|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:45:29 GMT
20.Manie bear : หมี มากมาย
ในธรรมชาติ สุนัขไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นที่มีประสาทสัมผัสเป็นเลิศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดมกลิ่น ช้าง หนู หมู และสัตว์อื่นๆอีกหลายชนิดสามารถแยกแยะกลิ่นต่างๆได้มากกว่ามนุษย์และสามารถรับรู้ถึงกลิ่นที่เจือจางมากจนมนุษย์ไม่ได้กลิ่นได้อย่างไม่มีปัญหาแม้ว่าจะอยู่ในระยะไกลมากก็ตาม ยกตัวอย่าง ฉลามสามารถได้กลิ่นเลือดเพียงหยดเดียวที่เจือจางในน้ำหนึ่งล้านลิตรได้และรู้ถึงต้นตอของกลิ่นที่ว่านั้นด้วย เบื่องหน้าของหมู่หมูมะนาว หนึ่งในสัตว์นักล่าที่ตัวใหญ่และทรงพลังที่สุดในหมู่ผู้ล่าบนบกแถบเอเชียอาคเนย์ด้วยกัน ผู้ที่มีพละกำลังมหาศาล ความรวดเร็วที่ยากจะหลบเลี่ยงได้(แต่ตัวนี่ไม่เร็วเท่าไหร่) ความดุร้ายที่ไม่น้อยไปกว่ามาตรฐานสัตว์ป่า หนึ่งในภัยคุกคามแห่งวงการเกษตรผู้ที่กินได้ทั้งสัตว์เลี้ยงและพืชผัก และอยู่ในรายชื่อสัตว์ไกล้สูญพันธุ์ด้วย หมีควายในตำนานแห่งหุบเขาดงโขมดเย็น สัตว์ร้ายทรงอำนาจแห่งป่าดิบชื้น เจ้า . . . มากมาย หมีควายกลายพันธุ์ผู้ปกครองแผ่นดินที่แปดเปื้อน หัวหลักของมันอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น ส่วนหัวอื่นๆโผ่ลสะเปะสะปะเต็มร่างกายไปหมด กรงเล็บขนาดใหญ่แต่สั้นและขาใหญ่ๆอ้วนๆของมันกระจัดกระจายโผล่ในหลายๆที่ที่ไม่ควรจะมี บนร่างกายที่ทั้งใหญ่ หนา และทรงพลังของมัน แทบไม่มีที่ว่างบนร่างกายของมันเลย ส่วนเดียวที่ว่างที่สุดของมันคือหน้าอกอันมีรอยสีขาวรูปตัว V สีขาวอันเป็นเอกลักษ์เฉพาะเผ่าพันธุ์ของหมีควาย เพียงแต่เจ้ามากมายมีตัว V สีขาวเรียงกัน3ชั้นเหมือนกับสัญลักษ์ยศของทหารสิบเอก สามบั้ง เจ้ามากมายมีขนหยาบหนาสีดำสนิททั่วร่างกายยกเว้นตรงหน้าอก แขนขาของมันกางออกทั่วทุกทิศทาง กางกรงเล็บแหลมคม 5 นิ้วของมันออกพร้อมเข้าจู่โจมไอ้หน้าไหนที่บังอาจรุกล้ำอาณาเขตของพญาหมี น้ำลายเหนียวใสย้อยลงมาจากมุมปาก ดวงตาสีเหลืองสะท้อนแสงแบบเดียวกับที่สัตว์นักล่าควรจะมีเปล่งประกายด้วยความสงสัย แม้จะไม่โดดเด่นเรื่องการมองเห็น แต่เรื่องการได้ยินกับการดมกลิ่นไม่เคยทำให้เจ้าสัตว์ร้ายแห่งพงไพรตัวนี้ผิดหวัง ยิ่งมีหูมากกว่า2ใบและมีจมูกมากกว่า1 การรับรู้ของมันไม่ใช่อะไรที่จะสบประมาทได้เลย มันค่อยๆขยับร่างกายอันยุบยับไปด้วยแขนขาและหัวของมันมาทางกลุ่มหมูมะนาวช้าๆ และค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยสองขาหลัง จริงๆมีมากกว่าสองขาที่คอยรับน้ำหนักให้มันเมื่อเจ้าอสูรกายจอมเฉื่อยยืนขึ้น สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่สบอารมย์อย่างหนักเมื่อได้เห็นสิ่งแปลกปลอมเข้ามาอาศัยในแหล่งน้ำของมัน มันเป็นหมีที่ไม่ชอบแบ่งอะไรกับใครนักโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน
"ซู๊ดดดดด..."มันสูดหายใจเข้าไปในปอดผ่านหัวจำนวนมากของมันแล้ว
"โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!! กรรรรรรร"มันคำรามออกมาอย่างดุร้าย เสียงทุ้มดังกระหึ่มออกมาจากปากทุกปากที่สัตว์ประหลาดตัวนี้มี แขนขาของมันกวัดแกว่งกลางอากาศพร้อมที่จะตะปบอะไรก็ตามที่ขวางทางหมีป่าอารมย์ร้อนตัวนี้ มันส่งสัญญาณว่ามันต้องการให้ผู้บุกรุกทุกชีวิตที่อยู่ตรงหน้า ออกไปจากแหล่งน้ำของมันไม่งั้นจะได้เห็นดีกัน
น่าเศร้าที่หมู่หมูมะนาวไม่เข้าใจภาษาหมี และเข้าใจว่ามันต้องการจะไขว้กับเจ้าหน้าที่แห่งผืนป่า
"ยิงเลย"หมู่โบกี้สั่งให้ทุกคนที่ยังมีกระสุนเหลืออยู่กระหน่ำสาดกระสุนใส่เจ้าหมียักษ์ที่อยู่เบื้องหน้า
"ไม่..."หมวดเอกพยายามห้ามไม่ให้คนที่ควรจะรู้สี่รู้แปดทำอะไรโง่ๆในสถาณการณ์ที่ โง่=ตาย แต่มันช้าเกินไปแล้ว กระสุนปืนลูกซองง่าวๆดาษๆพุ่งไปทางหมีร้ายพร้อมกับเสียงดังกัมปนาศ กระสุนลูกปลายของปืนลูกซองไม่แรงพอที่จะล้มหมี แต่แรงพอที่จะทำให้มันคลั่งได้ และเท็ดดี้แบร์ที่น่ากลัวที่สุดบนโลกกำลังคลั่งสุดขีด มันส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บแค้นจนแผ่นดินสั่นไหวแล้วเริ่มโจมตีอย่างบ้าระห่ำ
"ไอ้กี้ ยิงทำไม หนีสิเฮ้ยไอ้พวกโง่ วิ่ง"หมวดเอกสั่งแล้ววิ่งออกจากสถาณที่ด้วยแรงทั้งหมดที่ฟื้นมาหลังจากรบกับอาณาจักรมด แผลไฟไหม้กับมดกัดยังไม่ทันยุบตอนนี้ต้องมาหนีหมีประหลาดบ้าเลือดอีกแล้วเหรอเนี่ย
"ขอโต๊ด"หมู่โบกี้วิ่งอยู่ข้างๆหมวดเอก ทุกคนกำลังวิ่งหลบหลีกความเกรี้ยวกราดของสัตว์ร้ายฉายเดี่ยวตัวนี้ หมีมากมายต่างจากศัตรูร้ายหลายตัวที่หมู่หมูมะนาวเคยรับมือ จระเข้สีมรกต กาฝากหมู หรือ มดดำยักษ์ มันฉายเดี่ยว และดูก็รู้ว่ามันต้องร้ายกว่าตุ๊กแตยักษ์หรือตั๊กแตนตำข้าว ที่เคยเจอแน่นอน ความเร็วของมันเหนือกว่าเจ้าแมวผีตัวที่ถล่มโรงเลื่อยแม้ว่าจะไม่เท่าตุ๊กแกแต่ว่า มันไม่ใช่อะไรที่สามารถต่อกรได้โดยปราศจากอาวุธสงคราม การเลือกที่จะสู้กับมันทั้งๆที่ไม่พร้อมเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง
"ปากหุบ ขาวิ่ง ตาดู หูฟัง"หมวดเอกบอกแล้วนำขบวนหมูมะนาวที่อีกไม่นานน่าจะเป็นนักวิ่งทีมชาติได้แล้ว เจ้ามากมายตามมาติดๆ เสียงร้องด้วยความเกรี้ยวกราดดังออกมาอย่างต่อเนื่อง มันไม่ใช่หมีที่มีความโดดเด่นด้านความเร็วเนื่องจากขายุบยับจำนวนมหาศาลของมัน และน้ำหนักที่มีมากเกิ่นกว่าที่หมีทั่วไปมี สรีระของมันไม่เหมาะแก่การวิ่งเมื่อมีน้ำหนักมากกว่าที่ควรจะเป็น แต่ถึงอย่างนั้น การหลบหนีมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
"วิ่งไปเรื่อยๆ พอมันเหนื่อยเราก็จะสลัดมันหลุด หมีหน้าตาแบบนั้นหนะ วิ่งได้ไม่นานหรอก"หมวดเอกตะโกนบอกแล้วเร่งความเร็วเพิ่ม แม้ว่าจะเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เพื่อรักษาชีวิตของตน ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไปนะจ๊ะ กลศึกไฟสยบมดดำกินพลังงานของหมู่มะนาวมามากแล้วนี่เรายังต้องหนีหมีอีก เจ้ามากมายไม่ใช่อะไรที่ยอมเลิกราได้ มันยังคงตามมาติดๆแม้ว่ามันจะหอบจนเหมือนกับว่ามันจะอ้วกเอาหัวใจของมันออกมา
"ฮ่า หมีโง่ ยอมแพ้ซะตอนนี้ก่อนที่จะหอบกินหัวดีกว่าหน่า"หมู่โบกี้ท้าทาย
"หุบปากเหอะน่า วิ่ง"หมวดเอกสั่ง ทำไมลูกน้องแต่ละคนทั้งๆที่มียศมีศักดิ์กลับวันๆเอาแต่หาเรื่องโดนฉีกเนื้อกินไม่เว้นแต่ละวันเลย เป็นหมู่ เป็นจ่า แต่สติปัญญาไม่ได้เหนือไปกว่าพวกไร้ยศเลย ให้ดิ้นตายสิพับผ่า แถมความสำนึกผิดไม่ปรากฎเลยแม้แต่น้อย ยังไปยั่วไอ้หมียักษ์อีก หมีมันก็คงเจ็บของมัน มันคงอยากเอาคืนแบบให้ลงไปอยู่ในท้องมันอะไรแบบนั้น
"แล้ว นี่เรากำลังไปที่ เอ๊ะ"หมวดเอกเริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง
"อะไร"หมู่โบกี้ถาม
"นี่เรากำลังจะไปที่ร่องเขาเดือนดับใช่หรือเปล่า"หมวดเอกถาม
"จะไปรู้เหรอ ถามทำไม"หมู่โบกี้ถาม
"ก็มันอยู่ข้างหน้าเราแล้ววววว"หมวดเอกรีบเบรคตัวโก่ง เบื่องหน้าหมู่หมูมะนาวเป็นหุบเหวสูงชันที่ลึกมากเรียกว่าร่องเขาเดือนดับ ที่มาของชื่อเหรอ ทุกครั้งที่เข้าสู่ช่วงเดือนมืด(แรม15ค่ำ)จะมีคนได้ยินเสียงเหมือนใครตกลงไปในหุบเหวนี้ แล้วใครก็ตามที่หายไปในช่วงนั้นก็คาดว่าตกเหวนี้แหละ ที่มาของชื่อก็ประมาณนี้ ตอนนี้หมู่หมูมะนาวอยู่ตรงแหลมที่ยื่นเข้าไปในเหว พื้นข้างล่างเหมือนกับว่ามันจะถล่มได้ในทุกเมื่อ เจ้าหมียักษ์ค่อยๆย่างสามขุมเข้ามา สัตว์ร้ายตัวนี้กำลังโกรธจัดและเข้ามาไกล้เรื่อยๆ แต่ว่าแหลมนี้ท่าทางจะรับน้ำหนักของหมีเพิ่มอีกตัวไม่ไหว มันกำลังจะถล่มลงไปในหุบเหวอันดำมืดที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง เราจนตรอกแล้ว
"เราต้องลุยแล้ว ตกลงไปคงไม่รอดแน่ๆ หมีตัวนี้อาจจะใหญ่ แต่เราเยอะกว่า"หมวดเอกเห็นว่าไม่มีทางอื่นแล้ว หากปล่อยให้มันเข้ามาไกล้กว่านี้ แหลมที่ไม่มั่นคงนี้จะต้องถล่มลงไปยังห้วงลึกเบื่องล่าง หุบเหวที่ไม่เคยมีใครตกลงไปแล้วได้กลับมาแบบเป็นๆ อย่างน้อยถ้าตัดสินใจสู้กับอสูรกายเบื้องหน้า เราก็อาจจะมีคนรอดออกไป
"เอาไงก็เอา เราโกงความตายมาหลายรอบแล้ว มาดูซิว่าคราวนี้จะอยู่หรือดับ"หมู่โบกี้เอาปืนลูกซองที่หมดประโยชน์แล้วพาดหลัง ชักมีดพร้าเดินป่าที่เป็นอุปกรณ์พื้นฐานของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ออกมา หลายๆคนที่ยังพอมีกระสุนเหลือต่างก็เล็งปืนลูกซองไปยังหมียักษ์ ถึงจะล้มมันไม่ได้แต่ก็น่าจะข่มขวัญไม่ก็ทำให้มันตาบอดได้ ไอ้ชาติทำมีดหายไปตั้งแต่ตอนสู้กับพญาจระเข้แห่งหนองเห็ดกระสือเลยเอาเลื่อยไฟฟ้ามาสู้แทน มอดไม้อีก2คนไม่มีอาวุธแต่ว่า พวกเขาเป็นหน่วยที่ใช้เชือกไนล่อนสีเขียวมาทำเป็นบ่วงบาศสำหรับหยุดการเคลื่อนไหวของหมียักษ์ อาจจะช่วยไม่ได้มากนักแต่ว่าอย่างน้อยการเบี่ยงเบนความสนใจอาจจะลดความสูญเสียลงได้ ระหว่างที่เจ้าหมียักษ์กำลังให้ความสนใจกับเป้าหมายเบื้องหน้าอยู่นั้น น้ำอ้อยกับฟองดูไม่ได้เข้ามาตรงแหลมด้วย น้ำอ้อยปีนต้นไม้ได้และกำลังจับตาดูจอมอสูรเดรัจฉานตัวนี้อยู่ ฟองดูไวพอและตัวเล็กพอที่จะหลบก่อนที่จะจนมุม ทั้งสองอยู่ข้างหลังของเจ้าหมีปีศาจตัวนี้ นักข่าวเองก็เตรียมใช้กล้องบาซูก้าสำหรับทำให้หมีเหม็นเดนตายตัวนี้ตาบอด มากมายส่งเสียงขู่คำรามในลำคอ ลุกขึ้นยืนด้วย2ขาหลัง ส่งเสียงคำรามอย่างดุร้ายแล้วตั้งท่าเข้าปะทะ ขนสีขาวรูป V สามบั้งตรงหน้าอกของมันปลิวไหวไปตามสายลมราวกับธงศึกประจำกายเช่นเดียวกับขนส่วนอื่นๆของสัตว์ร้ายกระหายการแก้แค้นตัวนี้ สายลมวูบใหญ่พัดมาตามร่องผาเหมือนกับเป็นสัญญาณให้เข้าต่อสู้
"ม่ะ มาดูกันว่าแกจะเป็นพรมหรือเราจะเป็นศพ ไอ้หมูลุย!!!!"หมวดเอกพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ชักมีดพร้าสีเหล็กขึ้นเงากวัดแกว่งสะท้อนแสงแห่งวัน แสงสะท้อนกระพริบตามองศาของแท่งโลหะแวววาวราวกับหมู่ดาวหมีใหญ่กระพริบยามค่ำคืน วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเขาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือล้วนๆ มากมายชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมั่นใจว่าคู่ต่อสู้เองก็มีดีของมันเหมือนกัน มันกางแขนขาจำนวนมากของมันพร้อมจะตะปบ ปากอันมากมายสมชื่อของมันก็พร้อมที่จะกัดด้วยกรามอันแข็งแกร่ง ถึงเวลาล่าแล้ว มันส่งเสียงขู่กรรโชกแล้วก้าวเข้ามา กรามขบแน่น ดวงตาสีเหลืองหรี่เล็กลงแล้วเบิกกว้างขึ้นยามอสูรกายขนสีดำร้องคำราม
เปรี้ยง!!! เปรี้ยง!!! เปรี้ยง!!! แช๊ะ!!! แช๊ะ!!!
เสียงกระสุนและแสงแฟลชดังอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของมากมายโชกไปด้วยเลือดจากการโดนยิงในระยะไกล้ มันมองไม่เห็นแล้ว ไอ้ขาวกับไอ้ต้นโยนบ่วงบาศรัดคอทั้งสองของมัน มันสะบัดไปมาอย่างดุร้ายแขนขาของมันพร้อมที่จะตะปบทุกอย่างที่ขวางทาง หมู่โบกี้เข้าไปฟันแขนข้างหนึ่งของมันด้วยมีดพร้า เลือดสีแดงสดสาดไปตามทิศที่มันเหวี่ยงแขน หมวดเอกเองก็เข้าไปแทงตรงหน้าของมันเป็นแผลลึก มันสะบัดร่างใหญ่หนาของมันด้วยความเจ็บปวด
"โฮกกกกกกกกก!!!"มันร้องอย่างโกรธแค้นในระดับที่ไม่สามารถอธิบายได้ มีดพร้านั้นอาจจะไม่ใช่อาวุธที่ออกแบบมาเพื่อต่อสู้โดยเฉพาะอย่างเช่นดาบหรือหอกแต่ว่าดีไซน์ของมัน เช่นเดียวกับขวาน มีดพร้ามีสันขนาดใหญ่ไม่เหมือนกับมีดทั่วไป แรงโมเมนตั้นในการสับจึงมากกว่า ให้น้ำหนักในการสร้างความเสียหายประเภทการอัดสูงรวมถึงความคมยังทำให้มันเป็นกลไกของลิ่มไปในตัวด้วย ดังนั้นมีดพร้าจึงเป็นอาวุธยอดนิยมในป่าเพราะสามารถตัด เฉาะ สับ ฟัน สิ่งกีดขวางเช่น เถาวัลย์ พุ่มไม้ กิ่งไม้ หรือใช้เฉาะมะพร้าวได้ ถึงระยะจะจำกัดไม่เหมือนอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อการสู้รบแต่ว่าพลังการทำลายของมันแรงพอที่จะสังหารเป้าหมายที่มีขนาดเทียบเท่ามนุษย์ได้ด้วยการสับเพียงครั้งเดียว เพียงแต่หมีนั้นมีพลังชีวิตและความทนทานสูงกว่ามนุษย์มากรวมถึงขนหยาบหน้าหนาลดแรงโจมตีจากอาวุธเย็นได้มากแบบเหลือเชื่อ หนังของมันก็ยังเหนียวมากด้วย ยิ่งเป็นหมีควายขนาดใหญ่ผิดธรรมชาติที่มีรูปร่างผิดเพี้ยนแบบนี้นะ คงจะต้องใช้ความพยายามมากหน่อยถึงจะโค่นสัตว์ประหลาดตัวนี้ลงได้
เจ้ามากมายที่กำลังบาดเจ็บ มันตวัดแขนมากมายของมันอย่างบ้าคลั่ง กรงเล็บหนึ่งของมันตะปบโดนแขนของหมู่โบกี้จนเป็นแผลทางยาว5รอยตามจำนวนเล็บของมัน หมวดเอกเร็วพอและสามารถหลบการโจมตีอันไร้ระเบียบและสะเปะสะปะของสัตว์เดรัจฉานได้ หมีป่าผู้เกรี้ยวกราดตัวนี้จะไม่ยอมโดนทำร้ายฝ่ายเดียวเด็ดขาด มันกระทืบพื้นอย่างดุดัน แหลมที่ไม่มั่นคงเริ่มสั่นคลอน
มันตั้งท่าก่อนที่จะสาดดินบนพื้นใส่หมู่หมูมะนาวเพื่อให้เสียหลักแล้วจะได้ร่วงลงเหว แต่ว่าไม่ได้ผล หมู่หมูมะนาวยังระดมยิงปืนลูกซองเรื่อยๆจนกว่าจะไม่มีกระสุนเหลือแล้ว ไอ้ชาติได้โอกาสก็เอาเลื่อยไฟฟ้าเลื่อยเจ้าหมีป่าบ้าคลั่งตรงหัวที่งอกออกมาผิดจุด มันเปล่งเสียงดังสนั่นออกมาด้วยความทรมาณ ขนสีดำและเลือดสีแดงพุ่งกระฉูดออกไปจากปากแผล เศษเนื้อปลิวออกมาจากตรงที่เป็นแผลของเจ้ามากมาย พื้นที่เจ้าอสูรการแห่งผืนป่ายืนอยู่โชกไปด้วยโลหิตสีแดงสดที่ค่อยๆสีเข้มขึ้นตามกาลเวลา รวมถึงร่างของเจ้าหน้าที่ป่าไม้หลายคนที่โดนเลือดแดงฉานของมันสาดใส่
"โฮ้กกกกกกกก!!! กรรรรรรร"มันคำรามดังกว่าเดิม ตาเบิ่งโพลง จากที่มันคิดว่าจะล่าเหยื่อ ตอนนี้มันเข้าใจแล้วว่ามันกำลังสู้กับศัตรูที่สูสีและอันตราย มันจะไม่รีรออีกต่อไปที่จะสังหารเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
มันเจ็บมากแล้วก็โกรธมากด้วย มันตะปบใส่ไอ้ชาติทันทีจนเจ้าหน้าที่คนนี้กระเด็นไปทางปากเหวลึกแต่ยังดีที่ไอ้ชาติดวงยังไม่ถึงฆาต เขาเกาะขอบเหวก่อนที่จะตกลงไปในห้วงลึกอันลือชื่อด้านความอันตรายแล้วตะกายขึ้นมาได้สำเร็จ แต่เลื่อยยนต์กระเด็นตกเหวไป มันแกว่งขาเยอะแยะของมันไปมาและข่วนหมวดเอกได้ หมวดเอกเป็นแผลถากๆแต่แสบสุดๆ5แผลเช่นเดียวกับหมู่โบกี้ มากมายจะไม่ทน มันตะปบใส่ทุกอย่างแล้วเวลานี้ จ่าปลาปามีดพร้าของเธอเข้าไปปักหน้าอกของเจ้าหมียักษ์ รอยรูปตัว V สีขาวสามอันบนหน้าอกมันเปื้อนเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน หัวหนึ่งของมันตอบโต้ด้วยการพุ่งจะเข้าไปกัดจ่าปลา
"อย่านะ "แต่น้ำอ้อยที่อยู่ข้างหลังเอาลิ้นเหนียวสีชมพูรัดคอนั้นเอาไว้ได้ก่อนที่จะดึงให้มันชะงัก จ่าเลยหลบการโจมตีถึงตายของมากมายไปได้ อีกหัวของมันกะจะงับลิ้นของน้ำอ้อยแต่เธอปล่อยให้ลิ้นหดกลับเข้าปากก่อนที่มันจะได้กัด มากมายร้องอย่างเจ็บใจและกาย หัวจำนวนมากส่งเสียงดังกัมปนาศอย่างไม่หยุดยั้ง
หมวดเอกฝ่าคลื่นเสียงสนั่นหวันไหวนั้นเข้าไปสับหน้ายื่นๆของมันอีกรอบ แต่คราวนี้มันรู้ทันเลยเข้าไปกัดหมวดเอกทันทีที่รู้ตัวว่าโดนฟัน หัวทั้งสองเข้าไปงับแขนขวาและไหล่ซ้ายของหมวดเอกอย่างจังและมันกำลังจะทำในสิ่งที่สัตว์นักล่าขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ทำเมื่อสามารถฝังคมเขี้ยวของตนเข้าไปในเนื้ออันโอชะของเหยื่อได้สำเร็จ นั่นคือการสะบัดหัวเพื่อฉีกร่างเหยื่อของมันเป็นชิ้นๆหรือกระชากเพื่อหักทำลายโครงสร้างที่สำคัญของผู้เคราะห์ร้าย เช่น กระดูกสันหลังไม่ก็คอ แต่ว่า
"โฮ่งงงงง แฮร่"เจ้าฟองดูตรงเข้าไปกัดกระพุ้งก้นที่เต็มไปด้วยขนดำหนาของเจ้าหมีควายยักษ์ หมีป่ากระหายเลือดที่ต้องการฆ่าเต็มทนร้องออกมาอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น หมวดเอกหลุดจากขากรรไกรทรงพลังของพญาหมีออกมาได้ แต่ว่าเสียเลือดไม่ใช่น้อยเลยเพราะปากแผลลึกมาก เจ้ามากมายใช้ขาที่ไกล้กับเจ้าฟองดูที่สุดตะปบให้ฟองดูกระเด็นออกไปจากตำแหน่องขับถ่ายของมันแต่ฟองดูไวกว่า มันปล่อยคมเขี้ยวแบบหมาๆของมันแล้วหลบอุ้งตีนหนักอึ้งของสัตว์ร้าย ฟองดูเข้าไปงับขาหลังของหมีป่าทันที น้ำอ้อยก็ไปสมทบในการโจมตี เธอเข้าไปถีบหัวที่อยู่กลางหลังของเจ้ามากมายด้วยแรงขาของกบ มากมายไม่ได้สะดุ้งสะเทือนอะไรเพราะขนาดของน้ำอ้อยไม่ใหญ่พอที่จะสร้างความเสียหายฉกรรย์ได้เหมือนกับที่มีดพร้าของหมู่หมูมะนาวที่ทำกับมัน ซึ่งนั้นก็ดีแล้ว
"มากมาย เอานี่ไป"น้ำอ้อยแต่กระโดดถึบเพื่อให้จังหวะการกัดของมากมายเสียไป เธอเอาตาข่ายที่เคยใช้จับเพลี้ยแป้งมาคลุมหัวด้านหน้า3หัวของมากมายเพื่อให้มันกัดไม่สะดวก นอกจากนี้อุ้งตีนของมันยังพันกับตาข่ายทำให้มันเริ่มเสียการทรงตัว มันกำลังจะดึงตาข่ายออกจากหัวมันแต่ว่าไอ้กอล์ฟเอาปืนลูกซองที่กระสุนหมดแล้วหวดเข้าหัวหนึ่งของมันทันที มันคำรามลั่นอย่างโมโห ดึงตาข่ายออกอย่างแรงจนไปดึงหัวอีกหัวของมันเข้า มันเริ่มเซ
"มันเสียหลักแล้ว ไอ้ตูด ไอ้เขลา ดึงให้ร่วงเลย เนย ถ่ายอย่าหยุด"หมวดเอกที่กำลังนอนเลือดอาบจากคมเขี้ยวหมีสั่ง ต้นกับขาวดึงเชือกสุดแรงจนหมีเซหนักกว่าเก่า เนยกับสมบัติถ่ายแฟลชใส่หน้าของหมียักษ์ดุบรรลัยจนมันตาลาย แสงแฟลชแบบเดียวกับที่ใช้จุดไฟเผามดถ่ายออกมาแบบไม่หยุดหย่อย หมีร้องด้วยความปวดแสบปวดร้อน มันกระชากขาวกระเด็นมาทางมันด้วยการลุกขึ้นยืนด้วยสองขาหลังอย่างรวดเร็ว
"กรี๊ดดดดด"ขาวร้องอย่างหมดความแมน ร่างของเขาพุ่งตรงไปทางหมีป่าสุดโหดมหาดุ มันได้โอกาสตะปบใส่ไอ้ขาวดัง ปั้ก ก่อนที่ขาวจะกระเด็นลอยหายไปในความมืดของหุบเหว ร่างของผู้เคราะห์ร้ายค่อยๆห่างออกไปและเล็กลงจนกระทั่งหายไป เสียงกรีดร้องของไอ้ขาวยังลอยออกมาจากปากเหวอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมันเงียบหายไปเมื่อเสียงกระทบพื้นดังขึ้น คงไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้นข้างล่างนั่น แรงดึงดูดของโลกและโขดหินเบื่องล่างไม่ปราณีผู้ใดเช่นเดียวกับกฎแห่งธรรมชาติข้ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออะไร กฎแห่งธรรมชาติไม่เคยถอยให้ใครแม้แต่ก้าวเดียว
หมู่โบกี้ได้โอกาสเข้าไปฟันแขนที่ปกคลุมด้วยขนสีดำหนาๆของหมีป่าพันธุ์โหดตัวนี้ เลือดไหลทะลักออกมาจากปากแผลตามที่คาดไว้ รวมถึงขนสีดำอีกกระจุกกระเด็นออกมาจากจุดที่โดนมีดพร้าคมกริบเฉือนลงไป
"ฮว้ากกกกกกกกกก!!!! โฮกกกกกกกก!!!!!!"มากมายโกรธมากขึ้นเป็นทวีคูณ มันกระทืบพื้น คำราม เข้าซัดไอ้กอล์ฟด้วยอุ้งตีนมหากาฬ ดีที่กอล์ฟใช้ปืนลูกซองกันส่วนที่เป็นกรงเล็บแหลมคมของมันได้ แต่ถึงอย่างนั้น พละกำลังของหมีคลั่งทำให้ปืนลูกซองเป็นรอยทะลุ 5 รอยทันที มันไม่รอช้าพุ่งเข้าไปขย้ำเป้าหมายด้วยปากยื่นๆและเขี้ยวคมๆอย่างต่อเนื่อง ดีที่ีตาข่ายช่วยลดความเร็วและความแม่นยำของมันลงได้มาก หมีควายตัวฉกาจคำรามอย่างคลั่งแค้นและอึดอัด มันตะปบใส่ไอ้ตือที่อยู่ข้างๆและพยายามที่จะฟาดหัวมันด้วยปืนลูกซองแทน ตือหลบทันเลยเป็นแผลแค่เล็กน้อย
"หมีบ้า กินหินซะ"น้ำอ้อยยกเอาก้อนหินก้อนใหญ่พอๆกับกระเป๋าเจมส์บอนขึ้นมากอด กระโดดขึ้นไปกลางอากาศด้วยพลังกระโดดของกบแล้วทุ่มก้อนหินหนักอึ้งใส่หัวที่อยู่ตรงหลังของมากมาย หัวนั้นร้องอย่างเจ็บปวดรวดร้าว ก้อนหินนั้นดูเหมือนจะทำให้หัวที่อยู่กลางหลังของมากมายสลบไป แต่มันยังมีอีกหลายหัวที่ต้องจัดการเลยหากจะให้สลบหมดทั้งตัว หัวหลักของมันแผดเสียงร้องอย่างคุ้มคลั่ง ยิ่งเจ็บมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งบ้าคลั่งมากเท่านั้น หัวๆหนึ่งพุ่งเข้ามาจะกัดน้ำอ้อยแต่เธอไวกว่า
"พวั๊ะ!!!!!"หัวไม่ได้กัด แต่อุ้งมือหนาๆของมันก็ไม่ได้พลาด น้ำอ้อยโดนอุ้งตีนหนักๆของมันตะปบใส่จนบาดเจ็บและลอยไปไกลพอสมควร โชคดีที่เป็นแค่แผลถากๆ ฟองดูเข้าไปกัดก้นของหมีดุบรรลัยอีกรอบแต่คราวนี้มันหาวิธีรับมือกับเจ้าหมาบ้าตัวนี้ได้แล้ว มันส่งเสียงทุ้มต่ำก่อนที่จะทำในสิ่งที่สัตว์ป่าทั่วไปไม่ค่อยจะทำกันตอนต่อสู้
"ปู๊ดดดดด!!! ป้าดดดด!!! แพร๊ดดดดด!!! แปด แปรด แป๊ดดด ปุ๋ง!!!"มันปลดปล่อยอาวุธพิฆาตใส่หน้าฟองดูอย่างเต็มน้ำเต็มเนื้อ ของกึ่งแช็งกึ่งเหลวสาดใส่หน้าฟองดูจนมันหมดสภาพความเป็นหมาไปเลย นี่คงเป็นกรรมตามสนองของจริงแบบที่มันเคยทำก่อนหน้านี้ ไม่เจอกับตัวคงไม่รู้สึกนะเนี่ย ถึงจะถูกอุจจาระราดใส่เต็มตัวจนเหม็นหึ่งไปทั้งร่างแต่ก็ใช่ว่าหมาตัวนี้จะหยุดการโจมตีของมัน ฟองดูกระชากแล้วกัดคู่ต่อสู้อย่างดุดันเท่าที่หมาพันธุ์ทางตัวหนึ่งจะทำได้
แต่ว่าเจ้าหมีเองก็ไม่ได้มีอาวุธนั้นแค่อย่างเดียว
"เอ๋งๆๆๆๆๆๆๆๆ"ฟองดูร้องด้วยความตกใจเมื่ออุ้งตีนของมากมายโผ่ลมาตะปบใส่จนกระเด็น การขี้ใส่หน้าฟองดูเป็นเพียงแค่การตัดการมองเห็นของเจ้าหมาเจ้าของขนสีน้ำตาลเหลืองเท่านั้นเอง ฟองดูที่ไม่อาจต้านทานพลังการโจมตีของพญาหมีได้จึงปลิวไปอีกราย
"มากมาย เจ้าหมีนิสัยไม่ดี"น้ำอ้อยตะโกนก่อนที่จะเขวี้ยงก้อนหินขนาดไม่ใหญ่นัก ประมาณเท่าผลส้ม หลายๆก้อนใส่เจ้าอสูรกายหลายหัว มากมายไม่สบอารมย์นักเมื่อต้องรับศึกสองด้าน มันจึงหมายจะเผด็จศึกทางฝั่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก่อนเพราะมีดพร้าคมกริบทำให้มันเจ็บมากกว่าก้อนหินโง่ๆที่ร่างปุกปุยของมันรับแรงกระแทกได้มากอยู่แล้ว
"โฮ้กกกกกกกก"มันคำรามใส่คู่ต่อสู้ของมันอย่างเจ็บแค้น อุ้งเท้าที่ไม่ได้ใช้ในการเดินของมันตั้งท่าจะตะปบใครซักคนให้ร่วงลงเหวไป ฟันใหญ่ๆของมันขบแน่นเพื่อระบายความเจ็บแผลของมัน เลือดข้นคลั่กไหลทะลักออกมาจากร่างของหมียักษ์อย่างต่อเนื่อง แหลมเล็กๆที่ยื่นเข้าไปในเหวตอนนี้ย้อมไปด้วยสีแดงเข้ม มันท่วมไปด้วยเลือดของหมีควายกลายพันธุ์และของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บสาหัสด้วยบาดแผลฉกรรย์ ไอ้ตือพยายามจะหวดหัวของหมียักษ์ด้วยปืนลูกซองอีกแต่เจ้าหมีใช้พละกำลังมหาศาลของมันตวัดปืนเหล็กเขรอะๆจนกระเด็นลงเหวไปอย่างง่ายดาย มันพุ่งเข้ามาหมายจะกัดไอ้ตือแต่จ่าปลาเอากิ่งไม้แหลมๆที่เผอิญอยู่ตรงนั้นทิ่มใส่หน้าของสัตว์เดรัจฉานสุดแรง ไม้ทิ่มเข้าไปในจมูกสีดำขลับของสัตว์ร้ายจนเลือดกระฉูด
"ก๊าซซซซซซซ!!! โฮ้กกกกกกกก!!!"มันเจ็บมาก จมูกเป็นส่วนที่บอบบางของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยิ่งสัตว์ชนิดนั้นมีประสาทสัมผัสที่ดีมากเท่าไหร่ การโจมตีตรงจุดรับสัมผัสก็จะเจ็บมากเท่านั้น หมีป่าเข้าไปตะปบจนจ่าปลาเซไปข้างหลัง จ่าได้แผลลึกมาเพิ่มอีก 5 แผลเน้นๆจากกรงเล็บแหลมคมของหมียักษ์ เลือดไหลกระฉูดออกมาจากแผลฉีกขาดอย่างไม่ต้องสงสัย หมู่โบกี้เห็นดังนั้นเลยพุ่งเข้าไปสับหัวที่ยื่นออกมาอย่างผิดรูปของหมีตัวฉกาจ แต่เจ้ามากมายรู้แล้วว่าหมู่โบกี้ก็ไม่ได้ต่างจากหมวดเอกเท่าไหร่ มันเลยจะเข้าไปกัดให้จมเขี้ยวแต่เนื่องจากติดตาข่ายมันเลยตวัดขาหน้าของมันใส่ขาของหมู่โบกี้ให้เสียหลัก
"เหวอออออออ"หมู่โบกี้โดนแรงมหาศาลของสัตว์หน้าขนตบตัดขาจนล้มลงหน้าแทบจะทิ่มพื้น แต่เจ้าหมีไม่ใจร้ายพอที่จะให้หมู่โบกี้ล้มลงแบบนั้น มันเลยตะปบอัดใส่หมู่โบกี้ระหว่างที่หมู่จอมโม้กำลังจะร่วงลงไปกองกับพื้นแบบเสยขึ้นบน อุ้งตีนที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังและเล็บแหลมคมอัดใส่ห้าอกของโบกี้แบบเต็มรัก อาวุธประจำกายกระเด็นออกไปจากมือของอดีตรองหัวหน้าหมู่แห่งหมูมะนาวร่วงลงไปในหุบเหวที่ไร้ซึ่งความหวัง ความรู้สึกถึงแรงอัดนี้อธิบายได้เหมือนกับโดนรถแมงกะไซที่ขับแบบแว้นสุดขีดพุ่งเข้าชนกลางลำตัว หมู่โบกี้ทั้งจุกและเจ็บก่อนที่จะร่วงลงไปนอนอยู่อีกไม่กี่เมตรถัดจากจุดปะทะ เลือดไหลออกมาจากจุดปะทะตรงหน้าอก รอยสีแดงเป็นทางยาว 5 รอยเด่นชัดบนอกแคบๆของหมู่โบกี้ ดีที่ไม่ซี่โครงหักทิ่มปอดไม่งั้นหละก็ หมู่โบกี้คงไม่รอดออกไปจากนรกพงไพรนี้แน่ๆ
"ทำไมมันยังไม่ตายซักที กระสุนเราเกลี้ยงแล้ว อ๊อก"หมู่โบกี้ที่ได้รับบาดเจ็บจากมหาอุ้งตีนหมีร้องอย่างสิ้นหวัง มีดสร้างความเสียหายได้ไม่มากพอที่จะล้มอสูรกายแห่งแดนฝันร้ายนี้ ร่างของมนุษย์ไม่ได้ออกแบบให้สามารถรับแรงกระแทกของอุ้งตีนหมีได้ เช่นเดียวกับที่คนมักจะได้รับบาดเจ็บหนักเวลาโดนรถชน หมู่โบกี้ได้รับความเสียหายมากเอาการจากอำนาจการโจมตีของพญาหมี ตอนนี้หมู่โบกี้แทบจะขยับตัวไม่ได้เพราะเสียเลือดไปพอสมควร กรงเล็บของสัตว์นักล่าแห่งผืนป่านั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างบาดแผลให้แก่เป้าหมาย และมันทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ร่างของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีนั้นช่างอ่อนแอและเปราะบางเมื่ออยู่ต่อหน้าอสูรร้ายแห่งป่าดงดิบ สำหรับเจ้ามากมายแล้ว การฉีกร่างมนุษย์ซักคนก็ไม่ต่างจากการเอาช้อนธรรมดาๆตัดเนยที่กำลังละลายเลย
มากมายค่อยๆลากสังขารอันทรุดโทรมโชกเลือดของมันมาทางเหล่าเจ้าหน้าที่ที่กำลังสิ้นหวัง เล็บเปื้อนเลือดของมันลากไปมากับพื้นทุกๆย่างก้าว ถึงมันจะมีการโจมตีที่รุนแรง แต่ก็ใช่ว่ามันจะทนทานอาวุธปืนและมีดได้ มันเองก็บาดเจ็บหนักไม่ต่างกัน แต่ตอนนี้มันจะเผด็จศึกแล้ว
โครมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!
ก้อนหินก้อนโตร่วงลงมาปะทะหัวหลักของสัตว์ร้ายหน้าขนอย่างจัง เลือดไหลรินออกมาจากหัวปุกปุยของสัตว์ประหลาด มันหัวแตกแล้วก็กำลังมึนงง หัวอื่นๆต่างแผดเสียงร้องอย่างรวดร้าว น้ำอ้อยที่อยู่ข้างหลังเป็นคนดีดก้อนหินขึ้นไปในอากาศด้วยกำลังขาเหนือมนุษย์ของเธอ ก้อนหินร่วงลงมาจากที่สูงอัดใส่เจ้ามากมายอย่างรุนแรงจนหินแตกกระจายไปหลายทิศทาง หลังจากที่มันตั้งสติได้ มันเริ่มหันไปสนใจน้ำอ้อยแทนเมื่อเธอหมายจะดีดหินก้อนที่สองใส่พญาหมี มากมายหันกลับไปพร้อมกับส่งเสียงทุ้มต่ำในลำคอแล้วย่างสามขุมเข้าไปหาแม่กบน้อยแยกเขี้ยวเผยให้เห็นปากที่มีเลือดไหลริน
"มากมาย หนูรู้ว่าพี่ไม่ใช่พี่หมีใจดี แต่พี่จะมาทำลายทางรอดสุดท้ายของหนูไม่ได้"น้ำอ้อยพูดด้วยเสียงจริงจัง เธอตวัดลิ้นยาวๆสีชมพูเข้าตบแก้มเจ้ามากมายเพื่อยั่วยุให้หมีโกรธ เธอกระโดดขึ้นต้นไม้ทันทีที่อสูรกายหน้าขนพุ่งเข้าใส่ด้วยกำลังที่เหนือกว่าหมีตัวใดในป่านี้ มันเข้าตะปบต้นไม้จนเปลือกไม้ปลิวกระจุยกระจายด้วยความโมโหร้าย คำรามอย่างโมโหโกรธา ความเร็วของมันไม่สามารถเทียบได้กับน้ำอ้อยผู้ว่องไว มันหมายจะใช้กำลังล้มต้นไม้แต่ว่าน้ำอ้อยกระโดดไปมาตามแนวกิ่งไม้ เหมือนทุกครั้งที่มันพยายามจะกินน้ำอ้อย
"เยี่ยม หมีโง่"น้ำอ้อยพูดแล้วกระโดดลักเลาะไปตามต้นไม้ เจ้ามากมายก็ไล่ตามไปก่อนที่จะฉุกคิดขึ้นได้ มันไม่มีทางจับลูกอ๊อดตัวนี้ทันแต่ว่ามันสามารถกลับไปสู้กับเหยื่อที่บาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ได้ มันย้อนกลับไปหาเป้าหมายเดิมแล้วหมายจะขย้ำเสียให้จมเขี้ยว หมีร้ายร้องด้วยเสียงก้องกังวานของมัน อสูรกายกลับมาแล้ว
"โอ้ว ความซวยมันกลับมาขยี้เราอีกแล้ว ดาวหมีใหญ่ขึ้นสู่ฟ้าแล้ว"หมู่โบกี้ที่นอนจมกองเลือดกับคนอื่นๆที่เหนื่อยหอบและบาดเจ็บสุดๆต่างมองเพรชฆาตหลายหัวที่กำลังย่างกรายเข้ามาหมายจะปลิดชีพพวกเขา อสูรร้ายตอนนี้มันดูไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตดุร้ายที่อาศัยอยู่ในป่าดงพงไพรอีกต่อไป เมื่อถึงเวลาไกล้ตาย หมู่โบกี้เหมือนกับเห็นเปลวไฟโชติช่วงลุกขึ้นเบื้องหลังสัตว์ร้าย เจ้าหมีค่อยๆดูเหมือนปีศาจจากขุมนรกมากกว่าสัตว์ป่า ภาพลวงตานี้เป็นสัญญาณว่ามันกำลังจะได้ปลิดชีพเขาทันทีที่มันเข้ามาถึง
"มันยังไม่จบเพียงเท่านี้หรอก"น้ำอ้อยพูดก่อนที่จะโยนบางสิ่งใส่เจ้ามากมาย มันเหมือนลูกตะกร้อที่สร้างขึ้นจากใบไม้แห้ง มันคือสิ่งที่ทุกคนเข็ดขยาดไม่อยากจะเข้าไกล้ในทุกกรณี รังมดแดงธรรมดาที่สร้างความเสียหายได้ไม่ธรรมดา ฝูงมดแตกฮือทันทีที่รังของมันปะทะกับแผ่นหลังประหลาดๆของมากมาย ตามปกติร่างกายของหมีออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีของแมลงเนื่องจากอาหารที่หมีชอบคือน้ำผึ้ง ขนหยาบดำดกหนาของพี่หมีใช้ในการป้องกันฝูงผึ้ง ปลวก หรือ มด เวลาที่มันจะพังรังกินน้ำหวานหรือตัวอ่อนแมลง แต่คราวนี้มันไม่เหมือนกัน มดตัวน้อยตัวนิดเหล่านี้ตรงเข้าชอนไชบาดแผลฉกรรย์ของอสูรกายร่างยักษ์ทันทีที่รังแตก ขนหลายส่วนที่หายไปเพราะเลื่อยไฟฟ้าและปืนลูกซองรวมถึงบาดแผลจำนวนมากเป็นจุดอ่อนที่เหล่ามดจะโจมตีได้
"โฮ้กกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!"มากมายกู่ร้องก้องคำรามดังกว่าที่มันเคยทำมาตลอด จากการต่อสู้ตอนนี้กลับกลายเป็นการอาละวาดอย่างสมบูรณ์ สัตว์ร้ายสติแตกตะปบร่างกายตัวเองอย่างบ้าระห่ำ มันพุ่งชน กลิ้งไปมา กรีดร้อง ส่งเสียงโหยหวนชวนหัวเราะ พละกำลังและน้ำหนักของมันทำให้แหลมนี้เริ่มทรุดตัวก่อนที่จะถล่มลงไปในเหวลึก
"แหลมจะถล่มแล้ว รีบไปเร็ว!!!"หมวดเอกที่เสียเลือดมากสั่งให้เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้งหมดย้ายก้นออกไปจากแหลมนรกนี้ นักข่าวทั้งสองรีบลากนักสู้ของเราออกจากแหลมนี้อย่างทันท่วงที หมวดเอกกับหมู่โบกี้ข้ามมาก่อน จ่าปลาข้ามมาเองได้ ชาติ ตือ กอล์ฟ และ กรอบ ข้ามมาอย่างปลอดภัย ส่วนไอ้ต้นก็หนีออกจากผาถล่มนั้นก่อนที่มันจะร่วงลงไปเพียงแป๊ปเดียว ไอ้ขาวไม่ได้กลับมาจากหุบเหวเช่นเดียวกับทุกคนที่หายไปในคือแรม15ค่ำ ลงไปในร่องเขาเดือนดับ แล้วโดนแรงดึงดูดของโลกจัดการอย่างไร้ปราณี
มากมายกำลังถูตัวเองกับต้นไม้อย่างบ้าคลั่ง มันคันมากกว่าเจ็บแล้วตอนนี้ หมีใหญ่เกลือกกลิ้งไปมา ดิ้นพราดๆอยู่กับพื้น คำรามด้วยเสียงแหลมเล็กที่ฟังดูน่าสมเพชที่สุดเท่าที่หมีตัวหนึ่งจะทำได้ เสียงของมันเป็นเหมือนส่วนผสมอันลงตัวของเสียงกระเทยโดนไฟดูด ขี้คุกกำลังลงแดงเพราะอยากยา แมวโดนหมาข่มขืน และ เสียงเด็กร้องอย่างผิดหวังเวลาวิ่งไล่รถไอติมไม่ทัน สัตว์ประหลาดเบื้องหน้าสิ้นท่าอย่างน่าอนาถ มันดิ้นไปมาเหมือนกำลังเต้นบีบอยแบบหมีๆแล้วค่อยๆถอยห่างออกไปเรื่อยๆก่อนที่จะหายไปในแมกไม้หนาทึบ เสียงชวนให้หางตากระตุกยังดังก้องออกมาจากป่าดงดิบ เท็ดดี้แบร์ที่น่ากลัวที่สุดในโลกถอยออกไปแล้ว มันจะต้องเจ็บและคันไปอีกหลายวันแน่ๆ
"นี่สินะ ขึ้นอย่างหงส์ ลงอย่างหมา"หมู่โบกี้พูดด้วยเสียงอ่อย เสียงของเขาแหบแห้งเหมือนกับพึ่งเดินทางข้ามทะเลทรายซาฮาร่ามาหมาดๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทุกคนเป็นกัน การต่อสู้นี้ดุเดือดมากจนทุกคนคอแห้ง มันเป็นสิ่งที่เสี่ยงและลุ้นมากว่าหมีจะตะปบใคร การโจมตีของสัตว์ป่าดุร้ายตัวมหึมาอย่างหมีป่าตัวใหญ่ผิดธรรมชาติตัวนี้ไม่เหมือนกับการต่อสู้กับฝูงมดดำที่ผ่านมา หากโดนโจมตีแบบโดนจังๆเพียงครั้งเดียว มีสิทธิ์ตายได้ ดีที่ปืนลูกซองและแสงแฟลชทำให้มันโจมตีได้แบบสะเปะสะปะไร้ทิศทางอีกทั้งตาข่ายที่น้ำอ้อยเอาไปคลุมหัวมันทำให้มันกัดได้ไม่ถนัด
"มาอย่างหมี หนีอย่างหมา มากกว่า"จ่าปลาพูดขึ้นมาบ้าง หลายคนก็หัวเราะให้กับมุขของจ่า แต่เป็นหัวเราะแห้งๆแบบคนไม่มีแรงนะ เพราะทุกคนต่างเจ็บหนักมาจากการต่อสู้ ปอดรับอากาศแทบไม่ทัน
"ของจ่าเข้าท่ากว่า"หมู่โบกี้บอกแล้วนอนแผ่ตรงนั้นเลย ทุกคนต่างไม่อยู่ในอารมย์ที่จะมาขำกับมุขแล้ว
"ในการแข่งขัน ผู้ชนะได้หมด ผู้แพ้ไม่ได้เลย ในผืนป่านี้ ผู้ชนะได้หายใจต่อ ผู้แพ้เสียชีวิต"หมวดเอกพูดขึ้นมาเปรยๆก่อนที่จะตรวดดูแผลของตนเอง ร่างกายโชกเลือดของหมวดเอกเป็นสิ่งยืนยันถึงความดุเดือดของการสู้รบครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อไม่มีอาวุธสังหารอยู่ในมือ การที่มนุษย์จะพิชิตสัตว์ป่านั้นต้องแลกกับความสูญเสียจำนวนมาก ปืนลูกซองและมีดพร้าไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะโค่นพญาหมีร้ายกาจสารพัดพิษนั่นได้ หากไม่ได้ความสามารถของน้ำอ้อย พวกเขาทุกคนอาจโดนดันร่วงเหวกันหมดแล้ว
"โอยยยยย ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย หมีบ้าเอ้ยยยยย โลกไม่ยุติธรรม"หมู่โบกี้เริ่มเปลี่ยนอารมย์เมื่อความเจ็บของบาดแผลจำนวนมากเข้ามาแทนที่ความรู้สึกแห่งชัยชนะ หมู่โบกี้เข้าสู่โหมดโอดครางน้อยใจในโชคชะตา อีกไม่นานก็จะเข้าสู่โหมดด่าไม่หยุดตามสูตร แบบเดียวกับทุกครั้งที่หมู่โบกี้ตกเขาหรือโดนยิง
"ใครบอกว่ายุติธรรมหละ ดูสิ เราต้องมาลำบากตรากตำขำไม่ออกในป่าเปรตแบบนี้ แล้วลูกพี่ใหญ่ของเราหละ นั่งห้องแอร์ทำหน้าเก็กหล่อ ดูหนัง เจมส์ บ๋อย สลับกับข่าวม็อบประท้วงรัฐบาล ฟังเพลงลูกทุ่งคลาสสิค ทำงานมากเลยนะนั่น เฮ้ออออ เป็นสารวัตรเนี่ยมันดีจริงๆ ส่วนเรา มาอยู่กับกบรบกับหมี เจริญตายหละ"ไอ้ชาติบ่น ลูบแผลลึก5รอยที่อยู่ตรงแขน ทุกคนต่างมองไปซ้ายขวาแล้วพยักหน้าหงึกๆ ทุกคนต่างเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับโชคชะตาของตน พวกเขาต่างต้องมาเดินทางไกลในสถาณที่อัปมงคลและต้องห้าม สู้รบตรบมือกับสัตว์ประหลาดนานาพันธุ์ ส่วนคนที่ควรจะมาส่งเสริมช่วยเหลือกลับหายหัวไปเฉยๆ สั่งแล้วสะบัดก้นไปนอนดูทีวีเฉย
.
.
.
.
.
ที่กองพัน
"โอยยยยยย เครียดโว้ยยยย ทำไงดี งบประมาณไม่พอ ภาษีก็ขึ้น แถมเบื้องบนก็จี้เพราะต้องการความคืบหน้าเรื่องอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นที่หุบเขาดงโขมดเย็น แถมเรื่องของเรายังไม่คืบหน้าเลยยยย เอาไงดีเนี่ยยยย โอยยยย จะโดนถอดยศมั้ยเนี่ยยย ได้ยินว่าหากเรื่องไม่คืบหน้า เราจะโดนปลดเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความมั่นคงระดับประเทศ ทั่วแผ่นดินต่างอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เรายังไม่มีข้อมูลอะไรเลยยยยย โธ่ โธ่ โธ่ ชีวิต ทำไมพวกลูกน้องมันไม่กลับมาเร็วๆฟร๊ะ"สารวัตรเกรียงไกรนั่งกุมขมับอยู่ตรงโต๊ะทำงานอย่างสิ้นลาย เขารอการตรวจสอบจากลูกน้องมา 3 วันแล้วแต่ว่า . . . ไม่มีวี่แววว่าพวกลูกน้องหมู่หมูมะนาวหรือกะเพราทมิฬจะกลับมาเลย เฮ้ออออออ ปัญหาทางบัญชีต่างรุมเร้าหน่วยงานของเขา แถมยังมีเรื่องการคาดคั้นจากเบื้องบนมาสมทบ ทุกอย่างดูเหมือนกับว่าต้องการจะต้อนให้สารวัตรเกรียงไกรจนตรองแล้วจะได้เขี่ยทิ้งได้อย่างง่ายดาย มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในองกรณ์ด้วย เส้นสายเขาเองก็พอมีบ้างแต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นใจ สารวัตรอยากร้องเพลงแบบที่เขาชอบทำ เขาคิดว่ามันเป็นไม่กี่อย่างในชีวิตของเขาที่เขาทำแล้วมีความสุข แถมยังทำได้ดีซะด้วย ทุกๆวันเลี้ยงรุ่นเขาจะได้เป็นดาวเด่นบนเวทีในฐาณะยอดนักร้องเสียงทองประจำรุ่น แต่ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำอะไรแบบนั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตู. . .
"เยี่ยม ให้ตายสิ"สารวัตรเกรียงไกรกระซิบกับตัวเอง เขาปาดเหงื่อวูบเดียวใบหน้าชุ่มๆเหนียวๆของสารวัตรก็สะอาดเอี่ยมเหมือนพึ่งล้างหน้ามา
"รอแป๊ปนึง!!!"สารวัตรตะโกนให้ผู้ที่อยู่อีกฟากของประตูได้ยินแล้วเปลี่ยนท่านั่งทันที เขารินเหล้าหรูราคาแพงใส่แก้วใบโปรดอย่างฉับไวแล้วตั้งไว้ด้านข้างของโต๊ะทำงาน เปิดทีวีที่อยู่ข้างๆโต๊ะทำงานแล้วเปลี่ยนช่องไปที่ข่าวการเมือง ข้างกายก็กดเปิดวิทยุฟังเพลงลูกทุ่งคลาสสิคโดยไม่ต้องมองปุ่มเลย จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูเนี๊ยบเรียบร้อย ในฐานะของผู้ที่เป็นใหญ่ในกองบัญชาการนี้ เขาจะต้องดูดีที่สุด น่าเคารพที่สุด น่ายกย่องที่สุด ไม่งั้น อำนาจการสั่งการจะหายไปแล้วเขาจะตกกระป๋องอย่างรวดเร็ว การแต่งกายของเขาจะต้องดูมีสง่าราศีมากเท่าที่จะมากได้รวมถึงท่านั่งด้วย อกผายไหล่ผึ่ง ตอนนี้จากสารวัตรอมทุกข์หน้าหมองเหมือนจะโดนลากขึ้นแดนประหารเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นสารวัตรผู้ขึงขังเอาจริงเอาจังและทรงเกียรติในเวลาไม่ถึง30วินาที
"อะแฮ่ม เข้ามาได้!!!"สารวัตรตะโกนเพื่อเป็นสัญญาณให้ผู้ที่อยู่ภายนอกเข้ามายังออฟฟิศของสารวัตร อาณาเขตศักดิ์สิทธ์ที่นอกจากตัวสารวัตรเองแล้ว ไม่มีผู้ใดอื่นอยากจะย่างเท้าก้าวเข้ามาหากไม่มีความจำเป็น ที่นี่คือดินแดนของสารวัตร อาณาจักรของสารวัตร สถาณที่แห่งสารวัตร ที่ที่สารวัตรมีอำนาจเด็ดขาดสูงสุด เฉกเช่นท้องพระโรงที่มีพระราชาเป็นผู้ปกครอง
"ครับ"เสียงสั้นๆดังขึ้นหลังประตูก่อนที่ประตูไม้สีน้ำตาลเข้มตกแต่งจะแง้มออกมา เผยให้เห็นชายคนหนึ่งในชุดเจ้าหน้าที่ป่าไม้พร้อมปฏิบัตการ เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมเช่นเดียวกับตอนที่หมวดเอกและสมาชิคหมูมะนาวก้าวเข้ามาที่นี่
"อ้าาาา หมวดตะวัน หัวหน้าหมวด2หมู่3 หัวหน้าหมู่หอยแครงลวกสินะ พอดีวันนี้ผมมีภารกิจให้พวกคุณทำ"สารวัตรพูดอย่างองอาจด้วยน้ำเสียงหล่อผิดปกติ ถึงอย่างนั้นก็เหอะ บรรยากาศโดยรอบก็ไม่ได้ลดความตึงเครียดลงเลย หมวดตะวันยังยืนตัวแข็งเป็นท่อนไม้อย่างช่วยไม่ได้ หยดเหงื่อไหลเต็มหน้า มือเหนียวไปด้วยเหงื่อ เขาพยายามทำใจดีสู้เสือ เวลาสารวัตรเกรียงไกรอยู่ในห้องทำงานเรียบหรูสีเข้มที่ประดับประดาไปด้วยถ้วยโถโอชามและเครื่องเรือนขัดมันของเขาทำให้เขาดูมีอำนาจมากกว่าตอนที่ยื้นอยู่ตรงโพเดี้ยมตรงสนามฝึกมาก สายตาหนักแน่นเย็นชาของสารวัตรทำให้ผู้ใดก็ตามที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหนาวไปถึงไขกระดูก ตัวแข็งทื่อเหมือนกับมองเข้าไปในตาเมดูซ่า เสียงทีวีไม่ช่วยให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าผ่อนคลายขึ้นเลย
"รายการต่อไป Age of tattletales : เด็กขี้ฟ้องเรืองอำนาจ ตอน ม็อบโรงไฟฟ้าภาคที่21 มาดูกันว่าเหล่าเด็กขี้ฟ้องจะร้องไห้บอกครูว่าอะไรกันบ้าง มาชมผ่านสายข่าวภาคสนามของเรากันครับ"เสียงพิธีกรประจำรายการข่าวดังขึ้นก่อนที่จะตัดภาพไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่กำลังร้องโวยวายถึงความเดือดร้อนของพวกเขา
"เราประชาชนจะต้องไม่ยอมอยู่ภายใต้เงื้อมมือของพวกนักการเมืองชั่ว เราจะยอมให้นักการเมืองมาตัดสินนโยบายให้เรามั้ย"ผู้นำม๊อบที่อยู่ในทีวีกำลังปราศรัย
"ไม่!!!"เสียงประชาชนที่อยู่ในทีวีตะโกน
"เราจะยอมให้พวกข้าราชการมาตัดสินนโยบายให้เรามั้ย"
"ไม่!!!"เสียงประชาชนที่อยู่ในทีวีตะโกนตอบ
"พวกเราประชาชนจะต้องเป็นคนตัดสินว่านโยบายอะไรดีต่อเราใช่มั้ย"
"ไม่!!!"เสียงประชาชนที่อยู่ในทีวีตะโกน แถมผิดบทด้วย
"สติ ลูก สติ!!! ตอบว่าใช่นะคราวนี้ พวกเราประชาชนจะต้องเป็นคนตัดสินว่านโยบายอะไรดีต่อเราใช่มั้ย"
"ใช่!!!"เสียงประชาชนที่อยู่ในทีวีตะโกน แก้บทแล้ว
"พวกท่านได้ยินแล้วใช่มั้ยเสียงของประชาชนหน่ะ ทำไมพวกท่านยังไม่เปลี่ยนนโยบาย โรงไฟฟ้ากำลังทำลายเรา เราจะไม่ทน บลา บลา บลา... ... ."ผู้นำม๊อบที่อยู่ในทีวีปราศรัยต่อถึงความต้องการของตนเอง สารวัตรเกรียงไกรทำหน้าสมเพชเมื่อได้ยินเหล่าผู้ชุมนุมในทีวีกู่ร้องก้องประกาศ พวกเขากำลังทำลายอนาคตของชาติโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ถ้าไฟดับกันทั้งบางแล้วก็โทษรัฐบาลอีก จริงอยู่ที่มันไม่ยุติธรรมเรื่องการที่ชาวบ้านต้องมารับมลภาวะ แต่ไม่มีอะไรบนโลกนี้ได้มาเปล่าๆหรอก ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง และที่สำคัญ เราจะลดส่วนที่เสียนั้นให้น้อยที่สุดได้อย่างไร
"เออ ท่านครับ"หมวดตะวันเอ่ย
"อย่าแทรก ผมกำลังติดตามการเคลื่อนไหวของชาติอยู่ เพื่อที่จะได้กำหนดการบริหารของเราได้อย่างแม่นยำและผิดพลาดน้อยที่สุด ทั้งหมดก็เพื่อส่วนรวม"สารวัตรเกรียงไกรกำลังทำฟอร์มอยู่ ถ้าคิดว่าพวกหมูมะนาวกะล่อนแล้วหละก็ ไม่มีใครหน้าไหนที่ยศน้อยกว่าสารวัตรเกรียงไกรในกองพันนี้ จะกะล่อนและฉลาดพูดมากกว่าสารวัตรแล้ว หมูมะนาวกะล่อนแล้วกลายเป็นตัวตลก แต่สารวัตรเน้นกะล่อนแล้วได้ผลประโยชน์(ความเท่)
หลังจากนั้นไม่นาน สารวัตรก็หันหน้ามาทางหมวดตะวัน
"เอาหละ ขอถามหน่อย หมวด2หมู่1 กับ หมวด2หมู่2 กลับมากันหรือยัง"สารวัตรถามด้วยเสียงหล่อสุดความสามารถเพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเบื้องหน้าเกิดความเคารพยำเกรง
"ยังไม่กลับมาเลยครับ"หมวดตะวันตะเบ๊ะแล้วตอบ
"แย่จริงๆ สถาณการณ์ชักจะไม่ค่อยดีแล้ว เห็นทีคงต้อง . . . ให้พวกคุณออกไปทำภารกิจใหม่"สารวัตรพูดขึ้นแล้วส่งรอยยิ้มอันน่าสงสัยมาให้ หมวดตะวันทำหน้าเหวอ หัวใจตกลงไปประจำที่อยู่ตรงส้นเท้า สีสันหายไปจากใบหน้าของหมวด งานงอก และงานงอกที่เกี่ยวกับหุบเขาดงโขมดเย็นแปลอีกความหมายนึงได้ว่า ความซวยมาเคาะประตูเรียกหาแล้ว
"ภารกิจอะไรเหรอครับ"
"เป็นคำถามที่ดี ผมต้องการให้คุณกับหมู่ของคุณออกไปทำภารกิจกู้ภัย ไปตามตัวคนที่หายไปกลับมาให้ได้มากที่สุด เข้าใจใช่มั้ย ผมว่าพวกเขาน่าจะได้เบาะแสมาไม่มากก็น้อยแล้วหละ เอ้า ไปได้"สารวัตรพูดแล้วให้หมวดตะวันออกไป
"โอ้ว ชีวิตบัดซบมันเป็นแบบนี้นี่เอง นี่เจ้านายเราไม่คิดจะให้เราทำอะไรที่มันสร้างสรรค์หน่อยเหรอ หรือว่าในชีวิตของเจ้านายไม่มีะไรดีๆเลยอยากทำลายชีวิตพวกเราด้วย วันที่ฟ้าไม่มีดาวและความหวังเลือนหายไป บอสจะอยู่คอยซ้ำเติมเรา"เสียงคั่นโฆษณาละครในทีวีดังขึ้นมา ละครเรื่องนี้ชื่อ ชีวิตบัดซบ ภาค บัดซบแมนปะทะบอสที่บัดซบยิ่งกว่า
"ทำไมถึงทำกับฉ้านนนนด้ายยยยย ทำไม ทำไม ทำไม เธอถึงได้ ทำร้ายฉันขนาดนี้ ชอกช้ำเหลืออออเกินนนนนน อะเหื้อ เธอมันไม่มีหัวจายยยยย เธอมันเป็นวายร้ายยยยย"เสียงวิทยุเพลงลูกทุงชุด เศร้าโศกโศกาจนต้องตากฝนให้หวัดกิน ดังขึ้นมา
หมวดตะวันตะเบ๊ะทำความเคารพแล้วเดินออกไปนอกห้องด้วยขาอันสั่นไหวและแข็งทื่อ เขาปิดประตูแล้วเดินออกไปตามโถงทางเดินของอาคารหลังนี้ ทันทีที่เจอหน้าลูกน้องทั้งหลายของเขา
"เฮ้ย ขึ้นรถ งานงอกแล้วเว้ย สารวัตรให้เราไปตามตัวพวกกะเพราหมูกลับบ้าน ออกเดินทาง"หมวดตะวันสั่งแล้วบรรดาลูกหมู่ของเขาไปประจำการกันที่รถปิ๊กอัพ เตรียมออกเดินทางทำภารกิจ
"เออ วิทยุสื่อสารของพวกนั้นไม่ทำงาน เราติดต่อพวกเขาไม่ได้"หนึ่งในคนของหมู่หอยแครงลวกถาม
"เราตามรอยพวกนั้นไปได้ ไม่ต้องห่วง พวกนั้นไปกันเงียบๆโดยไม่ทิ้งรอยไว้ไม่เป็น เดี๋ยวไปถึงเราก็สะกดรอยตามแล้วเจอตัวเมื่อไหร่ก็ บู้ม ปิดจ๊อบ บอกตามตรงนะหมวดเอกก็ไม่อยากเข้าไปเหยียบไอ้ หุบเขางี่เง่านั่นนานๆหรอก ยิ่งทำให้งานเสร็จเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี"หมวดตะวันตอบแล้วก้าวขึ้นนั่นหน้าข้างคนขับ
"ออกรถ....เฮ้ย ไอ้ ไอ้"หมวดตะวันคาดเข็มขัดแล้วสั่งให้ออกเดินทางแต่ว่าทันทีที่เห็นหน้าพลขับก็หน้ากลายเป็นสีขาวราวกับกระดาษทันที พลขับผู้อยู่ใต้หมวกแก๊ปทรงชามข้าวหมา หน้าเอ๋อๆ ท่าทางคึกๆ น้ำลายฟูมปากทุกครั้งที่อยู่หลังพวกมาลัย ไม่ผิดแน่
"ผมจิงโจ้ หมู่ลิงละลายไง เห็นหมวดรีบเดี๋ยวผมจัดให้แบบพิเศษ ใส่ไข่ดาววววววว"ไอ้จิงโจ้ผู้มีชื่อเสียงด้านลบในการขับรถพูดแล้วเหยียบคันเร่งสุดแรง ยานภาหนะคันนี้พุ่งทะยานผ่านระยะทาง5เมตรทันทีก่อนที่จะกระแทกพื้นแล้วพุ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียง
"จิงโจ้ ม่ายยยยย เอ๊ะ จิงโจ้ เออ ช่วยอะไรหมวดหน่อยได้หรือเปล่า เห็นว่านายเป็นพลขับชั้นดีมีฝีมือเยี่ยม เดี๋ยวมีติ๊บให้"หมวดตะวันนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วยื่นข้อเสนอให้จิงโจ้
"อะไรเหรอ ผมยินดีช่วย"จิงโจ้ตอบพร้อมกับกระทืบคันเร่งอย่างบ้าระห่ำ ร้องลั่นเหมือนกับกำลังเล่นเพลงเฮฟวี่เมทัลสุดมันส์เกินจินตนาการ การขับรถด้วยความเร็วเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจพองโต จิตวิญญาณเป็นอิสระ ความทุกข์โศกถูกปัดเป่าไปกับความเร็วบนท้องถนน การซิ่งเป็นสิ่งที่สนุกที่สุดในชีวิตน้อยๆของจิงโจ้ และทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งท่ามกลางความท้าทายอันแสนหอมหวาน
แต่ผู้โดยสารเกาะรถกันอุตลุตแล้วสวดภาวนาขอให้ตนเองรอดชีวิตออกไปจากรถคันนี้ ก้อนโลหะก้อนนี้เสียดสีกับบรรยากาศอย่างปราศจากการยับยั้ง หัวใจทุกดวงไม่สูบฉีดจนสุดก็หยุดนิ่งสนิทเมื่อโดยสารบนรถคันใดก็ตามที่มีจิงโจ้เป็นคนขับ
"หึ หึ หึ หมวดอยากให้จิงโจ้ ขับรถแบบที่นายไม่เคยขับมาก่อน รับรองว่าท้าทายสมใจอยากแน่ๆ"หมวดตะวันพูด เขายิ้มอย่างน่ากลัว น่ากลัวพอๆกับการขับรถของจิงโจ้ ทุกคนจะได้พบกับความเมามันส์ของแท้ เมื่อจิงโจ้ฝืนระดับความสามารถของตนเองและก้าวขึ้นไปอีกขั้นของความเร็ว ทั้งแผ่นดินจะต้องรู้ นักแข่งรถF1พันธุ์เดือดได้ถือกำเนิดแล้ว ทุกๆท้องถนนจะลุกเป็นไฟ ทุกคนที่ข้ามถนนจะไม่ปลอดภัย ตำนานใหม่กำลังจะมา
.
.
.
.
.
.
ริมร่องเขาเดือนดับ
"เฮ้ออออ"จ่าปลาถอนหายใจ เธอทำแผลให้ทุกคนที่เป็นผู้เคราะห์ร้ายจากการโจมตีของหมีมากมาย แผลจากกรงเล็บหมีเป็นแผลลึกแบบฉีกขาดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ยิ่งเป็นแผลที่เกิดจากสิ่งผิดปกติอย่างเจ้ามากมายแล้วด้วย เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหมีปีศาจตัวนั้นผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาสู้กับเรา
สรุปความเสียหายจากการปะทะกับเจ้ามากมาย
หมวดเอก โดนข่วนจนเป็นแผลถากๆหลายแผล โดนกัดอย่างจังที่แขนขวาและไหล่ซ้ายจนเป็นแผลลึกและโชกไปด้วยเลือด หมวดเสียเลือดมากกว่าใครๆเพราะแผลเยอะกว่าและลึกกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลจากขากรรไกรทรงพลังของหมีป่า
จ่าปลา เสียมีดพร้าประจำกายไปกับการปาเป็นอาวุธซัดใส่หน้าอกเจ้ามากมาย ซ้ำร้ายยังโดนตะปบใส่แบบจังๆจนเป็นแผลลึก5แผล เลือดไหลไม่หยุด
หมู่โบกี้ ได้แผลทางยาว5แผลจากกรงเล็บของเจ้ามากมายตรงแขนจากการปะทะตอนแรก ตามด้วยแผลที่ขาจากการโดนตบตัดขาและที่ร้ายแรงที่สุดตรงหน้าอก หมู่โบกี้โดนแรงอัดกระแทกมากกว่าใครเพื่อน มีดพร้ากระเด็นลงเหวไป
ชาติ โดนตะปบใส่จนเกือบตกเหว แผล5แผลเช่นเดียวกับคนอื่น เลื่อยไฟฟ้าอันเดียวที่เอามาหล่นลงเหวไปแล้ว
ตือ เสียปืนลูกซองเดี่ยวไป โดนข่วนเป็นแผลเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นแผลก็ค่อนข้างแสบพอสมควร
กอล์ฟ ปืนโดนตะปบจนฉีกขาด ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป
กรอบ ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เพราะกระสุนของเขาหมดเป็นคนสุดท้ายเลยไม่ต้องเข้าสู้ในระยะประชิต
เนย กดชัตเตอร์จนมือเป็นตะคริว อยู่แนวหลังเลยไม่โดนการโจมตีของหมีควายยักษ์
สมบัติ เฉยๆ เช่นเดียวกับเนย อยู่แนวหลังเลยไม่ค่อยได้รับบาดเจ็บ
น้ำอ้อย โดนตะปบแต่เป็นแค่แผลถากๆเพราะตัวของเธอเบามาก เลือดแทบไม่ไหลเพราะเป็นเพียงแค่แผลถลอก
ต้น เสียเชือกไปเพราะหมีวิ่งหนีไป บ่วงบาศที่คล้องคอเลยติดไปกับมันด้วย ไม่ได้เข้าไปชนในระยะประชิดเลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
ขาว ลงไปเป็นเพื่อนกับทุกคนที่ตกลงไปในเหวเดือนดับ โอกาสรอด = 00.00000000046%
ฟองดู โดนขี้ใส่แบบเต็มสตรีม โดนตะปบแต่ไม่เป็นอะไรมาก แค่ . . . เสียหมาไปหลายวันและกำลังต้องการอาบน้ำ
ใช้กระสุนทั้งหมดที่มีไป
เหมือนกับที่คนโบราณว่าไว้ สงครามมีแต่ความสูญเสีย
"ทุกคน เราจวนจะถึงที่หมายแล้ว ทำใจดีๆ หมวดโดนซัดซะยับเยินยังไปต่อไหวเลย"หมวดเอกพยายามพูดปลุกใจเหล่าสหายร่วมหมู่แต่ว่าทุกคนเหนื่อยอ่อนเกินกว่าที่จะเดินทางต่อไหว จะต้องพักแล้ว เค้าว่ากันว่า การขึ้นชกมวยแค่ครึ่งชั่วโมงทำให้คนๆหนึ่งเหนื่อยกว่าการแบกกระสอบข้าวสาร8ชั่วโมงซะอีก การสู้กับหมีควายหลายหัวสุดดุโดยมีชีวิตเป็นเดิมพันนั้นเหนื่อยกว่ามาก เนยกับสมบัติไม่ได้รับบาดเจ็บจึงกางเต็นท์และผ้าปันโจให้คณะเพราะว่าพวกเขาตัดสินใจจะนอนกันตรงนี้แต่ถึงแม้ว่าจะผ่านเหตุการเลวร้าย พวกนักข่าวก็ยังทำหน้าระรื่นได้อยู่ แต่หมู่โบกี้และคนอื่นๆที่รับการโจมตีของสัตว์ร้ายยิ้มไม่ออก
"หวังว่ายาจะได้ผลนะจ่า"หมู่โบกี้พูดเสียงอ่อย ทรุดตัวลงนอนบนผืนผ้าปันโจสีเขียวขี้ม้า ต้นกับกรอบคอยเฝ้ากองไฟ ทุกแห่งประปรายไปด้วยคราบเลือดและความสิ้นหวัง หลายๆคนบาดเจ็บหนักเอาเรื่องและไม่แน่ใจว่าจะเดินทางต่อไหวมั้ย ดวงอาทิตย์ค่อยๆหายไปในเส้นขอบฟ้า เสียงขู่คำราม เสียงเห่าหอน เสียงกู่ร้องแห่งค่ำคืนค่อยๆดังขึ้น สัตว์กลางคืนเริ่มออกหากินและกำลังไกล้เข้ามาอย่างไม่ต้องสงสัย พวกมันคงตามกลิ่นเลือดมา หนึ่งในเป้าหมายโปรดของสัตว์นักล่าคือคนที่บาดเจ็บและไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้(ซึ่งเราตรงสเป็คมันพอดี) หวังว่ากองไฟที่พึ่งก่อติดนี้จะแรงพอที่จะกันเหล่าสัตว์ร้ายออกไปได้ ไม่มีใครอยากสู้แล้วตอนนี้ แรงไม่มี กระสุนไม่มี กำลังใจไม่มี
"น้ำอ้อยขึ้นไปนอนก่อนนะ"น้ำอ้อยบอกแล้วกระโดดขึ้นไปนอนบนต้นไม้ สถาณที่อันน่าจะปลอดภัยจากสารพัดสัตว์ร้าย เธอส่งเสียงแบบกบเบาๆก่อนที่จะตั้งท่านอนขยับขาสีเขียวของเธอให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมและหลับตาลง จริงๆแล้วการที่ทุกคนรอดออกมาจากการโดนหมียักษ์ขย้ำได้ก็เพราะความสามารถพิเศษของน้ำอ้อย เห็นได้ชัดว่าเมื่อไม่มีอาวุธแล้ว ความสามารถแบบสัตว์เป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าหากต้องการจะรอดออกไปจากป่าลึกแห่งนี้ และน้ำอ้อยมีความสามารถที่เป็นประโยชน์มากเมื่อเธอมีสมองของคนควบคู่ไปกับพลังของสัตว์
"หงิงๆๆ"ฟองดูร้องแล้วเข้าไปนอนอิงอยู่ข้างๆกองไฟ คนแล้วคนเล่าค่อยๆหลับลงภายใต้ค่ำคืนอันเจ็บปวด หลังจากที่ผ่านวันอันหนักหน่วง ทุกคนต้องการพัก วันนี้เป็นบทเรียน ความผิดพลาดของจ่าปลากับหมู่โบกี้ทำให้ทุกคนได้รับอันตรายใหญ่หลวง แผลมดกัด แผลไฟไหม้ รอยเขี้ยวและกรงเล็บของพญาหมี รอยฟกช้ำดำเขียว แผลสดที่กำลังสมานตัวอย่างช้าๆ สิ่งเหล่านี้เพิ่มเข้าไปในร่องรอยการต่อสู้ตลอด3วันของหมู่หมูมะนาว แผลรูปดาว3แฉกจากปลิงหงอน รอยจระเข้กัด แผลที่โดนยุงยักษ์และงูกัด แผลจากหนามของกาฝากหมู รอยจากเคียวซึ่งเป็นขาคู่หน้าของตั๊กแตนตำข้าวยักษ์ และอื่นๆที่ไม่สามารถระบุได้อีกจำนวนมากสะสมบนร่างกายของชาวหมูมะนาว
"กระสุนหมดเกลี้ยงแล้ว ต่อไปนี้เราจะต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ให้ได้มากที่มากที่สุด เข้าใจนะ"หมวดเอกพูด ร่างที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลของเขาบอบช้ำและอ่อนแรง หมวดล้มตัวลงนอน เนยกับสมบัติเฝ้ากองไฟกันไม่ให้โดนโจมตีจากสารพัดภัยในป่าที่แปดเปื้อน เปลวไฟเป็นสิ่งที่น่าจะปกป้องหมู่หมูมะนาวได้ไม่มากก็น้อย
"น้ำอ้อย ต้องขอบใจเธอมากที่ช่วยเราล้มเจ้ามากมาย แต่ว่า นี่เธอแน่ใจนะว่าสวนเห็ดเนี่ยเป็นทางที่ดี เราไม่สามารถรับความสูญเสียหนักไปกว่านี้ได้แล้วนะ"จ่าปลาที่กำลังจะนอนถามน้ำอ้อย เธอเหนื่อยมากจากการสู้กับมากมายและการทำแผลฉกรรย์ให้เหล่าพันธมิตร ตอนนี้ ขอแค่ได้มั่นใจว่าการเดินทางต่อไปนี้จะราบรื่น ทุกอย่างควรจะเป็นไปตามที่วางแผนไว้ เราทุกคนจะต้องระวังให้มากขึ้นและไม่ทำอะไรผิดพลาดอย่างเช่น ... ฆ่าเพลี้ย ยิงหมี ไม่เดินอ้อมหนองเห็ดกระสือ ห้าวจัดเลยจะไปกินมันเทศแถมดันไปนั่งขี้ใต้กาฝากหมู ปล่อยให้หมาอยู่นอกบ้านล่อให้ตุ๊กแกมาขย้ำ และความผิดพลาดหลายๆประการที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
ว่ากันว่าในสงคราม ผู้ที่ทำเรื่องผิดพลาดน้อยที่สุดคือผู้ชนะ บทเรียนราคาแพงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าคำพูดเหล่านั้น ไม่ได้ล้าสมัยเลย
"นั่นเป็นที่เดียวที่มากมายไม่อยากไป"น้ำอ้อยตอบห้วนๆ
"แล้วถ้ามันน่ากลัวมากขนาดมากมายไม่อยากไป ทำไมการที่เราไปจะเป็นเรื่องดีหละ"จ่าปลาหน้าจืดลงไปในทันที หมู่หมูมะนาวไม่พร้อมที่จะรับมือสสูรกายตัวต่อไป กระสุนหมดแล้ว ในการรบสมัยใหม่ ไม่มีกระสุนคือไม่มีชัยชนะ แม้ว่าเราจะต่อสู้กับสัตว์เดรัจฉานแต่ว่าพวกมันไม่ใช่อะไรที่จะเอาชนะได้ง่ายๆหากไม่มีอาวุธปืน
"เห็ดที่นั่นมีพิษ มากมายไม่อยากเสี่ยง แต่เรารู้ว่ามันมี เราก็จะไม่แตะต้องมัน แค่นั้นเราก็จะปลอดภัย"น้ำอ้อยตอบแล้วหลับตาลงนอน แกว่งหางลูกอ๊อดของเธอไปมาตามแรงลมกลางคืน การปะทะกับมากมายใช้พลังงานเยอะมาก พี่หมีคู่ปรับของเธอถึกใช่ย่อย
"เยี่ยม"จ่าปลาพูด ราตรีสวัสดิ์
ทุกคนหลับอย่างสงบภายใต้แสงจันทร์และดวงดาว ค่ำคืนและลมหนาวกล่อมให้ชาวหมูมะนาวนอนหลับอย่างเป็นสุข หลังจากที่วันคืนอันสาหัสเล่นงานพวกเขามาครั้งแล้วครั่งเล่า คืนพรุ่งนี้หมู่หมูมะนาวตั้งใจว่าจะทำภารกิจสุดหินนี้ให้สำเร็จ พวกเขาก็จะเป็นอิสระเสียที และถ้าเป็นไปได้ ขอนอนโรงพยาบาลยาวๆซ่อมร่างกายอันบอบช้ำของพวกตน เปลวไฟกองโตช่วยปัดเป่าความหนาวเย็นและอสูรกายแห่งผืนป่าไปได้ แต่ไม่สามารถลบความทรงจำอันเจ็บปวดและฝันร้ายที่ผ่านมาไปได้ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ชาวหมูมะนาวมีความหวังว่าจะได้อยู่ต่อจนถึงวันพรุ่งนี้
เพียงแต่ ในค่ำคืนนั้น ดวงตาสีเหลืองคู่หนึ่งกำลังจ้องมองนักผจญภัยกลุ่มนี้อย่างสนใจ มันหรี่ตาลงไม่อยากเข้าไกล้เกินไปเพราะมีหมาอยู่ในกลุ่มด้วย มันค่อยๆถอยออกมาและหายลับไปในความมืดแห่งพงไพร อย่างเงียบเชียบและไร้ร่องรอย
"เพียงแค่...วันพรุ่งนี้...เรา..จะเป็น...อิสระ"หมู่โบกี้นอนละเมอ ไม่ใช่หมู่โบกี้คนเดียวที่หวังแบบนั้น
แต่มันจะเป็นอย่างที่หวังหรือเปล่า ไม่มีผู้ใดรู้
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:47:27 GMT
21.secret of the mushroom : ความลับของเห็ด
อีกครั้งหนึ่งที่ดวงตะวันโผ่ลขึ้นจากเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเช่นเดียวกับที่มันเกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆวัน เช้าตรู่มาเยือนแล้ว เสียงของสัตว์ร้ายแห่งรัตติกาลค่อยๆหายไปเมื่อแสงตะวันสาดส่องไปทั่วผืนป่าและหุบเขา วันใหม่ๆและสิ่งใหม่ๆมาถึงแล้ว วันนี้จะได้เพิ่มอีกกี่แผลเดี๋ยวก็จะได้รู้กัน หมู่หมูมะนาวนอนหลับสนิทกันตลอดคืนเนื่องจากเหนื่อยอ่อนมามากจากการต่อสู้กับเจ้ามากมายและการดำเนินแผนกลศึกไฟผลาญมด เสียงนกร้องยามเช้าปลุกให้หมู่หมูมะนาวตื่นอย่างสะลึมสะลือ ลมเย็นยามเช้าพัดโชยมาที่ริมร่องเขาเดือนดับชวนให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพียงแต่ร่างกายที่เหนื่อยล้า ฟกช้ำดำเขียว และประดับประดาไปด้วยบาดแผลสารพัดชนิดไม่สามารถจะสดชื่นได้อย่างเต็มที่ อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่มีการโจมตีจากสัตว์ประหลาดพิลึกพิลั่นเกินจินตนาการอีกตัว หมวดเอกที่ร่างกายพันด้วยผ้าพันแผลเต็มตัว ร่องรอยกรงเล็บและคมเขี้ยวของหมีควายกลายพันธุ์ยังคงเด่นชัด ดีที่จ่าปลาผู้เชี่ยวชาญด้านการปฐมพยาบาลสามารถห้ามเลือดและรักษาบาดแผลฉกรรย์ของหมวดเอกและหมู่โบกี้ได้อย่างทันท่วงที คนแล้วคนเล่าที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์เมื่อวานค่อยๆตื่นขึ้นมารับวิตามินดีกับแสงแดดอ่อนๆดูงามตา จริงๆร่องเขาเดือนดับก็เป็นจุดชมวิวที่ดีนะ ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นโดยไม่โดนต้นไม้บัง ภาพวิวสวยๆอาจจะพอให้ชื่นใจบ้างหลังจากการต่อสู้และความทุกข์ระทมที่ผ่านมาตลอด 3 วัน จะว่าไป วันที่ 4 เริ่มแล้วสินะ
แช๊ะ แช๊ะ
"ภาพสวยๆแบบนี้ปล่อยไปคงไม่ได้"เนยตั้งกล้องถ่ายภาพทิวทัศน์งดงามเหล่านี้อย่างไม่ลดละ ก็นะ นี่เป็นงานของเธอ มีลูกจ้างแบบนี้เจ้านายคงปลื้มใจตายเลย หมวดเอกค่อยๆลุกขึ้นนั่งอย่างมึนงง เขารู้สึกเจ็บแปล๊บๆไตรงแผลที่โดนกัดทุกครั้งที่ขยับตัว หมู่โบกี้เองก็ไม่ได้มีสภาพที่ดีมากไปกว่าพรรคพวกเท่าไหร่ แผลทั่วร่างโดยเฉพาะตรงหน้าอกทำให้หมู่โบกี้รู้สึกเจ็บแผลแปล็บๆจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ ลูกหมู่คนอื่นๆพยายามจะพยุงลูกพี่ทั้ง2คนให้ลุกขึ้นยืน
"ไหวป่าวหมวด"ไอ้กอล์ฟถาม
"ไม่ไหวก็ต้องไหวแหละ วันนี้เราต้องไปให้ถึงไอ้บ้านประหลาดอะไรนั่นให้ได้ แค่ผ่านสวนเห็ดไปเอง แค๊ก แค๊ก ที่นั่นน่าจะปลอดภัยจากสัตว์ร้าย ไม่แน่ เราอาจจะรักษาพยาบาลหรือพักฟื้นเพิ่มเติมที่นั่นก็ได้ หมวดจะไม่ยอมนอนรอความตายอยู่ริมผานี้หรอก อีกไม่กี่อึดใจ เราก็จะได้ออกจากนรกสีเขียวนี่ซักที"หมวดเอกบอกทุกคน กำลังใจและความมุ่งมั่นไม่ท้อถอยของหมวดเอกทำให้หมวดเอกคู่ควรแก่การเป็นหัวหน้าหมู่ของหมู่หมูมะนาว แม้ว่าจะผ่านคมเขี้ยวและอาการบาดเจ็บจำนวนมาก แต่หมวดไม่ได้ท้อเลย
"เยี่ยมมม ป้ายหน้า บ้านแสนสุข เรามาแล้ววววว หวังว่าในป่าเห็ดจะไม่มีปีศาจถั่งเช่าหรือตัวอะไรเทือกนั้นออกมาไล่กินคนนะ กระสุนเราเองก็ไม่เหลือแล้ว ถ้าไปจ๊ะเอ๋กับเห็ดเผาะกินตับเข้าเราอาจจะไม่รอด"หมู่โบกี้ลากสังขารที่อุดมไปด้วยผ้าพันแผลและรอยฟกช้ำออกมาจากเต็นท์ หน้าตาบ่งบอกถึงความหน่าย ความเอียน ความต้องการจะจบงานนี้ให้พ้นๆไป สีหน้าหมองคล้ำและท่าทางอิดโรย สภาพจิตใจของหมู่โบกี้เหมือนกับเด็กมหาลัยที่อยู่ในช่วงสอบปลายภาคไม่มีผิด แต่สภาพร่างกายเหมือนกับโดนรถขนกระจกอัดใส่แล้วเศษกระจกโปรงปรายลงมาเต็มร่าง แต่ถึงจะเจ็บช้ำยังไง หมู่โบกี้ไม่ใช่คนที่จะถอยเมื่อมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว(ขืนถอยก็เสียงานดิ)
"แล้วให้เดานะ ป่าเห็ด เต็มไปด้วยเห็ด นอกจากเห็ดแล้ว จ่าว่ามันฟังดูมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่"จ่าปลาคลานออกมาจากเต็นท์ ร่างของสาวแกร่งเองถึงแม้จะได้รับการโจมตีจากอสูรร้ายแห่งผืนป่าน้อยกว่าหมู่โบกี้หรือหมวดเอก แต่ร่างของเธอบอบบางกว่า ความเสียหายจึงน้อยกว่าไม่มากนัก แขนข้างที่โดนกรงเล็บของมากมายตะปบแทบใช้การไม่ได้ รอยแผลยังคงเห็นได้ชัด ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจจะติดเชื้อได้ และถ้าหากมีการติดเชื้อในสถาณที่แบบนี้ นี่อาจจะเป็นการผจญภัยครั้งสุดท้ายของจ่า และนี่ไม่ได้หมายถึงการปลดเกษียณก่อนวัยด้วย
"ไม่ต้องห่วงหรอกจ่า ผมเคยเจอสถาณที่ที่น่ากลัวกว่าที่นี่หลายขุมมาแล้ว"ไอ้ชาติที่กำลังคลานออกมาจากเต็นทืพูดเสียงอ่อย เขาเองก็ได้รับบาดแผลฉกรรย์จากหมีควายนรกมาเหมือนกัน แต่ร่างของเขาสะบักสะบอมน้อยกว่าคนอื่นๆด้วยเหตุผลที่ไม่อาจทราบได้
"ที่ไหนหละ"จ่าปลาหันไปถาม ทำหน้าสงสัย
"ธนาคาร มันน่ากลัวมาก นายธนาคารเป็นอะไรที่น่าสยดสยองกว่าทุกอย่างที่เราเจอในป่านี้รวมกันซะอีก ผีสาง โจรร้าย ขบวนการแบ่งแยกดินแดน สัตว์ประหลาด เทียบกับนายธนาคารไม่ได้เลยในเรื่องความน่ากลัวและชั่วร้าย พวกเขาไม่ได้ถือปืนหรือมีเขี้ยวเล็บแหลมคม แต่พวกเขาเอาเงินเราไปได้ พวกเขาทำให้เงินของเราเป็นของพวกเขาได้ อย่างเต็มใจด้วย แล้วเขาก็เอาเงินที่พวกเค้าเอาจากเราไปให้คนอื่น แล้วก็ปล้นคนที่พวกเขาให้เงินไปซ้ำอีกทอดนึงด้วย ผมยอมอยู่ในบ้านหลังเดียวกับมากมายและสารวัตรเกรียงไกรดีกว่ากลับไปที่นั่นอีก แค่พูดก็ขนลุก90องศา"ไอ้ชาติทำหน้าหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทา กัดฟันไม่หยุด ขนบนร่างกายเขาตั้งชัน89องศา ตาเบิกกว้าง
"จ่าว่านายคงเสียเลือดมากเกินไป"จ่าปลาทำหน้านิ่งตาขวาง มองบุคคลตรงหน้าด้วยท่าทางเอือมระอา
"ช่าย เพี้ยนยิ่งกว่าที่เคยเป็น ถ้าหนักกว่านี้คงต้องพบแพทย์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนกประสาทและจิตเภท โอยยยย อูยยย"หมู่โบกี้ขยับตัวพยายามจะยืนขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะลุกขึ้นเวลาแขน ขา และ ลำตัวมีแผลลึกเต็มไปหมด ขยับทีปวดไปถึงกระดูกสันหลัง หมู่โบกี้พยายามจะลุกหลายครั้งแต่ว่าพ่ายแพ้ให้กับพิษบาดแผล หมู่โบกี้ตอนนี้เหมือนตุ๊กตาผ้ายัดนุ่นหลวมๆห่อด้วยกระดาษทิชชู่ที่พยายามจะยืน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจถ้าหากมันจะล้มลงครั้งแล้วครั้งเล่า
"เปล่า มันอยู่ๆก็ฉลาดผิดปรกติ"จ่าปลาตอบแล้วฉุดหมู่โบกี้ที่ตัวอ่อนยวบยาบขึ้นมายืนด้วยแขนข้างที่ยังใช้ได้ เสียงดัง กรอบแกรบดังขึ้นเวลาที่หมู่โบกี้ขยับร่างกายอันบอบช้ำของตน หมู่โบกี้เดินไม่ค่อยได้เนื่องจากหนึ่งในการโจมตีของมากมายที่หมู่โบกี้โดนคือตบตัดขา นอกจากจะทำให้ล้มในระหว่างการปะทะแล้วยังทิ้งรอยแผลเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ลึกมากแต่ที่หนักที่สุดคืออาการฟกช้ำจากพละกำลังของพญาหมี หมู่โบกี้ขาสั่นพับๆๆเพราะขาแทบไม่มีแรงก้าว จะยืนยังยากเลยจุดนี้
"จะว่าก็แล้วนะ อัจฉริยะกับคนบ้ามันก็มีเส้นบางๆคั่นเอาไว้ เออ ขอไม้เท้าหรืออะไรเทือกนั้นหน่อยสิ หมู่เสียวขา"หมู่โบกี้ทำท่าเหมือนจะล้มอีกแล้ว ชาติเลยรีบเขามาหิ้วปีกก่อนที่หมู่โบกี้จะลงไปกองกับพื้น
"อ้ายตืออออ แกรีบมาทำหน้าที่เดี๋ยวนี้เลยนะ มีใครบางคนที่แกจะต้องมาแบก"จ่าปลาตะโกนไปทางเต็นท์ที่โป่งออกมาผิดรูป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเต็นท์ถึงมีรูปร่างแบบนั้นในทีแรก บุคคลที่มีขนาดไม่แพ้ใครกำลังนอนฝันหวานอยู่ในเต็นท์ที่น่าสงสารหลังนั้น
"หง่ำๆๆ ขออีก 5 นาทีน้าหม่าม้า"เสียงงึมงำครางออกมาจากเต็นท์ หนึ่งในเหตุการณ์ที่งี่เง่าที่สุดที่มักจะเกิดขึ้นกับชีวิตของคนปลุกคือการต้องมาปลุกคนขี้เซาที่คิดว่าตัวเองกำลังกินอิ่มนอนอุ่นอยู่ในบ้านของตัวเอง การตื่นสายในสถาณที่อัปมงคลที่มีสิ่งชั่วช้าแห่งพงไพรคืบคลานเต็มไปหมดไม่ใช่สิ่งที่ฉลาดและที่สำคัญ กำหนดการหมู่หมูมะนาวคือการไปให้ถึงอาคารต้องคำสาปที่เปลี่ยนผืนป่าอันวุ่นวายให้เป็นนรกบนดินให้เร็วที่สุด ซึ่งเร็วที่สุดที่พูดกันก็คือวันนี้ และเราไม่รู้ว่ามีอะไรที่ไกล้เคียงกับเจ้ามากมายกำลังรอที่จะดับชีวิตเราหากเราอยู่ในที่เดิมนานเกินไป
"ชั้นไม่ใช่หม่าม้าแก ตื่นเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่ง ชั้นเป็นจ่า ผู้บังคับบัญชาของแกรรรรร"จ่าปลาตะโกนใส่เต็นท์โป่งๆหลังนั้นอย่างสุดเสียง เสียงร้อง18หลอดของจ่าปลาแทรกไปในอากาศตรงเข้าทำลายโสตประสาทของผู้คนรอบข้าง
ไม่มีการตอบสนองจากเป้าหมาย
"ตื่นโว้ยยยยย ไอ้มากมายมันจะกลับมากินเราแล้ววว"จ่าปลาตะโกนด้วยน้ำเสียงแตกตื่นปานเกิดไฟป่า ย่ำเท้าเร็วๆเพื่อให้ไอ้ตือคิดว่าทุกคนกำลังวิ่งหนีหมีหลายหัวกระหายเลือดจริงๆ
ไม่มีการตอบสนองจากเป้าหมาย
"สารวัตรเกรียงไกรจะมาทดลองวิทยาศาสตร์ในตูดเราอีกแล้ว หนีเร็วววววว"อันนี้จ่าพยายามกลั้นหัวเราะขณะพูด อันนี้ไม่รู้ว่าจ่าคิดออกมาได้ยังไง
ไม่มีการตอบสนองจากเป้าหมาย
จ่าปลาเริ่มมีน้ำโหหน้าเริ่มกลายเป็นสีแดงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่คนอื่นๆในกลุ่มกำลังหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลังกับคำโกหกอันสุดท้าย หมู่โบกี้มองหน้าจ่าแล้วหันไปทางเต็นท์
"อะแฮ่ม ไอ้ตือ กินข้าว"
"หา เช้าแล้วเหรอ"ไอ้ตือพุ่งทะลุเต็นท์ออกมา ทำหน้าตื่นเต้นเหมือนลุ้นล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ไฮเปอร์สุดขีด ตาเหลือกจนเห็นเส้นเลือดแดง น้ำลายไหลเช่นหมาเป็นโรคกลัวน้ำ ท้องร้องดุจดั่งลำโพงพิโรธในคอนเสิร์ตร็อคโพดๆ ยิ้มกว้างเป็นโจ๊กเกอร์ สถาณการณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
"เห็นมะ แต่ละคนจะมีเครื่องมือในการจัดการต่างกัน อย่างคนนี้คงไม่ต้องบอกว่าคืออะไร ไขควงใช้กับสกรูน็อต ค้อนใช้กับตะปู หมูต้องให้รำ"หมู่โบกี้ยิ้มกว้าง จ่าปลามองหน้าหมู่โบกี้ด้วยความหมั่นไส้อย่างออกนอกหน้า
"ตือ หมู่โบกี้โกหก จริงๆแล้วหมู่ต้องการใครซักคนมาแบก และ แกอดข้าวเช้า คำสั่งหมู่โบกี้"จ่าปลาพูดเสียงเรียบ หมู่โบกี้หน้าถอดสีลงในทันที ไอ้ตือเริ่มทำท่าไม่น่าไว้วางใจ และอาจจะกระโจนเข้ามากินหมู่แทนข้าวเช้าแทนก็เป็นได้
"กรรรรรรรรร"เสียงนี้เป็นลางร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่ตือไม่พอใจเพราะโดนปลุก เวลาที่ตือโมโหหิว เวลาที่ตือรู้ตัวว่าโดนแทงข้างหลัง ในกรณีนี้ ทั้ง 3 อย่างรวมกัน
และแล้ว ไอ้ตือก็ชาร์จเข้ามา
"กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!"หมู่โบกี้ร้องเสียงหลงไม่แพ้ตอนที่สู้กับมากมายหรือจระเข้มรกต อยู่ๆหมู่ขาเป๋ก็สามารถวิ่งได้เหมือนกับนักวิ่งทีมชาติโดยไม่ต้องใช้ไม้เท้าหรืออุปกรณ์ใดๆทั้งสิ้น ร่างอ้วนฉุที่บรรจุไขมันไว้ราวๆครึ่งร้อยกิโลกำลังพุ่งเข้ามาไล่กินหมู่โบกี้เหมือนกับตัวแพ็คแมน หมู่เลยวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตด้วยความเร็วมาตรฐานหมู่หมูมะนาว ตอนนี้รอบๆลานกางเต็นท์มีคนสองคนกำลังวิ่งไล่กันเหมือนแมวไล่หนู จริงๆเหมือนฮิปโปวิ่งไล่จิ้งเหลนมากกว่า เสียงโหวกเหวกทำให้ความสงบยามเช้าถูกทำลายลงในพริบตา ปากตะกละของไอ้ตือเขามาไกล้ๆก้นอันน่าสงสารของหมู่เรื่อยๆ
"ตือ ใจเย็นนนนน เดี๋ยวหมู่ทำข้าวเช้าให้"หมู่โบกี้รีบเผ่นเข้าไปที่กระเป๋าเป้บรรจุเสบียงหมายจะเอาอาหารคาวหวานที่แย่งมาจากกลุ่มมอดไม้มาหยุดไอ้ตือที่กำลังโมโหหิวระระยะสุดท้าย หมู่ยังไม่อยากโดนทึ้งโดยไอ้ตือทึ้งหลังจากที่โดนหมีขย้ำมาแค่วันเดียว แล้วสิ่งที่หมู่คิดว่าจะช่วยได้กลับมาทรยศหมู่ในวินาทีชีวิต
"โบ๋เบ๋"หมู่โบกี้หน้าซีดเป็นสารฟอกขาว มองไปเบื้องหน้าเห็นฟองดูกับน้ำอ้อยกำลังแบ่งผลประโยชน์กันอย่างอเร็จอร่อย น้ำอ้อยมีข้าวเต็มปากมองมาทางหมู่โบกี้ด้วยสายตาแสดงความประหลาดใจ นี่มีการจารกรรมมื้อเช้าเกิดขึ้นในจังหวะเหมาะเจาะกับการไล่ล่าพอดีเลยสินะ หมาฟองดูเองเมื่อเห็นว่ามีคนจับได้ก็นั่งเกาสีข้างทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ขณะเดียวกันไอ้ตือก็พุ่งเข้ามา น้ำลายยืด ตาขวาง หิวจัด โกรธจริง โดยรวมคือโมโหหิวแถมโดนหลอก ดูๆไปเหมือนกระทิงน้ำหนักเกินที่กินสารเร่งเนื้อแดงเข้าไปเกินขนาด หรือไม่ก็มะเขือเทศที่กำลังโกรธจัด
"ม่ายยยยย อย่าทำหนู กรี๊ดดดดด"หมู่โบกี้ร้องเสียงผู้หญิงอย่างหมดความอาย แต่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมู่ยังไม่โดนกิน หรืออย่างน้อย ก็ยังมีชีวิตอยู่แบบค่อนข้างครบ32 เมื่อลืมตาขึ้น สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือไอ้ตือกำลังสวาปามอาหารที่น้ำอ้อยกับฟองดูแอบลักลอบเอาออกมาอย่างบ้าคลั่งและไม่สามารถหยุดยั้งได้ยกเว้นว่าไอ้ตือจะอิ่มซะก่อนนะ
"ฟิ้ววว เกือบเป็นอาหารหมูซะแล้ว รอดหว่ะ"หมู่โบกี้ปาดเหงื่อและยิ้มน้อยๆ หัวเราะแหะๆ ก่อนที่จะตั้งสติได้ว่านี่กำลังเกิดอะไรขึ้น
"รอด เหรอ"หมวดเอกยืนมองสถาณการณ์เบื้องหน้าด้วยสีหน้าที่อยู่ตรงข้ามกับคำว่าพึงพอใจ หมวดเอกกุมขมับแล้วพูดเสียงเรียบๆ เบาๆ แต่เย็นยะเยือกไปถึงกระดูกดำ เงาของหมวดทาบทับร่างผอบแห้งและสั่นเทาที่พันไปด้วยผ้าพันแผลของหมู่โบกี้ สิ่งมีชีวิตผู้ก่อคดีที่เหลือทั้งคน สัตว์ และสองอย่างผสม กันต่างมองกันไปมาด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม ยิ้มแก้เขินกันหน้าสลอน
"ตอนนี้ได้บทสรุปอยู่สั้นๆอยู่ 3 อย่าง
1.คนตะกละ คนโง่แต่ขยัน คนขี้ขลาด เด็กที่ไม่มีวุธิภาวะ และ สัตว์ คือรูปธรรมของคำว่าปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถาณการณ์ที่เติมเต็มไปด้วยความกลัวและอันตรายเช่นนี้
2.เสบียงของเราหมดไปกับการเล่นสนุกของพวกงั่งผสมง่าวและเราไม่สามารถหาเสบียงเพิ่มเติมได้ในป่าแห่งฝันร้ายนี้ ด้วยเหตุผลที่เรายังไม่อยากเป็นอะไรนอกเหนือไปจากมนุษย์คนนึง
3.เราได้ลูกหาบคนใหม่แล้ว ตัวใหม่ด้วย"
บทสรุปนี้ไม่สั้นอย่างที่คิด
"เอื้อก"หลายๆชีวิตต่างกลืนน้ำลายกันอย่างพร้อมเพรียง เรามีปัญหา และผู้ที่ก่อปัญหาจะต้อง รับ-ผิด-ชอบ และการรับผิดชอบที่ดีที่สุดเท่าที่หมวดเอกจะคิดออกในเวลานี้คือ การเป็นลูกหาบ ที่จะต้องแบบสัมภาระทุกประเภทเท่าที่หมวดต้องการ
"ถามจริงเหอะ หมวด จะรีบไปไหน ทุ่งหมาหอนรอได้หน่า"จ่าปลาจับไหล่หมวดเอกแล้วทำหนาหน่าย หน่ายกับเพื่อนร่วมหมู่ไร้คุณภาพ หน่ายกับผู้ติดตามที่วันๆหาแต่เรื่องและภาระ ที่สำคัญที่สุด หน่ายกับความวิปริตแห่งผืนป่า เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสิ่งที่ผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวรูปแบบไหนจะกระโจนออกมาจากพุ่มไม้และเงามืด
"ก็ แบบว่า นี่ผ่านมากี่วันแล้วเอ่ยหลังจากที่เกิดลูกไฟ ตู้มต้าม ที่บ้านหลังนั้น 2เดือนโดยประมาณ โอ้พระเจ้า น่ากลัวจุง มันปลดปล่อยคำสาปของเจ้าป่าเอาแต่ใจ แง แง แล้วนี่เราเจออะไรแปลกๆมั่งตั้งแต่เหยียบเข้ามาในหุบเขาดงโขมดเย็น นับนะ ต๊กโต๋รุ่นเดอะ ตั๊กแตนไซส์ม้า จระเข้มรกตหมวกบัวหลวง ปลิงควายหงอนไก่ คางคกนรกแตก งูเงี้ยวเยอะแยะ ยุงลายวัยดึก ปลาแอ๊บแบ๊วสาดโคลน กาฝากหมูพร้อมหมูป่าเก๋ง แมวที่น่าเกลียดที่สุดในภูมิภาค มดไม่ลอยตัวเท่าหมา เพลี้ยลอลลี่ป๊อปหวานเจี๊ยบ มดน้อยคล้อยบินสู่เวหา และล่าสุด หมีควายสามบั้งที่ชื่อตรงตัวที่สุดในโลก ยังไม่นับเด็กหญิงลูกอ๊อดที่พึ่งจารกรรมข้าวเช้าเราไปหมาดๆ และ และ แล้วววว ถ้าหากเราปล่อยไว้อีกซักครึ่งปีหล่ะ หืม คิดออกมั้ยว่าอะไรจะเกิดขึ้น หมวดเองยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีป่าเหลือให้ปกป้องมั้ยถ้าหากผ่านไปอีกซักเดือน นี่คือเหตุผลที่เราต้องปิดจ๊อบให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และทุ่งหมาหอน อันนั้นเป็นเหตุผลด้านความก้าวหน้าในอาชีพ เราจะไม่มีความก้าวหน้าในอาชีพถ้าหากเรา ไม่มีป่าเหลือให้พิทักษ์ แล้วผู้พิทักษ์แห่งพงไพรอย่างเราๆก็จาาาาาาา ไปนอนขอทานอยู่ใต้สะพานลอย อนาคตสดใส ว่าแต่เราไปกันดีกว่าเนอะ ใช่มั้ย แกะห่อข้าวกันแล้วหมวดยังไม่อยากจ๊ะเอ๋มากมายเพื่อนเก่า เค้าจมูกดีซะด้วยสิ อีกอย่าง ไม่มีอาหารไม่มีชีวิต เราจะอดข้าวได้นานซักเท่าไหร่ยังไม่รู้ รีบไปรีบกลับยังพอมีหวังนะ"หมวดเอกอธิบายพร้อมด้วยเสียงประชดประชัน ยิ้มแบบกวนประสาทผสมกับชวนสยอง แล้วกวักมือเรียกให้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาเริ่มย้ายก้นได้แล้ว
เมื่อไหร่ที่หมวดเอกใช้น้ำเสียงแบบนี้ แสดงว่าเค้ากำลังสะกดอารมณ์โกรธของตนเองไม่ให้ระเบิดออกมาอยู่
ไม่ใช่เรื่องดีเลยเวลาที่หมวดโกรธ แต่เป็นเรื่องดีที่หมวดเก่งเรื่องการควบคุมอารมณ์ที่สุดในหมู่หมูมะนาว
"แล้วเราจะหยุดมันได้ไงถ้าหากเราไปถึงอาคารที่ว่าแล้วหน่ะ"ชาติถาม และคณะปิดปากมันไม่ทันแล้ว กลัวว่าจะไปสะกิดน้ำโหของหมวด
"อ่าห์ เป็นคำถามที่ดี เราไม่ได้เป็นคนหยุดมัน เราเก็บหลักฐาน รวบรวมข้อมูล และรายงานหน่วยเหนือ ถ้าเอาแบบเฉพาะเจาะจง สารวัตรเกรียงไกร แล้วเค้าก็จะดำเนินงานจัดการเอง ใครมีอะไรจะถามเพิ่มอีกมั้ย หืมมมมมม"หมวดเอกเลิกคิ้วสูง พยายามยิ้มหวาน แต่ในสายตาของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ค่อยหวานและน่าดูชมเท่าไหร่
"ไม่มี"ทุกคนพูดประสานเสียงแล้วเดินตามหมวดเอกไปอย่างง่ายดาย เช้านี้มีเรื่องวุ่นวายน่าหงุดหงิดมากพอแล้ว หมู่โบกี้ ไอ้ตือ น้ำอ้อย และ ฟองดู บัดนี้มีสภาพเหมือนกับล่อขนของ หมู่ส่งสายตาหงุดหงิดไปหาจ่าปลาตัวต้นเรื่อง เจ้าตัวส่งรอยยิ้มเจื๋อนๆให้
"ออกกำลังกายเยอะๆ จะได้แข็งแรง สู้หวัดไง"จ่าปลาพูดเฉไฉทำท่าไม่รู้เรื่อง
"หมู่โดนหมีขย้ำไม่ใช่เป็นหวัด"หมู่โบกี้ที่กำลังจะโดนสัมภาระทับขี้ไหลส่งเสียงออกมาจากกองของสูงท่วมหัวจนแทบมองไม่เห็นตัวคนที่แบกมันอยู่
"เดินดีๆหละ เดี๋ยวแผลเปิด"หมวดเอกเดินกะเผลกหันมาพูดแล้วออกเดินหน้า จริงๆหมวดก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก แต่ ถ้าหากปล่อยเอาไว้ เดี๋ยวพวกนี้มันจะเล่นกันไม่เลิก ในที่แบบนี้มีสิทธิ์ตายหมู่ได้ หมู่หมูมะนาวบอบช้ำจากการต่อสู้กับสัตว์โลกไม่น่ารักมามากเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้หมู่นึงจะรับไหวแล้ว กระสุนหมดเกลี้ยง อาวุธบู้บี้ ร่างกายยับเยิน จิตใจสูญสลาย กำลังใจหดหาย
ยิ่งหมวดเอกและคณะเดินลึกเช้าไปในผืนป่าอันน่าหวาดหวั่น ป่าดิบแล้งแห้งกรอบที่ทุกหนแห่งมีแต่ร่องรอยแห่งการทำลายของฝูงเพลี้ยงจอมตะกละ ราดำขึ้นเป็นหย่อมๆเพราะน้ำหวาน ต้นไม้แห้งตาย ซากไม้ล้มกองระเกะระกะ แปรเปลี่ยนเป็นป่าดงดิบเขตร้อนดังที่ผืนป่านี้ควรจะเป็น ไบโอมป่าดิบชื้นอันเปี่ยมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ สถาณอันเป็นที่อยู่อาศัยของสรรพชีวิต ที่ๆมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดบนบก แต่หลังจากที่สิ่งชั่วร้ายครอบคลุมผืนป่าไปด้วยคำสาปที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการออก ความหลากหลายทางชีวภาพในผืนป่าแห่งนี้ดูเหมือนจะมากเกินไป ที่นี่กำลังจะกลายเป็นนรก และอีกไม่นาน มันจะเป็น กลิ่นอายที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจค่อยๆแรงขึ้นเรื่อยๆ ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศค่อยๆหนาแน่นขึ้นเรื่อย พื้นที่ค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆเหมือนกับมีพวกหนักแผ่นดินผ่านเส้นทางนี้ แน่นอน หุบเขานี้เต็มไปด้วยพวกหนักแผ่นดิน แมกไม้ เถาวัลย์ และ ร่มเงาจากพืชพรรณมีมากขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกับไอน้ำในอากาศ ความมืดมากขึ้นทั้งๆที่ยังไม่ถึงเที่ยงวันด้วยซ้ำ แววตากระหายเลือดของกาฝากหมูที่อยู่บนต้นไม้ทำให้เหล่าผู้คนเสียวสันหลังทุกครั้งคราที่ต้องเดินผ่าน แต่พวกมันไม่จู่โจม พวกมันมอง มองเฉยๆ ไม่แม้แต่จะขยับร่างน่าเกลียดของมันเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าแปลกใจ จากดินร่วนที่เราเหยียบมาตลอดทางค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นดินเหนียวเหลวๆ พื้นที่ต่ำลงเรื่อยๆ ป่าเห็ดที่ว่านี้คงจะเป็นส่วนที่ค่อนข้างต่ำของหุบเขานี้ แสงน้อย ความชื้นมาก คงเพอร์เฟคสำหรับเห็ดไปเลย แต่ว่ายิ่งถล่ำลึกเข้าไปในเขตนี้ เห็ด เห็ดมากมายมีตั้งแต่ขนาดปกติจนไปถึงดอกใหญ่เท่าหมอนหนุนหัว บางต้นสูงเกือบเท่าเอวคนด้วยซ้ำ ชื่นนี้มีที่มาจริงๆ ป่าเห็ดนี้มีกลิ่นที่ชวนให้ไม่สบายใจตลอดเวลา มันเหม็นเหมือนมีอะไรกำลังเน่าหนอนชอนไชอยู่ในดินแดนลับแลแห่งนี้ กลิ่นอายแห่งความสูญเสีย กลิ่นเหม็นเน่าแห่งความตาย ทุกชีวิตในคณะหมูมะนาวรู้สึกได้ ดินแดนนี้มีอะไรที่ไม่ดีมากๆซุกซ่อนอยู่ ตามที่น้ำอ้อยเตือนเอาไว้ ที่นี่เต็มไปด้วยเห็ดพิษ เราไม่ควรแตะต้องอะไรที่อยู่ในดินแดนสุดสยองแห่งนี้เป็นอันขาด อากาศที่นี่เย็นกว่าที่อื่นในหุบเขาดงโขมดเย็นเนื่องจากมีน้ำขังและร่มเงาที่บดบังแสงตะวัน แต่ในทางกลับกัน มันชวนให้นึกถึงสิ่งลี้ลับที่คอยทำร้ายทำลายชีวิตอย่างเช่นสัมพเวสีผีเร่ร่อนที่ล่องลอยไปตามสถาณที่อัปมงคลและที่รกร้าง ที่นี่เป็นทั้งสองอย่างเลย
"นี่หมวดเอก ที่นี่คือป่าเห็ดใช่มะ ทำไมมันรู้สึกว่าที่นี่มันมีมากกว่าแค่เห็ดโง่ๆพวกนี้ เราได้กลิ่นที่ . . . ไม่ค่อยน่าอภิรมย์ แถมอากาศชื้นๆแบบนี้เหนียวตัวชะมัด"หมู่โบกี้ที่แบกของจนหลังอานถามหมวดเอกออกมาจากกองสัมภาระที่กองสูงท่วมหัว เสียงหอบของหมู่โบกี้ดังออกมาบ่งบอกถึงความเหนื่อยและเจ็บแผล
"ถามไกด์เซ่ะ น้ำอ้อยพาเรามา"หมวดเอกหันไปหาน้ำอ้อยที่กำลังแบกกองของชดใช้เรื่องเด็กกับหมาและข้าวเช้าที่หายไป ตอนนี้น้ำอ้อยดูไม่ค่อยมีปัญหากับบรรยากาศที่มีความชื้นสูงแบบนี้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
"ที่นี่คือป่าเห็ด ก็มองไปรอบๆ มีแต่เห็ด เห็ด เห็ด เต็มไปหมด อย่าคิดลองชิมหล่ะ หมูป่าหลายตัวเคยลองแล้วไม่ได้กลับไปแบบมีลมหายใจ"น้ำอ้อยตอบแล้วหันไปมองรอบๆ ทำท่าไม่ค่อยสบายใจ กลิ่นพวกนี้ทำให้อะไรๆแย่ลง
"แล้วพอจะรู้มั้วว่าอะไรทำให้เกิด เห็ดเยอะขนาดนี้ แถมมันมีกลิ่นเหม็นเน่าเต็มสถาณที่นี้ไปหมด"กอล์ฟทำหน้าเบ้ มองไปรอบๆป่าสูงหนาทึบ เห็ดน้อยใหญ่ขึ้นกันเต็มพื้นที่ ถึงมันจะไม่เคลื่อนไหวหรืออยู่ๆมีลูกตาโผ่ลมาแต่ว่า มัน ไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย เห็ดอวบๆต้นเท่าขาลำต้นสีขาวสะอาดที่มีดอกสีเหลืองดุจทานตะวันพวกนี้ทำให้กอล์ฟกลัว มันไม่ได้ดูน่ากลัวเลยแต่ว่าด้วยเหตุผลที่ไม่อาจทราบได้ มันน่ากลัว
"ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆใครควรเข้ามา แม้แต่มากมาย ที่นี่ มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น"น้ำอ้อยบอกก่อนที่จะทำท่าขนลุก ท่าทางหวาดระแวงไปหมดขณะที่เดินผ่านพื้นโคลนเปียกๆ
"แน่นอน ทั้งหุบเขานี้มีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับหนูไง"จ่าปลาพยายามจะปลอบ แต่ในขณะเดียวกันจ่าปลาก็มองไปรอบๆ ที่นี่น่ากลัว น่ากลัวทั้งๆที่ไม่มีอย่างอื่นนอกจากเห็ดกับกาฝากหมูเกียร์ว่างไม่กี่ต้น น่ากลัวแบบไม่มีเหตุผล เสมือนป่าส่วนนี้แสดงความไม่ต้อนรับผู้มาเยือน
"ที่นี่ ไม่เหมือน ที่อื่น ที่นี่ น่ากลัว ที่นี่ มีวิญญาณที่ไม่ไปสู่สุขติ ที่นี่ มีคนตาย"น้ำอ้อยพูดตะกุกตะกัก สายตากวัดแกว่งไปมา จิตใจไม่ค่อยมั่นคง บรรยากาศชวนให้ขนลุกเกรี้ยวของป่าเห็ดทำให้เธอรู้สึกถูกคุกคาม
"อืม ก็ ทุกที่ก็มีคนตายแหละ แต่ว่าทำไมต้องเป็นที่นี่หละ"หมู่โบกี้ถาม
"พูดไปพี่ๆก็ไม่เข้าใจหรอก ที่นี่มีหลายอย่างที่หนูไม่รู้จะบอกยังไงดี"น้ำอ้อยกระโดดไปที่มุมนึงของกอเห็ด ชี้ไปที่ด้านหลังของแนวเห็ดต้นใหญ่พวกนั้น เหมือนกับจะให้คนอื่นๆไปดูข้างหลังแนวเห็ดนั่น ความลับอะไรที่รอพวกเขาอยู่
หมู่โบกี้ได้โอกาสเลยยกกองของให้จ่าปลาถือแล้วอาสาไปดูสิ่งที่ว่ากันว่าน่ากลัวที่อยู่หลังม่านเห็ดสีเหลืองดุจน้ำหนองเหล่านั้น หมู่โบกี้ใส่ถุงมือกรรมกรที่ได้มากจากโรงเลื่อยเสร็จแล้วก็เดินอย่างมั่นใจเข้าไปหาเป้าหมาย เพียงไม่กี่ก้าว หมู่ก็เดินไปชิดกับแนวเห็ดขนาดใหญ่ผิดธรรมชาติ หมู่โบกี้กำลังจะยื่นมือไปหมายจะแหวกดงเห็ดให้เปิดออกเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่หลังลำต้นอ้วนๆที่เปี่ยมไปด้วยสารอาหารของเห็ดดอกโต แต่แล้ว อยู่ๆหมู่โบกี้ก็เกิดอาการหนาวสันหลังขึ้นมาดื้อๆ ฉุกคิดได้ถ้าหากน้ำอ้อยที่อยู่ในป่านี้มาตั้งแต่เกิดยังไม่กล้า สิ่งที่อยู่เบื้องหลังเห็ดอ้วนๆไร้เดียงสาพวกนี้คงจะต้องทิ้งฝันร้ายชั่วชีวิตให้หมู่แน่ๆ กลิ่นเหม็นโฉ่น่าขยะแขยงลอยออกมาจากจุดนี้ ใครมาตายอยู่ที่นี่ ไม่มีทางรู้เลย
"เฮ้ย ไอ้โบกี้ขี้โอ่ กลัวเหรอ ขาสั่นพับๆๆเป็นหางหมาได้ข้าวเลยนะเอ็ง เจ้าเข้าหรือไงไอ้ขี้แพ้ ชายชาตรีอกสามศอกเค้าไม่ขี้ขลาดตาขาวต่อหน้าหญิงหรอกหน่า กลัวเห็ดออรินจิยักษ์เนี่ย ใครรู้เข้าอายเค้าตาย"จ่าปลายุด้วยสกิลที่ว่ากันว่าร้ายกาจมากเมื่อใช้กับผู้ชาย หนึ่งใน108มารยาหญิง ยุชายให้ไปตาย ว่าด้วยเรื่องการหยามศักดิ์ศรีผู้ชายด้วยเรื่องความกล้า จะได้ผลดีเป็นพิเศษเมื่อเป้าหมายเป็นพวกอีโก้สูงไอคิวต่ำหรือมีคติประจำใจว่าฆ่าได้หยามไม่ได้
และมันได้ผลกับหมู่โบกี้แบบคริติคอล
"ว่าไงนะ พูดผิดพูดใหม่ได้ คนขี้ขลาดมาเป็นหมู่ไม่ได้หรอกเว้ย โบกี้คนนี้ผ่านร้อนผ่านฝนมาเยอะพอที่จะทำให้ต่อมความกลัวฝ่อหมดแล้ว"หมู่โบกี้หัวร้อนทันตา เมื่อความโกรธอยู่เหนือความกลัว หมู่โบกี้ถึงกับถอนแนวเห็ดสีเหลืองซีดพวกนั้นออกมาด้วยมือข้างเดียวภายในพริบตา เผยให้เห็นความอัปลักษ์ที่อยู่เบื้องหลัง พื้นที่ราบลงไปเป็นหลุม มีร่างไร้วิญญาณของเพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน และ มดดำ มากมายกองพะเนินอยู่เต็มไปหมด หนอนแมลงและสัตว์กินซากจำนวนหนึ่งกำลังเอร็จอร่อยกับเนื้อเยื่อของซากเหล่านี้ น้ำหวานที่ไหลรินจากบั้นท้ายของซากเพลี้ยตกผลึกจนเป็นก้อนน้ำตาล ส่งกลิ่นเหมือนน้ำเชื่อมบูดๆที่สารพัดสัตว์ต่างชื่นชอบเชิญชวนให้มารับประทาน นกแร้งหลายตัวกำลังฉีกร่างเปื่อยๆของเป้าหมายกิน นอกจากนี้มันยังชอบผลึกน้ำตาลที่ว่านี้ด้วย หวานคอแร้งของแท้
"มดกับเพลี้ย? ทำไมซากของพวกมันมาอยู่ที่นี่ได้"หมู่โบกี้ถามอย่างสงสัย มีตัวอะไรหรือใครทำเรื่องแบบนี้เนี่ย มันมีเรื่องลับลมคมในอะไรภายใต้เงามืดดุจรัตติกาลของป่าแห่งฝันร้าย
"มดจะไม่กินซากของพรรคพวกเพราะกลัวจะติดโรคแต่จะเอาซากของพรรคพวกไปทิ้งในที่ๆห่างจากรัง และที่นี่ เป็นที่ๆเหมาะสมแกการทิ้งซากของพวกมัน เพราะที่นี่เป็นสุสานมาก่อนที่จะมีเหตุการประหลาดทั้งหมดซะอีก"หมวดเอกตอบแล้วชี้ให้เห็นมุมหนึ่งของกองซากมดมีไม้ไขว้กันเป็นรูปไม้กางเขนแบบหยาบๆ บนไม้กางเขนนั้นมีพวกมาลัยเหี่ยวแห้งสีน้ำตาลเข้มแขวนอยู่ บนต้นไม้ถัดไปมีกระบอกไม้ไผ่ที่ปิดด้วยผ้ายันต์สีแดงแขวนอยู่ มันแกว่งไปมาตามสายลมเหมือนกับร่างของนักโทษที่โดนแขวนคอ ตรงลำต้นของต้นไม้ต้นนั้นมียันต์สีเหลืองซีดถูกเขียนด้วยตัวหมึกสีแดงสดดุจเลือด ถ้าสังเกตุดีๆ ก้นหลุมที่เต็มไปด้วยซากมดและเพลี้ยเป็นเนินดินที่กองขึ้นมาเหนือพื้นชัดเจน รอบๆกองซากมดมีซากข้าวของส่วนตัวของผู้คนอยู่ กระเป๋าเป้ขาดๆ ห่อผ้าเน่าๆ สมุดบันทึกที่จมโคลนจนบวมน้ำ แม้แต่แปรงสีฟันและแก้วน้ำโลหะขึ้นสนิม
"นี่หมายความว่า . . ."หมู่โบกี้อ้าปากค้าง หน้าตาบ่งบอกถึงความตะลึงและความกลัว เห็ดยักษ์ที่ถูกถอนออกมาหลุดจากมือของหมู่โบกี้ กลิ้งลงไปในหลุมเหม็นหึ่งนั้น เห็ดต้นนั้นกระเด็นไปทับกองของเก่าๆอันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำให้ระลึกถึงผู้ล่วงลับ
"ม ม ม ไม่ต้องห่วงเจ้าหญิง คุณอัศวินจะปกป้องเจ้าหญิงด้วยชีวิต"เสียงใสน่ารักดังออกมาจากกองของนั้น มันกระดุกกระดิกไปมาจนเห็ดต้นนั้นกลิ้งไปข้างๆ เผยให้เห็นตุ๊กตาพลาสติกเก่าๆแต่ยังอยู่ในสภาพดี ตุ๊กตาอัศวินหน้าตาจิ้มลิ้มอันเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางเพราะกาชาติมักจะเอาไปแจกให้กับเด็กชนบทด้อยโอกาส คุณอัศวินv.1 ไม่มีขายที่ร้านขายของเล่นที่ไหนทั้งนั้น บ่งบอกถึงตัวตนของเจ้าของวัตถุชิ้นนี้
"ไม่ต้องกลัว ซ่าาา ค ค คุณอัศวินผู้กล้าอยู่นี่แล้ว เจ้าหญิงจะปลอดภัย"
"เราจะไปถึง ซ่า. . ดิน แดนในฝันแน่นอน ผมขอสัญญา ข้ามไปอีกฝั่งง่ายนิดเดียว"
"ไม่มีอะไรทำอันตรายเจ้าหญิงได้ ตราบใดที่ผมยังอยู่ ทำใจให้สบาย"
"อย่าร้องไห้สิพะยะค่ะ ทุกอย่างจะเรียบร้อยยย ซ่าาา ซ่าาา"
เหมือนกับคำพูดเพ้อพกของตุ๊กตาแห่งความหวังตัวนี้ กาชาติ ไม่เคยช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาสได้จริงๆเลย จากคำพูดของของเล่นตัวนี้ รุ่นนี้เป็นรุ่นที่แจกให้เด็กผู้หญิง ตุ๊กตาขายฝัน ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ฝันลมๆแล้งๆที่ทำให้ผู้เจ้าของของมันต้องมาพบจุดจบที่นี่
"หมดเวลาของแกแล้ว เจ้าหมาป่าใจร้าย"คุณอัศวินขยับเล็กน้อย
"หมดเวลาของแกแล้ว เจ้าหมาป่าใจร้าย"ของเล่นชิ้นนั้นเริ่มรวน
"หมดเวลาของแกแล้ว เจ้าหมาป่า"
"หมดเวลาของแกแล้ว เจ้า"
"หมดเวลาของแกแล้ว"
"หมดเวลาของแกแล้ว"
"หมดเวลาของแกแล้ว"
"หมดเวลาของแกแล้ว"
"หม หม หมดเวลา แล้วววววว"เสียงสุดท้ายของคุณอัศวินกลับเป็นเสียงแหบพร่าชวนขนลุก เพราะลำโพงโดนความชื้นจากโคลนเข้า เสียงนี้บ่งบอกว่าที่นี่สิ้นหวังขนาดไหน ครั่งหนึ่ง ผู้คนมีความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ทุกความพยายาม มีราคาของมัน ในบางครั้งมันอาจจะสูงเกินกว่าที่จะจ่ายไหว เช่นเดียวกับผู้เป็นนายของคุณอัศวิน
"บรู๋วววววววววววววว!!!!!!!"เสียงหอนยาวของเจ้าฟองดูทำให้ชาวหมูมะนาวตกใจเมื่อมันเริ่มหอน บรรยากาศมืดครึ้ม ความวังเวง กลิ่นอายแห่งความหวังที่ถูกดับลงจนสนิท เจ้าฟองดูหอนอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน จนหมู่หมูมะนาวเพิ่มความตึงเครียดขึ้น เมื่อมองไปรอบๆบริเวณป่าเห็ด นี่เป็นเพียงเห็ดกอแรกเท่านั้น และไม่ได้นับว่ามีขนาดใหญ่โตเลยหากเทียบกับเห็ดกออื่นๆ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสวนที่ไม่สวยและไม่นาดูชมเลยแม้แต่น้อย และทุกคนเข้าใจถึงที่มาของเห็ดที่ไม่น่ากินพวกนี้แล้ว หน้าที่ในระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักร Fungi เห็ดและรา คือ ผู้ย่อยสลาย
"นะ น นี่มัน หมายความว่ายังไง หา!!! นี่คือ นี่ นี่มัน หมายความว่ายังไง"จ่าปลาสติแตกหันไปตะคอกทุกคนด้วยเสียงที่เข้มราวกับผู้ชาย เธอสับสน หวาดกลัว โกรธแค้น และโศกเศร้า สิ่งที่แสดงออกมาเบื้องหลังม่านเห็ดน่าขยะแขยงนั้น มันเกินกว่าที่จ่าปลาจะรับไหว
"ไม่รู้"หมวดเอกปฎิเสธหน้าตายส่วนคนอื่นๆก็มองหน้ากันไปมา และหมู่โบกี้ก็จับหน้าคนอื่นๆให้หันไปทางไอ้ต้น หนึ่งในคนตัดไม้ที่เจอที่โรงเลื่อย เขาเป็นหนึ่งในอาชญกรแห่งหุบเขานรกกินหัวนี้ เขาจะต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ตามหลักสูตร โจรจะรู้ว่าโจรคนอื่นเป็นใคร อยู่ที่ไหน และ ทำอะไร
จ่าปลาเดินเข้าไปหาไอ้ต้นที่หน้าถอดสี กระชากคอเสื้อของคนตัดไม้เต็มแรง แล้วยกขึ้นจนเท้าของต้นลอยขึ้นจากพื้น เหมือนกับว่าจ่าปลามีแรงของคนทั้งหมู่รวมกันในตอนนั้นเลยทีเดียว อาการบาดเจ็บจากเจ้ามากมายแทบไม่มีผลต่อการใช้แรงเมื่อจ่าสติแตก จ่าปลายื่นหน้าที่กลายเป็นสีแดงก่ำเข้าไปไกล้ๆหน้าตาตื่นกลัวของต้น
"นี่มัน เกิด อะไร ขึ้น!!!"จ่าปลาตะคอกใส่หน้าต้นสุดเสียงจนผมของต้นลู่ไปข้างหลัง
"ปล่อยก่อน ใจร่มๆนะ เดี๋ยวอธิบายให้ฟังทุกอย่างเลย"ต้นพูดเสียงตะกุกตะกัก จ่าปลาได้สติเลยปล่อยให้ต้นลงไปกองอยู่บนพื้น ก่อนที่จ่าปลาจะลงไปนั่งบนพื้นแฉะๆอย่างไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว คนอื่นๆต่างมองไปที่ต้นอย่างคาดคั้น อะไรอยู่เบื้องหลังผู้คนผู้ล่วงลับเหล่านี้ ปริศนาที่บุคคลเบื้องหน้าอาจจะรู้
"คือ ที่นี่เป็นสถาณที่สำหรับเอาศพที่ขบวนการผิดกฎหมายต่างๆมาทำลายหลักฐาน เราเรียกที่นี่ว่าป่าลืมเลือน ทุกร่างที่มาที่นี่แล้วไม่ได้กลับออกมาจะถูกลืม เกือบทั้งหมดของผู้เสียชีวิตมาจากขบวนการขนคนต่างด้าวข้ามแดน ด้วยสภาพอันไม่เหมาะแก่มนุษย์ของหุบเขาดงโขมดเย็นและการดูแลคนที่จะส่งข้ามแดนแบบไร้ประสิทธิภาพ การขาดแคลนน้ำและอาหาร โรคระบาด และบางครั้ง เมื่อจวนตัวจะถูกจับได้ พวกเค้าจะปิดปากทุกคนเพื่อไม่ให้สาวไปถึงหัวหน้า นี่คือผลของมัน ทุกคนที่หมายจะข้ามมาหวังว่าจะได้หลุดพ้นจากชีวิตอันเจ็บปวด แร้นแค้น และ ถูกกดขี่จากประเทศเพื่อนบ้าน แต่น่าเศร้า ไม่ใช่ทุกคนจะได้ข้ามมายังโลกใหม่ตามที่หน้าม้าวาดฝันไว้ สถาณที่แห่งนี้คือที่พักผ่อนสุดท้าย ของผู้ที่ไปไม่ถึงฝัน วิญญาณของผู้ล่วงลับหลอกหลอนที่นี่ทุกวันคืน ไม่มีแก็งค์ไหนกล้ามาเหยียบที่นี่ยามอาทิตย์ลับฟ้า ทุกชีวิตที่พบจุดจบที่นี่ บอกเลย ตายอย่างทรมาณ ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ร่วงหล่น ถูกลืม และ หายไปอย่างไร้ค่า พว.."
