไม่ลดละ มันพุ่งขึ้นฝั่งมาสู้ต่อ
"เจี๊ยกกกกกก ตูดเค้าาาา"ตือร้องลั่น ปลาช่อนตัวใหญ่พุ่งผ่านหน้าจระเข้เข้าไปงับก้นอย่างเต็มปากเต็มคำ ปลาช่อนสะบัดไปมาอย่างดุร้าย ทำเอาไอ้ตือวิ่งพุ่งไปข้างหน้าหลบฟันจระเข้ได้พอดิบพอดี
"ฟ่ออออ " เสียงงูเห่าหลายตัวที่กำลังแผ่แม่เบี้ยพ่นพิษจากระยะไกล ทุกคนรีบถอยออกห่างจากน้ำเพราะกำลังหนุนเกือบทั้งหมดอยู่ในน้ำเป็นหลัก ปลิงตัวฉกาจกลับมาตั้งหลักพุ่งเข้าโจมตีอีกระรอก หน่วยยิงระยะไกลพยายามขัดขวางถึงที่สุด
"ก๊าซซซซซซ!!!!!"พญาจระเข้คำรามอย่างมุ่งร้าย มันคว้าท่อนไม้คู่ใจที่พาดอยู่บนเนินดิน เดินลุยน้ำเข้าไกล้ฝั่งที่มีสมุนหลายตัวรออยู่ มันคว้าปลิงและงูเต็มกำมือ ขว้างไปตรงกลุ่มคนเพื่อสกัดการหนี มันไม่ยอมให้เหยื่อหลุดรอดไปง่ายๆหรอก
เปรี้ยง!!! ลูกซองเดี่ยวทำหน้าที่สกัดการโจมตีของปลิงและงูได้เป็นอย่างดี ถึงปลิงจะตายอย่างง่ายดายเพราะลำตัวนุ่มนิ่มแต่งูนั้นเหนียวกว่าเยอะ หลังจากได้สติจากการโดนยิง มันพุ่งตัวหมายจะฝังเขี้ยวพิษคู่หน้าใส่ศัตรู
ฉัวะ มีดพร้าเองก็ถูกนำมาใช้ในการสู้ศึก งูเห่าหลายตัวถูกฟันจนต้องถอยออกไปแต่การโจมตีระยะไกลยังคงมีผล ปลาโคลนและแมลงวันกระหน่ำยิงกระสุนเหนียวเหลวของมันใส่เป้าหมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำได้เพียงแค่ชะลอการหลบหนีเท่านั้น
"อ๊อบ อ๊อบบบ"คางคกยักษ์ผิวตะปุ่มตะป่ำสีเขียวขี้ม้าตัวเท่าเก้าอี้กระโดดทีเดียวข้ามมาขวางทางของหมู่หมูมะนาวอย่างรู้งาน มันพ่นของเหลวสีเขียวเป็นฟองฟอดใส่หน้ากอล์ฟจนเซถอยหลังไป พิษคางคกทำให้ระคายเคืองผิวหนังและทำให้ตามองไม่เห็นชั่วคราว มากพอที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของมนุษย์ได้ เมื่อเห็นจ่าปลาทำท่าจะยิงกระสุนลูกซองใส่มัน มันตวัดลิ้นใหญ่ๆสีชมพูอมม่วงใส่จ่าทำให้เซถอยไป
"ไอ้หน้ารองเท้าแตะเอ้ย อย่าอยู่เลย"ตือยกปืนไรเฟิลสังหารยิงกราดใส่คางคกตัวร้ายขณะที่มันกำลังสู้กับจ่าปลาอยู่ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสะดุ้งเป็นจังหวะตามการยิงก่อนที่จะหงายท้องและสิ้นท่าลง คางคกตัวมหึมานอนจมกองเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากบาดแผลทรงกลมของกระสุนปืนแต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะสิ้นฤทธิ์ ปากกว้างๆของมันมีพิษพ่นออกมาเป็นฟองฟอดสีเขียวเข้มสาดไปทั่วรัศมี4เมตรรอบตัวมันก่อนที่มันจะแน่นิ่ง
"โอ้ย แสบแผลมาก แสบจนจะเจียนตายอยู่แล้ว"หมวดเอกฟื้นเพราะพิษคางคกกระเด็นโดนแผลสดรูปดาว3แฉกหลายแผลบนร่าง ผลมาจากการไปลุยกับปลิงหงอนกว่าห้าสิบตัวกลางน้ำ หมวดเอกเสียเลือดมากเนื่องจากเลือดไหลไม่หยุดทำให้แทบไม่มีแรงวิ่ง จ่าปลาและคนอื่นๆเลยต้องแบกหมวดวิ่งหนีสารพัดสัตว์โลกไม่น่ารักรวมถึงหมู่โบกี้ที่โดนท่อนซุงผุๆอัดจนสลบคาที่ ฟองดูเองก็โดนยุงตัวเท่าลูกมะนาวรุมกัดจนพุพองไปทั้งตัว หวังว่าขนมันจะไม่ร่วงหมดตัวก่อนที่จะออกจากป่านรกแตกนี้
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง เสียงเดินหนักๆของจ้าวแห่งจระเข้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า บอสใหญ่ขึ้นบกแล้ว ในมือของมันมีปลาโคลนเล็งไปยังเป้าหมาย มันยิงโคลนเหนียวหนืดสีน้ำตาลเข้มใส่เป้าหมายอย่างแม่นยำ ตือกับสมบัติมองไม่เห็นเพราะโดนโคลนยิงเข้าลูกตา แต่อาวุธลูกยาวไม่ใช่อาวุธหลักของจอมจระเข้ มันแหวกฝูงสัตว์ร้ายเข้ามาพร้อมกับท่อนไม้ยาวเมตรกว่า กระหน่ำฟาดใส่เป้าหมาย แต่พลาดเพราะมัวแต่เงื้อ มันจึงเหวี่ยงกำปันสีเขียวเข้มของมันใส่เป้าหมายที่กำลังหลบท่อนไม้ทรงพลัง
"อั่ก อะเหื้อออออ" ตือโดนต่อยเข้ากลางลำตัวจนจุก ร่างที่ห่อหุ่มด้วยไขมันกระเพื่อมไปตามแรงปะทะ ตัวเขาปลิวไปไกลและหมอบลงตรงดินทรายริมบึงน้ำ ทุกคนรีบหันไปมองไอ้ตือ พญาจระเข้เลือกโจมตีไอ้ตือก่อนเพราะเขามีอาวุธร้ายแรงในมือ ปืนHK-33ปลิวไปตกริมน้ำตรงกอต้นอ้อ ก่อนที่ปลาดุกยักษ์ตัวเท่าตู้เย็นบ้านจะตวัดลิ้นเหมือนกบของมันลากเอาความหวังสุดท้ายที่จะล้มจระเข้ยักษ์ลากลงน้ำก่อนจะดำดิ่งสู่พื้นโคลนตมเบื่องล่าง
เมื่อจัดการปลดอาวุธเรียบร้อยแล้วแล้ว จระเข้ลูกสมุนก็รีบเข้ามาสแตนด์บายรอรุมเหยื่ออย่างหิวโหย พญาจระเข้สั่งให้ฝูงบินเข้าขัดจังหวะศัตรูเบื้องหน้าทันที จะได้ฟาดได้ถนัดๆ เพราะยุงจำนวนมากสามารถบดบังทัศนวิสัยของมนุษย์ได้ไม่ยาก
ฟ้าวววว หัวหน้าจระเข้ที่เดิน2ขาใช้ท่อนไม้กวาดไปกับพื้นเพื่อทำให้เหยื่อล้มลง จระเข้ลูกฝูงที่ตั้งท่ารอก็เข้าไปงับทันที
แช๊ะ!!!!!
"หนีเร็ว"จ่าปลารีบลุกขึ้นแล้วช่วยกันแบกคนเจ็บขึ้นหลัง ยุงและฝูงบินหลังจากโดนแสงแฟลชพิฆาตก็ร่วงกันราวกับสายฝนในวันที่พายุเข้า จระเข้ลูกสมุนต่างก็มึนกับแสงแยงตาระดับแอดวานซ์ของกล้องมหัศจรรย์ หน่วยยิงเองก็ชะงักกับการถ่ายภาพด้วยแฟลชแบบสว่างดุจสปอตไลท์ แม้แต่พญาจระเข้ยังเผลอมองเพราะชะล่าใจนึกว่าฝ่ายมนุษย์หมดทางสู้แล้ว เหยื่ออยู่ตรงหน้าแต่กลับมองไม่เห็นมันน่าเจ็บใจนัก
เมื่อกลับมามองเห็นอีกครั้ง บรรดามนุษย์ก็อันตธานหายวับไปแล้ว แต่ถึงแม้จะหนีไป จระเข้ยักษ์ตัวนี้ก็ไม่ยอมให้มันหลุดรอดไปง่ายๆ ฝูงยุงเองก็รีบตามกลิ่นคาร์บอนไดอ็อกไซด์จากมนุษย์ไปทำให้จระเข้ตัวอื่นๆรู้ทาง
"ทำไมไอ้จิ้งเหลนยักษ์ตัวนี้มันฉลาดจังว่ะ กว่าจะหนีมาได้ เลือดโชกกันเลยทีเดียว ปลิงยังแกะออกไม่หมดเลย"กอล์ฟถามด้วยความไม่พอใจ เขาไม่เคยเห็นจระเข้ยืน2ขามาก่อน แค่เจอตัวแรกก็เล่นเขาซะเกือบตาย
"เค้าว่ากินปลาแล้วฉลาด จระเข้กินปลาเป็นหลักมั้ง"ชาติตอบเสียงอ่อน การหนีจากสัตว์เลื้อยคลานยักษ์ทำให้เขาหืดขึ้นคอเลยแหละ
"แล้วทำไมจ่าไม่ฉลาดอย่างมันมั่ง ชื่อปลาซะเปล่า"หมู่โบกี้ที่พึ่งได้สติแขวะทันที
"คนพิการเงียบๆหน่อย เดี๋ยวก็ตายหรอก อยากเป็นอาหารจระเข้ก็ไม่บอกจะได้ทิ้งไว้ที่บึง"จ่าสวนกลับในทันที คนที่มีฟาร์มหมาอยู่ในปากน่าถูกส่งให้ตุ๊กเข้พวกนั้นกินจริงๆเลยพับผ่าเถอะ
"ก๊าซซซซซ"เสียงคำรามระยะประชิดทำให้ทั้ง7คนสะดุ้งเฮือก จระเข้ยักษ์ตามมาทันแล้วแถมยังย่องเข้ามาแบบไม่มีเสียงอีกด้วย มันแกว่งท่อนไม้ของมันฟาดใส่จุดที่ทุกคนเคยอยู่แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไวกว่า หลบท่อนไม้ยักษ์นั้นได้ ไม้ท่อนนั้นเลยฟาดโดนต้นไม้ที่หมู่หมูมะนาวเคยพิงอยู่แทน จระเข้เองก็ไม่น้อยหน้า มันกะไว้แล้วว่ามนุษย์อาจจะหลบได้เลยเขวี้ยงปลิงอีก3ตัวไปเกาะหลังจ่าปลาแม่นราวกับจับวาง
"โอ้ยยย ไอ้หนอนดูดเลือดนี่ กัดเจ็บชะมัด ไอ้ม้วนซูชิอัปลักษ์"จ่าปลาสบถทันทีที่สัตว์ลำตัวนิ่ม3ตัวฝังคมเขี้ยวเข้าไปบนหลัง
เนยตั้งท่าจะใช้แฟลชสุดพิเศษอีดครั้งแต่เจ้าชาละวันเบอร์สองตัวนี้รู้ทัน มันเอาขาหน้าบังลูกตาสีอำพันอย่างรู้แกวก่อนที่จะใข้ท่าจระเข้ฟาดหางอัดใส่กลุ่มคน แสงแฟลชไม่เป็นปัญหาสำหรับมันแล้วตอนนี้ สิ่งที่ทำให้การต่อกรกับอสูรกายยักษ์แห่งป่าพรุตัวนี้เป็นเรื่องยากคือความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถาณการณ์อันยอดเยี่ยมของมัน ความฉลาดของมันเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้เลย สัตว์ร้ายอัจฉริยะร่างหนาตัวนี้ช่างแตกต่างจากภาพลักษ์ของจระเข้ที่ออกจะทื่อๆซื่อบื้อลิบลับ
ขวับ!!! หางอันใหญ่โตและเชื่องช้าหวดใส่ ชาติ เนย และ สมบัติ จนกระเด็นออกไปหลายเมตร ชาติกระแทกเข้ากับต้นไม้ตอนที่โดนซัดกระเด็นไป เจ้าจระเข้ยักษ์ไม่สนใจหมวดเอกกับหมู่โบกี้ที่หมดสภาพอยู่บนพื้น พวกนี้ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อกรกับมันได้ ยิ่งตอนนี้ไม่มีปืนแบบพิเศษกระบอกนั้นแล้วยิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่ จะกินเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วตอนนี้ มันเลือกที่จะจัดการคู่ต่อสู้ที่ยังเป็นภัยคุกคามก่อนจะดีกว่า
มันกางกรงเล็บแหลมคมออกในมือข้างที่ว่างก่อนจะสะบัดใส่ไอ้กอล์ฟอย่างรวดเร็ว สร้างบาดแผล4ขีดที่หน้าอก มีเลือดซึมออกมาไม่มากนัก เห็นได้ชัดว่ากอล์ฟถอยออกมาในจังหวะนั้นทำให้เป็นแผลแค่ถากๆ จอมจระเข้ไม่ทิ้งจังหวะรอดูผลงาน มันกระแทกซ้ำที่เดิมด้วยหลังมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดหยาบขนาดใหญ่จนกอล์ฟหงายหลังลงไปนอนหมดสภาพอยู่บนพื้น
"โอ้ยยยยย ไอ้จิ้งเหลนยักษ์เอ้ย ไอ้สเต็กบ้องตัน"กอล์ฟสบถก่อนที่จะนิ่งไป(แกล้งตายแบบเนียนสุดๆเป็นหนึ่งในวิธีเอาตัวรอดจากหมี กอล์ฟเอามาใช้กับจระเข้) จระเข้ตัวใหญ่ทำหน้าพอใจก่อนจะหันไปจัดการกับ...
เปรี้ยง!!! กระสุนลูกซองแบบลูกปลายทำอะไรจระเข้ไม่ได้เพราะเกล็ดหนาหยาบที่ทำหน้าที่เสมือนชุดเกราะของสัตว์เลื้อยคลานตัวเป้ง แต่ถ้าหากเป็นที่ท้องซึ่งไม่ค่อยมีเกล็ดคอยปกป้องแล้วหละก็ ผลจะแตกต่างกันคนละโยชน์เลยทีเดียว ท้องสีขาวเหลืองเนียนนุ่มเหมือนซุปครีมข้าวโพดโดนยิงจนเป็นแผล เลือดสีแดงข้นไหลออกมาตามปากแผลเล็กๆจำนวนมาก
"ก๊าซซซซซ!!!"
จระเข้ตัวร้ายแผดเสียงร้องดังลั่นด้วยความเจ็บแสบ มันฟาดหัวฟาดหางและท่อนไม้หงิกงอในมืออย่างไม่ลืมหูลืมตา จ่าปลาซึ่งเป็นผู้ลั่นไกปืนถูกปากยื่นยาวของพญาจระเข้ฟาดเข้าเต็มรักก่อนจะลงไปกลิ่งโค่โล่เป็นลูกโบวลิ่งอยู่บนพื้นดินแห้งกรังที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง
แช้งงงง มีดพร้าหมุนตัดอากาศมาราวกับขวานโทมาฮ็อก(ขวานขนาดเล็กแบบที่ใช้ขว้างปา)ของอินเดียนแดง เป้าหมายของมันคือพุงกะทีสีขาวอมเหลืองของไอ้เข้ยักษ์นั่นเอง แต่พญาจระเข้รู้ทัน มันเอาแขนที่ห่อหุ้มด้วยเกล็ดสีมรกตที่แข็งแกร่งกว่าไอ้เข้ตัวไหนๆในหนองเห็ดกระสือมาบังจุดอ่อนของมันไว้ทำให้มีดพร้ากระดอนออก ทิ้งไว้เพียงรอยขนแมวเล็กๆบนเกล็ดหยาบสีสวยของมันเท่านั้น
เหตุการเมื่อครู่ทำให้ไอ้ชาติอ้าปากค้างด้วยความอึ้ง ทึ่ง เสียว มีดพร้าถูกออกแบบให้มีน้ำหนักในการฟัน ถ้าหากโจมตีถูกจุดสามารถล้มจระเข้โตเต็มวัยได้(อย่างที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้)แต่สัตว์ร้ายตรงหน้าแข็งแกร่งเกินไป มันก้มลงเก็บมีดพร้าขึ้นสำรวจอย่างสนใจ มันหันมาแสยะยิ้มเหี้ยมอย่างน่ากลัว เผยให้เห็นฟันสีขาวมุกแหลมคมเรียงรายเป็นแถบ มันกระชับมีดในมือตั้งท่าแล้วค่อยขว้างออกไป
ผิดคาด มีดบินเล่มนี้ไม่ได้พุ่งตรงมาที่ไอ้ชาติแต่ร่อนขึ้นบนต้นไม้ที่อยู่เหนือหัวชาติ มีดพร้าสับทะลุกิ่งไม้ที่มีขนุนลูกใหญ่อยู่ ขนุนลูกเบอเริ่มขาดออกจากขั้วแล้วร่วงลงตรงไปที่หัวของชาติแต่เขาหลบทัน ผมไม้ผิวขรุขระลูกน้องๆทุเรียนเลยอัดใส่ไหลอีกข้างของชาติจนไหลหลุด ถ้าหากหลบการโจมตีครั้งนี้ไม่ทันเขาอาจคอหักได้ แขนทั้งสองไม่สามารถใช้การได้ ข้างนึงโดนตั๊กแตนตำข้าวสับ อีกข้างโดนขนุนหล่นใส่ เท่ากับว่าเขาไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าจระเข้สีมรกตตัวนี้จะปราณี มันใช้หางหวดตัดขาจนไอ้ชาติล้มลงแล้วชำเลืองมองอย่างดูแคลน
สวบ! ไม้ที่มีปลายเป็นบ่วงสำหรับใช้ปราบจระเข้คล้องเข้าที่คอหนาของมัน จ้าวแห่งบึงน้ำพยายามดิ้นให้ตนเองหลุดจากพันธนาการแต่คุณสมบัติพิเศษของอาวุธประเภทนี้คือยิ่งดิ้นยิ่งรัดดังนั้นมันจึงหยุด แล้วมองไปที่ต้นตอของอาวุธชิ้นนี้
จ่าปลากำลังถือไม้คล้องบ่วงอย่างมั่นคงในมือ หวังว่าอาวุธชิ้นนี้จะสยบจระเข้ยักษ์ด้วยกลไกพิเศษของมันแต่จ่าคิดผิด
พัวะ!!!
จระเข้ตัวนี้สามารถใช้ความคิดได้จึงแตกต่างจากสัตว์อื่น มันเอาหางใหญ่ๆของมันหวดจ่าปลาเข้าที่สีข้างจนตัวโยน หญิงแกร่งถึงจะอึดแต่ไม่อึดพอที่จะทนแรงหวดของหางจระเข้หนักอึ้งได้ หลังจากโดนเข้าไปป้าบเดียวก็ลงไปหมอบหน้าทิ่มพื้นอย่างเอน็จอนาถ ฝูงบินที่คอยสนับสนุนเข้าไปโจมตีซ้ำที่คนเจ็บทันที ยุงศรดำใช้ปากแหลมเหมือนลูกธนูสีดำด้านของมันทิ่มทะลุผิวหนังเข้าดูดเลือดอย่างหิวโหย
จระเข้ร้ายไม่รอช้า หลังจากแก้บ่วงที่รัดคอหอยมันได้แล้วมันก็เงื้อไม้ท่อนโตคู่ใจ เตรียมทุบเป้าหมายให้แหลกราญ แต่แล้วมันก็ต้องชะงัก
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้กระเป๋าหนัง" ไอ้ตือปรากฎกายขึ้นหลังพุ่มไม้ เสียงของเขาดึงดูดความสนใจของพญาจระเข้ แต่ที่ดึงดูดกว่าคือไข่ทรงรีสีขาวเหมือนไข่เป็ดหลายฟองที่อยู่ในอ้อมกอดของไอ้ตือ เพียงแวบแรกที่สายตาของมันเห็นวัตถุทรงรี มันก็รู้ในทันทีว่ามันเสียรู้ให้กับมนุษย์ตรงหน้า
"ก๊าซซซซซซ!!!! กรรรรร กร้าาาาาาา!!!"
เจ้าจระเข้ยักษ์ร้องคำรามอย่างแค้นใจ ลูกๆที่ยังไม่ฟักของมันกลับถูกจับเป็นตัวประกันครบทุกฟอง มันรู้ว่าหากผลีผลามทำอะไรลงไป ลูกๆของมันคงจบชีวิตลงแบบไข่แดงกระจายแน่ๆ มันลดไม้ท่อนมหึมาในกำมือลง ตาสีอำพันจดจ้องที่ไข่ราวกับกลัวว่ามันจะหายไปหากละสายตา ทุกคนในบริเวณได้ยินเสียงคำรามในลำคอของพญาชาละวันตัวเลียนแบบ หากของมันปัดไปมาอย่างร้อนรน บริวารและกำลังหนุนที่เคลื่อนที่บนบกได้ก็มาถึง สายตาแวววาวแสดงความมุ่งร้ายนับร้อยคู่จดจ้องไปที่ฝูงชน
"แก ปล่อย เพื่อนๆ ชั้น ชั้น ปล่อย ลูกๆ แก เข้าใจมั้ย?"ไอ้ตือพยายามพูดช้าๆให้จระเข้วายร้ายตรงหน้าได้ยินข้อตกลงชัดๆ แต่จระเข้ตัวนี้ฟังภาษาคนไม่ออกแม้จะเป็นจระเข้ที่ฉลาดที่สุดในหนองเห็ดกระสือแห่งนี้ก็ตาม มันทำหน้างงเหมือนเจอสมการฟิสิกข์ของไอน์สไตน์ ลูกสมุนของมันก็ทำหน้างงไม่แพ้กัน
"โฮ่งๆ แฮร่ บ๊อกๆ แง่งๆ โฮ่งๆๆ"เจ้าฟองดูอาสาเป็นล่ามให้ ประสบการณ์จากการอาศัยอยู่กับคนเป็นเวลานานทำให้มันฟังภาษาคนออก มันจึงทำหน้าที่แปลภาษาคนให้เป็นภาษาสัตว์ เจ้าจระเข้พอรู้ข้อตกลงแล้วก็พยักหน้ายื่นๆของมันเป็นอันว่าตกลงรับข้อเสนอ
"กรรรร กราา กรร"มันส่งสัญญาณให้ไอ้ตือก่อนจะหลีกทางให้ เหล่าบริวารสัตว์อันตรายก็ขยับตัวออกแหวกทางให้ไอ้ตือ ตือก็ถือไข่พวกนั้นเดินผ่านเหล่าสรรพสัตว์ดุจราวกับพระราชาถือมงกุฎเดินฝ่าประชาราษอย่างองอาจ พญาจระเข้ยักษ์สีเขียวมรกตเดินตามหลังไอ้ตือพร้อมกับลากท่อนไม้ชิ้นโปรดคู่ใจไปกับพื้น ใบบัวหลวงสีเขียวสดประดับดอกบัวสีชมพูอ่อนยังคงแปะอยู่บนหัวอันใหญ่โตของจ้าวแห่งป่าพรุตั้งแต่ยังไม่เริ่มการปะทะจนจบการต่อสู้ เหล่าสัตว์ร้ายแห่งพงไพรค่อยๆทยอยกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม รวมถึงยุงศรดำที่ดูดเลือดเหยื่อจนอิ่มแปล แต่ไม่รวมถึงปลิงหงอนจอมดูดที่เกาะแน่นอยู่บนผิวหนังเป้าหมาย ไม่นานนักเหล่าสรรพสัตว์โลกไม่น่ารักที่แม้แต่กรีนพีซยังอยากออกประกาศจับตายก็หายไปจนหมด เหลือเพียงเหล่าเจ้าหน้าที่ ฟองดู และ ปลิงตะกละร้ายกาจที่ยังไม่ยอมหยุดดูดราวกับโดนวิญญาณนักการเมืองเข้าสิงเท่านั้น
"คบเพลิง คบเพลิงอยู่ไหน ขยะแขยงไอ้ปลิงปอบบ้านี่เต็มทนแล้ว"จ่าปลาที่ยังพอมีแรงลุกขึ้นนั่งและควานหาอุปกรณ์ช่วยชีวิต(หากปล่อยไว้นานอาจตายเพราะโดนปลิงสูบจนขาดเลือด)ก่อนที่ปลิงทั้ง3ตัวจะทำพิษ
"เดี๋ยวช่วยเอง มันเกาะหลังเธออยู่ เธอมองไม่เห็นหรอก"หมู่โบกี้อาสามาช่วย เขาให้จ่าปลาหันหลังมาก่อนจะเอาคบไฟที่มอดแล้วแต่ยังร้อนอยู่จี้เข้าไปตรงระหว่างตาของมัน ปลิงหงอนตัวสีดำสนิทแต่มีสีแดงแทรกอยู่ปล่อยปากที่เหมือนปากปลาแลมเพรย์ออกจากเนื้อของจ่าหญิง ทิ้งรอยแผลรูปดาว3แฉกที่มีเลือดซึมออกมาไม่หยุดเป็นผลมาจากสารไฮรูดินในน้ำลายของปรสิตตัวลื่นนี่
หมู่โบกี้ค่อยๆกำจัดปลิงตัวแล้วตัวเล่าออกจากร่างของเพื่อนร่วมหมู่และแขกรับเชิญ ฟองดูเองก็พยายามช่วยแต่ปากตะกละของปลิงไม่ยอมปล่อยแม้จะโดนเขี้ยวหมาแทะซะเหวะก็ตามที ปลิงหลายๆตัวใหญ่ซะจนดูเหมือนมะละกอลูกเล็กสีแดงแจ๋ เป็นผลมาจากการสูบเลือดอย่างไม่บันยะบันยังของสัตว์สายพันธุ์กระดึ๋บเหล่านี้ เนื่องจากตามธรรมชาติมันไม่ได้มีโอกาศได้กินบ่อยนัก ปลิงพวกนี้ก็มักจะกินราวกับปอบลงทุกครั้งที่โอกาศมาเยือน อาหารมื้อเดียวมีพลังงานมากพอจะให้มันอยู่ไปตลอดชีวิต
เนยร้องครางด้วยความขยะแขยง สัตว์ร้ายลำตัวสีดำสนิทหางเป็นใบพาย2ตัวที่ฉวยโอกาศมาเกาะตอนเธอตกน้ำกำลังดูดเลือดของเธออย่างขยันขันแข็ง ความดันโลหิตที่ตกลงเรื่อยๆทำให้เนยเริ่มมึนหัว หมู่โบกี้เลยต้องรีบเอาคบไฟจี้ก่อนที่หญิงสาวจะเสียเลือดมากไปกว่านี้ ร่างของสัตว์ปรสิตดิ้นพราดๆเหมือนโดนกรอกขี้เถ้ายัดปากก่อนจะแน่นิ่งไป
ในที่สุด ปลิงหงอน3แฉกตัวสุดท้ายก็ยอมปล่อยปากทรงกลมน่าอุบาทย์จากเนื้อของเป้าหมาย ไอ้ตือก็กลับมาจากการเอาไข่จระเข้ไปคืนพอดี ตัวของเขาก็มีปลิงอันตรายบวมเป่งหลายตัวเกาะอยู่เป็นผลมาจากการตกน้ำตอนที่โดนปลาโคลนพ่นกระสุนใส่และโดนท่อนไม้ปลิวใส่ หมู่โบกี้ก็ใช้คบเพลิงช่วยจี้ปลิงให้ออกจากร่างอ้วนของเพื่อนร่วมงานในสภาพบักโกรก
นี่คือผลจากการต่อสู้กับสัตว์ร้ายแห่งหนองน้ำเน่า
หมวดเอกโดนแย่งปืนHK-33พร้อมกระสุนไปแถมยังเสียเลือดมากจากการโดนปลิงหลายตัวรุมสูบเลือด แผลได้รับพิษของคางคกพ่นพิษ มีรอยแผลไม่ทราบที่มาอื่นๆอีกเต็มตัว
หมู่โบกี้โดนซุงผุๆอัดจนมีแผลถลอก อวัยวะหลายส่วนฟกช้ำ มีแผลจากปลิงบ้างในหลายที่ โดนพิษคางคกเหมือนกัน
จ่าปลาโดนหวดสีข้างเข้าไปเต็มๆ มีแผล3แผลตรงกลางหลังจากการโดนปลิงกัด แถมยังมีตุ่มจากการโดนฝูงยุงที่มารับลูกรุมกัด หมวดกระเด็นหายไปตอนที่โดนจระเข้ขว้างปลิงใส่
กอล์ฟโดนกรงเล็บจระเข้จนเป็นแผลถากๆ4ขีดบวกด้วยการโดนหลังขาหน้ากระแทกเข้าเต็มๆ คาดว่าฟกช้เล็กน้อยำ มีแผลจากปลิงที่ขา2จุดแถมโดนพิษคางคกด้วย
ชาติไหล่หลุดจากการโดนขนุนหล่นใส่แถมมีดพร้าประจำตัวขึ้นไปปักอยู่บนยอดต้นไม้แล้ว ร่างกายฟกช้ำจากการหกล้ม
ตือมีรอยโดนต่อยอัดพุงจนจุก บวกด้วยแผลจากปลิงหลายจุดตอนตกน้ำ ก้นมีรอยฟันของปลาช่อนที่งับตูด ขามีแผลจากการถูกปลาหลายตัวกัด
เนยก็โดนปลิงงับหลายที่เช่นกันเนื่องจากตกน้ำ พิษคางคกสาดไปโดนแผลที่โดนตุ๊กแกกัด ร่างกายฟกช้ำจากการโดนจระเข้ฟาดหาง
สมบัติมีรอยปลิงแค่รอยเดียว ตัวฟกช้ำจากจระเข้ฟาดหาง โดนงูไม่มีพิษกัดที่แขนรอยนึง
ฟองดูมีขนหนาช่วยกันปลิง แต่ก็โดนยุงรุมกัดซะยับเยิน โดนจระเข้กัดถากๆที่ขาหลัง
ใช้กระสุนลูกซองไป15นัด
ทุกคนตาระคายเคืองจากพิษคางคก โคลน และ น้ำลายแมลงวัน รวมทั้งเสียเลือดจากการโดนปลิงและยุงทำร้าย
เห็นได้ชัดว่าสงครามมีแต่ความสูญเสีย ขนาดฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังไม่ตายซักคนแต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาหละก็ ต่อคงจะลำบากแน่นอน หลายคนได้รับบาดเจ็บ ต้องช่วยพยุงไป ตอนนี้แม้จะข้ามหนองเห็ดกระสือมาได้แล้ว แต่เหล่าผู้กล้าก็เดินทางต่อไม่ไหวแล้ว เกือบทุกคนอยู่ในสภาพโทรมสุดขีด ร่างกายมีแต่บาดแผลเปื้อนพิษ
เจ้าฟองดูขณะที่กำลังเลียแผลมากมายบนร่างกาย ก็เห็นตะกวดตัวหนึ่งเดินคาบปลานิลตรงมาหา ใช่แล้ว ไอ้ตะกวดกวนส้นเท้าที่เคยยั่วน้ำลายมันตอนอยู่อีกฝั่งนึงนั่นเอง ยังตามราวีไม่เลิกนะไอ้เข้น้อย
"ก่ะ ก่ะ แกรรรร ซี่ แฮร่"ตะกวดตัวนั้นวางปลาลงต่อหน้าฟองดู ก่อนจะยิ้มน้อยๆให้ มันแลบลิ้นสองแฉกเป็นจังหวะ ยกขาหน้าขึ้นแนบเหนือตา(มันไม่มีคิ้ว)ก่อนที่จะเดินเข้าป่าไป ตะกวดตัวนี้มาแสดงความนับถือที่คนกลุ่มนี้รอดจากบอสจระเข้มาได้ มันนับถือใครก็ตามที่มีฝีมือดี
"บรู๋วววววว"เจ้าฟองดูหอนรับก่อนจะเกาแผลยุงกัดต่อ
"เฮ้ย ตรงนั้นมีคนอยู่ บาดเจ็บด้วย ไปช่วยกันเร็ว"เสียงของชายปริศนาโผ่ลขึ้นมาจากดงไม้ เขาและพรรคพวกรีบเข้ามาช่วยหมู่หมูมะนาวที่อยู่ในสภาพเหมือนไปสู้วัวกระทิงมา หมวดเอกและพรรคพวกเพลียเกินกว่าที่จะสังเกตุว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร ผลข้างเคียงของการเสียเลือดมากคือทำให้ง่วง เปลือกตาของพวกเขาหนักอึ้งจนไม่สามารถฝืนได้ เหล่าผู้พิทักษ์แห่งพงไพรต่างค่อยๆหลับอย่างอุ่นใจเมื่อการช่วยเหลือมาถึง
"เรา รอด แล้ว"
ประโยคสั้นๆสามพยางค์ใช้สื่อแทนคำพรรณาลึกซึ้งนับล้านคำได้เป็นอย่างดี
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:33:05 GMT
13.sickened village : หมู่บ้านแห่งความเจ็บป่วย
หลังจากที่รอดชีวิตจากหนองเห็ดกระสือมาได้แล้ว ทั้ง9ชีวิตก็ได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านแห่งหมู่บ้านลึกลับในป่า ถึงรู้ว่าป่านี้เต็มไปด้วยอาชญากรที่ซ่อนตัวอยู่และชาวบ้านป่าไร้สัญชาติจำนวนหนึ่ง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าแถวๆหนองเห็ดกระสือที่ทั้งเหม็นและอันตรายกลับมีหมู่บ้านเล็กๆแฝงอยู่ ไม่เพียงแต่มีชาวบ้านใจดีช่วยชีวิตเอาไว้ ข่าวดียิ่งกว่ารออยู่ข้างหน้าแล้ว
"พี่น้ำเต้า หนูมาตามหาพี่ ดีจริงๆที่พี่ยังมีชีวิตอยู่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่เป็นยังไงบ้าง ทำไมพี่ไม่กลับกองพัน"จ่าปลาเจอตัวพี่ชายที่หายไปแล้ว ดาบน้ำเต้า รองหัวหน้าหมู่กะเพราทมิฬอันเปี่ยมไปด้วยชื่อเสียงและชื่อเสียนั่นเอง
ฉากสุดซึ้งแบบที่ละครน้ำเน่าไม่แพ้หนองเห็ดกระสือก็บังเกิด ผู้หญิงวิ่งจนตัวปลิวกระโดดเข้าสวมกอดผู้ชายในบรรยากาศที่เหมือนนิยายรักกระท่อมน้อยกลางป่า ในความเป็นจริงแม้มันไม่ได้มีฉากหลังเป็นสีชมพู มีดนตรีเลี่ยนๆเล่นประกอบหรือมีเทพคิวปิด(กามเทพ)มาแผลงศรปลายหัวใจใส่ แต่ฉากนี้ก็นับว่าซึ้งที่สุดตั้งแต่เดินทางมาเลยทีเดียว ไม่แพ้ตอนที่ได้ลงจากรถพิโรธที่ไอ้ตีนผีจิงโจ้ขับเลยแหละ(หมวดเอกซึ้งใจกับฉากนั้นมาก)
ถึงจะเป็นพี่ชายกับน้องสาวแทนคู่รักสะดุดล้มแบบในละครชั่งกิโลขาย ฉากนี้ก็ทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่เดนตาย(เพิ่งได้รับคำวิเศษนี้ตอนที่รอดจากสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายแห่งหนองน้ำได้เนี่ยแหละ)นึกถึงฉากสุดพีคในละครเบาสมองที่พวกเขามักจะไปออกันดูยามที่อยากให้สมองโล่งปลอดโปร่งหลังจากเครียดกับการดูแลสัตว์บาดเจ็บและไปยิงสู้กับชนเผ่าที่ไม่เป็นมิตร
"อ้าว น้องปลา ทำไมน้องมากับพวกหมูมะนาวได้เนี่ย ไม่ยักกะรู้มาก่อนเลยว่าหมู่หมูมะนาวออกมาตามหาเรา"ดาบน้ำเต้าถามด้วยความประหลาดใจยิ่งนัก ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอน้องสาวในที่แบบนี้
"จริงๆเราได้รับคำสั่งให้มาหาต้นตอของเรื่องประหลาดต่างๆที่เกิดขึ้นแถวๆนี้หนะ แล้วเมื่อกี้นี้เราก็เจอเรื่องประหลาดชุดใหญ่จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ไปๆมาๆเราก็เริ่มคิดแล้วว่าจะถอนตัวจากภารกิจนี้ยังทันอยู่หรือเปล่า"หมวดเอกคุยกับดาบน้ำเต้าอย่างตึงเครียด ทั่วร่างมีผ้าพันแผลพันเอาไว้หลายจุด ปลิงหงอนตัวร้ายสร้างบาดแผลให้เขาชุดใหญ่เลยทีเดียว
"เอาจริงดิ"ดาบน้ำเต้าถามอย่างขุ่นข้องใจ เขาเองก็ไม่เคยคิดจะล้มเลิกภารกิจแม้จะอันตรายเสี่ยงตายขนาดไหนก็ตาม หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นหน้าที่อันมีเกียรติและศักดิ์ศรี ถึงแม้จะแอบรับส่วยจากพวกสายดาร์คเป็นบางครั้ง แต่ยังไงต่อให้สิงโตกินขี้ก็ยังเป็นสิงโตอยู่ จริงมั้ย?
"งั้นถามหน่อย หมู่กะเพราทมิฬเหลือสมาชิกกี่คนแล้ว มีใครมั่ง หืม"หมวดเอกถามพร้อมยิ้มน้อยๆใส่ สมาชิกหมู่เขาเองก็บาดเจ็บกันไม่น้อยเลยขามา
"ก็เออ ตอนนี้ก็มีหัวหน้าหมู่ หมวดเป้า ผม แล้วก็ เจ้าหน้าที่ จั่วกับแห้ว"ดาบน้ำเต้าพูดตะกุกตะกัก
"แล้วอีกคน?"หมวดเอกถามต่อ
"เจ้าหน้าที่กรอบโดนพวกลักลอบค้าไม้จับตัวไป คิดว่านะ เราหนีหมูป่าท่าทางแปลกๆตัวนึงแล้วกระจัดกระจายกันไปคนละทาง พอกลับมารวมตัวไอ้กรอบก็ไม่อยู่ซะแล้ว"ดาบน้ำเต้าเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ให้ฟัง
"งั้นเล่าตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยว่าพวกนายเจออะไรมาบ้าง"หมวดเอกคาดคั้นคำตอบ
"เราตอนแรกก็ไม่เจออะไรผิดปกติ กลางทางก็ค้างคืนที่บ่อนสุขสบาย แล้วก็ผ่านมาด้วยดีจนกระทั่งเราเจอตั๊กแตนตำข้าวยักษ์โจมตีไอ้จั่วระหว่างนั่งขี้"
ฮ้าดเช่ยยย!!!เสียงจามดังออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง พอเดาได้ว่าใครพักฟื้นอยู่ตรงนั้น
"เราก็เข้าไปยิงตั๊กแตนยักษ์ ยิงไปแต่มันไวมาก เรายิงมันไม่โดนเลย มันตกใจหนีเราไป เราก็เดินทางกันต่อ เราติดต่อศูนย์ไม่ได้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จากนั้นเราก็เลยข้ามหนองเห็ดกระสือมาเจอที่นี่เราเลยอยู่ยาวจนกว่าภารกิจจะเสร็จ แต่อาวุธเราไม่แรงพอที่จะฝ่าสัตว์ประหลาดฝูงเบอเริ่มไปได้"ดาบน้ำเต้าเล่าการผจญภัยของตนอย่างเมามัน
"แล้วที่หนองน้ำไม่เจอสัตว์ประหลาดเหรอ"หมวดเอกถาม เขาเองก็พึ่งผจญหมู่มารมาหยกๆ
"เราเดินอ้อม"ประโยคนี้ทำให้หมวดเอกแทบล้มทั้งยืน เขาน่าจะยอมเสียเวลาเดินอ้อมดีกว่าโดนปลิงตัวเท่าขวดน้ำ500ccรุมสูบเลือดนะ
"แล้วหมู่หมูมะนาวเจออะไรที่หนองน้ำมาละเนี่ย แต่ละคนดูเค็มปี๋(ดูไม่จืด)กันเลยทีเดียว"ดาบน้ำเต้าถาม
"เราเจอจระเข้ยาว7เมตรเกล็ดสีมรกตที่มีท่อนไม้ยาวเมตรกว่าเป็นอาวุธและยืน2ขาได้ เราเจอปลาดุกยักษ์ที่ชอบกินปืนและเครื่องกระสุนเป็นของขบเคี้ยว เราเจอปลิงปีศาจตัวเท่าฝักข้าวโพดหงอนสีแดงเถือกที่สูบเลือดเราหยั่งกับปอบลง เราเจอปลาตาใสวิ้งวับแอ๊บแบ๊วที่ชอบพ่นโคลนเหม็นโฉ่ใส่หน้าเรา และเราเจออึ่งอ่างพ่นกรดรดตัวเราราวกับพ่อมันเคยเป็นเด็กล้างรถตามอู่ เท่านี้บรรยายครบยังว่าทำไมเราถึงอยู่ในสภาพบักโกรกบุโรทั่งแบบนี้"หมวดเอกพล่ามระบายความอัปยศที่พึ่งผ่านพ้นมาอย่างโมโหร้าย ทำไมเขาไม่ยอมเดินอ้อมบึงนรกนี่ว่ะ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ พับผ่า
"แล้ว รู้ยังว่าต้นตอมันมาจากไหน ไอ้สิ่งที่ทำให้เกิดอาการประหลาดและสัตว์โลกไม่น่ารักพวกนี้"หมวดเอกถาม
"จริงๆพอรู้มาบ้างว่ามันเป็นพลังประหลาดที่มาจากอาคารรูปครึ่งวงกลมที่อยู่ลึกลงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เราไปไม่ถึง เราพยายามหลายครั้งแล้วแต่กระสุนเราไม่พอสู้กับสารพัดสัตว์หนะ ที่แปลกที่สุดคือชาวบ้านเกือบทุกคนในหมู่บ้านนี้ป่วยออดๆแอดๆกันหมด หลายคนอาการหนักมาก พวกเขาเลยนำทางเราไปไม่ได้ เชื่อกันว่าเจ้าป่าเจ้าเขาโกรธที่มนุษย์บุกรุกป่าเลยบันดาลโรคภัยและปีศาจพวกนี้ขึ้นมา"ดาบน้ำเต้าเล่าให้ฟัง
"ถามจริงเหอะ ผู้บังคับบัญชาของแกอยู่ที่ไหน หมวดจะไปคุยกับเค้าหน่อย เดี๋ยวคุยกับรองหัวหน้าหมู่อย่างเดี่ยวจะเป็นการไม่ให้เกียรติคนยศเดียวกัน"หมวดเอกทำท่าจะลุกขึ้นแต่เกิดวูบเซไปมาทำให้ลุกไม่ขึ้น อาการเสียเลือดจากการโดนสัตว์ร้ายหน้าตาชวนขนลุกดูดเลือดหยั่งกับผีกระสือทำให้หมวดเอกอยู่ในภาวะความดันโลหิตต่ำ สารอาหารและอ๊อกซิเจนไม่สามารถส่งไปเลี้ยงร่างกายอย่างพอเพียงเนื่องจากเม็ดเลือดแดงจำนวนไม่น้อยกลายเป็นอาหารปลิงนรกพวกนั้นไปแล้ว
"นอนโคม่าอยู่กระต๊อบหลังนู้นหนะ หมวดชะโดโดนหมูป่าประหลาดๆที่มีรากไม้แปลกๆขึ้นตามตัวพุ่งใส่จนหมอบ แปลกที่เรายิงมันตั้งหลายนัดแต่มันเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย"ดาบน้ำเต้าเล่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานให้สหายฟัง
"หมวดชะโดนี่อึดไม่ธรมดาจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว หมวดผมก็กะว่าจะพักที่นี่ซักคืนแล้วค่อยเดินทางต่อ ขอทำความรู้จักกับผู้มีพระคุณหน่อยซิ อู้ยยยยย"หมวดเอกทำท่าจะลุกขึ้นแต่ร่างกายเขาเพลียและเสียเลือดมากเกินกว่าที่จะเดินเหินได้เหมือนเก่า ลูกน้องเขาก็สะบักสะบอมไม่แพ้กัน
"ผมเปคนช่วยคุไว้เอง"ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูด ชาวบ้านแถบนี้ส่วนใหญ่นุ่งโสร่งและไม่ใส่เสื้อกัน ความสามารถพิเศษคือสามารถพูดได้2ภาษา ทั้งสองฝั่งของสองประเทศ ถึงความสามารถนี้จะเป็นประโยชน์แต่ ก็เหมือนเป็ด ขันก็สู้ไก่ไม่ได้ บินก็สู้นกไม่ได้ ออกไข่ก็สู้ห่านไม่ได้ ว่ายน้ำก็สู้ปลาไม่ได้ วิ่งก็สู้หมาไม่ได้ ผลคือ พูดได้หลายภาษาแต่สำเนียงฟังแทบไม่รู้เรื่อง
"อย่าเอาแตพู้ดอย่างนี้ซี่ เราต่าหาก ผมก็ช่วยคุไว้น้า"ชาวป่าอีกคนมาพูดทักท้วงคนแรก ทั้งสองคนอายุน่าจะไล่เลี่ยกัน ข้อสังเกตุคือคนแรกโพกหัวด้วยผ้าโพกหัวสีมอมๆ คนที่สองใส่โสร่งยาวกว่าคนแรก
"ผม สมาน เรี่ยก ตาหมานก็ได้"คนที่โพกผ้าบอก
"ผม ตะโก้ เลียก ตาโก้ก็ได้"คนที่ใส่โสร่งยาวๆบอก
ทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้ม ตามแบบฉบับชาวบ้านไร้เดียงสาและร้ายเดียงสา ไม่ใช่ชาวบ้านทุกแห่งจะเป็นมิตรและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แต่การที่พวกเขาไม่รูดทรัพย์เราแถมยังช่วยเราออกมาก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีน้ำใจจริงๆ อาจจะนะ
"ขอขอบคุณมากๆเลยครับที่ช่วยผมและเพื่อนร่วมงานของผม หมู่หมูมะนาวกับกะเพราทมิฬซาบซึ้งใจมาก เออ แล้วหมู่บ้านนี้ได้ยินว่ามีโรคระบาด อาการเป็นยังไงบ้างครับ เผื่อผมและพรรคพวกอาจจะรู้วิธีรักษา"หมวดเอกไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร ในหลักสูตรอย่างไม่เป็นทางการของบรรดาเจ้าหน้าที่ วายร้ายทั้งหลายจะพยายามทำให้คู่กรณีติดหนี้บุญคุณเขามากที่สุด นั่นเป็นวิธีขยายอำนาจสไตล์มาเฟีย หากไม่อยากตกอยู่ในอำนาจผู้อื่นอย่าติดหนี้บุญคุณเป็นอันขาด
"อ่ะ อ่ะ อ่ะ หมอหนะ รักษาคุนาไสยม่ายดั้ยหรอก ต้อให้ผีฟ้ารักษา โรคนี้ไม่ได้เก็ดจากเชื้อโร่ค มันเกิดจากคำสาป คำสาปของเจ้าผีปู่แห่งป่านี้ ดูนี่"ตาหมานพยายามพูดสื่อสารกับเจ้าหน้าที่สุดความสามารถ
ตาหมานกับตาโก้ลงบันได(บ้านแถบนี้เป็นบ้านยกใต้ถุนสูงเนื่องจากอยู่ใกล้น้ำ)หายไปซักพักนึง
"นี่พวก นอกจากผีป่าอะไรเทือกนี้แล้ว แถบนี้ยังมีความเชื่อว่ามีเสือสมิงด้วยนะ ไอ้เสือที่สามารถแปลงกายเป็นคนได้ ได้ข่าวว่าช่วงนี้ชาวบ้านโดนมันขย้ำไปหลายคนแล้ว อาจเป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดพวกนั้นก็ได้ หมวดคิดว่ามันจะมีตัวอะไรแบบนั้นอยู่ป่าว"ดาบน้ำเต้าถาม
"แค่เข้สมิงก็ทำหมวดเยินขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ผมไม่อยากพบปะกับสารพัดสิ่งมีชีวิตในจินตนาการที่ดันออกมาให้เห็นในโลกจริงเพิ่มอีกตัว ยังดีที่ไอ้เข้สีมรกตตัวนั้นไม่มีนาฬิกาในท้องไม่งั้น เป๊ะตามนิทานเลย"หมวดเอกเกิดอาการเอียนแฟนตาซีขึ้นทันที แม้ว่าตอนที่เล่นเกมทั้งวันทั้งคืนหรือดูหนังฟอร์มยักษ์ทั้ง7ภาคจะไม่รู้สึกอะไรก็ตาม สัตว์ประหลาดสมควรสู้กับเราในเกมเวลาเราอัพเลเวลและล่าของดรอปไม่ใช่ตอนที่เราออกปฏิบัติภารกิจอันตรายแถมมีลูกซองเดี่ยวดาดๆซึ่งมีกระสุนจำกัด(แถมเป็นลูกปลายสำหรับยิงกระรอกอีก ดันต้องเอามางัดกับสัตว์ประหลาด)
"เอาหน่า ถ้าไม่ไหวจริงๆเราก็กลับกัน อย่างมากก็โดนลงโทษทางวินัยให้ไปเลี้ยงลิงลมซัก2-3เดือน หรือโดนส่งไปประจำการที่ทุ่งหมาหอน"ดาบน้ำเต้าปลอบ
"อะโห ไหนลองบอกชื่อคนรู้จักซักคนที่เคยไปทุ่งหมาหอนแล้วยังหายใจอยู่มาซักคนซิ"หมวดเอกค่อนแคะ
"เออ จำไม่ได้"ดาบสารภาพ
"จะบอกให้รู้นะว่าถึงหุบเขาดงโขมดเย็นจะฉาวโฉ่ที่สุดในประเทศรองจากรัฐสภา แต่ที่ๆมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตระหว่างปฎิบัติภารกิจมากที่สุดในช่วงนี้คือทุ่งหมาหอน กองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่นั่นร้ายกาจไม่ใช่ขี้ๆ แบ๊คมันก็ใหญ่เอาเรื่อง แถมคนในพื้นที่ยังให้ความร่วมมือกับมันอีก เดือนที่ผ่านมาก็เดี้ยงไป18คนแล้ว ยังไม่รวมชาวบ้านชาวช่องนะ "หมวดเอกเล่าเรื่องที่เคยได้ยินมาให้สหายฟัง
"งั้นเราก็ต้องเลือกระหว่างโดนสัตว์ประหลาดกินกับโดนผู้ก่อการร้ายถล่ม ทางเลือกสร้างสรรค์มากจนเลือกไม่ถูกเลย"ดาบตอบ
"เฮ้ออออ เรื่องนั้นไว้พูดกันเย็นนี้ละกัน แล้วตอนนี้เราติดแหง็กอยู่ในหมู่บ้านน้อยๆนี้ ถ้าไอ้ตัวไม่น่าคบทั้งหลายแหล่มันเกิดตามเรามาจะไม่เดือดร้อนกันหมดเหรอ เราควรรีบออกจากแถบนี้ให้เร็วที่สุด ตามสูตรการเคลื่อนกำลัง ถ้าเราเป็นเป้านิ่งจะเสีบเปรียบ"หมวดเอกเสนอความคิด
"นี่ หมวด เราไม่ได้กำลังสู้กับทหารหรือว่าคนนะ มันเป็นสัตว์ สอเสือ-ไม้หันอากาศ-ตอเต่า-วอแหวน-การันต์ สัตว์ มันไม่มีความคิดซับซ้อนพอที่จะวางแผนเข้าโจมตีหมู่บ้านหรอกหมวด มันทำตามสัญชาติญาณอย่างเดียว มันต่างจากคนตรงที่มันจะไม่ทิ้งถิ่นหากไม่จำเป็น มันไม่บุกหมู่บ้านหรอกถ้ามีคนอยู่เยอะๆ อีกอย่าง ชาวบ้านพวกนี้น่าจะรับมือสัตว์ป่าได้"ดาบน้ำเต้าพยายามพูดสร้างกำลังใจ จริงๆเขาอยากพักสบายๆมากกว่าออกเดินทางต่อ หัวหน้าหมู่กะเพราทมิฬเองก็สาหัสอยู่ ต้องมีคนคอยดูแล
"อ้อ แต่ไอ้ตัวที่หมวดเจอเมื่อตอนกลางวันมันร้ายเกินสัตว์เลยนะ มันมีความคิด มันวางแผน มันบัญชาการกองทัพเดรัจฉานที่เกือบฆ่าหมวดได้แล้ว หมวดเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะบุกหมู่บ้านหรือเปล่า"หมวดเอกเสดงความกังวลใจออกมาอย่างไม่เก็บสีหน้า แม้ว่าเขาจะนอนแอ้งแม้งสภาพขาดเลือดอยู่บนเรือนไม้ไผ่ก็ตาม
มีเสียงปีนบันไดเรือนไม้ขึ้นมาก่อนที่ตาหมานกับตาโก้และบุคคลปริศนาอีกคนจะปรากฎกายขึ้น
"คุงเจ้าน่าที่ นี่คือตาแหลม เขาป่วยมาเดือนึงแล้ อากานแย่ลงเรื่อยๆตั้งแตโดนของ ผีฟ้ากี่ตนก็เอาไม่อยู่ พลังของเจ้าป่าเจ้เขาแรงเกอไป"ตาหมานบอกเจ้าหน้าที่ตามความเชื่อของชาวบ้านแถบนี้ เบื่องหน้าของหมวดเอกและดาบน้ำเต้าคือชายหนุ่มหน้าตาหมองคล้ำ ท่าทางอ่อนแรงสุดขีดราวกับเพิ่งเดินทางข้ามทะเลทรายซาฮาร่าโดยไม่ได้เตรียมน้ำไป ขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้าอดนอน ตาหมานกับตาโก้ช่วยลากเขามาเหมือนกับลากนักโทษประหารเป็นอัมพาตครึ่งท่อนเข้าสู่ลานยิงเป้า บนร่างกายของเขามีรอยกระดำกระด่างดูน่ากลัว เหมือนก้อนเนื้อตายสีม่วงคล้ำกำลังแพร่กระจายไปทั้งร่าง แผลพุพองหนองไหลช่างดูน่าสยดสยองยิ่งนัก ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ตรงที่เจ้าหนองพุพองไม่ได้มีสีเหลืองเหมือนหนองทั่วไปแต่เป็นสีม่วงใสเหมือนน้ำองุ่นกระป๋องใส่สีแบบไม่เนียนตามร้านสะดวกซื้อ สิ่งที่น่าตกใจกว่าก้อนเนื้อร้ายตรงหน้าคือบริเวณไหล่ขวาของตาแหลมมีก้อนเนื้อยื่นออกมาเหมือนมืออีกข้าง แถมตรงโคนเนื้องอกมีลูกตาที่ไร้ตาดำโผ่ลออกมาดวงนึง สีหน้าของหมวดเอกบ่งบอกถึงความอยากกลับบ้านสุดชีวิต นอกจากบ้านแล้วโรงบาลรักษาอาการทางจิตเป็นสถาณที่ต่อไปที่หมวดคิดจะไป
"โอ้ว พระเจ้า พระสงฆ์ พระแม่ นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับ...ขอร้องหละ ช่วยพาเขาไปหาหมอจริงๆซักทีก่อนจะแย่ไปกว่านี้ เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหารเผื่อผมนะ คงกินอะไรไม่ลงจนถึงพรุ่งนี้แล้วหละ แล้วคนอื่นๆมีอาการป่วยแบบนี้เหรอคุณสมาน"หมวดเอกทำหน้ายู่ยี่เหมือนผ้าขี้ริ้ว สีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าหมวดพยายามกลั้นไม่ให้อ้วกแตกคาเรือนขนาดไหน สิ่งที่หมวดเห็นทำให้เขาอยากสลบไปให้พ้นๆไปจากตรงนี้เลย
''ปล่าว แต่ละคงโดนคำสาปไม่เหมือกัน นี่คือโดนคำสาปกายแปรปรวญ มีอีกหลายคงที่โดนสาปต่างกังไป เจ้าป่าคงพิโรธมากๆ"ตาหมานพูด ท่าทางเขาดูกลัวๆประหม่าๆเวลาพูดถึงมัน
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็พาตาแหลมไปพักผ่อนที่กระต๊อบเดิม หมวดเอกกับดาบน้ำเต้าหันมามองหน้ากันในทันใด
"รู้มั้ยตาแหลมโดนอะไรมาถึงได้เป็นแบบนั้น อาการน่าเป็นห่วงมาก เห็นแล้วขนลุกตั้งแต่กระหม่อมยันหลังเท้า"หมวดเอกถามในทันที
"ตามที่เขาเล่าก็ไปเก็บของป่าหาเห็ดหาผลไม้ไปเรื่อย แต่แล้วอยู่ๆก็เกิดพลังเทพเจ้าอะไรซักอย่าง พอผ่านไปเดือนนึงก็เริ่มป่วยแล้วค่อยๆกลายเป็นแบบนี้ ถ้าเจ้าป่าเจ้าเขาพลังระดับนี้น่าจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเทวดาไปตั้งนานแล้ว"ดาบน้ำเต้าพูด
"ดูยังไงไอ้สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้น่าจะไม่ใช่เชื้อโรค มันไม่แพร่ระบาดแต่เกิดกับสิ่งมีชีวิตเฉพาะในพื้นที่แถบนี้เท่านั้น หมวดมั่นใจว่ามันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องสารพัดสัตว์ประหลาดที่เราเจอมาตลอดการเดินทางไม่มากก็น้อย ถ้าวัดกันแบบนี้ 2เดือนก่อนเกิดพลังเทพเจ้าอะไรนั่น ตรงกับเหตุการที่พวกโสร่งฟ้องมาว่ายิงคอปเตอร์ตกในแถวๆนั้นตามที่สารวัตรบอก เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกันก็ได้ มันชักจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วสิ"หมวดเอกวิเคราะห์ ในหัวของหมวดเริ่มมีความเครียดก่อตัวขึ้น เรามีตัวต่อจิ๊กซอหลายตัวแต่มันยังไม่มากพอที่จะเรียงกันออกมาเป็นภาพใหญ่ได้ ต้องมีหลักฐานข้อมูลมากกว่านี้
"ผมว่าหมวดนอนพักก่อนเถอะ คนเราจะฟื้นตัวได้ดีที่สุดเวลานอนหลับ เย็นนี้เดี๋ยวผมปลุกเอง"ดาบน้ำเต้าพูดก่อนที่จะเอนกายพิงเสาเรือนที่อยู่ไกล้ๆ หมู่บ้านน้อยๆแสนสงบนี้ถึงจะดูไม่มีอะไร แต่ทุกคนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความหวาดกลัวและความเจ็บปวด สิ่งชั่วร้ายค่อยๆบั่นทอนชีวิตและกัดกินจิตใจของผู้คน อารมณ์เหมือนได้เห็นเมืองที่ถูกกาฬโรคผลาญทำลาย ช่างน่าหดหู่และพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูก
แต่ในเวลาแบบนี้แล้ว หมวดเอกอ่อนเพลียเกินกว่าจะคิดเรื่องราวน่าปวดหัวเหล่านี้ต่อ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือนอนพักซักตื่นแล้วค่อยมาวางแผนกันตอนเย็น ลูกน้องผู้แสนจะเก่งกล้าสามารถของเขาก็หลับกันเป็นแถบ ไม่แปลกใจเลย แม้แต่เจ้าฟองดูยังนอนหงายเอ๋งสลบเหมือดจากการเอาชีวิตรอดจากหนองน้ำอำมหิตนั่น
5ชั่วโมงผ่านไป ฟ้าเริ่มมืด เวลาแห่งการหากินของสัตว์ร้ายมาถึงแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ออกไปหาของป่าก็กลับมากันเกือบหมดแล้ว นับวันยิ่งมาคนหายสาบสูญมากขึ้นและบ่อยขึ้น สถาณการก็เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ สัตว์แปลกๆ คนป่วยๆ บ้านประหลาดๆ ทั้งหมดหลอมรวมเป็นความเครียดอันน่าอึดอัดในหุบเขาแห่งฝันร้าย
ฝันร้ายที่ครั้งหนึ่งถูกเรียกว่า บ้าน
"ตื่นได้แล้วหมวด มื้อเย็น พวกเราจะมาคุยกับผู้ใหญ่บ้าน เออ พ่อใหญ่ของหมู่บ้านนี้หนะ พวกเขาก็มีเรื่องอยากปรึกษากับเราเหมือนกัน เราจะได้เจอชาวบ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตาและจะได้รวบรวมหลักฐานให้มากที่สุด เดี๋ยวผมพยูงหมวดไปที่ลานกองไฟนะ"แทนที่ดาบน้ำเต้าจะมาปลุกหมวดเอก คนที่ปลุกหมวดกลับเป็นหมู่โบกี้ผู้ภัคดีและขี้ประจบแทน
"โอยยยย พอได้พักฟื้นแล้วรู้สึกดีขึ้นเป็นกองเลย แล้วคนอื่นๆไปรวมกันหมดแล้วหรือยัง"หมวดเอกถาม
"เรียบร้อย ทั้งหมู่กะเพราทมิฬและหมู่หมูมะนาวมารวมตัวกันที่ลานกองไฟเรียบร้อยแล้ว ถ้าหมู่หอยแครงลวกกับหมู่ลิงละลายมาด้วยก็รวมเป็นหมวดพอดี เสียดายที่พวกนั้นไม่ได้มาด้วย ถ้ารวมเป็นหมวดพวกเราทำงานกันได้สุดยอดจริงๆตอนซ้อมคราวที่แล้ว"หมูโบกี้เริ่มย้อนอดีต
"อย่าพูดถึงมันเลย เราทั้งหมวดยังจับไอ้แก๊งค์สิงค์อุ้มลูกล้อไม่ได้เลย ตามจับมันมาตั้งแต่มันเริ่มค้ายาจนป่านนี้เกษียณไปจะครึ่งแก๊งค์แล้วยังสอยได้แค่สมุนปลายแถว ตอนซ้อมก็ทำให้หมวดซึ้งอยู่หรอกนะ แต่ตอนทำงานจริงทำไมมันเละเป็นเต้าหู้เสฉวนวะ มิข้าวจัย"หมวดเอกเบือนหน้าหนีระหว่างที่พยายามลุกขึ้นให้หมู่โบกี้พยุงไป อดีตอันไม่น่าพูดถึงเท่าไหร่ทำให้หมวดเอกแทบไม่อยากทำงานร่วมกับหมู่ลิงละลายอีกเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากได้นั่งรถที่มีจิงโจ้(ยอดนักซิ่งจากหมู่ลิงละลาย)เป็นคนขับ(ก็แกไม่ยอมคืนเงินหมวดดนัยซักที มันไม่มีค่าเหล้าก็ต้องโมโหสิ)