"พอ พอแล้ว จ่าทนฟังไม่ไหวแล้ว"จ่าปลาตวาดเสียงดังลั่นก่อนที่จะเริ่มสั่น แล้วซุกตัวอยู่ระหว่างขาตัวเอง เธอค่อยๆหันไปมองในหลุมที่เต็มไปด้วยซากมด ตุ๊กตาคุณอัศวิน อนุสรณ์สุดท้ายของเด็กน้อยที่ไม่สามารถข้ามไปอีกฝั่ง แค่คิดว่าเด็กด้อยโอกาสและครอบครัวต้องเผชิญกับอะไรบ้างเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ว่า ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า พวกเขาสูญเสียทุกอย่าง ความหวัง ความสุข และ ชีวิต ท้องฟ้าร้องลั่นคำรามเหมือนจะตอบสนองต่ออารมณ์ที่หดหู่สุดขีดของจ่าปลา เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ฟองดูหอนยาวตอบรับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ลมเย็นที่ไม่สดชื่นเลยพัดผ่านแมกไม้มาส่งเสียงหวีดหวิวเหมือนกับเสียงร่ำไห้ของผู้วายชนม์ เสียงหอนของฟองดูโหยหวนราวกับเสียงกรีดร้องของผู้ที่กำลังถูกฆ่าปิดปาก หยดน้ำใสๆหลั่งลงมาจากเบื้องบนเสมือนน้ำตาของรุกขเทวดาที่เห็นเหตุการหยดลงมาจากท้องฟ้าลงมายังนรกบนดิน สายฝนหนาวเหน็บเหมือนกับใบมีดเย็นยะเยือกยามเหมันต์โปรยปรายลงมาจากก้อนเมฆสีเทาเข้มขมุกขมัวเช่นเดียวกับอารมณ์เศร้าหมองของหมู่หมูมะนาวหลังฟังเรื่องราวเบื้องหลังโศกนาฎกรรม ชีวิตไม่เคยมอบความยุติธรรมให้ใครทั้งนั้น
เม็ดฝนใสๆหยดใส่ตุ๊กตาพลาสติกที่ก้นหลุม จนดูเหมือนกับว่าคุณอัศวินกำลังร้องไห้ ร้องไห้ให้กับโชคชะตาอันโหดร้ายของผู้เป็นนาย
"ไม่ต้องห่วงเจ้าหญิง คุณอัศวินจะปกป้องเจ้าหญิงด้วยชีวิต ซ่า. . . ฮืออออออ ฮืออ"เสียงของตุ๊กตาช่างฟังดูเหมือนกับเสียงครวญคราง ของวิญญาณที่ไม่ได้ไปสู่สุขติ ตุ๊กตาตัวนั้นหยุดนิ่ง มันยังคงมีรอยยิ้มน่าเอ็นดู แบบเดียวกับที่ผู้สร้างมันขึ้นมาต้องการเพื่อที่จะมอบความหวังให้กับเด็กๆ น่าเสียดาย รอยยิ้มนั้นที่ควรจะสดใส กลับดูหม่นหมองน่าหดหู่ ของเล่นที่น่ารักนอนอยู่เคียงข้างเจ้าของในสถาณที่ๆเลวร้ายที่สุดเท่าที่เด็กคนนึงจะอยุ่ได้
แม้ว่าฝนจะโปรยปรายลงมาจากท้องนภาหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครขยับ น้ำตาของผู้กล้าหลั่งรินให้แก่ชะตากรรมอันน่าอดสูของผู้คน รอยยิ้มที่เลือนหาย ครอบครัวที่พังทลาย ความช่วยเหลือครึ่งๆกลางๆไม่อาจต่อชีวิตพวกเขาได้ ทุกคนมองไปรอบๆ ป่าเห็ดที่อุดมไปด้วยวัชพืชอ้วนฉุดอกใหญ่ อนุสรณ์แห่งความเจ็บปวดที่มีจริงและความหวังที่ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ
น้ำตาไหลผ่านใบหน้าของจ่าปลา ผสมไปกับสายฝนอันหนาวเหน็บ สายลมกรรโชกส่งเสียงชวนหลอน เสียงหอนของฟองดูยังคงสะท้อนไปมาในหุบเขาแห่งฝันร้ายเสมือนเสียงร้องขอความเป็นธรรมของผีตายโหง เสียงกรีดร้องแว่วมาในโสตประสาทเบาๆเหมือนกับว่าไมเกรนของจ่าปลากำลังจะกำเริบ แต่มันไม่ได้ปวดหัวแบบทุกที มันชาไปทั้งร่าง เย็นและแข็งเหมือนกับมือของศพ
"เราไปกันเถอะ"หมวดเอกพูดเสียงเรียบ สีหน้าเข้มแข็งแต่เศร้าหมอง หมวดเป็นคนแรกที่ขยับตัว ถึงอย่างนั้นก็ตาม หลายๆคนเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของหมวดเอกที่หาได้ยากยิ่ง มันถูกซะหายไปกับสายฝนและลมพายุอย่างรวมเร็ว
"ขออโหสิกรรมนะ แต่ นี่เป็นงาน"เนยพูดเบาๆก่อนที่จะหันกล้องขนาดใหญ่เกินงามถ่ายภาพของผู้เคราะห์ร้ายโดยไม่ใช้แฟลชแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น คราวนี้เนยไม่มีท่าทีกระตือรือร้นเหมือนทุกครั้ง เธอเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างไร้เรี่ยวแรง แผ่วเบา และ หม่นหมอง
"ขอให้ไปสู่สุขตินะ เราน่าจะรู้เรื่องนี้เร็วกว่านี้ อาจจะหยุดมันได้ทันเวลา"หมู่โบกี้พูดด้วยเสียงเฉื่อยชาเหมือนปวดฟัน เขาส่งสายตาให้ไอ้ตือ ชาติ กอล์ฟ กรอบ และ ต้น รีบตามหมวดเอกไป หมู่โบกี้ค่อยๆย่อขาแล้วลูบหลังของจ่าปลาเบาๆ เนื่องจากเขาเป็นคนหยาบๆ พูดอะไรดีๆไม่ค่อยเก่ง เลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรมากไปกว่า
"ชีวิตต้องก้าวต่อไป"
พูดจบ หมู่โบกี้ก็ยื่นมือมา ต้องการจะช่วยให้หญิงสาวลุกขึ้นจากพื้นโคลน
จ่าปลามองที่คุณอัศวินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจับมือหมู่โบกี้ที่ดึงให้เธอลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เธอก้มหน้าก้มตาพยายามจะปัดเป่าความรู้สึกเวทนาออกไป แต่มันไม่ได้ออกไปง่ายๆเหมือนน้ำฝน น้ำตาของหญิงแกร่งยังคงไหลเป็นทางและหยดลงที่คาง ปะปนไปกับสายฝนกระหน่ำ ไหลลงไปรวมกับน้ำขังจุดต่างๆของป่าอัปมงคลแห่งนี้ หล่อเลี้ยงเห็ดพิษให้งอกงามภายใต้เงามืดของป่าที่สิ้นหวัง ผลิตผลอันเกิดจากความโหดร้ายของธรรมชาติและความขวนขวายหาสิ่งที่ดีกว่าของมนุษย์ เห็ดน้อยใหญ่ขยับไปมาตามแรงลมเหมือนกำลังโบกมือลาผู้มาเยือน เหล่าวัชพืชแห่งพงไพรนี้เป็นที่รู้กันเรื่องมันเป็นเครื่องหมายของสิ่งไม่ดี การที่มีพวกมันเต็มไปหมด คงไม่ต้องพูดอะไรมาก
เห็ด . . . เปลี่ยนผู้คนให้เป็นลูกหลาน เปลี่ยนแผลให้เป็นหนอง เปลี่ยนชีวิตให้เป็นความผุพังและเน่าบูด สัญลักษ์แห่งความแปดเปื้อน ความเสื่อมทราม และ โรคภัย มันแพร่กระจาย ติดเชื้อ ลุกลาม และทำลาย ทุกที่ที่มีสงครามและภัยพิบัติ พวกมันจะปรากฎกาย เป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความโหดร้ายบนแผ่นดิน ร่างของผู้คนจะถูกกิน
จ่าปลาไม่แน่ใจว่าจะเรียกป่านี้ว่าอะไรดี อาชญกรรมอันเลือดเย็น บทเรียนราคาแพง แต่ที่แน่ๆ นี่คือโศกนาฎกรรมที่ไม่ควรถูกลืมเลือน
เห็ดต้นแล้วต้นเล่าที่หมู่หมูมะนาวเดินผ่าน คนในหมู่หมูมะนาวพยายามจะไม่คิดถึงว่าสิ่งที่หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตน่าขนลุกเหล่านี้คืออะไร จะต้องมีผู้ล่วงลับกี่คนถึงจะพอที่จะทำให้เห็ดทั้งป่างอกงาม จริงๆ ชาวหมูมะนาวภาวนาให้เป็นซากเพลี้ยกับมดที่ทำให้เห็ดเหล่านี้อยู่ได้ ไม้เน่าๆในป่าเห็ดเองก็น่าจะเป็นอาหารชั้นดี แต่มันยากที่จะคิดเช่นนั้น ไม้กางเขนหยาบๆที่มีพวงมาลัยแขวนไว้ ยันต์ขาดวิ่นที่แปะอยู่ตามต้นไม้รูปร่างบิดเบี้ยว กระบอกไม้ไผ่ปริศนาที่แกว่งไปมาท่ามกลางสายฝนเฉกเช่นกระดิ่งลมของยมทูต นี่คือสิ่งที่หมู่หมูมะนาวเห็นแซมไปกับกอเห็ดกอแล้วกอเล่า นี่คือฝันร้าย ฝันร้ายที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในผืนป่าวิปริต ไม่มีความเมตตาปราณี คุณงามความดี หรือการประณีประนอมใดๆทั้งสิ้นที่นี่ ตัวแทนในด้านที่มืดมิดของธรรมชาติอย่างเห็ดเรียงรายเต็มไปหมด
ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีความรุนแรง ไม่มีการบาดเจ็บ ไม่มีสัตว์ประหลาดพิกลพิการ มีแต่ความทุกข์ระทมโศกเศร้าเมื่อมาเป็นสักขีพยานในดินแดนที่ฝันสลาย เพียงจินตนาการอย่างเดียวก็ทำให้ทุกอย่างแย่ยิ่งกว่าตอนเจอเจ้ามากมายซะอีก
ตลอดการเดินทางผ่านสวนเห็ด สวนที่ไม่สมควรถูกเรียกว่าสวน มันไม่สวย มันไม่น่าชื่นชม มันมีแต่ความน่าชิงชังและขมขื่น นอกจากเสียงของสิ่งแวดล้อม ไม่มีใครปริปากพูดหลังจากที่ออกมาจากกอเห็ดแรก ทุกคนอยากออกไปให้พ้นที่นี่ ที่ๆไม่ควรมีใครเข้ามา หลายๆคนก็ตั้งคำถามในใจว่าทำไมน้ำอ้อยต้องพาหมู่หมูมะนาวเข้ามาในผืนป่าที่แปดเปื้อนไปด้วยความทุกข์โศกแห่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็รู้แก่ใจตัวเองว่า พวกเขาต้องการเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดและเร็วที่สุด ซึ่งแม่กบน้อยก็จัดให้ตามคำขอ
หมู่โบกี้รู้สึกเหมือนกับเห็นร่างเล็กๆร่างหนึ่งขยับ แต่เมื่อหันกลับไปดูอีกที ร่างนั้นกลับแน่นิ่ง ภาพหลอนนี้ทำให้หมู่โบกี้กลัวจนไปถึงก้านสมองเลยทีเดียว
เวลาผ่านไปเพียง2ชั่วโมง แต่กลับเนิ่นนานดังแรมปี หมู่หมูมะนาวเดินทางออกมาจากป่าเห็ดได้สำเร็จในที่สุด ด้วยการนำทางของน้ำอ้อย เห็ดอวบๆสีเหลืองซีดดุจน้ำหนองนับร้อยต้นที่เดินผ่านเปรียบเสมือนความอัปยศของมนุษย์ชาติ ความอึดอัด กลิ่นเหม็นเน่า และความมืดมิดค่อยๆหายไปทีละน้อยเมื่อหมู่หมูมะนาวเดินออกมาจากสวนที่เต็มไปด้วยร่องรอยความสยอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม้แต่มากมายยังไม่อยากเข้าไปในป่าเห็ด ถึงแม้สิ่งแย่ๆทั้งหลายในป่าเห็ดจะจางหายไปตามระยะทาง แต่ความทรงจำอันรวดร้าวและน่าหวาดกลัวนั้นไม่ได้ถูกชำระหายไปกับสายฝน มันยังคงหลอกหลอนต่อไป เรื่อยๆ
เป็นเหมือนกับที่โบราณว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ สายลมเบาๆชวนให้รู้สึกสดชื่นค่อยๆพัดเป่าร่างกายที่เปียกโชกของนักเดินทางให้แห้ง เมฆฝนสีเข้มสลายหายไปตามสายลม เผยให้เห็นแสงตะวันยามเที่ยงวันที่ แผดเผา ร้อนระอุ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ดีกว่าความมืดมิดและหนาวเย็นในป่าเห็ดเปรตครวญครางนั่น เมื่อมาถึงตรงนี้ เราเห็นที่หมายของเราแล้ว
"เอ้ย ไอ้ตรงนั้นคือบ้านหรือตึกอะไรที่เราตามหาใช่หรือเปล่า"ไอ้ชาติพูดทำลายความเงียบที่สั่งสมมาทั้งหมด เบื่องหลังแนวต้นไม้มีเงาทรงครึ่งวงกลมคล้ายกับที่หมู่หมูมะนาวได้ยินมาตลอดการเดินทาง บ้านทรงครึ่งวงกลม อาคารที่เกิดลูกไฟตู้มต้ามทำให้เกิดเรื่องประหลาดไปทั้งหุบเขา จากวันแรกที่รับภารกิจ มีเบาะแสว่ามันกำลังแทรกซึมออกไปนอกหุบเขาดงโขมดเย็น บัดนี้ อีกไม่กี่อึดใจ หมู่หมูมะนาวฝ่าป่ามฤตยูที่เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ อสูรกายกระหายเลือด สภาพอากาศแปรปรวน และอาชญกรอุกอาจ จนมาถึงที่หมาย เดี๋ยวก็จะได้ยลโฉมต้นตอแห่งความชั่วร้ายนี้เสียที
"ใช่ ที่นี่แหละที่หนูบอก"น้ำอ้อยกระโดดอย่างรวดเร็วไปข้างหน้า หมู่หมูมะนาวและผู้ติดตามต่างเองก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามน้ำอ้อยไป จนพ้นแมกไม้หนาทึบ
"โว้ว ขอแสดงความยินดีด้วย สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน เรามาถึงเคหสถาณที่เราต้องการเจอแล้ว เชิญชมที่เกิดเหตุให้ดีๆเพราะเราจะเข้าไปค้นแล้ว"หมวดเอกพูดอย่างองอาจ เท้าเอว มองดูอาคารรูปร่างเหมือนผลส้มผ่าครึ่งแล้วคว่ำลง อาคารขนาดไม่ใหญ่นักตั้งตระหง่านท้าทายกฏหมายอยู่เบื้องหน้า บรรยากาศลึกลับแต่ยิ่งใหญ่ไปในตัว ทาด้วยสีเขียวหลากเฉดสีเหมือนกับลายพรางของทหาร ใช้ในการพรางตัวอย่างไม่ต้องสงสัย ไม้เลื้อยรูปร่างไม่น่าไว้วางใจพันเกี่ยวเลี้ยวลดไปตามกำแพงของอาคาร ยิ่งตรงที่ไกล้ๆพื้นยิ่งมีเยอะ ตะไคร่น้ำเองก็ขึ้นเช่นกัน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของอาคารหน้าตาประหลาดหลังนี้คือแผงโซล่าเซลล์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนหลังคาของอาคารหลังนี้ น่าแปลก มันไม่แวววาวเงางามเหมือนแผงโซล่าเซลล์ที่หมวดเอกเคยเห็นที่อื่น ด้านบนของอาคารหลังนี้มีร่องรอยความเสียหายเหมือนโดนระเบิดเพราะมีรอยไหม้ ด้านข้างของตึกประหลาดหลังนี้มีเรือนกระจกแตกๆเก่าๆอยู่ ตอนนี้หมวดเอกเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปที่ประตูหน้าที่ทำจากโลหะสีน้ำเงินด้าน ท่าทางจะมีการล็อคอย่างแน่นหนา จากข้างใน
"ได้เวลาที่พี่ๆจะช่วยหนูคืนร่างแล้ว พี่ๆสวดอ้อนวอนเจ้าป่าเจ้าเขาเป็นมั้ย"น้ำอ้อยบอก เธอกระดิกหางลูกอ๊อดไปมาด้วยความยินดี เหมือนกับหมาเจอเจ้าของ คนอื่นๆเห็นแล้วก็กำลังคิดกันจนปวดขมับว่าจะช่วยเด็กคนนี้ยังไงเนี่ย จากที่ผ่านมาทั้งหมด สวดอ้อนวอนไม่น่าช่วย
"งั้น เราลองเข้าไปดูก่อนมั้ยแล้วค่อยสวดอ้อนวอน เนอะ เผื่อมีอะไรอย่างอื่นช่วยเธอได้ไง ตึกนี้เจ๋งจะตายไป มันคงงงงงง เหมือนสวนสนุกสุดจ๊าบ"จ่าปลาบอก พยายามทำให้น้ำอ้อยเปลี่ยนใจ น้ำอ้อยก็พยักหน้ายอมรับ ขณะเดียวกันหมวดเอกเดินเข้าไปที่ประตูหน้า ทำท่าสงสัยว่าจะเอายังไงกับประตูดี เนยกับสมบัติมีท่าทีตื่นเต้นสุดขีดเหมือนกินยาม้าเข้าไปเป็นกะละมังตอนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ทั้งคู่ถ่ายภาพอาคารเบื้องหน้าอย่างยินดี กอล์ฟ ชาติ ตือ และ กรอบกำลังอ้าปากค้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าปาก หมู่โบกี้เอาแผนที่ของคนตัดไม้มาดู จุดที่อยู่ท่ามกลางกากบาทสีแดงคือจุดนี้นี่เอง หลักฐานทั้งหมดชี้มาที่นี่ จุดกำเนิดแห่งความพิศวง
"ตี๊ด ตี๊ด ซ่าาาาาาา"เสียงปริศนาดังมาจากข้างๆประตู ตรงนั้นมีรูคล้ายๆลำโพงอยู่ เสียงน่าจะมาจากตรงนั้น หมวดเอกตอนแรกก็สะดุ้งโหยงก่อนที่จะตั้งท่าให้มั่นคงแล้วค่อยๆเดินเข้าไปไกล้ๆลำโพง
"ซ่าาาาา ฮัลโหล โอ้ ขอบคุณสวรรค์ มีคนมาช่วยเราแล้ว"เสียงจากลำโพงนั้นแสดงออกมาว่า ผู้ใดก็ตามที่อยู่ข้างในมองเห็นคนที่อยู่ข้างนอกอาคาร และพวกเค้ากำลังต้องการความช่วยเหลือ ใครกันนะที่อยู่ภายในอาคารอันน่าสงสัยนี้
"เออ นี่ คุณเป็นใคร ขอทราบหน่อย แล้วที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น"หมวดเอกพยายามถามกลับเพื่อล้วงความลับจะได้เอาไปเป็นหลักฐานประกอบคดี คนอื่นๆต่างลุ้นว่านี่เป็นฝีมือของใคร อะไร ทุกอย่างอยู่ตรงหน้าแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น
"ซ่าาาา ข้างนอกไม่ปลอดภัย เข้ามาข้างในก่อน เรียกผมว่าด็อกเตอร์ก็แล้วกัน หมีกำลังมา"เสียงจากลำโพงสั่นเครือ เหมือนกับว่าด็อกเตอร์ที่ว่านี้กำลังป่วยหนัก แน่นอน หมีที่ด็อกเตอร์พูดถึง ไม่ใช่เท็ดดี้แบร์น่ารักแน่ๆ ความจริง หมู่หมูมะนาวเคยเจอกับมันมาแล้ว รอยเขี้ยวเล็บยังคงอยู่บนร่างอันบอบช้ำของผู้กล้าแห่งป่าไม้ เสียงคำรามยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท แววตาโกรธายังอยู่ในความทรงจำ
เสียงฝีเท้าหนักๆที่หมู่หมูมะนาวคุ้นเคยกำลังไกล้เข้ามา แม้จะถึงที่หมายแล้ว แต่ว่า ที่นี่ก็ยังไม่ปลอดภัยเช่นเดิม น้ำอ้อยรีบปีนขึ้นที่สูง คู่ปรับของเธอมาแล้ว
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:48:58 GMT
22.come inside : เข้ามาสิ
หมู่หมูมะนาวบัดนี้มาถึงจุดหมายหลังจากการเดินทางอันยาวนาน จริงๆก็ 4 วันครึ่ง แต่ถ้าเทียบกับการเดินทางครั้งอื่นๆ ไม่ได้ยาวนานที่สุด แต่อันตรายและน่าหวาดหวั่นที่สุด หมวดเอกและคณะไม่มีเวลามายืนชมเคหสถาณแห่งความเสื่อมทรามนานนัก เพื่อนเก่านามว่ามากมายกำลังไกล้เข้ามา และมันคงไม่ลังเลที่จะปิดบัญชีเราแน่ๆหากมันได้โอกาสเข้ามาถึงตัวเรา เมื่อปราศจากทั้งอาวุธที่มีประสิทธิภาพและกำลังวังชา การที่จะล้มสัตว์ร้ายร่างยักษ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังและความอึดถึกทนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
"เปิดประตูเซ่ เร็วเข้า โจทก์เก่าเรามาแล้ว"หมวดเอกรีบตอบกลับไปทางลำโพงที่อยู่ข้างประตูโลหะสีน้ำเงิน ดูจากการออกแบบ แทบไม่มีทางที่จะพังเข้าไปได้โดยไม่ใช้อุปกรณ์ทันสมัยเลย เราจะปลอดภัยจากมากมายเมื่อเข้าไปข้างใน
"นี่ ประตูหน้าต้องใช้รหัสลับ 16 หลักและต้องใส่รหัส 3 ครั้งให้ถูกต้องเป๊ะๆนะ พวกคุณไม่มีเวลามากขนาดนั้น รีบไปด้านข้างเร็วเข้าตรงเรือนกระจก ตรงนั้นใช้รหัสแค่ 8 หลักครั้งเดียว"ด็อกเตอร์ตอบกลับมาก่อนที่จะตัดสายไป หมวดเอกเมื่อได้ฟังดังนั้นก็หน้าตาตื่นเรียกให้ทุกคนตามเขาไป หมู่โบกี้วิ่งทั้งๆที่เจ็บขาจากกรงเล็บของมากมายในการต่อสู้ครั้งล่าสุด ทุกคนวิ่งกันไปที่เรือนกระจกแตกๆ ก่อนที่อสูรกายแห่งป่าดงดิบจะเห็นพวกเขา
"แฮ่ก แฮ่ก เข้าไปเร็ว"หมวดเอกสั่ง และทุกคนก็ปฎิบัติตามอย่างดี หมู่โบกี้ จ่าปลา นักข่าว และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเข้าไปในเรือนกระจกอย่างว่องไว หมู่โบกี้ไม่เข้าทางประตูเพราะกลัวเข้าไม่ทันเมื่อต้องแย่งกับคนอื่นๆเลยกระโจนแหวกอากาศเข้าไปในรูของเรือนกระจก บ้านหลังน้อยที่ทำจากแก้วและติดกับตัวอาคารประหลาดหลังนี้มีร่องรอยความเสียหายเต็มไปหมด เหมือนกับว่ามีลิงกอริลล่าติดอาวุธราวๆโหลนึงเข้าไปซ้อมอเมริกันฟุบอลอยู่ข้างใน โต๊ะพลาสติกตัวยาวบางตัวล้มตะแคง มีกระถางต้นไม้หลายแบบตั้งแต่กระถางดินเผาสีส้มแบบคลาสสิคจนไปถึงถาดพลาสติก บางต้นเลี้ยงในบีเกอร์ด้วยซ้ำ ซากพืชรูปร่างบิดเบี้ยวจำนวนมากที่แทบจะไม่ซ้ำชนิดกันกองระเนระนาดเต็มพื้นที่ บางต้นเจริญงอกงามอยู่ในกองดินบนพื้น แต่บางต้นแห้งตาย หมู่โบกี้กระโจนผ่านรูหนึ่งของเรือนกระจกนี้ซึ่งที่นี่มีรูโห่วมากมาย
"อุกกกก"ร่างของหมู่โบกี้หล่นทับบางสิ่งจนจุก เมื่อขยับตัวออกมาจากตรงนั้น ปรากฎว่าเป็นบางสิ่งที่มีสามแฉก ไหม้เกรียม รูปร่างเหมือนใบพัดของพัดลมแต่ผอมบางและทำจากเหล็ก มันเป็นใบพัดจริงๆเพราะว่ามันหมุนได้ เจ้าชิ้นส่วนโลหะนี้ทำให้หมู่โบกี้รู้สึกถึงบางสิ่ง บางอย่างที่ไม่ถูกต้อง อย่างร้ายแรง แต่ว่าหมู่โบกี้ก็ไม่ได้มีเวลามานั่งคิดวิเคราะห์อะไรมากนัก เจ้าหมีร่างยักษ์กำลังออกล่า และมันไม่ได้มีแค่จมูกเดียว สองตา หรือสองหู
"โอเคแล้วเราจะติดต่อด็อกเตอร์ได้ยังไง"หมวดเอกมองไปรอบๆเรือนกระจกที่เลอะเทอะและเละเทะ ถึงจะเต็มไปด้วยคราบดินโคลน แต่ผนังที่ทำจากกระจกของบ้านน้อยหลังนี้ใสพอที่จะมองทะลุได้ เจ้ามากมายเริ่มโผ่ลหัวออกมาจากแนวป่าสีเขียวสด มันชูหัวขึ้นไปในอากาศ กำลังดมกลิ่นอย่างตั้งใจ อีกไม่นาน หมีควายหลายหัวตัวนั้นจะตามมากำจัดศัตรูของมัน ลมหายใจอุ่นๆแต่หนักแน่น ใบหน้าที่อุดมไปด้วยรอยแผลจากคมมีดและปืนลูกซอง ขนหลายส่วนที่หายไปจากร่างใหญ่หนาแข็งแรงของหมีใหญ่ น้ำลายไหลหยดลงบนพื้นดินแห้งๆที่มีกอหญ้าเขียวสดขึ้นเป็นหย่อมๆ เมื่อมันเริ่มรู้ว่าเป้าหมายอยู่ไม่ไกล มันส่งเสียงกู่ร้องก้องคำราม ทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยความเกรี้ยวกราดโกรธา
"ความซวยเคาะประตูหาอีกแล้ว หาลำโพงเร็ว เราต้องเข้าไปข้างในก่อนที่มันจะ . . ."หมู่โบกี้หมอบอยู่ใต้โต๊ะตัวยาวทำจากพลาสติกสีขาว ไม่สามารถพูดจนจบได้ ดาวหมีใหญ่ขึ้นแล้ว มันค่อยๆหันหัวใหญ่หนาน่ากลัวของมันมาทางอาคารแก้ว สีหน้าบอกได้ถึงอารมณ์ที่กำลังติดลบ เสียงขู่คำรามสั่นเครือที่ทุ้มต่ำ เสียงที่สัตว์นักล่าแสดงออกมาก่อนจู่โจม
"ตู๊ด ตู๊ด นี่ด็อกเตอร์ ใส่รหัสที่จอมอนิเตอร์ข้างประตูเร็ว"เสียงดังออกมาจากลำโพงข้างบนประตูที่มีสีเดียวกับทางเข้าข้างหน้า สิ่งที่ดูเหมือนจอคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อยู่ข้างๆประตูอยู่ๆก็ทำงานขึ้นมา หมวดเอกรีบรุดหน้าเข้าไปหาเจ้าเทคโนโลยีฝุ่นจับทรุดโทรมอันนั้น
"0425 7243 ย้ำอีกครั้ง 0425 7243 เร็วเข้า"เสียงด็อกเตอร์ดังออกมาจากลำโพงอย่างร้อนรน
"เออเร็วอยู่ หมีกำลังมาเนี่ย เห็นหน่า"หมวดเอกตอบระหว่างที่กำลังใส่รหัสตรงคอมพิวเตอร์อย่างรีบร้อน แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจรู้ได้ หมวดเอกสัมผัสถึงอะไรบางอย่างนอกจากเจ้ามากมาย เสียงเหมือนอะไรแหยะๆหยึยๆคล้ายๆกับเวลาเทศบาลเทกองขยะเปียงลงในหลุมฝังกลบ ไม่ก็ตอนที่ชาวนาเทอาหารเหลือทิ้งให้หมูกิน
"ไม่ใช่ ถังสีแดงข้างหลัง มัน วู่วววว ซ่าาาาา"เสียงของลำโพงดับไป หมวดเอกรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นเลยเอี้ยวตัวหลบสิ่งที่หมวดได้รับการเตือนล่วงหน้า เจ้าอะไรซักอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เหวี่ยงแขนเละๆของมันโดนจอมอนิเตอร์โดยไม่โดนหมวดเอก
เจ้ากองอะไรซักอย่างที่เป็นขยุย เหนียวหนืด ชุ่มน้ำเหมือนกับฟองน้ำ สีเขียวเข้ม พุ่งเข้าใส่หมวดเอกจากด้านหลัง และที่มาของมันคือถังสีแดงที่อยู่ข้างหลัง มันดูเหมือนปีศาจหนองน้ำที่ทำออกมาได้ไม่สมจริงในหนังราคาถูก เสียงเหมือนกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายไกล้ตายดังออกมาจากสิ่งที่น่าจะเป็นปากของเจ้าก้อนแหยะๆแห่งความเกลียดชัง แขนสีเขียวที่แฉะๆน่าเกลียดของมันเหวี่ยงไปมาอย่างสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ด้านบนสุดของอสูรร้ายร่างเหลวนี้มีก้อนอะไรซักอย่างคล้ายๆหัวผักกาดสีเหลืองอมส้ม มันมีหนวดคล้ายๆกับอวัยวะส่องแสงของปลาตกเบ็ด แต่ของมันไม่ส่องแสง ตรงปลายเป็นสีแดงเข้ม คล้ายกับว่าเจ้าหนวดอันนั้นมีไว้เพื่อหาเป้าหมายสำหรับโจมตี หมวดเอกหลบการโจมตีที่เชื่องช้าและน่าอนาถของสัตว์ร้าย ว่าไป ไม่น่าจะใช่สัตว์นะ เหมือนถังใส่ปุ๋ยหมักมีผีเข้าไปสิงมากกว่า ก้อนแหยะๆที่ว่านี้ส่งเสียงอีกครั้ง คราวนี้เหมือนปลากระดี่ขาดน้ำผสมกับเสียงม้าที่มีเสลดอยู่ในคอ การต่อสู้กับสิ่งวิปริตน่าสมเพชไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เรื่องใหญ่คือ เราไม่มีเวลาเหลือเยอะนัก
"หมวด รีบใส่รหัสสิ มากมายมาแล้ว มันวิ่งมาแล้วววว"หมู่โบกี้หยิบใบพัดไหม้ๆที่เขาเจอหมายจะใช้ป้องกันตัวจากหมีป่าสามบั้งที่กำลังคลั่งแค้น มันไม่ลังเลที่จะพุ่งมาข้างหน้าแบบที่หมีถนัด คราวก่อนเราสู้อยู่ปากเหวทำให้เจ้ามากมายใช้ความสามารถนั้นไม่ได้เพราะมันจะร่วงลงเหวไปด้วย แต่คราวนี้ มันสามารถใช้ท่าโจมตีได้ทุกรูปแบบเท่าที่หมีควายตัวหนึ่งจะทำได้ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้กลุ่มนี้ไม่พร้อมสำหรับการจัดการกับสัตว์นักล่าขนาดผิดธรรมชาติตัวนี้
"รู้หน่า ไอ้ขี้ไคลกลายพันธุ์นี่มันกำลังจะหวดหมวดอยู่ ใครก็ได้ เอามันออกไปที"หมวดเอกเรียกให้พรรคพวกมาช่วยจัดการเจ้าก้อนขยะเปียกที่กำลังอาละวาดอยู่ข้างหลังหมวด ทุกครั้งที่มันกระแทก จับต้อง หรือสัมผัสอะไรก็ตาม ชิ้นส่วนแหยะๆและเมือกเหนียวเหลวจะติดตามสิ่งต่างๆที่ว่า ไม่มีใครรู้ว่าไอ้ก้อนขยะแขยงตรงหน้านี้คืออะไร แต่ที่แน่ๆ ไม่มีใครอยากให้เจ้าสิ่งที่ดูโสโครกพวกนี้แตะโดนตัวอย่างแน่นอน ยิ่งแย่กว่านั้น มันอาจจะมีเชื้อโรคร้ายแรง กรดกัดกร่อนเนื้อ หรือบางที อาจจะเปลี่ยนใครที่มันแตะให้กลายเป็นพวกเดียวกับมันก็ได้ แม้ว่าหมีร้ายกระหายเลือดกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่หมีอ้วนฉุตัวหนารูปร่างพิกลพิการอย่างมันจะวิ่งได้ ลมตีปะทะหน้ายื่นๆของมัน ขนสีดำหยาบพลิ้วไหวไปตามสายลมเหมือนทุ่งหญ้าบนเนินเขา ลายสีขาวบนหน้าอกปลิวไสวดุจธงศึกประจำกายของจอมทัพยามศึกสงครามปะทุดุเดือด น้ำลายไหลจากปากของสัตว์เดรัจฉานเหมือนพายุฝนในฤดูมรสุม สายตามากมายตามชื่อของเจ้าตัวช่างดูเหมือนมันทำมาจากหนังของสัตว์จำนวนมากเอามาต่อกันเป็นตัวเดียวกัน เสียงคำรามที่ทำให้ทุกชีวิตลุ้นระทึกหยุดนิ่งเฉกเช่นเสียงค้อนของผู้ภิพากษาศาลฎีกาก่อนตัดสินชี้เป็นชี้ตายผู้ต้องหา น่าเกรงขามดุจจอมพล แข็งแกร่งเหมือนนักมวย เหี้ยมโหดเช่นทนายความ จองเวรเจ้าแค้นแบบเดียวกับตำรวจ มันกำลังเข้าไกล้มาทุกๆวินาที ไม่มีใครปลอดภัยตราบใดก็ตามที่อุ้งตีนหนาและหน้ายื่นๆของมันสามารถสัมผัสผู้คนได้
"ย้ากกกก"ไอ้ชาติฉีดน้ำจากก๊อกผ่านสายยางรดน้ำต้นไม้ใส่เจ้าอสูรกายหน้าตาอุบาทย์ดูแล้วอัปปรีย์ลูกตา และมันชะงักงันลงในทันที มันค่อยๆหันร่างกายแหยะๆเหมือนโจ๊กขึ้นรามาทางไอ้ชาติ หนวดที่อยู่บนสุดของร่างหนาเหนียวสีเขียวเข้มเบนมาทางไอ้ชาติ มันกำลังมาทางนี้ ระหว่างที่เจ้าสิ่งวิปริตผิดธรรมชาตินั่นพยายามเอื้อมกายไปทางเป้าหมายใหม่ ดุร้ายน้อยลง แต่พยายามมากขึ้น คนที่มีหน้าที่ใส่รหัสใส่ตัวเลขลงบนจอเล็กๆที่เปรอะเปื้อน และมันส่งเสียงอีเล็กทรอนิกส์ออกมาว่า
"รหัสไม่ถูกต้อง"อารมย์ของหมวดเอกพุ่งปรี๊ดราวกับระเบิดนิวเคลียร์ลงตรงหน้า ในสถาณการณ์ที่ย่ำแย่ สัตว์ร้ายบ้าคลั่งและอสูรกายสุดสยองอยู่ห่างไปไม่ถึงสิบเมตร แล้วไอ้คอมพิวเตอร์งี่เง่านี่มีอาการน่ากระทืบขึ้นมาดื้อๆ
"ว้อยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!! แกเป็นอะไรกันนักกันหนาว๊ะ คนสร้างไม่รักเหรอ ฟายยยยยยย"หมวดเอกสติหลุดเนื่องจากความเตรียดสะสมและสถาณการณ์คับขัน ถ้าหมวดกรี๊ดแบบผู้หญิงได้คงทำไปแล้ว แต่หมวดยังไม่อยากตกเป็นประเด็นในวงเหล้าเลยเก็บอาการ(ถ้าหากมีสิทธิ์ได้กลับไปโดยไม่มีธงชาติคลุมตัวนะ)
"หมวด ใส่รหัสใหม่สิ ไอ้ก้อนนี่มันไปแตะโด . . ."
เพล้งงงงงงงงงงงง!!!!!!!เสียงกระจกแตกดังลั่นไปทั่วเรือนแก้วจนหมวดเอกใจหาย นรกมาเยือนแล้ว ตัวเป็นๆเลย และเขากับพันธมิตรต่างอยู่ใต้หลังคาเดียวกับยมทูตหน้าขน มากมายพังกำแพงกระจกเข้ามาในเรือนกระจกโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลย ทุกคนรีบกระโดด วิ่งหนี กรีดร้อง หาที่หลบ เอาตัวรอด หมวดเอกไม่หันกลับไปเลยแม้แต่น้อย รีบใส่รหัสอย่างร้อนรนอย่างตั้งใจ เสียงเหมือนกับก้อนแหยะๆนั่นถูกทุบจนเละดังขึ้น สิ่งปฏิกูลแตกกระจายสาดกระเซ็นไปทั่วโรงเรือนเพาะพืช พร้อมๆกับเสียงใสๆของคอมพิวเตอร์ดังออกมาจากลำโพง
"รหัสถูกต้อง"รอยยิ้มที่อาจจะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายของหมวดเอกปรากฎขึ้นบนใบหน้า ประตูโลหะหนาเป็นนิ้วเปิดออกเผยให้เห็นห้องแปลกๆที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดเพี้ยนและแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ซักคนจะได้เห็น เป็นเหมือนส่วนผสมอันลงตัวระหว่างห้องพยาบาลเด็กอ่อนในโรงพยาบาลเอกชน โรงเลี้ยงม้า และ ห้องแล็บสำหรับทดสอบยากับสิ่งมีชีวิต แต่ต่อให้ข้างในมีคนกำลังโดนเชือดสดก็ต้องเข้าไปแล้วหละ เจ้ามากมายล้มเป้าหมายแรกได้แล้ว เราคือสิ่งต่อไป
"เข้าไปโว้ย"หมวดเอกหันไปบอกสมัรคพรรคพวกให้เข้าไปในห้องประหลาดห้องนั้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเจ้ามากมายกำลังขู่คำราม มันกำลังปัดสิ่งน่าเกลียดเหนียวเหนอะออกจากใบหน้าจำนวนมากของมัน จังหวะดีมาก ถังสีแดงที่เคยบรรจุเจ้าอ้วกสำเร็จรูปบุบบู้บี้ น้ำสีเขียวเหนียวเหนอะไหลออกมาจากภาชนะ ก้อนสีเหลืองอมส้มที่น่าจะเป็นส่วนควบคุมเละติดผนังของโรงเพาะชำ คนอื่นๆเมื่อเห็นประตูสีน้ำเงินด้านเปิดออกก็รุดเข้ามาหาทางรอดสุดท้ายของตนอย่างไม่รอช้า แต่เจ้ามากมายไม่รอช้า พยายามจะตะครุบเหยื่อที่กำลังแตกตื่นของมัน กรงเล็บแหลมคมของหมีใหญ่ตวัดใส่จ่าปลา แต่ด้วยความที่สายตาของมันถูกบดบังด้วยชิ้นส่วนของสิ่งเหนียวเหม็นเน่านั้น มันพลาด ไปโดนกระถางต้นไม้สีส้มแดง
เพล้งงงงงง!!!!!!
"อั่ก"เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของไอ้กรอบดังขึ้นทันทีที่วัตถุแข็งนั้นอัดกระแทกเข้าหัวอย่างจังด้วยพลังงานจลย์มหาศาล กระถางต้นไม้สีส้มแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดุจพลุปีใหม่ เศษดินกระจายกลายเป็นฝุ่นควันและต้นไม้ในกระถางที่ดูคล้ายกับหัวหอมแก่จัดแตกเป็นซีกๆ ร่างของไอ้กรอบล้มลงเหมือนตุ๊กตาผ้าที่น่าสงสาร ท่ามกลางการหนีตายอย่างอลหม่าน
"ใครก็ได้ ลากไอ้กรอบเข้ามาเร็ว"หมวดเอกสั่ง ไอ้ชาติรีบเข้าไปลากร่างอ่อนยวบยาบของกรอบผู้หมดสติให้เข้ามาในห้องที่น่าประหลาดก่อนที่หมียักษ์จะจัดการปลิดชีพเขา แต่ว่า
"โฮกกกกกกกกกกกก!!!!!!"หมีควายร่างยักษ์คำรามอย่างน่าหวาดผวาเหมือนกับคำสั่งอนุมัตสังหารหมู่ของจอมทรราชแห่งแดนตะวันตกดิน พลังเสียงที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ มากมายยืนด้วยสองขาหลัง ส่งสายตาอำมหิตเรืองแสงใต้เงามืดของร่างอันใหญ่โตของมัน ปากอ้าเผยให้เห็นฟันแหลมมากมายเรียงตัวกันอย่างพอดี พุ่งเข้าหมายจะขย้ำเหยื่ออันโอชะ
"เอาไปซะ"หมู่โบกี้ร่อนเจ้าสิ่งที่ดูคล้ายๆกับใบพัดไหม้ๆแต่แหลมคมเหมือนแก้วแตกใส่สีข้างของสัตว์ประหลาด กงจักรสีดำเหมือนค่ำคืนอันมืดมิดปักใส่เอวหนาๆที่เต้มไปด้วยขนสีดำ เลือดสีแดงสดหลั่งรินออกมาจากจุดที่กงจักรปังลงไปในเนื้อของพญาหมี เช่นเดียวกับที่ไหลออกมาจากหัวของไอ้กรอบ หมีร่างมหึมาร้องคำรามอย่างเจ็บปวด มันกำลังบ้าเลือดเพราะอาการบาดเจ็บ ไอ้กรอบถูกลากอย่างรวดเร็วผ่านโต๊ะพลาสติกสีขาวที่ล้มระเนระนาด เศษดินร่วนสีน้ำตาลเข้ม ต้นไม้ต้นน้อยใหญ่ที่เหี่ยวเฉา เศษกระจกและกระเบื้องจำนวนหนึ่ง หมีป่าร่างหนาพุ่งเข้าไปกัดรองเท้าของไอ้กรอบเพื่อที่จะยื้อไม่ให้เข้าไปในห้องนั้น เมื่อมองจากมุมมองของคนอื่นๆที่กำลังช่วยกันลากไอ้กรอบให้พ้นอันตราย สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่เหมือนกับไม่ใช่หมี เหมือนปีศาจร้ายที่กำลังลากมิตรสหายลงไปยังหลุมแห่งเพลิง ปากทางเข้านรกภูมิ
"พี่หมี ปล่อยเดี๋ยวนี้"เสียงของเด็กหญิงดังขึ้นพร้อมๆกับเก้าอี้เหล็กเหวี่ยงด้วยพลังของลิ้นกบเข้าสู่ขมับข้างหนึ่งของหมีควายที่กำลังโกรธจัด เสียงปะทะของโลหะกับก้อนเนื้อดังสนั่นไปทั่วเรือนกระจก เจ้าหมีร้องโหยหวนเพราะปวดหัวอย่างรุนแรง ปลดปล่อยขาของกรอบให้เป็นอิสระจากคมเขี้ยวของจอมหมี น้ำอ้อยกระโดดด้วยพลังของกบข้ามหัวของเจ้ามากมาย อย่างง่ายดาย แต่ว่าเธอต้องพบกับเซอร์ไพรส์
"ง่ำ"เสียงสั้นๆได้ใจความ หางลูกอ๊อดของน้ำอ้อยถูกหัวอีกหัวของมากมายกัดเต็มแรงตรงใบพาย น้ำอ้อยล้มลงบนพื้นเพราะแรงเหวี่ยง แต่ว่าเธอไม่ยอมแพ้ เธอใช้เท้าที่ทรงพลังและใหญ่โตเหมือนกบถีบจมูกของมากมายเต็มที่ ร่างของเธอหลุดจากระยะโจมตีของสัตว์หน้าขนตัวโตแล้วพุ่งเข้าไปในห้องที่น่าพิศวงนั้นอย่างไม่ค่อยปลอดภับเท่าไหร่ ใบพายตรงหางของเธอแหว่งเป็นรูปรอยฟันเหมือนคุ๊กกี้ที่โดนกัดจนแหว่ง แต่ถ้าแลกกับชีวิตแล้ว หางที่พึ่งงอกออกมาได้ไม่กี่เดือนแถมยังทำให้เธอไม่ใช่คนเนี่ย เอาไปทั้งอันยังยอมเลย
"หมวด ปิดประตูปุ่มไหน"กอล์ฟตะโกนระหว่างที่อยู่ตรงข้างประตูด้านใน เจ้ามากมายตั้งสติได้แล้วก็กำลังพุ่งเข้ามาหมายจะขย้ำเหยื่อถึงในห้องทดลอง แต่ว่า อยู่ๆประตูก็ปิดเอง ปิดสนิทก่อนที่เจ้าสัตว์ยักษ์ดุร้ายสายพันธุ์กระหายเลือดอย่างมากมายจะมาถึง ครึ่งวินาที
เป๊งงงงงง!!!!!!
"หงิงงงง!!!!! งืดดดด!!!!! แหงงงง!!!!!!"เสียงที่ทำให้มากมายหมดความเป็นหมีดังขึ้นอีกฟากของประตู แสดงให้เห็นว่าต่อให้สัตว์ร้ายแข็งแกร่งและเกรี้ยวกราดเพียงใด เนื้อไม่มีวันแข็งกว่าเหล็ก และมากมายก็เรียนรู้บทเรียนนี้ด้วยวิธีที่ต้องเจ็บตัว เสียงร้องโหยหวนเหมือนหมาโดนรถทับดังขึ้นซักพักหนึ่งก่อนที่จะเงียบหายไป พญาหมีออกไปจากที่นี่แล้วหรืออย่างน้อย มันก็คงงีบอยู่อีกฟาก
"เกือบเป็นอาหารหมีรอบสองแล้วมั้ยหละพวก แล้ว ใครก้ได้บอกทีว่าเราต้องไปทางไหนต่อ"หมู่โบกี้นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น เหนื่อยหอบจากการต่อสู้
"ไว้ก่อน จ่าต้องช่วยชีวิตกรอบก่อน เค้าหัวแตก กำลังเสียเลือด"จ่าปลากำลังหาทางห้ามเลือดที่ไหลออกมาจากหัวของกรอบหลังจากโดนกระถางต้นไม้พุ่งใส่เต็มๆ น้ำอ้อยค่อยๆลุกขึ้นมาจากกองของทดลองพะรุงพะรังแล้วลุกขึ้นมาสำรวจความเสียหายของตน แล้วน้ำอ้อยก็นึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรบางอย่างไป ใช่ เธอลืมตะกร้าของเธอไว้ตอนที่กำลังชุลมุนกับฝูงมดดำตอนภารกิจเพลี้ยแป้ง แต่ช่างมัน ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร หางของเธอเป็นรอยแหว่งรูปรอยกัด คงจะว่ายน้ำได้ช้าลงแต่ว่านั่นก็ไม่สำคัญอีกนั่นแหละ แล้วนี่ตอนนี้เราจะไปต่อยังไงดีหล่ะ
"แล้ว นี่ด็อกเตอร์ คุณอยู่ไหน"หมวดเอกหาลำโพงในห้องนี้ ไม่นานนักเขาก็เห็นสิ่งที่ดูคล้ายๆลำโพงที่ดูเหมือนกับว่าได้รับความเสียหาย มีประกายไฟจากไฟฟ้าช็อตออกมาให้เห็นเป็นจังหวะ หมวดเอกลองเอาเศษกิ่งไม้ที่หลุดเข้ามาในห้องนี้พร้อมๆกับตอนลากไอ้กรอบเข้ามาใช้ขยับลำโพงพังๆอันนั้นเผื่อว่าจะใช้งานได้ แต่ว่า
เปรี๊ยะ!!! แป๊ะ!!! ซี่ส์!!!
เสียงของเจ้าเครื่องมือสื่อสารประจำห้องทำให้หมวดเอกคิดว่าหากทำให้มันเข้าที่ได้ เขาอาจจะติดต่อกับด็อกเตอร์ได้
"ใครมีเครื่องมืออะไรแข็งๆบ้างมั้ย"หมวดเอกหันไปตะโกนเรียกคนอื่นๆที่อยู่ในห้องพิศวงแห่งนี้ ห้องที่มีผนังสีขาวและเต็มไปด้วยเครื่องมือประหลาดๆที่ดูเหมือนกับเครื่องมือช่วยชีวิตในห้อง ICU ยังไงอย่างนั้นนั่นแหละ เอ๊ะ เครื่องมือช่วยชีวิต
"เฮ้ยยยย เราต้องรีบซ่อมวิทยุนั่น บางทีเครื่องมือในห้องนี้อาจช่วยไอ้กรอบได้"หมวดเอกหันไปบอกคนอื่นๆในห้อง จ่าปลากำลังห้ามเลือดด้วยผ้าก๊อซและของอื่นๆที่เธอมีในกระเป๋าพยาบาล ดูจากอาการแล้ว ถึงแม้แรงของกระถางต้นไม้ที่ปลิวใส่หัวกรอบจะแรง แต่ดีที่กรอบเป็นคนกะโหลกหนา(วัดจากเอกสารทางการแพทย์ตอนเข้ากรมไม่ใช่สติปัญญา)จึงไม่มีอาการกะโหลกร้าวหรืออะไรที่รุนแรงถึงขั้นนั้น เขายังหายใจอยู่และชีพจรปกติ ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องกระดูกตรงคอ หลังจากห้ามเลือดสำเร็จ จ่าปลาจึงเอาแผ่นฝ้าเพดานที่หลุดจากด้านบนของแล็บมาใช้ช่วยรองศีรษะและคอระหว่างการเคลื่อนย้ายไอ้กรอบขึ้นไปบน . . . อะไรซักอย่างที่คล้ายๆกับเตียงสำหรับผ่าสัตว์ทดลอง เพื่อไม่ให้กระดูกเคลื่อนหรือมีอาการแทรกซ้อนที่อาจถึงชีวิต เราเสียไอ้ขาวไปแล้วเราจะเสียสมาชิกอีกไม่ได้
"ผมมีเสียม พลั่ว บัวรดน้ำต้นไม้และ เออ เสียมอีกอัน"ไอ้ชาติบอก
"แกเอามาทำไมวะ แต่ว่า เอาเสียมมาเหอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว"หมวดเอกประหลาดใจว่าทำไมลูกน้องของเขาถึงได้เอาอุปกรณ์ทำสวนมาในสถาณการณ์แบบนี้
"ก็ตอนค้นเรือนกระจกหาลำโพงมันติดมือมาด้วย อีกอย่าง อุปกรณ์ทำสวนพวกนี้มีลายเสือน้อยด้วย น่ารักดี เผื่อจะเอาไปฝากหลาน"ไอ้ชาติอธิบาย
"นี่แกฮุบของกลางเอาไปฝากญาติบ่อยมั้ยนี่ ถามจริงเหอะ"หมวดเอกกำลังใช้เสียมขยับเจ้ากล่องลำโพงเบี้ยวๆนี้ให้กลับเข้าที่ และที่แน่ๆ การนำของกลางไปใช้เองเป็นเรื่องที่ผิดและเป็นต้นตอของการคอรัปชั่น แต่ถึงอย่างนั้น หมวดเอกก็ไม่อยากขัดลูกน้องมากเกินไป โดยเฉพาะไอ้ชาติที่ไม่มีสมองมาจำเรื่องหยุมหยิมพวกนี้หรอก แค่บวกเลขเกินหลักสิบมันก็ไปไม่เป็นแล้ว แถมที่เรามีอุปกรณ์ในการจัดการกับสิ่งประหลาดเกินจินตนาการในแล็บนี้ก็เพราะความมือบอนของมันนี่แหละ
"ก็ อะไรคือของกลางอ่ะ ผมไม่เคยเอาช้อนกลางกลับบ้านนะ ทิ้งไว้ที่ร้านตลอด" คำพูดแห่งปัญญาของมันนี่แสดงให้เห็นถึงความ หมดหวังทางความคิดของมันจริงๆ
"ช่างมันเถอะ"หมวดเอกพยายามต่อสัญญาณจากอุปกรณ์พังๆตรงหน้าด้วยเสียมทำสวนขนาดใหญ่กว่าส้อมเล็กน้อย ก็ไม่แปลก คนที่อยู่ที่นี่เค้าทำงานวิจัยพืชกระถางจุ๋มจิ๋ม ไม่ใช่ทำไร่อ้อยหรือสวนมังคุดจะได้ใช้เสียมอันเท่าตรีศูลโพไซดอน
"แกร็ก!!! . . . ซ่าาาา"เสียงเหมือนกับสัญญาณจากวิทยุดังขึ้น ก่อนที่มันจะมีควันออกมาและมีประกายไฟอยู่หลังกล่องวิทยุที่อยู่ติดกับกำแพง เสียงเหมือนกับว่ามีอะไรกำลังโดนช็อตอยู่หลังผนังสีขาวสะอาดนั้น
โครมมม!!!!กล่องวิทยุสีเทาอ่อนหลุดออกจากช่องของมันลงมาแตกกระจายอยู่บนพื้น ชิ้นส่วนจำนวนมากเทกระจาดเหมือนกับรถกระบะคว่ำในช่วงเทศกาล สีหน้านิ่งเฉยของหมวดเอกและแววตาตกใจของคนอื่นๆในคณะบ่งบอกถึงความซวยระยะแสดงอาการมาเยือน เยี่ยมจริงๆ เราจะเอายังไงกับกรอบดี อุปกรณ์หน้าตาชวนขนลุกในห้องนี้คงจะใช้มั่วๆไม่ได้แน่ๆ
"เออจ่าปลา เราเอาไงกับกรอบดี"หมวดเอกถาม
"ปกติห้ามเลือดได้ควรจะขนไปโรงพยาบาลทันทีแต่ว่าเราอยู่ใน ห้องทดลองวิทยาศาสตร์เพี้ยนๆนี่ เอาเป็นว่า เราต้องรอให้กรอบตื่นแล้วค่อยพยูงไป แผลหัวแตกสามารถสมานเองได้ไม่ต้องผ่าตัดหากเป็นกรณีที่ไม่ร้ายแรงแบบกรอบอะนะ"จ่าปลาตอบ กรอบหายใจอย่างสม่ำเสมอ อาการไม่ค่อยน่าเป็นห่วง ถ้าหากจะมีอะไรที่เป็นห่วงคือมันจะมีตัวอะไรออกมาจากประตูถัดไปหรือเปล่า อย่างเล่นมีซอมบี้นักวิทย์เพื่อนเก่าด็อกเตอร์ซักยี่สิบตัวพุ่งเข้ามากินสมองเรา หรืออาจจะมีกับดักปืนเลเซอร์ที่ยิงเราพรุนเป็นรวงผึ้งได้ในพริบตา หรือมีไดโนเสาร์พุ่งเข้ามากัดเราขาดครึ่งในคำเดียว ไม่มีอะไรคาดเดาได้เมื่อเราผ่านสิ่งที่ประหลาดสุดๆมาตลอดทาง แล้วนี่เราอยู่ที่จุดกำเนิดของมัน
"เออ แล้วดูจากที่ไม่มีหน้าจอมอนิเตอร์ เราแค่กดปุ่มก็ผ่านเข้าไปได้ แต่ว่ามีสองประตู เราจะเข้าประตูไหนกันดีหล่ะ เรายังไม่รู้เลยว่ามันเป็นห้องอะไร"หมวดเอกมองไปทางประตูโลหะสีเทาอ่อนฝุ่นจับแบบที่จะเปิดเมื่อกดปุ่ม สิ่งใดรอเราอยู่ด้านหลังประตูโลหะพวกนี้ เราแทบไม่มีทางเดาออกเลย ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่มีอะไรแย่ๆอยู่ในห้องสุดพิศวงพวกนี้
"เออ แล้วทำไมไม่ดูป้ายตรงนั้นหละค้าบ"ไอ้ชาติส่งเสียงเอื่อยๆตามประสา
". . . เห ป้าย"หมวดเอกหันไปมอง ป้ายสีเขียวเข้มฝุ่นจับจนแทบดูไม่ออกเสียบอยู่ข้างๆประตูทั้งสอง ประตูทางขวาเขียนว่า ห้องอนุบาลไข่ ห้องทางซ้ายเขียนว่า ห้องวิจัยพันธุ์พืช ห้องไหนจะเป็นทางเลือกของหมู่หมูมะนาว
"ดีที่หมู่เรามีคนที่ได้เรื่องได้ราวอยู่บ้าง ไอคิวไม่สูงแต่เซนส์ดีเป็นบ้า"หมวดเอกหันไปชม(หรือเปล่า)หมวดเอกจับคาง มองไปทางห้องทั้งสอง หมวดเอกไม่แน่ใจว่าจะเลือกเส้นทางไหนดี
"อืมมมม เราจะไปทางไหนกันดีพวก ขอความเห็นหน่อย"หมู่โบกี้หันไปถามคนอื่นๆ เขารู้ว่าหมวดเอกไม่อยากถามเองเพราะกลัวเสียลุคพี่ใหญ่ผู้เฉียบขาดไป แต่เขาไม่ ยิ่งมีหลายความคิดและหลายสมองเท่าไหร่ ทางออกก็น่าจะออกมาดีมากเท่านั้นเพราะจะได้มีการอุดรูรั่วของแผนการมากเท่านั้น หลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย การระดมสมอง น่าเสียดายที่พอมีอำนาจเงินและพวกพ้องเข้ามาเกี่ยว มันจะผิดเพี้ยนไปตามหลักสูตรพวกมากลากไป
"ห้องอนุบาลไข่น่าจะดีนะ ตัวอะไรก็ตามที่เพิ่งออกมาจากไข่หรือยังเป็นไข่อยู่ไม่น่าจะมีพิษภัยอะไรมาก อีกอย่าง การจะทำให้ไข่ฟักตัวต้องมัปัจจัยที่เหมาะสม ในตึกประหลาดๆที่ไฟติดๆดับๆแบบนี้ ไม่น่าจะเหมาะสมพอนะ"จ่าปลาออกความเห็น
"ผมว่า ห้องวิจัยพันธุ์พืชน่าจะดีกว่านะ ต้นไม้ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร แถมเผื่อมีผลไม้อร่อยๆให้เรากินด้วย"ไอ้ตือพูด ทำท่าทางเหมือนกำลังกัดแอ๊ปเปิ้ลคำโต
"เหรอออออ ไอ้ที่สิงหมูป่าพวกนั้นอะไร ไม่ใช่ต้นไม้เหรอ แล้วไอ้ปุ๋ยหมักปีศาจที่โดนมากมายตบกระจุยนั่นหละ สีเขียวๆแบบนั้นน่าจะเป็นต้นไม้นะ"ไอ้กอล์ฟกระแหนะกระแหน
"กลับไปเราเลี้ยงเบียร์พวกนายมื้อนึง"ไอ้ตือทำหน้าตายแต่ยิ้มในใจ
"โอเคเอาห้องวิจัยพืช"กอล์ฟเปลี่ยนสีไวปานแสง
"อ้าวพวกแกเอาวิจัยพืชเหรอ งั้นก็เอาด้วยสิ"ไอชาติก็ตามเขาด้วย
"เพราะมีคนแบบพวกแกนี่ไง กรุงเอเธนส์ถึงได้ล่มสลาย ห่าน สภาบ้านเราเลยมีแต่พวกกระหังใส่สูท กระสือผูก(เนค)ไท ปอบติดยศ เพราะมันมีพวกขี้โกงไปถึงฐานเสียงอย่างพวกแกทุกตัว"หมู่โบกี้ด่าส่วนหมวดเอกเอามือกุมหน้า พวกแกนี่มันสิ้นหวังจริงๆ ประเทศเรามีคนแบบพวกขี้กากพวกนี้อีกเท่าไหร่คงไม่ต้องอธิบาย
"งั้น หนูว่าไปห้องอนุบาลไข่ดีกว่า อาจจะมีตัวอะไรที่เกิดใหม่ๆน่ารักๆไปลงนิตยสาร เออ หมายถึงมันน่าจะปลอดภัยกว่า แหะๆๆ"เนยออกความเห็น
"อือออออ"ไอ้กรอบที่นอนน้ำลายยืดอยู่บนเตียงออกความเห็น ถึงแม้จะไม่มีใครเข้าใจ แต่อย่างน้อยก็เป็นการไม่เป็นการนอนหลับทับสิทธิ์ หรือว่ามันละเมอก็ไม่รู้
"ว่าแต่ ทำไมเราไม่แยกเป็นสองทางหละ จะได้สำรวจทั้งสองห้องพร้อมๆกันเลยจะได้ไม่ต้องเถียงกันไง"ต้นออกความเห็น
"เดี๋ยวๆๆๆ นี่จะให้เราเสี่ยงไปเจอสัตว์ประหลาดเป็นสองเท่าโดยที่มีคนน้อยลงครึ่งนึงเนี่ยนะ เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสำรวจ เรามาเพื่อหาต้นตอของสิ่งผิดปกติทั้งหมด แล้วสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับข้อมูลที่เราไม่เข้าใจพวกนี้คือพยานบุคคลอย่างด็อกเตอร์ เราต้องหาเขาให้เจอแล้วให้เขาอธิบายทุกอย่าง ปิดจ๊อบ"หมวดเอกบอก
"แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าด็อกเตอร์อยู่ส่วนใหนของตึกนี้ มันอาจจะอยู่ทางห้องไข่ หรือมันอาจจะอยู่ทางห้องต้นไม้ มันก็เป็นไปได้ทั้งสองทาง"จ่าปลาถาม
"เราจะหาลำโพง วิทยุ หรืออะไรก็ตามที่จะสื่อสารกับด็อกเตอร์นั่นได้ แล้วให้เขาบอกทางไป จริงๆก็น่าจะมีทุกห้องนั่นแหละ"หมวดเอกตอบแล้วหันหลังไปมองประตูทั้งสองบาน ทันใดนั้นหมวดก็ปิ้งไอเดีย
"ให้เจ้าฟองดูดมดูดีมั้ย"หมวดเอกหันมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หมวดเอกอุ้มฟองดูขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูห้องวิจัยพันธุ์พืช เจ้าหมาขนฟูนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับประตูบานนั้น จากนั้น พอมาที่ห้องอนุบาลไข่ เจ้าฟองดูเองก็นิ่งอีก มันไม่สนด้วยซ้ำ
"ยอดเยี่ยม เรามีข้อสันนิฐานอยู่ 3 ข้อแล้ว
ข้อแรก ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอยู่ในห้องทั้งคู่
ข้อต่อไป ฟองดูไม่ได้กลิ่นจากห้องทั้งคู่
ข้ออสุดท้าย ฟองดูได้กลิ่นแต่ไม่รู้ว่าเป็นอันตรายมั้ยเลยไม่เห่า"หมวดเอกสรุป
"โอเช เอาไงต่อหล่ะเรา "หมู่โบกี้หันไปถามหมวด
"ก็ . ."ขณะที่กำลังพูด ไฟฟ้าในตึกก็ดับวูบลง ทุกอย่างอยู่ในความมืดมิด มืดสนิทราวกับคืนที่ฟ้าไม่มีดาวและดวงจันทร์ มืดเหมือนความหวังที่สิ้นสูญของป่าเห็ด มืดจนเรากลัวว่าสัตว์ประหลาดดุร้ายน่ากลัวตัวไหนจะโผ่ลมาโจมตีเรา
"ไม่ต้องกลัว เรามีไฟฉาย"หมวดเอกฉายไฟไปทางคนอื่นๆ แล้วต้องตะลึงเมื่อเห็นหมู่หมูมะนาวอันเปี่ยมไปด้วยความเก่งกล้าสามารถและประสบการณ์อันน่าภาคภูมิใจ กอดกันเป็นก้อนกลมด้วยความกลัว ท่าทางจะหลอนกันเต็มที่ตอนไฟดับ แถมแต่ละราย ไม่มีความเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เหลือเลย
"เฮ้ย พวกแกกลัวความมืดเหรอ ถามจริง ตอนนอนยังเปิดไนท์ไลท์อยู่หรือเปล่าเนี่ย ถ้ากลัวมากก็เอาไฟฉายขึ้นมาสิ มีกันทุกคนไม่ใช่เหรอ"หมวดเอกกระแนะหระแหนก่อนที่จะสั่งการ
"อาวหละ ครบทุกคนหรือเปล่า นับ หนึ่ง"หมวดเอกสั่ง
"สอง"เสียงผู้หญิงฟังดูหนักแน่น น่าจะเป็นจ่าปลา
"สาม"นี่เสียงหมู่โบกี้ มีเอกลักษ์
"สี่"เสียงแหลมๆแต่ยังฟังดูเหมือนของผู้ชายของกอล์ฟ
"ห้า"เสียงเฉื่อยๆทุ้มๆ ชาติแน่นอน
"หก"เสียงเหมือนมีอะไรที่คล้ายๆกับกลอง ตือ
"อืออออ"เสียงกรอบที่นอนโคม่าอยู่
"แปด"เสียงฟังดูไม่น่าไว้ใจของต้น
"เก้า"เสียงผู้หญิง น่าจะเป็นของเนยเพราะไม่หนักแน่นเท่าเสียงจ่าปลา
"สิบ"เสียงเหมือนคนกร้านโลกที่เบื่อทุกอย่างในชีวิต สมบัติชัวร์
"สิบเอ็ด อ๊บ"เสียงแหลมเล็กของเด็กผู้หญิง และแน่นอน มีเสียงกบผสมด้วย น้ำอ้อย
"สีบสองงงง"เสียงลากยาวฟังดูน่าขนลุก ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของใคร ฟังดูไม่เหมือนกับเสียงของคนซะด้วย และนี่ไม่ใช่อะไรที่ไกล้เคียงกับข่าวดีเลย
"เอาหละ ทุกคน เราเจอปัญหาแล้ว แล้วหมวดก็เริ่มกลัวความมืดด้วย เรามีแขกไม่ได้รับเชิญ"หมวดเอกพูดเสียงสั่น ตาลุก ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า สีหน้าซีดขาวเหมือนแป้งสาลี ฝืนยิ้มทั้งๆที่น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความกลัว หายใจแรงเหมือนพายุทอร์นาโด คนอื่นๆก็สั่นกันแบบไม่เกรงใจพระอาทิตย์เลย งานงอกแล้ว แล้วนี่มันเกินกว่าที่คาดไว้ซะด้วย เมื่ออยู่ในเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องนับจำนวนคน พอดีคือสิ่งที่ดีที่สุด ขาดไปคือมีคนหายและเป็นอะไรที่แย่มาก เกินมาคือสถาณการณ์เลวร้ายที่สุด โดยเฉพาะในความมืดมิดและดินแดนที่ไม่มีอะไรไว้ใจได้แบบนี้
"หมวดดดดดด เอาไงดี เยี่ยวจะราดแล้ววว"ไอ้กอล์ฟสั่นเทาด้วยความกลัว หัวใจหล่นไปอยู่ที่ส้นเท้า มีอะไรไม่ดีมากๆเกิดขึ้น และมันอยู่ท่ามกลางเรา ในห้องทดลองที่น่าพิศวงนี้ กี่ชีวิตที่ต้องจบลงที่นี่ ไม่มีใครนอกจากด็อกเตอร์รู้ หรือแม้แต่ด็อกเตอร์ก็ยังไม่รู้
"เอาหละ เสียงปริศนานั่น ถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น นะ แล้วเราควรออกจากห้องนี้เดี๋ยวนี้ ใครก็ได้ลากไอ้กรอบมาซิ"หมวดเอกสั่ง เขาพยายามที่จะเข้มแข็งทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอะไรที่บ้าระห่ำและผิดธรรมชาติที่สุดกำลังรอพวกเขาอยู่ อยู่ในห้องนี้รอให้อะไรก็ตามที่ส่งเสียงเมื่อกี้นี้มาหลอกหลอนคงไม่ใช่ไอเดียที่ดี
"ห้องไหนหล่ะ เรายังโหวตกันไม่เสร็จเลยนะ"ไอ้ชาติหันไปถาม ไอ้ตือหันไปหิ้วร่างของไอ้กรอบเหมือนกับแบกกระสอบข้าวสาร เขาเองก็กลัวไม่ต่างกัน บรรยากาศในห้องแล็บนี้แม้จะไม่น่าหดหู่เท่ากับป่าเห็ดนั่น แต่ว่าความน่าขนลุกและกลิ่นอายแห่งสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจนั้นแทบไม่ต่างกัน อันที่จริงที่นี่เป็นต้นตอขอสัตว์ประหลาดต่างๆในผืนป่านี้ เราควรจะคาดหวังว่า มันจะต้องมีอะไรที่ . . . ไม่รู้สินะ ผิดธรรมชาติ พิลึกพิลั่น น่าสยดสยองและขยะแขยง ห้องนี้อาจจะดูเหมือนมีแค่เรา แต่มันก็มีความเป็นไปได้ว่ามีสิ่งที่หลอกตาเราอาศัยอยู่ในห้องนี้และมันพูดได้ด้วย
"ห้องอนุบาลไข่ก็แล้วกัน และ ขอให้ทุกคนลืมเรื่องประชาธิปไตยก่อนนะ ผีหลอกเรารอไม่ได้"หมวดเอกพูดก่อนที่จะเดินไปทางประตูโลหะสีน้ำเงินโคบอลต์ พยายามกดอาการหวาดกลัวของตนเองไว้ อะไรจะรอพวกเขาอยู่ในห้องถัดไปก็คงต้องเดาแล้วหละ ไข่คือสิ่งที่เรารู้ อะไรอยู่ในไข่ เราไม่รู้ แต่ว่าตัวอ่อนคงอยู่ไม่ได้โดยไม่มีคนป้อนน้ำป้อนข้าวให้ และนอกจากด็อกเตอร์แล้ว ที่นี่ดูเหมือนจะร้างซะด้วย ตอนนี้หมวดเอกยืนอยู่ต่อหน้าปราการสุดท้ายที่กั้นระหว่างหมู่ของเขากับความวิปริตผิดธรรมชาติใดๆก็ตามที่อยู่ในห้องเบื้องหน้า ความรู้สึกนี้ทำให้หมวดเอกเข้าใจหมู่โบกี้ตอนที่กำลังจะแหวกม่านเห็ดพวกนั้น
"เอาวะ ทุกคน เตรียมอาวุธให้พร้อม ออกมาห่างๆประตู เตรียมตัวสำหรับอะไรก็ตามที่อยู่เบื่องหลังประตูนี้"หมวดเอกสั่ง เนื่องจากหมู่โบกี้และจ่าปลาเสียมีดพร้าไปตอนที่สู้กับมากมายแถมยังได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจากการต่อสู้กับหมียักษ์หลายหัวตัวนั้น ถึงเวลาที่คนอื่นๆต้องมาลุยแนวหน้าแทนแล้ว ตือเองก็แบกกรอบอยู่สู้ไม่ถนัด ชาติเลยใช้มีดพร้าของตือแทน กอล์ฟเองก็พร้อม ต้นที่ถูกเกณฑ์มายามฉุกเฉินก็ถูกเอามาใช้ประโยชน์อย่างการเป็นกองหน้า ถ้าหากในห้องข้างหน้ามีมนุษย์หมาป่าหรืองูยักษ์ ต้นจะโดนกินก่อนเรา หมวดเอกสูดหายใจลึกๆพยายามเรียกความมั่นใจของตนออกมาก่อนที่จะเอาพลั่วกดปุ่มเปิดประตู(พลั่วมีด้ามเป็นพลาสติก หากมีไฟฟ้าช็อตจะได้ไม่โดนย่างสดคาประตู อีกอย่าง ใครจะรู้หละว่ามีอะไรปนเปื้อนหรือเคยจับปุ่มนั้นบ้าง เชื่อเหอะ เราไม่อยากรู้แน่ๆ)
"ครืนนนนน . . ."เสียงประตูโลหะที่เปิดออกอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่ามันเปิดได้ยังไงทั้งๆที่ไฟดับ น่าจะเป็นเพราะมันมีระบบที่ต่างจากระบบให้แสงสว่างของตึกนี้ละมั้ง เช่นเดียกกับห้องนี้ ห้องข้างหน้าไม่มีแสงไฟ มืดสนิท ที่แย่กว่านั้น ห้องอนุบาลไข่กว้างกว่าที่เราคิดไว้มาก เมื่อส่องไฟฉายไป มีสิ่งที่ดูคล้ายกับเครื่องฟักไข่ที่ยังไม่ได้ทำงานเรียงรายเต็มไปหมดทั้งสองข้าง ไข่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพที่ยังไม่ได้ฟัก แต่ว่า สิ่งที่น่าห่วงคือ มันมีไข่หลากหลายรูปร่างและขนาด ตั้งแต่ขนาดเท่ากับไข่นกกระทาจนไปถึงบางฟองที่ใหญ่พอๆกับถุงทะเล ห้องนี้มีกลิ่นคาวชวนให้รู้สึกคลื่นไส้มากๆอยู่ หมายความว่า ไข่บางฟองอาจจะฟักแล้ว และเจ้าสิ่งที่ออกมาจากไข่นั้นคงจะหิวมาก
"หยึยยยย ที่นี่น่ากลัวชะมัด"จ่าปลาพูด เธอใช้ไฟฉายส่องเข้าไปในห้องลึกลับนี้ ไข่สีครีมจนไปถึงสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ไม่อยากจะคิดว่าหากทุกๆฟองที่เราเห็นนี้มีสัตว์ประหลาดอยู่ข้างในจะเป็นยังไง คณะหมูมะนาวค่อยๆเดินเข้าไปในห้องที่ว่านี้อย่างสั่นกลัว พยายามระวังทุกย่างก้าว ฟองดูส่งเสียงขู่คำรามเข้าไปในห้องมืดสนิทนี้อย่างดุร้าย ไม่ใช่ลางดีแน่ๆ น้ำอ้อยทำท่าหวาดระแวง เซนส์ของสัตว์ที่เธอได้รับคงกำลังเตือนเธอถึงอะไรบางอย่าง
บัดนี้รอบกายของชาวหมูมะนาวเรียงรายไปด้วยเครื่องช่วยฟักไข่สีเทาอ่อนครอบด้วยโดมพลาสติกใสแข็ง และไข่จำนวนมากที่ยังอยู่ในสภาพไม่ได้ฟัก หมวดเอกเดินตามหลังแนวหน้าเข้าไปในโลกของไข่ ยิ่งเดินเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกของบรรยากาศ ไข่จะไม่ฟักหากอยู่ในอุณภูมิที่ไม่อุ่นพอ หวังว่าทุกฟองจะเป็นแบบนั้นนะ เสียงฝีเท้าดังสะท้อนไปมาในห้องที่เต็มไปด้วยไข่นี้ มันทำให้รู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังเดินอยู่ในห้องนี้คู่กับเรา ความเงียบสงัดและความมืดเป็นสิ่งที่เข้ากันได้ดีในการทำให้คนกลัว และมันทำได้สำเร็จ
เมื่อเดินมาได้พักหนึ่ง หมวดเอกเริ่มสังเกตุว่ามีไข่บางส่วนฟักแล้ว แต่เนื่องจากตัวอ่อนไม่มีอาหาร หมู่หมูมะนาวเลยเห็นซากน่าสยดสยองของบางอย่างที่คล้ายๆกับลูกนก อยู่ในโดมพลาสติกใสพวกนี้ น่าแปลกที่เราไม่ได้กลิ่นเหม็นเน่าของซากตัวอ่อนพวกนี้เลย โดมคงจะมีระบบเก็บกลิ่นสินะ แล้วทำไมเราถึงยังได้กลิ่นคาวพวกนี้อยู่หละ มันแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย
"เออ แล้วทางออกอยู่ตรงไหนละเนี่ย"ไอ้ชาติเริ่มอยากออกไปจากห้องที่ดูไม่น่าอภิรมย์นี้โดยเร็ว
"รู้สึกว่าอีกไม่ไกลแล้วหละ ตึกนี้ดูจากข้างนอกก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ ห้องข้างในก็ไม่น่าจะใหญ่จนเกินไป เอ๊ะ"หมวดเอกฉายไฟไปข้างหน้า เห็นครามเหนียวๆสีคล้ำๆอยู่บนพื้น พอฉายไฟไปที่ต้นทางของมัน เราเห็นเครื่องฟักไข่ขนาดค่อนข้างใหญ่ที่มีรูโบ๋อยู่ ข้างในมีเปลือกไข่ที่มีขนาดใหญ่ไม่ธรรมดาอยู่ สิ่งที่ออกมาจากไข่ใบนั้นคงจะต้องแข็งแรงพอที่จะพังโดมพลาสติกแข็งๆของเครื่องฟักไข่ออกมาได้ เมือกบนพื้นค่อนข้างเก่าและมีกลิ่นเหม็นคาวเหมือนไข่ดิบ ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าที่นี่ทำไมถึงเหม็น มันมีบางอย่างที่ฟักออกมาแล้วอยู่ในห้องนี้
"งานเข้าแล้วไง ตัวอะไรออกไข่ใหญ่ขนาดนี้เนี่ย"หมู่โบกี้พูดเสียงสั่น เขามองไปรอบๆ หวังว่าเจ้าสิ่งที่ออกมาจากไข่ใบนี้จะไม่ลอบโจมตีเราท่ามกลางความมืด ความกลัวค่อยๆคืบคลานเข้ามาในจิตใจยิ่งกว่าเดิม เหมือนกับว่าห้องนี้คือฝันร้ายที่กลายเป็นจริงหรือไม่ก็ฉากในหนังวิทยาศาสตร์ที่สัตว์ทดลองสุดสยองจะกระโจนเข้ามาสังหารคนในกลุ่มท่ามกลางความมืดมิดในอาคารปิดตาย
"เรารีบไปกันดีกว่า แล้วน้ำอ้อย เธอคอยดูไว้นะ ถ้ารู้สึกว่ามันเข้าไกล้เมื่อไหร่ก็บอกเราทันที"หมวดเอกสั่ง เขาเหงื่อแตกเหมือนกับอยู่ในห้องของสารวัตรเกรียงไกร สิ่งใดก็ตามในนี้กำลังทำให้เขากลัวจนจะกลายเป็นบ้า
ห้องนี้เงียบสงัดและเหม็นสาบ ไม่มีแสงไฟยกเว้นจากไฟฉายของหมู่หมูมะนาวและกล้องของนักข่าว ตู้พลาสติกแข็งที่ล้มระเนระนาด ไข่ที่แตกกระจายลงบนพื้น ร่องรอยของคราบตามพื้นและกำแพง ที่นี่มีร่องรอยที่เกิดการอาละวาดของบางสิ่งบางอย่าง จนไอ้ต้นเจอบางสิ่งที่ดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
"นี่มัน อะไรกันนี่"หมู่โบกี้มองลงไปเห็นเจ้ากองสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายๆกับตัวอ่อนของอะไรบางอย่างที่ยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์แล้วฟักออกมา มันดูเหมือนไข่ดาวที่ส่วนของไข่แดงมีสมอง ลูกตา และปากเชื่อมเรียงตัวออกมาเหมือนกับใบหน้าของคน ร่างกายส่วนอื่นดูเหมือนกับไข่ขาวดิบใสๆที่มีกระดูกสันหลังบางๆและไม่สมบูรณ์อยู่ มันไม่มีแม้แต่ซี่โครงด้วยซ้ำ อวัยวะภายในเห็นได้อย่างชัดเจนแถมมีไม่ครบ สิ่งที่ดูเหมือนกับแขนขาของมันโปร่งใสและเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่อยู่ข้างใน ดูจากสภาพอันน่าอดสูของเจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว บอกได้เลยว่านักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานที่นี้จะต้องฟั่นเฟือนและไร้จริยธรรมขนาดไหน เจ้าไข่ดาวจากฝันร้ายที่อยู่ตรงหน้ามันคงลุกขึ้นมาเล่นงานเราไม่ได้แล้วแหละ
"เราไปต่อกันดีกว่า"หมวดเอกมองเจ้าสิ่งน่าขนลุกที่นอนตายอยู่บนพื้นแล้วค่อยๆเดินอ้อมพยายามไม่แตะโดนมัน คนอื่นๆก็รู้สึกว่าไข่ดาวที่มีหน้าติดอยู่บนไข่แดงมันน่าสยองชวนอ้วกมาก ยิ่งเบ้าตากลวงโบ๋ ปากอ้า และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีคล้ำแบบนี้ยิ่งทำให้รู้สึกน่าเวทนายังไงก็ไม่รู้ สัตว์ประหลาดเบื่องหน้านี้คงไม่ได้ตายนานแล้วเพราะว่าส่วนใหญ่ของร่างกายมันยังสดอยู่ นี่หมายความว่า ไข่พวกนี้พร้อมที่จะฟักออกมาเป็นอะไรแบบนี้อีก
"อือออออออออออ อาาาาา"เสียงร้องครวญครางของบางอย่างแว่วมาในทางเดินของห้องฟักไข่นี้ มีบางอย่างที่น่าจะคล้ายๆกับไอ้ไข่ดาวนรกแตกนี่กำลังรอเราอยู่ หรือบางทีมันอาจจะแตกต่างจากสิ่งนี้โดยสิ้นเชิง ไม่มีใครรู้ คนอื่นๆเตรียมอาวุธพร้อมที่จะฟาดฟันอสูรกายสุดสยองตัวใดก็ตามที่รอเราอยู่ในความมืดมิดของห้องที่เต็มไปด้วยไข่
เปรี๊ยะ!!! เสียงไข่แตกเบาๆดังขึ้นมาแล้วเหมือนกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะฟักออกมาจากไข่ใบเท่าเก้าอี้ ที่อยู่ในตู้กกไข่ข้างๆเรา เราคงไม่อยากเห็นลูกเจี๊ยบไซส์นี้แน่ๆ และหมวดเอกค่อนข้างมั่นใจว่าอะไรที่กำลังจะออกมาจะต้องน่ากลัวกว่าลูกเจี๊ยบไม่รู้กี่เท่า
"เผ่นว้อย"หมวดเอกเริ่มออกวิ่ง คนอื่นๆเห็นก็วิ่งตาม ไม่มีใครอยากเจอเจ้าสิ่งที่ออกมาจากไข่ใบมหึมานั้นแน่ๆ ถ้าแบบดีคือมันคิดว่าเราเป็นแม่มัน นั่นคงจะแปลว่าเราต้องรับเลี้ยงมันและบ้านเราก็ยังไม่มีที่ว่างและเราก็ยังไม่มีเงินเก็บมากพอสำหรับสัตว์เลี้ยง แต่แบบแย่ เราจะเป็นอาหารมื้อแรกในชีวิตของมัน ฟังดูไม่ดีเท่าไหร่
ท่ามกลางความมืดของห้องอนุบาลไข่ หมู่หมูมะนาวและคณะกำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่มากเท่าไหร่ จริงๆความเร็วของหลายๆคนในหมู่ถูกจำกัดด้วยอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ทั้งหลายก่อนหน้านี้และอาการเหนื่อยล้าสะสมจากยุธการกลศึกไฟผลาญมดดำ เงาที่เกิดจากพวกเขาและไฟฉายทำให้ดูเหมือนกับว่ามีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้กำลังวิ่งไล่ล่าพวกเขา เสียงครวญครางน่าขนลุกค่อยๆดังขึ้นเมื่อพวกเขาวิ่งผ่านทางเดิน ยิ่งผ่านเข้าไปลึกเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นซากของไข่ดาวปีศาจแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยเห็นก่อนหน้านั้นมากขึ้น บางตัวนอนพิงเครื่องช่วยฟักไข่ บางตัวนอนพาดเครื่อง ที่แย่กว่านั้น เครื่องฟักไข่พวกนี้มีร่องรอยความเสียหาย เหมือนโดนทุบ ไม่ก็เจาะ ไข่หลายใบฟักเรียบร้อยแล้ว มีพวกไข่ดาวผีที่มีขนาดเล็กเกินกว่าจะเจาะออกมาจากเครื่องแห้งตายอยู่ในเครื่อง ไข่แดงสีคล้ำและหน้าสยองๆเละอยู่บนผนังด้านในของโดมพลาสติกแข็งชวนให้ขนลุกเพิ่มขึ้นไปอีก
โครมมมม!!!!!! เสียงเหมือนกับว่ามีใครชนอะไรล้มเข้า แทบทุกคนใจหายวูบ มันตามมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ เรากำลังโดนโจมตีหรือเปล่า ไอ้กอล์ฟตวัดมีกแล้วส่องไฟฉายไปทางต้นเสียง เมื่อหันไปก็เห็น อะไรบางอย่างที่เขียวๆและมีหางลูกอ๊อดสะบัดไปมากำลังลุกจากโต๊ะพลาสติกสีขาวตัวเล็กๆ น้ำอ้อยลุกขึ้นมาและใช้มือใหญ่ๆลูบหัวตัวเอง ทันใดนั้นเสียงที่เหมือน เพลงกล่อมเด็ก ก็ดังขึ้นจากกล่องที่น่าจะเป็นเครื่องเสียงขนาดเล็กๆ วิทยุสีชมพูแปร๋นขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าก้อนอิฐสองก้อนเอามาต่อกันค่อยๆส่งเสียงที่ดังเกินกว่าที่วิทยุขนาดนี้ควรจะเป็น
"ด๊า ด๊า ด่า -โอออออออลลลล แมคโดนัล แฮฟ อะ ฟาร์ม อี๊ย๊าอียาโอ"เจ้าวิทยุสีชมพูเริ่มส่งเสียงร้องชวนให้คึกคักและครื้นเครง มันคงจะช่วยให้บรรยากาศผ่านคลายลงมากหากเราไม่ได้อยู่ในห้องมืดสนิทที่เต็มไปด้วยไข่และไข่พวกนี้มีอะไรก็ไม่รู้อยู่ข้างใน ทันทีที่เจ้าเครื่องเสียงแหกปากบรรเลงเพลงกล่อมเด็กแว๊น เสียงครวญครางและเสียงที่ฟังดูเหมือนกับไอ้ปีศาจปุ๋ยหมักนรกแตกที่เราเจอในเรือนกระจกนั่นก็ค่อยๆดังขึ้นจากหลายๆทิศทาง เสียงเหมือนกับเปลือกไข่กำลังแตก เสียงใครกำลังชนเครื่องฟักไข่ เสียงเหมือนกับเครื่องจักรที่ล้มลงกระแทกพื้นดังขึ้น เสียงครางค่อยๆดังขึ้นตามจังหวะเพลงใสๆจากเครื่องเสียงสีชมพู เอาแล้วไง
"น้ำอ้อย ปิดมันเดี๊ยวนี้ ไข่อสูรมันตามเพลงมา"หมวดเอกรีบสั่งน้ำอ้อย สีหน้าจริงจังสุดขีด จนตาแทบจะออกมาจากเบ้า
"เออมันปิดยังไง"น้ำอ้อยกำลังลังเลตอนที่พยายามจะกดปุ่มซักปุ่ม หมู่โบกี้ที่กำลังกลัวจนแทบจะกระโดดเหยงๆรีบคว้าเอาวิทยุเล็กๆนั่นมาแล้วกดปุ่มทันที
"ชี วิลบี คัม อราวด์ เดอะ เมาเท่น เวน ชี คามมมมมมม!!!!!!
ชี วิลบี คัม อราวด์ เดอะ เมาเท่น เวน ชี คามมมมมมม!!!!!!
ชี วิลบี คัม อราวด์ เดอะ เมาเท่น เวน ชี คามมมมมมม!!!!!!"เสียงเพลงดังขึ้นแบบมีนัยสำคัญเหมือนกับอยู่ในคอนเสิร์ตเลยทีเดียว หมู่โบกี้พยายามจะปิดมันแต่ว่าไม่ว่าจะกดปุ่มไหน กลังไม่มีปุ่มปิดเลย เพลงมีทั้งดังขึ้น ไม่ก็เบาลง หรือเปลี่ยนเพลง หรือเป็นโหมดเร็วขึ้น เสียงใสๆของเพลงเด็กกำลังทำให้พวกเขารู้สึกแก่เป็นไม้ไกล้ฝั่ง ถึงฝั่งแน่หากดนตรีคลาสสิคพวกนี้ยังไม่หยุดแผดเสียงแปดหลอดของมัน
"ปิดไม่ได้ก็ต้องแบบนี้"จ่าปลาแย่งวิทยุมาจากมือหมู่โบกี้แล้วเขวี้ยงออกไปสุดแรง หวังว่าเจ้าเครื่องเสียงนี้จะแตกเป็นชิ้นๆและหยุดโหวกเหวกโวยวาย หรือไม่ก็ทำให้อะไรก็ตามที่หลบอยู่ในความมืดตามเสียงดนตรีไปอีกทาง กล่องดนตรีปลิวไปไกลโขแล้วจากนั้นก็มีเสียงมันปะทะกับอะไรซักอย่างแต่ว่าเสียงเพลงยังไม่หยุด มีเสียงไฟฟ้าช็อต แล้วทันใดนั้นไฟทุกดวงในห้องนี้ก็ส่องสว่างขึ้นทันตา ทุกอย่างกระจ่างใส ไฟฉายไม่จำเป็นอีกต่อไป เผยให้เห็นเครื่องฟักไข่ราวๆ 50 เครื่องในห้องขนาดใหญ่ที่ผนังทาด้วยสีฟ้าใสชวนผ่อนคลายมีลายการ์ตูนน่ารักๆอยู่เต็มไปหมด เมฆสีขาว สายรุ้ง ดวงอาทิตย์ และ พระจันทร์ ต่างยิ้มแฉ่ง จริงๆเมื่อมีเสียงเพลงสดใสและบรรยากาศฟรุ้งฟริ้งแบบนี้ หมู่เราควรจะผ่อนคลายและหยุดวิตกกังวล ยกเว้นว่า เครื่องฟักไข่ทุกเครื่องกำลังส่งไออุ่นใสไข่ข้างใน ไข่จำนวนมากเริ่มขยับ เสียงเพลง แสงไฟ บรรยากาศ และไออุ่นกำลังต้อนรับให้อะไรก็ตามที่อยู่ในไข่นับร้อยฟองออกมาดูโลก และนั่นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ควรห่วง
ตรงหน้าประตูสีโคโบลต์ที่จะพาเราไปยังห้องถัดไป มีอะไรบางอย่างที่ดูน่ากลัวมากๆ เมื่อมีแสงไฟส่องสว่างทั่วห้องเราเห็นร่างของมันได้อย่างชัดเจน มันเป็นสิ่งที่ดูเหมือนกับไข่ไก่ที่ยังพัฒนาไม่พอที่จะเป็นลูกเจี๊ยบ ร่างกายโปร่งใสจนเห็นกระดูกสันหลังและอวัยวะภายใน หัวใจที่เชื่อมกับเส้นเลือดทั่วร่างโปร่งแสงของมันเต้นด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ปีกไร้ขนใสๆที่มีกระดูกแค่สองชิ้นเคลือบด้วยเมือกเหนียวๆสีใสเหมือนกับกาวน้ำงานฝีมือ จริงๆทั้งตัวมันก็ดูเหมือนกับสร้างขึ้นมาด้วยกาวน้ำ หัวใหญ่ๆของมันก็. . เออ . .ไม่ได้ใหญ่เกินไปถ้าเทียบตามมาตรฐานสัตว์แรกเกิด ดูเหมือนกับว่าส่วนของไข่แดงจะไปอยู่ในหัวของมันทั้งหมด ด้านหน้าหัวของมันมีจะงอยปากแหลมคมสีเหลืองซีดจนแทบจะเป็นสีขาว ดวงตาเป็นทรงกลมสีดำสนิททั้งดวงเหมือนกับเม็ดมะขาม เราเห็นสมองของมันแค่ครึ่งเดียวเพราะส่วนที่ขึ้นไปเหนือจากตาของมันครอบไว้ด้วยเปลือกไข่สีเนื้อขนาดพอดีตัว เช่นเดียวกับครึ่งล่างของมันที่ถูกบดบังจนมองไม่เห็นเพราะมันยังนั่งอยู่ในเปลือกไข่ขนาดใหญ่ ร่างของมันมีขนาดใหญ่กว่าไก่ทั่วไปเยอะมาก ถ้ารวมเปลือกไข่ขนาดของมันก็คงพอๆกับตู้เย็นไซส์XXL มันขยับตัวอย่างร่าเริงตามจังหวะของเสียงเพลง เจ้าสิ่งนี้ดูเหมือนกับอสูรกายที่เกิดจากศาสตร์ของเทคโนโลยีชีวภาพและการงานอาชีพ(คหกรรมศาสตร์) นักวิทยาศาสตร์ที่นี่ต้องอัจฉริยะและเพี้ยนหลุดโลกขนาดไหนถึงจะสร้างเจ้า . . . เราไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไรดี เหมือนกับลูกเจี๊ยบยักษ์รวมร่างกับไข่ดิบ เรียกว่าไก่อ่อนก็แล้วกัน
"เอ้ย ไอ้นั่น ไข่ ไก่ ไม่รู้เรียกว่าอะไรดี มันขวางทางออกเราอยู่ ลุยเลยดีมั้ย"ไอ้ชาติถาม เขามองไปที่ไข่ยักษ์นั่นแล้วกำลังนึกถึงอาหารเช้า น้ำลายไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
"เรียกว่าไก่อ่อนก็แล้วกัน มันเป็นไก่ แล้วมันก็เป็นตัวอ่อน แต่ว่าหลังจากล้มมันได้แล้ว เราจะย้ายมันได้ยังไง เรายังต้องเก็บแรงเอาไว้สำหรับห้องถัดไปอีกนะ"หมู่โบกี้มองไปที่ไก่อ่อนตัวมหึมา ทำท่าขยะแขยง กลิ่นคาวน่าจะมาจากมันเป็นส่วนใหญ่ หมู่โบกี้หันไปมองไข่จำนวนมากในห้องนี้ที่กำลังฟักตัว ตอนอยู่ท่ามกลางความมืดห้องนี้น่ากลัวจนแทบฉี่ราด แต่ตอนนี้อธิบายไม่ถูกเลยว่าจะรู้สึกเอ็นดูหรือสมเพชดี สิ่งมีชีวิตพิกลพิการ อยู่ระหว่างไข่และลูกสัตว์ กำลังเต้นไปมาอย่างสนุกสนานเหมือนอยู่ในผับ เสียงเพลงกล่อมเด็กบรรเลงชวนให้รู้สึกครื้นเครงจนต้องออกมาเต้น เหมือนเด็กๆไม่มีผิด
"เราไม่จำเป็นต้องทำร้ายมันหรอก มันยังเป็นเบบี๋อยู่เลย อีกอย่าง มันน่าจะออกมาจากเครื่องฟักไข่ตรงนั้น ถ้าหากมันออกมาอยู่ตรงหน้าประตูได้ แสดงว่ามันต้องเคลื่อนที่ได้"จ่าปลาชี้ไปที่เครื่องฟักไข่อันใหญ่ที่สุดในห้องที่อยู่ตรงกลางห้อง มันเปิดอยู่ มีร่องรอยการกระแทกเต็มไปหมดและมีรอยร้าวที่โดมพลาสติกใสนั้น แต่ไม่แตก มันคงหาทางเปิดเครื่องออกมาข้างนอกได้เอง
"งั้นหมวดคิดว่าเราควรจะ ล่อมันออกมาจากตรงนั้นด้วยวิทยุ แต่ว่าจ่าปลาเขวี้ยงมันไปตรงไหนแล้ว"หมวดเอกหันไปถาม กวาดสายตาไปรอบๆห้อง สังเกตุว่ามีมุมหนึ่งที่ไข่ประหลาดและตัวอ่อนรูปร่างบิดเบี้ยวพวกนั้นไปรวมตัวกัน ตรงนั้นมีตู้ไฟฟ้าอยู่ด้วย
"เออ น่าจะตรงตู้ไฟตรงนั้น"จ่าปลาเกาหัวแล้วชี้ไปตรงมุมเดียวกับที่หมวดเอกมอง ตู้ไฟที่ทาด้วยสีฟ้าตรงขอบโลหะ กระจกข้างหน้าแตกน่าจะเพราะตอนปาวิทยุใส่ เสียงเพลงดังออกมาจากวิทยุตรงข้างใต้ตู้ไฟไฟ้า ค่อนข้างมั่นใจว่ามันต้องอยู่ตรงนั้น
"แล้วเราจะฝ่าฝูงไข่พวกนั้นไปได้ยังไง จ่าไม่อยากแตะอะไรแบบนั้น"จ่าปลาพูด มองไปที่ฝูงไข่หน้าตาชวนขนลุกที่กำลังดีดดิ้นอย่างเมามันส์อยู่ตรงหน้าตู้ไฟ ไม่มีใครรู้ว่าการทดลองประเภทไหนที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่น่าสงสารพวกนี้กลายเป็นสัตว์ประหลาด จะว่าไป เราเองก็มีอยู่คนนึงหนี่หน่า จ่าปลาค่อยๆหันไปทางน้ำอ้อยแล้วยิ้มอย่างทรงเสน่ห์ คนอื่นๆก็ค่อยๆหันไปทางน้ำอ้อย หมู่โบกี้ค่อยๆยิ้มกว้าง หรี่ตาลง และทำหน้าเหมือนกับหมาจิ้งจอก
"เคยได้ยินคำนี้มั้ยน้ำอ้อย ในคาบภาษาไทยหน่ะ หนามยอกเอาหนามบ่ง แล้วถ้าเราเจอสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ซักโขยงกำลังล้อมสิ่งที่เราต้องการอยู่ เราควรจะทำอะไรเอ่ย"หมู่โบกี้พูดพร้อมกับส่งสายตาไปทางเด็กหญิงครึ่งกบตรงหน้า หางของน้ำอ้อยขยับไปมาแสดงอาการหน่าย จริงๆแค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าเธอคงไม่ชอบสภาพอมนุษย์ของตัวเองเท่าไหร่
กร๊อบบบ!!! จ่าปลาเหยียบเท้าหมู่โบกี้ทำหน้าบึ้ง เอานิ้วชี้หน้าโดยไม่แยงเข้าไปรูจมูก ส่งสายตาที่มีความหมายว่า
"มารยาททางสังคมหนะมีบ้าง เคยได้ยินคำว่าเหยียดมั้ย มันไม่ได้มีแค่สีผิวกับฐานะเท่านั้นที่เหยียดได้นะ ไม่ตลกนะ ล้อปมด้อยคนอื่นแบบนี้เนี่ย"
หมู่โบกี้พยักหน้ารัวๆ พอจ่าปลาหันกลับไปหมู่โบกี้ก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ทันที
"เอ๋ ก็คงต้องเอาหนามบ่ง เออ เอาสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ไปแย่งเอาของที่เราต้องการไง"ไอ้ชาติตอบด้วยเสียงเฉื่อยชาอันเป็นที่รู้กันดี ถึงเสียงจะเฉื่อยแต่หน้าก็ตื่นเต้นนะ
"ตึ่ง!!! โป๊ะ!!! ถูกเผง"ตือที่กำลังอุ้มกรอบอยู่พยักหน้า พร้อมกับหลบรองเท้าคอมแบ็ตของจ่าปลาอย่างว่องไวผิดไปจากขนาดตัว จ่ารู้ว่าเล่นงานตัวเล็กๆไปก็ไม่มีประโยชน์เลยเปลี่ยนเป้าหมาย
กร๊อบบบ!!! จ่าปลาเหยียบเท้าชาติแล้วทำหน้าเฉยๆแต่มีสายตาน่ากลัวที่ชาติไม่สามารถรับรู้ได้ เอานิ้วชี้หน้าโดยไม่แยงเข้าไปรูจมูก ส่งสายตาที่มีความหมายว่า
"หยุดตบมุขตลกโง่ๆของหมู่โบกี้นะ"แต่แล้วจ่าปลาก็นึกขึ้นได้ว่าชาติไม่มีความสามารถในการอ่านสายตาคนก็เลยทำหน้าเบื่อๆแล้วเอามือลูบหัวไอ้ชาติ 2-3 ที
"เดี๋ยวหนูไปเอาวิทยุให้ แล้วก็หนูไม่เก่งวิชาภาษาไทยด้วย อีกอย่างพี่ๆจะช่วยหนูคืนร่างเดิมใช่มั้ย หนูไม่อยากเป็นสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ไปนานๆหรอก"น้ำอ้อยพูดเสียงหน่ายแล้วตั้งท่า เธอย่อเท้าลงนั่งท่ากบแล้วกระโจนไปยังตู้ไฟ ร่างเล็กๆของเธอเหินขึ้นไปในอากาศแบบเดียวกับที่กบทำกันเวลากระโดดไกลๆ กระโปรงเปื้อนๆปลิวสไหวแม้ว่าห้องนี้จะไม่มีลมก็ตาม เธอเข้าไปหาเป้าหมายอย่างแม่นยำ
"แอ๊ก!!!"น้ำอ้อยกระโดดพุ่งเอาหน้าไปชนกำแพงอย่างจัง ก่อนที่จะรูดกำแพงลงมานั่งอยู่บนกล่องไฟ เอามือกุมหัวเล็กน้อย แล้วเธอก็หันไปข้างล่าง ใช้ลิ้นกบของเธอตวัดเอาวิทยุสีชมพูขึ้นมาแต่ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น วิทยุทำมาจากพลาสติกที่ค่อนข้างลื่น แถมพวกไข่ดาวปีศาจพวกนี้ยังพยายามจะแย่งวิทยุด้วย เธอจึงพยายามจะพันลิ้นของเธอรอบๆวิทยุ แต่ว่าแขนหลายๆข้างของไข่ดาวปีศาจพยายามยื้อวิทยุเอาไว้ เมือกใสๆของไข่ขาวชุ่มลิ้นกบของเธอ ซึ่งมันไม่ได้อร่อยเลย ไข่ขาวดิบค่อนข้างคาวและมีกลิ่นชวนให้อ้วกมากสำหรับคนที่ไม่ชอบ แม้แต่กบเองยังไม่ชอบ และถ้าหากเธอปล่อยให้วิทยุหลุดไปอยู่ในมือของ . . . ไข่ดาว มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแย่งวิทยุกลับมาแน่ๆ
"อืออออ อา"พวกปีศาจไข่ดาวที่ดูน่าอนาถาเข้ามาช่วยเพื่อนของมันดึงวิทยุ เธอใช้มือใหญ่เกินขนาดของเธอ(เกินมาตรฐานของมนุษย์ไปนิดหน่อย)ดึงลิ้นของเธอกลับมา ตอนนี้เป็นเหมือนกับชักเย่อจูเนียร์ชิงวิทยุ ระหว่างเด็กประถมปลาย 1 คน(ตัว)กับตัวอ่อนของอะไรก็ไม่รู้ 30กว่า ตัว ดึงกันไปกันมา ปรากฎว่าน้ำลายกบเหนียวๆและเมือกไข่ขาวลื่นๆทำให้วิทยุหลุดจากการแย่งขึ้นไปบนอากาศ ถ้ามันตกลงมาพังเราคงย้ายไก่อ่อนร่างยักษ์นั่นออกจากหน้าประตูไม่ได้แน่ๆ
น้ำอ้อยพุ่งเข้าไปคว้าวิทยุอย่างว่องไว ด้วยพลังของขากบ แม่กบน้อยของเราคว้าวิทยุได้กลางอากาศแล้วออกมาจากวงตะลุมบอนแย่งวิทยุได้อย่างง่ายดายยกเว้นว่า
"แอ๊ก!!! อะเกน"ปกติเวลากบกระโดดจะเอาขาหน้าลง แต่ว่าตอนนี้มือ(ขาหน้า)น้ำอ้อยถือวิทยุอยู่ ก็เลยเอาหน้าลงแทน วิทยุยังอยู่ดีและส่งเสียงเพลงลั่นห้อง ฝูงไข่กำลังตามเสียงเพลงที่พวกมันชื่นชอบเหมือนกับแฟนคลับวิ่งไล่ศิลปินดารานักร้อง น้ำอ้อยได้เป็นเซเล็บตั้งแต่10ขวบ โดยมีแฟนคลับเป็นฝูงไข่ไม่สมประกอบที่กำลังดีดดิ้นกับดนตรีกล่อมเด็ก
"ว้าว ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชาตินี้จะมีสิทธิ์ได้เห็นมนุษย์กบกำลังหนีฝูงแฟนคลับที่เป็นกองไข่ดาวแหยะๆอืดๆ วันหลังโตขึ้นไปเป็นดาราได้นะเนี่ย ถ้าหากไม่ได้ก็ไปเป็นมาสคอต องกรณ์ต่อต้านการใช้ปรามณูก็น่าจะรุ่ง"หมู่โบกี้ัพูดตามด้วยเสียงขำเบาๆของพวกลูกไล่ หยิบวิทยุขึ้นมาก่อนที่จะเช็ดกับกางเกงให้หายลื่นและก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปหาไก่อ่อนก่อนที่ฝูงไข่พวกนั้นจะตามทัน ดีที่ตัวอ่อนพวกนั้นมีความสามารถในการเคลื่อนที่ที่แย่มากเนื่องจากการพัฒนาที่ไม่สมบูรณ์ของร่างกาย พวกมันคลานเหมือนหอยทากตัวโต บางตัวมีขาเดินได้ แต่ก็ไม่เร็วเท่าไหร่
"หนูเองก็ไม่เคยคิดว่าหนูจะต้องเจออะไรแบบนี้ แล้วก็ไม่อยากเป็นเซเล็บนิตยาสารวิทยาศาสตร์ด้วย"น้ำอ้อยพูดแล้วค่อยๆลุกขึ้น เอาลิ้นเช็ดกับชุดของเธอ ไข่ขาวที่เป็นเมือกติดหนึบอยู่บนลิ้นยาวๆของเธอทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เธอทำท่าเหมือนอยากจะอ้วก
"เอาหละ ไอ้วิทยุนี่มันปิดยังไง เราต้องยั่วโมโหไอ้ลูกเจี๊ยบโปร่งแสงยักษ์ซักหน่อย"หมู่โบกี้พยายามหาปุ่มที่จะหยุดเสียงเพลงของวิทยุอันนี้ หมู่โบกี้หาไม่เจอว่าปุ่นไหนเป็นปุ่มปิดเปิดเลย หมู่โบกี้เลยใช้วิธีแบบเวรี่อนุรักษ์นิยมตามสไตล์คนหยาบๆ เวลาที่ต้องรับมือกับอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ที่กวนใจ เขาจะ
ป้าบ!!! ป้าบ!!! ป้าบ!!! ป้าบ!!! หมู่โบกี้ตบวิทยุไม่ยั้งด้วยมือแบบเดียวกับที่เขาทำกับทีวีที่บ้าน
"หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้โง่บัดซบ เดี๋ยวก็พังกันพอดี"จ่าปลารีบเข้าไปพยายามจะเซฟวิทยุแต่ว่าเป็นไปตามที่หมู่โบกี้ต้องการ วิทยุหยุดส่งเสียงดนตรีเริ่งร่าชวนให้ออกมาเต้นของมันแล้ว เจ้าไก่ยักษ์ตรงหน้าหยุดชะงัก มันมองมาทางหมู่โบกี้อย่างไม่สบอารมณ์แล้วเริ่มแผดเสียงร้องกรีดแก้วหู มันคงไม่พอใจที่เสียงเพลงหยุดลง หมู่โบกี้เริ่มวิ่งหนีแล้วทำท่าล้อเลียนไก่อ่อน เช่น หันก้นให้แล้วส่ายไปมาแบบเดียวกับที่หลักสูตรการหาเรื่องสากลระบุไว้ เจ้าลูกเจี๊ยบผสมไข่ดาวยักษ์อาละวาดแบบเดียวกับเวลาเด็กไม่ได้ของเล่นแล้วลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้น มันเริ่มขยับ มันยืดตัวขึ้นเผยให้เห็นว่าช่วงล่างและอวัยวะภายในของมันเชื่อมอยู่กับเปลือกไข่ข้างล่าง แถมยังดูเหมือนยังพัฒนาไม่สุดด้วย ไม่แปลกใจที่มันจะลุกไม่ได้ ขาของมันใช้การไม่ได้ มันกระโดดเหยงๆโดยให้ทั้งตัวของมันกระเถิบมาข้างหน้า ซึ่งหมู่โบกี้เร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่เดินเนิบๆช้าๆก็สามารถนำหน้าเจ้าเอ็มบริโอยักษ์นี้ได้อย่างกินขาด แต่ว่าอยู่ๆเจ้าลูกเจี๊ยบมันก็หยุดทั้งๆที่ยังออกมาไม่พ้นจากเขตประตูเลย
"โบกี้ เปิดเพลง"หมวดเอกสั่ง จะให้เสียงเพลงช่วยลากให้เจ้าไก่อ่อนตามมาทางหมู่
"เอออออ มันไม่ยอมเปิดอ่า ติดสิติด ปัดโถ่ว"หมู่โบกี้พยายามตบวิทยุให้มันติดแต่ว่าไม่ได้ผล วิทยุไม่ยอมทำงานเนื่องจากการใช้งานผิดประเภท หมู่โบกี้หน้าซีดเมื่อเห็นเจ้าไก่อ่อนค่อยๆหดตัวลงไปในเปลือกไข่ เปลือกไข่ไก่สีเนื้อที่ทำมาจากแคลเซียมทั้งด้านบนและด้านล่างกำลังจะประกบเข้าหากัน ให้เดานะ มันคงกำลังจะเข้านอน โดยที่ยังไม่ออกมาจากหน้าประตูด้วยซ้ำ
"อ้อออ ถ้าวิทยุไม่ทำงาน ทำไมเราไม่ร้องเพลงแทนหละ จ่าปลาร้องเก่งออก"ไอ้ชาติเสนอแล้วทำท่าดีใจ
"พูดจริงดิ เพลงเด็กเนี่ยนะ เอาเหอะ เดี๋ยวจ่าร้องก็แล้วกัน"จ่าปลาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้ววิ่งไปข้างหน้าเจ้าไก่อ่อน ก่อนจะเริ่มร้องเพลงแบบเดียวกับที่ทำตอนอยู่ข้างบ่อกบ
"แพงเว่อร์ มองเก้อ แพงเว่อร์ มองเก้อ
ดอแม่หนู ดอแม่หนู
สอนเลขให้หมากินหญ้า สอนเลขให้หมากินหญ้า
ลิงคิงคอง ลิงคิงคอง (ทำนอง : fre're jacque หรืออีกชื่อ เมาคลีล่าสัตว์)"จ่าปลาผู้ไม่ค่อยเก่งภาษาฝรั่งเศสเท่าไหร่พยายามจะร้องเพลงยอดฮิตติดตลาดโลกเพลงนี้ เพียงแต่ว่า จ่าลืมไป เพลงนี้ออกแบบมาเพื่อกล่อมให้เด็กนอนแบบของจริง ผสานกับเสียงนุ่มๆที่ถูกฝึกมาเพื่อกล่อมคนไข้ให้นอนของจ่าปลา ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรมตรงหน้าเลย
"จ่าาาาาา มันหลับสนิทเลยจ่าาาาา"ไอ้ตือร้อง มองที่เจ้าเอ็มบริโอไก่หดหัวกลับไปนอนอยู่ภายใต้เปลือกไข่ของมันอย่างสงบสุข เหมือนเด็กเบบี๋เลย โดยที่ยังไม่ได้ย้ายก้นออกจากหน้าประตูเลยยยยยยย
"สงสัยต้องเปลี่ยนเพลง"จ่าปลามองที่ไข่แตกๆฟองใหญ่ยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า มันเคยเป็นสิ่งที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวปนอนาถา บัดนี้เป็นสิ่งที่ดูน่าเอ็นดูแทน แต่จะโทษมันเรื่องรูปร่างอันวิปริตผิดธรรมชาติของมันก็ไม่ถูก ไม่มีใครอยากกลายเป็นแบบมันหรอก มันก็คงอยากเป็นลูกเจี๊ยบน่ารักๆขนฟูฟ่องสีเหลืองน่ากอดที่มีแม่คอยดูแล ไม่ใช้อสูรกายโปร่งแสงเห็นเครื่องในรูปร่างชวนอ้วกในนรกแห่งเทคโนโลยีนี้หรอก น้ำอ้อยก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน
"เดี๋ยวหมู่โบกี้คนนี้จัดเอง ไอ้เพลงพระโดดเวรตีระฆังจ่าไปกล่อมเด็กกับคนแก่เหมือนเดิมเหอะ เรื่องการปลุกพวกขี้เซาเนี่ย ของชอบ"หมู่โบกี้ดีดนิ้ว มองไปยังไข่ใบโตเบื้องหน้า ทำท่าเหมือนเจ้าพ่อมาเฟีย คนอื่นๆรีบเข้ามายืนสแตนด์บายข้างหลังหมู่ ยกเว้นไอ้ตือที่กำลังอุ้มไอ้กรอบมือนึงแล้วลูกหลังน้ำอ้อยที่กำลังอ้วกแตกอ้วกแตนอยู่เนื่องจากไข่ขาวทำพิษ
"พร้อมนะ เพลง แขกสิบคน"หมู่โบกี้ให้สัญญาณ
3
"มันมีเพลงแขกสิบคนด้วยเหรอไม่เคยได้ยิน"เนยถาม ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก
2
"มีสิ แต่ของหมู่เป็นเวอร์ชั่นแปลแล้ว"
1
.
.
.
"ด้าดาดาดาดา
หนึ่งแล้วก็สองแล้วก็สามคนที่อินเดีย
สี่แล้วก็ห้าแล้วก็หกคนที่อินเดีย
เจ็ดแล้วก็แปดแล้วก็เก้าคนที่อินเดีย
สิบคนกินโรตีอินเดียยยยยยย
สิบแล้วก็เก้าแล้วก็แปดคนที่อินเดีย
เจ็ดแล้วก็หกแล้วก็ห้าคนที่อินเดีย
สี่แล้วก็สามแล้วก็สองคนที่อินเดีย
หนึ่งคนกินโรตี มาตาบะ เฮ้!!!!!(ทำนองเพลง : ten little Indian boys)"ทุกคนร้องประสานเสียงกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า มันคนละอินเดียยยยย แต่ได้ผล เจ้าไก่อ่อนตื่นแล้วแล้วท่าทางอยากฟังเพลงอีก
"ทุกคน ถอยไปไกลๆ เวลาเราร้องไก่มันจะได้ไม่ค่อยได้ยิน มันก็จะขยับตามมาเอง"หมวดเอกสั่งแล้ววงนักร้องก็ขยับไปไกลกว่าเดิม พยายามจะร้องเพลงล่อให้เจ้าไก่ตัวใสขนาดมหึมานี้ตามมา หลักสูตรนี้เป็นที่รู้กันในหมู่โจรลักพาตัวเด็กส่วนมากจะใช้ขนมหรือเงินล่อแทน และมันใช้ได้ผลในกรณีนี้ด้วย ไก่อ่อนร่างยักษ์ค่อยๆกระเถิบตามไปอย่างช้าๆ พื้นเป็นรอยขูดด้วยน้ำหนักที่มากกว่าที่ดูเหมือนของมัน ร่างใหญ่ๆโปร่งใสไร้ขนที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกไข่บางส่วนค่อยๆขยับไปทางเหล่านักดนตรีอย่างช้าๆ เปิดโอกาสให้จ่าปลาเข้าไปกดเปิดประตูกลโลหะหลังจากที่เจ้าไก่อ่อนขยับออกไปแล้ว หลังจากที่จิ้มปุ่มสีแดงอันใหญ่ที่เขียนว่าเปิด มันไม่เป็นไปตามที่เขียนไว้เท่าไหร่
"มันไม่ยอมเปิดดดดด เอาไงดี"จ่าปลาหันมาทำหน้าแหยๆแทบจะในทันที เมื่อหันไปดูดีๆเห็นว่ามีปุ่มสีเหลืองทองอีกปุ่มอยู่ข้างๆประตู มีรูปลำโพงอยู่ตรงปุ่มซึ่งจ่าปลาก็รู้แทบจะในทันทีว่านี่หมายความว่ายังไง จ่ากดปุ่มสีเหลืองทันทีแล้วตะโกน
"ด็อกเตอร์ คุณด็อกเตอร์ ได้ยินหรือปล่าวค้าาา ได้ยินแล้วตอบหน่อยค่าาา"จ่าปลาตะโกนสุดเสียง ต้องการคำแนะนำในช่วงที่แย่ที่สุดอย่างเช่นประตูเปิดไม่ออก
"ซ่าาาา ซ่าา ซ่าา ฮัลโหล คุณเจ้าหน้าที่ใช่มั้ย"เสียงแหบๆดังออกมาจากลำโพงที่อยู่เหนือประตูโลหะสีน้ำเงินตั้งตระหง่านคงทนแข็งแรง เสียงฟังดูแตกต่างจากตอนที่อยู่ข้างนอกน่าจะเป็นเพราะคุณภาพลำโพงไม่ก็เกิดความเสียหายขึ้น
"ใช่แล้ว เราจะเปิดประตูนี้ยังไง ด็อกเตอร์"จ่าปลากำลังคุยตอบโต้กับเสียงในลำโพง มันฟังดูแหบแห้งและเหมือนกับมีไฟฟ้าช็อตอยู่ข้างใน เหมือนกับว่าลำโพงนี้โดนกระแทกด้วยพลังอะไรซักอย่างที่ทำให้มันจวนเจียนจะพังอยุ่แล้ว
"คุณ ผมไปเช็คระบบไฟฟ้าแล้วนะ ระบบพลังงานของที่นี่เกิดปัญหา ไฟฟ้าไม่พอที่จะเปิดประตูและแสงไฟของห้องนี้พร้อมๆกัน คุณเจ้าหน้าที่ต้องปิดระบบไฟส่องสว่างในห้องอนุบาลไข่ถึงจะเปิดประตูได้ ย้ำ ปิดระบบไฟส่องสว่าง ที่ตู้ไฟแล้วค่อยเปิดประตู"เสียงของด็อกเตอร์สั่นเครือ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้จ่าปลาต้องอึ้งทึ่งกันเลยทีเดียว ห้องแล็บไฮเท็คกลางป่าอยู่ๆก็มีกลไกตลกๆอย่างปิดไฟถึงจะเป็ดประตูได้ นี่มันห้องน้ำโรงเรียนชัดๆ
"เริศค่ะ วิศวกรที่ออกแบบห้องแล็บนี้ดันเป็นพวกLOSERตัวพ่อ แรงงานก่อสร้างก็ชุ่ย แถมคนที่ทำงานที่นี่มีแต่พวกเพี้ยนกู่ไม่กลับวันๆเอาแต่สร้างปีศาจชีวภาพ เจริญหละชีวิต"จ่าปลาคิดในใจ ทำหน้าเบ้เหมือนเด็กกินผัก ค่อยๆยกมือขึ้นกุมขมับ หันไปมองทางตู้ไฟที่เต็มไปด้วยฝูงไข่ดาวสุดสยองกำลังดีดดิ้นตามจังหวะเพลง แล้วหันไปทางน้ำอ้อยที่กำลังขย้อนมือเช้า(ที่โจรกรรมมา)อยู่ข้างๆเครื่องฟักไข่โดยมีไอ้ตือเป็นพี่เลี้ยง หันไปมองอีกทีก็เห็นวงนักร้องประสานเสียง เดอะ เลม่อนพิก กำลังล่อไอ้ก้อนอวัยวะใสๆที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ด้วยบทเพลง
สรุป จ่าคงต้องออกแรงหน่อยแล้ว ถ้าไข่มันไม่กินเราก็น่าจะไหว นะ
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:50:14 GMT
23.horror in your mind : หลอนอยู่ในหัว
หลังจากที่ได้รับคำตอบอันชวนเก๊กซิม จ่าปลาก็หันไปดูพลพรรคที่กำลังทำหน้าที่เป็นตัวตลกเล่นละครหลอกเด็ก(หรือจะเรียกว่าปีศาจไข่กลายพันธุ์มฤตยูก็ได้) ท่าเต้นไปร้องไปของหมู่โบกี้ หมวดเอก และคนอื่นๆ แม้แต่นักข่าวทั้งสองยังเต้นด้วย ไม่ใช่แค่เต้นนะ เนยกับสมบัติยังตั้งกล้องโหมดถ่ายอัตโนมัติตอนที่ตัวเองกับคนอื่นๆกำลังเต้นแร้งเต้นกาประดุจเด็กแว้นโดนไฟคลอก เชื่อเถอะ เหมือนกับว่าพวกนั้นกระดกเหล้าไปเป็นเหยือกแล้วต่อด้วยดมทินเนอร์ ท่าเต้นเลยเหมือนงูหลามรัดกวางดาว ไม่ก็ปลากระโทงขาดน้ำ แถมน้ำเสียงของแต่ละคนขึ้นๆลงๆไม่มีความโปรเฟสชันแนลเลยแม้แต่น้อย(ก็ว่าไม่ได้ พวกนี้ไม่ใช่นักร้อง) กล้าถ่ายเข้าไปได้ไงเนี่ย แถมไอ้ฟองดูดันเข้าไปเต้นด้วยอีกต่างหาก เหมือนกับว่าห้องอนุบาลไข่สุดสยองชวนขนลุกซู่ตอนขาเข้าจะแปรสภาพกลายเป็นลานสันทนการไม่ก็ห้องเลี้ยงดูเด็กเล็กไปซะแล้ว ไอ้ตือก็ไม่ว่างเพราะไปทำหน้าที่แบกคนบาดเจ็บอย่างไอ้กรอบ กรอบเองก็โดนหิ้วเป็นกระสอบปุ๋ยเพราะโดนกระถางต้นไม้โปรเจ็กไทล์ปลิวใส่หัวเต็มๆเลยน็อกเอาท์ชั่วคราว(หวังว่านะ) ส่วนน้ำอ้อยที่น่าจะมีประโยชน์ในการเข้าถึงตู้ไฟเองก็ เออ ยังอ้วกทะลักปานท่อประปาแตกไม่เสร็จ ไม่ต้องอธิบายมาก ภารกิจตอนนี้คือต้องไปปิดไฟที่ตู้ไฟฟ้า แล้วกลับมาเปิดประตู แล้วออกไปจากห้องนี้ แค่นี้เอง มันคงจะง่ายกว่านี้มากถ้าหากไม่ต้องแหวกฝูงไข่ดาวน้ำโลกันต์หน้าตาชวนให้เป็นลมแถมเหม็นคาวระดับแผงปลา ที่กำลังล้อมตู้ไฟฟ้าอย่างแน่นหนา
"โอเค ไปปิดไฟแล้วกลับมา แล้วจะกลับมาตรงนี้ถูกมั้ยนี่"จ่าปลาพูดกับตัวเอง เธอเริ่มคิดแล้วก็ได้ไอเดีย เธอรีบก้าวไปหาไอ้ตืออย่างรีบร้อน เจ้าหน้าที่ไร้ยศตัวอ้วนฉุที่กำลังลูบหลังของน้ำอ้อยอย่างช้าๆ แบบเดียวกับที่ทำให้เพื่อนๆที่กำลังเมาจัด
"ไม่ต้องรีบ ไข่ขาวดิบมันกินแล้วอ้วก รู้หน่า ใจเย็นๆ"ไอ้ตือกำลังช่วยให้น้ำอ้อยที่กำลังคลื่นไส้สุดขีดอ้วกให้หมด ตามหลักสูตรอาหารเป็นพิษ
"โอยยยย ยยย"น้ำอ้อยที่กำลังเกาะเครื่องฟักไข่แล้วอ้วกลงบนพื้นร้องครวญคราง เธอสามารถกินอาหารได้มากขึ้นหลักจากการเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ เวลาอ้วกก็เลยทรมารกว่าปกติ แถมนานกว่าปกติด้วย ดูจากสภาพคงต้องใช้เวลาซักพักถึงจะให้น้ำอ้อยกลับไปใช้งานได้อีก แล้วเราก็มีเวลาเหลือไม่เยอะแล้วด้วย
"นี่ ขอไฟฉายไอ้กรอบหน่อยสิ"จ่าปลาสั่ง ทำหน้าเหมือนกับว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่ ไอ้ตือทำหน้าหน่ายจัดสไตล์เดียวกับที่กอล์ฟชอบเก็กหน้าแบบนั้นเพื่อให้ตัวเองดูเจ๋ง แต่คราวนี้ ตือหน่ายจริงๆโดยไม่ต้องแสดงละครตบตาเลย การดูแลคนป่วยกับเด็กมันเป็นหน้าที่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย จ่าปลาน่าจะเป็นคนจัดการพวกนี้เพราะเคยเป็นพยาบาลไม่ใช่เหรอ แต่ถึงจะเบื่อจัด ตือก็หยิบไฟฉายจากเข็มขัดของกรอบยื่นให้อยู่ดี
"นี่จ่า จ่าวางแผนจะทำอะไรหน่ะ"ไอ้ตือถาม
"เอางี้ เมื่อกี๊ด็อกเตอร์บอกมาว่า หากจะเปิดประตูต้องปิดไฟในห้องนี้ก่อนเพราะอะไรก็ไม่รู้ จ่าจะเปิดไฟตั้งไว้ไว้ตรงประตู แล้วจะใช้ไฟฉายของจ่านำทางกลับมาตอนที่จัดการปิดไฟเสร็จแล้ว แต่ว่าจ่าจะผ่านฝูง ไข่ หรืออะไรพวกนั้นไปยังไงดีเนี่ย"จ่าปลาอธิบายแผนการให้ไอ้ตือฟัง ตือก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว
"นึกออกแล้ว จ่าร้องเพลงเพราะหนี่หน่า จ่าก็ร้องเพลงล่อให้พวกไข่มันไปก่อน แล้วผมไปปิดไฟเอง"ไอ้ตือออกความเห็น
"ขอบใจนะ จริงๆจ่าเองก็ภูมิใจเรื่องเสียงจ่าเหมือนกัน จ่าเคยฝันว่าจะเป็นนักร้องแล้วตอนที่เข้ามาเป็นหน่วยพยาบาลจ่าเองก็ฝึกร้องเพลงกล่อมคนไข้จะได้ไม่เรื่องเยอะ สกิลการร้องก็เลยเหนือกว่าพวกที่เห่าหอนโหยหวนรัญจวนใจอยู่ตรงนั้น แต่ว่าร้องทีไร พวกมันหลับกันหมดเลย เอายังไงดี"จ่าปลาบอก หันไปดูวงนักร้องมือก่อนสมัรคเล่น เดอะ เลม่อนพิก กำลังร้องโวยวายหรือร้องเพลงก็ไม่รู้อยู่ตรงหน้าไก่อ่อนที่กำลังขยับตัวตามจังหวะแปลกๆของพวกนั้น
"เรือใบ ตึ้งๆ ในทะเล ตึ้งๆ จระเข้ ตึ้งๆ หญ้ายใหญ่ ตึ่งๆ
แม่มด ตึ้งๆ ตกกระได ตึ้งๆ ร้องไห้ ตึ้งๆ ขี้มูกโป่ง ตึ้งๆ
ฉันทำไม่รู้ไม่ชี้ ฉันแอบดูแม่ชีอาบน้ำ
เจ้าอาวาสจะว่ายังไง ผมวิ่งไววิ่งก่อนแล้วเด้ออออ
ยานยิงเยา ปั๊กกะ เป่า ยิ้ง ฉุบ ฉุบ ฉุบ ฉุบ ฉุบ เฮ้!!!!!!!"พวกคณะตลกกำลังร้องเพลงเด็กที่ไม่เหมาะกับเด็กให้ไก่อ่อนฟังแล้วมันก็สนใจด้วยสิ แต่ท่าเต้นของพวกนี้มันชวนให้รู้สึกขัดหูขัดตาซะจริงๆ ไร้รสนิยมสุดๆ เหมือนกับใครบางคนโดนหัวแร้งเชื่อมดีบุกยัดก้นแล้วดิ้นพราดๆ ยังไม่รวมถึงมันดันถ่ายเพลงที่มีนัยพาดพิงศาสนาและศิลธรรมออกสื่ออีกนะ ไม่ไหวจะเคลียร์
"ผมร้องเอง จ่าคอยจัดการสวิตช์ไฟก็แล้วกัน ผมเองก็ไม่ใช่นักร้องมืออาชีพอะไรหรอก แต่ผมร้องเพลงได้หลายแนว แล้วก็ไม่เหยียดท่าเต้นหรือดนตรีของคนอื่นด้วย"
"อะเฮื้ออออ!!!"คำนี้โผ่ลขึ้นมาในหัวจ่าทันทีแถมจ่าทำหน้าช็อกสุดขีดด้วย ทั้งๆที่จ่าเป็นคนที่ต่อต้านการล้อเลียนเหยียดหยามแต่ดันเผลอไปเป็นอย่างนั้นซะเอง ถ้าไอ้ตือไม่เตือนสติก็คงจะไม่รู้ตัวสินะ นี่แหละข้อดีของการมีคนปรึกษา เวลาเพลินจะได้ไม่เหลิง จ่าปลาสะบัดหัวไปมาก่อนที่จะยิ้มน้อยๆแล้วมองหน้าตือ
"ขอบใจที่เตือนสติจ่านะ แหม เผลอไปหน่อย ว่าแต่เขาอีเหนาเป็นเองเลย แหะ แหะ แหะ แล้วเอาเป็วว่าตือไปร้องเพลงล่อพวกไข่ดาวตรงนั้นละกัน จ่าจะไปแสตนด์บายรออยู่ไกล้ๆ"จ่าปลาบอกแล้วค่อยๆเดินไปรออยู่หลังเครื่องฟักไข่ไกล้ๆ ก่อนจะไปแสตนด์บายจ่าเปิดไฟฉายของกรอบแล้วคว่ำไว้เหนือโดมพลาสติกใสของเครื่องฟักไข่ที่อยู่ใกล้กับประตูโลหะสีน้ำเงินโคบอลต์ที่สุด ทำให้ดูเหมือนกับโคมไฟอันใหญ่อยู่หน้าประตู ตอนนี้จ่าปลาเดินไปหาฝูงไข่ดาวที่กำลังมองวงดนตรีผีเข้าผีออกตรงนั้นอยู่ ไอ้ตือก็เข้ามาร้องเพลงล่อพวกไข่ตามแผน ท่าเต้นและเสียงร้องของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นๆที่เหลือเลย
"ลิง ลิง ลิง เอ้ยยยย ลิ๊ง ลิง ลิง ลิ่ง ลิงชอบกินกล้วย ลิงชอบร้องไห้ ลิงนอย ลิงน้อย เพรชพลอยจินดา ลิงนั้นแสนน่าร้ากกกก ย๊าก ย๊าก เย้!!!"ประเดิมเพลงแรกจ่าปลาก็หางตากระตุกเหมือนโดนไฟช็อต ได้แต่ท่องในใจว่าไม่เหยียด ไม่เหยียด แม้ว่าท่าเต้นไอ้ตือจะดูเหมือนลิงน้ำหนักเกินจริงๆก็ตาม แต่ว่ามันได้ผลในการล่อให้พวกไข่ดาวหน้าตาชวนสยองพวกนี้คล้อยตามแล้วขยับไปหาไอ้ตือแทน พวกมันชอบเพลงที่รื่นเริงเหมือนเพลงเปิดการ์ตูนเด็ก ไม่ก็เพลงกีฬาสี พวกสิ่งมีชีวิตที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่พวกนี้ร้องครวญครางเหมือนซอมบี้และเคลื่อนที่เหมือนผีกองกอยเป็นโปลีโอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม พวกมันมีความสุขกับดนตรีดิ้นๆเห็นได้จากท่าทางสนุกสนานและรอยยิ้มกว้างบนหน้าของพวกมัน นั่นแหละที่สำคัญ เพราะหากพวกมันมีความสุข ทุกอย่างก็น่าจะราบรื่นไร้อุปสรรค หลายๆกรณี เราสามารถผ่านสิ่งกีดขวางและอุปสรรคไปได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง และนั่นเป็นสิ่งที่ดี ทุกคนแฮ๊ปปี้ ไม่ต้องสู้รบ ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องสูญเสีย ดีจะตายไป
"ม้ามีสี่ขาาา ช้างมีสี่ขาาา คนก็มีสี่ขาาาา"เสียงดนตรีทำลายสติสัมปัญชัญญะของไอ้ตือทำให้จ่าปลารู้สึกรำคาญหูขึ้นทุกที แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาห่วงเรื่องมลภาวะทางเสียง ไข่ดาวน้ำกลายพันธุ์ส่วนใหญ่ลากสังขารบิดเบี้ยวพิกลพิการออกไปจากตู้ไฟแล้ว จ่าปลาเข้าไปเปิดฝาตู้ไฟฟ้าที่มีกระจกแตก(จากตอนที่เขวี้ยงวิทยุใส่แล้วบังเอิญไฟเปิด)แล้วมองดูสวิตช์สีดำที่มีตัวอักษรสีขาวเขียนกำกับอยู่ข้างๆจำนวนมากเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ ไม่นานนักจ่าปลาก็เจอสวิตช์ที่มีรอยกระแทกจนเบี้ยวอยู่และมันเขียนว่า ระบบไฟส่องสว่าง
"เฮ้ยทุกคน เตรียมไฟฉายของแต่ละคนให้พร้อม จ่าจะปิดไฟแล้ว แล้วไปที่ตรงหน้าประตูเลยนะ"จ่าปลาตะโกนสุดเสียง แต่ว่าพวกของหมู่โบกี้และหมวดเอกอยู่ไกลเกินไปแถมกำลังร้องเพลงชุดใหญ่อยู่ด้วยเลยได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ ได้ยินแค่ว่าให้เตรียมไฟฉายให้พร้อมเฉยๆ
"เอาหละน้าาาา ปิดไฟ!!!!!"จ่าปลาตะโกนแล้วสับสวิตช์ แสงสว่างและเสียงเครื่องจักรทั้งหมดในห้องอนุบาลไข่หายไปในทันที ไฟปิด เครื่องฟักไข่หยุดทำงาน ตามด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนชวนให้เลือดจับตัวเป็นก้อน เดาว่าเจ้าไก่โปร่งแสงกับปีศาจไข่ดาวคงจะตกใจที่อยู่ๆแสงสว่างดับลง จ่าปลาฉายไฟฉายไปตรงโคมไฟที่เกิดจากไฟฉายและโดมฟักไข่เพื่อเป็นสัญญานให้ทุกคนไปตรงนั้น ไม่นานนักคนอื่นๆก็เข้าใจว่าให้ทำอะไร หมวดเอกสั่งให้คนอื่นๆที่กำลังยืนเอ๋อให้ไปที่โคมไฟ(คล้ายๆโคมไฟ) ตือเองก็รีบตรงไปที่โคมไฟตรงนั้น
"อืออออ อาาาาา"เสียงชวนหลอนดังขึ้นมาในความมืดที่วุ่นวาย ร่างโปร่งแสงจำนวนมากกำลังสะบัดตัวไปมาและฟาดงวงฟาดงา มันคงกำลังตื่นตระหนกตกใจมากที่อยู่ๆไฟดับแล้วเสียงดนตรีสุดโปรดหายไป พวกมันสะบัดแขนขาและอะไรก็ไม่รู้ไปมาชนข้าวของล้มระเนระนาด เสียงครวญครางเหมือนมนุษย์เงินเดือนในเช้าวันจันทร์ เสียงกรีดร้องเฉกเช่นสก๊อยรถล้ม เสียงเหมือนมีเสลดในลำคอต่างดังระงมขึ้นอย่างมั่วซั่วไปหมด บรรยากาศกลับมาชวนให้ขนลุกอีกครั้ง หมวดเอกกับพรรคพวกพยายามจะข้ามห้องมาทางแสงไฟแต่ว่าเครื่องฟักไข่ที่ล้มรเนระนาดและฝูงเอ็มบริโออาละวาดขวางอยู่
"จ่าปลา ทำอะไรซักอย่างสิ เราข้ามไปไม่ได้"หมู่โบกี้ร้อง จ่าปลาที่กำลังฝ่ากองเครื่องฟักไข่ผ่านความมืดไป ก็ไปถึงตรงหน้าประตูแล้วก็กดเปิดปุ่ม แต่ว่าด้วยความรีบร้อน จ่าเผลอไปชนเครื่องฟักไข่ที่จ่าวางไฟฉายของกรอบไว้ข้างบนเข้า ทำให้ไฟฉายอันทำหน้าที่เป็นโคมไฟร่วงลงบนพื้น ตามด้วยเสียงแก้วแตกแล้วแสงไฟก็ดับลง ไม่มีแสงจากโคมไฟแล้ว ทุกคนต่างสับสนในทิศทาง
"เอาไงดี"จ่ารีบมองไปมาระหว่างที่ประตูกลบานใหญ่สีน้ำเงินค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นประกายไฟช็อตที่อยู่ในห้องถัดไป มีไฟไหม้เป็นหย่อมๆ แต่ไม่รุนแรง เหมือนกองไฟเล็กๆ จำนวนหลายๆกองที่เกิดจากประกายไฟช็อตในห้องถัดไป มีควันไฟลอยออกมาเล็กน้อย
"จ่าาา ร้องเพลงสิ ใช้เสียงกล่อมหลับของจ่าเล่นงานไข่ดาวเลย"ไอ้ตือร้อง เขาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาที่ประตู เขาแกว่งมือฉายไฟไปที่ประตูแสดงให้คนอื่นเห็นว่าให้มาทางนี้ ซึ่งหมู่หมูมะนาวส่วนใหญ่ก็เข้าใจ จ่าปลาสูดหายใจเฮื้อกใหญ่ก่อนที่จะร้องเพลงกล่อมนอนอีกครั้ง ได้แต่หวังว่าพรรคพวกคนอื่นๆจะไม่คล้อยหลับไปด้วย
"ชู่ววว หลับ เถอะเด็กน้อย ไม่ต้องพูดอะไร
หม่าม้าจะซื้อนกไขลานมาให้
แต่ถ้านกนั้นมันไม่ยอมร้องเพลง
หม่าม้าจะซื้อแหวนเพชรให้เอง
แต่ถ้าแหวนเพรชนั้นมันไม่แวววาว
หม่าม้าจะซื้อกระจกใสส่องดาว
แต่ถ้ากระจกร่วงหล่นแตกกระจาย
หม่าม้าก็จะซื้อรถเกวียนเทียมควาย
แต่ถ้าเกวียนนั้นมันล้มคะมำคว้าลง
หม่าม้าหมดเงินก็คงต้องยอมปลง(ทำนองเพลง : hush little baby)"
ทันทีที่ร้องจบเพลงกล่อมหลับระดับสะกดประสาทที่แม้แต่จ่าปลาเองยังเคลิ้ม สัตว์ประหลาดไข่ดาวหรืออะไรก็ตามทุกตัวในห้องต่างล้มตัวลงนอนอย่างสงบ ไม่เพียงแค่นั้น พวกหมวดเอกกับคนอื่นๆกำลังล้มลุกคลุกคลานตะกายผ่านอุปสรรค์มาทางนี้ด้วย ทุกอย่างเป็นใจ แม้แต่เจ้าไก่อ่อนตัวยักษ์ยังหดตัวกลับเข้าไปนอนอยู่ในไข่ใบใหญ่ของมันที่เกิดจากการประกบของเปลือกด้านบนหัวและด้านล่างของมัน ร่างบิดเบี้ยวผิดปกติและโปร่งใสของสารพัดสัตว์ประหลาดหยุดนิ่ง เสียงครวญครางกรีดร้องถูกแทนด้วยเสียงหายใจอันแผ่วเบา หมวดเอกและคนอื่นๆมาถึงจุดที่อยู่หน้าประตูแล้ว
"โอเค เราไปห้องถัดไปกันเลยดีกว่า"หมู่โบกี้บอกแล้วเดินผ่านเข้าไปในประตู แต่ว่าหมวดเอกดึงคอเสื้อหมู่เอาไว้ได้ก่อน
"ตือ ไอ้กรอบกับน้ำอ้อยอยู่ไหน"หมวดเอกหันไปถามทำหน้าตาค่อนข้างไม่พอใจ ไอ้ตือพอได้ยินปุ๊บก็ทำตาโต รีบวิ่งไปหาทั้งคู่ทันที แล้วก็ตามคาด น้ำอ้อยหลับปุ๋ยเพราะพลังเพลงกล่อมหลับของจ่าปลาจะได้ผลเป็นพิเศษกับเด็ก ส่วนไอ้กรอบเองก็หลับตั้งแต่โดนกระถางเหินหาว ตือใช้มือทั้งสองข้างรวบเอวทั้งคู่ยกขึ้นแล้วเดินมาเหมือนกับแบกแกลลอนน้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมตือถึงเป็นคนที่กินเก่งที่สุดในหมู่
"เอาหละ เราไปกันได้หรือยัง"หมู่โบกี้หันไปทางห้องถัดไป ประกายไฟสีส้มกระจายไปทั่ว ผนังด้านบนร่วงลงมากองอยู่บนพื้น เผยให้เห็นสายไฟพังๆและระบบฟฟ้าที่ดูเหมือนจะได้รับความเสียหาย รอบข้างมีต้นไม้พุ่มเล็กๆและตัวอย่างพืชติดไฟอยู่หลายต้น มีแม้กระทั่งเห็ดราไม่ทราบชนิดสีเหลืองซีดอยู่จำนวนหนึ่ง ดูไม่เหมือนกับที่เราเจอที่ป่าเห็ด แต่ไม่ว่ายังไงควันที่เกิดจากต้นไม้ติดไฟพวกนี้ทำให้หมู่เรารู้สึกเวียนหัว
"ไปกันเถอะ ประตูถัดไปมันเปิดรอเราอยู่แล้ว"หมวดเอกส่องไฟเข้าไป เผยให้เห็นว่าห้องนี้มีขนาดเล็กนิดเดียว เดินไปไม่เกิน10ก้าวน่าจะถึงอีกฝั่ง แถมประตูโลหะมั่งคงแข็งแรงที่กั้นระหว่างห้องนี้กับห้องถัดไปมีร่องรอยถูกแรงมหาศาลอัดใส่จนพับเข้ามาข้างในห้องนี้ ประตูพังแล้ว เราสามารถเดินผ่านรูเบอเริ่มออกไปจากในห้องนี้ไปยังห้องถัดไปได้ แต่เราไม่รู้ว่าในห้องถัดไปนั้นมีอะไรรอเราอยู่หรือเปล่า ถ้าหากห้องนี้มีรูอยู่ มีความเป็นไปได้ว่าในอาคารแห่งความวิปริตแห่งนี้ อาจจะมีตัวอะไรที่แข็งแรงมากพอที่จะพังประตูโลหะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ ซึ่งถ้าหากมีอะไรที่เจ๋งเป้งได้ขนาดนั้นเราคงไม่อยากเจอมันหรอก
หมวดเอกให้แก๊งค์แนวหน้าเดินนำหน้าเผื่อว่าในห้องน้อยๆนี้จะมีตัวอะไรโผ่ลออกมาขย้ำเราเล่น ห้องนี้น่าจะเป็นห้องทดลองยากับสัตว์ทดลองหรืออะไรเทือกนั้น สังเกตุว่าพืชส่วนใหญ่ในห้องนี้เป็นอะไรที่ส่งผลต่อระบบประสาทแถมในห้องนี้มีกรงที่ใส่หนูหรือกระต่ายอยู่จำนวนหนึ่ง เท่าที่ดู พวกมันตายกันหมดแล้วเนื่องจากขาดน้ำและอาหาร ในห้องแล็บร้างอย่างนี้ นอกจากด็อกเตอร์ที่น่าจะออกมาไม่ได้ คงไม่มีคนคอยให้อาหารหนูทดลองพวกนี้ หนูหลายๆตัวเองก็ไม่ได้มีสภาพที่ปกตินัก บางตัวมีหัวใหญ่ผิดรูป บางตัวมีหางหลายหาง บางตัวมีหูออกมากลางหลัง สภาพของพวกมันทำให้หมวดเอกนึกถึงมากมายที่มีหัวโผ่ลออกมาในที่ๆไม่ควรโผ่ล หนูพวกนี้คงพยายามหนีออกมาจากกรงสุดฤทธิ์ดูได้จากร่องรอบบาดแผลและรอยกัดแทะตรงซี่ลูกกรง เพียงแต่กรงพวกนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการหลบหนีอยู่แล้ว ความพยายามของหนูทดลองเลยสูญเปล่า ควันจางๆอันเกิดจากการเผาไหม้ของต้นไม้ที่มีรูปใบอันคุ้นตา หนึ่งในพืชต้องห้าม กัญชา และพืชรูปร่างแปลกตาอีกหลายชนิดลอยตลบอบอวลอยู่ในห้องเล็กๆนี้ ถาดใส่ตัวอย่างพืชมีภาษาวิทยาศาสตร์ที่หมวดเอกกับคนอื่นๆไม่เข้าใจเขียนอยู่ เดาว่าคงไม่ได้มีความหมายที่ดีแน่เมื่อดูสิ่งที่อยู่บนถาดตัวอย่าง เห็ดราและพืชชนิดต่างๆที่ดูไม่คุ้นตาช่างทำให้รู้สึกสงสัยว่าอะไรอยู่เบื้องหลังการทดลองเหล่านี้กันแน่ ห้องนี้มีข้าวของกระจัดกระจายน่าจะเกิดพร้อมๆกันกับเพดานที่พังลงมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับห้องนี้กันแน่
เมื่อเหล่าแนวหน้าเดินเข้าไปถึงประตูโลหะบุบบู้บี้ที่ถูกทำลาย พวกเขาก็เห็นสิ่งที่อยู่หลังประตูนั้น ห้องที่ดูเหมือนห้องนั่งเล่น มีเก้าอี้ โต๊ะ เครื่องชงกาแฟ นิตยาสารและข้าวของอื่นๆที่เรามักจะเจอในห้องรับรองแขกของบริษัท ของทุกอย่างที่ไม่ได้ยึดติดกับพื้นล้มกระจัดกระจาย หนังสือพิมพ์ที่ดูแล้วท่าทางจะไม่ได้อัพเดทมานานคลุมเฟอร์นิเจอร์หลายๆชิ้นเอาไว้ นิตยสารวิทยาศาสตร์ที่ดูน่าเบื่อไม่ต่างจากหนังสือแบบเรียนเองก็กองอยู่บนพื้น โคมไฟลาวาสีม่วงนอนนิ่ง เก้าอี้พลาสติกสีขาวล้ม โต๊ะเองก็เช่นกัน ทัดใดนั้น หมวดเอกก็ได้ยินกระซิบแปลกๆแว่วเข้ามาในหู
"เฮ้ย มีใครได้ยินเสียงแปลกๆบ้างมั้ย"หมวดเอกหันไปถามคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนส่ายหัว ไม่มีใครได้ยินอะไรทั้งนั้น ไม่ทันไร เจ้าฟองดูก็เริ่มส่งเสียงขู่คำรามอย่างมุ่งร้ายใส่เครื่องชงกาแฟสีเงิน ก่อนที่อยู่ๆมันก็เงียบลง มันทำท่าประหลาดๆอย่างเอาขาหน้าลอดระหว่างขาหลังแล้วกระโดดไปมา เหมือนกับตัวการ์ตูนในช่องรายการเด็กยามเช้า
"มันเป็นอะไรของมันฟะ"หมู่โบกี้หันไปมองที่เครื่องชงกาแฟ แต่ก็ไม่มีอะไรดูผิดปกติ ทันใดนั้น หมู่โบกี้ก็ได้ยินเสียงเหมือนเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังแว่วเข้ามา แล้วก็เหมือนกับเห็นว่ามีเงาวูบวาบขยับไปมาหลังโต๊ะ เสียงหัวเราะที่เหมือนกับเสียงของเด็กเล็กแต่ฟังดูเลือนรางน่าขนลุกเหมือนกับว่ามันคิออดีตอันแสนสุขที่ถูกพัดพาให้หายไปตามกาลเวลา ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่ได้เห็นตุ๊กตาคุณอัศวินที่ป่าเห็ดกลับมาอีกครั้ง มีอะไรที่แปลกมากๆกำลังเกิดขึ้นที่นี่
"หมวดเอก ผมว่าผมเจออะไรก็ไม่รู้อยู่ตรงหลังโต๊ะนั้น"หมู่โบกี้เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีหันไปมองหน้าหมวดเอก แล้วก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่ออยู่ต่อหน้าต่อตา ใบหน้าของหมวดเอกกำลังละลาย ละลายเหมือนกับหน้าของหมวดทำมาจากครีมแต่งหน้าเค้กเวลาโดนความร้อน ลูกตาค่อยๆไหลออกจากเบ้าตาแล้วหยดลงบนพื้นแบบหยดน้ำ ปากเองก็ไหลลงไปเรื่อยๆเหมือนกับหน้าของหมวดเอกทำมาจากสีน้ำที่กำลังโดนซะออกไป
"อ้ากกกกกกกกก!!!!!!!!!"หมู่โบกี้ร้องสุดเสียง หงายหลังล้มลงไปกองอยู่กับพื้น หายใจแรงถี่ ตาเหลือก ก่อนที่จะหันกลับไปมองหน้าหมวดเอกอีกครั้ง ทุกอย่างปกติดี ไม่มีร่องรอยของหน้าละลายหรือสิ่งสุดสยองที่เขาเห็นเมื่อครู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
"มีอะไรโบกี้ แกเห็นอะไร"จ่าปลาหันไปหาหมู่โบกี้ หมู่โบกี้เองก็ส่ายหน้า เขาแทบไม่เชื่อในสิ่งสุดสยองที่ได้เห็นไปเมื่อครู่ มันไม่เหมือนกับสัตว์ร้ายหรือสิ่งวิปริตอื่นๆที่เขาเห็มมานับตั้งแต่เหยียบเข้ามาในผืนป่าที่แปดเปื้อน มันเหมือนกับสิ่งประหลาดที่หลุดมาจากส่วนที่มืดมิดและชั่วร้ายที่สุดของจิตใต้สำนึก
"ไม่มีอะไร"หมู่ปฏิเสธ มองไปรอบๆตัวอย่างหวาดระแวง เหงื่อแตกชุ่มไปทั้งตัว ร่างสั่นเทา เขาเริ่มรู้สึกว่าในห้องนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ อะไรบางอย่างที่วิปริตและชั่วร้าย อะไรก็ตามที่สร้างภาพลวงตาสุดสยองนั่นได้ มันไม่ใช่แค่สัตว์ประหลาดแน่ๆ
"เออ ทุกคน ผมเห็นปีศาจปลาหมึกสีเขียวอยู่ตรงนั้น"ไอ้ตือมองไปทางกองหนังสือพิมพ์ที่ดูรกรุงรัง เขาเห็นปลาหมึกสีเขียวเหมือนหยกดวงตาสีแดงที่กำลังร้องไห้เป็นเลือดปากฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันแหลมเหมือนเข็มเย็บผ้านับร้อยซี่ กำลังสะบัดหนวดสีเขียวสดของมันไปมาอย่างดุร้าย ส่งเสียงกรีดร้องเหมือนกับสิ่งมีชีวิตจากฝันร้าย มันนั่งอยู่บนกองหนังสือพิมพ์และทำท่าคุกคาม มันค่อยๆลากร่างอันน่าหวาดกลัวของมันเข้าหาหมู่หมูมะนาวด้วยหนวดบิดเบี้ยว
"ไม่เห็นมีปลาหมึกเลย"จ่าปลาเดินไปทางปลาหมึกปีศาจหน้าตาน่ากลัว เจ้าอสูรกายกรีดร้องสุดเสียงแล้วพุ่งเข้ามาหมายจะขย้ำจ่าปลาด้วยฟันซี่ยาวน่าหวาดหวั่น ตือเลยรีบพุ่งตัวเอาไปผลักจ่าปลาออกจากระยะการโจมตีของสัตว์ประหลาด จ่าปลาและไอ้ตือล้มลงกับพื้นอย่างทุลักทุเล จ่าปลาลูบหัวแล้วค่อยๆลุกขึ้นเมื่อตือปล่อยมือ
"นี่ จ่าเจ็บนะ ทำอะไรหน่ะ"จ่าปลาหันไปดุตือ เมื่อตือหันไปดูตรงกองหนังสือพิมพ์ กลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งชั่วร้ายหรือร่องรอยของเจ้าอสูรกายแปดหนวดอยู่เลย มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย อะไรกำลังเล่นตลกกับจิตใจเราอยู่หรือเปล่า
"งานเข้าแล้วไง"หมวดเอกเริ่มเห็นหน่วยรบรูปร่างผอมกะหร่องบิดเบี้ยวจนเห็นซี่โครงครบ12ซี่ที่มีผิวหนังทำมาจากไฟสีดำลุกไหม้ค่อยๆเคลื่อนตัวอืดอาดขึ้นมาจากเงามืด เหมือนกับว่าร่างกายของสิ่งอัปมงคลเบื้องหน้าทำมาจากเงาที่ลุกโชน เสียงกระดูกที่บิดไปมาทำให้หมวดรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังแตกหักอยู่ในร่างอันโงนเงนไม่มั่นคง มันกวัดแกว่งปืนสงครามกระบอกโตแบบที่หน่วยคอมมานโดชอบใช้ก่อนที่จะเริ่มกราดยิงของทุกอย่างในห้อง หมวดเอกเห็นร่างของเพื่อนร่วมหมู่ถูกยิงแล้วค่อยๆขึ้นสนิมอย่างรวดเร็ว ขึ้นสนิมแบบสนิมเหล็กเลย แล้วจากนั้นร่างพวกนั้นก็แตกกลายเป็นชิ้นๆเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง เสียงกรีดร้องโหยหวนสุดสยองเกินจินตนาการดังขึ้นก่อนที่จะมีเสียงสวดมนต์ที่ไม่เหมือนกับของศาสนาไหนทั้นนั้นแว่วมาในหู ชิ้นส่วนของพรรคพวกที่ขึ้นสนิมพวกนั้นค่อยๆกระดึ๊บมาหาหมวดเอก ทีละน้อย ทีละน้อย ยิ่งชิ้นส่วนพวกนั้นเข้าไกล้มากเท่าไหร่ ยิ่งได้ยินเสียงสวดมนต์อันพรั่นพรึงชวนใจสลายและเสียงครวญครางที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ทรมาณสุดขีดมากเท่านั้น มือข้างที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครพุ่งเข้ามาจับข้อเท้าของหมวดเอกแล้วขาของหมวดก็ค่อยๆขึ้นสนิม หมวดเอกพยายามจะดึงขาข้างนั้นขึ้นจากพื้น ปรากฎว่าขาของหมวดเอกขาดสะบั้นและแตกออกคาที่ ตรงรอยแผลที่ขาขาดออกมีใบหน้าของหมวดเอกโผ่ลออกมาแล้วกรีดร้องใส่ด้วยน้ำเสียงดุดันราวกับผีนรก โลกทั้งใบกำลังบิดเบี้ยวหมุนเป็นเกลียวอย่างไร้การควบคุม
"นี่ นี่มัน ไม่จริง"หมวดกำลังช็อกสุดขีด น้ำเสียงจากมั่นคงและมีความเป็นผู้นำเปลี่ยนเป็นสั่นเครือเหมือนกับเด็กเล็กที่เจอเรื่องโศกนาตกรรม น้ำตาหลังไหลออกมาจากดวงตาของหมวดอย่างไม่สามารถหยุดได้ด้วยความหวาดกลัวเหลือประมาณ หมวดเอกหลับตาแล้วสะบัดหัวแล้วมองอีกที ทุกอย่างปกติ ไม่มีหน่วยรบผีสางเงามืดพร้อมปืนหรูหราหรือใครกำลังขึ้นสนิมแล้วแตกสลายกลายเป็นชิ้นทั้งนั้น ไม่มีเสียงกรีดร้อง กระดูกหัก หรือสวดมนต์ ทุกอย่างที่หมวดเห็นเมื่อครู่หายไปราวกับสายลม หมวดเอกกำลังสับสนในเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ไม่ทันจะได้คิด เพื่อนร่วมหมู่หลายๆคนก็เริ่มมีท่าทางผิดปกติ ทุกคนเบิ่งตากว้างจนเห็นเส้นเลือดสีแดง ปากพร่ำพูดสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ เหงือแตกจนชุ่มไปทั้งร่าง เหมือนกับว่าทุกคนกำลังเผชิญกับฝันร้าย ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวในโลกแห่งความจริงอย่างการโดนถอดยศ ไล่ออกหรือส่งไปทุ่งหมาหอน แต่เป็นอะไรที่ หลุดออกมาจากมิติของสิ่งวิปริตผิดแผกไปจากกฎความเป็นไปของโลกโดยสิ้นเชิง อสูรประหลาด โลกเบี้ยว ภูตผีปีศาจ หรือสิ่งที่อธิบายไม่ได้ทั้งหลาย
ทั้งห้องนั่งเล่นแห่งนี้กลายเป็นแดนพิศวงอย่างรวดเร็ว แดนพิศวงที่ห่างไกลจากควานน่าพิศมัย คนแล้วคนเล่าต่างกรีดร้องไม่เป็นภาษา พ่นคำพูดฟังไม่รู้เรื่อง นอนกอดเข่าร้องไห้หาแม่ หรือไม่ก็นั่งตาลอยน้ำลายฟูมปาก ภาพในหัวของหมวดเอกค่อยๆเปลี่ยนสีได้เร็วปานกิ้งก่า บิดเบี้ยวราวกับทุกอย่างทำมาจากดินน้ำมันที่โดนพลังจิตควบคุม ขยายใหญ่และหดเล็กลงตามใจชอบ หมวดเอกเริ่มเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน และรู้ตัวแล้วว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับตัวเขาและคนอื่นๆ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะควบคุมความนึกคิดของตนเองระหว่างที่ต้องมนต์มายาอันสุดพิศดารนี้ แต่ว่าเท่าที่เห็น ก็เดาได้ว่าคืออะไร โลกทั้งใบที่กำลังตีลังกา ทุกกฏเกณฑ์ของธรรมชาติถูกทำลายเหี้ยน เขารู้สึกเหมือนกำลังกลายเป็นหนึ่งในความบ้าคลั่งและไร้เหตุผลที่ไหลเวียนอยู่รอบกาย นี่ต้องเป็นผลจากสารที่ทำลายระบบประสาทแน่ๆ รอบๆตัวเขามีแต่พรรคพวกที่กำลังวิ่งพล่าน คลานหมอบ สะบัดตัวและแขนขาไปมา ทุกคนกำลังเผชิญกับสิ่งที่เพี้ยนหลุดโลก ความสยดสยอง สีสันที่เปลี่ยนไปมาในประสาททำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรง และทำให้อาการไมเกรนของจ่าปลากำเริบถึงขีดสุด
นี่คือนิมิตแห่งสายรุ้ง มิติแห่งสีสัน เวลาและวารีต่างหยุดและย้อนกลับ ของแข็งกลายเป็นของเหลวและก๊าซมีชีวิต ฝันดีที่สุดและฝันร้ายที่สุดมารวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่ๆเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างนรกขุมสุดท้ายกับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นางฟ้ามาโปรด ปีศาจมาแช่ง ความทรงจำทั้งหมดในชีวิตมากองอยู่เบื้องหน้า อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป ความบ้าระห่ำเกินจินตนาการ ภาพหลอนสารพัดสีและเสียงกระซิบประโยคซ้ำๆ ดินแดนส่วนตัวของเหล่าขี้ยา ไม่แปลกใจเลยที่แทบไม่มีใครรักษาอาการทางประสาทจากยาเสพติดให้หายขาดได้ สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าสร้างบาดแผลฉกรรย์ให้กับจิตใจชนิดที่ไม่มีอะไรเยียวยาได้ ความรุนแรงเทียบได้กับเห็นบ้านตัวเองไฟไหม้หรือโดนข่มขืนทีเดียว ภาพหลอนที่ทำให้คนไม่ใช่คน แบบว่าเสียคนไปเลย คือสิ่งที่ชาวหมูมะนาวต้องเผชิญและฝ่าฟันไปให้ได้
"ทุกคน อย่าตื่นตระหนก หมอบลง ตั้งสติ แล้วอยู่เฉยๆ ทุกอย่างเป็นแค่ภาพหลอน"หมวดเอกสั่งก่อนที่จะหมอบลงแล้วหลับตา อยู่ๆหมวดก็ปวดหัวรุนแรง แล้วหมวดก็เห็นภาพอันน่าสยดสยองอีกครั้ง เขากำลังหมอบอยู่ใต้ยานอวกาศซึ่งทำมาจากสมการประหลาดทั้งลำที่กำลังออกตัว เปลวไฟร้อนแรงเผาร่างของหมวดจนไหม้เกรียม ร่างของหมวดค่อยๆแตกสลายกลายเป็นตัวเลขและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ แต่ก็เป็นไปตามคาด เป็นแค่ภาพลวงตา ภาพลวงตาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แต่กลับดูสมจริงอย่างน่าเหลือเชื่อ อำนาจกายาลวงตามายาลวงใจนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ถ้าปล่อยไปนานๆมันจะทำลายสามัญสำนึกและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเหยื่อจนหมดสิ้น
"อ้าาาาา ยูนิคอร์นจะมากินช้านนนแล้วว ใครก็ได้ช่วยด้วย"หมู่โบกี้กำลังเห็นภาพหลอน แต่พอได้ยินหมวดเอกก็ยอมหมอบลงแล้วหลับตา ปรากฎว่าเขาไม่โดนยูนิคอร์นสีรุ้งจับกิน แสดงว่านี่ก็เป็นภาพหลอนเหมือนกัน คนอื่นๆเองก็กำลังตั้งสติ ฝันร้ายที่เหมือนจะหลุดออกมาจากมิติแห่งสิ่งวิปริตทั้งมวลเป็นอะไรที่รับมือได้ยากยิ่ง สิ่งที่ต้องทำคือต้องรู้ว่าสิ่งเหนือธรรมชาติที่เห็นอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงแค่ภาพหลอน ภาพหลอนทำลายประสาทขั้นสูงที่ทำลายความเป็นผู้เป็นคน น่ากลัวเหมือนกับอาวุธเคมีในสงครามโลก แต่ร้ายกว่าตรงที่ทำให้คนเสพติดได้
"ทุกคนนน หมอบ หมอบแล้วอยู่นิ่งๆ"หมู่โบกี้พยายามจับเพื่อนร่วมหมู่กดลงกับพื้น และคนแรกที่หมู่โบกี้เห็นคือจ่าปลา เธอกำลังกุมหัวแล้วสั่นไปทั้งตัวอย่างบ้าคลั่ง สภาพเหมือนใครเอาที่เจาะถนนมาอัดเธออยู่ยังไงอย่างนั้น คำพูดเหลวไหลที่ฟังไม่ได้ศัพท์และน้ำลายฟูมปาก ดวงตาที่เหม่อลอยแถมกระตุกไปมาอย่างหวาดระแวง สีหน้าหวาดกลัวและเจ็บปวด ไม่ผิดแน่ จ่าปลากำลังเผชิญหนึ่งในฝันร้ายและความสยองผสมกับไมเกรนประจำตัวได้อย่างลงตัว หมู่โบกี้เข้าไปพยายามจะทำให้จ่าปลาสงบสติอารมณ์ลง แต่ว่าจ่ายังอยู่ใต้อำนาจมายาหลอนประสาท จ่าปลาตกใจมากหันมาชกหน้าหมู่เต็มกำปั้น
"ออกไปนะ ชั้นบอกว่าออกไปไง ไอ้แป้งเปียก"จ่าปลาเห็นหมู่โบกี้เป็นหนึ่งในปีศาจกาวลาเท็กซ์ที่มีกระดาษทิชชู่ติดเต็มตัวไปหมด พวกมันกำลังจะเปลี่ยนจ่าให้กลายเป็นมนุษย์เปเปอร์มาเช่แล้วจะขังจ่าไว้ในห้องคหกรรมตลอดกาล แถมยังมีฝูงมัมมี่ทิชชู่ตาดียวคอยพ่นน้ำลายใส่หน้าทุก เช้า กลางวัน เย็น แม้ว่าจะต้องต่อกรกับการใช้กำลังและอาการเพ้อสุดขั้ว แต่หมู่โบกี้ไม่ยอมแพ้ จับจ่าเหวี่ยงลงพื้นแล้วกดไว้ พยายามบอกว่าสิ่งที่จ่าเห็นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่ว่าถึงอย่างนั้น หมู่โบกี้ก็เห็นคอจ่าหมุนกลับมายิ้มสยองให้ หมุนกลับมาแบบนกฮูกเลย แถมหน้าจ่าปลาเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วสีส้มแล้วสีชมพูแล้วก็มีหนวดปลาหมึกสีเทาไหลออกมาจากจมูก แต่หมู่รู้แล้วว่าสิ่งที่เห็นเป็นแค่ภาพหลอน
"จ่า ตั้งสติ นิ่งสิ ไม่ต้องกลัว นี่เป็นแค่ภาพลวงตา จ่าต้องเชื่อผมนะ"หมู่โบกี้พยายามลูบจ่าปลาอย่างแผ่วเบาเพื่อให้จ่าปลาสงบสติอารมณ์ลงได้ จ่าหายใจแรง กลัวสุดขีด แต่ปวดหัวมากกว่า หัวของจ่ารู้สึกเหมือนโดนสว่านไฟฟ้าเจาะหมายจะให้ประสาทกลับไปข้าง สัตว์ประหลาดสุดสยองที่เห็นในห้องนี้อาจจะรู้สึกเหมือนกับสิ่งมีชีวิตสุดสยองอื่นๆที่อยู่ในหุบเขาดงโขมดเย็น แต่คิดไปมา ปีศาจกาวมันไม่น่าจะเป็นไปได้ นี่น่าจะเป็นภาพหลอนจริงๆ จ่าก็สงบลงได้ เท่าที่ใครซักคนที่กำลังเห็นภาพหลอนที่หลอนสมชื่อและอาการปวดหัวสุดรวดร้าวระยะสุดท้ายจะสงบได้
หมู่โบกี้กับหมวดเอกค่อยๆจับคนอื่นๆหมอบลงทีละคน
ตือเห็นปลาหมึกปีศาจฟันเป็นเข็มสีเขียวและยีราฟสีชมพูถือไม้ปิงปองลายธงโจรสลัดไล่ตบเขาจนกระเด็นลงน้ำไปในกระทะที่เต็มไปด้วยผีกระจกพ่นพิษ รายนี้การที่จะทำให้เขาสงบเป็นเรื่องยากเพราะพละกำลังสุดแกร่งของเจ้าอ้วนนี้ไม่ใช่อะไรที่ประมาทได้เลย ยิ่งอำนาจการเหวี่ยงและโมเมนตัมการโจมตี กว่าจะทำให้เจ้าก้อนไขมันอุดตันประจำทีมสงบลงเล่นเอาหน้าแหกไปหลายรอบ หมู่โบกี้ได้รอยรองเท้าใหม่เอี่ยมอ่องมาประทับอยู่บนหน้า แต่นั่นไม่สำคัญหรอกหากเรายังอยู่ในโลกที่ตัวเราเองยังกลายเป็นรองเท้าได้เลย
ชาติเห็นแฮมเบอร์เกอร์พ่นไฟบินได้ที่มีปีกทำมาจากผักกาดและลูกตาสีสันสดใสเหมือนลูกกวาดกระพริบไปมาบนกำแพง ลูกตาบางลูกกระโดดออกมาจากกำแพงแล้วกลายเป็นแมงมุม ยังดีที่ชาติไม่กลัวภาพหลอน จริงๆชาติสะกดคำว่ากลัวไม่เป็น พอๆกับสะกดคำว่าคนไม่เป็น การทำให้ชาติสงบจึงไม่จำเป็นเพราะเขาได้แต่นั่งเอ๋อน้ำลายยืดตาเหล่อยู่กับที่ ไม่มีท่าทางจะอาละวาดหรืออะไรทั้งนั้น
กอล์ฟนึกว่าตัวเองอยู่ในแดนอวกาศสีม่วงที่มีหมอนปักเข็มมีขาและจิงโจ้น้ำใส่สูทที่เอาปืนฉมวกไล่ยิงเขาจนพรุนเหมือนกับสวิสชีสแล้วโครงกระดูกยักษ์ก็จับเขาไปทำต้มยำน้ำข้น เนื่องจากกอล์ฟมีรูปร่างค่อนข้างเล็กและไม่ได้มีพละกำลังอะไรมากมาย การจับเขากดลงพื้นเลยไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก เพียงไม่กี่วินาทีเราก็สามารถทำให้เขาหยุดดิ้นหรือขัดขืนได้ กอล์ฟเข้าใจว่านี่คือภาพหลอนได้เร็วกว่าที่คิด
เนยเจอภาพหลอนว่าทุกคนกลายเป็นงานศิลปะแบบแอ็บสเตร็กเหมือนของปีกัซโซ่และหน้าตัวเองกลายเป็นจานเมลามีนสีฟ้าแถมยังเจอกะหล่ำปลีสีส้มพ่นลูกระเบิดใส่อีก รายนี้ไม่อาละวาดหรือวิ่งพล่าน ได้แต่นั่งตาขวางกรีดร้องเสียงแหลมบาดหู น้ำตาไหลพราก ก่อนที่จะลงไปนอนสิ้นสติอยู่กับพื้น เหมือนกับตุ๊กตาที่โดนโยนลงกับพื้น ร่างผอมบางชักกระตุกเหมือนเป็นโรคพาร์กินสันชนิดแรงสุด
สมบัติเห็นหนอนทะเลทรายช็อตไฟฟ้ากับกระปุกออมสินที่มีวิญญาณของเด็กๆที่ทวงหาความเป็นธรรมและกล่าวหาว่าเขาเป็นคนฆ่าพวกเค้า เสียงก่นด่าสาปแช่งและเสียงไซเรนรถตำรวจหลอกหลอนอยู่ในโสตประสาท รายนี้วิ่งชนโต๊ะจนลงไปกองกับพื้นแล้วดิ้นเหมือนกับหนอนผีเสื้อโดนน้ำตาเทียนลน หมู่โบกี้เลยเอาโต๊ะทับไว้แทนจะได้อาละวาดต่อไม่ได้
ต้นเห็นเอเลี่ยนยักษ์ดวงตาเหมือนปลาทองและมีปีกเหมือนนกแร้งยิงดาวกระจายต้องคำสาปใส่เขาต้นยังจินตนาการว่าตัวเองโดนแซกโซโฟนสีทองดูดเข้าไปแล้วตอนออกมาตัวเองกลายเป็นรองเท้าแตะ แต่เนื่องจากต้นเป็นอาชญากรและได้มีประสบการณ์กับสิ่งมึนเมาพวกนี้มาบ้างแล้วเลยได้แต่นั่งเคลิ้ม หัวเราะร่ากับตัวเองอย่างมีความสุข คงไม่ต้องจัดการอะไร
น้ำอ้อยกับกรอบยังไม่ตื่นเลยไม่ต้องเจอภาพหลอนสุดสยอง ส่วนฟองดูวิ่งพล่านอาละวาดไปทั่วห้อง ร้องเอ๋งๆอย่างหวาดกลัวเหมือนกับเห็นวันสิ้นโลกอยู่ตรงหน้า บางครั้งมันก็ส่งเสียงที่ฟังดูไม่เหมือนเสียงของหมาเลย เสียงเหมือนคนที่กำลังโดนถลกหนังทั้งที่ยังเป็นๆดังออกมาจากปากของเจ้าหมาขนสีน้ำตาลเหลือง แต่นั่นคงเป็นแค่เสียงหลอนนั่นแหละ ไม่มีใครอยากโดนกัดเลยไม่ไปห้ามมัน ไม่รู้ว่ามันกำลังเห็นอะไรที่น่ากลัวสุดๆสำหรับหมาหรือเปล่า
เวลาผ่านไป ภาพของสิ่งพิลึกพิลั่นและเสียงหลอนค่อยๆจางหายไปตามกาลเวลาและฤทธิ์ยา ทุกคนค่อยๆลืมตาขึ้น หวังว่าจะไม่เจอสิ่งวิปริตอื่นๆที่อาจจะเกิดขึ้น ภาพอวกาศค่อยๆเปลี่ยนกลับมาเป็นห้องนั่งเล่นที่พังยับเยินอีกครั้ง สารพัดสิ่งเหนือธรรมชาติกลับกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ เสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงรบกวนต่างๆกลายเป็นความเงียบสนิท อำนาจของภาพหลอนหมดลงแล้ว โลกสงบสุขปราศจากพลังอำนาจแห่งอบายมุขสุดสะพรึง โลกใบเดิมที่แม้จะไม่สงบสุขตามที่โม้ไว้ แต่อย่างน้อย มันก็ไม่บ้าระห่ำไร้เหตุผลอย่างโลกแห่งความฝัน เปราะบางและพริ้วไหวเช่นสรวงสวรรค์ แต่ร้อนรุ่มและหลอกหลอนเช่นนรกภูมิ
"ฮุ้ว สยองชะมัด ที่เห็นเมื่อกี๊นี้มันคืออะไรเนี่ย เกือบโดนเบอร์เกอร์มังกรจับกินแล้วมั้ยหละ"ชาติค่อยๆลืมตาแล้วลูบหัวตัวเอง มองไปรอบๆให้แน่ใจว่าไม่มีตัวประหลาดชวนขนลุกหรือเหวอวกาศอะไรดักรอเขาอีก ทุกอย่างปกติอย่างที่มันควรจะเป็น เออ หมายถึงอย่างที่ห้องแล็บร้างสุดสยองกลางป่าที่เต็มไปด้วยอสูรชีวภาพแห่งนี้ควรจะเป็น
"หมวดว่ามันเป็นฤทธิ์ของควันกัญชาจากห้องก่อนหน้านี้แน่ๆ ประกายไฟจากวงจรไฟฟ้าพังๆทำให้ไฟไหม้ต้นไม้พวกนี้ แล้วตอนเราผ่านเราก็สูดควันพวกนี้เข้าไปทำให้เห็นภาพหลอน ยิ่งมันมีของพิลึกอื่นๆที่ติดไฟทำให้เห็นภาพหลอนหนักเข้าไปอีก เอาหละ เราไปต่อกันดีกว่า เดี๋ยวด็อกเตอร์รอนาน ไม่รู้ว่าพวกวัยรุ่นขี้ยามันชอบเข้าไปได้ยังไง ถ้าหลอนนานกว่านี้หมวดคงเป็นบ้าไปแล้ว"หมวดเอกค่อยๆลุกขึ้นเมื่อมั่นใจว่าตนเองไม่เห็นภาพหลอนแล้ว เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าหากจะต้องสู้กับศัตรูตอนที่กำลังเจอพลังของควันหลอนประสาทนี้จะเป็นยังไงเนี่ย ภาพลวงตาลอยเต็มสนามรบ เราแทบจะดูไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นภาพมิติที่บิดเบี้ยวหรือสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ในโลกแห่งความจริง อะไรๆมันมั่วไปหมดภายใต้มนตร์สะกดของยาเสพติด
"เอาหละ เราไปทางไหนต่อดี"ไอ้ตือหิ้วชาติกับน้ำอ้อยขึ้นมา น้ำอ้อยสลึมสลือค่อยๆตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนอ้วนๆของตือแล้วดิ้นจนหลุด เธอไม่มีท่าทีของอาการเจอภาพหลอนเลย น้ำอ้อยหาววอดแล้วกระโดดไปมายืดเส้นยืดสายเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น หมวดเอกมองไปรอบๆหาประตูที่จะไปห้องถัดไป แล้วก็เจอประตูที่มีป้ายโลหะเขียนว่า ห้องปฏิบัติการพิเศษ ท่าทางจะเป็นห้องนั้นเพราะว่าอีกประตูนึงเขียนว่าทางออก ถ้าหากเราไม่เจอมากมายตอนเข้ามาในอาคารพิลึกนี้เราก็น่าจะเข้ามาทางประตูนี้ได้ คงจะง่ายกว่าเยอะหากไม่ต้องฝ่าฟันสารพัดกลไกที่อยู่ในห้องต่างๆ ไม่มีประตูอื่นๆที่มองเห็นได้อยู่แถวๆนี้ แสดงว่าด็อกเตอร์ต้องอยู่ทางประตูนั้นแน่ๆ
"เราจะเข้าไปห้องนั้น"หมวดเอกยืนขึ้นพูดเสียงเข้ม ทำเป็นเหมือนกับตอนที่ร้องฟูมฟายนั้นไม่เคยเกิดขึ้น หมู่โบกี้มองไปที่ห้องนั้นอย่างหวั่นใจ ถึงแม้จะว่าประตูนั้นจะไม่พังหรือหลุดร่องแร่งเหมือนกับประตูห้องรมกัญชา แต่ว่ามันมีความรู้สึกที่ไม่ดีเกี่ยวกับห้องข้างหน้า ไม่รู้สิ มันให้ความรู้สึกแบบว่า ลึกลับ เย็นยะเยือก น่ากลัว น่าพิศวง ไม่มีอะไรที่เราเดาได้จากป้ายหน้าห้องนั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราเข้าไกล้ด็อกเตอร์ขึ้นทุกที บุคคลปริศนาที่ว่านี้เค้าเป็นใครหรือทำอะไร ถึงทำให้ป่าทั้งป่ากลายเป็นรังสารพัดสัตว์ประหลาด
ประตูเบื้องหน้านั้นไม่ใช่ประตูโลหะสีโคโบลต์ที่เปิดด้วยไฟฟ้าธรรมดา สิ่งที่กั้นระหว่างเรากับห้องอันน่าสงสัยเบื้องหน้านั้นคือประตูที่ใหญ่กว่าประตูอื่นๆเท่าตัวนึง ขอบประตูมีลายดำเหลืองเตือนภัยและตัวประตูเป็นสีแดงเชอร์รี่ มีตราเตือนภัยรูปสารกัมมันตรังสี(ใบพัดสีดำสามแฉกแล้วมีวงกลมสีดำตรงกลาง พื้นหลังเป็นสีเหลือง)แสดงให้เห็นว่าเส้นทางข้างหน้าอาจฆ่าเราได้หากไม่ระวัง หมวดเอกเช่นเดิม เดินนำหน้าไปยังประตูบานโตมันเป็นประกาย เมื่อเข้าไปถึง หมวดเอกก็หยิบเอาพลั่วลายเสือที่ไอ้ชาติได้มาจากเรือนกระจกมาจิ้มปุ่มเปิด ทันใดนั้น ประตูก็ส่งเสียงไซเรนเตือนภัย หลอดไฟที่อยู่เหนือประตูส่องแสงสีแดงแบบเดียวกับไฟบนรถดับเพลิง
"โปรดระวัง ประตูสู่ห้องปฏิบัติการพิเศษกำลังจะเปิด โปรดระวัง ขอให้ทุกท่านเข้าห้องปฏิบัติการพิเศษเมื่อท่านสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันกัมมันตรังสีระดับแกมม่าเพื่อความปลอดภัย ซ่าาาา ซ่าา โปรด ซ่าาาา . . ."เสียงเตือนของประตูโลหะข้างหน้าทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่คณะหมูมะนาวเสียวสันหลังกันถ้วนหน้า ไม่มีใครในหมู่หมูมะนาวมีชุดป้องกันรังสีหรืออุปกรณ์ไฮเทคอะไรทั้งสิ้น ถึงเวลาต้องลุยสดกันแบบเจ็บตัวแล้วหละ
หลังจากสัญญาณเตือนไม่กี่วินาที ประตูโลหะดูน่าเกรงขามตระการตาก็ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ ควันสีขาวขุ่นฉีดออกมาจากร่องประตู เสียงกลไกโลหะทำงานทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ เบื้องหน้านี้คือห้องปฏิบัติการพิเศษ ที่พังพินาศ
ห้องนี้มีรูใหญ่เบอเริ่มที่อยู่บนเพดานเผยให้เห็นท้องฟ้าตอนกลางวัน ตรงกลางดูเหมือนกับว่ามันเคยมีอุปกรณ์มหัศจรรย์อะไรซักอย่างตั้งอยู่แต่บัดนี้มันถูกถอนออกไปด้วยพละกำลังมหาศาล แท่นตรงกลางเราเห็นท่อสารเคมีหรือน้ำอะไรซักอย่างและสายไฟใหญ่หนาสีเงินที่มีสายไฟเล็กๆสีดำอยู่ข้างในเป็นจำนวนมากถูกดึงจนฉีกขาดตอนที่อุปกรณ์นั้นถูกถอนออกไป ห้องแล็บนี้อยู่ในสภาพไม่น่าดูเท่าไหร่นัก ตู้เก็บสารเคมีล้มระเนระนาด เอกสารการทดลองกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดและมีรอยไหม้เหมือนโดนความร้อน รอบๆห้องมีร่องรอยของกระสุนปืนสงครามและปลอกกระสุนสีทองเหลืองเกลื่อนกลาด คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ควมคุมมีร่องรอยความเสียหายจากระเบิด มีรอยไหม้หลายจุด บนพื้นมีของเหลวที่ดูคล้ายๆกับน้ำเหลืองแต่ว่าสีเข้มกว่าเจิ่งนองอยู่เหมือนน้ำขังบนถนนหลังฝนตก รอบๆห้องมีขวดโหลที่แปะไว้ด้วยฉลากที่เขียนด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ซึ่งเราอ่านไม่ออกกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด
หมวดเอกกับพรรคพวกถึงกับยืนแข็งทื่อด้วยความตกตะลึงว่ามันเกิดบ้าอะไรในห้องแล็บนรกแตกนี้เนี่ย องกรณ์ก่อการร้ายสากลมาซ้อมที่นี่เหรอ หรือว่าทดลองแล้วเกิดพลาดเลยทำให้มีสัตว์ประหลาดยักษ์หลุดออกไป หรืออะไรกันแน่ ดูรอบๆห้องที่มีผนังสีน้ำเงินโคบอลต์ทุกด้านนี้แล้ว มีประตูอยู่หลายบานเลยทีเดียวแต่ว่า มีบานหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นที่ๆด็อกเตอร์อยู่ ห้องควบคุมประชาสัมพันธ์ ถ้าหากด็อกเตอร์อยู่ห้องนี้เขาจะจัดการติดต่อเราผ่านลำโพงได้ แถมหน้าห้องนี้ก็มีเครื่องจักรรูปร่างบิดเบี้ยวและมีรอยไหม้ขวางอยู่ นั่นน่าจะเป็นสาเหตุที่ด็อกเตอร์ออกมาไม่ได้
"พวกเรา ไปย้ายเอาเครื่องบ้านั่นออกแล้วเราก็จะได้เจอหน้าด็อกเตอร์กัน"หมวดเอกสั่งแล้วทุกๆคนก็กรูกันเข้าไปยกเอาเครื่องจักรบุบบิบบู้บี้อันนั้นออกจากหน้าห้อง เครื่องกลชิ้นนี้มันหนักมากเพราะทำมาจากโลหะที่น่าจะหนักกว่าเหล็ก ตือกับกอล์ฟพยายามจะยกด้านข้างขึ้น ส่วนคนอื่นๆเองก็ดึงเครื่องกลนี้ออกจากหน้าประตูทีละนิด ทีละนิด จนในที่สุด ก็มีช่องว่างกว้างพอที่คนจะเข้าไปได้แล้ว หมวดเอกใช้พลั่วกดปุ่มเปิดห้องแล้วห้องควบคุมก็เปิดออก
"ผมว่าแล้วว่าพวกคุณต้องมา ผมกับผู้ช่วยผมรอพวกคุณมา2เดือนแล้ว"เสียงแหบพร่าแบบคนชราดังมาจากเงาดำตะคุ่มที่นั่งอยู่หน้าจอแสดงผลกล้องวงจรปิดค่อยๆลุกขึ้น เขาเดินช้าๆมาทางหมู่หมูมะนาว เผยให้เห็นชุดป้องกันรังสีสีเหลืองเข้มขอบเทาแบบปกป้องทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อออกเดินออกมาจากเงามืด กระจกใสด้านหน้าทำให้เห็นดวงตาของด็อกเตอร์ ร่างผอมกะหร่องใต้ชุดป้องกันรังสีเดินโงนเงนมา แม้จะดูอิดโรยแต่ว่าเรารู้ได้เลยว่าด็อกเตอร์ดีใจมาก
"เรามีเรื่องต้องคุย ด็อกเตอร์"หมวดเอกเก็กหน้าเข้มแบบเดียวกับตอนที่ต้องเจอหน้าสารวัตรเกรียงไกร อกผาย ไหลผึง ตามองไปที่ตาของเป้าหมายแม้ว่าจะอยู่หลังหมวกกันรังสี ด็อกเตอร์เองก็หรี่ตาลง พยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะขยับตัว
"ได้เลย งั้นผมขอแนะนำตัวก่อนนะ ผม ศาสตราจารย์ แอนโทนี่ เจลโล่ เรียกว่าด็อกเตอร์แอนดี้ เหมือนเดิมก็ได้ ผมเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยที่นี่ และที่ซ่อนอยู่หลังเก้าอี้ตรงนั้นเป็นผู้ช่วยของผมเอง ดั่งฤทัย แก้ววิญญาณ หรือเรียกชื่อเล่นว่าแตงโมก็ได้ เอา ออกมาเจอแขกหน่อย"ด็อกเตอร์แอนดี้แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ เมื่อมองไปในห้องควบคุมดีๆแล้ว มีอะไรซักอย่างหลบอยู่หลังเก้าอี้ตามที่ด็อกเตอร์บอก
"เออออ ด็อกเตอร์แน่ใจนะว่าพวกเค้าจะไม่ แบบว่า ตกใจเมื่อเห็นสภาพหนู"เสียงของผู้หญิงที่ค่อนข้างสาวคนนึงดังออกมาจากหลังเก้าอี้ เธอค่อยๆยืนขึ้น เงาของเธอเมื่อต้องแสงของคอมพิวเตอร์ช่างดูเงาเป็นมันและใสแจ๋วในเวลาเดียวกัน เธอคงจะพ้นสภาพของมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับชะตากรรมของน้ำอ้อย
"ผมว่าพวกเค้าคงเจอมาเยอะพอดูแล้ว คงไม่ประหลาดใจเท่าไหร่"ด็อกเตอร์ยืนยัน แตงโมค่อยๆยืนตัวตรง แม้ว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้ว กลับสูงแค่ 140 เซนติเมตร แสงจากจอคอมพิวเตอร์เผยให้เห็นแว่นกลมหนาเตอะที่อยู่บนหน้า ก่อนที่ส่วนที่ทำให้น่าประหลาดใจของแท้จะเผยออกมาสู่สายตาของชาวหมูมะนาวจะออกมาให้เห็นทั้งหมด ร่างกายของเธอดูเหมือนทำมาจากเยลลี่สีฟ้าใสอยู่ใต้เสื้อกาวน์สีขาวหม่นของนักวิทยาศาสตร์ ผิวหนังกลายเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ขนาดใหญ่และเป็นสีฟ้าใสจนเห็นร่างแท้ที่อยู่ข้างใน เธอเหมือนกับเอาคนไปผสมกับเซลล์อะไรซักอย่างแล้วออกมาเป็น ไม่รู้สิ มนุษย์เยลลี่ อย่างน้อยก็ไม่ใสจนเห็นเครื่องในแบบพวกไข่ดาวที่เจอก่อนหน้านี้ ร่างของเธอส่วนที่ห่อหุ้มอวัยวะภายในนั้นเป็นสีขาวขุ่นทำให้ไม่เห็นเครื่งในหรือเส้นประสาทหรือกระดูก เธอทำท่าทางเขินอายเมื่อต้องเผยร่างกายผิดธรรมชาติให้คนอื่นๆดู ซึ่งไม่มีใครอยากโชว์ตัวหรือออกงานสังคมหรอกหากตัวเองกลายเป็นลูกตาลลอยแก้วเดินได้
"เออ ถ้าหากนี่ไม่ใช่ภาพหลอนที่ยังไม่หมดฤทธิ์หรืออะไรเทือกนั้น เราก็มีแบบนี้คนนึง น้ำอ้อย มนุษย์กบที่ไม่ต้องฝึกทหารเรือ แบบสำเร็จรูปเลย แถมตรงตามตัวอักษรด้วย"หมู่โบกี้อุ้มน้ำอ้อยขึ้นมาโชว์ให้ด็อกเตอร์ดู ซึ่งด็อกเตอร์ก็ทำท่าทางสนใจ น้ำอ้อยยิ้มหวานแล้วก็โบกมือใหญ่ๆให้ จ่าปลาใช้ส้นรองเท้าคอมแบ็ตพิฆาตใส่เท้าหมู่โบกี้ แต่ว่าคราวนี้หมู่โบกี้พัฒนาฟุตเวิร์คขึ้นไปอีกขั้น มุขเดิมๆใช้ไม่ค่อยได้ผลหรอก
"โอเค หนูกลายเป็น เออ มนุษย์กบ แล้วพี่หละ ตัวอะไร เยลลี่โรงแรมเหรอ"น้ำอ้อยถาม ทำหน้าประหลาดใจ หางลูกอ๊อดแหว่งๆ(โดนมากมายกัด)กระดิกไปมาอย่างดีใจ ประมาณว่ามีพวกแล้ว ไม่ได้เป็นตัวประหลาดแค่คนเดียว หมู่โบกี้เองก็ขำน้อยๆให้กับมุขตลกของน้ำอ้อย และพวกแก๊งค์ไม่เอาถ่านเองก็ขำด้วย
"คือพี่ชื่อแตงโมนะ ตอนเกิดเหตุตัวพี่ไปโดนตัวอย่างอะมีบาเข้าพร้อมๆกับได้รับรังสีก็เลยกลายพันธุ์แบบนี้ ไม่คิดเลยว่ารังสีตอนอยู่ข้างนอกจะแรงพอที่จะทำให้เกิดการกลายพันธุ์"แตงโมพูดแล้วมองร่างกายของน้ำอ้อยอย่างสนอกสนใจ ดวงตาใต้แว่นหนานั้นยังคงเป็นดวงตาของมนุษย์อยู่แถมยังเป็นประกายแบบเดียวกับของผู้ที่ใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา การที่สิ่งมีชีวิตชั้นสูง(ไฟลัม คอร์ดาต้า)สองชนิดมารวมร่างกันเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ว่าตัวเธอเองในตอนนี้จะประหลาดไม่แพ้น้ำอ้อยเลยก็ตาม
"เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าการกลายพันธุ์ทำให้ตัวหดเหลือแค่นี้ด้วย ไซส์หมากระเป๋าน่ารักดี"หมู่โบกี้แสดงมารยาททรามๆของมันออกมาอีกแล้ว และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก
"ก็คงงั้น"แตงโมทำท่ายักไหล่แล้วยิ้มน้อยๆ หรี่ตาลง พยายามทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"มันตัวแค่นี้ตั้งแต่มาสมัครงานแล้ว"ด็อกเตอร์แซว แตงโมชักสีหน้าทันที แต่ว่าเธอเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ได้แต่ทำหน้าตึงเป็นสายกีตาร์ และ อย่างว่าแหละ ต่อให้โกรธแค่ไหนหน้าเธอคงไม่เป็นสีแดงแล้วหละ มันเป็นสีฟ้าไปหมดแล้วทั้งตัวเธอ
"โอเช เออ ตอนนี้ เรามีอะไรบ้าง บิ๊กบอสจอมสั่ง คู่ขามุขทราม มนุษย์ป้าหน้าไม่อาย หมูหันจีนแดง ไอ้แว่นฟันหนู ควายในร่างคน เจเนอรัลเบ๊ คู่หูจอมคุ้ย เด็กหญิงลูกอ๊อด สัตว์เลี้ยงประจำทีม ข่าวดีเรามีสมาชิคเพิ่มพิเศษเป็น ซอมบี้เสื้อกันฝน กับ ลูกตาลลอยแก้วสายพันธุ์เนิร์ด ส่วนชั้นก็โจรหลงฝูง แล้วเราจะเอายังไงต่อไปดีหละ"ต้นพูดแซะทุกคนรวมถึงตัวเองด้วย แต่จริงๆเพื่อไม่ให้เสียเวลาจะได้เข้าเรื่องเลย
"เราจะฟังคำอธิบายทั้งหมดที่ทำให้เกิดเรื่องบ้าบอคอแตกทั้งหมเในหุบเขานี้"หมวดเอกบอกแล้วหันไปทางด็อกเตอร์แอนโทนี่ ส่งสายตาคาดคั้นไปทางนักวิทยาศาสตร์ร่างผอมซูบ ซึ่งเจ้าของร่างลีบๆในชุดป้องกันรังสีเต็มยศก็เข้าใจ เขาค่อยๆเดินกลับเข้าไปในห้องควบคุม รวมถึงคนอื่นๆต่างก็ตามเข้าไปแล้วปิดประตู สมาชิคหมู่หมูมะนาวและผู้ติดตามนั่งล้อมวงเป็นรูปครึ่งวงกลมหน้าด็อกเตอร์และกำลังต้องการคำอธิบายถึงสิ่งวิปริตต่างๆในผืนป่าแห่งนี้ ซึ่งด็อกเตอร์คงไม่สามารถหลบเลี่ยงหรือเฉไฉได้ในสถาณการณ์แบบนี้ ร่างแห้งๆในชุดยางหุ้มตะกั่วสีเหลืองเข้มค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ออฟฟิศมีล้อเลื่อนที่มีเบาะผ้าสีม่วงแดง หันมาทางเหล่าผู้ชมอย่างสงบแล้วค่อยเปล่งเสียงออกมา
"ด้ายยยยย ย ย มาฟังนิทานกัน"เขาตอบรับ เสียแหบแห้งของเขาทำให้ทุกอย่างฟังดูน่ากลัวขึ้นเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เขาเอาจริง เนยกับสมบัติตั้งกล้องถ่ายและบันทึกทุกๆคำพูดของชายชรา ตอนนี้นอกจากคำพูดของด็อกเตอร์แอนดี้ ไม่มีเสียงอื่นๆนอกจากเสียงเครื่องคอมพิวเตอร์มารบกวนเลย แตงโมค่อยๆทำหน้าเครียดและหลับตาลง หมวดเอกเองก็เก็กหล่อ สวมวิญญาณเป็นพนักงานสอบสวนที่กำลังสอบปากคำพยานปากเอก หมู่โบกี้นั้นพยายามทำหน้าเครียดเพื่อจะได้ดูเท่ จ่าปลานั่งมองจ้องหน้าด็อกเตอร์อย่างเอาเรื่อง เธอกำลังกล่าวโทษเขาทางสายตาเรื่องที่ทำให้ฝืนป่านี้ต้องแปดเปื้อน ตือ ชาติ กอล์ฟ นั่งๆนอนๆอยู่บนพื้น ทำตาแป๋วเหมือนเด็กอนุบาลฟังนิทานเล่มใหม่จากครูประจำชั้น ส่วนกรอบนั้นไม่ได้ให้ความสนใจนัก เขานั่งเหม่อเนื่องจากยังฟื้นตัวไม่เสร็จ บาดแผลที่หัวยังทำให้เขามึนอยู่ ส่วนต้นนะเหรอ นอนพิงเจ้าฟองดูเพราะยังไงเรื่องราวของซอมบี้ชุดกันฝนกับแมงกะพรุนโยนบกมันไม่สำคัญกับเขาอยู่แล้ว
"ในคืนนั้น"ด็อกเตอร์แอนโทนี่ เจลโล่ เกริ่นนำเรื่อง เรื่องราวอันไม่สร้างสรรค์ เรื่องราวแห่งฝันร้าย ฝันร้ายที่กลายเป็นความจริง ปริศนา ที่ทำให้คนไม่ใช่คน และ สัตว์ไม่ใช่สัตว์
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:51:40 GMT
24.poached night : คืนรุกล้ำ
คืนนั้น คืนแห่งความมืดมิด คืนที่เงียบสงบและท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงดาว ลึงลงไปในป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบ องกรณ์ลึกลับกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในอาคารทรงครึ่งวงกลมที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แมกไม้หนาทึบ รอบๆอาคารนี้มีหนองบึงตื้นๆและผืนป่าที่เงียบเหงา สัตว์กลางคืนออกหากิน เช่นเดียวกับโจรผู้ร้ายและอาชญากรที่กำลังวางแผนตัดไม้ ล่าสัตว์ และขนของผิดกฎหมาย เสียงหมาหอนดังกึกก้องและสะท้อนไปมาในหุบเขาดงโขมดเย็น ดวงตาเรืองแสงยามค่ำคืนของสัตว์ร้าย โจรร้ายต่างขัดปืนและลับมีดเตรียมปะทะกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้หากจวนตัว เสียงเลื่อยยนต์และคำสั่งงานของคนตัดไม้ เสียงฝีเท้าของคนที่กำลังลักลอบเข้าแดนอย่างผิดกฏหมาย เสียงลมหนาวยามค่ำคืนในผืนป่าดงพงไพรช่างชวนให้รู้สึกหวั่นใจ คืนนี้ ภายใต้ผนังคอนกรีตและเหล็กที่ทาด้วยสีเขียวพรางตา ผู้คนนับสิบชีวิต ภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดตา พวกเขาต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ต้องการสร้างผลงานและอนาคตให้แก่ตนเอง ในห้องปฎิบัติการพิเศษนี้ รายล้อมไปด้วยเครื่องยนต์กลไก อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่เต็มไปด้วยภาษาแปลกๆชนิดคนปกติไม่อาจเข้าใจได้ เสียงเครื่องคอมพิวเตอร์ดังไปทั่วห้องใหญ่นี้เมื่ออุปกรณ์ต่างๆกำลังเตรียมเข้าสู่กระบวนการทดลองขั้นสูงกับสัตว์ อุปกรณ์หน้าตาประหลาดที่ดูเหมือนปืนเลเซอร์ในการ์ตูนเด็กปัญญาอ่อนขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง อุปกรณ์นี้ดูเหมือนจะดึงเอาพลังของมันมาจากแร่ธาตุสีเขียวสดที่เก็บเอาไว้ในกระเปาะแก้วกันกระสุนขอบสีเหลืองดำ ประตูห้องอันใหญ่โตเปิดออก แล้วมีนักวิทยาศาสตร์ในชุดกาวน์กับถุงมือยางเดินเข้ามา ในมือของเขามีกรงใส่หนูตัวจ้อยขนสีขาวอยู่ เขาค่อยๆเดินเข้ามาทางอุปกรณ์ประหลาดตรงกลางห้อง วางกรงนั้นลงกับพื้นแล้วอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นมาบนมืออย่างแผ่วเบา เขาค่อยๆวางมันลงกับพื้นแล้วกดมันไว้ นักวิทยาศาสตร์อีกคนเดินเข้ามาพร้อมเข็มฉีดยาใส่สารสีเหลืองเข้มจนเกือบจะเป็นสีส้ม ตามที่คาดไว้ เขาฉีดสารที่ว่านั้นเข้าไปในตัวของสัตว์ทดลองอย่างเบามือ เข็มนี้แหลมคมมากจนแทบจะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บเลย เข็มต่อมา เป็นน้ำใสๆที่แทบจะดูเหมือนน้ำเปล่า แต่ว่า มันไม่ใช่
"ฉีดตัวอย่างDNAและเอ็มไซม์เร่งการพัฒนาการให้กับตัวอย่างเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว กำลังนำตัวอย่างเป้าหมายไปยังจุดทดสอบรังสี"นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งในชุดเครื่องแบบตะโกนบอกคนอื่นๆ ซึ่งคนอื่นๆก็พยักหน้าตอบรับ ในสายตาของเหล่ามนุษย์ห้องแล็บเหล่านี้เห็นได้ชัดว่ากำลังตื่นเต้นกับการทดลองครั้งใหญ่ หากการทดลองครั้งนี้สำเร็จ เอ็มไซม์เร่งการเติบโตและพัฒนาร่างตัวนี้จะถูกนำไปใช้ได้จริงกับการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของปศุสัตว์และพันธุ์พืช
หนูน้อยตัวนั้นถูกนำไปผูกไว้ในกล่องพลาสติกใสแต่แข็งแรง เบื้องหลังของมันคือกากบาทสีแดงตัวโตที่มีความหมายว่าตรงนี้คือจุดที่เครื่องทดสอบรังสีจะปล่อยพลังงานของมันใส่ แล้วทุกคนก็จะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปว่าเจ้าหนูน้อยนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อเอ็มไซม์ออกฤทธิ์
ศาสตราจารย์ แอนโทนี่ เจลโล่ เดินเข้ามาในห้องปฏิบัติการนี้อย่างองอาจ ชายชราผู้มากซึ่งบารมี ความรู้ และ ประสบการณ์ คนนี้ใส่ชุดป้องกันรังสีเต็มยศ ร่างกายทุกส่วนห่อหุ้มไปด้วยชุดยางไส้ตะกั่วสีเหลืองเข้ม ถุงมือสีดำสนิทขึ้นเงาเช่นเดียวกับรองเท้ายางกันรังสี ใต้หมวกคลุมทั้งหน้าที่มีกระจกใสขอบเหล็กอยู่ด้านหน้าช่วยให้มองเห็น สายตาของนักวิทยาศาสตร์เฒ่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและมั่นใจ ข้างกายเขามีผู้หญิงตัวเล็กๆไว้ผมบ๊อบ ใส่ชุดแบบเดียวกันไม่มีผิด ชุดป้องกันรังสีเต็มยศขนาดพอดีตัว ที่แปลกออกไปคือเธอใส่เสื้อกาวน์ทับชุดกันรังสีไปด้วยเลย ต่างจากด็อกเตอร์ที่ใส่ชุดป้องกันแบบเพียวๆ ในมือของเธอมีแผ่นกระดานเล็กๆและกระดาษจดผลบันทึกการวิจัย เธอทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของนักวิทยาศาสตร์ชราที่อยู่ด้านข้าง ใบหน้าใต้หมวกกันรังสีเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเบื่อหนายเกินจินตนาการ เหมือนกับว่าวันนี้ก็เป็นแค่หนึ่งในวันทำงานกินเงินเดือนของเธอก็เท่านั้น
"สวัสดีครับ ศาสตราจารย์ วันนี้เราพร้อมสำหรับการทดลองกับสิ่งมีชีวิต ครั้งที่ 26 แล้ว ตัวอย่างสำหรับการทดลองพร้อมที่จะให้ทำการฉายรังสีกระตุ้นพันธุกรรมแล้ว"นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ไม่ได้ใส่ชุดกันรังสีพูด ด็อกเตอร์แอนดี้ผงกหัวเบาๆก่อนที่จะรับเอกสารการฉีดสารแปลกปลอมกับความคงที่ของระบบอวัยวะสำหรับสัตว์ทดลอง ตาเฒ่าในชุดยางพลิกหน้ากระดาษไปมาไม่กี่วินาทีก่อนที่จะส่งเอกสารนั้นให้ผู้ช่วยที่อยู่ข้างกาย
"ดี มาก"ด็อกเตอร์พูดกับตัวเอง เขาเดินวางท่าเข้าไปอยู่ท่ามกลางเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่กำลังกดคอมพิวเตอร์กันอย่างเคร่งเครียด ด็อกเตอร์เดินเข้าไปบนที่นั่งประจำของเขา เบื้องหน้ามีกราฟการเต้นของหัวใจและภาษาแปลกๆจำนวนมหาศาลที่คนไม่เรียนหมอไม่มีทางเข้าใจได้ ด็อกเตอร์เปลี่ยนหน้าการแสดงผลทุกๆหน้าและอ่านผลของมันอย่างใจเย็น ก่อนที่จะกลับมายังหน้าหลัก สายตาของนักวิทยาศาสตร์ผู้เป็นหัวหน้าทีมวิจัยกวาดตามองไปรอบๆห้องนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของการปฎิบัติการครั้งนี้อยู่ประจำตำแหน่งกันหมดแล้ว พวกเขาใส่ชุดป้องกันรังสีเต็มยศเช่นเดียวกับด็อกเตอร์ ส่วนคนอื่นๆที่ไม่ได้ทำการทดลองในแผนการนี้จะอยู่ข้างนอกห้องปฎิบัติการพิเศษ ด็อกเตอร์มองไปที่เจ้าหนูขาวที่ถูกล็อกประจำตำแหน่งเรียบร้อย
"เอาหละทุกคน พร้อมสำหรับการทดลองกับสิ่งมีชีวิตครั้งที่ 26 ของเราหรือยัง"ด็อกเตอร์ตะโกน แล้วหันหน้าไปหาทุกๆคน
"พร้อม ครับ/ค่า"เหล่าสหายนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมงานกันมาหลายเดือนต่างตะโกนตอบรับ แม้จะไม่โห่ร้องหรือแสดงอาการอะไร แต่ในสายตาใต้หน้ากากกันรังสีนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและยินดี
"อะแฮ่ม ถ้าหากงานนี้สำเร็จ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งการวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการทำพันธวิศวกรรม ซึ่งนอกจากชื่อเสียงเงินทองที่หลั่งไหลมาหาเราแล้ว เราจะได้เป็นผู้นำด้านการพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอาหารชนิดที่ไม่มีใครมาเทียบเคียงได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอำนาจของผลผลิตที่ยิ่งใหญ่และทนทานเหล่านี้ โอกาสที่เราจะขจัดความอดอยากบนโลกนี้ก็มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ พืชผลที่ทนต่อภัยแล้งและโรคระบาดซ้ำยังอร่อยและมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ปศุสัตว์ที่ออกลูกดกและให้เนื้อนมไข่ขนและอะไรก็ตามในปริมาณมากขึ้น คุณภาพดีขึ้น ด้วยสิ่งเหล่านี้เราจะช่วยชีวิตคนบนโลกนี้ได้มากแค่ไหน แม้แต่ผมยังคิดไม่หวาดไม่ไหวเลย เพื่อ อนาคต เพื่อ วิทยาศาสตร์ และ เพื่อ มนุษยชาติ มาทำให้ความฝันกลายเป็นประวัติศาสตร์กันเถอะเรา เต็มที่เลยทุกคน"ด็อกเตอร์พูดบทความปลุกเร้าจิตใจที่ได้ผลยิ่งกว่าที่ควรจะเป็น เสียงกู่ร้องเฮฮาดังก้องไปทั่วห้องปฎิบัติการพิเศษ สีหน้าของด็อกเตอร์เต็มไปด้วยความตื่นเต้น สายตาแน่วแน่จดจ่อไปที่อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์สุดแปลกเบื้องหน้า เขายิ้มอย่างพึงพอใจ
"ขออโหสิกรรมด้วยนะหนูน้อย แต่ว่า โลกต้องหมุนต่อไป และทุกอย่างมีราคาของมัน"ด็อกเตอร์หลับตาลงครู่หนึ่ง เขาปฎิบัติกับสัตว์ทดลองด้วยความเคารพเสมอ ทุกๆชีวิตมีค่า และบางครั้ง เพื่อสิ่งที่ดีกว่า มันต้องมีการเสียสละ
"ตั้งค่าเครื่องจักรทุกอย่างครบแล้วใช้มั้ย"ชายชราที่เป็นหัวหน้าทีมวิจัยเอ่ย ด็อกเตอร์แอนโทนีกวาดสายตาไปรอบๆห้องอีกทีเป็นครั้งสุดท้าย นักวิทยาศาสตร์ในชุดป้องกันรังสีทั้งหลายต่างมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตนเองตั้งค่าไว้ ไม่มีอะไรผิดปกติหรือผิดแผกไปจากที่วางแผนเอาไว้ พวกเขามองหน้ากันไปมาก่อนที่หนึ่งในนั้นจะหันหน้าไปทางด็อกเตอร์
"เรียบร้อยครับด็อกเตอร์ พร้อมปฏิบัติการทันทีที่มีคำสั่ง"ชายหนุ่มในชุดกาวน์ตอบ คนนี้ใส่ชุดกาวน์ทับชุดป้องกันรังสีไปเลย สีเหลืองกับสีขาวตัดกันได้เป็นอย่างดี ด็อกเตอร์หรี่ตาลงแล้วออกคำสั่งต่อไป
"ยอดเยี่ยม!!! ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มกันเลยดีกว่า คุณแตงโม ช่วยจดผลการทดลองและขั้นตอน
ทั้งหมดด้วยนะ ทางต้นสังกัดเค้าต้องการทุกขั้นตอนอย่างละเอียด"ด็อกเตอร์กล่าว แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่แตกโมต้องทำอยู่เป็นประจำแต่เขาย้ำเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ทุกคนในห้องนี้ดูตื่นเต้นกันมาก รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจและความเนื้อเต้นของหลายๆคน ยกเว้นแตงโมที่ยังคงทำหน้าเบื่อหน่าย เธอกำลังคิดว่า มันจะมีอะไรในชีวิตที่ทำให้เธอหลุดไปจากชีวิตอันน่าหน่ายนี้มั้ย แบบว่า อะไรที่น่าตื่นเต้นมากกว่าการทดลองสิ่งมีชีวิต หรือดัดแปลงพันธุกรรม ในยุคสมัยนี้หากไปเป็นนักผจญภัยยังทันมั้ยน้าาาา แต่ว่าไป เดี๋ยวพอเปลี่ยนอาชีพก็เบื่อเองแหละ ชีวิตนี้มันขาดสีสันจริงๆ เซ็งเป็ด
สาวน้อยในชุดกาวน์พยักหน้าเร็วๆ2-3ทีก่อนที่จะเขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษ พยายามทำท่าสนใจและตื่นเต้นมากที่สุดเท่าที่ทำได้
"ไฟฟ้าพร้อม เช็ค สารตั้งต้นพร้อม เสถียรดี เช็ค สัตว์ทดลองพร้อม เช็ค เครื่องฉายรังสี พร้อม"
คุณแตงโมพูดเสียงเรียบราวกับน้ำเสียงของเสมียนออฟฟิศแทนที่จะเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ เสียงอุปกรณ์และเครื่องจักรในห้องค่อยๆดังขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลอดใส่สารเคมีที่เชื่อมกับเครื่องฉายรังสีเริ่มเคลื่อนไหว เสียงที่ทำให้รู้สึกถึงพลังไฟฟ้ามหาศาล มีพลังงานบางอย่างถูกส่งไปที่แร่สีเขียวที่อยู่ในเครื่องจักรชิ้นนี้ จากนั้นมันก็เปล่งแสงสีเขียวนวลออกมา น้ำเลี้ยงในหลอดมีการเคลื่อนไหวไปมาและมีฟองอากาศผุดพรายขึ้น
แผงควบคุมและมิเตอร์ต่างๆส่งเสียงและลูกศรขยับไปยังจุดที่ควรจะเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์สั่นไหวอย่างเบา หลายๆคนที่ควบคุมเครื่องนี้อยู่หักคันโยกสีแดงสดหลายอัน ด็อกเตอร์แอนดี้หันไปมองแตงโมที่กำลังจดบันทึกสิ่งต่างๆอย่างสุดฝีมือ แล้วหันไปที่ตัวเครื่องจักรที่เขาควบคุมอยู่ เขาเปิดแผ่นโลหะสีน้ำเงินโคบอลต์ขึ้น เผยให้เห็นปุ่มสีแดงเชอร์รี่ที่รอบๆมีลายสีเหลืองสลับดำอยู่ มันถูกปกป้องอีกชั้นนึงด้วยโดมพลาสติกใส ด็อกเตอร์เปิดโดมพลาสติกนั้นออก สูดหายใจลึกๆ แล้วกดปุ่มสีแดงฉานอย่างมั่นใจ
ห้องทั้งห้องมีเสียงไซเรนดังขึ้นมา แสงไฟจากหลอดไฟนั้นฉายแสงสีฟ้ากับแดงขึ้นสลับกัน บรรยากาศมืดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เห็นแสงสีเขียวจากแร่ที่อยู่ในกระเปาะนั้นได้ชัดเจน พลังของเจ้าอุปกรณ์ฉายรังสีทำให้ห้องทั้งห้องสั่นไหว หน้าจอมอนิเตอร์ที่อยู่บนแผงควบคุมของด็อกเตอร์แอนโทนีเปลี่ยนเป็นสีดำ มีตัวเลขสีขาวนีออนกำลังนับถอยหลังด้วยเสียงอีเล็กทรอนิกส์
10. 9. 8. 7. 6. 5. 4. 3. 2. ....