หลังจากผ่านบ้านมุงใบจากและกระต๊อบโทรมๆหลายหลังจนถึงลานกองไฟ สถาณที่รวมตัวในพิธีสำคัญและไม่สำคัญของหมู่บ้าน เอาเป็นว่ามารวมตัวกันปิ้งปลาย่างไก่ต้มหน่อไม้กันแทบทุกเย็นที่ไม่มีฝนตก ลานนี้เหมือนลานลูกเสือมาตรฐานที่มีขอนไม้แห้งราวๆ8ท่อนล้อมรอบกองไฟขนาดใหญ่ตรงกลาง ดีที่เย็นนี้ไม่มีฝนตก แค่มีลมหนาวพัดไปมาเฉยๆ รอบๆกองไฟลุกโชนมีชาวบ้านหน้าตาอมทุกข์หน้าเครียดกำลังกินเขียดปิ้งซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาฝ่าดงไอ้เข้ไปจับมาได้ยังไง ท่ามกลางหมู่ชาวบ้าน มีคนที่ป่วยด้วยโรคประหลาดอีกหลายคน ราวๆครึ่งนึงของหมู่บ้านนี้ ตามที่ตาหมานเคยบอก แต่ละคนอาการป่วยไม่เหมือนกัน บางคนมีเนื้องอกพุพองน่ากลัวแบบตาแหลม บางคนอวัยวะบิดเบี้ยวจนสงสัยว่ายังใช้การได้อยู่หรือเปล่า บางคนมีขนขึ้นในตรงที่ไม่ควรจะมี เหมือนเป็นโรคมนุษย์หมาป่า บางคนที่อาการหนักๆมีกระดูกสีขาวโพลนแทงทะลุออกมาจากสันหลังและมีเส้นเลือดแห้งๆพันอยู่เป็นบางจุด นั่นแหละอาการของพ่อใหญ่แห่งหมู่บ้านลับแล ตามหลังเขามีแผงกระดูกแทงออกมาดูไม่ตางจากแผงหลังของไอ้เข้ที่เขาเพิ่งรบรันพันตูเมื่อตอนกลางวัน
"อาวหละ ครบองค์ประชุมแล้ว วันนี้หมู่บ้านเรามีอาคันตุกะจากนอกหุบเขามา พวกเขาคือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ผู้ซึ่งมาจากในเมือง พวกเขาจะอยู่กับเราซักพักก่อนจะกลับ แต่พวกเขาจะขอความความร่วมมือจากเรา หวังว่าทุกคนจะเข้าใจนะ(ทุกคนรู้ว่าไม่ควรมีปัญหากับเจ้าหน้าที่เพราะ...)"พ่อใหญ่แห่งหมู่บ้านนี้พูดอย่างชัดเจนผิดแผกไปจากลูกบ้านคนอื่น ที่สำคัญยังดูมีฟอร์มกว่าลูกบ้านทั้งหลายด้วยถึงแม้จะป่วยหนักแถมมีอวัยวะประหลาดงอกออกมาจากหลัง แต่เขาก็ยังดูน่าเคารพอย่างน่าประหลาด
"งั้นขอถามทุกคนนะครับว่าเจ้าสิ่งที่กำลังคุกคามหมู่บ้านนี้ เจ้าคำสาปหรือพลังอะไรก็แล้วแต่มันมาจากไหน ผมและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆถูกส่งมาเพื่อสืบค้นเกี่ยวกับสิ่งประหลาดเหล่านี้"หมวดเอกยืนขึ้นแล้วประกาศ
"ไม่ได้นะคุงเจาหน้าที่ มันไมใช่โรคภายธัมดา มันเป็นความโกรธของเจ้ป่าเจ้เขา เทพเจ้าจะโกรธถ้าหากคุงลบหลู่ท่าน เราจายิ่งแย่ แถมท่านจะบันดาลให้ปีศากออกมาฆ่าเลาด้วย ขอร้อหละท่านกลับปัยเถอะ "ชาวบ้านที่มีก้อนมะเร็งน่ากลัวเกาะอยู่บนหัวทักท้วง
"ช่ายๆ อย่าลบหลู่เทพแห่ป่า ของที่นี่แรงมาก อย่าเสี่ยงเลยดีกว่า แค่นี้เลาก็แย่พอแล้ว "ชาวบ้านอีกคนทักท้วง
"แต่หัวหน้าของผมสั่งมาให้ไปตรวจสอบดูนะครับ ถ้าผมกลับไปมือเปล่าผมก็แย่หนะสิ คนของผมก็แย่ด้วย"หมวดเอกพยายามไกล่เกลี่ย
"ไม่ อย่าไปเลย ท่างเจ้าป่าไม่ไว้ชีวิเราแน่ห่าเราปล่อยให้มีคนลุกล้ำเข่ตของเทพเจ้า"ชาวบ้านคนแรกพูดก่อนที่คนอื่นๆจะส่งเสียงสนับสนุน ลานกองไฟตอนนี้เริ่มเปลี่ยนจากความเหงาหงอยเป็นความขัดแย้งย่อยๆ
"ทุกคน หยูดดดดดด เหล่าเจ้าหน้าที่ถูกบังคับให้มาทำ เขาจำเป็นต้องทำ ดังนั้นผมจะเสนอวิธีให้ ให้พวกเขาเอาขวดแดงไป เพื่อเป็นการแสดงถึงความนอบน้อมต่อเทพเจ้า"พ่อใหญ่เสนอแนะ ชาวบ้านบางส่วนยังทำท่าทางไม่พอใจแต่หากมีขวดแดงไป เจ้าป่าเจ้าเขาก็น่าจะไม่พิโรธ นี่น่าจะเป็นข้อเสนอที่ยอมกันได้
"พลังของเทพแห่งป่ามาจากทิศที่ดวงตะวันลับขอบฟ้า บ้านประหลาดทรงครึ่งวงกลมทำให้เกิดอาเพศ ท่านเทพารักษ์ไม่พอใจในวัตถุแห่งความชั่วร้ายที่มนุษย์ผู้โง่เขลานำก่อร่างสร้างไว้ ท่านจึงสาป สาปพวกเราทุกคน คุณเจ้าหน้าที่ ได้โปรด หากท่านพบเทพผู้กำลังพิโรธ ท่านจงอ้อนวอนต่อท่านเทพให้ถอนคำสาปอันแสนทรมาณให้แก่หมู่เราด้วยเถิด พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด"พ่อใหญ่ขอร้องเรา ซึ่งหมวดเอกดูออกว่านั่นคือการแสดง พ่อใหญ่อยากให้ชาวบ้านสบายใจจึงพูดแบบนั้นออกไป สิ่งชั่วร้ายที่ทำให้เกิดโรคอันตรายและอสูรกายไม่ได้เป็นฝีมือของเจ้าป่าเจ้าเขา แค่มองเข้าไปในแววตาก็รู้ได้
ทุกคนในหมู่บ้านเงียบกริบ ก่อนที่จะหันไปคุยกันเรื่องอื่น มีชาวบ้านหลายคนมารุมล้อมเจ้าหน้าที่พร้อมแนะนำเรื่องการเดินทางและเรื่องการสวดอ้อนวอน หมู่โบกี้กับจ่าปลาจดขั้นตอนการสวดอ้อนวอนยาวเหยียดแทบไม่ทัน
"นี่คุณเจ้าหน้าที่ ขอให้ช่วยอะไรหน่อยได้หรือเปล่า หลานสาวของป้าหายไปเป็นอาทิตย์แล้ว ขอร้องหละ ช่วยตามหาให้ที"คุณป้าคนหนึ่งที่ท่าทางจะป่วยเหมือนอีกหลายๆคนเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาหาหมวดเอก เสียงของคุณป้าสั่นเครือ คุณป้าคนนี้แค่มองแว้บเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังกังวลใจยิ่งกว่าคนอื่นๆ
"หลานสาวคุณป้าหายเหรอครับ ช่วยบอกหน่อยว่าหลานป้าหน้าตาเป็นยังไงเผื่อผมเจอจะได้รู้"หมวดเอกให้ความสนใจคุณป้าคนนี้มากเป็นพิเศษเพราะป้าท่าทางจะเป็นห่วงหลานสาวมาก หัวใจคุณป้าคงแตกสลาย สำหรับผู้ปกครองแล้ว ลูกหลานหายนับเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากถึงมากที่สุด
"เป็นเด็กผู้หญิงอายุ10ขวบ ผมสั้นประมาณประบ่า ใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวยาวถึงเข่ากางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ผมดำ ตาดำ(แหงอยู่แล้ว คนเอเชีย)นิสัยค่อนข้างซน แต่ก็เชื่อฟังบ้างเป็นบางครั้ง เธอชื่อน้ำอ้อย ส่วนป้าชื่อแม้น เรียกยายแม้นก็ได้ น้ำอ้อยชอบหนีไปเล่นในป่าอยู่เรื่อยแต่ปกติมักจะกลับมาก่อนมืด เมื่ออาทิตย์ที่แล้วน้ำอ้อยไม่กลับมา ชาวบ้านออกตามหาก็หาไม่เจอ ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง แต่ป้าเชื่อว่าน้ำอ้อยยังมีชีวิตอยู่ ขอร้องหละ ช่วยตามหาให้ที"ยายแม้นเกาะมือหมวดเอกแน่น น้ำตาคลอเบ้า ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆมาจากยายแม้น
"ถ้าผมเจอน้ำอ้อยแล้วน้องยังอยู่ ผมกับเพื่อนๆจะพากลับมานะครับ"หมวดเอกรับคำไป(ก่อนที่หมวดจะเริ่มคิดว่า ไม่น่าเลยยยย)
"แล้วพวกคุณจะออกเดินทางเมื่อไหร่"พ่อใหญ่ถาม
"พรุ่งนี้เลย ยิ่งออกเดินทางเร็วเท่าไหร่ งานเราก็ยิ่งเสร็จเร็วเท่านั้นและเราก็จะหาทางรักษาพวกคุณได้เร็วมากเท่านั้น "หมวดเอกตอบอย่างมั่นใจจนหมู่โบกี้และบุคคลในสังกัดหันควับมามองที่หมวดอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่ไอ้ชาติยังทำหน้าบ่งบอกว่า เอาจริงดิหมวด เรายังเยินอยู่เลยนะ ผิดจากนักข่าวสายสมบุกสมบันทั้งสองที่ทำหน้าบอกว่า ภาพแจ๋วๆเพิ่ม นี่คืออาการขั้นสุดท้ายของโรคทรัพย์จาง กลัวจนมากกว่ากลัวตาย
หลังจากเห็นสีหน้าของคนในสังกัดแล้วหมวดเอกก็เอ่ยประโยคสุดเชือดเฉือนจากหนังพ่อมดภาคเยอะตอนนึงขึ้นมาว่า
"บางครั้งคนเราต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ง่ายดาย การเลือกจะบ่งบอกถึงระดับความเป็นคนของคนๆนั้น ผมมั่นใจว่าหมู่หมูมะนาวที่ผมภาคภูมิใจมีความเป็นมนุษย์อยู่เต็มเปี่ยม จริงมั้ย เฟรนด์"หมวดเอกพูดก่อนที่จะชำเลืองมองคนในสังกัดอย่างมั่นใจ ทั้งหมู่และจ่าบวกสมาชิกไร้ยศทั้งหลายต่างพากันหางตากระตุกกันเป็นทิวแถว ความรู้สึกเหมือนโดนพ่อแม่ดุ(อาจจะถึงขั้นประหาร)ตอนยื่นสมุดพกหวนกลับมาในความทรงจำวัยเด็กแทบจะในทันที
"เยี่ยม งั้นหมู่กะเพราทมิฬหละ จะไปกับเรามั้ย"หมวดเอกหันหน้าไปถามดาบน้ำเต้า พี่ชายสุดที่รักของจ่าปลา
"จริงๆก็อยากไปด้วยอยู่หรอกนะ แต่ผมกับคนอื่นๆต้องดูแลหัวหน้าหมู่ผมอะดิ หมวดชะโดยังไม่หายดี แต่จะกลับฐานเลยก็ไม่ได้ ไอ้กรอบก็โดนจับตัวไป ผมเองก็จนปัญญาจะลุยเพราะกระสุนไม่พอ งั้น ฝากหมวดเอกด้วยละกัน เดี๋ยวไปเอาของที่หมวดเป้านะ ของบางอย่างหมวดอาจต้องใช้"ดาบน้ำเต้าว่าก่อนจะกลับไปพุ้ยมันเผาเข้าปากต่อ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆที่มีน้องสาวมาให้กำลังใจถึงที่ แม้จะแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ตามเถอะ แถมบรรยากาศยัง...ช่างมันเถอะ ไม่ต่างจากโรงพยาบาล รอบกายมีแต่คนป่วยออดๆแอดๆเพิ่มเติมคือความน่าสยอง
"เอาจริงดิ โยนความรับผิดชอบกันดื่อๆแบบนี้เลยเหรอ แต่จะว่าไป นายก็ส่งคนมาช่วยซักคนสองคนก็ได้หนิ ว่าไง"หมวดเอกท้วงกลับพร้อมกับกำลังคิดอะไรเพลินๆ
"อืมมมม นอกจากจะต้องดูแลหมวดชะโดแล้ว เรายังต้องจัดการเรื่องช่วยเหลือชาวบ้านในหลายๆเรื่องเนื่องจากพวกเขาให้เราอยู่อาศัยด้วย แถมยังมีเรื่องจุกจิกอีกเยอะ ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ช่วยหน่อยก็ไม่ได้ เดี๋ยวหมวดชะโดหายดีเมื่อไหร่ กะเพราทมิฬค่อยไปตามไอ้กรอบเอง (ถ้ายังอยู่นะ)"ดาบน้ำเต้าพูดก่อนจะกินมันเผาต่อ ในป่านี้อาหารยอดนิยมก็คือมันเผาสินะ ง่ายจัด
"ไม่เป็นไร ถ้าเจอตัวค่อยช่วยละกัน ว่าแต่ไอ้ดงโจรที่กรอบโดนจับตัวไปนั่นมันอยู่ทางเดียวกันหรือเปล่า เผื่อแวะระหว่างทางได้"หมวดเอกพูด
"ก็ทางเดียวกันนั่นแหละ ตามที่เล่าไปตอนกลางวัน ตอนที่เราหนีไอ้หมูป่าประหลาด ไอ้ตัวที่ขวิดหมวดชะโดซะเยินนั่นแหละ เราก็พลัดหลงกับมัน ทางที่เราจะไปหาไอ้บ้านประหลาดทรงครึ่งวงกลมนั่นแหละ งวดนั้นดันไปเจอตัวบ้าอะไรก็ไม่รู้ หน้าตาคล้ายๆแมวแต่ตัวมันหยั่งกับช้าง ไม่จบนะยิงมันซะจนกระสุนเกือบหมดมันก็ยังไม่ตาย ให้ตายเถอะถ้าแถวบ้านเจอแมวหน้าตาชวนขนลุกแบบนั้นนะ พ่อจะจับไปถ่วงทะเล"ดาบน้ำเต้าบ่น
ระหว่างที่บุคคลระดับหัวหน้าย่อยกำลังสนทนาเรื่องภารกิจ บุคคลระดับทำตามคำสั่งอย่างเดียวกลุ่มใหญ่กำลังล้อมวงคุยเรื่องตลกและหาเหล้าดื่ม(แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายต้องไปตกอยู่ที่ลูกพี่แน่ๆ)งานเลี้ยงขนาดย่อมๆรอบกองไฟที่มีอาหารไม่กี่อย่างแต่นั่นก็เพียงพอสำหรับเจ้าหน้าที่พวกนี้แล้ว
"รู้ป่าว หมู่หนะกว่าจะมาถึงนี่เนี่ย ลำบากมากเลยน้าาา อาหารหมวดก็เป็นคนหาให้กินในคืนแรก(มันเทศป่า)แถมวันนั้นจ่าปลาโดนหมากระโดดใส่กรี๊ดจะเป็นจะตาย หมู่ต้องไปช่วยเอาออกให้ไม่งั้นเดี๋ยวฉี่ราดกางเกง(อันนี้โม้) แล้วเด็ดสุดเลย คืนนั้นหมู่พี่ดันไปจ๊ะเอ๋กับอสูรกายสุดสยอง ตุ๊กแกผีหน้าตาน่ากลัว ตาปูดสีเหลืองอ๋อย ฟันงี้คมกริบ ถ้าไม่ได้มือปราบผู้มากประสบการณ์อย่างหมู่โบกี้คนนี้จัดการหละก็ คืนนั้นอาจมีคนตาย พูดแล้วเจ้าปีศาจตุ๊กแกตัวนั้นยังทำให้หมู่ขนลุกซู่ตั้งแต่กลางกระหม่อมยันหลังเท้า"หมู่โบกี้โม้เหม็นตามประสาแบบที่ตนเองมักทำบ่อยๆ ดีกรีความขี้โม้จะแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีผู้ชมจากหมู่อื่นเข้าร่วมการประชุม
"โห สุดติ่งเลยหมู่ เล่าให้ฟังหน่อยว่าหมู่ลุยกับมันอีท่าไหนถึงกำราบไอ้ตัวแบบนั้นลงได้เนี่ย เทพจริงๆ"ไอ้แห้ว เจ้าหน้าที่ไร้ยศหนึ่งในหมู่กะเพราทมิฬผู้ไร้เดียงสา(?)พูดอย่างตื่นเต้น
"ดั๋ยเลยยย คือ คืนนั้นนะ ไอ้ตุ๊กแกตัวเท่าจระเข้ขนาดมหึมา มันบุกเขามาในบ่อนสุขสบายที่เราเคยใช้เป็นที่นอนหนะ มันเข้ามาถึงก็ปีนผนังก่อนเลย แล้วจากนั้นมันก็กระโดดเข้ามาจะกินหมา แต่ฝีมือหมู่ไม่ธรรมดา เจอมันปุ๊บหมู่สาดกระสุน ป้าง ป้าง ป้าง จอดสนิทมิดชิดเลย ฝีมือล้วนๆ ไม่ต้องพึ่งโชค"หมู่โบกี้โม้แหลกราญพร้อมกับยืดอย่างภาคภูมิใจ
"ผมก็ช่วยยิงน้าาา พอหมู่ยิงเปรี้ยงแรก ผมกับคนอื่นๆก็ยิงซ้ำ แถมเรายังประเคนฟืนกับคอมแบ็ตให้มันด้วย มันโดนไปหลายดอกทนไม่ไหว เปิดเปิงป่าราบกันเลยที่เดียว"ไอ้ชาติพูดมั่ง
"กร๊าก นึกว่าเดี่ยวๆแล้วจอดคาที่ รุมนิหว่า"ไอ้จั่วหัวเราะเยาะ ตามนิสัย จั่วเป็นพวกเห็นคนล้มไม่ได้ ต้องซ้ำให้ยับถึงจะพอใจ
"อุ๊ยตาย นี่ใช่หมวกของคนขี้ราดหรือเปล่า"หมู่โบกี้ชูหมวกใบหนึ่งที่มีชื่อเขียนด้วยปากกาเคมี ว่า จั่ว 2 1(หมวด2 หมู่1)
"เฮ้ยยย ได้มาได้ไง จำได้ว่าทำหล่นตอนสู้กับตั๊กแตนยักษ์หนิ"ไอ้จั่วร้องเสียงหลง
"สู้เหรอ ใช่เหรอ จำได้คร่าวๆว่าโดนตั๊กแตนทึ้งก่อนเพื่อนๆนายจะมาช่วยไม่ให้โดนกินนะ ถ้าเป็นแบบนั้นแถวบ้านหมู่เค้าไม่เรียกว่าสู้นะ เค้าเรียกว่าโดนยำ"หมู่โบกี้ได้ทีขี่แพะไล่
"แหมๆๆๆ ก็พ่อคุณโม้แหลกแจกแถมซะเยอะเหลือเกินหนิค่ะ จะไม่ให้คนอื่นหมั่นไส้ก็เกินไปหน่อยมั้ยคุ้นนน ลุยกับตุ๊กแกตัวคนเดียวเนี่ย จำได้ว่าเราลาสช็อตนะ เอาพานท้ายปืนฟาดซะปลิวเลย "จ่าปลาขวางหมู่โบกี้ไม่ให้เตลิด แถมเคลมผลงานด้วย
"เฮ้ยพวก อยากฟังตอนที่ก่อนจะเจอเจ้าตั๊กแตนยักษ์มั้ย ตอนนั้นฮาที่สุดในสามโลกคราวนี้รับรองไม่ได้โม้ ถ้าโม้ขอให้ภารกิจล่มเลย อยากฟังป่าว"หมู่โบกี้เตรียมปลดปล่อยท่าไม้ตายสุดยอด อวิชาที่ว่ากันว่าชั่วร้ายที่สุดในวงเหล้า ศาตร์มืดแห่งวงการคนปากไม่มีหูรูด สิ่งที่เรียกกันว่า ประจานหน้ากล้อง(มันจะเป็นหน้ากล้องไม่ได้ถ้าหาก เนยกับสมบัติไม่ได้กำลังถ่ายทำสารคดีชุด "เจ้าหน้าที่ป่าไม้คุยอะไรกันในวงเหล้า"ณ ตอนนี้)
"เรื่องอะไรนะ ไม่เห็นจำได้เลย"จ่าปลาถามด้วยความสงสัย
"ก็เรื่องที่ไอ้ฟองดูมันขึ้นไปตั้งรกรากบนหัวจ่าแล้ว..."ไอ้ตือพูดได้กลางคันแล้วก็ต้องหยุดเพราะเจอจ่าปลดปล่อยรังสีอำมหิตใส่ รังสีอำมหิตเวอร์ชั่น แกมม่าสไตรค์(รังสีมี3ประเภท แอลฟา บีต้า แกมม่า แกมม่าแรงสุด แอลฟาอ่อนสุด)
"เจ้าหน้าที่ตือ ถ้านายพูดอะไรอันเป็นการเสื่อมเสียต่อชั้นหละก็ เรื่องที่นายมีปัญหากับปลาช่อนที่บึงจะถูกเผยแพร่ออกอากาศเดี๋ยวนี้เลยนะจ๊ะ คิดให้ดีก่อนจะพูดนะหมูน้อย"จ่าปลายิ้มเหี้ยมก่อนจะขู่ลูกสมุนไม่ให้ปากมาก
"อันที่จริงที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก แค่จ่าปลาอยากอาบน้ำเราก็เลยเดินทางไปที่ดงไม้เถาวัลย์ มีน้ำพียบเลย แหะๆๆ"ไอ้ตือกลบเกลื่อน
"มันต้องมีอะไรแน่ๆเลยว่ามะ"แห้วหันไปคุยกับจั่ว
"หมู่โบกี้ ถ้าหมู่เล่าให้ฟังผมยกเขียดปิ้งให้5ไม้เลย"ไอ้จั่วหันไปหาหมู่แล้วพูด
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ กลับกองพันไปเดี๋ยวจ่าเลี้ยงหมูกระทะ ถ้าพูดนายจะได้วิดพื้น5000ครั้งพร้อมนอนในลูกกรงข้อหาขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา"จ่าปลารีบเบรคในทันใด
"งั้นผมจะใช้หนี้ทั้งหมดที่หมู่และหมวดติดหมวดดนัย เหล้าขาว4ขวด และเรื่องที่หมู่เขียนด่าสารวัตรในห้องน้ำจะเป็นความลับไปตลอดกาลด้วย"ไอ้จั่วพูดขึ้นมา การประมูลอันมีความลับของจ่าปลาเป็นเดิมพันเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เจ๊ปลาของเราก็กำลังร้อนตัวสุดขีด
"กล้าพูดปะหละ"จ่าปลาเริ่มใช้วิธีขู่แทนที่จะเพิ่มรางวัล
"ฟองดูขี้แตกอยู่บนหัวจ่าปลา เหลืองอ๋อยไหลเยิ้ม มันท้องเสียด้วย เหยี่ยวราดอีกต่างหาก จ่าปลาเลยต้องรีบไปอาบน้ำ"หมู่โบกี้พูดออกมา คนอย่างโบกี้ไม่ยอมให้ใครมาขู่ง่ายๆหรอก
"แกตายยยยยยย"จ่าปลาทะยานเข้าไปบีบคอหมู่โบกี้แล้วกระแทกกับพื้นรัวๆจนได้ยินเสียงดังปักๆๆๆๆ
"เอาหละครับผู้ชม มาดูคู่สุดฮ๊อตของเรากำลังขย่มกันกลางป่ากลางเขากันเลยทีเดียว ท่าทางจะร้อนแรงมากจนไม่ต้องถอดเสื้อผ้า สวิงกิ้งกันจนสุดขอบฟ้าเลยทีเดียว ระวังเดี๋ยวหุบเขาถล่มนะจ๊ะพี่น้อง"ไอ้กอล์ฟประกาศระหว่างดูการไล่ล่าระหว่างหมู่กับจ่า
"มาให้ฆ่าทิ้งซะดีๆ ไอ้กี้ ไอ้ชั่ว ไอ้ปากเปราะ ไอ้หอกหัก"จ่าปลาไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ความเร็วของจ่ายังไม่มากพอที่จะเอาชนะหมู่โบกี้ในตอนที่อะดรีนาลีนสูบฉีดขั้นสูงสุด เป็นผลมาจากการวิ่งหนีเจ้าหนี้อย่างโชกโชนจนชำนาญ ทั้งตอนอยู่บ้านและรับราชการ ตอนนี้ทักษะการวิ่งเร็วระยะสั้นของหมู่ก็น้องๆนักวิ่งแข่งสี่คูณร้อยแล้ว ยังไม่รวมถึงทักษะการกระโดดหลบสิ่งกีดขวางกับทักษะการพรางตัวที่เข้าขั้นมาสเตอร์แอสซาสซินแล้ว
"หยุดก็กลายเป็นชิ้นๆดิ เผ่นก่อนล้าวววว"หมู่โบกี้ออกวิ่งก่อนจึงได้เปรียบเรื่องระยะทาง
"เอาหละครับคุณผู้ชม ตัดมาที่การแข่งมาราธอนกระชับศัตรูระหว่างหมู่โบกี้ ผู้นำ กับ จ่าปลา ผู้ตาม นะคร้าบ"ไอ้กอล์ฟ พากษ์เสียงตามสถาณการณ์อย่างเมามัน คนอื่นๆก็เชียร์กันใหญ่ ตอนนี้เริ่มมีการแทงกันว่าใครจะอยู่ใครจะไปแล้ว
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ นี่ต้องให้ออกคำสั่งกันใช่มั้ย ทำไมไม่ทำตัวดีๆว่ะ หมอบๆๆ"หมวดเอกเข้ามาห้ามทัพ(จำนวนมหาศาลถึง2คน)
"วิดพื้น20ที ปฏิบัติ"หมวดเอกสั่ง
"วิดพื้น20ที ปฏิบัติ"ทั้งคู่ขานรับ
"ต้องให้ใช้มาตรการพิเศษอยู่เรื่อยเลย เวลาเมาแล้วชอบเรื้อนจริงๆ เกิดอยากวิ่งไล่จับหรือยังไง ทำไมไม่เมาแล้วนอนแบบคนอื่นๆหา"หมวดเอกหันไปมองกองเชียร์ที่พึ่งลงไปนอนหลับกันอย่างพร้อมเพรียงดุจเดินสวนสนาม
"อะโห ไอ้พวกนี้ สงสัยซ้อมการรับมือกับหมีมาเยอะ เนียนจนถ้าอยู่วัดเค้าคงเอาขึ้นเมรุไปแล้ว "จ่าปลาบ่น
"ยัง ยังรู้จักพวกนี้น้อยไป ประสบการณ์และสถาณะการณ์หล่อหลอมให้พวกเราเป็นแบบนี้แหละ"หมู่โบกี้ตอบ
"ถ้าสารวัตรเกรียงไกรมาหมวดก็ทำเหมือนกัน"หมวดเอกสมทบ
"เหอ"จ่าปลาหันไปมองหมวดเอกด้วยความที่ไม่เชื่อหูตัวเอง
"หมวดรู้หน่าว่าเวลาไหนควรเล่นและเวลาไหนควรจริงจัง ใช่มั้ยเด็กๆ"หมวดเอกหันไปถามบรรดาผู้อยู่ใต้สังกัด
"เซอร์ เยสเซอร์"สารพัดคนเมาหลับลุกขึ้นมาตอบคำถามกันอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะกระดกสุราพื้นบ้านในมือแล้วฟุบลงไปเอาหน้าซุกธรณีต่อ
"จบภารกิจนี้หนูต้องบ้าแน่ๆเลยค่ะ"จ่าปลาทำหน้าเหมือนกินน้ำบอระเพ็ดลงไปทั้งเหยือก สำหรับผู้หญิงคนนึงแล้ว หัวหน้าปัญญาอ่อน เพื่อนร่วมงานนิสัยแย่ งานหนักสุดหิน ลูกค้างี่เง่าโง่งมงาย อาจทำให้ประสาทกลับได้ แต่ถ้าหัวหน้าปัญญาอ่อนที่ว่าเป็นผู้บังคับบัญชาในสายข้าราชการสายบู๊(ที่ขัดคำสั่งไม่ได้) เพื่อนร่วมงานนิสัยแย่เป็นพวกขี้เมาปากเก่งถือปืนที่วิ่งเร็วปานเสือชีตาร์ งานหนักสุดหินเนี่ยคือการสู้รบตรบมือกับสรรพสัตว์ในป่าดงโจรเพียบ ลูกค้างี่เง่าคือชาวบ้านบ้าเรื่องผีที่พูดจาภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่อง นี่คือความหายนะของชีวิตที่มั่นใจได้เลยว่าเกษียณไปต้องได้นอนที่หลังคาแดงซักเดือนแหง๋ๆ
แน่นอนว่านี่เป็นแค่อุปสรรค์ไม่กี่ด่านแรกที่เหล่าผู้พิทักษ์แห่งป่าดงต้องเผชิญ นี่เพิ่งแค่อุ่นเครื่องเท่านั้น เจอของจริงเมื่อไหร่ หลังคาแดงแค่เดือนเดียวคงไม่พอแน่ ถ้าหากได้กลับไปแบบเป็นๆอะนะ
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:34:56 GMT
14.corrupted plant : พืชวิปริต
และแล้ว ตะวันสีแสดก็โผ่ลขึ้นมาจากขอบฟ้า เช้าตรู่ของวันที่สองมาเยือน อากาศเย็นสดชื่นตามแบบฉบับของเช้ากลางป่า เสียงของสารพัดสัตว์ดังระงมไม่แพ้เสียงของรถยนต์และแม่ค้าในเมือง แสงแดดสาดส่องที่ดูงามตานี้อาจจะกระตุ้นต่อมการทำงานของนักข่าวสายธรรมชาติทั้งสองแต่สำหรับเจ้าหน้าที่ป่าไม้แล้ว นี่เป็นสัญญาณแห่งความน่าสยองชัดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่น่ารักจำนวนมาก มันเหมาะสำหรับการถ่ายทำหนังสยองขวัญมากกว่าสำหรับถ่ายสารคดีสัตว์โลกอัศจรรย์ ตอนนี้อรุณเบิกฟ้าข้าราชการออกหากิน ชาวหมูมะนาวก็กำลังบอกลาเหล่าพันธมิตรกะเพราทมิฬก่อนจะออกเดินทาง นอกจากนั้นเหล่าชาวบ้านมหาป่วยก็ส่งมอบขวดแดงซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังสุดสยองที่แสดงถึงความนอบน้อมต่อเจ้าป่าเจ้าเขา
"แล้วให้ทำยังไงกับขวดพวกนี้เหรอ"หมวดเอกถามก่อนจะเกาหัวแกรกๆ หมวดก้มมองในขวดแก้วขุ่นๆที่มีน้ำสีแดงเข้มไหลไปมาอยู่ข้างใน นอกจากนี้ยังมีลูกหนูสีชมพูโดนดองอยู่ข้างในอีกด้วย นี่คือของที่ใช้แสดงความนอบน้อมต่อเทพเจ้าเหรอ นึกว่าเครื่องเซ่นผีกะ
"ก็เวลาเข้าไปในป่าแล้วเจอก้อนหินอันใหญ่ๆที่มีรอยสลักเยอะๆ คุณเจ้าหน้าที่ก็เอาขวดแดงนี้เทที่ฐานของก้อนหินแล้วท่องบทสวดอัญเชิญเจ้าป่าเจ้าเขามาเสวยของนี้"จากคำพูดของพ่อใหญ่ประจำหมู่บ้าน หมวดเอกเริ่มสงสัยว่าเจ้าป่าเจ้าเขาที่ว่าเนี่ย ผีกะแน่ๆเลยหว่ะ
"เยี่ยม แล้วนอกจากนี้ยังต้องทำอะไรอีกหรือเปล่า"หมวดเอกถามพ่อใหญ่อีกรอบ หมวดเอกพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองสันหลังที่ดูผิดรูปของพ่อใหญ่ กระดูกสันหลังสีขาวที่แทงทะลุหลังออกมาเหมือนสเตโกซอรัสทำให้หมู่โบกี้ทำหน้าเหมือนเพิ่งเดินผ่านงานวัดมาหมาดๆ
"โอ้วววว มันช่าง ทำให้ผมอยากอ้วกเดี๋ยวนี้เลย"ชาติพูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้าชาวบ้าน ทำให้จ่าปลาและพรรคพวกคนอื่นๆต้องรีบปิดปากไอ้ชาติก่อนจะเกิดเรื่อง
"ไม่มีอะไร เค้าแค่เมาค้างแล้วเกิดคลื่นไส้หนะ แหะๆๆๆ"จ่าปลารีบกู้สถาณการณ์ งานนี้ถ้ามีอะไรผิดพลาดรับรองว่าจบไม่สวยแหงมๆ
"แล้วหมวดเป้าไปไหน จะขอของซะหน่อย"หมวดเอกหันไปหาดาบน้ำเต้า
"ไม่ต้องแล้ว ดาบไปเอาของมาให้แล้วเพราะหมวดเป้าต้องล้างแผลให้หมวดชะโด ในถุงนี้มีกระสุนลูกซองอยู่สิบกว่านัด เสบียงอยู่นิดหน่อย และ แผนที่ที่เราเขียนกำหนดเส้นทางไว้แล้ว หวังว่าหมวดจะอ่านรู้เรื่องนะ แล้วก็ มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เราเคยเจอมา เพิ่งเขียนเมื่อคืน"ดาบน้ำเต้าว่า พร้อมยื่นถุงสีเขียวขนาดเท่าถุงนอนให้หมวดเอก
"แล้วเราจะไปเลยหรือเปล่า อยู่ที่นี่แล้วผมหดหู่"ไอ้ชาติพูดจาโง่ๆอีกแล้ว จ่าปลาเลยถีบตูดชาติจนกระเด็น
"โทษค่ะ เค้าเป็นพวกอยู่นิ่งๆแล้วหดหู่ ต้องให้มันทำอะไรอยู่ตลอดเวลา ไม่งั้นมันจะไม่หยุดทำอะไรโง่ๆ"จ่าปลาพูดก่อนจะดึงหูไอ้ชาติขึ้นมา
"ไม่เป็นไรหรอก หมู่บ้านที่กำลังถูกคำสาปและโรคร้ายกลืนกินมันก็น่าหดหู่อย่างนี้แหละ ไม่ต้องถ่อมตัวหรอก ถ้าเป็นไปได้คุณเจ้าหน้าที่ก็ช่วยจัดการอะไรให้มันเข้าที่เข้าทางไวๆหน่อยก็ดีนะ พวกเราคงจะทนมันได้ไม่นานนักหรอก นับวันปีศาจร้ายและโรคภัยก็คร่าชีวิตพวกเรามากขึ้นทุกวัน ขอให้พวกคุณเดินทางปลอดภัย"พ่อใหญ่แห่งหมู่บ้านอวยพรเราก่อนที่เราจะออกเดินทางสู่ดินแดนแห่งอสูรกายกันต่อ
"แล้วเดี๋ยววันหลังเจอกันคร้าบบบบ"หมวดเอกตะโกนให้คนอื่นๆในหมู่บ้านได้ยิน รวมถึงหมู่กะเพราทมิฬด้วย
"โชคดีมีชัยนะเออ ถ้าเจอไอ้กรอบมันก็ใช้งานมันได้เต็มที่เลย หมู่กะเพราทมิฬไม่หวงอยู่แล้ว ขอแค่ให้มันกลับมาเป็นๆก็แล้วกัน"ไอ้จั่วตะโกนข้ามไปให้หมู่หมูมะนาวได้ยิน
"ได้เลยยยย ถ้าเจอมันเดี๋ยวจัดให้"ไอ้ตือตะโกนตอบ
"อย่าลืมหลานชั้นด้วยนะ บอกเค้าว่ารู้จักกับยายแม้นไม่งั้นเค้าจะไม่ยอมตามมาด้วย และระวังอย่าให้เธอเข้าไกล้ถุงเสบียงหละ น้ำอ้อยเป็นเด็ก มือไว ใจกล้า หน้าด้าน กร้านโลก"ยายแม้นตะโกนมา
"ไม่ลืมหลานป้าหรอก ถ้าเจอตัวจะหาทางพากลับมาให้ได้นะคร้าบบบบ"หมวดเอกตะโกนกลับ
"(แล้วทำไมพวกเอ็งไม่หยุดคุยกันดีๆวะ)"พ่อใหญ่คิดในใจ แน่ๆคือภาพที่เห็นคนเดินเข้าไปในป่าทางทิศตะวันตกคนแล้วคนเล่าแต่ไม่ได้กลับออกมาทำให้พ่อใหญ่เริ่มไม่สบายใจ ฉากอันไม่เป็นมงคลนี้คอยหลอกหลอนพ่อใหญ่มาตลอดนับตั้งแต่ปีศาจและโรคร้ายเริ่มปรากฎขึ้นมา
"ขอให้พวกเค้าปลอดภัย "พ่อใหญ่พูดเบาๆก่อนจะลากสังขารกะโพลกกะเพลกกลับเข้าหมู่บ้าน เหล่าผู้กล้าค่อยๆเดินหายลับไปในป่าใหญ่สุดอึมครึม
"เออหมวด ทำไมหมวดถึงตกลงยอมไปช่วยไอ้กรอบอ่ะ ผมว่ามันไม่เห็นจะมีเหตุผลเลยที่จะต้องไปทำอะไรแบบนั้น ไม่ช่วยก็แย่พอแล้ว นี่ดันมาหาภาระเพิ่มให้เราอีก"ไอ้กอล์ฟบ่น ในหัวคิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ในการดูแลคนเพิ่มอีกคน
"พอดีหมวดอยากได้เบ๊เพิ่มอีกคนหนะ โอเคมั้ย หรือถ้าแกซักคนอยากได้ยศเป็นเจเนอรัลสเลฟ เราก็จะไม่ไปหาไอ้กรอบแล้วคนนั้นจะเป็นคนแบกสัมภาระของทั้งหมู่ ว่าไง เริ่มจากเจ้าหน้าที่กอล์ฟก่อนนะ ไม่ต้องกรอกใบสมัรคด้วยนะ"หมวดเอกหันไปพูดพร้อมกับเริ่มทำหน้าเข้ม ไอ้กอล์ฟหน้าซีดลงเหมือนโดนเอาแป้งเด็กสาดหน้า
"แล้วเรื่องต้องออกไปตามหาเด็กหายด้วย แทงร้อยเอาหนึ่งเลยว่าคงลงไปนอนอยู่ในท้องสัตว์ประหลาดซักตัวไม่ก็ได้ไปอยู่เป็นเพื่อนกับสาหร่ายน้ำจืดแล้ว"ไอ้ชาติพูดอีก
"หมวดสงสารยายแม้นหนะ เห็นแล้วทำให้นึกถึงป้าข้างบ้านที่ลูกเค้าหาย หาอยู่ตั้งนานปรากฎว่าโดนแก๊งค์ลักเด็กอุ้มไปที่ตะวันออกกลาง เจออีกทีกลายเป็นสาวฮาเร็มไปแล้ว รันทดสุดๆ ส่วนเรื่องยังอยู่หรือเปล่าก็ไว้เจอแล้วก็รู้เอง"หมวดเอกตอบก่อนจะเดินต่อ เรื่องที่หมวดพุดทำให้ไอ้ชาติกับคนอื่นๆเริ่มใจอ่อนลงบ้าง
"พวกแกนี่ทำไมใจดำกันจริงๆ เพื่อนร่วมหมวดยังจะเกี่ยงกันเลย อีแค่เด็กยังจะเรื่องมากอีก หัดทำตัวใจกว้างหน่อยมันจะเจ็บจะป่วยมั้ยวะ "ไอ้ตือได้ทีก็ถมทับเลย
"แหม๋ๆๆ ทีของกินแกหวงใหญ่เลยนะไอ้ชาติหมู ไม่ยอมแบ่งเลย"หมู่โบกี้แซะ ความหมั่นไส้ที่เมื่อคืนไม่ยอมแบ่งเนื้อกระรอกปิ้งยังคงอยู่
"แหะๆๆ"ไอ้ตือหัวเราะแห้งๆก่อนจะเงียบไป
"ใช่ แล้วนิสัยปากหมาๆของแกใครจะแก้ให้ดีนะหมูน้อย ให้หมู่โบกี้ก้ให้คงไม่ได้ สายพันธุ์เดียวกันหนิหว่า จริงมั้ยจ๊ะไอ้กี้ ไอ้ปากสว่างเหมือนกลืนหลอนซีน่อน"จ่าปลาแซะกลับ
"อะหือ นี่มันแซะเซ็ปชั่น ยามศึกเรารบยามสงบเรากัดกันเองสงสัยจะจริงสำหรับเจ้าหน้าที่แถวนี้"เนยกระซิบให้สมบัติฟัง งานนี้ถ้าลงเน็ตคงเป็นดราม่าสุดพีคที่มีคนตามกันสนุก
"ถ้ามันไม่จริงแล้วเค้าจะแต่งประโยคนั้นขึ้นมาทำเกลือเหรอ"สมบัติตอบ ฉากเจ้าหน้าที่หันไปงัดกันเองทำให้หลายๆคนในที่นี้หางตากระตุก แต่ก็นะ ทุกสังคมย่อมมีความขัดแย้งกันเป็นธรรมดา ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
"ว่าแต่ ขอดูไอ้บันทึกของกะเพราทมิฬหน่อยซิ เจอหนักเหมือนเราหรือเปล่า ของเราแทบรากเลือด ของทีมกะเพราจะหนักแค่ไหนกันเชียว"หมู่โบกี้หันไปหาบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชา
"เอา"ไอ้ตือโยนแผ่นกระดาษยับๆจากในถุงสีเขียว ในนั้นมีเรื่องราวของหมู่กะเพราทมิฬและสิ่งที่พวกเค้าเจอมา
"ตั๊กแตนยักษ์ เราก็เจอมาแล้ว ยิงมันซะยับเลยด้วยซ้ำ งูหลามสีฟ้า ไม่เห็นน่าตื่นเต้นเลย หมูป่าที่มีรากไม้หนามอยู่บนหลัง ก็ฟังดูไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ตัวนี้ซัดหมวดชะโดซะเยินคงประมาทไม่ได้ แล้วนี่อะไรเอ่ย เพลี้ยกระโดดยักษ์ในป่าแห่งต้นไม้ตาย ก็สมควรนะ ตัวนิดเดียวยังทำนาล่มมาแล้ว กิ้งกือแดงตัวเบอเริ่ม อะไรกัน พวกกะเพราทมิฬทำไมเจอแต่แมลงยักษ์ฟะ แล้วนี่อะไร มันบอกว่าเจอผีจามะนาโปหย่อนลงมาจากต้นไม้ เริ่มเลอะเทอะแล้ว เจอสัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนแมวตัวยักษ์ไล่กวด เจอเสือพิการหละม้าง แล้ว...เจอกบปีศาจมาขโมยอาหาร มันไวมาก เลียนเสียงคนได้ด้วย มาพนันกันดีกว่าว่าไอ้ที่กะเพราทมิฬเล่ามา จะจริงซักกี่เรื่องกัน เอามะ"หมู่โบกี้เล่ารายละเอียดเสร็จก็คิดจะพนันเลย
"ผมว่าถ้าเราไม่เจอตุ๊กแกยักษ์กับสัตว์ประหลาดในบึงมาก่อน ผมคงแทงว่าไม่จริงซักเรื่อง แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจซะแล้วสิ ในป่าประหลาดนี้ อะไรๆก็เป็นไปได้ ไม่แน่เดี๋ยวเราเจอหมูบินได้ขึ้นมาหละก็"
"เลิกบ้าได้แล้ว เจอแค่นี้ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว ถ้าต้องเจอสารพัดตัวอะไรแบบนั้นมาแบบครบทั้งซีรี่ส์หละก็ ไปทุ่งหมาหอนให้พวกเปรตนั่นยิงยังดีซะกว่า แล้วอีกอย่าง มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าเราจะนอนไหนคืนนี้ ในป่าที่สยองยิ่งกว่าทุกครั้งแบบนี้ ขืนนอนเต้นท์แบบปกติมีสิทธิ์เละแน่ๆ ใครจำได้มั่งว่ามีสิ่งปลูกสร้างอะไรที่เราบุกไปแล้วบ้าง เผื่อจะได้ใช้นอนแบบบ่อนสุขสบายอย่างคืนแรก"หมวดเอกหันไปตวาดใส่พวกลูกน้องที่ไม่ค่อยจะเอาอ่าวเอาทะเลซักเท่าไหร่
"หา ใครจะย้ายเราไปทุ่งหมาหอนนะ เค้าไม่เอาาาาา"หมู่โบกี้หันหน้าตาตื่นขึ้นมาจากบันทึกแผ่นโตที่ได้มาจากกลุ่มกะเพราทมิฬ การต้องไปประจำการที่ทุ่งหมาหอนเป็นฝันร้ายถึงร้ายที่สุดของเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหาร รวมถึงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ด้วย แม้แต่บุรุษไปรษณียังโดนตัดหัวโชว์ วายร้ายแห่งทุ่งหมาหอนพร้อมจะสังหารทุกคนที่ใส่เครื่องแบบของทางการ กลุ่มก่อการร้ายแต่ละคนต้องทำยอดฆ่าเจ้าหน้าที่ให้ได้อย่างน้อยเดือนละห้าคนถึงจะได้โบนัสปลายปี มันฆ่ากันหยั่งกับขายตรงแบบนี้ใครจะไปอยากอยู่ แค่เฉียดเข้าไกล้ตอนไปฝึกยังสวดมนต์กันทั้งคันรถเลย
"ไม่มีใครจะย้ายเราไปทุ่งหมาหอนหรอกแต่มีแน่ถ้าคุณเอ็งทุกตัวยังไม่รูดซิปปากและช่วยกันคิดว่าเราจะผ่านป่ามฤตยูที่มีแต่สัตว์ประหลาดหิวโซอยากกินเนื้อคนไปได้ยังไง เข้าใจนะ แล้วถ้าเราหาที่พักไม่ได้หละก็ เราคงต้องนอนหลุมกันแล้วหละ แน่นอนว่าในฤดูนี้ไม่มีใครอยากนอนหลุมหรอก"หมวดเอกพูดก่อนจะสงบสติอารมณ์ลง อาการของหมวดเอกตอนนี้แทบไม่ต่างจากคนขับสิบล้ออยากยาที่ทนติดแหง็กอยู่บนถนนสายที่ติดที่สุดในทวีปนี้ช่วงเทศกาลปีใหม่ แน่นอนว่าหมวดเอกไม่อาละวาดน้ำลายฟูมปากเหมือนขี้ยาแต่หมวดอาจทำสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่น ยกเลิกภารกิจแล้วหมู่เราจะได้ไปแทนที่เพื่อนร่วมอาชีพที่ตายในทุ่งหมาหอน ไม่เกินสี่เดือนหมู่เราอาจจะได้ลงไปพูดคุยทำความรู้จักกับรากมะม่วง ปะการัง และ ขี้เถ้าเขม่าควันแน่ๆ หรืออาจมีสภาพไม่ต่างจากสวิสชีสรูพรุน
"ที่โรงเลื่อยเก่าเป็นไง น่าสนม่ะ"หมู่โบกี้รีบเสนอความเห็นก่อนที่จะมีใครได้ไปทุ่งหมาหอน เขายังไม่อยากไปเจอหน้าบรรพบุรุษเร็วนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อายุยังไม่ครบสามสิบดี
"เยี่ยม โรงเลื่อยเถื่อนที่พวกลักลอบตัดไม้พยูงเคยใช้เป้นฐานบัญชาการขบวนการอุบาทย์สามานย์ของมัน หลังที่เรา ไม่สิ หมู่ลิงละลายจัดการหัวหน้าสายแสนทรามของมันได้สำเร็จ เมื่อสามปีก่อน โรงเลื่อยร้างน่าจะเป็นสถาณที่เหมาะเหม็งสำหรับการพักแรม แบบปลอดภัยนะ"หมวดเอกอารมณ์ดีขึ้นในทันใด โรงเลื่อยที่ว่าอยู่ไกลพอสมควรแต่หมู่เราน่าจะไปเยือนถึงตอนบ่ายๆของวันนี้ ระหว่างทางที่จะไปถึงจะมีลานกว้างๆที่มีมันเทศป่าสายพันธุ์พิเศษ มีเนื้อสีส้มสดใสและหวานฉ่ำยิ่งกว่าสายพันธุ์ไหนๆในป่านี้ เป็นแหล่งรวมตัวชั้นยอดของฝูงหมูป่าขนาดใหญ่ แน่นอนว่าเมื่อมีหมูป่าเยอะก้ต้องมีศัตรูที่อยากกินมันเป็นอาหารอยู่ แต่เพื่อมันเทศสีส้มแล้ว ก็คุ้มที่จะลองของ ดีไม่ดีอาจมีรายการปิ้งย่างหมูป่าด้วยซ้ำ(ถ้าจำเป็นอะนะ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ได้รับอนุญาตให้ซี้ซั้วฆ่าสัตว์ป่าตามอำเภอใจ แต่ถ้าเป็นการป้องกันตัวหรือสัตว์ป่าจะมาทำร้าย ก็ไม่แน่อะนะ หึหึหึ)
"แล้วเราจะไม่เอาขวดใส่หนูผีนี่ไปสักการะที่ก้อนหินอะไรนั่นเหรอ"ชาติถาม ขวดแดงสุดสยองยังคงอยู่ในกระเป๋าเป้เดินป่าของทุกๆคน
"ถ้าผ่านค่อยเอาไปวาง คิดยังไงตรรกะของชาวบ้านมันก็มีปัญหาอะนะ ถามจริงเหอะ อยู่กันมาร้อยวันพันปีทำไมเจ้าป่าเจ้าเขาเค้าไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่วันดีคืนดีเกิดโกรธโมโหอะไรมาก็ไม่รู้เลยสาปป่าทั้งป่า ย้ำนะว่าทั้งป่า ให้มีสารพัดสัตว์ประหลาดและโรคระบาดขึ้นมา แถมดันมาอยู่ในช่วงเดียวกับที่ค๊อปเตอร์ตก นี่มันยุคอินเตอร์เน็ตแล้วนะไม่ใช่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จะได้มาเอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนและสามารถพิสูจน์ได้ เพื่อความสบายใจของชาวบ้าน เอาไปวางตอนขากลับก็แล้วกัน"หมวดเอกว่าก่อนจะออกเดินทางต่อ นักข่าวทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่จะเอาข้อมูลที่ได้มาประติดประต่อกันในสมอง ถ้าต่อจิ๊กซอแผ่นนี้ครบเมื่อไหร่หละก็ พวกเขาต้องเขียนข่าวที่โด่งดังระดับตำนานได้แน่ๆ นี่มันลึกลับซับซ้อนไม่ต่างไปจากการสาวตัวหัวหน้าขบวนการค้ายาโดยมีพยานเป็นเด็กขี้ยาคนเดียว ถ้าปริศนาผืนนี้ถูกไขได้สำเร็จ สองสหายนักล่าข่าวอาจมีโอกาสได้ไปอยุ่สำนักข่าวดีๆเงินเดือนสูงๆอย่าง ไฮยีน่านิวส์ (สโลแกน เราขุดคุ้ยทุกเรื่องที่คุณอยากรู้และไม่อยากรู้ ตะกายศพดาราหรือรุมทึ้งประธานาธิปดียังเคยทำมาแล้ว โดนฟ้องยับแต่จ่ายแค่ไม่กี่แดง เทพปะหล่ะ)
"เอาละสมบัติ เรามีตัวประกอบอยู่หลายส่วน 1.คือผล ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่า มีทั้งสัตว์ประหลาดนานาชนิดและอาการป่วยผิดธรรมชาติของชาวบ้าน รวมถึงการหายสาบสูญของบุคคลต่างๆ การถูกทำร้ายโดยสิ่งมีชีวิตไม่ทราบประเภท สัตว์เลี้ยงที่มีอัตราการพิการสูงจนผิดสังเกตุ นี่คือสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น 2.คือสิ่งที่เกี่ยวข้อง บ้านทรงครึ่งวงกลม เฮลิคอปเตอร์ตก คนไปทำให้เจ้าป่าเจ้าเขาโกรธ สิ่งไม่ชอบมาพากลอื่นๆอีกมากมาย 3.เหตุที่ทำให้เกิดผล นี่คือสิ่งที่เราต้องหาและถ้ามีเหตุแล้วทำไมถึงเกิดเหตุนี้ขึ้นหรือเป็นการจงใจทำโดยใครบางคนหรือเปล่า"เนยวิเคราะห์
"นั่นหนะสิ อะไรคือเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา พี่ว่าค๊อปเตอร์นั่นมีพิรุธที่สุด แต่ก็ไม่แน่ อาจเป็นอย่างอื่นก็ได้"สมบัติว่า ในใจเขาคิดว่ามันอาจเป็นค๊อปเตอร์ส่งของหรือสารเคมีอะไรซักอย่างที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว สินค้าที่เลวร้ายของมันอาจรั่วไหลออกมา
เวลาผ่านไป ราวๆสายๆ ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้าพร้อมแผดเผาทุกสรรพชีวิตที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไร้เมฆช่วยบดบัง ยังดีที่ป่าแห่งนี้เป็นป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบบดบังลำแสงอันร้อนแรงของดวงอาทิตย์ได้ การเดินทางจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องความร้อนเท่าไหร่ แต่การที่เห็นพื้นที่แดดส่องอยู่ไกลๆตรงหน้าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเดอะแก๊งค์หมูมะนาวใกล้จะถึงที่หมายแล้ว ลานมันเทศอันแสนสมบูรณ์
"หมวดๆ ผมขอตัวไปทำธุระส่วนตัวแปร๊ปนึงนะ นะหมวด"หมู่โบกี้ขออนุญาต
"ปวดก็ไปสิ"หมวดเอกตอบก่อนที่จะให้ทุกคนนั่งพัก ตรงนี้มีเนินหินและตอไม้อยู่ ตอไม้อันเกิดจากวีรกรรมวีรเวรของเจ้าของโรงเลื่อยเก่าที่เรากะจะใช้ที่นั่นเป็นที่ีพักคืนนี้ ตอไม้เหล่านี้เป็นเก้าอี้ชี้นเยี่ยมในป่านี้ หากมีเห็ดขึ้นเราก็สามารถเก็บเห็ดกินได้ ซะที่ไหนหล่ะ หลักสูตรพื้นฐานก็บอกแล้วว่าอย่าซี้ซั้วเก็บเห็ดกิน เพราะทหารพรานยุคเก่าสละชีวิตไปมากมายกว่าจะรู้ว่าเห็ดชนิดไหนกินได้และชนิดไหนที่พวกเค้าต้องจ่ายค่ากินด้วยชีวิต RIPรุ่นพี่ทั้งหลายที่เกิดอยากกินเห็ดปิ้งกลางป่า
"ฮุ้วววว ในที่สุดก็ได้นั่งซักที เหมื่อยขาสุดๆไปเลยวันนี้"ไอ้ชาติบ่น
"ช่าย ใช้พลังงานเยอะแบบนี้ สงสัยต้องกินซักหน่อยแล้วหละ มันเทศหวานฉ่ำรอเราอยู่"ไอ้ตือพูดก่อนที่จะตาลอย ในหัวนึกถึงแต่เรื่องกิน
"อย่าดีกว่า เดี๋ยวหมูป่าอดตายหมดฝูง จ่ายังไม่อยากไปเลี้ยงหมูมาคืน"จ่าปลาแซวก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะขำๆกัน
"เหอๆๆ มุขใช้ได้หนิจ่า"หมวดเอกชมก่อนที่จะนั่งลงแล้วเอามือเท้าตอไม้ตอหนึ่ง หมวดเอกเห็นเห็ดกระจุกหนึ่งอยู่บนตอไม้ เห็ดที่ว่ามีสีแดงดำบางดอกแต่ที่เหลือเป็นสีขาว น่าแปลกนะที่ในตำราไม่เคยมีบอกว่ามีเห็ดที่บางดอกสีไม่เหมือนดอกอื่นๆ หรือเห็ดที่ว่าอาจผิดปกติเหมือนกับสัตว์หลายๆชนิดที่หมู่เราเคยเจอมาก่อนหน้านี้ แต่ช่างมันเถอะ ยังไงเจ้าเห็ดสีประหลาดก็ไม่น่ากลัวเหมือนจระเข้ยืนสองขาหรือปลาดุกยักษ์ที่กลืนปืนHK33ลงไปทั้งกระบอกได้ในคำเดียว
"ฟุบๆๆ"เสียงประหลาดดังขึ้นเหนือหัวของหมู่หมูมะนาว ตอนแรกหมวดเอกก็ไม่คิดจะสนใจหรอก จ่าปลากับไอ้ตือเองก็เจอนกเค้าแมวบนต้นไม้มาก่อนแล้ว แต่ยังไงคราวนี้อาจมีอะไรจริงๆ หมวดเอกมองขึ้นไปบนแมกไม้สีเขียวชอุ่มมีตัวอะไรซักอย่าง เมื่อมองย้อนแสงแล้วจะโฟกัสได้ยากว่ามันเป็นตัวอะไรเพราะคุณจะเห็นทุกอย่างเป็นสีดำและไม่ชัด
"นั่นมันตัวอะไรฟะ"ไอ้กอล์ฟมอง มันอาจจะเป็นชะนีหรือลิงก็เป็นได้ จะว่าไปมันดูมีสีเขียว หรือว่าเป็นสล็อตที่ช้าจนราขึ้น
ความจริงคือ ในทวีปนี้ไม่มีสล๊อตอาศัยอยู่ แล้วไอ้ตัวสีเขียวๆที่อยู่บนต้นไม้มันคืออะไรหละ
"ฟุบ"เจ้าสิ่งมีชีวิตสีเขียวน่าประหลาดตัวนั้นขยับขาที่ดูคล้ายกับหนวดปลาหมึกไปมาก่อนที่จะพุ่งออกจากที่กำบังและพาร่างขนาดพอๆกับแมวกระโดดหายไปในดงไม้สีเขียว แน่นอน นักข่าวมือไวผู้หิวเงินย่อมไม่พลาดที่จะถ่ายภาพสิ่งประหลาดตัวนี้ด้วยกล้องสารพัดโหมดที่มีโหมดถ่ายย้อนแสงด้วย
"ชะนีเหรอ หรือว่านางอาย"หมวดเอกหันไปถามเพื่อนร่วมหมวดคนอื่นๆ
"ไม่น่าใช่นะหมวด มันไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มือมันเหมือนปลาหมึกแถมมันยังตัวอออกสีเขียวๆด้วย เดาไม่ออกเลยว่ามันเป็นตัวอะไร"ไอ้ตือตอบ
"หมวดๆ ผมว่าหมวดควรจะดูไอ้นี่นะ ผมถ่ายภาพมันด้วยโหมดย้อนแสง"สมบัติรีบเอารูปภาพในกล้องให้หมวดเอกดู ภาพนั้นทำให้หมวดเอกยิ่งกังวลกว่าเก่าหลายเท่า
ในภาพนั้น ไม่ลิงข้างบ่างชะนี ไม่ใช่สล๊อต ไม่ใช่นางอายหรือลิงลม และไม่ใช่ปลาหมึก มันเป็นพืช ชัดเจนว่าเป็นพืชเพราะมันมีดอกทรงกรวยสีส้มทองอยู่บนหัว หนวดปลาหมึกที่เราเห็นนั้นแท้จริงแล้วคือรากของมัน และอย่างที่รู้กัน มีพืชเพียงไม่กี่ชนิดที่เติบโตบนต้นไม้ต้นอื่น ที่มีชื่อเสียมากที่สุดคือเจ้าต้นในภาพนี้ ต้นกาฝาก ที่ไม่ใช่กาฝากธรรมดา เถาสีเขียวอ่อนอมเหลืองที่มีหนามแหลมอยุ่โดยรอบทำท่าเหมือนกำลังกวัดแกว่งไปมา ดอกขนาดใหญ่อยู่บนยอดสีเขียวเข้มของมัน จากภาพมันมีทั้งหมด5ราก ที่น่าตะลึงที่สุด มันมีลูกกะตาสีขาวใสที่ไร้ลูกตา เป็นเรื่องที่น่าพิศวงมากที่ว่ามันมีตาและนั่นหมายถึงมันมีระบบประสาท ที่ไม่มีพืชชนิดไหนมีหรือเคยมี ถ้าผนวกกับความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของมันแล้ว นี่ต้องเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการชีววิทยาอย่างแน่นอน ถ้าหากเราอยุ่รอดได้นานพอที่จะกลับไปบอกเรื่องนี้กับพวกเค้านะ
"อะโห ต้นกาฝากที่ดูแล้วคล้ายๆกับปลาหมึกสีเขียวมีหนามที่ทัดดอกไม้ไว้บนหัว นี่มันหมายความว่าไงเนี่ย"หมวดเอกหันไปถามคนอื่นๆ
"หมวดเอก ปกติกาฝากจะเกาะต้นไม้แล้วดูดน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ มันไม่จำเป็นต้องมีหนวดหรือเคลือนไหว แต่ถ้ามันมีแสดงว่า..."ไอ้ตือบอก
"ปลาหมึกมีหนวดเอาไว้จับเหยื่อ และเหยื่อของปลาหมึกมักจะเคลื่อนไหวตลอดเวลา"จ่าปลาตอบ
"นั่นหนะสิ หรือว่า...เหวอ"หมวดเอกกำลังจะลุกขึ้นเลยเอามือเท้าตอไม้ไว้แต่ลื่นเชื้อราสีดำที่อยู่บนตอไม้
"มาหมวด ผมช่วย"ไอ้กอล์ฟยื่นมือมาจะจับมือหมวดเอกก่อนที่จะผงะ
"หมวด เลือด!!!"ไอ้กอล์ฟร้องเสียงหลง
หมวดเอกรีบมองดูมือตัวเองทันที ปรากฎว่าบนมือของหมวดเอกมีเลือดแห้งกรังสีออกดำๆแดงๆเปื้อนมืออยู่ ไม่ใช่เลือดของหมวดเอกแน่ๆ หมวดเอกรีบหันไปดูตอไม้นั่น ราสีดำๆที่หมวดเอกเห็นตอนแรกคือคราบเลือด และเห็ดที่มีสีแดงคือเห็ดที่อยู่ไกล้กับคราบเลือดตรงนั้นเอง(เห็ดมีความสามารถในการซึมซับสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกสูงมาก ไม่แปลกที่ฮีโมโกลบินในเลือดจะโดนดูดซึมโดยเห็ดสีขาวพวกนี้ได้)
"นี่ทุกคน ใครเริ่มเป็นห่วงหมู่โบกี้บ้าง หมวดว่าชักจะไม่ดีแล้วที่จะปล่อยให้หมู่โบกี้ไปปลดทุกข์ ตามลำพัง"หมวดเอกหันไปถามเหล่าชาวหมูมะนาว ทุกคนมองหน้ากันไปมาก่อนที่จะพยักหน้าหงึกๆ
ขณะนี้หมู่โบกี้กำลังปลดปล่อยสวัสดิกะอยุ่อย่างสบายอารมณ์กลางป่าเขาลำเนาไพร ท่ามกลางความเงียบสงบที่ได้ยินเสียงของธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ ช่วงเวลาอันแสนคลาสสิคนี้ทำให้รู้สึกผ่านคลายและมีความสุขไปอีกแบบจนกระทั่ง . . .