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!"เสียงระเบิดรุนแรงดังขึ้นก่อนที่ผนังจะถล่มลงมา ชิ้นส่วนของเพดานของอาคารหล่นลงมาโดนเครื่องจักรฉายรังสีทำให้มันหันไปทางเหล่านักวิทยาศาสตร์ก่อนที่จะหมุนไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ ดีที่ชุดป้องกันรังสีออกแบบมาเพื่อป้องกันสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้น สะเก็ดระเบิดและควันจากซากเพดานทำให้หลายๆคนมองไม่เห็น ทุกคนกำลังตื่นตกใจและหาทางเอาตัวรอด ด็อกเตอร์แอนโทนี่ที่เป็นหัวหน้าทีมวิจัยมีสติดีกว่าใครและเดาได้ว่านี่เกิดอะไรขึ้นเลยรีบจูงมือแตงโมให้ไปหลบอยู่หลังกลุ่มควันก่อนที่จะขยับตัวอย่างช้าๆไม่ให้ใครสังเกตุเห็น
"ไป ไป ไป ไป๊ เร็ว!!! จับตัวเป้าหมายให้หมด เอาของไปตามแผน!!!"เสียงเข็มแข็งดุดันและหยาบกระด้างของชายฉกรรย์คนหนึ่งที่ใส่ชุดหน่วยรบพิเศษสีดำสนิททั้งตัว ท่าทางจะเป็นหัวหน้าทีมหน่วยรบที่บุกรุกเขามาในห้องทดลองนี้ เขาใส่แว่นตามองกลางคืนและเกราะกันกระสุน หมวกกันน็อคสีดำที่มีกระจกกันกระสุนบังด้านหน้า(และทับแว่นตามองกลางคืนเลนส์เขียวด้วย) ถุงมือผ้าและรองเท้าท็อปบู๊ต(คอมแบ็ต)สีเดียวกับยูนิฟอร์มทั้งหมด เข็มขัดสีเทาเข้มที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการทหาร ในมือของเขามีปืนไรเฟิลจู่โจมสีดำขึ้นเงากระบอกโตพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ เขาโรยตัวลงมาจากเชือกสีดำมายังห้องวิจัย เสียงรองเท้าและน้ำหนักตัวของเขาทระแทกพื้นทำให้ทุกคนตกใจกลัว ไม่นานนักเพื่อนๆที่ใส่ชุดแบบเดียวกับเขาก็โรยตัวลงมา ชายที่น่าจะเป็นหัวหน้าชุดจู่โจมมองไปรอบๆ หาคนที่น่าพึงพอใจในสายตาเขา หัวหน้าชุดดำก็ทำมือส่งสัญญาณบางอย่างแล้ววิ่งเหยาะๆออกไป เขาคนนั้นรีบไปจับตัวนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ใช้ปืนขู่ว่าจะยิงหากขัดขืนก่อนที่จะลากหนุ่มน้อยคนที่โดนเล็งไว้ออกมาจากกลุ่มคนอื่นๆ หัวหน้าชุดจู่โจมจับคนนั้นใส่กุญแจมือแล้วผูกกับเชือกที่ห้องลงมาจากด้านบน คนอื่นๆในทีมจู่โจมก็ทำแบบเดียวกัน ทุกคนในทีมชุดดำพยักหน้าแล้วกระชับอาวุธสงครามในมือ แล้วทำตามแผนการที่วางเอาไว้ คนแล้วคนเล่าที่หน่วยจู่โจมกลุ่มนี้พาตัวออกไป พวกนี้กำลังกวาดต้อนเป้าหมายของเขาเหมือนกับหมาต้อนแกะให้เข้าคอก หลังจากที่คนที่ถูกเลือกคนนั้นโดนเชือกดึงขึ้นไปด้านบนแล้ว เชือกเส้นใหม่ก็หย่อนลงมาอีกเพื่อรับคนอื่นๆขึ้นไป
พรรคพวกของเขาไม่รอช้า รีบออกไปตามหาคนอื่นๆที่หลบซ่อนอยู่ในอาคารซ่อนเร้นแห่งนี้ พวกเขาได้ยินเสียงร้องแล้ววิ่งหนีอย่างตื่นตระหนกของคนในตึกนี้ เลยตามไปอย่างไม่ลดละ ตามด้วยเสียงระเบิดที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า หน่วยชายชุดดำระเบิดประตูที่เปิดด้วยรองเท้าและกำปั้นไม่ออก พวกเขาได้รับมอบหมายภารกิจมาว่า ให้จัดการกวาดต้อนบุคลากรอันมีค่าในศูนย์วิจัยลับกลางป่านี้และเอาอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ส่วนที่ขนไปไม่ไหวก็ง่ายๆ ทำลายทิ้งซะอย่าให้เหลือ กฎหมายเอื้อมมือเข้ามาไม่ถึงในเขตแดนอันเป็นสถาณที่ต้องห้าม หน่วยจู่โจมเลยสามารถเข้ามากระทำการจารกรรมอย่างอุกอาจได้แบบสบายอารมณ์ คนแล้วคนเล่าถูกลากตัวมายังห้องปฎิบัติการพิเศษ ก่อนที่จะถูกส่งตัวขึ้นไปด้านบน อากาศยานขนาดกลางที่กำลังดึงเชลยเหล่านี้เพื่อที่จะส่งไปยังสถาณที่อันไม่ทราบว่าเป็นเช่นไร หน่วยจู่โจมหลายๆคนเองก็ถอนเครื่องจักรอย่างรวดเร็วด้วยสว่านไฟฟ้าและพละกำลัง รวมถึงเครื่องควบคุมเอ็มไซม์ด้วย
ระหว่างที่เหล่าหน่วยรบพันธุ์โหดกำลังจับตัวคนและขโมยข้าวของอย่างมันส์มือ ด็อกเตอร์กับแตงโมหมอบคลานไปยังห้องควบคุมอย่างแนบเนียนภายใต้ควันที่เกิดจากเพดานถล่ม นักรบคนหนึ่งยิงตู้เก็บตัวอย่างDNAจนพังกระจุยกระจายเพราะเห็นว่ายังไงDNAก็หาใหม่ได้แถมจะขนไปเองก็ไม่ไหวซะด้วยสิเลยทำลายทิ้ง ควันความเย็นจากตู้ที่ใช้รักษาสภาพของDNAฟุ้งออกมาจากท่อหน้าตาประหลาดสีเงินที่เชื่อมกับตู้ควบคุมอุณภูมิเนื่องจากโดนคมกระสุนตัดจนขาดสะบั้นทำให้ห้องทดลองแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยควันสีขาวขุ่นเย็นยะเยือกชั่วคราว ขวดใส่ของเหลวใสที่มีฉลากเขียนด้วยชื่อทางวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตปลิวว่อนไปทั่วห้องปฎิบัติการพิเศษ หลายขวดตกลงพื้นแตกกระจายจนของเหลวภายในเจิ่งนองเต็มพื้น หนึ่งในตัวอย่างDNAกระเด็นออกจากตู้ไปโดนกำแพงโลหะสีขาวจนขวดแก้วอันเปราะบางแตกกระจายคากำแพง ของเหลวที่อยู่ในขวดนั้นสาดกระเซ็นไปทั่ว รวมถึงโดนร่างหุ้มชุดป้องกันรังสีของแตงโมด้วย เธอตอนนี้โชลมไปด้วยของเหลวใสนั้นอย่างช่วยไม่ได้ ด็อกเตอร์กับแตงโมพยายามจะหนีเข้าไปในห้องควบคุมประชาสัมพันธ์ที่น่าจะปลอดภัย ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีเพราะมีควันจากระเบิดและเครื่องควบคุมอุณภูมิตู้เก็บตัวอย่างDNAบังไว้อย่างหนาแน่นทำให้หน่วยรบกระหายสงครามไม่เห็นตัวพวกเขา จนกระทั่งหนึ่งในหน่วยรบชุดดำตาเขียวเห็นตัวด็อกเตอร์กับแตงโมเป็นเงาตะคุ่มๆหลังม่านควันเข้า
"เฮ้ย ไอ้ที่มุดๆอยู่นั่นหนะ หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นยิง"หนึ่งในหน่วยรบชี้ปืนมายังด็อกเตอร์กับแตงโม แต่ว่าทั้งคู่ไม่หยุด และหวาดกลัวเกินกว่าที่จะหยุดด้วย
"ปั้ง!!! ปั้ง!!! ปั้ง!!! ปั้ง!!!"เสียงปืนสงครามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคราวนี้เป้าหมายที่ว่าคือด็อกเตอร์กับแตงโม เคราะห์ดีที่ด็อกเตอร์แอนโทนี่ เข้าไปในห้องควบคุมแล้วเลยปลอดภัย แต่ว่าแตงโมอยู่หน้าห้องกำลังจะเข้าไปเลยถูกยิงที่แขน ด็อกเตอร์ตั้งสติแล้วลากสาวน้อยเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว กำปั้นทุบปุ่มปิดสีแดงสดแล้วหมุนระบบล็อกจากภายในอย่างรวดเร็วก่อนที่หน่วยรบชุดดำจะเข้ามาถึงห้องควบคุมประชาสัมพันธ์ เสียงกระสุนปืนกระทบกับประตูโลหะดังสะท้อนไปทั่ว แต่ไม่มีกระสุนไหนเล็ดรอดเข้ามาในห้องนี้ เสียงทุบประตูโลหะอย่างมุ่งร้ายดังอย่างไม่หยุด ด็อกเตอร์แอนโทนี่กับแตงโมหมอบอยู่ใต้แผงควบคุมและหน้าจอมอนิเตอร์อย่างหวาดกลัวสุดหัวใจ เสียงปืนและเสียงกระแทกจากภายนอกค่อยๆหยุดลง
"ขอระเบิดเพิ่มหน่อย"เสียงอู้อี้จากข้างนอกดังขึ้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกนั้นจะทำอะไร ด็อกเตอร์กับแตงโมกอดกันตัวกลมแบบไม่สนความเป็นเจ้านายหรือลูกน้องแล้ว ด็อกเตอร์สวดภาวนาขอความคุ้มครองจากพระผู้เป็นเจ้า ส่วนแตงโมสวดแผ่เมตตาอย่างร้อนรน ทั้งคู่กอดกันแน่นแถมตัวสั่นเทาเหมือนเป็นมาลาเรีย น้ำหูน้ำตาไหลพรากอย่างหมดสิ้นความอาย อีกไม่นานคงฉี่ราด เสียงมัจจุราชด้านนอกช่างฟังดูคุกคามหน้ากลัวชวนให้อยากร้องไห้
"ถ้ารอดไปได้ หนูจะเป็นเด็กดี จะตั้งใจทำงานสุจริต ไม่บ่นไม่เบื่อไม่ของานที่มันตื่นเต้นอีกแย้ว จะทำบุญเก้าวัด จะบวชชีด้วย เออ อาจจะนะ"แตงโมพูดเสียงสั่นเครือแบบเดียวกับคนอกหัก น้ำตาไหลพรากเป็นสายน้ำลำธาร น้ำลายไหลด้วยเพราะกลัวจนปากเกร็งเหมือนเป็นโรคกลัวน้ำ กอดด็อกเตอร์เหมือนกับตอนที่เธอกอดพ่อตัวเองที่บ้าน เธอยังเด็กเกินกว่าที่จะตาย กระจกชุดป้องกันรังสีของเธอฝ้าขึ้นเพราะหายใจแรง
"ถ้าผมรอดไปได้ จะไม่มาทำการทดลองอีกแล้ว จะไปสมัครเป็นอาจารย์มหาลัย จะทำบุญเก้าโบสถ์ จะบวชเป็นบาทหลวงด้วย"ด็อกเตอร์แอนโทนี่ เจลโล่ หมดสิ้นมาดชายชราผู้เปี่ยมไปด้วยความทระนงและความภาคภูมิ ตาของเขาเบิ่งกว้าง ปากสั่นเหมือนอมนกกระจิบเป็นๆอยู่ในปาก เหงื่อแตกพลั่ก ในหัวคิดแต่เรื่องว่าจะเอาตัวรอดออกไปจากนรกแห่งเทคโนโลยีนี้ยังไง ประตูนี้กันกระสุนปืนได้ แต่ไม่รู้ว่ามันกันระเบิดได้หรือเปล่า เสียงกระแทกประตูโลหะดังสะท้อนในห้องควบคุมเหมือนกับระฆังจากมิติของคนตาย ที่จะเรียกให้ด็อกเตอร์กับแตงโมตามไปอยู่ด้วย
"ระเบิดหมดแล้ว เวลาก็ด้วย เร็วๆๆ"อีกเสียงหนึ่งดังออกมาจากนอกห้อง เสียงกระแทกประตูสงบลงแล้ว ด็อกเตอร์กับแตงโมหยุดร้องไห้ ทั้งคู่มองหน้ากันไปมาและหัวเราะเบาๆ แต่ทั้งร่างกายยังสั่นอยู่ ทั้งสองยิ้มแหยๆเมื่อได้ยินว่าตัวเองน่าจะรอดตายแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ที่นี้ก็แค่รอจนกว่าจะมั่นใจว่าพวกนักรบไปกันหมดแล้ว
"ปิดห้องนี้ทิ้งเลย ให้พวกมันแห้งตาย จะได้รู้ว่าขัดขืนเราแล้วจะเป็นยังไง พูดดีๆด้วยไม่ชอบ"รอยยิ้มของด็อกเตอร์กับแตงโมตีลังกากลับด้านทันทีที่ได้ยินคำสั่งจากด้านนอก เสียงลากโลหะดังขึ้น และเสียงเอะอะโวยวายกับเสียงกระแทกกันของโลหะดังขึ้นอีกครั้ง ด็อกเตอร์กับแตงโมมองหน้ากันและคลายการกอดออก ถอยออกมาห่างจากประตู แล้วมองที่จอมอนิเตอร์ที่แสดงผลจากกล้องวงจรปิด กล้องในห้องปฎิบัติการพิเศษเผยให้เห็นว่าพวกหน่วยรบเอาซากเครื่องจักรขนาดใหญ่มาขวางทางไม่ให้ใครเข้าออกห้องควบคุมได้ พวกนั้นเอาเชือกกับตาข่ายพันกับเครื่องฉายรังสีที่อยู่กลางห้อง ก่อนที่พวกเขาจะไต่เชือกกลับขึ้นไปด้านบนที่เดียวที่พวกเขาเข้ามา หัวหน้าทีมจู่โจมหันมาทางกล้องวงจรปิดประจำห้องปฎิบัติการพิเศษแล้วเล็งปืนใส่จากนั้นภาพกล้องวงจรปิดก็ดับไป
"งานเข้าแล้วไง"ด็อกเตอร์แอนโทนี่ค่อยๆยืนขึ้น มองไปทางประตูโลหะที่เขากับแตงโมเข้ามา แต่ เขากับแตงโมจะไม่ได้ออกไปจนกว่าจะมีใครหรืออะไรทำให้กองเศษเหล็กที่ปิดทางออกเดียวของพวกเขาย้ายไปที่อื่น ทันใดนั้นเสียงเหมือนกับแผ่นดินไหวรุนแรงดังขึ้น ทุกอย่างในอาคารนี้กำลังสั่นไหว เหมือนกับว่ามีอะไรที่มีแรงมหาศาลกำลังเขย่าตึกทรงครึ่งวงกลมนี้อย่างรุนแรง เสียงเหมือนเหล็กกล้ากำลังถูกบิดงอและฉีกกระชากดังขึ้น เสียงแสบแก้วหูพวกนี้กำลังทำให้ด็อกเตอร์เป็นบ้า แตงโมถอยออกห่างจากประตูนั้นอย่างหวาดกลัว ในที่สุดก็เกิดเสียงเหมือนเหล็กกระทบกันอย่างรุนแรง แล้วก็เสียงไฟฟ้าลัดวงจร เสียงสายไฟฉีกขาด ในที่สุดด็อกเตอร์ก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างนอก
"พวกนั้น มันถอนเอาเครื่องฉายรังสีไป พวกมันมาด้วยเฮลิคอปเตอร์ แล้วใช้คอปเตอร์ดึงเครื่องฉายรังสีขึ้นไป เราติดกับแล้ว เฮ้ออออ เราไม่น่าหนีเลย"ด็อกเตอร์ทำหน้าตาเศร้าหมอง เขานั่งลงแล้วกำลังคิดว่าควรทำยังไงต่อไปดี สายตาสิ้นหวังที่อยู่ใต้หมวกกันรังสีนั้นฉายออกมาได้อย่างไม่สามารถปกปิดได้ นี่เขากับผู้ช่วยคู่ใจต้องมาตายในที่แบบนี้เหรอเนี่ย
"อย่างน้อยเราก็ยัง..."
ตู้มมมมมมมม!!!!!! เปรี้ยงงงง!!!!! แหว่ววว แหว่ววว แหว่วววบรึ้มมมมม!!!!!!!
"นั่นเสียงอะไรหน่ะ"แตงโมกระโดดเหยงด้วยความตกใจ เสียงอะไรบางอย่างที่เหมือนกับการระเบิดครั้งใหญ่ แต่ว่าอยู่ห่างออกไป เสียงระเบิดครั้งสุดท้ายทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ทุกอย่างเงียบสนิทหลังจากการระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น แล้วก็มีเสียงเหมือนกับว่ากระจกแตกอยู่ข้างนอก ไฟฟ้าในห้องควบคุมกระพริบเหมือนกับว่าเกิดอาการไฟตกขึ้น จนกระทั่งทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ไฟฟ้ากลับมาเป็นปกติ แต่ปริศนาครั้งใหญ่คือเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น พวกมันระเบิดตึกนี้ทิ้งหรือเปล่า ไม่น่าใช่ หรือว่าพวกนั้นทำระเบิดหลุดมือบนเครื่องเฮลิคอปเตอร์ ระเบิดพวกนั้นหมดแล้วหนิ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เราไม่มีทางรู้และไม่น่าจะจำเป็นต้องรู้ด้วย สิ่งที่เราควรจะรู้คือเราจะอยู่ยังไงให้รอด ในห้องนี้จะมีเสบียงอาหารและน้ำสะอาดมากพอจะให้เราอยู่รอดมั้ยน้า
"ช่างมันเถอะ เราต้องหาเสบียง และเท่าที่ผมจำได้ เรามีเสบียงกับน้ำสำรองไว้ในห้องนี้อยู่"ด็อกเตอร์พูดก่อนที่จะออกสำรวจห้องนี้ แตงโมพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ว่าแขนข้างที่ถูกยิงทำให้ทำอะไรไม่ถนัด หนำซ้ำเลือดยังไหลจากปากแผลไม่หยุด ด็อกเตอร์แอนดี้เห็นดังนั้นเลยเดินเข้ามาหา
"แตงโม เธอไม่ต้องใส่ชุดกันรังสีแล้วก็ได้นะ ไม่มีประโยชน์แล้ว ถอดออกเถอะจะได้ทำแผลให้"ด็อกเตอร์เห็นว่าชุดกันรังสีของแตงโมขาดแล้วและไม่สามารถป้องกันอะไรได้แล้วเลยแนะนำอย่างนั้น แตงโมเห็นอย่างนั้นเลยยอมถอดชุดป้องกันรังสีสีเหลืองเข้มขอบเทาออก หมวกทรงกระบอกหนักอึ้งที่ทำมาจากวัสดุป้องกันรังสีหลายชนิดหุ้มด้วยยางสีเหลือง ส่วนอื่นๆของชุดป้องกันเองก็ค่อยๆทยอยโดนถอดออกมาโดยผู้สวมใส่ ร่างเล็กๆของแตงโมเผยออกมาให้ด็อกเตอร์เห็น เธอถอดชุดนั้นออกแล้วใช้เศษกระดาษทิชชู่ที่อยู่ในห้องควบคุมซับแผล ด็อกเตอร์พยายามหากล่องพยาบาลแต่ว่าในห้องนี้ไม่มีอะไรที่ใช้รักษาพยาบาลได้เลย จะว่าไป ด็อกเตอร์เจอน้ำเปล่าแพ็คใหญ่กองอยู่ตรงมุมห้องกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งลังและขนมขบเคี้ยวกล่องใหญ่
"เรามีข่าวดี ผมเจอเสบียงอาหารที่น่าจะอยู่ได้เป็นเดือน แต่เราไม่รู้ว่าเราจะอยู่ได้นานพอที่ความช่วยเหลือจะมาถึงหรือเปล่า คงได้แค่ลุ้นสินะ นอกจากนี้ยังไม่มียาหรืออะไรที่จะรักษาแผลของเธอได้เลย"ด็อกเตอร์พูดภายใต้ชุดป้องกันรังสีอย่างหดหู่ เขารู้สึกถึงความสิ้นหวังน้อยๆ ความวังเวงในห้องแคบๆอันน่าอึดอัดที่มีแค่พวกเขา สองคน และที่แน่ๆ เขาไม่ได้คิดอะไรลึกลับมากมายเกี่ยวกับแตงโมเลยแม้จะอยู่กันสองต่อสอง จริงๆ เขาหมดสมรรถภาพทางเพศไปหลายปีแล้ว นกเขาหยุดขัน มังกรหยุดบิน ทิ้งไว้แค่ต้นคริสมาสแก่ๆโกร๋นๆที่มีลูกบอลประดับไว้เฉยๆ ส่วนแตงโมเองก็ ก็น่ารักอะนะแต่ไม่ใช่แบบนั้น เธอเหมือนกับคนตัวเล็กๆที่มีความน่าเอ็นดูมากกว่าเอามาเป็นคู่ครอง เหมือนคนแคระน่ารักๆที่ใช้ประดับสวนหลังบ้าน แถมบุคลิกภาพที่ชอบทำหน้าซังกะตายอยู่ตลอดเวลา ไม่น่าจะช่วยนะในสถาณการณ์แบบนี้
"เอางี้ เราต้องมีหวัง เราต้องไม่ หยุดที่จะอยู่บนโลกนี้ มิสเตอร์เพอร์เพิลสูทจะต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมาช่วยพวกเราแน่ๆ อีกอย่าง เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เราไม่โดนทิ้งหรอก"แตงโมพยายามที่จะปลุกความมัั่นใจในตนเอง แม้ว่าจะรู้สึกท้อถอยและสิ้นหวัง แต่ว่า เธอรู้สึกได้ถึงความหวัง และพลังงานประหลาดที่ไหลอยู่ในตัวของเธอ เธอรู้สึกมีกำลังวังชาอย่างแปลกประหลาด แต่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้พวกเขาออกไปจากห้องรกๆที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้านี้ได้ ด็อกเตอร์ยิ้มน้อยๆแล้วผงกหัว ผู้ช่วยของเขา เรียนรู้ที่จะทำตัวให้น่าเบื่อน้อยลงแล้ว
"เราจะต้องอยู่ต่อไป"ด็อกเตอร์พูด สายตาที่อยู่ใต้ชุดป้องกันรังสีเริ่มดูมีความหวังเพิ่มมากขึ้น เขาจินตนาการภาพในหัวของตัวเอง ความช่วยเหลือตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างนอกนั่น เขากับแตงโมตะโกนตอบ แล้วก็มีเสียงลากโลหะออกไปจากหน้าประตู เขาเปิดประตูแล้วหน่วยกู้ภัยในชุดสีส้มสะท้อนแสงและหมวกกันกระแทกสีเหลืองสดกับทีมงานพาพวกเขาออกไปจากห้องกระจ้อยร่อยนี้ มันคงจะดีถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ต่อให้ต้องเจอคำวิภาควิจารย์หรือโดนโห่ไล่จากผู้คนภายนอก แต่เขายอมทุกอย่างเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ว่า การติดต่อถูกตัดขาดด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่รู้สาเหตุ การขอความช่วยเหลือทั้งหมดไปยังต้นสังกัดไม่มีการตอบรับ คอมพิวเตอร์หลายเครื่องที่นี่มีบางอย่างที่ฟังดูแปลกประหลาด มันมีโปรแกรมบางอย่างเข้ามาแทรกแซง ชื่อของมันคือ Cocktail Command และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีสัญลักษณ์รูปถาดอาหารสีเงินกับแก้วทรงสามเหลี่ยมสีม่วงใสขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ การที่เราจะควบคุมให้คอมพิวเตอร์ส่งสัญญาณออกไปนั้นแทบไม่เป็นผล
"มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย cocktail command มันคืออะไร ทำไม อ้าว ดับซะแล้ว"ด็อกเตอร์แอนโทนี่พยายามจะควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องควบคุม แต่ว่าระบบทุกอย่างที่สามารถสื่อสารออกไปข้างนอกได้นั้นขึ้นสัญลักษณ์น่าประหลาดรูปถาดสีเงิน ไม่มีการติดต่อใดส่งออกไปข้างนอกได้เลย รวมถึงไม่สามารถติดต่อมิสเตอร์เพอร์เพิลสูท ต้นสังกัดที่เป็นเจ้าของโครงการกลางป่านี้ได้เลย ทุกอย่างดูเงียบและสิ้นหวัง การที่ต้องติดแหง็กอยู่ในห้องเล็กๆที่มีเสบียงอาหารและน้ำจำกัด อยู่กันแค่สองคน หนึ่งในนั้นก็ชราภาพเกินกว่าที่จะดันเครื่องจักรกลหนักอึ้งออกไปจากหน้าประตูได้ อีกหนึ่งก็บาดเจ็บจากคมกระสุนปืนสงคราม โอกาสที่จะได้ออกไปจากคุกที่ตนเองสร้างขึ้นมานั้น ถ้าไม่มีใครมาปลดปล่อย ก็ไม่มีโอกาสจะได้ออกไปเลย
เคราะห์ดีที่บาดแผลของแตงโมนั้นไม่ติดเชื้อและสมานตัวได้อย่างเร็วกว่าปกติ เพียง5วัน แผลกระสุนที่อยู่บนแขนของแตงโมก็สมานตัวอย่างสมบูรณ์ ไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้เลย แต่ข่าวร้ายค่อยๆตามมาและมันน่ากลัวยิ่งกว่าที่คิดไว้ รังสีที่อยู่บนชุดของแตงโมตอนที่เพดานถล่มแล้วเครื่องฉายรังสีหันมาทางเธอกับคนอื่นๆ เอ็มไซม์สีเหลืองเข้มที่สาดกระจายไปทั่วห้องเพราะเพดานทับกับตัวอย่างDNAของอะมีบาที่ติดอยู่บนชุดป้องกันรังสี เมื่อชุดขาด สิ่งเหล่านี้ไปรวมอยู่ในบาดแผล เข้าสู่กระแสเลือดและเป็นส่วนหนึ่งของระบบร่างกายของแตงโม ร่างกายของสาวน้อยที่น่าสงสารเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าสยดสยอง เธอหิวกระหายน้ำและอาหารอย่างหนักแบบไม่เคยเป็นมาก่อน และมันแย่ยิ่งกว่าตอนที่ผู้หญิงเม็นมาหลายเท่า มีอาการปวดหัวตัวร้อนแต่ไม่นานนักก็อาการก็หายไปแต่มันก็กลับมาอีกเรื่อยๆ มีอาการปวดเมื่อยแบบแปลกๆไปทั้งตัว จนกระทั่งเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง เธอตัวบวมเป็นแผลพุพองไปทั้งตัวราวกับโดนรมแก๊สมัสตาร์ดมายังไงอย่างงั้น ผิวหนังส่วนที่บวมออกมาค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นรุ่นของสัตว์เซลล์เดียวที่เรียกว่าเยื่อหุ้มเซลล์และมันใสขึ้นจนเห็นชั้นผิวหนังแท้ที่อยู่ด้านใน เธอเจ็บปวดแบบชนิดที่ว่าไม่สามารถอธิบายได้ เหมือนแผลฟกช้ำผสมน้ำร้อนลวก ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ร่างกายของเธอเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตัวของเธอใสขึ้น นิ่มขึ้น และเจ็บน้อยลงเมื่อพยายามขยับตัว ในที่สุด เธอก็กลายเป็นสีฟ้าใสและดูเหมือนมีเยลลี่หุ้มอยู่ทั้งตัว เธอไม่ใช่คนอีกต่อไป
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชั้นเนี่ย โอยยยย"แตงโมครวญคราง เธอมองมือของตัวเองและร่างกายที่กำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ การผสานสารพันธุกรรมที่แปลกประหลาด มันเปลี่ยนแปลงร่างกายของเธอจนน่ากลัว ใจเธอสั่นไม่ใช่เพราะหัวใจเต้นแรง แต่เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันในชีวิต ท้องเธอหิวและร้องจ๊อกๆอย่างบ้าระห่ำ ร่างกายต้องการพลังงานมากเวลาที่เกิดการเปลี่ยนรูปร่าง กายาของเธอโรยราและเหนื่อยอ่อน
"ผมเองก็ไม่รู้ แต่ว่า เราพูดเรื่องอื่นดีกว่าเนอะ อย่างเช่น เออ ดูวิวข้างนอกผ่านกล้องวงจรปิดดีกว่า น่าจะช่วยให้ผ่อนคลายได้"ด็อกเตอร์พูดเสียงเหนื่อย ไม่ใช่แค่แตงโมที่รู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะกลายเป็น ด็อกเตอร์ก็รู้สึกสยดสยองกับสิ่งที่เห็นเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่ารังสีมหัศจรรย์นั่นกับเอ็มไซม์และสารพันธุกรรมเพียงเล็กน้อยจะเปลี่ยนคนๆหนึ่ง คนที่เขาคุ้นเคยสนิทสนมด้วย คนที่เคยเป็นผู้ช่วยคู่ใจหน้าตาซังกะตาย ให้กลายเป็น อะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกแย่ทุกครั้งที่มองเธอ ผลงานชิ้นโบว์แดง ผลงานที่เขาทุ่มเวลานับสิบปีในการสร้าง กลับทำให้เขาได้เห็นถึงด้านมืดของเทคโนโลยีพันธุกรรมศาสตร์และวิวัฒนาการจำลอง ได้เห็น ได้สัมผัส และได้อยู่เคียงข้างแบบถ้าเป็นการแสดงละคร เขาได้ที่นั่งVIPเกาะขอบเวทีเลย
"วิวไม่ช่วยหรอก แฮก แล้วถ้าหากมีใครมาเจอเข้า แฮ็กๆๆ เขาจะยังอยากช่วยหนูอยู่มั้ยเนี่ย หรือ เขาจะรู้ว่าหนูเคยเป็นคนมาก่อนหรือเปล่า แล้วอนาคตหนูหละ ดารางานวัดเหรอ ชั้นไม่ได้อุตส่าห์เรียนมหาลัย8ปีเพื่อที่จะใช้ชีวิตที่เหลือในสวนสัตว์ หนูกลัว"แตงโมเริ่มถูกความกลัว ความลังเลใจ ความสิ้นหวัง เข้าครอบงำ เธอจะยังคงสติสัมปัญชัญญะของคนไปได้อีกนานแค่ไหน ถ้าวันนึงเธอกลายเป็นก้อนวุ้นที่ต้องอยู่ในหลอดทดลองไปตลอดชีวิตหละ ชื่อของเธอจะไปอยู่ในรายการคนหาย คนหายที่ไม่มีใครหาเจอ หรือต่อให้เจอ ก็มีแต่คนไล่กำจัดเพราะนึกว่าเป็นปีศาจ แค่คิดก็รู้สึกเสียวสันหลังปนหดหู่แล้ว
อาการทางร่างกายว่าแย่แล้ว แต่จิตใจที่บอบช้ำนี่สิ ทุกครั้งที่เธอเปลี่ยนไป ทุกความจ็บปวดที่ได้รับ นับวันเธอยิ่งแตกต่างจากการเป็นคนปกติไปทุกที ผิวหนังของเธอที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีเนื้อกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าใส เธอเครียดที่ว่าจะกลับไปอยู่ในสังคมยังไงในเมื่อเธอกลายเป็น อะไรก็ตามที่เธอไม่สามารถเรียกได้เต็มปาก คนก็ไม่ใช่ อะมีบาก็ไม่เชิง ถ้าพ่อแม่ถามก็คงไม่รู้จะตอบยังไง อย่าว่าแต่ตอบเลย เค้าจะยังจำได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย เธอกลายเป็นสัตว์ประหลาด ที่แม้ยังคงสมองของมนุษย์อยู่ แต่ว่า เธอจะทนรับสภาพของตัวเองไปได้นานแค่ไหน แม้จะไม่สบายตัวเพราะผิวชั้นนอกบวมขึ้นมาและกลายเป็นเยื่อแหยะๆแต่เธอยังคงพยายามที่จะใส่เสื้อกาวน์และเสื้อผ้าอื่นๆเพื่อที่จะทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์อยู่ มันทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นสาวน้อยนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สัตว์ทดลองที่เกิดจากความล้มเหลว
เสบียงค่อยๆหดหายไปตามการบริโภค ยิ่งแตงโมต้องการอาหารมากขึ้นเพราะร่างกายที่เปลี่ยนไปทำให้เสบียงหดหายลงไปเรื่อยๆ ด็อกเตอร์ยอมสละอาหารบางส่วนของตัวเองเพื่อให้แตงโมได้กิน วันแล้ววันเล่าผ่านไป ด็อกเตอร์ยังคงใส่ชุดป้องกันรังสีอยู่และถอดออกเมื่อจำเป็นต้องถอดเท่านั้น เขาผอมแห้งและอ่อนแอลง ส่วนแตงโมเองก็จมปลักอยู่ในความหวาดกลัว ความหวังค่อยๆริบหรี่ลง ทุกครั้งที่หลับตาลงนอน ทั้งคู่ได้แต่หวังว่านี่เป็นเพียงแค่ฝันร้าย ฝันร้ายที่เมื่อลืมตาตื่นมันจะหายไป แต่ทุกๆวันที่ตื่นขึ้น ทั้งคู่อยู่ในห้องควบคุมประชาสัมพันธ์อันคับแคบ แตงโมยังคงมีร่างกายผิดธรรมชาติอยู่และมันแย่ลงเรื่อยๆ การช่วยเหลือยังมาไม่ถึง พวกเขาจะต้องจบชีวิตลงที่นี่จริงๆเหรอ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์จางลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับสติและความเป็นคนของทั้งสอง จนกระทั่ง
วันที่หมู่หมูมะนาวมาเยือนอาคารแห่งนี้ ในภาพจากกล้องวงจรปิด หมวดเอกเดินนำกลุ่มคนเข้ามายังลานหน้าอาคารแห่งนี้ ด็อกเตอร์รีบหาเครื่องมือสื่อสารสำหรับติดต่อออกไปข้างนอกทันที และเครื่องมือที่จะติดต่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ข้างนอกนั้นคือวิทยุประชาสัมพันธ์ที่ติดอยู่หน้าประตู ด็อกเตอร์และแตงโมรีบคว้าโอกาสรอดนี้อย่างไม่ลังเล
"ถ้าชีวิตไม่ยังสิ้น มันก็ต้องดิ้นให้รอดสิว๊ะ"ด็อกเตอร์แอนโทนี่คว้าอุปกรณ์ที่ดูคล้ายๆกับไมโครโฟนทรงสี่เหลี่ยมขึ้นมาแล้วกดเปิด เขาเสียบสายเชื่อมต่อไมโครโฟนไปยังรูที่เขียนว่า ประตูหน้า แล้วเขาก็เริ่มติดต่อหมวดเอก
"ซ่าาาาา ฮัลโหล โอ้ ขอบคุณสวรรค์ มีคนมาช่วยเราแล้ว"นี่คือเสียงของด็อกเตอร์ที่ส่งต่อผ่านลำโพงอันนั้นจนออกไปหาหมวดเอก แล้วในจอภาพที่แสดงผลของกล้องวงจรปิดหน้าประตู หมวดเอกทำท่าตกใจและแสดงอาการตอบรับ
"เออ นี่ คุณเป็นใคร ขอทราบหน่อย แล้วที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น"มีปฎิกิริยาตอบรับ เสียงของชายที่อยู่หน้ากลุ่มดังเข้ามาในสายการพูดคุยและออกมาจากลำโพงน้อยๆที่อยู่ในห้องควบคุม
"ด็อกเตอร์ ข้างหลังพวกเค้า มีหมีกำลังมา"แตงโมชี้ไปที่หน้าจอหนึ่งที่มีองศาการมองเห็นสูงกว่าที่จอแรกแสดงผล ต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังพวกเจ้าหน้าที่สั่นไหว หัวหนึ่งของเจ้าหมีหลายหัวชูขึ้นมาอย่างชัดเจน มันกำลังตามพวกเจ้าหน้าที่ป่าไม้มา
เธอดีใจที่ยังคงสามารถพูดได้อยู่ แม้ว่าตัวเธอจะเปลี่ยนไปมากแล้ว แตงโมรู้สึกมีความหวัง มีคนกำลังจะมาช่วยพวกเราแล้ว แต่ในทางกลับกัน เธอกลัว กลัวว่าพวกนั้นจะคิดว่าเธอเป็นสัตว์ร้ายแล้วตัดสินใจกำจัดเธอซะ หรืออะไรที่แย่ยิ่งกว่านั้น แล้วถ้าพวกนั้นเป็นพวกเดียวกับกลุ่มชุดดำที่บุกมาในตอนแรกหละ คงไม่ต้องสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
"ขอบใจนะแตงโม เดี๋ยวผมเตือนพวกเขาเอง"ด็อกเตอร์ตอบ แล้วหันไปทางไมโครโฟน
"ข้างนอกไม่ปลอดภัย เข้ามาข้างในก่อน เรียกผมว่าด็อกเตอร์ก็แล้วกัน หมีกำลังมา"ด็อกเตอร์ตะโกนใส่ไมโครโฟน ทันทีที่พวกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ข้างนอกนั่นได้ยิน พวกเขาก็กิดอาการแตกตื่นโวยวายและหาทางหนี
.
.
.
.
.
ทุกอย่างแม้จะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ แต่ว่าพวกเจ้าหน้าที่ป่าไม้รอดจากการโจมตีอันทรงพลังของหมีป่าหลายหัวและก้อนตะไคร่กระหายน้ำได้ พวกเขาผ่านอุปสรรค์มากมายกว่าจะฝ่าฟันเข้ามายังห้องปฎิบัติการพิเศษ ได้ พวกเขาผ่านห้องคัดเลือกตัวอย่างทดลองเบื้องต้น(ห้องแรกที่เชื่อมกับเรือนกระจก)
ด็อกเตอร์ตัดไฟห้องนั้นซะผ่านแผงควบคุมไฟฟ้าในห้องนี้เพื่อที่จะให้มีกำลังไฟฟ้ามากพอที่จะเปิดประตูถัดไปได้ หลังจากการโจมตีของหน่วยรบชายชุดดำขี่เฮลิคอปเตอร์ ระบบไฟฟ้าของอาคารหลังนี้ถูกทำลายไปหลายส่วนทำให้กำลังไฟฟ้ามีปัญหา
นอกจากนั้นการติดต่อกับเหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ยังไม่ได้ผลเพราะลำโพงของห้องนั้นเสียหายมากเกินกว่าที่จะใช้สื่อสารได้
"ด็อกเตอร์"แตงโมเดินเข้ามาหาด็อกเตอร์ ทำท่าทางไม่สบายใจ
"มีอะไรเหรอ"ด็อกเตอร์ทำท่าทางประหลาดใจ เขากำลังตื่นเต้นสุดๆที่จะมีคนมาปลดปล่อยเขากับแตงโมแล้ว แววตาของด็อกเตอร์ดูเปี่ยมไปด้วยความหวัง
"ถ้าพวกเค้ามาช่วยเราได้ ด็อกเตอร์อย่าทิ้งหนูนะ หนูไม่รู้จะทำยังไงหรือไปที่ไหนแล้ว"แตงโมกอดเอวด็อกเตอร์แน่น เธอกลัวว่าถ้าหากด็อกเตอร์ได้รับความช่วยเหลือ เขาอาจจะทิ้งเธอไปแล้วหาผู้ช่วยคนอื่นที่ แบบว่า ดูเหมือนมนุษย์มากกว่าเธอ
"ได้อยู่แล้ว เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เมื่อได้เป็นอิสระ ผมจะหาทางแก้ไขสิ่งแปลกประหลาดทั้งหมดที่ผมเป็นคนก่อนี้เอง ถ้าหากสำเร็จ เธอก็จะกลับมาเป็นคนเต็มร้อยเหมือนเดิม ผมให้สัญญา มา นิ้วก้อย"ด็อกเตอร์ยิ้มอย่างอบอุ่นใต้หน้ากากกันรังสีนั้น แววตามุ่งมั่นและหยิ่งทระนงองอาจของนักวิทยาศาสตร์เฒ่ากลับมาอีกครั้ง เช่นเดียวกับตอนที่ทำการวิจัยครั้งสุดท้ายก่อนที่กลุ่มชายชุดดำจะแห่กันบุกเข้ามา แขนลีบๆยกขึ้น นิ้วก้อยของด็อกเตอร์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือยางกันรังสีดำสนิทชูออก
"นิ้วก้อย"แตงโมชูสิ่งที่น่าจะเป็นนิ้วก้อยสีฟ้าใสของเธอเกี่ยวกับนิ้วก้อยของด็อกเตอร์ ใต้แว่นกลมหนานั้น สายตาของเธอมีสิ่งที่ยังคงบ่งบอกได้ว่า เธอยังเป็นคนอยู๋ แม้ว่ารูปกายภายนอกของเธอจะทำให้นึกถึงรูปปั้นน้ำแข็ง แต่ภายใน ในจิตใจ ในสมอง ความเป็นมนุษย์ของเธออยู่เหนือสัญชาติญาณของสัตว์เซลล์เดียวอย่างอะมีบา และเธอจะไม่ยอมให้ความนึกคิดของเธอกลายเป็นของสิ่งมีชีวิตจำพวกโพรทิสตาเด็ดขาด ฉันจะอยู่ต่อไป และจะอยู่อย่างมนุษย์ด้วย
"ดี ชีวิตต้องก้าวต่อไป ไม่ว่าเธอจะเป็นตัวอะไร เธอจะเป็นผู้ช่วยของผมเสมอ"ด็อกเตอร์ทำสีหน้ามั่นใจ ร่างผอมแห้งใต้ชุดป้องกันรังสีเต็มยศมองจอมอนิเตอร์ที่แสดงภาพจากกล้องวงจรปิด เหล่าอัศวินม้าขาว ผู้ที่จะมาปลดปล่อยเราจากซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยสิ่งไม่เป็นมงคลและอดีตอันเจ็บปวด ห้องทดลองที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งวิปริตที่ทำให้ป่าทั้งป่ากลายเป็นขุมนรกรายล้อมไปด้วยสัตว์ประหลาดชีวภาพ
จะว่าไปเหล่าอัศวินม้าขาวที่ว่าผ่านห้องอนุบาลไข่มาได้อย่างทุลักทุเล พวกเขาร้องเล่นเต้นระบำฝ่าดงตัวอ่อนกลายพันธุ์มาได้อย่างไร้ความสูญเสีย นักรบที่ดีต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้กำลังอาวุธและเมื่อไหร่ที่ควรจะใช้สันติวิธี บทเพลงบรรเลงและความคึกคักทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ผ่านอุปสรรค์มาได้ พวกเขามีปัญหากับตู้ไฟแต่ก็เปิดประตูได้ในที่สุด
ห้องอื่นๆเป็นปริศนา กล้องวงจรปิดถูกทำลายเช่นเดียวกับลำโพงสื่อสาร ด็อกเตอร์กับแตงโมได้แต่ลุ้นกันตัวโก่งว่าพวกเขาจะหาตัวเราเจอหรือไม่ ท่ามกลางความมืดบอดของอาคารอันสลับซับซ้อนที่เต็มไปด้วยสิ่งอันตราย หลายห้องมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่พึงประสงค์อยู่ หลายห้องเองด็อกเตอร์ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เพราะกล้องวงจรปิดเสียหาย หากเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาถึงนี่ได้ คงต้องใช้ไหวพริบเยอะเอาการ หวังว่าพวกเขาจะเข้ามาในห้องปฎิบัติการพิเศษ แล้วมาช่วยชีวิตพวกเราได้อย่างราบรื่นด้วยเถิด
"พวกเขาจะมาถึงนี่มั้ย"แตงโมพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ ด็อกเตอร์หันมาหาแตงโมอย่างช้าๆ ลูบหัวหยึยๆของแตงโมเบาๆ แล้วตอบว่า
"พวกเขาอุตส่าห์ฝ่าฟันอุปสรรค์ป่าเขาลำเนาไพรและอันตรายสารพัดสารพันเพื่อมาที่นี่ พวกเขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกจนกว่าภารกิจที่พวกเขาได้รับมอบหมายมาจะสำเร็จลุล่วงไป เราเองก็เช่นกัน"ด็อกเตอร์ตอบ เขามองไปยังประตู เดินไป ยื่นแขนลีบๆไปกดเปิดล็อกประตู แล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้หน้าแผงควบคุม เท้าคาง มองอย่างจดจ้องไปบนหน้าจอมอนิเตอร์ ตาหรี่ลง ทำท่าทางสุขุม เขากำลังคิดอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่เข้าใจ
"พวกเรา ไปย้ายเอาเครื่องบ้านั่นออกแล้วเราก็จะได้เจอหน้าด็อกเตอร์กัน"เสียงอู้อี้จากข้างนอกห้องควบคุมประชาสัมพันธ์ดังขึ้น แตงโมกุมมือด็อกเตอร์ ยิ้มกว้างที่สุดนับตั้งแต่วันเกิดเหตุ หน้าตาตื่นเต้นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่เธอเองก็กลัว เธอเลยวิ่งไปหลบอยู่หลังเก้าอี้ที่ด็อกเตอร์นั่งอยู่ ด็อกเตอร์พยายามจะทำท่าให้นิ่งสงบและนึกคำพูดที่จะพูดกับเหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้ได้ผลดีที่สุด การสร้างความประทับใจแรกพบเป็นสิ่งสำคัญ น่าแปลกนะ พวกเขารู้ว่าเราอยู่ในห้องนี้ มันมีอะไรบางอย่างที่ฟังดูไม่เข้าท่าอยู่ พวกเขาอาจจะมีจุดประสงค์บางอย่างที่ ไม่รู้สิ ผมเองยังคิดไม่ออก
"ถึงเวลาแล้วสินะ ได้เวลาออกไปจากห้องขังนี้กันแล้ว"ด็อกเตอร์ยิ้ม สายตาของเขาหันมาทางประตูหน้าอย่างช้าๆ เสียงเหมือนกับคนลากของหนักอึ้งออกไป เสียงโลหะลากไปมาทำให้เกิดเสียงแหลมแสบหู แต่ด็อกเตอร์กลับยินดีที่ได้ยินเสียงนั้น ผ่านไปไม่นาน เสียงโลหะขูดขีดและเสียงลากของหนักก็หยุดลง เสียงหอบเบาๆดังขึ้น ถ้ามันเข้ามาในห้องนี้ได้เสียงหอบนั้นคงไม่ได้เบาอย่างที่คิด แล้วก็เสียงที่มาแทนที่คือเสียงรองเท้าหนักๆเดินตรงมาทางประตูนี้
"ครืดดด"เสียงประตูโลหะเปิดออก ประตูสีน้ำเงินโคโบลต์ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆเผยให้เห็นร่างหลายร่างของเหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ พวกเขาแม้จะไม่ได้ดูน่าหวาดกลัวหรือเกรงขาม แต่ว่า กระกระทำสำคัญกว่ารูปลักษ์ พวกเขามาถึงที่นี่ ฝ่าฝูงสัตว์ร้ายนานาชนิดมาได้ ฝีมือคงไม่ได้กระจอกงอกง่อยแน่ๆ
"ผมว่าแล้วว่าพวกคุณต้องมา ผมกับผู้ช่วยผมรอพวกคุณมา2เดือนแล้ว"ด็อกเตอร์ค่อยๆหันมาทางเหล่าผู้มาเยือน สายตาของเขามองทะลุเข้าไปในดวงตาของหมวดเอก แม้ว่าหางตาจะตก ร่างกายจะซูบผอมเป็นไม้เสียบผี แต่ก็ทำให้หมวดเอกรู้สึกได้ว่าคนๆนี้ไม่ใช่กระจอกๆ
"เรามีเรื่องต้องคุย ด็อกเตอร์"หมวดเอกตอบรับ
.
.
.
.
.
.
"และนั่นคือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่นี่ ศูนย์วิจัยลับกลางป่าที่ทางต้นสังกัดทอดทิ้ง เราอยากรู้ว่าข้างนอกนั่นเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ถ้าหากพวกคุณไม่รังเกียจ"ด็อกเตอร์แอนโทนี่ เจลโล่ มองมาทางเหล่าผู้ชม เสียงแหบแห้งของเขาทำให้เรื่องเล่าของเขาฟังดูน่ากลัวเป็นทวีคูณ ครั้งหนึ่ง ที่นี่เคยเป็นสถาณที่รวมนักวิทยาศาสตร์ที่ฟังดูแล้ว ไม่ได้สติแตกหรือชอบหัวเราะชั่วร้ายแบบตามหนังการ์ตูน พวกเขาแค่ถูกจ้างมาทำการวิจัยลับ แต่แล้วคืนที่ด็อกเตอร์พูดถึง ตึกนี้โดนโจมตีโดยเฮลิคอปเตอร์พร้อมด้วยหน่วยจู่โจม ทำให้ที่นี่ถูกทิ้งร้าง มีเพียงด็อกเตอร์กับแตงโมเท่านั้นที่น่าจะรอดจากเหตุการณ์นั้น และทำให้หมวดเอกนึกขึ้นได้ว่า มันมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกับเฮลิคอปเตอร์แน่ๆ
"นับตั้งแต่ไอ้พวกโสร่งปากโป้งออกมาโวยวายว่าทางฝั่งเราส่งอากาศยานจำพวกคอปเตอร์ข้ามไปยังเขตชายแดนต้องห้าม ทั้งๆที่ไม่มีอากาศยานทางทหารลำไหนขึ้นบินเลยแม้แต่ลำเดียวในวันนั้น" คำพูดของสารวัตรเกรียงไกรที่พูดในวันที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจนี้กลับมาที่หูของหมวดเอกอีกครั้ง ต้องเป็นคอปเตอร์ลำเดียวกันแน่ๆ ที่หมู่บ้านเองเราก็ได้ยินเรื่องการระเบิดตรงบ้านประหลาดทรงครึ่งวงกลมเหมือนส้มผ่าครึ่งแล้วคว่ำลงซึ่งหมายถึงอาคารนี้ และจากที่ด็อกเตอร์พูด ได้ยินเสียงระเบิดครั้งใหญ่หลังจากที่พวกนั้นดึงเครื่องฉายรังสีออกมาจากอาคารได้สำเร็จ ประเทศเพื่อนบ้านเราเป็นรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จที่มีชื่อเสียงเรื่องการแก้ปัญหาโดยใช้ความรุนแรงแบบไร้ความจำเป็น ยิ่งได้รับการสนับสนุนจากชาติมหาอำนาจมาหมาดๆ หนึ่งในสิ่งที่พวกนั้นได้มาด้วยคือ จรวดต่อต้านอากาศยานความแม่นยำสูงแบบนำวิถี การรุกล้ำไปยังเขตชายแดนต้องห้ามทำให้คอปเตอร์ลำนี้กลายเป็นเป้า และที่แย่ยิ่งกว่านั้น เรารู้แล้วว่าทำไมรังสีหรืออะไรก็ตามที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆกลายพันธุ์ถึงได้เล็ดรอดออกไป เมื่อเฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตก เครื่องฉายรังสีที่โดนขนออกไปด้วยเลยหล่นไปยังที่ไหนซักแห่งในป่านี้ เดาว่าคงไม่ไกลเพราะ . . .
"โบกี้ แกบอกว่าเจออะไรแปลกๆที่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตอนที่อยู่ในเรือนกระจกใช่มั้ย"หมวดเอกสะบัดหน้าหันไปถามหมู่โบกี้ สายตาคาดคั้นคำตอบ ท่าทางเอาจริงเอาจัง เขากำลังประติดปรต่อเรื่องราวต่างๆในผืนป่าวิปริตแห่งนี้เข้าด้วยกัน
"ใช่ มันเป็น เออ ใบพัดคล้ายๆกับใบพัดของพัดลม เอ๊ะ มันไหม้เกรียมแถมบู้บี้ด้วย มันต้องเป็น"
"ใบพัดจากหางของเฮลิคอปเตอร์ แล้วการที่แผนที่ของคนตัดไม้เขียนไว้ กากบาทสีแดง ชัดเจนเลยว่าที่มาของสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ทั้งหลายแหล่จะต้องอยู่ไม่ไกล เครื่องฉายรังสีต้องมีการรั่วไหลแล้วทำให้สารก่อกลายพันธุ์ไหลออกมา ทุกอย่างเริ่มประติดประต่อกันได้แล้ว"หมวดเอกคิดออกแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่
"โอเค แล้วพี่ๆจะช่วยคือร่างให้หนูมั้ย"น้ำอ้อยถาม เธอทำหน้าตาแบบที่ลูกแมวพยายามอ้อนเจ้าของ ตาของเธอเบิ่งและโตได้มากกว่าคนปกติทำให้ดูน่าหยิกมากกว่าเด็กปกติซะอีก หางลูกอ๊อดของเธอกระดิกไม่หยุด แสดงถึงอาการดีใจสุดๆ
"ถ้าทำได้พี่คง ไม่เป้นอะไรที่พี่เป็นอยู่ตอนนี้หรอก"แตงโมบอก ทำหน้าเกร็ง บางตรงเป็นไม้บรรทัด ตาหรี่ลง หน้าตาแบบเดียวกับเวลาใครซักคนโดนมอบหมายงานกองโตให้ในวันหยุด แล้วกำลังพูดคำว่า ฆ่าหนูเหอะ แบบนั้นเป๊ะเลย
"ไม่ต้องห่วง ถ้าหากรอดออกจากที่นี่ไปได้ เราจะหาทางทำให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมเท่าที่ทำได้อะนะ ก่อนอื่นต้องเอาเครื่องฉายรังสีออกไปจากป่านี้ก่อน ซึ่ง มันต้องอยู่ที่ไหนซักแห่งไม่ไกลจากนี้"ด็อกเตอร์บอก เขาลูบหัวน้ำอ้อยเบาๆ พยายามจะให้ความหวังแม่กบน้อย แม้ว่าตัวด็อกเตอร์เองยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงถึงจะแก้ไขอาการผิดปกติพวกนี้ได้
"เออ ด้อกเตอร์อาจจะไม่รู้นะ แต่ว่าเดาซิ เราเจออะไรมาบ้าง"จ่าปลาหันมาหาด็อกเตอร์ ทำหน้าตาไม่เป็นมิตร สายตาบ่งบอกออกมาเป็นคำพูดได้เลย ประมาณว่า ถ้าหากไอ้แก่กะโหลกกะลาอย่างแกไม่มามุดหัวทำการทดลองชั่วๆในป่าปิดติดชายแดนแบบนี้ มันก็คงไม่ต้องมีใครหรืออะไรกลายเป็นสัตว์ประหลาดหรอก จ่าปลาเม้มปาก หรี่ตา หน้าแดง ทำท่าทางหัวเสีย
"หมีตัวที่พวกคุณหนีมา แล้วก็ ตัวอื่นๆที่อยู่ในแล็บ"ด็อกเตอร์ตอบ เขารู้ว่าเดี๋ยวคงโดนจ่าหญิงที่อยู่ตรงหน้าบ่นด่ายาว แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก
"เรา เจอ ตุ๊กแกยักษ์ที่พยายามจะกินหมา รู้ใช่มั้ย ต๊กโตหน้าตาน่าเกลียดชวนขนหัวลุกมากๆๆๆ ตัวเท่าตะกวด ร้องอั๊บแอ้ๆ และมันพยายามจะเกาะชั้นด้วย แล้วก็ตั๊กแตนตำข้าวตัวบะเริ่ม ตัวผอมๆใหญ่ๆสีเขียวๆพยายามจะฆ่าช้านนน แล้วมันก็เฉาะไหลไอ้ชาติหมู่เราด้วย ฮว้ากกกก ชั้นเกลียดแมลง แถมมันทำให้ไอ้หมาโง่นี่กลัวจนขึ้ราด"จ่าปลาเข้าสู่โหมดนางพญาบ่นไปด่าไปชี้หน้าโทษทุกคนที่ขวางหน้าปานเม็นมา เสียงด่าของจ่าเป็นรุ่นที่เหนือกว่าแม่ค้าตลาดสดในวันถูกหวยกินซะอีก ระดับความอารมณ์เสียของจ่าไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆเหมือนอุณภูมิน้ำในกาที่ตั้งบนเตาแก๊ส เสียงด่าแผ่นดินดับของจ่าทวีความดังขึ้นเรื่อยๆตามสภาพอารมณ์
"ช่าย หมาโง่นี่ชื่อฟองดู และมันขึ้นไปขึ้ราดบนหัวจ่าด้วย มันคงเข้าใจผิดว่าเป็นส้วมละมั้ง จะว่าไปก็ดูคล้ายๆอยู่นะ"หมู่โบกี้เอามือลูบคางทำท่าครุ่นคิดเลียนแบบหมวดเอก ระหว่างที่แจกมุขทรามร่างสุดท้ายใส่จ่าปลา แล้วตอนนี้เท้าของจ่าปลาก็กำลังกระทืบบนเท้าของหมู่โบกี้ไม่ยั้ง
"จากนั้นไอ้ผลการทดลองวิปริตผิดเพี้ยนมันก็ทำให้บึงทั้งบึงกลายเป็นหนองสัตว์ประหลาด จระเข้ จระเข้เต็มไปหมดดด ปลิงด้วย ปลิงหน้าตาทุเรศเภทภัยดูดเลือดเหมือนแดร็กคิวล่าที่มีหงอนเหมือนไก่จ๋า อึ่งอ่างคางคงเวรๆที่พ่นพิษน้ำเน่า ยุง ยุงไซส์บิ๊กตัวหญ่ายยยยมากกกก กัดด้วย งูเงี้ยวเต็มไปหมด คิดออกใช่มั้ย งูตัวลื่นๆชวนแขยง เต็มไปหมด แล้วก็ ปลา ไม่ใช่ชั้นนะ หมายถึงปลาที่มันพ่นโคลนเหม็นโฉ่ใส่ช้านนน พวกแกต้องจ่ายค่าทำขวัญให้ช้านนน"จ่าปลากำลังอาละวาดอย่างออกรส หมู่โบกี้มองแล้วกำลังคิดว่า ผู้หญิงถ้าหากไม่ได้เมาท์กับเพื่อนๆหลายๆวันจะเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่าเนี่ย จ่าปลามีความอ่อนไหวด้านความรู้สึกมากกว่าคนอื่น เวลาสะสมกันเยอะๆก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ คงต้องหาที่ระบาย และที่ระบายที่ดีที่สุดคือด็อกเตอร์
"แล้วมันก็มีตุ๊กเข้ยักษ์สีเขียวเหมือนเครื่องประดับตามร้านจิวเวอรี่ ว้ากกก ได้ยินมั้ย มันมีหมวกเป็นใบบัวกับดอกบัวด้วยอ่าาา แล้วมันก็เกือบฆ่าเราด้วยท่อนไม้ แล้วมันก็เอาหมวกชั้นไป แกต้องจ่ายค่าหมวกด้วย แล้วนั่นเราก็ยังไปไม่ถึงครึ่งทางงง ว้ากกกก แล้วมีคนที่หมู่บ้านช่วยเราไว้แล้วพวกเค้าป่วยหนักหมอไม่รับรักษากันหมด พวกนั้นเชื่อว่าเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาผีสางเทวดาอะไรซักอย่างลงโทษ แต่จริงๆแล้วเป็นแก ได้ยินมั้ยไอ้เปรตชุดกันฝน แกกก ความผิดแก แกต้องเป็นคนไปรักษาพวกเค้าให้เป็นเหมือนเดิม เข้าใจมั้ย มันมีคนที่งอกแขนที่3ออกมาจากไหล่ด้วย แกต้องชดใช้ทุกอย่าง แล้วเราก็เจอรากผักชีขี่หมูตุ๋น เออหมายถึง กาฝากกก ปีศาจกาฝากที่พยายามจะขย้ำก้นไอ้โง่นี่ตอนกำลังขี้ และมันชื่อโบกี้ หมายถึงคนโดนขย้ำก้นนะ แล้วมันก็สิงหมูป่าอ้วนตุ๊ต๊ะเป็นโขยงเลยยย รู้มั้ยว่าวิ่งหนีฝูงหมูมันเหนื่อยแค่ไหน แจ๊ดๆๆๆๆ แว๊ดดด แล้วก็มันมีแมวดำปีศาจย้ากกกกก ตัวใหญ่มว้ากกกกก ฮ้ากกกก ดุด้วย มันจะกินเรา แล้วทั้งหมดเป็นความผิดของแกรรรร แล้วเราก็ไปเจอคนตัดไม้โขยงนึง มันกำลังเลื่อยป่า แมวก็ถล่มพวกมันเละ แกต้องจ่ายศพละ8ล้านนะ แล้วก็เราได้ไอ้ต้น ใช่ ไอ้ขี้เกียจสันหลังยีราฟที่นอนเป็นหมาอยู่ตรงนั้น จริงๆมีอีกคนที่ตายไปแล้ว เพราะหมีหลายหัว และก็เพราะการทดลองโง่ๆของพวกแกอีกกก แฮ็ก โอยย แฮ็กก แฮ่"จ่าปลากำลังคลั่งพอๆกับใครบางคนที่มีเรื่องเก็บกดมาทั้งชีวิตแล้วได้ระบายออกมาให้คนที่เชื่อใจได้รู้ ตอนนี้จ่ากำลังปลดปล่อยความคับแค้นตลอด4วันในรูปแบบของทอร์นาโดคำด่าใส่ด็อกเตอร์ ซึ่งหลังจากที่ด็อกเตอร์ผ่านประสบการณ์พวกนี้มาแล้ว แตงโมเองก็เป็นเวลาที่มีใครวิจารณ์เธอเรื่องความสูง
"เอออ"ด็อกเตอร์พยายามจะพูด
"ยัง ยังไม่หมด ยังมีอีกเยอะเลย ชั้นยังพูดไม่จบ แล้ว ใช่ เราเจอน้ำอ้อย เด็กในหมู่บ้าน ที่กลายเป็นมนุษย์ลูกอ๊อดก็เพราะแกกกก แล้วเธอก็ยังคิดว่าเป็นเพราะเธอโดนลงโทษจากเทวดาเพราะกินกบปิ้ง สำนึกบ้างมั้ยว่าแกและพวกนักวิทยาศาสตร์ปัญญานิ่มเพื่อนแกทำลายชีวิตใครต่อใครไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว แล้วน้ำอ้อยกลับบ้านไม่ได้ก็เพราะแก แล้วเราก็เจอมดกับเพลี้ยฝูงใหญ่อยู่กันหลายแสนตัว มันทำเอาป่าโกร๋นเป็นเขาหัวโล้น แล้วมันก็พยายามจะกินพวกเราอีกแล้ววววว ก็เพราะแก มดดำตัวใหญ่เป็นหมากับเพลี้ยน่าแขยง หยี๋ๆๆๆๆ แล้วทั้งหมดเราก็ต้องฝ่าพวกมันกันแบบทุลักทุเล กลศึกไฟ ระเบิดฝุ่น เผาป่า รู้มั้ยว่าวิ่งมาราธอนหนีไฟป่าเนี่ยมันเหนื่อยเส้นเอ็นแทบฉีก เห็นมั้ยว่าแขนชั้นกับหัวหลายๆคนมีรอยไหม้ก็เพราะแก จ่ายค่ารักษาพยาบาล ศัลกรรม แล้วก็ซ่อมร่างกายส่วนอื่นๆด้วย แล้วก็เราเจอหมี ฮว้ากกกก หมีใหญ่โฮกกก ไอ้ตัวที่แกเห็นในจอคอมนั่นแหละ หมีหลายหัวชื่อมากมายอกสามบั้ง เพราะแกอีกแล้วววว ที่เราลำบากลำบนกันมาตลอดทั้งวันทั้งคืนนนก็เพราะพวกแกกกก แล้วมันก็ตะปบเราจนเกือบจะเป็นกระสอบทราย ถ้าชั้นช้ำในตายชั้นจะมาหลอกหลอนพวกแก แล้วก็ป่าเห็ด มีใครตายเยอะแยะก็เพราะพวกแก พวกเค้าแค่จะข้ามประเทศแต่ต้องมาตายก็เพราะ..."จ่าปลากำลังด่าอย่างมันส์ปากแบบ นอน-สต๊อป แต่แล้วก็ต้องเบรคเอี๊ยดดดดด
"เดี๋ยวนะ พวกเราทำอะไร"ด็อกเตอร์ถามนิ่มๆแต่สะดุ้งไปถึงทรวง
"เออ โทษที ลืมไปว่าไม่ใช่เพราะนาย แต่ส่วนใหญ่ พวกแกผิด"จ่าปลาเริ่มคลายความโมโหลงแล้ว หน้าจากสีแดงก่ำเปลี่ยนไปกลายเป็นสีหน้าปกติ เธอหอบเพราะด่ามากเกินไปก่อนที่จะทำท่าโซเซแล้วกุมหัว ไมเกรนกำเริบ
"แล้วเอาไงต่อ"ด็อกเตอร์ถาม แววตาที่อยู่หลังหมวกป้องกันรังสีแสดงถึงความเบื่อจัด คนอื่นๆที่อยู่รอบๆต่างก็กำลังพนันกันว่าจ่าปลาจะด่าต่อได้อีกนานแค่ไหน หมวดเอกสำรวจห้องควบคุม หาว่ามีหลักฐานพยานวัตถุอะไรเพื่มเติมได้หรือไม่ หมู่โบกี้เป็นเจ้ามือวงพนันย่อยๆนี้ สามสหายไม่เอาไหนเองก็กำลังลุ้นจ่าปลากันสนุก กรอบหลับเพราะอาการกระแทกที่หัว นักข่าวถ่ายภาพรอบๆห้องอย่างสนอกสนใจ ทำท่าทางเหมือนกับเจอขุมทรัพย์ จริงๆสำหรับนักข่าวแล้ว นี่ก็เป็นขุมทรัพย์ดีๆนี่เอง ส่วนต้นยังนอนอยู่ที่เดิม แตงโมนั่งหลับตานิ่วหน้า ท่าทางจะยังเครียดจากเหตุการณ์ตลอด2เดือนไม่หาย
"ที่ชั้นปวดหัวก็เพราะแก เห็นมั้ยว่าชั้นเสียเวลาด่าแกไปเยอะแค่ไหน ต้องให้บ่นปากเปียกปากแฉะอยู่ได้ พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนจรรยาบรรนักวิทยาศาสตร์หรือไง ไอ้ไม้ขีดไฟหุ้มยางเอ้ย ไอ้ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ไอ้ซอมบี้เสื้อกันฝน แว๊ดๆๆๆ แจ๊ดดด"เธอยังคงด่าต่อแบบไม่มีท่าทีว่าจะหยุด หมวดเอกกำลังคิดอยู่ว่า พวกเขาลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่าเนี่ย มันรู้สึกตะหงิดๆเหมือนกับว่าเรื่องของด็อกเตอร์ที่เล่าให้ฟังมีอะไรขาดหายไป
"แก๊กกกกกก!!!!!!! แกร็กกกกก ก๊าซซซซซซซซซซซซ!!!!!!!!!"เสียงบางอย่างดังออกมาจากข้างนอก จ่าปลาหยุดด่า ทุกคนหยุดนิ่ง แล้วค่อยหันหน้ามาทางด็อกเตอร์ ชายชราร่างผอมกะหร่องในชุดป้องกันรังสีหรี่ตาลง เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เดิมที่เขาเล่าเรื่อง แตงโมตัวสั่น เธอกอดขาด็อกเตอร์แน่น ดวงตาที่อยู่หลังแว่นทรงกลมเบิ่งกว้าง ตัวสั่นเทา รู้สึกผิดที่ตัวเองเคยขอว่าอยากได้งานที่ตื่นเต้นกว่านี้
"ทุกท่านครับ ยังจำหนูทดลองสีขาวที่ผมใช้ทดลองในวันนั้น วันเกิดเหตุได้หรือเปล่าครับ นั่นแหละ มันได้รับรังสี เอ็มไซม์ DNAของสารพัดสัตว์และของมนุษย์ในวันนั้น และมันยังอยู่ครับ ข่าวร้ายคือ ตอนนี้มันตัวเท่าเสือโคร่งแล้วครับ ข่าวดีคือ ถ้าคุณยิงหัวมัน ทุกอย่างก็จบและพวกคุณมีปืน"ด็อกเตอร์พูดเสียงแหบออกมาขากชุดป้องกันรังสี สายตาของด็อกเตอร์เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้เบื้องหน้าจะสามารถพิชิตสัตว์ทดลองสายพันธุ์ดุตัวนี้ได้
"เราไม่มีกระสุนเหลือและ นี่เป็นความผิดแกกกก!!!!!!!!"จ่าปลาว๊ากใส่ด็อกเตอร์ก่อนที่จะลงไปเป็นลมกับพื้น หมู่โบกี้รับร่างของจ่าได้ทันก่อนที่ตัวจ่าจะลงไปกระแทกพื้น ทุกอย่างที่อยู่ในศูนย์วิจัยนี้คงจะก่อปัญหาให้หมู่หมูมะนาวให้ได้เลยสินะ ที่นี่ นอกจากจะเข้ามาลำบากแล้ว ตอนขาออกก็ท่าทางจะลำบากไม่แพ้กันสินะ ถ้าออกไปได้ ลาขาดหละนิยายวิทยาศาสตร์ ตอนนี้หมู่หมูมะนาวและผู้ติดตามกำลังคิดแผนใหม่ว่าจะออกไปจากที่นี่และกลับกองพันยังไงกันดี เฮ้อ ชีวิต ให้เดานะ สารวัตรเกรียงไกรกว่าจะได้มาเป็นสารวัตรเคยเจองานหนักเสี่ยงชีวิตขนาดนี้มั้ยเนี่ย
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:53:32 GMT
25.mix and match : สัตว์ร้ายพันธุ์ผสม
ในห้องปฏิบัติการพิเศษนั้น สิ่งมีชีวิตที่ว่ากันว่าเคยเป็นหนูทดลองมาก่อนกำลังเดินเข้ามาอย่างมั่นคง รูปร่างของมันนั้นเรายังไม่เห็น แต่ว่าฟังจากเสียงร้องเมื่อครู่ มันคงจะไม่น่ารักแน่ๆ เราแทบจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาของมันเลย ดีที่มันกรีดร้องอยู่ข้างนอกทำให้เรารู้ว่ามันอยู่ ในห้องควบคุมประชาสัมพันธ์นี้ หมู่หมูมะนาวและคณะผู้ติดตาม 12 ชีวิต รวมถึงด็อกเตอร์กับแตงโมด้วยเป็น 14 คน/ตัว กำลังนั่งกันอย่างเงียบเชียบ มองหน้ากันไปมาว่าจะเอายังไงต่อไปดี หมวดเอกหันมาทางด็อกเตอร์แล้วมองออกไปทางประตู หมู่โบกี้ทำหน้าไม่สบายใจเท่าไหร่ กอล์ฟกับตือเองก็กุมหัว ส่วนชาติไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเค้าเลย เนยกับสมบติกำลังช่วยกันบันทึกผลการ่ายทำเมื่อครู่นี้อย่างรีบร้อน ทั้งสองกำลังคิดว่าหากพวกเธอสามารถขายข่าวได้ เนยจะซื้อกระเป๋าใหม่ รองเท้าใหม่ด้วย ส่วนสมบัติ เราไม่รู้เลยว่าตาลุงกร้านโลกที่มีหมวกแก๊ปปิดหน้าตลอดเวลาคนนี้กำลังคิดที่จะทำอะไรกับเงินก้อนนี้ หรือเขาอาจจะมีวิธีที่จะหาเงินได้มากกว่านั้นก็เป็นได้ แต่ก่อนอื่น ต้องกลับออกไปจากหุบดงโขมดเย็น ผ่านป่าเห็ด ป่าต้นไม้ตาย บ่อกบ โรงเลื่อยร้าง ลานมันเทศ หนองเห็ดกระสือ บ่อนสุขสบาย ศาลเจ้าแม่ป้ายหยุด ป่าน้ำตาหนาม และถึงกองพัน ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย หวังว่านะ ตอนนี้ด่านแรกที่จะกลับออกไปคือต้องผ่านอดีตสัตว์ทดลองของด็อกเตอร์ออกไปก่อน
"ด็อกเตอร์ ขอข้อมูลของเจ้า อะไรซักอย่างของด็อกเตอร์เท่าที่รู้เลยนะ ต้องรู้เขารู้เราถึงจะรบแล้วไม่ตาย"หมวดเอกถามด็อกเตอร์ เขาทำหน้านิ่งท่าทางขึงขัง ในหัวคิดเรื่องการวางแผนอยู่ว่าจะสู้หรือจะหลอกหรือทั้งสองอย่างดี
"มันมีรหัสประจำตัวว่า DP-026 ย่อมาจาก Doctor's Pride(ความภาคภูมิใจของด็อกเตอร์) ตัวที่26 ชื่อที่ผมตั้งให้กับสัตว์ทดลองทุกตัวที่ได้รับเกียรติได้มารับการทดลองกับเครื่องฉายรังสีเครื่องนี้ และเจ้าตัวนี้ ผมไม่ค่อยได้เห็นมันผ่านกล้องวงจรปิดเท่าไหร่ แต่ว่าทุกครั้งที่เห็นมัน มันจะแปลกจากหนูทั่วไปขึ้นเรื่อยๆมิหนำซ้ำขนาดตัวของมันยังใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทุกๆครั้งที่เห็นมัน มันเข้าไปในห้องต่างๆเพื่อหาอาหารได้ หนูเป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งเนื้อและพืช(เหมือนคน)แถมยังไม่ใช่พวกจุกจิกจู้จี้เลือกกินเลยทำให้มันมีอาหารหลากหลายในห้องทดลองแห่งนี้ มันจึงเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว พละกำลังและสติปัญญาของมันเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับมือได้หากไม่มีอาวุธร้อน(ปืน ระเบิด อาวุธธาตุไฟทั้งหลาย) มันเปิดประตูเป็น และยิ่งกว่านั้น มันยังเคยออกไปข้างนอกเพื่อล่าเหยื่อมาแล้ว จริงๆผมไม่คิดว่ามันจะกลับมา มันหายไปจากที่นี่กว่า2สัปดาห์แล้ว และผมไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง"ด็อกเตอร์อธิบาย หมวดเอกกับพรรคพวกทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ งานชิ้นใหญ่งอกออกมาอีกแล้ว จากที่ได้ยินจากด็อกเตอร์ มันไม่ควรจะเป็นอะไรที่ด็อกเตอร์ควรจะภาคภูมิใจเลย ถ้าหากหมาของหมวดไปไล่กัดชาวบ้านเข้า หมวดคงไม่ตั้งชื่อมันว่าเจ้าภาคภูมิหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ เสียงแกร็กๆที่เดาได้ว่าน่าจะเกิดจากกรงเล็บของสัตว์ร้ายดังขึ้นและหยุดลง เสียงหายใจแรงและทำจมูกฟุดฟิดค่อยๆถี่ขึ้น เสียงที่ฟังดูเหมือนขู่กรรโชกของสัตว์นักล่าเริ่มดังขึ้นเบาๆ มันคงไม่ใช่หนูอีกต่อไปแล้ว มันคือสิ่งมีชีวิตที่ คำว่าฝันร้ายคงจะอธิบายได้ดีที่สุด มันสามารถทำให้14ชีวิตที่ส่วนใหญ่มีประสบการณ์การต่อสู้และอยู่ในห้องหลบภัยโลหะกลัวมันเพียงตัวเดียวได้โดยไม่ต้องมีอาวุธไฮเทคหรือคำพูดข่มขู่ แค่เสียงตะกุยโลหะเพียวๆก็ทำให้คนแล้วคนเล่ารู้สึกว่าสันหลังตัวเองกำลังกลายเป็นน้ำแข็ง ร่างกายเริ่มสะท้านตัวสั่นหวาดกลัว บางอย่างที่ทำให้รู้สึกได้ว่ามันนั้น ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตดุร้ายอื่นๆที่เคยพบปะเจอะเจอมา มันเป็นอะไรที่อันตรายและควรหลีกห่างในทุกๆกรณี จิตสังหารและออร่าคุกคามของมันทะลุทะลวงประตูโลหะอันแข็งแกร่งมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขนาดเรายังไม่เห็นตัวมันนะ แค่สตอรี่เล็กน้อยกับเสียงเบาๆก็ทำให้เหงื่อของทุกชีวิตที่มีต่อมเหงื่อไหลซกๆๆจนชุ่มกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทันใดนั้นเสียงเล็กแหลมชวนสยิวสุดสยองก็ดังขึ้นถี่ๆกันคล้ายเสียงหัวเราะ เสียงแหลมแสบหูชวนขนลุกพวกนี้ช่างเหมือนเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายของแม่มดมนต์ดำระหว่างกำลังปรุงยาพิษและจับเด็กๆหักแขนขาอย่างสนุกสนาน สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนูขาวไร้เดียงสา บัดนี้ กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถประมาทได้เลย เสียงจากภายนอกทำให้ผู้พิทักษ์แห่งพงไพร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่มีความรู้เรื่องธรรมชาติอย่างลึกซึ้งและคุ้นเคยกับงานเสี่ยงภัยอันตราย เหงื่อแตกเหมือนวิ่ง4x100ตอนเที่ยงวัน ตัวสั่นเหมือนนอนแก้ผ้าอาบหิมะ หวาดกลัวเหมือนตอนจับใบดำใบแดง หน้าซีดเหมือนกระดาษออฟฟิศ กอดกันกลมเป็นหนูแฮมสเตอร์ฤดูหนาว หมดสิ้นมาดนักสู้แห่งผืนป่าโดยสิ้นเชิง
"เยี่ยม นี่เราต้องสู้กับสัตว์ทดลองที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์สินะ หมวดเอกมีแผนหรือเปล่า"หมู่โบกี้หันไปหาหมวดเอก ทำท่าทางอยากออกไปจากที่นี่มากๆ หมวดเอกเองก็กำลังคิดอยู่ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง การจะผ่านอะไรแบบนั้นออกไปได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สัตว์ร้ายที่อยู่ข้างนอกคงได้กลิ่นเราแล้วหละ มันไม่ไปไหน มันรออย่างอดทน เสียงหัวเราะแหลมสูงชวนขนลุกนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง มันพยายามข่มขวัญเรา มันรู้ว่าถ้าเหยื่อหวาดกลัว จะไม่สู้ จะหนี ตามธรรมชาติของหนูที่วิ่งเร็วอยู่แล้ว มันจะตามจนกว่าเหยื่อจะหมดแรง แล้วจัดการซะ ยิ่งสัตว์ที่มีการเปลี่ยนแปลกร่างกายแบบนี้ จะมีอาการหิวกระหายแบบเดียวกับที่แตงโมและน้ำอ้อยต้องเจอ มันคงกำลังโมโหหิวเป็นแน่แท้
"หมวดคิดแผนออกแล้ว แต่ไม่รับรองนะว่าเราจะรอดกันทุกคน งานนี้เราจะจัดการมันให้เร็ว และหนัก แบบที่ไม่เคยมีหนูหน้าไหนเคยเจอ"หมวดเอกยิ้มกรุ่มกริ่ม ทำท่าทางมากด้วยเล่ห์ เขากับพรรคพวกกำลังเตรียมตัวสำหรับศึกใหญ่ และมันทำให้รู้สึกเหมือนกับอัศวินกำลังเตรียมตัวออกไปสู้กับมังกรพ่นไฟ มีดพร้าของทุกคนถูกนำมาใช้ อาวุธทุกชนิด ความสามารถของทุกคน ความรู้ของด็อกเตอร์ ถึงเวลาที่จะต้องใช้ศักยภาพขั้นสูงสุดของตัวเองแล้ว
.
.
.
.
.
.
เจ้าสัตว์ร้ายกำลังเดินไปมา ส่งเสียงหัวเราะชวนสยองสลับกับเสียงคำรามอันน่าหวาดหวั่น เสียงที่ได้ยินผ่านประตูโลหะนั้นสามารถบอกได้ว่ามันอยู่ไกลแค่ไหน ทันทีที่เสียงเดินเบาๆของมันไกลออกไป ด็อกเตอร์ก็กดปุ่มเปิดประตูโลหะสีน้ำเงินโคโบลต์ เผยให้เห็น. . . ความว่างเปล่า มันรู้ว่าเราจะต้องเข้าโจมตีเลยไปแอบอยู่หลังอะไรซักอย่างในห้องรกๆนี้ ทีนี้ ได้เวลาหาตำแหน่งของอสูรกายกันแล้ว
"ฟองดู วิ่งเลย"หมวดเอกจับฟองดูขึ้นแล้วโยนออกไปสุดแรง หมาสีน้ำตาลเหลืองที่โชกโชนซึ่งประสบการณ์เดาได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น กลิ่นของนักล่า เสียงของสัตว์ป่า การโจมตีเกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้ฟองดูนึกถึงสมัยที่มันเอาตัวรอดจากน้ำท่วมท่ามกลางวิกฤติฟาร์มจระเข้แตก มันวิ่ง ไม่ใช่วิ่งแนวตรงแบบที่หมาทั่วไปวิ่ง มันวิ่งซิกแซกอย่างชำชองแล้วสิ่งที่มันคาดเดาไว้ก็เป็นจริง สัตว์อสูรร่างยักษ์ที่มีความเร็วเกินกว่าที่คิดไว้ออกปรากฎกาย
"กรรรรรรร!!!! ก๊าซซซซซซซซซซ!!!!!!!!! จี๊ดดดด!!!"เสียงขู่กรรโชกที่ฟังดูแปลกประหลาดผิดธรรมชาติดังขึ้นกึกก้องไปทั้งห้องปฏิบัติการพิเศษ เจ้าของเสียงจะเป็นใครไม่ไม่ได้นอกจาก DP-026 เจ้าภาคภูมิ(หมวดเอกตั้งชื่อที่เรียกง่ายกว่าให้) ที่พุ่งตัวเข้ามาอย่างมุ่งร้ายและรวดเร็ว กรงเล็บของมันที่เหมือนกับของเสือตะปบใส่พื้นโลหะจนเป็นรอยขูดขีดส่งเสียงเหมือนกับชอล์คกรีดกระดานดำ เบื้องหน้าของเรา สัตว์ร้ายตัวนี้เป็นหนูสีขาวอมเหลืองขนาดใหญ่ ตัวของมันใหญ่เหมือนเสือโคร่งโตเต็มวัย ขนสีขาวอมเหลืองของมันมีลายสีดำแบบเดียวกับลายทางของเสือโคร่งลายพาดกลอนขึ้นทั่วตัว ใบหน้าที่เหมือนกับหนูของมันมีลวดลายแบบเดียวกับของเสือโคร่งเอเชียเป๊ะ ดวงตาของมันเป็นสีแดงสดทั้งดวงเช่นเดียวกับเม็ดทับทิม จมูกยื่นๆในแบบฉบับของหนูมีสีดำสนิท ปากของมันมีฟันแทะคู่ใหญ่และแหลมคม เขี้ยวคมกริบเต็มปากแคบๆของมัน หัวของมันใหญ่โตและจากแววตาน่ากลัวทำให้เดาได้ว่ามันได้สติปัญญามาจากมนุษย์ ขาทั้ง4ไม่เหมือนกับขาของหนู แต่ดูเหมือนกับเท้าของเสือที่มีกรงเล็บแบบยืดหดได้ ที่ขาดไม่ได้เลยคือจุดเด่นของหนู ใบหูขนาดใหญ่โตไม่สมส่วนของมันที่ประดับอยู่บนหัวยื่นๆ ยังคงเป็นของหนูอยู่ หางเป็นเกล็ดของหนูที่บัดนี้มีสายสีดำสลับไปมาแบบเดียวกับลายเสือ ขนทั่วร่างกายใหญ่โตแต่ไม่อ้วนตุ๊ต๊ะหรือหนาเหมือนดิกชันนารีของมันชี้ชูไปทั่วทุกทิศทางราวกับโดนไฟฟ้าช็อต อาการของสัตว์ตระกูลแมวก่อนที่จะเข้าต่อสู้ ถึงเวลาลุยกับอสูรกายที่น่าสะพรึงที่สุดในห้องแล็บเพี้ยนหลุดโลกนี้กันแล้ว
"น้ำอ้อย แตงโม ควบคุม"หมวดเอกสั่ง แล้วทั้งสองก็นำหน้าทุกคนเข้าไปเผชิญกับสัตว์ร้ายที่กำลังไล่กวดฟองดูอยู่ เจ้าภาคภูมินั้นต่างจากมากมายตรงที่มีพลังการโจมตีเบากว่าเล็กน้อย แต่ ความรวดเร็วของมันนั้นคือเอาของแมวกับหนูมารวมกันดีๆนี่เอง ขาของมันขยับไปมาจนตาแทบมองไม่ทัน มันกางกรงเล็บแหลมคมจนสุดแล้วเข้าตะปบกับข่วนจุดที่ฟองดูเคยอยู่แบบวินาทีต่อวินาทีเพียงไม่กี่อึดใจ มันก็เกือบจะได้ฝังคมเขี้ยวแหลมโง้งของมันลงบนเนื้อนุ่มๆของฟองดู แต่ว่าบางอย่างที่มีสีฟ้าใสเข้ากระแทกมันเต็มๆจนมันเซออกไป สิ่งนั้นยืดหยุน นุ่มนิ่ม แต่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ
แตงโมกำลังเอาน้ำเปล่าทั้งแกลลอนราดตัวเองอยู่ เนื่องจากอะมีบาจะแข็งแกร่งเมื่ออยู่ในน้ำ นี่จึงทำให้เธอสามารถสร้างอวัยวะเทียมแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของอะมีบาที่เรียกว่า อะมีบอยด์ (Amoeboids) หรือเท้าเทียมได้ เมื่อมีน้ำมากพอ ความสามารถนี้จะแข็งแกร่งมาก สิ่งที่ดูเหมือนแขนที่3รูปร่างบูดเบี้ยวแต่ทรงพลังพุ่งออกมาจากอกของเธอแล้วตวัด ทุบ กระแทกเจ้าหนูปีศาจตัวนี้อย่างไม่หยุดหย่อน แม้ว่าจะโดนข่วนหรือกัดกระชากแต่แตงโมก็กัดฟันซัดกับมันต่อไป ขนาดของมนุษย์กับความสามารถของสัตว์เซลล์เดียวช่างน่าทึ่ง เธอใช้อะมีบอยด์เหวี่ยงร่างขนฟูของเจ้าตัวร้ายอัดกระแทกพื้นจนพื้นสะเทือนแต่มันไม่ได้โง่ มันสะบัด แล้วถีบตัวเองออกจากเจ้ารยางค์เบี้ยวๆที่ยื่นออกมาจากสาวแว่นก่อนที่จะถอยออกมาในระยะปลอดภัย ส่วนน้ำอ้อยก็คอยหลอกล่อไม่ให้เจ้าหนูลายเสือตัวนี้เข้าโจมตีแตงโมโดยตรงด้วยการเบี่ยงเบนความสนใจมาที่เธอเอง เธอใช้ลิ้นอันยืดยาวเหมือนกบของเธอที่พันกับเสียมทำสวนอันเล็กๆทิ่มใส่หน้าอสูรกายเบื้องหน้า เสียมอันนี้โดนเหลาและลับจนคมเหมือนใบมีด ตอนนี้มันไม่ใช่เสียมทำสวนอีกต่อไปแล้ว มันคือตรีศูลสงคราม หนึ่งในอาวุธคู่ใจของราชาวานรเผือกในวรรณคดี และเมื่อประกอบกับความรวดเร็ว พลังของขากบรวมถึงความสามารถในการปีนป่าย และสัญชาติญาณของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำผสมอย่างลงตัวกับสติปัญญาของมนุษย์ หนูผีทางม้าลายตัวนี้แทบจะตามไม่ทัน
"อาวุธไฟโจมตี พลมีดประจำตำแหน่ง หน่วยแสงลงมือได้"หมวดเอกสั่งแล้วตัวเองก็เอากระดาษรายงานปึกหนึ่งขึ้นมาแล้วม้วนขึ้นเป็นเหมือนแท่งไม้ เขาใช้ไฟแช็กจุดไฟใส่กระดาษพวกนั้นแล้วโยนใส่สัตว์ร้ายเบื้องหน้า สไตล์เดียวกับปาคบเพลิงใส่สัตว์ร้าย เปลวไฟร้อนแรงทำให้เจ้าหนูปีศาจต้องถอยออกจากจุดที่มันเคยยืนอยู่ มันส่งเสียงแหลมบาดหูชวนให้เข่าอ่อน หรี่ตาลงแล้วแล้วพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วของนักล่า พอมันจะสวนเข้ามาใส่หมวดเอก เนยกับสมบัติก็เอากล้องอันใหญ่ประชดโลกของตนสาดแสงสีขาวใส่ใบหน้าและดวงตาของอสูรกาย มันสะดุดและชะงักอยู่เมื่อตาของมันโดนแสงแฟลชแรงกล้าแผดเผา แตงโมก็ใช้อวัยวะเทียมของตัวเองอัดกระแทกใส่ซี่โครงของเจ้าภาคภูมิระหว่างที่มันกำลังชะงักจนมันกระเด็นไปอีกทาง มันเริ่มบ้าเลือดขึ้นเพราะความเจ็บ แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่วางแผนกันไว้ น้ำอ้อยใช้ลิ้นกบที่ยืดหยุนของเธอตวัดเสียมคมกริบเฉือนแก้มและหูของสัตว์ประหลาดจนมันโกรธสุดๆ มันใช้หางที่แข็งแรงและเพรียวบางเหมือนแส้ของมันตวัดใส่ลิ้นของน้ำอ้อยจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง มันปวดแสบปวดร้อนเหมือนโดนไม้เรียวฟาด และแย่กว่านั้น ที่ลิ้นด้วย หน่วยนักข่าวก็ยิงแสงแฟลชพรางตาใส่สัตว์ร้ายทำให้มันมองหาเป้าหมายไม่ถนัด แต่แล้วก็เข้าแผนการของหมวดเอก เป้าหมายประจำตำแหน่งแล้ว
"มอดไหม้ไปซะ"ด็อกเตอร์กดปุ่มสีแดงที่อยู่บนคอมพิวเตอร์ประจำของตนเอง ปุ่มที่แสดงถึงการเดินเครื่องฉายรังสีซึ่งตอนนี้เจ้า DP-026 กำลังยืนอยู่ตรงนั้นพอดีเสียงไฟฟ้าและเครื่องจักรกลอื่นๆดังขึ้นอย่างน่ากลัว เนื่องจากอุปกรณ์ส่วนใหญ่พังไปแล้ว สายไฟที่ฉีกขาดและบิดเบี้ยวพวกนั้นเลยลัดวงจร เสียงของประกายไฟฟ้าดังขึ้นและร่างของเจ้าภาคภูมิก็สั่นสะท้านไปด้วยพลังงานไฟฟ้ามหาศาล ขนบนตัวของมันชี้โด่เด่ไปทั่วเมื่ออำนาจแห่งไฟฟ้าเข้าเล่นงานมัน มันติดกับดักแล้ว
"กรรรรรร!!!! ก๊าซซซซซซซ!!!!!!!"DP-026 กรีดร้องด้วยเสียงแหลมสูงสะท้านทรวงจนไอ้กรอบสะดุ้งตื่น จ่าปลาถึงกับอุดหูอย่างทุรนทุรายเพราะเสียงแหลมสูงหรือดังมากๆกระตุ้นให้เธอเป็นไมเกรน มันดิ้นพราดๆอย่างควบคุมไม่ได้เพราะไฟฟ้าเข้าแทรกแซงระบบกล้ามเนื้อ ขนทุกเส้นบนร่างกายของมันชี้ฟูเมื่อกระแสไฟฟ้าแรงกล้าไหลผ่านร่างกายที่กลายเป็นตัวนำไฟฟ้าของมัน หางและหูเองก็ชี้ตรงเพราะกล้ามเนื้อเกร็งอย่างช่วยไม่ได้ มันชักดิ้นชักงอน้ำลายไหลย้อยแต่ว่ามันไม่ยอมแพ้ มันจะสู้ สู้อย่างที่ไม่มีหนูตัวไหนเคยสู้มาก่อน มันลุกขึ้นทั้งๆที่ร่างกายสั่นเทาและชักกระตุก สายตาของมันนิ่งและน่ากลัว แววตาสังหารฉายออกมาอย่างชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ มันกระโจนออกมาจากฐานที่เคยตั้งเครื่องฉายรังสีแล้วเข้าจู่โจมอย่างบ้าดีเดือด มันพุ่งเข้าไปหาหมู่โบกี้ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อว่าตัวอะไรก็ตามที่โดนไฟฟ้าช็อตและบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นจะทำได้ มันเหมือนกับไม่ได้รับความเสียหายเลย หมู่โบกี้ใช้มีดพร้าในมือฟันใส่หน้าของหนูยักษ์พันธุ์ดุ แต่ว่ามันเอาขาหน้าสวนไว้ได้ทันเวลา เสียงเหล็กกล้ากระทบกับกรงเล็บของเจ้าภาคภูมิดังเหมือนกับเสียงดาบปะทะกัน หมู่โบกี้รู้ตัวว่าสู้กับอสูรร้ายเบื้องหน้าไม่มีทางไหว มันรวดเร็ว แข็งแรงและฉลาดเกินไป หนำซ้ำ หมู่โบกี้ยังได้รับบาดเจ็บสะสมจากการ โดนท่อนซุงหวดที่หนองน้ำ โดนแผลไฟไหม้ที่กลศึกปราบมด และ โดนมากมายซัดจนเลือดอาบ
"ฮึ้ยยย!!!"หมู่โบกี้ถอยแล้วกระโดดหนีอุ้งตีนสังหาร เจ้าหนูปีศาจไม่ยอมรามือง่ายๆ มันสะบัดอุ้งตีนของมันใส่สีข้างของหมู่โบกี้อย่างแรงจนเป็นแผลทางยาว 4 แผล หมู่โบกี้ฉวยโอกาสฟันหูข้างหนึ่งของมันแหว่ง ชิ้นส่วนหูใหญ่ๆของมันที่ขาดออกร่วงลงบนพื้น และแผลที่หูของมันก็มีเลือดสีแดงฉานหลั่งไหลออกมาพร้อมด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาน ดวงตาของมันเบิ่งกว้างจนเห็นเส้นเลือดและมันกำลังโกรธสุดขีด แม้ว่าจะมีแสงแฟลชรบกวนที่ทำให้มันปวดหัวแต่ว่ามันมีสติมากพอที่จะโจมตีต่อ มันรีบตวัดขาหน้าที่เต็มไปด้วยเล็บแหลมคมใส่หน้าอกหมู่โบกี้ทันที ซ้ำไปยังจุดที่มากมายเคยตะปบ พละกำลังของหนูตัวเท่าเสือไม่ธรรมดาเลย แรงอัดของอุ้งตีนพิฆาตทำให้หมู่โบกี้กระอักเลือด ทันใดนั้น เสียมที่โดนฝนจนคมกริบก็พุ่งตรงออกมาจากปากของน้ำอ้อยทิ่มสีข้างของมันจนเลือดพุ่งกระฉูด
"ฮว้ากกกกกกกกก!!!!!!!! โฮกกกกกกกก!!!!!!!!"มันคำรามอย่างบ้าคลั่งแล้วเอี้ยวตัวออกมาจากหมู่โบกี้ เปิดช่องว่างให้หมู่โบกี้ใช้มีดพร้าแทงขาหน้าซ้ายของมันแบบเต็มๆ คมมีดปักทิ่มลงไปบนขาเรียวๆที่ห่อหุ้มด้วยขนปุกปุยสีขาวลายทางสีดำของมัน มันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วใช้ปากยื่นๆที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมพุ่งเข้าไปหมายจะถลกหนังหน้าหมู่โบกี้ออกซะ แต่หมู่โบกี้เอามีดพร้ากันไว้ทันทำให้มันกัดโดนคมมีดเหล็กมันวาวเฉียบคมแทน เลือดสีแดงเข้มแบบที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมควรจะมีไหลออกมาจากปากแผลของมัน แสงแฟลชสะท้อนใบมีดแวววาวเข้าลูกตาของมันจนทำให้น้ำตาไหล มันกัดมือของหมู่โบกี้ที่กำลังถือมีดพร้าอยู่จนมีดกระเด็นหลุดมือแล้วใช้น้ำหนักตัวโถมใส่จนหมู่โบกี้ล้มลงโดยที่มีมันอยู่ข้างบน ที่น่ากลัวที่สุดคือทั้งหมดตั้งแต่หมู่โบกี้แทงขามันจนตอนนี้ เกิดขึ้นภายใน 8 วินาทีซึ่งเร็วเกินกว่าที่ใครจะเข้ามาสับหลังมันทัน แล้วมันก็กำลังจะจบชีวิตของหมู่ขี้โม้ที่ตกอยู่ใต้พลังอำนาจของมันแล้ว
ฉึกกกกก!!!!!! มีดพร้าสีเงินสะท้อนแสงหมุนคว้างอยู่กลางอากาศปลิวมาสับเข้าที่ไหล่ของมันจนเป็นแผลลึก แผลเปิดที่เลือดไหลออกมาเหมือนกับท่อประปาแตก ร่างกายสีขาวลายเสือโคร่งของหนูทดลองตัวนี้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มอย่างช้าๆด้วยเลือดของมันเอง
"กว๊ากกกกก!!!! จี๊ดดดดด!!! โอกกกกก!!!! ฮว้ากกกกกก!!!!!!!!"มันร่ำร้องด้วยความเจ็บปวด สติแตกและบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวด อาการบาดเจ็บจะทำให้สัตว์หรือคนต่อสู้อย่างดุร้ายและรุนแรงมากขึ้น ปากที่เต็มไปด้วยฟันคมๆชุ่มไปด้วยเลือดของมันเองและของหมู่โบกี้อ้าออกปล่อยมือของหมู่โบกี้ให้เป็นอิสระ หมู่โบกี้พยายามจะถอยออกจากเจ้าสัตว์ร้ายแต่ตอนนี้มันไม่เขวแบบเดียวกับเมื่อครู่แล้ว มันฉลาดพอที่จะกำจัดเหยื่อทีละคนดีกว่าวิ่งไล่เหยื่อไปรอบๆเหมือนกับหมาจิ้งจอกวิ่งพล่านไปทั่วเล้าไก่ มันอ้าปากแล้วพุ่งเข้ามาหมายจะกัดหน้าของหมู่โบกี้อีกรอบโดยไม่สนแสงรบกวนหรือสิ่งหลอกล่อความสนใจอื่นๆแต่ว่าทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นอย่างที่มันคิด
โครมมม!!!!! แรงอัดจากอวัยวะเทียมของแตงโมที่หวดใส่เจ้าสัตว์ร้ายจนปลิวออกไปจากจุดที่จะขย้ำหมู่โบกี้กระเด็นไปอัดกับเครื่องจักรพังๆจนชิ้นส่วนเครื่องจักรเสียบหลังของเจ้าอสูรร้าย มันดิ้นแล้วกรีดร้องอย่างทุรนทุราย ไม่ถึง 3 วินาที มันก็ดิ้นหลุด มันพุ่งเข้าหาแตงโมอย่างมุ่งร้าย ดวงตาสีแดงทับทิมของสัตว์พันธุ์ผสมเบิกกว้าง น้ำลายสีชมพู(ผสมเลือด)ฟูมปาก แตงโมพยายามจะใช้อะมีบอยด์บังการโจมตีของเจ้าภาคภูมิ แต่มันกระโดดหลบเบี่ยงขวา พุ่งเข้าเกาะกำแพง แล้วกระโจนใส่แตงโมจากด้านบน กรงเล็บของมันกรีดไปบนผิวหยุนๆที่เป็นเยื่อหุ้มเซลล์สีฟ้าใสเหมือนเยลลี่ขนาดใหญ่จนของเหลวใสที่อยู่ข้างในแตกออก มันกัดสิ่งที่น่าจะเป็นแขนของแตงโมแล้วสะบัดไปมาอย่างน่ากลัวพร้อมๆกับใช้กรงเล็บตะกุยร่างหยุ่นๆที่น่าสงสารของเธออย่างไร้ปราณี หมวดเอกเอากองกระดาษที่กำลังลุกไหม้ติดไฟโยนไปบนร่างปุกปุยนุ่มฟูของหนูขาวตัวฉกาจ ไฟลุกไหม้บนหลังมันอย่างรวดเร็วเพราะเส้นขนของมันเป็นเชื้อไฟอย่างดี มันกรีดร้องแล้วกระโดดไปมา เสียงของมันทุรนทุรายและน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่โดนมีดสับและตอนโดนไฟฟ้าช็อตซะอีก น้ำตาของสัตว์ร้ายไหลพราก มันกู่ร้องก้องคำรามอย่างเจ็บแสบ
"ฮว้ากกกกกกก!!!!! ฮ้ากกกกกก!!!!!! ก๊าซซซซซซซ!!!!!!!"เจ้าสัตว์อสูรขนฟูร้องแบบเดียวกับที่ใครก็ตามควรจะร้องเวลาโดนเผาทั้งเป็น ความร้อนจากเปลวไฟที่สัตว์ทุกชนิดหวาดกลัวกำลังลามเลียร่างของมัน มันกระโดดโหยงไปทั่ว วิ่งพล่านไปมาอย่างไม่คิดชีวิต ดีดดิ้นไปมาแล้วกลิ้งไปมาตรงที่มีน้ำขังเพื่อดับไฟ สตว์ร้ายจากนรกขุมวิทยาศาสตร์ตัวนี้ฉลาดกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก ที่แย่คือบนพื้นตรงนั้น แขนสีฟ้าใสที่แกนกลางเป็นสีขาวขุ่นกองอยู่บนพื้น เลือดสีแดงแบบที่มนุษย์ควรจะมีไหลออกจากอวัยวะที่ประหลาดนั้น แขนของแตงโมไปอยู่ตรงนั้นแสดงว่า . . .
"อ้ากกกกก!!!! กรี๊ดดดดด!!!! แงงงงง"เสียงร่ำไห้และกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของสาวน้อยครึ่งอะมีบาดังไปทั่วห้องปฎิบัติการพิเศษ ส่วนที่เคยเป็นแขนซ้ายของเธอโดนฉีกกระชากออกไปด้วยพละกำลังอันน่าพรั่นพรึงแทนที่ไว้ด้วยตอสั้นๆโชกเลือด เธอแขนขาดอย่างไม่ต้องสงสัย ทั่วร่างกายของเธอแม้จะโดนเล็บและเขี้ยวของเจ้าภาคภูมิเล่นงานแต่มีเฉพาะแขนของเธอเท่านั้นที่มีเลือดสีแดงของมนุษย์ไหลออกมา เธอร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด แม้ว่าร่างกายเธอจะเป็นสีฟ้าใสแต่ทุกคนเห็นน้ำตาของเธอไหลออกมาได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยที่สุดเลือดสีแดงนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเธอมีความเป็นคนมากกว่าอะมีบา แต่เธอคงต้องใช้ชีวิตต่อไปในร่างตัวประหลาดแขนพิการ ด็อกเตอร์เห็นดังนั้นเลยฟิวส์ขาดแบบที่นักวิทยาศาสตร์เฒ่าผู้สุขุมนุ่มลึกไม่เคยเป็นมากว่า30ปี เขาเอาคว้าท่อนเหล็กขนาดใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะยกไหวชูขึ้นเหนือหัว ร่างกายผอมกะหร่องขาดสารอาหารนั้นหวดเหล็กกล้าหนักอึ้งใส่อกของเจ้าอสูรกายด้วยกำลังเหลือเชื่อ ตาของมันถลนออกมาและปากของมันอ้าอย่างผิดรูป
กร๊อบ!!!!! เสียงกรุบกรอบที่ฟังดูเหมือนใครกัดแผ่นมันฝรั่งทอดแต่ว่ามันฟังดูน่าหวั่นใจมากกว่าน่ากินดังลั่นออกมาจากร่างของ DP-026 แสดงให้ได้ยินอย่างชัดเจนว่าซี่โครงของเจ้าหนูปีศาจหักคาที่ด้วยน้ำมือของผู้ที่สร้างมันขึ้นมา ร่างของหนูจากนรกตัวนี้ดิ้นพราดๆเหมือนไส้เดือนคลุกขี้เถ้า มันแผดเสียงร้องแหลมสูงอย่างน่าหวาดกลัว มันคงเจ็บมากถ้าหากซี่โครงทิ่มปอด สัตว์ร้ายพยายามพยูงร่างของมันขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ได้รับความเสียหายทางกายภาพรุนแรงหลายครั้ง แล้วน้ำอ้อยก็กระชากมีดพร้าที่ปักอยู่บนไหล่ของมันออกแบบสดๆทำให้เลือดไหลออกมาจากปากแผลหนักกว่าเก่าอีก เธอดึงมันออกมาด้วยมือใหญ่ๆของเธอไม่ใช่ด้วยลิ้น แถมตอนถอนเธอใช้ขากบที่มีพลังเยอะกว่าของมนุษย์ถีบหลังของเจ้าหนูขาวกลายพันธุ์จนใบมีดอาบเลือดออกมาจากไหล่ของสัตว์ร้าย
"ฮว้ากกกกกก!!!!! โอกกกกกกก!!!! อ้ากกกกก!!!!!"สัตว์ร้ายกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมาณ แบบที่ทำให้ขนแขนสแตนด์อัพกันเป็นแถบ เสียงที่เหมือนกับหลุดออกมาจากโรงฆ่าสัตว์และหนังสยองขวัญเลือดสาดนี้ทำให้นักข่าวหยุดถ่ายมันซักพักนึง มันกำลังจะตะกุยขึ้นมายืนอีกครั้งแต่ว่าไอ้ตือผู้มีดีที่พละกำลังเหวี่ยงซากเครื่องจักรที่ทำจากโลหะไหม้ๆดูบุบบิบบู้บี้ใส่ร่างของจอมอสูรแห่งห้องทดลอง มันร้องด้วยเสียงแหลมเล็กแบบเดียวกับเสียงของหนู เสียงของมันเบาลงมาก เหมือนกับว่ามันหายใจไม่ออก มันพยายามตะกายออกมาจากใต้เครื่องจักรหนักอึ้งอย่างสุดความสามารถ แต่ว่าคงต้องใช้เวลาซักพัก หมวดเอกตัดสินใจโยนกองเอกสารไฟลุกโชติช่วงใส่มันอีกทีเพื่อความแน่ใจว่ามันจะสู้ต่อไม่ไหว มันยังไม่สิ้นลาย กรีดร้องด้วยเสียงแหบแห้ง ตาของมันหรี่ลง น้ำลายฟูมปาก มันหอบเหมือนกับเป็นวัณโรคระยะสุดท้าย ตะเกียกตะกายและสะบัดตัวของมันไปมาอย่างบ้าคลั่งดุร้าย พลังใจและความอึดทรหดอดทนของเจ้าอสูรร้ายพันธุ์ผสมตัวนี้ไม่ธรรมดาเลย จริงๆก็อย่างว่าแหละนะ หนูเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีความทรหดอดทนและประสบความสำเร็จสูงมากในการเอาชีวิตรอด มันปรับตัวเข้าหาสภาพแวดล้อมได้ดียิ่งกว่ากิ้งก่าซะอีก มันอยู่ได้ในทุกที่ ป่าลึก ภูเขา บ้านเรือน โรงงาน ท่อน้ำทิ้ง กองขยะ ทุกๆที่ มันสามารถว่ายน้ำติดต่อกันได้ถึง3วัน กินอาหารได้แทบทุกชนิด ปีนผนังแนวดิ่งที่ขรุขระเพียงเล็กน้อยได้ รอดชีวิตจากการหล่นจากที่สูงได้ถึง 4 เมตร แล้วตอนนี้มันได้ความยืดหยุ่นของร่างกายจากสัตว์ตระกูลแมวอย่างเสือไปด้วย ไฟฟ้าช็อต เปลวเพลิง คมมีด แรงอัด มันรับการโจมตีจากสิ่งเหล่านี้ไปอย่างหนักหน่วงแต่มันยังคงต้องการจะสู้ต่อ สมกับเป็นสัตว์ร้ายผู้อดทน
"ไปกันเถอะ"หมวดเอกพูดแล้ววิ่งไปทางประตูทางออกจากห้องปฎิบัติการพิเศษ คนอื่นๆก็รีบออกไปเพราะไม่มีใครอยากรอให้เจ้าหนูขาวยักษ์ลายพาดกลอนตัวนี้ฟื้นตัว ด็อกเตอรีบเข้าไปอุ้มแตงโมวิ่งออกมา ตือกับกอล์ฟเองก็ไม่โอ้เอ้ เข้าไปหิ้วปีกหมู่โบกี้ออกไปจากจุดที่หมู่โดนขย้ำ หมู่โบกี้เสียเลือดมากและอาการไม่ค่อยดีเลย เขามีรอยข่วนกว่า3รอยบนร่างกาย มือโดนกัดจนขยับไม่ได้และชุ่มไปด้วยเลือด ตามตัวก็มีแต่รอยฟกช้ำและโชกเลือด ไม่เพียงแต่บาดแผลภายนอกที่หน้าห่วง แต่รอยฟกช้ำภายในทำให้หมู่โบกี้แทบขยับตัวไม่ได้ ส่วนกรอบที่พึ่งตื่นก็เห็นคนอื่นวิ่งกันใหญ่เลยวิ่งหนีออกมาด้วย ทุกคนหนีออกมาจากห้องปฎิบัติการพิเศษอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่สามเกลอหิ้วหมู่โบกี้ออกมานั้น เจ้าหนูผีลายพาดกลอนดิ้นจนหลุดออกมาจากซากเครื่องจักรเรียบร้อย
"กรรรรรร!!!!! โฮ้กกกกกกกกก!!!!!!!"DP-026กลับมาแล้ว ความอึดอดทนของหนูและความแข็งแกร่งของเสือทำให้มันหลุดออกจากพันธนาการได้อย่างไม่ยากเย็น มันคำรามอย่างดุร้ายเยี่ยงเสือป่า ในตาของมันไม่ได้เป็นตาสีแดงทั้งดวงอีกต่อไป บัดนี้ ดวงตาของมันเหมือนกับของเสือ ดวงตาสีเหลืองอำพันที่มีลูกตาเป็นขีดแนวตั้งสีดำ มันขบฟันแน่น ยืนด้วยสองขาหลังเยี่ยงมนุษย์แล้วแผดเสียงร้องอย่างทรงพลังราวกับพระราชายามศึกสงคราม ดวงตาสีเหลืองอำพันสะท้อนแสงแห่งตะวันที่ส่องลงมาจากรูเบื้องบนเหมือนกับว่ามันเป็นอัญมณีจริงๆ ไม่รอช้า มันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วของเสือรวมกับหนู ถ้าหากหมวดเอกกดปิดประตูช้าไปเพียงนิดเดียว มันคงทำให้หน้าของหมวดลายเป็นตารางหมากรุกแล้วหละ
"เปิดประตูหน้าเลย"หมวดเอกหันไปสั่งพรรคพวก ด็อกเตอร์เป็นคนไปเปิดประตูหน้าอย่างชำนาญ ประตูโลหะแข็งแกร่งสีน้ำเงินขอบดำสลับเหลืองค่อยๆเปิดออกอย่างมั่นคง ข้างหน้าคือป่าดงดิบสีเขียวขจีที่หมวดเอกและพรรคพวกฝ่าฟันกันมาจนถึงที่นี่ ผืนป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยปริศนาและอันตราย แล้วก็ มันไม่ได้มีแค่ป่าเฉยๆที่อยู่ข้างหน้าหมวดเอกกับคณะหนีตาย
"แจ๊ด แจ๊ะ กรรรรร แฮ่"เจ้าสัตว์ที่ท่าทางไม่เป็นมิตรเบื้องหน้าส่งเสียงขู่ หน้าแหลมยาวเหมือนตะโขง รูปร่างเพรียวลมเหมือนกับแมวป่า อุ้งตีนสีดำและลำตัวมีลายอันเป็นเอกลักษ์เหมือนกับแมวดาว หูทรงกลมเหมือนกับของหมี ดวงตาเปล่งประกายที่เหมือนกับสัตว์นักล่า หางที่เหมือนกับของเสือดาว ร่างกายส่วนใหญ่เป็นสีเทาอ่อนที่มีลายสีดำทั่วตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งลายพาดสีดำ3แถบที่คอยื่นๆของมัน จมูกสีชมพูอ่อนี่มีหนวดชี้ๆขยับไปมาไม่หยุดเหมือนกับว่ามันกำลังหาข้อมูลจากเหยื่อของมันด้วยการดมกลิ่น ถ้าหากคนทั่วไปที่ไม่มีความรู้จะดูไม่ออกว่าสัตว์ที่อยู่ตรงหน้านี้คืออะไร แต่ว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้รู้ว่ามันคือหนึ่งในสัตว์ร้ายที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวของมันใหญ่พอๆกับหมาป่าสีเทา แล้วเบื้องหน้าเราก็เห็นมัน4ตัวกำลังข่มขู่เหยื่อของมันอย่างมุ่งร้าย ยังมีอีก2ตัวที่เกาะอยู่บนต้นไม้รอที่จะจู้โจมจากด้านบน
"นั่นมัน ตัวอะไร"แตงโมที่ใช้แขนข้างเดียวเกาะหลังด็อกเตอร์อยู่ถามอย่างสงสัยปนหวาดกลัว เลือดยังคงไหลออกมาจากแขนข้างที่ขาดหายไปเรื่อยๆจนชุดป้องกันรังสีของด็อกเตอร์ดูเหมือนกับชุดของหมอผ่าตัดที่โชกไปด้วยโลหิต กลิ่นคาวเลือดกระตุ้นสัญชาติญาณของสัตว์ป่าด้านหน้า มันขู่ด้วยเสียงต่ำๆในลำคอ สัตว์นักล่าท่าทางคุกคามพองขนของมันขึ้นเพื่อข่มขู่ ดวงตาสีเหลืองเบิ่งกว้างด้วยความบ้าเลือด มันแลบลิ้นเลียปากของมันอย่างหิวกระหาย พรรคพวกของมันหลายตัวกำลังเดินวนรอหาจังหวะเข้าตี ตัวที่อยู่หน้าสุดแยกเขี้ยวแล้วใช้เล็บตะกุยพื้น หางปุกปุยส่ายไปมาอวดลวดลายเทาดำดูแปลกตาบนเรือนร่างผอมบางดุจลูกศร เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่ใช่พวกบ้าพลังกล้ามจัดอย่างหมีควายหลายหัวที่เราเจอ แต่เป็นพวกเน้นความเร็วและทีมเวิร์คในการต่อสู้เช่นเดียวกับสัตว์ตระกูลสุนัข จากรูปร่างภายนอก เดาได้ว่าการเคลื่อนไหวของพวกมันจะต้องรวดเร็วดุจเสือดาว เท้าเล็กกระจ้อยร่อยแถมเล็บสั้นนิดเดียวแต่ปากยื่นยาวเต็มไปด้วยฟันเขี้ยวแหลมคม อาวุธหลักของสัตว์ร้ายพวกนี้คืออะไรคงไม่ต้องเดา
"นั่นมันชะมดแผงหางปล้อง ตัวใหญ่ด้วย ปิดประตูเร็ว"หมวดเอกสั่งอย่างตื่นตกใจ ด็อกเตอร์กดปุ่มปิดประตูทันทีที่ได้ยินคำสั่งของหมวดเอกผู้มากฝีมือด้านการผจญภัย ประตูเหล็กปิดลงอย่างช้าๆ พวกชะมดเห็นประตูกำลังปิดเลยถอยออกไปจากจุดที่พวกมันเคยอยู่ มันกำลังรอดูสถาณการณ์ เสียงขู่คำรามอันฟังดูน่าตลกมากกว่าน่ากลัวและแววตาของนักล่าแห่งปินทึบเป็นสิ่งสุดท้ายที่หมู่หมูมะนาวได้เห็นตอนที่ประตูโลหะแข็งแรงมั่นคงปิดลงอย่างสนิท
"แค่ชะมดไม่กี่ตัวเอง เราทำไมต้องกลัวหละหมวด"ไอ้ชาติถามระหว่างที่กำลังหิ้วร่างอันบอบช้ำของหมู่โบกี้ เขาหรี่ตาลงและมองบน ไม่ได้หมายถึงมองบนแบบที่คนปกติทำเวลาเจออะไรชวนเซ็ง แต่มองบนของชาติคือเขากำลังหาสมองของตัวเองอยู่เพราะเขาคิดไม่ออก หมวดเอกหันมาหาชาติแล้วเริ่มอธิบาย
"ไอ้ที่อยู่ข้างนอกนั่นหนะ มันเป็นชะมดสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ในหมู่ชะมดด้วยกัน ขึ้นชื่อเรื่องการแอบมาขโมยเป็ดไก่ของชาวบ้านกิน ปกติชะมดจะออกหาอาหารเวลากลางคืน แต่ดูจากขนาดของมันแล้ว ไม่ใช่ชะมดปกติแน่นอน สารบ้าบอคอแตกอะไรซักอย่างจากเครื่องทำรังสีของด็อกเตอร์ทำให้มันมีขนาดใหญ่พอที่จะเป็นภัยต่อคนได้ แล้วจำได้มั้ยว่าอาการหลักๆของคนที่กลายพันธุ์คืออะไร หิว ต้องการอาหารมากและโมโหหิวตลอดเวลา นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้ด็อกเตอร์ผอมซูบขาดสารอาหารและน้ำอ้อยออกขโมยห่อข้าวชาวบ้านเค้า ชะมดพวกนี้ใหญ่พอๆกับหมาป่าแสดงว่ามันกินคนได้ และมันจะกินด้วยหากมีโอกาส เราบาดเจ็บเกินไปและเสี่ยงที่จะสู้กับอีเห็นเพรียวลมพวกนี้ไม่ได้"หมวดเอกอธิบายอย่างผู้เชี่ยวชาญ เขาประติดประต่อเรื่องราวได้แล้วว่าทำไมสัตว์ร้ายต่างๆในป่านี้ที่ปกติกลัวคนถึงได้เลือกที่จะโจมตี มันกำลังโมโหหิวและต้องการอาหารจำนวนมากๆเพื่อที่จะเอาไปเสริมสร้างร่างกายส่วนที่กลายพันธุ์
เสียงเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังตะกุยและพยายามหาทางเปิดประตูห้องปฎิบัติการพิเศษดังขึ้น ด็อกเตอร์เริ่มทำท่ารีบร้อนทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น
"หนี เราต้องหาทางออกอีกทาง ชะมดน่าจะรอเราอยู่ที่ประตูหน้า เราออกอีกทางได้"ด็อกเตอร์ตะโกนบอกแล้วทุกคนก็วิ่งหาทางออกจากห้องนั่งเล่นพังยับเยินนี้ฝ่ากองโต๊ะและเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดอย่างรวดเร็ว หมวดเอกวิ่งนำไปแต่ชะงักที่ห้องทดลองควันหลอน ห้องที่มีไฟไหม้ซากกัญชาและสารกระตุ้นประสาทอื่นๆ ควันแห่งมายาสั่นประสาทนี้กำลังพวยพุ่งออกมาจากห้องนั้นอย่างต่อเนื่อง หมวดเอกเบรคเท้าตัวเองแล้วกำลังตัดสินใจว่าจะไปทางไหนต่อไปดี
"ทางนี้ ใครก็ได้ช่วยยกโต๊ะออกไปหน่อย"ด็อกเตอร์ยืนอยู่หน้าโต๊ะล้มติดกำแพงตัวหนึ่ง มีชิ้นส่วนเพดานและสายไฟห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด เมื่อดูดีๆแล้ว ด้านหลังโต๊ะกับสายไฟนั้นมีประตูอยู่ และด็อกเตอร์รู้ว่ามันจะพาเราออกไปจากที่นี่ได้ ไอ้ตือยกหน้าที่หิ้วหมู่โบกี้ให้อีกสองคนแทน เขารีบรุดหน้าพาร่างจ้ำม่ำเข้าไปหาโต๊ะพลาสติกสีขาวนั้นอย่างว่องไว แขนล่ำๆใหญ่ๆของเขาคว้าโต๊ะคว่ำตะแคงนั้นอย่างมั่นคงแล้วลากมันออกจากที่มันเคยอยู่อย่างรวดเร็ว ด็อกเตอร์เข้าไปกดปุ่มเปิดห้องนั้นทันที ประตูโลหะสีเดียวกับประตูอื่นๆในอาคารนี้(ยกเว้นประตูห้องปฏิบัติการพิเศษ)เปิดออกเผยให้เห็นห้องที่เหมือนกับห้องทดลองเคมี มันมีทุกอย่างที่ห้องเคมีตามโรงเรียนมัธยมควรจะมี ตู้เก็บสารเคมีเรียงรายและภาษาทางวิทยาศาสตร์ที่พวกเนิร์ดเท่านั้นที่จะอ่านออก จานทดลอง บีกเกอร์ที่มีสารเคมีสีต่างๆอยู่ หลอดทดลองและขวดรูปชมพู่เต็มไปหมด ตะเกียงแองกอฮอล์ที่ถูกเก็บไว้ ห้องนี้เองก็เละเทะไม่ต่างจากห้องอื่นๆ สารเคมีหกเลอะเทอะเต็มไปหมด ขวดใส่สารเคมีหล่นแตกบ้าง กลิ้งอยู่บนโต๊ะบ้าง พื้นมีร่องรอยของสารที่ระเหิยออกไปหมดแล้ว เศษกระดาษปลิวเกลื่อนกลาด และเราก็มีข่าวร้าย ห้องนี้มีเจ้าปีศาจปุ๋ยหมักแบบเดียวกับที่เราเคยเจอตอนอยู่ที่เรือนกระจก
"งานเข้าแล้ว"หมวดเอกมองเข้าไปในห้อง สิ่งมีชีวิตรูปร่างแหลกเหลวชวนให้นึกถึงอาหารโรงเรียนค่อยๆหันใบหน้าเบี้ยวๆเละๆของมันมาทางเรา ปากหนืดๆอ้าออกอย่างช้าๆ แล้วร้องคำรามพร้อมกับพ่นเศษเมือกสีเขียวเข้มปลิวไปมาในอากาศ เจ้าลูกกลมๆสีส้มที่มีหนวดชี้โบ้ชี้เบ้ขยับไปมาเหมือนกับสัมผัสได้ถึงผู้บุกรุก ปัญหาคือ ห้องนี้ไม่ได้มีเจ้ากลุ่มก้อนแห่งความน่ารังเกียจเหล่านี้แค่ตัวเดียว มันเลอะและเละเต็มไปหมด บางตัวเกาะอยู่บนเพดาน แล้วปล่อยให้เศษที่ดูเหมือนอ้วกหยดลงมาเรื่อยๆจนข้างล่างกลายเป็นแอ่งปุ๋ยหมัก บางตัวยังเป็นแค่แกนกระจ้อยร่อยนอนอืดอยู่บนโต๊ะ บางตัวบูดเบี้ยวน่ากลัวสะบัดแขนหงิกงอชุ่มน้ำเคลือบด้วยเมือกของมันไปมา เสียงเหมือนกับใครกำลังร้องโอเปร่าทั้งๆที่เป็นไซนัสค่อยๆดังขึ้น
"ทางนี้ด้วย สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของด็อกเตอร์มาแย้ว มันกำลังตกมันไม่ก็ติดสัดละมั้ง"ไอ้ต้นชี้ไปที่ห้องนั่งเล่น ประตูห้องปฎิบัติการพิเศษเปิดออกพร้อมกับแสงไซเรนแดงสลับน้ำเงินและคำเตือนอีเล็กทรอนิกส์ เจ้าความภาคภูมิของด็อกเตอร์ส่งเสียงที่เหมือนกับเสียงหัวเราะชั่วร้ายของแม่มดแห่งทิศตะวันตก จากนั้นมันก็พุ่งเข้ามาในห้องนั่งเล่น ปากแหลมๆของมันอ้าออกแล้วดวงตาของมันกลอกไปมาเพื่อหาศัตรูของมัน กรงเล็บของมันกางจนสุด มันเข้ามาด้วยการเดินด้วยสองขาหลัง แต่ทันทีที่มันเห็นคณะอยู่ตรงห้องเคมี มันก้มตัวลงแล้ววิ่งเข้าใส่ด้วยขาทั้งสี่เพื่อความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เคราะห์ดีที่ประตูปิดทันเวลาก่อนที่มันจะพุ่งเข้ามาได้ เสียงเนื้อกระแทกโลหะดังขึ้น มันไม่ร้องครวญครางเลยแม้แต่น้อย แม้แระตูจะแข็งแรงแต่สัตว์ร้ายตัวนี้เปิดประตูเป็น และที่แย่ที่สุด มันจำได้แล้วว่าปุ่มไหนใช้เปิดประตูดังนั้นมันจะไม่เสียเวลาแบบตอนออกจากห้องปฎิบัติการพิเศษอย่างแน่นอน
"ทุกคน ออกชิดข้างประตู"หมวดเอกสั่งแล้วทุกคนก็ทำตาม ด็อกเตอร์ที่มีแตงโมซึ่งอ่อนปวกเปียกเกาะหลังอยู่เข้าชิดผนังห้องอย่างรวดเร็ว สามสหายเองก็ไม่รอช้า รีบหิ้วร่างห่อเหี่ยวไร้ซึ่งแรงของหมู่โบกี้ไว้ตรงมุมอับ ทังสามเองก็แอบอยู่ตรงนั้น กรอบกับต้นตามหมวดเอกไปหลบอยู่หลังตู้เก็บสารเคมีอย่างฉับไว นักข่าวทั้งสองเข้าชิดผนังและพยายามเอากล้องขนาดใหญ่เหมือนกระบอกปืนบาซูก้าซ่อนให้มิด น้ำอ้อยตกลงที่จะเป็นคงล่อเจ้าหนูโคร่งลายพาดกลอนตัวนี้เอง เธอขยับตรีศูลในมือไปมาก่อนที่จะแลบลิ้นเข้าไปพันด้ามของอาวุธประดิษฐ์นี้ ฟองดูวิ่งไปหลบอยู่หลังเก้าอี้เหล็กอย่างหวาดกลัว
"กรรรรรร!!!! โฮกกกกกกกกกก!!!!!!!!"ทันทีที่ประตูโลหะสีน้ำเงินโคโบลต์เปิดออก หนูทดลองร่างยักษ์ก็ร้องคำรามเช่นพญาสมิงพรายและพุ่งพรวดเข้ามาอย่างดุร้าย ตาสีเหลืองของสัตว์นักล่ายามราตรีส่องประกาย ขนนุ่มฟูฟ่องสีขาวลายพาดสีดำของมันปลิวสไหวไปกับแรงลมเหมือนกับทุ่งหญ้าอ่อนในฤดูใบไม้ร่วง หูใหญ่โตที่แหว่งไปข้างหนึ่งของมันโต้แรงต้านอากาศเหมือนกับใบเรือของเรือฟรีเกตหลวง หางอันเป็นเกล็ดน่าเกลียดลายสลับดำของมันสะบัดไปมาเหมือนกับแส้ของนายทาส ปากของมันอ้าออกแล้วแผดเสียงร้องแปดหลอดเหมือนกับมังกรร้ายพ่นไฟในหนังแฟนตาซี มันพุ่งเข้าไปในห้องเคมีอย่างองอาจ ความน่าเกรงขามของราชาแห่งป่าเขตร้อนไหลเวียนอยู่ในเลือดของเจ้าภาคภูมิ เช่นเดียวกับไหวพริบและความว่องไวของหนูขาวที่ถูกเลี้ยงและผสมพันธุ์ขึ้นมาเพื่อการทดลอง ห้องที่เต็มไปด้วยสารเคมีนี้ทำให้มันได้รู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน บ้านที่มันคู่ควรจะอยู่
"เฮ้ย ไอ้โฮกจี๊ด ไปล้างหน้าไป"น้ำอ้อยเขวี้ยงขวดใส่เอทิลแอลกอฮอล์ความเข้มข้น70%มี่เปิดฝาแล้วใส่หน้าของเจ้าภาคภูมิอย่างจัง แต่เจ้าหนูในร่างเสือ เออ เสือผสมหนูตัวนี้ไวกว่า มันตะปบใส่ขวดแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ขวดกระแทกหน้า แต่นั่นไม่สามารถกันเอทิลแอลกอฮอล์สีฟ้าผิดธรรมชาติที่สาดกระเซ็นใส่หน้าของมันได้ ทั้งหนูและเสือมีความสามารถในการดมกลิ่นที่เหนือกว่ามนุษย์ เวลาที่แอลกอฮอล์เข้าจมูกและตา มันจึงแสบกว่าที่คนแสบหลายเท่า
"ฮว้ากกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!"เสียงร้องด้วยความปวดแสบปวดร้อนสุดขีดของDP-026ทำให้ทั้งห้องสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว มันวิ่งสะเปะสะปะไปมาในห้องทดลองเคมีอย่างไร้ทิศทางและไร้การควบคุม มันเป็นบ้าแบบสมบูรณ์แล้ว แล้วนั่นก็ส่งผลเสียต่อตัวมันเองแบบที่มันคาดไม่ถึง มันชนโต๊ะและเก้าอี้กระจุยกระจายอย่างไม่สนอะไรทั้งนั้น แล้วมันก็ถลำเข้าไปในดงของเจ้าก้อนขยุยๆที่น่าขยะแขยง สัตว์ประหลาดร่างกึ่งของเหลวพวกนั้นเข้าโจมตีเจ้าภาคภูมิทันที แต่ว่าเจ้าหนูพันธุ์เสือแข็งแกร่งกว่าแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนเหนือกว่าก็ตามที หางที่เหมือนแส้ตวัดใส่เจ้าก้อนอ้วกสีเขียวจนชิ้นส่วนอันน่ารังเกียจของมันกระจุยกระจาย กรงเล็บของมันตะปบและสบัดไปมาทำให้ปีศาจปุ๋ยหมักพวกนี้เละคาที่อย่างรวดเร็ว
"ใครมีของเหลวอะไรบ้าง พวกตะไคร่น้ำจะมีพลังเมื่อมีน้ำ"ด็อกเตอร์รีบบอกเมื่อเห็นว่าเจ้าหนูทดลองตัวที่26ของเขากำลังจะดิ้นหลุดจากกลศึกตะไคร่น้ำ หมวดเอกรีบค้นกระเป๋าตัวเองเผื่อว่าจะมีเก็บน้ำอะไรไว้บ้างจนกระทั่งเจอขวดแก้วใส่ของเหลวสีแดงเข้มดูน่ากลัว มีลูกหนูสีชมพูอยู่ข้างในด้วย หมวดเอกก็นึกขึ้นได้ว่าพ่อใหญ่ที่หมู่บ้านให้ขวดนี้มาตอนที่กำลังออกมาจากหมู่บ้านที่มีแต่คนป่วย เอาไว้สักการะเทพเจ้าหรือผีกะผีปอบอะไรซักอย่างที่ก้อนหินแกะสลัก ช่างมันเหอะ
หมวดเอกเขวี้ยงขวดแดงใส่เพดานตรงที่อยู่เหนือร่างของเจ้าหนูผีสุดสยอง ขวดแก้วบางๆแตกอย่างไม่ต้องสงสัย น้ำสีแดงเข้มราดลงบนร่างอันบอบช้ำของอสูรกายดุบรรลัยตัวนี้ เจ้าDP-026 ทำท่าประหลาดใจอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนที่ความประหลาดใจนั้นจะเปลี่ยนเป็นตกใจแทน
"อือออออ อาาาาาา อ้าาาาาาา ครรรรร"เสียงชวนสยองของฝูงตะไคร่น้ำสีเขียวรูปร่างน่ากลัวที่ทำให้นึกถึงฝูงซอมบี้กินสมองกำลังแห่กันมารุมทึ้งเหยื่อ มันตะกายแขนแหยะๆเข้าใส่ร่างที่โชกไปด้วยเลือดของสัตว์ร้าย ถ้าหากเจ้าสิ่งนั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นแขนนะ พรรคพวกของมันหลายๆตัวเหวี่ยงก้อนตะไคร่เหลวเหนียวใส่ร่างนุ่มฟูลายทางของภาคภูมิ
"ก๊าซซซซซซซซ!!!!! กรรรร ฮว้ากกกกกกกก!!!!!"เจ้าหนูวิญญาณเสืออาละวาดเพื่อที่จะหลุดจากพันธนาการอย่างสุดความสามารถ ปีศาจตะไคร่หลายๆตัวเหวี่ยงชิ้นส่วนร่างกายอันบูดเบี้ยวและส่งกลิ่นเหม็นเน่าใส่จอมอสูรครึ่งหนูครึ่งเสือ แต่ว่านั่นแทบไม่สร้างความเสียหายให้กับสัตว์ร้ายเลย อย่างเก่งที่สุดก็แค่รบกวนและถ่วงเวลาเจ้าหนูทดลองตัวแสบ ระหว่างที่มันกำลังตวัดหางที่เหมือนกับแส้เพรียวๆของมันใส่ก้อนอ้วกสำเร็จรูปที่อยู่บนโต๊ะตัวยาวจนกระจุยเหมือนเค้กวันเกิดโดนค้อนปอนด์ทุบนั้น หมวดเอกและพรรคพวกฉวยโอกาสผลักตู้สารเคมีที่มีสัญลักษณ์วัตถุมีพิษและวัตถุกัดกร่อนให้ล้มใส่ร่างของหนูทดลองจอมทรหด เราจะได้เห็นกันว่ากรดซัลฟิวริกกับสารอาร์เซนิกจะฆ่าหนูทดลองขั้นสุดยอดตัวนี้ได้หรือไม่ หรือถ้ามันไม่ตาย เราก็มีเวลามากพอที่จะหนีออกไปยังห้องต่อไป แต่ว่าตู้โลหะนี้มันหนักเกินไปถ้าเทียบกับสมาชิคหมู่หมูมะนาวที่อ่อนแรงและบาดเจ็บ
"หนูจัดการเอง"น้ำอ้อยกระโดดเข้าไปแทรกตัวระหว่างช่องว่างของตู้สารเคมีกับผนังสีขาว เธอใช้พลังของขากบที่เมื่อมีขนาดเท่ากับขาของคนแล้ว แรงถีบจะมหาศาลราวกับแรงสะท้อนของปืนใหญ่ ตู้โลหะสีเทาอมเหลืองโงนเงนแล้วล้มทับเจ้าDP-026อย่างแรง
โครมมมมมมมมมม!!!!!!!เพล้งงงง เพล้งงงง
"ฮ้ากกกกกกก!!!!! จี๊ดดดดดด!!!!! ฮว้ากกกกกก!!!!!!" สัตว์ทดลองยอดนักสู้ส่งเสียงร้องเมื่อตู้โลหะหนักครึ่งตันที่เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายถึงชีวิตถล่มลงมาทับร่างกายที่บอบช้ำจากการต่อสู้ของมัน เสียงซ่าๆที่ฟังดูเหมือนกับเสียงของวัตถุกัดกร่อนกำลังทำปฎิกิริยากับเนื้อหนังมังสาของเจ้าภาคภูมิทำให้หมวดเอกกับคนอื่นๆทำหน้าเบ้แล้วรู้สึกหนาวขึ้นมาราวกับดดนจับเข้าตู้แช่แข็ง ทุกคนไม่รอดูชะตากรรมของเจ้าDP-026 ต่างวิ่งไปยังห้องต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต อสูรกายที่ร่างของมันทำขึ้นมาจากตะไคร่สีเขียวเข้มเข้ามาขวางทางอย่างคุกคาม แต่หมวดเอกและพรรคพวกรู้จุดอ่อนของเจ้าก้อนอาเจียนตรงหน้า บทเรียนที่ได้จากเจ้ามากมายตอนที่เจอกันตรงเรือนเพาะชำแก้ว นักผจญภัยที่ดีต้องรู้จักเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น
"โฮมรัน!!!"ไอ้กรอบเอาปืนลูกซองที่แม้จะไม่มีกระสุน แต่พานท้ายปืนแข็งๆของอาวุธทรงกระบอกนี้สามารถใช้เป็นอาวุธตีได้ สัตว์ประหลาดบางประเภทกลัวอาวุธประเภททุบตีซึ่งมีแรงปัทะมากกว่าอาวุธจำพวกมีดดาบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกกึ่งของเหลวแบบที่เรากำลังเจออยู่ ไอ้กรอบกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะไฟเบอร์สีเทาตัวยาวที่พาดผ่านห้องทดลองเคมีนี้ เขาจับที่ปลายกระบอกปืนแล้วใช้ด้ามของปืนลูกซองหวดแกนสีส้มทรงกลมที่มีหนวดส่งสัญญาณปลายสีแดงของมัน จนแกนของมันปลิวออกจากร่างที่ดูเหมือนกับปีศาจขยะเปียกเหม็นโฉ่ราวกับลูกเบสบอลโดนหวดแบบเต็มเหนี่ยว แกนสีส้มกระเด็นไปเละติดผนังเหมือนกับผลส้มสุกจัดโดนเขวี้ยงใส่กำแพง ร่างของอสูรตะไคร่น้ำที่ไม่มีแกนควบคุมชักกระตุกอยุ่สองสามทีก่อนที่แขนขา(มั้ง)จะห้อยลงแล้วตัวของมันก็หงายท้องลงไปกองกับพื้น ดูเหมือนผักโขมผัดลวกๆตามโรงอาหารที่ค้างคืนแล้วเหี่ยวลง
"ไปเร็ว"หมวดเอกย่ำผ่านร่างแหยะๆที่ดูคล้ายกับเหมือนขี้โคลนผสมหญ้าน้ำอย่างไม่สนใจใยดี คนอื่นๆเองก็ตามไปอย่างไม่อิดออด ปีศาจผักรวมพวกนี้ไม่ได้มีแค่นี้ ตัวอื่นๆที่ไม่ได้ชุลมุนอยู่กับการถล่มเจ้าหนูเสือก็กำลังตามมาเล่นงานเรา มันส่งเสียงร้องโฮกฮากอย่างไม่พอใจก่อนที่จะลากสังขารพังพินาศบู้บี้ของมันข้ามมาหาหมู่หมูมะนาวและคณะติดตามอย่างช้าๆ ดีที่เจ้าขยะย่อยสลายพวกนี้ขยับร่างกายได้ไม่เร็วเท่าไหร่นัก ก็เล่นชุ่มน้ำซะเหมือนกับผ้าเปียกร้านอาหาร
หมวดเอกซึ่งนำทุกคนไปรีบกดเปิดประตูอย่างรีบร้อน ดีที่มันไม่มีอะไรติดขัดในห้องน่าเกลียดแบบนี้ ประตูโลหะเปิดออกอย่างว่าง่ายไร้การขัดขืน เผยให้เห็นห้องที่มืดสนิทข้างหน้า ด็อกเตอร์เห็นดังนั้นเลยรีบเข้ามาเตือนว่า
"ห้องข้างหน้าเป็นห้องวิจัยพันธุ์พืช ผมดูในกล้องวงจรปิดแล้วไม่เห็นอะไรเพราะว่ามันไม่ได้เปิดไฟ เราจะเปิดประตูถัดไปได้ก็ต่อเมื่อดับไฟแล้วเท่านั้น ซึ่งเรายังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน"ด็อกเตอร์รีบเข้ามาบอก แต่ว่าด้านหลัง ร่างเหลวๆของเจ้าก้อนขี้มูกของซาตานกำลังขยับร่างกายชวนอ้วกของมันเข้ามาไกล้ขึ้นเรื่อยๆ หมวดเอกเลยให้พรรคพวกเข้าไปในห้องนี้อย่างไม่รอช้า อะไรอยู่ข้างหน้าไม่สำคัญเท่ากับอะไรที่มันกำลังตามหลังเรามา ทุกคนเข้าไปในห้องวิจัยพันธุ์พืชอย่างเร่งรีบ แล้วหมวดเอกก็กดปิดประตู มันหนีบแขนหยึยๆของพวกเชื้อราบ่อเกรอะจนขาดสะบั้น ประตูปิดลง แสงเองก็ด้วยที่หายไป
"ขอแสงหน่อย"หมวดเอกสั่งแล้วยกไฟฉายของตนเองขึ้นมาส่องทาง คนอื่นๆเองก็เอาไฟฉายขึ้นมาส่อง สองนักข่าวสะพายกล้องขนาดใหญ่มหึมาขึ้น มันฉายแสงแรงกล้าดุจดังสป็อตไลต์ เมื่อส่องห้องนี้แล้ว มีพืชผักผลไม้หลากหลายชนิดที่เหี่ยวเฉาเพราะขาดน้ำ มีหลอดทดลองจำนวนมากที่มีกองของหยึยๆอยู่ตรงก้นหลอด สารเคมีและยาหลากหลายชนิดตั้งเรียงรายอยู่บนชั้นวางของ ตรงกลางห้องมีอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายกับดอกบัวหลวงสีชมพูขาวขนาดใหญ่ ใหญ่แค่ไหนเหรอ ใหญ่พอที่จะเอาแกรนด์เปียโนขึ้นไปตั้งอยู่ข้างในพร้อมคนเล่นได้เลย น่าแปลก มันไม่มีร่องรอยของอาการขาดน้ำหรืออะไรเทือกนั้นเลย มันดูอวบอิ่มสมบูรณ์และมีน้ำมีนวล สามารถเดาได้ว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับดอกไม้ขนาดมหึมาเบื้องหน้านี้แน่ๆเลย ทางที่ดี อย่าให้มันรู้ตัวว่าเราเข้ามาในอาณาเขตของมัน เดินผ่านมันไปแบบเงียบๆแหละดีที่สุด
"ทุกคน เงียบ แล้วระวังไอ้บัวหลวงอมจันทร์ข้างหน้าด้วย อย่าหันหลังให้มันเด็ดขาด"หมวดเอกบอกจากประสบการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีไอ้โง่สมองหมาปัญญามดตัวไหนเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปไกล้ๆพืชพรรณดอกไม้ที่น่าสงสัยนี้ หงไห่เอ๋อ(หรือเด็กแดง ลูกชายสุดเทพธาตุไฟแต่สมองกลวงของปีศาจกระทิงกับองค์หญิงพัดเหล็ก)เรียนรู้บทเรียนนี้ด้วยราคาที่แพงมาก และไม่มีใครในหมู่เราอยากที่จะมีชะตากรรมเดียวกันกับตัวละครในวรรณกรรมนี้หรอกนะ แตงโมที่ร้องโอดโอยเพราะแขนขาดและผิวใสๆเป็นแผลฉกรรจ์(ก็สมควรร้องอยู่)หยุดร้องอย่างช่วยไม่ได้ หมู่โบกี้แม้จะหมดแรงข้าวต้นแถมสภาพควรเข้าห้องฉุกเฉิน ก็ยังไม่ละสายตาจากเจ้าดอกบัวที่สง่างามน่าเอ็นดูแต่ชวนให้สงสัยและไม่น่าไว้ใจดอกนี้
"กว๊ากกกกกก!!!!! ก๊าซซซซซซ!!!! กรรรรร โฮกกกกกก!!!!!!!!" เสียงร้องด้วยความโมโหโทสะของสัตว์รายอดีตหนูทดลองดังขึ้น เสียงนี้ไม่เหมือนกับเสียงร้องของตัวอะไรก็ตามที่กำลังเจ็บปวดหรือป่วยหนัก เสียงนี้ไม่ได้แสดงความอ่อนแอออกมาเลย มันแสดงออกถึงความโกรธแค้นและความบ้าคลั่ง เสียงของยอดนักรบผู้ปราศจากความกลัวและความย่อท้อทั้งมวล เดาได้ว่าDP-026หลุดจากตู้เคมีที่เต็มไปด้วยสารอันตรายแล้ว มันคงกำลังข่มขู่พวกสวะน้ำหมักพวกนั้นอยู่ แต่คงไม่ได้ผลหรอก เพราะพวกมันไม่มีสติปัญญามากพอที่จะรู้จักความหวาดกลัวหรือแผนการอะไรทั้งสิ้น เสียงนี้แสดงให้เห็นว่าเราต้องรีบแล้ว มันกำลังตามมาและเร็วด้วย เสียงข้าวของพังพินาศและการต่อสู้อย่างดุเดือดเริ่มดังขึ้น
"เร็ว"คำสั้นๆหนึ่งพยางค์แต่สื่อความในใจออกมาได้เป็นล้านๆคำ ทุกคนรีบกระดึ๊บผ่านดอกบัวอันน่าสงสัยนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงจากการย่ำเท้ารวมกับเสียงอาวะวาดตะลุมบอนในห้องเคมีทำให้เจ้าดอกบัวเริ่มสั่นสะเทือน นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่ๆ และที่น่ากลัวที่สุด เสียงของเจ้าหนูทดลองตัวแสบไกล้เข้ามาแล้ว ดอกบัวเริ่มกระตุก มันอาจจะส่งรากน่ากลัวเหมือนกับของพวกกาฝากหมูของมันออกมาแล้วลากทุกคนลงไปในปากสุดสยองของมันได้ทุกเมื่อ ไม่มีอะไรไว้ใจได้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในห้องแล็บที่ผิดเพี้ยนและบ้าระห่ำที่สุดเท่าที่หมวดเอกเคยเจอในชีวิต หมวดเอกกับพรรคพวกค่อยๆข้ามห้องอย่างมั่นคงจนเกือบจะถึงอีกฟากแล้ว แสงไฟฉายทำให้ไม่ต้องเปิดไฟ จะได้ไม่เจอวิกฤติตู้ไฟแบบเดียวกับที่ห้องอนุบาลไข่อีก
ปึ้ง!!!! ปั้ง!!!! เปรี้ยง!!!! เสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างกระแทกกับประตูโลหะพวกนี้ดังขึ้น เจ้าภาคภูมิผู้ทรหดซัดกับก้อนสาหร่ายไม่เอาถ่านเรียบร้อยแล้ว แล้วมันกำลังจะเปิดประตู ซ้ำร้าย เจ้าดอกบัวสีชมพูฟรุ้งฟริ้งอันนั้นมันกำลังจะตื่นซึ่งไม่น่าจะเป็นข่าวดี ถ้าต้นไม้ทั้งห้องตายเรียบแต่มีมันรอดอยู่ต้นเดียวแสดงว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติมากๆอยู่ และนั่น หมวดเอกเองก็ยังไม่อยากรู้คำตอบว่าทำไม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคำตอบคือมันจับใครที่ผ่านไปมาดูดเลือดกิน
โชคไม่ช่วยเท่าไหร่ที่พรรคพวกของหมวดเอกไม่ค่อยระวัง ไอ้กอล์ฟที่กำลังหิ้วปีกหมู่โบกี้อย่างรีบร้อนดันไปเหยียบเศษดินลื่นๆที่อยู่บนพื้นเข้า อย่างที่ทุกคนคาดไว้ว่าปฎิกิริยาของคนที่กำลังจะลื่นล้มจะทำ เขารีบเกาะขอบโต๊ะตัวหนึ่งไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม แต่โชคไม่เข้าข้างกอล์ฟเท่าไหร่ สิ่งที่เขาคว้าได้ในความมืดไม่ใช่ขอบโต๊ะ
"เหวออออ"กอล์ฟร้องเมื่อเจ้าสิ่งนั้นไม่หนักหรือแข็งเรงพอที่ทำให้เขาพยุงร่างของตัวเองได้ ร่างของเขาล้มไปตามกฎของแรงโน้มถ่วง แล้วกฎของแรงโน้มถ่วงเรื่องแรงกระแทกกับน้ำหนักก็เล่นงานหมู่โบกี้ด้วย ร่างของกอล์ฟที่ลื่นล้มลงไปทับแขนของหมู่โบกี้ทำให้อาการสะบักสะบอมของหมู่โบกี้แย่ลงไปอีก เสียง กร๊อบ!!! ที่ฟังดูเหมือนกับอะไรสำคัญๆกำลังแตกทำให้ทุกคนตกใจแล้วรู้สึกแย่ แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุด
เพล้งงงงง!!!!!! เสียงของกระถางต้นไม้ทรงสี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนจะทำมาจากเซรามิคสีขาวหล่นกระแทกพื้นตามแรงเหวี่ยงร่างกายของกอล์ฟ ที่ฟังดูชวนขนลุกยิ่งกว่านั้นคือเจ้าต้นไม้เหี่ยวๆที่อยู่ในกระถางนั้นเมื่อกระแทกพื้น มันปริออกแล้วส่งเสียงเหมือนกับป๊อปคอร์น เม็ดของเจ้าพืชปริศนานั้นปลิวออกไปทั่วทุกทิศทาง มันดูเหมือนกับลูกปัดสีม่วงดำที่แข็งและลื่น ผิวเงางามของมันดูเหมือนกับชุบด้วยน้ำมันแล้วขัดจนเงา เสียงป๊อบ ป๊อบ ป๊อบ ดังขึ้นเรื่อยๆรวมถึงเมล็ดของพืชแปลกๆนั้นกระเด็นออกมาจากกระเปาะที่ดูเหมือนกับผลโกโก้สีเขียวแก่ แล้วสิ่งที่ฟังดูแย่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ของจริง
"กรรรรรร โฮกกกกกกกก!!!!!! ฮว้ากกกกกก!!!!!!!"ประตูโลหะจากห้องเคมีเปิดออกด้วยกลไกไฟฟ้า สัตว์ร้ายกระหายสงครามที่ลำตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษสาหร่ายเซลล์เดียวและสิ่งอื่นๆที่เป็นส่วนประกอบของพวกปีศาจขี้มูกพวกนั้น มันหอบอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะการตะลุมบอนเมื่อครู่กินพลังงานร่างกายของมันไปเยอะเอาการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสัตว์ทดลองตัวโปรดของด็อกเตอร์ตัวนี้จะหยุดการต่อสู้ของมัน เงาของมันลากยาวเข้ามาในห้องนี้ พร้อมด้วยร่างกายและใบหน้าที่เห็นไม่ชัดเนื่องจากมุมมองย้อนแสง แต่ดวงตาของมันเป็นประกายส่องแสงสีเหลืองเหมือนเสือป่ายามราตรี
DP-026ไม่ใช่สิ่งเดียวที่น่าห่วงในตอนนี้ ดอกบัวที่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างามกลางห้องวจัยกำลังบานออก แล้วเราก็ยังไม่อยากเห็นด้วยว่าข้างในของบัวยักษ์สีชมพูนี้มีอะไรอยู่ข้างใน ดีที่สุดคงเป็นเกษรดองไม้ แย่สุดคงเป็นโครงกระดูกของเพื่อนร่วมงานด็อกเตอร์ซักคน ซึงถ้าหากออกมาเป็นอย่างหลัง ไม่มีใครอยากไปแทนที่อยู่ในดอกบัวนั้นหรอก บัดนี้เจ้าหนูทดลองจอมอึดถึกทนทายาดราวกับโทรศัพท์จอเขียวในตำนานกำลังเดินด้วยขาทั้งสี่ของมัน มันไต่ขึ้นบนโต๊ะแล้วพุ่งมาทางหมู่หมูมะนาวกับคนอื่นๆ
แช็ะ! สั้นๆ ได้ใจความ
เสียงกล้องถ่ายรูปขนาดมหึมาที่พาดไหล่ของเนยฉายแสงสีขาวบริสุทธิ์ดุจสำลีทำแผล ลำแสงอันแรงกล้าราวกับแสงจากระเบิดนี้ปลดปล่อยพลังงานอันทรงพลังออกมา อำนาจของแสงสว่างที่ทำให้ห้องอันมืดมิดที่มีเพียงแค่แสงจากไฟฉายง่อยๆนี้สว่างวาบขึ้นมาทันตาเห็น ดวงตาของเจ้าภาคภูมิที่แม้จะโดนแสงจากแฟลชไปหลายรอบตอนอยู่ห้องปฏิบัติการพิเศษ แต่ว่าแสงจากกล้องโหมด เซอร์ราวด์ช็อต นั้นทรงพลังแรงกล้ากว่าเป็นไหนๆ ดวงตาของเจ้าDP-026ที่ตอนนี้เป็นของสัตว์กลางคืน(เสือ)ซึ่งจากการที่ห้องนี้มืดมาก่อนตอนที่มันเข้ามา รูม่านตาของมันขยายกว้างที่สุดเพราะการมองเห็นในความมืดของสัตว์ตระกูลแมวนี้อาศัยการรวมแสงจากแหล่งแสงเพียงเล็กน้อยด้วยพลังของรูม่านตาแบบพิเศษนี้ แต่ว่า ถ้ารูม่านตาอยู่ในโหมดรับแสงเต็มที่แบบนี้ แล้วต้องเจอกับแสงแฟลชอันทรงพลังที่สุดของกล้องบาซูก้าที่ทำให้พญาจระเข้เกล็ดมรกตแห่งหนองเห็ดกระสือมองไม่เห็นไปเป็นนาที เดาได้เลยว่าเจ้าเหมียวสายพันธุ์จี๊ดตัวนี้คงไม่ปลื้ม
"ฮว้ากกกกกกกกกกกก!!!!!!!"เสียงร้องโหยหวนยืดยาวของหนูทดลองกลายพันธุ์ตัวนี้ทำให้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดสุดจะทนของอสูรกาย แค่ได้ยินเสียงเพียงอย่างเดียวก็ทำให้จินตนาการถึงความเจ็บปวดของการโดนหอกที่เผาจนกลายเป็นสีแดงส่องแสงเรืองรองทิ่มเข้าไปในลูกตาแบบเต็มๆทั้งสองข้าง ร่างของทุกชีวิตและทุกสิ่งในห้องนี้โดนพลังงานแสงสีขาวกลืนกินจนดูเหมือนกับพลังงานนั้นทำให้ทุกอย่างระเหยกลายเป็นไอ หายไปราวกับใช้เวทมนตร์เสกให้สลายหายไปจากโลกของความเป็นจริง เจ้าDP-026สะดุดเพราะไม่ทันตั้งตัวระหว่างที่กำลังกระโจนผ่านโต๊ะ มันลื้นล้มหล่นจากโต๊ะตัวยาวสีเงินที่เปื้อนไปด้วยดินและปุ๋ย ซากต้นไม้หงิกงอแห้งกรอบสีน้ำตาลและกระถางต้นไม้แบบเดียวกับที่กอล์ฟทำหล่นแตกกระจัดกระจายไปทั่วเมื่อเจ้าสัตว์ร้ายใจสู้ตัวนี้ไถลไปกับโต๊ะ ก่อนที่จะหล่นเอาสีข้างกระแทกพื้น จุดเดียวกับที่น้ำอ้อยเคยเอาเสียมคมกริบทิ่มนั่นแหละ มันตะเกียกตะกายคว้าเอาชั้นวางของจนมันหัก หนังสือวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับต้นไม้และพืชพรรณเล่มหนาเป็นคืบหลายเล่มหล่นลงมาทับร่างของสัตว์ทดลองจนจุก แล้วโต๊ะสีเงินที่น่าจะทำจากไฟเบอร์และอะลูมิเนียมก็ล้มทับมันอีกที รวมถึงกระถางต้นไม้ทั้งหมดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวนั้นด้วย
"เปิดเร็ว"หมวดเอกพยายามจะเปิดประตูแต่ว่าปุ่มดูเหมือนจะไม่ทำงาน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ว่า มันต้องไม่มางี่เง่าในเวลาแบบนี้เซ่ ปัดโถ่ว คนจะเป็นจะตายก็งานนี้นี่แหละ หมวดเอกหันไปทางด็อกเตอร์อย่างคาดหวัง เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่กำลังมองหน้าด็อกเตอร์ตาเป็นมันเหมือนหมาอ้อนเจ้าของ
"ผมไม่รู้ ผมไม่ได้ออกมาจากห้องควบคุม2เดือนแล้ว"ด็อกเตอร์ตอบเสียงหลง แตงโมที่กำลังเสียเลือดทำหน้าสิ้นหวังยิ่งกว่าตอนที่เธอกลายร่างจากมนุษย์มาเป็นอะมีบาพูดได้ซะอีก หมวดเอกทำหน้าเหวอสุดขึด เหวอพอๆกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่งแต่ว่าทำใบล็อตเตอร์รี่หาย ไอ้ตือเหงื่อแตก เขาหันไปมองที่ดอกบัวยักษ์ กลีบชั้นนอกกำลังบานออกมา เผยให้เห็นกลีบชั้นในที่สีอ่อนกว่า พนันได้เลยว่าหากกลีบชั้นในสุดบานออกมา งานนี้จบไม่สวยแน่ๆ อาจจะได้มีคนไปอยู่เป็นเพื่อนกับไอ้ขาวที่โลกหน้า
แล้วคนที่ไม่ได้อยากมาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับเรื่องสัตว์ประหลาดพวกนี้ และไม่ได้มีเจตนาอยากจะมาผจญภัยเลยก็อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการ งี่เง่า ออกมาอย่างชัดเจน
"เป็นด็อกเตอร์ซะเปล่า ทำให้แฟนตัวเองกลายเป็นวุ้นมะพร้าวใส่ชุดกาวน์ได้ แค่สวิตช์ไฟดันซ่อมไม่เป็น เชอะ เปลืองใบปริญญาจริงๆ"ไอ้ต้นตะโกนเสียดสี ทำหน้าหมั่นไส้สุดๆ กอดอกเบ้ปากและแสดงอาการเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น มองด็อกเตอร์ด้วยหางตาแบบเหยียดสุดขีด ในความคิดของคนบางคนที่จบแค่ ม.3 จะเข้าใจว่าคนจบด็อกเตอร์ต้องยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานและแก้ปัญหาได้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อยกเว้น ถ้ามีอะไรที่คนจบปริญญาเอกทำไม่ได้คนกลุ่มนี้จะเข้าไปซ้ำเติมทันทีโดยไม่ฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น เหมือนกับตรรกะของเด็กๆที่มีต่อยอดมนุษย์ในการ์ตูนว่าพวกเขาจะต้องไม่แพ้ให้กับใครทั้งนั้น ไม่ว่าศัตรูจะมีเยอะมากมายหรือทรงอำนาจแค่ไหนก็ตาม
"โผมมมมไม่ได้จบวิศวะกรไฟฟ้า ผมจบเอกพันธุวิศวกรรมศาสตร์ โทชีววิทยา ตรีวิทยาศาสตร์ ผมไม่ใช่ช่างไฟหรือเคยเป็นช่างไฟด้วย แล้วคุณมาว่าผมแบบนี้ได้ไง"ด็อกเตอร์ฟิวส์ขาด เขาร้องออกมาจากใต้หน้ากากกันรังสีอย่างเหลืออด ปกติด็อกเตร์สุขุม ใจเย็น และยากยิ่งต่อการยั่วยุ แต่ว่าไม่ใช่ในสถาณการณ์คับขันที่กำลังหนีสัตว์ประหลาดหรืออะไรแบบนี้ ด็อกเตอร์จะเสียความเยือกเย็นไปเมื่อกำลังตื่นตกใจหรือรีบร้อน
"แล้วชั้นก็ไม่ใช่แฟนด็อกเตอร์ เค้าแก่พอที่จะเป็นพ่อชั้นได้แล้วเนี่ย สมองพ่อแม่ให้มาก็หัดใช้บ้างเซ่ ไม่ใช่เอามาประดับกะโหลกเฉยๆไอ้อึ่งบวมฝน"แตงโมโวยวาย แต่ว่าเนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้เธอเพลียเกินกว่าที่จะอาละวาดต่อ แตงโมหลับลงบนหลังของด็อกเตอร์อย่างรวดเร็วเหมือนกับสับสวิตช์ไฟ เหมือนกับเด็กเล็กๆที่วิ่งพล่านไปทั่วบ้านแล้วหลับบนพื้นเมื่อเหนื่อย
"ฟังนะไอ้ซอมบี้ชุดกันฝน ใครก็ตามที่มีปัญญาใช้ห้องแล็บไฮเทคหรูหรากลางป่าได้หรือสร้างสัตว์ประหลาดเป็นงานอดิเรกได้ ก็ควรจะซ่อมไฟได้ ไม่งั้นใบปริญญาเอกของแกหนะ เอาไปจิ้มปลาร้ากินเหอะ เปล่าประโยชน์ เสียดายค่าเล่าเรียนหว่ะ"ไอ้ต้นยังพล่ามไม่หยุด ไม่ได้สนใจเลยว่าเจ้าสัตว์ร้ายที่พยายามตะเกียกตะกายออกมาจากใต้โต๊ะตัวยาวและกองหนังสือพฤกษศาสตร์กำลังจะหลุดออกมาเป็นอิสระอีกครั้ง
"พวกแกจะเถียงกันอีกนานมั้ยเนี่ยยยย!!!!!"หมวดเอกว้ากจนทุกคนเงียบลง แล้วสิ่งที่ตามมาหลังจากที่ทุกคนหุบปากคือเสียงของบางสิ่งบางอย่างที่มีเสียงเหมือนกับไข่ของตัวอะไรบางอย่างกำลังฟักตัว เมื่อทุกคนหันไปทางดอกบัวนั้น กลีบชั้นในสุดกลับไม่ใช่กลีบดอกไม้ธรรมดา แต่เป็นกระเปาะของอะไรบางอย่างที่มีเยื่อสีขาวใสและเส้นก้านใบหรือเส้นเลือดของอะไรซักอย่างขึ้นทั่วไปหมด มีบางอย่างอยู่ในกระเปาะนั้น และกำลังขยับตัว เยี่ยมยอด นอกจากด็อกเตอร์จะเปิดประตูไม่เป็น เราโดนสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ไล่ล่า ลูกทีมเราบางส่วนเองก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ อาวุธยุทโธปกรณ์แทบไม่มีเหลือ ข่าวใหม่มาแรงล่าสุด เรากำลังจะต้องรับมือกับอะไรบางอย่างที่ทำให้เราขนลุกซู่ได้ตั้งแต่มันยังไม่ตื่น ยอดเยี่ยมที่สุด
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:55:00 GMT
26.dream team : ทีมในฝัน
ในห้องอันมืดมิดไร้แสงไฟ มีเพียงแค่ไฟฉายเท่านั้นที่ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่เห็นทาง และนอกจากความมืดในห้องวิจัยพันธุ์พืชแล้ว สิ่งที่น่ากลัวกว่ามีอยู่2อย่าง อย่างแรก หนูทดลองตัวที่26ของด็อกเตอร์ซึ่งด็อกเตอร์ตั้งชื่อให้มันว่า DP-026 แต่เราชอบที่จะเรียกมันว่าภาคภูมิมากกว่า มันเคยเป็นหนูขาวธรรมดาสามัญที่ถูกเพาะพันธุ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการทดลอง และอำนาจของรังสีอะไรซักอย่างของด็อกเตอร์ทำให้มันเติบโตแก่กล้าและดุร้าย บัดนี้มันกลายเป็นหนูขาวตัวใหญ่ยักษ์ที่มีลายของเสือโคร่งขึ้นทั้งตัว แข็งแกร่งอย่างหนู ดุร้ายอย่างเสือ ซ้ำร้ายมันยังฉลาดมากด้วย อย่างที่รู้กันดีหลังจากที่ด็อกเตอร์เล่าเรื่อง ใครหรืออะไรก็ตามที่กลายพันธุ์ด้วยวิธีของด็อกเตอร์แอนโทนี่จะหิวกระหายเป็นอย่างมากเพราะต้องการพลังงานไปสร้างร่างกายส่วนที่เปลี่ยนไปนั่นเอง อย่างที่2 พืชต้นเดียวในห้องที่มืดมิดแห่งนี้ พืชต้นเดียวที่ยังไม่แห้งตายหลังจากที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้โดนทิ้งร้างมา2เดือน มันเป็นดอกบัวขนาดใหญ่ที่สามารถเอาโต๊ะกินข้าวขึ้นไปตั้งข้างในได้เลย สิ่งที่อยู่ข้างในของดอกบัวอวบอิ่มสีชมพูหวานแหว๋วนี้คือกระเปาะอะไรบางอย่างที่ส่งเสียงน่าขยะแขยงและมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว มันตื่นขึ้นเพราะเสียงดังและการต่อสู้ของเรากับเจ้าภาคภูมิ แล้วปัญหาใหญ่สุดของเราตอนนี้คือ ประตูเปิดไม่ออกด้วยสาเหตุที่ไม่ชัดเจน
"บรึ๋ยยย นั่นมันอะไรหน่ะ"ไอ้ตือมองไปที่กระเปาะประหลาดนั้นอย่างเกรงกลัว มันดูเหมือนไข่ของเอเลี่ยนหรืออะไรที่หลุดโลกมากๆ เจ้าสิ่งที่ดูน่ากลัวนั้นกำลังขยับตัวไปมาอย่างน่าขยะแขยง เสียงเหมือนกับเอาผลไม้อะไรซักอย่างเข้าไปในเครื่องปั่นผลไม้แล้วมันกลายเป็นน้ำผลไม้ น้ำผลไม้ที่ไม่น่ากินเอาเสียเลย เจ้าก้อนแหยะๆที่อยู่ตรงกลางของดอกบัวนั้นค่อยๆมีรอยปริออก บางอย่างที่อยู่ข้างในกำลังฉีกเยื่อน่าเกลียดนั้นออก น้ำเมือกสีเขียวอมเหลืองที่ดูเหมือนกับซอสมะนาวไหลทะลักออกจากเจ้ากระเปาะนั้น แล้วทันใดนั้น กระเปาะก็ส่งเสียงเหมือนกับกาน้ำร้อนพ่นไอ มันสั่นอย่างน่ากลัวเหมือนกับขวนน้ำอัดลมที่เขย่าจนสุดแล้วปิดฝา มันกำลังจะระเบิด
"ทุกคน หลบ"หมวดเอกร้อง เขาหันหลังให้กับกระเปาะแล้วก้มตัวลง คนอื่นๆต่างก็หาที่หลบของตัวเองอย่างรวดเร็ว แม้แต่เจ้าDP-026เองก็เอาหนังสือเรียนเกี่ยวกับต้นไม้มาบังหน้า ห้องนี้กลายเป็นห้องเล่นซ่อนแอบอย่างรวดเร็ว หมู่โบกี้โดนลากไปกับเพื่อนๆ เออ ลูกไล่ที่กำลังหาที่หลบกันอย่างสุดชีวิต กรอบเองก็จับเอาต้นมาบังตัวเอง ด็อกเตอร์เองก็ก้มตัวหมอบลง โดนมีแตงโมนอนอยู่ข้างหลัง พวกนักข่าวเองก็เช่นกัน เนยก้มตัวอยู่ใต้โต๊ะ อยู่เคียงข้างกับสมบัติที่กำลังเอาเศษกระถางต้นไม้มาบังหน้า น้ำอ้อยก็ไม่ต่างกัน เธอขึ้นไปหลบอยู่บนชั้นวางของแล้วเอาหนังสือพฤกษศาสตร์บังหน้าตัวเอง แม้แต่ฟองดูเองก็ยังหาที่ซ่อน
"เอี๊ยกกกกกกกกกกกก!!!!!!!! แผละ"เสียงกรีดร้องแหลมสูงสั่นสะท้านเข้ามาในโสตประสาทอย่างไม่สามารถป้องกันได้ พลังของมันทำให้จ่าปลาเป็นไมเกรนได้เลย แบบว่า เธอปวดหัวข้างเดียวแบบสุดๆเหมือนมีใครเอาตะปูตอกเข้าไปในสมองซีกใดซีกหนึ่ง สาวน้อนดิ้นพราดๆอย่างแสบประสาท คนอื่นๆเองก็พยายามจะอุดหูแต่อำนาจของเสียงกรี๊ดนี้ทรงพลังเกินไป แต่ถ้าจะมีใครที่เจ็บสุดๆกับคลื่นเสียงพิฆาตนี้ ก็คงจะต้องเป็นฟองดูกับภาคภูมิ หมามีประสาทการรับเสียงที่ดีเยี่ยม พวกมันสามารถได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่ต่าเกินกว่าที่คนทั่วไปจะได้ยินได้ หรือความถี่สูงเกินกว่าที่จะมีคนได้ยิน นอกจากนี้ความสามารถในการรับรู้เสียงของมันยังทำให้มันรู้ได้ว่ามีแผ่นดินไหวใต้ทะเลหรือไม่หรืออะไรเทือกนั้นได้อีกด้วย ความสามารถในการรับเสียงของหนูเองก็ใช่ย่อย ดูหูของมันสิ ไม่แปลกที่มันจะใช้การได้ยินเป็นหนึ่งในความสามารถหลักสำหรับการเอาตัวรอด แต่บัดนี้ อะไรซักอย่างที่ส่งเสียงเขย่าก้านสมองของพวกมันอยู่ห่างไปไม่กี่เมตร และเสียงนี้ทรงพลังมากพอที่จะทำให้สัตว์ทั้งสองหมดสติ ทั้งคู่ร้องอย่างน่าอนาถา ตาเหลือกจนเห็นแต่ลูกตาขาว น้ำลายฟูมปาก ร่างกายชักกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนที่จะล้มตัวลงกระแทกพื้นแล้วหยุดเคลื่อนไหว
นอกจากคลื่นเสียงที่พิสูจณ์เรียบร้อยแล้วถึงพลังอันมหาศาล ถ้าแสงที่ทรงพลังคือแสงเซอร์ราวด์ช็อตจากกล้องสารพัดประโยชน์ของเนย นี่คือเสียงที่ทรงพลังจนสามารถเทียบเคียงได้เลย แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้น ชิ้นส่วนจากกระเปาะและน้ำเมือกสีเขียวเหลืองนั้นสาดกระเซ็นและกระจายไปทั่วห้อง เจ้าสิ่งที่อยู่ข้างในกระเปาะนั้นระเบิดพลังออกมาอย่างยิ่งใหญ่ ราวกับว่าเสียงซุปเปอร์โซนิคและชิ้นส่วนกระเปาะพวกนี้เป็นการเปิดตัวอย่างสุดยอดของ บางสื่ง บางสิ่งที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ มันแม้จะไม่ได้มีอาการมุ่งร้ายอย่างเจ้าDP-026แต่ว่าเรารู้สึกได้ มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง มากๆ
.
.
.
.
.
"เหอออออ นี่มันอารายกัน"หมวดเอกค่อยๆลืมตาขึ้น รู้สึกสมองปลอดโปร่งโล่งสบาย ร่างกายเบาเหมือนปุยเมฆ รู้สึกสดชื่นเหมือนนั่งรถไปกับไอ้จิงโจ้ เออ เปลี่ยนเป็นรู้สึกสดชื่นเหมือนกับยืนชื่นชมธรรมชาติบนไหล่เขา ที่ไม่มีมากมายหรือสัตว์โลกไม่น่ารักตัวไหวอยู่ในละแวกนั้น หมวดเอกอยู่ๆก็รู้สึกตัวว่าเขาอยู่ที่ไหนซักแห่ง และที่แห่งนั้นคือ . . . ห้องของสารวัตรเกรียงไกร ที่มีสารวัตรเกรียงไกรนั่งทำหน้าตายอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง
"สารวัตร เออ นี่เกิดอะไรขึ้น ครับ"หมวดเอกพูดตะกุกตะกัก ห้องนี้ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเข้ม ของทุกอย่างในห้องทำงานของสารวัตรยังคงส่งออร่าที่ทำให้รู้สึกถึงอำนาจอันเด็ดขาดของสารวัตรเมื่อเขาอยู่ในอาณาเขตแห่งสารวัตร เพียงแต่ว่า ของพวกนี้มีอะไรที่ต่างออกไป สารวัตรไม่เปิดวิทยุเพลงลูกทุ่งหรือว่าทีวีช่องข่าวการเมืองระหว่างที่กำลังพูดกับใครแบบเดียวกับทุกๆที ของประดับในห้องทำงานที่ปกติดูคุกคามหน้ากลัวและให้ความรู้สึกว่ามันจะกระโดดออกมาฆ่าเราได้ทุกเมื่อกลับไม่ปลดปล่อยพลังงานด้านมืดอีกแล้ว แต่ตัวสารวัตรเองยังสร้างความรู้สึกน่าเกรงขามอยู่
"จะเกิดอะไรขึ้นเล่า เหม่ออะไรอยู่"สารวัตรเกรียงไกรตะโกน ทำหน้าขึงขังโอเวอร์รีแอคติ้งเหมือนเคย แต่ว่าเขาสงบลงอย่างรวดเร็ว เขานั่งอย่างสง่าผ่าเผยแล้วมองตรงมาทางหมวดเอกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและยินดีอย่างสุดซึ้ง สายตานี้ที่ผู้ได้รับเกียรติสูงสุดจากสารวัตรเท่านั้นที่จะได้รับ
"อะแฮ่ม ผมต้องขอแสดงความยินดีด้วยนะคุณเอกยุธ หลังจากที่คุณนำทีมสำรวจเข้าไปในหุบเขาดงโขมดเย็น การค้นพบสำคัญถึงการรั่วไหลของสารเคมีอันตรายทำให้ทางการเข้าไปจัดการหยุดมหันตภัยร้ายนี้ได้ทันเวลา นอกจากจะหยุดการรั่วไหลที่ทำให้ป่าถูกทำลายได้แล้ว ทางเรายังใช้เหตุนี้ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านที่เรามีความสัมพันธ์ระหองระแหงมาอย่างยาวนาน ทำให้เราสามารถยกระดับความสัมพันธ์นี้ให้แน่นแฟ้นขึ้น นับเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งทำให้เรากับหน่วยของประเทศเพื่อนบ้านสามารถร่วมแรงร่วมใจกันปราบปรามเหล่าร้ายในหุบเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในที่สุด ผลงานชิ้นโบว์แดงอย่างการจัดการกับหัวหน้าแก็งค์ค้ายาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่อย่างสิงค์อุ้มลูกล้อได้สำเร็จ ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าหากไม่มีการเสียสละของคุณและทีมของคุณ แม้ว่าจะเสี่ยงภัยและภยันอันตรายจากกลุ่มโจรผู้ร้ายและสัตว์ป่ากลายพันธ์ุพวกนั้น คุณก็ยังไม่ย่อท้อและฝ่าฟันอันตรายต่างๆนาๆจนภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี บัดนี้ ผมขอแสดงความยินดีด้วยนะ คุณได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมป่าไม้อย่างเป็นทางการ ขึ้นรับตำแหน่งได้เลยวันพรุ่งนี้นะ"สารวัตรเกรียงไกรพูดอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี เด็กที่เขาปั้นมากับมือได้ดิบได้ดีขนาดนี้ ครูมันต้องไม่ธรรมดา เขายิ้มอย่างตื้นตันใจ น้ำตาแห่งความปิติยินดีไหลออกมาจากขอบตาของสารวัตร
"ว้าว"หมวดเอกตาโตเป็นไข่นกกระจอกเทศ แทบไม่เชื่อหูตัวเองเลย นี่เขากำลังได้รับการเลื่อนขั้น ความก้าวหน้าในอาชีพการงานที่ยากยิ่งต่อการได้มา มันกำลังเกิดขึ้นจริงๆใช่มั้ยเนี่ย แล้วที่สำคัญ ได้เป็นถึงอธิบดีเนี่ย ฝันสุดๆไปเลย ฝันกลายเป็นจริง
"แล้วก็ที่สำคัญที่สุดที่ผมอยากจะให้คุณทราบ เราคนกันเอง เป็นเจ้านายลูกน้อง เป็นเพื่อนซี้ เป็นมิตรสหายกัน กองพันของเราก็เหมือนครอบครัวในบ้านหลังใหญ่ อยากให้คิดซักนิดว่า ได้ดีแล้วก็เลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูง ส่งเสริมผู้มีบุญคุณด้วยนะ ชั้นหละภูมิใจในตัวแกจริงๆเลยพับผ่า แกกับเพื่อนๆซัดหมียักษ์หลายหัวหมอบได้ทั้งๆที่กระสุนหมด ลุยกับมดยักษ์เป็นกองทัพ ถล่มบึงจระเข้ซะราบคาบ แถมยังช่วยคนบริสุทธิ์ได้ทั้งหมู่บ้าน ไม่ผิดหวังจริงๆที่ส่งเสริมอุ้มชูคนมีความสามารถอย่างนาย"สารวัตรพูดย่างมีเลิศนัยสมกับเป็นเจ้านายเขาจริง เสือไม่ทิ้งลาย ชายไม่ทิ้งชื่อ
"ครับ ผมคงมีวันนี้ไม่ได้ถ้าหากไม่มีคนเก่งๆมีความสามารถอย่างสารวัตรเป็นคนฝึกสอนให้ โบราณว่าไว้ ถ้านักเรียนได้ดี ต้องชื่นชมอาจารย์"หมวดเอกยอกลับ วันนี้เป็นเหมือนกับวันที่ดีที่สุดในโลกของเขาเลยแหละ
"โอ้วแล้วก็ ตอนนี้นักข่าวต้องการจะสัมภาษณ์คุณหนะ ได้เวลาออกสื่อแล้ว"สารวัตรเกรียงไกรพูดแล้วประตูหน้าห้องของสารวัตรก็คราคร่ำไปด้วยผู้สื่อข่าวจำนวนมหาศาล นี่มันเหมือนฝันเลย นอกจากจะได้เลื่อนขั้นแล้ว ยังได้เป็นดาราหน้ากล้องด้วย
เสียงกล้องถ่ายรูปดังกระหึ่มไปทั่วทั้งโถงทางเดิน หนึ่งในนั้นมีเนยกับสมบัติอยู่ด้วย และพวกเขาก็ได้งานในฝัน ได้เป็นนักข่าวของสำนักข่าวไฮยีน่านิวส์จริงๆ รวมถึงสามารถขายข่าวและการผจญภัยได้เป็นเงินก้อนโต ทั้งสองเข้ามาสัมภาษณ์หมวดเอกอย่างตื่นเต้น
"ช่วยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟังหน่อยค่า"เนยถาม สีหน้าของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและพลังงานระดับสุดยอด บนใบหน้าของเธอประดับไปด้วยรอยยิ้มใหญ่ยักษ์เหมือนมีพระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่บนหน้า
"รู้สึกยังไงบ้างที่ได้เป็นอธิบดีกรมป่าไม้"สมบัติถาม เขายังคงแข็งทื่อเหมือนเดิม แต่ภายใต้หมวกแก๊ปสีน้าเงินเข้มใบโต สายตาของเขาเต็มไปด้วยความยินดี
"ใจเย็นๆครับ ได้สัมภาษณ์ทุกคนแน่นอนครับ ประเดี๋ยวครับ"หมวดเอกพูดกับเหล่านักข่าวอย่างสุภาพแล้วค่อยๆตอบคำถามทีละคน
.
.
.
.
.
"พวกนี้มันเพ้ออะไรของเขาเนี่ย"ด็อกเตอร์ในชุดป้องกันรังสีเต็มยศมองคนอื่นๆที่สลบเหมือดไม่ได้สติแต่ส่งเสียงเหมือนกับกำลังเคลิ้มสุดขีด เหมือนกับกำลังเจอกับฝันที่เป็นจริงสิ่งที่เคยคาดหวังเหรือต้องการที่สุดในชีวิตได้มาหมดแล้ว งานนี้คงไม่ต้องอธิบายมาก เนื่องจากด็อกเตอร์ใส่ชุดกันรังสีอยู่เลยทำให้เขาไม่มีอาการผิดปกติ ไม่เห็นภาพหลอก ไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งนั้น แต่ว่า คนอื่นๆเคลิ้มเหมือนอัพยาไปเต็มสูบ สภาพเหมือนกับขี้ยากันทุกคน แสดงว่า เจ้าดอกบัวนั้น มันปล่อยสารกล่อมประสาทชนิดรุนแรงออกมา แม้แต่เจ้าหนูทดลองครึ่งเสือยังตาลอยน้ำลายยืดทำหน้าเอ๋อเลย คนนั้นคนนี้ก็พูดจาเบลอๆบลาๆฟังดูไม่รู้เรื่องไม่เป็นภาษา แต่ละคนตาลอยไร้จุดหมาย ปากอ้าหวอจนจะเอาวัวเข้าไปได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย น้ำลายไหลเหมือนเด็กเล็กๆที่ยังพัฒนาหูรูดต่างๆไม่สุด เมื่อหันไปมองแตงโมที่ขี่หลังด็อกเตอร์อยู่ เธอหลับสนิท ไม่มีอาการอย่างที่บอกก่อนหน้านี้แต่เนื่องจากอาการเสียเลือดมากทำให้เธออ่อนเพลียสุดขีด ด็อกเตอร์หันไปทางดอกบัวนั้น สิ่งที่ระเบิดกระเปาะออกมาอยู่ตรงกลางของดอกบัว
มันเป็นแกนหงิกงอรูปร่างประหลาดเกินจินตนาการ มีอะไรซักอย่างเหมือนฝักบัวติดอยู่บนแกนสีเขียวเข้มที่ดูเหมือนกับแตงกวาดอง ฝักบัวสีเขียวอ่อนที่ทำให้นึกถึงถั่วฝักยาว เพียงแค่เห็นมันก็ทำให้รู้สึกถึงความสดกรอบของแตงกวาสดๆ บนยอดของเจ้าแตงกวาดองขนาดใหญ่เท่าตัวคนรูปร่างบิดเบี้ยวหงิกงอและพุพองเหมือนคนที่ติดเชื้อฝีดาษไม่ก็เป็นหูดชนิดลุกลาม หรือเหมือนคนที่แพ้ถั่วแล้วดันไปกินอาหารอินเดียแบบเต็มคอร์สเข้า บนยอดนั้น มีสิ่งที่ดูเหมือนกับสมอง สมองสีฟ้าอ่อนที่ซีดมาก หากดูผ่านๆจะนึกว่าเป็นสีขาว ฝักบัวรอบๆแกนหงิกงอบูดเบี้ยวปล่อยละอองสีเหลืองอ่อนเรืองแสงที่ดูเหมือนกับหิ่งห้อยแพรวพราวยามค่ำคืน ดอกบัวนี้คือสิ่งที่ผสมกันอย่างลงตัวระหว่างความงดงามน่าชมกับความแปลกประหลาดผิดธรรมชาติ พลังล่อลวงของมันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
"โอกาสนี้แหละ"ด็อกเตอร์วางร่างของแตงโมลงบนโต๊ะ เลือดของเธอหยุดไหลแล้ว ตอสั้นๆที่เคยเป็นแขนซ้ายของผู้ช่วยด็อกเตอร์บัดนี้มีเยื่อสีฟ้าใสเหมือนกับที่ห่อหุ้มร่างกายส่วนใหญ่ของเธอ ครอบบาดแผลไว้ เจ้าสิ่งนี้น่าจะทำหน้าที่คล้ายๆกับสะเก็ดแผลของคนปกติ แตงโมยังคงนอนหลับอย่างสงบอยู่ แต่ว่าด็อกเตอร์ในตอนนี้ต้องหาทางเปิดประตูที่อยู่ตรงนี้ให้ได้ แต่ด็อกเตอร์ซ่อมไฟฟ้าไม่เป็น
"เอายังไงดี"ด็อกเตอร์พูดกับตัวเอง แล้วเขาก็มองไปที่ห้องเคมี แล้วทันใดนั้น รอยยิ้มแบบที่นักวิทยาศาสตร์สติแตกตามการ์ตูนก็ปรากฎบนใบหน้าเหี่ยวย่นหนวดเฟิ้มของด็อกเตอร์ เขามีวิธีที่จะทำให้ประตูเปิดโดยไม่ต้องพึ่งกลไกไฟฟ้าแล้ว ไม่ต้องหัวเราะชั่วร้ายด้วย ด็อกเตอร์ค่อยๆเดินออกไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่ ผ่านซากกองของระเกะระกะโดยไม่พยายามให้เหยื่อของดอกบัวมายาตื่นจากภวังค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหนูทดลองลายเสือจอมโหดที่เขาเป็นคนสร้างมากับมือ ถ้ามันตื่นจากฝันหวานหละก็ มันจะยิ่งกว่างานเข้าซะอีก
.
.
.
.
.