"โบกี้!!!นายเป็นอะไรมั้ย มีตัวอะไรจะกินนายหรือเปล่า!!!"หมวดเอกที่อยู่ๆโผ่ลพรวดมาจากพุ่มไม้ตะโกนถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พร้อมกับบรรดาเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่ชอบบุกมาอาละวาดตอนคนอื่นเค้ากำลังขี้อยู่
"อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกซ์"หมู่ร้องเสียงหลง
"มีเหรอ มันอยู่ไหน เราพร้อมประจัญบานแล้ว"หมวดเอกซักอย่างร้อนรนก่อนที่จะเล็งปืนไปมา
"หมวดเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ผมยังขี้ไม่เสร็จ หมวดรีบออกไปก่อนเลยผมยังไม่ได้ใส่กางเกง"หมู่โบกี้โวยวายออกมาด้วยเสียงสูงจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นเสียงผู้ชาย หน้าของหมู่กลายเป็นสีแดงดุจดวงอาทิตย์ด้วยความโกรธและความอาย ยิ่งอยู่ๆพุ่งเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือและกองกำลังทำให้เขาตกใจจน...ล้มหงายหลังในขณะที่กำลังปฏิบัติภารกิจอุจจาลับ
ตอนนี้หมู่โบกี้กำลังเอาหมวกปิดหว่างขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นได้เพราะในบรรดากลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้ามีจ่าปลาอยู่ด้วย แถมกำลังหัวเราะไม่หยุดอีกต่างหาก คนอื่นๆก็กำลังขำแหลกราญไม่ต่างกัน ตอนนี้หมู่โบกี้กำลังอยู่ในสถาณะล้มละเละและแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไข ใช่แล้ว สงครามศักดิ์ศรีจบลงอย่างย่อยยับป่นปี้ขี้เลอะกางเกง
ตอนนี้เหมือนมีเสียงกรีดร้องว่า"ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยย"ดังก้องและสะท้อนไปมาอยู่ในหัวของหมู่โบกี้ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ต่างจากโดนเด็กป.4กระทืบกลางเมืองหลวงตอน5โมงเย็น ประมาณว่า ต่อไปจะเอาหน้าไปซุกไว้จุดไหนของโลกดีเนี่ย อายเค้า
"พอดีเมื่อตะกี้เราเจอกาฝากปีศาจเข้า เราก็กลัวว่านายจะโดนมันทำร้ายเข้า"หมวดเอกบอก
"ตอนนี้ผมก็กำลังโดนทำร้ายยยยย ทำร้ายซะแทบหมดความเป็นคนเลยหมวด ช่วยหันหน้าไปทางอื่นได้ป่าววว ไส้กรอกผมมันไม่ได้น่าดูอะไรขนาดน้าน"หมู่โบกี้ร้องโวยวาย
"โอเคๆๆ แล้วทำไมนายลงไปนอนกับพื้นหละ นึกว่านายนั่งยองๆอยู่ซะอีก"หมวดเอกถาม
"ยังจะถามอีกนะหมวด มุขนี้ไม่ฮา"หมู่โบกี้ที่หน้าแดงจัดโวย
"กร๊ากกกกๆๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ หุๆๆๆ กั๊กๆๆๆ ก๊ากๆๆๆๆ ไส้กรอกมินิค๊อคเทล กรั๊กๆๆๆๆ"คนอื่นๆในหมู่กำลังขำอย่างเอาเป็นเอาตาย มุขนี้ฮาจริงอะไรจริง แต่ไม่ใช่มุขลงไปนอนกับพื้นนะ
"ไปได้แล้วหมวด ผมไม่ไหวแล้วนะ อย่าทำแบบนี้ดิหมวด"หมู่โบกี้ขอร้องแบบไม่อายใครแล้ว(เพราะไม่มีอะไรต้องอายมากไปกว่านี้แล้ว)
"งั้นเราไปกันดีกว่า เดี๋ยวหมู่โบกี้จะขาดใจตายซะก่อน ระวังตัวด้วยหละโบกี้ เมื่อกี้นี้เราเจอกาฝากที่ดูเหมือนจะเกาะสัตว์และดูดเลือดด้วย ระวังข้างบนให้ดีๆนะเพราะมันไวมาก"หมวดเอกเตือนก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับบรรดาเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่มีรอยยิ้มแป้นสดใสดุจสายรุ้งประดับอยู่บนใบหน้าเกรียมแดดของพวกมัน หมดกันความเป็นหมู่ที่สั่งสมมา ความรู้สึกแบบนี้ไม่ต่างจากโดนถอดยศเลยแม้แต่น้อย
"แซกๆๆๆ"เสียงความเคลื่อนไหวดังไปมาด้านหลังหมู่โบกี้ทำให้วิกฤติห้องน้ำมหาประลัยและศักดิ์ศรีที่หายไปกลายเป็นเรื่องไร้สาระโดยปริยาย ภัยคุกคามถึงชีวิต(ในความคิดหมู่)ที่กำลังย่างกรายมาด้านหลังระหว่างที่อุจจาระเลอะเต็มก้นเป็นอะไรที่เลวร้ายของเลวร้ายเลยแหละ
"ความซวยมาเยือนแล้วเพ่น้อง นู๋ไม่อร่อยนะ"หมู่โบกี้คิดในใจก่อนที่จะคว้าใบไม้ในบริเวณนั้นมาเช็ดตูดด้วยความเร็วเหนือมนุษย์จนสะอาดเอี่ยมภายในไม่ถึงสิบวินาที ใส่กางเกงหนักหลายกิโลอย่างฉับไวและพุ่งทะยานกลับไปรวมกลุ่มกับพรรคพวกโดยไม่เหลียวหลังดูเลยว่าไอ้สิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังหมู่มันเป็นตัวอะไรกันแน่
"อยู่ไม่ได้แย้ววว ทุกคน ช่วยด้วยยย"หมู่โบกี้วิ่งหน้าตั้งตาตื่นด้วยเกียร์หมาชนิดที่วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่หมู่นึกออก
จนกระทั่งวิ่งไปเจอเพื่อนร่วมหมู่ หมู่โบกี้ก็กระโจนพุ่งหลาวเข้าไปกลางวงพร้อมกับโวยวายจนฟังไม่ได้ศัพท์
"เฮ้ย เจอไอ้ตัวที่ว่าเหรอ ทุกคนเตรียมปืน"หมวดเอกเห็นลูกน้องมือขวาอยู่ในอาการประสาทเสียก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หมวดยกปืนขึ้นเล็งไปที่พุ่มไม้ที่หมู่โบกี้เพิ่งกระโจนออกมาก่อนที่คนอื่นๆจะทำตาม ปืนลูกซองเดี่ยวหลายกระบอกกำลังชูลำกล้องสีเหล็กด้านพร้อมสาดกระสุนล่านกใส่ตัวอะไรก็ตามที่อาจจะพุ่งออกมา
"แซกๆๆๆ"เสียงอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ตามมาก่อนที่จะมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย มันคือ...
"ก้อนหินเหรอ?"ไอ้ชาติจ้องไปที่ก้อนหินก้อนหนึ่งกลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าหมู่หมูมะนาว มันต้องมีอะไรแน่ๆเลย
"ระวังหละ ตั๊กแตนสามารถปลอมตัวเป็นกิ่งไม้ใบไม้ได้ ไอ้นี่ก็อาจเป็นตัวอะไรซักอย่างปลอมตัวมา"หมวดเอกเตือนก่อนที่จะหักเอากิ่งไม้แถวๆนั้นมาเขวี้ยงใส่ก้อนหินก้อนที่ว่านี้ บางทีอาจเป็นตัวกะปิหรืออะไรซักอย่างที่กลายพันธุ์จนดูเหมือนก้อนหินก็ได้
ก้อนหินไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมาเลย มันอยู่นิ่งสนิท
"ผมเอง"ไอ้ตือพูดก่อนจะเอาก้อนหินก้อนใหญ่กว่าทุ่มใส่เต็มแรง จริงๆจะใช้ลูกซองยิกก็ได้แต่มันเปลืองกระสุน ยิ่งในป่าที่มีแต่สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิตอันตรายแบบนี้แล้ว กระสุนต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด
"แกรบ"ก้อนหินก้อนเล็กที่กลิ้งตามหมู่โบกี้มาแตกเป็นชิ้นๆ ข้างนอกมันดูเหมือนหิน และข้างในมันก็ดูเหมือนหินอีกด้วย มันคือก้อนหินจริงๆ
นี่หมายความว่า...หินก้อนนี้มันเป็นแค่เหยื่อล่อความสนใจ
"โฮ่งๆๆ แฮ่ร์ กรรร"เจ้าฟองดูเห่าอะไรซักอย่างที่อยู่ข้างหลังหมู่โบกี้
"ก๊าซซซซซซซ!!!!!!"สิ่งมีชีวิตปริศนาพุ่งเข้าโจมตีหมู่โบกี้จากด้านหลังด้วยความเร็วไม่แพ้ลิงเลยทีเดียว มันเป็นสิ่งที่ดูเหมือนปลาหมึกสีเขียวทัดดอกไม้บนหัวและหนวดที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม กาฝากจอมวายร้ายที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้นี่เอง ดวงตามีขาวใสวับเปล่งประกายด้วยความมุ่งร้าย เถาสีเขียวอ่อนที่เต็มไปด้วยหนามรัดตัวหมู่โบกี้ไว้จนยากที่จะสลัดให้หลุดออกไปได้ ข้างใต้ต้นกาฝากมีเข็มแบบเดียวกับปากของยุงอยู่ ซึ่งมันใช้ในการแทงทะลุผิวหนังของตัวอะไรก็ตามที่มันสามารถเกาะได้สำเร็จ มันเป็นส่วนที่พัฒนามาจากรากเบียน (haustoria)ที่ใช้ในการเจาะทะลุเปลือกไม้เข้าไปที่ท่อลำเลียงน้ำและอาหารของพืช บัดนี้มันถูกใช้ในการเจาะทะลุผิวหนังสัตว์เข้าไปดูดเลือดและสารอาหารแทน
"อ้ากกกกกกกกกซ์ ใครก็ได้ช่วยด้วย"หมู่โบกี้ร้องเสียงหลง
"เฮ้ย เอามีดพร้ามาซิ"หมวดเอกหันไปขออาวุธระยะประชิดจากลูกหมู่ มีดของชาติไปแล้ว แต่ของไอ้ตือกับกอล์ฟยังอยู่ ตอนนี้หมวดเอกพร้อมลุยกับพืชวิปริตชั่วร้ายเบื้องหน้าแล้ว ปริสิตสีเขียวสะบัดเถาและรากอันน่ากลัวของมันไปมาอย่างบ้าคลั่ง หมู่โบกี้ก็พยายามแกะเจ้ากาฝากสุดอันตรายตัวนี้อย่างสุดความสามารถ
"โบกี้ หมอบเดี๋ยวนี้"หมวดเอกสั่ง ซึ่งหมู่โบกี้รีบกระโจนหมอบลงกับพื้นอย่างรู้งาน เจ้ากาฝากกำลังค่อยๆแทงเข็มดูดเลือดเข้าไปในหลังหมู่โบกี้แต่เจ้าฟองดูเข้าไปดึงกาฝากทำให้มันเสียจังหวะ
"ตายซะ"หมวดเอกตวัดมีดพร้าเดินป่าตัดร่างน่าขยะแขยงของกาฝากจากนรกต้นนี้จนห้อยร่องแร่ง น้ำเลี้ยงสีเขียวใสราวกับน้ำมะนาวโซดาพุ่งกระฉูดออกจากบาดแผลกว้างของเจ้าต้นไม้ปรสิตสุดสยองต้นนี้
"กิ๊ซซซซซ ก๊าซซซซซ ก้าๆๆ ก๊าซซซ"กาฝากตัวร้ายกรีดร้องเสียงแหลมทลายรูหูอย่างน่ากลัว มันสะบัดเถาหนามของมันระหว่างที่หมวดเอกสู้กับมันด้วยมัดเดินป่าที่ออกแบบมาสำหรับตัดเถาวัลย์โดยเฉพาะ เถาไม้พวกนี้ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสู้กับของมีคมจึงขาดสะบั้นหลุดเป็นข้อๆ
พอได้จังหวะหมวดเอกก็แทงมีดพร้าเข้าลูกตาสีใสของอสูรกายปรสิตต้นนี้ทำลายความสามารถในการมองเห็นของมัน จากนั้นหมวดก็ใช้มีดพร้างัดต้นไม้ปีศาจออกจากหลังของหมู่โบกี้ เผยให้เห็นแผลเล็กๆที่กาฝากอันตรายต้นนี้ฝากไว้ตอนที่มันจะดูดเลือดหมู่
"กร๊าซซซซ"กาฝากวายร้ายดิ้นพราดๆอยู่กับพื้น มันไม่รู้ทิศทางและตอนนี้ก็แทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้เนื่องจากเถาของมันขาดเกือบหมด หมวดเอกก็พุ่งเข้าไปสับกาฝากชั่วต้นนี้จนขาดเป็นสองท่อนคาที่ มันหยุดดิ้นแทบจะในทันที น้ำเลี้ยงสีเขียวใสไหลนองพื้นส่งกลิ่นเหม็นเขียวน่าขยะแขยง พืชอันตรายต้นนี้สิ้นฤทธิ์ลงเรียบร้อยแล้ว
"เกือบไปแล้วมั้ยหล่ะ โบกี้ นายเป็นไงบ้าง"หมวดเอกหลังจากที่ปราบต้นกาฝากมฤตยูแบบถอนรากถอนโคนเรียบร้อยแล้วก็หันกลับมาหาหมู่โบกี้ หมู่โบกี้พยายามลุกขึ้นยืนแต่อยู่ๆก็ทรุดลงต่อหน้าจนคนอื่นๆต้องมาช่วยพยุง
"เป็นไรหมู่ โดนต้นไม้กัดนิดเดียวเอง ถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรงต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มเลยเหรอ"ไอ้ตือแซวระหว่างที่ให้หมู่โบกี้เกาะหลังพยุงตัว
"ลองมาโดนมั่งสิ แล้วจะขำไม่ออกไอ้หมูเป็นหมัน พูดมาได้ว่าต้นไม้กัด แทงซะหลังเป็นรูเลยไอ้กาฝากสวะเอ้ย ไอ้ต้นไม้ลอบกัด"หมู่โบกี้ก่นด่ากราดไปทั่ว อาการแบบนี้จะหนักขึ้นตามความบาดเจ็บของร่างกาย หมู่โบกี้เป็นคนจำพวกที่ยิ่งไม่พอใจหรือบาดเจ็บหนักมากเท่าไหร่ ยิ่งด่ากราดมากเท่านั้น จากการที่หมู่ด่าแค่นี้แสดงว่าไม่เป็นอะไรมาก
"นี่วันวันเวรวันกรรมอะไรเนี่ย แย่ๆๆๆ บัดซบที่สุด ทำไมหมู่โดนอยู่คนเดียววะ งี่เง่าจริงๆเลย ฉันเกลียดป่านี้ที่สุดเลย ต้นไม้ชั่ว เลวๆๆๆ"นี่คือสิ่งที่หมู่โบกี้สำรากออกมาเพราะอาการบาดเจ็บ คำพูดเทือกนี้หมู่หมูมะนาวได้ยินทุกครั้งที่หมู่โบกี้ตกเขาหรือโดนยิง
"ไอ้หมูหันไขมันไหล ปล่อยให้หมู่ลองเดินดูซิ"หมู่โบกี้สั่งก่อนที่ไอ้ตือจะหยุดตรงพื้นเรียบๆ หมู่โบกี้จับตัวไอ้ตือแน่นก่อนจะพยายามทรงตัวบนพื้น อาการหมู่โบกี้เหมือนเป็นเหน็บชาตรงขาซึ่งไม่น่าจะเกิดเพราะโดนดูดเลือด
"ไหนขอดูแผลหน่อยซิไอ้พจนานุกรมคำด่า"จ่าปลาถือกล่องพยาบาลเข้ามาก่อนจะเอาผ้าก๊อซและแอลกอฮอออกมาจากกล่องพยาบาลสีขาวลายบวกแดง เตรียมใช้งาน
"รู้แล้วว่าทำไมหมู่โบกี้ถึงมีอาการแปลกๆ ไอ้กาฝากนรกแตกนั้นมันกะจะแทงกระดูกสันหลังแต่มันพลาดนี่เอง นี่แค่เฉี่ยวๆก็เลยมีอาการเหน็บชา ถ้ามันแทงเข้ากระดูกสันหลังหละก็ อัมพาตถามหาแน่นอน"จ่าปลามาดูแผล ยังดีที่หมวดเอกงัดกาฝากปีศาจออกจากหลังหมู่โบกี้ได้ทันเวลา ถ้าเข็มมันแทงมากไปกว่านั้นอาจโดนเส้นประสาทที่สำคัญๆเข้าก็ได้
"เกือบต้องนั่งรถเข็นแล้วมั้ยหละหมู่โบกี้ แล้วหมุ่คิดว่าเดินได้ยัง"ไอ้ชาติแซะ
"ได้เมื่อไหร่จะถีบแกคนแรกไอ้สมุนปากเสีย"หมู่โบกี้ย้อนก่อนที่จะทรงตัวและเดินท่าเก้ๆกังๆ ท่าทางจะไม่เป็นไรแล้ว ก่อนที่หมู่จะก้าวยาวๆแล้วเดินไปมาเพื่อสร้างความเคยชิน
"ว่าแต่ไอ้ต้นไม้นั่นจะเจาะกระดูกสันหลังทำไมฟะ มันจะดูดเลือดเฉยๆไม่ใช่เหรอ"เนยถามสมบัติก่อนที่จะมองไปที่ซากกาฝาก
"พี่ไม่ได้จบสายวิทย์นะเนย เดินทางต่อไปเดี๋ยวก็รู้คำตอบเอง"สมบัติพูดปัดก่อนจะถ่ายภาพซากกาฝากชวนแหวะ ในใจพลางคิดว่าจะขายภาพสารพัดสัตว์ประหลาดที่ถายมาตลอดทางในราคาเท่าไหร่ดี
"งั้นเราเดินทางต่อเลยมั้ย หมวดชักหิวแล้ว"หมวดเอกว่าก่อนที่จะสะพายเป้ขึ้นหลัง
"หมู่โบกี้เดืนได้แล้วหนิ ป่ะ ไปหามันเทศอร่อยๆกินกันดีกว่า"ไอ้ตือบอกก่อนที่จะเดินตามหมวดเอก ไอ้ชาติกับไอ้กอล์ฟก็ตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว หมู่โบกี้ก็รีบขยับตาม นักข่าวทั้ง2เองก็ตามขบวนไปอย่างไม่รอช้า เส้นทางข้างหน้าคือลานกว้างที่เต็มไปด้วยมันเทศสีส้ม
"นี่จ่าปลา จ่าคิดว่าจะต้องรักษาหมู่เพิ่มหรือเปล่า ท่าทางแผลจะน่าเป็นห่วงนะ ยิ่งอยู่ไกล้เส้นประสาทแล้วด้วย ถ้าติดเชื้อขึ้นมาจะงานเข้ากันหมดนะ"ไอ้ตือบอก
"นี่ จ่าไม่ใช่หมอผ่าตัดเส้นประสาทนะ จริงๆหมุ่โบกี้ควรถึงมือหมออาชีพให้เร็วที่สุดแต่เรากลับไม่ได้แล้ว เราสู้กับตุ๊กแกยักษ์ ตั๊กแตนตำข้าวยักษ์ จระเข้หัวดอกบัวและกองทัพ นี่ก็เจอกาฝากเวรตะไลอีก ถ้าเรากลับตอนนี้ภารกิจเราก็ล่ม ที่สำคัญคือดูสภาพชาวบ้านพวกนั้นสิ อะไรก็ตามที่ทำให้คนเป็นโรคร้ายแรงขนาดนั้นได้ในไม่กี่เดือนเป็นสิ่งที่ต้องถูกยับยั้ง โดยเร็วด้วย"จ่าปลาตอบเสียงแข็ง ท่าทางของจ่าปลามุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเพราะได้รับแรงสนับสนุนและกำลังใจจากพี่ชายที่เจอในหมู่บ้าน
"จ่ากลัวว่าถ้าขืนรักษาไปโดยที่ไม่รู้วิธีอาจทำให้หมู่โบกี้บาดเจ็บสาหัสได้"จ่าพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลขึ้นท่าทางจ่าเปลี่ยนไปนิดหน่อย
"แหมๆๆ หรือว่าจ่าแอบชอบหมู่โบกี้อยู่ กลัวคนรักจะเจ็บสิท่า อ่าๆๆ อู้ววว อย่าทำให้โบกี้เจ็บนะไม่งั้นจ่าปลาจะไม่ยอมจริงๆด้วย แบร่"ไอ้ชาติโผ่ลหัวขึ้นมาสอดทันที
เปรี้ยงงงง!!!
"มะเหงก แนะ จ่าแค่ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครตายหรือพิการต่างหากเล่า ซี้ซั้วพูดแบบนี้เดี๋ยวฟ้องศาลให้ยับเลย กี่กระทงดีนะ"จ่าปลาหันมามองไอ้ชาติตาขวางหลังจากที่แจกมะเหงกลงกลางหัวเจ้าหน้าที่ไร้ยศรายนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"โฮ่งๆๆๆ แฮร่ๆๆ แง่งๆ กรรร"เจ้าฟองดูเห่ากรรโชกใส่ลานมันเทศเบื่องหน้า ตอนนี้หมู่หมูมะนาวถึงที่หมายเรียบร้อยแล้วแต่เบื่องหน้าไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
"อู๊ดดดดด อู๊ดดดด"เสียงหมูป่าหลายตัวที่หันมาทางหมู่หมูมะนาวอย่างพร้อมเพรียง นี่ไม่ใช่หมูป่าธรรมดาแต่มีกาฝากชั่วแบบเดียวกับที่เกาะหมู่โบกี้อยู่บนหลังด้วยด้วย
"(หมูป่าที่มีรากไม้หนามอยู่บนหลัง)"ประโยคในบันทึกของหมู่กะเพราทมิฬแว๊บเข้ามาในหัวหมู่โบกี้ทันที หมูพวกนี้โดนกาฝากเข้าสิง
"หมวดรู้แล้วหละว่าจะเรียกกาฝากปีศาจพวกนี้ว่าอะไร"หมวดเอกพูดหน้านิ่งระหว่างที่หมุป่าฝูงนั้นเริ่มทำท่าไม่พอใจ จริงๆต้องเรียกว่ากาฝากที่เกาะหมูไม่พอใจพวกเราที่ฆ่าพวกของมันไปตัวนึงมากกว่า
"เราจะเรียกพวกมันว่า กาฝากหมู"หมวดเอกสรุปก่อนจะยกปืนขึ้นเตรียมรบกับหมูป่าและกาฝากราวๆ30ตัวเบื้องหน้า
"ก๊าซซซซซซซซซ อู๊ดดดดดดดดดด"กาฝากและหมูป่ากรีดร้องประสานกันจนแทบเป็นเสียงเดียว
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:36:44 GMT
15.boar-parasite rampage : กาฝากหมูอาละวาด
หมูป่าและกาฝากทั้งหมดมองมาทางคณะอย่างดุร้าย ดวงตาสีเหลืองอำพันที่มีลูกตาดำแต่เหม่อลอยและดวงตาสีขาวใสไร้ลูกตาดำจ้องผู้บุกรุกอย่างเอาเป็นเอาตาย หมูป่าต่างหายใจฟืดฟาดและส่ายหัวไปมา ท่าทางไม่เป็นมิตรและสายตามุ่งร้ายเป็นสัญญาณบอกอย่างชัดเจนว่า เราเจอปัญหาใหญ่แล้ว ใหญ่พอๆกับก้นหมูป่าพวกนี้เลยหละ ดวงตานับสิบคู่ของสัตว์และพืชที่กำลังโกรธแค้นจากการที่เราฆาตกรรมเพื่อนมันไปตัวนึง(มันจำเป็น โปรดเข้าใจ ถึงกรีนพีซจะไม่ให้อภัยแต่เรายังไม่อยากโดนกาฝากเขาสิงตอนนี้หรอกนะ)ทั้งเย็นชาเหมือนน้ำแข็งขั้วโลกและร้อนแรงไปด้วยไฟโทษะในเวลาเดียวกัน ถ้าไม่เจอด้วยตัวเองก็ไม่มีทางจินตนาการออกเลยนะนั่น
"จ่าว่าเราควรใส่เกียร์หมานะ เจ้าฟองดูมันไปนู่นแล้ว"จ่าปลาชี้ไปที่เจ้าหมาขนฟูสีน้ำตาลเหลืองที่กำลังเปิดกระเจิงไปไกลโข สัญชาติญาณของมันบอกว่าอยู่กับกลุ่มมนุษย์ไม่ช่วยให้มันปลอดภัยขึ้น ตอนนี้เลยทรยศกลุ่มชั่วคราวในสถาณะสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการ(สัตว์เลี้ยงชั่วคราว)ของหมู่หมูมะนาว
"อะโหไอ้หมาชั่ว ดูมัน ว่าแต่เราวิ่งมั่งก็ดีนะ"หมวดเอกบอกก่อนที่จะตั้งท่าเตรียมวิ่งมั่ง
"ไม่ทันละหมวด หมูป่าวิ่งเร็วกว่าคนอยู่แล้ว แล้วดูเหมือนว่าตอนนี้มันกำลังพุ่งมาใส่เราแล้วด้วยสิ"
หมู่โบกี้พูดเสียงสั่น สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่อะไรที่จะหนีหรือสู้ได้ง่ายๆเลย
"ทุกคน ในถาณะผู้บังคับบัญชาแห่งหมู่หมูมะนาว ผมขอสั่งทุกคนที่ยังอยากมีชีวิตอยู่พ้นวันนี้ว่า ปีนต้นไม้เดี๋ยวนี้!!!"หมวดเอกสั่งก่อนที่จะตะกายขึ้นต้นไม้ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ คนอื่นๆมองหน้ากันไปมาประมาณ2วินาทีก่อนที่จะพุ่งขึ้นต้นไม้อย่างไวปานวอก แม้แต่สองนักข่าวยังอึ้งกับสปีดอันพร้อมเพรียงของบรรดาเจ้าหน้าที่แห่งพงไพร
"อะโห ฟองดูยังอาย วันหลังออกจากราชการไปเป็นนักวิ่งได้เลยนะนั่น"ไอ้ชาติบอก เขากำลังปีนต้นไม้จนเปลือกไม้ปลิวกระจายไปทุกทิศ ต้นไม้พวกนี้แห้งกรังและตายเพราะมีกาฝากเกาะเต็มไปหมด แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมมีกาฝากกลายพันธุ์อยู่เต็มไปหมด ต้นไม้ไม่พอให้พวกมันดูดน้ำเลี้ยงก็เลยทำให้มันพัฒนาให้มาดูดเลือดสัตว์แทน ผลพวงจากการที่ต้นไม้ตายคือทำให้บริเวณนี้กลายเป็นลานที่แสงส่องถึง มันเทศเตี้ยๆเลยสามารถสังเคราะห์แสงและเติบโตในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก พอหมูป่ามากินมันเทศ ก็เลยโดนกาฝากหมูพวกนี้เกาะ
"นักปีนผาน่าจะเข้ากว่า ถ้าเรารอดออกไปได้นะ"จ่าปลาว่าขณะที่กำลังเกาะกิ่งไม้แน่นระหว่างที่ฝูงหมูป่าโมโหร้ายกำลังอาะวาดอยู่ข้างล่างภายใต้การบัญชาของบรรดากาฝากหมู
"เงียบเหอะ ไว้ค่อยพล่ามทีหลัง ยิงก่อน"หมู่โบกี้นั่งคร่อมกิ่งไม้แล้วชักปืนแล้วเตรียมยิง ปืนลูกซองเดี่ยวในมือพร้อมที่จะสะกิดหนังหมูป่า(อย่าหวังว่าปืนโง่ๆด้อยคุณภาพแบบที่ได้มาประจำตัวแบบนี้จะล้มตัวอะไรที่ใหญ่กว่าไก่บ้านได้ในนัดเดียวนะ)ได้ทุกเมื่อ
"ไม่ต้องยิงหรอก เปลืองกระสุนเปล่าๆ หมู่กะเพราทมิฬทดลองมาด้วยตัวเองแล้ว หมูป่าตัวไหนที่มีกาฝากเกาะจะไม่รู้สึกเจ็บหรือกลัวเพราะระบบประสาทโดนควบคุมโดยกาฝาก นั่นเป็นเหตุผลที่มันจะเจาะกระดูกสันหลังหมู่โบกี้ไง"หมวดเอกบอก
"แล้วมันจะล้อมเราแบบนี้ทั้งวันหรือเปล่า"ไอ้ตือถาม เขาชำเลืองดูหมูป่าที่กระโดดอยู่ข้างล่างไม่หยุด เหมือนกับว่าถ้ามันพยายาม มันจะกระโดดขึ้นมาบนต้นไม้ได้ยังไงอย่างงั้นนั่นแหละ หมูป่าหนักตั้งร้อยสองร้อยกิโลเนี่ยนะ
"ต่อให้มันล้อมเราทั้งวัน เราคงต้องไปแล้วหละ"หมวดเอกเริ่มหน้าถอดสี บางอย่างที่ไม่ค่อยดีอยู่แถวๆนี้ด้วย
"ไมอ่ะ เราอยู่บนนี้ก็ดีนะ"ไอ้กอล์ฟผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยพูดระหว่างที่หลายๆคนเริ่มขนลุกกันแล้ว
"เยี่ยม ดูข้างหลังก่อน"หมวดเอกชี้ไปข้างหลังจ่าปลาก่อนที่สิ่งที่คุ้นเคยจะเกิดขึ้น
"กรี๊ดดดดดดดดดด"สิ่งที่คุ้นเคยเกิดขึ้นทันที บนต้นไม้ตายซากนี้เต็มไปด้วยกาฝากหมูตัวร้ายที่รอคอยที่จะโจมตีตัวอะไรก็ตามที่ผ่านไปมาข้างล่าง รวมถึงที่ขึ้นมาหามันด้วย ดวงตาสีขาวใสเหล่านั้นต่างมองด้วยความหิวกระหาย เหยื่ออันโอชะขึ้นมาหาพวกมันด้วยตัวเอง
"ยิงมันเลย"หมู่โบกี้ชักปืนสาดกระสุนใส่อย่างคล่องแคล่ว ลูกกระสุนขนาดเล็กจำนวนมากปลิวว่อนออกมาจากปากกระบอกปืนลูกซองคุณภาพต่ำ กาฝากไม่ใช่ไม้เนื้อแข็งจึงโดนตะกั่วฉีกกระจุยอย่างง่ายดาย เสียงกรีดร้องสุดสยองสั่นประสาทเกือบจะทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นอัมพาตคาที่ ฝูงกาฝากหมูโกรธจัดและไล่ตามเจ้าหน้าที่แห่งพงไพรอย่างไม่ลดละ มันต้องการเลือด ต้องการตอนนี้ด้วย
"ก๊าซซซซซซซ"เสียงกาฝากต้นอื่นๆที่เกาะอยู่ทั่วบริเวณนั้นดังต่อกันเป็นทอดๆก่อนที่จะค่อยๆตามมาสมทบฝูงเดิม นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่ๆ กระสุนของเหล่าเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอที่จะกำจัดพืชปรสิตพวกนี้แน่ๆ
"เราต้องหาทางหนีแล้วหมวด ถ้ากระสุนเราหมดเราไม่รอดไปจากป่าวิปริตนี้แน่ๆ"ไอ้กอล์ฟร้องก่อนที่จะทำท่าเหมือนจะลงไปข้างล่าง บนต้นไม้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว แต่แล้ว
"อู๊ดดดดด อี๊ดดดดด"หมูป่าตาลอยที่โดนกาฝากปีศาจเข้าควบคุมพุ่งทะยานฝ่าพุ่มไม้เข้ามาหมายจะอัดใครก็ตามที่ลงมาจากต้นไม้ให้ตายคาที่ ท่าเข้าชาร์จอันเป็นท่าโจมตีสุดคลาสสิคของสัตว์กินพืชสายบู๊ไม่ใช่ของที่จะล้อเล่นกันได้ หมูป่าเป็นสัตว์ไม่กี่ชนิดที่สามารถเข้าแลกกับเสืออย่างไม่กลัวตาย และยิ่งไปกว่านั้น การถูกควบคุมโดยกาฝากทำให้หมูเหล่านี้โจมตีอย่างดุร้ายและไม่เกรงกลัวต่อผลกระทบต่อตนเอง เช่นเดียวกับคนขับรถของบริษัทที่ขับรถอย่างบ้าระห่ำและเลวร้ายเพราะมันเป็นรถของบริษัท ไม่ใช่รถของคนขับดังนั้น กาฝากที่ควบคุมหมูป่าก็ทำแบบเดียวกัน ชนทุกอย่างแบบไม่สนว่าหมูจะหัวปูดหน้าแหกหรืออะไรก็ตาม หมูป่าตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาหมายจะชนไอ้กอล์ฟให้ยับแต่ไอ้กอล์ฟรีบกลับขึ้นมาทันก่อนที่จะเละคาต้นไม้
หมูป่าชนเข้ากับต้นไม้ดัง"ปั่ก"แล้วถอยออกมามองไอ้กอล์ฟอย่างอาฆาต ไม่ใช่สายตาของหมูแต่เป็นสายตาของกาฝากหมูที่เกาะอยู่บนหลังหมูป่านั่นเอง การลงไปข้างล่างตอนนี้คงไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่
"ลงไปไม่ได้ ทำไงดี"ไอ้ชาติหันมาถามหมวดเอกอย่างกังวล ฝูงกาฝากหมูจอมวายร้ายขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เถาที่ดูเหมือนหนวดปลาหมึกสะบัดไปมาก่อนทีี่กาฝากตัวแสบต้นหนึ่งจะพุ่งเข้ามาใส่ไอ้ชาติ ดีที่เขายิงมันพรุนกลางอากาศ ก่อนที่มันจะถึงตัว ซากกาฝากชั่วร้ายร่วงลงไปข้างล่างก่อนจะดิ้นกระแด่วๆอยู่กับพื้น สร้างความโกรธแค้นให้กับฝูงกาฝากที่เหลือเป็นอย่างยิ่ง เสียงกรีดร้องแหลมสูงที่ทำให้หลายๆคนเข่าอ่อนได้ดังกึกก้องไปทั่วลานมันเทศ ฝูงกาฝากที่เหลือเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว
"แช๊ะ!!!!!"เสียงกล้องถ่ายรูประบบเซอราวด์ช็อตดังขึ้นก่อนที่กาฝากร้ายกาจทั้งฝูงจะร่วงลงสู่พื้นกันระนาวเหมือนกับห่าฝนสีเขียวที่เต็มไปด้วยหนวด หนาม และ ดอกไม้ หมูป่าและกาฝากบนพื้นก็พากันชะงักด้วยความมึนงง แสงแฟลชแรงกล้าเผาจอประสาทตาของกาฝากตัวแสบจนมอดไหม้ ดวงตาสีใสตอนนี้มีสีน้ำตาลไหม้เหมือนกับมาร์ชเมลโล่วที่ย่างจนเกรียม ต้องยกความดีความชอบให้เนยกับสมบัติและกล้องใหญ่ประชดโลกที่นอกจากถ่ายภาพคมชัดไปจนถึงเซลล์ผิวหนังแล้ว ยังสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของสารพัดสัตว์และพืชได้อีกด้วย
"กรี๊ดดดดดดด ก๊าซซซซซซซ"เสียงแหลมสูงของกาฝากจากนรกดังขึ้นพร้อมๆกันจนหมวดเอกและพรรคพวกถึงกับเข่าอ่อนลงในทันตา แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานอนดีดดิ้นอยุ่กับพื้นเหมือนเป็นตะคริว โอกาสทองที่ีจะหนีมาถึงแล้ว เหล่าหมู่หมูมะนาวรีบกุลีกุจอลงจากต้นไม้แล้วโกยอ้าวออกจากลานมันเทศอย่างว่องไว แต่ร่างกายมันไม่ยอมขยับตามใจนึก พลังเสียงกรีดร้องของกาฝากชั่วร้ายเล่นงานชาวหมูมะนาวเข้าให้แล้ว
"นี่มันอะไรกันเนี่ย"หมวดเอกพยายามวิ่งแต่เหมือนกล้ามเนื้อขาจะไม่ยอมเข้าใจ ตอนนี้แค่เดินยังลำบากเลย ขามีอาการเหน็บชาขั้นรุนแรง คนอื่นๆก็พยายามวิ่งแต่ก็หน้าทิ่มพื้นกันเพราะกล้ามเนื้อบางส่วนไม่ยอมขยับดังใจหวัง
"เสียงกรีดร้องนั่น มันเอาไว้ใช้สกัดการเคลื่อนไหวเรา พอมันกลับมามองเห็นแล้วเราเสร็จมันแน่ๆ พวกเรา พยายามเข้า ฝืนตัวเองให้ได้นะ"หมวดเอกกำลังดิ้นรนสุดชีวิตระหว่างที่เหล่ากาฝากส่งเสียงครวญครางน่าขนลุก
"ผมว่ามันคงไม่กลับมาเห็นเราแล้วหล่ะ จอตาไหม้ซะหยั่งกับกล้วยแขกหลังกรมป่าไม้ เราเงียบแล้วย่องผ่านพวกมันไปก็ได้"ไอ้กอล์ฟบอกอย่างรีบร้อนก่อนที่จะค่อยๆขยับออกมาจากวงล้อมโดยไม่ให้โดนตัวหมูป่าหรือกาฝาก คนอื่นๆเห็นกอล์ฟออกมาจากวงล้อมได้เลยลองทำตาม เสียงกรีดร้องของพืชประหลาดค่อยๆเบาลงแล้ว เป็นอย่างที่กอล์ฟบอก จอตาของกาฝากปีศาจเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นได้อีกเนื่องจากระบบประสาทการมองเห็นของมันยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ แถมพวกมันยังไม่มีเปลือกตาด้วยทำให้ตาของมันบอบบางและถูกทำลายได้ง่าย แสงแฟลชที่สัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่แค่มึนๆสามารถทำให้กาฝากพวกนี้ตาบอดสนิทได้ในทันที
คณะหมูมะนาวที่เจอกับปรากฎการพายุเสียงกรีดร้องจนตะคริวกินน่อง เสียงของมันไม่ต่างจากมีงูหลุดเข้าไปในห้องน้ำหญิงแล้วทุกคนกรี๊ดพร้อมๆกันเลย การที่จะขยับร่างกายเป็นไปอย่างยากลำบากแต่ก็ไม่มีอะไรเกินความสามารถ พวกเขาทั้งย่องแบบตีนแมว เกาะต้นไม้แล้วโหนแบบชะนี กลิ้งเหมือนลูกฟุตบอล(เฉพาะไอ้ตือ) กระดึ๊บแบบหนอน และสารพัดท่าในการเคลื่อนที่ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
"ฟุ่ว น่าจะพ้นแล้ว"หมวดเอกกระซิบพร้อมกับทำท่าส่าสัญญาณว่า ไปทางนี้ ให้กับคณะ ทุกคนพยักหน้าหงึกๆ ตอนนี้อาการเหน็บชาจากเสียงกรีดออเคสตร้าเริ่มคลายลงแล้ว ทุกคนเริ่มเดินแบบปกติอีกครั้งจนกระทั่ง...
"โฮ่ง โฮ่ง บ๊อกๆๆ แฮ่ๆ"เจ้าฟองดูกลับมาแล้ว พร้อมด้วยการแสดงความยินดีแบบหมาๆชุดใหญ่ มันเห่าเหมือนกับชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้เห่าอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่กาฝากหมูเป็นสิบกำลังหาเราอย่างเกรี้ยวกราดทั้งๆที่ตาบอดอยู่ แต่ตัวที่เกาะหมูป่าอยู่นั้นได้ยินเสียงเราผ่านหูหมูป่า(มันยังไม่สามารถพัฒนาระบบรับเสียงของตนเองได้)และหันมาทางเรากันเป็นแถว
"ฟองดู...ไอ้หมาโง่ วิ่งดิเอ๋ง วิ่ง"หมวดเอกสั่งก่อนที่จะโกยแนบไม่คิดชีวิตเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้คนอื่นๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของหมาโง่ๆตัวนึง ที่ทำให้ทั้งคณะต้องวิ่งหนีฝูงหมูป่าคลั่งกันตาเหลือก
หลังจากที่ฝูงหมูป่าและกาฝากจับทิศทางได้ สัตว์ร้ายที่โดนควบคุมต่างพุ่งทะยานแหวกพงไพรมาทางคณะอย่างว่องไว คลื่นสีน้ำตาลเข้มที่เต็มไปด้วยขนหยาบและเขี้ยวโง้งแซมด้วยรากพืชสีเขียวอ่อนเคลื่อนที่ไล่ตามมาจี้หมู่หมูมะนาวอย่างไม่ลดละ
"เฮ้ย มันยังมองไม่เห็น รีบปีนต้นไม้เร็ว"หมู่โบกี้ตะโกนก่อนที่จะตะกายขึ้นต้นไม้ด้วยสปีดเดียวกับลิงกัง คนอื่นๆเองก็ไม่รอช้าต่างกระโดดเกาะต้นไม้แล้วไต่ขึ้นต้นไม้ด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจากจิ้งเหลนวิ่ง(กรณีของไอ้ตือ เหมือนลูกบาสเก็ตบอลกระเด็นขึ้นไปติดบนต้นไม้)สองนักข่าวเองก็ไม่น้อยหน้า จากการถ่ายสารคดีมาอย่างโชกโชน ทั้งคู่สามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่วแม้ว่าจะมีสัมภาระพะรุงพะรัง เช่น โค-ตะ-ระกล้องที่เพิ่งทำให้กาฝากตาบอดไปเกือบหมดฝูง หรือ ขาตั้งกล้องเอนกประสงค์
"เอ๋งงงงงง"เจ้าฟองดูที่ไม่สามารถปีนต้นไม้ได้กำลังวิ่งหนีกองทัพแฮมและเบค่อนอันแสนดุร้ายที่โดนกาฝากสิง ขนสีน้ำตาลเหลืองของมันดูโดดเด่นท่ามกลางคลื่นสีเกือบดำของหมูป่าคลั่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ธรรมชาติสร้างหมาให้เป็นนักล่าบนพื้น(ดูบรรพบุรุษของมันแต่ละตัว) ความสามารถในการวิ่งที่เอาไว้ใช้ล่าแมวและกระรอกของฟองดูถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มขั้น สำหรับในกรณีที่มันกลายเป็นเหยื่อซะเอง เจ้าหมาวิ่งอย่างไม่หยุดหย่อน มันทั้งลัดเลาะตามพุ่มไม้และมุดรูทุกรูที่มันสามารถลอดได้ หมูป่าที่โดนควบคุมโดยกาฝากตาบอดไม่สามารถหาตำแหน่งของฟองดูได้หลังจากการวิ่งซิกแซกของมัน หมูป่าหลายตัวก็นอนพะงาบๆจากการวิ่งชนต้นไม้หลายต้น(กาฝากเป็นผู้ขับขี่ที่ไม่ได้แคร์พาหนะของตนเลยแม้แต่น้อย เหมือนเอาคนเสียสติไปขับรถ)สุดท้ายเจ้าฟองดูก็สามารถฝ่าดงหมูป่าออกมาได้ เสียงกรีดร้องที่เปี่ยมด้วยความบ้าคลั่งดังให้ได้ยินเป็นระยะๆ หมูป่าส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถตามหาคณะหมูมะนาวและไม่สามารถไล่ตามฟองดูทันก็ค่อยๆล่าถอยตามคำสั่งของกาฝากวิปริต
"ในที่สุด มันก็ไปซักที เล่นเอาหอบเป็นหมาหน้าร้อนเลย"ไอ้ชาติบ่นก่อนที่จะค่อยกระเถิบลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่ตนเองเกาะอยู่
"สรุป อดกินมันจนได้"ไอ้ตือทำหน้าเบ้ด้วยความผิดหวังก่อนจะกระโดดลงจากกิ่งไม้ที่เขาเกาะอยู่ ตอนลงพื้นถึงกับพื้นสั่นกันเลยทีเดียว
"ยังจะห่วงกินอีกเหรอ เกือบโดนหมูรุมยำกีบแล้วยังไม่สำเหนียก"หมู่โบกี้แซะก่อนที่จะได้ยินเสียงโครกครากออกมาจากท้องตนเอง
"ชักหิวแล้ว มีไรกินมั่ง"หมู่โบกี้กลับลำ180องศาภายในไม่ถึง5วินาที ไม่ต้องแปลกใจ ไม่มีสัจจะในหมู่โจร เฮ้ย หมายถึง เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน จริงม๊ะ
โป๊ก!!!
"มะเหงกแหนะ ไอ้กี้ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง นโปเลียน โม้นาบาร์ต ไม่สั่งไม่สอนหรือไง"หมวดเอกแจกข้อนิ้วให้ลูกน้องคนสนิท
"ผมเกิดไม่ทัน ไอ้นั่นมันติดเกาะตายก่อนวัยอันควร"
โป๊ก!!!
"หนังสือก็มีโว้ย หยุดอ้างโง่ๆคิดง่าวๆแล้วช่วยกันคิดว่าวันนี้จะกินอะไรดีกว่า"หมวดเอกโวยวายเพราะโมโหหิว บนหัวหมู่โบกี้ตอนนี้มีคอนโดหัวโนสองชั้นอยู่
"กระเป๋าเราก็มีเสบียงอยู่นิดหน่อย พวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอะไรเทือกนั้น ทางที่ดีเราล่าหรือเก็บอะไรกินน่าจะดีกว่านะ เสบียงพวกนี้ควรใช้ยามฉุกเฉิน"ไอ้ตือพูดก่อนที่จะเห่มออีก เห็นได้ชัดว่าเขากำลังนึกถึงแหล่งอาหาร
"หมวดเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเรายังควรหาอาหารในป่านี้อยู่มั้ย สัตว์ประหลาดพวกนี้อาจเกิดจากสารเคมีปนเปื้อน ลองคิดดูว่าถ้าหากเรากินอาหารที่มีสารพวกนั้นแล้ว....กลายเป็นแบบพวกชาวบ้านหล่ะ บรึ๋ยส์"หมวดเอกเริ่มลังเลใจ สัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองแน่ๆ ถ้ามันเกิดจากสารพิษหรืออะไรพวกนั้นปนเปื้อน หุบเขาดงโขมดเย็นจะต้องเป็นสถาณที่ต้องห้ามและได้รับการฟื้นฟูโดยด่วน
"แล้วเราต้องไปทางไหนต่อนะ"จ่าปลาถาม คำถามนี้ทำให้หมู่หมูมะนาวถึงกับเงียบ การวิ่งหนีหมูป่าทำให้พวกเขาลืมจุดหมายไปสนิทเลย
"โรงเลื่อยร้างไง"สมบัติตอบก่อนที่จะเช็คสัมภาระ(กล้องยักษ์และอุปกรณ์ควบทั้งหลาย)ว่ามีแตกหักเสียหายอะไรไปบ้าง
"เออจริงด้วย ช่วยกันคิดหน่อยว่าระหว่างทางไปโรงเลื่อยมีอะไรที่เราจะตุนเสบียงได้บ้าง ชักหิวแล้ว"ไอ้ตือรีบโผ่ลหัวออกมาทันที
"เพิ่งพูดไปหยกๆ สีซอให้หมูฟังชัดๆ บอกแล้วว่าเราไม่ควรกินอะไรที่อยู่ในป่าวิปริตแห่งนี้ อยากมีมือที่สามงอกออกมาจากหลังหรือไง "หมวดเอกโวย แต่เหมือนกับไม่ว่าจะพูดพร่ำทำเพลงสอนสั่งด่าทอยังไงบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชามันก็ไม่กระเตื้องขึ้นเลย ไม่รู้ว่ามันชาชินกับคำสอนสั่งจนคำพูดไม่มีผลต่อมันหรือว่าพวกนี้โง่จัดโดยสัตย์จริง(สำหรับรายนี้ ตะกละจนเกินงาม)
กึก กึก กึก เสียงพื้นดินสั่นสะเทือนค่อยๆดังขึ้นเหมือนกับมีฝูงสัตว์แตกตื่นหรือเกิดแผนดินไหว เหล่าคณะหมูมะนาวเริ่มหวั่นใจอีกครั้ง
"จนได้ ความซวยมาเยือนแบบนอนสต๊อปจริงๆ"หมู่โบกี้พูดอย่างเหนื่อยใจก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนต้นไม้แบบเดียวกับตอนที่กำลังหนีฝูงหมูและกาฝาก คนอื่นๆที่ยังหายใจไม่ทั่วท้องต่างก็รีบปีนต้นไม้ตาม แผ่นดินสั่นสะเทือนไม่เคยเป็นสัญญาณที่ดี และอาจจะดีกว่าหากเราอยู่บนที่สูงถ้าหากมันเกิดจากฝูงสัตว์คลั่งเกินพิกัด
"งี๊ด เอ๋งงงงงง"เจ้าฟองดูหูชี้และขนพองอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปอย่างหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่กำลังมานั้นต้องน่ากลัวสุดๆแน่นอน
"ทุกคนเกาะแน่นๆนะ หมวดยังไม่อยากเสียใครหรืออะไรในวันนี้"หมวดเอกย้ำ ตอนนี้มีคลื่นสีน้ำตาลเกือบดำที่แซมด้วยสีเขียวกำลังแห่กันมา หมูป่าและกาฝากหมูจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้อย่างสุดชีวิต หมูยังคงเหม่อลอยเหมือนเดิม แต่กาฝากฝูงนี้กลับมีท่าทางต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ พวกมันดู หวาดกลัว ตื่นตระหนก และ ต้องการเอาชีวิตรอด เสียงร้องของมันสั่นและแหลมกว่าที่มันเคยร้อง ฝูงหมูป่าและกาฝากหมูวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ
"นี่ ไม่ใช่จ่าคนเดียวใช่มั้ยที่คิดว่าคราวนี้มันกำลังหนีอะไรบางอย่าง"จ่าปลาพูดอย่างไม่แน่ใจ พอหันไปมองหน้าคนอื่นทุกคนก็ยักไหล่กันหมด
"หมูป่าเยอะขนาดนั้นแถมยังดุด้วย ตัวอะไรมันจะร้ายกาจขนาดข่มขวัญกาฝากหมูได้นะ"หมู่โบกี้พูดก่อนที่จะเริ่มทำหน้าตาตื่น คนอื่นๆก็เช่นกัน ตอนนี้แผ่นดินสั่นสะเทือนเป็นจังหวะ เสียงต้นไม้สั่นไหว เสียงสารพัดสัตว์กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เสียงทุ้มต่ำเหมือนฟ้าร้องและเสียงเหมือนตอนที่สารวัตรเกรียงไกรตบโต๊ะเพราะไม่พอใจ ทุกชีวิตโดยรอบสามารถสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ใหญ่มากๆ บางอย่างที่หิวกระหาย บางอย่างที่สามารถทำให้ฝูงหมูป่าโดนสิงพวกนั้นวิ่งกันกระเจิงไปตัวละทิศได้เลย บรรยากาศตึงเครียดราวกับกำลังสอบแก็ตแพ็ต เราได้ยินเสียงคำรามทุ้มกังวานด้วยความโมโหหิวของมัน เราเห็นร่างขนาดใหญ่ยิ่งกว่าช้างสารเป็นเงาลางๆอยู่ท่ามกลางแมกไม้ของป่าดิบชื้น จากขนาดของมัน การอยู่บนต้นไม้ไม่ทำให้ปลอดภัยอีกต่อไป มันค่อยๆขยับร่างกายขนาดมหึมาของมัน ชาวหมูมะนาวตอนนี้เข้าใจความรู้สึกของแจ๊คยามที่ต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ร้ายในทันที สำหรับอสูรกายขนาดมโหราฬ ลืมปืนลูกซองโง่ๆที่ออกแบบมาเพื่อล่านกพิราบไปได้เลย หมวดเอกรีบคว้าของในกระเป๋าที่ได้มาจากหมู่กะเพราทมิฬ ..... ไม่มี HK-33 (หมวดเอกเข้าใจว่าได้รับปืนมาจากหมู่กะเพราทมิฬ)
"ให้ตายเหอะ ไอ้เสือถอย"หมวดเอกตะโกนลั่นก่อนที่ทั้งหมู่จะกระโจนลงจากต้นไม้แล้ววิ่งหนีสุดชีวิต อสูรกายยักษ์ใช้ขาหน้าที่ดูเหมือนอุ้งเท้าของสัตว์นักล่าลากร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยขนหยาบหนาสีดำสนิทดุจถ่านลิกไนต์ ขนของมันหนากว่าหมีกริซลี่ หยาบกว่าไม้กวาดทางมะพร้าว กรงเล็บทื่อๆที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินและวัชพืชลากสังขารอันบิดเบี้ยวเกินจินตนาการออกมาจากแมกไม้และเถาวัลย์ ดวงตาสีเหลืองแวววาวอันเป็นเอกลักษ์ของสัตว์กลางคืนของมันมีขนาดพอๆกับตู้เสื้อผ้า ฟันสีขาวอมเหลืองขนาดเท่าคนคมกริบที่เปื้อนดินโคลนอันเป็นผลมาจากการลากตัวมันไปไหนมาไหนด้วยขาหน้า หูทรงสามเหลื่ยมที่ลู่ไปข้างหลังเต็มไปด้วยเศษใบไม้ กิ่งไม้ เถาวัลย์ และ รังนก จมูกสีชมพูหยาบและแห้งทรงสามเหลี่ยมมุมป้าน เสียงหายใจของมันเหมือนกับเสียงเครื่องย่อยเอกสารและลมหายใจเหม็นโฉ่ของมันปล่อยลมร้อนเหมือนกับคอมเพรซเซอร์แอร์ตามห้างสรรพสินค้า เจ้าอสูรกายที่ว่านี้คือแมวป่าขนาดใหญ่ผิดธรรมชาติที่น่าเกลียดน่ากลัวเท่าที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้คนไหนจะนึกออก รอยยิ้มบนปากกว้างราวกับถ้ำของมันน่าสยดสยองเสียจนทำให้ใครหลายๆคนฉี่แตก ณ ตรงนั้นได้เลย นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ทาสแมวที่รักแมวที่สุดยังทำใจรับมันมาเลี้ยงไม่ได้ มันคำรามอย่างดุร้ายและขนสีดำด้านแสนกร้านชี้ฟูตั้งไปทั่วทิศทาง อันเป็นปฎิกิริยาของแมวที่จะเข้าต่อสู้กับศัตรู มันใช้ขาหน้าใหญ่โตตะปบพื้นจนฝุ่นและใบไม้คละคลุ้งขึ้นมาในอากาศก่อนจะลากร่างกายใหญ่โตที่ทั้งหนาและหนักของมันไปกับพื้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับขาหลังของมันแต่เป็นเรื่องดีที่การเคลื่อนไหวของมันไม่เร็วนัก ทุกๆครั้งที่มันลากตัวเองไปมันจะกระเถิบไปได้ประมาณ4-5เมตร แต่มันเองก้ไม่ลดละที่จะลากสังขารอันพิกลพิการของมันไปหาอาหารขนาดพอดีคำที่กำลังวิ่งหนีกันป่าราบ
"เรื่องที่หมู่เคยบอกว่า แฮกๆ แมวของสารวัตรเป็นแมวที่น่าเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แฮกๆๆ หมู่ขอถอนคำพูด แฮกๆไอ้ตัวนี้มันยิ่งกว่าคำว่าน่าเกลียดไปอีกหลายขั้น"หมู่โบกี้วิ่งไปพูดไปจนหอบกินแต่ก็ยังไม่ทิ้งลายหมู่จอมขี้โม้ประจำหมู่หมูมะนาว สัตว์ยักษ์ดุร้ายตะปบพื้นจนแผ่นดินสะเทือนและเศษดินฟุ้งขึ้นมาทุกครั้งที่มันพยายามเคลื่อนที่ เสียงคำรามของมันเหมือนกับเอาสิงโตซักร้อยตัวมามัดรวมกันแล้วคำรามพร้อมๆกัน ใบหน้าบูดเบี้ยวของมันแสยะยิ้มอย่างนักล่าที่กำลังได้รับความบันเทิง มันตะปบพื้นถี่ขึ้นและลากตัวเองไปข้างหน้าเร็วขึ้นเรื่อยๆตามความหิวของมัน สมาชิกหมู่หมูมะนาวทั้งถาวรและชั่วคราวต่างเริ่งฝีเท้าเมื่อรู้สึกว่าแมวจากขุมนรกตัวนี้เริ่มเข้าไกล้พวกเขาเรื่อยๆ
"โฮกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!"แมวป่ายักษ์คำรามอย่างกราดเกรี้ยวและจ้องมองเหยื่อของตนด้วยจิตมุ่งร้ายกว่าเดิม การเคลื่อนที่สำหรับมันเป็นเรื่องลำบาก ยิ่งต้องเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้อสูรกายยักษ์ตัวนี้โมโหร้ายมากขึ้นเท่านั้น เนินดินและเศษใบไม้กิ่งไม้ รวมถึงตอไม้และของมีคมขูดขีดท้องอันเป็นจุดอ่อนของสัตว์ส่วนใหญ่ รวมถึงแมวยักษ์ตัวนี้
แมวป่าสีดำขนาดใหญ่โตโอราฬตะปบแนวต้นไม้แล้วสะบัดอุ้งเท้าอันเปรอะเปื้อนเพื่อให้เศษไม้กระเด็นไปโดนเหยื่อของมัน ต้นไม้เล็กๆหลายต้นกระเด็นมาทางชาวคณะแต่โชคดีที่ไม่มีใครโดนจังๆ ฝุ่นและทรายสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ก้อนหินก้อนหนึ่งที่มันสาดมากลับกระเด็นย้อนกลับไปที่ดวงตาอันใหญ่โตของมันทำให้เจ้าวิฬาโลกันตร์ตัวนี้ชะงักและคำรามโหยหวน เหมือนเด็กที่โดนทรายเข้าตา
"ก๊าซซซซซซซซซซซ!!!!!!"แมวยักษ์ร้องอย่างคุ้มคลั่งด้วยความเจ็บแสบบริเวณตา เสียงสยองของมันเสียดแทงเข้าไปในหูสะเทือนไปถึงก้านสมองเลยทีเดียว ถ้าโดนคำรามใส่จังๆอาจถึงกับหมดสติได้ จ่าปลารู้สึกเหมือนไมเกรนกำเริบทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังขนาดนี้ อันเป็นผลข้างเคียงจากการไปปาร์ตี้บ่อยเกินไปตอนอยู่มหาลัย ตอนนี้จ่าปลาต้องตั้งสติไม่ให้วูบไม่งั้นนี่จะเป็นปาร์ตี้หนีแมวครั้งสุดท้ายของเธอ
"โอ้ยยยย ปวดหัวโว้ยยย ไอ้แมวบ้านี่มันร้องหยั่งกับโดนผ่าตัดไม่ฉีดยาชา"จ่าปลาพยายามอุดหูสุดความสามารถขณะที่กำลังจ้ำอ้าวสุดฝีเท้า นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่จ่าปลาต้องวิ่งเร็วขนาดนี้(ครั้งแรกตอนแย่งไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมลดราคา80%ในวันสุดท้าย)
"จุดอ่อนมันอยู่ที่ลูกตา ลูกซองน่าจะทำให้มันหยุดได้"หมู่โบกี้ตะโกนบอกก่อนที่จะชักปืนลูกซองเดี่ยวหันกลับไปจะยิงลูกตาใหญ่ๆของแมวยักษ์ ทันทีที่กำลังจะเหนี่ยวไกปืนหมายจะดับการมองเห็นของสัตว์ยักษ์รูปร่างพิกลพิการตัวนี้ โชคชะตากลับหันหลังให้ หมู่โบกี้ขี้โม้ประจำแก๊งค์สะดุดกิ่งไม้ที่เจ้าวิฬามหึมาปัดใส่จนล้มหงายหลัง กระสุนมืนแทนที่จะเข้าตากลับไปโดนแก้มฟูๆของอสูรกายร่างยักษ์แทน
"ก๊าซซซซซซซซซซซ!!!!!!"แมวยักษ์คำรามอีกครั้งแต่เสียงของมันบ่งบอกว่ามันเจ็บและโกรธมาก มันดิ้นพราดๆทำลายทุกอย่างในรัศมีอุ้งตีนสกปรกของมันอย่างเกรี้ยวกราด ฝุ่นดินสีน้ำตาลอ่อนฟุ้งกระจายคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ ระหม่างที่มันกำลังอาละวาดอย่างบ้าเลือด หมู่โบกี้และพรรคพวกก็จ้ำอ้าวหนีในขณะที่มันมองไม่เห็นเนื่องจากม่านควันที่มันสร้างมาบดบังทัศนวิศัยของมันเอง
"นับเป็นโชคดีที่แมวตัวนี้มันโง่ แพ้ภัยตัวเอง"ไอ้กอล์ฟพูดระหว่างที่กำลังเช็ดฝุ่นดินบนแว่นหนาๆของตนเองด้วยหลังมือชุ่มเหงื่อ
"ขาขยับ ปากไม่ต้อง"หมวดเอกสั่งเสียงเฉียบขาดระหว่างที่กำลังจ้ำอ้าวอย่างไม่หยุด ทุกคนในคณะหมูมะนาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกห่างจากเจ้าพยัคฆ์พิการหน้าตาชวนฝันร้ายตัวนั้นโดยหวังให้มันหยุดไล่ตามกลุ่มซักที
"แง๊ววววววววว!!!!!"ดวงตาสีเหลืองทองเปล่งประกายในม่านฝุ่นดินก่อนที่มันปัดท่อนไม้กลวงๆท่อนโตบินแหวกอากาศมาทางกลุ่มอย่างจงใจ เคราะห์ดีที่ท่อนไม้นั้นอัดกับต้นไม้ข้างๆแทนจึงไม่มีใครบาดเจ็บร้ายแรงแต่เศษไม้จากท่อนไม้กรอบๆแตกกระจายไปทั่ว เศษไม้ที่คมและเปราะสร้างบาดแผลถลอกจำนวนมากให้กับหลายๆคนในคณะ เนยโดนเศษไม้ปักเข้าที่แขนจังๆ สมบัติเองก็โดนเศษกิ้งไม้จำนวนหนึ่งทิ่มขา ดีที่เขาใส่กางเกงยีนส์จึงไม่ค่อยได้รับบาดเจ็บมากนัก เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่โดนบาดที่แขนเล็กน้อย
"เจ้าเหมียวหง่าวมันรู้ตัวแล้ว โกยดิ"หมู่โบกี้พูดก่อนที่จะวิ่งนำหน้าคณะไปอย่างว่องไว คนอื่นๆไม่รอช้าวิ่งตามอย่างชำนาณ แมวป่าขนหยาบโตเกินขนาดไม่ใช้ขาหน้าลากตัวมันตามมาอย่างเคยแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะตะกุยพื้นเพื่อพุ่งไปข้างหน้าแทน ความเร็วเพื่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน แววตาที่ของมันเปลี่ยนจากส่วนผสมของความสนใจ ความอยากเล่นกับเหยื่อ และ ความกระหายการไล่ล่า เปลี่ยนเป็นจิตสังหารเพียวๆ มันไม่ยิ้มโชว์ฟันเปื้อนๆของมันแล้ว เปลี่ยนเป็นทำหน้าบึ่งอันเปี่ยมไปด้วยความน่าสยองแทน
"นี่มันแมวเชสเตอร์เวอร์ชั่นดาร์คชัดๆ"ไอ้ชาติหันไปมองใบหน้าบิดเบี้ยวของเจ้าสัตว์ร้ายแล้วคอมเม้นท์
"เฮ้ยข้างหน้า!!!"หมวดเอกหยุดวิ่งแทบไม่ทัน
สิ่งที่อยู่ข้างหน้าคือโรงเลื่อยร้างที่หมู่หมูมะนาวตั้งใจว่าจะมาพัก สิ่งที่ประหลาดคือมันไม่ร้างอีกต่อไปแล้ว มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังใช้เลื่อยวงเดือนผ่าไม้อยู่อย่างรีบร้อน ด้านข้างมีท่อนซุงอยู่กระจัดกระจาย บางกองก็เป็นไม้ที่ผ่านการแปรรูปเป็นไม้แผ่นมาแล้ว ไม่ผิดแน่นอน นี่คือขบวนการมอดไม้ หนึ่งในสิ่งที่คอยบั่นท่อนและทำลายหุบเขาดงโขมดเย็นมาช้านาน หลังจากที่โรงเลื่อยนี้ถูกทลายลง กลุ่มมอดไม้ก็กลับมาหลังจากที่เวลาผ่านไปไม่นานนัก อุปกรณ์ตัดไม้ครบครันและของต่างๆดูใหม่เอี่ยม เห็นได้ชัดว่าหลังจากโดนจัดการไปในรอบที่แล้ว พวกเขาต้องลงทุนเพิ่มเพื่อที่จะกลับมาได้อีก ไม่เพียงแค่เลื่อยยนต์เท่านั้นที่ดูใหม่ ปืนสงครามเงาวับในมือพวกเขาเองก็เช่นกัน
"เวรแล้วไง ทางการมา"คนที่ดูเหมือนหัวหน้าของกลุ่มสั่งให้เหล่าคนงานเข้าสู่สถาณีรบ อย่างเร่งรีบก่อนที่ตนเองจะชักปืนพกไปทางตัวประกันที่โดนมัดอยู่กับต้นไม้เบี้ยวๆ ไอ้กรอบยังไงหละ
"ถ้าคิดว่าแน่ก็เข้ามาเลยแล้วจะได้รู้ว่าผ้าห่มลายธงชาติหน่ะ มันห่มสบายจนไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย"หนึ่งในขบวนการเล็งจรวดRPGมายังหมวดเอกอย่างคุกคาม
คนอื่นๆเองก็ช๊อกกับสื่งที่ตนเองได้เห็นข้างหน้าแต่ด้านหลัง แมวจากนรกที่กำลังบ้าเลือดระยะสุดท้ายกำลังพุ่งเข้ามาอย่างไม่ลดละ
"หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ"หมวดเอกพึมพำ
"เหมือนหนีแมวปะโจรมากกว่านะ"ไอ้ชาติตอบ
"หุบปาก"หมวดเอกสั่ง
"เฮ้ย อย่าซุบซิบ เรายิงจริง"หัวหน้าแก๊งค์ยิงปืนขึ้นฟ้าขู่อย่างก้าวร้าว ขณะเดียวกัน แมวป่าสุดโหดไซส์ใหญ่ผิดธรรมชาติลากสังขารจวนจะถึงแล้ว ด้วยบรรยากาศอันตึงเครียดเบื้องหน้า กลุ่มมอดไม้ไม่ได้สนใจเสียงขู่คำรามหรือเสียงตะปบพื้นของสัตว์อสูรตัวนี้เลย
เจ้าแมวได้ยินเสียงปืนและมันรู้ว่าเป็นเสียงเดียวกันที่ยิงแก้มมัน มันเลยเพิ่มความเร็วแะจิตสังหารของมันรุนแรงมากจนสัมผัสได้ในจังหวะนั้นเองมันพุ่งทะยานเข้าหาหมู่หมูมะนาวสุดกำลัง เหมือนกับว่าร่างโตๆและหน้าเหียกๆของมันพุ่งมาเหมือนกระสุนปืนเลย
"โดด!!!!!"หมวดเอกสั่งก่อนที่ทุกคนในคณะจะแหวกทางอย่างพร้อมเพรียง ทันทีที่มีการเคลื่อนไหว ขบวนการลักลอบตัดไม้ก็โจมตีทันที และเป้าหมายที่โดนคือเจ้าแมวยักษ์
"ก๊าซซซซซซซซซซซซ!!!!!!!!!!!! แง๊วววววววววววววววว!!!!!!!!!!!!!กรรรรรรรรรรรรรร!!!!!"
แมวยักษ์กรีดร้องอย่างเจ็บปวดเพราะโดนคมกระสุนไปหลายนัด มันสะบัดอุ้งเท้าที่กางเล็บเต็มที่ไปทั่วทุกที่ ตะปบทุกอย่างที่มองเห็นและทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า เสียงปืนสงครามกระหน่ำไม่หยุด เสียงของสัตว์ร้ายและผู้ร้ายแทบจะกลายเป็นเสียงเดียวกัน เลือดสีแดงฉานสาดกระจายไปทั่วลานแปรรูปไม้ ทั้งของแมวและของคน คนงานติดอาวุธคนแล้วคนเล่าถูกตะปบเละคาพื้นไม่ก็โดนร่างมหึมาของแมวปีศาจทับจนได้ยินเสียงกระดูกหักลั่นราวกับเสียงดนตรี ชิ้นส่วนของผู้เคราะห์ร้ายปลิวว่อนไปมาในอากาศ เสียงกรีดร้องของแมวยักษ์ เสียงร้องของเหล่ามอดไม้ที่ถูกกรงเล็บเฉือนเลือดอาบ เสียงปืนและระเบิด เสียงร้องขอความช่วยเหลือ และเสียงตะโกนของหัวหน้าขบวนการมอดไม้ดังระงมราวกับวงออเคสตร้ากลางป่า แมวยักษ์ปัดเลื่อยวงเดือนปลิวขึ้นกลางอากาศก่อนที่จะผ่าหัวหน้าโจรค้าไม้ขาดเป็นสองท่อนนอนตายอนาถขณะที่กำลังจะยิงไอ้กรอบที่เป็นตัวประกันยู่ตรงนั้น คนงานหลายคนกลายเป็นเศษเนื้อที่ติดอยู่ตามเล็บและฟันของสัตว์ร้ายตัวนี้เรียบร้อยแล้ว
"กินซะ"คนตัดไม้ที่ถือRPGเหนี่ยวไก จรวดต่อต้านยานเกราะพุ่งใส่หน้าเจาสัตว์วิปริตผิดธรรมชาติตัวนี้ ระเบิดหัวมันกระจายจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ขาหน้าของมันสะบัดจนเล็บแหลมคมเสียบทะลุหัวใจและปอดของคนยิงจรวดจนกระอักเลือดก่อนที่จะตายคาอุ้งเท้าอสูรกาย สัตว์ยักษ์ดุร้ายและแก๊งค์มอดชั่วร้ายต่างสิ้นลมหายใจ ศพของผู้ร้ายกว่ายี่สิบชีวิตกระจัดกระจายไปทั่วลานแปรรูปไม้ที่ย้อมด้วยเลือดของคนและแมว ผู้ร้ายที่รอดชีวิตต่างก็หนีกระจัดกระจายหายไปคนละทางทิ้งสินค้าและอาวุธไว้เบื่องหลัง เท่ากับว่าหมู่หมูมะนาวสามารถเอาชนะศัตรูร้ายทั้งสองฝั่งได้โดยแทบไม่ต้องออกแรง(จริงๆวิ่งหนีแมวยักษ์สีถ่านมันก็เหนื่อยใช่ย่อยเหมือนกันนะ)
"เกือบไปแล้วมั้ยหละ"จ่าปลานั่งหอบอยู่ที่พื้นมองสนามรบ(?)ที่พังเละเทะอยู่ตรงหน้า หลายคนที่นอนอยู่ยังไม่ตายแต่เสียเลือดเป็นจำนวนมากเนื่องจากเนื้อเยื่อฉีกขาดเพราะกรงเล็บแมวปีศาจ กลางป่าเขานี้ไม่มีเลือดสำรองหรือการรักษาใดๆทั้งนั้น จะว่าไปดูจากอาวุธที่พวกเขาถือและการเข้ามาในป่าต้องห้าม พวกเขาก็เตรียมใจที่จะมาตายอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นจ่าก็ยังอยากที่จะช่วยพวกเขาอยู่ เพียงแต่ว่าในตอนนี้จ่าปลาและแทบทุกคนที่วิ่งมาด้วยกันแทบไม่มีแรงเหลือแล้ว
เพียงแค่ดูสีหน้า หมู่โบกี้ก็รู้ทันทีว่าจ่าปลาคิดอะไรอยู่
"ไม่ต้องเสียใจหรอกจ่า ผมรู้ว่าจ่าอยากช่วยแต่ถึงยังไงเราก็ไม่มีอุปกรณ์หรือเลือดสำรองมากพอที่จะช่วยพวกเขาหรอก นี่คือหุบเขาดงโขมดเย็นและไม่ใช่ทุกคนจะกลับออกไปแบบมีลมหายใจ ผมเองก็สงสารพวกเขานะแต่ว่า...เฮ้อ ขอให้ไปสู่สุขติละกัน"หมู่โบกี้พยายามจะปลอบจ่าปลา เท่าที่จะปลอบได้ จ่าปลาปกติเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยพยาบาลไม่ค่อยได้ออกมาเห็นฉากสะเทือนขวัญและการฆ่าฟันอย่างทารุณแบบนี้หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์
"จ่าเป็นหน่วยพยาบาลนะ หน้าที่คือต้องรักษาผู้คน การปล่อยให้คนตายต่อหน้าต่อตาคือความล้มเหลว พวกเขาอาจไม่ใช่คนดีแต่พวกเขาก็ไม่ควรมาตายแบบนี้ ฮึก ฮือ ไม่ควรมีใครต้องมาตายเพราะเจ้าตัวอย่างนั้น ฮืออออ"จ่าปลาเริ่มร้องไห้ หยดน้ำใสๆค่อยๆปริมออกมาจากริมขอบตาของสาวน้อยผู้พิทักษ์แห่งพงไพร ภาพอันน่าสยองตรงหน้ายากที่จะเลือนไปจากความทรงจำได้ เสียงร้องครวญคราง และเสียงหายใจที่ค่อยๆสิ้นเสียงไปที่ละคน
"บางครั้ง การร้องไห้ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่นะ ถ้ามันทำให้จ่าสบายใจได้ ก็ร้องออกมาเลย"หมู่โบกี้ปลอบก่อนที่จ่าปลาจะเข้าไปซุกอ้อมแขนแล้วร่ำไห้อย่างหมดเปลือก แขนเสื้อของหมู่โบกี้ค่อยๆชุ่มขึ้นทีละน้อย จนเปียกโชก
ในระหว่างที่สองคนกำลังดราม่า อีกสองคนกำลังพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาศอยู่
"เหตุการณ์สดๆแบบนี้ ต้องถ่ายไปเยอะๆ ต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ๆ คนตายเยอะแบบนี้ต้องขายได้ราคาดีแน่ๆ ดูสิคนนั้นกำลังหายใจพะงาบๆอยู่ รีบไปถ่ายเร็ว"เนย นักข่าวหน้าเงินผู้ต้องการเข้าสำนักข่าวไฮยีน่านิวส์กำลังทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยมสมกับเป็นผู้เผยแพร่ข่าวสาร(?)และความจริง
"แล้วไม่เอาเศษไม้นั่นออกจากแขนก่อนเหรอ"สมบัติท้วง ขณะที่ตนเองตั้งกล้องถ่ายวีดีโอสถาณที่เกิดเหตุอยู่
"ถ่ายก่อน ศพแมลงวันยังไม่เกาะเลย แผลเดี๋ยวให้จ่าปลาทำให้"เนยปัดก่อนที่จะถ่ายภาพร่างไร้วิญญาณของขบวนการมอดไม้อย่างเมามัน ของกลางและแมวยักษ์ก็โดนถ่ายอย่างครบทุกมุมกล้องเช่นกัน
"นี่หมวด ผมว่าเราน่าจะพักกันที่นี่นะ เหนื่อยแล้วอ่ะ"ไอ้ตือนั่งหอบอยู่กับพื้นปาดเหงื่ออย่างเหนื่อยล้า มองสภาพลานแปรรูปไม้เปื้อนเลือดอย่างเศร้าศร้อย
"ได้ แต่เราจะไม่ค้างคืนที่นี่นะ"หมวดเอกพูด แววตาเหม่อลอย มองสถาณที่เกิดเหตุอย่างเลื่อนลอย
"ทำไมหล่ะ" ไอ้ตือทักท้วงอย่างเหนื่อยอ่อน
"สัตว์กินซากจะแห่กันมา และในภาวะที่เราเจอตัวเทือกนี้เต็มไปหมด การเผชิญกับสัตว์แบบนั้นจำนวนมากๆไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ"หมวดเอกอธิบายก่อนที่จะหยิบปืนอาก้าออกมาจากมือของร่างหนึ่งที่โดนแมวนั่นตะปบจนเยิน
"นี่ ผมอยู่นี่ สนใจกันหน่อยเด้!!!!!!" ไอ้กรอบตะโกน
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:38:45 GMT
16.Mr.krob and the lumberjack : กรอบและแก๊งค์ตัดไม้
"ยินดีต้อนรับเข้าสู่ทัวร์หุบเขาดงโขมดเย็น ทัวร์ชมธรรมชาติอันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมปลูกฝังจิตสำนึกรักธรรมชาติ ขอให้ทุกท่านโปรดอย่าเด็ดดอกไม้หรือทิ้งขยะนะจ๊ะ บลาๆๆๆ หลังจากที่คณะทัวร์หมูมะนาวฮาเฮพาทุกๆท่านไปชมรังโจรและบ่อนการพนันให้ท่านลูกทัวร์ได้เรียนรู้วัฒธรรมอันงดงามของหุบเขานี้ ตามด้วยกะปอมโอเวอร์ไซส์และต๊กโตกระหายเลือด ออกกำลังกายด้วยการจ๊อกกิ้งวิ่งหนีหมู ตอนนี้ลูกทัวร์ทุกท่านโปรดชมคาเฟ่แมวโชกเลือดและสุสานแก๊งค์มอดไม้ให้เป็นขวัญตา..."
ป๊าบบบบบ!!!!!!
หงิ๋งงงงงง
"ตลกเหรอ มันใช่เวร่ำเวลามาตลกมั้ย!!!"หมวดเอกแพ่นกบาลผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่รู้กาละเทศะคนหนึ่งจนคว่ำ และแน่นอนที่สุดคือ มุขนี้ไม่ตลกสำหรับหมวดเอก
"แหะ แหะ แหะ"ไอ้ชาติหัวเราะแห้งๆ ระหว่างที่การแสดงล้อเลียนนักข่าวทั้งสองของทีมที่กำลังปรี่เข้าไปถ่ายรูปศพสมกับสำนักข่าวในฝันที่พวกเขาอยากเข้าสังกัด มันดูแล้วหน้าหมั่นไส้จนต้องล้อเลียนให้ได้ซะจริงๆ เพื่อนๆร่วมหมู่เองก็ขำกันจนหายใจไม่ออกขณะที่ชาติทำท่าจีบปากจีบคอเลียนแบบทัวร์หลีดเดอร์ในอุดมคติ แน่นอนว่าไม่มีทัวร์ที่ไหนอยากมาชมรังโจรชายแดนในป่าอันตรายแบบนี้หรอก แต่นี่คือการล้อเลียน
"ถ้าว่างพอที่จะมา ดรามาติก โอเปร่า อะไรแบบนี้เอาเวลามาช่วยหมวดแก้มัดให้กรอบมันหน่อยดิ หรือไม่ก็เก็บซากอาวุธให้หน่อย เบื่อไอ้ลูกซองคุณภาพปราบพิราบเต็มทนแล้ว แล้วก็สำรวจพื้นที่ด้วย ไอ้พวกหนีๆไปเกิดแห่กันกลับมาไม่สวยนะ"หมวดเอกเฉ่งลูกกะโล่ชุดใหญ่ก่อนที่จะแก้มัดให้ไอ้กรอบ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ไร้ยศแห่งหมู่กะเพราทมิฬที่หายไป เขาโดนพวกแก๊งค์ลักลอบตัดไม้จับเป็นตัวประกันระหว่างที่หนีกาฝากหมู(ตามคำบอกเล่าของดาบน้ำเต้าแห่งหมู่กะเพราทมิฬ) แก๊งค์ค้าไม้คงคิดจะเก็บตัวประกันไว้จะได้ต่อรองเวลาเจอเจ้าหน้าที่แห่กันมา เผอิญแมวป่าร่างยักษ์หน้าตาอุบาทย์ผิดรูปตัวนึงฝ่าเข้าไปอาละวาดกลางวง ขนาดมหึมาและธรรมชาติแบบสัตว์นักล่าอย่างแมวทำให้กลุ่มคนตัดไม้และผู้ร้ายปลิวกันเป็นใบไม้ร่วง ก็ดี พวงนั้นมีอาวุธสงครามลามไปถึงปืนจรวดต่อต้านรถถัง ถ้าปล่อยไปจะยิ่งเดือดร้อนเข้าไปอีก แต่การจากไปของศัตรูสิบกว่าคนไม่ได้ทำให้หุบเขานี้เสื่อมโทรมน้อยลงนัก ยิ่งในสภาวะที่มีตัวอะไรก็ไม่รู้ออกล่าและโรคร้ายแพร่ระบาดอย่างไม่หยุดหย่อน การมีปืนแรงๆที่เคยเป็นของพวกผู้ร้ายก็สามารถช่วยได้ไม่มากก็น้อย ตุ๊กแก ตั๊กแตน จระเข้ หมู แมว กาฝาก พนันได้เลยว่าอีกไม่นานมันต้องมีอะไรพิลึกๆมากันอีกแน่ๆ และมันอันตรายด้วย
"โชคดีที่แมวมันไม่ตะปบมาทางนี้ ไม่งั้นนะเอ็งเอ้ย"หมวดเอกหันไปคุยกับไอ้กรอบ ผู้ซึ่งถูกมัดอยู่กับต้นไม้เบี้ยวๆ(ซึ่งไม่เหมาะแก่การแปรรูปและไม่คุ้มที่จะตัด)ด้วยเชือกไนล่อนสีเขียวเข้มแบบที่ใช้กันตามโรงงานและท่าเรือ
"สรุป นายโดนจับมายังไงเล่าให้ฟังหน่อยซิ"หมวดเอกพยายามแก้มัดเชือกหนาๆแต่ว่าเงื่อนอะไรก็ไม่รู้ที่พวกคนตัดไม้ผูกมันไม่ได้แกะง่ายอย่างที่ดูเหมือน(แหงดิ ถ้าแกะง่ายไอ้กรอบมันคงหนีไปนานแล้ว) ความอดทนของหมวดเริ่มหมดลงทีละน้อยเหมือนกับเบียร์ในแก้วเย็นวันศุกร์(อัตราการลดลงก็สปีดเดียวกัน)
"ก็คือว่า . . . ระหว่างทีผมกับหมู่กะเพราทมิฬกำลังเดินทาง แรกๆก็ผ่านไปไม่มีอะไรจนกระทั่งไอ้จั่วโดนตัวอะไรก็ไม่รู้ผอมๆใหญ่ๆตัวออกเขียวๆจู่โจมตอนมันไปนั่งขี้ เละ บอกเลย คนอื่นบอกว่าเป็นตั๊กแตนยักษ์ผมก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่"กรอบเล่าเรื่องการผจญภัยช่วงแรกๆให้ฟัง
"มันเป็นตั๊กแตนยักษ์ จริงๆ หมู่เรายิงมันซะพรุน"หมวดเอกตอบเสียงเรียบขณะกำลังสะกดความหัวร้อนของตนเองที่พ่ายแพ้ให้กับเชือกโรงงานโง่ๆเส้นนึงอยู่ อุณภูมิหัวของหมวดเอกเพิ่มขึ้นทีละนิดราวกับคลื่นสึนามิ(นิดเหรอ)
"แล้วจากนั้นเราก็เดินทางต่อ อ้อมหนองเห็ดกระ..."
"ข้ามๆๆๆ แล้วไงต่อ"หมวดเอกยังหงุดหงิดอยู่เรื่องทำไมเขาไม่เดินอ้อมบึงน้ำสุดหลอนนั่น
"จากนั้นเราก็เดินทางต่อจนกระทั่งเราเจอร่องรอยแปลกๆ เราเจอ..."
"หมูที่มีรากไม้บนหลังใช่มั้ย"
"ใช่ๆๆ ผมกับคนอื่นๆกระจัดกระจายตอนที่มันและฝูงของมันแห่กันเข้ามาจะเล่นงานเราแต่ดีที่เราหลบได้ รู้สึกว่าหมวดชะโดโดนอัดเข้าไปเต็มๆ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงมั่ง"
"หมวดชะโดบาดเจ็บอยู่แต่ว่า จะว่ายังไงดีน้าาาา เอาเป็นว่ายังไม่ตาย ยังหายใจ ก็แล้วกัน แล้วไงต่อ"
"ไอ้หมูพวกนี้มันยิงไม่เข้า ยิงไม่ตาย หนังเหนียวผิดธรรมชาติ แต่ว่านอกจากหมูพวกนั้นแล้วผมเห็นอย่างอื่นอีก"
"อะไร มีอะไรอีก"
"ดวงตา"
"ห๊ะ..."
"มีดวงตา สองดวง หนึ่งคู่ จ้องมองออกมาจากบนต้นไม้"
"ก็ไอ้รากไม้นั่นมันมีตา จริงๆแล้วมันเป็นกาฝากหน่ะ มันกัดด้วยนะ ดุด้วย"หมวดเอกทำท่าไม่ใส่ใจขณะที่หมดความอดทนกับเชือกไนล่อนแล้ว
"ไม่ ไม่ใช่ของรากไม้ มันเป็นของตัวอะไรซักอย่าง ไม่ใช่แต่มองอย่างเดียว มันตาม ตามเรามา"ไอ้กรอบเริ่มเสียงตะกุกตะกัก
"มัน ตาม? ลิงหรือเปล่า จะว่าไปก็อาจจะเป็นตัวอะไรก็ได้ ป่านี้มีแต่อะไรพิลึกพิลั่น แล้วโดนจับมาได้ยังไง"หมวดเอกถามต่อ
"ผมกำลังหาทางกลับไปรวมกับคนอื่นๆแต่ว่าวิทยุสื่อสารใช้ไม่ได้ สันญาณโดนรบกวนจนไม่สามารถสื่ีอสารได้เลย กลายเป็นเสียงซ่าๆๆๆ มันต้องมีอะไรแน่ๆเลย"
"ก็เครื่องรบกวนสัญญาณรุ่นใหม่ที่ไอ้ประเทศมหาอำนาจซักแห่งให้ประเทศเพื่อนบ้านมาไง ได้ยินว่าจะมีการเข้าไปเจรจาทางการค้ากับไอ้โสร่งก็เลยต้องมอบของขวัญสุดพิเศษที่พวกมันต้องการเป็นพิเศษให้"
"พึ่งรู้ แล้วตอนที่ผมกำลังหาทางกลับอยู่เนี่ย มีตัวอะไรซักอย่างใหญ่มากๆ สีดำๆ ก็ไอ้แมวยักษ์ที่นอนเป็นอาหารแร้งอยู่ตรงนั้นแหละ มันพยายามไล่ผม แล้วทีนี้ผมก็หนี หนี หนี จนเผลอมาจ๊ะเอ๋พวกในค่ายตัดไม้เถื่อนนี้แหละ พวกมันจับผมไว้เป็นตัวประกันเพราะทันทีที่เจอผม พวกเค้าก็รู้ว่างานงอกแล้ว พวกเขาระดมขออาวุธเพิ่มจากต้นสังกัดด้วยการส่งม้าเร็วไปขอ ม้าเร็วที่ว่าไม่ใช่ม้าจริงๆนะแต่เป็นการส่งหนึ่งในลูกสมุนออกไปแจ้งข่าว พวกเค้ารู้ว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้อย่างเราไม่เข้าป่าคนเดียว และแน่นอนว่าเขากลัวเรา ถึงได้ไม่ฆ่าผมแต่เลือกที่ที่จะจับเป็นตัวประกันแทน ผมได้ยินแว่วๆว่าพวกเขาก็เจอสัตว์ประหลาดเหมือนกัน ยิ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเยอะและยิ่งประหลาด ที่อยู่ตรงนี้เป็นแค่หน่วยย่อยเท่านั้น ได้ยินว่าหลายๆหน่วยโดนจู่โจมโดยสัตว์ร้ายนานาชนิด เค้าว่ามีหมีประหลาดที่ดุมากๆด้วย"
"แล้วได้ยินหรือปล่าวว่าพวกนี้มันเป็นสังกัดแก๊งค์ไหน"
"พวกเข้าไม่พูดชื่อให้ได้ยิน แต่พอได้ยินว่าต้นสังกัดใช้นามแฝงว่าดินทราย แต่ที่แย่ที่สุดคือ ไอ้ดวงตาสองดวงนั่นมันไม่หายไป มันอยู่บนต้นไม้และตามมาถึงที่นี่ เคลื่อนไหวได้เงียบเชียบ รวดเร็ว และมันจ้องมองทุกๆคนในค่ายตัดไม้ พวกเขาไม่ค่อยรู้ตัวกัน ผมก็ไม่บอกด้วย แล้วเมื่อวาน ผมเห็นมันอยู่บนต้นไม้ มองตอนที่คนตัดไม้เผลอ แล้วมันก็..."
"กินคนตัดไม้เหรอ"
"เปล่า มันแลบลิ้นลงมาคว้าเอาห่อข้าวของคนตัดไม้ไป ลิ้นมันยาวมาก เหมือนผีเลย ผมก็ได้เห็นหน้ามันจะๆ หน้ามันเหมือนคน หน้ามันเหมือนคนเป๊ะเลย คนที่มีลิ้นยาวพอที่จะคว้าเอาอะไรซักอย่างไปจากบนต้นไม้ มันน่ากลัวมาก ผมสติแตกกรี๊ดออกมา จนคนตัดไม้หันมาดู ผมบอกมันไปว่ามีผีป่าอยู่ตรงนั้น แต่ตอนที่คนตัดไม้หันไปดู มันก็หายไปแล้ว เค้าเลยคิดว่าผมอดนอนจนเป็นบ้า"ไอ้กรอบพูดด้วยเสียงสั่นเทา เหงื่อชุ่มไปหมดทั้งตัว ตาเบิกกว้างและเลื่อนลอย จริงๆแล้วกรอบเป็นพวกคนที่กลัวผีค่อนข้างมาก และงานนี้ เขาได้เจอแบบจะๆตัวนึงเลย คนที่ลิ้นยาวเหยียด ฟังดูไม่น่าจะเป็นสัตว์ประหลาดนะ
"ผีป่า . . . ฟังดูไม่น่าใช่นะ มันขโมยอาหารและอยู่บนต้นไม้เป็นหลัก น่าจะเป็นลิงกลายพันธุ์หรืออะไรเทือกๆนั้น ตอนนี้มันยังอยุ๋มั้ยหล่ะ"หมวดเอกหมดความอดทนกับเชือกเป็นที่เรียบร้อยแล้วและตอนนี้เขาก็คิดจะใช้วิธีอื่น
"มันยังไม่โผ่ลมาแต่ว่า ผมรู้ว่ามันต้องกลับมาแน่ๆ แล้วนี่เราจ..."
"ฉับ!!!!!!!"
"ฮว้ากกกกกกก... นี่ทำอะไรเนี่ย ตกใจหมดเลย"ไอ้กรอบร้องเสียงหลง สะดุ้งกระตุกใหญ่ เมื่อหันไปก็ได้รู้คำตอบ หมวดเอกเพิ่งใช้มีดพร้าตัดเชือกแทนการแก้มัด แค่ดูหน้าก็เห็นได้ว่า อุณภูมิหัวของหมวดเอกสูงพอที่จะปิ้งย่างเกาหลีบนหัวหมวดได้สบายๆ (ยกเว้นว่าเราไม่มีทั้งหมูและถาดปิ้งนะ)
"พอดีเชือกมันพันกันยุ่งเกินมาตรฐานเงื่อนสากล หมวดก็เลยใช้เครื่องทุ่นแรงนิดๆหน่อยๆ (แปล:หมวดทำใจไม่ได้ที่เชือกโง่ๆเงื่อนง่าวๆทำให้หมวดเสียหมา ก็เลยเอามีดพร้าสับมันเลย) ไม่เจ็บตรงไหนไม่ใช่เหรอ"หมวดเอกตอบก่อนที่จะฉุดให้กรอบลุกขึ้น
"ต่อไปนี้จนกว่าจะถึงกองพัน เจ้าหน้าที่กรอบต้องเป็นคนหิ้วสัมภาระส่วนเกินและหลักฐานทั้งหมดที่ทางหมู่เห็นว่าสมควร โดยหมู่นี้ผมเป็นคนบังคับบัญชา ดังนั้น สั้นๆ แกเป็นลูกหาบ จบ"หมวดเอกพูดจบก็ยืดเส้นยืดสาย เก็บมีดพร้าเข้าฝักชี้ไปที่เศษระเกะระกะรอบกาย
"ปืน อาวุธ กระสุน เก็บซะ ศพ หาหลักฐานให้มากที่สุด แมว ไม่ต้องไปยุ่ง เพื่อนร่วมหมู่ เค้ากำลังทำอะไรแกก็ไปช่วยเค้า นักข่าว ไม่ต้องถ่ายได้มั้ยตอนนี้เนี่ย!!!"หมวดเอกสั่งไอ้กรอบที่ทำหน้าเหวอ ตากระพริบปริบๆ อ้าปากค้างและมองพื้นที่เกิดเหตุอันน่าจะเป็นงานหนักเอาการ ซากลานแปรรูปไม้ที่เต็มไปด้วยท่อนซุง ซากศพ อุปกรณ์ตัดไม้และสรรพอาวุธที่กองกันเกลื่อนกลาดตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเลื่อยไฟฟ้า สองนักข่าวที่ถ่ายทำการสนทนาทั้งหมดสะดุ้งโหยงก่อนที่จะออกไปถ่ายของต่างๆในที่เกิดเหตุต่อ
"หมวดเอก หมู่โบกี้ ผมเจอไอ้มอดแป้ง เฮ้ย มอดไม้สองตัวมุดอยู่ในโรงเลื่อย เอาไงดี"ไอ้ชาติตะโกนบอกระหว่างที่เขากับไอ้กอล์ฟลากคนตัดไม้ร่างหนึ่งมากับพื้น ด้วยการจับแขนคนละข้างแล้วลากมา ส่วนอีกคนโดนไอ้ตือรวบแขนสองข้างแล้วลากมาเหมือนกับกระสอบปุ๋ย ทั้งสองพยายามดิ้นหนีแต่ไม่เป็นผลเมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่เรียนวิธีการจับตกุมตัวผู้ต้องหาอย่างถูกวิธีตามหลักสากล(?)เป็นผู้คุมตัว
"โว้ยปล่อยนะ สู้นะ บอกให้ปล่อยไง ไอ้หน้าจิ้งเหลนปิ้ง คิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่แล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ เก่งเหรอ เก่งแต่กับคนไม่มีทางสู้อย่างพวกเราเนี่ยนะ ไอ้ตุ๊ดเอ้ย ไอ้ขี้ข้ารัฐบาล รังแกประชาชน"หนึ่งในมอดไม้พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการพร้อมกับสบถอย่างไม่หยุดปาก
"เหรอ เมื้อยังขู่จะให้เราห่มธงชาติกลับไปอยู่เลย มีปืนกันทุกคน เจอเจ้าเหมียวตบไม่กี่ที่เละเป็นฟองเต้าหู้เลย"หมู่โบกี้ยืนขึ้นโดนมีจ่าปลาอยู่ในอ้อมแขน ฉายสายตาเหยียดระยะสุดท้ายที่ชวนให้อยากต่อยหน้า+10 พร้อมรอยยิ้มสุดกวนบาทาทำลายความอดทน เอกลักษ์ที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างที่หมู่โบกี้ถนัดเป็นอย่างยิ่ง จิตวิทยาในวงเหล้าเป็นสิ่งที่หมู่โบกี้ใช้ในการปราบปรามศัตรูและหาเรื่องใส่ตัวตั้งแต่เขาเรียนจบประถม
"เย้ยเราเหรอไอ้หน้าตูด พวกแกมันก็ได้แต่ตดทางปากแหละหน่า ปล่อยให้ลูกน้องออกมาทำงานตัวเองยืนคุมกุมไข่อยู่เซฟโซน วันๆมัวแต่โอ๋หญิงยิ้มหวานเป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขง ไอ้หน้าทุเรศ"มันตัวเดิมยังเถียงไม่หยุดปาก แน่นอนว่ามันไม่ได้สำเหนียกสถาณะการณ์แม้แต่น้อย ความกล้าหาญกับความบ้าระห่ำมันขึ้นอยู่กับสถาณการณ์ที่ใช้ และนี่คือบ้าระห่ำ+มีฟาร์มหมาอยู่ในปาก+สมองน้อยจนอะมีบ้าสงสาร
"ตือ โรลเลอร์โคสเตอร์สไตล์หมู่หมูมะนาวให้พวกปรสิตขี้โรคพวกนี้ดูเป็นบุญตาหน่อยซิ มันจะออกผ่อนคลายซักหน่อย เจ็บนิดเดียว เหมือนหมู เอ้ย มดกัด"หมู่โบกี้พูดพร้อมยิ้มหวานชวนขนตั้ง แผ่รังสีอำมหิตระดับกลางออกมา ประกอบกับรอยยิ้มมีเลิศนัยของสมาชิกหมู่
"โอ้ว เยี่ยม"มันตัวเดิมเริ่มรู้ตัวแล้ว
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ในตอนนี้หมู่โบกี้และคนอื่นๆกำลังจับสมาชิกแก๊งค์มอดไม้ตรึงอยู่กับพื้นด้วยเชือกและรองเท้าคอมแบต คนตัดไม้ทั้งสองกลอกตาเลิกลักมองไปทางซ้ายขวาอย่างตื่นกลัว หมวดเอกนั่งเอกเขนกอยู่กับกองไม้ชมการแสดงอันเปี่ยมด้วยเอกลักษ์ และนอนว่าแต่ละหมู่มีวิธีจัดการกับผู้ต้องหาที่ทำตัวไม่น่ารักแต่อยากเป็นแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ไม่เหมือนกัน หมู่หมูมะนาวชื่นชอบความหวาดเสียวจึงจัดทำโรลเลอโคสเตอร์สำหรับพวก วอนนาบี(อีกชื่อคือ วอนเป็นผี) ให้ได้เล่นกัน
"เอ้ย นี่พวกแกกำลังทำผิดกฎหมายอยู่นะ เป็นผู้รักษากฎหมายไม่ใช่เหรอ"หนึ่งใน2ผู้ต้องหาเริ่มท้วง ท่าทางไม่ค่อยดีซะแล้ว
"เผอิญว่า...นี่มันชายแดนเขตหวงห้าม ถามหน่อย เราควรจะอิงกฎหมายประเทศไหนดี แถมคนทำผิดกฏหมายจะมาเรียกร้องขอให้กฏหมายช่วยเนี่ยนะ มาเรียงกันดีกว่าว่ามีกี่กระทง ลักลอบเข้าเขตหวงห้าม ตัดไม้ในเขตหวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ซ่องสุมกองกำลัง มีอาวุธสงครามร้ายแรงไว้ในครอบครอง ข่มขู่เจ้าพนักงาน ทำร้ายเจ้าพนักงาน ข้ามชายแดนโดยไม่มีวีซ่า ทำเป็นกล้าใส่เจ้าพนักงาน ฆ่าสัตว์หายากที่ทั้งป่ามีอยู่ตัวเดียว แล้วก็อื่นๆอีกมากมายที่เดี๋ยวนึกออกแล้วค่อยแจ้ง เอาหละ ได้เวลามันส์หยดติ๋งๆกันแล้ว"หมู่โบกี้พูดจบก็สะบัดมือให้สันญาณทีนึงก่อนที่ไอ้ตือจะวิ่งขึ้นเนินดินเล็กๆข้าง
"ไม่นะ ไม่ไม่ไม่ไม่ไม่ ม่าย อย่า อย่าทำอย่างนี้ ขอหละ ว้ากกกก"
"พบกับการแสดงโชว์หมูเหินหาว จ้าวเวหา อัดลงมา โลกาสะเทือนนนนนน บดมันเลยไอ้ตือ ไอ้พวกชอบเล่นมุขตลกเจ็บตัวจะได้จำ"หมู่โบกี้สั่ง
ไอ้ตือทำท่าเหมือนนักกระโดดน้ำ วอร์มอัพเล็กน้อยก่อนที่กระโดดขึ้นสู่อากาศเฉกเช่นเพนกวิ้นเป็นเบาหวานฝันจะบิน ตีลังกาอย่างองอาจดุจลูกโบวลิ้ง อสูรพันตันตนนี้ก็โดนแรงดึงดูดของโลกดึงลงมาด้วยความเร็ว 9.8 เมตรต่อวินาทียกกำลังสอง ยิ่งไอ้ตืออยู่กลางอากาศนานเท่าไหร่ก็ยิ่งตกเร็วมากเท่านั้นไม่รวมแรงต้านอากาศ มอดไม้ทั้งสองต่างรู้สึกถึงน้ำหนักมหาศาลของวัตถุคล้ายทรงกลมเบื้องบนโดยที่ยังไม่ได้สัมผัสด้วยซ้ำ ฟีลลิ่งแบบว่าเข้าไกล้ปรโลกขึ้นอีกขั้นนึกช่างชัดเจนแบบมันอยู่ตรงหน้าเลย ทั้งคู่หลับตารับชะตากรรม กรรมหนักซะด้วย
"ยี้-----------ฮ่าาาาาาาา"เสียงเลียนแบบคาวบอยของไอ้ตือบอกถึงความมันส์สุดขีด นอกจากนี้มันยังบอกถึงระยะของไอ้ตือด้วย
"ตู้มมมมมม!!!! อักกกกกกก!!!!"เสียงอัดแผ่นธรณีจนควันคลุ้งช่างชัดเจนผนวกกับเสียงร้องแบบจุกๆของผู้เล่นโรลเลอโคสเตอร์ สนุกจนพูดไม่ออกเลย
"สวยงาม บิ้วตี้ฟูลเจงเจง นิทานเรื่องนี้สอนว่าเป็นลูกไก่ในกำมืออย่าถือตนว่าเป็นพญามังกร จำใส่กะโหลกนะจ๊ะหนูๆ ลุกได้"หมู่โบกี้พูดด้วยเสียงกระตุกน้ำโหแบบที่ยากที่จะมีกุ๊ยตัวไหนทำได้ ไอ้ชาติกับไอ้กอล์ฟภึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ จ่าปลามองเหล่าผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องลงไปอยู่ใต้ก้นหนาๆของไอ้ตืออย่างสังเวชส่วนหมวดเอกกำลังสั่งให้ช่างภาพลบบันทึกเหล่านี้ออกจากกล้องอย่างเร่งด่วน ที่ไม่ใช่สิ่งที่สื่อมวลชนควรจะเผยแพร่เด็ดขาด ไม่ว่ามันจะไปอยู่ในรายการข่าวเช้าหรือตลกเจ็บตัวก็ตาม
"เออ แรงไปหน่อยมั้ย? ภ้ากระดูกหักขึ้นมาเนี่ย จ่ารักษาไม่ไหวนะ"จ่าปลามองร่างบี้แบนสองร่างที่โดนอำนาจเซลลูไลต์ขยี้จนยุบลงธรณี ไอ้ตือลุกขึ้นมาปัดเศษดินออกจากเครื่องแบบก่อนที่จะงัดหนึ่งในสองคนนั้นขึ้นมาจากพื้น ด้วยมือข้างเดียว ถึงตือจะอ้วนฉุแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแรงทำอะไรเหมือนพวกที่อยู่บนโซฟาตลอดเวลานะ จะว่าไปเขาก็เหมือนหมูที่แข็งแรง อ้วนแต่ทรงพลัง นอกจากนี้ยังหนังเหนียวด้วย
"ไม่แรงเท่าที่เจ้าฟองดูเจอหรอก ว่าแต่ มันไปไหนแล้ว"หมู่โบกี้ตอบก่อนที่จะหันไปมองรอบๆก่อนที่จะเห็นอะไรบางอย่าง
บางอย่างที่ไม่ใช่ฟองดูแน่ๆ
"เฮ้ยยยย"
"อะไร?มีอะไรโบกี้"จ่าปลามองหน้าหมู่ด้วยความสงสัย
"นั่น บนต้นไม้นั่น มันมีตัวอะไรซักอย่างที่ หน้าเหมือนคน ตาใหญ่ๆ มันๆๆ มันหายไปแล้ว"หมู่โบกี้พูดเสียงสั่น มองไปรอบๆอย่างตื่นกลัว เหงื่อแตกพลักๆๆ เจ้าสิ่งที่เขาเห็น รวดเร็วกว่ากาฝากหมู เล็กกว่าตุ๊กแกยักษ์ น่ากลัวกว่าปลิงหงอน ลึกลับกว่าไดอารี่ของหมวดดนัย อันตรายกว่าสารวัตรเกรียงไกรในวันที่ลงอ่างแล้วโดนเมียจับได้ เออ ถอนคำพูดข้อสุดท้าย
"ไหน ไม่เห็นมีซักกะตัว"ไอ้ตือหันไปมองแล้วไม่เห็นอะไรอยู่บนต้นไม้นอกจากใบไม้หนาทึบ กิ่งไม้แห้งๆ และ เศษอะไรก็ไม่รู้ สงสัยจะเป็นใยแมงมุม
"มันหายไปแล้ว มันเร็วมาก เร็วกว่าที่เราคิดไว้ มัน เหมือนผีโป่งค่าง(ผีป่าชนิดหนึ่งที่เกิดจากวิญญาณสัตว์ป่าที่ตายขณะกินดินโป่ง)"หมู่โบกี้หน้าถอดสี ผีโป่งค่างมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความดุร้ายและการโจมตีในยามค่ำคืน เจ้าสิ่งที่เขาเห็นอาจจะไม่ใช่ หรืออาจจะใช่
"เดี๋ยวนะไอ้กี้ เฮ้ย บอกไอ้กรอบซิ ว่าที่แกเห็นหน้าตามันเป็นยังไง"หมวดเอกจับไหล่หมู่โบกี้ให้ตั้งสติ สิ่งที่หมู่โบกี้ฟังดูคล้ายกับสิ่งที่ไอ้กรอบเล่า ความคล้ายคลึงที่น่าประหลาดนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ เจ้าสิ่งนั้นกำลังจับตาดูเราอยู่
"หมวดเอก หมวด หมวดต้องมาดูนี่"ไอ้กรอบวิ่งจากอีกฟากของโรงเลื่อยมาจนฝุ่นดินฟุ้งกระจาย กระโดดข้ามซากของและร่างไร้วิญญาณของคนตัดไม้ ถ้าเป็นแมวดำคงเฮี้ยนกันหมดแก๊งค์แล้ว ในมือของไอ้กรอบมีแผ่นกระดาษม้วนใหญ่อยู่
"นี่ ไอ้กรอบ ไปเจออะไรเข้าเหรอ"หมวดเอกถามถ้าทางไม่สบายใจ ทุกครั้งที่มีคนวิ่งท่านี้มาหาหมวดมันจะต้องมีอะไรแย่ๆเกิดขึ้น เช่น มันดันไปเหยียบรังแตนเข้าหรืออะไรเทือกนั้น
"ผมไปเจอแผนที่ของพวกนั้น และมันมีอะไรที่น่ากลัวมากอยู่"ไอ้กรอบตะโกนก่อนที่จะยื่นแผนที่อันทำมาจากกระดาษมันสีน้ำตาล ดูยังไงมันก็ต้องเคยเป็นสีขาวมาก่อน แผนที่นี้มีรหัสและสัญลักษ์ต่างๆเต็มไปหมด
"ไม่เอาหน่าาาา มันจะมีอะไรน่ากลัวนักหนากะอิแค่กระดาษแผ่นเดียว ไปเจอแบบแปลนอาวุธยึดโลกเข้าหรือไง"ไอ้ชาติแสดงความเห็นโง่ๆของมันอีกแล้ว
"จากที่สังเกตุ มีกากบาทสีแดง...เต็มไปหมด ตามปกติแล้วสีแดงไม่ใช่อะไรที่มีความหมายดีในแผนที่ กากบาทจะถี่ขึ้นเรื่อยๆและมีช่องว่างตรงกลาง ตรงนี้ มันอาจจะหมายถึงอะไรบางอย่าง"หมวดเอกกางแผนที่ออกมาดู จุดที่มีกากบาทสีแดงมักจะเริ่มมีตั้งแต่เขาช้างล้ม หนองเห็ดกระสือ ลานมันเทศ และบริเวณโดยรอบ และมันจะถี่ขึ้นในบริเวณที่มีแหล่งน้ำ จนถึง จุดที่คาดว่าเป็นต้นตอของสิ่งผิดปกติทั้งหลาย
"ผมว่าเพื่อความชัวร์ เราถามไอ้จิ้งโกร่งแห้งสองตัวนั้นดีกว่า มันน่าจะรู้ว่าสัญลักษ์นี้หมายถึงอะไร"ไอ้ตือชี้ไปที่ผู้เล่นโรลเลอร์โคสเตอร์สองคน ที่อยู่ในสภาพดูไม่จืดเลย
"นี่ ถามหน่อยเดะ ไอ้เครื่องหมายต่างๆบนแผนที่นี่มันหมายความว่าอะไร เอาแบบดีๆนะไม่งั้นเรามีเรือไวกิ้ง ม้าหมุนหรรษา ชิงช้านรก และเครื่องเล่นอีกมากมายรอคอยให้นายมาเล่น รับรองสนุกไปถึงชาติหน้าเลยยยยยย"หมู่โบกี้ยื่นหน้าปลดปลอยแสตนด์แห่งความเกรียนออกมาอีกแล้ว เหมือนกับเห็นความน่าหมั่นไส้ผสมกับความน่ากลัวที่ออกมาได้ในสัดส่วนพอดีเป๊ะ ส่วนผสมแห่งความน่าถีบยอดหน้าของแท้
"ไอ้หน้า. . . "หนึ่งในคนตัดไม้กำลังจะด่าก่อนที่เพื่อนมันอีกคนจะปิดปากอย่างทันที วันนี้เขามีเวลาหรรษากับสวนสนุกหมูมะนาวมากเกินพอแล้ว
"เออ เอาเป็นว่า ถ้าเราบอก เราจะไม่โดน เครื่องเล่นแสนสนุกใช่มั้ย"
"ใช่ แต่เราจะไม่ปล่อยนพวกนายไปหรอกนะ นายต้องมาอยู่กับเรา แต่ว่าอืมมมม พวกนายมีกี่ทางเลือกน้า โรลเลอร์โคสเตอร์ อยู่กับเราที่มีทั้งเสบียงและอาวุธพร้อม หรือจะหนีไปแล้ว เจอเพื่อนๆสัตว์โลกไม่น่าร้ากกกดีหละ ห๊ะ"หมู่โบกี้ยื่นข้อเสนอ
"โอเค เรายอม ฉันชื่อต้น ส่วนไอ้นี่ที่มีหมาทั้งซอยอยู่ในปากชื่อ ไอ้ปากหมา"
"ชื่อขาวโว้ยยยย"คนตัดไม้ปากหมาท้วงกลับ
"โอ้ยยาวไป เรียกไอ้ตูดกับไอ้เขลาแล้วกัน"หมู่โบกี้ตั้งชื่อใหม่ให้เสร็จสรรพ จนแม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างขำกันเกลียว
"ไม่ต้องห่วง หมู่เค้าเป็นที่หนึ่งด้านการทำให้คนอื่น หัวร้อนจนต้องร้องขอชีวิต!!!!! ฮว่า ฮ่า ฮ่า!!! เนอะ ไอ้ตูด ไอ้เขลา"ไอ้กอล์ฟเสริมก่อนที่จะทำท่าเลียนแบบ
"เดี๋ยวจะมีคนแว่นแตกไม่รู้ตัว"
"โรลเลอโคสเตอร์"
"ไม่ ไม่ ไม่ ม่ายยยย เรายอมแล้ว"
"เค งั้นเข้าเรื่องเลยดีกว่า ไอ้เครื่องหมายพวกนี้คืออะไร"หมวดเอกถามซ้ำ เห็นเอาจริงเอาจังอย่างงี้หมวดเอกก็ยอมปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเล่นมุขตลกบั่นทอนปัญญาส่งเสริมปัญหาเป็นบางครั้งบางคราวด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ในครั้งนี้ เขาอยากได้ไอ้ขี้แพ้สองคนนี้มาแบกสัมภาระแทนไอ้กรอบก็เลยต้องให้พวกลูกกะโล่พันธุ์ระห่ำนำโดยหมู่โบกี้ยียวนกวนบาทาและทีมงานคุณภาพ(ต่ำ)จัดการละลายพฤติกรรมมอดไม้ไร้น้ำยาสองสหายให้หายซ่า ปากคนกับรองเท้าท๊อปบู๊ต อะไรจะแข็งกว่ากัน
"อ่าาาา สีเขียวคือส่วนที่เป็นป่า สีฟ้าคือส่วนที่เป็นน้ำ สี..."
"พอ ไม่ได้หมายถึงที่พิมพ์บนแผนที่ อันนั้นเราเรียนมาหมดแล้ว ที่อยากถามคือ ไอ้ที่เจ้านายแก"หมวดเอกตะคอกก่อนที่จะชี้ไปที่ร่างโดนผ่าครึ่งของหัวหน้ามอดไม้ เขาโดนเลื่อยวงเดือนผ่าครึ่งตอนที่โดนแมวยักษ์ปัดใส่
"นั่นแหละ เจ้านายแกที่นอนเป็นไส้กรอกยันละเมอรอตัดแบ่งขายตรงนั้น ชั้นรู้ว่าพวกนายก็ต้องรู้ สัญลักษ์ที่เขาเขียนด้วย ปากกามาร์กเกอร์!!! สีต่างๆนี่หมายความว่ายังไง อย่ามาทำไก๋ ไวด้วยไม่งันเราจะจัด funfair fever ที่นี่พร้อมโชว์มอดไม้เอาหัวลอดปากแมวยักษ์"หมวดเอกทำหน้าให้ดุที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในใจนึกถึงหน้าสารวัตรเกรียงไกรในวันที่โดนเบื่องบนสั่งให้ไปรายงานตัว ตะโกนให้เหมือนอยู่ในคอนเสิร์ทเพลงเพื่อชีวิต และ ถลึงตาให้เหมือนตอนที่จับได้ว่าลูกชายตัวแสบแอบเสพม้า (แม้ว่าหมวดเอกยังไม่มีลูกหรือแต่งงานก็ตาม)
"ด.ด.ด้าย"ต้นตอบด้วยความกลัว สวนสนุกของชาวหมูมะนาวไม่ได้สนุกอย่างที่ชื่อบอก มันต้องมีตัวตลกเพนนีไวซ์อยู่ที่ไหนซักแห่งแน่ๆ สาบานด้วยเกียรติของไอ้ขี้คุกเลยหละ
บรรยากาศโดยรอบค่อยๆตึงเครียดขึ้น
"สีน้ำเงินเข้มหมายถึงจุดที่เรากำลังตัดไม้อยู่"จากภาพในแผนที่มีอยู่หลายจุดเลยทีเดียวที่มีกากบาทสีน้ำเงินเข้ม หมายความว่าป่าแห่งนี้กำลังโดนบ่อนทำลายอย่างร้ายแรง
"สีดำหมายถึงจุดที่เราตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว"ในภาพมีรอยฝนสีดำจำนวนมาก ป่ากำลังค่อยๆตายจากน้ำมือของคนร้ายเหล่านี้
"สีขาวหมายถึง รังแต่ละแห่งก่อนที่จะขนสินค้าออกไปตามเส้นทางต่างๆ" สีขาวมีไม่กี่จุดและมันถูกเขียนด้วยลิควิดเปเปอร์
"แล้วสีแดงหละ"ไอ้ชาติถาม
"สีแดงหมายถึง......สาขาย่อยที่ถูกทำลาย"
ความเงียบกลืนกินลานแปรรูปไม้แห่งนี้ ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเล่นๆอีกต่อไปแล้ว ดูพวกเขาสิ ดูอาวุธของพวกเขาสิ ดูจำนวนคนของพวกเขาสิ แล้วหันมาดูจุดสีแดงบนแผนที่สิ นี่มันไม่ใช่แค่ลางร้ายแล้ว นี่มันคือสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเส้นทางข้างหน้า อันตราย อันตรายกว่าที่ผ่านมา สิ่งชั่วช้าเลวทรามหรืออสูรกายอะไรกำลังรอคอยพวกเขาอยู่เบื่องหน้า ความเครียดและความกลัวเริ่มครอบงำจิตใจของผู้กล้าแห่งพงไพร
"ทำลาย แบบที่นี่หนะเหรอ"หมวดเอกแผ่มือให้ดูสภาพพื้นที่ที่แหลกราญเพราะแมวยักษ์
"ใช่ และเราเป็นแค่สาขาย่อย"ไอ้ขาวตอบเสียงแผ่วเบา สีแดงจำนวนมากที่เต็มหน้ากระดาษเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีว่า ความซวยกำลังเคาะประตูหาแล้ว
"เมื่อก่อนมีไม่กี่อันหรอก ส่วนมากโดนเจ้าหน้าที่จับไม่ก็ยิงกับกลุ่มอื่นตาย แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กากบาทสีแดงก็มีเยอะขึ้นเรื่อยๆจนน่าใจหาย หลายแก๊งค์ถอยออกไปแล้ว แล้วเราก็กำลังจะไปพร้อมกับสินค้าชุดสุดท้าย กลุ่มติดอาวุธต่างๆล่าถอยออกไปจนแทบไม่เหลือ หุบเขาดงโขมดเย็นกำลังจะกลายเป็นป่าที่แท้จริง ป่าที่ปราศจากมนุษย์"ไอ้ต้นเสริม สีหน้าของผู้มาก่อนบอกได้ชัดเจนถึงสถาณการณ์ที่เลวร้ายลงทุก สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ค่อยๆปรากฎกาย อันตรายมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า แม้แต่อาชญกรที่เหี้ยมโหดและชั้วช้าที่สุดในหุบเขาต้องหลีกหนีให้กับสิ่งวิปริตที่ล่องลอย เร่ร่อน และ ออกล่าอยู่ในแผ่นดินที่กำลังจะตาย ไม่สิ แผ่นดินกำลังเติบโตและบิดเบี้ยว ผู้คนต่างหากกำลังจะตาย
"หมายความว่า เรากำลังจะถูกโดดเดี่ยวในป่าแห่งความตาย เราจะเอายังไงดี หมวดเอก เราจะเอายังไงต่อ แมวยักษ์นี่ไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ควรจะกลัวในป่านี้แน่ๆ"หมู่โบกี้หัดไปคุยกับหมวดเอก ใจคอเริ่มไม่ดี ความสับสนและความกลัวในจิตใจค่อยๆขยายตัวขึ้น ความมั่นใจและความกล้าเริ่มหดหาย
"ถ้าถอยได้ หมวดก็ถอยแล้ว ฟังนะ ทุกคนก็รู้ว่าถ้าถอยไปแล้วสารวัตรเกรียงไกรจะไม่ปราณีเราอย่างแน่นอน คิดสิว่าเบื่องบนจะทำยังไงกับความล้มเหลว ทุ่งหมาหอน!!! คำนี้ฟังดูคุ้นหูมั้ย ถ้ายังไม่อยากไปประจำการในปรโลกก็อย่าได้คิดจะทิ้งภารกิจ สัตว์มันก็ยังเป็นสัตว์วันยังค่ำไม่ว่าจะร้ายแค่ไหน หมวดขอสัญญาด้วยหัวที่ยังอยู่บนบ่าของหมวดเลยว่า เราเอาอยู่และไม่ได้หมายถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ด้วย ถ้าเราไปทุ่งหมาหอน รับรอง ขากลับมีผ้าห่มลายธงชาติด้วยทุกคน ย้ำว่าทุกคน(ที่โชคไม่ดีพอ) เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมของ เก็บเสบียงอาวุธให้ครบ เราจะไปล่าสัตว์ประหลาดกัน จะผีจะสางหรือตัวอะไรเดี๋ยวเจอปืนสงครามแล้วรู้เรื่องแน่ ไปได้"หมวดเอกประกาศด้วยเสียงอันหนักแน่น เก็กหน้าหล่อสุดความสามารถ สวมวิญญาณพระเอกในหนังผจญภัยอย่างเต็มที่ หนึ่งในหน้าที่ๆสำคัญมากถึงมากที่สุดของหัวหน้าหมู่คือ ความเป็นผู้นำและความสามารถในการปลุกใจผู้คน และนั่นคือเหตุผลที่หมวดเอกได้เป็นหัวหน้าหมู่หมูมะนาว
เสียงตรบมือราวกับหมวดเอกเป็นยอดนักพูดดังขึ้น
"ยอดเยี่ยม เท่มาก เท่สุดชีวิตทะลุขีดความหล่อ เฟี้ยวจนเด็กแว๊นรถล้มกันหมดทางหลวง ความตื้นตันใจนี้ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ รับทราบครับโพ้ม"หมู่โบกี้ใช้หนึ่งในความสามารถพิเศษของเขา เทคนิคการปูทางสู่การเลื่อนขั้นด้วยปาก นอกจากนี้ พลังนี้สามารถเพิ่มผลลัพธ์ของผู้พูดด้วย
"แพลบ แพลบ แพลบ แพลบ แฮ่ๆๆ เลื่อนขั้นให้หนูหน่อยน้า หนูจะเป็นเด็กดี เป็นหางเครื่อง เป็นแบ๊คอัพ ให้เจ้านายอันเป็นที่ร้าก ฮู้วววว ก๊ากกกกกก"มันตัวเดิมก่อเรื่องอีกแล้ว
"โรลเลอร์โคสเตอร์"หมู่โบกี้หันหลังมาทำตาลุกวาวพร้อมรอยยิ้มชวนสยองตั้งท่าพร้อมจู่โจม จนไอ้กรอบโผ่ลมาร้องเพลงประกอบชวนขนตูดลุก
"หมู่โบกี้ตัวนั้นฉันเห็นเขาอยู่บนหลังคา
วันนึงเขาเมาเหล้าไหลลงจากบนหลังคา
พระอาทิตย์ส่องแสง สร่างเมามายในพริบตา
หมู่รีบไต่ขึ้นฟ้าหันหลังมาทำตาลุกวาววววววว
โรลเลอร์โคสเตอร์ โรลเลอร์โคสเตอร์ แฮ่รรรรรรร---"
"ยอม ยอมแล้ว อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่โรลเลอร์โคสเตอร์กับเพลงประกอบทำลายประสาทพวกนั้น"มอดไม้ทั้งสองยกธงขาวโดยพลัน
"'อย่าให้ได้ยินมุขตลกบั่นทอนการเลียพวกนั้นอีกนะ ถ้าหมู่ไม่ได้เลื่อนขั้น funfair fever แน่ๆ จำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเอาไว้นะ เข้าใจใช่มั้ยว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ"หน้าหมู่โบกี้ดูจริงจังสุดๆ แน่นอน มาสายนี้ก็ต้องจริงจังกับสิ่งที่ควรจริงจัง
"คร้าบบบบ"สองสหายครางเสียงอ่อนเหมือนคนหมดไฟ อ่อนเป็นมะเขือเผาเลย
"เอาใหม่เสียงดังฟังชัด"
"เราไม่ใช่ทหาร"
"โรลเลอร์โคสเตอร์"
"ครับผม!!!!!!"สองสหายร้องเสียงดังฟังชัดราวกับจบโรงเรียนนายร้อยมาหมาดๆ
"ดีย์....มาก แล้วรอบิดามาตัดริบบิ้นเปิดงานเหรอ ขนของเด้ เดี๋ยวสัตว์กินซากมามันจะได้ซากเพิ่มอีก2ซากหรอก"หมู่โบกี้ตะโกนเสียงโหดราวกับหนูแฮมสเตอร์ติดเชื้อหมาบ้า(หมู่โบกี้ถนัดกวนไม่ถนัดว้ากเท่าไหร่ เลยโดนถอนใบอนุญาติการเป็นสมาชิกรับน้องโหดโดยกระทรวงโซตัสนานาชาติเนื่องจากสอบตกคุณภาพการว้าก)
"จั๊บ"มันสองตัวรีบวิ่งไปหมายจะหยิบอาวุธซักชิ้นแล้วเปิดแนบ แต่ว่า...