"กี้ กี้ ตื่นเว้ยไอ้โบกี้"บุคคลปริศนาตะโกนปลุกหมู่โบกี้ขึ้นมาจากอาการเหม่อลอย หมู่โบกี้ค่อยๆตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย นี่มันอะไรกัน ตอนนี้เขาอยู่ในร้านกุ้งดิ้น ร้านเหล้าที่เขาโปรดปราณ นอกจากสุราถูกปาก อาหารแสนอร่อย ดนตรีไพเราะแล้วก็ยังมีการละเล่นกินเงินด้วย ตอนนี้หมู่โบกี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมสีม่วงอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์ของร้านกุ้งดิ้น แปลกนะ ที่ภารกิจล่าสุดเสร็จลุล่วงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาแทบไม่รู้ตัวเลย พอจำได้ลางๆว่าฝ่าฝูงสัตว์ประหลาดเต็มป่า ห้องแล็บนักวิทยาศาสตร์เพี้ยน แล้วถ่อสังขารกลับมาได้อย่างปลอดภัย หมู่โบกี้หันไปมองตามตัวของตนเอง บาดแผลและร่องรอยการต่อสู้กับพญาจระเข้แห่งบึงมรณะ กองทัพมดดำ หมีปีศาจหลายหัว หนูผีลายเสือ และอื่นๆกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงแค่แผลเป็นจางๆที่ทำให้รู้ว่าจุดที่เคยบาดเจ็บสาหัสนั้นหายดีแล้ว หมู่โบกี้รู้สึกเบาสบายปลอดโปร่งเหมือนโดนสายลมเย็นฉ่ำชื่นใจพัดพาอาการบาดเจ็บและความกังวลใจออกไปจนหมดสิ้น
"อ้าว ว่าไงดาบชะโด แล้ว นี่มันอะไร"หมู่โบกี้มองไปรอบๆโต๊ะ ตอนนี้เขานั่งอยู่ที่โต๊ะมังกรทอง ซึ่งเป็นโต๊ะพนันที่หรูที่สุดในร้านกุ้งดิ้น รอบๆโต๊ะมีเพื่อนและพรรคพวกที่ทั้งอยู่ร่วมหมู่และต่างหมู่กำลังสังสรรค์เฮฮากันอย่างคึกคัก เขากำลังเล่นเก้าเกกับพลพรรคของเขาอย่างเมามันส์ วงที่เล่นตานี้มีด้วยกัน 5 คน ดาบน้ำเต้าแห่งหมู่กะเพราทมิฬ จิงโจ้แห่งหมู่ลิงละลาย หมวดตะวันแห่งหมู่หอยแครงลวก และจ่าปลาจากกองพันหญิง ทุกคนกำลังมองหน้าหมู่โบกี้ด้วยความสงสัย
"อะไร ก็เรากำลังเล่นเก้าเกอยู่ไง แหมๆๆ โดนหมีตบไม่กี่ที มึนซะแล้ว"จิงโจ้แซว คนอื่นๆเองก็ขำน้อยๆกันพอหอมปากหอมคอ หมู่โบกี้มองไพ่ในมือก่อนที่จะหรี่ตาลงแล้วแอบสังเกตุไพ่ของคนอื่นๆ ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนดูไม่ค่อยมั่นใจ หมู่โบกี้เองรู้สึกได้ว่าไพ่พวกนั้นแต้มไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ มีเพียงแค่เขากับหมวดตะวันกำลังสู้เต้มกัน เดาว่าต่างคนต่างใหญ่ ต่างจากที่เขากำลังถืออยู่ตอนนี้ แต้มสูงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ทั้งสองกำลังเกทับไปมาระหว่างที่คนอื่นๆกำลังหมอบราบคาบเพราะรู้ตัวว่าแต้มไม่ใหญ่
"ไม่หมอบใช่มั้ย โบกี้"หมวดตะวันพูด เขาหรี่ตาลงแล้วยิ้มหวาน สายตานักล่าฉายแววอยู่ในดวงตาของหัวหน้าหมู่หอยแครงลวก
"พร้อมเปิดเพ่"หมู่โบกี้ยิ้มแล้วทำหางตากระตุก เขาพูดแล้วยิ้มอย่างมีเลิศนัย
"หัวแถวเปิดก่อน"หมวดตะวันบอกแล้วเปิดไพ่ทั้ง3ของตนเอง เขาสามารถทำให้ทุกคนร้องอู้หูได้ด้วยไพ่ ตองคิง อย่างงดงาม เขามองไปทางหมู่โบกี้อย่างเต็มเปี่มไปด้วยความมั่นใจ
"ไพ่สวยพี่ ของผมก็เหมือนกัน"หมู่โบกี้เปิดไพ่ของตนเอง ไพ่ของเขาคือ ตอง3 หรือตองเก้าแต้ม เขาสามารถพิชิตเกมไพ่นี้ได้อย่างงดงาม หมู่โบกี้กินรวบรอบโต๊ะงานนี้ และทุกคนต่างร้องเชียร์ ทั้งวงต่างหัวเราะและส่งเสียงร่วมยินดีกับชัยชนะของหมู่โบกี้อย่างไม่ราปาก แปลกนะ ไม่มีร่องรอยความโมโหโกรธาแบบที่คนที่แพ้มักจะทำเลย
"นายแน่มากเว้ยไอ้กี้ ต้องหยั่งงี้สิกี้ผู้พิชิต ว่าแต่นอกจากพิชิตเกมไพ่แล้ว เล่าให้ฟังหน่อยเดะว่านายรอดออกมาจากป่านรกแตกนั่นได้ยังไง ขอละเอียดๆหน่อยนะ"หมวดตะวันร้องแล้วเกลี่ยกล่อมให้หมู่โบกี้เล่าการผจญภัยสุดมันส์เกินจินตนาการของตน หมวดตะวันไม่เคยได้คิดได้ฝันว่าจะมีใครรอดจากเภทภัยนานานับประการอย่างการเข้าไปในหุบเขาดงโขมดเย็นที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ โจรผู้ร้ายและเหล่าอาชญากรเลือดเย็น สภาพแวดล้อมอันดิบเถื่อนและไม่เหมาะแก่มนุษย์ ที่ยากแก่การเชื่อที่สุด ห้องแล็บกลางป่าที่มีนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องกับลูกตาลลอยแก้วเดินได้ เพียงแค่คำกระตุ้นเพียงเล็กน้อย จิตใจของหมู่โบกี้ก็ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความฮึกเหิมและความหลงตัวเอง จิตวิญญาณของพิน็อคคิโอเข้าสิง เขาคันปากยิบๆอยากจะบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางอันสุดวิเศษของตนอย่างยิ่งใหญ่ หนวดหรอมแหรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่อยู่ข้างๆจมูกของเขาสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นและความมั่นอกมั่นใจ รอยยิ้มกว้างและสายตามุ่งมั่นปรากฎบนใบหน้าเจ้าเล่ห์ของหมู่โบกี้อย่างไม่ต้องสงสัย
"แน่นอนเลยพวก เรื่องเด็ดๆอย่างงี้อ่ะ เก็บไว้คนเดียวเดี๋ยวมันจะเหี่ยวเฉาเน่าตายไปซะก่อน มันต้องเอาออกมาประกาศศักดาให้โลกรู้สิวะ แต่ก่อนอื่น หมู่เลี้ยงทุกคนรอบโต๊ะเลยเว้ย เต็มที่ อุตส่าห์ออกมาจากป่าแบบนั้นมาได้จังซี่มันต้องฉลอง"หมู่โบกี้ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เขาทำท่าที่คิดว่าน่าเกรงขามและดูดีมีเสน่ห์ที่สุด ดีดนิ้วอย่างมือโปรจนเด็กเสริฟเดินมาทางโต๊ะอย่างรู้งาน เขาทำปากเบี้ยวๆเหมือนพวกเด็กวัยรุ่นทำแล้วตะโกนสั่งอาหารกับสุราเมรัยเพิ่ม
"ไอ้น้องชาย ขอเนื้อย่างเกรียมๆมา2จานใหญ่ น้ำจิ้มแซ่บๆสำหรับ5สหาย แค็บหมูติดมันกะละมังนึง เฟรนช์ฟรายอีก5ถาดกลาง ลิ้นเป็ดทอด3ที่ กุ้งทอดประจำร้านแบบแกะเปลือกที่ใหญ่ แล้วที่ขาดไม่ได้ เบียร์ทาวเวอร์นึง"หมู่โบกี้สวมวิญญาณเศรษฐีใจป้ำอย่างไม่กลัวจ่ายเงิน หลังจากมีชัยในวงพนันเขาก็ใช้เงินมือเติบอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ ถ้ามีเงินแล้วไม่ใช้มันไม่ใช่โบกี้นี่หว่า หมู่หัวเราะอย่างมีความสุขท่ามกลางเหล้ายาปลาปิ้งและเหล่าเพื่อนสนิทมิตรสหาย คืนนี้เราจะสวาปามให้อิ่มหนำสำราญและดื่มเหล้าเมายาชมภาพหลอนและเงามายาให้จุใจ ชีวิตแบบโบกี้มันต้องมีสีสันมันส์หยดแบบนี้เซ่ ปาร์ตี้เว้ยยยยย
ไม่กี่อึดใจ กับข้าวกับปลาอาหารกับแกล้มแคลเลอรี่สูงก็มาเสิร์ฟบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย ทุกคนในวงพนันต่างดื่มกินเหมือนกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว กินให้เหมือนหมู เมาให้เหมือนหมา อ้วกให้เหมือนท่อประปาแตก ร้องรำทำเพลงให้เหมือนคนบ้า ปลดปล่อยสัตว์ป่าในตัวออกมาให้โลกาได้รับรู้ เผยธาตุแท้ให้ปวงชนได้เห็น ไม่ต้องสวมหน้ากากคนดี ไม่ต้องแอ๊บว่าเป็นสุภาพบุรุษ เป็นตัวของตัวเองนี่มันดีจริงๆสิพับผ่า นี่แหละฝันที่เป็นจริงสไตล์โบกี้ผู้พิชิต
"เอาหละพวกกกกก ได้เวลาฟังเรื่องการผจญภัยของโบกี้แห่งหมู่หมูมะนาวกันแล้ววว เราเดินทางไปที่ป่าดงพงไพรอันเต็มไปด้วยปริศนาลึกลับ ความน่าหวาดกลัวเหลือประมาณและเสน่ห์ที่ซ่อนเร้น เริ่มการเดินทางด้วยการนั่งรถที่จิงโจ้ขับเพื่อปลุกกำลังใจให้ฮึกเหิม เหมือนผู้กล้าขี่มังกรบิน ชั้นรู้สึกได้ หน้าโต้ลมพายุพัดกระหน่ำช่างเย็นชื่นใจสุดสดชื่น ใช่มะ"หมู่โบกี้เล่าเรื่องเหมือนกับนักเล่านิทานตามท้องพระโรงของพระราชา เขาทำท่าทางอย่างมีอารมณ์ร่วมเต็มร้อย ถ้าให้เขาแต่งชุดที่เหมาะสม หมู่โบกี้ไปเป็นพิธีกรรายการทีวีได้เลยอย่างไม่ต้องสงสัย
"นั่นแหละที่ชั้นรู้สึก แบบนั้นเป๊ะๆเลย ชั้นแค่ไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงคำพูดแบบนายได้ยังไงกัน ฮ่าฮ่าฮ่า นายนี่มีรสนิยมจริงๆ"จิงโจ้ตอบอย่างรวดเร็ว เขากำลังเคี้ยวเนื้อย่างอย่างเอร็จอร่อย เนื้อย่างหอมๆที่ทำให้นึกถึงเตาไฟย่างร้อนๆ รสนุ่มชุ่มลิ้นมันกำลังได้เค็มกำลังดีที่เหนียวเด้งสู้ฟันอย่างไม่มีที่ไหนทำได้นอกจากร้านกุ้งดิ้น กินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วสุดเผ็ดร้อนรสชาติจัดจ้านสีแดงสดแบบเข้ากันได้เป็นอย่างดีอย่างไม่มีข้อกังขา คนอื่นๆก็กำลังอร่อยเหาะกับเมนูที่ตนเองโปรดปราณ หมู่โบกี้หยิบเฟรนช์ฟรายที่ผ่านการทอดมาอย่างมืออาชีพ ไม่เหี่ยวแห้งเหนียวหนืดเป็นยางพารา แต่กลับมีสีเหลืองทองสุกเปล่งปลั่ง อมน้ำมันกำลังดี ความร้อนบนชิ้นมันฝรั่งทอดทำให้รู้ได้ว่าของกินเล่นจานนี้สดใหม่แค่ไหน หมู่เอาของว่างชิ้นที่อยู่ในมือจิ้มซอสมะเขือเทศยี่ห้อหรูราคาแพงที่ทำจากมะเขือเทศแท้ๆในสัดส่วนมากกว่ายี่ห้ออื่น ปรุงรสด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติไม่มีสารเคมีเจือปน มีความเข้มข้นในระดับที่ซอสมะเขือเทศควรจะเป็น เฟรนช์ฟรายสีเหลืองทองชิ้นโตตัดกับซอสมะเขือเทศสีแดงเข้มที่ทำให้รู้ว่าเข้มข้นดูน่ารับประทาน มีแสงสะท้อนออกมาจากเฟรนช์ฟรายเป็นจุดๆตามองศาของแสงไฟทำให้รู้ว่ามีเกลืออยู่บนมันฝรั่งทอด ไม่รอช้า หมู่โบกี้กัดของขบเคี้ยวชิ้นใหญ่เข้าปาก สัมผัสได้ถึงความกรอบนอกนุ่มในและการผสมผสานของรสชาติได้เป็นอย่างดี หวานนิดหน่อย เค็มพอเหมาะ มันกำลังดี เนื้อเนียนนุ่ม วิเศษจริงๆ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น หมู่โบกี้พร้อมที่จะบอกเล่าเรื่องราวอันสุดพิศดารของตนอีกครั้ง
"หลังจากนั้น เราก็ไปหยุดที่ศาลเจ้าแม่ป้ายหยุด นั่นแหละ มันเป็นป้ายหยุดสุดถนน ที่ทุกคนดันคิดว่ามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างไปกราบไหว้บูชากันเป็นเรื่องเป็นราว บ้าใช่มั้ยหละ ไม่ได้ลบหลู่ดูหมินความเชื่อของคนอื่นนะ แต่ว่า เหยียดเลยแหละ ชาวบ้านพวกนี้ไม่เคยเห็นป้ายหยุดมาก่อนก็เลยไปกันใหญ่ ตลกจริงๆ ไม่รู้จะสงสารหรือสมเพชดี ก๊ากๆๆๆๆๆ กรั๊กกกก นี่แหละสาเหตุที่ชาติไม่พัฒนาย่ำอยู่กับที่ไม่มีร่องรอยของสติปัญญาเยี่ยงมนุษย์ แล้วยังไม่จบ พวกที่มีปัญญาใช้อินเตอร์เน็ทกลับออกมาปกป้องพวกหน้าโง่พวกนี้อีกนะ เจริญตายหละ เอาวิทยาศาสตร์มาปกป้องไสยศาสตร์ ขนหน้าแข้งชั้นยังฉลาดกว่ามันเลยมั้ง กร๊ากกกก"หมู่โบกี้ปลดล็อคโหมดแห่งการเหยียดขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นอกจากการขี้โม้ถ่มถุย ยกตนข่มท่าน ทำให้ตัวเองดูเท่เก่งเจ๋งมากความสามารถและบารมี เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นแล้ว เรื่องการดูถูกเหยียดหยามทำลายคุณค่าคนอื่นที่มีทัศนคติไม่ตรงกับของตัวเองนั้น หาคนที่ปากหมาระดับสุนัขยังส่ายหัวเท่าหมู่โบกี้นั้น ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อยู่ในคณะรัฐบาลหรือสภาหละก็ บอกเลย ยากส์มั่กมั่ก
"ก๊ากกกกก กรั๊กกก กั๊ก กั๊ก กั๊ก ถูกเผงเลยไอ้เพื่อนยาก"จิงโจ้หัวเราะอย่างท้องคัดท้องแข็ง เห็นได้จากหยดน้ำตาเล็กๆที่ไหลออกมาจากขอบตา มุขนี้เด็ดจริง
"ต้องอย่างนี้สิวะ มุขเด็ดเจ็ดน่านน้ำอย่างที่โบกี้คนเดียวทำได้ โห่ฮิ้ววว"ดาบน้ำเต้าโห่ร้องแสดงความยินดีกับมุขเด็ดของหมู่โบกี้ แล้วกระดกเบียร์เย็นๆอึกใหญ่สีเหลืองทองสดใสที่มีฟองฟ่องล่องลอยสีขาวบริสุทธิ์ดุจน้ำยาฟอกกระดาษขาวจากแก้วใบโตที่เติมจากทาวเวอร์มาหมาดๆ ปิดท้ายด้วยเสียง ฮ่าาาา อย่างสดชื่น รสชาติเหมือนกับฤดูหนาวบนดอยที่มีอากาศปลอดโปร่ง
"เฉียบหวะ ถ้าเฉียบกว่านี้คงเป็นดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ละมั้ง ป่านนี้พวกมันยังคงไม่รู้ตัวเลย"หมวดตะวันตามมาร่วมด้วยช่วยเชียร์อย่างอารมณ์ดี แม้จะไม่หัวเราะแต่จากสายตาก็รู้ได้ว่าเขาพึงพอใจกับวาจาพาเพลินของหมู่โบกี้
"ปกติจ่าไม่สนับสนุนการเหยียดนะ แต่อันนี้ หมดคำพูด ต่อให้มียาวิเศษหมอเทวดาก็คงช่วยฟื้นรอยหยังในสมองให้ชาวบ้านไม่ได้"จ่าปลาสมทบ เธอยิ้มน้อยๆแล้วขยิบตาหน่อยๆให้หมู่โบกี้ ซึ่งทำให้หน้าของหมู่โบกี้ร้อนผ่าวด้วยความตื่นเต้น เขาเองก็ส่งสายตากลับไปอย่างมีความเคารพเช่นสุภาพบุรุษ แล้วทำท่าส่งนิ้วกลับไปยังเจ้าตัว ประมาณว่า เธอก็เจ๋งใช่ย่อย
"แล้วจากนั้น เราก็เจอหมูป่านอนตายอนาถ ตัวของมันถูกฉีกเป็นสองซีกด้วยพละกำลังมหาศาล ทันทีที่ได้เห็น หมู่ก็รู้ทันทีว่าป่านี้มีสิ่งผิดปกติที่ไม่ยินดีต้อนรับเราอยู่ แต่ว่านั่นหยุดหมู่โบกี้ผู้กล้าหาญคนนี้ไม่ได้หรอก เพราะว่า บลาๆๆ. . . ."
.
.
.
.
.
ด็อกเตอร์กำลังย่องผ่านไม้เถาและเศษกระเบื้องแตก เจ้าดอกบัวนั้นมีปฎิกิริยาต่อสิ่งที่เคลื่อนไหวอย่างเฉียบพลัน ดังนั้น ด็อกเตอร์เลยต้องเดินให้ช้าจนแทบจะเหมือนกับตีนแมวกำลังย่องเบาผ่านต้นไม้ประหลาดที่ด็อกเตอร์ยังไม่รู้เลยว่ามันมีความสามารถอะไรบ้างนอกจากปลดปล่อยอำนาจแห่งเกษรหลอนประสาท ทุกชีวิตที่สูดดมเอาสารแปลกปลอมเหล่านี้จะนอนหลับแล้วทำหน้าฟินสุดขีดเหมือนสาววายอ่านนิยายเกย์ แต่ดอกบัวนั้นจะมีจุดประสงค์อะไรด็อกเตอร์ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่จากประสบการณ์ แม่มดใจร้ายสร้างบ้านขนมขิงแสนอร่อยที่ประดับประดาไปด้วยลูกกวาดและขนมหวานนานาชนิดเพื่อที่จะหลอกล่อเด็กให้หลงกล เด็กๆไร้เดียงสาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็จะเพลิดเพลินกับรสชาติหอมหวานโอชารสของสารพัดของหวานแสนอร่อย แต่เมื่อหญิงชรามาดร้ายที่มีเวทมนตร์เป็นอาวุธได้โอกาส เด็กๆเหล่านั้นจะไม่ได้กลับออกมาจากกับดักแสนหวานนั้นอีกเลย สัตว์และพืชหลายชนิดเอกก็ใช้หลักการนี้ในการพิชิตและล่าเหยื่อ ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง(น้ำหวานล่อให้แมลงติดกับ) ต้นหยาดน้ำค้าง(ผลิตน้ำหวานเหนียวๆ) นกกระยาง(เอาแมลงหรือขนมปังมาล่อปลาแล้วงาบ)
ถ้าหากดอกบัวหลอนประสาทนี้ใช้กลไกเช่นที่กล่าวมาข้างต้น นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน สารหลอนประสาทพวกนี้ท่าทางจะไม่ใช่แค่บิดเบือนภาพและการรับรู้ของเหยื่อ แต่กลับสร้างภาพหลอนในสิ่งที่เหยื่อต้องการ เพื่อที่จะให้เป้าหมายอยู่กับที่ ไร้ทางสู้ เป็นเหยื่อที่เหมาะแก่การบริโภคเหมือนกับอาหารแช่แข็งที่เอามาอุ่นกินเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
ต้องเร็วแล้วหละ ไม่งั้น ไม่อยากคิดเลยว่าสิ่งผิดธรรมชาติสุดสยองรูปแบบไหนที่ดอกบัวยักษ์ไส้แตงกวาดองนี้จะให้เราได้ พนันได้เลย อะไรซักอย่างที่ติดแหง็กในห้องนี้มานานนับเดือนต้องหิวไม่ใช่ย่อยแน่ๆ ได้แต่หวังว่าเราจะไม่เป็นหนึ่งในเมนูของพวกมัน
.
.
.
.
.
"หือออ ปวดหัวจัง"จ่าปลาค่อยๆลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างรอบตัวดูแปลกๆ ไม่เหมือนกับอาคารนรกแตกที่เต็มไปด้วยเครื่องยนต์กลไกแปลกตา สัตว์ทดลองวิปริตที่ดุร้ายและหิวโหย หรือนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องหนักแผ่นดินที่เปลี่ยนผืนป่าธรรมดาให้กลายเป็นสถาณที่สุดท้ายที่คุณอยากจะไปเหยียบ ไม่มีพวกหมู่หมูมะนาว ลูกหาบและทีมงานด้อยคุณภาพ หรือว่า ด็อกเตอร์คลั่งในชุดกันรังสีกับขนมชั้นคู่หู ที่นี่ไม่เหมือนป่าดิบชื้นในหุบเขาดงโขมดเย็น ไม่เหมือนกองพันหญิงที่เธอสังกัด มันเหมือน บ้านของเธอ บ้านไม้หลังเก่าบุสังกะสีและป้ายหาเสียงที่อยู่ในชนบทอันห่างไกลความเจริญ สถาณที่ทรุดโทรมและเต็มไปด้วยกลิ่นโคลนสาบควาย แต่ถึงยังไง มันก็ยังเป็นบ้านที่เธอและพี่น้องต่างเติบโตขึ้นมา
"ตื่นแล้วเหรอปลา"เสียงอันคุ้นเคยที่จ่าปลาได้ยินมาตั้งแต่เกิด แม่ของเธอนั่นเอง ตอนนี้เธออยู่ที่บ้านจริงๆด้วย เธอพยายามจะลุกขึ้นแต่ว่าร่างกายไม่เอื้ออำนายเท่าไหร่ ร่างของเธอมีเฝือกและผ้าพันแผลอยู่หลายจุด เมื่อจ่าหันมาทางแม่ ใบหน้าอันคุ้นเคย พร้อมด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นที่แม่มักให้เธอเป็นประจำ ตั้งแต่เธอเข้ากองพันรักษาป่าไม้หญิงประจำหุบเขาดงโขมดเย็น เธอก็ยุ่งอยู่กับการรักษาชีวิตของเหล่าสหายคนแล้วคนเล่า หุบเขาอันคราคร่ำไปด้วยพวกเดนมนุษย์และอสูรร้ายในร่างคน เธอไม่เคยอยากไปทำงานที่นั่นเลย แต่ว่าที่อื่นคนเต็มหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ที่นี่ที่เดียวที่มีงานในสายของเธอให้ทำ กี่เดือนแล้วนะที่ไม่ได้กลับมายังบ้าน ไม่ได้มาเจอครอบครัว อ่าาา รู้สึกดีจริงๆที่ได้กลับมายังบ้านเกิด
"เอออ ค่าาา แต่ว่าหนูมาอยู่นี่ได้ยังไง"จ่าปลามองตัวของเธอที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล เฝือก และร่องรอยของการรักษาพยาบาล พ่อกับแม่นังอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีแดงตัวเดิมกับที่พวกท่านมักจะใช้นั่งเสมอ ในห้องนอนของเธอ ห้องเก่าๆสีทึมๆที่ทำจากไม้ข้างนึงและแผ่นพลาสติกกับกระโปรงรถเก่าๆอีกข้างนึง จะว่าก็ไม่ได้ พ่อแม่ของเธอตอนที่สร้างบ้านหลังนี้เล่นพนันจนแทบหมดตัว บ้านก็เลยปุๆปะๆ แต่ก็ต้องนับถือฝีมือการสร้างบ้านนะ ไม่ได้จบสถาปัตย์แต่บ้านที่สร้างกลับมั่นคงแข็งแรง แม้ว่าจะทำมาจากเศษไม้ ป้ายหาเสียง ผ้าไนล่อน สังกะสีงานก่อสร้าง แผ่นพลาสติก แผ่นยางพาราเตรียมแปรรูป ฟิวเจอร์บอร์ด และ วัสดุอื่นๆที่สามารถหาได้หลังจากน้ำท่วมใหญ่ ก็ตาม
"คือว่า ลูกไปทำภารกิจที่หุบเขาแล้วเจอหมีหลายหัวทำร้ายเข้าตอนกลับมา แต่ว่าเพื่อนๆของลูกช่ายกันล้มมันได้แล้วพาหนูกลับมา ตอนนี้หมอรักษาหนูเรียบร้อยแล้วเลยให้กลับมาอยู่ที่บ้าน หนูรู้มั้ยว่าแม่เป็นห่วงลูกแค่ไหน"แม่เข้ามากอดจ่าปลา ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความรักและความอบอุ่นจากแม่อย่างเต็มเปี่ยม พ่อเองก็เข้ามากอดด้วย
"ลูกรู้มั้ยว่าพ่อภูมิใจในตัวลูกแค่ไหน ลูกพาพี่น้ำเต้าและคนอื่นๆออกมาจากป่าน่ากลัวนั่นได้ ยิ่งกว่านั้น ลูกยังเปิดโปงขบวนการลักลอบค้ายาเสพติดและค้ามนุษย์ได้ จนทางการเข้าไปจัดการหัวหน้าใหญ่ของขบวนการพวกนั้นได้สำเร็จ พ่อรู้ว่าวันนึงลูกจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ลูกจำได้มั้ยว่าลูกเคยบอกเรื่องอยากทำให้ประเทศเราเป็นสถาณที่ๆน่าอยู่ขึ้น ลูกทำมันได้ และพ่อภูมิใจที่มีลูกที่ดีแบบนี้"พ่อของเธอพูดอย่างนุ่มนวล เขายิ้มอยู่ใต้หนวดสีเทาไม่เป็นทรงของเขา ลูบหัวลูกสาวคนสุดท้องอย่างแผ่วเบา
"ค่าาา แล้ว เพื่อนๆของหนูกับคนอื่นๆในป่านั้นเป็นยังไงบ้าง"จ่าปลายิ้มแล้วหันมาทางพ่อแม่ เธอกำลังนึกถึงแก๊งค์สุดซ่าที่ผจญภัยมาด้วยกันในป่าดงพงไพร และชาวบ้านที่อยู่ในหุบเขานั้น หมวดเอกที่ชอบทำหน้าเข้มอยู่บ่อยๆ หมู่โบกี้ขี้เก็กปากหมาแต่พึ่งพาได้ สามสหายไม่เอาไหนที่สร้างเสียงฮาเป็นบางครั้งบางครา นักข่าวจอมตะกละที่ใฝ่ฝันว่าจะได้ไปสำนักข่าวดีๆ คนตัดไม้กลับตัวที่ห้อยมาท้ายขบวน เพื่อนต่างหมู่ของแก๊งค์หมูมะนาว และที่ขาดไม่ได้ เด็กหญิงครึ่งกบที่น่าเอ็นดูแต่ว่ามือไวไปหน่อย
"อ้อ เพื่อนๆลูกนั่นแหละที่เป็นคนแห่กันมาพาลูกมาส่งถึงบ้าน มากันเต็มรถพยาบาลเลย เพื่อนๆลูกเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ทางการเจอว่าทั้งป่ากลายเป็นรังสัตว์ประหลาด ทางการเค้าก็เลยทำยาถอนพิษออกมาแล้วใช้เครื่องบินโปรยใส่จนมันกลับเป็นปกติ นอกจากนี้ เพื่อนลูกฝากมาบอกว่าเด็กคนนึงที่ลูกเจอในป่าหน่ะ รักษาหายเป็นปกติแล้วได้กลับไปหายายแล้วนะ"แม่ของเธอเล่าเรื่องให้ฟัง มันทำให้จ่าปลายิ้มออก หน้าที่ของเธอสำเร็จลุล่วงลงได้ดีและมันจบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งด้วย เหมือนฝันจริงๆ
"พ่อ แม่ อ้าวปลา ตื่นแล้วเหรอ"พี่น้ำเต้าเปิดประตูเข้ามาหาในห้องนอนของเธอ เขาค่อยๆเดินมาหาจ่าปลาอย่างช้าๆแล้วกอดจ่าอย่างอบอุ่น จากนั้นก็จับแก้มของเธอ
"ไม่เป็นไรนะ พี่ขอโทษที่พรรคพวกของพี่ไม่เก่งพอ จ่ากับคนอื่นๆเลยต้องมาช่วย เลยเป็นแบบนี้ พี่เป็นพี่ที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ พี่ขอโทษนะ ปลาให้อภัยพี่ได้มั้ย"ดาบน้ำเต้าถามจ่าด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ เขาเริ่มน้ำตาไหล ปากสั่น
"ไม่เป็นไรหรอกพี่ หนูยกโทษให้ พี่ปลอดภัยหนูก็ดีใจแล้ว อย่าขี้แยดิ เป็นลูกผู้ชายหน่อย อีกอย่างไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกที่พวกของพี่ไปติดแหง็กในป่านั้นหนะ จริงๆก็ไม่มีใครรู้หรอกจริงมั้ยว่ามีตัวอะไรแอบอยู่ในป่าแปลกๆนั้นบ้างหนะ หนูเองก็ไม่เป็นไรมากหรอก เท็ดดี้แบร์มันข่วนเอา จิ๊บๆ พักผ่อนหน่อยเดี๋ยวก็หาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า"จ่าปลาขยี้หัวพี่น้ำเต้าอย่างเอ็นดู เหมือนกับสมัยตอนที่เธอและพี่ๆเป็นเด็กเล่นกันบ่อย พี่น้ำเต้ายิ้มแล้วกอดเธออีกครั้ง เขายืนขึ้นแล้วทำหน้าเหมือนคิดอะไรได้
"อ้อ พ่อ แม่ น้องปลา มีข่าวดี น้องปูได้ลดโทษเนื่องจากทำความดีไว้ตอนอยู่ในคุก วันนี้ทางกรมราชทัณฑ์เลยจะปล่อยตัว ปลาอยากเจอพี่ปูมั้ย วันนี้พ้นโทษแล้วนะ"พี่น้ำเต้าทำหน้าตื่นเต้นแล้วกุมมือ วันนี้ครอบครัวของเธอจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง วันที่เธอและพี่น้ำเต้ากลับมาจากราชการ วันที่พี่ปูได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ วันที่3พี่น้องได้กลับมาอยู่กับพ่อแม่อีกครั้ง ช่างเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นจริงๆ หวังว่าพี่ปูจะไม่กลับไปทำอะไรผิดกฎหมายอีกนะ วันนี้น่าจะเป็นวันที่ดีที่สุดนับตั้งแต่วันที่เธอเข้ารับราชการเลยหละ
"ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่พยุงเธอไปเอง แผลจิ๊บๆเอง"พี่น้ำเต้าบอกแล้วค่อยๆอุ้มเธอขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง โดยที่ไม่เจ็บแผลเลย พี่น้ำเต้ารู้วิธีที่จะอุ้มคนเจ็บอย่างถูกต้องแล้วสินะ นี่สิพี่ชายที่จ่ารักและเคารพ เขาพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และจ่าเองก็หวังว่าตัวจ่าจะพัฒนาตัวเองได้เก่งอย่างเค้าบ้าง จริงๆการไปผจญภัยในป่าดงดิบและกู้โลก เออ ป่า ไว้ได้ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาไปในตัวแล้ว ตอนนี้จ่ารู้สึกหัวใจพองโตอย่างควบคุมไม่ได้
"แน่นอน จ่าไม่พลาดหรอก อยากเห็นหน้าพี่ปูจนทนไม่ไหวแล้ว พี่ปูคงจะเลิกเป็นโจรอินเตอร์เน็ตหรืออะไรแบบนั้นแล้วหละ"จ่าปลาพูดแล้วครอบครัวของเธอก็เดินออกมาจากห้องนอน เผยให้เห็นห้องกลางของบ้านที่เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องเอนกประสงค์ รวมถึงเป็นที่ๆเธอมักจะเล่นเกมกับพี่ๆด้วย อย่างเช่น น้ำเต้าปูปลา นั่นแหละที่มาของชื่อพวกเรา เราผ่านห้องกลางมาแล้วลงบันได เนื่องจากบ้านนี้อยู่ในชนบทที่น้ำท่วมบ่อยเลยต้องมาใต้ถุนสูง ใต้ถุนเองก็มีควายประจำครอบครัว เจ้าทุยซิลล่า กับสุ่มไก่ที่เลี้ยงไว้เก็บไข่ บางครั้งก็เอาไปย่างกิน ตัวผู้ก็เอาไปชนไก่กับคนอื่นๆในหมู่บ้าน เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างสุดของบันได เผยให้เห็นทุ่งนาโล่งเตียนที่ผ่านการเก็บเกี่ยวไปเรียบร้อยแล้ว ฟางข้าวกองโตสีเหลืองซีดตั้งตระหง่านอยู่ข้างๆตัวบ้าน และ ที่ขาดไม่ได้ รถกระบะเก่าๆสภาพบุโรทั่งที่ครอบครัวของเธอใช้มาตลอด
เธอกับพี่น้ำเต้าขึ้นไปตรงกระบะหลังรถ ส่วนพ่อกับแม่นั่งที่นั่งคนขับและข้างที่นั่งคนขับ รถค่อยๆสตาร์ทติดหลังจากที่บิดกุญแจไป2-3ทีแล้วเจ้าโครงเหล็กวิ่งได้ชิ้นนี้ก็ออกตัว ไปยังเรือนจำกลางที่พี่สาวตัวแสบของเธอกำลังจะได้รับการปล่อยตัว
.
.
.
.
.
"ครืนนนน"เสียงประตูโลหะสีน้ำเงินโคโบลต์ดังขึ้น เจ้าแตงกวายัดไส้ที่ดูเหมือนกับโดนแมลงวันไข่เอาไว้ค่อยๆขยับเล็กน้อย สิ่งที่ดูคล้ายๆกับสมองหรืออะไรซักอย่างข้างบนสุดของไส้แตงกวาดองนั้นค่อยๆขยับไปมา แต่ว่ามันเหมือนกับว่าไม่สามารถรับรู้ได้ว่าประตูเปิดออกแล้ว ด็อกเตอร์ขยับตัวเข้าไปในห้องเคมีอย่างช้าๆก่อนที่จะหันกลับไปมองเจ้าดอกบัวยักษ์สีชมพูอ่อนที่มีแกนกลางรูปร่างเหมือนไส้กรอกหมดอายุประดับประดาไปด้วยฝักบัวพ่นควันและสมองเทียม ทันใดนั้นด็อกเตอร์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาพลาดอะไรไป เจ้าดอกบัวไม่มีปฏิกิริยาแม้ว่าจะมีแสงส่องใส่จากห้องถัดไปซึ่งเห็นได้ชัดเจน มันมีคำอธิบายง่ายๆอยู่ว่าทำไม
"มันไม่มีตาหนี่หว่า"ด็อกเตอร์คิดในใจ แต่เจ้าดอกบัวแม้ว่าจะมั่นใจได้ว่ามันไม่สามารถมองเห็นแต่มันสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ ระบบประสาทที่พืชไม่มีนั้น เจ้าดอกบัวนี้พัฒนาขึ้นมาในระดับพื้นฐานมากๆแถมยังไม่สมบูรณ์ด้วย มันสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือน(ตอนที่กอล์ฟลื่นแล้วทำกระถางต้นไม้ตกแตก เศษกระถางและเมล็ดลูกปัดกระเด็นไปโดนมัน) เสียง(เสียงคำรามของเจ้าDP-026) แต่ก็คงได้แค่นั้นแหละ การพัฒนาของมันดูมุ่งเน้นไปที่เกษรหลอนประสาทอันทรงอาณุภาพมากกว่า และนั่นทำให้ด็อกเตอร์คิดอะไรบางอย่างออก
บัดนี้ด็อกเตอร์แอนโทนี่อยู่ในห้องเคมีแล้ว ห้องพังเละเทะ เต็มไปด้วยซากของปีศาจตะไคร่น้ำที่โดนเจ้าภาคภูมิจัดการซะเยินหมดรูป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าพวกมันจะตายกันหมด การโจมตีของพญามุสิกวิจัย(คำไทยเดิมของหนูทดลอง)ไม่ได้เล็งไปที่จุดสังหารหรือแกนกลางของพวกเศษตะไคร่พวกนี้ กลับกัน แค่ทำลายร่างกายเหลวๆแหยะๆเหม็นหืนสีเขียวหลากหลายเฉดของมัน ซึ่งตราบใดก็ตามที่แกนกลางยังไม่ถูกทำลายและมีความชื้นเพียงพอ อสูรกายที่ดูเหมือนมันบดขึ้นราเหล่านี้ก็จะสามารถกลับฟืนคืนชีวิตได้อีกครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้น มันต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว และด็อกเตอร์ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะมาสนใจซากอ้วกสำเร็จรูปพวกนี้ด้วย เขาเดินตรงเข้าไปหาตู้เคมี กวาดตามองไปรอบๆเพื่อที่จะหาสารเคมีที่เขาต้องการ บนชั้นวางของและตู้เคมี ปรากฎกระปุกหลากหลายรูปแบบ พลาสติกแข็งสีขาวฝาน้ำเงินบ้าง ขวดแก้วจุกสีแดงบ้าง แม้กระทั้งอยู่ในหลอดทดลองยังมี แต่ละกระปุกและขวด เต็มไปด้วยป้ายบอกชนิดของสารเคมีที่เต็มไปด้วยภาษาวิทยาศาสตร์สำหรับมนุษย์เนิร์ดโดยเฉพาะ ด็อกเตอร์หอบร่างผอมแห้งขาดสารอาหารของตนไปตามชั้นวางของ และมองไปรอบๆอย่างใจเย็น
.
.
.
.
.
"หืออออ นี่มัน นี่มันที่ไหนกันเนี่ย"เจ้าหน้าที่ป่าไม้ร่างอ้วนฉุค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น แล้วเขาก็ค่อยๆมองไปรอบกาย บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางดินแดนที่ถูกทำขึ้นมาจากอาหารนานาชนิด ท้องฟ้าสดใสประดับประดาไปด้วยเมฆที่ดูเหมือนขนมสายไหมสีชมพูบ้างสีฟ้าบ้างสีเขียวอ่อนบ้าง มองไปข้างๆก็มีต้นไม้ลูกกวาดหลากสีสันที่ต้นทำมาจากช็อกโกแล็ตสีเข้มดูน่าหม่ำ ใบทำมาจากบิสกิตสีน้ำตาลเคลือบเกล็ดน้ำตาลสีเขียวดูกรุบกรอบน่าเคี้ยว ผลเองก็เป็นลูกอมรสผลไม้หลากหลายสีและชนิด ตรงโคนต้นไม้ก็มีไก่ย่างหลายตัวนอนเรียงรายอยู่บนถาดสีเงิน เพียงแค่ดูที่หนังสีน้ำตาลแดงสะท้อนแสงของมันก็รู้ได้ในทันทีว่ามันจะต้องกรอบนอกนุ่มในชุ่มฉ่ำเต็มคำ ไม่แห้งแข็งหรือเนื้อเหลวเป็นไก่ฟาร์มแน่ๆ มองไปอีกทางก็เห็นทะเลสาบที่เต็มไปด้วยนม น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำนมสดคุณภาพเยี่ยมเต็มเปี่ยมไปด้วยไขมันและแคลเซี่ยม มีก้อนขนมปังอุ่นๆควันขึ้นสีน้ำตาลแบบไม้ข้างนอกและสีครีมข้างในขนาดเท่าโขดหินวางอยู่ข้างๆ แล้วก็ปลาดุกปิ้งเสียบไม้เรียงรายเหมือนกับแนวรั้วของบ้าน ไม่ห่างจากจุดนั้น มีภูเขาที่ทำมาจากเยลลี่เด้งดึ๋งดั๋งสีส้มสดใสโรยด้วยน้ำตาลสีขาวอยู่บนยอดเปรียบเสมือนหิมะบนยอดเขาจริงๆและมีมันเผาร้อนๆขึ้นอยู่ตรงตีนเขาเยลลี่รออยู่ เมื่อสำรวจดูรอบๆแล้ว เขานั่งอยู่บนเนินเขาที่ทำมาจากแฮมและเบค่อน มีไข่ดาวทอดกำลังดีไม่อมน้ำมันประดับอย่างประปรายอยู่รอบๆเนินเขาเหมือนกับดอกไม้ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ไม่ห่างจากจุดที่เขานั่งอยู่ มีกองเฟรนช์ฟรายทอดใหม่ๆสดๆสีเหลืองทองเปล่งปลั่งที่ไม่เหนียวเป็นนักธุรกิจหรือแข็งเป็นหิน ไม่อมน้ำมันเหม็นหืน ไม่มีท่าทีเหมือนค้างคืน ดูสดใสสุกรอบน่าเคี้ยวกลืน แถมมีบ่อซอสมะเขือเทศสีเข้าที่ดูเข้มข้นน่าน่าเอาเฟรนช์ฟรายไปจิ้มยิ่งนักอยู่ข้างๆช่วยตัดสีเหลืองทองกับแดงเข้มจนดูเหมือนเสื้อเชียร์บอลมหาลัย ติดๆกันก็มีภูเขาเค้กวันเกิดเนื้อนุ่มฟูดูน่าเขมือบที่ทาครีมสีขาวนวลบริสุทธิ์อยู่ทั้งก้อน ด้านบนสุดประดับด้วยครีมหลากสีสันอุดมไปด้วยตุ๊กตาน้ำตาลที่ดูเหมือนมีงานเต้นรำแสนหวานอยู่บนก้อนเค้ก กลิ่นของเบเกอรี่สดๆกับครีมเบาๆหอมหวานปลิวมาเตะจมูกตืออย่างจัง ข้างๆภูเขาเค้กก็มีเนินเขาที่ทำมาจากพายบลูเบอร์รี่ที่มีแผ่นแป้งด้านบนเป็นสีน้ำตาลอ่อนดูกรุบกรอบ ใส้ข้างในก็ดูชวนให้หวานฉ่ำตั้งแต่ยังไม่ได้กิน แยมบลูเบอร์รี่สีน้ำเงินม่วงสะท้อนแสงชวนให้น้ำลายไหล ตอนนี้ตือเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเขามาอยู่ยังดินแดนมหัศจรรย์นี้ได้อย่างไรแต่ว่าหลังจากเสียเวลาคิดไปครึ่งนาทีแล้ว
"ช่างมันเถอะ กินก่อน คุยทีหลัง"ไอ้ตือหยุดความสงสัยของตนเองไว้แล้วเริ่มตั้งหน้าตั้งตากิน เขมือบ ยัดทะนานอาหารกองโตอย่างมีความสุข ในดินแดนมหัศจรรย์อันแสนหอมหวานนี้ จะคิดมากให้เปลืองสมองทำไม เขาหยิบเบค่อนเข้าเคี้ยวอย่างไม่รามือ เบค่อนสีแดงเข้มสลับกับชั้นไขมันสีขาวไหม้ๆช่างสุกกรอบหอมกรุ่นยิ่งนัก รสชาติเค็มกำลังพอดี ไม่มันเกินไปหรือเย็นชืด กินคู่กับไข่ดาวที่ทอดจนไข่แดงกลายเป็นยางมะตูมกำลังดีนี่มันช่างเข้ากันได้ดีจริงๆ หลังจากกินอาหารประเภทโปรตีนจนเต็มคราบแล้ว ตือจอมตะกละของเราก็เดินอุ้ยอ้ายเหมือนฮิปโปไปทางทะเลสาบนมสด เขาหยิบขนมปังนุ่มนิ่มก้อนใหญ่จุ่มลงไปในทะเลสาบสีขาวสะอาดรสชาติหวานมัน จากนั้นก็ยัดขนมปังแฉะๆเข้าไปในปากอย่างเอร็จอร่อย เขาหิวมากหลังจากที่ติดแหง็กอยู่ในป่าประหลาดที่ทุกอย่างในป่านั้นแปดเปื้อนเกินกว่าจะบริโภคได้ เอ๊ะ เขาติดแหง็กอยู่ในป่า แล้วทำไมเขา มา อยู่ ที่ นี่ ได้ . . . ถ้าหากว่าที่นี่เป็นสวรรค์สำหรับเขา แสดงว่า
"นี่เราตายแล้วเหรอวะ ไม่เห็นจำได้เลยว่าตายยังไง หรือทำความดีครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ถึงได้ขึ้นสวรรค์ แต่ก็นะ ช่างเหอะ ถ้าเราตายแล้วก็เสวยสุขอยู่นี่แหละ"ไอ้ตือพูดกับตัวเองก่อนที่จะซดนมสดอึกโตและออกเดินไปหาอย่างอื่นที่น่ากิมมาใส่ท้อง เขาค่อยๆเดินไปหาภุเขาเค้กแล้วเอาหน้าคลุกไปกับขนมเค้กก้อนใหญ่ ครีมสีขาวนุ่มฟูที่ไม่หวานเกินไปหรือเลี่ยนเกินไปนั้นติดอยู่เต็มหน้าของเขา เจ้าหน้าที่ป่าไม้คนนี้กำลังตะลุยป่าขนมหวายอย่างไม่ลดละและเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างหิวโหย แปลกนะ เขาไม่ยักกะรู้สึกอิ่มหลังจากที่กินอาหารเข้าไปเป็นจำนวนมาก และนั่นก็ดีแล้ว ตือเดินท่องไปยังดินแดนแห่งภัตตาหารและของกินอย่างร่าเริง ฝันกลายเป็นจริง แหม อยากให้พรรคพวกคนอื่นๆมากินด้วยมั่ง
ตือผู้ที่จิตใจเบิกบานเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งได้เจอกับบ้านขนมผิง เขาเดินผ่านบ้านหลังนั้นไปอย่างไม่สนใจ จริงๆจากประสบการณ์ เขาพอจะเดาได้ว่ามันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่น่าพอเจอมากๆอยู่ข้างใน และเชื่อเหอะ มีของกินเต็มไปหมดเขาเลี่ยงบ้านหลังนี้ได้ ตือเดินไปกินไปอย่างมีความสุขและเบิกบาน วันนี้คงเป็นวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเขาแล้วคงได้มั้ง วันที่เขาหวังมาตลอด วันที่เขาจะกินอะไรก็ได้ที่อยากกินในปริมาณใดก็ได้ที่เขาอยากเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ มันช่างมีความสุขจริงๆเลย
.
.
.
.
.
"เจอแล้ว เบ่เบ๋"ด็อกเตอร์เอื่อมมือขึ้นไปบนชั้นวางของโลหะสีเหลืองซีด เผยให้เห็นสารเคมีเรียงรายบนชั้นวางของ ส่วนผสมแรกที่เขาต้องใช้สำหรับแผนการเปิดประตู ด็อกเตอร์หยิบสารเคมีที่เขียนว่า ไนโตรกรีคอล 75% จริงๆในชั้นวางของอันนี้เต็มไปด้วไนโตรกรีคอลที่มีสัดส่วนต่างกันเต็มไปหมด แต่อันนี้คือสิ่งที่ด็อกเตอร์ต้องการ เขาเดินไปยังชั้นวางของอื่นๆเพื่อหาส่วนผสมอันต่อไป ซึ่งมันก็ไม่ได้หายากนักในห้องแล็บที่มีสารเคมีเพรียบพร้อมขนาดนี้ ท่ามกลางกองซากของก้อนปุ๋ยหมักชวนอ้วก เริ่มมีการเคลื่อนไหว
.
.
.
.
.
ชาติค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางงานเลี้ยงฉลองอะไรบางอย่าง ทุกคนต่างส่งเสียงเชียร์และกู่ร้องด้วยความยินดี เมื่อเขาพยายามสังเกตุสิ่งรอบตัว ทุกคนต่างแต่งตัวแปลกๆในห้องโถง ห้องที่เหมือนกับโรงละครขนาดใหญ่ เขายืนอยู่ท่ามกลางคนที่ดูคุ้นตา เมื่อใช้ความพยายามในการต่อสู้กับความเฉื่อยในสมองของตนเอง เขาก็เริ่มจำได้ คนเหล่านี้เป็นเพื่อนๆของเขาเองหนี่หน่า ทุกคนต่างแต่งตัวเหมือนกับพ่อมดแม่มด สงสัยนี่เป็นงานวันฮาโลวีนละมั้ง แต่ว่า ไม่มีคนแต่งตัวด้วยชุดสัตว์ประหลาดภูติผีแบบอื่นเลย แปลกนะ
"เอ้ย เอ้ย ที่นี่ที่ไหนอ่ะ"ชาติถามเพื่อนที่อยู่ข้างๆ
"ก็งานรับปริญญาตรีของเราไง ทำตัวฉลาดๆหน่อย จะจบแล้ว"เพื่อนคนนั้นตอบ ชาติก็เริ่มมองชุดตัวเอง เขาเองก็ใส่ชุดพ่อมดเหมือนกัน ไม่ใช่สิ นี่มันชุดที่ใส่แล้วไม่เหงา ชุดคุย เออ น่าจะเป็นชุดครุยนะ ไม่น่าเชื่อ เขาเรียนจบปริญญาตรีได้ ขนาดตอนเข้าโรงเรียนประถมถ้าพ่อแม่ไม่ยัดเงินเขาคงไม่ได้เรียนนะนั่น เขาค่อยๆยิ้มแล้วมองไปรอบๆ ทุกคนกำลังส่งเสียงเชียร์แสดงความยินดี เขา คนที่ทั้งชีวิตถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้งั่งมาตลอดชีวิต(ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าจริง)สามารถเรียนจบปริญญาตรีได้ และได้เป็นบัณฑิตเต็มตัวก็วันนี้นี่แหละ วันที่ทุกคนจะหยุดดูแคลนเรื่องสติปัญญาของเขา เออ หวังว่านะ
"เอาหละ บัดนี้ เวลาของเราได้มาถึงแล้ว เราจะเริ่มพิธีมอบใบปริญญาบัตรอันเป็นเกียรติบัตรที่ยืนยันว่านักศึกษาได้จบจากมหาวิทยาลัยอย่างแท้จริง ต้องขอแสดงความยินดีด้วยกับนักศึกษาทุกๆคน ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ขวากหนามและกับระเบิด สารพัดการสอบและหน่วยกิจ ความเจ็บช้ำทรมาณนานับประการในรั้วมหาวิทยาลัย พวกคุณคือผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดและสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า พวกคุณคือผู้ที่รอดชีวิตจากสภาวะแวดล้อมอันเต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างดุเดือดและภยันอันตรายหลากหลายรูปแบบ ตอนนี้พวกคุณเติบใหญ่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ขอให้นำความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนไปจากมหาวิทยาลัยไปทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติประชาชนและสร้างอนาคตอันสดใสของทุกๆคน พึงจำไว้ว่าพอจบไปจากมหาวิทยาลัยเราแล้ว ทุกๆการกระทำของพวกคุณจะส่งผลถึงชื่อเสียงเรียงนามของสถาบัณที่บ่มเพาะเลี้ยงดูพวกคุณมา หากทำดีมีคุณประโยชน์ มหาลัยของเราก็จะได้รับการยกย่องนับถือจากประชาชนคนส่วนมาก แต่ว่าหากคุณเอาความรู้ความสามารถไปเบียดเบียนข่มเหงคนอื่นเค้า มหาลัยของเราก็จะพลอยตกต่ำมัวหมองไปด้วย เอาหละผมเกริ่นนำมาพอแล้ว ขอเชิญท่านผู้ยิงใหญ่ทั้งหลายแหล่มามอบปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาจบใหม่ด้วยครับ"ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทสีดำสนิทดูปราณีตเรียบร้อยกล่าวบนโพเดี้ยมแล้วเดินลงจากโพเดี้ยมอย่างสง่างาม
ทันใดนั้น ม่านสีแดงเข้มก็เปิดออก แล้วเผยให้เห็นแท่นที่เต็มไปด้วยท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายแหล่ที่เรามักจะได้เห็นเฉพาะในทีวีเท่านั้น ชาติตื่นเต้นมากจนเหมือนกับหัวใจจะหยุดเต้นตรงนั้นไปเลย แต่ว่าเขาจะมาสลบตรงนี้ไม่ได้ เขาต้องอยู่จนกว่าจะไปรับใบปริญญาจากท่านผู้ยิ่งใหญ่เพื่อที่จะได้พิสูจตนเองว่าเขามีกึ๋นพอ
"เอาหละ ขอให้นักศึกษาเดินแถวเรียงหนึ่งค่อยๆมารับใบปริญญาจากท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายแหล่อย่างสุภาพด้วยครับ"พิธีกรคนเดิมพูดแล้วมองไปที่กลุ่มนักศึกษาที่ยิ้มกว้างหน้าบานกันเป็นทิวแถว ตอนนี้ชาติรู้สึกเหมือนกับว่าจะได้เจอศิลปินดาราคนที่ชอบ หน้าของเขาแดงก่ำ เหงื่อแตกจนชุ่มไปทั่วทั้งตัว มือไม้สั่นอย่างหยุดไม่ได้ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น รอบๆงานมีเพลงสุดฮอตฮิตติดตลาดสำหรับงานปริญญาด้วย เพลงที่คล้ายๆกับเพลงคลาสสิค รู้สึกจะชื่อเพลง pomp and circumstance เวลาได้ฟังเพลงนี้ในงานรับปริญญาจริงๆมันรู้สึกเยี่ยมยอดกว่าตอนที่ดูตามหนังการ์ตูนเยอะเลย บัดนี้ ถึงตาที่เขาจะได้รับใบปริญญาซักที
ชาติค่อยๆเดินขึ้นไปบนเวทีตามคนอื่นๆ ต่อแถวสำหรับรับปริญาบัตร ชุดพ่อมดปลิวไสวไปมาเหมือนกับแผงคอราชสีห์กลางทุ่งหญ้าสะวันน่า เขายิ้มเหมือนกับอบลูกอมเปรี้ยวจี๊ดชนิดลิ้นแตกคาปาก เขาเริ่มกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆเพื่อสยบความตื่นเต้นเอาไว้ นี่แหละวันที่รอคอย หมวดเอกกับคนอื่นๆคงจะต้องภูมิใจแน่ๆเลย เอ๊ะ รู้สึกมันมีอะไรแหม่งๆอยู่ ช่างมันเหอะ
.
.
.
.
.
"เจอแล้ว"ด็อกเตอร์พูดกับตัวเองอย่างดีใจ ตอนนี้ด็อกเตอร์ยืนอยู่ข้างหน้าตู้เก็บสารเคมีที่เขียนไว้ว่า อันตราย : วัตถุระเบิด ด็อกเตอร์กวาดตามองตู้เก็บสารเคมีที่เต็มไปด้วย ดินปืนและอุปกรณ์ให้กำเนิดพลังงานอย่างเฉียบพลันหลากหลายชนิด เขาก้มไปดูชั้นที่เก็บดินปืนเป็นหลัก แล้วเขาก็เจอของที่ต้องการ ดินปืนIMRแบบไร้ควัน 6% หนึ่งในส่วนผสมสำคัญสำหรับแผนการอันไม่ค่อยยิ่งใหญ่เท่าใหร่ของด็อกเตอร์ แต่มันจำเป็นหากพวกเขาต้องการที่จะออกไปจากดินแดนมฤตยูแห่งนี้ไปแบบเป็นๆ
"อือออออ"เสียงครวญครางเหมือนกับตัวอะไรซักอย่างที่พิกลพิการและมีเสลดติดอยู่ในคอร้องออกมา ไม่ต้องสงสัยเลย มีสัตว์ประหลาดเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัตินี้ ด็อกเตอร์หันกลับไปประจัญหน้ากับก้อนสาหร่ายเซลล์เดียวสุดสยองที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ สัตว์ประหลาดหนองน้ำในหนังคุณภาพต่ำกลับมาแล้วหลังจากที่เจอหนูผีลายเสือเล่นงานซะกลายเป็นจิตกรรมฝาผนัง แกนสีส้มที่มีหนวดน่ารักๆกระดิกไปมา ควบคุมการเคลื่อนไหวของอสูรกายกายสีเขียวที่ทำให้นึกถึงกองโคลนผสมหญ้าน้ำ ด็อกเตอร์อาจจะชอบใช้สมองมากกว่ากำลัง แต่ว่าในเวลาแบบนี้ เห็นทีจะต้องมีออกแรงกันมั่งแล้ว
.
.
.
.
.
"อ่าห์ ทำไมปวดหัวแบบนี้เนี่ย"กอล์ฟตื่นขึ้นมาห้องแปลกๆ ห้องนี้ตกแต่งเหมือนกับห้องเนิร์สเซอรี่ เขามองไปรอบๆห้อง ผนังสีน้ำเงินเข้มที่ประดับประดาไปด้วยดาวสีเหลืองและบนเพดานมีดวงจันทร์ยิ้มดวงโต ในห้องนี้มีเพลงกล่อมเด็กเปิดซ้ำๆอยู่ ทุกอย่างเป็นใจให้อยากหลับตาลงนอน กอล์ฟเริ่มรู้สึกง่วงตั้งแต่เริ่มตื่นแล้วล้มตัวลงนอน อ่าห์ นี่สิ ไม่ต้องเข้าป่า ไม่ต้องมีความวุ่นวาย ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องมานั่งกังวลกับอะไรทั้งนั้น เขาไม่อยากทำอะไรอีกนอกจากนอนแล้วตอนนี้ หลังจากที่เพลียมาทั้งวัน แปลกนะ เขาอยู่ที่ไหน มาได้ยังไง หรือว่าหมวดเอกและคนอื่นๆไปอยู่ตรงไหนกัน เขากลับไม่มีความรู้สึกอยากหาคำตอบเหล่านี้เลย ตอนนี้หนังตาของกอล์ฟหย่อนเต็มที่ เขาค่อยๆเอาหัวหนุนหมอน
เขารู้สึกว่าเหมือนกับได้เห็นภาพที่เปลี่ยนไปตามเสียงเพลง ภาพของเนินเขาที่มีต้นไม้ตั้งตระหง่านยามค่ำคืน มีหิ่งห้อยบินไปมาอย่างเริงร่า เสียงนุ่มนวลของเด็กช่างทำให้กอล์ฟรู้สึกผ่อนคลาย ภาพ รูปร่างต่างๆที่เกิดจากเรียงตัวกันของหมู่ดาวรูปร่างแปลกตาหลากหลายปรากฎขึ้นในหัวของกอล์ฟ ช่างทำให้รู้สึกดีจริงๆเวลาจะนอนแล้วมีดนตรีขับกล่อมให้หลับสบาย
"จันท์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอเหล้าแพงๆ
ขอลวดทองแดง ผูกคอน้องข้า
บาบายาก้า พาน้องข้าขี่
ขอผีตานี จับน้องข้านั่ง
ขอเบียร์ซักลัง ไว้กินก่อนนอน
ข้าขอละคร ตบตีน่าดู
ขอเหล่าเพื่อนฝูง เลี้ยงข้าวหนูเถิด
ขอสารระเหิด เดี๋ยวหนูดมเอง"เสียงเพลงกล่อมเด็กแว้นดังมาจากมุมไหนของห้องก็ไม่รู้ แม้ว่าเนื้อหาจะไม่น่าฟังแต่ว่ากอล์ฟกลับชอบมันอย่างน่าประหลาด บทเพลงนี้ทำให้จิตใจของกอล์ฟสงบลงได้อย่างง่ายดายและสติของเขาก็ค่อยๆจางหายไปในห้วงนิทรา ภาพหลายๆอย่างปรากฎขึ้นในสมองของเขา แกะ ทุ่งหญ้า รั้ว นาฬิกา หนังสือ กำแพงบ้าน เตียง หมอน ผ้าห่ม พระจันทร์ ดาว ตีนแมว แล้วจากนั้น
"คร็อกกกกก ฟรี้ "กอล์ฟก็หลับสนิทอย่างเป็นทางการ
.
.
.
.
.
"แฮ่ก แฮ่ก ฮิ้ววว"ด็อกเตอร์หอบหลังจากที่ล้มเจ้าก้อนแห่งความน่ารังเกียจลงได้ แกนสีส้มของมันโดนเผาด้วยตะเกียงแอลกอฮอที่ด็อกเตอร์ตั้งไว้หลังจากที่เอาท่อนไม้หวดแกนทรงกลมของเจ้าอสูรอาเจียนตัวนี้ลงได้ เพื่อความชัวร์ว่าตายแน่นอน ต้องเผา ร่างกายส่วนอื่นๆที่กองเละอยู่กับพื้นต่างค่อยๆเหลวลงเรื่อยๆเพราะระบบประสาทของมันเชื่อมกับแกนสีส้ม หากแกนถูกทำลาย ระบบประสาทส่วนอื่นๆก็จะตายแล้วย่อยสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ด็อกเตอร์สังเกตุว่าตอนที่กรอบล้มหนึ่งในสัตว์ประหลาดตะไคร่น้ำพวกนี้ที่ห้องนี้ เขาเล็งไปที่แกนด้วยพานท้ายปืน แสดงว่าพวกเจ้าหน้าที่รู้จุดอ่อนของอสูรร้ายพวกนี้ เอาหละได้เวลาล่าของกันต่อแล้ว
"รายการต่อไป ไหนดูซิ"ด็อกเตอร์เดินไปยังตู้สารเคมีอีกฟาก เพื่อที่จะหาสิ่งที่ด็อกเตอร์ต้องการ เขาเจอมันอย่างรวดเร็ว โพแทสเซี่ยมไนเตรท ด็อกเตอร์แอนดี้มองซ้ายมองขวาก่อนที่จะหยิบสารเคมีชนิดนี้ขึ้นมา กระปุกสีขาวที่มีฝาสีน้ำเงินมีเขียนไว้ข้างๆว่า โพแทสเซี่ยมไนเตรท ได้ของอย่างที่3แล้ว ทีนี้ ขาดแค่อีกอย่างเดียวที่ต้องไปหา ด็อกเตอร์เดินไปทางตู้เก็บของที่เขียนว่า วัตถุดิบ:สารอินทรีย์
.
.
.
.
.
"หืออออ กรี๊ดดดดดดด!!!!!!!"เนยร้องสุดเสียงเมื่อตื่นขึ้นมาในห้องนอนของตนเอง ห้องที่เต็มไปด้วยเงินทองจำนวนมหาศาล ห้องนี้ ห้องของเธอเอง ในบ้านของเธอเอง เต็มไปด้วยเงินทองกองสูงท่วมหัว เครื่องประดับที่ทำจากทองคำ เงิน และ เพรชพลอยกองเต็มไปหมด เหมือนกับว่าโจรสลัดตัดสินใจจะเอาของที่ปล้นมาได้มาซ่อนไว้ที่ห้องของเธอยังไงอย่างนั้น ตอนนี้เธอมีเรื่องให้ตื่นเต้นอยู่2อย่างด้วยกัน
1.เธอรวยแล้ว
2.เงินเยอะแยะขนาดนี้คนก็คงสงสัยว่าได้มาจากไหนแล้วทำไมมากองอยู่ในห้องแทนที่จะเอาไปฝากธนาคาร โขมยอาจจะขึ้นบ้าน หรือตำรวจอาจจะสงสัยว่าเธอโขมยเงินมา แย่กว่านั้น เธออาจจะละเมอไปปล้นแบงค์ตอนหลับก็เป็นได้ ทำไงดี
"ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี อ้าาาาาา"เนยกุมหัวตัวเองแล้วร้องออกมา จากนั้นประตูห้องนอนของเธอก็เปิดออก แม่ของเธอเดินเข้ามาแล้วทำหน้าไม่พอใจ เนยหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในหัวคิดอะไรไม่ออกทุกอย่างตื้อไปหมด จะอธิบายกองเงินที่ีสูงท่วมหัวพวกนี้ได้ยังไง ถ้าบอกไม่รู้แล้วแม่จะเชื่อมั้ยเนี่ย แล้วถ้าหาก...
"นี่ลูก ไม่เก็บข้าวของหน่อยเหรอ ห้องรกแล้วนะ ทำความสะอาดห้องด้วย ไม่ใช่รวยแล้วอยากจะวางของทิ้งๆขว้างๆไม่เป็นที่เป็นทางยังไงก็ได้"แม่ของเธอพูด เนยกะพริบตาปริบๆ มองไปรอบๆตัว แล้วมองไปที่แม่ แม่ของเธอมีสร้อยทองหลายเส้นแขวนอยู่รอบคอ ที่นิ้วมีแหวนเพรชนิลจินดานานาชนิดอยู่เต็มไปหมด ที่หูก็มีตุ้มหูราคาแพงระยับจับลมบน แถมแม่ยังใส่ชุดคลุมอาบน้ำที่ ดูเริศหรูเกินงามตัวใหญ่โคร่ง นี่บ้านเธอรวยตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
แม่ส่ายหัวเบาๆก่อนที่จะปิดประตู สรุป เงินพวกนี้ไม่ใช่ของโจร เนยกะพริบตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นยืน แล้วรอยยิ้มกว้างค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ในหัวตอนนี้เต็มไปด้วยแผนการใช้เงินอย่างเต็มคราบ เธอรีบคว้าปากกานำเข้ากับสมุดโน็ตบุหนังจิงโจ้มาไว้ในมือ ค่อยๆบรรจงเขียนรายชื่อสิ่งของที่เธอต้องการและอยากได้ ได้เวลาออกไปช็อปปิ้งกันแล้วเรา
"มีอะไรบ้างน้าาาาา อ้อ กระเป๋าแพงพอที่จะเทคโอเวอร์บริษัท รองเท้าสำหรับคนหนึ่งกองทัพ อุปกรณ์แต่งหน้านางแบบควายวอล์ก วีดีโอเกมรุ่นล่าสุดแบบไปจองที่สายการผลิต ที่ดินแพงระยับกลางเมืองกรุง เสือขาวใส่แว่นกันแดดที่ชงเหล้าได้ หุ่นยนต์ยักษ์ยิงเลเซอร์พร้อมจรวดนำวิถีสำหรับยึดครองโลก เออ อันนี้ไม่เอาดีกว่า ฟาร์มกุ้งมังกร7สี เออ ไม่ แล้วก็ เสื้อกับชุดหรูๆอันใหม่ รถลีมูซีนสีชมพูแปร๋นสลับเขียวยาวประชดชีวิต เอาให้ใหญ่พอๆกับ กล้องบาซูก้า เอ๊ะ!!! แป๊ปนึงนะ ชั้นจำได้ว่ามีกล้องบาซูก้าแต่ว่าจำไม่ได้ว่ามีทำไมและทำไมต้องมี แต่ว่ารู้สึกเหมือนใช้บ่อยๆ ข้าม!!! รายการต่อไป นักการเมืองหนึ่งสภาสำหรับออกกฏหมายยกเว้นภาษี แล้วก็ ประเทศด้อยพัฒนาซักประเทศสำหรับเอาไว้บริหารเล่นแก้เบื่อ แล้ว เริ่มคิดไม่ออกแล้วสิ งั้น ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและแฟชั่นอย่างละคนสำหรับช่วยคิดว่าซื้ออะไรต่อดี เคลียร์"เนยพูดกับตัวเองแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปซื้อประเทศและยึดครองโลก เออ หมายถึง เตรียมตัวสำหรับไปเป็นผู้นำแฟชั่นแบบปรึ๊ดๆ จิกๆ วันนี้จะปลดปลอยผีปอบในตัวแล้วออกไปใช้เงินให้สะใจ ได้เวลากินให้อร่อยเหาะไม่ต้องมองกระเป๋าเงิน ซื้อของให้มันส์มือชนิดแคชเชียร์ไม่ต้องนอนไป2อาทิตย์ ยึดประเทศแล้วให้นักการเมืองแบ่งผลประโยชน์กับเราแบบเนียนๆชนิดไม่มีใครหน้าไหนดูออก ออกไปล่าสิงโตเอาหัวมาประดับผนังแล้วเอาหางมาทำซุป จ้างนักวิทยาศาสตร์มาทำระเบิดนิวเคลียร์ส่วนบุคคลสำหรับป้องกันตัว สเปรย์พริกไทยกับเครื่องช็อตไฟฟ้ามันไม่พอ ของมันต้องมี ยูเรเนี่ยมมันต้องมี แล้วก็ สงสัยต้องไปหาหมอจิตเภทเสริมด้วย เวลารวยแล้วรู้สึกสติไม่เต็ม ช่างเหอะ จ้างหมอมารักษาที่บ้านยังได้เลย วะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่าาาา ต้องฝึกหัวเราะชั่วร้ายหน่อยตอนยึดประเทศสำเร็จแล้วจับประชาชนมาเป็นทาสจะได้ดูเฉียบแบบผู้ร้ายในหนัง อุ๊ย เป็นนางเอกดีกว่า ไม่ตายตอนจบ
"ว้าว Impressive!!!(น่าประทับใจ)"เนยมองห้องน้ำที่ใหญ่โตโออาราวกับเอาสวนน้ำทั้งสวนมาตั้งอยู่ในบ้าน ตอนนี้เธอเริ่มคิดว่า ก่อนจะไปออกอาละวาดปลดปล่อยวิญญาณกระสือหิวเงิน เธอจะเล่นของเล่นนับร้อยในห้องน้ำ เออ สวนน้ำส่วนบุคคลนี้ซะหน่อย เนยยิ้มแล้ววิ่งไปยังอีกฟากของห้องน้ำอย่างยินดี มันต้องอย่างงี้เซ่ ชีวิตที่คุณคู่ควร
"ได้เวลา กระโดดลงสไลด์เดอร์ตีลังกา8ตลบตบกับลิงชิมแปนซีกลางทางแล้วลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศหล่นลงมากลางบ่อจากุซซี่ที่มีน้ำมะพร้าวเย็นๆรออยู่"เนยตะโกนตอนที่ยืนอยู่บนชั้นบนสุดของสไลเดอร์สวนน้ำอย่างสะใจ แล้วเธอก็ทำอย่างที่พูด หมายถึงอย่างที่พูดจริงๆ และในสวนน้ำก็มีลิงชิมแปนซีให้ตบจริงๆด้วย แล้วข้างๆบ่อจากุซซี่ก็มีน้ำมะพร้าวเย็นๆอยู่ด้วย แล้วเนยก็ไม่รู้ว่านอกจากน้ำมะพร้าวแล้ว ในบ่อจากุซซี่ก็มีเลี้ยงตัวเงินตัวทองไว้ด้วย อะไรนะ
ตู้มมมมมม!!!!!!!! อ้าาาาาาาาาา!!!!!!!!!!! เจ็บแต่สะใจ รวยซะอย่างจะเลี้ยงอะไรก็ได้ แล้วจะฉีดวัคซีนกี่เข็มก็ได้ด้วย แต่ตอนนี้ต้องพึ่งหมอหน่อย รวยซะอย่างจะนอนโรงพยาบาลกี่วันก็ได้ เย็บแผลกี่เข็มก็ได้ ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก ใครแคร์ THUG LIFE อ่ะ LOOK AT MY MONEYYYYYYYYY Yeah!!!!!! ตะกวดกัดเรื่องจิ๊บจ๊อย รวยซะอย่างมันต้องมีแผลเป็นไว้อวดชาวบ้านชาวช่องบ้าง หนูร็อคคคค ถ้าเงินคืออำนาจ หนูคือพระเจ้าาาา รวย สปอยล์ ใช้ทิ้งใช้ขว้าง เย่ววววว รวยจนคลั่งเลย อ้าาาาา
ณ จุดนี้เนยเริ่มน้ำลายฟูมปาก ไม่ใช่เพราะพิษสุนัขบ้า แต่เป็นเพราะอาการเห่อเงินของเศรษฐีใหม่
.
.
.
.
.
"เรียบร้อย"ด็อกเตอร์พูดกับตัวเอง เขามองวัตถุนี่น่าพรั่นพรึงตรงหน้า ดีที่ห้องนี้ยังพอมีตู้กักเก็บอุณภูมิที่สามารถใช้งานได้อยู่ และไฟฟ้าก็พอที่จะทำให้เครื่องนี้ทำงานด้วย เนื่องจากด็อกเตอร์ใส่ชุดป้องกันรังสีอยู่แล้ว ความเย็นเลยไม่ใช่เรื่องใหญ่หนักหนาอะไร การผสมสูตรนี้ต้องทำในอุณภูมิต่ำมากๆเพราะว่ามันไวต่อการประทุสุดๆ ส่วนผสมทั้ง4 ไนโตรกรีคอล โพแทสเซี่ยมไนเตรท อันนี้ผสมให้เข้ากันก่อนเพราะระเบิดง่ายมาก จากนั้นตามด้วย แป้งเอนกประสงค์ที่เกิดจากแป้งมันผสมกับผงฟูเรียบร้อยแล้ว ปิดท้ายด้วย ดินปืนIMRแบบไร้ควัน เพียงเท่านี้ เราก็สามารถที่จะเปิดประตูห้องที่ทำจากโลหะได้แล้ว แบบตูมตามด้วย ระเบิดชนิดนี้เรียกว่า ระเบิดเจลาติน ที่ขึ้นชื่อเรื่องพลังการทำลายที่รุนแรง นอกจากห้องระเบิดแล้ว มีสิทธิ์ที่จะเสียชีวิตด้วยหากมีอะไรผิดพลาด บัดนี้ด็อกเตอร์ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันเรียบร้อย เขาเอาเศษผ้าห่อวัตถุอันตรายชิ้นนี้ไว้แล้วใช้เศษผ้าอื่นๆที่หาได้ในห้องนั้นมาทำสายชนวน
"เอาหละ ก่อนจะก่อการร้ายที่ทำงานตัวเอง ต้องเอาตัวคณะออกมาก่อน"ด็อกเตอร์พูดกับตัวเอง ด้านหลังของด็อกเตอร์แอนโทนี่ เจลโล่ มีบางอย่างเริ่มเคลื่อนไหว แล้วด็อกเตอร์ก็ไม่แปลกใจ ในห้องนี้ยังมีปีศาจปุ๋ยหมักอีกหลายตัวที่ยังไม่ได้โดนทำลายแกน หรืออาจจะเป็นตัวที่ซ่อนอยู่ตอนก่อนหน้านี้แล้วปรากฎกายออกมาในภายหลัง ฝีมือการซุ่มโจมตีของพวกนี้ไม่เอาไหนเลยจริงๆ มีช่องโหว่เต็มไปหมด นักล่าหน้าไหนเค้าส่งเสียงโง่ๆแบบนี้ตอนจะจับเหยื่อกัน น่าจะเป็นเพราะพืชไม่เคยมีระบบประสาทมาก่อน พอพัฒนาขึ้นมาอันนึงเลยขาดๆเกินๆจนน่าเกลียด ด็อกเตอร์หลบการโจมตีของขี้มูกนรกพวกนี้อย่างง่ายดาย เขาใช้บีกเกอร์ตักเอาแกนทรงกลมสีส้มที่ีมีหนวดส่ายไปมาอย่างสะเปะสะปะของเจ้าก้อนหยึยๆที่น่ารังเกียจออกมาแล้ววางคว่ำไว้บนโต๊ะให้แห้งตาย ด็อกเตอร์เดินไปทางประตู เขาค่อยๆเปิดประตูโลหะสีโคโบลต์อย่างระมัดระวัง ใช้ไฟฉายสาดแสงเข้าไป ดอกบัวไม่มีตาและไม่สามารถรับรู้แสงได้ ตอนนี้ดอกบัวที่ว่าหุบกลีบลงแล้ว แล้วทุกคนก็ยังคงนอนหลับฝันหวานกันอยู่ แต่เดี๋ยวก็คงต้องตื่นแล้วหละ
.
.
.
.
.
"โอออ นี่มันเกิดอาราย ขึ้นเนี่ย"น้ำอ้อยค่อยๆตื่นขึ้นมา ยามค่ำคืนท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร น่าแปลก ความไม่เป็นมิตร ความน่ากลัวและความรู้สึกถึงภัยอันตราย หายไป ที่นี่ยังคงเป็นป่าแห่งหุบเขาดงโขมดเย็นเหมือนเดิม ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แถมเธอยังคงเป็นครึ่งคนครึ่งกบเหมือนแบบเดียวกับที่เธอค่อยๆกลายเป็นมาตลอด2เดือน เพียงแต่ สภาพแวดล้อมภายนอกนั้น ไม่ได้มีความรู้สึกถึงความโหดร้ายและชิงชังแบบที่ป่าดงพงไพรมังจะมี มันรู้สึกเหมือนกับความศักดิ์สิทธิ์และวิเศษ บางอย่างเหนือธรรมชาติมาที่นี่ เธอรู้สึกได้ เหล่าสัตว์ร้ายต่างหยุดออกล่าและสงบลง กลิ่นอายของสิ่งนี้ทำให้นึกถึงป่าเห็ด กลิ่นอายของวิญญาณ สัตว์บางชนิดสัมผัสถึงกลิ่นนี้ได้ และครึ่งนึงของเธอก็เป็นสัตว์ที่ว่า เพียงแต่ในป่าเห็ดจะเป็นพลังงานด้านลบที่ทำให้รู้สึกแย่และหวาดระแวง อันนี้ ทำให้รู้สึกสงบนิ่ง มีชีวิต และสวยงาม
"กรรรรร"เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อน้ำอ้อยหันกลับไปก็เจอศัตรูเก่า เจ้ามากมาย หมีควายกลายพันธุ์ขนสีดำสนิท หลายหัวและหลายแขน หน้าอกมีลายสามบั้งกลับหัว อสูรกายผู้ปกครองผืนป่าและผู้ที่มีความมุ่งมั่นอยู่ห่างเธอไปไม่กี่คืบ น้ำอ้อยกระโดดหนีขึ้นต้นไม้ แต่ว่าเจ้ามากมายกลับแปลกออกไป มันไม่มีร่องรอยของความดุร้าย อาฆาตแค้นหรือโมโหโกรธา มันนิ่งสงบ สง่างาม และทรงเกียรติ ไม่รู้สิ ไม่มีใครแต่งตังยศฐาบรรดาศักดิ์ให้มัน แต่มันกลับดูมีเกียรติอย่างน่าประหลาด มันเดินไปตามทางเดินในผืนป่าอันมืดทึม
น้ำอ้อยอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม เลยแอบตามเจ้าหมีใหญ่ไปอย่างห่างๆเผื่อว่าเจ้ามากมายจะหันมาตะปบจะได้มาไม่ถึง เธอไต่ไปตามต้นไม้ยามราตรี แล้วเธอก็เห็น ไกลลิบๆมีแสงสีขาวที่ดูงดงามอยู่ห่างไกล เหล่าสัตว์ป่าน้อยใหญ่ค่อยๆคืบคลานเดินทางไปยังจุดที่มีแสงสวยงามนั้น มันดูสวยมาก เธออยากไปดูจังว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น น้ำอ้อยค่อยๆกระโดดไปมาตามต้นไม้ แซงมากมายและสัตว์ป่าอื่นๆไปอย่างง่ายดายด้วยความเร็วระดับเธอ ไม่นานนัก เธอก็ไปถึงเป้าหมาย
"โหวววว"น้ำอ้อยเห็นบ่อน้ำเล็กๆที่เต็มไปด้วยสารพัดสัตว์ป่าในผืนป่าที่แปลกประหลาดนี้มารวมตัวกันที่นี่ รอบๆบึงน้ำอันนิ่งสงบและใสแจ๋วเห็นตัวปลา สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจมากที่สุดคือตรงกลางของบ่อน้ำ มีหญิงสาวผิวสีขาวราวกับทำมาจากกระเบื้อง จริงๆไม่ใช่ผิวอย่างเดียวที่ขาว ผมก็ขาว ชุดก็ขาว ดวงตาของเธอเปล่งแสงสีขาวออกมา ขาวไปหมด ร่างกายของเธอเปล่งแสงเหมือนกับเป็นหลอดไฟนีออน เธอน่าจะเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาหรืออะไรเทือกๆนั้นแน่ๆ เท้าเปลือยเปล่าของนางลอยอยู่เหนือน้ำนิ่งของบึงนี้ แสงที่ออกมาจากเธอไม่ได้สว่างจ้าแสบตา แต่เป็นเหมือนแสงจันทร์ที่นุ่มนวลชวนมองมากกว่า หิ่งห้อยบินวนรอบกายของเธอเหมือนกับว่าเป็นวงโคจรรอบตัวเธอ สัตว์ต่างๆสงบนิ่งแล้วมองเธออย่างเคารพนับถือ ด้านหลังของเธอมีแผ่นศิลาก้อนใหญ่ที่มีอักษรโบราณที่อ่านไม่ออกเขียนไว้อยู่เต็มแผ่น น้ำอ้อยค่อยๆขยับตัวออกมาจากแนวไม้แล้วเข้าร่วมชมความน่าอัศจรรย์ใจกับสัตว์ป่าน้อยใหญ่ทั้งหลาย
เธอเห็นกบส่วนหนึ่งลงไปนั่งบนใบบัวที่อยู่มุมหนึ่งของบึงน้ำ แล้วพอสังเกตุดีๆ สัตว์แทบทุกชนิดต่างจัดหมวดหมู่ของตนเองตามชนิด กวางก็ไปรวมอยู่กับกวาง กระทิงก็ไปรวมอยู่กับกระทิง เสือ หมี จระเข้ หมูป่า ตุ๊กแก งู นก สัตว์แต่ละสายพันธุ์ต่างไปรวมอยู่กับพรรคพวกตัวเองแทบทั้งสิ้น เนื่องจากรอบๆสระมหัศจรรย์แห่งนี้ไม่มีมนุษย์อยู่เลย เธอจึงขยับตัวไปรวมอยู่กับกบด้วยกัน มือใหญ่ๆของเธอจุ่มลงน้ำแล้วเธอค่อยๆพาร่างกายส่วนอื่นๆลงไปในธารา น้ำเย็น แต่ไม่หนาว กลับทำให้เธอรู้สึกสดชื่น เหมือนกับว่ามีพลังงานวิเศษไหลเวียนอยู่ในบึงน้ำใสสะอาดแห่งนี้แล้วร่างกายของเธอค่อยๆซึมซับมันเข้าไป มันทำให้เธอรู้สึก ดี เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นหนึ่งเดียวกับผืนป่าและสรรพสัตว์ ไม่ได้แปลกแยก ไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาด แม้เธอจะดูเหมือนคนผสมกับกบแต่ไม่มีสัตว์ตัวไหนมองเธอแบบแปลกแยกหรือเหยียดหยามเลย
"พวกเจ้าโปรดฟัง"เสียงที่เหมือนกับเอาเสียงสะท้อนหลายๆเสียงมารวมกันฟังแล้วรู้สึกแปลกหูดังมาจากสตรีแห่งสายน้ำ เธอไม่แม้แต่ขยับตัวหรือขยับปากเลย แต่ทุกชีวิตรอบบึงนี้ได้ยินเสียงเธอและเข้าใจด้วยว่าหมายความว่าอะไร น้ำอ้อยมองไปที่นางเช่นเดียวกับเหล่าสรรพสัตว์แห่งหุบเขาดงโขมดเย็นทุกชีวิตหยุดนิ่ง มองไปที่สตรีสีขาวเป็นตาเดียว
"บัดนี้ ผืนป่าแห่งนี้ได้แปดเปื้อน พลังงานด้านมืดและคำสาปแช่งของพญาโขมดเย็นได้ทำให้หุบเขาแห่งนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย ข้าต้องขออภัยด้วยหากผู้ใดได้รับผลกระทบ บัดนี้พญาโขมดเย็นได้หายจากความพิโรธเกรี้ยวกราดโกรธาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้า พรายกายาขาว ได้มายังที่แห่งนี้เพื่อที่จะปลดเปลื้องคำสาปให้กับทุกๆชีวิตในผืนป่า"สตรีชุดขาวที่ลอยอยู่เหนือบึงน้ำอันแปลกตาและเปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์ได้กล่าวขออภัยทุกชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากคำสาป เธอไม่ขยับปากหรือตัวเหมือนเดิม แต่ทันใดนั้น เธอก็ลอยถอยหลังไปนิดหน่อย จุดที่เธอลอยอยู่ก่อนหน้านี้เปล่งแสงสีขาว ศิลาจารึกที่อยู่ด้านหลังเธอเปล่งแสงสีฟ้าบนตัวอักษรที่อ่านไม่ออกเหล่านั้น มันดูมหัศจรรย์มาก
"ผู้ใดที่ต้องคำสาป จงชำระความผิดปกติและความเจ็บป่วยเบื้องหน้านี้เถิด น้ำอัมฤทธิ์จะชำระล้างโทสะและสวะที่อยู่ตามร่างกายให้กลับไปเป็นดังเดิม"เธออ้าแขนแล้วจุดที่เป็นสีขาวของบึงน้ำค่อยๆขยายออก หมูป่าที่มีกาฝากติดหลังตัวหนึ่งเดินเข้าไปในจุดชำระล้าง น้ำเวทมนตร์ค่อยๆก่อตัวล้อมรอบหมูป่าตัวนั้นแล้วเปล่งแสงสีทองสดใสอย่างน่าอัศจรรย์ จากนั้นปาฎิหาริย์ก็เกิด หมูป่าตัวนั้นกลับกลายเป็นสัตว์ป่าธรรมดาที่ไม่มีร่องรอยของการกลายพันธุ์หรือผิดแปลกไปจากธรรมชาติ กาฝากต้นนั้นเองก็เช่นกัน มันกลายเป็นกาฝากธรรมดาสามัญที่ไม่ดูดเลือดหรือกรีดร้องเหลือเพียงพืชปรสิตต้นเล็กๆต้นนึง มันไหลลงจากหลังของหมูป่าแล้วร่วงลงน้ำแล้วจมหายลงไปในสายธาร
"มหัศจรรย์"น้ำอ้อยอุทาน เธอมองสัตว์น้อยใหญ่ตัวแล้วตัวเล่าที่เข้าไปยังจุดชำระล้างแล้วกลับกลายเป็นปกติ แม้แต่เจ้ามากมายที่เดินเข้าไปยังจุดชำระล้าง สายน้ำสีทองเปล่งปลั่งขึ้นรูปรอบร่างกายพิกลพิการของมัน แล้วมันก็กลับมาเป็นหมีควายตัวใหญ่เหมือนเดิม น้ำอ้อยเลยจะเข้าไปชำระล้างที่จุดนั้นบ้าง เธอใช้มือและขากบแหวกว่ายน้ำเย็นยามค่ำคืน ตรงดิ่งเข้าไปหาจุดชำระล้างเรืองแสงอย่างตื้นตันใจ เธอจะกลับคืนร่างเป็นน้ำอ้อยคนเดิม แล้วจะได้กลับไปหายายแม้นซะที
"จงหยุด มนุษย์"เสียงก้องกังวาลของสตรีสีขาวทำให้น้ำอ้อยชะงัก
"ที่นี่ไม่ใช่ที่ของมนุษย์อย่างเจ้า หากเจ้าจะใช้การชำระล้าง เจ้าจะต้องทำตามเงื่อนไขของเรา"นางพรายกายาขาวส่งเสียงออกมาโดยไม่ขยับส่วนไหนของร่างกายเลย มีเพียงเครื่องนุ่งห่มของ
เธอที่คล้ายกับปลิวไปตามสายน้ำเอื่อยๆ น้ำอ้อยใจเสีย เธอกลัว กลัวว่าจะต้องกลายเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล เธอเลยอ้อนวอนขอความเมตตาจากเทพีแห่งบึงน้ำ
"ได้โปรดเถอะ หนูอยากกลับเป็นปกติอีกครั้ง หนูกลับบ้านทั้งแบบนี้ไม่ได้ ขอเถอะ หนูขอร้อง นะ หนูยอมแล้ว ยอมทุกอย่าง"น้ำอ้อยอ้อนวอนกับนางพรายกายาขาว เธอค่อยๆหันหน้าของนางมาทางน้ำอ้อยช้าๆ เห็นน้ำอ้อยกุมมือ คุกเขา น้ำตาไหลพราก
"ข้อแม้ของข้าคือ เจ้าจะต้องไม่แพร่งพรายเรื่องสถาณที่แห่งนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มิฉะนั้น เจ้าจะไม่มีวันได้กลับเป็นปกติอีกเลย"นางพรายยื่นคำขาด ซึ่งน้ำอ้อยพยักหน้าอย่างยินดี แล้วสิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับน้ำอ้อย นางพรายโบกมือแล้วตัวน้ำอ้อยก็ลอยขึ้นเหนือน้ำ นางค่อยๆกวาดมือทำให้น้ำอ้อยลอยไปเหนือจุดชำระล้าง อย่างช้าๆ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ของสารพัดสัตว์ป่าแห่งพงไพรที่จ้องมองเธออย่างตื่นเต้น ร่างเล็กๆของเธอลอยมาเหนือน้ำเรืองแสงสีขาวเปล่งปลั่งเรืองแสงเหมือนแฟลชกล้องถ่ายรูป แล้วเธอก็ค่อยๆดิ่งลงไปสัมผัสน้ำช้าๆ จนกระทั่งเท้ากบของเธอแตะผิวน้ำ
ทันใดนั้นน้ำจากจุดชำระล้างก็ค่อยๆก่อตัวและขยับเหมือนกับมีชีวิต มันไหลไปทั่วตัวน้ำอ้อยเหมือนกับกำลังหุอหุ้มตัวของเธอด้วยน้ำ น้ำอ้อยรู้สึกได้ เท้ากบของเธอหดเล็กลงและกลายเป็นสีเนื้อ กลับมามี5นิ้วอีกครั้ง และไม่มีผังผืด มือของเธอก็กลับมาอยู่ในขนาดของคนปกติ หางลูกอ๊อดหลุดออกแล้วสลายหายไปในน้ำสีขาว ร่างกายของเธอบิดไปมาเล็กน้อยก่อนที่จะกลับเป็นปกติเหมือนเก่าก่อนอีกครั้ง กลายเป็นคนอย่างสมบูรณ์
"เสร็จกิจของเจ้าแล้ว จงกลับไปซะแล้วอย่ากลับมาอีก"เสียงจากนางพรายกายาขาวดังขึ้นแล้วสัตว์ตัวอื่นๆก็มาเข้าจุดชำระล้างต่อจากเธอ น้ำอ้อยลอยออกไปจากบึงน้ำแล้วพลังของนางพรายขาวก็หายไปทำให้เธอกลับมายืนบนบกอีกครั้ง เธอไม่ต้องกระโดด เธอวิ่งได้ เดินได้ เหมือนคนปกติ
"ขอบคุณค่าาา"น้ำอ้อยขอบคุณแล้วโบกมือลาสตรีสีขาวที่ลอยอยู่เหนือบึงน้ำปริศนา เธอค่อยๆเดินกลับบ้านอย่างมีความสุข แสงจากบึงน้ำเวทมนตร์ค่อยๆหายไปตามระยะทางที่เธอเดินออกมา กลับไปเป็นป่าดงดิบอันมืดมิด แต่กลับไม่มีอันตรายอะไรซ่อนอยู่ในราตรี มีแต่ความสงบสุข แล้วนอกจากนั้น เธอยังเจอตะกร้าที่หายไปของเธอด้วย
.
.
.
.
.