"โฮ๊ะ โฮ็ะ โฮ็ะ แกขนของใช้ไม่ใช่อาวุธหรอกน้า กรอบขนไปหมดแล้ววว ไม่ได้แอ้มหรอก"หมู่โบกี้สวมบทเป็นขุนนางที่ชอบหัวเราะกวนบาทา ถ้ามีพัดกับกระโปรงคงได้เป็นดัชเชสจริงๆ
"เกลียดอะ เสียงหัวเราะเหมือนผู้หญิงยิ่งกว่าจ่าอีก"จ่าปลาจิก จิก จิก จนเพื่อนร่วมหมู่ขำกันกระจาย
"มันก็ต้องฝึกไว้บ้างเผื่อจำเป็นต้องใช้"
"ต้องเหรอ"
"ในกรณีที่เราจะแสดงความสูงศักดิ์ให้ประชาราษได้เห็นก็ต้องใช้"
"พรืดดดดดดดด สูงศักดิ์ ก๊าก!!!" เสียงหนึ่งดังขึ้น
"โรลเลอร์โคสเตอร์"หมู่โบกี้หันหลังมาทำตาลุกวาวรอบสอง
"ไม่ใช่เรานะ เสียงมาจากทางนู้น"ไอ้ต้นกับไอ้ขาวแก้ตัวกันอุตลุต ไม่มีใครอยากดำดิ่งไปกับสวนสนุกสุดเศร้าของหมู่หมูมะนาวแล้ว
"เอ้ เมื่อกี้จะว่าไปเสียงไม่คุ้น เหมือนเสียงผู้หญิง จ่าปลาหรือเปล่า"หมู่โบกี้หันไปหาจ่า
"ป่าว จริงๆ"จ่าปฏิเสธเสียงเรียบ ไม่แสดงพิรุธหรือความน่าสงสัยออกมาเลยแม้แต่น้อย
"งั้นใครพูดเมื่อกี้"หมู่โบกี้หันไปหันมาแต่ทุกคนปฏิเสธ ปริศนาชิ้นใหม่ปรากฎ ทันใดนั้นเขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกำลังวิ่งหนีไปในทางตะวันตกเฉียงเหนือ ร่างเล็กเพรียวลมเหมือนลิง แขนขาเก้งก้าง มันดูคล้ายคนตัวเล็กๆมาก ด้วยความเร็วของมันทำให้ดูไม่ถนัดว่ามันมีรูปร่างอย่างไร แต่ที่แน่ๆ มันคือตัวเดียวกับที่หมู่โบกี้เห็นก่อนหน้านี้ มันคือความลึกลับของป่าดงโขมดเย็น มันคือสิ่งที่หลอกหลอนไอ้กรอบขณะที่โดนจับเป็นตัวประกัน และตอนนี้ก็ปรากฎความสามารถของมันอีก2อย่างมาแล้ว
1.มันฟังสิ่งที่คนพูดออก
2.มันพูดได้
และที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด
มันกำลังตามเรามาและเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันรู้ว่าเราเป็นยังไง
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:40:34 GMT
17.frog pond princess : เจ้าหญิงบ่อกบ
ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดจากการเร่งรีบขนข้าวของ เก็บของที่จำเป็นให้เรียบร้อย ก่อนที่เหล่าสัตว์ร้ายแห่งหุบเขาจะแห่กันมากินซากแมวยักษ์ที่ถูกพิชิตด้วยจรวดRPG สถาณที่แห่งความพินาศแห่งนี้รอบล้อมไปด้วยซากศพของอาชญากรและสินค้าผิดกฎหมายของพวกเขา โรงเลื่อยเถื่อนและลานแปรรูปไม้แห่งนี้ไม่สมควรที่จะมีอยู่ ถึงแม้รู้ทั้งรู้ว่าควรจะทำลายที่แห่งนี้ทิ้งซะ เจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ยังอยากจะเก็บที่นี่ไว้เพราะจะได้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามออกปฏิบัติภารกิจในป่าเขาชำเราใจแห่งนี้ ที่นี่ไม่ใช่ที่คู่ควรแก่การเป็นที่มาเที่ยว ไม่เคยเป็น ไม่เป็น และจะไม่เป็น ตอนนี้หมู่หมูมะนาวซึ่งพึ่งกลายเป็นความหวังสุดท้ายของสันเขาต้องคำสาปกำลังจะออกเดินทางต่อเพื่อกอบกู้แผ่นดิน(และรักษาตำแหน่งของตนไว้ ยังไม่มีใครอยากโดนย้ายไปทุ่งหมาหอน)
"รายงานสถาณการณ์ซิ เราได้อะไรมาบ้าง"หมวดเอกสั่งเสียงเข้มราวกับกาแฟดำ อกผายไหล่ผึ่งแต่หนังท้องไม่ตึง เขากำลังทำท่าให้เหมาะแก่การเป็นที่พึ่งพิงของผู้ใต้บังคับบัญชา ท่ามกลางความเครียดและความสิ้นหวัง ความเป็นผู้นำคือสิ่งที่ต้องมี
"เออ ไหนดูซิ
แผนที่ของคนตัดไม้ 1 ฉบับ
เครื่องยิงจรวดRPG 1 กระบอก พร้อมกระสุนอีก 2 นัด
ปืนไรเฟิลจู่โจมAK-47 3 กระบอกพร้อมกระสุนอีก 8 แถบ
เสบียงเหล็ก(iron ration แปลว่าเสบียงยามฉุกเฉิน)อีก 15 ห่อ
น้ำมันเบ็นซิน91สำหรับเติมเลื่อยยนต์ 2 แกลลอน
เลื่อยยนต์ตัดไม้อีก 8 เครื่อง
น้ำเปล่าอีก4แกลลอน
เงินสดอีก 2000
แล้ว . . . มีเลื่อยวงเดือนตั้งโต๊ะอีกอันกับเก้าอี้พับได้อีก 2 ตัวแต่ไม่น่าจะแบกไหวนะ"หมู่โบกี้รายงาน
"เลื่อยยนต์เอาไปอันเดียวพอส่วนน้ำมันกับน้ำเปล่าเอาไปอย่างละแกลลอนพอ...น้ำเปล่าเอาไป4แกลลอนเลย ให้ไอ้ตูดกับไอ้เขลามันแบก และที่สำคัญที่สุด เอาเงินสดมานี่"หมวดเอกสั่งการอย่างฉับไวก่อนที่จะออกเดินทาง
"เอ้า ออ..."หมู่โบกี้กำลังจะสั่งแต่โดนใครบางคนเอามือปิดปากซะก่อน
"หน้าที่รองหัวหน้าหมู่นะจ๊ะ จุ๊ จุ๊ จุ๊ ยังไม่แก่เลยอย่าเป็นอัลไซเมอร์สิ"จ่าปลาเข้ามาขัดทันควัน พร้อมกับรอยยิ้มแบบออริจินัลของจ่าปลา เพียงแต่คราวนี้เหมือนกับมีความหมายแปลกๆซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่สามารถปลุกความเป็นนักมวยในตัวคุณได้
"ออกเดินทางได้ เราควรจะหาที่พักที่ไม่ใช่ที่นี่!!!"จ่าปลาสั่งการก่อนที่คนอื่นๆจะขานรับแล้วสะพายข้าวของพะรุงพะรังเดินออกไปจากสถาณที่ผิดกฎหมายแห่งนี้ หมู่โบกี้มองสาวแกร่งตรงหน้าที่เดินสะบัดบ๊อบไปอย่างไม่ใยดี หางตาหมู่กระตุกเป็นจังหวะและอุณภูมิหัวเริ่มอุ่นขึ้น สายตาของสามสหายใต้บัญชามองกันไปมาก่อนที่ไอ้ตือจะส่งสายตาว่า ปล่อยไปเหอะเดี๋ยวจ่าเค้าก็เลิกเห่อยศไปเอง(แหงหละเมื่อก่อนจ่าปลาเป็นหน่วยพยาบาลพอได้มาภารกิจจริงก็เลยยาว)
"ว๊ายโดนผู้หญิงแย่งซีน แบร่ๆๆ"ไอ้ขาวล้อเลียน มันหาเรื่องใส่ตัว อีกแล้ว นี่คือตัวอย่างของคนที่เจ็บแล้วไม่จำแถมวอนที่จะกลับไปเจ็บอีก ไม่มีวัวปนเลยจริงๆ
"โรลเลอร์โคสเตอร์"หมู่โบกี้หันหลังมาทำตาลุกวาว อีกแล้ว
"ยอม"มันเองก็ถอย อีกแล้ว
ความสัมพันธ์ของสองรายนี้ก็สั้นๆ อีกแล้ว
"แล้วนี่เราจะไปทางไหนต่อเนี่ย โรงเลื่อยเองก็อยู่ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวหมาไนมันแห่กันมาเป็นโขยงแน่ๆ"หมู่โบกี้ถามหมวดเอก ตามที่เคยบอกก่อนหน้านี้ ยังไม่มีใครอยากนอนหลุมในฤดูนี้และที่แน่ๆคืนนี้มันจะแย่ยิ่งกว่าคืนก่อนๆ วันแรกนอนรีสอร์ตบ่อนพนันสุดหรู(มาตรฐานเจ้าหน้าที่ป่าไม้) มีตุ๊กแกมารังควาญบ้างเป็นบางครั้ง(ไซส์ตะกวด) วันที่สองนอนในหมู่บ้านแห่งความสิ้นหวัง รายล้อมด้วยคนที่ป่วยด้วยโรควิปริต(และไอ้ชาติก็บ่นไม่หยุดว่ามันหดหู่) วันนี้หมู่โบกี้ก็ยังจินตนาการไม่ออกว่าชะตากรรมต่อไปจะเป็นไปอย่างไร ท่ามกลางป่าดงดิมสีเขียวที่ค่อยๆมืดลงทุกๆทีเพราะเวลาก็ค่อยๆผ่านไป แปรเปลี่ยนจากบ่ายอันฤโหดเป็นยามเย็น ตะวันค่อยๆลับขอบฟ้าลงทุกๆที เสียงของสัตว์หากินกลางคืนค่อยๆชัดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนกับว่ามันอยู่ข้างๆหูเลยหละ
"หมาไนช่างมันเหอะมีอาหารแล้วมันคงไม่ล่าเรา ส่วนเรื่องไปไหนต่อเนี่ย เราจะไปตรงโกดังไม้ แผนที่ของพวกตัดไม้เนี่ยช่วยได้เยอะเลย คิดว่าน่าจะไปถึงตอนค่ำๆ ไม่ดึกมาก ตรงนั้นน่าจะนอนได้ หลบฝนได้"หมวดเอกตอบ หมวดเองก็มองซ้ายขวาเหมือนกับว่ากำลังจะหาอะไรบางอย่าง
"นี่ การเดินป่าตอนกลางคืนเป็นเรื่องอันตรายโดยเฉพาะในที่แบบนี้ หาท่อนไม้เหมาะๆซิ เราจะทำคบเพลิงกัน"หมวดเอกสั่ง
"ครับ/ค่ะ"เจ้าหน้าที่ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียง สองนักข่าวมองดูสภาพอันน่าเวทนาของมอดไม้ทั้งสองก่อนที่จะยกกล้องขึ้นกะจะถ่ายภาพอีก
"อย่า ขอ ถ่ายอย่างอื่นได้แต่อันนี้อย่า"ไอ้กอล์ฟจับกล้องก่อนที่จะส่ายหัวห้าม หมู่เราอาจเจอเหตุการไม่คาดฝันได้หากปล่อยให้เรื่องพวกนี้ออกสู่สังคมภายนอก ไม่มีใครในหมู่นี้อยากเห็นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งวันพรุ่งนี้ว่า"สุดอนาถ!!! เจ้าหน้าที่ป่าไม้ค้ามนุษย์ ใช้แรงงานทาสสาหัส"แล้วจากนั้นเดอะแก๊งค์ก็จะโดนย้ายๆๆๆๆๆๆไปทุ่งหมาหอน บรู๋ววววว
"โอเค นี่เราจะไปไหนเหรอคะ"เนยถาม ท่าทางตื่นเต้น ความกระหายสกู๊ปข่าวในตัวเธอพลุ่งพล่านเพราะนั่นหมายถึงชื่อเสียงและเงินตราที่จะตามมาและเธอเป็นคนประเภทโลภมากไม่มีที่สิ้นสุดซะด้วยสิ
"ยังไม่แน่ใจ ถามจริงเหอะ เธอนี้เหนื่อยไม่เป็นเลยหรือไงเนี่ย เห็นซู่ซ่าตั้งแต่วันแรกยันตอนนี้แล้ว ขาโดนตุ๊กแกกัดเข้าไปง่ำเบอเร่อไม่ใช่เหรอ"ไอ้กอล์ฟถามทำท่าหน่าย สีหน้าบ่งบอกถึงความเบื่อโลกเปรียบได้กับนักเรียนที่ติดแหง็กอยู่ในห้องเรียนสุดน่าเบื่อที่มีอาจารย์เสียงโมโนโทนสุดเฮี้ยบและการบ้านมหัศจรรย์ที่แยกร่างเพิ่มจำนวนเองได้ กอล์ฟเป็นบุคคลธรรมดาที่ชอบทำท่าน่าเบื่อในอุดมคติ แบบเดียวกับที่ชอบบอกว่า อยากตายหว่ะ แต่มันก็ยังไม่ตายซักทีจนอายุ90 สิ่งเดียวที่ทำให้กอล์ฟเบื่อน้อยลงคือการออกมาปฏิบัติภาระกิจของเขาเสี่ยงมากกว่าพวกมนุษย์เงินเดือนนั่งติดโต๊ะเยอะเลย
"โว้ว เหนื่อยเหรอ เหนื่อยไม่ลงหรอกตราบใดก็ตามที่มีข่าวน่าสนใจให้ถ่ายทอดสู่สาธารณะชน ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการทำข่าว ติดตาม แล้วดูประชาชนตาดำๆของประเทศออกมาอาละวาดกับเรื่องที่เกิดขึ้น คิดดูสิ สีหน้าของคนที่กำลังตื่นเต้นสุดๆในชีวิตเพราะได้ยินว่าในป่านี้มีสารพัดสัตว์ประหลาด แก๊งค์ตัดไม้เถื่อน อาชญากรใจยักษ์ หมู่บ้านเร้นลับ แผ่นดินกำลังแปดเปื้อนด้วยคำสาปน่าพรั่นพรึง ยอดใช่มั้ยหละ แถมตอนดราม่าทางสำนักข่าวเองก็มีทนายเป็นโขยงพร้อมที่จะออกมาทำให้เรื่องหายไปกับสายลม แต่เทียบกันแล้วไม่มีอะไรสำคัญเท่าเงินที่ได้จากการทำข่าว มันจะต้องสูงชะลูดตูดเปรตแน่ๆ"เนยตอนนี้กำลังทำตาเป็นประกายดุจค่ำคืนที่ปรายไปด้วยหมู่ดาวสวยงาม ผู้หญิงคนนี้เปี่ยมไปด้วยพลังงานตลอดเวลาเหมือนกับว่ามีแบตเตอรี่พ่วงติดตัวไว้ อย่างว่า เงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ แค่เกือบทุกอย่างเท่านั้น
"เนยเค้าอยากเข้าสำนักข่าวไฮยีน่านิวส์หน่ะ บอกเลยว่าอนาคตไกล จะโทษเธอก็ไม่ได้ที่จะกระหายอะไรอย่างนั้น นักข่าวสายธรรมชาติไม่ใช่สายที่จะได้รายได้อะไรมากมาย นี่จึงเป็นโอกาศแจ้งเกิดชิ้นโตที่ปล่อยให้หลุดไปไม่ได้เด็ดขาด ผมก็หวังให้เนยเข้าได้นะไอ้สำนักข่าวขุดเรื่องแบบนั้นหละ"สมบัติเข้ามาเสริม บุคลิกภาพของสมบัติเป็นคนเงียบๆที่ไม่ค่อยแสดงบทบาทอะไรมาก ชายผิวคล้ำที่มีเคราหรอมแหรมคนนี้ชอบพูดเสียงเรียบในเวลาที่เขาต้องพูด แววตาแข็งกร้าวและสีหน้าเมยเฉยทำให้เขาเป็นที่หนึ่งในวงไพ่เสมอมา
"ไฮยีน่านิวส์ เหมือนจะเป็นสำนักข่าวของต่างประเทศใช่ป่าว ที่มีตราเป็นรูปหมาน่าเกลียดลายจุดถือพลั่วพร้อมขุดอ่ะ"กอล์ฟถามกลับ เขาเองก็ไม่ได้ติดตามข่าวต่างประเทศมากนักเพราะไม่เก่งภาษาปะกิด แต่ตราสัญลักษ์ที่ดึงดูดนั้นเป็นอะไรที่ยากแก่การมองข้ามบวกกับดนตรียามประกอบข่าวที่เร้าใจและเนื้อหาที่ดุดันปานไฮยีน่าแย่งศพ
"ใช่ อันนั้นแหละ เงินเดือนสูง"
"ได้ยินว่ามันเป็นสำนักข่าวไร้จรรยาบรรณไม่ใช่เหรอ คราวก่อนที่แห่กันไปทึ้งศพดาราแล้วอาละวาดไม่หยุด แถมยังยุกันจนคูหาเลือกตั้งแทบจะแตกอีก"ไอ้ชาติเข้ามาคุยมั่ง แม้จะไม่มีกาละเทศะแต่ชาติก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่ระดับสติปัญญาไม่สูงพอที่จะเรียนรู้เรี่ยงมารยาทก็เท่านั้นเอง
"ถามหน่อย หน้าที่ของนักข่าวคืออะไร"สมบัติหันมา หรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าน่าเบื่อแต่ซีเรียสของเขาไม่ใช่อะไรที่น่าผ่อนคลาย
"นำเสนอข่าว นำเสนอความจริงอะดิ"ไอ้กอล์ฟตอบ
"เออ ก็รู้หนิ ถูกต้อง นำเสนอข่าวและความจริงให้ประชาชนทราบ ตราบใดก็ตามที่สิ่งที่เราเสนอไปเป็นความจริงเราก็มีสิทธิ์ที่จะนำเสนอ เราไม่ใช่พี่เลี้ยงเนิร์สเซอรี่ ไม่ใช่พยาบาลวอร์ดผู้ป่วย จะได้ต้องมาโอ๋ญาติเหยื่อ โอ๋คนร้าย ศพแล้วไง ความรู้สึกใคร ถ้ามันเป็นความจริงมันก็เป็นความจริงอยู่วันยันค่ำไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม โลกนี้เป็นของจริงและความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย คนที่ไม่ยอมรับความจริงก็เป็นแค่พวกเพ้อฝันอยู่ในโลกที่โดนสร้างขึ้นก็เท่านั้นเองและไม่ใช่หน้าที่ของนักข่าวที่จะต้องเทคแคร์ดูแล นู่น ไปหาเกษตรกรผู้ปลูกลาเวนเดอร์ไป"สมบัติแสดงทัศนคติออกมาให้ได้ยินจนเจ้าหน้าที่ป่าไม้หลายรายเหวอไปกันตามๆกัน
"จรรยาบรรณข้อเดียวที่นักข่าวควรมีคือการไม่ปลอมข่าวขึ้นมา ก็เท่านั้นเอง เหตุผลที่เราต้องมาผจญภัยอยู่ที่นี่ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนเอาที่สำนักข่าว"เนยเสริมแล้วส่งยิ้มหวานชวนให้หัวใจละลาย ไม่ใช่ละลายเพราะความหลงไหลนะ ละลายเพราะความกลัวในทัศนคติของเจ๊ต่างห่าง
"ว้าว จัสต์ว้าว นี่ประเทศเรามาถึงจุดๆนี้ได้ยังไงกันเนี่ย จุดที่นักข่าวมีความคิดเห็นว่าจะทำอะไรก็ได้โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แค่เห็นเหตุก็ระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำโซดา ผมนี่ยิ้มอ่อนเลยค้าบ"ไอ้ชาติแสดงความเห็นโง่ๆของมันออกมาให้เจ้าตัวฟัง อีกแล้ว ไอ้กอล์ฟหันไปมองหน้าตึงแล้วส่งสัญญาณทางสายตาว่า หุบปาก
"เราแต่ละคนก็มีแนวทางการดำเนินชีวิตแตกต่างกันอ่ะนะ กระต่ายกินผัก เสือกินเนื้อ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ชีวิตใครชีวิตมัน เราใช้มาตรฐานเดียวมาวัดระดับคุณธรรมของทุกๆคนไม่ได้หรอก อาชีพพวกเรามันต้องดิ้นรน อาจจะไม่ต้องเสี่ยงตายทุกวันแบบพี่ๆ แต่การต่อกรกับบอสผู้ให้เงินเดือนมันยากกว่าการยิงสู้กับโจรผู้ร้ายอีก"สมบัติว่า ทำหน้านิ่งๆแล้วพยายามโต้กลับแบบนิ่งๆซึ่งได้ผลซะด้วย
"ก็มีเหตุผลอ่ะนะ แล้วมันจะไม่เป็นการละเมิดคนดูเหรอ"ไอ้กอล์ฟถามกลับ ในใจเขารับไม่ค่อยได้ที่มีคนที่มีแนวคิดแบบนี้อยู่ไกล้ๆ
"ทีวีบ้านใครบ้านมัน ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนช่องได้ตามใจชอบ อินเตอร์เน็ตก็เลื่อนผ่านไปเพียงแค่ขยับนิ้ว หนังสือพิมพ์ถ้าไม่ชอบก็ดูคอลัมอื่น มันจะไปมีปัญหาอะไรกันนักหนา ไม่เข้าใจว่าทำไมคนสมัยนี้จิตใจอ่อนยวบยาบเป็นลูกโป่งลมรั่ว ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการเสพสิ่อที่ตนเองชื่นชอบจริงมะ ทรัพยากรโลกนี้มีจำกัดนะ เราต้องใช้ประโยชน์ให้มากและทิ้งให้น้อย ศพหน่ะปล่อยไปก็เน่าเสีย สู้เอาไปทำข่าวไม่ดีกว่าเหรอ อย่าให้เกียรติของคนตายมาทำลายประโยชน์ของคนเป็น"เนยเสริมก่อนที่จะกระพริบตาให้ปริบๆ มองไปในดวงตาเป็นประกายของเธอ บ่งบอกได้ว่าเธอเชื่ออย่างนั้นจริงๆไม่ได้โป้ปดตอแหลเพื่อที่จะทำให้อาชีพตนดูดีขึ้น และนี่จะเป็นผู้สื่อข่าวไฟแรงคนต่อไปในอนาคตซะด้วย ทัศนคติแบบนี้ เ้จริญหละ
"งั้นก็ขอให้ทุกคนโชคดี"กอล์ฟทำหน้าเรียบๆขยับแว่นหนาๆของตนแล้วถอนหายใจ พวกเขามีความคิดแบบนี้กันจริงๆสินะ แต่ถ้าให้พูด พวกเขารู้เรื่องการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากพอที่จะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานได้เลย
"วู้ ดงกล้วยไม้พวกนี้สวยจริงๆ ถ่ายไว้หน่อยก็ดีเผื่อเอาไปลงนิตยสารบ้านและสวน"เนยโดนดึงความสนใจอย่างง่ายดายด้วยของต่างๆรอบกาย
ถ้าวัดด้านประสิทธิภาพ เนยเป็นลูกจ้างชั้นยอดที่เปี่ยมไปด้วยความทะเยินทะยานและกำลังใจ ปราศจากความท้อแท้และเปี่ยมไปด้วยพลังงาน สาวน้อยไฮเปอร์ผู้ไม่ท้อถอยในภารกิจ แต่ถ้ามองในด้านสังคมแล้ว เนยปราศจากทั้งคุณธรรมและจริยธรรม ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์อย่างไม่สนใจความรู้สึกของคนรอบข้าง อย่างน้อยที่สุดเธอก็ยังพอเคารพกฎหมายอยู่บ้าง เกียรติและศักดิ์ศรีไม่ได้อยู่ในความคิด ความดีความเลวในสายตาคนรอบข้างไม่ได้ส่งผลต่อพฤติกรรมของนาง คนแบบนี้ไม่สามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้แม้ว่าจะพยายามก็ตาม ถ้าเธอปรับปรุงทัศนคติซักหน่อยเธอน่าจะได้เป็นสุดยอดนักข่าวตามที่หวังไว้ ไอ้ตือที่เดินฟังการสนทนาทั้งหมดคิดในใจ
"เฮ้ย มัวแต่พล่ามเรื่องจรรยาบรรณอาชีพอะไรอยู่ หาไม้มาทำคบไฟเซ่ เดี๋ยวจะมืดแล้วไม่มีใช้"หมู่โบกี้โวยวาย สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์
"เราก็มีไฟฉายหนิ จะหาไม้ทำคบเพลิงทำไม"ไอ้ชาติถามซึ่งเป็นคำถามเดียวกับที่หลายๆคนอยากถาม เพียงแต่ว่าปากมันไวกว่าใครเพื่อนเท่านั้นเอง
"เพราะว่า ไฟฉายเรามีถ่านจำกัดควรจะเอามาใช้ในตอนที่ฉุกเฉิน ตอนนี้มีโอกาสก็ทำคบเพลิงไปก่อน"หมู่โบกี้อธิบายพร้อมส่งสายตาว่า ได้ยินแล้วก็ไปหาเซ่
"โอเคงั้นเราแยกย้ายไปหาคบ..."
"ไม่!!!!!ไม่!!!!ไม่!!!ไม่!!ไม่!........และไม่!!! จะไม่มีใครหน้าไหนแยกย้าย เคยดูหนังสยองขวัญใช่มั้ย แล้วรู้มั้ยคนแรกที่ตายเค้าทำอะไร แยกตัวออกไปจากกลุ่มไง โบราณว่ารวมกันเราอยู่แยกกันเราตายและหมู่ยังไม่อยากเสียใครไปคืนนี้หรือคืนไหนๆ เข้าใจที่หมู่พูดมั้ย มีปืนไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยในป่าที่ผิดเพี้ยนที่สุดและบ้าคลั่งที่สุดแห่งนี้"หมู่โบกี้ที่เคยดูหนังสยองขวัญฆาตกรโรคจิตมาไม่น้อยและมีประสบการณ์ในการผจญภัยในป่าอันตรายแห่งนี้เตือนอย่างว่องไว
"แต่จ่าปลาไปนู่นแล้วอ่ะหมู่"ไอ้กรอบบอก ทันทีที่หมู่โบกี้ได้ยินก็รีบหันกลับไปหาจ่าปลาทันที เห็นจ่าแยกออกไปในกอไม้แห่งหนึ่ง
"ปัดโถ่วววววว ตามไปเซ่ เดี๋ยวเกิดสัตว์ประหลาดโผ่ลมาก็พังกันหมดหรอก"หมู่โบกี้รีบตามไปพร้อมขบวนคาราวาน จ่าปลาไม่มีประสบการณ์การออกปฏิบัติภารกิจในที่แบบนี้เลยซี้ซั้วทำอะไรที่ไม่เหมาะสมต่อสถาณการณ์
"เอ้าหนุ่มๆ วิ่งหนีอะไรมา โดนผีหลอกเหรอจ๊ะ"จ่าปลาเห็นเดอะแก๊งค์วิ่งกระหืดกระหอบมาก็เลยแซวเล่น
"อย่าแยกตัวไปคนเดียวเซ่ รู้มั้วว่าสัตว์เวลามันจะโจมตีมันจะโจมตีคนที่อยู่คนเดียวก่อน แล้วได้มากี่แท่งแล้วไอ้ไม้คบเพลิงหนะ"หมู่โบกี้เขามาถึงก็รีบว่า
"8อัน พอสำหรับหมู่เราหน่า เอามาชุบยางไม้ไม่ก็น้ำมันซักหน่อยก็พร้อมใช้งาน"จ่าปลาตอบก่อนที่จะแจกจ่ายคบเพลิงให้ชาวหมูมะนาว
หลังจากที่เอาคบเพลิงพันด้วยเศษผ้าที่เอามาจากค่ายตัดไม้และชุบด้วยน้ำมันเลื่อยยนต์ หมู่หมูมะนาวก็มีคบเพลิงพอที่จะส่องสว่างพอที่จะไล่สัตว์ร้ายได้ หวังว่านะ สัตว์มันกลัวไฟหนิ
"แล้วไกล้ถึงยังอ่ะ ไอ้โกดังไม้ที่ว่าเนี่ย"ไอ้กรอบบ่น สัมภาระที่เยอะจนเกินงามบนหลังเป็นสิ่งที่บอกได้ถึงความเหนื่อยเกินจะทานทนของกรรมกรแห่งพงไพร เขาอยากพักเช่นเดียวกับที่ทุกคนในที่นี้อยาก
"อีกพอสมควร แต่ว่าเราน่าจะหิวแล้ว พักกินข้าวดีกว่าเนอะ เรามีเสบียงเหล็กพอสำหรับกินกันทุกคน"หมวดเอกตอบก่อนที่ทุกคนจะเฮแตก เหมือนกับฉลองชัยชนะตอนจบงานกีฬาโอลิมปิก ไอ้ตือคือคนแรกที่รีบวิ่งไปจองที่ตรงใต้ต้นไม้ โชคเข้าข้างที่ตรงนั้นมีตอไม้แห้งๆใช้เป็นโต๊ะได้ ตอไม้นี้เรียบก็เพราะว่า มันโดนตัดด้วยเลื่อยไฟฟ้า มอดไม้ทั้งสองต่างกุลีกุจอเอาของกินออกมาจากกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ประชดโลก เทียบได้กับกล้องบาซูก้าของเนยและสมบัติเลยก็ยังได้ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ โต๊ะอาหารที่จัดวางราวกับภัตตาคาร(ตามมาตรฐานแก๊งค์ลักลอบตัดไม้)ประกอบด้วย ข้าวเหนียวเนื้อเค็ม เศษขนมปังอัดก้อนที่ดูเหมือนบิสกิตด้อยคุณภาพ บ๊ะจ่างประมง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้มได้ครึ่งๆกลางๆ ข้าววิญญาณไก่ที่แห้งที่สุดในทศวรรต และ เอนเนอจี้บาร์ไส้สตรอเบอร์รี่แห้งของสองนักข่าวที่หรูกว่าใครเค้าเพื่อน ค่วบคู่ด้วยน้ำกระติกที่ได้มาตอนไปฟันเถาวัลย์ และที่ขาดไม่ได้คือการสร้างบรรยากาศด้วยการปักคบเพลิงรอบๆ อ่าห์ นึกออกมั้ย นั่งบนพื้นชื้นๆที่ปกคลุมไปด้วยหญ้ามอสและวัชพืช กินอาหารแข็งๆชืดๆที่ดีไซน์ออกมาสำหรับเดินทางไกล จิบน้ำเปล่าบริสุทธิ์เบาๆ ชมป่าเขาอันกล้างใหญ่ใต้แสงคบเพลิงรายล้อมด้วยยุงก้นปล่องที่เป็นภาหะมาลาเรีย รอบกายประกอบไปด้วยเพื่อนสนิทมิตรสหายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด3วัน เพื่อนต่างหมู่ที่เราช่วยชีวิตเอาไว้ แขกจอมจุ้นที่คุยด้วยแล้วมันส์ปาก ศัตรูคู่อาฆาตที่แปรเปลี่ยนมาเป็นแรงงานทาส นี่แหละชีวิต(บัดซบ) ชมความอัศจรรย์แห่งธรรมชาติ(ลงโทษ)กับอากาศเย็นๆที่มาสะกิดกระดูกเราเป็นช่วงๆ ความสุนทรีย์ภายใต้แสงคบไฟนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในดินแดนแห่งความดิบเถื่อนแห่งนี้
"แจ๊บๆๆๆๆ"ไอ้ตือสวาปามอาหารในมืออย่างเอาจริงเอาจัง
"อะโห สมบัติผู้ดีหามีไม่ เสียงงี้ดังข้ามทวีป"หมู่โบกี้หันไปแซวไอ้ตือที่กินข้าวเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
"นี่หมู่ไม่รู้เหรอ ที่ยุ่นปี่เนี่ยเค้าต้องกินข้าวกันแบบนี้ถึงจะเป็นการให้เกียรติเชฟ ทำอาหารอร่อยจนลืมมารยาทไว้ที่บ้าน เฮ้ย ว่าทำอาหารอร่อยจนหยุดกินไม่ได้ต่างหาก เนี่ยผมอินเตอร์นะ"ไอ้ตือชักแม่น้ำทั้ง5อย่างชำชอง ไม่แปลกเลยเพราะว่าทุกคนในหมู่นี้ความกะล่อนเป็นเลิศทั้นนั้น ไม่เชื่อก็ดูหมู่โบกี้กับหมวดเอกก็ได้
"เหรอ ไหนหล่ะเชฟ? เค้าล่องหนเหรอ? อยู่ไหนเอ่ยมาดูหมูกินรำเร็ว ไหนหละเชฟเอ็ง เค้าจะได้ยินไอ้เสียงเขมือบข้าวของแกมั้ย ถ้าห้ามปากไม่ให้มีเสียงไม่ได้อย่างน้อยก็เบาๆหน่อยเดะ มันบั่นทอนความอยากอาหารของหมู่"หมู่โบกี้บ่น หมู่อาจจะไม่ใช่คนมารยาทงามแต่หมู่เองก็ไม่ชอบเสียงจั๊บๆแจ๊บๆบนโต๊ะอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่หมู่ต้องการผ่อนคลาย
"แจ๊บๆๆๆ จั๊บๆๆ กร้วมๆๆ"เสียงดังขึ้นอีกแล้ว
"แนะ แซะขนาดนี้แล้วยังไม่หยุดอีก"หมู่โบกี้เอะ
"นั่นแซะของหมู่เหรอ แถวบ้านผมเรียกปิดเมืองชี้หน้าด่า"ไอ้ชาติเกรียนใส่
"ผมป่าวนะ"ไอ้ตือปฏิเสธ
"แจ๊บๆๆ ง่ำๆๆ แง่งๆๆ"เสียงยังดังอยู่
"หืม"หมู่โบกี้หันไปทางต้นเสียงเห็นจ่าปลากำลังเขมือบบ๊ะจ่างอย่างไม่รามือ เดาว่าจ่าเค้าคงหิวมาก เหมือนปอบมากกว่าคน
"อะโห ความเป็นกุลสตรีหามีไม่ เสียงงี้ดังไปถึงดาวยูเรนัส"ไอ้ชาติพูดเรียบๆแต่ดาเมจทะลุล้าน
"เฮ้ย เบาๆหน่อย เดี๋ยวจ่าได้ยินแล้วจะฟาดงวงฟาดงาเราจะซวยเอา"ไอ้กอล์ฟรับลูก
"แปร๊น แป๊น แป๊น"ไอ้กรอบเสริม
จากนั้นทั้งโต๊ะตอไม้ก็มีแต่เสียงหัวเราะคิกคักกุมท้องกลิ้งไปมากันสนุก แทบทุกคนทำหน้า Troll Face ยกเว้นคนที่ควรจะเกรียนกว่าใครๆกลับไม่แฮปปี้
"พวกแกนี่ไม่รู้จักให้เกียรติผู้หญิงเลยจริงๆ"หมู่โบกี้ส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะยกขนมปังด้านๆกากๆจ่อปาก
"สองมาตรฐานเลยจริงๆ"ไอ้ขาวเอ่ยอะไรเขลาๆอีกแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็จะคาดว่าหมู่โบกี้จะหันไปทำตาลุกวาวแล้วพูดด้วยเสียงเหมือนแบทแมนว่า โรลเลอร์โคสเตอร์
"ใช่หนะสิ ไอ้ตือเป็นอะไร หมูตอนเดนตายหุ่นเหมือนลูกบิดประตูที่ลากโจรผู้ร้ายสองคนได้ด้วยมือข้างเดียว จะให้เอาไปเทียบกับผู้หญิงบอบบางฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งอย่างจ่าปลาเหรอ แค่เห็นคนตายไม่กี่สิบคนก็ร้องไห้ไม่หยุดแล้ว"หมู่โบกี้ตอบ
"บอบบางมาก ตอนไอ้หมาฟองดูโดนเนี่ย นึกว่าเตียวหุยมาเอง ใส่เสียงเอฟเฟคหน่อยเอาไปทำหนังบู๊ส่งออกได้เลย"ไอ้ชาติแซว
"เออ...อันนั้นเหมือนว่าจะเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน"หมู่โบกี้ลดความแข็งกร้าวลง
"ฮันแหน่... หมู่ชอบจ่าปลาใช่มั้ยหล่า ดูออกน้า กิ๊วๆๆ เดี๋ยวกลับกองพันไปจะไปเขียนให้ทั่วห้องน้ำเลย"ไอ้กอล์ฟล้อเลียน คนอื่นๆก็เข้ามาสุมหัวกอดคอกันร้อง อู้วววว กันใหญ่ เนยถึงกับยกกล้องบาซูก้าเตรียมถ่ายสกู๊ป เลิฟไดอารี่ ตอน มนต์รักขบวนด่วนลงทะเล หมู่โบกี้+จ่าปลา ไอ้กอล์ฟยิ้มกว้างกว่าปกติจนเห็นฟันเหยินๆชัดเจน ไอ้ตือสนใจเรื่องนี้พอๆกับเรื่องกินเลยทีเดียว ไอ้ชาติขยับมาพร้อมกับทำตาหรี่ๆเหมือนตัวร้ายในการ์ตูนเวลาวางแผนชั่วร้าย เนยหน้าแดงลิ้นห้อยและกล้องในมือมีจุดสีแดงขึ้นแสดงว่ากำลังถ่ายทำ สมบัติยื่นไมค์ที่ผูกกับขากล้องที่ดัดแปลงทนกลายเป็นไมค์ลอยได้ ไอ้กรอบทำตาหวานเยิ้มพร้อมกระพริบตาถี่ๆแบบเดียวกับที่ผู้หญิงอ่อยผู้ชายในละครย้อนยุค ไอ้ขาวกับไอ้ต้นถูมือไปมาและแสยะยิ้มตาเบิกกว้าง เหมือนตอนลุ้นหวยออก
"หมู่โบกี้แอบรักจ่า แอ แอ แอบรักจ่าน่ะ
พูดกับเธอและคอยปลอบเธอ ช่างชัดเจนดังแสงตาา-วัน
ไม่ต้องอาย อย่าหน้าแดงสิ
ถ้าชอบเธอก็ไปขอดู ไม่ต้องกลัวว่าจะแห้วนะ
พวกเราจะเป็นพยานรักให้-ฮิ้วๆๆๆๆๆ"(ทำนองเพลง a tisket a tasket)
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายต่างร้องเพลงล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน เรื่องมุขสนุกปากลำบากเท้าเนี่ย พวกนี้มันขึ้นระดับตำนานกันเรียงตัว ไม่พอ พวกนักข่าวกับมอดไม้ก็ร้องเพลงตามอย่างไม่ไว้หน้าเลย
ไอ้พวกนี้ได้ที่แต่งเพลงล้อเลย ความสามารถด้านดนตรีเนี่ยปกติเก่งเก่งแบบนี้มั้นลูกกกก
สงสัยคงต้องใช้สองใน108เล่ห์ข้าราชการ : ทำลายคุณค่า+หมอกบังกาย
"เฮ้ย ให้มันน้อยๆหน่อย คิดจริงๆเหรอว่าหมู่จะชอบคนอย่างงั้นลงอ่ะ ผู้หญิงแรงระดับล้มคิงคองได้เนี่ย ให้ฟรียังแหยงเลย ขอร้องหละ จะพล่ามอะไรก็ช่วยดูความเป็นไปได้หน่อยก็ดีนะ ที่หมู่พูดเข้าข้างจ่าเนี่ยเพราะเห็นว่าจ่าเป็นผู้หญิงไม่ควรจะมาโดนล้อเลียนแบบต่ำๆแบบนี้"หมู่โบกี้แก้ตัวอย่างชำชองเหมือนท่องบทมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ แม้ว่าจะเป็นการด้นสดแบบแต่งบทเองภายในเวลาไม่ถึง10วินาที
"อุ๊ย ทำไมมองอะไรไม่เห็นเลยอร่าาาา สงสัยแถวนี้น้ำมันคงจะขุ่นมากกกก กร๊ากๆๆๆ รู้ทันหน่าหมู่ เราเซียนเพราะเรียนมา เรียนมาจาหหมู่โดยตรงไงหละ"ไอ้กอล์ฟทำเสียงสูงกว่าปกติก่อนที่จะทำปากยื่นๆกวนโอ้ยชั้นยอด
"กร๊ากๆๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ ว้าก ก๊ากกก ฮ่าาาาา มุขเด็ดสุดๆ "หลายๆคนหัวเราะกันอย่างไม่ราปาก โต๊ะอาหารกลางป่าแปรสภาพกลายเป็นรายการตลกคาเฟ่ได้ยังไงก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆทุกคนไม่ได้สังเกตุบางสิ่งที่อยู่ด้านหลังพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
"แหม๋----หนุ่มๆ ล้อเลียนผู้บังคับบัญชาสนุกกันมั้ยเอ่ย ขำกันขนาดนี้แสดงว่ามุขจะต้องขึ้นแท่น comedy gold แน่ๆ ไหนเล่าให้จ่าฟังซักมุขซิ หืม"เจ้าตัวมาปรากฎกายอยู่ข้างหลังเดอะแก๊งค์ราวกับใช้เวทมนต์ แต่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาและแขกเหรือต่างหยุดขำกันไม่ทัน กลายเป็นหัวเราะแห้งๆเสียงคล้ายๆกับร้องไห้
"พวกนี้มันบอกว่าจ่าไม่มีความเป็นกุลสตรีแถมกินข้าวเสียงดังทะลุอวกาศ"หมู่โบกี้รีบฉวยโอกาสนี้โจมตีทันควัน
"หมู่โบกี้บอกว่าจ่าเป็นผู้หญิงแรงกอริลล่า"ไอ้ตือรีบโยนความผิดกลับ
"ก็พวกนี้บอกว่าจ่าเป็นเตียวหุยผสมช้าง"หมุ่โบกี้โยนขี้ใส่
"ก็หมู่โบกี้บอกว่าจ่าเป็นผู้หญิงขี้แยทำอะไรไม่เป็นวันๆดีแต่ฟรุ้งฟริ้ง"ไอ้ชาติสาดโคลนกลับ
"หนูนี่มองบนเลยคร่ะ ขายเพื่อนสนุกมั้ย กำไรสุทธิเท่าไหร่ สารภาพกันใหญ่เลย โถ โถ โถ"จ่าปลาทำหน้าล้อเลียน ส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะแผ่รังสีสุดหลอนออกมาทำลายบรรยากาศ
"โทรเรียกปอเต๊กตึ๊งเลย เราคงอยู่ไม่พ้นคืนนี้"ไอ้ชาติแบมือเหมือนรู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา
"ไม่ต้องหรอก คืนนี้มีแค่ศพเดียว จัดการกันเองได้"หมู่โบกี้กระซิบ
"ทำไม?"ไอ้ชาติทำหน้างง
"จ่า ระวังตุ๊กแก"หมู่โบกี้ชี้ไปในป่าอย่างฉับไว
"ไหนๆๆ กรี๊ดๆๆๆๆๆ"จ่าปลาผู้เกลียดกลัวตุ๊กแกมาตั้งแต่ชาติปางก่อนกรีดร้องและเต้นไปมาไม่หยุดสร้างความตื่นตระหนกให้กลุ่มเป็นอย่างมาก
เพี๊ยะะะะ!!!!! เสียงตบตูดดังสนั่นหวั่นไหว
"กรี๊ดดดดดดด เมื่อกี้ใครทำ หา!!!"จ่าปลาวีนแตก ของขึ้นและเข้าสู่โหมดนางยักษ์ เสียงหายใจฟืดฟาดและสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปมาอย่างฉับไวเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าจ่าโมโหขนาดไหน เธอตอนนี้ดูเหมือนกับราชีนีใจร้ายในเรื่องสโนวไวท์ตอนฟิวส์ขาดไม่มีผิด
"ไอ้ชาติทำ ไอ้ชาติมันทำ"หมู่โบกี้รีบชี้ไปยังไอ้ชาติอย่างฉับไวก่อนที่คนอื่นๆจะเข้าใจแผนแล้วชี้ตาม
"อ้าว ไม่เหมือนที่คุยกันไว้หนี่หว่าาา"ไอ้ชาติโดนลอยแพกลางอากาศ ใครๆก็ไม่รักผมขนาดลูกพี่ยังส่ายหน้าเลย
"ด้ายยยยยยยยย"จ่าปลาพุ่งเข้าใส่ฝูงชนและเตรียมที่จะใช้ท่าต่อสู้แม่ไม้มวยนานาชาติใส่เป้าหมาย นางพญาแห่งพงไพรง้างแขนขาพร้อมต่อสู้เต็มที่ ขณะแหวกอากาศเหมือนกับว่ามีไฟฟ้าสถิตอยู่รอบตัวจ่าเลย
จ่าพุ่งผ่านไอ้ชาติไป
"โอ้ว โน้ว"หมู่โบกี้หน้าถอดสีลงในทันที รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
"รับไปซะ ลูกเตะสว่านประหารมือบอน!!!"จ่าปลาหมุนตัวกลางอากาศอัดรองเท้าคอมแบ็ตใส่หมู่โบกี้ทันใด เกิดเสียงดังสนั่นที่เกิดจากการปะทะระหว่างขาของจ่ากับแขนของหมู่ที่ยกมาตั้งการ์ดได้ทันพอดี
"ต่อด้วย ฝ่ามือโลหะหนัก!!!"จ่าพุ่งตัวเข้าไปตบหมู่โบกี้ด้วยความเร็วแสงจนหมู่โบกี้เซไปด้านข้าง ทิ้งรอยแดงไว้บนแขนแม้ว่าหมู่จะใส่เครื่องแบบแขนยาวก็ตาม อำนาจการตบนี้ช่างหนักหน่วงสมกับชื่อโลหะหนัก
"หมัดขยี้ดั้ง!!!"จ่าใส่กำปั้นปล่อยหมัดครอสเข้าไปตรงหน้าหมู่โบกี้เพียงแต่หมู่กันไว้ได้ด้วยการ์ด แต่โดนหมัดนี้เข้าไปก็เลยการ์ดหลุด เผยให้เห็นหน้าเหวอๆอันเป็นจุดอ่อน
"ประทับตราคอมแบ็ต!!!"จ่าฝ่าการ์ดเข้าไปเตะเสยหน้าจังๆจนเห็นรอยรองเท้าบนหน้าหมู่โบกี้ที่ชัดเจนเหมือนไปสักหมึกมา
"กำปั้นปิดปากหมา!!!"จ่าปลาส่งหมัดอัปเปอร์คัตใส่ปากหมู่โบกี้ตอนที่ยังตั้งตัวไม่ได้ทำเอาหมู่โบกี้เจ้าเก่าเซออกไปหลายก้าว แต่หมู่พันธุ์อึดไม่ยอมล้มง่ายๆกลับมาตั้งหลักได้ในเวลาไม่นาน
"ตะขอกัปตันฮุค!!!"การโจมตีนี้เป็นหมัดฮุคเข้าด้านข้างที่ออกแบบมาสำหรับโจมตีคนที่กำลังตั้งการ์ด หมู่โบกี้เลยโดนกำปั้นเข้าขมับไม่เต็มๆจนเบลอ
"ผู้หญิงตบเกรียน!!!"ท่าตบที่เน้นไปในด้านการโจมตีให้เกิดเสียงฉาดดังๆเหมาะอย่างยิ่งสำหรับจัดการไอ้เณรแต่เอามาใช้กับหมู่โบกี้ก็ได้ผลเหมือนกัน การโจมตีแบบนี้เหมาะแก่การทำลายคุณค่าและศักดิ์ศรีมากกว่าการสร้างความเสียหายเช่นเดียวกับท่าตบตูดสะเทือนแผ่นดินที่หมู่พึ่งใช้ไปเมื่อกี้นี้
"ศอกทลายฝันคนปากมอม!!!"เมื่อจังหวะเหมาะ จ่าปลาก็เข้าประชิดตัวเป้าหมายเหวี่ยงศอกใส่หน้าหมู่โบกี้ด้วยความเร็วและน้ำหนักของแขนทั้งแขนเมื่อลงศอกจะแรงกว่าหมัดเพียวๆมาก โชคดีที่หมู่โบกี้มีความเร็วเหนือกว่าจึงบิดตัวหลบราวกับไส้เดือนดิน
"ซ้อมไม่ยั้งหมู่เดนตาย!!!"การใช้ท่าโจมตีทั้งหมดที่จ่านึกออกในตอนนั้นตรงเข้าอัดร่างพริ้วๆของหมู่โบกี้เพื่อที่จะลดอัตราการหลบหลีกและป้องกันของหมู่ และมันได้ผล หมู่โบกี้เริ่มชาจากการตั้งรับการโจมตีจำนวนมากพร้อมๆกัน
"ลูกถีบสลายซ่า!!!"จ่าปลาปิดบัญชีหมู่แสนกลด้วยการเอามือข้างหนึ่งเท้าพื้นแล้วเหวี่ยงตัวทั้งตัวโดยเล็งรองเท้าคอมแบ็ตไปที่หมู่โบกี้ ลูกถีบที่โจมตีตรงไปยังท้องทำให้หมู่โบกี้กระเด็นข้ามโต๊ะตอไม้ไปเพราะแรงอัดผสมกับการลงน้ำหนักของจ่า
"อว้ากกกก แอ๊ก"หมู่โบกี้หมดสภาพ แบบว่า จุกจัด นอนแผ่ เหมือนผักชีหมดอายุโดนเหยียบซ้ำ ทุกคนมองสภาพหมู่โบกี้แล้วเสียวสันหลังวาบๆๆแล้วค่อยๆหันไปมองจ่าปลาปางราชีนีใจร้ายช้าๆ
"คิดว่าจ่าโง่เหรอจะได้มาหลอกด้วยมุขตื้นๆฝืดๆแบบนั้น"จ่าปลาส่งเสียงฮึดฮัดพร้อมกับขยับร่างกาย บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนที่จะกลับไปกินบ่ะจ่าง...บ่ะจ่าง...ไปไหนแล้ววะ
"หมู่เป็นไรมั้ย?"ไอ้ชาติเข้าไปแล้วฉุดหมู่โบกี้ขึ้นมาจากพื้น
"ไม่สำคัญหรอก แต่ว่า คุ้มหว่ะ เหะเหะเหะ"หมู่โบกี้เองก็เป็นพวกยอมเจ็บตัวเพื่อที่จะสนุกปากเหมือนกับหลายๆคนแถวๆนี้ เพียงแต่ว่า . . . แล้วอาหารที่กินค้างไว้เมื่อกี้นี้มันหายไปไหนหมด ตอนนี้ก็มีผู้ตองสงสัยเอกอยู่ 1 ราย
"อ้ายยยย ตืออออ!!! เผลอแป๊ปเดียวกวาดหมดหน้าตักเลยนะไอ้ลูกบิดประตู"หมู่โบกี้หันหน้ามาทำตาลุกวาว อีกแล้ว แค่เปลี่ยนคน
"ป่าวๆๆๆๆ สาบานได้ว่าไม่ได้กิน"ไอ้ตือรีบส่ายหน้ารัวๆ หมู่โบกี้เลยใช้ความสามารถอีกอย่างหนึ่งของตน ความสามารถในการจับโกหก เพียงแต่ว่ามองเข้าไปในตาหยีๆของไอ้ตือแล้วไม่ได้มีร่องรอยของความลังเลหรือการปกปิด ไอ้หมูตอนไม่ได้เป็นคนกินอาหารไป
"เอาหละ ใครเอาอาหารไปหมดสารภาพซะดีๆ"หมู่โบกี้กวาดตาดูรอบๆ มองเข้าไปในวิญญาณ(โม้)ของไอ้งั่งรอบกาย แล้วก็ไม่มีร่องรอยของใครที่ดูตื่นกว่าปกติ นักข่าวมีอาหารของตนเองไม่น่าใช่คนที่แอบกิน ไอ้มอดไม้เองก็ไม่ได้มีท่าทางอะไรผิดปกติ แถมมีคนกินบ่ะจ่างของจ่าปลาไปด้วย ทฤษฎีมากมายผุดเข้ามาในหัวมึนๆของหมู่โบกี้ รายการสืบสวนสอบสวนมากมายกำลังรีรันอยู่ในมันสมองตายด้านของหมู่เพื่อที่จะหาตัวคนผิดในคดีอุกฉกรรจ์อันไม่สามารถให้อภัยได้นี้ ตอนนี้นักสืบโบกี้กำลังครุ่นคิด
"เออ หมู่โบกี้"ไอ้ชาติทัก
"นายใช่มั้ยที่แอบกินเสบียงไปหมด อย่าคิดว่าหมู่จะไม่รู้นะ"หมู่โบกี้โน้มตัวเข้ามาอย่างฉับไวเกินกว่าที่คนที่พึ่งโดนซ้อมแบบจัดหนักทั่วไปจะทำได้ ดวงตาของหมู่อยู่ห่างจากหน้าไอ้ชาติไม่เกิน1เซ็นติเมตร
"หมู่ไม่ต้องแคะขี้มูกให้ผมก็ได้"ไอ้ชาติว่า
.
.
.
.
.
"อะไรนะ"หมู่โบกี้พึ่งรู้ตัวว่านิ้วชี้ที่กะจะชี้หน้าไอ้ชาติกลับจิ้มเข้าไปในรูจมูกของชาติเรียบร้อยแล้ว
"ว้ากย้ากๆ ก๊ากๆๆ หยี ยี้ หยะแหยง"หมู่โบกี้รีบสะบัดมือไปมาและเต็นเร่าๆเหมือนกับโดนปูม้าหนีบของลับแต่ทันทีที่ตั้งสติได้
" . . . เออ หมายถึง สุขอานามัยของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นสิ่งสำคัญ การดูแลช่องทางเดินหายใจให้นายก็เช่นกัน ว่าแต่จะสารภาพยังหละ"หมู่โบกี้แก้ตัวด้วยข้ออ้างฟังไม่ขึ้นชวนให้ยิ้ม
"คือผมปล่าวกินเสบียงนะ แต่ว่าไอ้ตัวที่กินมันอยู่หลังพุ่มไม้อ่ะ ทำไมหมู่ไม่ไปอาละวาดใส่มันหล่ะ"
.
.
.
.
.
.
"แค็ก . . . แค็ก แค็ก แฮะ"เสียงหนึ่งดังมาจากหลังพุ่มไม้ ท่าทางจะอาหารติดคอเพราะตกใจที่โดนจับได้
หมู่โบกี้รีบยกปืนลูกซองเดี่ยวขึ้นประจำตำแหน่งยิงเล็งไปที่พุ่มไม้ที่มาของเสียง
"สงสัยคืนนี้เราจะมีมื้อพิเศษ"หมู่โบกี้แค่นเสียงก่อนที่ไอ้ตือจะเลียริมฝีปากอย่างหิวกระหาย
ทันใดนั้นเจ้าสิ่งที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้ก็กระโดดรวดเดียวขึ้นต้นไม้แล้วพุ่งจากต้นหนึ่งสู่ต้นหนึ่งอย่างว่างไวดุจลิงค่างบ่างชะนี มันเป็นสิ่งรูปร่างคล้ายๆคนตัวเล็กๆที่มีสีเขียวและสีน้ำตาลปะปนกัน บนหลังของมันมีตะกร้าสะพายหลังที่มีของอยู่เต็ม ของพวกนั้นมันดูเหมือน . . . เสบียงของเรา มันขโมยเสบียงเราไปหมดเลย
"เฮ้ย!!! มันเอาอาหารของเราไปหมดเลย ตามไปเซ่ ถ้าไม่มีเสบียงนั่นเราไม่รอดแน่ๆ"หมวดเอกที่นอนพักอยู่ซักพักนึงพึ่งตื่นและพร้อมทำภารกิจย่อยใหม่ทันที ภารกิจย่อยพิเศษที่มีความสำคัญต่อการเดินทาง : ทวงมื้อเย็นมหาสนุก
"ได้ยินแล้วรอหาหอยหลอดเหรอ ไปเซ่!!!"หมู่โบกี้ไล่ ทุกคนในพื้นที่รวมถึงนักข่าวและมอดไม้ต่างกุลีกุจอวิ่งไล่เจ้าสิ่งนั้น ไอ้กรอบจำได้ว่าเจ้าตัวนี้คือสิ่งที่คอยหลอกหลอนเขาตอนอยู่ที่โรงเลื่อย ผู้ปีนป่าย ผู้ขโมย ผู้จ้องมอง ผู้ติดตาม นี่แหละมันหละ
"มันเร็วมาก เร็วเกินไป มันกำลังจะสลัดเราหลุดแล้ว"หมู่โบกี้วิ่งไล่อย่างเริ่มหมดหวัง ความเร็วของเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนั้นมันเหนือกว่าคน จะปล่อยไปก็ไม่ได้เพราะว่าเสบียงส่วนใหญ่ของเราอยู่ที่มัน หากไม่มีอาหาร ก็จะไม่มีชีวิต เราจะแพ้สงครามนี้อย่างราบคาบและรวดเร็ว สงครามกับป่าแห่งความเหี้ยมโหดที่จะกลืนกินทุกชีวิตที่บังอาจย่างกรายเข้าไปโดยไม่เตรียมพร้อม ไม่ เราจะไม่แพ้ เราจะต้องไม่แพ้ให้กับหุบเขาแห่งความสิ้นหวังนี้เพราะเสบียงโดนขโมย
"ย้ากกกกกกกกกก!!!!!!!"ไอ้ตือพุ่งทะยานแหวกอากาศไปด้วยความเร็วเหลือเชื่อ เขาคว้าปืนอาก้าขึ้นพร้อมเล็งใส่เป้าหมายความเร็วสูงนั้น
"หิวเหรอ กินนี่"ไอ้ตือในโหมดโหดยิงรัวสาดกระสุนอย่างบ้าคลั่ง กระสุนยิงสะเปะสะปะไปทั่วอาณาเขตแนวยิง กระสุนAK-47เป็นกระสุนขนาดใหญ่พอสมควรในหมู่ปืนเล็กยาวสำหรับสงครามทำให้ทุกอย่างที่โดนยิงพังทลาย อำนาจทะลุทะลวงอาจจะไม่มากนักแต่แรงอัดตอนกระสุนกระทบกับเป้าหมายไม่ธรรมดาเลย
ปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้งปั้ง!!!!!!!
เสียงอาวุธสงครามดังสนั่นหวั่นไหว ต้นไม้ใบหญ้าถูกกระสุนปืนฉีกทำลายจนกระจุยกระจาย กลิ่นเหม็นเขียวฟุ้งในอากาศ เป้าหมายมันรู้ทันจึงกระโดดข้ามไปยังต้นไม้อีกต้นนึงก่อนที่ไอ้ตือจะได้เหนี่ยวไก
"ไล่มัน จับมันให้ได้"หมวดเอกที่วิ่งไล่มาติดๆตะโกนอย่างดุร้าย
"เร็วแบบนี้กระสุนเดี่ยวยิงโดนยาก ต้องนี่"หมู่โบกี้พุ่งตามมาก่อนที่จะสาดกระสุนลูกซองซึ่งมีประโยชน์มากในการหยุดการเคลื่อนไหวของเป้าหมายที่มีความเร็วสูงและมีขนาดเล็ก
เปรี้ยง!!! ไม่โดน เจ้าตัวนั้นกระโดดหลบไปยังต้นไม้อีกต้น
เปรี้ยง!!! ไม่โดน ผีป่าตัวนี้อยู่หลังต้นไม้เลยไม่อยู่ในแนวยิงที่กระสุนลูกซองจะทะลวงได้
เปรี้ยง!!! โดน ซะที่ไหน เจ้าสิ่งนั้นสะดุดเถาวัลย์ร่วงลงจากต้นไม้
"กรี๊ด!!!!! แอ๊กกกก อ้ากกกก"เจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนาร่วงลงจากต้นไม้ มันกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างคุ้นตาและไม่อยากเจออีก ใช่แล้ว เถาวัลย์หน้าตาทุเรศสีเขียวซีดๆที่ไม่สมควรมีอยู่บนโลกใบนี้ กาฝากหมูที่เป็นปรสิตสุดสยองในเขตนี้นั่นเอง
หมู่โบกี้เข้าไปเอาปืนลูกซองหวดใส่กาฝากวิปริตต้นนั้นจนหลุดจากตัวของเจ้าสิ่งประหลาดนี้ กาฝากหมูมึนอยู่ซักพัก ไอ้ชาติเลยฉวยโอกาสเอาคบเพลิงเผามันตรงนั้นเลยทันที อสูรกายที่มีเถาเต็มไปด้วยหนามตัวนี้ส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงเหมือนเอาชอล์กลากบนกระดานดำแบบลงน้ำหนักสุดๆ ไม่นานนักเสียงสั่นประสาทก็เงียบไปจากกองไฟกองนั้น
ตอนนี้เจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดกำลังหอบอย่างเหนื่อยอ่อน มันส่งสายตาหวาดกลัวมาทางกลุ่มหมูมะนาว ภายใต้แสงไฟโชติช่วง เราได้เห็นร่างของมันชัดเจน เธอดูเหมือนเด็กผู้หญิง ผมสีดำยุ่งเหยิง ใส่เสื้อคอกระเช้าสีน้ำตาลโคลน หน้าตามอมแมม มือเหมือนคนแต่ใหญ่ผิดส่วน มีหางเหมือนลูกอ๊อดสีฟ้าอ่อน ขาสีเขียวและมีนิ้วยาวสามนิ้วเหมือนกับกบแต่ไม่มีผังผืด สะพายตะกร้าสานมอมๆบนบ่าและมีบาดแผลที่ไม่ทราบที่มาหลายๆแห่งบนร่างกาย ท่าทางหิวโซ ปากกว้างและสั่น สงสัยกำลังกัดฟันเพราะความกลัว เธอมีตาสีดำกลมโตที่กำลังมองมาทางคณะหมูมะนาวแสดงให้เห็นถึงความไม่หวั่นใจ
"เธอเป็นตัวอะไรเนี่ย"ไอ้ชาติถาม เขาถนัดด้านการถามอะไรโง่ๆอยู่แล้ว
"ป เป็น คน ค่า"เธอตอบ เสียงเล็กๆของเด็กผู้หญิงค่อยๆออกมาจากปากของเธอ ใช่แน่ๆ เสียงเดียวกับที่หมู่โบกี้ได้ยินที่โรงเลื่อยเป๊ะ
"เหรอ ดูไม่ค่อยเหมือนเลยนะ"ไอ้ชาติพูดต่อ เขาค่อยๆเดินวนรอบๆเป้าหมายด้วยความสนใจ
"เหอะๆๆ การขโมยเป็นสิ่งไม่ดีนะจ๊ะ คืนของในตะกร้าเธอมาแล้วเราจะไม่เอาเรื่อง"หมู่โบกี้ย่างสามขุมเข้าไปหาเด็กหญิงปริศนาตรงหน้า ทำท่าคุกคามเพื่อขู่ให้กลัว
"แต่หนูหิว หนูจำเป็น อย่าทำหนูเลยหนูเป็นเยาวชน แงงงง"เด็กหญิงตรงหน้ากอดตะกร้าไว้แน่นและเริ่มร้องไห้
"อย่ามาอ้างว่าเยาวชน แค่คำว่าคนยังไม่คู่ควร ฟังนะ ไม่ว่าใครก็ต้องเคารพกฎหมาย ไม่มีข้อยกเว้น นี่เรากะจะไม่เอาเรื่องเพราะเห็นว่าเป็นเด็ก เราเองก็หิว เราเองก็ต้องกิน เธอจะมาอ้างว่าเธอหิวแล้วซี้ซั้วเอาของคนอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่คืนมาเราจะเอาเธอไปออกงานวัด"หมู่โบกี้รุกต่อ
"ก็ ก็...ได้"เด็กหญิงตรงหน้ายอมแพ้แล้วยื่นตะกร้าให้หมู่โบกี้ ท่าทางเหงาหงอย เธอคงไม่มีอะไรกินคืนนี้แล้วหละ
"นี่ จะว่าไปเธอก็ดูไม่เหมือนสัตว์ประหลาดต่างๆที่เราเจอก่อนหน้านี้นะ เธอดู เหมือนคนที่หมู่บ้าน เดานะเธอชื่อน้ำอ้อยใช่หรือเปล่า"หมวดเอกก้าวเข้ามาข้างหน้ามองหน้าหนูน้อยตรงหน้าด้วยสายตาที่เป็นมิตรและรอยยิ้มจางๆ
(นี่เป็นหนึ่งใน108เล่ห์ข้าราชการ : ทั้งขู่ทั้งปลอบเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ )
"พวกลุงรู้ชื่อหนูได้ยังไง"
"ลุงเหร....."หมวดเอกรีบปิดปากหมู่โบกี้ก่อนที่จะทำให้เด็กกลัว
"เราผ่านหมู่บ้านของยายหนูมา ยายแม้นบอกพวกเราว่าหลานสาวหายไปแล้วอยากให้เราช่วยหา แล้วเราก็สังเกตุว่าเธอดูคล้ายกับที่ยายแม้นบรรยายมา ที่สำคัญ เราไปที่หมู่บ้านแล้วทุกคนป่วยด้วยอาการแปลกๆ อาจจะไม่หนักเท่าที่หนูเป็นแต่ว่าก็น่ากลัวอยู่"หมวดเอกมั่นใจแล้วว่านี่คือหนึ่งในคนหายที่พวกเขากำลังตามตัว
"ยายตามหาหนูเหรอ หนูนึกว่าพวกเขากลัวหนูซะอีก ตอนหนูกลับไปที่หมู่บ้านพวกเขาไล่หนูออกมาตั้งแต่เห็นแว๊บๆ พวกเค้าบอกว่าหนูเป็นผีป่า"น้ำอ้อยทำหน้าสลดแล้วก้มหน้า
"ก็หนูดูเหมือนจริงๆหนิ"ไอ้กรอบพูด จากนั้นจ่าปลาก็ทำหน้าดุใส่
"ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะดูไม่ค่อยเหมือนคนแต่พี่สาวคนนี้รู้ว่าหนูเป็นคนจริงๆใช่มั้ยจ๊ะ"จ่าปลาใช้แพทเทิร์นพยาบาลที่ตนเองใช้เป็นประจำมาช่วยปลอบเด็กน้อยผู้ตื่นกลัว
"ใช่ค่า"น้ำอ้อยตอบ
"เอางี้ละกันหนูอย่าขโมยอะไรแล้วตามพี่ๆมาละกัน เรากำลังจะหาที่พัก"จ่าปลาว่า
"จริงๆที่ผ่านมาเนี่ยหนูก็เจอที่พักดีๆหลายที่ หนูรู้จักป่านี้เป็นอย่างดี บางทีหนูอาจช่วยพี่ๆได้" ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่น้ำอ้อยพูดหมู่โบกี้ก็รีบเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มกว้างเหนือธรรมชาติ
"นี่หนู ตอนนี้พวกพี่ๆกำลังทำภารกิจที่สำคัญมากๆอยู่ มันคล้ายๆกับการไปผจญภัยนั่นแหละ เอางี้หนูรู้จักไอ้บ้าน. . .โดม หรือตึกอะไรที่อยู่กลางป่าหรือเปล่า หรืออะไรที่ทำให้ป่านี้ผิดปกติแบบว่า เอิม แบบที่ทำให้มีสัตว์ประหลาดหนะ"หมู่โบกี้รีบเข้ามาซักถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างไม่รอช้า เขาเบื่อที่จะติดแหง็กในป่าเขาทำลายเราแบบนี้เต็มทน
"อ้อ หนูเห็นตึกประหลาดๆรูปครึ่งวงกลมอันนั้น ใช่ หนูเคยไปเล่นแถวๆนั้นบ่อยๆจนมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในตึกตลกๆนี้แล้วก็ไม่ออกมาอีกเลย คืนนึงเกิดระเบิด มีแสงวูบวาบขึ้นตรงนั้น แล้วพอตอนเช้าไปก็เจอตึกนั้นพังไปครึ่งตึก หนูว่าเจ้าป่าเจ้าเขาจะต้องโกรธมากแน่ๆถึงได้ระเบิดตึกนั้นทิ้งแล้วสาปหุบเขานี้ หนูก็เลยเป็นแบบนี้ไง"
"เดี๋ยวนะ หนูบอกว่าเจ้าป่าเจ้าเขาทำลายตึกนั้น จากนั้น สัตว์ประหลาดและคำสาปค่อยโผ่ลมา ใช่มั้ย"หมู่โบกี้ซัก
"ใช่ค่า หนูว่าเทพเจ้าจะต้องหวงป่านี้มากแน่ๆ ยิ่งเข้าไกล้ตึกนั้นมากเท่าไหร่ ยิ่งมีปีศาจออกมาเยอะมากเท่านั้น หนูว่าเป็นเพราะหนูไปกินกบแถวนั้นเข้าก็เลยโดนสาปให้ค่อยๆกลายเป็นกบ ไม่น่าเลย"น้ำอ้อยทำหน้าเจื๋อนๆ คอตก
"งั้นคืนนี้หนูรู้ใช่มั้ยว่าคืนนี้จะหาที่พักได้ยังไง"จ่าปลารีบเข้ามาขัดหมู่โบกี้
"รู้ค่า แต่ขออาหารได้ป่าว"น้ำอ้อยยิ้มแล้วสะบัดหางลูกอ๊อดของเธอไปมา เหมือนกับหมาที่กระดิกหางเวลาดีใจ
"เรากะจะให้เธอไปด้วยกันอยู่แล้ว นี่ตะกร้าของเธอ นำทางไปเลยจ้า"จ่าปลาเอาตะกร้ามาจากไอ้ตือที่ถ่ายเทของกินกลับเข้าเป้เดินป่าของเขาแล้ว
"ค่ะ"น้ำอ้อยขานรับก่อนที่จะค่อยๆเดินท่าทางแปลกๆ น่าจะเป็นเพราะร่างกายเธอตอนนี้เหมาะแก่การกระโดดมากกว่าเดิน
"เยี่ยม"เนยกับสมบัติยิ้มกว้างที่สุดตั้งแต่เดินทางมา พวกเขามั่นใจว่าพวกเขาจะต้องดังเป็นแตรเรือ ดังเป็นพลุแตก ดังเป็นไอพ่นเครื่องบินจัมโบ้เจ็ต มันจะต้องเริศมาก สกู๊ปนี้จะมีคนสนใจทั่วประเทศแน่ๆ และที่สำคัญที่สุด ไฮยีน่านิวส์จะต้องรับพวกเราหลังจากทำผลงานชิ้นนี้ออกสู่สายตาชาวโลก แม่กบน้อยคนนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในหลายๆด้านจริงๆ และ เรื่องสิทธิเยาวชนเค้ารองรับเฉพาะคนหนี่หน่า เดี๋ยวก็แก้ตัวว่าดูไม่ออกเอาก็ได้
"งั้นหนูบอกน้าๆหน่อยได้มั้ยว่าหนูกลายเป็นแบบนี้ได้ไง"เนยถามด้วยน้ำเสียงที่หวานที่สุดเท่าที่สาวน้อยจอมละโมบคนนึงจะทำได้่ ตอนนี้น้ำอ้อยกำลังนำทางคณะไปยังที่ๆว่าเป็นที่พัก ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน
"ก็หนูกินกบหลังจากที่ตึกประหลาดๆนั่นถูกระเบิด แล้วตอนแรกมันก็ไม่มีอะไรหรอกแค่รู้สึกว่ารสชาติมันแปร่งๆ หลังจากนั้นอาทิตย์นึงหนูก็เริ่มมีหางลูกอ๊อดงอกออกมา แล้วมันก็โตขึ้นเรื่อยๆประมาณเดือนนึง แล้วมือของหนูก็ใหญ่ขึ้น ที่แย่ที่สุดคือเท้าของหนูกลายเป็นขากบ มันเจ็บแปล็บๆวันละหลายๆครั้ง หนูปีนต้นไม้เก่งขึ้นและกระโดดได้เร็วแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่วันที่หนูโดนไล่ออกมาหนูก็เลยต้องขโมยอาหารของพวกคนต่างๆที่เข้ามาในป่า หนูหิวจริงๆ ยิ่งอาการแย่ลงเท่าไหร่ก็ต้องกินเยอะเท่านั้น มันรู้สึกไม่สบายเลย หนูใส่รองเท้าไม่ได้แล้ว แถมเดินก็ลำบากอีก"น้ำอ้อยเล่าให้ฟังขณะที่เนยกับสมบัติทำตาลุกวาวยิ่งกว่าที่หมู่โบกี้เคยทำ ไม่ใช่ลุกวาวแบบข่มขู่แต่เป็นลุกวาวแบบเป็นประกายปิ๊งๆ เหมือนตาลูกหมาที่มองเข้าไปแล้วเห็นจักรวาลเลย(ท่าอ้อนในตำนาน : ดวงตาเบิ่งจักรวาล)
"แล้วนี่หนูแลบลิ้นแบบกบได้หรือเปล่า"เนยถามต่อ ตอนนี้เธอดูเหมือนคนบ้าระยะสุดท้าย ท่าทางเหมือนคนโดนไฟดูด เธอตื่นเต้นเนื้อเต้นไปหมด รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความฟินประทับอยู่บนใบหน้าของเธอจนหมู่โบกี้มองแล้วรู้สึกเสียวสันหลัง
"ได้ค่ะ"น้ำอ้อยตอบแล้วแลบลิ้นพุ่งไปข้างหน้า3เมตรตวัดเอากิ่งไม้ที่อยู่ไกลพอๆกันมาแล้วยื่นกิ่งไม้ให้สองนักข่าว
"น่าประทับใจ จริงๆ"สมบัติพูดด้วยเสียงเข้มกว่าปกติก่อนที่จะรับกิ่งไม้นั้นแล้วเอาไปใส่ถุงพลาสติกสำหรับเก็บตัวอย่าง
"แล้วหนูกินแมลงได้หรือเปล่า"เนยถามต่อ
"อะหือ ถามแบบปราศจากความเกรงใจ สไตล์ไฮยีน่านิวส์ของแท้"ไอ้กอล์ฟแซวพร้อมแอบกระทุ้งไอ้ตือ ตือก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความหน่าย
"กบเค้าจะหาม อย่าเอาคานเข้ามาสอด"เนยรีบพูดเร็วๆเบาๆใส่ไอ้กอล์ฟก่อนที่จะหันมาหาน้องน้ำอ้อย
"ว่าไงจ้าาา พี่สาวรออยู่ น้าาาา"เนยทำเสียงเล็กเหลมแบบเดียวกับที่ได้ยินกันในรายการทีวีสำหรับเด็กเล็ก เจ๊ยิ้มจนแก้มปริ จ้องน้ำอ้อยตาไม่กระพริบ
"จริงๆหนูก็เคยลองนะแต่มันไม่อร่อยเลย เลยไม่กิน"น้ำอ้อยตอบ หางลูกอ๊อดส่ายไปมาแสดงว่าไม่ค่อยสบายใจที่จะตอบคำถามนี้เท่าไหร่
"แล้ว..."เนยพยายามจะถามต่อแต่ว่าคณะได้มาถึงจุดหมาย
"ถึงแล้ว ที่นี่คือที่พักของหนู และที่นี่หนูคือ เจ้าหญิง ยินดีต้อนรับสู่บ่อกบของหนู"น้ำอ้อยยิ้มกว้างแล้วกระโดดขึ้นต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ริมบ่อน้ำเล็กๆ
ที่นี่คือบ่อน้ำที่มีขนาดไม่ได้ใหญ่ไปกว่าอ่างจากุ๊ซซี่เลย น้ำใสแจ๋วและตื้นแค่เอว มีสาหร่ายและพืชน้ำขึ้นเล็กน้อย ขอบๆบึงนี้มีเห็ดเรืองแสงที่ส่องแสงสีฟ้าอ่อนขึ้นเป็นกระจุกๆ ทำหน้าที่เหมือนโคมไฟธรรมชาติ นี่น่าจะเป็นเห็ดกระสือที่มาของชื่อหนองเห็ดกระสือนั่นเองเพียงแต่ว่าไอ้ที่เห็นอยู่นี้มันมีขนาดที่ใหญ่กว่าแบบเทียบกันไม่ติดและสว่างดุจหลอดไฟของจริงเลย รอบๆบ่อกบก็มีแผ่นไม้ที่คาดว่าพวกลักลอบตัดไม้ทิ้งเอาไว้ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แผ่นไม้พวกนี้ใช้รองพื้นเป็นที่นอนชั้นดี รอบๆบริเวณนี้เต็มไปด้วยหิ้งห้อย ไม่ใช่หิ่งห้อยยักษ์กินคนหรืออะไรแบบนั้นนะ หิ่งห้อยธรรมดานี่แหละแต่ว่ามันมีแสงสีที่สดใสกว่าที่ไหนที่เราเคยเจอ สีเขียว สีแดงและสีเหลือง สีฟ้า สีม่วงและสีส้ม บินวนไปทั่วแหล่งน้ำอันเป็นบ้านที่มันเกิด โต และ สืบพันธ์ุ เบื้องบนก็มีช่องว่างระหว่างต้นไม้ให้มองเห็นท้องฟ้ายามกลางคืน พร่างพรายไปด้วยหมู่ดาวส่องแสงกระพริบวิบวับราวกับจะชวนให้เราลองนับและค้นหาความอัศจรรย์ และแน่นอนว่าบ่อกบจะขาดกบไปไม่ได้ ที่นี่มีกบอยู่ไม่กี่ตัว ตัวที่ใหญ่ที่สุดคือตัวที่พาเรามาที่นี่และนั่นแหละ ถึงจะเรียกตัวเองว่าเป็นเจ้าหญิงก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะมีอำนาจสั่งการกบเหล่านี้ แค่คุยกันยังไม่รู้เรื่องเลย แต่สิ่งที่เธอทำได้คือเมื่อเธอร้อง อ๊บ อ๊บ กบตัวอื่นในแอ่งน้ำนี้จะส่งเสียงร้องตาม ไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางป่าเขาอันดิบเถื่อนและโหดร้ายจะซุกซ่อนสถาณที่แห่งความสวยงามไว้อยู่ เปรียบได้ดังทองคำบริสุทธิ์ที่ห่อด้วยผ้าขี้ริ้ว ที่นี่แทบจะเหมือนกับแดนภูติพิศวงที่ออกมาจากเทพนิยาย เพียงแต่ว่านี่ไม่ได้เกิดจากเวทมนต์ นี่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์
"บ้านตากอากาศขณะโดนแบนของหนู อาจจะไม่ได้หรูหราแต่ก็ค่อนข้างปลอดภัย นอกจากนี้หิ่งห้อยพวกนี้ยังดูเพลินดีด้วย ไม่มืดจนน่ากลัวและไม่สว่งจนนอนไม่ได้"น้ำอ้อยว่าก่อนที่จะกระโดดลงสระน้ำเล็กๆนั้นและหลับตาลง
"อ่าห์ เย็นชื่นใจ"หนูน้อยแสดงอาการผ่อนคลาย
"ว้าว ที่นี่สวยจริงๆ เพชรในตมชัดๆ ไม่ค่อยมียุงด้วย"จ่าปลาลูบหน้าโดยไม่รู้ตัว จ่าเองก็เป็นผู้หญิงที่ชอบวิวสวยๆแบบนี้
"ยอด ยอดเยี่ยม"เนยตั้งกล้องบาซูก้าใหญ่เกินงาม เตรียมจะถ่ายด้วยสุดยอดเทคโนโลยีการถ่ายภาพ เพียงแต่ว่าเธอนึกได้ว่าไม่ควรใช้แฟลชจึงใช้อีกโหมดแทน ภาพสวยๆแบบนี้น่าจะเอาไปขายได้ราคาไม่ใช่น้อยๆ เอาไปประดับหอศิลปะหรือล๊อบบี้โรงแรมห้าดาว มันจะต้องเปล่งประกายและโดดเด่นท่ามกลางภาพวิวทั้งหลาย
"เรากางเต็นท์กันดีกว่า เนอะ"หมวดเอกว่าแล้วก็หยิบเอาเต็นท์ออกมากางอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเต็นท์สำหรับ3คนนอนหลายอันก็ถูกกางพร้อมสำหรับค้างคืนข้างสระน้ำอันสวยงาม หมวดเอกและคณะต่างกินอาหารเย็นอย่างมีความสุข หลังจากที่ผ่านวันอันหนักหน่วงและการต่อสู้อันเจ็บปวด การได้มาพักผ่อนหย่อนใจในดินแดนลับแลแห่งนี้เหมือนฝันของเด็กเล็กๆที่เป็นจริง เหมือนนิทานก่อนนอนออกมาอยู่ตรงหน้า
"เรามาร้องเพลงให้เข้ากับบรรยากาศกันดีกว่าเนอะ ท่ามกลางดวงดาวระยิบระยับและดินแดนที่เหมือนกับในเทพนิยายนี้ เพลงที่เหมาะๆก็คงจะเป็น"จ่าปลากำลังจะชวนน้องร้องเพลงก่อนนอนชวนให้หลับฝันดี
"เพลง ถอนขนห่านผลาญภาษีแน่ๆ ของวง จลาจล"โบกี้ทำพิษอีกแล้ว
"โน"จ่าส่ายหน้า
"เพลง ขี้เมาดึงดาว สิถึงจะเข้า"ไอ้กอล์ฟออกความเห็น
"ไม่"
"เพลง ควายชมคืน ลูกทุ่งคลาสสิค คนร้องกลายเป็นฟอสซิลไปแล้ว"ไอ้กรอบเสนอ
"ขอหละ ร้องตามจ่า โอเคนะ"จ่าปลาตัดบทก่อนที่จะทำให้คอปลอดโปร่งพร้อมร้องเพลงด้วยเสียงแจ๋วๆ
"โอ้เจ้าดาวดวงน้อยแสนงาม
แสงวับวาวเจ้าเป็นเช่นไร
สูงล่องลอยในฟ้ากว้างไกล
เหมือนเพชรพลอยในท้องนภา
โอ้เจ้าดาวดวงน้อยแสนงาม
แสงวับวาวเจ้าเป็นเช่นใด"(ทำนองเพลง twinkle twinkle little star)
ด้วยความที่ทำหน้าที่ด้านพยาบาลเป็นหลัก การกล่อมคนให้นอนด้วยเสียงเพลงเป็นความสามารถที่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นเยอะ เสียงที่หวานและแจ๋วในจังหวะที่เหมาะสมและเพลงที่เข้ากับสถาณการณ์เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวที่เป็นรองเพียงยาสลบห้องผ่าตัดเท่านั้น
"พี่สาวร้องเพลงเพราะจังค่า"น้ำอ้อยกระดิกหากลูกอ๊อดช้าๆ ใบพายแหวกน้ำไปมาเหมือนครีบปลา เธอค่อยๆไต่ขึ้นมาบนขอนไม้ริมน้ำแล้วกระโดดขึ้นต้นไม้เตรียมนอน
"หวังว่าคืนต่อๆไปจะมีอะไรดีๆแบบนี้อีกนะ อยากเก็บความทรงจำแสนวิเศษแบบนี้ไปนานๆ"หมวดเอกว่าก่อนที่จะมุดเข้าเต็นท์นอน
หมู่หมูมะนาวและแขกเหรือหลับตาลงแล้วนอนอย่างสงบริมน้ำในคืนนั้น
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:42:07 GMT
18.forest of dead tree : ป่าต้นไม้ตาย
หลังจากที่ผ่านวันอันแสนเหนื่อยล้าและน่าพรั่นพรึง คณะหมูมะนาวได้หลับปุ๋ยอยู่ริมสระน้ำอันเป็นสถาณแห่งความหย่อนใจ น้องน้ำอ้อยผู้ชำนาญในพื้นที่เป็นคนนำทางพวกเขามาที่นี่ ดินแดนแห่งความแปลกใหม่และงดงาม เอาเป็นว่าสวยที่สุดเท่าที่เข้าป่าแห่งนี้มาก็แล้วกัน แต่ท่ามกลางความสวยงามนี้ไม่ได้ปลอดภัยนัก ร่องรอยแห่งความแปลกประหลาดเป็นสิ่งที่เตือนให้เรารู้ว่าที่นี่ได้รับผลกระทบจาก บางสิ่ง ที่เปลี่ยนให้ป่าอันสงบสุข(เออ . . . ขอถอนคำพูด ที่นี่ไม่เคยสงบสุข) แห่งนี้ให้กลายเป็นฝันร้าย ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง ทางเดียวที่เราจะรู้ได้ว่าป่าแห่งนี้กำลังเจ็บป่วยจากอะไรคือการเข้าไปสำรวจใน อาคารทรงครึ่งวงกลม ที่ได้ยินกันอย่างหนาหูนับตั้งแต่ผ่านหมู่บ้านที่กำลังทุกข์ทนด้วยโรคาอำมหิต สิ่งประหลาดที่กำลังคุกคามและแปรเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นนรกนั้นน่าจะมาจากอาคารแห่งความลับหลังนั้น ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเดาออก เจ้าป่าเจ้าเขา เทพเจ้าเอาแต่ใจ หรือ ขยะนิวเคลียร์ที่ประเทศเพื่อนบ้านแอบมาทิ้ง ช่างเหอะ ประเทศเพื่อนบ้านยังไม่มีแม้แต่จรวดนำวิถีเลย
ตะวันเบิกฟ้าอย่างช้าๆ ความมืดแห่งรัตติกาลค่อยๆโดนขับไล่หายไปเมื่อต้องแสงสีอำพันแห่งวันใหม่ หิ่งห้อยค่อยๆเลือนหายไปเมื่อดวงตะวันขึ้นสู่ฟ้า เช่นเดียวกับเห็ดกระสือที่หยุดส่องแสง วันที่สามของการผจญภัยแบบที่มีภัยเยอะเป็นพิเศษมาถึงแล้ว หมวดเอกเป็นคนแรกที่ลืมตาตื่นในกลุ่ม บิดขี้เกียจเล็กน้อย แล้วค่อยๆคลานออกมาจากเต็นท์ รอบๆสถาณที่ที่เต็มไปด้วยไม้พุ่มและหญ้ามอส ในสระน้ำใสแจ๋วที่มีปลาตัวเล็กๆ ชมดวงอาทิตย์ทอแสงสีทองปกคลุมแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ หมู่ดาวและดวงจันทร์ค่อยๆโดนแสงสุริยันบดบังจนหายไปในที่สุด ช่างเป็นบรรยากาศที่ดียิ่งนัก ความปวดเมื่อยเหนื่อยกายใจแทบจะหายไปในพริบตา ไม่ทันใดนักข่าวหญิงก็ออกมาจากกระโจมพร้อมกล้องถ่ายรูปใหญ่เกะกะผิดธรรมดากระบอกนั้น ตั้งกล้องขึ้นบ่าก่อนที่จะถ่ายภาพสวยงามเหล่านี้ไว้ ไม่เพียงแต่ในเมมโมรี่การ์ดแต่ในความทรงจำของหญิงสาวด้วย
คนต่อมาที่ตื่นคือไอ้ตือ แต่ด้วยขนาดกายไซส์พิเศษ เขาปลุกทั้งเต็นท์ด้วยการคลานออกมา ไอ้ตือหยิบกระติกน้ำประจำตัวขึ้นมาเตรียมตักน้ำในสระกะจะเอามาดื่มให้หายคอแห้ง
"หยุด สต๊อปเลยนะไอ้ก้อนคอเรสเตอรอล นายรู้มั้ยว่าน้ำนี่น่าจะมีส่วนทำให้ . . . ป่วยแบบในหมู่บ้านนั้นที่เราแวะเมื่อคืนก่อน ถ้ายังไม่อยากโดนคำสาปเทพเจ้ากุ๊กกู๋น่ากลัวอะไรนั้นก็อย่าได้ทำอะไรโง่ๆเป็นอันขาด"หมู่โบกี้ที่ตื่นพร้อมกันรีบห้าม เขามั่นใจว่าอะไรก็ตามที่ทำให้น้ำอ้อยมีหางลูกอ๊อดเนี่ยคงไม่ใช่เทพเจ้าอะไรที่ว่าหรอก มันต้องเป็นสารอะไรซักอย่างที่รั่วไหลออกมา และสารที่ว่านั้นมีโอกาสสูงมากที่จะปนเปื่อนแหล่งน้ำนี้ หลักฐานเหรอ หากเห็ดและหิ่งห้อยเมื่อคืนไม่แปลกพอที่จะพิสูจว่าที่นี่มีอะไรไม่น่าอภิรมย์ปนเปื้อน คน หรือที่ต้องเรียกว่า อดีตคนที่พาเรามาก็น่าจะเป็นสิ่งยืนยันได้
"เฮ้ออออ"ไอ้ตือถอนหายใจก่อนที่จะเก็บกระติกน้ำของตนเข้าเข็มขัดแล้วมองหาอะไรกิน
"หยุด หยุดเลย อาหารที่เกิดจากผลผลิตในป่าแห่งนี้นายไม่ควรกินเป็นอันขาด มองบนซิเห็นอะไร"หมู่โบกี้ชี้น้ำอ้อยที่กำลังนอนอยู่บนต้นไม้
"อือ แต่ผมไม่ได้จะกินของที่นี่ ผมจะกินเสบียงที่เราเอามา"ไอ้ตือตอบ
"เหรอ เราเอาเสบียงมาพอเหรอ ที่พูดไปตะกี้หมายถึงเราไม่สามารถหาอาหารที่ปลอดภัยกินในหุบเขานี้ได้ ถ้าเราหาอาหารไม่ได้ สิ่งที่ควรกินก็มีแต่เสบียง แล้วเสบียงเรามีจำกัดเพราะเราหาอะไรมาทดแทนส่วนที่พร่องไปไม่ได้ หวังว่าคงเข้าใจนะ"หมู่โบกี้กำลังอธิบายทันใดนั้นไอ้ชาติก็ค่อยๆออกมาจากเต็นท์พร้อมกับไอ้กอล์ฟที่กำลังเช็ดแว่นเนื่องจากฝ้าขึ้น
"เราจะกลับไปเอาเสบียงที่กองพันเหรอ"ไอ้ชาติถามท่าทางโง่กว่าปกติเพราะกำลังงัวเงีย ปิดท้ายคำถามด้วยท่าหาวแบบไม่เกรงใจผีสางเทวดา รวมถึงผู้บังคับบัญชาตรงหน้าด้วย หมู่โบกี้ก็ไม่สนใจที่จะซ่อมเพราะสติปัญญาของชาติไม่สูงพอที่จะเติมความรู้เรื่องมารยาทลงไปได้
"ม่ายยยยยย นี่พวกแกจบการศึกษาภาคบังคับของรัฐมาได้ยังงายยยเนี่ยยยยยย ที่พูดนี่หมายถึงให้พวกแกทุกคนประหยัดเสบียง ถ้าเสบียงหมด เราจะพ่ายในภารกิจนี้ แล้วเราก็กินอาหารของหุบเขานี้ไม่ได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว เฮ้อ "หมู่โบกี้คงหน่ายกับระดับปัญญาของผู้ใต้บังคับบัญชาเต็มกลืน ทันใดนั้นหมู่โบกี้ก็ได้ยินเสียงน้ำจากข้างหลัง
"ให้ตายเถอะ บอกแล้วว่าอย่ากินน้ำ ที่พูดเนี่ยเข้าใจกันบ้าง..."หมู่โบกี้หันไปเห็นน้องน้ำอ้อยกำลังลอยคออยู่ในบ่อกบของเธอ ทำหน้างง
"ทำไมเหรอคะ"
"เออ พี่ชายสุดหล่อทรงเสน่ห์คนนี้กำลังบอกให้ลูกไล่ของพี่ไม่ให้มากินน้ำในบ่อของหนูไงจ๊ะ เดี๋ยวพวกนี้กินน้ำแห้งสระแล้วกบเพื่อนๆของหนูจะไม่มีที่ยืนในสังคม เอ้ย ไม่มีที่อยู่ไงหละ"ความสามารถในการแถถูไถแก้ตัวและเปลี่ยนเรื่องของหมู่โบกี้ยังเฉียบคมเหมือนเดิน
"น้องกินไปเถอะน้ำอ่ะ น้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว"
"หุบปาก"หมู่โบกี้ทำหน้าตึงตัวตรงแข็งโด๊ะ ชี้ไอ้ชาติและถลึงตา
"เออ ผมซึ้งใจมากที่หมู่เป็นห่วงช่องทางเดินหายใจผมแต่คราวหลังเบาๆหน่อยก็ได้นะ"
"อะไรนะ . . . ว้าก! จ้าก!! ย๊าก!!! หยี หยะแหยง"หมู่โบกี้เผลอจิ้มนิ้วเข้าไปในรูจมูกไอ้ชาติอีกแล้ว หมู่ดิ้นพล่านและกระโดดเหยงๆๆอย่างเอาเป็นเอาตาย
"แด่แดแดแดแด่แด๊แด๊ แดแด๊แด๊แด่แดแด แดแด็แดแด่ ติ๊งตึงตึงตึงตี่ง(เพลง can can)"จ่าปลาที่พึ่งออกมาจากเต็นท์ร้องเพลงประกอบระหว่างที่หมู่โบกี้เต้นไปมาเหมือนโดนใครเอาปูม้ายัดใส่กางเกงในแล้วมันหนีบของลับ
หมู่โบกี้เมื่อมีดนตรีประกอบก็เลยเต้นตามน้ำไป แสร้งทำเป็นว่ากำลังแสดงละครโชว์น้องอยู่
"เห่ เวลคัมทูเดอะบ้านบึง
เรดดี้ฟอร์เดอะโรงกลึง
คิดตังค์แก้วพี่
อายไม่มีหน้าด้านสิดี
ราดหน้าออนอะเวสต์แลนด์
เรดดี้พอเถอะ แคระแกร็น
มานี่มาสิดี
ไปดูปาหี่ เห้!!!!!"(ทำนองเพลง : can can dance) ขับร้องภาษาผสมๆโดนจ่าปลาและวงดนตรีไม่สมประกอบของเธอ สอดคล้องกับท่าเต้นระบำอันเผ็ดร้อนราวกับลิงแสมกินพริกเข้าไปเป็นกำ
"โบกี้ หมวดว่าตอนกลับไปนายต้องตรวจสมองแล้วหละ"หมวดเอกมองการแสดงที่ว่าแล้วหางตากระตุกรัวๆ ลูกน้องเขาแต่ละคนช่าง หมดคำบรรยาย
"คิดเหมือนกันครับ"หมู่โบกี้ตอบก่อนที่จะเช็ดนิ้วกับกางเกงแล้วยิ้มแหยๆ
"หมวดไม่จ่ายค่าหมอให้นะ สวัสดิการรัฐจะครอบคลุมหรือเปล่าอาการหนักแบบนี้"หมวดเอกตบมุขก่อนที่จะมองไปในเข็มทิศสลับกับดูแผนที่ของพวกลักลอบตัดไม้
"อืม อย่างที่คิด"หมวดเอกกระซิบเบาๆ
"มีอะไรเหรอคะ"จ่าปลาเดินเข้ามาดูเผื่อว่าจะมีอะไรสำคัญ
"จำได้มั้ยว่าเราจะเดินทางไปในตรงที่กากบาทสีแดงวนรอบๆ จุดทีน่าจะเป็นศูนย์กลางของความผิดปกติที่เกิดขึ้น ดูจากทิศที่ยัยลูกอ๊อดนั่นพาเรามา มันมาทางทิศนี้พอดี แสดงว่าสิ่งที่เราคาดไว้น่าจะถูกต้อง ตรงกลางของกลุ่มกากบาทสีแดง มันน่าจะเป็นตึกในตำนานที่ลือกันว่ามีสิ่งศักดิ์พิโรธอยู่ข้างใน"หมวดเอกมองแผนที่แล้วบอกจ่าปลา อีกไม่น่าจะไกล 2 วันน่าจะถึง แต่จะรอดไปถึงหรือเปล่าค่อยว่ากันอีกที อาวุธสงครามเราจะมากพอที่จะต่อกรกับความสยองที่รอเราอยู่หรือเปล่า
"แล้วเราจะกินมื้อเช้..."
"หยุดๆๆ เสบียงเราไม่น่าจะพอ อย่างที่หมู่โบกี้บอก อาหารในหุบเขาแห่งนี้ปนเปื้อนสิ่งประหลาด เราควรจะกินประหยัดๆ"หมวดเอกพูดก่อนที่จะค่อยๆเก็บพับเต็นท์ของตนและคนอื่นๆก็เก็บเต็นท์ตามหมวด ไม่มีใครอยากเป็นคนสุดท้าย ด้วยเหตุผลที่รู้กันดี
"แล้ว เราจะออกเดินทางเลยมั้ย"ไอ้ตือพูดทำหน้าหน่าย ไม่มีใครไม่อารมย์เสียหรอกเมื่อไม่ได้กินข้าวเช้า ไอ้ตือคือเคสที่หนักที่สุด
"เอ้า ก็ไปสิรออะไรหละ นี่น้ำอ้อย นำทางไปเลยขอแบบที่เร็วที่สุดปลอดภัยที่สุดนะ"หมวดเอกตะโกนบอกแล้วสะพายเป้ขึ้นหลัง
"อ๊บ ตามมาเลย"น้องน้ำอ้อยกระโดดขึ้นจากสระน้ำอันเป็นถิ่นของเธอ ขึ้นต้นไม้แล้วรีบไต่ไปกระโดดไปตามกิ้งก้านของต้นไม้อย่างคล่องแคล่วเช่นเดียวกับตอนที่ขโมยห่อข้าวจากกลุ่มคนตัดไม้และตอนที่หนีจากหมู่หมูมะนาว
"ถามจริงเหอะ ทำไมไม่เดินดีๆ เดี๋ยวก็เจอกาฝากหมูหรอก"หมู่โบกี้ตะโกนเพราะความขัดตาของตน ใจนึงก็รู้สึกหมั่นไส้เหมือนโดนเด็กโชว์พาวด้านการปีนต้นไม้ อีกใจนึงก็กลัวยัยลูกอ๊อดตกต้นไม้ซี่โครงหักอะไรแบบนั้น
"กาฝากหมู?คือไรอ่ะ"น้ำอ้อยสงสัย
"อ้อก็ไอ้กาฝากที่มีหนามแหลมๆแล้วชอบไปเกาะหมูป่าไงเราเลยเรียกว่ากาฝากหมู"จ่าปลาตอบแล้วก็เดินต่อ มองซ้ายขวาเพราะว่าไม่ค่อยแน่ใจในความปลอดภัย ป่านี้ทึบมากและไม่เฟรนด์ลี่เลย แม้แต่น้อย จริงๆก็มีบางส่วนที่เป็นมิตรหน่อยๆอย่างที่นอนเมื่อคืนแต่ไม่น่าจะใช่ทางข้างหน้า
"แล้วทำไมต้องปีน"หมู่โบกี้ย้ำคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ รู้สึกขัดหูขัดตาเวลาเห็นคนอายุน้อยกว่าอยู่ในที่สูงกว่าตนเอง
"ก็ หลายๆเหตุผลนะ เดินแล้วมันเจ็บเท้าหนะ คือหนูใส่รองเท้าไม่ได้แล้วไง แล้วก็กระโดดมันสะดวกกว่าเพราะว่าขาหนูกลายเป็นกบไปครึ่งนึงแล้ว ที่สำคัญที่สุด หมีมันตามขึ้นมาบนต้นไม้ไม่ได้"น้ำอ้อยตอบ ครึ่งหมู่ทำหน้าเหวอทันทีที่ได้ยินคำว่า"หมี"ในประโยคสุดท้าย แทบทุกคนรู้ว่าในป่าแห่งนี้มีหมีควายอาศัยอยู่ หมีหมาก็เช่นกัน แต่การที่เจ้าถิ่นต้องการจะหลีกเลี่ยงหมีในป่านี้แสดงว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
"โว้วๆๆๆๆๆๆ อะไรนะ หมี? ป่านี้มีอะไรน่ากลัวกว่าหมีตั้งเยอะ ทำไมหนูถึงกลัวหมีหละ แล้วมันมีกันกี่ตัว"จ่าปลาไม่ถูกโฉลกกับเท็ดดี้แบร์เท่าไหร่ และไม่ถูกโรคกับหมีจริงๆด้วย เธอไม่รู้ว่าเจ้าหมีที่พูดถึงเนี่ยมันจะผิดไปจากหมีปรกติเท่าไหร่(คนยังไม่ปรกติเลย)
"ตัวเดียว หนูตั้งชื่อให้มันว่าเจ้ามากมาย "น้ำอ้อยบอก ทำท่าไม่ยี่ระกับท่าทางกระวนกระวายของจ่าปลา และเธอเองก็รู้ว่าเจ้ามากมายไม่ใช่เท็ดดี้แบร์ในฝันของผู้หญิงหลายๆคนหรอก
"ทำไมชื่อมากมาย"หมู่โบกี้ถาม ทำหน้างงกับชื่อแปลกๆของมัน
"ก็เพราะว่ามันมีอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ขาก็เยอะ หัวก็เยอะ หางก็เยอะ แต่ที่เยอะที่สุดก็ฟันนี่แหละ"น้ำอ้อยตอบแล้วกระโดดไปบนกิ่งไม้อีกกิ่ง คนอื่นๆก็ทำหน้างง นึกภาพหมีที่มีสภาพแบบนั้นไม่ออกจริงๆว่ามันจะมีรูปร่างแบบไหน อย่างน้อยก็รู้แล้วว่ามันไม่น่าจะปีนต้นไม้ได้เหมือนกับหมีทั่วไปที่ปีนต้นไม้เก่ง
"แล้วมันมีอะไรต้องระวังเป็นพิเศษหรือเปล่า"
"คือมันเป็นหมีที่ดุที่สุดในละแวกนี้ทำให้อาณาเขตของมันกินพื้นที่กว้างมาก แบบว่าเลยหนองเห็ดกระสือบ้านเก่าหนูออกไปอีก ที่สำคัญคือมันอาจจะไม่เร็วแต่มันแรงเยอะกว่าหมีทั่วไปเยอะมาก แต่เราไม่น่าจะได้จ๊ะเอ๋กับมันหรอก"น้ำอ้อยอธิบายถึงเจ้ามากมายให้คนอื่นๆฟัง คนอื่นๆได้ยินเรื่องของมันก็ไม่อยากเจอหน้ามันแม้แต่น้อยไม่ว่าจะสงสัยว่ารูปร่างมันจะเป็นยังไง หมีป่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแม้ว่าเราจะมีปืนพร้อมกระสุนก็ตาม
"แล้วหนูเคยเจอกับมันจะจะหรือเปล่า"เนยถาม กล้องอันเท่าซุงที่สะพายหลังอยู่ในโหมดบันทึกเสียงแบบดูดเสียงพิเศษ
"แน่นอนว่าเคย แต่เจ้าหมีมากมายจอมเฉื่อยมันไม่มีทางจับหนูทันหรอก หนูเร็วขนาดนี้ แต่เพื่อความเซฟ บนต้นไม้ดีฝ่า มันเคยเห็นหนูแล้วพยายามที่จะกินหนูแต่ เฟลสนิท หมีกาก"น้ำอ้อยเยาะเย้ยเจ้ามากมายให้ทั้งหมู่ฟัง
"พนันได้เลยว่าเจ้ามากมายมันคงโมโหมาก มันคงอยากกินลูกอ๊อดสดๆเป็นของว่างแน่ๆ"หมู่โบกี้พูดแซว
"แน่นอน มันมีโอกาสเมื่อไหร่ก็พุ่งใส่หนูทันที แต่ไม่ต้องห่วง หนูไวกว่า แถมตอนนอนก็นอนบนต้นไม้ หมีเฉื่อยที่แค่เดินโดยไม่สะดุดขาตัวเองล้มไม่ได้เนี่ย ไม่ได้แอ้มหรอกขา คิกๆๆ อ๊บๆๆ"น้ำอ้อยโม้ก่อนที่จะหัวเราะเป็นเสียงคนผสมกบ คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดอะไรยกเว้นหมวดเอกกับหมู่โบกี้
"เมื่อคืนเรานอนเต็นท์ ถ้าไอ้หมีโสโครกที่ว่ามันตามมาเจอ ปาร์ตี้คิลแหง"หมู่โบกี้กระซิบให้หมวดเอกฟัง ท่าทางไม่ค่อยไว้ใจในตัวมนุษย์ลูกอ๊อด
"หมวดก็คิดว่า คืนหน้าเรานอนบนต้นไม้ให้หมดเลยดีมั้ย"
"คิดเหมือนกัน แต่กาฝากหมูหละ"
"มันโจมตีจากข้างบนลงมา ถ้าเราอยู่ในระดับเดียวกับพวกมันแล้วไม่โหวกเหวก ไอ้พืชปรสิตพวกนั้นคงไม่เห็นพวกเรา"
"ก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ"หมู่โบกี้ตอบก่อนที่จะมองไปมาอย่างเสียวๆ ในป่าดิบชื้นอันอึมครึมเพราะแมกไม้หนาทึบที่บดบังแสงแห่งวันเอาไว้ เป็นไปได้ที่จะเจอกับอะไรไม่คาดฝัน จริงๆคือในป่านี้มันมีแต่อะไรไม่คาดฝันจนเริ่มเป็นโรคหวาดระแวงไปแล้ว ดินแดนแห่งนี้ไม่ใช่ที่ๆคนสติดีๆคู่ควรจะย่างกรายเข้ามา(หมายความว่าที่เข้ามานี่ก็. . .)
"แล้วนี่เราต้องผ่านอะไรไปก่อนมั้ยถึงจะไปที่ ตึกต้องคำสาปที่ทำให้เธอกลายเป็น...ลูกอ๊อด"ไอ้ตือซึ่งไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ในตอนนี้ตะโกนถามน้ำอ้อยแสดงถึงความหมดความอดทนของไอ้ตือ ทั้งหมดทั้งมวลส่งผลมาจากการที่คนๆนี้กำลังโมโหหิวระยะแรกที่รักษาได้ด้วยของกิน(ที่ตอนนี้มีจำกัด)
"แน่นอน เราต้องผ่านเนินหินข้างหน้าเนี่ยไป แล้วก็จะเจอป่าต้นไม้ตาย มองทางง่ายเพราะมีแต่ต้นไม้แห้งตายไม่มีใบ"น้ำอ้อยตอบ
"จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มามันไม่มีนะไอ้ป่าที่ต้นไม้ตายกันเยอะๆหนะ สภาพป่าดิบชื้นแบบนี้มันจะไปแห้งตายได้ไงกัน"ไอ้ตือถาม หรือว่าคราวที่แล้วไม่ได้มาแถวนี้เพราะปกติพวกเขามักจะถูกส่งไปทำภารกิจที่เขาช้างล้มมากกว่า
"มันพึ่งตายมาได้ไม่นานนี้เอง มันมีมดมากินจนตายเรียบ เจ้าป่าเจ้าเขาจะต้องโกรธมากแน่ๆเลยส่งฝูงมดพวกนี้มาทำลายพืชพรรณ"น้ำอ้อยบอก ทำหน้าไม่สบายใจ
"มด บ้าหน่า ป่านี้ไม่มีมดตัดใบไม้นะจะได้แห่กันมาทึ้งต้นไม้กิน หรือว่าตอนนี้มีแล้ว"หมวดเอกพูดตอบ มดตัดใบไม้เป็นมดชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอเมริกาใต้และจุดเด่นมันก็ตามชื่อ มันจะตัดใบไม้ด้วยคมเขี้ยวอันแข็งแรงของมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนที่จะขนชิ้นส่วนใบไม้เหล่านั้นกลับไปเป็นวัตถุดิบสำหรับเลี้ยงเห็ดชนิดพิเศษซึ่งมีคุณค่าทางสารอาหารสูงมากสำหรับมดในรังของมัน การปรากฎกายของมันคือลางร้ายของพืชทุกชนิดที่มีใบ มันมีสิ่งที่คุณคาดว่าจะมดจะมีทุกประการ ความสามัคคี ความจงรักภัคดีต่อนางพญา ความขยันขันแข็ง และ ความสามารถในการร่วมกันโค่นศัตรูขนาดใหญ่ลงได้ ข้อสุดท้ายหมายความว่า หากพวกมันอยู่ในป่านี้ เราไม่ปลอดภัย
"มดตัดใบไม้ไม่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย นี่อาจจะเป็นพฤติกรรมใหม่ของมันแบบเดียวกับกาฝากหมูก็เป็นได้"หมู่โบกี้โชว์ฟอร์มความรู้แบบเข้าท่าที่นานๆทีหมู่จะทำ
"กาฝากหมูถูกบังคับให้เปลี่ยนพฤติกรรมเพราะต้นไม้ไม่พอดูด ก็เลยไปเกาะสัตว์แทน มดเป็นสัตว์ที่กินอาหารได้หลากหลาย ไม่น่าจะโดนบังคับด้วยปัจจัยแบบนั้น จ่าเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรกันแน่ถึงได้มีมดเขมือบต้นไม้"จ่าปลาพูด ขณะนี้หมู่หมูมะนาวและฝ่ายสนับสนุนเดินทางมาถึงเนินหิน เนินหินก็ตามชื่อ เป็นเนินเขาเล็กๆที่มีหินแห้งๆสีขาวๆกองระเกะระกะเต็มไปหมด มีต้นไม้ต้นเล็กๆขึ้นหรอมแหร็มตามซอกหินและมีพุ่มไม้แห้งๆที่มีหนามประกอบอยู่หลายๆจุด เนินหินนี้ไม่ใหญ่นัก เพียงไม่กี่สิบก้าวก็ขามไปถึง ด้วยที่ว่าตอนนี้เป็นตอนกลางวัน หินเหล่านี้จึงเก็บสะสมความร้อนไว้เต็มที่ แม้ว่าจะใส่รองเท้าท๊อปบู๊ตทหารสำหรับเดินป่ายังสามารถสัมผัสได้ถึงไอระอุที่ก้อนหินปล่อยออกมา
เนื่องจากไม่มีต้นไม้ให้ไต่ เด็กหญิงลูกอ๊อดที่น่าสงสารเลยต้องลงมาเดินฝ่าเนินหินระอุแดดแห่งนี้
"อู๊วววว ซี๊ดดด เออ พี่ๆคนไหนสะดวกมั้ย ขอหนูขี่หลังหน่อยจิ"น้ำอ้อยขอร้องหมู่หมูมะนาว เท้าที่เหมือนกบของเธอไม่เหมาะแก่การเดิน และไม่สามารถรับมือกับความร้อนด้วย การเดินบนหินพวกนี้เลยเป็นเรื่องลำบากมาก
"เราไม่ไหวนะยัยน้ำอ๊อด เราแบกของให้พวกป่าไม้นี่อยู่"ไอ้ขาวกับไอ้ต้นรีบปฏิเสธกันให้ควัก มอดไม้สองสหายอยู่ในสภาพเหมือนลาแบกของมากกว่าคน แค่นี้ก็เหมือนกับเป็นทาสกลายๆ ให้แบกกบยักษ์เพิ่มอีกตัวไม่ไหวแน่ๆ
"เราเองก็ไม่ไหวนะ"บรรดาเจ้าหน้าที่ไร้ยศสี่หน่อเห็นพวกมอดไม้ถอนตัวก็รีบหนีกันใหญ่เหมือนกับตอนที่รีบหนีเจ้าหนี้ ไอ้ตือไม่มีอารมย์จะทำอะไรทั้งนั้น+โมโหหิว ไอ้กรอบก็แบกสารพัดอาวุธจากค่ายตัดไม้มาจนหลังอานเป็นหมา ไอ้กอล์ฟรีบแกล้งทำท่าเหมือนกับตัวเองเป็นโรคขาดสารอาหาร ส่วนไอ้ชาติ . . . แค่ทำตามคนอื่นเขาเฉยๆโดยไม่ได้ผ่านสมองเลย ผ่านเส้นประสาทส่วนกลางอย่างเดียว
"พวกไม่เอาอ่าวเอ้ย ไม่เห็นเหรอว่าน้องเค้าใส่รองเท้าไม่ได้ มา เดี๋ยวพี่สาวคนสวยช่วยเอง"จ่าปลาเห็นคนอื่นส่ายหน้ากันก็เห็นช่อง สวมบทแม่พระทันใด คนอื่นๆมองแล้วเหมือนได้ยินเสียง เฮลาลูย่าห์ ดังขึ้นมาในอากาศ
"ขอบคุณค่า"หนูน้อยรีบกระโดดพรวดเดียวขึ้นหลังจ่าทันที แล้วกระดิกหางดังพับๆๆๆ หมู่โบกี้สังเกตุเห็นโอกาสอันดีเลยมายืนตรงข้างหลังจ่าแล้วยิ้มร่า ทันใดนั้นคนอื่นๆก็ไปต่อคิวกันเป็นแถว
"ทำไร"หมวดเอกหันไปดูอาการผิดปกติของแก๊งค์หมูมะนาวคนอื่นๆที่ไปออกันอยู่ข้างหลังจ่าปลาแบบผิดสังเกตุ
"เปล่า พอดีว่าตรงนี้ มัน ลมเย็นดี"หมู่โบกี้รีบแก้ตัว
"พอเลย พวกแกทุกคนรู้ใช่มั้ยว่าตอนน้ำอ้อยกระดิกหางจะมีลมเหมือนกับพัด"หมวดเอกสังเกตุในจุดนั้นระหว่างที่จ่าปลากำลังงุนงงว่าทำไมใครๆไปต่อคิวกันตรงนั้น หางลูกอ๊อดมีลักษณะคล้ายใบพายสำหรับว่ายน้ำ การกระดิกหางของน้ำอ้อยเลยเหมือนกับการมีพัดลมตรงนั้นนั่นเอง
"หนูหยุดไม่ได้"น้ำอ้อยยิ้มแหยๆ ปกติแล้วหางจะเป็นตัวบอกอารมย์ของสัตว์ต่างๆ เช่นสุนัข การที่หลายๆส่วนของน้ำอ้อยยังเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอยู่(คน)ทำให้การแสดงอารมย์ส่งออกมาทางภาษากายอย่างยากที่จะเลี่ยง หางที่พึ่งได้มาใหม่เลยแสดงอารมย์ออกมาโดยอัตโนมัติ
"ไม่ต้องหยุดหรอก ไอ้กี้ คนอื่นๆ ถอยไป"หมวดเอกสั่งแล้วผู้ใต้บังคับบัญชาต่างรีบถอยไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
"หใวดจองที่ตรงนี้เอง"หมวดเอกก้าวเข้ามายืนรับลมหลังจ่าปลาอย่างผ่าเผย สีหน้าบ่งบอกถึงความสบายของร่างกายที่ได้รับสายลมเย็นฉ่ำชื่นใจมาปะทะกาย ทุกคนมองหมวดเอกอย่างเหวอๆ สีหน้าบ่งบอกถึงความเสียดายจุดรับลมสุดแจ่ม
"รออะไรหละ เดินทางต่อเซ่ แต่ช้าๆหน่อยก็ดีนะ ลมกำลังเย็น"หมวดเอกสั่งแล้วคนอื่นๆก็เดินตามไป จ่าปลาทำหน้าปลงแล้วเดินต่อ คนอื่นๆต่างก็มาต่อคิวหมวดเอกกันหวังว่าจะได้รับลมเย็นๆบ้าง
"เจริญหละ"จ่าปลากระซิบกับตัวเองขณะที่กำลังเหยียบย่ำผ่านเนินหินแห้งๆ
"แล้วเราก็ผ่าน เนินหินนี้ หนูก็ไปปีนต้นไม้ต่อได้แล้ว"จ่าปลากำลังจะพูดเพราะเริ่มหนัก ตรงหน้ามีป่าที่มีแต่ต้นไม้ตายเต็มไปหมด ต้นไม้แห้งๆสีน้ำตาลบ้าง เทาบ้าง บางต้นอาจจะมีสีขาวๆหรือดำๆแซมตามต้น แต่ละต้นมีใบสีน้ำตาลแห้งกรอบอยู่ไม่กี่กระจุก สภาพท่าทางจะตายมาได้ไม่นานเพราะยังมีใบหลงเหลืออยู่บ้าง หลายต้นก็ดูออกอย่างชัดเจนว่ามีเห็ดราเป็นก้อนเละๆเหนียวๆขึ้นตามต้น บางทีอาจจะไม่ใช่แค่มดอย่างเดียวที่ทำลายผืนป่าแห่งนี้จนราบคาบ
"อ๊ะๆๆ อย่าลืมสิว่ามันมีมด บางทีมันอาจจะซ่อนตัวตามต้นไม้พวกนี้ก็เป็นได้ หนูอย่าพึ่งรีบปีนเลย พวกน้าร้อน เอ้ย หมายถึง กลัวว่าน้องจะโดนมดรุมกัดหนะ"หมวดเอกรีบห้ามด้วยเหตุผลที่พึ่งหลุดไปเมื่อตะกี้นี้
"หมวดร้อน แต่จ่าหนัก"
"ก็ได้ แค่หยอกเล่นนิดหน่อย"หมวดเอกยอม
"อ๊บ ขอบคุณพี่สาวมาก"น้ำอ้อยกระโดดที่เดียวขึ้นไปบนต้นไม้อย่างชำนาญ แรงขาของกบออกแบบมาเพื่อกระโดดโดยเฉพาะทำให้จ่าปลาเซไปหาหมู่โบกี้ หมู่โบกี้เลยรับตัวไว้พอดีเป๊ะก่อนที่จ่าจะล้ม
"แหมๆๆ แม่นางงามจักรวาล นึกว่าเป็นแม่ชีทะเลซ่า หนูรักเด็กคร่า หนูรักสัตว์คร่า แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าหนูรักทั้งเด็กและสัตว์ในคนเดียวกัน เอ้าลุก"หมู่โบกี้แซวพร้อมกับฉุดจ่าให้ลุกขึ้น เหล่าสาวกรกโลกของเขาก็โห่ฮิ้วกันเป็นทอดๆเหมือนหมาได้ยินเสียงหอนแล้วจะหอนตามๆกัน เนยถึงกับถ่ายเอาไว้เป็นรายการตลกตกเก้าอี้หรือต่อให้ไม่ได้ออกอากาศก็เอามาเขียนเป็นมุขหายอดไลค์ในอินเตอร์เน็ตได้
"วู้ว มิสหมูมะนาวประจำวันนี้ได้แก่ จ่าปลา"ไอ้กรอบตบมุขพร้อมทำท่าเหมือนพิธีกร ฉากหลังก็มีหางเครื่องเต้นประกอบ(ไอ้ขาวกับไอ้ต้น)
"ตาบ้าเอ้ย วันๆเอาแต่เล่นแล้วมันจะรอดกันมั้ย"จ่าบ่นและพยายามซ่อนความอายของตนเองไม่ให้คนอื่นเห็นแต่การที่จะไม่หน้าแดงให้คนอื่นรู้นั้นจ่าทำไม่ได้
"ต่อไปตัดเข้าสู่รายการ เลิฟไดอารี่ ตอน มนต์รักขบวนด่วนลงทะเล หมู่โบกี้+จ่าปลา ภาค2 ขอสัมภาษณ์เจ้าสา..."เนยเปลี่ยนรายการทันควันแล้วแบกกล้องขึ้นบ่า สมบัติรุดหน้าไปจ่อไมค์ลอยหน้าจ่าทันที แต่ว่า
"หยุด บอกให้หยุด ไม่งั้นวิดพื้นร้อยที จ่ายศสูงกว่านะ"จ่าปลารีบตัดบทผสมขู่แล้วเดินออกไป ตอนนี้จ่ากำลังหาทางเบี่ยงประเด็นอยู่
"เออ หนูน้ำอ้อย ถัดจากป่าต้นไม้ตายนี้ไปแล้วต้องไปที่ไหนต่อจ๊ะ"จ่ายิ้มหวานสวมวิญญาณเจ้าหญิงในการ์ตูน แบบว่าถ้าร้องเพลงขึ้นมาสัตว์ในป่าจะแห่กันมาเต้นด้วยมั้ยเนี่ย
"อ้อ ถ้าผ่านป่าต้นไม้ตายไปได้ก็มีทางลัดไปที่บ้านครึ่งวงกลม เป็นที่ๆมีเห็ดสีม่วงๆเยอะมาก หนูเรียกมันว่าสวนเห็ด แต่บอกก่อนนะว่ากินไม่ได้ มีพิษ แค่อย่าแตะต้องเห็ดก็ไม่เป็นไรแล้ว"น้ำอ้อยพูดแล้วกระโดดขึ้นไปอีกกิ่งไม้นึง กิ่งไม้พวกนี้ดูเหมือนกับว่ามันแห้งตายเพราะโดนสูบน้ำออกไปแทบไม่เหลือ จ่าปลาเสียวว่ามันจะหักตอนที่น้ำอ้อยปีนอยู่หรือเปล่า
"เออ เราเป็นเจ้าหน้าที่ผ่านการฝึกมาเยอะ ไม่ซี้ซั้วกินเห็ดหรอก โดยเฉพาะที่รูปร่างแปลกๆสีสวยๆทำไมเราจะไม่รู้ว่ามีพิษ"หมู่โบกี้โม้
"แล้วจากนั้นก็ถึงบ้านรูปครึ่งวงกลม หนูลองสวดอ้อนวอนเจ้าป่าเจ้าเขาให้เค้าคืนร่างให้หนูมาหลายหนแล้ว แต่พวกท่านไม่ตอบเลย หนูว่าถ้าพี่ๆช่วยกันสวดให้เนี่ย เจ้าป่าอาจจะใจอ่อนเปลี่ยนหนูให้เป็นเหมือนเดิมก็ได้ พี่ๆต้องช่วยหนูนะ หนูอยากกลับบ้าน"น้ำอ้อยอ้อน เธอคิดว่าที่เธอกลายเป็นแบบนี้เพราะเจ้าป่าเจ้าเขาโกรธที่เธอกินกบปิ้ง แต่คณะหมูมะนาวที่เชื่อในวิทยาศาสตร์มากกว่ากลับมองหน้ากันไปมา
"เออ แล้ว . . พี่ว่าหนูไม่ต้องกังวลไปหรอก"ไอ้ชาติพูด
"พวกพี่จะช่วยหนูใช่มั้ย"น้ำอ้อยยิ้มแฉ่ง
"เปล่า คนที่หมู่บ้านของหนูก็ไม่ค่อยต่างจากที่น้องเป็นเท่าไหร่หรอก ยิ่งมายิ่งไม่เหมือนคน"มันพูดอะไรโง่ๆต่อหน้าเด็ก อีกแล้ว
"ชาติ!!!!! พูดอะไรก็เกรงใจน้องเค้าบ้าง น้องเค้าน่าสงสารออกที่เป็นแบบนี้ การที่เค้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะไม่ใช่คนซะหน่อย รู้ว่าไม่มีสมองแต่ถ้าพูดแล้วไม่คิด เงียบเสียตำลึงทอง"จ่าปลาหันไปตวาด ถึงแม้จะรู้ว่าเข้าหูซ้ายมันก็สะท้อนกลับออกมาทางหูซ้ายนั่นแหละ แต่การไม่เมยเฉยต่อคำพูดที่ทำร้ายจิตใจ(แบบโง่ๆ)ของชาติก็น่าจะช่วยบรรเทาความรู้สึกแปลกแยกของน้ำอ้อยได้บ้าง แม้ดูภายนอกเธอจะดูซุกซนและเริงร่า แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนๆนึงที่ต้องเผชิญกับโชคชะตาอันโหดร้ายแบบนี้ เค้าจะบอบช้ำทางจิตใจขนาดไหน การโดนไล่ออกจากบ้าน การที่จมปลักอยู่กับความคิดว่าเป็นเพราะเวรกรรม และ การเจอกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินกว่าที่เด็ก10ขวบคนนึงจะรับไหว
"แป๊ปนึงนะ ที่หมู่บ้านมักเกิดอะไรขึ้น บอกหนูหน่อยสิ"น้ำอ้อยทำท่ากระวนกระวาย ไต่ต้นไม้ลงมาอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดเข้าหาชาติ แรงพุ่งของน้ำอ้อยทำให้ชาติล้มลง
"สิ่งที่ทำให้น้องกลายเป็นลูกอ๊อดมันลามไปถึงหมู่บ้านหนูหนะสิ คนในหมู่บ้านกำลัง..."ไอ้ชาติกำลังจะพูดแต่ไอ้ตือรีบปิดปากไอ้ชาติทันที
"พอดีว่าเราผ่านไปแล้ว โรคหวัดกำลังระบาดหน่ะ หวัดธรรมด้า ธรรมดา common cold ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง แค่น้ำมูกไหลไอกันนิดเดียว เดี๋ยวกินยาไม่กี่วันก็หายเป็นปลิดทิ้ง แฮ่ๆๆๆ"ตือรีบพูดแทนก่อนที่ชาติจะปลดปล่อยความเป็นควายในตัวมันออกมาเป็นรอบที่2
"ฟุ้ว นึกว่าพวกเค้าโดนสาปเหมือนหนูซะอีก พวกเค้าเป็นคนดีเจ้าป่าเจ้าเขาคงไม่ทำอะไร แต่คะแนนความดีหนูคงไม่เข้าตาเจ้าป่าเท่าไหร่เลยโดนลงโทษ"น้ำอ้อยพูดเสี่ยงอ่อยแล้วมองตัวเอง ทำหน้าเศร้า
"แต่พวกพี่ๆช่วยหนูได้จริงม๊ะ"น้ำอ้อยเงยหน้าขึ้นมามองบรรดาเจ้าหน้าที่ตาเป็นประกาย คนอื่นๆรีบปิดปากไอ้ชาติก่อนที่มันจะสำรากอะไรออกมาอีก จ่าปลารีบนำหน้าคนอื่นๆแล้วหันมาบอกน้ำอ้อย
"จริงจ้า พี่ว่าเทพเจ้าเค้าคงไม่ใจร้ายปล่อยให้เด็กน่ารักอย่างหนูกลายเป็นกบไปจริงๆหรอก เดี๋ยวหนูไปขอโทษเจ้าป่าเจ้าเขา เค้าก็น่าจะให้อภัยเนอะ ว่ามั้ย"จ่ารีบสวมบทพี่สาวแสนดีปลอบน้ำอ้อย หันหลังมาส่งสายตาให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชา
ทุกคนพยักหน้าหงึกๆๆอย่างพร้อมเพรียง ไอ้ตือรีบจับแก้มไอ้ชาติแล้วขยับขึ้นลงเหมือนกับว่ามันกำลังพยักหน้า
"อาวหละ เดินทางต่อดีกว่าเนอะ ก่อนที่มดตัวน้อยตัวนิด มดมีฤทธิ์หน้าดูยู้ฮู จะมากัดเรา"จ่าปลารีบสั่งให้พวกเดินต่อ แม้จะดูเหมือนคำชวนแต่นี่เป็นคำสั่ง
"โอเค เดินต่อเซ่"หมวดเอกสั่งก่อนที่จะกลับไปเดินนำหน้าขบวนเพราะว่าไม่มีพัดลมหางลูกอ๊อดให้ผึ่งอีกแล้ว คณะหมูมะนาวค่อยๆเดินฝ่าดงไม้แห้งๆ แม้ว่าจะเป็นป่าต้นไม้ตาย แต่ต้นหญ้าและไม้พุ่มขนาดเล็กกลับไม่เป็นอะไรเลย ช่างน่าแปลกจริงๆ มดมันทำไมเลือกกินเฉพาะต้นไม้ใหญ่ ในป่าแห่งความตายนี้ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของมดเลย ช่างน่าประหลาด ยิ่งเดินถลำลึกเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแต่ต้นไม้แห้งตาย ความเขียวชอุ่มของธรรมชาติหายไปจากระยะสายตาของชาวหมูมะนาว แม้ว่าจะเดินทางมาหลายชั่วโมง ดินแดนแห่งนี้ก็ไม่ได้ดูดีขึ้นเลย ไม่มีความสวยงาม หรือความหวาดกลัว มีแต่ความว่างเปล่า สิ้นหวัง แห้งแล้งเฉกเช่นต้นไม้ที่สิ้นชีวิตเหล่านี้
.
.
.
.
.
ชั่วโมงต่อมา สถาณะ : ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
.
.
.
.
.
หลายชั่วโมงต่อมา สถาณะ : ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
.
.
.
.
.
อีกหลายๆชั่วโมงต่อมา สถาณะ : ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ชาวหมูมะนาวเริ่มหมดความอดทนแล้ว
.
.
.
.
.