"อึ๊บ เอออ นี่คนสุดท้ายแล้วมั้ง"ด็อกเตอร์แอนโทนี่มองไปที่สมาชิคหมู่หมูมะนาวและผู้ติดตามที่นอนหลับไม่ได้สติ เขาเอาตัวคนเหล่านี้มาไว้ในห้องนี้เพื่อความปลอดภัยขณะที่เขาใช้ระเบิดเจลาติน ตอนนี้ หมวดเอก หมู่โบกี้ จ่าปลา ตือ ชาติ กอล์ฟ กรอบ ต้น 2นักข่าวเนยกับสมบัติ น้ำอ้อย แตงโม แล้วก็หมาประจำหมู่ เจ้าฟองดู ครบแล้ว ด็อกเตอร์เดินไปที่ตู้แช่ เขาคว้าเอาวัตถุระเบิดอันตรายขึ้นมาแล้วเดินตรงออกไปยังห้องวิจัยพันธุ์พืช ในห้องอันมืดมิด ดอกบัวตูมสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดูที่ทำให้ทุกคนละเมอเพ้อพกระยะสุดท้ายได้ ด็อกเตอร์เดินผ่านเจ้าภาคภูมิที่กำลังนอนฝันหวานเนื่องจากอำนาจเกษร ชุดที่เขาใส่เป็นชุดป้องกันรังสี ทำจากยางหุ้มตะกั่วและวัสดุอื่นๆ แต่ชั้นนอกสุดทำจากยางสีเหลืองเข้ม ทำให้ด็อกเตอร์สามารถย่องได้อย่างแผ่วเบา จากรูปร่างผอมซูบเซียวของเขาก็ทำให้น้ำหนักเบาเหมาะแก่การย่องโดยไม่ให้ใครรู้ ยิ่งดอกไม้ไม่มีตานี่แล้ว หมดสิทธิ์
"เจอนี่หน่อย"ด็อกเตอร์แอนดี้เดินเข้าไปหาประตูงี่เง่าบานเก่าที่ระบบไฟฟ้ามีปัญหาทำให้ไม่สามารถเปิดได้ ด็อกเตอร์บรรจงวางวัตถุระเบิดอย่างแผ่วเบา เขาใช้ไฟแช็กของหนึ่งในสมาชิกหมู่หมูมะนาวมาจุดระเบิด โดยใช้เศษผ้าเป็นชนวน ด็อกเตอร์จุดไฟบนผ้าแห้งๆอันนั้น เปลวเพลิงลามไปตามผืนผ้าสีหม่นๆอย่างรวดเร็ว ด็อกเตอร์รีบวิ่งหนีออกจากระเบิดที่ตนเองจุด อำนาจการระเบิดของระเบิดเจลลาตินสูงถึง7700เมตรต่อวินาที ฉีกร่างคนได้อย่างง่ายดายเหมือนกับเอาประทัดยักษ์ไประเบิดเรือกระดาษ เห็นภาพ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลือกที่จะเปิดประตูด้วยระเบิดชนิดนี้
"พรืดดดดดด"ด็อกเตอร์ประมาทไปหน่อย เขาลืมไปว่ามันมีเมล็ดของพืชกระจายไปทั่วห้องหลังจากที่กอล์ฟทำกระถางนั้นตกแตก เมล็ดทรงกลมสีดำมันวาวราวกับลูกปัดเคลือบน้ำมันเครื่องที่กระจายออกมาจากกระเปาะเหี่ยวแห้งตายทำให้ด็อกเตอร์แอนโทนี่ตกที่นั่งลำบาก ชนวนที่เขาทำไม่ได้เป็นแบบถ่วงเวลา เป็นแบบตามมีตามเกิด ไม่กี่วินาทีอำนาจของวัตถุระเบิดจะทำลายประตูและทุกอย่างในห้องนี้ และนั่นไม่ใช่ระเบิดตลกๆตามการ์ตูนวิทยาศาสตร์ที่มีนักวิทย์ขี้แพ้โดนระเบิดทุกตอน ระเบิดนี้แรงถึงตายและมันถล่มทุกอย่างจนการคาบและนั่นรวมถึงด็อกเตอร์ด้วยหากเขาไม่ย้ายก้นออกไปจากห้องวิจัยพันธุ์พืชตอนนี้
"เอาแล้วไง"ด็อกเตอร์รีบคลานไปที่ประตูด้วยความสามารถทั้งหมดที่เขามี ฝ่าห้องเละเทะที่เกิดจากDP-026อาละวาด เมล็ดพืช กระเบื้อง ดิน โต๊ะ หนังสือชีววิทยา ของทุกอย่างดูเหมือนพยายามที่จะขัดขวางการตะกายพื้นเอาชีวิตรอดของด็อกเตอร์เลย แต่แล้วด็อกเตอร์ก็พาสังขารผอมกะหร่องของตัวเองมาถึงหน้าประตูโลหะสีน้ำเงินได้ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ แต่ว่า ไฟไหม้ชนวนจนจะหมดแล้ว ด็อกเตอร์คลานออกไปยังห้องเคมีไม่ทันแน่เลย เขาเอื้อมมือจะตะกายร่างของตนไปยังที่ปลอดภัย แล้วก็มีมือปริศนายื่นเข้ามาจับมือกับด็อกเตอร์ ด็อกเตอร์ตกใจมาก ใครหรืออะไร เป็นเจ้าของมือข้างนี้กันแน่ แล้วเขามีจุดประสงค์อะไรในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เปลวเพลิงลุกไหม้จวนจะถึงตัวระเบิดแล้ว และมันกำลังจะปลดปล่อยอำนาจและอานุภาพอันพรั่นพรึงของวิชาเคมี อาวุธสังหารทำงานแล้ว
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:57:09 GMT
27.escape route : ทางหนีทีไล่
หลังจากที่ด็อกเตอร์จุดไฟบนชนวนแบบตามมีตามเกิดของระเบิดเจลาตินอันขึ้นชื่อลือชาเรื่องภลานุภาพร้ายแรงและความอันตราย เขาก็ดันเกิดอาการอันน่าอับอายที่เรียกว่า ลื่นล้มเอาตอนนาทีสำคัญที่สุด ตอนที่วัตถุแห่งการทำลายล้างที่เขาสร้างขึ้นกำลังจะทำงาน และถ้าหากด็อกเตอร์แอนโทนี่อยู่ในรัศมีระเบิดอันน่าสะพรึงนี้ ชุดป้องกันรังสีไม่ช่วยแน่ๆ ถึงสีจะเหมือนและดีไซน์ดูคล้ายกันในสายตาของคนสายตาสั้นทำแว่นหาย แต่ชุดป้องกันรังสีกันรังสีตามชื่อและกันสารพิษได้หลายประเภท แต่มันไม่ใช่ชุดของนักกู้ระเบิดหรือหน่วย EOD อย่างแน่นอน ด็อกเตอร์กำลังหาทางเอาตัวรอดสุดชีวิต ในสถาณะการณ์คับขัน มือปริศนามือหนึ่งยื่นเข้ามาช่วยด็อกเตอร์และนักวิทยาศาสตร์เฒ่าตอบรับทันที ถึงจะแก่ แต่ด็อกเตอร์ยังไม่พร้อมที่จะย้ายไปอยู่โลกหน้า เขายังไม่ได้เขียนพินัยกรรมทำมรดกเลย ยังไม่ได้ไปทำประกันชีวิตด้วย และยังไม่ได้แก้ไขสารพัดปัญหาที่ตัวเองก่อไว้อย่างเช่น สิ่งที่เกิดขึ้นกับแตงโม และเขาได้เป็นผู้ชมเก้าอี้หน้าสุดแบบเรียลไทม์
ตอนนี้มือที่ว่านั้นดึงตัวด็อกเตอร์ออกไปให้พ้นจากอันตรายของพลังระเบิดอันร้ายแรง นักวิทยาศาสตร์เฒ่าโดนลากเข้ามาในห้องเคมีแล้วประตูก็ปิดก่อนที่วัตถุอันตรายชิ้นนั้นจะทำงาน ด็อกเตอร์รอดมาได้อย่างเฉียดฉิว
ตู้มมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
"เกือบไปแล้วมั้ยหละ ด็อกเตอร์"ชายในเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มที่มีเสื้อกั๊กสีน้ำตาลอ่อนและกางเกงยีนส์สภาพสุดโทรมสีเดียวกันพูด หมวกแก็ปสีน้ำเงินเฉดสีเดียวกันกับเสื้อ หน้าตาดูไร้ชีวิตชีวาและหนวดเคราหรอมแหร็ม ผิวสีเข้ม พูดจาด้วยเสียงหยาบกร้าน ออกแหบๆหน่อย ชายคนนี้เป็นคนเดียวกันกับคนที่ช่วยชีวิตด็อกเตอร์เอาไว้ และเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก สมบัติ ตากล้องคู่ใจของเนยนั่นเอง
"ขอบคุณมากเลย แต่ว่า ทำไมคุณถึงได้ไม่หลับ คุณก็โดนเกษรหนี่หน่า"ด็อกเตอร์ถามด้วยความสงสัย คนอื่นๆเมื่อออกห่างจากดอกบัวและเจอพลังเสียงของวัตถุทำลายล้างนามว่าระเบิดเจลาตินเข้าไปก็เริ่มงัวเงียตื่นขึ้นมา สมบัติเองก็ดูงัวเงียเหมือนกัน
"พอดีว่าตอนที่มัน ไม่รู้ว่าตัวอะไรพ่นควันสีเหลืองๆออกมา ผมเอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก แต่ว่าผมสลบไปเพราะควันนั่น ไม่รู้เหมือนกัน จากนั้น ผมก็ตื่นขึ้นตอนที่เห็นด็อกเตอร์ลื่นล้มเนี่ยแหละ"สมบัติเล่า เขาทำหน้างัวเงียเหมือนไม่ได้นอนมา5วันติดกัน หรือไม่ก็ไกล้เคียงกับคนที่เมาหนักมากๆแล้วตื่นมาจำอะไรไม่ได้ คนอื่นๆก็ค่อยๆตื่นแล้วทำหน้างงกันเป็นแถบๆ หน้าแต่ละคนเหมือนกับปวดหัวสุดขีดตอนที่ตื่นขึ้นมา ละอองของดอกบัวนั่นคงไปก่อกวนระบบประสาทเยอะน่าดู เอ๋อกันเป็นทิวแถวเลย
"ในฐาณะของ อธิบดีคนใหม่ คำสั่งแรกของผมคือ ใครก็ได้บอกทีนี่ชั้นอยู่ที่หนายยยย"หมวดเอกตื่นขึ้นมาแล้วเหวอคนแรก เคามองไปรอบๆตัวด้วยความมึนงง สับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น
"แล้วจากนั้นเจ้าฟองดูก็ขึ้นไปเกาะอยู่บนหัวของจ่าปลา แล้วเบ่งขี้อย่างสุด เออ ทำไม นี่เรากลับมาที่ห้องทดลองทำไมเนี่ย"หมู่โบกี้กำลังเหวอตามมาเป็นลำดับ เขามองไปรอบๆ ดีที่จ่าปลากำลังเบลออยู่ไม่งั้นหละก็ ตอนกลับกองพันคงมีธงชาติคลุม
"เห แล้ว นี่ เราไม่ได้อยู่บนรถเหรอ แล้วพ่อแม่ชั้นไปไหน"จ่าปลากุมหัวเพราะอาการวิงเวียนศีรษระอย่างหนักหน่วง เธอค่อยๆลุกขึ้นแล้วเช็ดน้ำลายไหลย้อยของเธอ
"ง่ำๆๆๆๆๆๆ แหวะ นี่ผมยังไม่ตายเหรอ"ตือตื่นขึ้นมา แล้วหลังจากที่ค้นพบว่าตัวเองกำลังเคี้ยวรองเท้าคอมแบ็ตของเพื่อนอยู่ ก็เกิดอาการเซอร์ไพรส์สุดๆ เขามองไปมาอย่างงงงวย ทำท่าทางไม่เข้าใจกับสถาณการณ์ เขาจ้องหน้าหมวดเอกที่มึนหัวไม่ต่างกันแล้วเกาหัวตัวเอง
"ทุกคน รู้มั้ย ผมจบปริญญาตรีแล้วหละ แต่ว่า มีใครเห็นใบปริญญาของผมมั่ง"ชาติตื่นขึ้นมาแล้วคลานหาใบปริญญาของตัวเองยกใหญ่
"คร็อกกกกกก ฟรี้ คร็อกกกก"กอล์ฟยังคงนอนขึ้นอืดไม่ยอมตื่น คงไม่ต้องอธิบายมาก
"ช้านรวยแล้ว Oh Babe Oh my money ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ คนมันรวยช่วยไม่ได้ เออ ทำไมเรากลับมาที่ห้องแล็บเพี้ยนอีกละเนี่ย"เนยกำลังคลั่งเงินในความฝัน เมามายกับอำนาจวาสนา เมื่อตื่นขึ้นมาพบกับความจริง เลยเหวอแบบแรงมาก
"เอออออ ทำไมหนูกลับมาเป็นกบอีกแล้วเนี่ย ฮืออออ ตะกร้าหายด้วย"น้ำอ้อยตื่นขึ้นมาแล้วกำลังเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายก็เกิดอาการยอมรับความจริงไม่ได้เหมือนกับที่คาดไว้
"แล้วทำไมผมกลับมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว นี่เราไม่ได้อยู่ที่กองพันเหรอ"กรอบโวยวาย เขาไม่อยากรบรากับสารพัดสัตว์ประหลาดอีกต่อไปแล้ว
"หือ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ลูกพี่เอาผมมาไว้ที่นี่เหรอ"ต้นงัวเงีย ค่อยๆลุกขึ้นนั่งแล้วทำหน้างง สมองของเขาหมุนติ้วเหมือนกับมีใครเอาตัวเอาไปโยนแทนลูกโบวลิ่ง
"อือออออ รางวัลโนเบลชั้นไปไหนแล้วเนี่ย แล้วทำไมตัวชั้นกลายเป็นเยลลี่ ม่ายยยยย หมดกันชีวิต"แตงโมโวยวายสุดเสียง เธอคงรับสภาพตัวเองไม่ได้
"เอ๋งงงง หงิงงงง งิ๊ด งิ๊ด เอ๋งงงง"ฟองดูก็โวยมั่ง มันงง เบลอ ปวดหัว และไม่รู้ว่าอะไรเป็นความฝันและอะไรเป็นความจริงกันแน่ มันมองไปมาแล้วนอนแผ่อยู่กับพื้น
"เอาหละทุกท่าน ตั้งสติ จำเอาไว้ว่าเรากำลังหาทางหนีออกจากห้องแล็บสุดอัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและหนูทดลองยักษ์ เราไม่ได้อยู่บ้าน หรือรวย หรืออยู่ในตำแหน่งผู้นำใดๆทั้งนั้น รวมถึงเราบางคนยังไม่ได้คืนร่างกลับเป็นคน เรากำลังหาทางหนีเอาชีวิตรอดและขอให้ทุกคนหยุดนอนหลับฝันหวาน แล้วอยู่กับความเป็นจริง"ด็อกเตอร์พูดกับทุกๆคนขณะที่หลายๆคนกำลังงัวเงียและหลงละเมอเพ้อพกในโลกมายาภาพหลอนและฝันดี ได้เวลาเผ่นออกจากอาคารทรงครึ่งวงกลมนี้กันแล้ว
"แล้วเราจะไม่หาทางเปิดประตูก่อนเหรอ หรือว่าตอนเราหลับไปด็อกเตอร์ซ่อมเสร็จแล้ว"หมวดเอกพูดขึ้น เขามองซ้ายมองขวาด้วยความสับสน เมื่อกี้นี้เขากับคณะอยู่ในห้องมืดๆที่มีดอกบัวยักษ์ เสียงกรีดร้องสั่นประสาทราวกับออกมาจากปากซาตานจริงๆ หนูทดลองชื่อหรูหราของด็อกเตอร์ที่เกิดอาการอยากกินเนื้อคน ความวุ่นวายนานับประการท่ามกลางความมืดมิด บาดแผลฉกรรย์มากมายบนตัวพรรคพวกและพันธมิตรจากคมเขี้ยวของสารพัดสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ และ ฝันหวานว่าตัวเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมป่าไม้เพราะทำความดีความชอบใหญ่หลวงเอาไว้
"อะแฮ่ม ไม่ได้ยินนาฬิกาปลุกเหรอครับ ผมเปิดประตูด้วยวิชาเคมีเลยนะนั่น ถ้าลุกไหวก็รีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ทันการ"ด็อกเตอร์พูด เขาดูมั่นใจและเปี่ยมไปด้วยความเจ๋งเป้ง จริงๆ มันดูCOOLมาก มากเท่าที่นักวิทยาศาสตร์อายุรุ่นปู่หุ่นเหมือนไม้ขีดใส่ชุดกันฝนที่ชอบสร้างสัตว์ประหลาดซักคนจะCOOLได้ ร่างของเขายืนหยัดท่ามกลางฝูงชนที่ยอมสยบพ่ายแพ้ให้แก่อำนาจของมายาลวงตาอันทรงพลังและเสียงกรีดร้องแหลมสูงปลุกไมเกรนของดอกบัวมหัศจรรย์นั้น ประตูห้องวิจัยพันธุ์พืชเปิดออกแล้วควันสีเทาก็พัดผ่านออกมา บัดนี้ด็อกเตอร์ดูเหมือนยอดมนุษย์ในสายหมอก ไม่น่าเชื่อ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่สลบจากพลังของดอกบัว และไม่หลบลี้หนีหายไปทิ้งให้เราฝันหวานละเมอลมอยู่กับพืชมรณะนั่น จะว่าไป ด็อกเตอร์ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ประเภทสติแตก ชั่วร้าย ยึดครองโลก หรือ ชอบหัวเราะชั่วร้ายท่ามกลางฟ้าผ่าอะไรแบบนั้นเลย เขาดูมีสติและมีความรับผิดชอบมากกว่าที่หมู่หมูมะนาวประเมินเขาไว้ อย่างน้อยก็ยังมีคุณธรรมของมนุษย์อยู่บ้าง
"เอ้า ตื่นดิ รอสารวัตรมาเป่าแตรเรียกหรือไง ใครเจ็บเกินไปก็ช่วยๆลากกันไปด้วยนะ ไวด้วย"หมวดเอกสั่ง เขาลุกขึ้นก่อนที่จะเซเหมือนกับคนเมาค้าง แต่ว่าไม่กี่วินาที เขาก็ทรงตัวได้ อำนาจหลอนประสาทของเกษรดอกบัวนี้ทรงพลังจริงๆ เหล้าขาว40ดีกรีกลายเป็นแค่น้ำหวานหลอกเด็กไปเลยเมื่อเทียบกับพืชพรรณที่น่าสะพรึงนี้ หากคนชั่วร้ายจิตใจต่ำตมคนไหนได้ตัวอย่างของพืชมฤตยูนี้ไป สงครามฝิ่นครั้งใหม่จะบังเกิด และจะน่ากลัวกว่าครั้งก่อนด้วย
"หมู่ลุกไม่ไหว ไอ้หนูเสือนั่นเล่นหมู่ซะยับเลย หิ้วหน่อยดิ๊"หมู่โบกี้ตะโกนแล้วไอ้ตือก็เข้ามาอุ้มแบบเดียวกับหิ้วกระสอบข้าวสาร แต่ด้วยความที่ตือกำลังมึนหัวไม่ต่างจากคนอื่นๆ ตอนกำลังจะลุกก็เลยหงายหลังล้มทับหมู่โบกี้ซะงั้น หมู่โบกี้ร้องลั่นเมื่อโดนน้ำหนักมหาศาลของลูกน้องตัวอ้วนฉุทับจนแทบจะแบนเป็นปลาลิ้นหมา
"ลุกสิวะไอ้ไขมันแช่ตู้เย็น หนักโว้ยยย หมู่หายใจไม่ออก ลุกเซ่ จะมามึนเมาไม่เข้าเรื่องอะไรตอนนี้วะ"หมู่โบกี้โวยวายตอนที่หลังกว้างๆของตือทับร่างกายอันบอบช้ำของตน หมู่กำลังดิ้นพราดๆอยู่อย่างน่าอนาถแบบเดียวกับจิ้งจกโดนประตูหนีบ
"โรลเลอร์โคสเตอร์"ไอ้ต้นพูดประโยคเด็ดแห่งวัน ย้อนรอยหมู่โบกี้ได้อย่างงดงาม ทำเอาหมู่โบกี้หน้าบึ้งปากเป็นรูปตัวUกลับหัวเลย ดวงตาของหมู่โบกี้เบิกกว้างและเขากัดฟันกรอดๆๆอย่างช่วยไม่ได้
"ก๊ากกกก กั๊ก กั๊ก กั๊ก ของเข้าตัวหว่ะหมู่ เด็ดจริงเด็ดจังไม่ต้องใช้ใบการันตี กร๊ากกกกก ฮ่า ฮ่า ฮ่า โรลเลอร์โคสเตอร์ ถ้าไอ้ขาวยังอยู่มันคงสะใจน่าดู"ไอ้กอล์ฟหัวเราะลั่น ไม่ใช่กอล์ฟเพียงคนเดียว แต่ว่าทุกคนยกเว้นด็อกเตอร์กับแตงโมต่างขำกลิ้งเป็นลูกโบวลิ่งกันเลยทีเดียว แม้แต่หมวดเอกเองก็ตาม หมู่โบกี้ก็หัวเราะแห้งๆตามน้ำไป
"เอาหละหมดเวลาเล่นตลกเจ็บตัวแล้ว ลุกเซ่ แล้วแบกหมู่ด้วย"หมู่โบกี้ตะโกนเสียงแหบเพราะหายใจไม่ออกภายใต้น้ำหนักมหาศาลของไอ้ตือ เขาหนักสมชื่อ เพราะชื่อของเขาแปลว่าหมู ตือค่อยๆขยับตวออกจากตำแหน่งที่ก้นใหญ่ๆน่าตบของเขาทับร่างอันสะบักสะบอมของหมู่โบกี้ที่น่าสงสารอยู่ ตือค่อยๆก้มแล้วดึงร่างอ่อนปวกเปียกของหมู่โบกี้ขึ้นมาพาดไหล่เหมือนกับนายพรานแบกสัตว์ที่ล่าได้กลับบ้าน งานนี้หมู่โบกี้อาจจะเดินไม่ได้ไปอีกเป็นวัน และนั่นหมายความว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดของหมู่ขึ้นอยู่กับพรรคพวกของหมู่เอง
"ยืดเส้นยืดสายให้พร้อม เราไม่รู้ว่าอีเห็นหน้ายื่นพวกนั้นยังอยู่ หรือว่าไอ้หนูทดลองตัวโปรดของพระเดชพระคุณมหาด็อกเตอร์แอนโทนี่มันตายหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรสิ่งสยองที่ด็อกเตอร์และผองเพื่อนเอามาจากนรกโลกันต์ขุมไหนก็ตาม เราจะต้องรอดกลับไปบอกข่าวคราวและเรื่องราวให้กับสารวัตรและคนอื่นๆให้รับรู้ หมดเวลานอนกลางวันแล้ว ได้เวลาเข้าสู่สงคราม"จ่าปลาตะโกนปลุกใจพรรคพวกให้เลิกหลงมัวเมากับมายาอันตรายของพญาดอกบัว แม้ว่าตัวเธอเองจะยังเดินไม่ตรงและตาลอยแถมหน้าแดงก่ำ แต่ว่าเธอจะไม่ยอมให้ฝันดีหยุดภารกิจของหมู่แน่นอน ฝันนั้นทำให้เธอคิดถึงบ้าน และเธอจะต้องมีชีวิตกลับออกไปหาพ่อแม่พี่น้องของเธอให้ได้ ฟ้าเบื้องบน น้ำเบื้องล่าง ดินขวางหน้า ฆ่ามันเถิด ฝ่าฟันไป ด้วยคมปืน
หมู่หมูมะนาวและคณะผู้ติดตามด้วยประการทั้งปวงต่างทำท่าฮึกเหิม พวกเขาตื่นจากโลกแห่งความฝันอันแสนสุขเพื่อเผชิญกับโลกแห่งความจริงอันโหดร้าย แต่ถึงยังไงก็ตาม ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ใช่พวกขี้ยาไร้ค่าที่วันๆเอาแต่สูบเสพเพื่อทำให้ความฝันกลายเป็นจริงโดยไม่ลงมือทำ ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสมเพชรูปร่างเหมือนปอบอดอยากแล้วยังบั่นทอนทำลายชีวิตและสังคมด้วยอำนาจของฤทธิ์ยา
"หมวดคิดว่า เราต้องทำลายดอกบัวนั่นซะ หากมีพวกเดนมนุษย์ตัวไหนเจอมันเข้า รับรองว่าทั้งตำรวจป่าและตำรวจเมืองมีงานเข้าแบบไม่จบไม่สิ้นอ่ะ ขนาดเราที่ผ่านการฝึกมาอย่างโชกโชนยังไม่สามารถต้านทานมันได้ แล้วเยาวชนวัยรุ่นอนาคตของชาติพวกนั้นหละ เสียคนแน่ๆ"หมวดเอกพูดแล้วคว้าไฟแช็กขึ้นมาในมือ ทำสีหน้าจริงจัง ถ้าอะไรซักอย่างทำให้คนอย่างหมวดเอกคิดว่าตัวเขาเองได้เป็นอธิบดีกรมป่าไม้ได้ คนที่จิตใจมั่นคงพอที่จะตั้งสติได้หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด คนที่สามารถยืนหยัดต้านทานพละกำลังของจระเข้ยักษ์และหมีควายหลายหัวได้ คนที่ยอมทนทำภารกิจอันยากลำบากโดยไม่ถอยกลับรังแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนนานานับประการและสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ ถ้าอะไรซักอย่างทำให้คนเช่นนี้หลงมัวเมาหมดสิ้นสติได้ มันไม่ใช่อะไรที่ยอมให้ปล่อยออกไปจากดินแดนแห่งฝันร้ายไปสู่สังคมภายนอกได้อย่งเด็ดขาด
"ผมว่าเราไปกันเหอะ อยู่ที่นี่นานๆเดี๋ยวผีปุ๋ยหมักมันจะเขมือบหัวเอา"หมู่โบกี้พูดแล้วมองไปที่ทางโต๊ะทดลองวิทยาศาสตร์ที่มีมีปีศาจตะไคร่น้ำขยับไปมาแล้วส่งเสียงเหมือนกับใครบางคนกำลังร้องเพลงตอนที่กำลังเมาสุดขีด แต่เสียงที่ออกมาเหมือนกับหมูเป็นไซนัส
"เอ้า ไปสิ"หมวดเอกสั่งแล้วชักมีดพร้าประจำกายเตรียมเข้าปะทะกับความสยองและสิ่งอัปมงคลใดๆก็ตามที่ปรากฎกายออกมาในห้องแห่งความลับนี้ อาคารที่ถูกทิ้งนี้มีหลายอย่างที่ไม่น่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนค่อยๆเดินตามหมวดเอกไปอย่างช้าๆ ในห้องวิจัยพันธุ์พืชเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ของทุกอย่างพังพินาศย่อยยับด้วยพลังระเบิดอันทรงพลังแก่กล้าของระเบิดเจลาตินอันลือชื่อด้านพลังการทำลายอันเหนือชั้น ซากตู้เก็บของและโต๊ะหักครึ่งกองเต็มพื้นที่ เช่นเดียวกับตัวอย่างพืชนานาชนิดที่โดนเปลวเพลิงจากการระเบิดเผาไหม้ เช่นเดียวกับดอกบัวมหัศจรรย์ตรงกลางที่โดนเป่ากระจุยไม่เหลือเค้าเดิม เพดานบางส่วนรับแรงอัดไม่ไหวถล่มลงมากองอยู่กับพื้นจนเละเทะไปหมด เศษกระเบื้องระเนระนาดเต็มห้อง กองของตั้งตระหง่านต่อหน้าเหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้เหมือนกับต้องการจะขัดขวางการเดินทางของผู้พิทักษ์แห่งพงไพร ทั้งห้องมีแต่ควันสีเทาเข้มจนเกือบดำอันเกิดจากวัตถุแห่งการทำลายล้าง และที่สำคัญที่สุด ประตูโลหะสีโคโบลต์ที่ท้าทายการเดินทางของหมู่หมูมะนาวโดนพลังแห่งการระเบิดอัดใส่จนบานประตูข้างหนึ่งปลิวหายไปส่วนอีกข้างหนึ่งโดนพลังระเบิดจนโลหะบางๆนั้นฉีกขาดเป็นสองส่วนและหงิกงอเหมือนกับแผ่นเบค่อนที่โดนทอดจนสุกกรอบ กลิ่นของการเผาไหม้และการทำลายคละคลุ้งไปในอากาศ เราคงไม่ต้องทำลายดอกบัวนั่นแล้วหละ ไม่เหลือดอกบัวให้จัดการแล้ว ไม่เหลือเลย เหมือนกับระดับสติปัญญาในสมองไร้รอยหยักของชาติ ไม่เหลือเลย เหมือนกับมารยาทบนโต๊ะอาหารของจ่าปลา ไม่เหลือเลย เหมือนกับจำนวนความเคารพนับถือที่ด็อกเตอร์แอนโทนี่ เจลโล่ ได้รับหลังจากเหตุการณ์ชายชุดดำบุกศูนย์วิจัย แม้ว่าตัวเขาเองออกปากว่าจะแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองก็ตาม
"เยี่ยม ไปกันดีกว่า"หมวดเอกสั่งแล้วทุกคนก็เดินตามหมวดเอกไปยังประตูง่อยๆที่โดนระเบิดจนยุ่ยเหมือนกับเผือกตุ๋น8ชั่วโมงรวด หมวดเอกและคณะเดินผ่านซากอันเคยเป็นอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์มาก่อน พืชพรรณอันตรายและสารพัดสิ่งที่เราไม่สามารถรู้ได้ต่างกองระเนระนาดกระจัดกระจายเต็มไปหมด ทุกคนค่อยๆก้าวข้ามตู้หักๆและโต๊ะพังๆ ไม่มีร่องรอยของDP-026หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆในห้องแห่งความพินาศนี้ ไม่กี่ก้าว หมู่หมูมะนาวก็เดินผ่านเคหสถาณแห่งความย่อยยับ ส่วนที่น่าตะหงิดใจที่สุดคือ นี่เป็นเพียงแค่ระเบิดตามมีตามเกิดที่นักวิทยาศาสตร์ชราภาพทำขึ้นมาอย่างลวกๆ แล้วถ้าหากเป็นระเบิดแบบที่ทหารตัวเป็นๆใช้กันจริงๆหละ ไม่ต้องเดาเลยว่าทำไมรบกันทีคนถึงได้ตายกันเยอะแยะ
"นี่ต้องเป็นโรงถ่ายหนังของอาหลงแน่ๆเลย ตู้มต้ามแผ่นดินเดือดปุดๆ สงสัยหนังเรื่องปังตอ เครื่องครัวสมิง"ไอ้ชาติออกความเห็นระหว่างที่กำลังเดินออกจากห้องที่ถูกทำลาย คนอื่นๆต่างก็หัวเราะด้วยความขบขัน ระเบิดภูเขา เผากระท่อม ตะล่อมผู้หญิง ปิ้งไก่ย่าง ไม่มีใครเกินผู้กำกับหนังชื่อหลงผู้ที่ร้องเสียงหลงทุกครั้งที่คนเริ่มวิจารณ์บทหนังอัน ตู้ม ต้าม ตื้น ปิ้งไก่ ชงกาแฟ ตู้ม ต้าม ต่อ อวสาน จบข่าว
"พูดซะอยากกินไก่ย่างแกล้มกาแฟดำเลย แต่ว่านะ ที่นี่สภาพแย่เกินกว่าจะเป็นโรงถ่ายหนังของอาหลง จริงๆเหมือนของไมเคิล บวม มากกว่า"หมู่โบกี้ออกความเห็น ที่นี่ไหม้เกรียม พังพินาศ เหมาะอย่างยิ่งแก่การสร้างหนังหุ่นยนต์ยักษ์ถล่มเมืองหรือสัตว์ประหลาดยักษ์อาลาวาด เอาตามจริงสัตว์ประหลาดที่เราเจอในแล็บนี้มันกากเกินกว่ามาตรฐานหนังของไมเคิล บวม ไปเยอะเลย แต่อย่างว่าแหละ เราเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ใช่หน่วยรบคอมมานโด ถ้าเจออะไรแบบที่อยู่ในหนังเอาสะใจทำลายข้าวของแบบนั้น ปืนHK-33อายุเกือบร้อยปีสีลอกทั้งกระบอก ลูกกระสุนขึ้นเกลือแถมสนิมสีเขียวตะไคร่ขึ้นเต็ม ด้านบ้างยิงไม่ออกบ้าง ยิงไปก็เสียวระเบิดคากระบอก ไม่มีรูสู้กับตัวอะไรแบบนั้นเลย ดีที่เรายังเจอไม่หนักเท่าไหร่ ขนาดไม่หนักเท่าไหร่ เลือดยังอาบ ประสาทยังกลับ หูยังดับ ไม่ต้องพูดถึงสภาพจิตใจ
"ถ้าอยากเป็นอย่างอื่นนอกจากคนธรรมดา ก็เชิญ เรามีอยู่สองตัวอย่างแล้วหนิ เนอะ"หมวดเอกพูดค่อนแคะ เขาใช้หางตามองน้ำอ้อยและแตงโมที่หลับอยู่บนหลังด็อกเตอร์แบบผ่านๆ จ่าปลาออกอาการเล็กน้อยแต่ว่าก็ไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากเดินออกจากห้องแห่งซากปรักหักพัง กลับมายังห้องเดิมที่ไฟดับแล้วนับคนเกิน หรือที่เรียกกันว่าห้องคัดเลือกตัวอย่างทดลองเบื้องต้น
"ไปเร็วๆดิ ห้องนี้ผีดุ แค่เหยียบเข้ามาหนูก็ขนลุกซู่เลย"น้ำอ้อยบอกแล้วกระโดดกอดจ่าปลาแน่น หมวดเอกเดินผ่านห้องที่รกและเลอะเทอะแห่งนี้อย่างรวดเร็ว เขาเดินตรงไปยังประตูแห่งอิสรภาพ หากผ่านประตูนี้ไปได้ เขา และ พรรคพวกจะได้ออกจากเคหสถาณแห่งวิทยาศาสตร์นี้ ดินแดนแห่งสารพิษ อาคารที่แปดเปื้อน ต้นตอของสารพัดสิ่งเลวร้ายในผืนป่าดงดิบ เออ จริงๆมันเลวร้ายมานานมากแล้ว แต่ว่า การทดลองของด็อกเตอร์ทำให้หุบเขาดงโขมดเย็นแตะNew lowใหม่ และมันเกือบจะทำให้ใครหลายๆคนไม่รอดชีวิตกลับมา แต่อย่างว่าแหละ ทุกอย่างมันก็ต้องมีครั้งแรกทั้งนั้น รวมถึงการโดนสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์รุมขย้ำตลอดทางระหว่างทำภารกิจด้วย
"เหลวไหลน่า ผีเผอมีที่ไหน"ด็อกเตอร์พูด คนอื่นๆหันมามองด็อกเตอร์ตาเขม็ง แล้วมองหน้ากันไปมาอย่างไม่มั่นใจ
"เดี๋ยวก็รู้ ที่ทำงานด็อกเตอร์ของโคตรแรง เล่นเอาหลอนไปทั้งหมู่เลย รู้มะตอนที่เราเข้ามาหนะไฟมันดับเอง พูดแล้วยังขนลุกไม่หายเลย"หมู่โบกี้พูด เขายังคงปากดีเหมือนเคยแม้ว่าจะถูกสะพายพาดไหล่ไอ้ตืออยู่ก็ตาม ร่างกายสะบักสะบอมและรอยคมเขี้ยวทั้งตัวไม่ค่อยเป็นอุปสรรค์ในการโม้เท่าไหร่ ด็อกเตอร์มองหมู่โบกี้ด้วยสีหน้าสุกหน่ายออกมาหลังกระจกของชุดกันรังสี
"ผมเป็นคนสับไฟเอง ไม่ใช่ผีเผอที่ไหนหรอก"ด็อกเตอร์พูดเสียงเรียบ แต่ออกแหบๆหน่อยนะสไตล์ด็อกเตอร์ ที่แน่ๆคือหมู่โบกี้ทำหน้าเหมือนกินมะนาวเปรี้ยวจัดเข้าไปทั้งลูกในคำเดียว อาการพูดไม่ออกจุกอยู่ที่คอ แต่ว่านั่นไม่ถ่วงเวลาไว้ได้นานเท่าไหร่ก่อนที่หมู่โบกี้จะพล่ามอีกครั้ง
"แล้วตอนที่เรานับจำนวนคน มันมีเสียงคนตอบรับเกินมาคนนึง ต้องเป็นวิญญาณเพื่อนด็อกเตอร์ที่สิงสู่อยู่ในตึกหลอนนี้แน่ๆเลย ไม่ก็ต้องเป็นตัวอะไรที่เลียนแบบเสียงคนได้"หมู่โบกี้พูดต่อ เขายังคงปักใจเชื่อว่าในอาคารสุดสยองที่เปี่ยมไปด้วยสารพัดปริศนาและความลึกลับนี้จะต้องมีสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างผีสางวิญญาณร้ายอยู่แน่ๆ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าพบเจอหรือสัมผัสเลย แต่ด้วยเหตุผลและตรรกะใดก็ไม่ทราบ หมู่โบกี้กับเดอะลูกไล่กลับต้องการพิสูจณ์ว่ามันมีผีอยู่จริงๆในห้องนี้
"ผมเองยังไม่รู้เลยว่าตึกนี้มีสัตว์ประหลาดหรือตัวอะไรบ้าง แต่ในกล้องวงจรปิดไม่เคยมีผีสางหรืออะไรโผ่ลมาเลยนะ แต่ถ้าพวกคุณอยากเชื่อแบบนั้นก็ตามใจ"ด็อกเตอร์พูดแล้วเดินไปยังประตูแห่งอิสรภาพ ออกจากอาคารแห่งปริศนา สู่พงไพรอันตราย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ต้องผ่านป่านี่แหละถึงจะกลับออกไปจากนรกบนดินแห่งนี้ได้
"เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม เรากำลังจะเจอกับศัตรูรูปแบบไหนก็ไม่อาจจะเดาได้ ได้เวลาออกไปจากที่นี่กันแล้ว ไป"หมวดเอกพูดแล้วกดเปิดประตูโลหะสำหรับออกจากอาคารหลังนี้ไปยังเรือนกระจกที่เราสู้กับมากมายและปีศาจตะไคร่น้ำ หวังว่าดาวหมีใหญ่จะไม่มาเยือนที่นี่ตอนนี้นะ เรายังไม่พร้อมที่จะซัดกับหมีหลังจากที่ซดกับเสือ(หนูทดลองลายเสือ)มาหมาดๆ กระสุนหมด เป็นง่อย บาดเจ็บ มีเพียงแค่มีดพร้าง่อยๆที่สามารถใช้ต่อกรกับสัตว์ร้ายและศัตรูได้
"ครืนนน"เสียงประตูโลหะแห่งเรือนกระจกกำลังค่อยๆเปิดออก ลำแสงแห่งตะวันสาดส่องเข้ามาในห้องอันมืดมิดเหมือนกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มันช่างดูเหมือนกับประตูสวรรค์อันเจิดจรัสที่ทำให้วิญญาณหลงทางอย่างหมู่มะนาวเข้าถึงความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป แค่แสงสาดส่องจากภายนอกก็ทำให้หมวดเอกรู้สึกแตกต่างเมื่อเทียบกับแสงจากหลอดไฟภายในอาคารอัปมงคล ทุกอย่างช่างดูเหมือนกับการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ทั้งๆที่นี่มันเป็นส่วนท้ายสุดของภารกิจครั้งนี้ นั่นคือการหนีออกไปจากผืนป่าอำมหิตแบบเป็นๆ
"เยี่ยม ทางสะดวก"หมวดเอกพูดแล้วเดินออกมาจากอาคารศูนย์วิจัยอันเคยเป็นแหลางรวมนักวิทยาศาสตร์สติเฟื้อง เขามองไปรอบๆอย่างระมัดระวังก่อนที่จะกวักมือเรียกสหายร่วมรบให้ออกมาจากที่กำบัง ได้เวลากลับบ้านแล้ว
"หืม"จ่าปลามองไปที่ถังน้ำมันสีแดงขึ้นสนิมที่ครั้งนึงเคยเป็นช่วงล่างของปีศาจปุ๋ยหมักอันน่ารังเกียจ บัดนี้เป็นแค่ถังใส่ข้าวหมูเฉยๆ ร่องรอยการต่สู้กับพญาหมียังคงอยู่เหมือนเดิม ร่องรอยของกระถางต้นไม้ที่ปลิวใส่หัวไอ้กรอบ ใบพัดหางเฮลิคอปเตอร์ที่ไหม้เกรียมอยู่บนพื้นแสดงให้เห็นว่าพญาหมีควายได้ดึงมันออกจากร่างกายเรียบร้อยแล้ว ความเสียหายและซากพืชกระจายไปทั่วเรือนแก้วหลังน้อยนี้ หมวดเอกเดินออกจากเรือนกระจกแล้วมองไปรอบๆว่ามีตัวอะไรหมายจะโจมตีเราหรือเปล่า ซึ่งไม่แปลกใจเลยถ้าหากจะมี ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความวิบัติ ย่อมมีสัตว์ประหลาดเยอะเป็นพิเศษ ผลค่างเคียงของการกลายพันธุ์คืออาการโมโหหิว นั่นทำให้สรรพสัตว์ที่ครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวผู้คนกลับเข้าโจมตีสวนแรงปืนอย่างไม่กลัวตาย ความหิวโหยทำให้พวกมันฟิวส์ขาด เหมือนหมาบ้าระยะดุร้าย
"กรรรรร แจ๊ด แจ๊ด แจ๊ะ"เสียงขู่คำรามที่ฟังดูน่าสมเพชมากกว่าน่ากลัวดังออกมาจากสัตว์รูปร่างคล้ายแมว พวกชะมดยังไม่หนีไปไหน และพวกมันพร้อมออกล่าแล้ว อีเห็นทั้ง6ตัวเดินวนรอบๆเรือกกระจกรอจังหวะที่จะจู่โจม สัตว์ที่เน้นความรวดเร็วในการล่าเหยื่ออย่างชะมดยากแก่การตั้งรับเมื่อมันเข้าโจมตี แต่ในทางกลับกัน โครงร่างบอบบางของสัตว์นักล่าสายความเร็วกลับเป็นจุดอ่อนเมื่อโดนสวนกลับ ถ้าเทียบ หมีอย่างมากมายก็เหมือนอัศวินสวมเกราะหนักทั้งตัว มีพลังการโจมตีอันหนักหน่วงและความอึดถึกทนอันเหลือเชื่อแต่ต้องแลกมาด้วยความเร็วที่ลดลงอย่างน่าใจหายและช่องโหว่ที่มากมายสมชื่อ ชะมดเพรียวลมพวกนี้เปรียบได้เหมือนกับนักลอบสังหารหรือนินจา ปราดเปรี่ยวว่องไวและไร้ร่องรอย แม้พลังโจมตีจะไม่หนักหน่วงเท่ารายแรก แต่ทุกการโจมตีเล็งที่จุดสังหารทำให้อัตราการปลิดชีพเหยื่อสูงลิบลิ่ว ความสามารถในการหลบหลีกและสวนกลับการโจมตีเขาขั้นยอดเยี่ยม แต่ตัวบางร่างเปราะและโครงสร้างที่เล็กกว่าทำให้พวกมันบาดเจ็บสาหัสได้อย่างง่ายดายหากโดนคมมีดหรือแรงอัดที่รุนแรงจริงๆเข้าแบบจังๆ การจะปราบชะมดแบบนี้ได้นั้นจะต้องมีแผนการไม่ก็ความเร็วที่เหนือกว่า ถึงจะสวนและตัดกำลังสัตว์นักล่าเช่นนี้ได้
"กรรรรร"เสียงข่มขู่ในคอของชะมดดังขึ้นก่อนที่สัตว์ร้ายสายพันธุ์ชงกาแฟจะพุ่งไปด้านข้างด้วยความเร็วที่ไม่น่าผิดหวังสำหรับสัตว์ร้ายสายความเร็วเพื่อที่จะเข้าขย้ำด้านหลังของคออันเป็นจุดตายของสัตว์ทุกชนิดที่มีหัว ชะมดมีอุปนิสัยการโจมตีคล้ายกับสัตว์ตระกูลแมวเพราะวงศ์ของชะมดอยู่ไกล้เคียงกับวงศ์ของแมว แล้วเมื่อตัวมันใหญ๋ได้ถึงขั้นนี้ พลังกัดของมันเทียบได้กับคำว่าถึงแก่ชีวิตเลยทีเดียว สัตว์ป่าตัวโตเกินขนาดตัวนี้พุ่งเข้าใส่ด้านข้างของหมวดเอกตามคาด พร้อมกับเพื่อนๆของมันที่เหลือวิ่งเข้าใส่เป้าหมายที่มันหมายตาไว้
"ฮึยยยย"หมวดเอกตวัดมีดพร้าคมกริบที่เปื้อนคราบเลือดของศัตรูร้ายหลากหลายสายพันธุ์ในมือเข้าต่อสู้กับนินจาแห่งป่าดงดิบ สัตว์ป่าอย่างชะมดไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่ามีดพร้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมแรงปะทะนั้นร้ายแรงแค่ไหนเวลาที่มันเฉือนเนื้อนุ่มๆของสิ่งมีชีวิต หนังเหนียวๆของสัตว์ป่าไม่อาจต้านทานอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อเดินป่าได้หากตั้งรับอย่างถูกวิธี สัตว์ร้ายร่างเพรียวไม่ได้อึดพอที่จะทานทนการโจมตีเหมือนกับหมีควายสายพันธุ์ดุหรือมีเกล็ดแข็งป้องกันแบบพญาจระเข้ นี่เลยเป็นการฟันที่แรงพอที่จะทำให้อีเห็นโมโหหิวตัวนี้บาดเจ็บสาหัส เพียงฉับเดียว ใบมีดก็เฉือนหนังหุ้มกระดูกบนเท้าขวาหน้าของมันกับแก้มขวาจนหน้ามันเป็นแผลเหวะหวะ มันโดนแรงสับอัดจนกระเด็นไปตามแรงปะทะพร้อมกับเสือดสีแดงเข้มหลั่งรินเต็มพื้น แต่ว่าด้วยน้ำหนักที่เบาและการตอบสนองที่เยี่ยมยอด มันเด้งกลับมากัดแขนซ้ายของหมวดเอกเร็วเกินกว่าที่หมวดเอกจะเงื้อมีดฟันกลับทันเวลา
"อ้ากกกกกกกกก!!!!!!!!"หมวดเอกร้องเมื่อฟังโง้งแหลมคมของชะมดฝังลงไปในเนื้อแขนของหมวดเอก สมกับเป็นพลังกัดของสัตว์ป่า เสียงเหมือนกับอะไรซักอย่างในแขนหมวดเอกกำลังฉีกขาดหรือแตกหักดังออกมา ดีที่หมวดเอกถนัดแขนขวาและมือข้างนั้นเป็นมือข้างที่ถือมีด หมวดเอกแหวี่ยงแขนข้างที่ถือมีดอยู่แล้วหันปลายมีดเข้าหาลำคออันเป็นของสัตว์ป่า นั่นจะเป็นการแทงที่ตัดเส้นเลือดใหญ่ตรงคอและเป็น killing blow หากเจ้าชะมดตัวร้ายไม่ได้ยอมปล่อยแขนหมวดเอกแล้วกระโดดหนีการโจมตีถึงตายนั้นทันเวลา มันไม่ใส่เข้ามาทันที แต่เดินวนรอบๆหมวดเอกอย่างใจเย็นแม้ว่าสีหน้ามันจะบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เดือดจัดก็ตาม แต่การล่าที่ประสบความสำเร็จนั้น สัตว์ทุกตัวรู้ว่าความอดทนเป็นสิ่งที่ต้องมี
"แฮ่ ฮ้ากกกก แจ๊ด แจ๊ด กรรรร"ไม่ใช่หมวดเอกคนเดียวที่ต้องต่อกรกับนักล่าแห่งสายลมอย่างชะมดแผงหางปล้องตัวแสบ คนอื่นๆที่ออกมาจากอาคารวิตถารแห่งนั้นก็ต้องเข้าสู้รบตบมือกับสัตว์ร้ายโตเกินวัยอย่างชะมดตัวเท่าหมาป่าสีเทา พรรคพวกของมันเข้าไปตามรูโหว่และร่องรอยแตกของกระจกในเรือนกระจก สามตัวเข้าไปสู้ระยะประชิดด้วยคมเขี้ยวและกรงเล็บ อีกสองตัวรอคอยที่จะทิ้งดิ่งลงมาจากเพดานอาคารแก้วเมื่อมีใครซักคนหันหลังคอให้มัน ตัวจ่าฝูงที่เข้าสู้กับหมวดเอกรู้ว่าหมวดเอกแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเลยต้องล่อออกมาเพื่อเปิดทางให้เพื่อนๆล่าคนที่อ่อนแอในกลุ่ม และนั่นคือหมู่โบกี้ที่บาดเจ็บสาหัสจากการสู้กับDP-026มาอย่างโชกโชน
"ทุกคน เอาหมู่โบกี้เข้าที่กำบัง ชะมดมันเล็งคนเจ็บ...อั่กกก"หมวดเอกสั่งเพราะว่าสองชะมดที่อยู่ข้างบนมันเล็งโจมตีคอของหมู่โบกี้อยู่ แต่ว่าชะมดจ่าฝูงไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดไปจากอุ้งตีนหรอก มันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเสียงสมกับเป็นนักล่าสายตีนไว หมวดเอกเองแทบจะกันมันไว้ไม่อยู่ แม้ร่างกายของมันจะเบา แต่เมื่อมีความเร็วระดับนี้เข้ามาร่วมแล้ว แรงอัดมันเหมือนกับลูกฟุตบอลที่อัดมาแบบเล่นเต็มข้อล่อเต็มแข้ง หมวดเอกกันการโจมตีของสัตว์ร้ายด้วยคมมีด ซึ่งมันเรียนรู้ที่จะตอบโต้ แทนที่จะยื่นหัวของมันมาให้สับ มันเลือกที่จะใช้ขาหน้ากันใบมีดเพื่อลดความเสียหายแล้วดีดตัวลงต่ำ พุ่งเข้างับขาของหมวดเอกตามสูตรการเข้าใส่แล้วเด้งออกจากนั้นก็เข้าใส่อีกทีด้วยความเร็วเหนือชั้น โชคดีที่รองเท้าเดินป่าของหมวดเอกเหนียวและทนทานพอ
"หิวเหรอ กินนี่"หมวดเอกซัดขาอีกข้างเข้าชายโครงของชะมดที่กำลังประหลาดใจเรื่องความเหนียวของเหยื่อ ไม่ทันได้ตั้งตัว ขาหนักๆและรองเท้าบู๊ทสีดำเปื้อนๆก็อัดใส่ร่างอันบอบบางของมัน เรื่องความทนทานต่อการโจมตีแล้ว ชะมดมีน้อยกว่าคนค่อนข้างมาก เพราะแลกไปกับความเร็วที่มันได้มา
"แจ๊ด กรรรร"ชะมดตัวนั้นถอยออกมาตั้งหลัก มันกำลังหอบอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะการเข้าโจมตีของมันต้องใช้พลังงานเยอะมาก แต่นั่นไม่ได้หยุดมันจากการช่วยเหลือเพื่อนๆของมันสำหรับการเข้าตี มันมองไปมาหาช่องโหว่เตรียมเข้าโจมตีอีกครา มันไม่อยากเสี่ยงโดนมีดฟันอีกรอบ สมองของมันประมวลผลสำหรับแผนการเข้างับ กัด ฉีก กระชาก และ ถ่วงเวลาอีกรอบ มันมองที่หมวดเอกอย่างตั้งใจ หมวดเอกเองที่แขนซ้ายบาดเจ็บแต่ก็พยายามฝืนใจว่าตัวเองสู้ไหว ทั้งสองมองเข้าไปในดวงตาของฝ่ายตรงข้ามอย่างมุ่งร้าย แววตาแห่งความโกรธแค้นและเกลียดชังฉายออกมาราวกับของม็อบต่างสีเสื้อมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม ช่างน่าอดสู เมื่อคนได้รับบาดเจ็บมากพอพร้อมๆกับอารมณ์อันระอุ หมวดเอกขู่คำรามใส่ชะมดด้วยเสียงของมนุษย์ทำให้คนอื่นๆขนลุกเกรี้ยว คนสามารถทำตัวเหมือนสัตว์ได้หากสถาณการณ์เกินเลยจนถึงขีดสุด แม้แต่ชะมดจ่าฝูงเองยังทำท่าประหลาดใจเลยเมื่อหมวดเอกเริ่มคลั่ง ทั้งสองเข้าสู่โหมดของอสูรร้ายป่าเถื่อนเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งและสัตว์ป่าตัวหนึ่งจะเป็นได้
ด้านในของเรือนกระจก ตือเอาตัวของหมู่โบกี้ที่บาดเจ็บเข้าไปซ่อนอยู่ใต้โต๊ะพร้อมกับแตงโมที่เสียเลือดเกินกว่าจะสู้ไหว ต่อให้มีน้ำพอที่จะสร้างอะมีบอยด์(เท้าเทียมของอะมีบา)แต่ร่างกายของเธอยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่พอที่จะใช้ทุกความสามารถของอะมีบาได้ และเธอยังเจ็บหนักจากการซดกับพญาเสือหน้าหนูผู้ที่ด็อกเตอร์ให้กำเนิดด้วย ตือใช้ร่างอ้วยฉุของตัวเองให้เป็นประโยชน์ แบบเดียวกับทุกครั้งที่เพื่อนสมัยเรียนใช้เขาเป็นโกลล์ฟุตบอล เขายืนบังโต๊ะตัวนั้นจนมิดชิด ถ้ามันจะมีชะมดนักล่าตัวไหนหมายจะผ่านไปได้ มันจะต้องผ่านกำแพงไขมันมหากาฬไปให้ได้เสียก่อน ชะมดลูกสมุนเดินไปมาบนโต๊ะและซากของเรือนกระจกอย่างใจเย็น เสียงดมกลิ่นและเสียงขู่คำรามดังสะท้อนไปมาในเรือนแก้วหลังน้อยแห่งนี้ ตอนนี้ด้านในโรงเพาะชำ ตือที่เสียปืนลูกซองไร้กระสุนไปเลยใช้มีดพร้าแทนแม้ว่าเขาจะถนัดอาวุธที่ใช้แรงเยอะๆมากกว่า ชาติเองที่เสียมีดไปจากศึกหนองบึงก็เลยใช้ปืนลูกซองที่เขาใช้เสมือนท่อแป๊ปสำหรับตีเป้าหมายให้น่วม กอล์ฟที่เอามีดพร้าถือไว้ในมือเตรียมเขาเฉือนศัตรู เขาเก็บแว่นให้เรียบร้อยและพร้อมจะสังหารสัตว์ร้ายแม้ว่าภาพจะเบลอ กอล์ฟเอามีดเครียมไว้ในมือเตรียมเข้าสู้แม้ว่าอาการปวดหัวจากการโดนกระถางต้นไม้อัดหัวยังไม่หาย แต่เวลาแบบนี้ไม่สู้ก็ตาย ด็อกเตอร์เอาเก้าอี้อันเป็นอาวุธยามฉุกเฉินที่หาได้ในเรือนกระจกนั้นขึ้นมาเตรียมเข้าปะทะ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักสู้แต่อย่างว่าแหละ ไม่มีทางอื่นแล้ว เนยใช้กล้องขนาดใหญ่เกินงามของเธอเล็งหมายจะใช้แสงแฟลชแรงกล้าราวกับแสงตะวันเผาผลาญนัยน์ตาของสัตว์ป่าให้มอดไหม้คาเบ้า สมบัติ เขาเองก็ถอดขาที่ตั้งกล้องใช้แทนท่อนเหล็กหรือติ้วได้ แม้ว่าจะกลวงและเบา แต่หากหวดถูกจุดสำหรับสัตว์ที่โครงร่างบางแบบนี้ ถึงตายได้เลย จ่าปลาเองก็เสียมีดพร้าไปตอนที่สู้กับมากมายที่หน้าผา แต่ว่าปืนของเธอยังใช้หวดได้อยู่และเธอจะทุบชะมดเช็ดพวกนี้ให้ยับเลยหากมีโอกาส ต้นเองก็ไม่มีอาวุธเลยยืมปืนที่ไม่มีกระสุนของกรอบมาใช้ชั่วคราว น้ำอ้อยที่ได้รับพลังของสัตว์สายความเร็วมาก็พร้อมที่จะสู้กับชะมดป่ากระหายเลือดเหล่านี้ด้วยพลั่วและเสียมสายเสือน้อยที่ผ่านการฝนจนคมบาดเนื้อ รวมถึงความเร็วของเธอที่เทียบเท่าพวกมัน พวกชะมดเองก็รอที่จะฝังเขี้ยวคมกริบเข้าไปบนคอนุ่มๆของเป้าหมายไม่ไหวแล้วเช่นกัน เสียงขู่ในลำคอช่างทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อเสียงเหล่านี้สะท้อนไปมาในเรือนแก้ว มันเดินลัดเลาะไปตามโต๊ะและเก้าอี้ แยกเขี้ยวขู่คำราม มองหน้ากันไปมาหาจังหวะเข้าตี มันประมาทไม่ได้เพราะว่าศัตรูมีจำนวนเยอะกว่าอย่างเห็นได้ชัด สถาณการณ์ข้างในตึงเครียดและร้อนระอุ ต่างจากข้างนอกที่เยือกเย็นและเหี้ยมโหด หมวดเอกกับจ่าฝูงชะมดตั้งท่าอย่างระมัดระวังและพร้อมที่จะเข้าประหัตประหารกันทุกเมื่อ จริงๆทั้งคู่ก็ย้อมไปด้วยเลือดหลายส่วนแล้ว รอยเท้าที่ถูกเขียนด้วยเลือดบนพื้นแปะไปตามพื้นเหมือนกับอนุสรณ์แห่งการฆ่าฟัน หมวดเอกเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ทั้งคุ่อยู่ในสภาพไม่เหลือเค้าเดิม บาดแผลเหวอะหวะและสติที่หลุดลอย ร่างที่เต็มไปด้วยสัญชาตินักฆ่าเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ของทั้งคู่
"กรรร ฮว้ากกกกก!!!!!"หนึ่งในชะมดลูกฝูงที่อยู่ในเรือนกระจกส่งเสียงอย่างดุร้ายแล้วพุ่งเข้าโจมตีทันที ตัวอื่นๆที่อยู่ในเรือนกระจกเองก็เช่นกัน ตอนนี้ในเรือนกระจกกลายเป็นที่สำหรับตะลุมบอนครั้งใหญ่ ทุกคนและทุกตัวต่างยกพวกเข้าห้ำหั่นกันอย่างมั่วซั่ว เละเทะ และบ้าระห่ำ แทนที่จะประจัญหน้าอย่างดุร้ายเหมือนข้างนอก พวกข้างในกลับได้แต่ทำเรื่องตลกๆอย่างตีกันเอง กัดกันเอง หรือไม่ก็โดนใครซักคนทับแทนที่จะโดนเสียบด้วยมีด โต๊ะและเก้าอี้กระเด็นกระดอน กระถางต้นไม้ปลิวว่อนอย่างไร้ทิศทาง คมมีดและท่อนเหล็กเหวี่ยงไปมาเหมือนกับคนใช้เป็นเด็กปัญญาอ่อนที่ควบคุมทิศทางไม่เป็น ทั้งหมดนี้เป็นผลข้างเคียงจากการเสพเกษรดอกบัวเกินขนาดทำให้เพี้ยนและเห็นภาพหลอนเวลาที่ตื่นเต้น แต่น่าแปลก พวกชะมดกลับเพี้ยนตามไปด้วย
"ทุ่งหญ้าบาร์เล่ย์!!!!!!! ฟาดมานเลยยยย"ชาติตะโกนเหมือนคนเสียสติแล้วเหวี่ยงท่อนเหล็กที่เรียกว่าปืนลูกซองใส่หน้าชะมดตัวหนึ่งจนมันกระเด็นอัดโต๊ะอย่างจังตามด้วยกระถางต้นไม้จากมือของต้นเหวี่ยงใส่หัวกอล์ฟที่อยู่ข้างๆจนแตกกระจายคาที่ กอล์ฟเองก็คลั่งไม่ต่างจากเพื่อนแถมยังโมโหที่เจ็บแผลอีกต่างหาก เขาเลยตวัดคมมีดแทงต้นมะเขือเทศเหี่ยวๆอย่างบ้าดีเดือด ส่วนชะมดอีกตัวกำลังกัดน่องของจ่าปลาอยู่ กรอบเลยเหยียบหางจนได้ยินเสียงกระดูกหักดังออกมาจากหางนั้น ไม่พอ น้ำอ้อยกระโจนเข้าไปกอดมันจากข้างหลังแล้วใช้ลิ้นของเธอรัดมันเหมือนกับบ่วงบาศคาวบอย ชะมดตัวนั้นเลยวิ่งพล่านไปทั่วห้องเพราะหายใจไม่ออกลากตัวน้ำอ้อยที่เอาเสียมคมๆจิ้มไหล่มันอยู่ไปด้วย ชะมดทั้งสองที่รออยู่บนเพดานเรือนกระจกกำลังรออย่างลังเลใจ
"เฮ้ย เมื่อก่อนเรียกอีเห็น เดี๋ยวนี้เป็นอีแอบเหรอ ลงมาให้ฆ่าทิ้งซะดีๆ"ต้นที่กำลังน้ำลายฟูมปากและตาเหม่อลอยหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งขึ้นบ่า เขากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอย่างโซซัดโซเซเพราะอำนาจน่าสะพรึงแห่งยาเสพติด เหวี่ยงเก้าอี้เข้าซัดเพดานเรือนกระจกจนแก้วแตก
"แจ๊ะ แจ๊ดดดด!!!! ฮ้ากกกก!!!!!"ชะมดทั้งสองกรีดร้องสุดเสียงเมื่อร่างปราดเปรี่ยวเพรียวลมของมันหล่นลงมาจากที่สูงพร้อมด้วยพื้นที่ทำจากกระจกถล่มครืนลงมาอย่างรวดเร็ว เศษกระจกและเก้าอี้ร่วงใส่วงตะลุมบอนจนเห็นเลือดสาดกระเซ็นท่ามกลางควันที่เกิดจากการตีกัน เศษแก้วแหลมคมฝังลงไปในร่างของหลายๆคนและหลายๆตัวระหว่างที่พวกไม่เอาไหนกำลังซัดกันอย่างน่าอดสู ด็อกเตอร์เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เสียสติในวงตะลุมบอนนี้ เขาเข้าไปอย่างใจเย็นแล้วค่อยๆผลักโต๊ะให้ล้มทับชะมดตัวหนึ่ง ขอบโต๊ะอัดใส่ที่หัวของสัตว์ป่าเต็มๆจนมันดิ้นพราดๆราวกับหนูที่โดนกับดักหนูหนีบจนคอพับ
"แอ๊กกกก!!!!! แอ๊ แจ๊ดดดดด!!!!!!!!"เสียงของสัตว์ร้ายร้องแต่นั่นไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากกลุ่มคน สัตว์ สิ่งของ และอะไรก็ตามที่อยู่ในวงตะลุมบอนให้หยุดคลั่งได้ ทุกชีวิตต่างกำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างไม่สนใจว่าตัวเองกำลังโจมตีอะไร ฤทธิ์ของยาเสพติดช่างน่ากลัว มันทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ทรงเกียรติและสัตว์ป่ายอดนักล่ากลายเป็นไอ้บ้าที่ไม่รู้ดีรู้ชั่วที่กรีดร้องเหมือนเด็กที่พ่อแม่ไม่ยอมซื้อของเล่นให้ ชาติกำลังเอาลำกล้องปืนฟาดชะมดที่เกาะอยู่บนหลังกอล์ฟเยี่ยงผู้ป่วยโรคประสาท ในทางกลับกัน ตือกำลังจับขาหลังของอีเห็นตัวโตแล้วเหวี่ยงใส่พื้นกับขอบโต๊ะที่ล้มซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งๆที่เขาสามารถใช้มีดแทงได้ ไม่พอ ตือยังพยายามจับปากของชะมดที่กัดมือตัวเองอยู่แล้วดันหัวกับหางเข้าด้วยกันเหมือนกับจะทำหีบเพลงจากร่างของสัตว์ร้าย ผลคือมือของตือเลือดท่วมและชะมดตัวนั้นสันหลังหักคาที่
เป๊าะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ปะ ปั่ก เปรี๊ยะ กร๊อบ กึก เสียงกระดูกสันหลังและซี่โครงที่โดนบีบจนแตกทีละซี่ ทีละซี่ และทีละซี่ ช่างบาดใจกรีนพีซยิ่งนัก นี่เป็นหีบเพลงที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่ตือได้จับมาในชีวิต เสียงกระดูกหักไม่ช่วยให้ตือคืนสติสัมปัญชัญญะได้ แต่อาการบาดเจ็บจากการกระทำโง่ๆของเขาเร่งให้ชายอ้วนยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่ เขาโยนร่างโชกเลือดที่ไม่เหลือรูปเดิมของชะมดหีบเพลงใส่ผนังแก้วจนทะลุ ชะมดตัวนั้นหายใจรวยรินและดิ้นพราดๆเท่าที่สิ่งมีชีวิตซักชนิดที่โดนแรงอัดขนาดนั้นจะทำได้ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากปากเบี้ยวๆของมันจนนองเต็มพื้นดินแห้งผาก ปอดของมันแตกคาอกทำให้มันหายใจไม่ได้ มันดิ้นอยู่ไม่กี่ทีเหมือนกับปลาที่โดนสับหัวขาดแล้วแน่นิ่งไป ตือเองก็หมดแรงจากการทำแบบนั้นเลยล้มลงหอบหายใจบนพื้น บังโต๊ะที่หมวดเอกและแตงโมซ่อนอยู่ซะมิด ปกป้องคนเจ็บเดิมจากความบ้าคลั่งวุ่นวายภายนอก ในโรงเพาะชำที่ทุกคนต่างหมดสิ้นความเป็นคนเพราะพลังของเกษรหลอนประสาทที่ทำลายความรู้สึกนึกคิดและแทนที่เข้าไปด้วยสัญชาติญาณ เรือนกระจกนี้เหมือนกับเอาผู้ป่วยทั้งโรงพยาบาลบ้ามาติดอาวุธแล้วปล่อยในซัดกันเองห้องเดียวกันไม่ก็เกิดลมบ้าหมูในห้องนี้แล้วเอาสีทาบ้านทุกสีที่มีในโรงเก็บของสาดเข้าไปพร้อมน้ำมันก๊าดและจุดไฟ
"เราจะทำยังไงดีน้าาา"ด็อกเตอร์มองไปที่ความบ้าระห่ำรอบกาย เขาจะต้องหยุดมันก่อนที่ทุกคนจะฆ่ากันเองจนหมด พวกเขามีมีดทำให้การอาละวาดนี้น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าการต่อสู้กับชะมดเสียอีก ด็อกเตอร์พอรู้ว่าต้องทำยังไงในสถาณการณ์แบบนี้ เขาค่อยๆตะล่อมเข้าไปหาน้ำอ้อยที่กำลังขี่ชะมดอย่างสนุกสนานอยู่ เขาเข้าไปจับน้ำอ้อยแล้วลากออกมาจากชะมดที่เธอกำลังขี่อยู่
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ๋า วู๊ฮ่า!!!! ยี้ฮ่า!!!!"น้ำอ้อยที่กำลังเพี้ยนได้ที่หัวเราะร่วนอย่างบ้าคลั่งด็อกเตอร์เลยใช้ความที่ตนเองได้เปรียบด้านรูปร่างค่อยๆลากตัวเธอออกจากกลุ่ม ลิ้นของเธอคลายออกจากลำคอของชะมดแผงหางปล้องแล้วมันก็กลับเข้าไปตะลุมบอนในวงใหญ่ต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ด็อกเตอร์หันไปทางแท็งค์น้ำที่ใช้ใส่น้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ เขาลากตัวน้ำอ้อยไปตลอดทางด้วยแขนข้างเดียว แล้วเปิดวาลส์น้ำแล้วใช้สายยางที่เชื่อมกับแท็งค์น้ำฉีดใส่น้ำอ้อย วิธีปลุกประสาทคนเมา ถ้ามันไม่สำลักน้ำตายมันก็ตื่น แล้วน้ำอ้อยเป็นครึ่งกบร่างกายเลยถูกออกแบบมาให้คุ้นชินกับน้ำ ความเสี่ยงที่จะสำลักน้ำเลยน้อยที่สุด
"พรวด แค็ก แค็ก โอย ฉีดน้ำทำไมเนี่ย กำลังสนุก เอ๊ะ"น้ำอ้อยค่อยๆได้สติหลังจากที่โดนน้ำจากสายยางสาดจนชุ่มไปทั้งตัว ร่างที่เปียกปอนของเธอสะบัดไปมาเพื่อที่จะฟื้นคืนสติ จนเธอได้เห็นความวุ่นวายเบื้องหน้า ทุกคนกำลังอาละวาดกันอย่างมันส์มือ นอกจากสู้กับชะมดแล้ว เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้และคณะกำลังสู้กันเอง เนยถึงกับขึ้นไปขี่บนคอของกรอบแล้วกระชากคอเสื้อของเขาราวกับว่าตัวเองเป็นคาวบอยกำลังควบม้าทะยานทะเลทราย กอล์ฟกำลังกวัดแกว่งมีดไปมาเพื่อฟันดาบกับสมบัติที่ใช้ขาตั้งกล้องเป็นอาวุธ ชะมดตัวที่น้ำอ้อยเอาเสียมปักไหล่เองกำลังกระโดดงับแขนของชาติอย่างมันส์ปากขณะที่ตัวชาติเองนั้นก็ใช้ปืนฟาดที่ชะมดซ้ำๆแล้วเอาน้ำหนักของตนเองเข้าทับเหมือนกับว่าตัวเองเป็นนักมวยปล้ำสวมหน้ากาก ต้นถือกระถางต้นไม้แล้ววิ่งพล่านไปมาชนคนนู้นบ้างคนนี้บ้าง ซ้ำร้ายยังเอากระถางทุ่มใส่หัวตัวเองไม่หยุด ดอกบัวนั่นจะต้องเป็นวาระแห่งชาติแน่ๆหากหลุดออกไปยังโลกภายนอกได้
"น้ำอ้อย ปลดอาวุธทุกคนซะ เพื่อตัวพวกเค้าเอง"ด็อกเตอร์พูดก่อนที่จะเล็งสายยางฉีดน้ำไปยังฝูงชน ได้เวลาปราบจลาจลแล้ว จะคนหรือชะมดก็ต้องมีหัวร้างข้างแตกกันบ้างแหละ น้ำอ้อยพยักหน้า เธอกระโดดลัดเลาะไปตามซากโต๊ะอย่างระมัดระวัง แล้วใช้ลิ้นกบของเธอตวัดใส่มือของกอล์ฟเพื่อปลดมีดออกจากกำมือ กอล์ฟร้องเมื่ออาวุธในมือโดนแย่งชิงไปแต่เขาก็ไม่ได้อยู่เฉย เข้าตะลุมบอนต่อยตีด้วยกำปั้นและอะไรก็ตามที่คว้าได้ น้ำอ้อยค่อยๆเก็บอาวุธมีคมจากระยะไกลก่อนที่จะมีใครตาย
.
.
.
.
ด้านนอกโรงเรือนเพาะชำ ต่างจากด้านในที่ทุกคนทำตัวเหมือนคนบ้าระยะสุดท้ายที่ญาติเอาไปทิ้งไว้ตามโรงพยาบาล หมวดเอกจับมีดในมือแน่น ร่างกายทั้งตัวของเขา ประดับประดาไปด้วยรอยขีดข่วนและบาดแผลฉกรรย์ รายกัดและรอยข่วนมีเลือดสดๆไหลออกมาไม่ขาดสาย สัตว์ร้ายเบื้องหน้าเองก็สะบักสะบอมชอกช้ำไม่ต่างกัน ร่างกายลายพร้อยของมันชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงเข้ม รอยเท้าสีเลือดที่ประทับไปทั่วอาณาเขตแสดงถึงการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างหมวดเอกกับจ่าฝูงชะมดยักษ์ ทั้งคู่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน หมวดเอกหรี่ตาลง เลือดสดๆจากหัวของเขาไหลผ่านใบหน้า เจ้าสัตว์เดรัจฉานข่วนหน้าผากเขาเป็นรอยแผลหลายแผลตอนที่เขาสวนมันด้วยคมมีดที่ท้อง ชะมดจ่าฝูงส่ายหางคล้ายกับหางแมวของมันไปมา แยกเขี้ยว แล้วร้องด้วยเสียงน่าสมเพชของมัน แต่นั่นคือการเตือนก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่ หมวดเอกย่อเท้าลงเตรียมตั้งรับการโจมตีที่จะเข้ามา
"กรรร ฮ้ากกก!!!!"ชะมดอ้าปากกว้างจนน้ำลายและเลือดกระเซ็นออกจากปาก มันพุ่งเข้าใส่เหมือนลูกธนูด้วยความเร็วที่ไกล้เคียงกัน แต่ว่าหมวดเอกเองก็ไม่น้อยหน้า เขาเอียงตัวไปด้านข้างแล้วสวนการโจมตีนั้นด้วยหัวเขาเข้าตรงท้องอย่างจัง เสียงที่บอกได้ว่ามันจุกดังออกมาจากตัวชะมดร้ายแล้วหมวดเอกก็แทงมีดลงไปด้านหลังของจ่าฝูง มันร้องโหยหวนก่อนที่จะดีดตัวกลับมาข่วนหน้าอกของหมวดเอกและงับไหล่หมวดไปพร้อมๆกัน หมวดเอกเมื่อเข้าสู้ระยะประชิดเลยดึงมีดเพื่อกรีดหลังของมัน หมายจะทำให้มันเสียเลือดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ว่าการกระซวกหลังสัตว์ร้ายนั้นไม่เป็นไปตามแผนเพราะมีดดันไปติดอยู่ตรงซี่โครงทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ หมวดเอกเลยหักหาญสัตว์ร้ายลงด้วยกำลังที่เหนือกว่า เขาดึงร่างของชะมดออกจากไหล่แล้วทุ่มลงพื้น มีดที่อยู่ที่หลังยิ่งปักลึกเข้าไปอีกเมื่อได้รับแรงกระแทกจากพื้นดิน
"กรรรรร ฮว้ากกกก"มันส่งเสียงน่ากลัวแล้วดีดตัวกลับมาหมายจะสู้ต่อ หมวดเอกเมื่อไม่มีอาวุธแล้ว ถึงเวลาต้องใช้วิธีแบบสัตว์สู้กับสัตว์ หมวดเข้าเตะมันซ้ำที่ชายโครงเพื่อให้เสียหลักแล้วเอาศอกอัดหน้าของสัตว์ร้ายอย่างจัง มันเองก็ไม่ยอมโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ตวัดกรงเล็บใส่จนหมวดได้แผลนับสิบแผลในเวลาอันสั้น ดีที่แผลพวกนี้ไม่ลึกนัก หมวดเลยรวบคอของมันยอมให้กรงเล็บทำร้ายหมวดเพิ่มแล้วอัดหัวมันลงพื้น สัตว์ร้ายมึนงงอยู่ครู่หนึ่งซึ่งเปิดโอกาสให้หมวดเอกกระทืบเข้าที่คอยื่นๆของชะมดเช็ด นอกจากจะใช้ต่อมกลิ่นเช็ดแล้ว ตัวนี้เจ็บหนักจนขี้ราดออกมาเลยแหละ เสียงหายใจหอบและชีพจรแรงพอที่จะสัมผัสได้ผ่านร้องเท้าเดินป่า นั่นทำให้หมวดเอกกดน้ำหนักรองเท้าลงไปอีกเพื่อทำลายระบบหายใจของเป้าหมาย แต่ว่าชะมดฤทธิ์เยอะกว่าที่คิด มันดึงหัวของมันออกจากรองเท้าคอมแบ็ตได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะมันกัดขาของหมวดทำให้แรงกดหากมากเกินไปหมวดจะเจ็บมากด้วย หมวดเลยกดด้วยแรงไม่มากพอ สัตว์อสูรตัวนี้เลยหนีออกจากการโจมตีที่ครูฝึกทหารใช้สังหารพลทหารได้
"กรรรรร แฮ่"มันถอยออกมาแล้วมองหน้าหมวดเอกด้วยสายตาเคียดแค้น เลือดยังคงไหลรินออกมาจากปากเหวอะๆและใบหน้าชุ่มโลหิต มันแยกเขี้ยวขู่อยู่างดุร้ายสมกับเป็นสัตว์ป่าแห่งดินแดนนรกแตกแห่งนี้ ดวงตาของมันแวววามและเปล่งประกายน่ากลัว เสียงและท่าทางดูผิดแผกไปจากสัตว์ทั่วไป
"อือออ ว้ากกกกก"หมวดเอกเองก็ไม้น้อยหน้า ขู่กลับด้วยเสียงมนุษย์ สีหน้าของหมวดเอกตอนนี้แสดงออกถึงความบ้าคลั่งและความต้องการพิชิตศัตรูเบื้องหน้าแม้ว่าจะไม่มีอาวุธคู่ใจแล้วก็ตาม ชะมดตอนนี้ดูเหมือนกับได้เปรียบอยู่แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหมวดเอกจะกลัวศัตรูเบื้องหน้าเลย เขากำมัดแน่น มองหาอาวุธที่สามารถเอามาทดแทนได้ แต่ว่าเหมือนกับว่าชะมดจะรู้ว่าหมวดเอกคิดอะไรอยู่ มันย่อตัวลงแล้วกระโจนขึ้นกลางเวหา
"จ๊าดดดดดดด!!!!!!"เสียงร้องแหลมสูงสั่นประสาทของสัตว์ร้ายไม่ได้ฟังดูน่าขบขันอีกต่อไป เสียงนั้นเสียบเข้ามาในโสตประสาทของหมวดเอกจนขนลุก มันอ้าปากยื่นๆของมันจนสุด กางกรงเล็บเท้าหน้าเต็มที่แล้วใช้ความเร็วดุจสายลมกรรโชกของพายุพาร่างอันปราดเปรี่ยวเหมือนลูกศรของมันเข้ามาประชิดตัวหมวดเอกในเวลาไม่ถึงวินาที หมวดเอกเองก็ไม่มีทางเลือก ได้เวลาสวมวิญญาณสัตว์ป่าแล้ว
"ว้ากกกกกก!!!!!!"หมวดเอกส่งเสียงร้องดุจดั่งไวกิ้งทะยานเข้าสนามรบ กำปั้นที่แม้จะเต็มไปด้วยรอยบาดแผฟลและอาการบาดเจ็บจากการโดนกัดที่แขนของเขากระหน่ำชกใส่สัตว์ร้ายพร้อมๆกับที่มันพุ่งเข้ามาใส่ ร่างของหมวดเอกกระเด็นถอยหลังจากการเข้าปะทะกับอสูรกายแห่งพงไพร เสียงกรีดเนื้อและเสียงปะทะดังขึ้นไม่หยุด กำปั้นแข็งๆของหมวดเอกอัดเข้าที่ขมับของสัตว์ร้าย แล้วที่แก้ม ที่คิ้ว บนจมูก และที่ซอกคอ ในทางกลับกัน แขนและใบหน้าของหมวดเอกก็โดนกัดและข่วนแทบจะนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อและการตะกุยสุดชีวิตของจอมอีเห็น หมวดเอกจับมันเหวี่ยงลงพื้นแล้วกระทืบขาหน้าบางๆของมันอย่างรวดเร็วด้วยรองเท้าเดินป่าหนักอึ้งบวกด้วยดัชนีมวลกายของหมวด
"กร๊อบบบ!! ฮว้ากกกกกกกก!!!!!!!"จ่าฝูงชะมดตัวลายพร้อยกรีดร้องสุดเสียง ทำให้นึกถึงเสียงร้องของทหารที่โดนยิงแล้วไม่ได้มอร์ฟีนแก้ปวด กระดูกขาหน้าซ้ายของมันหักคารองเท้าสีดำ นอกจากเลือดที่หลั่งรินออกมาทั่วกาย นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่หมวดเอกได้เห็นชะมดร้องไห้ กระดูกหักๆและน้ำตาที่ไหลออกมาทำให้หมวดเอกทำหน้าเหวอ สมองของหมวดเอกเริ่มเฉื่อยชาลง
"นี่ นี่ชั้นทำอะไรลงไป"หมวดเอกพูดเสียงสั่น นี่หมวดทำอะไรเกินเลยไปหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพราะความโกรธทำให้หมวดลงมือกับชะมดตัวนี้แรงเกินกว่าที่ควรจะเป็น นี่เป็นการป้องกันตัว มันเองก็ทำร้ายหมวดเหมือนกัน แต่ว่า จากศักยภาพของมันแล้ว มันไม่น่าจะสร้างความเสียหายได้มากมายนักหากหมวดแค่กันมันออกไป แต่นี่ถึงกับหักขามัน เสียงในหัวของหมวดเอกสู้กันเองด้วยตรรกะ เหตุผล อารมณ์ อคติ ความรู้สึก และความนึกคิดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เบื้องหน้า เจ้าชะมดดิ้นพราดๆอย่างสิ้นลาย จากสัตว์ร้ายกระหายเลือดเมื่อครู่ บัดนี้เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่มีสภาพน่าอนาถและพิกลพิการ มันร้องโหยหวนไม่หยุด เลือดจากขาที่หักสาดกระเซ็นไปทั่วลานกว้างหน้าอาคารศูนย์วิจัยกลางป่า
"กรรรรร"มันส่งเสียงอีกครั้ง แล้วอาศัยจังหวะที่หมวดเอกเผลอพุ่งเข้าด้านข้างด้วยขาที่เหลือ3ข้าง แม้จะพิการแต่ว่ามันยังคงรักษาความเร็วได้ในระดับหนึ่ง ระดับที่มนุษย์ไล่ไม่ทัน มันกระโดดขึ้นโต๊ะแล้วเด้งตัวเข้ามาที่คอของหมวดเอกทันที หมวดเอกไม่ทันตอบสนองต่อการโจมตี มันเลยงับเข้าที่คอของหมวดเอกอย่างจัง เขี้ยวคมๆฝังลงไปในเนื้อคอของหมวดเอกแต่โชคเข้าข้างที่เขี้ยวของชะมดไม่ยาวและคมพอที่จะตัดเส้นเลือดใหญ่หรือหลอดลม แต่แค่พลังกัดก็ทำให้หมวดเอกคลั่งได้แล้ว
"อ้ากกกกกก!!!!! แก ตาย!!!!!"หมวดเอกเข้าสู่โหมดคลั่ง เขาบีบคอของชะมดเต็มกำมือแล้วดึงร่างผอมบางของสัตว์ร้ายออก แรงกระชากของหมวดเอกแรงพอที่จะทำให้มันยอมปล่อยขากรรไกรที่บาดเจ็บของมัน เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากคอของหมวดเอกอย่างหนัก หมวดรู้สึกมึนหัวและเหนื่อยหอบ แต่นั่นหยุดการต่อสู้นี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หมวดเอกจับเจ้าชะมดเข่าใส่ตรงหลังแล้วทุบหน้าอกที่ปกคลุมด้วยขนสีเทาอ่อนของมัน ตามด้วยกำปั้นนับไม่ถ้วนบนร่างกายและใบหน้าของสัตว์ร้าย เมื่อมันลงไปอยู่บนพื้น หมวดเอกก็เตะและเหยียบมันอย่างไม่ยั้งจนมันต้องร้องออกมาอย่างรวดร้าว สติของหมวดเอกไม่เหลืออีกแล้วเพราะอารมณ์โกรธอันเกิดจากความบาดเจ็บเข้าครอบงำ จริงๆแบบนี้เรียกได้ว่าบ้าเลือดเลยก็ได้ เขาเป็นเหมือนเดรัจฉานในร่างคนที่ไม่หยุดต่อสู้จนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะสิ้นใจ จิตวิญญาณของฆาตกรเข้าสิงหมวดเอกอย่างเต็มที่ และนั่นไม่ใช่ภาพที่น่าดูเลย
"ตายยยยย!!!!!"หมวดเอกร้องแล้วเตะเข้าที่ใบหน้าของชะมดแผงหางปล้องอย่างแรง จนมันกระเด็นออกไป กลิ้งหลุนๆและแน่นิ่งอยู่กับพื้น เสียงแผ่วเบาของสัตว์ร้ายดังออกมาจากร่างกายอันรวดร้าว มันพยายามดิ้นและกระโดดเพื่อถอยออกจากศัตรูร้ายเท่าที่จะทำได้ แต่หมวดเอกไม่หยุด แต่แล้ว อยู่ๆหมวดเอกก็ทรุดลงต่อหน้าต่อตาชะมดลายพร้อยตัวนั้น การเสียเลือดมากจากการต่อสู้ทำให้ความดันโลหิตตกส่งผลต่อการควบคุมสติและร่างกาย หมวดเอกเสียเลือดจนถึงขีดจำกัดแล้ว เจ้าชะมดเห็นดังนั้นจึงถอยออกไปก่อนที่จะย่อตัวลงด้วยขากะเพลกๆและร่างกายชุ่มเลือด เสียงขู่ในลำคอดังออกมาให้ได้ยินผ่านปากเหวอะหวะและหน้าตาฟกช้ำ มันหรี่ตาลงแล้วเริ่มลืมตาขึ้นทีละน้อย สัตว์ร้ายเตรียมเข้าโจมตีอีกครา และคราวนี้มันมั่นใจว่าชัยชนะจะเป็นของมัน
"ฮว้ากกกกก!!!!!!"มันกู้ร้องก้องกังวาน ขนหยาบฟูๆของมันที่เต็มไปด้วยลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ปลิวสไหวไปตามแรงลม จริงๆก็มีหลายกระจุกที่หลุดจากคมมีดของหมวด ร่างกายโชกเลือดสะบัดไปมาก่อนที่มันจะพุ่งเข้าชาร์จ ความเร็วของมันตกลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่ายังเร็วพอที่จะเข้าทำร้ายหมวดเอกที่ตอนนี้แทบจะคุมสติเลือนรางของตนเองไม่อยู่ ทันใดนั้น ก็มีลำแสงสาดส่องออกมาจากแมกไม้ เหมือนสวรรค์โปรด แสงนั้น เสียงนั้น มันทำให้พญาชะมดแห่งป่าดงดิบหยุดการเคลื่อนไหวด้วยความประหลาดใจ มันไม่เคยพบเจอหรือเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน หรือจะคิดวิธีตอบโต้กับสิ่งนั้นได้ทันเวลา
"โครมมมมม!!!!!"เสียงปะทะอันโหดร้ายดังขึ้นอย่างฉับพลัน วัตถุอันคุ้นตาพุ่งทะยานออกมาจากแมกไม้เขียวขจี พุ่งเข้าอัดร่างของสัตว์ร้ายด้วยความเร็วสุดระห่ำ เจ้าชะมดนั้นสิ้นใจทันทีที่วัตถุสังหารนั้นเข้าปะทะกับร่างกายที่บอบช้ำสุดสาหัสของมัน ร่างของมันปลิวขึ้นไปบนท้องนภาเข้ากระแทกผนังของอาคารจนผนังสีเขียวของศูนย์วิจัยกลายเป็นรอยเลือดตามการปะทะ ร่างกายที่ไร้วิญญาณอ่อนยวบยาบหล่นลงบนพื้น ไม่มีแม้แต่การขยับหรือเสียงร้อง นักล่าสายความเร็วสิ้นชีวิตลงอย่างแน่นอน ลมวูบใหญ่พัดผ่านร่างที่ไร้เสียงหัวใจเต้นของจ่าฝูงชะมดเสมือนกับยาทูตเข้ามารับดวงวิญญาณของมัน ขนฟูๆปลิวไปตามลมอยู่2-3ทีแล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเลย วัตถุที่เข้าสังหารพญาอีเห็นนั้นก็เข้าตีวงรอบๆร่างกายอันบอบช้ำของหมวดเอก มันหยุดลง ควันที่เกิดจากล้อแข็งๆสำหรับเดินป่าและฝุ่นดินที่คละคลุ้งจางลง เผยให้เห็นรถจี๊ปสีเขียวขี้ม้าพร้อมคนขับที่มีซาตานเป็นผู้สอนขับรถให้
"ไงหมวดเอก สภาพดูไม่ได้เลยนะพ่อจอมอึด รู้มะ ปืนก็เจ๋งดีนะ แต่ว่าถ้าผมจะฆ่าตัวอะไรซักอย่าง ขับรถชนให้ตายคากันชนมันส์กว่าเยอะ"คนขับหันหน้าแหลมๆใต้หมวกแก๊ปมาหาหมวดเอก เขายิ้มด้วยรอยยิ้มที่คนเมารถทุกคนต้องร้องขอชีวิต บนรถก็เต็มไปด้วยสมาชิกหมู่หอยแครงลวก หมวดตะวันเองก็มีสภาพเหมือนกับเจอสารพัดสัตว์ประหลาดมาไม่ต่างจากหมวดเอก สมาชิกคนอื่นๆอีก4คนบนรถมองสถาณที่แห่งวิทยาศาสตร์ที่ซุกซ่อนอยู่ในป่าดงพงไพรด้วยความอึ้ง ทึ่ง เสียว พวกเขามองร่างที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการฆ่าฟันของหมวดเอกด้วยความเหลือเชื่อ และนอกจากนั้น เขายังมองการตะลุมบอนที่ส่งเสียงเหมือนเด็กกำลังอาละวาดในวันสุดท้ายของการเรียนเทอมนั้นๆ ซากชะมดและคนหลายๆคนที่ปลิวออกมาจากเรือนกระจก แต่ละคน สภาพดูไม่ค่อยเหมือนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ผู้ทรงเกียรติเท่าไหร่เลย
หน้ารถจี๊ปเต็มไปด้วยร่องรอยการสังหารสารพัดสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่ารัก ปลิงหงอนจากหนองน้ำตัวหนึ่งโดนความร้อนจากเครื่องยนต์ย่างจนตายคากันชน นอกจากนั้นยังมีร่องรอยของรากกาฝากหมู เศษขาและหนวดของมดดำยักษ์ที่ป่าต้นไม้ตาย และคราบเลือดของชะมดที่พึ่งชนจนปลิวไปเมื่อกี๊นี้ ต้องยอมรับว่าปกติแล้วไม่ค่อยมีคนสนทรัพย์สินสาธารณะเท่าไหร่หรอก แต่ในกรณีของจิงโจ้เนี่ย พนันได้เลยว่าหมวดดนัยแห่งหมู่ลิงละลาย(ต้นสังกัดของจิงโจ้)คงต้องเป็นคนจ่ายค่าซ่อมก็คราวนี้แหละ
"เฮ้ย แคก แคก แฮะ ขึ้น แคก แฮก แฮก รถ"หมวดเอกพยายามจะเรียกสมาชิกร่วมหมู่และผู้ติดตามคนอื่นๆกลับมา แต่ว่าพวกนั้นดูเหมือนกับว่ากำลังอาบน้ำอยู่ในโรงเพาะชำอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่ชาติก็ไม่น่าจะเพี้ยนได้ขนาดนั้น
"มาแล้ววว"เสียงอ่อยๆดังออกมาจากเรือนแก้วหลังน้อยที่พังย่อยยับ
ไอ้ตือที่มีรอยปูดเต็มหัวและรอยแผลจากมีดที่แขน มือข้างหนึ่งของชายอ้วนน้ำหนักเกินมีรอยกัดหลายครั้งจนยับเยินชุ่มโลหิต มืออีกข้างลากหมู่โบกี้ที่โชกเลือดและอยู่ในสภาพเยินแผลแบบไม่เหลือสภาพคอเหล้าขาคุยประจำหมู่
กอล์ฟเดินออกมาพร้อมด้วยเครื่องแบบที่ฉีกขาดและหน้าตาที่เหมือนกับโดนฟาดกับโต๊ะมา แขนมีรอยฟกช้ำ หัวมีรอยหัวโนขนาดใหญ่ที่มีผงกระเบื้องสีส้มแดงติดอยู่ เลือดไหลออกมาเล็กน้อย
ชาติเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่ ตาปูด แขนมีรอยกัดและร่างกายเปื้อนดินร่วนกับปุ๋ย บนหลังของเขามีกระจกหลายแผ่นปักอยู่
กรอบก็ฟกช้ำดำเขียวแถมมีรอยโดนรัดคอด้วย เขาเองก็มีเศษกระจกทิ่มหน้าอยู่ ดีที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่ แถมเสื้อเครื่องแบบเขามีรอยรองเท้าเต็มไปหมด ที่ขามีรอยเหมือนโดนกัด
จ่าปลาเองก็มีรอยกัดหลายที่โดยเฉพาะที่ขา รองเท้าข้างซ้ายหายไป คาดว่าโดนชะมดเอาไปเคี้ยวเล่นซะแล้ว หน้าเธอเหมือนโดนนักเลงคุมบาร์รุมซ้อมและที่แขนมีรอยเหมือนโดนฟาดหลายจุด มีเศษกระจกติดเต็มผมจนเมื่อเดินออกมาโดนแสงอาทิตย์แล้วดูเหมือนมีกากเพรชติดหัว
ต้นอยู่ในสภาพที่ไม่น่าเชื่อว่ายังรอดมาได้ กระถางต้นไม้สีแดงส้มที่แตกครึ่งนึงติดพร้อมดินและต้นไม้เหี่ยวๆติดอยู่บนหัวชุมเลือด แบบที่ยังหยดติ๋งๆเลย เขามีร่องรอยโดนข่วนและกัดอยู่บ้าง มือมีรอยโดนกระจกบาดและไหล่มีรอยโดนฟาดด้วยของแข็ง
เนย อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แขนเต็มไปด้วยรอยกระจกและตาเขียวไปข้างนึง ขามีรอยกัดและแขนมีเศษกระจกติดอยู่ ผมเผ้ารุงรังเหมือนรังนก เสื้อมีเศษดินติดอยู่เต็มไปหมด
สมบัติ ดูแล้วบาดเจ็บเล็กน้อย มีร่องรอยแผลถลอก หน้ามีรอยรองเท้าติดอยู่ หน้าตาเบลอๆเหมือนเกษรมฤตยูยังไม่หมดฤทธิ์
น้ำอ้อย เธอบาดเจ็บน้อยกว่าใครเพราะความเร็วที่เหนือกว่าและการที่เธอขี่ชะมดเป็นหลัก จริงๆมีรอยกระจกบาดและรอยโดนตีนิดหน่อย ลิ้นค่อนข้างเจ็บเพราะเอาไปใช้ผิดประเภท
ด็อกเตอร์ ปกติดี มีตัวเลอะอยู่บ้างแต่ว่าร่างกายไม่บาดเจ็บอะไรเพราะตั้งสติได้ไม่เหมือนคนอื่นๆที่ยกพวกตีกันเหมือนกับคนบ้า เขาแบกน้ำอ้อยที่ยังคงอยู่ในสภาพสาหัสจากการต่อสู้กับDP-026มาอย่างโชกโชน
ทุกคนตัวเปียกกันถ้วนหน้าเหมือนพึ่งเล่นน้ำสงกรานต์มา แถมยังมีกลิ่นฉุนของน้ำมันจากก้นชะมดติดเต็มตัวอีก เชื่อเขาเลย
"ถามจริงเหอะเอก นี่แกมีลูกทีมเป็นวุ้นมะพร้าว ลูกอ๊อดโตเกินขนาด แล้วก็ ตาแก่ใส่ชุดกันฝนเนี่ยนะ แล้ว นั่นกรอบมันอยู่หมู่กะเพราะทมิฬไม่ใช่เหรอ ทำไมมาอยู่กับพวกแกวะ แล้วไอ้ตรงนั้นมันใครหน่ะ เดี๋ยวนี้เอาชาวบ้านมาร่วมคณะด้วยเหรอ เชื่อเขาเลย"หมวดตะวันเอามือลูบหน้าตัวเองแล้วส่ายหัว เขามองมาที่แต่ละคนด้วยสายตาผิดหวัง แม้ว่าที่เขากำลังมองนั้นจะเป็นลูกทีมของหมวดเอกแต่ว่าพอได้เห็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ผู้ที่ควรจะทำตัวให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์แห่งพงไพรกลับมาทำตัวเหมือนผู้ป่วยจิตเภท น่าผิดหวังจริงๆ
"เออ แค็กๆๆ แล้วตะวันมาทำไรที่นี่ โคลกๆ อาาา"หมวดเอกร้องแล้วถามกลับ พยายามจะคุมสติให้อยู่ ไอ้กอล์ฟกับชาติก็เข้ามาพยูงร่างกายอันบอบช้ำของหมวดเอกก่อนที่จะล้มลง สภาพของหมวดเอกเหมือนผู้ป่วยหอบหืดเรื้อรังที่พึ่งซัดกับหมาจรจัดซักฝูงมา ทั้ง2สหายค่อยๆพาร่างกายอันบาดเจ็บจากการเข้าต่อสู้อย่างกล้าหาญของหมวดเอกขึ้นรถ โดยวางไว้บนตักหมวดตะวัน
"ไม่เห็นต้องถาม สารวัตรเห็นว่าพวกแกไม่กลับมาครบ3วันก็เลยส่งพวกเรามาทำภารกิจแทน พวกชั้นตอนแรกไม่รู้ว่าแกไปนั่่งๆนอนๆหรือทำอะไรที่ไหน แต่ว่า ตอนเข้าป่าเราดันเจอถนนทางลับที่มีคนแอบสร้างไว้แล้วเอาอะไรมาพรางเข้า ก็เลยขับรถเข้าป่ามันซะเลย เนี่ย ถ้าไม่ได้ฝีมือการขับรถระดับจิงโจ้ ผมก็คงมีสภาพไม่ต่างจากหมวดเอกอ่ะ เจอแต่ตัวบ้าอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ว่าแต่ รวบรวมหลักฐานเป็นยังไงบ้าง ถ้าครบแล้วจะได้กลับเลย"หมวดตะวันพูดก่อนที่จะเดินโซซัดโซเซลงมาจากรถพิโรธถนนโลกันต์ ตามคาด ใครก็ตามที่มีชีวิตรอดจากฝีมือการขับระดับซาตานกุมขมับของจิงโจ้ต้องทรุดตัวลงกับพื้นทุกรายไป ตอนนี้หมวดตะวันลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นแล้วเริ่มอ้วกไม่หยุดราวกับไฮโดรปั๊ม
"แล้วนั่น หมวดแกทำไมมีผู้หญิงด้วยฟระ แถมใส่รองเท้าแค่ข้างเดียวด้วยแล้ว คุ้นๆนะเนี่ย"หมู่ไก่หันมาพูดกับจ่าปลา ทำหน้างงงวยเนื่องจากผ่านถนนแห่งป่าดงอันเต็มไปด้วยความน่าหวาดเสียวนานับประการ จ่าปลาที่มองขาข้างหนึ่งของตัวเองไม่มีรองเท้าบู๊ตคอมแบ็ตอยู่ก็มองหารอบๆแต่ว่าเธอก็ไม่ใส่ใจนัก
"ซินเดอร์เรลล่าอ่ะ รู้จักป่าว"จ่าปลาพยายามทำท่าน่ารักแม้ว่าหน้าของเธอจะเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นสภาพของเธอก็ดูดีกว่าคนอื่นๆที่หัวปูดหน้าแตกกระถางติดหัวในระดับหนึ่ง
"ซินเดอเรลล่าเค้าใส่รองเท้าแก้ว รองเท้าทหารแบบนี้เนี่ย ฮิตเลอร์เรลล่า"หมู่โบกี้แซว ทั้งๆที่อยู่ในสภาพแทบเดินไม่ได้แถมเลือดอาบทั้งตัว แต่พ่อหนุ่มหนวดงาม(เหรอ)ยังคงมีอารมณ์มาเล่นมุขตลกกระตุ้นดราม่าอยู่ จ่าปลาทำหน้าหงิกเล็กน้อยแต่ว่าตอนนี้เธอเหนื่อยเกินกว่าที่จะมาถือสาเอาเรื่องเอาราวกับคนอย่างหมู่โบกี้ เธออัดเข้าไปบนรถจี๊ปเหมือนกับคนอื่นๆ พยายามไม่ให้บาดแผลกระแทกโดนอย่างอื่นเพราะมันแสบ
"และแล้ว นางฟ้าแม่ทูนหัวก็เสกรถถังแพนเซอร์ขึ้นมาจากฟักทอง ให้ฮิตเลอร์เรลล่าได้ไปงานเต้นรำประจำปีของพรรคน้าศรี กร๊ากกกก ว๊ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ มุขได้ว่ะหมู่โบกี้ ต้องอย่างนี้เซ่ มุขเด็ดสื่อไม่ปลื่มสไตล์กี้ของแท้"ไอ้ด้วง หนึ่งในสมาชิคหมู่หอยแครงลวกบอกแล้วคนอื่นๆบนรถที่ยังสามารถขำได้ก็หัวเราะกันยกใหญ่ แม้แต่สองนักข่าวเองก็ยังหัวเราะร่า ไม่จบแค่นั้น แม้ว่าจะพึ่งรู้สึกตัวจากมนตร์มายาของพญาบัวหลอนประสาท พวกเขาก็ยังถ่ายคลิปสำหรับสกู๊ปเด็ดของตนได้อยู่ อันนี้สำหรับรายการตลกมุขควายส่ายหน้า
"แค็กๆๆ เอาเป็นว่าหมู่เรารู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น หุบเขานี้มีสารที่ใช้ในการดัดแปลงพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตรั่วไหลเนื่องจาก แฮกๆๆ มีนักวิทยาศาสตร์บางคนแอบมาทำเรื่องเนิร์ดๆอยู่ที่นี่ แล้วมีไอ้บ้าห้าร้อยหนึ่งโขยงบุกมาเอาเครื่องยิงรังสีมันไป แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราเป็นพวกใจแคบก็เลยยิงคอปเตอร์มันตก แล้วสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ เฮ้อ แค็กๆๆ นี่เราได้หลักฐานเพียบ และที่ดีที่สุดเราได้พยานบุคคลมาด้วย แม้ว่าที่ยังเป็นคนจะเหลืออยู่หน่อเดียวก็เหอะ"หมวดเอกตอบหมวดตะวันแล้วหันหน้าไปทางด็อกเตอร์ที่มีแตงโมสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนหลัง
"ด็อกเตอร์ต้องมากับเรา และต้องอธิบายเรื่องทั้งหมดด้วย"หมวดเอกพูดไปทางด็อกเตอร์และส่งสายตาคาดคั้นไปทางนักวิทยาศาสตร์ชรา ซึ่งด็อกเตอร์เองก็เหนื่อยและอ่อนแอเกินกว่าที่จะขัดขืนเหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้และผู้ติดตามโขยงใหญ่ได้ การเอาตัวรอดจากสัตว์เลี้ยง ไม่สิ สัตว์ทดลองตัวล่าสุดของเขาทำเอาเหนื่อยสุดขีด ยังไม่รวมมหกรรมกาแฟขี้ชะมดที่เกิดขึ้นอีกนะ
"ดี ขึ้นรถให้เรียบร้อย เราจะกลับแล้ว เอ๊ะ ว่าแต่ กรอบมากับพวกนายด้วยแสดงว่าพวกนายเจอพวกกะเพราทมิฬสินะ"หมวดตะวันถาม แล้วหันไปด้านหลังรถจี๊ป ซึ่ง เต็มไปด้วยสารพัดคน สัตว์ และ ทั้งสองอย่างรวมกัน เขาเริ่มเสียวว่ารถจะวิ่งไปได้มั้ยนั่นหนะ โหลดคนอย่างเยอะ หยั่งกับรถขนคนงานก่อสร้างที่โหลดคนเกินขนาด
"เราเจอพวกกะเพราทมิฬที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งตรงหนองเห็ดกระสือ พวกนั้นเสียอาวุธไปเป็นส่วนใหญ่แล้วก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เผอิญโชคร้ายไปบวกกับหมูป่าเข้า"จ่าปลาตอบ ซึ่งหมู่หอบแครงลวกก็เริ่มทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่แล้วก็ต้องคิดอีกว่าจะโหลดคนเพิ่มบนรถที่อัดแน่นแบบนี้ได้อีกเท่าไหร่ รถจี๊ปคันนี้ออกแบบมาให้นั่งได้8คน ตอนนี้ก็มี19คนกับอีกตัวนึง แต่ละรายเลยนั่งซ้อนกันเป็นคอนโด แถมนอกจากซ้อนกันและอัดกันจนหายใจแทบไม่ออก บางคนต้องโหนไปแทนที่จะนั่งไป
"ครืนนนนน"เสียงประตูโหละสีน้ำเงินโคโบลต์ในเรือนกระจกเริ่มมีการขยับ หมู่หมูมะนาวทุกคนหันไปมองด้วยสีหน้าเหมือนกับเห็นผีกลางวันแสกๆ เงาสีดำๆนั้นช่างดูคุ้นตา มันทำให้หัวใจของหมวดเอกและพรรคพวกแทบจะหยุดเต้น
"นั่นอะไรหนะ"หมวดตะวันหันไปมอง สิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกประหลาดค่อยๆเดินออกมาจากอาคารทรงครึ่งวงกลมที่ซ่อนอยู่ในผืนป่าแห่งนี้ เหล่าชะมดที่ยังอยู่ในเรือนกระจกส่งเสียงขู่คำรามใส่ผู้มาใหม่ แต่ว่ามันไม่ได้มีอาการเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
"ถ้าจ่าเป็นซินเดอเรลล่า นั่นแหละแม่เลี้ยงใจร้าย"จ่าปลาตอบสั้นๆ หน้าตาเธอตื่นกลัวสุดขีด
"หนี เดี๋ยวนี้เลย"หมวดเอกบอกจิงโจ้ด้วยสีหน้าที่เพียงแค่มอกก็รู้เลยว่าเจ้าสิ่งที่ออกมาจากอาคารหลังนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน และอย่างที่ว่า ไม่มีใครอยากปะทะกับใครหรืออะไรอีกต่อไปแล้ว สีหน้าของหมวดเอกซีดลงเรื่อยๆเนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัส ชีวิตของหมวดเอกและอีกหลายๆคนตกอยู่ในภยันอันตรายใหญ่หลวงเนื่องจากการเสียเลือดมากและพวกเขาต้องพึ่งหมอโดยด่วนมิฉะนั้นวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของพวกเขา จะมาเสียเวลากับการต่อสู้กับอสูรกายแห่งห้องทดลองไม่ได้เด็ดขาด
ไม่ต้องให้พูดซ้ำอีกรอบ จิงโจ้ปลดปล่อยวิญญาณนักแข่งรถF1ในตัวออกมาให้ปวงประชาได้ประจักษ์ รองเท้าบู๊ตเดินป่าของเขาเหยียบลงไปที่คันเร่งอย่างไม่เกรงใจหน่วยบำรุงยานยนต์เลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยน้ำหนักของสารพัดสิ่งมีชีวิตที่แออัดยัดเยียดอยู่บนรถจี๊ปเก่าๆคันนี้ ความเร็วของยานพาหนะคันนี้ลดลงอย่างน่าใจหาย แต่ถึงอย่างนั้น รถคันนี้ก็เข้าสู่เขตป่าเห็ดในเวลาไม่กี่อึดใจ
"กรรรรร!!!!! โฮกกกกกกกกกกกก!!!!!!!"อสูรกายที่ถือกำเนิดจากวิทยาศาสตร์ หนูทดลองตัวล่าสุดของด็อกเตอร์ แอนโทนี่ เจลโล่ เจ้าDP-026 คำรามอย่างโกรธแค้นสุดขีด ดวงตาของมันเปล่งประกายไปด้วยความกระหายสงคราม แม้ว่าแสงแรงกล้าอย่างเซอร์ราวด์ช็อตของเนยจะสาดใส่ดวงตาของมันเต็มๆ แต่ว่าตอนนี้มันฟื้นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าสัตว์อสูรครึ่งเสือครึ่งหนูตัวนี้จะรอดจากพลังของระเบิดเจลลาตินออกมาได้ แต่ว่าเท่าที่ดู ร่างกายของมันก็บาดเจ็บสาหัสหน้าดูชม ขนหลายส่วนบนร่างของมันมีรอยไหม้จากเปลวเพลิงแห่งการระเบิด ผิวถลอกปอกเปิกและมีแผลลึกนับไม่ถ้วนทั่วกายจากคมมีดและการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของหมู่หมูมะนาว หน้าอกของมันยุบผิดรูปแสดงถึงซี่โครงที่หักและอาการบาดเจ็บจากการโดนตู้สารเคมีโลหะทับเต็มๆ ไม่เพียงแค่นั้น หลายส่วนบนร่างกายที่ทรุดโทรมและโชกเลือดของมัน ยังมีร่องรอยของการโดนกรดและสารเคมีทำร้าย ถ้านี่เป็นคนทั่วไปคงตายไปนานแล้ว แ่ต่ความอึดของหนูนั้นไม่ใช่เรื่องที่สามารถล้อเล่นได้เลยจริงๆ ยิ่งเป็นหนูที่เพาะพันธุ์มาเป็นพิเศษเพื่อลองยาแล้วยิ่งต้องคัดสายพันธุ์ดีๆ
บัดนี้ชะมดที่เหลืออยู่อีก3ตัวกำลังล้อมผู้มาใหม่ด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร มันส่งเสียงขู่ในลำคอแล้ววนไปรอบๆร่างอันบอบช้ำของพญามุสิกวิจัย แต่อีเห็นผอมกะหร่องพวกนี้ท่าทางจะสู้กับสิ่งมีชีวิตทดลองที่ดูเหมือนกับหลุดออกมาจากนรกไม่ได้ แต่พวกมันน่าจะถ่วงเวลาให้คณะหลบหนีออกจากดินแดนมรณะแห่งนี้ได้ ไม่มีใครรอดูผลมวยคู่เดือด ทุกคนที่อยู่บนรถจี๊บได้แต่ภาวนาให้อสูรกายจากฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุดนี้ล้มเลิกการไล่ล่านี้ รวมถึงภาวนาให้รถไม่ดับกลางคันด้วย
"จิงโจ้ เหยียบให้มิด แล้วอย่าหยุดจนกว่าเราจะไปถึงหนองเห็ดกระสือ"หมวดตะวันสั่งแล้วพลขับสายพันธุ์เดือดก็เหยียบคันเร่งส่งให้สมาชิกหมู่หมูมะนาวและหอยแครงลวกบวกผู้ติดตามทั้งหลายให้เด้งไปมาเหมือนกับนั่งรถไฟเหาะสุดโหด เพียงแต่ว่าคราวนี้เดิมพันคือชีวิตคน นอกจากชีวิตคนแล้ว หากเราไม่รอดกลับไปบอกข่าวให้กับหน่วยเหนือทราบ ป่านี้จะผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว และย่อยยับลงอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าภาคภูมิจะเป็นเพียงหนูเชื่องๆเทียบกับสิ่งที่หมวดเอกจินตนาการไว้ว่าหากปล่อยให้สารเคมีของด็อกเตอร์รั่วไหลอีกซักปีจะเป็นยังไง
"ช่าย เป็นนักซิ่งอย่างที่นายอยากเป็น และต้องเป็นเดี๋ยวนี้"หมู่โบกี้ตอบ เขาเองก็เริ่มเมารถเนื่องจากฝีมือการขับเหมือนกับฝึกมาจากดินแดนมหัศจรรย์ แต่ว่าเขายอมเมารถดีกว่ากลายเป็นศพไร้ญาติที่ถูกลืมและสูญหาย โดนผืนป่าอันโหดร้ายนี้กลืนกิน จนไม่มีใครจำได้ว่าเขามีตัวตนอีกต่อไป นั่นคนจะเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่คนๆนึงจะเจอได้ แต่พอหันไปมองน้ำอ้อยแล้ว หมู่ขอถอนคำพูด แต่อย่างว่าแหละ ที่นี่คือป่าของผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ผู้ที่ถูกลืม ที่มาของชื่อป่าลืมเลือน ไม้กางเขนหยาบๆและผ้ายันต์ซีดๆ อนุสรณ์ของความฝันที่ถูกทำลายและความยุติธรรมที่ไม่มีจริง
"ฮว้ากกกกกกก!!!!!!!!"เสียงกรีดร้องสั่นประสาทที่ดังออกมาจากทางอาคารวิปโยค เสียงของชะมดแผงหางปล้องที่น่าจะโดนจอมอสูรกายสังหารเรียบร้อย เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว เสียงของสัตว์ปีศาจช่างคุกคามน่ากลัว แม้ว่าเราจะมีจำนวนมากกว่าอย่างเทียบไม่ติด แต่ไม่ต้องเดาเลยว่าหากสู้กันจริงๆ มันล้มทุกคนบนรถคันนี้ได้พร้อมๆกันอย่างไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเรากระจอกงอกง่อยอะไรอย่างนั้นหรอกนะ แต่ถ้าไม่มีอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพอย่างปืนสงคราม มันแสดงให้เราเห็นแล้วว่าความแข็งแกร่งของมันไปได้ถึงขนาดไหน โอกาสที่จะล้มมันแทบไม่มี