"นี่เราต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนเนี่ย"ไอ้ตือบ่น เขากำลังอยู่ในภาวะโมโหหิวเรื้อรัง สุขภาพจิตย่ำแย่ลงเรื่อยๆเมื่อท้องโบ๋เบ๋
"ก็อีกไม่ไกลแล้ว เห็นมะ มีสีเขียวๆอยู่ตรงนั้น ไกล้จะสุดเขตป่าต้นไม้ตายแล้ว เราน่าจะถึงบ้านประหลาดนั่นคืนนี้"น้ำอ้อยตะโกนบอก
"ขอให้จริงเหอะ แดดก็ร้อน ทางก็ไกล ข้าวก็ไม่ได้กิน หงุดหงิด"ไอ้ตือบ่นไม่หยุด
"เอ๊ะ นั่นอะไรสีขาวๆตรงโคนต้นไม้"หมู่โบกี้กระซิบบอกพรรคพวก แถวๆนี้ต้นไม้ส่วนใหญ่ยังมีสีเขียวอยู่ แต่ตรงโคนต้นนั้นเหมือนมีกลุ่มก้อนของตัวอะไรสีขาวๆ ดูไกลๆเหมือนกับมีแกะซักฝูงเกาะติดหนึบอยู่บนต้นไม้ รูปร่างของมันไม่ใช่มดแน่ๆ
"มันคืออะไร" หมวดเอกถามน้ำอ้อย ส่งสายตางุนงงและคาดคั้นคำตอบจากเด็กสาว
"ไม่ยู้ อ๊บ แต่พวกมดมักจะขนมันไปยังที่ต่างๆเสมอ"น้ำอ้อยตอบ
"เดี๋ยวจ่าจะไปดูไกล้ๆ"จ่าปลาค่อยๆย่องเข้าไปไกล้ๆกับเจ้าสิ่งนั้นอย่างระมัดระวัง เจ้าก้อนสีขาวดูเหมือนจะขยับเล็กน้อยตลอดเวลา ไม่เพียงแต่เจ้าก้อนสีขาวเหล่านั้น มันยังมีตัวอะไรก็ไม่รู้สีเขียวอ่อนปนเหลืองที่ตัวเล็กกว่าเยอะ รูปร่างเหมือนหยดน้ำ เมื่อเข้าไปดูไกล้ๆแล้ว มันเป็นแมลงรูปร่างประหลาดจำนวนมากนั่นเอง
"โว้ว มันคือ ตัว อะไรนั่นหน่ะ"หมู่โบกี้มองแล้วทำหน้าประหลาดใจ ฝูงแมลงสีขาวที่ตอนแรกดูเหมือนแกะนั้นมีขนาดใหญ่ราวๆแมวบ้านทั่วไปตัวนึง ลำตัวแบนราบเหมือนแมลงสาบ มีขนปุกปุยที่เต็มไปด้วยผงแป้งสีขาวและเปื้อนน้ำเหนียวๆสีอำพันราวกับน้ำผึ้ง มันค่อนข้างอยู่นิ่งและเกาะติดแน่นกับต้นไม้ ร่างกายเป็นปล้องๆนับสิบปล้องดูน่ากลัว มีขาเยอะพอสมควร ไม่น่าจะใช่แมลงหรือว่าแมงแต่ที่แน่ๆต้องเป็นสัตว์ในตระกูลพวกที่มีข้อปล้อง หลายตัวมีสีขาวล้วน แต่บางตัวมีสีชมพูอ่อนแซมตามร่างกาย รูปร่างโดยรวมเหมือนเหรียญอีแปะ(แบบเดียวกับที่แมวกวักชอบถือ)สีขาวแบนๆ ส่วนอีกตัวเป็นแมลงสีเขียวอมเหลืองสีอ่อน ดูๆไปก็กลืนไปกับใบไม้ รูปร่างคล้ายๆหยดน้ำ มีขา6ขาและผิวเรียบ จะว่าไปมันดูเหมือนเม็ดแปะก๊วยที่มีขา ขนาดของเจ้าตัวนี้เล็กกว่าตัวสีขาวมาก มันมีขนาดพอๆกับเมาส์คอมพิวเตอร์ รอบกายของแมลงทั้งสองชนิดมีร่องรอยของเชื้อรำสีดำเต็มไปหมด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าพวกนี้น่าจะเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายป่าแห่งนี้อย่างรุนแรง
"มันคือ เพลี้ย"จ่าปลาตอบ
"เพลี้ยหน้าตาแบบนี้เหรอ ตัวไหนหละเพลี้ย"ไอ้กอล์ฟมองดูเจ้าแมลงศัตรูพืชทั้งสองด้วยความงุนงง เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพลี้ยหน้าตาเป็นยังไง
"มันทั้งคู่คือเพลี้ย ตัวสีขาวคือเพลี้ยแป้ง ตัวสีเขียวอ่อนคือเพลี้ยอ่อน เท่าที่ดู มันกำลังดูดกินน้ำเลี้ยงของต้นไม้อยู่ เพลี้ยปกติตัวเล็กจนแทบมองไม่เห็น แต่ตอนนี้ ตัวมันไม่เล็กอีกต่อไปแล้ว ถ้าเราจะช่วยป่านี้เราต้องฆ่ามันซะ"จ่าปลามองที่ฝูงเพลี้ยทั้งสองชนิดอย่างเอาจริงเอาจัง มองเข้าไปในนัยตาของสาวแกร่งเห็นถึงความชิงชังของเธอ
"จ่ารู้ได้ไง ผมเคยเห็นเพลี้ยมันต้องกระโดดไปมานะ"ไอ้ชาติตอบ
"ไม่ เพลี้ยมีหลายชนิดมาก ที่ชาติว่าคือเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และที่จ่ารู้เพราะจ่าเคยทำสวน เพลี้ยจะโจมตีตาไม้และยอดอ่อนของต้นไม้เป็นหลัก จะดูดน้ำเลี้ยงจนต้นไม้ตาย สวนของพ่อแม่จ่าโดนถล่มด้วยเจ้าแมลงชั่วพวกนี้มาไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ยิ่งตัวขนาดนี้เนี่ย เราต้องกำจัดมันซะ"จ่าปลาเกลียดเพลี้ยมาก และสัตว์ร้ายพวกนี้กำลังผลาญผืนป่านี้อย่างรวดเร็ว เราต้องหาทางทำอะไรซักอย่างเพื่อที่จะหยุดแมลงร้ายพวกนี้ มันเก่งถึงขนาดไม่ต้องโจมตีส่วนอ่อนของต้นไม้แล้ว เจาะส่วนลำต้นแข็งๆของต้นไม้อย่างไม่สะทกสะท้าน
"งั้นทำไงอ่ะ มีเยอะขนาดนี้"
"ทุบมันเท่าที่ทำได้ เพลี้ยไม่ใช่แมลงที่ต่อสู้ป้องกันตัวเองได้ หวดมันทีละตัวไม่ใช่ปัญหา"จ่าปลาหักกิ่งไม้แห้งอย่างง่ายดายแล้วพุ่งแท่งไม้นั้นเหมือนกับหอก ปักกลางตัวเพลี้ยแป้งอย่างจังจนมันร่วงลงมา เห็นเจ้าแมลงร้ายส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงที่เบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน มันดิ้นพราดๆไม่กี่วินาทีก่อนที่จะแน่นิ่งไป น้ำสีอำพันไหลออกมาทางบั้นท้ายของมัน
"หนูมีอะไรจะบอก ไอ้ตัวพวกนี้มีน้ำหวานนะ"น้ำอ้อยแนะนำคณะหมูมะนาวก่อนที่จะใช้ลิ้นกบของเธอตวัดเอาร่างของเพลี้ยอ่อนตัวนึงมาอยู่ในกำมือ เธอใช้นิ้วแตะมัน2ทีแล้วมันก็ปล่อยน้ำหวานสีน้ำตาลเหลืองออกมา มันดิ้นพยายามหนีจากกำมือของแม่กบน้อยระหว่างที่น้ำอ้อยเลียกินน้ำหวานที่เจ้าเพลี้ยปล่อยออกมาไม่ขาดสาย
"หวานสนิท ไม่ลองเนี่ยพลาดจริงๆ"น้ำอ้อยพูดแล้วโยนเพลี้ยอ่อนตัวนั้นทิ้งไปเพราะน้ำหวานหมด จับเพลี้ยตัวใหม่ด้วยลิ้นแล้วรีดน้ำหวานอีกครั้ง จ่าปลาเห็นเพลี้ยตัวที่โดนโยนทิ้งเลยเข้าไปจบชีวิตมันด้วยรองเท้าคอมแบ็ตแบบเละคาพื้น มันกระดุกกระดิกไม่นานนักแล้วสิ้นใจ
"เออ น่าสน"ไอ้ตือทำท่าหิวกระหายแล้วกำลังจะไปคว้าเพลี้ยมากินน้ำหวาน
"โว้วๆๆๆๆๆ หยุด เมื่อเช้าหมู่บอกว่าอะไร จำ จำได้ใช่มั้ย "หมู่โบกี้เตือนความทรงจำไอ้ตือว่าพวกเขาไม่ควรกินอะไรที่ีเป็นผลผลิตของป่าประหลาดแห่งนี้ มัน ไม่ ปลอดภัย
"เฮ้อออ ก็ได้"ตือทำหน้าเศร้าแล้วเดินกลับไปรวมกับคนอื่นๆ หน้าเซ็ง ไหล่ตก ตาลอย ตามสูตร
"งั้นก็ มาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพลี้ยกัน สวมวิญญาณผู้นำหนวดจิ๋ม!!!"จ่าปลาว่าแล้วเอาปืนลูกซองเดี่ยวมาใช้แทนท่อนไม้ เท้ากระหน่าหวด ฟาด ทำลายเหล่าศัตรูพืชอย่างไร้ปราณี เพลี้ยตัวแล้วตัวเล่าปลิวว่อนกันไปในอากาศราวกับฝูงนกอพยพ ทุกครั้งที่หวดเพลี้ยแป้ง ผงขาวๆ(แป้ง)บนตัวจะฟุ้งกระจายกลายเป็นฝุ่นละอองในอากาศ บรรยากาศเริ่มเหมือนเทศกาลสาดผงสี
"ไฮ้ จ่าปลา"หมู่โบกี้ชูมือล้อเลียนแล้วพาสมัรคพรรคพวกพากันอัดทำลายเพลี้ยกันอย่างไม่รามือ แมลงศัตรูพืชผู้น่าสงสารเหล่านี้กระเด็นกระดอนไปมาเหมือนกับลูกฟุตบอล แนวป่าต้นไม้ตายกลายเป็นลานตีพิญญาต้า(pinata เกมปิดตาตีหม้อของกลุ่มประเทศที่ได้รับวัฒนธรรมสเปน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม็กซิโก เมื่อตีตุ๊กตาพิญญาต้าแตกจะมีขนมหวานกระจายออกมา)ขนาดใหญ่ เนยกับสมบัติตั้งกล้องถ่ายภาพเทศกาลแสนอำมหิตนี้อย่างสนใจ ในหัวกำลังคิดว่าจะตั้งหัวข่าวว่าอะไรดี ไอ้ต้นกับไอ้ขาวไม่รอช้าเข้าไปกินน้ำหวานของเพลี้ยด้วยความกระหาย ทั้งสองไม่สนใจคำเตือนของหมู่โบกี้และรู้ว่าหมู่โบกี้ไม่สนใจสุขภาพของพวกเขาด้วย โอกาสงามๆกับน้ำหวานฉ่ำๆมาถึงแล้ว น้ำอ้อยก็ไปร่วมวงเก็บซากเพลี้ยมาดูดน้ำหวานสีน้ำผึ้งดูงามตามากินอย่างสบายใจเฉิบ
พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่า เพลี้ยอาจจะไร้ทางสู้ แต่เจ้าของพวกมันนั้นต้องไม่พอใจแน่
"ชื่นใจ ชื่นใจที่ซู้ด"น้ำอ้อยที่ตอนนี้ตัวเปรอะเปื้อนน้ำหวานสุดเหนียวจนแทบจะดูเหมือนลูกอ๊อดราดน้ำเชื่อม กำลังเอนกายมองดูเงาลางๆของชาวหมูมะนาวที่อยู่ในกลุ่มควันอันเกิดจากผงแป้งบนตัวเพลี้ยแป้งที่ฟุ้งขึ้นมาในอากาศ ข้างๆไอ้ต้นกำลังรีดน้ำหวานจากเพลี้ยแป้งตัวสีขาวอมชมพูอย่างไม่ลดละ งานกรรมกรต้องการพลังงานมากและจะมีอะไรดีไปกว่าน้ำตาลพวกนี้หละ
ทันใดนั้นหลายๆคนก็ได้ยินเสียงแซ็กๆๆๆค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าที่มาของเสียงนั้นกำลังไกล้เข้ามาและไกล้เข้ามาเรื่อยๆ
"หืม เสียงอะไร"จ่าปลาที่ตอนนี้ปกคลุมไปด้วยน้ำหวานและผงแป้งพยายามมองไปรอบๆ แต่ด้วยปริมาณฝุ่นผงแป้งที่ลอยเป็นมลภาวะทางอากาศนี้ ละอองลอย(Aerosol)อันเกิดจาก ผงแป้งสีขาวบดบังทัศนวิสัยของคณะหมูมะนาวอย่างร้ายแรง เหมือนหมอกลงจัดเลย
"เสียงเหมือนแมลง แต่ไม่ใช่เพลี้ย"หมวดเอกก้าวออกมาจากมวลหมอกแป้ง ร่างกายปกคลุมด้วยฝุ่นแป้งแต่ไม่มีร่องรอยน้ำหวานติดตัว แสดงว่าหมวดเอกไม่ได้ลงไปคลุกอยู่กับฝูงเพลี้ยแบบที่จ่าปลาทำ
"หมอกพวกนี้มันทำให้เรามองไม่เห็น ขอไฟหน่อย"หมู่โบกี้ตะโกน
"ไม่ต้อง จุดไฟเดี๋ยวก็กลายเป็นระเปิดฝุ่นหรอก"หมวดเอกรีบห้ามแล้วงัดเปลือกไม้ออกมาจากต้น จนเป็นแผ่นใหญ่ เอามาพัดปัดเป่ากลุ่มควันจากการตีเพลี้ยแป้งไปได้บางส่วน เมื่อควันสีขาวหนาทึบเริ่มจางลงเผยให้เห็นกองซากเพลี้ยกระจัดกระจายเต็มพื้น น้ำหวานสีอำพันเจิ่งนองเต็มพื้นที่พวกมันตาย น้ำอ้อยยังไม่หยุดสวาปามน้ำหวานเช่นเดียวกับพวกมอดไม้ที่กำลังซดของอร่อยอย่างไม่ราปาก แต่ว่ามีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางหมอกควัน มันเคลื่อนที่ได้ค่อนข้างเร็วซะด้วย
"เฮ้ย!!! พวกแกรีบออกมาจากหมอกเร็วเข้า"หมวดเอกเห็นท่าไม่ดีเลยตะโกนเรียกให้สมัรคพรรคพวกที่กำลังตีเพลี้ยรีบออกมาจากม่านหมอกพรางตา
"จ๊ากกกก มีตัวอะไรกัดช้านนนน"เสียงหนึ่งดังลั่นออกมาจากสายหมอกก่อนที่ไอ้กอล์ฟจะกระโดดเหยงออกมาจากม่านควันสีขาว มีมดดำตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่ขา มดตัวที่ว่ามีลักษณะเหมือนกับมดดำธรรมดาทุกประการ เพียงแต่ว่าตาของมันแปลกไปเหมือนกับตั๊กแตนตำข้าวที่เราเจอหลังจากที่ออกจากบ่อน มันมีขนาดพอๆกับหมาบ้านและท่าทางจะดุซะด้วย
"งานงอกแล้ว มดพวกนั้น มันเป็นเจ้าของอย่างเป็นทางการของพวกเพลี้ย เราทำร้ายปศุสัตว์ของพวกมัน มันจะมาเรียกร้องค่าเสียหายจากเรา ด้วยชีวิตเรา"หมู่โบกี้ประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว น้ำหวาน ต้นไม้แห้งตาย มด เพลี้ย ถ้าสังเกตุ เพลี้ยต่างชนิดกันแต่มีความเหมือนคือมันปล่อยน้ำหวาน ถ้าพูดถึงของหวาน ต้องมด แล้วน้ำอ้อยบอกว่ามดกำลังทำลายป่านี้ ไม่ใช่มดตัดใบไม้อย่างที่คิด แต่เป็นมดดำเลี้ยงเพลี้ย เพลี้ยเหล่านี้ไม่สามารถเอาตัวรอดจากศัตรูตามธรรมชาติได้เลยหากไม่มีผู้พิทักษ์ปศุสัตว์อย่างมดดำผู้ขยันขันแข็ง อดทน มีระเบียบ และ ชื่นชอบของหวานสุดใจขาดดิ้น การที่เราทำลายเหล่าเพลี้ย ก็เหมือนกับการที่เราไปฆ่าวัวควายของเหล่าชาวนาไม่มีผิดเพี้ยน มันกำลังโกรธเรามาก ที่ทำให้พวกมันอดกินน้ำหวานสุดโปรด
"เกียร์หมาว้อย หนีเร็ว มดแต่ละรังมีจำนวนหลักแสนถึงหลักล้าน เราไม่มีทางลุยกับทั้งอาณาจักรของพวกมันไหว"หมวดเอกตะโกน แล้วทุกคนก็กระโจนออกมาจากสายหมอกสีขาว ฝุ่นแป้งเริ่มถูกสายลมวูบใหญ่พัดพาหายไป เนื่องจากป่าต้นไม้ตายค่อนข้างโล่ง เผยให้เห็นอาณาจักรของมดดำทั้งอาณาจักรที่ออกมากันเพื่อที่จะปกป้องสัตว์เลี้ยงแสนหวาน หนวดที่สั่นไปมาอย่างพร้อมเพรียงและคมเขี้ยวที่งับเข้าหากันอย่างเป็นจังหวะ พวกมันทุกตัวพร้อมเข้าสู่สงคราม สงครามกับผู้รุกรานที่ทำลายแหล่งอาหารอันมีค่าของพวกมัน ราชีนีสั่งการให้เหล่ามดทหารและมดงานทุกชีวิตในรังเข้าต่อสู้กับมันผู้ใดก็ตามที่บังอาจต่อกรกับอาณาจักรของนาง
เหล่าคณะหมูมะนาวและผู้ติดตามรีบโกยอ้าวสุดชีวิต กองทัพมดดำที่กำลังโกรธจัดจนหนวดสั่นเดินทัพเข้ามาอย่างไม่สนใจว่าตนเองจะได้รับอันตรายหรือไม่ ภารกิจคือปกป้องปศุสัตว์และกำจัดผู้บุกรุก และพวกมันยอมสละชีวิตเพื่อภารกิจที่นางพญามอบหมายมาให้ คลื่นสีดำอันเกิดจากกองทัพมดจำนวนมหาศาลดูเหมือนสึนามิแห่งฝันร้าย มันโอบล้อม มันกลืนกิน มันซัดเข้าหา มันทำลาย
"มันเร็วกว่าเรา เราหนีไม่ทันแน่ๆ"หมู่โบกี้วิ่งหนีสุดชีวิตโดยมีมดทหารตัวโตวิ่งตามมาอย่างดุร้าย เขาส่งสัญญาณให้ทุกๆคนเตรียมอาวุธสงครามที่ได้มาจากค่ายคนตัดไม้ ถึงเวลารบแล้ว คนกับมด อาณาจักรต่ออาณาจักร คมเขี้ยวต่อปืนกล จำนวนต่อคุณภาพ
"อาก้า อ่ะ ใช้เลย"หมวดเอกว่าก่อนที่จะเริ่มสาดกระสุนสังหารจากปืนเล็กยาว เพียงไม่กี่ทีมดที่โดนวิทยาการแห่งการฆ่าฟันอย่างปืนไรเฟิลก็กระเด็นกระดอนปลิวไปตัวละทิศ แต่ใช่ว่ามันจะหยุด มดพวกนี้มีสิ่งเดียวที่พวกมันหวาดกลัวคือราชีนี นอกนั้นไม่มีสิทธิ์
ปั้งๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!! เปรี้ยง!!! เปรียง!!! ปรอดๆๆๆๆ!!! ตู้มๆๆ!!!
เสียงดนตรีแห่งสงครามและการสังหารดังก้องไปทั่วผืนป่าตายซาก ร่างแล้วร่างเล่าร่วงหล่นบนพื้นแห้งผาก ชิ้นส่วนเช่นขาและหนวดของมดกระเด็นไปมาจากแรงปะทะของกระสุนปืน มดไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัวพยายามฝ่าม่านกระสุนสังหารไปอย่างกล้าหาญและองอาจดุจนักรบกลับต้องจบชีวิตลงอย่างเอน็จอนาถ ยิ่งสร้างความโกรธแค้นในจิตใจของราชีนีและนางส่งฟีโรโมนแห่งความโกรธาสื่อสารไปให้เหล่ามดทหาร เมื่อมันรับรู้ถึงความเจ็บช้ำของผู้เป็นมารดา มันจึงเข้าต่อสู้อย่างดุร้ายมากขึ้น
"กิ๊ดๆๆๆๆ"มดทั้งฝูงส่งเสียงร้องอย่างน่ากลัว ห่ากระสุนพุ่งตรงจากปากกระบอกเข้าอัดมันตัวแล้วตัวเล่าจนร่างกายฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ซากของมดเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะกลบซากเพลี้ยมิด แต่จำนวนของมดไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อยหากดูด้วยตา คลื่นลูกหลังย่อมแรงกว่าคลื่นลูกแรกอย่างมีนัยสำคัญ มันเร็มเร็วขึ้น เก่งขึ้น และดุขึ้น
"ทำไงดี มดมากันใหญ่แล้ว"จ่าปลากำลังซัดกระสุนลูกซองที่เป่ามดหลายตัวให้ถอยไปได้แต่ไม่ทันไร พวกมันก็กลับมาอย่างดุร้าย
"ไฟ เราต้องใช้ไฟ ยิงจรวดเลย"หมวดเอกสั่งการ ไอ้กรอบรีบใส่กระสุนจรวดRPG พาดขึ้นบ่า แล้วเหนี่ยวไก หัวปลีโลหะที่ภายในบรรจุสารระเบิดพุ่งทะยานออกไปพร้อมกับควันสีเทาเข้ม เปลวไฟที่ออกมาจากปากกระบอกเครื่องยิงติดตามท้ายของกระสุนระเบิดที่กำลังแหวกอากาศผ่านกลุ่มมดเข้าไปแล้ว
บรึ้ม!!!!!!!!ร่างของเหล่ามดผู้กล้าหาญไหม้เกรียมและกระจายไปมาเหมือนกับลูกโป่งน้ำแตกแล้วมีน้ำทะลักออกมา ลูกไฟสีส้มลุกโชติช่วงพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า มดจำนวนมากตกลงมาเฉกเช่นสายฝนในวีดีโอเพลงอกหัก สะเก็ดไฟปลิวไปโดนต้นไม้แห้งกรอบหลายต้นแล้วลุกไหม้อย่างรวดเร็วเพราะเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี เปลวไฟโชติช่วงเผาผลาญฝูงมดจนไหม้เกรียมดุจดั่งไม้ขีดไฟที่ไหม้จนหมดแต่ไม่กี่อึดใจ มดชุดใหม่ที่พุ่งเข้ามาก็แทนที่มดพวกที่โดนเผาไปได้อย่างทันท่วงที แต่พวกมันเดินอ้อมเปลงไฟ แสดงว่าพวกมันกลัวไฟเช่นเดียวกับสัตว์อื่นๆ
"มันกลัวไฟ เอาน้ำมันเลื่อยยนต์มา เราจะเผามดกัน"หมวดเอกสั่ง ไอ้ขาวค้นของในกระเป๋าอย่างเร่งรีบแล้วโยนน้ำมันเลื่อยยนต์ให้หัวหน้าหมู่อย่างว่องไว หมวดเอกเปิดฝาน้ำมันเบ็นซิน91ทันทีแล้วโยนใส่กองไฟที่เกิดจากต้นไม้แห้งตายโดนไฟเผาแล้วล้มลงมา เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาจากปากขวดแกลลอนอย่างไม่สามารถควบคุมได้แล้วระเบิดอย่างรุนแรง น้ำมันเบ็นซินเป็นประเภทของน้ำมันที่มีความไวไฟสูงและเผาผลาญอย่างไร้ปราณี สายฝนแห่งเปลวเพลิงตกลงมาทำให้ฝูงมดดำแตกขบวน เสียงโหยหวนของเหล่ามดทำให้หลายๆคนนอนฝันร้ายได้เลย ไฟป่าลุกลามอย่างไม่สามารถหยุดยั้งได้ กิ่งไม้แห้งและต้นไม้ตายต่างทำหน้าที่เป็นเชื้อไฟเพราะความชื้นเหลือน้อย เพลี้ยแป้งและขนปุกปุยกับน้ำหวานของมันต่างก็เป็นเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยม กลิ่นหอมหวานแบบเดียวกับคาราเมลล่องลอยในอากาศเพราะน้ำหวานสีอำพันที่ลุกไหม้แล้วระเหยขึ้นไปเป็นละอองน้ำตาล ทุกแห่งหนมีแต่ความวุ่นวาย ฝูงมดดำยังไม่หยุดไล่ล่าหมู่หมูมะนาว พวกมันลัดเลาะมาตามพื้นที่ยังไม่มีไฟแล้วใช้หนวดตามหาเป้าหมาย ตัวของหลายๆคนมีน้ำหวานและแป้งติดอยู่เลยหาตัวได้ค่อนข้างยาก
"หนีเร็ว ไฟมันลามเร็วมาก อ๊าก!!!"จ่าปลาตะโกนเรียกให้คนอื่นๆถอยออกมาจากค่ายกลศึกไฟแห่งนี้แต่ว่ากิ่งไม้ติดไฟกิ่งหนึ่งหักมาโดนไหล่จ่าปลา เปลวเพลิงร้อนแรงทะลุเครื่องแบบและทำให้ผิวจ่าเป็นแผลไฟไหม้
"จ่าปลา เป็นไรมั้ย"หมู่โบกี้รีบมาพยูงจ่าปลาแล้วรีบหนีจากเปลวไฟที่มีสายลมกรรโชกคอยเติมออกซิเจนอย่างสม่ำเสมอ มีเชื้อเพลิงและความร้อน มันจะไม่ดับง่ายๆแน่ จ่าปลาหยิบกิ่งไม้ติดไฟนั้นแล้วเขวี้ยงใส่มดดำตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาหมายจะกัดเธอขณะที่เธออ่อนแอ
"หนี เราอยู่ไม่ได้แล้ว"ไอ้กอล์ฟรีบยิงสกัดฝูงมดที่อ้อมไฟป่ามาหมายจะเข้าโจมตี ทุกๆคนเริ่มขยับตัวยากลำบากขึ้นเพราะละอองน้ำตาลเหนียวหนึบเกาะบนตัวพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนไฟเองก็ทำให้น้ำตาลเริ่มละลาย ทุกแห่งหนกำลังถูกกลืนกินด้วยสีดำและสีแดง เพลี้ยแป้งที่เคลื่อนไหวช้าต่างโดนเผาแต่ไม่ใช่เพลี้ยอ่อนที่เคลื่อนที่ได้ด้วยการกระโดด พวกมันกระโดดไปมาสร้างความวุ่นวาย สะเปะสะปะพุ่งชนทุกสิ่งที่ขวางหน้า แม้ว่าจะตัวพอๆกับกำปั้นแต่จำนวนของมันทำให้การมองผ่านพายุเพลี้ยเป็นเรื่องลำบากมาก นอกจากนี้ยังทำให้การเคลื่อนไหวลำบากอีกด้วย
"ก๊าซๆๆๆๆๆ"มดเริ่มส่งเสียงร้อง หนวดของมันสั่นไหวอย่างน่ากลัว มันเริ่มแยกกันเป็นสองกอง หมายจะโอบล้อมหมู่หมูมะนาวด้วยกำลังพลที่เยอะกว่า
"วิ่ง ยิงฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้"หมวดเอกยกปืนขึ้นปลดปล่อยลูกตะกั่วออกมากำจัดมดอีกจำนวนหนึ่งแต่พวกมันไม่ลดจำนวนลงเลย การเล็งยิงเหล่ามดก็เป็นไปได้ยากมากเพราะฝูงเพลี้ยที่กระโดดสะเปะสะปะไปในทุกทางมันชนกระบอกปืนและตัวหมวด
มดเริ่มโอบเข้ามา และจะบรรจบตรงข้างหน้าของหมู่หมูมะนาว เพลี้ยอ่อนและควันไฟทำให้การหาทิศทางลำบาก ละอองน้ำตาลเหนียวหนึบเองก็ทำให้การวิ่งไปข้างหน้ายากขึ้น ทุกอย่างดูเหมือนจะพยายามทำให้สถาณการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ เพลิงสังหารต่างก็เข้ามาหาไกล้เรื่อยๆ ทุกอย่างติดไฟ ทุกอย่างที่อยู่ไกล้ไฟจะต้องมอดไหม้
"ผมจัดการเอง"ไอ้ตือเอาเลื่อยยนต์เข้าตัดต้นไม้ที่กำลังไฟลุกต้นหนึ่งจนมันโค่นลงอย่างรวดเร็วเพราะมันแห้งและเปราะ มันล้มทับฝูงมดจนฝูงมดกระจัดกระจาย มดหลายส่วนที่ข้ามฝั่งมาได้ก่อนต้นไม้ล้มกำลังเข้ามาโจมตี
เปรี้ยง!!!
หมู่โบกี้เห็นอย่างนั้นเลยยิงปืนอาก้าใส่ต้นไม้แห้งๆที่ไฟลุกโชติช่วง มันบิดงอและล้มลงทับมดจำนวนมาก ตอนนี้หมู่หมูมะนาวกำลังวิ่งสู่มางรอดข้างหน้าที่มีมดไม่กี่สิบตัวที่รอดจากต้นไม้ไฟท่วมมาได้พุ่งเข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อน
"ฆ่ามัน ฝ่าพวกมันออกไปให้ได้ ไฟข้างหลังมันกำลังลามมาแล้ว"หมู่หมูมะนาววิ่งฝ่าซากไม้แห้งตายและเข้ายิงปะทะกับฝูงมดอย่างบ้าระห่ำ ฉากสงครามที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงและซากศพเกิดขึ้นที่นี่ มดหลายตัวโดนยิงกระจุยแต่หลายตัวฝ่าดงกระสุนเข้ามากัดในระยะประชิดได้ ร่างกายของผู้พิทักษ์แห่งป่าไม้ต่างบวมแดงด้วยพิษของมดแต่นั่นไม่ทำให้พวกเขาหยุดสู้ พานท้ายปืนและท่อนไม้ติดไฟเป็นอาวุธระยะประชิดที่เหทาะแก่การสู้รบกับสัตว์ร้าย
"เอานี่ไปซะ"จ่าปลาคว้ากิ่งไม้แห้งๆที่กำลังลุกไหม้หวดมดตัวหนึ่งกระเด็นเข้ากองไฟส่วนหมู่โบกี้เอาปืนจ่อยิงมดในระยะประชิด ไอ้ตือและแก๊งค์มอดไม้เข้ามาร่วมวงสู้ด้วยการเอาเลื่อยยนต์เข้าฟาดฟันกับมดแบบแลกหมัด ไอ้ตือโดนมดกัดขาแต่ก็หันหลังไปเลื่อยมดตัวขาดครึ่งทันที มีมดตัวหนึ่งกำลังเข้าไปกัดด้านหลังของหมู่โบกี้ แต่น้ำอ้อยใช้ลิ้นกบรัดตัวมันแล้วเหวี่ยงเข้ากองไฟอย่างชำนาญ
"เรากำลังจะสลัดมันหลุดแล้ว"หมวดเอกเข้าไปเตะมดงานตัวใหญ่เต็มแรงจนมันหงายท้อง เพลิงไหม้โหมเข้ามาทางหมู่หมูมะนาวทุกที ไอ้ตือผ่าม่านควันไฟและฝูงมดออกมาด้วยเลื่อยไฟฟ้าที่เต็มไปด้วยซากมดและคนอื่นๆก็ตรงปรี่ออกมาจากแดนแห่งเปลวไฟ น้ำอ้อยใช้ความสามารถในการกระโดดของเธอโดดวูบเดียวออกมาก่อนที่ไอ้ตือจะฝ่าฝูงมดออกมาได้ซะอีก ถึงจะออกมาจากวงล้อมของมดและไฟได้แล้ว เปลวไฟยังลามมาทางหมู่หมูมะนาวแบบติดๆเพราะลมพัดมาทางนี้
"รีบเลี้ยว ไฟมันโหมมาทางเรา"หมวดเอกรีบสั่งให้คณะหมูมะนาววิ่งเลี้ยวฝ่าดงต้นไม้แห้งที่ยังไม่ติดไฟ เมื่อหันไปมองก็เห็นทะเลเพลิงที่แผ่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มันกลืนกินทุกอย่างที่ขวางเส้นทางแห่งการเผาผลาญของมัน เหมือนกับนกแห่งฝันร้ายที่มีกายลุกเป็นไฟกำลังสยายปีกอันร้อนแรงปกคลุมผืนป่าที่แห้งตาย เสียงต้นไม้ปริแตกและโค่นลงด้วยอำนาจแห่งการทำลายของไฟเปรียบเสมือนกับเสียงกรีดร้องขอชีวิตของเหยื่อที่โดนเผาทั้งเป็นช่างบั่นทอนจิตใจของชาวหมูมะนาว ฝูงเพลี้ยอ่อนหนีตายเริ่มเบาบางลงแต่ควันไฟกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น กลิ่นหวานของน้ำตาลและเหม็นไหม้ของซากมดลอยมาตามสายลม กลิ่น2กลิ่นที่ตรงกันข้ามกันกลับมาอยู่ในที่เดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์และพรั่นสะพรึง
"วิ่ง เร็วๆๆๆถ้าเราอ้อมไม่ให้ไฟมันตามมาทันเราน่าจะหลบพ้น"หมวดเอกตะโกนจนคอแหบแห้ง ควันไฟและเปลวเพลิงยิ่งทำให้เขาคอแห้งเข้าไปใหญ่ ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้นเมื่อไฟป่าไม่ได้พุ่งมาทางเราแต่แล้ว...
เมื่อหันกลับไป ทิวทัศน์แห่งความสิ้นหวัง เขม่าควันและขี้เถ้า ซากป่าไหม้เกรียม ฝูงเพลี้ยแตกตื่น ซากศพเกลื่อนกลาด เปลวเพลิงเป็นหย่อมๆ เสียงกรีดร้อง เสียงเหนื่อยหอบ เรียงต้นไม้ปริแตก ส่วนผสมอย่างลงตัวของความโหดร้ายจากอัคคีภัย ความร้อนที่ไม่อบอุ่นแต่เป็นการทำลาย นี่คือสิ่งที่นักดับเพลิงทุกคนไม่อยากจะเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง ฝันร้ายที่เป็นจริง ทุกสิ่งจะมอดไหม้และล้มตายเมื่ออยู่ต่อหน้าฟ่าป่าอันโหดร้าย กลิ่นของความกลัวและความเจ็บปวด ร่องรอยจากการสูญเสีย ความหายนะ แผ่นดินตายแล้ว ธรรมชาติตายแล้ว แต่ผู้คนยังอยู่
"ภาพนี้ต้องได้รางวัลภาพหายนะดีเด่นแห่งปีแน่ๆ"เนยกำลังถ่ายภาพ
"นี่หายไปไหนมา เราสู้แทบตายกว่าจะหลุดออกมาได้ ทำไมพวกเธอ..."ไอ้ตือมองด้วยความงุนงง ไม่มีร่องรอยของแผลไฟไหม้ ไม่มีแม้แต่รอยมดกัด ผงแป้งหรือน้ำหวานตามตัวก็ไม่มี
"ก็เราถ่ายภาพห่างๆ พอพวกพี่ๆเจอมดหนูกับสมบัติก็เลยถอยมาถ่ายหนังบู๊ตรงนี้ แถมยังได้ภาพภัยพิบัติชุดใหญ่ไปส่งประกวด"เนยตอบสีหน้าเรียบเฉย
"ให้ตายเถอะ"ไอ้ชาติบ่น ทำหน้ากลุ้มใจแล้วยืนพิงต้นไม้แห้งตายต้นหนึ่ง มองสภาพของคนอื่นๆที่ไปลุยฝูงมดด้วยกัน หลายคนมีแผลไฟไหม้แบบไม่ร้ายแรงมากนัก ส่วนใหญ่โดนมดดำยักษ์กัดจนแขนขาบวมแดงฉึ่ง พิษของมดพวกนี้ไม่น่าจะร้ายแรง ทุกคนยังอยู่ในสภาพที่เคลื่อนไหวได้แต่ว่าต่างเหนื่อยอ่อนจากการสู้รบกับอาณาจักรมด
"จะเอายังไงต่อดี"ไอ้กอล์ฟหันไปถามหมวดเอก แต่หมวดเอกกำลังปาดเขม่าควันออกจากตัวอยู่ หมู่โบกี้เลยชี้ไปที่น้ำอ้อยว่าให้เอายังไงต่อ
"เราอ้อมไปก็ได้นะ แต่ต้องเดินทางตั้ง6วัน"น้ำอ้อยบอก ตวัดลิ้นแพลบๆลากเอาเพลี้ยอ่อนตัวนึงมากินน้ำหวานต่อ
"6วัน!!! นี่พึ่งขึ้นวันที่3ก็อ่วมแล้วแล้วเราก็ไม่มีเวลามากขนาดนั้นด้วย เสบียงกำลังจะหมด"หมู่โบกี้ตะโกนแล้วทึ้งหัวตัวเอง ท่าทางหงุดหงิดสุดขีด ทุกคนทำหน้าเลิกลักแล้วมองไปมาว่าจะเอายังไงดี หมวดเอกกำลังปัดฝุ่นออกจากตัวแล้วเห็นผงแป้งที่หลุดมาจากร่างกาย หมวดเอกก็ทำตาโตก่อนที่จะหรี่ตาแล้วยิ้ม
"หมวดมีความคิดดีๆแล้ว"หมวดเอกทำหน้าเจ้าเล่ห์แล้วเรียกคณะมามุงฟังความคิดของหมวด บรรยากาศดูเหมือนอยู่ในห้องประชุมของบริษัท
"หมวดมีแผนใช่ป่าว ทำไง"หมู่โบกี้รีบทำหน้าตื่นเต้น ทำสีหน้าแบบเดียวกันกับที่หมวดเอกทำถูมือไปมาแล้วยิ้มกว้าง
"แผนนี้อาจจะเสี่ยงแต่ก็เสี่ยงน้อยกว่าการเดินอ้อม เราอาจจะต้องใช้น้องน้ำอ้อยให้เป็นประโยชน์ซักหน่อย"หมวดเอกยิ้มกว้างทำหน้าเกรียนก่อนที่จะเล่าแผนการชั่วร้ายให้สมัรคพรรคพวกฟังเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างสนอกสนใจ นักข่าวกับมอดไม้ก็เข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งหมดกำลังปริกษาเรื่องการหาทางผ่านอาณาจักรมดดำที่ว่านั้น และ พวกเขาก็ตกลงที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ว่านี้ อย่างเต็มใจ(เพราะไม่อยากอ้อม6วัน)
"เหอะ เหอะ เหอะ แผนมีอยู่ว่า . . . "เสียงหัวเราะของหมวดเอกดังขึ้นก่อนที่จะเล่าแผนการให้ฟัง
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:43:43 GMT
19.cattle herder and flame : ปศุสัตว์ ผู้เลี้ยง และ เปลวไฟ
ท่ามกลางเขม่าควัน ขี้เถ้า ร่องรอยแห่งการทำลายล้างด้วยอัคคี ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นโศกนาตกรรม เพียงแต่ว่า มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังประชุมหารือกันว่าจะฝ่าฝูงมดผู้หวงแหนอาณาเขตไปได้อย่างไร เราได้ประกาศสงครามกับพวกมันไปแล้วด้วยการฆ่าปศุสัตว์ของพวกมัน มันเลยโกรธมาก และไม่มีทางยอมให้เราผ่านไปได้ง่ายๆแน่ และทั้งหมดเป็นความผิดของ
"จ่าปลา นี่เธอรู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป"หมวดเอกพูดด้วยเสียงก้าวร้าว
"เหะ ๆ ๆ คือว่า จ่าพยายามจะหยุดการทำลายป่าของพวกเพลี้ย ไม่รู้ว่ามันมีเจ้าของด้วย เราเป็นผู้พิทักษ์ป่าไม้และเราควรจะปกป้องป่าไม่ใช่เหรอ "จ่าปลาพยายามแก้ตัว เหงื่อแตกพลั่ก หน้าตาบ่งบอกว่ากำลังหาคำแก้ตัวให้ตัวเองอยู่
"ฟังนะ นั่นคือหน้าที่โดยรวม ภารกิจหลักต้องมาก่อนหน้าที่โดยรวม และภารกิจหลักของเราคือการค้นหาสิ่งผิดปกติในป่าแห่งนี้แล้วรายงานกลับไปให้ทางหน่วยเหนือ(สารวัตรเกรียงไกร)รู้ เธอก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่า ไอ้สิ่งผิดปกติที่ว่านั้นมันทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง นี่พึ่งเกิดได้ไม่กี่เดือน นับตั้งแต่บ้านประหลาดระเบิด ลองคิดดูว่ายิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ ระบบนิเวศโดยรวมจะยิ่งวิบัติลงเรื่อยๆ ถ้าเราโดนมดฆ่าตายหรือไม่มีปัญญากลับไปถึงกองพันเพราะความเอาแต่ใจของเธอ ป่านี้จะโดนผลาญก่อนที่จะมีใครได้รู้ซะอีกว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วอย่าคิดว่าหมวดไม่รู้นะ จ่าไปลุยกับเพลี้ยไม่ใช่เพราะต้องการความสมดุลของธรรมชาติ แต่เป็นเพราะจ่าเกลียดพวกมันเข้ากระดูกดำและหาเหตุผลมาอ้างได้พร้อมกันเลยเข้าจัดการพวกมัน"หมวดเอกเทศน์จ่าปลายกใหญ่ที่ดันทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
"..."จ่าปลาเงียบ เงียบจนน่ากลัว แต่เมื่อมองเข้าไปในตาของสาวแกร่ง เธอกำลังเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
"จำไว้นะ อาชีพของพวกเราเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของผืนป่า เช่นเดียวกับที่ทหารเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายและการดำรงอยู่ของประเทศชาติ อย่าทำอะไรนอกเหนือจากภารกิจอีก จริงๆก็ต้องโทษตัวผมเองด้วยแหละที่ไม่ได้บอกให้จ่าหยุด เฮ้ออออ เอางี้ เราจะดำเนินตามแผนต่อไม่งั้นจะยิ่งเสียเวลา"หมวดเอกปัดผงเขม่าที่เกาะตามเครื่องแบบก่อนที่จะเริ่มภารกิจ
"น้ำอ้อย ตามแผนนะ"หมวดเอกพูดให้สัญญาณว่าให้ลงมือตามแผนได้ แม่กบน้อยแห่งหมู่หมูมะนาว(เป็นทั้ง แขกรับเชิญ และ เป้าหมายในถารกิจย่อย)ผงกหัวตอบรับแล้วกระโดดไปยังต้นไม้ เธอปีนป่ายอย่างคล่องแคล่วแล้วกระโดดไกลแบบที่กบทั่วไปทำ เธอกำลังอ้อมป่าต้นไม้ตายไปยังจุดหมายของเธอ
"แล้วขั้นตอนต่อไป ได้เวลาออกกำลังกายกระชับหุ่นกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียกร้องความสนใจทั้งสองท่าน"หมวดเอกพูดแล้วหันไปหาสองนักข่าว ส่งสายตาไปยังกล้องขนาดมหึมาของเนย รอยยิ้มของหมวดเอกแม้จะดูเหมือนคนที่กำลังดำเนินแผนการทางการทหารแต่ว่า มันแฝงหลายๆอย่างไว้ใต้รอยยิ้มนั้น หนึ่งในนั้นคือความหมั่นไส้ที่พวกนักข่าวจ้ำอ้าวออกจากวงตะลุมบอนมดก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวซะอีก
"เยี่ยม ได้เวลาทำในสิ่งที่พวกเราถนัดแล้วสินะ"เนยว่าก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับสมบัติ ทำท่าไม่พอใจเล็กน้อย
"เฮ้ย พวกเอ็ง พร็อพการแสดงพร้อมแล้วใช่มั้ย"หมวดเอกหันไปถามหมู่โบกี้ ผู้รับผิดชอบการจัดฉากสุดอลังการ
"พร้อมสิ หมวด ผมไปคุมทีมงานคุณภาพเอง แล้วจ่าปลาหล่ะ พร้อมสำหรับการจุดประกายให้การแสดงของเราเป็นดาวเด่นในวันนี้หรือเปล่า"หมู่โบกี้ถาม เขาเผยรอยยิ้มสุดกวนอันเป็นความสามารถที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
"พร้อม เดี๋ยวพอน้องเค้าเข้าประจำที่เราก็ ให้พวกนักข่าวแสดงผลงานกัน"จ่าปลายกนิ้วโป้งแล้วขยิบตา ท่าทางมั่นใจของจ่าเด่นชัดมากในเวลานี้ ตอนนี้เหล่าทีมงานพร้อมแล้วสำหรับการแสดงสุดยอดที่พวกมดจะต้องจดจำกันไปอีกนานแสนนาน
.
.
.
ระหว่างที่หมวดเอกกำลังชมบรรยากาศอันแห้งแล้งกันดาร ความสิ้นหวังและไร้ชีวิต แผ่นดินที่ตายและแตกระแหง ระบบนิเวศที่ถูกทำลายอย่างย่อยยับเพราะความสมดุลของธรรมชาติถูกบิดเบือนด้วยพลังปริศนา หมวดก็เห็นแสงแว๊บๆออกมาจากแนวไม้ มันส่องแสงที่เดิมหลายครั้ง ไม่ผิดแน่
"เฮ้ย นั่น ยัยลูกอ๊อดนั่นเข้าประจำตำแหน่งแล้ว"หมวดเอกบอกคนอื่นๆ
.
.
.
ตัดภาพกลับไปทางน้ำอ้อยที่กำลังซ่อนตัวอย่างแนบเนียน ท่อนล่างที่เริ่มเป็นสีเขียวของเธอและเสื้อมอมๆสีน้ำตาลที่ครั้งนึงเคยเป็นสีขาวช่วยให้เธอพรางตัวได้อย่างแนบเนียนบนต้นไม้ เช่นเดียวกับที่เธอทำตอนขโมยห่อข้าวของคนอื่น ตอนนี้กระจกที่อยู่ในมือเธอซึ่งจ่าปลาให้มาใช้กำลังปรับองศากับดวงตะวันเพื่อเป็นการส่งสัญญาณแสงกลับไปให้ทางหมู่ได้รับรู้
.
.
.
.
"ยอด ส่งสัญญาณไปให้พวกขาดความอบอุ่นกระหายเงินพวกนั้นเลย หมู่พร้อมแล้วสำหรับการชมนักวิ่งมาราธอนเวลาวิ่งหนีเอาชีวิตรอด มันจะเร็วซักแค่ไหนกันน้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า"หมู่โบกี้พูดเปรียบเปรยแล้วหัวเราะชั่วร้ายทำหน้าเจ้าเล่ห์
"จัดไป"จ่าปลายกกระจกขึ้นมาต้องแสงอาทิตย์ยามบ่ายอย่างไม่อิดออด ลำแสงจากดวงตะวันอันร้อนและแผดเผาพุ่งตรงมายังวัสดุสะท้อนแสงชิ้นนี้แล้วส่งตรงไปยังเป้าหมาย ซึ่งพวกเขารับรู้แล้วและกำลังเริ่มดำเนินตามแผน
.
.
.
.
"นี่สมบัติ ลุยกันดีกว่า มดมีฤทธิ์หน้าดูก๊จริง แต่คนฉลาดกว่าอยู่แล้ว เราจะฝ่าวิกฤติการนี้ไปด้วยกัน และก้าวสู่ฝันของเรา"เนยพูดปลุกใจเสร็จแล้วก็ตบไหล่สมบัติ
"เยี่ยม เอาไงก็เอาเลย"สมบัติพูดเสียงเรียบ ทำหน้าเบื่อโลก ลุกขึ้นจากการนั่งทำหน้าเซ็งฆ่าเวลาแบบเดียวกับที่พวกกุ๊ยสวะข้างถนนชอบทำ
.
.
.
.
หลังจากความสูญเสียจำนวนมาก พวกมดต่างกำลังขอทหารกองหนุกมาเสริมทัพจากรังของพวกมัน การซ่อมแซมแหล่งเลี้ยงปศุสัตว์และการกู้ชีวิตมดที่บาดเจ็บยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆแม้ว่าแสงแดดแผดเผาจะแรงแค่ไหนก็ตาม กองทัพมดกำลังพยายามปลอบฝูงเพลี้ยที่ตื่นกลัวและกำลังหาทางฟื้นฟูความเสียหายอันเกิดจากเปลวเพลิง
แต่สิ่งที่พวกมันไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นคือมีแสงประหลาดมาจากทางที่ผู้บุกรุกหนีไป พวกมันเริ่มรู้สึกถูกคุกคามอีกครั้ง กลิ่นที่ลอยมาตามลมเป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นของพวกผู้บุกรุก ไม่ผิดแน่ มันยังไม่เข็ดและยังกล้าที่จะกลับมาอีก มดหลายๆตัวกำลังรีบกลับไปส่งข่าวให้ราชีนี
แช๊ะ!!! แช๊ะ!!! แช๊ะ!!! เสียงของกล้องถ่ายรูปขนาดใหญ่เกินพอดีกำลังเรียกร้องวอนหาเรื่องจากฝูงมดขณะที่เจ้าของของมันกำลังกดชัตเตอร์เป็นจังหวะ
"ไม่กลัวแบตเตอรี่หมดเหรอ"สมบัติถามเนย เขามองที่เจ้าอุปกรล้ำสมัยอันไม่สมส่วนนี้อย่างสงสัย
"ไม่ต้องห่วง มีแบตสำรอง เยอะด้วย"เนยตอบก่อนที่จะกดชัตเตอร์เป็นจังหวะ
"พี่ว่านะ ได้เวลาโกยแล้วหละ"สมบัติบอกก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเตรียมออกวิ่ง
กองทัพมดกำลังเคลื่อนพลมาทางผู้วอนหาเรื่องอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธา ขาทั้ง6ของมันขยับไม่หยุด พวกมันตอนนี้มีเซอร์ไพรส์ใหม่มาให้พวกผู้บุกรุกได้เชยชมแล้ว ราชีนีทราบข่าวทั้งหมดเรียบร้อยและกำลังส่ง ทูต ส่วนพระองค์ของนางมา
"เฮ้ย นั่นมันอะไรหนะ"สมบัติเห็นอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ไม่เพียงแต่กองทัพมดที่กำลังไล่หลังมาอย่างไม่หยุดหย่อน บนอากาศเองก็มีอะไรบางอย่างกำลังลอยขึ้นจากเสี้นขอบฟ้า เจ้าสิ่งนั้นคอยดูอยู่ห่างๆในตอนนี้ แต่อีกไม่นานมันจะเคลื่อนไหวแน่ๆ
"จะนก จะเครื่องบิน หรือซุปเปอร์อีโง่อะไรก็ช่างมันเหอะ วิ่งโว้ย"เนยตะโกน หน่วยรบของมดดำกำลังเข้ามาไกล้ขึ้นเรื่อยๆขณะที่เจ้าสิ่งปริศนาที่อยู่ในอากาศนั้นค่อยๆขยับขามมาอยู่เหนือฝูงมดดำ เจ้าตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่ามดดำยักษ์ประมาณ2เท่า
"เฮ้ย มันกำลังพุ่งเข้ามา"สมบัติบอก
ทันใดนั้น เจ้าสิ่งที่ลอยเท้งเต้งอยู่บนเวหาก็เข้ามาหาสองนักข่าวอย่างเร็ว เมื่อมันเข้ามาไกล้เรื่อยๆเราก็ได้เห็นมันชัดขึ้น มันเป็นมดดำตัวโตมีปีกใสเหมือนแมลงปอขนาดสมส่วนที่แตกต่างจากมดตัวอื่นๆอย่างชัดเจน ตาของมันเหมือนกับมนุษย์มาก ไม่ใช่ตาสีดำแบบไร้ตาขาวของแมลง หนวดของมันขยับไปมาอย่างไม่พอใจ ที่แย่ยิ่งกว่านั้น มันมีมือ ไม่ใช่มือแบบมนุษย์ทีเดียวแต่ว่าคล้ายๆและสามารถใช้มือที่มี3นิ้วนั้นหยิบจับสิ่งของได้ มันมี4มือซึ่งก็คือขาคู่หน้าและขาคู่กลางส่วนคู่หลังเหมือนของมดธรรมดา ในอ้อมกอดของมันมีก้อนหินขนาดเหมาะมืออยู่จำนวนหนึ่ง ดวงตาที่คล้ายคนของมันส่งสายตาที่ดูออกได้ว่ามันกำลังไม่พอใจมากๆ มันส่งเสียงกรีดร้องที่คล้ายกับเสียงผู้หญิงกรี๊ดเวลาเจอดาราดังแล้วกระหน่ำใช้มือคู่หน้าปาก้อนหินใส่นักข่าวทั้งสอง
"โอ้ว ไม่ ไม่ ไม่ ไอ้ตัวนี้มันมีความคิด และมันรู้จักใช้อาวุธด้วย"เนยตะโกนแล้วเอามือบังหัวไม่ให้ก้อนหินพวกนั้นมาโดนหัว เคราะห์ดีที่มดบินตัวนั้นปาหินได้ไม่แม่นเท่าไหร่จึงโดนแค่หลังกับแขน อีกทั้งการขนก้อนหินเยอะๆทำให้สปีดของมันลดลงด้วยทำให้ตามไม่ค่อยทัน ก้อนหินขนาดเท่าหอยแมลงภู่ค่อยๆทยอยถูกใช้ไปจนหมด มันเองก็รู้ตัวว่ามันบินได้และการบินเนี่ยแหละทำให้มันได้เปรียบผู้รุกรานที่บินไม่ได้ มันจึงไม่เสี่ยงพุ่งเข้าไปสู้ในระยะประชิดแต่กลับไปเอากระสุนเพิ่ม
"ก็แค่มดบินตัวเดียวที่มีความแม่นยำของสตอร์มทรูปเปอร์และสมองของเด็กประถม ไม่ได้แอ้มนักข่าวที่มีประสบการณ์อย่างพวกเราหรอก"เนยพูดเย้ย หันไปมองมดบินตัวนั้นพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
"มันอาจจะทำอะไรเราไม่ได้มาก แต่มันพยายามทำให้เราช้าลงมดตัวอื่นจะได้รุมฉีกเรา"สมบัติร้อง มดตัวเดิมที่มีปีกแมลงใสๆรูปทรงรียาวกลับมาแล้ว มันมีกระสุน ใหม่ มาด้วย
"เฮ้ยๆๆๆๆๆ"สมบัติร้อง ในมือ(ขา)ทั้ง4ของมันมีก้อนหินก้อนโตใหญ่พอๆกับตู้ทีวีสมัยโบราณ แค่เห็นสีหน้าของมันก็รู้ว่ามันหนัก แต่มดก็ขึ้นชื่อเรื่องการขนของที่ใหญ่และหนักกว่าตัวของมันอยู่แล้ว
"มันกะจะหย่อนก้อนหินก้อนโตนั้นใส่เราและถ้าโดนหละก็การเคลื่อนไหวของเราจะหยุดทันที"สมบัติร้อง เนยเองก็กำลังกังวลอยู่เหมือนกันแม้ว่ามันจะไม่ได้เร็วมากเมื่อยกของหนักขนาดนี้ แต่มันเร็วกว่าเราและอีกไม่นานมันจะขึ้นมาอยู่เหนือหัวเรา
"กรี๊ดดดดดดดด!!!"มดบินตัวนั้นร้องออกมา เสียงแหลมสูงของมันแสดงถึงความโกรธแค้นและความเจ็บปวด ไม่ใช่กาย แต่เป็นใจ มันยอมไม่ได้ที่มีผู้รุกรานมาทำลายแหล่งอาหารอันมีค่าและสังหารพวกพ้องของมันเป็นจำนวนไม่ใช่น้อยๆ ที่อภัยให้ไม่ได้เลยคือการเผาทำลายส่วนหนึ่งของอาณาจักรจนมอดไม้ เสียงอันเปี่ยมด้วยอารมณ์แบบที่มดตัวอื่นๆทำไม่ได้นั้นเหมือนกับเสียงร้องด้วยความโกรธของคนที่ถูกผู้ที่ไว้ใจที่สุดทรยศ
ตอนนี้มันอยู่เหนือหัวของเนยแล้ว และมันกำลังปล่อยก้อนหินก้อนโตให้ร่วงลงมาจากอากาศหมายจะจบชีวิตของผู้บุกรุก สายตาอำมหิตของมันช่างเหมือนกับสายตาของนักบินที่ขับเครื่องบินทิ้งระเบิดในสงคราม
โครมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!! ก้อนหินก้อนโตแหวกอากาศลงมาปะทะกับแผ่นดินแห้งผากจนฝุ่นดินพวยพุ่งขึ้นฟ้า สะเก็ดดินแห้งๆกระจายไปทั่ว เนยปลอดภัยเพราะว่าเธอกำลังเคลื่อนไหวอยู่แต่ก้อนหินพุ่งลงมาในแนวดิ่งเลยตกลงบนพื้นข้างหลังเธอ
"เกือบไป"เนยเริ่มหอบ หัวใจเต้นอย่างไม่หยุดหย่อน เจ้ามดบินตัวนั้นกรีดร้องด้วยความผิดหวัง แล้วย้อนกลับไปเอากระสุนมาเพิ่ม
"นั่น มันกลับมาแล้ว"สมบัติตะโกนอีกแล้ว มันกลับมาพร้อมกับก้อนหินแบบเดียวกับที่เมื่อกี้พึ่งหย่อนลงไป จริงๆก็คือก้อนเดียวกันนั่นแหละ มันไปดึงก้อนหินเมื่อกี้นี้มากะจะเอามาถล่มใส่เป้าหมายอีกครั้ง และคราวนี้จะกะระยะให้ดีขึ้น
"โอ้ว นึกออกแล้ว"เนยพูด
"อะไร"สมบัติถาม
"เดี๋ยวดูกัน"
ไม่นานนักมดบินสีดำตัวนั้นก็ตามมาทันและเข้ามาไกล้ขึ้นเรื่อยๆ มันลดระดับความสูงลงเพื่อเสริมความแม่นยำ และคราวนี้มันจะหย่อนให้แม่นกว่าเก่า จนกระทั่งแสงสีขาววูบใหญ่พุ่งเข้าสู่ดวงตาอันไม่เหมือนแมลงของมัน ภาพตรงหน้าเปลี่ยนสีอย่างฉับพลัน การมองเห็นหายไป มันเผลอลดระดับการบินลง
โครมมมมมมมม!!!! มันพุ่งเข้าชนจนต้นไม้แห้งๆหักกลางลำต้นขณะที่กำลังบินและไม่ได้ปล่อยก้อนหินจนร่วงลงมาสู่พื้นอย่างทุลักทุเล มันกลิ้งไปมาและตีลังกาตลบแล้วตลบเล่า สุดท้ายก็หงายท้องแผ่ขึ้นฟ้าหลังติดดิน มึนงง ก้อนหินที่แบกมากระเด็นไปชนต้นไม้อีกต้นจนแตกกระจาย ชิ้นส่วนก้อนหินและเศษไม้ปลิวว่อนไปในอากาศและมีฝุ่นละอองจากการปะทะคละคลุ้งไปเต็มไปหมด
เนยเองก็เกือบไม่รอด เศษไม้แหลมคมหลายๆชิ้นฝังเข้าไปในเนื้อของเธอดีที่เศษก้อนหินไม่โดนเธอเข้า แต่เศษไม้พวกนั้นหยุดเธอไม่ได้หรอก นางยังคงวิ่งต่อ ก้องบาซูก้านี่มันเยี่ยมยอดมากในการทำให้ผู้ที่เผลอลืมตาขณะที่มันทำงานเกิดอาการงุนงงและมองไม่เห็นชั่วคราว
"หัวแหลมนี่ ตอนนี้มดบินก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว เหลือแต่มดธรรมดา"สมบัติชม ตอนนี้มดธรรมดาที่ว่ากำลังพยูงมดบินตัวนั้นอยู่อย่างเร่งด่วน มดบินที่กำลังมึนงงไม่รอช้า ตะโกนออกมาเหมือนเสียงร้องของคนกำลังคลอดลูก แสดงถึงความเจ็บของมัน ทันใดนั้น มดดำที่ดูเหมือนว่ากำลังโกรธอยู่แล้วต่างร้องออกมาอย่างเคียดแค้น พวกมันดูบ้าคลั่งและน่ากลัว ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว
"จะถึงแล้ว"เนยร้อง พวกเขาวิ่งมาราธอนกันจนจะถึงจุดที่นัดกัวไว้ว่าให้หลอกล่อฝูงมดมาตรงนี้ ข้างหลังต้นไม้แห้งกรอบต้นหนึ่ง จ่าปลากำลังจุดไฟแช็กกับกิ่งไม้แห้งๆกิ่งหนึ่งอย่างใจเย็น เธอมองไปยังฝูงมดด้วยสายตาเด็ดขาด
"มาเร็ว ข้ามต้นไม้ล้มนี่มา"จ่าปลาตะโกน สองนักข่าวรีบกระโดดข้ามขอนไม้อันที่ว่านี้อย่างร้อนรน มดจำนวนมากที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงไม่ล่วงรู้เลยว่านี่คือกับดัก
"ได้เวลาสำหรับการแสดง แบบจำลองกลศึกไฟ"จ่าปลาตะโกนแล้วปล่อยให้คบเพลิงในมือหล่นใส่กองไม้แห้งที่มีน้ำมันเลื่อยยนต์อยู่ ไฟลามจากจุดที่จ่าปลาจุดไปไปถึงอีกฟากของของทัพมดกลายเป็นกำแพงเพลิงที่มดไม่สามารถฝ่าข้ามมาได้ ฟวกมันต่างหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนเบื่องหน้า แตกตื่น วิ่งหนีกันอย่างหวาดกลัว
"เอ้า เสร็จแล้วก็วิ่งต่อเซ่ "กำแพงเพลิงไม่เพี่ยงแค่กั้นไม่ให้มดข้ามมาทางด้านหน้าเท่านั้น แต่รวมถึงด้านข้างเป็นแนวยาว แผนที่ว่าคือจะให้นักข่าวทั้งสองหลอกล่อมดให้มายังจุดที่ว่าแล้วสร้างกำแพงไฟกั้นระหว่างมดกับเส้นทางที่หมู่หมูมะนาวจะใช้ผ่านกองทัพมด แนวที่ทำมาจากไม้แห้งและน้ำมันเบนซินลุกไหม้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีมดตัวไหนรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
"วิ่งสิ เดี๋ยวมดมันก็รู้ตัวหรอก"หมวดเอกสั่งแล้วให้ทุกคนในสังกัดที่ซุ่มอยู่ด้านข้างของกำแพงไฟวิ่งออกจากที่กำบังแล้วตรงไปยังเป้าหมายทันที
"ดี เร็วๆๆๆๆๆ"จ่าปลาต้อนให้นักข่าวออกวิ่ง ทั้งสองวิ่งออกจากจุดที่มาถึงวนกลับไปยังอีกฟากของป่าที่มดมีน้อย เท่ากับว่านักข่าววิ่งเป็นรูปตัว U แบบไม่ได้พักเลย
"เยี่ยม แฮกๆๆๆ จะไหวมั้ยเนี่ยเรา นี่เหมือนกับ มาราธอน แฮกๆๆ"เนยหอบแล้ววิ่งตามแผนอย่างไม่ลดละ
"อ้าาาาาาาา!!! ฮ้ากกกกกกก!!! กรี๊ดดดดดด!!!"มดบินตัวนั้นพุ่งสู่อากาศขึ้นเหนือกำแพงแห่งไฟ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยควันดำแต่ว่ามันเริ่มรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อมองจากด้านบน มันเบิ่งตากว้าง กระวนกระวายแล้วกลับลงไปอีกฟากของกำแพงแห่งไฟ ท่าทางจะไม่ดีซะแล้ว
"งานเข้าแล้ว มดตัวนั้นเป็นว่าที่นางพญา มีอำนาจสั่งการมดตัวอื่นตราบใดก็ตามที่ไม่ขัดกับนางพญาตัวปัจจุบัน ถ้าพูดกันแบบบ้านๆ ตัวที่บินได้นั่นคือ เจ้าหญิง แห่งอาณาจักรมด"จ่าปลาอธิบายก่อนที่จะชักปืนลูกซองพร้อมยิง เจ้าหญิงมดมีสติปัญญาเหนือกว่ามดตัวอื่นๆ และมีความสามารถในการดูแผนที่จากมุมสูง สิ่งต่างๆจะไม่ง่ายนักหากต้องรับมือกับการวางแผนอย่างเป็นระบบของเชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรมดผู้มีความรู้ด้านการรบแบบแมลง เราต้องหยุดการเคลื่อนไหวของนางก่อนที่แผนการฝ่าอาณาจักรมดของเราจะพังไม่เป็นท่า ไม่นานนักความวุ่นวายอีกฝั่งของกำแพงไฟเหมือนจะสงบลงด้วยอำนาจของเจ้าหญิง พวกมันตั้งตัวได้แล้ว
เจ้าหญิงมดปรากฎกายขึ้นหลังม่านแห่งเพลิง ในมือทั้งสี่มีทหารมดดำอยู่ข้างละตัว นางวางแผนจะส่งกำลังข้ามมาฝั่งนี้แต่นี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับจัดการมดบินตัวนี้
เปรี้ยงงง!!! เสียงปืนลูกซองดังสนั่นหวั่นไหว เจ้าหญิงมดดำผู้ไม่รู้จักพิษสงของปืนเลยโดนสอยร่วงก่อนที่จะข้ามกำแพงไฟมาได้ และนั่นหมายถึงการที่นางจะไม่สามารถควบคุมแผนการรบแบบเรียลไทม์ได้อีกต่อไป
"เฮ้ย มดบินร่วงแล้ว จ่าว่ามันยังไม่ตายหรอก รีบไปเร็ว ก่อนที่พวกมดจะรู้อะไรมากกว่านี้"จ่าปลาเร่งแล้ววิ่งไปยังจุดรวมตรงเป้าหมาย แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิด
นางมดดำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ใช่แล้ว เจ้าหญิงมดยังไม่ตาย แถมยังคงบินได้อีกด้วย ปืนฟรีนี่มันห่วยแตกเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ กระสุนลูกซองเดี่ยวในระยะไกลทำให้ว่าที่นางพญาบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น แถมยังไม่โดนปีกด้วย มันตะโกนอย่างเจ็บปวดเพราะพิษกระสุนปืน ก่อนที่จะส่งสายตาน่ากลัวแล้วทะยานบินกลับไปยังรังใหญ่อันเป็นศูนย์บัญชาการ สถาณการณ์เริ่มไม่ดีซะแล้ว
"แย่ละ เราต้องรีบไปก่อนที่มันจะไปดักเราสำเร็จ มดบินตัวนั้นมันกำลังไปส่งข่าว"จ่าปลาบอกคนอื่นๆก่อนที่จะวิ่งให้เร็วขึ้นอีก ยิ่งเจ้าหญิงไปถึงที่หมายเร็วเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเรียกกองทัพมดมาเสริมได้เร็วเท่านั้น โอกาสที่ภารกิจนี้จะสำเร็จก็จะน้อยลงมากเท่านั้น เราต้องรีบ
.
.
.
.
.
อีกฟากหนึ่งของป่าต้นไม้ตาย ฟากนี้ต้นไม้กำลังค่อยๆถูกทำลายจากการดูดน้ำเลี้ยงของเพลี้ย แม่กบน้อยกำลังมองดูเปลวไฟที่พวยพุ่งขึ้นมาเป็นแนว ฝูงมดแห่กันตามเหล่านักข่าวไปเมื่อตะกี้แล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาทำภารกิจในส่วนของเธอ ความเร็วเป็นสิ่งที่จำเป็นในภารกิจส่วนนี้ ความเงียบก็เช่นกัน น้ำอ้อยใช้ลิ้นกบที่เคลือบไปด้วยน้ำลายเหนียวตวัดจับเพลี้ยแป้งขึ้นมาหาเธอโดยที่ไม่ให้มดรู้ตัว เพลี้ยแป้งตัวแล้วตัวเล่าถูกจับขึ้นมาใส่ไว้ในตาข่าย ตาข่ายที่หมู่หมูมะนาวช่วยกันทำด้วยเชือกไนล่อนโรงงานสีเขียวเข้มจากโรงเลื่อยร้าง(แบบเดียวกับที่ใช้มัดไอ้กรอบ) เธอกระโดดไปตามต้นไม้เพื่อที่จะจับเพลี้ยแป้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่มดหันหลังให้ ลิ้นสีชมพูเคลือบด้วยน้ำลายหนืดสีใสของเธอก็เข้าไปรัดเพลี้ยแป้งสีขาวลากขึ้นไปบนต้นไม้ก่อนที่มดตัวไหนจะรู้ตัวซะอีก ปัญหาคือเพลี้ยแป้งมีแป้งเคลือบตามชื่อ ความเหนียวของลิ้นไม่ช่วยให้การจับเพลี้ยขึ้นมาง่ายขึ้นเลย หนำซ้ำการจับเพลี้ยแป้งยังทำให้ลิ้นมีแต่แป้งอีกด้วย
"แหวะ มีแต่แป้งเต็มลิ้นเลยวุ้ย"น้ำอ้อยเริ่มบ่น แต่ภารกิจคือจับเพลี้ยแป้งมาให้ได้มากที่สุด การหักห้ามใจไม่ให้เสียเวลาไปกินน้ำหวานจากฝูงเพลี้ยช่างยากยิ่งนัก น้ำหวานสีอำพันที่ออกมาจากด้านหลังของเพลี้ยสั่นไหวไปมาเหมือนมันพยายามจะยั่วให้เธอแอบกินน้ำหวานแทนที่จะทำภารกิจ
"ไม่ได้ เราต้องเก็บเพลี้ยให้ได้เยอะๆ"น้ำอ้อยรีบเรียกสติตัวเองก่อนที่จะเห็นมดบินพุ่งฝ่าอากาศตรงมาทางมวลหมู่มดที่ประจำการอยู่ไกล้ๆ ในระยะที่เธอเองก็สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของพวกมัน มดบินส่งเสียงแหลมสูงก่อนที่จะปล่อยฟีโรโมนสั่งการบางอย่าง มดจำนวนมากขยับหนวดไปมาอย่างพร้อมเพรียง พวกมันรับรู้ และกำลังปฏิบัติตามคำบัญชาของว่าที่ราชีนี
"โอ้ว แย่แล้ว"น้ำอ้อยกระซิบ มดเจ้าหญิงกำลังเคลื่อนพลมาทางด้านที่เธออยู่ เธอยังต้องจับเพลี้ยเพิ่มอีก
ไม่กี่อึดใจ กองทัพมดก็เดินทางมาถึงชายป่าต้นไม้ตาย น้ำอ้อยรีบซ่อนตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เธอพยายามซ่อนเพลี้ยแป้งจำนวนมากที่เธอจับมาแต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ยากที่จะซ่อนมิดได้ ตาข่ายนี้มันใหญ่เกินไป แถมเพลี้ยแป้งส่วนใหญ่เป็นสีขาวกับขาวอมชมพู ซึ่งดึงดูดสายตามาก มดมีสายตาที่แตกต่างจากคนมันอาจจะมองไม่เห็น
กองทัพมดดำเคลื่อนพลมาถึงที่หมาย เจ้าหญิงมดดำรู้ถึงสิ่งผิดสังเกตุ เพลี้ยแป้งส่วนใหญ่หายไปเหลือแต่เพลี้ยอ่อน มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแถวๆนี้แน่ๆ เนื่องจากเจ้าหญิงมีสายตาที่พัฒนาจนแทบจะเหมือนกับของคนและสามารถแบกสีได้ สีขาวอันโดดเด่นทำให้เธอรู้ถึงสิ่งผิดปกติได้อย่างชัดขึ้น เธอบินขึ้นไปในอากาศแล้วเข้าไปตรวจดูตามกิ่งไม้บนต้นไม้ต้องสงสัย แล้วสิ่งที่นางเจอคือ
"หวัดดี เซอร์ไพรส์"น้ำอ้อยที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้เผยตัวเมื่อเจ้าหญิงมดเข้ามาไกล้มากพอ เธออ้าปากจนสุดแล้วใช้ลิ้นกบพุ่งใสหน้าของว่าที่ราชีนีจากนั้นก็ดึงหัวว่าที่ราชีนีเข้าปากกว้างๆของเธอ มดบินตกใจสุดขีดดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำอ้อยรู้ว่าจะต้องหยุดการเคลื่อนไหวของเจ้าหญิงก่อนเลยทำให้เจ้าหญิงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเธอก็คายหัวของว่าที่ราชีนีก่อนที่จะใช้ลิ้นเคลือบน้ำลายเหนียวๆพันรอบปีกใสๆของมดบิน นี่เป็นวิธีที่จะทำลายความสามารถทางอากาศของว่าที่นางพญามดดำ แล้วก็เป็นไปตามคาด เจ้าหญิงมดบินไม่ได้เมื่อปีกมีน้ำลายเคลือบอยู่และร่วงลงไปท่ามกลางกองทัพมดพร้อมกันกับน้ำอ้อย
"ก๊าซซซซซซซ!!!! กรี๊ดดดดดดด!!!!"มดบินกรีดร้องด้วยความหัวเสียเมื่อโดนกบอมหัว เธอพยายามจะบินอีกครั้งแต่ปีกเธอหนักเกินกว่าที่จะบินขึ้น เธอจึงตัดสินใจสั่งให้กองทัพมดเข้าโจมตีน้ำอ้อย น้ำอ้อยเองก็ไม่ยอมอยู่เฉย เธอกระโดดขึ้นต้นไม้แล้วหอบเอาตุงตาข่ายใส่เพลี้ยแป้งกระโจนหนีกองทัพมดที่กำลังคุ้มคลั่ง เสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดของเจ้าหญิงยิ่งเพื่มความเร็วและความดุร้ายของกองทัพมดดำ
"เหวออออ"น้ำอ้อยกระโจนข้ามไปอีกต้นไม้นึงแต่ว่ามีมดดำหลายตัวดักอยู่บนต้นไม้ เธอเลยเหวี่ยงตาข่ายใส่เพลี้ยแป้งใส่หวดมันจนกระเด็นปลิวตกต้นไม้ จากแรงปะทะของเพลี้ยแป้งกับมดบนต้นไม้ทำให้เกิดผงฝุ่นจำนวนมหาศาลจากแป้งที่อยู่บนตัวเพลี้ยฟุ้งกระจายในอากาศแล้วค่อยๆลงมา น้ำอ้อยกำลังจะกระโดดไปอีกต้นไม้นึงแต่ว่ามีมดตัวหนึ่งพยายามจะรั้งเธอไว้ด้วยการงับหางลูกอ๊อดของเธอ น้ำอ้อยเลยเสียหลักตกต้นไม้ลากเอาฝูงมดบนต้นไม้และตาข่ายใส่เพลี้ยแป้งเต็มตาข่ายลงไปตะลุมบอนบนพื้นด้วย พอตาข่ายใส่เพลี้ยปะทะกับพื้นก็เกิดกลุ่มผงแป้งฟุ้งขึ้นมาเก็มพื้นที่ไปหมด การตะลุมบอนท่ามกลางม่านผงแป้งที่ดูๆไปก็เหมือนกับระเบิดควันพรางตา ยิ่งซัดกันก็ยิ่งแผ่รัศมีหมอกแป้งไปมากเท่านั้น เพลี้ยอ่อนที่ตกใจกับเหตุการที่เกิดขึ้นก็แตกตื่นออกกระโดดไปมาจนเกิดเป็นความวุ่นวายขนานใหญ่ ควันสีขาวขนาดใหญ่ที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆกำลังทำลายทัศนวิสัยของทุกชีวิตในบริเวณ น้ำหวานจากเพลี้ยสาดกระจายไปทั่วทุกทิศทางทำให้มดเริ่มงงกับเป้าหมายของมัน น้ำอ้อยใช้ความเร็วของเธอกระโดดจับเพลี้ยที่อยู่รอบๆเข้ามาสมทบ ตอนนี้กลุ่มควันสีขาวขนาดใหญ่ที่สั่งมาพร้อมเสิร์ฟแล้ว
"เรียบร้อย พายุแป้งได้แล้ว เหวอ มดดุแฮะ"น้ำอ้อยกระโดดไปมาท่ามกลางฝูงมด เหยียบตัวนู้นบ้างตัวนี้บ้าง จนในที่สุดก็ขึ้นต้นไม้สำเร็จในขณะที่มดส่วนใหญ่กำลังงงกับทิศทาง แม้แต่เจ้าหญิงมดเองก็ยังสับสนท่ามกลางกลุ่มควันที่เกิดจากแป้งขนาดมหึมาเหมือนเขม่าภูเขาไฟ
.
.
.
.
.
"เอ้ย ข้างหน้าได้กลุ่มควันแป้งแล้ว 3 ขั้นตอนการทำดอกไม้ไฟจากแป้งคือยังไงน้า"หมู่โบกี้วิ่งไปจวนจะถึงที่หมายแล้วเห็นกลุ่มควันสีขาวที่น้ำอ้อยสร้างขึ้น
"ก่อกวน เลี้ยงให้อ้วน แล้ว จู่โจม!!!"หมวดเอกสั่งแล้วเหล่าคนในหมู่หมูมะนาวก็เตรียมตัวพร้อมยิงปืนที่ได้มากัน เป้าหมายคือกลุ่มฝุ่นผงตรงหน้าที่กำลังตลบอบอวล แผนของหมวดเอกคือการใช้ผงแป้งจากตัวเพลี้ยแป้งมาทำให้เกิดบริเวณที่เกิดฝุ่นละอองจำนวนมาก แล้วทำให้เกิดเปลงไฟภายในส่วนที่มีฝุ่นละอองนั้น มันจะเกิดปฏิกิริยาทำให้พื้นที่นั้นระเบินจนกระจุย ทุกอย่างในรัศมีจะกลายเป็นชิ้นๆ หลักการของระเบิดฝุ่นคือตัวฝุ่นจะสามารถติดไฟได้เมื่อมีความหนาแน่นของฝุ่นในบรรยากาศนั้นๆมากพอและเกิดความร้อนในที่ที่มีอ๊อกซิเจน จะเกิดการลุกไหม้อย่างรวดเร็วของฝุ่นที่ว่านี้จนกลายเป็นระเบิดเพลิงขนาดมหึมา
"เตรียม ระวัง ยิงงงง!!!!!"หมวดเอกสั่งอย่างเด็ดขาด ทันทีที่สิ้นเสียง หมู่โบกี้และหน่วยยิงทั้งหมดสาดกระสุนอาก้าและลูกซองไปยังกลุ่มควันที่ว่าอย่างไม่ยั้งมือ รู้สึกว่าจะยิงกันมันส์มือไปหน่อยจนกระสุนอาก้าทั้งหมดที่ได้มาจากโรงเลื่อยจะถูกใช้ไปจนหมด แต่ถึงกระนั้นมันกลุ่มควันก็ยังไม่ระเบิดตู้มต้ามตามที่หวังไว้ หมวดเอกหน้าถอดสีในทันที กระสุนที่สาดไปเมื่อกี้ไม่ได้มากพอที่จะกำจัดมดไปได้ทั้งหมด เราต้องรีบจัดการก่อนที่ควันจะจางลงไม่งั้นหละก็ เราจะหมดสิทธิ์ข้ามไปฝั่งนู้นเลย
"จรวดRPGใช้มันเลย"หมวดเอกสั่งอย่างร้อนรน ไอ้กรอบสะพายเครื่องยิงจรวดขึ้นบ่าปลดปล่อยกระสุนเจาะเกราะรถถังด้วยการเหนี่ยวไก หัวปลีโลหะพุ่งทะยานไปในอากาศตรงไปยังเป้าหมายอย่างแม่นยำ แต่ว่าไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ไม่มีการระเบิด กระสุนลูกนี้มันด้าน
"ว้ากกกกกก ให้ตายเถอะพับผ่า จรวดด้าน ทำไงดี"หมวดเอกร้องอย่างหมดฟอร์มมือกุมหัวแล้วเต้นไปรอบๆเหมือนคนเป็นไมเกรนที่กำลังเต้นไปมาบนกระทะทอดร้อนๆ
.
.
.
.
.
หลังจากที่ตะลุมบอนกับฝูงมดคลั่งแล้ว อยู่ๆก็มีห่ากระสุนปืนเข้ามาท่ามกลางฝุ่นแป้ง เสียงปืนดังลั่นสนั่นป่าแต่ว่ามันไม่ระเบิด ดีที่น้ำอ้อยขึ้นต้นไม้ก่อนเลยอยู่นอกแนวยิง แต่แล้วก็มีกระสุนจรวดสังหารพุ่งเข้ามาในหมู่ควันแต่มันไม่ยอมระเบิด ทุกอย่างดูเหมือนจะพยายามขัดขวางแผนการของเราไปหมด เจ้าหญิงมดโชคดีมากที่ไม่โดนกระสุนเลยทั้งๆที่ไม่ได้หมอบหรือหลบ ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะจบถ้าหากควันจางก่อนที่เราจะจุดระเบิดมันได้ น้ำอ้อยคงหลบมดไม่ได้หากควันอำพรางนี้จางลงแล้ว
"ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ต้องจุดไฟ แต่ไม่มีไม้ขีดหรือไฟแช็ก หรือ . . ."น้ำอ้อยกำลังกระวนกระวาย อีกไม่นานเกินรอผงแป้งจะต้องจางลงแล้วกองทัพมดที่กำลังเดือดจัดจะต้องรุมขย้ำเราแน่ๆ เพียงแต่ว่า มด ไฟ ใช่แล้ว
"เรามีกระจก เราใช้กระจกนูนในการรวมแสงได้ แบบที่เด็กทั่วไปใช้แว่นขยายรวมแสงแล้วเผามดเล่น เรามีกระจกอยู่"น้ำอ้อยรีบคว้ากระจกที่จ่าปลาให้มาและพยายามเอาไปอยู่ใต้แสงเพื่อที่จะรวมแสง แต่ไม่เกิดผล กระจกที่จ่าปลาให้มาเป็นกระจกเงาเรียบๆธรรมดาที่ไม่ได้โค้งเว้าหรือนูน ไช้รวมแสงไม่ได้ และตอนนี้หมู่เรามีกระจกที่รวมแสงได้มั้ยน้า กระจกที่รวมแสงได้ แว่น . . . แว่นของกอล์ฟ
ทันทีที่คิดออกว่าจะทำยังไงต่อ ลูกอ๊อดน้อยก็รีบพุุ่งออกไปทางหมู่หมูมะนาวที่กำลังวิ่งกันจนแทบจะหัวใจล้มเหลว มดบางส่วนเริ่มรู้ตัวกันแล้ว พวกมันบางตัวกำลังตามน้ำอ้อยมา
"อี๊กกกกก อู้วววว"น้ำอ้อยร้องเมื่อเท้ากบของเธอสัมผัสพื้นดินแห้งผากที่ตากแดดมาทั้งวัน ความร้อนไม่ใช่อะไรที่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำถูกโฉลกด้วย ถึงแม้ว่าเธอยังมีความเป็นคนเยอะกว่าความเป็นกบแต่ว่าการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ต้องพึ่งขากบ เธอปีนต้นไม้ไม่ได้เพราะว่าควันไฟมีหนาเกินกว่าที่จะมองทางเห็น ท้องฟ้าปกคลุมด้วยควันอันเกิดจากการเผาไหม้อย่างรวดเร็วและรุนแรง แนวต้นไม้ไฟลุกเริ่มลามออกนอกเส้นทางไปเรื่อยๆ จากแนวไฟที่ดูเหมือนกำแพงตอนนี้เริ่มกลายเป็นแอ่งแห่งไฟ มันลามไปยังทิศที่ลมพัดมา และนั่นคือมาทางเรา
"เฮ้ย นั่น ยัยกบหนี่หน่า มาทางนี้ทำไม"หมวดเอกที่วิ่งไปกังวลไปเห็นน้ำอ้อยกระโดดเหยงๆๆมาทางพวกตนก็สงสัย เนื่องจากระยะทางที่ไกลเกินไป หากรอให้วิ่งมาถึงแล้วอาจจะไม่ทันระเบิด น้ำอ้อยเลยสะท้อนแสงที่มีอยู่น้อยนิดเพราะควันไฟเริ่มปกคลุมท้องฟ้า ไปยังหมู่หมูมะนาวที่เหนื่อยหอบ
"สะท้อนแสงทำไมวะ แฮก น้องเค้าจะสื่ออะไร"หมู่โบกี้พูดไปหอบไป ท่าทางเริ่มไม่ไหวเพราะวิ่งมาเป็นระยะทางค่อนข้างไกล แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับสองนักข่าวที่วิ่งหยั่งกับม้า
น้ำอ้อยเอากระจกแนบที่ตา แล้วเอาไปส่องพื้น แล้วชี้ไปที่ไฟโหมกระหน่ำที่กำลังไกล้เข้ามาเรื่อยๆ
"มอง พื้น ไฟ นี่เราไม่ใช่ซุปเปอร์แมนนะ"ไอ้ชาติพูด
"นั่นสิ ถ้าฉันเป็นซุปเปอร์แมนนะ คงไม่ต้องใส่แว่นหนาเตอะแบบนี้หรอก"ไอ้กอล์ฟพูดมั่ง หัวกลมๆของเขาส่ายไปมาเพราะความล้า
"เฮ้ย รู้แล้ว กอล์ฟ เอาแว่นแกมานี่"หมวดเอกอ่านสัญญาณของน้องน้ำอ้อยออกแล้ว มันหมายถึงให้เอาแว่นมารวมแสงเพื่อที่จะทำให้เกิดไฟลุก ควันแป้งกำลังจะหายไป เราต้องรีบ
"ทำไม"
"เอามาเดี๋ยวนี้"หมู่โบกี้ตะปบหน้ากอล์ฟแล้วโยนแว่นให้หมวดเอกทันที เขาเชื่อใจผู้บังคับบัญชาคนนี้มาก เขาไม่เคยจะทำให้คณะผิดหวังหากเรื่องนั้นๆเกี่ยวข้องกับภารกิจหรือชีวิตคน
"แดดไม่มีแล้ว เราต้องการแสง ควันมันบังหมดแล้ว"หมวดเอกร้อนรน ควันไฟบดบังท้องฟ้าจนมืดมิด แสงแทบจะไม่เหลือ งานนี้คงไม่จบไม่สวยแน่
"ใครมีไฟฉายมั่ง"หมู่โบกี้ร้องอย่างสติแตก ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในขั้นวิกฤติ ควันแป้งกำลังจะจางลง แสงก็ไม่มี จริงๆมันวิกฤติตั้งแต่ยิงปืนแล้วไฟไม่ติด จรวดหัวปลีก็ดันด้านซะด้าย
"ผมว่าคงไม่พอ แต่ว่าเรามีสองคนนั้นอยู่"ไอ้ตือบอกหมวดเอกแล้วชี้ไปที่นักข่าวที่กำลังหอบอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ท่าทางเหมือนกับจะไม่ไหว ทั้งคู่อาจจะค่อนข้างแข็งแรงถ้าเทียบกับนักข่าวคนอื่นๆที่หมวดเอกเคยเจอ แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อทำภารกิจเสี่ยงชีวิตแบบนี้ ร่างกายเลยไม่น่าจะไปไหวแล้ว ตาเบลอ ลิ้นห้อย สมองเริ่มไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า
เนยเป็นคนแรกที่ล้มลงกับพื้น สาวน้อยไม่ได้ไปต่อ กล้องขนาดมหึมาเกินพอดีเป็นสิ่งที่ทำให้เธอหมดแรงก่อนใครเพื่อนทั้งๆที่กำลังใจของเธอเหนือกว่าใครๆ และเราต้องใช้กล้องอันนั้นในการกำเนิดแสงเฟลชเพื่อที่จะจุดไฟ หมู่โบกี้รีบเข้าไปหยิบกล้องอันนั้นตั้งท่าถ่ายรูป หมวดเอกก็รีบเอาเลนส์มาอยู่ตรงหน้ากล้องตั้งท่าอย่างดีเพื่อที่จะให้แสงแฟลชผ่านเลนส์ไปเผาควันแป้ง
"มันใช้ยังไงเนี่ย"หมู่โบกี้ร้อง กล้องตัวนี้มีหลายโหมดมาก และคนใช้ก็ลงไปนอนจุกอยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้ว สมบัติเป็นอีกคนที่น่าจะใช้กล้องบาซูก้ากระบอกนี้เป็น
"กดเลือกโหมดพิเศษ ลูกศรขวา"สมบัติตะโกน หมู่โบกี้รับกดตามที่สมบัติบอกอย่างร้อนรน
"แล้วกดอันอันที่เขียนว่า CS กดเลย"สมบัติตะโกนต่อ หมู่โบกี้กดเข้าไปแล้วมีตัวเลือกมากมายขึ้นมาเต็มไปหมด
"ไงต่อ"หมู่โบกี้ถามต่อ
"กดรูป เครื่องหมายอินฟินิตี้อะ"สมบัติบอก
"หน้าตาเป็นยังไง"
"รูปเลข8นอนตะแคง"
"แล้ว..."
"กดปุ่มสีแดงข้างบนกล้อง"สมบัติไม่รอให้หมู่โบกี้ถามจบ
ทันทีที่หมู่โบกี้กดปุ่มที่ว่านั้น กล้องถ่ายรูปขนาดมหึมาก็ถ่ายรูปออกมาด้วยความเร็วเกินกว่าที่ตาคนจะมองเห็น ทุกอย่างที่อยู่เบื่องหน้าของกล้องยักษ์แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวด้วยอำนาจแห่งแสงแฟลชสว่างเกินธรรมดา แสงที่แม้จะไม่ได้แรงกล้าแต่เมื่อถ่ายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆจะแผดเผาผิวหนังคนได้ นี่คือโหมดพิเศษมากๆของกล้องกระบอกนี้ โหมดถ่ายอย่างต่อเนื่องแบบเร่งแสงแฟลชสูงสุด เทียบเท่ากับแสงตะวันได้เลย พลังของกล้องที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ นี่มันเกินกว่าคำว่ากล้องธรรมดาไปหลายขุม
"โฟกัส หมวดเอก วิ่งไปเรื่อยๆ เราต้องโฟกัสแสงไปที่กลุ่มควันแป้ง"หมู่โบกี้ตะโกน หมวดเอกได้ยินก็รีบวิ่งไปอย่างไม่สนแม้ว่าผู้บอกจะยศน้อยกว่า ชีวิตสำคัญกว่าศักดิ์ศรี และหมู่โบกี้ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแม้ว่าจะเป็นการออกคำสั่งใส่ผู้บังคับบัญชา แต่ในสถาณการณ์แบบนี้ สิ่งเดียวที่ควรจะสนคือการเอาชีวิตรอด
หมวดเอกวิ่งไปอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรม น้ำอ้อยที่กำลังวิ่งหนีฝูงมดก็ไกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงอันทรงพลังแรงกล้าจากกล้องมหัศจรรย์เมื่อต้องแสงเลนส์จากแว่นของกอล์ฟ มันแผดเผาทุกอย่างที่เป็นจุดโฟกัสของเลนส์รวมแสง บนพื้นมีประกายไฟทุกๆที่ที่หมวดเอกส่องเลนส์ไป บางวงแค่มีรอยบางๆ แต่บางจุดที่โฟกัสพอดีจะไหม้เกรียมดุจโดนฟ้าผ่า จุดที่โฟกัสเริ่มเข้าไกล้กลุ่มควันแป้งสีขาวเรื่อยๆ น้ำอ้อยที่เห็นจุดโฟกัสมุ่งมาทางตนแลยกระโดดหลบ แสงที่เกิดจากการรวมความร้อนเลยเผามดที่กำลังตามก้นน้ำอ้อยมานั่นเอง อำนาจความร้อนอาจจะรุนแรง แต่ความมุ่งมั่นของทหารมดดำไม่ใช่อะไรที่จะสบประมาทได้เลย มันยังคงไล่ตามน้ำอ้อยทั้งๆที่ตัวเองมีไฟลุกไหม้ ราชีนีแห่งอาณาจักรมดจะไม่ยอมให้ใครต้องตายฟรี ผู้บุกรุกต้องจ่ายทุกความเสียหายทุกชีวิตที่สิ้นลมและการล่วงล้ำทุกก้าวของพวกมัน ด้วยทุกอย่างที่มันมีโดยไม่มีข้อยกเว้นและราคาที่ไม่มีใครจ่ายไหว
คำสั่งพิเศษตรงจากผู้เป็นจ้าวทำให้การต่อสู้กับกองทัพมดในตอนนี้เป็นเรื่องยากลำบากมาก
"อ้ากกกกก"หมวดเอกกำลังทึ่งกับความทรหดของมดดำจนลืมดูทาง เผลอสะดุดก้อนหินจนล้มกลิ้งหัวคะมำ แว่นของกอล์ฟกระเด็นหลุดมือขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะตกลงมาอยู่หน้าหมวดเอก หมวดเอกกำลังคลานเข้าไปหาแว่นจนมีเงาดำอยู่เหนือหมวด
"ซวยแล้วไง"หมวดเอกกำลังโดนมดดำตัวหนึ่งเข้ามากัด และตอนนี้มันเล็งที่หัว หากโดนตรงๆอาจไม่รอดเพราะมดมีกรามที่แข็งแรงมากและพิษของมดก็ไม่ใช่เล่นๆ
เปรี้ยงงง!!! ลิ้นของน้ำอ้อยตวัดใส่เจ้ามดดำจนมันกระเด็นหงายหลังไป เธอรีบพุ่งลิ้นใส่แว่นของกอล์ฟแล้วชูขึ้นไปในอากาศ แสงจากแฟลชพุ่งตรงเข้ามาหาแว่นจนมันรวมจุดโฟกัสไปยังมดดำตัวที่หงายท้อง
"นี่น้ำอ้อย รวมแสงไปที่กลุ่มควันตรงนั้น"หมวดเอกตะโกน น้ำอ้อยกระโดดขึ้นไปในอากาศด้วยขากบทรงพลังที่ออกแบบมาเพื่อการกระโดด จุดโฟกัสเรื่มเข้าไกล้กลุ่มควันเรื่อยๆจนในที่สุด เกือบจะเข้าไปถึงแล้ว แต่สิ่งหนึ่งพุ่งออกมาจากกลุ่มควันสีขาวมันกระพือปีกจนกลุ่มควันที่จางเกือบจะหมดแล้วฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าหญิงมดดำผู้ทรหด มันล้างเอาน้ำลายเหนียวๆออกไปจากปีกสำเร็จแล้วแล้วตอนนี้ออกมาลุยด้วยตัวนางเอง นางพญาส่งนางมาเพื่อบัญชาทัพ แต่บางครั้ง แม่ทัพต้องเข้าลุยด้วยตัวเอง
"กรี๊ดดด"น้ำอ้อยโดนนางมดดำเอาหัวอัดใส่ท้องจนจุก แว่นกระเด็นหลุดมือระหว่างที่แว่นลอยคว้างไปมาในอากาศ มันบังเอิญตั้งองศาเหมาะเจาะกับแสงแฟลชเข้าไปในกลุ่มควันแป้งพอดี ทันทีที่เกิดประกายไฟตรงกลุ่มฝุ่นแป้งนั้น มันก็เกิดแสงสว่างจ้าออกมาจากกลุ่มแป้งนั้นชนิดที่ว่าแสงแฟลชไม่อาจเทียบได้
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ทั่วผืนป่าต้นไม้ตายและหุบเขาดงโขมดเย็นได้ยินเสียงนี้ มันดังไปถึงกองพันจนสารวัตรเกรียงไกรต้องออกมาดู แรงระเบิดอัดฝูงมดที่อยู่ตรงนั้นจนกระจุยกระจายแหลกเหลว ซากมดไหม้เกรียมร่วงลงมาจากท้องฟ้าราวกับสายฝน ทุกอย่างที่ขวางทางการระเบิดจะถูกพลังงานจลน์อัดกระจุยและพลังงานความร้อนแผดเผาจนสุกกรอบหอมกรุ่น เนื่องจากระเบิดส่งพลังงานและสะเก็ดขึ้น45องศา น้ำอ้อยและเจ้าหญิงมดที่ลงไปกองอยู่กับพื้นอยู่ก่อนแล้วจึงได้รับบาดเจ็บไม่มาก น้ำอ้อยที่มีบางส่วนเป็นกบรับมือกับความร้อนได้ไม่ดีนัก ผิวหนังส่วนที่เป็นสีเขียวของเธอแห้งและเริ่มแตกจนมีเลือดไหลเป็นบางส่วน หมวดเอกที่ยังไม่ได้ลุกและอยู่ห่างจากการระเบิดก็รอดเช่นกัน
"ได้โอกาสแล้ว วิ่งไปเลย"หมู่โบกี้สั่งแล้วทุกคนที่มากับหมู่หมูมะนาวต่างก็วิ่งกันสุดชีวิตเพื่อไปให้ถึงดวงดาว(เป้าหมาย) แต่แล้วสายฝนแห่งไฟก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากฟ้า ชิ้นส่วนของมดที่ติดไฟค่อยๆทยอยร่วงลงมา คนในหมู่หมูมะนาวต่างได้รับแผลไฟไหม้กันถ้วนหน้า ระเบิดฝุ่นเองก็แรงพอที่จะทำให้โรงงานทั้งโรงกลายเป็นซากไหม้ๆที่เหลือแต่ตอภายในไม่กี่นาที ฝูงมดที่โดนแรงระเบิดฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจึงเป็นสะเก็ดระเบิดแทน
"กรี๊ดดดดดดดด!!! อ้าาาาาาาาา!!!"เจ้าหญิงผู้พ่ายแพ้กู่ร้องด้วยความคับแค้น ลูกน้องของเธอถูกสังหารจนแทบสิ้น เธอทำให้ราชีนีผิดหวัง และที่แย่ที่สุด เธอทำให้แม่ของเธอผิดหวัง ทั้งๆที่เป็นมดตัวพิเศษแต่กลับไม่สามารถปกป้องแผ่นดินจากเหล่าไพรีได้ เรื่องที่จะไปตั้งรังมดของตนเองไม่ต้องพูดถึงเลย เธอปลดปล่อยความโกรธเกลียดของเธอทางกำปั้นทั้ง4ของเธอใส่น้ำอ้อยไม่ยั้ง กำปั้นแข็งๆที่หุ้มด้วยเปลือกแบบแมลงกระหน่ำใส่หน้าน้ำอ้อยจนกระเด็นไปไกลพอสมควร ก่อนที่จะบินหนี้พวกที่เหลือที่จะตามมาช่วยน้ำอ้อย แต่ความอัปยศยังไม่หมดเพียงเท่านี้
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!
ลูกระเบิดRPGที่ตอนแรกยิงไปแล้วด้านกลับมาระเบิดได้อีกครั้งเพราะความร้อนและแรงดันของระเบิดฝุ่น การหน่วงเวลาของระเบิดด้านที่เหมาะเจาะนี้ทำให้ว่าที่ราชีนีผู้อาภัพต้องบาดเจ็บสาหัสขณะที่บินผ่าน แรงระเบิดอันเธอจนกระเด็นติดต้นไม้เนื่องจากตอนบินผ่ายเธอหันหลังให้จึงทำให้ปีกของเธอไหม้เกรียมกลายเป็นรูปทรงคล้ายๆกับแผ่นเบค่อนงอๆไหม้ๆ นางมดดำตัวนี้บินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และแผลหลายจุดบนร่างกายทำให้เธอสู้ต่อไม่ได้อีกจึงต้องนอนอนาถมองเหล่าผู้บุกรุกผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ หัวใจและร่างกายของเจ้าหญิงมดดำเจ็บช้ำจนนางไม่อยากจะมีชีวิตต่อ ความมั่นใจที่เคยมีแหลกสลายหายไปกับการต่อสู้อันน่าอดสู มดดำที่เหลือรอดค่อยๆลากตัวเธอหายไปในแมกไม้อย่างช้าๆ น้ำตาแห่งความอัปยศของลูกผู้หญิงหยดเป็นทางหายไปในป่า พร้อมกับกองทัพมดที่ได้รับคำสั่งให้ถอยทัพเต็มกำลังและปลีกลี้หนีหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับตอนที่พวกมันมา
"เราชนะแล้ว ได้ยินมั้ย เราชนะสงครามนี้อย่างสมบูรณ์แล้ว"หมวดเอกตะโกนก้องให้ทุกคนในหมู่หมูมะนาวรู้ เขามองไปที่มดบินที่สะบักสะบอมตัวนั้น สายตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและมุ่งร้าย แปรเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความผิดหวังในตัวเองและความทุกข์ทรมาณ หมวดเอกเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วม แต่หมู่โบกี้ไม่
"ฮ่า หนีไปเซ่ หนีไปแบบแมลงชั้นต่ำที่พวกแกเคยเป็น ยังเป็น และจะเป็นไปตลอดกาล บอกแล้วว่าอย่ามาแหย็มกับคน ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครอยู่เหนือกว่าในห่วงโซ่อาหาร บินได้ก็ไม่ได้แปลว่าไอ้มดกากๆต่ำๆอย่างพวกแกจะพ้นจากการคลานไปมาบนดินบนโคลนหรอกนะเฟร้ยยย อยากผงาด อยากรุ่งโรจน์ นี่คือราคาที่ไอ้แมลง6ขาฝันหวานแบบพวกแกต้องจ่าย ไปเซ่ ไปเลย แล้วอย่ากลับมาให้เห็นหน้าอีกนะ พะยะค่ะ!!! ถุย!!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า"หมู่โบกี้เป็นพวกที่สามารถระบายความเครียดและทุกข์ของตัวเองได้ด้วยการกดให้คนอื่นต่ำกว่าตัวเองแล้วมโนไปว่าตัวเองสูงส่ง เยาะเย้ยถากถางผู้อื่นเป็นสิ่งที่หมู่ถนัดพอๆกับการโม้ น้ำใจนักกีฬาไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในตัวโบกี้ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นหรือยกย่องผู้อื่นโดยไม่มีประโยชน์แอบแฝงก็เช่นกัน หมู่โบกี้ส่งสายตาเหยียดและยิ้มกวนประสาทในระดับที่หยามศักดิ์ศรีแบบที่ไม่มีใครทำได้หรืออยากทำ เรื่องการสร้างศัตรูไปทุกหย่อมหญ้า(แบบจงใจ)หมู่โบกี้ไม่แพ้ใคร
"ได้ที่ขี่แพะไล่ใหญ่เลยนะ สถุลไม่เคยเปลี่ยนแปลงจริงๆ"จ่าปลาว่า ทำหน้าเอือมระอากับหมู่โบกี้ คนๆนี้ชอบกระทืบซ้ำทุกอย่างที่ล้มโดยปราศจากเหตุผล น่าจะเป็นเพราะทางบ้านไม่ได้สั่งสอนมากระมั้ง
"ขอบใจมาก จะถือว่าเป็นคำชมนะ"หมู่โบกี้รับมุขก่อนที่จะเดินทอดน่องชมบรรยากาศแห่งความสูญเสีย ถึงแม้จะเป็นคนหยาบๆเถื่อนๆ แต่หมู่โบกี้ก็ไม่ได้ชื่นชอบการทำลายซักเท่าไหร่ เขามองไปรอบๆ รู้สึกเสียดายผืนป่าที่ถูกเปลวไฟและเพลี้ยยักษ์ผลาญทำลาย สถาณที่อันเปี่ยมด้วยความอุดมสมบูรณ์ตอนนี้กลายเป็นแผ่นดินแดนแห้งผากที่มีแต่ความเจ็บปวดและควันไฟ การทำลายและภัยสงคราม ทุกอย่างมอดไหม้หายไปกับตาด้วยน้ำมือของสิ่งประหลาดที่อยู่ในบ้านประหลาด(และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยน้ำมือของหมู่หมูมะนาวขณะที่สู้รบกับฝูงมดด้วยกลศึกไฟ)
"ไปต่อกันดีกว่า เราควรจะไปให้ถึงเป้าหมายก่อนที่จะค่ำ เราไม่รู้ว่ากองทัพมดจะกลับมาเมื่อไหร่ หยุดพูดพร่ำทำเพลงแล้วออกเดินทาง"หมวดเอกบอก ขยับหมวกลงเล็กน้อยแล้วออกเดินต่อ ทุกคนต่างมองทำหน้าจ๋อย พวกเขาเหนื่อยมาก อยากพักมากด้วย แต่การขัดคำสั่งหมวดเอกไม่ใช่สิ่งที่ฉลาด ที่สำคัญ สิ่งที่หมวดเอกทำมีเหตุผลที่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ พวกมดอาจจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ และเราบอบช้ำเกินกว่าที่จะไปซดกับขุนพลตัวใหม่ของมัน คนไม่กี่คนล้มทั้งอาณาจักรไม่ได้ นี่เป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ กระสุนปืนอาก้าที่มีอำนาจสังหารรุนแรงหมดเกลี้ยงแล้ว เช่นเดียวกับกระสุนจรวดRPGการต่อสู้กับอสูรกายต่อไปนี้คงจะลำบากกว่าเดิม ปืนลูกซองโง่ๆที่มีกระสุนเหลืออยู่ไม่ถึง10นัด เลื่อยไฟฟ้าหนึ่งอันแถมน้ำมันก็หมดแล้วด้วย เสบียงยังพอมี แต่กระสุนสำหรับต่อสู้แทบไม่เหลือ เรายังไม่รู้ว่ามีอะไรรอเราอยู่ในผืนป่าแห่งความแปดเปื้อนแห่งนี้
"แล้วเราจะสู้กับ. . .อะไรที่จะโผ่ลมากินเราได้อีกหรือเปล่า กระสุนที่มีพลังต่อสู้แรงๆก็เกลี้ยงแล้ว ยิ่งเข้ามาลึกก็ยิ่งงัดด้วยยาก"หมู่โบกี้ถามหมวดเอก ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจกับชะตาชีวิตที่จะไปต่อในอนาคต
"ฟังนะ ภารกิจของเราคือ สืบหาต้นตอของเหตุการณ์ประหลาดในหุบเขานรกแตกนี้ ไม่ใช่สู้กับสัตว์ประหลาด เลี่ยงได้ก็เลี่ยง เราจะให้น้ำอ้อยนำทางเราไปในทางที่ปลอดภัย และคราวนี้อย่าทำอะไรบู่มบ่ามแบบที่จ่าปลาทำด้วย"หมวดเอกหันไปพูด จ่าปลากลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ หัวเราะแก้เกี้ยวแล้วเดินต่อ
"แล้วเนยหล่ะลุกไหวป่าว"จ่าปลาหันกลับไป เนยยังไม่รู้สึกตัวเนื่องจากฝืนขีดจำกัดของร่างกายไปมากจากการวิ่ง สงสัยเราจะให้พวกนักข่าวเผือกนิวส์ทำงานหนักเกินไป แต่จะว่าไปก็ไม่มีใครเรียกร้องความสนใจได้ดีไปกว่าอาชีพนักข่าวแล้ว ที่นี่เป็นสถาณที่ที่ทุกคนต้องงัดจุดเด่นมาเพื่อทำให้ตัวเองอยู่รอด
"ตอนนี้เราจะไปไหนต่อนะน้ำอ้อย"หมวดเอกถามน้ำอ้อยที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม เด็กสิบขวบที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ผิดธรรมชาติ การต่อสู้ และภัยสงคราม การที่เธอไปจับเพลี้ยแป้งและสู้กับขุนพลแห่งอาณาจักรมดดำเป็นงานที่เสี่ยงมากสำหรับเด็ก แต่ด้วยความเร็วและความสามารถแบบกบของเธอทำให้การทำภารกิจนั้นเป็นของเธอ ท่ากระหน่ำหมัดของเจ้าหญิงมดเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเจ็บหนักพอสมควร แต่ไม่เท่าที่พวกมดเจอหรอก
"ก็ อ๊บ ต่อไปก็ที่สวนเห็ด ทางลัดที่จะไปถึงบ้านประหลาดครึ่งวงกลม"น้ำอ้อยตอบเสียงอ่อย หน้าฟกช้ำ ตาปูดข้างนึง มีรอยช้ำหลายส่วนบนร่างกายและมีร่องรอยผิวแตกเพราะความร้อนแต่ว่าเธอยังไปต่อไหว
"แล้วพวกเราจะแวะทำแผลหรือเปล่า"จ่าปลาผู้ซึ่งเคยทำงานเป็นหน่วยพยาบาลเสนอ ทุกคนสภาพดูไม่จืดเลยแม้แต่น้อย แผลไฟไหม้และรอยมดกัดเต็มร่างกายหลายส่วนของผู้ร่วมหมู่ ร่างกายฟกช้ำดำเขียวและร่องรอยการต่อสู้เป็นเครื่องยืนยันถึงความถึกทนของคนเหล่านี้ ไม่มีใครแข็งแกร่งแต่เกิด พวกเขาต้องผ่านการสู้รบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนกว่าจะมาถึงจุดที่ผ่านเปลวไฟและบาดแผลแต่ยังเดินต่อได้แบบนี้
"ดีเหมือนกันแผลจะได้หายเร็วและไม่ติดเชื้อ แต่ว่าต้องออกจากอาณาเขตของมดไปก่อน มดน่าจะไม่ชอบที่ๆมีน้ำ เราต้องไปแถวๆที่มีน้ำถึงจะปลอดภัย"หมวดเอกตอบแล้วเดินต่ออย่างองอาจดุจราชสีห์ที่มีเกียรติ
"เออ แล้วแว่นผมหละหมวด เดินโดยไม่มีแว่นแล้วผมมองทางไม่เห็น"ไอ้กอล์ฟท้วง กอล์ฟเป็นคนสายตายาวตั้งแต่หนุ่ม คาดว่าจะเป็นกรรมพันธุ์
"ใครเก็บแว่นไว้บ้าง"หมวดเอกรีบหันกลับไปถามลูกหมู่
"แว่นพี่อยู่ที่หนู"น้ำอ้อยตอบก่อนที่จะยื่นแว่นของกอล์ฟคืน แว่นที่ตอนเต็มไปด้วยรอยร้าวและชุ่มไปด้วยน้ำลายกบเหนียวหนืด กอล์ฟพยายามที่จะเช็ดแว่นของเขาแต่ทำยังไงก็ไม่สามารถขจัดคราบน้ำลายเหนียวๆนี้ไปได้ ตอนนี้คณะหมูมะนาวกำลังตรงไปยังแหล่งน้ำที่ไกล้ที่สุดเพื่อทำแผล ร่างกายของชาวหมูมะนาวบอบช้ำจากการต่อสู้มามากพอสมควร และการที่มีแผลติดเชื้อเป็นเรื่องแย่อันดับต้นๆของการเดินทางไกล
"จะว่าไปก็สงสารพวกมดมันเหมือนกันนะ"จ่าปลาพูดขณะที่มองร่องรอยความเสียหาย การระเบิดของฝุ่นนั้นแรงมาก ขนาดเดินมาไกลขนาดนี้ยังเห็นซากมดไหม้เกรียมและร่องรอยของไฟเป็นหย่อมๆ ร่างไร้วิญญาณของเพลี้ยอ่อนกับเพลี้ยแป้งที่กองพะเนินอย่างน่าอนาถ ความวิบัติของธรรมชาติทำให้แผ่นดินนี้กลายเป็นดินแดนที่ไม่สงบ เส้นทางของการเป็นเจ้าหน้าที่สายบู๊คือเส้นทางแห่งการฆ่าฟันและทำลายชีวิตเพื่อปกป้องชีวิตอื่นๆ จ่ารู้ดี แต่ว่าการที่ต้องมาเห็นความบอบช้ำของธรรมชาติแบบนี้มันชวนให้หดหู่จริงๆ
"ทำไมต้องสงสาร มันเกือบจะฆ่าเราแล้วนะ"หมู่โบกี้พูดห้วนๆ เขาไม่เคยเห็นใจศัตรูจะว่าใจดำเขาก็ไม่ว่า แต่การอยู่รอดนั้น เราต้องสู้ไม่ว่าสิ่งที่เราสู้อยู่นั้นจะมีประวัติรันทดแค่ไหน
"ก็จะว่าไปนะ เราทำลายแหล่งอาหารของพวกเค้า ฆ่าพวกเค้า แล้วก็เผาบ้านพวกเค้า ทำร้ายลูกพี่ของพวกเค้าซะเยินแบบดูไม่ได้ ก็ไม่แปลกที่พวกมดจะโกรธ"จ่าปลาพูด เธอเห็นสายตาที่คล้ายกับคนของว่าที่นางพญาตัวนั้น มันบ่งบอกถึงความคับแค้น พวกมันคิดว่าตนเองเป็นเหยื่อและต้องการทวงความยุติธรรมของพวกมันคืน
"จริงๆ พวกมดที่จ่าว่าก็น่าสงสารจริงๆนั่นแหละ แต่ว่านะ ในธรรมชาติการฆ่ากัน แย่งชิงกัน ก็เป็นเรื่องปรกติ หน้าที่ของเราคือปกป้องผืนป่า มดพวกนั้นมีขนาดผิดปกติไปเยอะแถมสัตว์เลี้ยงของมันกำลังทำลายป่านี้จนหมดสิ้น เราไม่สามารถทำให้ทุกคนสมหวังได้หรอก แฮปปี้เอ็นดิ้งที่ทุกคนกอดคอร้องเพลงมันก็เป็นแค่เทพนิยาย ของจริงคือสิ่งผิดปกติต้องถูกควบคุมตามกลไกของธรรมชาติ และเราเองก็คล้ายๆว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่ว่านั้น"หมวดเอกอธิบาย นิทานเรื่อง ชาวนา ลูกชาย และ ลา สอนว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนถูกใจได้ ต่อให้พยายามเท่าไหร่ มันก็ยังมีคนไม่พอใจอยู่ดี ธรรมชาติก็เช่นกัน มันต้องมีผู้ที่ถูกกินและได้กิน ผู้ที่ถูกฆ่าและเป็นผู้ฆ่า ผู้อยู่รอดและผู้ที่ไม่ได้ไปต่อ ผู้ที่ยังดำรงอยู่และดับสูญ ไม่ว่าจะทำยังไง อาหารในระบบนิเวศไม่พอสำหรับมดพวกนั้นแน่ การคงอยู่ของผืนป่านี้อาจต้องแลกมากับความอยุติธรรมต่อพวกมด มันคุ้มกันหรือเปล่า คำตอบที่น่าเศร้าคือ คุ้มค่า
"เฮ้ออออ"จ่าปลาถอนหายใจ ผืนป่าแห่งความโหดร้ายนี้ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนผู้คนและสิ่งมีชีวิตให้กลายพันธุ์แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ผิดปกติ แต่ยังบิดเบือนจิตใจของผู้คนด้วยการตัดสินใจที่ขัดต่อศิลธรรม ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกชมรมโลกงดงาม ที่นี่เป็นที่ของสิ่งชั่วร้ายเลวทราม อสูรกาย และนักฆ่าเดนตาย ความเลือดเย็นและการตัดสินใจที่เด็ดขาดเป็นสิ่งที่ต้องใช้ยามที่ย่างกรายเข้ามาในแดนเถื่อนแห่งนี้
"ไม่เป็นไรหรอกจ่า เดี๋ยวพอกลับไปหมู่จะพาจ่าไปเข้าวัดเข้าวาหรือไถ่ชีวิตโคกระบือเผื่อจะทำให้จ่ารู้สึกดีขึ้นได้ หมู่รู้ตัวดีว่าหมู่อาจจะไม่ใช่คนจิตใจงดงามหรือเป็นคนดีแต่ว่า หมู่ก็ไม่มองข้ามความรู้สึกของพวกพ้องหรอกนะ"หมู่โบกี้ได้โอกาสก็โชว์ความเป็นพระเอกออกมาเผื่อว่าภาพลักษ์ด้านลบของหมู่โบกี้จะจางลงบ้าง คราวนี้พูดด้วยเสียงหล่อเป็นพิเศษ
"ขอบใจนะโบกี้ แต่ว่านะ จ่าผิดเองแหละที่ไปลุยเพลี้ยก่อน ทั้งที่เป็นคนเริ่มก่อนแท้ๆแต่ดันรู้สึกแย่ซะงั้น ฮะ ฮะ ฮะ"จ่าปลาเริ่มรู้สึกดีขึ้นเมื่อมีคนปลอบใจ แล้วก็หัวเราะแก้เขิน
"กิ้วๆๆๆๆ"พวกมอดไม้เอาอีกแล้ว
"โรลเลอร์โคสเตอร์"หมู่โบกี้หันหลังไปทำตาลุกวาว อีกแล้ว
"พอเหอะ นี่ยังเละไม่พออีกหรือไง หมวดอยากอยู่สงบๆซักชั่วโมงโดยไม่ต้องหนีสัตว์ประหลาดหรือ สู้รบกับโจรผู้ร้าย หรือ ต้องมาห้ามพวกแกทะเลาะกัน เดี๋ยวรอให้ทำแผลเสร็จก่อนค่อยกัดกันก็ยังไม่สายนะ"หมวดเอกรำคาญมุขไม่ฮาพาเพื่อนเครียดของหมู่โบกี้เสียเหลือเกิน จะว่าไปยิ่งเข้ามาในป่านี้นานเท่าไหร่ หมู่เราก็ยิ่งมีความเป็นผู้ใหญ่น้อยลงทุกที ความปัญญาอ่อนค่อยๆครอบงำ แต่หมวดเอกก็รู้ว่าความปัญญาอ่อนและมุขตลกนี่แหละที่ยั้งไม่ให้หมู่เราเครียดตายเรียงคน
"ได้ แล้วไกล้จะถึงหรือยังหละ น้ำอ้อย แหล่งน้ำที่ว่าเนี่ย มันเป็นยังไงนะ"หมู่โบกี้เริ่มใจร้อน
"ก็ประมาณว่าเป็นแม่น้ำแห่งนึง ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ อยู่ข้างๆสวนเห็ด"น้ำอ้อยบอกทำหน้ายิ้มน้อยๆ เธอต้องการน้ำเช่นเดียวกับกบทั่วไป ผิวแห้งแล้วมันจะเจ็บ การที่ผ่านดินแดนแห้งผากและกลศึกเพลิงไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อสุขภาพของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำนัก เธอหิวน้ำมากแล้วก็อยากแช่น้ำเย็นๆซักพักก่อนที่จะเดินทางต่อ
"เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ ในที่สุดเราก็ไม่ต้องเจออะไรที่มัน พิเศษ แล้ว ขออะไรธรรมดาซักหน่อยเหอะ ซักนิดก็ดีจะได้พักประสาทมั่ง"จ่าปลาพูดแล้วทำหน้าเหมือนกับว่ากำลังประสาทเสีย คนอื่นๆที่เดินตามมาก็พยักหน้าหงึกๆอย่างพร้อมเพรียง แม้ว่าจะวิ่งกันจนหอบเป็นหมาหน้าร้อน แต่นักข่าวสาวแห่งเผือกนิวส์ เนย ไม่เคยเข็ด เธอยังอยากได้อะไรที่ท้าทายแม้ว่าที่ผ่านไปเมื่อกี้ท้าทายมากจนเธอสลบคาพื้น ภาพหลายภาพที่เธอจะขายได้ในราคาชวนอึ้ง การผจญภัยที่เธอจะไปโม้แหลกสาแหรกขาดให้ประชาคมโลกฟัง ตอนนี้เธอกำลังคิดว่าหากเธอนำตัวอย่างของน้ำอ้อยหรือตัวอะไรซักอย่างกลับไปแบบเป็นๆได้ เธอจะโด่งดังราวกับดาราหนัง ดังยิ่งกว่าพลุ ดังยิ่งกว่าเครื่องเจ็ตเครื่องบิน ดังยิ่งกว่าปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยาน ดังยิ่งกว่าลำโพงคอนเสิร์ต ดังจนไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อมีชื่อเสียง เงินทองก็จะไหลตามมา เธอจะได้เติมเต็มชีวิตอันอดอยากและขาดแคลนของนักข่าวสายธรรมชาตินี้ซักที งานนี้จะพลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
"จริงๆก็อยากเห็นอะไรเด็ดๆที่สวนเห็ดบ้างหละนะ อย่างเห็ดหอมยักษ์ เผื่อจะได้เอาไปทำพันธุ์ จริงๆถ้าหากมันไม่มีพิษก็อาจจะเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ได้เลยนะนั่น เนอะน้ำอ้อย"เนยพูดอย่างอารมย์ดี ผิดกับคนอื่นๆลิบลับ เธอเป็นเหมือนผีเสื้อท่ามกลางหมู่มดงานอมทุกข์ ไม่เคยเลยที่จะสลดแม้ว่าจะเผชิญกับภัยอันตรายอะไรก็ตาม
"ช่าย พืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ แล้วคนก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดกันเป็นเบือ"ไอ้ชาติพูด จ่าปลาเตะขาไอ้ชาติให้หุบปากโง่ๆก่อนที่จะเกิดเรื่อง
"สัตว์ประหลาด? หนูว่าไม่น่าเกี่ยวนะ"น้ำอ้อยผู้ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรถามขึ้น
"พี่คนนี้เค้าดูการ์ตูนเยอะไปก็เลยเก็บเอามาพูดในชีวิตจริงหนะ"จ่าปลารีบแก้ตัวแทนไอ้ชาติแล้วหันไปทำหน้าดุใส่ ชาติผู้ไม่ประสีประสากำลังจะเถียงแต่จ่าเหยียบเท้าให้ชาติเงียบ
"จริงๆ เห็ดไม่ใช่พืชนะ เป็นฟังไจ กลุ่มสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่แตกต่างจากพืชและสัตว์"หมู่โบกี้มาเบี่ยงประเด็น
"อ่าวไม่ใช่พืชเหรอ เข้าใจผิดไปตั้งนาน เห็นทุกคนที่หมู่บ้านบอกว่าเป็นพืช"น้ำอ้อยถาม ทำหน้างง ตามจริงในหลายๆสถาณที่ห่างไกลความเจริญและการศึกษาเข้าได้ไม่ถึงนัก ยังมีความรู้ผิดๆอยู่หลายๆเรื่องเช่นสับสนว่าเห็ดเป็นพืชหรือคิดว่าลิงลมเป็นลิง
"ไม่ใช่จร้า นี่หนูได้เข้าโรงเรียนหรือเปล่าเนี่ย"ไอ้กอล์ฟถาม มองไปทางพรรคพวก รู้เลยว่าไอ้ชาติก็ไม่รู้ความจริงข้อนี้เหมือนกัน และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย
"จริงๆก็ได้เข้าจน . . . พ่อแม่หนูต้องเข้าไปทำงานในเมือง แล้วหนูก็เลยมาอยู่กับยายแม้นไง เห็นอย่างงี้หนูก็ท่อง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูกได้นะ ABC ก็ท่องได้"น้ำอ้อยอวดแบบเด็กๆอวดกัน
"เก่งหว่ะ"ไอ้ชาติบอก ทันใดนั้นทุกคนก็หันมามองหน้าไอ้ชาติเป็นตาเดียว ในสายตาเปี่ยมไปด้วยความเคลือบแคลงใจ เพื่อนร่วมหมู่ที่ท่องพยัญชนะไม่ได้นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เหล่าผองชาวหมูมะนาวตั้งท่าพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนกับนักวิ่งตั้งท่าพร้อมออกว่าที่จุดสตาร์ท ทุกชีวิตลุ้นกันราวกับกำลังประกาศผลฉลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนึ่ง
"นี่แกท่องไม่ได้เหรอ"กอล์ฟถาม ทำหน้าแปลกใจ
"เออ ได้สิ นี่หมายถึงเก่งสำหรับเด็ก10ขวบหนะ"ชาติรีบแก้ตัวให้ตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าเขาท่องได้หรือเปล่าแต่น่าจะได้อะนะ ถึงจะไม่ได้มีปัญญาหลักแหลมหรือมีสามัญสำนึกเทียบเท่ากับคนอื่นๆ แต่ชาติก็ฉลาดพอที่จะอ่านหนังสือออก
"แล้ววววว นี่เราจะถึงแม่น้ำยัง"กอล์ฟช่วยชาติเปลี่ยนเรื่อง ทำหน้าเฉยเมย แต่จริงๆแล้วเขาเองก็อยากไปที่แม่น้ำนั่นใจจะขาด ทัศนวิสัยผ่านแว่นเหนียวๆเหมือนตกลงไปในหม้อน้ำเชื่อม ทุกอย่างที่มองผ่านแว่นเขรอะๆบิดเบี้ยวและเบลอ เหมือนกับมองสิ่งที่อยู่หลังม่านน้ำตกขุ่นๆ การเดินทางทั้งอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลยสำหรับคนที่มีปัญหาด้านสายตา
"ถึงแล้วจร้าาาา นี่คือแม่น้ำธรรมด้าธรรมดาที่พวกพี่ๆถามหา ว่าแล้วก็ลงน้ำก่อนนะ"น้ำอ้อยกระโจนลงน้ำตู้มใหญ่แบบที่เด็กๆมักจะทำเวลาไปเที่ยวสวนน้ำ แต่ด้วยกายวิภาคของน้ำอ้อย เธอสามารถกระโดดสูงๆแล้วลงน้ำได้ดีกว่าที่คนปกติจะทำได้
โป๊กกกกกก!!!!! แอ๊บบบ!!!
ถ้าหากแม่น้ำที่น้ำอ้อยพูดถึงไม่ได้ตื้นแค่เข่าแล้วเธอดันลืมไปอะนะ น้ำอ้อยได้ตัวเปียกสมใจอยากแต่ก็ได้หัวโนเพิ่มมาอีกลูก
"แหง็กมั้ยหละลูก ลงดีๆโลกไม่จำ"หมู่โบกี้แซะก่อนที่สมัรคพรรคพวกของหมู่จะลงไปขำกลิ้งกับพื้น จ่าปลาได้แต่ทำหน้าเบ้ ประมาณว่า ให้ตายเถอะ
"พักกินข้าวววววววว"ไอ้ตือร้องสุดเสียง เขาคนนี้หิวมาตลอดทางแล้วตอนนี้เขาอยากกินอะไรเต็มทนแล้ว ต่อให้มีพายุถล่มสึนามิพุ่งมาหรือแผ่นดินทลายก็หยุดความโมโหหิวของไอ้ตือไม่ได้แล้ว ร่างอ้วนฉุของเขาสามารถใช้ความเร็วได้อย่างเหลือเชื่อเมื่อเขากำลังหิวจัดเกินพิกัด
"อ๊ะ อ๊ะ"หมู่โบกี้ส่งเสียงเรียกความสนใจ
"อะไรอีก หละ"ไอ้ตือทำหน้าหงอยเหมือนหมาโดนทำโทษ
"ล้อเล่นนนน ม่ะ กินข้าวกันเถอะ"หมู่โบกี้ปล่อยให้ลูกน้องทั้งหลายได้รีแลกซ์แบบที่ทุกคนต้องการ ทุกคนร้องเฮ้ก่อนที่จะกระจัดกระจายไปทำธุระของตน กอล์ฟลงน้ำไปล้างแว่นโสโครกของตัวเองทันที ไอ้ตือตั้งหม้อต้มบะหมี่โดยพลัน ไอ้ชาติเองก็เอากิ่งไม้ใบไม้มาทำฟืนก่อนที่จะจุดไฟอย่างรวดเร็ว ไอ้กรอบวางสัมภาระก่อนที่จะลงไปกองนอนอยู่กับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน เนยกับสมบัติก็เอากล้องสุดมหัศจรรย์มาดูผลงานอย่างชื่นชมและละเอียดละออ หมู่โบกี้เองก็ลงไปนั่งข้างกองไฟอย่างผ่อนคลาย นอนพักผ่อนแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้ว จ่าปลากำลังทำแผลให้หมวดเอกอยู่ หลายคนได้รับบาดเจ็บแต่พยาบาลมีคนเดียวเลยต้องต่อคิว คนที่ได้รับบาดเจ็บกว่าใครก็หมวดเอกกับน้ำอ้อย แต่น้ำอ้อยอยากแช่น้ำก่อน หมวดเอกเลยได้คิวก่อน ส่วนไอ้ต้นกับไอ้ขาวต่างก็เหนื่อยไม่ต่างจากไอ้กรอบ เจเนอรัลเบ๊ทั้ง3ลงไปนอนทับๆกันอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมไหนๆ ทุกคนกำลังพักเบรคจากศึกอันหนักหน่วงแบบที่ไม่มาวิ่งเองก็ไม่มีทางเข้าใจ ร่างกายที่ผ่านคมเขี้ยว เปลวไฟ และ การออกกำลังกายแบบหักโหมต้องการพักผ่อนก่อนที่จะพังยับเยิน
"จะว่าก็ว่านะ จ่าว่าเราลืมอะไรไปบางอย่าง"จ่าปลาพูดระหว่างที่กำลังหยอดยาแดงใส่แผลมดกัดของหมวดเอก แผลมดกัดนี้ใหญ่กว่ามดทั่วไปตามขนาดของมดดำยักษ์ กัดทีเลือดซิบเลย ไม่เพียงแต่แผลมดกัดที่น่าห่วง แต่รอยฟกช้ำจากการล้มลุกคลุกคลานและแผลไฟไหม้จากสะเก็ดระเบิดและกลศึกไฟที่ย้อนกลับมาหาผู้สร้างผ่ากกระแสลม
"เออจ่า เราลืมอะไรเหรอ หมวดก็รู้สึกแต่จำไม่ได้ว่าเป็นอะไร"หมวดเอกเกาคาง
"โฮ่ง แฮ่ บ๊อกๆๆๆ"เสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากหลังต้นไม้
"อ้อ ฟองดูไง น่าเสียดายที่ตอนวิ่งหนีเจ้าแมวมหึมาหน้าเหียกหมอไม่รับเย็บนั่นฟองดูมันวิ่งเตลิดหายสาบสูญไปเลย น่าสงสารเนอะ ตอนนี้จ่ายังได้ยินเสียงของมันอยู่เลย"จ่าปลาพูด หมู่ของเราเห็นฟองดูครั้งสุดท้ายก็ตอนที่กำลังเอาชีวิตรอดจากวิฬาหน้าผีตัวนั้น หลังจากที่หลุดไปที่โรงเลื่อยทุกอย่างก็เบลอไปหมด ไม่มีใครนึกถึงเจ้าหมาน้อยผู้เป็นมิตรจนเกินงามตัวนั้น ขนสีน้ำตาลเหลืองนุ่มๆและลมหายใจอุ่นๆของมันเหมือนกับว่ามันกำลังอยู่ข้างๆจ่าปลาเลย
"แพลบๆๆ แฮ่ๆๆ"มันอยู่ข้างจ่าปลาจริงๆ แถมเลียหน้าแพลบเบอเริ่ม หน้าจ่าปลาเหนียวไปด้วยน้ำลายเจ้าหมาพันธุ์ทางตัวนี้ ทุกคนประหลาดใจว่าทำไมอยู่ๆเจ้าหมาน้อยดันมาอยู่ตรงนี้หลังจากที่มันหนีหายไปตอนนั้น มันตามเรามาได้ยังไง
"ผมว่ามันตามกลิ่นอาหารมานะ เนี่ย หมาเป็นสัตว์ที่จมูกดีมากอยู่แล้ว"ไอ้ตือพูดแล้วหันไปซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของตนเองต่อ
"เยี่ยม อีกหนึ่งปากท้องต้องเลี้ยง อีกหนึ่งตัวหารในเสบียง อีกหนึ่งภาระที่ต้องรับผิดชอบ"หมวดเอกพูดหน่ายๆ
"อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ไงว่ามีศัตรูอยู่ตรงไหนบ้าง หูอันดีเยี่ยมกับจมูกอันเฉียบแหลมของมันน่าจะมีประโยชน์ เนอะ"หมู่โบกี้ว่าแล้วพลิกตัวกลับไปนอนตะแคง
"โฮกกกกกกก!!!"อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
"เออแฮะ หนีไปแป๊ปเดียว เนี่ย คำรามเป็นแล้ว มีการพัฒนาแบบนี้นับว่าดีเค้าเรียกว่า self development ใช่มั้ย"หมู่โบกี้ชม
"เออ หนูไม่คิดว่านั่นเป็นเสียงของน้องหมาหรอกนะ"น้ำอ้อยบอก สีหน้าเริ่มจางลง ท่าทางร้อนรน เพียงแค่เห็นเจ้าถิ่นมีอาการกระวนกระวายใจ ทุกคนก็รุ้ในทันทีว่าที่ไม่ใช่เรื่องตลกหรืออะไรที่ล้อเล่นด้วยได้ ตือกลืนอาหารทั้งหมดลงคอในคำเดียวแล้วชักปืนเตรียมพร้อมเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมวิ่งและหลายๆคนที่ชักอาวุธประจำกายเตรียมพร้อมสำหรับศึกหน้า
"กรรรรรรรร โฮกกกกกกกกก!!!!!"เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกก่อนที่เงาดำสูงใหญดูวิปริตผิดธรรมชาติจะปรากฎกายขึ้นหลังมวลหมู่พฤกษา ดวงตาสีเหลืองเข้มที่ส่องแสงในความมืดของป่าดงดิบหนาทึบ มันค่อยๆขยับร่างกายอืดอาดของมันมาทางหมู่หมูมะนาวเรื่อยๆ งานนี้ไม่สวยแน่
"หนูขอแนะนำให้รู้จักกับคู่ปรับส่วนตัว มากมาย"น้ำอ้อยพูดก่อนที่บรรยากาศจะเงียบสนิทแบบได้ยินเสียงอสูรกายเบื้องหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
โฮ้กกกกกกกกก!!!!!!!!! มันทักทาย
|
|