"เอาแล้วไง นี่พวกเรายังยับไม่พออีกเหรอ"ไอ้กอล์ฟพูด เสียงโหยหวนชวนขนลุกที่ก้องกังวานไปทั่วหุบเขาแห่งความแปดเปื้อนและชั่วร้าย เสียงนั้นสะท้อนไปมาในอากาศเหมือนเสียงหมาป่าหอนยามพระจันทร์เต็มดวงขึ้นสู่ฟากฟ้า เหมือนเสียงแตรศึกของนักรบแห่งแดนเหนือก่อนที่จะบุกถล่มโจมตีทุกอย่างที่พวกมันสัมผัสได้ เหมือนคำสั่งสังหารของจอมทรราชที่ปกครองดินแดนด้วยกำปั้นเหล็ก เหมือนเสียงกรีดร้องยามค่ำคืนของยมทูตที่ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงสันประสาทนั้นจะต้องตายในเร็ววัน ช่างเข้ากับบรรยากาศอันน่าสิ้นหวังของดินแดนแห่งเห็ด สถาณที่ของผู้ที่ฝันให้ไกลไปไม่ถึง ต้องพาตนเองและครอบครัวมาพบจุดจบยังป่าลึกที่ไม่มีใครรู้
"หนูกลัว"น้ำอ้อยเกาะหลังจ่าปลาแน่น หางลูกอ๊อดของเธอหดงอเข้าไปอยู่ระหว่างขาอย่างไม่รู้ตัว ร่างของเธอสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เจ้าฟองดูเองก็มีอาการแบบเดียวกัน มันส่งเสียงหงิงๆอย่างช่วยไม่ได้
"พี่สาวเองก็กลัวจ่ะ"จ่าปลาตอบ สายตาของเธอเหม่อลอย เธอจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่แน่ๆ แต่ว่าความคิดนั้นเริ่มเลือนลางลงเมื่ออสูรร้ายปรากฎกาย พละกำลังมหาศาลและความเร็วที่เหลือเชื่อ ความอดทนเป็นเลิศและความเฉลียวฉลาดที่เหนือกว่าสัตว์ทั่วไป มันไม่ใช่อะไรที่สามารถต่อกรได้เลยในสภาพแบบนี้
บัดนี้รถจี๊ปที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารเต็มคันรถกำลังจะออกไปจากป่าเห็ดอันน่าระทมหดหู่ เห็ดต้นแล้วต้นเล่า สัญลักษณ์ของความเน่าหนอนและความโหดร้ายของธรรมชาติ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ และ ความตายที่หล่อเลี้ยงชีวิตใหม่ๆให้บังเกิด เห็ดเริ่มบางตาลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับความชื้นในอากาศ ความรู้สึกหดหู่ เศร้าศร้อย และหวาดกลัวลดลง แต่เสียงคำรามของนักล่า ยังคงก้องกังวาน ปีศาจร้ายกำลังไกล้เข้ามาทุกๆที
"พ้นป่าเห็ดแล้ว เตรียมเข้าสู่แนวหุบเหวเดือนดับ ระวังหมีด้วย"จ่าปลาตะโกนบอกจิงโจ้ซึ่งกำลังเหยียบคันเร่งอย่างสนุกตีน เห็ดค่อยๆหายไปจากสายตา และต้นไม้ใหญ่ค่อยๆมาแทนที่สิ่งมีชีวิตผู้ย่อยสลายเหล่านั้น กลิ่นสาบของสัตว์ใหญ่ นี่ไม่ใช่ลางดีแน่ เราอยู่ในอาณาเขตของเจ้ามากมาย และมันยังคงต้องการปิดบัญชีแค้นกับเรา
"กรรรรร"เสียงของสัตว์ร้ายค่อยๆดังขึ้นอีกครั้ง เสียงนี้คุ้นหูมากด้วย และก็เป็นไปตามคาด มากมายอยู่ที่นี่ มันกำลังพังรวงผึ้้งกินอย่างเอร็จอร่อย แต่ว่าการมาเยือนของเราทำให้มันหยุดกินของโปรดของมันในทันที มันหันหัวจำนวนหนึ่งมาทางเดอะหมูแอนด์หอยยูไนเต็ด แล้วขยับตัว ทุกคนบนรถจี๊ปหน้าซีดอย่างช่วยไม่ได้ อสูรกายหลายหัวตรงเข้ามาเพื่อที่จะคิดบัญชีแค้นทุกประการที่หมู่หมูมะนาวเคยทำกับมันไว้
"หมู่ไม่น่ายิงมันเล้ยยยย เหนียวยิ่งกว่าโกลล์ฟุตบอลอีก วิญญาณตามติดยังไม่ขนาดนี้"ไอ้ชาติพูดแล้วเจ้าสัตว์ร้ายแห่งพงไพรที่ตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำผึ้งก็เดินเข้ามาอย่างคุกคาม ได้เวลาแข่งโกคาร์ตแล้ว
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 20:58:21 GMT
28.race of rest : ศึกตีนผีถล่มไพร
เมื่อมีการพบเจอ ย่อมมีการลาจาก เมื่อมีการสวัสดี ย่อมมีการสวัสดีอีกทีก่อนที่จะไปหรือลาก่อนนั่นแหละ เมื่อมีการมาเยือน ย่อมมีการกลับไป แต่ดูเหมือนว่าป่านี้จะเป็นโรงแรมแคลิฟอร์เนียร์เวอร์ชั่นธรรมชาติจัด มันไม่อยากให้เราเช็คเอาท์โดยที่เรายังไม่ได้จ่ายค่าที่พัก ด้วยชีวิต บัดนี้ สารพัดคน สัตว์ สิ่งของ และสิ่งที่ติดมาด้วยกลางทาง ต่างร้องโวยวายเมื่อเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ (เหรอ?) ชื่อ มากมาย พี่หมีใจดำ จริงๆจะไปว่ามันใจดำไม่ได้หรอก เราเป็นฝ่ายยิงมันก่อนด้วยซ้ำ มอบเหรียญกล้าบ้าซ่าและโง่บัดซบให้แก่บุคคลเลวเด่นแห่งหมู่หมูมะนาว หมู่โบกี้ ผู้ที่ฟังคำว่าเดี๋ยวก่อน และ อย่าพึ่งยิงไม่ออก บัดนี้พญาหมีผู้ที่หนังเหนียวและตามจองล้างจองผลาญเรายิ่งกว่าเมีย(คนแรกและคนที่เป็นทางการ)ของสารวัตรเกรียงไกรตัวนี้กำลังไล่กวดและอยากยำเราให้เป็นท่อนๆเต็มแก่ไกล้เข้ามาแล้ว หนึ่งในข้อได้เปรียบของเราที่มีต่อมันคือ เรานั่งรถอยู่และเจ้ามากมายเหนื่อยง่ายมาก
"โอ้ว โนวววว มากมาย แกไปกินน้ำผึ้งต่อก็ด้าย เราไม่กวนแล้ว"จ่าปลาร้อง เธอเบียดอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ดูเหมือนกับรถคันนี้เป็นรถขนผู้อพยพหนีภัยสงคราม จะว่าไปทางเทคนิคก็ใช่อะนะ เรากำลังหนีภัยสงคราม สงครามกับหุบเขาล้างชีวิต และหนึ่งในขุนศึกที่น่ากลัวที่สุดของหุบเขาดงโขมดเย็นกำลังอยากได้ก้นของเราเป็นของว่างยามบ่ายกินคู่กับชาเอิร์ลเกรย์และรวงผึ้งสด
"โฮ้กกกกกกกกกก!!!!!!!!!"มากมายอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันกำลังลากสังขารอ้วนใหญ่ที่เต็มไปด้วยอวัยวะที่งอกออกมาอย่างผิดที่เต็มไปหมด ร่างกายที่บิดเบี้ยวผิดรูปของพญาหมีนั้นเหมาะแก่การใช้กำลัง ไม่ใช่ความเร็ว แค่ไล่ตามรถจี๊ปอืดๆคันนึงก็ทำให้ร่างหนาๆของหมีควายกลายพันธุ์หน้าอกสามบั้งตัวนี้หอบกิน
"รู้ว่าอารมณ์บ่จอยแต่ว่า พอเหอะ เราเบื่อหน้าแกเต็มกลืนแล้วเนี่ย แล้วเราก็รู้ว่าแกเบื่อหน้าเราพอๆกัน ดังนั้น ต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกันนะ โทษทีไม่มีค่าสินไหมทดแทนที่ยิงหน้านายเข้าหนะ แหะๆๆ หมีไม่นับว่าเป็นบุคคลตามกฎหมายหนี่หว่า อีกอย่างนะ เรื่องแค่นี้หยวนๆได้หน่า ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ เฮ้ย หมายถึง ลูกผู้ชายเรื่องแค่นี้ขอกันกินยังมากกว่านี้เล๊ยยยยย อย่าคิดมากเนอะ ชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหนๆก็ขออย่าได้มาประสบพบเจอหน้ากันอีกเลยเป็นครั้งที่4 บ๊ะบายมายเฟรนด์ โฮปฟอร์เนเวอร์ซียูอะเกน โฮกๆๆๆ แฮร่"หมู่โบกี้ผู้ที่ไม่มีความสำเหนียกอะไรเลยออกความเห็นยั่วประสาทหมีดำตัวโตที่ชะลอความเร็วลง โชคดีที่พญาหมีนั้นฟังภาษาคนไม่ออกไม่งั้นคงเดือดแน่ๆ และมันรู้ตัวว่าวิ่งต่อไม่ไหวแล้วก็เลยยอมลดฝีเท้าลง แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันกำลังยอมแพ้หรอกนะ มันกำลังหยิบอะไรบางอย่างที่ติดอยู่ตรงหลังมันขึ้นมา
"ฮ่า หมีโง่ น้ำหน้าอย่างไอ้หมูควายชื่อมากมายนะเหรอจะมีน้ำยาทำอะไรได้ โด่ กาก พวกโตแต่ตัว กินน้ำผึ้งไปเหอะ อย่าวิ่งเลยเดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปซะเปล่าๆ"หมู่โบกี้ยังไม่หยุดปากมาก ทั้งๆที่คนอื่นบนรถกำลังลุ้นกันตัวโก่ง กัดฟันกันกรอดๆหวังว่าไอ้ยักษ์ทมิฬจะออกไปให้พ้นทาง สิ่งมีชีวิตร่างยักษ์รูปเบี้ยวตัวนั้นตั้งท่าแล้วโยนบางอย่างมาทางพวกเขา
"โพละ!!!!"รวงผึ้งชิ้นโตกระเด็นเข้าใส่หน้าของหมู่โบกี้ เนื่องจากบนรถที่แออัดยัดเยียดเช่นนี้การขยับตัวเป็นเรื่องที่ยากมาก การเอี้ยวตัวหลบยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย ข่าวดีคือน้ำผึ้งพวกนี้อร่อยมาก หมีตัวนี้ลิ้นถึงจริงๆ น้ำผึ้งป่าคุณภาพแบบนี้ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ หวานปะแล่มๆปนขมนิดๆเนื่องจากได้เกสรมาจากดอกไม้หลากหลายชนิดในผืนป่านี้ทำให้น้ำผึ้งมีรสชาติที่หลากหลายไม่ซ้ำซากจำเจอยู่ในคำเดียว ข่าวร้ายคือ เจ้าของน้ำผึ้งตัวจริงยังอยู่ เยอะด้วย และพวกมันก็ไม่แฮ๊ปปี้เท่าไหร่
"ขอบใจนะ ไม่ต้องแบ่งน้ำผึ้งก็ได้ เกรงจาย อ้ากกกก!!!!! เจ็บว้อยยย!!!"หมู่โบกี้ร้องเสียงหลงเหมือนแพะโดนรถทับ ผึ้งจำนวนหนึ่งที่ยังติดอยู่กับรวงผึ้งนั้นแห่กันออกมารุมต่อยทุกคนบนรถอย่างไร้ปราณี การที่ผึ้งจะลงมือต่อยใครsหรืออะไรซักอย่างด้วยเหล็กไนนั้น คนหนือสิ่งนั้นจะต้องทำให้ผึ้งพวกนั้นโกรธจัดขนาดที่พวกมันต้องยอมสละชีวิตของพวกมันเลยทีเดียว ใช่แล้ว ผึ้งจะตายในเวลาสั้นๆหลังจากที่ต่อยเป้าหมายสำเร็จแล้ว และมันจะไม่ยอมใช้โอกาสเดียวนั้นในการทำอะไรไร้สาระแน่ๆ เจ้ามากมายโจมตีรังของมันเลยทำให้ผึ้งพวกนี้สู้สุดชีวิต และตอนนี้ หมู่หมูมะนาวกับหอยแครงลวกก็กำลังรับไม้ต่อจากเจ้ามากมาย ปัญหาคือ มากมายมีขนดกหนาของหมีที่ผึ้งแทบจะเข้าไม่ถึง แม้ว่าจะเสียขนไปหลายส่วนจากการปะทะครั้งก่อน แต่ก็ยังใช้งานได้ดีพอสมควรกับการรับมือการโจมตีทางอากาศ แต่มนุษย์ไม่ได้มีอะไรแบบนั้น และที่แย่ยิ่งกว่านั้น เรากำลังนั่งอยู่บนรถที่ขับโดยคนบ้าแห่งทศวรรตในสภาพเบียดกันสุดชีวิต ถ้าหากไอ้จิงโจ้โดนต่อยจนเสียความควบคุม เรานี่แหละจะเสียชีวิต
"อ้ากกกก!!!! ผึ้ง ไอ้หมีชั่ว แกได้ไปนอนอยู่ในร้านอาหารป่าแน่ ไอ้เลว อ้ากกกก!!! ขับไวๆหน่อย ผึ้งมันมุดเสื้อ อ้ากกกกก!!!! เจ็บ โอ้ยยย ชีวิต ใครก็ได้ช่วยที"หมู่โบกี้ร้องโวยวายหลังจากที่ตัวเองสลัดเอารวงผึ้งออกไปจากหน้าตัวเองแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผึ้งจะยอมเลิกราการโจมตี วิธีที่จะหลบจากฝูงผึ้งดุร้ายที่กำลังโกรธได้นั้น มีหลายวิธี
1.หนีเข้าห้องให้เร็วที่สุด ผ่าน ด้วยเหตุผลที่เห็นอยู่ชัดๆว่าทำไม
2.หนีผ่านพุ่มไม้หรือวัชพืชรกๆ กำลังทำอยู่และไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ อีกอย่าง เราอยู่บนรถจี๊ปที่ไม่มีประตูข้างทำให้ป้องกันผึ้งไม่ได้
3.ลงน้ำ วิธีที่ไม่แนะนำเพราะไม่ได้ผล ผึ้งจะวนเวียนอยู่ตรงผิวน้ำจนกว่าเราจะขึ้นมา และเรานั่งรถอยู่ ทำไม่ได้
เอาเป็นว่าในหลายวิธีที่เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้คิดออก ไม่มีวิธีไหนดีมากกว่าหนีฝูงผึ้งเกรี้ยวกราดด้วยความเร็วของยานยนต์ อีกอย่าง ผึ้งมีอาณาเขตเป็นของตัวเอง มันมักจะไม่เสี่ยงออกนอกเขตแล้วหลงทางกลับบ้านไม่ถูกหรอก จากระดับความเจ็บปวดที่ได้รับและรูปร่างของผึ้งพวกนี้ เดาว่าคงเป็นผึ้งหลวงธรรมดาที่ยังไม่ได้รับสารพิษจากเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ของด็อกเตอร์ แต่คงอีกไม่นานแล้วหละ
ระหว่างที่กำลังชุลมุนวุ่นวายบนรถที่เต็มไปด้วยผึ้งโมโหร้าย หมวดเอกก็เห็นร่องเขาเดือนดับที่อยู่ในบริเวณนั้น นี่เราหนีภัยร้ายมาได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ ตามจริงต้องขอบคุณความระห่ำผิดมนุษย์ของจิงโจ้จอมเหยียบแห่งหมู่ลิงละลาย ฝีมือการขับที่เหมือนกับได้ลูซิเฟอร์เป็นผู้สอนขับรถเนี่ย มันอาจจะเลวร้ายจนทำให้หลายๆคนอ้วกแตกคารถได้ในไม่นาน แต่ถ้าไม่ได้ความสามารถอันชวนหางตากระตุกของนักซิ่งตีนผีนรกไม่รับคนนี้แล้ว เราอาจจะหนีเจ้ามากมายไม่พ้นก็ได้
"ใครก็ได้ กันผึ้งออกจากจิงโจ้ที เดี๋ยวรถคว่ำ"หมวดตะวันที่กำลังใช้หมวกของตัวเองปัดฝูงผึ้งคลั่งแค้นฝูงเบอเริ่มออกจากบริเวณคนขับบอกคนอื่นๆซึ่งอยู่ในสถาพอีนุงตุงนัง นั่งก้นไม่ติดเบาะ เพราะแมลงร้ายตัวจ้อยที่หวงถิ่นสุดขีดกำลังฝังเหล็กไนอันทรงพลังเปี่ยมไปด้วยพิษเข้าไปใต้ผิวหนังของพวกเขา ดีที่เครื่องแบบนั้นหนาพอที่จะกันผึ้งได้ แย่หน่อยที่ผึ้งพวกนี้เข้าโจมตีไม่หยุดหย่อน เหล็กไนเข็มแล้วเข็มเล่าสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับเหล่าผู้คนที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมเต็มกลืนจากสารพัดศึกที่พวกเขาฝ่าฟันผ่านมา หวังว่าคงไม่มีใครแพ้พิษผึ้งนะไม่งั้น ความซวยจะมาเยือนหนักกว่าที่พวกเขาคิดไว้
"แพล็บ แพล็บ แพล็บ"เสียงเหมือนกับเสียงเลียดังขึ้น อะไรซักอย่างที่ดูยืดหยุ่นและเป็นสีชมพูเข้มตวัดไปมาเพื่อจับผึ้งเหล่านั้นด้วยของเหลวเหนียวใสที่เคลือบอยู่ ไม่ต้องให้คิดอีกรอบ หมู่หมูมะนาวรู้ทันทีว่านี่คืออะไร ตรงกับข้ามกับหมู่หอยแครงลวกที่นั่งมองตาค้างด้วยความตกตะลึง น้ำอ้อยกำลังใช้ลิ้นที่เหมือนกับลิ้นกบของเธอจัดการเอาผึ้งใส่ปากอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะกินพวกมันหรอกนะ น้ำอ้อยถุยผึ้งทิ้งทีละหลายๆตัวออกมาจากปากเธออย่างไม่ใยดี เธอทำหน้าเหมือนกับโดนบังคับให้กินบอระเพ็ด
"นี่คนหรือกบวะ"ไอ้ด้วงแห่งหมู่หอยแครงลวกทำหน้าตาบอกบุญไม่รับระหว่างที่กำลังปัดฝูงผึ้งพันธุ์ดุให้ออกไปจากตัวอยู่ คนอื่นๆเองก็ทำตาโตเป็นไข่ไดโนเสาร์ น้ำอ้อยไม่สนใจคำพูดของเจ้าหน้าที่ป่าไม้แล้วหาทางกำจัดผึ้งคลั่งอย่างไม่หยุดหย่อน
"เรื่องมันยาว เพื่อน เอาเป็นว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่ดูเหมือนกบก็แล้วกัน"ไอ้ตือบอกแล้วก็พยายามปัดผึ้งให้ออกไปจากตัวเองอยู่เหมือนกัน น้ำอ้อยใช้ลิ้นตวัดผึ้งออกจากข้างๆจิงโจ้ก่อนที่รถจะล้มหรือเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นขึ้น หลังจากที่ปัดเป่าฝูงผึ้งไปซักพัก ผึ้งก็ดูบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด แมลงตัวแสบส่วนใหญ่กำลังกลับกัน เหลือเพียงแค่ไม่กี่สิบตัวที่ยังคงโจมตีและล้มตายลงจากการโจมตีนั้นๆ ลิ้นของแม่กบน้อยช่วยในการจัดการผึ้งตัวร้ายได้อย่างรวดเร็ว น่าจะเพราะกบกินแมลงเป็นหลักทำให้น้ำอ้อยสู้กับแมลงได้เป็นอย่างดี
"แพล็บ แหวะ"น้ำอ้อยใช้ลิ้นที่ยืดหยุ่นของเธอจัดการผึ้งหลวงกลุ่มสุดท้ายออกไปได้ก่อนที่มันจะเล่นงานจิงโจ้ ทุกคนเมื่อเห็นผึ้งหมดไปจากสายตาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สารรูปแต่ละคนเหมือนกับคางคกโดนเอาไปทำยำใหญ่ แถมเนื่องจากความแออัดยัดเยียด ไม่มีใครมีพื้นที่ขยับตัวมากพอที่จะเอาเหล็กไนออกจากผิว น้ำอ้อยนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เวลาจับแมลงด้วยลิ้น ผึ้งนั้นไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ในความคิดเธอ นอกจากนั้น เธอพยายามที่จะคงความเป็นคนของเธออยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่หากเธอใช้ลิ้นแบบกบ แต่ว่า ก็ช่วยไม่ได้ในสถาณการณ์แบบนี้
"ผมรู้นะว่านี่เป็นคำพูดต้องห้าม แต่ว่า เรารอดแล้ว"ชาติพูด ซึ่งนั่นทำให้คนทั้งคันรถหันมามองหน้าไอ้หนุ่มสุดมึนของเราด้วยสายตาเหมือนกับอยากจะเอาชาติไปบดทำไส้กรอก ทุกคนทำหน้าเลิกลักหวังว่าคำพูดต้องคำสาปนี้จะไม่ทำให้เกิดอะไรร้ายๆขึ้นอย่างที่มักจะเกิด แต่ว่า ไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากธรรมชาติ ไม่มีสัตว์ประหลาดโผ่ลออกมาเพิ่ม รถวิ่งได้ฉลุยปราศจากสิ่งกีดขวาง หมู่โบกี้ที่หน้าบวมเหมือนพึ่งไปมีเรื่องกับนักเลงคุมผับมาก็มองซ้ายมองขวาแล้วเงียบ เจ้าฟองดูส่งเสียงหงิงๆนิดหน่อย หมวดเอกเองก็ทำตาปรือ สติค่อยๆเลือนหายไปเนื่องจากเสียเลือดมากจากการโดนจ่าฝูงชะมดตัวลายกัดคอ จ่าปลาเองก็กอดน้ำอ้อยแน่นด้วยความเกร็ง ส่วนที่ท่าทางจะเกร็งที่สุดคือต้นที่เกาะอยู่ด้านบนของตือ ด้วยความเร็วรถขนาดนี้และฝีมือการขับรถแบบผีส่ายหน้าพระส่ายหัวขนาดนี้ การขึ้นไปเกาะใครซักคนระหว่างนั่งรถจี๊ปแทบไม่ต่างจากการขึ้นไปเกาะอยู่บนหลังคารถเมล์สาย8เลย
"ฟู่"หมู่โบกี้ถอนหายใจ
"โฮ้กกกกกกกกกก!!!!!!!!!!"เสียงของเจ้าDP-026สั่นสะท้านไปทั่ว เห็นได้ชัดว่ามันสลัดพวกชะมดแผงหางปล้องที่เหลือหลุดแล้ว และมันกำลังตามเรามาติดๆขนาดอยู่ไกลกันจนไม่เห็นตัว เรายังสัมผัสได้ถึงความโมโหโกรธา พิโรธเกินงาม ของพญาหนูทดลองลายเสือแห่งห้องแล็บ เรื่องความอึดถึกทนและหนังเหนียวเกินพิกัดของมันเป็นอะไรที่มองข้ามไม่ได้
"ถ้าพวกแกสองตัวพูดหรือส่งเสียงอะไรโง่ๆอีกที พวกแกจะได้กลับกองพันพร้อมผ้าห่มลายธงชาติ ไม่สิ ได้ย้ายสัมโนครัวไปอยู่ที่ป่าเห็ดต่างหาก"จ่าปลาว้ากใส่ อาถรรพ์เป็นจริงและไม่ใช่อะไรที่ควรจะล้อเล่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เราไม่พร้อมที่จะรับมือมัน ตอนนี้รถคันนี้ค่อยๆตะบี้ตะบันฝ่าดงพงไพรไปเรื่อยๆ กลิ่นของน้ำหวานเตะจมูกโชยมาและร่องรอยของการทำลายบนต้นไม้ค่อยๆปรากฎให้เห็น เรากำลังจะพ้นเขตป่าที่เราเผชิญหน้ากับเจ้ามากมายแล้ว และกำลังจะเข้าสู่อาณาเขตที่น่าพรั่นพรึงยิ่งกว่า เขตแดนของมด และมดที่ว่านี้ไม่ได้ตัวน้อยตัวนิดอย่างที่คิดเอาไว้ซะด้วย
"จิงโจ้ เตรียมรับการปะทะ เรากำลังเข้าเขตป่าต้นไม้ตาย"หมวดเอกร้อง พยายามตั้งสติไม่ให้หลับ แล้วจิงโจ้ก็พยักหน้าตอบรับ นักขับจอมซิ่งทะลุโลกคนนี้ดูเปลี่ยนไป เขาไม่ได้ดูเหมือนกับว่ากำลังสนุก หรือมีความสุข หรือสดชื่นกับการขับรถเร็วที่เขาชอบนักชอบหนา แต่เขากลับดูเคร่งเครียดและเอาจริงเอาจัง สถาณการณ์เปลี่ยน คนก็เปลี่ยน หมวดตะวันเองก็กำลังปัดผึ้งที่เหลืออยู่ออกจนสำเร็จ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ฝีมือการขับรถของจิงโจ้ที่พารถจี๊ปสภาพ โทรมสุดขั่ว มั่วสุดขีด คันนี้พร้อมผู้โดยสารจำนวนมาก ให้หลุดจากการโจมตีของผึ้งหลวงหวงรังมาได้
"เอี้อม เอียบอิบใอ้อ้วดเอียวอึ๋งออกอันเอย (เยี่ยม เยียบมิดให้รวดเดียวถึงกองพันเลย)"หมู่โบกี้ที่หน้าบวมฉึ่งเพราะฝูงผึ้งรุมถล่มหนังหน้าจนแหกยับเยิน สาเหตุหนะเหรอ รวงผึ้งแปะหน้าหมู่โบกี้พอดี เจ้ามากมายมันปาแม่นเหลือเชื่อ อุดปากหมาๆของหมู่โบกี้ได้อย่างพอดีเป๊ะ แย่หน่อยที่บุคคลนี้ไม่ใช่พวกที่เรียนรู้จากความผิดพลาดได้ มันเลยโม้เหม็นเดนตายเหยียดชาวบ้านเค้าไปทั่วทุกครั้งที่มีโอกาส แม้จะโดนสหบาทามาหลายครั้งแล้วก็ตาม
"หมู่ ผมไม่คิดว่าพวกมดมันพูดแบบนั้นหรอกนะ หมู่น่าจะไปเรียนภาษามดใหม่นะ"ชาติพูดจาโง่ๆออกมาอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น จ่าปลาก็กำลังตื่นเต้นหวาดเสียวมากเกินกว่าที่จะโยนใครบางคนลงรถหรือว่าประท้วงอะไรได้ เธอนั่งตัวสั่นเหมือนกับลูกนกเป็นโรคลมชักท่ามกลางหิมะ ดวงตาจ้องไปข้างหน้าเหมือนกับกำลังมองดาราดัง
"ไอ้ไอ้อ้อย(ไม่ใช่ว้อย)"หมู่โบกี้ประท้วง ปากปริๆกับหน้าแหกๆของเขาขยับไปมาราวกับคนที่แพ้ถั่วแต่ดันทะลึ่งไปกินแกงอินเดือยเต็มคอร์สพยายามจะพูดปราศรัยในงานเลี้ยง มันเป็นโมเมนท์ที่ทั้งน่าตลกและน่าสะพรึงไปในเวลาเดียวกัน หน้าของหมู่ปูดออกมาเหมือนกับตาของปลาทองตาลูกโป่งจนเสียวว่าหน้าของหมู่โบกี้จะระเบิดออกมาจริงๆหากโดนเข็มเจาะ แม้แต่จ่าปลายังเสียวสันหลังเมื่อได้เห็นหน้าที่ปูดปวมผิดรูปนั้น
"ผมรู้ว่าไม่ใช่หอย เรากำลังเจอกับมดดำอยู่นี่ไง จำเจ้าหญิงที่หมู่จะไปปีนหอคอยช่วยได้ป่าว ผมว่าเธอคงเฮิร์ทน่าดูตอนที่โดนฝูงมดหามกลับรังไปในสภาพหมอไม่รับเย็บ"ชาติยังคงมึนเหมือนเคย หมู่โบกี้เริ่มนึกถึงตอนที่ปะทะกับเจ้าหญิงมดดำคราวที่แล้ว โอ้ว จะว่าไปเจ๊แกก็น่าสงสารจริงๆอะนะ แต่ว่าช่วยไม่ได้ การแสดงต้องดำเนินต่อไป รวมถึงภารกิจของเราด้วย
"อว้ากกกกกกกกกก!!!!!"หมู่โบกี้อยู่ในช่วงโมโหสุดขีด นอกจากลูกน้องฟังไม่รู้เรื่องมั่วไปเรื่อยแล้ว ยังย้ำถึงเรื่องเก่าๆที่หมู่ไม่อยากฟังอีกด้วย แต่ความโมโหของหมู่โบกี้นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยหากเทียบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัว
"แซก แซก แซก"เสียงของแมลงดังขึ้น ดังและน่ากลัว เสียงที่แสดงถึงความแข็งแกร่ง ไม่ใช่ทางร่างกาย แต่เป็นด้านจำนวน ตามต้นไม้เห็นได้ชัดว่ามีแมลงตัวแล้วตัวเล่าเข้าเจาะทำลาย เพลี้ยอ่อนและเพลี้ยแป้งเริ่มปรากฏกายขึ้นมาให้เห็น และเหล่าปศุสัตว์พวกนี้จะอยู่ไม่ได้หากไม่มีผู้คุ้มครอง ผู้ที่เลี้ยงดูมันให้อ้วนท้วนสมบูรณ์เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต เหล่าผู้เป็นนายที่ขยันขันแข็งและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสามัคคีของสารพัดแมลงศัตรูพืช มันอยู่ข้างหน้าเราแล้ว
ท่ามกลางต้นไม้ที่แห้งตาย ท่ามกลางแสงแดดแผดเผาร้อนระอุดุจสนามบาสเก็ตบอลกลางแจ้งที่ทำจากปูน ท่ามกลางพื้นดินแห้งผากที่มีรอยแตกแสดงถึงความน่าสะพรึงของภัยแล้งและความเสียสมดุลของธรรมชาติเมื่อเหล่ามดดำผงาดขึ้นมาเรืองอำนาจ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยมดดำกำลังวิ่งไปมายั้วเยี้ยเต็มไปหมด พวกมันเก็บเกี่ยวผลผลิต และหาอาหารอื่นๆ เหล่ามดทหารและมดงานเข้ามาพร้อมที่จะต่อกรกับผู้รุกรานรายเก่าในรอบใหม่ จากนั้น เบื้องหน้า มดดำที่มีปีกใสราวกับปีกของแมลงปอก็โผบินขึ้นมาท่ามกลางฝูงมดชนชั้นแรงงาน ผู้บังคับบัญชาองค์ใหม่ของพวกมัน ที่ท่าทางจะอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย
"อ้าาาาาาาาา!!!!!!!"เสียงร้องที่แสดงความเกรียวกราดดังออกมาจากปากที่ดูคล้ายมนุษย์อย่างน่าตกใจ ไม่เพียงแค่ปากเท่านั้น ดวงตาคู่นั้นเองก็ด้วย มันสะท้อนความพิโรธของอาณาจักรมดดำที่มีต่อผู้รุกรานได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งไม่ต้องแถลงไขเพิ่มเติม คำบัญชาและฟีโรโมนของเจ้าหญิงพันธุ์แกร่งแห่งอาณาจักรมดทำให้เหล่ามดดำแห่กันออกมาทั่วทุกหนแห่ง มันโผบินขึ้นสู่เวหาพร้อมด้วยก้อนหินก้อนโตในมือที่คล้ายกับของมนุษย์ทั้ง4ข้าง ดูจากปีกแล้ว นี่ไม่ใช่เจ้าหญิงตัวเดิมที่เราเคยเจอแน่ๆ และที่สำคัญ ราชีนีคงจะมีเจ้าหญิงหลายตัวไว้ใช้งานและขยายอาณาจักร นี่คงจะเป็นหนึ่งในนั้น นางมดดำเหินเวหาแหวกนภาพร้อมด้วยอาวุธในมือแล้วบินเข้ามาหารถจี๊ปอย่างมุ่งร้าย ได้เวลาทิ้งระเบิดแล้ว
"จิงโจ้ หลบ"หมวดตะวันร้อง จิงโจ้เองก็ไม่ได้ซื่อบื้อ เขาหักพวงมาลัยรถทำให้รถเบี่ยงหลบก้อนหินก้อนโตที่หล่นใส่พื้นจนพื้นยุบ เสียงกระแทกพื้นของศิลาก้อนโตฟังดูน่ากลัว หากนางมดดำสามารถเข้าโจมตีรถด้วยอาวุธขนาดนั้นได้สำเร็จ เราคงจะจอดสนิท โดนรุมเขมือบโดยฝูงมด และต่อให้รอดไปได้ สารวัตรเกรียงไกรจะหักเงินเดือนเราไปใช้ในการซื้อรถคันใหม่ ซึ่งนั่นแย่กว่าโดนกินซะอีก แม้ว่าเราจะหลบการโจมตีที่น่าหวาดหวันครั่นคร้ามนั้นมาได้อย่างเฉียดฉิวด้วยฝีมือการขับระดับเซียนร้องไห้ของไอ้จิงโจ้ แต่ว่ารถกลับเสียหลักไปชนฝูงมดเข้าแทน มดดำตัวแล้วตัวเล่าโดนแรงกระแทกของรถอัดจนปลิวกระจุยกระจายไปตัวละทาง ดูๆไปก็เหมือนรถเราเป็นลูกโบว์ลิ่งที่ชนพินจนปลิวแบบ สไตรค์เต็มเหนี่ยว แต่ว่าในทางกลับกัน ตามหลักของฟิสิกข์แล้ว เมื่อวัตถุหนึ่งชนวัตถุอีกชนิดจะทำให้ความเร็วและแรงที่จะส่งไปข้างหน้าน้อยลง การชนมดจำนวนมากๆย่อมทำให้ความเร็วลดลงอย่างแน่นอน แม้ว่าจิงโจ้จะขึ้นชื่อลือชาและมีป้ายเตือนเขียนกำกับอยู่(ที่โต๊ะกินข้าวประจำของหมู่ลิงละลาย)เรื่องการขับรถแบบต้านแรงโน้มถ่วง(เหินนั่นแหละ)และไม่สนไม่แคร์ไม่แยแสกฎฟิสิกข์และกฎจราจรข้อไหนทั้งนั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ารถที่เขาขับจะหักล้างกฎของธรรมชาติได้
"อ้าาาาาา"เจ้าหญิงมดดำไม่ยอมแพ้ เธอกลับมา แล้วคราวนี้เธอไม่ได้เอาอาวุธมาด้วยเพื่อความคล่องตัว การที่นางไม่มีอาวุธไม่ได้หมายความว่ามดตัวนี้ไม่มีน้ำยา มดมีความสามารถในการยกของที่หนักกว่าน้ำหนักตนเองหลายเท่า นั่นเป็นเรื่องที่คนส่วนมากรู้กัน แค่พละกำลังเพียวๆก็สามารถพังรถได้แล้ว เธอค่อยๆบินเข้ามาไกล้รถขึ้นเรื่อยๆระหว่างที่กองทัพมดกำลังชะลอความเร็วของรถลงอย่างน่าใจหาย
"ยิ้มหน่อย แล้วหลับตาลง"เนยพูด เป็นการใบ้ว่าได้เวลาถ่ายภาพแล้ว แบบเจิดจ้าเป็นพิเศษ
ทันใดนั้นทุกคนที่กำลังชุลมุนกับฝูงมดก็หลับตาลงเพราะว่าพวกเขารู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น กล้องถ่ายที่มีขนาดใหญ่ผิดธรรมชาติกระบอกนี้กำลังจะปลดปล่อยพลังงานแรงกล้าของมันออกมาอีกแล้ว กล้องบาซูก้าตั้งอยู่บนบ่าของเธอ เตรียมพร้อมที่จะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีขาว
"แช็ะ!!!"เสียงนั้นดังขึ้น
สีขาว . . . ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวไปหมดทุกอย่างที่สายตาสามารถมองเห็นได้โดนแสงสีขาวทรงพลังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานกลืนกินและทำให้หายไปจากสายตา ด้วยอำนาจแห่งเทคโนโลยีการบันทึกภาพฉบับเว่อร์วังอลังการ ทุกสายตา ทุกชีวิต จะต้องสูญสิ้นการมองเห็นหากอาจหาญจ้องมองพลังของกล้องถ่ายรูปอันเปล่งประกายเจิดจ้า เซอร์ราวด์ช็อต การโจมตีรอบด้านที่ทำให้ทุกชีวิตที่ไม่ทันระวังต้องตาพร่า เหล่ามดตัวฉกาจไม่ทันระวัง เมื่อแสงแห่งกล้องเข้าไปถึงการรับรู้ของเหล่ามดดำ มันต่างหยุดนิ่งเพราะสูญเสียหนึ่งในประสาทสัมผัสไปชั่วคราว แม้แต่เจ้าหญิงมดเองที่กำลังบินอยู่ถึงกับเสียหลักร่วงลงพื้นดินจนนอนดิ้นพราดๆอยู่กับพื้นดินแห้งผาก เอามือกุมหน้าแล้วกลิ้งไปมาอย่างช่วยไม่ได้
"ไป"หมวดตะวันสั่งแล้วจิงโจ้ก็เหยียบคันเร่งอีกครั้ง รถจี๊ปบู้บี้บุโรทั่งก็ทะยานพุ่งฝ่าสารพัดแมลงร้ายไปได้อย่างทุลักทุเล พวกมดใช้หนวดของมันในการไล่ตามกลุ่มคณะหมูแอนด์หอยอย่างไม่ลดละ ทุกคนเกาะกันแน่นเพื่อที่จะไม่หลนลงไปขณะที่ยานพาหนะที่กระแทกสารพัดอุปสรรค์ ระหว่างทาง
"เกาะแน่นๆ เอ้า อย่าหล่นลงไปนะ"จ่าปลาร้อง รถเอียงไปมาและดูเหมือนจะเสียหลักทุกๆครั้งที่รถอัดกับมดดำตัวแล้วตัวเล่า นั่นนอกจากจะทำให้มดโกรธขึ้นแล้ว มันยังทำให้คนที่อยู่บนรถอยากจะฉี่ราดออกมาตรงนั้นเลย
"เฮ้ย นี่แกแยกมดดำกับลูกระนาดไม่ออกเหรอ"ไอ้ชาติตะโกน ทุกครั้งที่รถเอียงไปมา ร่างอ้วนฉุของตือก็เอียงมาทับเขาเหมือนกับมีฮิปโปกลิ้งไปมาบนตัวเขาเลย แต่ตือเองก็ต้องทรงตัวเหมือนกัน เขาแบกคนอื่นๆอีกหลายคนอยู่ รวมถึงหมู่โบกี้ด้วย
"ดูด้วยว่าใครเป็นคนขับ มันยังแยกคนกับลูกระนาดไม่ออกเลย ขนาดหมายศาลมันยังไม่มีความเกรงใจเลย"หมู่ไก่บอกก่อนที่ไอ้ตือจะกลิ้งไปทับเขาอีกที ไม่ใช่แค่ชาติคนเดียวที่ต้องแบกพันธมิตรร่างยักษ์ที่กลิ้งไปมาบนรถคันนี้เหมือนกับลูกบิลเลียดบนโต๊ะสนุ๊ก ถ้าไม่ได้ฝีมือการหักพวงมาลัยและเหยียบคันเร่งที่เหมือนกับได้ทั้งพระเจ้าและซาตานเป็นผู้ฝึกสอนพร้อมๆกัน ตือและหลายๆคนคงลงไปกลิ้งหลุนๆอยู่บนพื้นแล้ว
"กี้"หนึ่งในมดดำที่โดนรถชนจนปลิวขึ้นมาก็กระเด็นใส่หน้าไอ้ตือ นั่นทำให้เจ้าก้อนไขมันประจำหมู่หมูมะนาวตกใจ จนทำหนึ่งในคนที่เกาะเขาหล่นจากรถ ไม่สิ สองคน
"ว้ากกกกกกก!!!!!"หมู่โบกี้ที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ร้องอย่างตื่นตกใจ ก่อนที่ร่างสะบักสะบอมของรองหัวหน้าหมู่ เออ อดีตรองหัวหน้าหมู่ ประจำหมู่หมูมะนาว จะลงไปกระแทกพื้นแล้วกลายเป็นอาหารว่างยามบ่ายของฝูงมดดำที่กำลังโกรธจัด มืออ้วนๆของตือก็คว้าขาของหมู่โบกี้ไว้ได้ก่อนที่หมู่โบกี้จะตกรถ
"อ้ากกกกกกก!!!!!"อีกเสียงหนึ่งร้องลั่น ไอ้ต้นที่เป็นหนึ่งในแก๊งค์มอดไม้ จะว่าไปต้องเรียกว่าเป็นอดีตแก๊งค์มอดไม้ถางป่า ร้องอย่างใจเสียเมื่อร่างที่ทั้งบาดเจ็บและบู้บี้ของตนเองกำลังจะลงไปกองอยู่ที่พื้นแห้งผาก นั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆเพราะว่าฝูงมดดำหิวจัดกำลังไล่ตามรถจี๊ปคันนี้มาติดๆ แต่เคราะห์ดีที่ไอ้ตือใช้มืออีกข้างคว้าขาของเขาไว้ได้ทันเวลาก่อนที่จะกลายเป็นเสบียงกรังให้อาณาจักรมด
"อ้าาาาาา!!!!!!" บางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงมาก นกหรือ เครื่องบินหรือ มันคือ เจ้าหญิงมดดำ ที่ดูแล้วคงไม่แฮ๊ปปี้เท่าไหร่ จะว่าก็ไม่ได้แหละ หนึ่งในพี่น้องของเธอโดนพวกเรายำซะจนพิการ แขนหัก ปีกไหม้ และอื่นๆที่อาจจะฟังดูโหดร้ายเกินไปหน่อย เธอเลยโมโหมาก มากชนิดที่ว่าดูไกลๆแล้วอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นมดแดงเลยก็ว่าได้
ขอมอบโล่เกรียนติยศภาคสะเออะยอดเยี่ยมชนิดไม่มีหมาที่ไหนมาเทียบเคียงได้ให้แก่ จ่าปลา จากวีรกรรมวีรเวรที่เธอก่อเอาไว้ในบ้านคนอื่นเค้า ยกตัวอย่างเช่น การไปไล่เชือดปศุสัตว์เจ้าบ้านตอนที่เจ้าของไม่อยู่เพราะอคติที่ตนเองมีมันบังตาทำให้ คลั่งไปหน่อย ทีนี้เลยได้ศัตรูนับหมื่นมาในคราวเดียว
"เดี๋ยวหนูจัดเอง ข่าวหน้าหนึ่งพะยะค่ะ"เนยตั้งกล้องขึ้นบ่าราวกับทหารที่ตั้งบาซูก้าเตรียมถล่มรถถังข้าศึก เธอเตรียมตัวสาดสำแสงทลายรูม่านตาอีกรอบ แต่ว่าคราวนี้เจ้าหญิงไม่หลงกลอีกแล้ว เธอเตรียมตัวมาพร้อมที่จะเข้าลุยกับลำแสงพิฆาต ด้วยวิธิ counter attack (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า สวนใส่เลย)
เพล้งงงงง!!!!!! เสียงกระจกแตกดังขึ้น และกล้องก็ไม่ทำงาน เจ้าหญิงมดดำใช้แขนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังแขนหน้า(เจ๊มี4แขน)เขวี้ยงก้อนหินก้อนเท่าผลส้มใส่กล้องถ่ายภาพขนาดใหญ่ประชดชีวิตของเนยจนเลนส์กล้องทะลุ กล้องไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป และนั่นหมายความว่าเราไม่อาจจะหยุดการโจมตีของเจ้าหญิงมดดำได้อีกต่อไปแล้ว เนยยืนเหวอทำหน้านิ่งแล้วกุมหน้าตัวเอง กล้องอันนี้ไม่ใช่ถูกๆซะด้วย เธอนั่งลง ทำหน้าเศร้าเหมือนกับโดนแฟนทิ้งแล้วกำลังใช้ความคิดว่าจะเอายังไงต่อไปดี ส่วนด้านเจ้าหญิงมดดำ เธอพุ่งเข้ามาหารถจี๊ปเก่าๆคันนี้อย่างมุ่งมั่นเหมือนกับจรวดน้ำที่ได้รับแรงอัดเต็มที่แล้วกำลังพุ่งไปข้างหน้าในงานวันวิทยาศาสตร์ประจำปี
"อักกกกก"ตือจุกเมื่อเจ้าหญิงมดดำพุ่งอัดร่างอ้วนฉุของเขา ชั้นไขมันหนาของเขาอาจจะต้านทานแรงกระแทกได้บ้าง แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าเขาจะทนแรงอัดขนาดนี้ได้ เรื่องใหญ่ยิ่งกว่าคือตือเผลอปล่อยมือทั้ง2ข้างทำให้สองสหายลอยคว้างอยู่ในอากาศ
"อ้าาาา อ๋มอังไอ้อากอาย อาาาา(ผมยังไม่อยากตาย)"หมู่โบกี้ร้องระหว่างที่กำลังลอยคว้างในอากาศ เบื้องล่างมีพื้นดินหยาบแห้งกรอบ ก้อนหิน หญ้าเหลืองๆ และกองทัพมดดำที่กำลังเกรี้ยวเกินพิกัด ภาพของความทรงจำทั้งชีวิตลอยเข้ามาในหัวเขาทันที นี่คงจะเป็นจุดจบของหมู่โบกี้คนนี้สินะ หนูยังไม่ได้เมาท์ให้เพื่อนๆฟังเลยว่าหนูเจอไรมามั่งตั้งแต่เหยียบเข้ามาในป่านี้ ถ้าจะตายขอแบบไม่เจ็บก็แล้วกัน
"แพล็บ"เสียงลิ้นของน้ำอ้อยดังขึ้นก่อนที่หมู่โบกี้จะรู้สึกว่ามีอะไรพันข้อเท้าเขาอยู่ นี่ยังไม่ใช่จุดจบของเขา ยัยลูกอ๊อดนี่มีประโยชน์จริงๆ เยี่ยมเลย ได้เวลาออกไปผจญภัยต่อแล้ว และที่สำคัญ เขาจะได้บอกเล่าเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ที่เขาและพรรคพวกได้ผจญไปในผืนป่าอันน่าพิศวงแห่งนี้ แล้วจากนั้นก็จะได้ . . .
"พรืดดดดด!!!!แอ๊กกกกกก!!!!!!"หมู่โบกี้ไม่ได้โชคดีอย่างที่ตนคิดไว้ ลิ้นของน้ำอ้อยมีมวลกล้ามเนื้อไม่มากพอที่จะยกมนุษย์โตเต็มวัยอย่างหมู่โบกี้ให้ลอยเหนือพื้นได้ แต่ว่าลิ้นของเธอเหนียวพอที่จะรั้งเขาไม่ให้หลุดได้ ผลคือ หมู่โบกี้โดนลากไปกับพื้นขณะที่รถวิ่งหน้าของหมู่โบกี้ฟาดพื้นก่อนที่เขาจะกลับหัวทันแล้วใช้หมวกของตนเองบังหน้าของตนไว้ อย่างน้อยก็ช่วยได้บ้าง หน้าที่ยับเยินเพราะโดนฝูงผึ้งรุมสกรัมมาหมาดๆแบบเหล็กไนยังไม่ทันแห้งก็ต้องรับแรงกระแทกที่หนักหน่วงอีกแล้ว แบบนี้เจ็บยกกำลังสองเลย
ส่วนอีกรายที่ปลิวออกจากมือไอ้ตือหนะเหรอ ต้นเหินอากาศอยู่ไม่นานนักก่อนที่จะคว้าปีกข้างหนึ่งของเจ้าหญิงมดเอาไว้ได้ นั่นรั้งไม่ให้เะอสามารถต่อยตือเต็มแรงได้และทำให้ไม่สามารถบินได้ด้วย ระหว่างที่คนอื่นๆในรถกำลังชุลมุนกับการสู้กับเจ้าหญิง ต้นก็ลากตัวเองขึ้นรถได้สำเร็จเพราะขยำปีกเจ้าหญิงเอาไว้ นั่นทำให้ว่าที่นางพญาโกรธมาก เธอพยายามคว้าร่างของต้นแล้วจัดการเขาซะ แต่เคราะห์ดีที่เธอเองแม้จะดูคล้ายมนุษย์อยู่บ้าง แต่เธอยังมีจุดอ่อนที่แมลงส่วนใหญ่มีคือการถูกโจมตีจากด้านหลัง สรีระของเธอทำให้เธอไม่สามารถคว้าหรือจับอะไรที่เกาะอยู่ข้างหลังเธอได้เพราะมือของเธอยังพัฒนาข้อต่อได้ไม่เหมือนมนุษย์เต็มที่ นี่แค่คร่าวๆ
"ต้น รับ"ไอ้กอล์ฟได้โอกาสก็โยนปืนที่ไม่มีกระสุนให้ต้นซึ่งใช้มืออีกข้างดึงปีกของเจ้าหญิงเอาไว้ เขาใช้มือข้างที่เป็นอิสระจับปืนนั้นแล้วใช้มันเหมือนกับไม้หน้าสาม ต้นกระหน่ำตีหัวของเจ้าหญิงมดดำอย่างไม่ลดละ รวมถึงส่วนอื่นๆบนร่างกายนางที่เขาจัดการได้ด้วย เขาตีใส่หนวดของเจ้าหญิงทันที
"อ้าาาาาาก"เจ้าหญิงร้องโหยหวน หนวดคือจุดอ่อน ซึ่งว่ากันตามหลักการแล้ว หนวดของมดและแมลงอีกหลายๆชนิดมีหน้าที่ใช้ในการรับรู้ สื่อสาร เปรียบเสมือนประสาทสัมผัสของมนุษย์เช่น จมูก ตา หู และปาก และนั่นทำให้ต้นได้รู้มิติใหม่แห่งการทรมาณ แบบไม่ต้องเปลืองแรงมากด้วย ถ้าใครเคยโดนชกที่จมูกจะรู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน นั่นแหละ หากโจมตีที่หนวดของแมลงก็คงจะให้ความรู้สึกไกล้เคียงกัน
"สนุกหละ"ต้นบอกแล้วคว้าหนวดทั้งสองข้าง เขาขยำ ดึง สะบัด กระชาก อัด บิด หยิก จิก หมุนให้เป็นเกลียว เลีย เออ ช่างมันเหอะ แล้วก็ทำทุกอย่างเท่าที่สมองของคนที่จบแค่ม.3จะคิดออก เจ้าหญิงดิ้นพราดๆ ร้องอย่างบ้าระห่ำ บิดตัวทุรนทุราย ทำท่าเหมือนกับแมลงซักตัวที่โดนดึงหนวด และนั่นคือสิ่งที่เธอเป็น มือทั้ง4ของนางสะเปะสะปะไปมาอย่างไร้การควบคุม สุดท้ายไอ้ตือที่โดนชกจนตาเขียวก็ตั้งตัวได้
"ท่าไม้ตาย : พุงชูชก!!!"ตือแขม่วพุงแล้วเอี้ยวตัวเอาไปหาเจ้าหญิงมดดำที่กำลังปวดแสบปวดร้อนอยู่ เขาใช้พลังของพุงที่ขยายกลับมาอัดร่างผอมบางเอวคอดแบบที่มดควรจะมีของว่าที่นางพญาจนปลิวออกจากรถจี๊ปไป เธอพยายามจะบิน แต่ต้นขยำปีกของนางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถกระพือปีกได้ ร่างของนางมดดำกับคนตัดไม้หลงฝูงลอยคว้างไปในอากาศเพราะพลังพุงปืนใหญ่
ปึ๊ด!!! เสียงบางอย่างโดนดึงจนหลุด
"อ้าาาาาาาาาา!!!!!!!!!กรี๊ดดดดด!!!!!!!"เจ้าหญิงมดดำกรีดร้องเมื่อต้นที่กำลังหวาดกลัวสุดขีดดึงปีกของเธอเต็มแรงจนปีกคู่นั้นหลุดออกมาจากขั้ว ใช้แล้ว ต้นเผลอดึงปีกของนางออกมาด้วยมือเปล่าเพราะความกลัว เจ้าหญิงบินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และข่าวใหม่ไฟแรงแบบวินาทีต่อวินาที ทั้งคู่กำลังจะกระแทกพื้น
"โครมมมมม!!!!!!"ทั้งต้นและเจ้าหญิงมดดำที่โดนถอนปีกร่วงลงไปท่ามกลางคลื่นของฝูงมดดำ จนฝูงมดดำที่ว่ากระเด็นกระดอนไปทั่วพื้นที่เหมือนน้ำที่สาดกระเซ็นเวลามีอะไรหล่นลงน้ำ ไม่มีใครอยู่นานพอที่จะได้เห็นว่าต้นเป็นยังไงบ้าง แต่ว่า เราคงหวังให้เขารอดอาจจะมากเกินไป ความสูงขนาดนั้น แล้วยังไม่นับเรื่องที่เขาอยู่ท่ามกลางดงศัตรูแบบไม่มีทางหนี
"ขอให้ไปสู่สุขตินะต้น เราจะไม่ลืมนาย ไอ้ขาว และคนอื่นๆที่โรงเลื่อยเลย"จ่าปลาทำหน้าเศร้าแล้วมองไปยังจุดที่ต้นหล่นลงไป กองทัพมดรุมถล่มจุดนั้นจนเละและมองไม่เห็นวี่แววของต้นเลย ไม่มีแม้แต่มือที่ยื่นออกมาหรือร่องรอยอะไรที่บ่งบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่
"แล้วคนอื่นๆอยู่กันครบมั้ย"หมวดตะวันหันไปถามคนอื่นๆที่เหลือจากการโจมตี เคราะห์ดีที่ไม่มีใครหล่นลงไปอีก ว่าแต่เรามีคนที่ร่วงลงไป2คนหนี่หว่า หมวดตะวันทำตาโตเท่าจานข้าวแล้วหันไปมองซ้ายมองขวาหาหมู่โบกี้
"แล้วหมู่โบกี้หละ"ตือหันไปมองรอบๆ เห็นน้ำอ้อยจับลิ้นของเธออยู่ น้ำอ้อยทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้ น้ำตาไหลพราก ส่งเสียงฟังไม่รู้เรื่อง ลิ้นเธอไม่ได้มีความคงทนได้ขนาดนั้น เมื่อตือหันไปมองอีกด้านของลิ้น ก็พบคำตอบอันไม่น่ามองเท่าไหร่
"พวกแอจาอองอีกนานมั๊ยเอี้ย อาดดดดด"หมู่โบกี้ที่โดนลากไปกับพื้นจนอยู่ในสภาพยับเยินเหมือนกับกระดาษเช็ดก้นตะโกนด้วยความเกรี้ยว ไอ้ตือเห็นดังนั้นเลยดึงลิ้นของน้ำอ้อยลากเอาร่างของหมู่โบกี้กลับขึ้นมาบนรถ หมู่โบกี้อยู่ในสภาพไม่น่าดูเท่าไหร่นัก สภาพของน้ำอ้อยก็เช่นกัน หมู่โบกี้หน้ากลายเป็นสีน้ำตาลแดงเพราะฝุ่นดินติดเต็มหน้า หน้าของเขาเต็มไปด้วยแผลถลอกและรอยฟกช้ำ ส่วนอื่นๆของร่างกายเองก็พังยับเยินแบบว่าต้องการหมอทันทีที่ได้กลับไปกองพัน ผมของหมู่โบกี้ชี้ขึ้นบนเนื่องจากโดนลากไปกับพื้นจนดูคล้ายกับว่าหมู่เปลี่ยนทรงผมไปเป็นทรงพังค์ เอาเป็นว่าเจ็บเอาเรื่องแถมยังมึนสุดๆอีกด้วย ส่วนน้ำอ้อย ทำหน้าเหมือนโดนจับไปเรียนฟิสิกข์ เคมี ชีวะ และ แคลคูลัส ติดกัน16ชั่วโมงรวด ลิ้นของเธอมีแต่ฝุ่นทรายติดเต็มไปหมด แถมยังเจ็บจนแทบขยับไม่ได้เหมือนกับแขนคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกายเวลายกเวทครั้งแรกแล้วเล่นหนักเกินไป ความรู้สึกปวดกล้ามเนื้อแบบนั้นแหละที่เกิดขึ้นกับลิ้นของน้ำอ้อย แม่กบน้อยของเราหางตกกันเลยทีเดียว แถมหมดแรงด้วย
"เอาหน่า หมู่ยังไม่ตาย ยังโอเคอยู่"ไอ้ตือบอกแล้วยิ้มแหยๆ คนอื่นๆเองก็ทำหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เมื่อเห็นสภาพเหมือนปลาบึกชนเขื่อนของหมู่โบกี้ ชาติผิวปากทำไม่รู้ไม่ชี้ กอล์ฟตั้งการ์ดป้องกันเผื่อหมู่โบกี้ว้ากใส่เขา ส่วนจ่าปลาก็ทำหน้าสงสารให้หมู่แต่ก็ไม่พูดอะไร ส่วนตัวหมู่โบกี้เองก็เหนื่อยและเจ็บเกินกว่าจะทำอะไรได้ เขานอนทันทีที่รู้สึกว่าปลอดภัยแล้ว ยิ่งรถเด้งๆโยกๆตามจังหวะหัวใจของคนขับทำหน้าที่เสมือนเปลกล่อมหลับให้กับหมู่โบกี้
บัดนี้ฝูงมดมฤตยูล่าถอยออกไปแล้วเมื่อหัวหน้าของพวกมันถูกพิชิต อีกหนึ่งการปะทะ อีกหนึ่งความผิดหวัง อีกหนึ่งความอับอายของอาณาจักร ขุนพลทั้ง2ถูกพิชิตลงในเวลาไล่เลี่ยกัน มดทุกตัวรู้สึกรับไม่ได้ว่าทำไมผู้รุกรานถึงได้เก่งกล้าขนาดนี้ แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของเรื่องนี้หรอก นางพญาทราบข่าวแล้ว และวันพระไม่ได้มีหนเดียว คราวหน้าที่เจอกัน กองทัพมดดำจะทำให้เหล่าอริราชศัตรูต้องชดใช้ทุกๆย่างก้าวที่พวกมันรุกล้ำเข้ามาและทุกๆชีวิตที่พวกมันพรากจากไป เหล่ามดกระดิกหนวดรับฟีโรโมนก่อนที่จะพาร่างของขุนศึกผู้พ่ายแพ้กลับไปยังรัง
"เอ้า ป้ายหน้า หมู่บ้านของน้ำอ้อย"จ่าปลาตะโกน จิงโจ้ทำหน้างงๆก่อนที่จะหันไปหาหมวดตะวันแล้วเกาหัวแกรกๆ หากทุกคนยังจำได้ มันกำลังขับรถอยู่ นอกจากมันจะไม่มองทางแล้วมันยังขับด้วยมือเดียวอีกด้วย หมวดเอกที่อยู่ในสภาพเหมือนกับเป็นง่อยก็ว่าได้พยายามส่งเสียงออกมาเพื่อบอกทางให้นักซิ่งใจระห่ำได้รับรู้
"หนอง แค็กๆ เห็ดกระสือ ไป แค็ก เร็ว"หมวดเอกพูดก่อนที่จะอ่อนแรงลงแล้วนอนซุกแขนของหมวดตะวัน ซึ่งหมวดตะวันก็พยักหน้าให้จิงโจ้รู้ นักซิ่งร้อยไมล์ของเราเลยเหยียบคันเร่งพาวิญญาณดวงน้อยๆอีก18ชีวิตที่เหลือเหินฟ้าทะยานดินทะลุช่องโห่วแห่งกาลเวลาไปด้วยกัน เสียงร้องขอชีวิตและเสียงสวดมนตร์ของผู้โดยสารทำให้จิงโจ้รู้สึกสดชื่นเหมือนยืนบนไหล่เขา เหมือนกับพญาอินทรีย์ที่โผบินลงมาจากหน้าผาสูงชัน ความรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งแบบนี้ไม่ได้มีกันง่ายๆ สายลมเย็นๆที่พัดมาปะทะกับหน้าและความเร็วที่ทำให้รู้สึกว่าภาพด้านหน้าเบี้ยวไปมาเพราะมิติแห่งกาลเวลาถูกทำลาย เออ น่าจะเป็นเพราะมองไม่ทันมากกว่า จิงโจ้ขับรถอย่างอารมณ์ดี ต้นไม้แห้งตายและพื้นดินแห้งแล้งค่อยๆจางลงไปในสายตา ไม่นาน พันธมิตรแห่งหมู่หมูแอนด์หอย+หางเครื่องก็เห็นเนินหินสีขาว
"เออ พอเห็นเนินนี้ทีไรรู้สึกร้อนเนอะ เหมือนกับว่าเราได้เจอพัดลมแถวๆนี้"ไอ้ชาติกำลังฟื้นความทรงจำกับเพื่อนๆร่วมหมู่ หลายๆคนต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความฉงนงงงวยแต่แล้วก็เริ่มนึกออกว่ามีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางหินสีขาวร้อนระอุพวกนี้ทำให้หลายๆคนจำได้ว่า น้ำอ้อยซึ่งไม่สามารถใส่รองเท้าได้แล้วในตอนนั้นเดินข้ามไม่ได้ จ่าปลาเลยแบกน้ำอ้อยข้ามไปยังอีกฟากของเนินหินที่ว่านี้นี่เอง
แล้วก็ พอน้ำอ้อยกระดิกหาง มันก็เหมือนกับเป็นพัดลมธรรมชาติให้หลายๆคนได้ชื่นจายเพราะหางของน้ำอ้อยมีลักษณะเป็นใบพายเอาไว้ช่วยว่ายน้ำ(หางลูกอ๊อด)พอกระดิกไปมาแล้วทำหน้าที่เหมือนพัดลม
"น้ำอ้อย นั่งหน้าแล้วกระดิงหางแรงๆเลยนะ เราร้อน"ไอ้กอล์ฟบอกน้ำอ้อย เขาเองก็ติดใจพัดลมธรรมชาติพลังลูกอ๊อดเหมือนกัน ตือกับชาติมองหน้ากันไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มกว้างตามด้วยเสียงเชียร์กันยกใหญ่ กรอบเองก็ร่วมขบวนด้วย คนจากหมู่หอยแครงลวกทำหน้าประหลาดใจแล้วขมวดคิ้วกัน
"ทำไมเหรอ เด็ก กบ อะไรก็ช่างนี่ มัน เออ เธอทำอะไรได้เหรอ"หมู่ไก่แห่งหมู่หอยแครงลวกไม่รู้จะเรียกน้ำอ้อยว่าอะไรดีเพราะเธอเองก็เป็นทั้งคนและทั้งกบ นอกจากนั้นยังไม่รู้จะใช้คำสรรพนามยังไงด้วย เขาทำหน้าตาไม่ต่างจากคนอื่นๆ หน้าเหมือนกับโดนสารวัตรเกรียงไกรสั่งวิดพื้น50ครั้งทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ปริศนานี้ช่างน่าฉงนยิ่งนักสำหรับคนที่ไม่เคยได้เจออะไรแบบน้ำอ้อยมาก่อน
"เดี๋ยวก็รู้"ไอ้กรอบที่เงียบมานานบอกแล้ว อากาศร้อนๆ ความตื่นเต้นจากการเจอสาว(ที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่และเธอมีร่างกายส่วนใหญ่เป็นแมลง) และความเหนื่อยล้านี้ คงจะดีน่าดูหากมาพัดลมดีๆซักเครื่อง หรือ ซักตัว ตือเอาตัวน้ำอ้อยไปนั่งอยู่ระหว่างที่นั่งคนขับกับข้างที่นั่งคนขับ แล้วคุ้ยกระเป๋าหาเศษขนมที่เหลือจากการทำลายล้างของพวกตะกละเกินงาม(น้ำอ้อย ฟองดู และตัวเขาเอง ตอนเช้าที่ร่องเขาเดือนดับหลังจากซดกับพี่หมีใจดำหน้าอกสามบั้ง) โยนให้น้ำอ้อยกินซึ่งได้ผล พอน้ำอ้อยอารมณ์ดีขึ้นแล้วหางของเธอก็กระดิกเหมือนกับหางของหมาไม่มีผิดเลย ทุกๆคนรีบออกันแย่งลมที่เกิดจากพัดลมหางลูกอ๊อด แม้แต่เจ้าฟองดูเองก็ยังแย่งพัดลมกับเค้าด้วย แต่ว่าเนยซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเต็งด้านการแย่งของ(แหงหละ เป็นนักข่าวหนิหน่า)กลับนั่งจุ้มปุ๊กทำหน้าเศร้าเคล้าความเซ็ง กล้องบาซูก้าไปซะแล้ว ส่วนด็อกเตอร์นะเหรอ ชุดกันรังสีกันลมได้ เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องไปแย่งอะไรกับคนอื่นๆเขา แค่แบกคู่ขาอะมีบาที่สลบไสลไม่ได้สติมาตลอดทางก็เล่นเอาชายชราโรคขาดสารอาหารคนนี้เหนื่อยแย่แล้ว
"อ้าห์ สดชื่นนนน เฮ้ย อย่าเบียดเด้"ไอ้ด้วงกำลังจะแย่งพัดลมกับคนอื่นๆแต่ว่าโดนตือเบียดแล้วตือก็โดนจ่าปลาเบียดอีกทีตามด้วยจ่าโดนชาติเบียด ตอนนี้ตรงด้านหลังน้ำอ้อยกลายเป็นจุดรับลมเย็นฉ่ำที่ทุกคนพยายามจะแย่ง เหมือนกับโอเอซิสท่ามกลางทะเลทรายที่ทุกคนต้องการมาพักผ่อน ตอนนี้ด้านหลังเบียดกันไปแย่งกันมาเหมือนเด็กๆแย่งของเล่นไม่มีผิดเลย กอล์ฟคอยเติมขนมให้น้ำอ้อยเพื่อเพื่มแรงลมจากการกระดิกหาง ตอนนี้การหาที่มีลมพัดกลายเป็นวาระแห่งคณะสัมพันธมิตรหมูแอนด์หอยไปซะแล้ว
"หมวดเอก ผมโดนแย่งที่"ไอ้กรอบร้องขณะที่เขาพยายามจะแย่งที่นั่งหน้าตรงที่รับลมจากน้ำอ้อยได้เต็มๆซึ่งคนอื่นไม่ยอมโดนแย่งไปเฉยๆแน่
"ไอ้กรอบก็แย่งที่"ชาติประท้วง ในขณะเดียวกันเขาก็ขึ้นไปเกาะบนตัวไอ้ตือเพื่อที่จะรับลมกับเขาบ้าง แต่เหมือนกับว่าลมที่อยากได้ห่างไปแค่เอื้อมแต่เอื้อมยังไงก็ไปไม่ถึงซักทีเพราะว่ามีคนคอยดันตลอดทำให้ต้องวนอยู่อย่างเนี้ย
"ไม่แฟร์"ใครซักคนท่ามกลางความเละเทะโวยออกมา
"ว้าก"ใครอีกซักคนกำลังร้องเพราะโดนเหยียบเท้า
"จะว่าไปนะ ถ้ากลับไปได้แบบเป็นๆหมวดจะไปเช่าพระมาซักพวงใหญ่ๆ"หมวดตะวันทำหน้าตาหน่ายสุดขีด เขาเอี้ยวตัวหันไปมองเดอะแก๊งค์กำลังทำอะไรที่เหมือนกับหลุดออกมาจากโรงพยาบาลบ้า แค่มองก็ทำให้คณะที่เหลือหยุดแย่งพัดลมกันได้แล้ว ยกเว้าฟองดูที่ตะกายขึ้นมาทั่งอยู่ด้านหลังน้ำอ้อยพอดี
"ทำไมอ่ะ"หมู่ไก่รองหัวหน้าหมู่ของหมู่หอยแครงลวกทำหน้างงแล้วถาม เขาเกาหัวแกร็กๆแล้วมองพรรคพวกที่เบียดเสียดนั่งกันไม่เป็นท่า แต่นั่นก็ไม่ทำให้หมู่ไก่รู้สึกรู้สาอะไรเลย
"ดูจากคุณภาพข้าราชการที่อยู่ข้างหลังเราแล้ว เราคงต้องพึ่งโชคมากกว่าฝีมือ ดูสิ แต่ละตัว หมดหวังหว่ะ ทำตัวเหมือนกับเด็กปัญญาอ่อน ไม่แปลกใจเลยทำไมเราไม่เคยจับพวกแก๊งค์สิงค์อุ้มลูกล้อได้สำเร็จ"หมวดตะวันโวยแล้วส่งรังสีอำมหิตมาทางเดอะแก๊งค์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หมู่คณะพันธมิตรนั้นสำเหนียกอะไรขึ้นมาเลย ตามจริง คุณภาพของทั้ง2หมู่นี้ก็ไกล้เคียงกัน ความประพฤติก็เลยเหมือนๆกัน รวมถึงระดับสติปัญญาและผลงานด้วย เพียงแต่ว่าการปกครองของหัวหน้าหมู่ทั้ง2นั้นแตกต่างกัน หมวดเอกมักจะปล่อยให้พวกลูกน้องออกไปทำอะไรโง่ๆตามประสาบ้าง โดยปกติถ้าหากเป็นตลกปัญญาอ่อนที่ไม่มีพิษมีภัยหมวดเอกจะไม่ห้าม ประมาณว่าเลี้ยงแบบปล่อยไม่เครียดไม่ซีเรียส ถ้าลูกน้องทำผิดหรือก่อความเดือดร้อนค่อยมาวัวหายล้อมคอก ส่วนหมวดตะวันนั้นมักจะเล่นบทซีเรียสบ่อยกว่าหมวดเอก รวมถึงเก็กหน้าเข้มได้เนียนกว่าหมวดเอก โวยวายบ่อยกว่า ด่าแรงกว่า แต่ถึงอย่างนั้น เขาเองก็ปล่อยให้ลูกน้องเล่นตลกบ้างเป็นช่วงๆ แต่ไม่บ่อยเท่าที่หมวดเอกยอมให้ลูกน้องของเขาไปทำอะไรตลกๆหรอก
"เอาพัดลมป่ะ หมวดคงร้อน เลยอารมณ์เสีย"ชาติพูด ทำเอาทุกคนช่วยกันปิดปากชาติแทบไม่ทัน ซึ่งหมวดเอกที่รู้ระดับสติปัญญาของชาติจะไม่ค่อยว่าอะไร แต่ว่าสำหรับหมวดตะวันแล้ว นี่ไม่ใช่มุขตลก นี่เป็นการหยามน้ำหน้าและเป็นการทำลายระเบียบในแถว เสมือนการท้าทายอำนาจการปกครองของตนซึ่งหมวดตะวันไม่ตลกด้วย
"ไม่เอาว้อยยยย!!!!!!"หมวดปั้นหน้ายักษ์ตะคอกใส่ ถ้าเติมเขี้ยวเข้าไปเราคงได้ทศกัณฐ์บนรถคันนี้แน่ๆ หน้าของหมวดตะวันค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงตามชื่อ ในระหว่างที่คนอื่นๆกำลังกอดกันแน่นเพราะความกลัว ชาติกลับจับตัวน้ำอ้อยหันหลังไปหาหมวดตะวันแทน
"อ้าห์ สดชื่น เออ หมายถึง พวกแกจะเล่นอะไรก็เล่นไปเหอะ"หมวดตะวันใจเย็นลงในทันใด ก่อนที่จะหันไปทำหน้าเบื่ออยู่ที่เดิม ตรงที่นั่งข้างคนขับ แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกตัว ที่เราผ่านป่าต้นไม้ตายมาค่อนข้างไกลมากแล้วหนี่หว่า ไอ้จิงโจ้มีฝีมือขับที่ไม่ธรรมดาจริงๆ หรือว่ามันขับเร็วจนทะลุมิติเวลามาได้จริงๆเนี่ย ช่างมันเถอะ น่าแปลกนะ ปกติหมวดตะวันน่าจะปรอทแตกไปแล้ว แต่ว่าคราวนี้เขากลับใจเย็นลงและยอมให้สารพัดลูกสมุนเล่นอะไรโง่ตามใจชอบ อาจจะเป็นเพราะว่าชาติไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัว ไม่ใช่เพราะมันใจกล้า แต่มันไม่รู้ว่าหมวดตะวันน่ากลัว ซึ่งคนประเภทนี้ต่อให้ใช้ไม้แข็งแค่ไหน ไม้ก็หักเปล่าๆ
"เฮ้ย พวก นึกออกแล้ว ฟิลด์ทริปแบบนี้เราต้องทำอะไรที่นักท่องเที่ยวเค้าทำกันหน่อยมั้ยหละ"ไอ้กอล์ฟออกความเห็นระหว่างที่ป้อนเชื้อเพลิง(ขนม)ให้พัดลม(น้ำอ้อย)อยู่ เขาเริ่มเบื่อระหว่างที่คนอื่นๆกำลังแย่งพัดลมกันใหญ่ ซึ่งการแย่งของไม่ใช่เรื่องที่กอล์ฟถนัดซะด้วยสิ
"เออ จำได้มั้ยคราวที่แล้วเกิดอะไรขึ้น โอ้ว เราคงไม่อยากใช้เวลาตลอดทางโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้มีจิงโจ้เป็นคนขับรถ ในการฟังหมู่โบกี้โม้เรื่องการผจญภัย ความยิ่งใหญ่ และ เรื่องราววัยเด็กของมันหรอกใช้มั้ย"หมู่ไก่บอก แต่ว่าพอหันไปทางหมู่โบกี้ที่นอนหมดรูปสภาพคางเหลืองหน้ายับปากเยินเดินเหินไม่ได้น้ำลายไหลแถมไหล่หลุดเสื้อผ้าสภาพดูแล้วเหมือนยูนิฟอร์มขอทานมากกว่าเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เท่านี้ก็พอเดาได้แล้วว่าทริปทัวร์หุบเขาดงโขมดเย็นงวดนี้น่าจะมีอะไรทำมากกว่านั่งฟังชีวประวัติของไอ้ขี้โอ่ประจาหมู่หมูมะนาว
"กินขนมดิ ว่าแต่ เราไม่มีขนมเหลือเลย"ไอ้ตือออกความเห็นแต่ว่าพอได้เห็นสภาพว่างเปล่าของกระเป๋าเสบียงก็ทำหน้าจ๋อยลงในทันใด
"โทรไปกวนกองพันเล่นเป็นไง เออ สัญญาณโดนตัดหนี่หว่า"ไอ้ด้วงออกความเห็นแต่ว่าเขาเองก็ทำหน้าเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ นับตั้งแต่ประเทศเพื่อนบ้านสุดที่รักของเราสามารถไปอ้อนประเทศมหาอำนาจแห่งหนึ่งจนได้ของขวัญชิ้นโต เครื่องรบกวนสัญญาณรุ่นใหม่ล่าสุดที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการปิดประตูตีแมวใครก็ตามที่บังอาจมาเหยียบสนามหลังบ้านคนอื่น นอกจากนั้นของขวัญสุดหรูแบบ too good to be true ที่เพื่อนบ้านของเราได้รับคือเครื่องยิงจรวดนำวิถีสุดเทพที่ออกแบบมาสำหรับต่อต้านอากาศยานหลากหลายประเภท ความแม่นยำสูง และ นั่นแหละ หนึ่งในจุดเริ่มต้นของความหายนะในครั้งนี้
แต่ในอีกความหมายนึง หมู่หอยแครงลวกชอบโทรไปกวนประสาททางกองพันเพื่อความบันเทิง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเบอร์ฉุกเฉินต่างๆถึงได้ใช้การไม่ได้ เพราะว่ามันมีคนเช่นนี้ทุกๆหนแห่งนี่เอง โทรไปกวนจัง พอเกิดเหตุจริงๆเค้าก็ไม่รับตามสูตรเด็กเลี้ยงแกะ ก็เลยมีคนต้องตายฟรีเจ็บฟรีอยู่เรื่อยๆทั้งๆที่โทรไปหากู้ภัยได้นั่นเอง ให้ตายเถอะอาก้า
"เอางี้ละกัน ร้องเพลงเล่นดีมั้ย แบบร้องเพลงรอบวง ใครไม่ได้แพ้ คนแพ้เลี้ยงข้าวรอบวงหากเรากลับไปได้"ไอ้กรอบออกความเห็น คนอื่นๆก็มองหน้ากันไปมา ยักไหล่ เอายังไงก็ได้ เพราะว่าอย่างน้อยเล่นรอบวงที่มีสมาชิกขนาดนี้ก็น่าจะสนุกอยู่ ที่สำคัญ มีเดิมพันไว้ด้วยทำให้การละเล่นครั้งนี้ยิ่งฟังดูน่าสนุกเข้าไปใหญ่
"ร้องก็ร้อง เอ้า ไม่มีอย่างอื่นให้ทำฆ่าเวลาแล้วหนี่หว่า"หมู่ไก่ตอบแล้วจากนั้นก็เริ่มตรบมือเป็นจังหวะ คนอื่นๆเองก็เริ่มตรบมือเป็นจังหวะแล้วส่ายตัวไปมา ใครจะเป็นคนเปิด
"หนูเปิดเอง"น้ำอ้อยหันหน้ามาทางเดอะแก๊งค์ ทุกคนมองหน้ากันไปมาอีกรอบแล้วก็ยักไหล่ ทำท่าเหมือนกับไม่รู้จะทำยังไงต่อแล้ว ก็เลยให้น้ำอ้อยเปิดเพลงแรก ที่สำคัญ ให้น้ำอ้อยเป็นคนเปิดหมายถึงเธอจะไม่ต้องเป็นคนเล่น ซึ่งเด็กอย่างเธอคงไม่มีเงินเลี้ยงข้าวรอบวงหรอกหากเธอแพ้ ให้เป็นคนกลางดีที่สุด
"งั้นหนูเริ่มเลยละกัน ร้องตามหนูนะ ใครช้าเกิน3วินาทีแพ้
โอลแมคโดนัลด์ แฮดอะฟาร์ม อี๊ยาอียาโอ
แอนด์ออนฮิสฟาร์ม ฮีแฮสอะ . . ."น้ำอ้อยชี้ไปที่จ่าปลา เป็นสัญญาณว่าเขาต้องต่อท่อนต่อไป
"ฟิช อี๊ยาอียาโอ
อิสอะ บุ๋ง บุ๋ง เฮีย อิสอะ บุ๋ง บุ๋ง แด
บุ๋ง แล้วก็ บุ๋ง แล้วก็ บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง"จ่าปลารีบตอบสนองอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นเพราะสัตว์ที่เธอเลือกนั้นเป็นตัวเดียวกับที่อยู่บนชื่อของเธอนั่นเอง จ่าปลาร้องเพลงเพราะและชอบเล่นบทพี่สาวคนสวยแสนดีรักเด็ก ก่อนที่น้ำอ้อยจะกลับไปร้องท่อนหลักอีกรอบ จากนั้นคนต่อไปที่ได้เป็นผู้โชคดีคือ กอล์ฟ
"ดั๊ก อี๊ยาอียาโอ
อิสอะ ก้าบ ก้าบ เฮีย อิสอะ ก้าบ ก้าบ แด
ก้าบ แล้วก็ ก้าบ แล้วก็ ก้าบ ก้าบ ทำ ลาบ"กอล์ฟร้องเท่าที่ตัวเองนึกออก แล้วก็วนต่อไปเรื่อยๆ รายต่อไป หมู่ไก่
"ชิกเก้น อี๊ยาอียาโอ
อิสอะ กะต๊าก เฮีย อิสอะ กะต๊าก แด
ต๊าก แล้วก็ ต๊าก แล้วก็ เอ้ก อี เอ้ก เอ้ก"หมู่ไก่ร้องเพลงโดยมีต้นแบบมาจากชื่อตัวเองซึ่งไม่น่าแปลกใจอะไร จ่าปลาเองก็ทำเหมือนกัน คนต่อไป กรอบ
"ฟร๊อก อี๊ยาอียาโอ
อิสอะ อ๊บ อ๊บ เฮีย อิสอะ อ๊บ อ๊บ แด
อ๊บ แล้วก็ อ๊บ แล้วก็ หนู กลัว จุง เบย"กรอบเกรียนใส่น้ำอ้อยเต็มที่ เกรียนแบบชนิดที่คนอื่นๆบนรถขำกลิ่งกันเป็นแถว น้ำอ้อยหยุดร้องเพลงไปซักพัก ทำหน้าตาเหมือนกับเด็กเวลาที่แม่ไม่ยอมซื้อของเล่นให้ กรอบเห็นแบบนั้นก็เลยลูบหัวน้ำอ้อย2-3ทีก่อนที่จะให้น้ำอ้อยร้องเพลงต่อ ยังมีอีกหลายคน และผู้โชคดีคนต่อไปคือ ตือ
"พิ๊ก อี๊ยาอียาโอ"ตือร้องเพลงต่อแต่ว่าอยู่ๆก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นมา พื้นดินค่อยๆสั่นสะเทือนแรงขึ้นทีละนิด ทีละนิด เสียงแหลมเหมือนตัวอะไรกำลังจะตายค่อยๆดังขึ้น เสียงแสบแก้วหูที่รบกวนโสตประสาท เมื่อมองดูรอบๆกาย ที่นี่เป็นป่าที่มีต้นไม้หนาทึบ มีบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วจากด้านบน มันดูคล้ายๆกับปลาหมึกสีเขียว เพียงเท่านี้ หมู่หมูมะนาวก็รู้ตัวแล้วว่าพวกเขากลับมายัง ลานมันเทศ สถาณที่มีมันเทศอร่อยๆอยู่ นอกจากมันเทศแล้ว ที่นี่ยังมีสิ่งมีชีวิตตระกูลปรสิตอันน่าหวาดกลัวอยู่ด้วย
"อู๊ด อู๊ด อู๊ด อี๊ดดดดด!!!!!!!"เสียงร้องประสานเสียงที่น่าสะพรึงกลัวของหมูป่าดังขึ้น เสียงหมูป่ากรีดร้องพวกนี้สั่นประสาทได้มากกว่าที่มดพวกนั้นทำได้เสียอีก แม้จะวัดด้านจำนวนหมูป่าที่โดนกาฝากหมูเข้าสิงจะมีจำนวนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่รูปร่างของมัน สิ่งที่ขี่มันอยู่ และเสียงร้องที่ทำให้รู้สึกเหมือนหลุดออกมาจากโรงฆ่าสัตว์นั้นช่างเขย่าขวัญและสะเทือนขวัญ มันเหมือนกับเราอยู่ท่ามกลางหมูซอมบี้ที่โดนปรสิตร้ายเข้าควบคุม ซึ่งสิ่งที่เราเผชิญอยู่นั้นน่าจะอธิบายได้แบบนี้ ดวงตาสีเหลืองอำพันที่เหม่อลอยเพราะโดนควมคุม การเคลื่อนไหวที่ดูแข็งทื่อผิดธรรมชาติ เสียงร้องที่เหมือนออกมาจากห้องทรมาณนักโทษไม่ก็โรงเชือดหมู ปากที่อ้าเหวอและน้ำลายที่ไหลย้อย นี่แหละฝันร้าย ฝันร้ายตัวเป็นๆ มันวิ่งเคียงคู่กับรถจี๊ปและเข้าจู่โจม เสียงที่เหมือนกับหมูหายใจไม่ออกของมันทำให้ทุกขนขนลุกจนขนเส้นสุดท้าย จะว่าไปเราคาดว่าจะได้ยินเสียงสั่นประสาทแบบนี้ในห้องทดลองของด็อกเตอร์ แต่เรากลับได้ยินมันตอนที่ออกมาจากแล็บแล้วนี่สิ
"โอลแมคโดนัลด์ ช่วยหนูด้วย"น้ำอ้อยพูดแล้วรถก็โดนหมูป่าวิ่งเข้าชน ไม่เพียงแค่หมูป่านรกพวกนี้จะส่งเสียงเหมือนเป็นหอบหืดระยะสุดท้ายที่ทำลายขวัญและกำลังใจของเรา เสียงกรีดร้องปลุกไมเกรนของกาฝากหมูประสานคล้องจองกับเสียงร้องของฝูงหมูผู้โดนเข้าสิง ผสานถักทอขึ้นมาเป็นบทเพลงแห่งความป่าเถื่อนและความโหดร้าย พวกมันกรีดร้องอย่างกราดเกรี้ยว กาฝากที่บิดเบี้ยวเหล่านั้นหย่อนตัวเองลงมาจากยอดไม้แล้วพยายามใช้เถาของพวกมาเข้าควบคุมผู้คน มันเล็งการโจมตีที่กระดูกสันหลังและเส้นประสาท หมายจะให้เราไปเป็นหนึ่งในหุ่นกระบอกที่พืชจากนรกเหล่านี้ควบคุมประดุจร่างของพวกมัน การโจมตีทางอากาศหย่อนลงมาเรื่อยๆ ดีที่ฝีมือการขับรถแบบต่อต้านแรงโน้มถ่วงและหลบหลีกในทึ่แคบของจิงโจ้นั้นไม่ธรรมดา จิงโจ้เหยียบคันเร่งก่อนที่จะพายานพาหนะสุดโทรมคันนี้ตะบี้ตะบันฝ่าสายฝนแห่งปรสิตพวกนี้ไปอย่างทุลักทุเล
"ก๊าซซซ!!!กรี๊ดดด!!!! ก้าาาาา!!! กี้!!!! อี๊ดดดดดด!!!!! อ๊าดดดดดด!!!!! อู๊ดดดด!!!!"เสียงร้องคล้องจองอันเปรียบเสมือนเพลงศึกของปรสิตที่น่ารังเกียจดังกึกก้องไปทั่งพื้นที่ป่าไม้ ฝูงหมูป่าผู้โดนเข้าสิงที่ปราศจากความเจ็บปวดและหวาดกลัวเหล่านี้ไม่หวั่นแม้ว่าจะต้องปะทะกับโลหะ เจ้าหมูป่าเข้าขนาดตัวรถเพื่อให้กาฝากที่เกาะอยู่เต็มหลังเข้าโจมตี แต่ว่าสมาชิคพันธมิตรหมูแอนด์หอยได้เข้าขัดขวางการโจมตีที่น่ากลัวเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถ กาฝากต้นแล้วต้นเล่าโดนหวด สับ และตีจนกระเด็นหายไปจากแนวสายตา บางต้นโดนล้อรถบดขยี้จนกระจุยยับเยิน หมูบางตัวพยายามเข้ามาขวางหน้ารถเลยโดนชนซะปลิว หมูป่านั้นขนาดไม่ได้ใหญ่โตโออาอะไรนักหนาหากเทียบกับหมูบ้าน พอโดนรถเสยก็กระจุยอย่างง่ายดาย
"อี๊ดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!"หมูป่าตัวใหญ่ที่มีกาฝากต้นสีเขียวเข้ารัดอยู่รอบๆเข้าชาร์จใส่รถจี๊ปอีกครั้งแต่ว่าจิงโจ้เหยียบคันเร่งให้รถไปเร็วขึ้นอีกทำให้หมูป่าตัวนั้นพลาดเป้าหมายวิ่งไปชนเพื่อนของมันอีกตัวแทน เสียงร้องระงมของหมูป่าและเสียงแหลมสูงเสียดประสาทของกาฝากทำให้จ่าปาลเริ่มปวดหัวแล้วก็กำลังเสียการควบคุมระหว่างที่รถพุ่งไปข้างหน้า ฝ่าอาณาเขตและดินแดนอันน่ากลัวนี้ กาฝากพยายามจะเข้ามาใส่รถจี๊ปแต่ว่าจิงโจ้ดริฟหลบกาฝากฝูงใหญ่ที่แห่กันลงมาจากเบื้องบน เสียงที่ชวนให้อึดอัดและหายใจไม่ออกเหล่านี้ทำให้สถาณการณ์ตึงเครียดขึ้นมาก
"แข็งใจไว้ทุกคน เรากำลังจะออกไปจากที่นี่แล้ว"หมวดตะวันร้องให้ทุกคนได้ยินระหว่างที่สมาชิคกำลังดึงเอากาฝากโยนออกไปนอกตัวรถและหลีกเลี่ยงการโดนเข็มแหลมๆตรงปลายปากของมันแทง ทันใดนั้น หมูป่าที่ตัวใหญ่แบบที่ไม่มีหมูหน้าไหนใหญ่ขนาดนี้มาก่อนก็ปรากฏกายขึ้นอยู่บนเนินดินขนาดใหญ่ด้านหน้า ขนหยาบกร้ายดกหนาสีขาวราวกับหิมะปลิวสะบัดไปตามสายลม ไม่มีกาฝากหรือปรสิตอะไรเกาะอยู่ หมูตัวนี้แปลกกว่าหมูป่าตัวอื่นๆ มันไม่ได้ดูผิดเพี้ยนและไร้สติเหมือนกับหมูป่าที่โดนกาฝากเข้าสิง ดวงตาสีเหลืองอำพันของมันแน่วแน่ มันหายใจแรงและสำบัดเขี้ยวโง้งของมันไปมาอย่างดุร้าย มันตะกุยดินอยู่ไม่กี่ทีด้วยกีบเท้าหน้าก่อนที่จะออกวิ่งมาทางเรา ร่างใหญ่โตราวกับโต๊ะกินข้าวของมันแหวกหน้าดินไกล้เข้ามาเรื่อยๆ
"อี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!"เสียงร้องก้องกังวานที่บ่งบอกถึงพละกำลังและพลังอำนาจของสัตว์ป่าแห่งหุบเขา น่าเกรงขาม ทรงพลัง มีอำนาจ สง่างาม หมู่หมูมะนาวและหอยแครงลวกไม่เคยเจอหมูป่าที่ไหนมีคุณสมบัติแบบนี้มาก่อนเลย พญาสุกรสีขาววิ่งเข้ามาอย่างมุ่งมั่น และจากสายตาคู่นั้น มันเอาจริงแน่
|
|
|
Post by happytatar on Jul 13, 2018 21:00:13 GMT
29.inconvenient truth : ความจริงที่เจ็บปวด
ท่ามกลางความวุ่นวายในผืนป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ อสูรกายรูปร่างบิดเบี้ยว ปรสิตที่ดูเหมือนจะอิมพอร์ตส่งตรงมาจากขุมนรกโดยแท้ สัตว์ทดลองที่ทรงพลังและบิดเบี้ยวเกินจินตนาการ สัตว์รังควาญกากๆและแมลงศัตรูพืชที่มีขนาดขยายใหญ่ขึ้นจนน่ากลัว และการค้นพบที่ไม่น่าชมซักเท่าไหร่ การทดลองวิทยาศาสตร์ผิดกฏหมาย การเมืองระหว่างประเทศที่อยู่ในมือของไอ้งั่งอารมณ์ร้อน เหล่าอาชญากรเลือดเย็นและขบวนการลักลอบขนคนเข้าเมือง ชะตากรรมของธรรมชาติและการรุกรานของมนุษย์ สิ่งที่แปรเปลี่ยนป่าสงวนแห่งนี้ให้กลายเป็นฝันร้ายบนดินกำลังนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถเรา อีกไม่นาน ภารกิจอันยากลำบากและยาวนานของหมู่หมูมะนาวและหอยแครงลวกกำลังจะเสร็จสิ้นลง และหนึ่งในนั้นคือ การพาสมาชิกของหมู่กะเพราทมิฬกลับไปยังกองพัน และเรากำลังจะไปถึงสถาณที่หลบภัยของพวกนั้นในไม่ช้า ใช่แล้ว หมู่บ้านของน้ำอ้อยที่อยู่ข้างๆหนองเห็ดกระสือ เราจะต้องรอดออกไปจากดินแดนแห่งฝันร้ายนี้
บัดนี้เราอยู่ในบริเวณของลานมันเทศที่ เออ เต็มไปด้วยกองทัพหมูป่าที่โดนกองทัพกาฝากเข้าสิง เนื่องจากคราวที่แล้วที่เราเจอพวกมัน เรื่องจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ งวดนี้พวกมันเลยระดมไพร่พลกะจะเอาคืน นั่นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่เราควรจะกังวล ตอนนี้มีหมูป่าสุดเท่ขนสีขาวสะบัดปลิวที่ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากฮอลลีวู๊ดฟาร์ม ถ้าให้มันใส่แว่นกันแดดจ๊าบๆซักอันคงเอามันไปแสดงหนังได้เลย มันกระโจนลงมาจากเนินดินสูงชันแล้วพุ่งทะยานเข้ามาทางเราอย่างมั่นใจและเข้มแข็ง ตอนนี้จิงโจ้กำลังจะใช้การขับรถที่ว่ากันว่าระห่ำที่สุดเข้าต่อกรกับพญาหมูป่าขนขาวตัวนี้
"อี๊ดดดดดดดดดด!!!!!!!!!"พญาหมูป่าควบทะยานแหวกอากาศฝ่าธรณีเข้ามาด้วยความคึกคะนอง มันเข้ามาไกล้รถจี๊ปบุโรทั่งคันนี้เข้ามาทุกทีก่อนที่จะเบี่ยงตัวหลบด้านข้างอย่างกระทันหัน แปลกนะที่หมูป่าที่ดูมุ่งมั่นแบบนั้นยอมเบี่ยงตัวหลบฝ่ายตรงข้าม
"ฟุ่บ"มันกระโดดใส่ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างแล้วดีดตัวขึ้นไปในอากาศ ทุกๆชีวิตบนรถคันนั้นแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หมูบิน หมูป่าบิน มันตีลังกาหมุนตัวกลางอากาศเหมือนกันนักกระโดดน้ำมืออาชีพตามทีวี ในโมเมนท์นั้น มันอยู่เหนือรถเรา หมุนตัวดุจสว่าน ตอนที่มันหมุนมาทางเรามันกระพริบตาให้เราทีนึงด้วย เท่มาก เท่วัวตายควายล้ม เท่เป็นพระเอกหนังเลย เท่จนน่าหมั่นไส้ หมูอะไรโครตเท่ มันหมุนตัวเป็นเกลียวแล้วดีดตัวจากต้นไม้อีกต้นที่มันพุ่งใส่ขณะอยู่กลางอากาศ จากนั้นมันก็เข้าปะทะกับฝูงหมูป่าไร้สติที่โดนกาฝากสิงอยู่อย่างแรงจนดูเหมือนกับว่ามันเป็นลูกโบว์ลิ่งแล้วหมูป่าตัวอื่นๆเป็นพินโบว์ลิ่ง หมูตัวแล้วตัวเล่าโบยบินเหินอากาศปานหลุดมาจากซีรีส์ปักษาพิโรธ (อันที่มันมีหมูตัวเขียวๆแล้วนกโมโหหลายๆตัว)
"อู๊ดดดด!!!!! อี๊ดดดดด!!!!! อู๊ดดดด!!!!!"น่าประหลาดใจยิ่งนัก เจ้าหมูป่าตัวนี้เข้าโจมตีเพื่อนหมูป่าด้วยกันอย่างดุดัน มันเข้าด้านข้างอย่างเฉลียวฉลาดแล้วเข้าขวิดพืชปรสิตที่เข้าสิงสู่บนหลังของหมูป่าอีกตัว รากของกาฝากต้นนั้นขาดสะบั้นแทบจะในทันทีที่เจ้าหมูป่าขนขาวสะบัดหัวขวิดมันจดมันกระเด็นไปกองอยุ่กับพื้น
"ว้าว ถ้าหากชั้นยังมีกล้องของขั้นอยู่ นี่จะต้องเป็นฉากแอ็คชั่นที่ขายดีสุดๆแน่ๆ"เนยรำพึง กล้องของเธอแตกกระจุยตอนที่โดนเจ้าหญิงมดดำเบอร์2เขวี้ยงก้อนหินใส่ นั่นแหละ ตู้มเดียวทะลุเลย แถมที่แย่กว่านั้น กล้องที่ว่าเนี่ยราคาค่อนข้างสูงเอาเรื่องเลย ถ้าหากเนยไม่สามารถขายข่าวชุดนี้ได้ หรือทำอะไรที่มันทำกำไรได้ทีละมากๆ การเดินป่างวดนี้เธอคงจะเจ็บตัวฟรีแถมกล้องยังพังอีก ในหัวของเธอตอนนี้กำลังคิดถึงใบแจ้งหนี้อันน่าสะพรึงที่เธอต้องเผชิญทุกๆเดือน แล้วถ้าเธอหาเงินไม่พอที่จะจัดการหนี้ทั้งหลายหละ แค่นึกถึงหน้าของแม่ที่ผิดหวังในตัวเธอเวลาโดนยึดบ้านยึดรถ นั่นน่ากลัวยิ่งกว่าอสูรกายและเดนมนุษย์ตัวใดในดินแดนพิศวงแห่งนี้เสียอีก
"ไม่ต้องเสียใจไปหรอก อย่างน้อยที่สุดเราก็มีเรื่องเล่าในวงเหล้า"สมบัติพยายามปลอบ เขาขยับหมวกแก๊ปของเขานิดหน่อยแล้วหันไปมองพญาหมูเผือกเข้าโรมรันกับหมูป่าขนน้ำตาลตัวอื่นๆอย่างสุดตัว ไม่รู้ทำไมเจ้าหมูขาวนั่นพุ่งมาที่รถเราในทีแรกก่อนที่จะสู้กับหมูด้วยกัน
"ชั้นไม่ดื่ม กินแล้วบ้าจะกินไปทำไม ชั้นรู้ว่าชีวิตชั้นมีแต่เรื่องเครียดแต่ว่าเราไม่สามารถหนีความจริงด้วยเครื่องดื่มหลอนประสาทแบบนั้นได้หรอก ยิ่งดื่มก็ยิ่งเยิน ยิ่งแก่เร็ว ตับพัง ความดัน สมองเสื่อมก่อนวัยอันควร โง่ซ้ำซาก กากลงทั้งกำลังวังชาและสติปัญญา สุขภาพทรุดโทรม ชีวิตที่บัดซบอยู่แล้วจะยิ่งต่ำยิ่งกว่าเดิมเพราะเสียเงินเสียทองไปกับเรื่องงี่เง่าไร้สาระแบบนั้นชั้นไม่ทำหรอก "เนยพูด นั่นทำให้ใครหลายๆคนบนรถคันนี้แทบกระอักเลือดคาที่ อะเหื้อ มันช่างรุนแรงอะไรเช่นนี้ ตรงประเด็น ขยี้แรง เจ็บไปถึงขั้วหัวใจ ทะลุไปถึงสันหลัง เธออาจจะเป็นคนโลภมากและตะกละเกินงาม แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเธอเป็นคนที่ไร้เหตุผล เสียไปหน่อยที่มารยาทของเธอไม่ใช่จุดเด่นซักเท่าไหร่ แต่นั่นแหละ เธอเป็นนักข่าวที่หวังว่าจะเข้าไปในสำนักข่าวไฮยีน่านิวส์ คงว่าไม่ได้หรอกหากมารยาทและความอ้อมค้อมของเธอมีน้อยจนแทบสัมผัสไม่ได้ ทุกๆวันนี้ เธอทำงานให้กับสำนักข่าวเผือกนิวส์ซึ่ง ตามชื่ออ่ะ
"หือออ ตอนกลับไปกะจะดื่มซะหน่อย หมดอารมณ์เลย"หมู่ไก่พูดแล้วทำหน้าตาย เขาหันกลับไปมองคนอื่นๆบนรถซึ่งทำหน้าตาเหมือนโดนอาจารย์ทำโทษ หมู่โบกี้ซึ่งหลับอยู่คงจะต้องโวยวายอาละวาดแน่ๆหากได้ยินประโยคเจาะเกราะทะลวงใจดำแบบนี้เข้า ตือ ชาติ กอล์ฟ กรอบ และสมาชิกหมู่หอยแครงลวกทั้งหลายต่างทำหน้าหงิก ไหล่ห่อ ทำปากเบ้ พร้อมกับทำตาน่าสงสารเหมือนลูกแมว สกิลดวงตาเบิ่งจักรวาล(ทำตากลมๆกว้างๆน่ารักๆจนเห็นแสงสะท้อนรอบข้างในลูกตาดำทำให้ดูเหมือนมองท้องฟ้ายามราตรี ที่มาของชื่อความสามารถนี้ จะใช้ได้ดีเป็นพิเศษกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถขยายรูม่านตากว้างๆได้ เช่น แมว แต่คนเองก็ใช้ได้เหมือนกัน)ทำงานเต็มกำลัง แสดงถึงความจ๋อยสุดขีด
"พวกแกนี่มันจ๋อยจริงๆเลย พับผ่า ว่าแต่ ที่ร้องเพลงวนเมื่อตะกี๊นี้ใครแพ้นะ"จ่าปลาแซวพวกคนอื่นๆที่นั่งทำหน้าเหมือนเด็กโดนตีก้นเพราะไม่ได้ทำการบ้านมาแล้วมองไปที่หน้าของตือ จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆซึ่งทำให้คนอื่นๆบนรถหันไปมา แล้วค่อยๆหันมาทางตือกันเป็นตาเดียว เหลือแค่ชาติคนเดียวที่ไม่ได้หันไปที่ตือ แต่จ่าปลาจับหัวชาติหันไปทางตือแทน แล้วจ่าก็ยักคิ้วอย่างมีเลิศนัย หางตาของเธอเหล่ไปทางหมู่โบกี้แล้วจากนั้นก็คนอื่นๆ คนอื่นๆเริ่มเข้าใจความหมายแล้วยิ้มกว้าง เลียริมฝีปากแพล็บๆ
"อี๊ยาอียาโอ หมูน้อยต้องเลี้ยงรอบวงนะจ๊ะ ร้องไม่จบ"จ่าปลายิ้มกว้าง หรี่ตาลง แล้วทำหน้าเหมือนกับแมวที่ต้อนหนูได้จนมุม คนอื่นๆก็ส่งเสียงเชียร์กันใหญ่ เหล้าฟรี เบียร์ฟรี กินกันให้หนำใจหากกลับไปได้แบบเป็นๆ ดูจากสภาพรอบๆแล้ว มีโอกาสสูงอยู่ที่เราจะกลับออกไปได้เพราะว่านอกจากที่หนองเห็ดกระสือซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยง่ายแล้ว (หมวดเอกยังเสียใจไม่หาย ว่าทำไม เขา-ไม่-อ้อม-บึง-ไป-ด้าน-ข้าง)ก็ไม่น่าจะมีอันตรายใหญ่ๆอะไรที่ต้องเจออีก ถ้าไอ้ต๊กโตตัวโตกับตั๊กแตนแขนด้วนนั่นจะมาเล่นงานเรา เราเองก็มีจำนวนมากกว่าอย่างเทียบไม่ติด นอกจากรับคนบางคนจากที่หมู่บ้านก็ไม่มีภารกิจอย่างอื่นแล้ว และนั่นหมายความว่า รอบวงงงงงงงงงงง
"ไม่ๆๆๆ จ่าไม่เห็นเหรอว่าเรากำลังโดนโจมตีจาก หมูป่าพร้อมกาฝากผีพวกนั้น งวดนี้ไม่นับแล้วกัน ไม่ต้องห่วง กลับกองพันค่อยเล่นใหม่อีกรอบก็ได้"ตือพยายามปัดไม่ให้ตัวเองต้องเป็นคนรับเคราะห์ ซึ่งก็สมเหตุสมผลอยู่ หากไม่ได้โดนฝูงหมูป่าซอมบี้พร้อมเสียงร้องสั่นประสาทพวกนั้น เขาคงไม่หยุดร้องเพลงหรอก แถมนี่เป็นช่วงเวลาฉุกเฉินด้วยเลยไม่นับ
"ไม่เอาหน่าตือ แพ้แล้วอย่าเฉไฉเด้"กอล์ฟแซวแล้วหรี่ตาใส่ เขาทำนี้วแป็นรูปชูสองนี้วแล้วชี้ไปที่ตาตัวเองกับชี้ไปที่ตาของไอ้ตือสลับไปมา ส่งสัญญาณว่าเขาจะจับตาดูตือ ดีที่เมื่อกี๊นี้จิงโจ้ไม่ได้ขับไปชนอะไรเข้าไม่งั้นนิ้วของกอล์ฟจากทิ่มตาตัวเองไปแล้วก็ได้
"ไม่ได้เฉไฉ แต่ว่าแค่สงสัยอะนะ เจ้าหมูป่าตัวสีขาวนั่นมันอะไรกัน ไม่เคยเห็นมาก่อน"ตือใช้หนึ่งในความสามารถพื้นฐานของข้าราชการ ซึ่งมีประโยชน์สูงมากเวลาที่ต้องสู้รบตรบมือและต่อกรกับสื่อมวลชน เช่น เนย อีกหนึ่งใน108เล่ห์ข้าราชการ : เปลี่ยนประเด็น/หุ่นฟางล่อเป้า ด้วยความสามารถนี้ ข้าราชการหลายๆคนสามารถตอบในสิ่งที่ฟังไม่รู้เรื่องแล้วหลุดรอดไปได้อย่างง่ายดาย ไม่มีสอนในหลักสูตร แต่ว่า ทุกคนที่เข้ามาทำงานในระบบจะพัฒนาความสามารถนี้ขึ้นมาเองโดยไม่จำเป็นต้องสอนสั่ง ได้ผลดีสำหรับการตอบคำถามประชาชนและนักข่าวฝึกหัด แต่ว่าผลที่ได้นั้นใช้กับข้าราชการและนักวิชาการไม่ได้ผล อาจจะย้อนเข้าตัวด้วยซ้ำหากเอาไปใช้อย่างไม่เหมาะสมในชั้นศาล
"ว่าแต่ทำไมอยู่ๆเจ้าหมูขาวนั่นมาช่วยเราเนี่ย มันดูแปลกๆแฮะ"หมู่ไก่หันไปมองเจ้าหมูขนขาวที่เข้าซัดและทำลายกาฝากทีละต้น ทีละต้น มันเข้าลุยกับหมูตัวอื่นๆไม่หยุดหย่อน ทั้งๆที่หมูตัวอื่นไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือหวาดกลัว รวมทั้งยังมีจำนวนมากกว่าอย่างน่าใจหาย แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้หมูป่าตัวเบิ้มขนขาวก็สู้ไม่ถอย เราไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่แต่ว่า นี่มัน แฮมโบ้ชัดๆ สมาชิคหมู่เราไม่มีเวลามาดูหมูกัดกันในป่ามฤตยูนี้ก็เลยขับผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยฝีเท้าระดับนักซิ่งกุมขมับ เราน่าจะออกไปจากอาณาเขตของพวกกาฝากแล้ว
"ในที่สุด"หมวดตะวันปาดเหงื่อ แล้วทิ้งตัวลงบนเบาะหลังจากที่เมื่อครู่ลุ้นจนตัวโก่งเป็นคันธนูว่าจะรอดออกจากที่นี่ได้มั้ย โมเม็นท์แห่งปีที่ทำให้หมวดตะวันลุ้นยิ่งกว่าวันหวยออกคือตอนที่เจ้าหมูป่าขนงามตัวนั้นพุ่งเข้ามาอย่างเต็มกำลัง คงไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่า เบาะที่นั่งข้างคนขับตอนนี้เปียกไปเรียบร้อยแล้ว และนี่เขาจะให้ใครคนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาเยี่ยวแตกคารถไม่งั้นหละก็ ความเป็นหมวดตะวันมาดเข้าที่สั่งสมมาจะกลายเป็นแค่ธาตุอากาศ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ได้ขี้แตกด้วย แต่ตัวเขายังสั่นไม่หาย นาทีชีวิตของจริง
"กว๊ากกกกก!!!!!!"อสูรกายรูปร่างเหมือนปลาหมึกสีเขียว5หนวดที่มีหนามเต็มตัวพุ่งเข้าใส่หน้าของหมวดตะวันจากเบื้องบน
"กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!!"หมวดตะวันตอบสนองออกไปด้วยเสียงที่สูงและแหลมจนแม้แต่จ่าปลายังทำไม่ได้ หมวดตะวันร้องด้วยเสียง8หลอดจนกระจนหน้ารถแทบร้าว ขนบนร่างกายทุกเส้นตั้งชัน90องศาจากผิวหนัง แม้แต่ขนตรงบริเวณของลับก็ตาม หมวดตะวันคว้าเจ้าอสูรกายที่พุ่งเข้ามาหมายจะกอดหน้าของหมวดเอาไว้แล้วโยนไปด้านหลัง ท่ามกลางลูกน้องที่กำลังทำหน้าเหวอเมื่อได้ยินหมวดตะวันกรี๊ดเหมือนเสียงเด็กผู้หญิง
"เปรี้ยงงงง"ตือตอบสนองเจ้ากาฝากหมูต้นนั้นด้วยกำปั้นจนมันปลิวหายไปจากสายตา เขายิ้มน้อยๆแล้วหันไปทางหมวดตะวัน จ่าปลาก็ส่งซิกให้ทุกคนหันไปมองที่หมวดตะวันด้วย ในหมู่เดอะแก๊งค์ด้วยกันกำลังคิดอะไรที่สนุกสุดๆอยู่
"อยากรู้จังเลยน้าาาา ว่าหมวดชะโดจะรู้สึกยังไงเมื่อได้ยินว่า หมวดตะวันกรี๊ดได้ดีกว่าหนูซะอีก อู้ว มันจะต้องเป็นเรื่องเมาท์แตกสาแหรกขาดแน่นอน ใช้ม้าาา สารวัตรเกรียงไกรคงจะภูมิใจหน้าดูชม Adorable!!!!"จ่าปลาเกริ่นนำเรื่องระหว่างที่คนรอบข้างทำหน้าเกรียนแตกระดับที่คู่ควรแก่ใบเกรียนติบัตร พวกเค้ากัดริมฝีปากล่างตัวเองแล้วยิ้มกว้างน่ากลัวเป็นตัวตลกพันธุ์หลอนกันทุกๆคน ตามองเข้าไปในดวงตาของหมวดตะวันแล้วหน้าแดง เสียงกลั้นหัวเราะฟังดูเหมือนเสียงลมรั่วออกมาจากลูกโป่ง หมวดตะวันอ้าปากหวอ รู้ตัวว่าเผลอเก็กหลุดต่อหน้าลูกสมุนทั้งมวลเรียบร้อยแล้ว กรอบยิ้มด้วยรอยยิ้มชวนขนตั้งเพราะเขากำลังคิดว่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกหมวดชะโดยังไงดี(ถ้าทุกคนจำกันได้ กรอบมาจากหมู่กะเพราทมิฬ ซึ่งหัวหน้าหมู่คือหมวดชะโดนั่นเอง)
"พวก แก"หมวดตะวันแค่นเสียง พูดไม่ออก หน้าเริ่มกลายเป็นสีแดงสมชื่อ หน้าเขาดูเหมือนกระป๋องน้ำอัดลมที่โดนเขย่ามาอย่างเต็มที่จนจวนเจียนจะระเบิดออกมาจากด้านใน ถ้าหากมีหมูเสียบไม้อยู่คนอื่นๆในหมู่คงจะเอามาปิ้งกับหัวของหมวดแล้วหละ
"ไม่ต้องห่วงงงง เราเก็บความลับได้ดีเยี่ยมอยู่แล้วจริงม้าาาา เช่นตอนที่ โอ้ว ไม่ได้ เราต้องเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับเหมือนกัน แต่ว่า เดินทางไกลขนาดนี้เนี่ย แหม คอแห้งจังเลยเนอะ สู้กับสัตว์ประหลาดก็เนื๊อยเหนื่อย แผลเต็มตัวเลย ช้ำในอีกต่างหาก เครื่องแบบก็ดูไม่ได้ มันคงจะดีมากถ้าหากจะมีใครซักคน รอบวงงงง และซื้อรองเท้าคู่ข้างใหม่ให้ซินเดอร์เรลล่าด้วย โฮ๊ะ โฮ๊ะ โฮ๊ะ"จ่าปลาทำหน้ากวนประสาทที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ประกอบเหมาะเจาะกับเสียงหัวเราะสไตล์สตรีชนชั้นสูง แต่จ่าปลาทำออกมาแล้วฟังดูเหมือนเสียงหัวเราะของซานต้ามากกว่า จนหมวดตะวันตัวสั่นเท่าไปด้วยโทสะ หน้าเปลี่ยนจากสีแดงจนกลายเป็นสีม่วงแทน ตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า คนอื่นๆที่อยู่ในทีมจ่าก็แกล้งหัวเราะ โฮ๊ะ โฮ๊ะ โฮ๊ะ ตาม ในบางกรณีที่ข้าราชการประสบปัญหาผู้บังคับบัญชางี่เง่ามากๆหรือว่าเก็กเกินเหตุ การกัดกลับแบบเบาๆก็ช่วยให้บันเทิงอารมณ์ไม่ใช่น้อยเลย
"ทำไมผมต้องสนว่าหมวดชะโดคิดยังไง"ถึงจะพูดแบบนี้ออกไป แต่ในคำพูดเหล่านั้นมีความหมายว่า หมวดชะโดไม่เชื่อหรอก ซึ่งลูกน้องคนอื่นๆไม่รู้ว่ามันมีความหมายแฝงอยู่แต่จ่าปลาฟังออก เธอเลยหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงเลอะๆของเธอ
"กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!!"มันส่งเสียง นี่คือเครื่องบันทึกเสียงแบบเบสิคที่ใช้ในการเก็บหลักฐานนั่นเอง จ่าปลายิ้มด้วยสีหน้ามีชัย ส่วนหมวดตะวันมองตาเหลือก เครื่องบันทึกเสียงไม่ใช่ของหลวง ไม่มีให้ทุกคน แล้วไม่มีใครในหมู่ของเขามี ต้องซื้อเองซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ซื้อกัน หมวดตะวันเสียรู้อีกแล้ว
"เพราะพริ้งงงงง อิ๊ง อิ๊ง อิ๊ง จ่าว่าเราเอาอันนี้ไปลงยูนู๊ปคงจะสนุกสนานน่าดู เอาเป็นเสียงซาวด์แทร็คเสียงกรี๊ดเสมือนจริง ให้พวกนักศึกษาเค้าเอาไปตัดต่อทำหนังสั้นกัน อยากรู้จังว่าคนที่มาฟังเค้าจะคอมเม็นท์ว่าอาราย เน๊อะ"จ่าปลาทำปากเป็นรูปWตัวโตระหว่างพูด คนอื่นๆรอบกายเธอก็ส่งเสียงหัวเราะกันเหมือนกับว่าชาตินี้ไม่เคยฟังมุขตลกมาก่อน สีหน้าเกรียนระดับปรมาจารย์ของจ่าปลานี่สามารถเอามาทดแทนหมู่โบกี้ได้จริงๆเลย ไม่รู้สินะ ตั้งแต่หมู่โบกี้จ๋อยไป จ่าปลารู้สึกจะมาแทนที่หมู่โบกี้เรื่องความเกรียนแตก
"รอบวง รอบวง รอบวง รอบวง"คนที่อยู่รอบๆจ่าปลาและคนอื่นๆที่น่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ส่งเสียงเชียร์ หลายคนเริ่มเปรี้ยวปากอยากเฉลองกันใหญ่ ก็อย่างว่า ต่อให้ไม่มีสารพัดสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายและสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ ป่านี้ก็ไม่ใช่ที่ๆน่ามาเหยียบเท่าไหร่หรอก เหนื่อย หิว กระหาย เจ็บ ง่วง กลัว อาการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนอยากไปเฉลิมฉลองการออกมาจากนรกสีเขียวแห่งนี้ และการเฉลิมฉลองจะเยี่ยมที่สุดหากมีคนจ่ายรอบวง
"ผมรวมด้วยนะ ไม่งั้น หมวดดนัยจะต้องขำจนร้องขอชีวิต โฮ๊ะ โฮ๊ะ โฮ๊ะ"จิงโจ้ร่วมเกรียนด้วย แม้ว่าตัวเองกำลังขับรถตะลุยป่าฝ่าพงไพรที่มีแต่สัตว์ประหลาดอสูรกายเดินเพ่นพ่านยิ่งกว่าหมาจรจัดแต่เขาเองก็ไม่ค่อยยอมมองทางเวลาขับรถ นี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ทุกคนเสียวสันหลังสุดๆทุกครั้งที่จิงโจ้ทำอะไรโง่ๆ โดยเฉพาะตอนที่ชีวิตของทุกคนและทุกตัวบนรถคันนี้อยู่ในกำมือและพวงมาลัยของมัน แม้แต่ด็อกเตอร์ยังตากระตุกกับพฤติกรรมการขับรถอันเลวร้ายยอดเยี่ยมของจิงโจ่ยอดนักซิ่ง
"หนอยยย ยัยฮิตเลอร์เรลล่า เฮ้อ ช่างมันเถอะ กลับไปค่อยคุยก็แล้วกัน"หมวดตะวันคลายสีหน้าลงแล้วกลับไปนั่งจ่อยตรงที่นั่งข้างคนขับ เขารอดมาจากป่านรกแตกแบบนี้ได้ควรจะเป็นชัยชนะ แต่ตอนนี้เขาต้องอับอาย ก้นเปียกเพราะตัวเองฉี่ราด โดนพันธมิตรลูกสมุนเกรียนใส่ในระดับเกินแกง แถมยังเผลอฟอร์มแตกต่อหน้าพวกที่ว่านี้ด้วย ไม่พอ เขายังต้องเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้าให้พวกบุคคลไม่เอาถ่านแห่งปีพวกนี้อีก ไม่พอ ต้องซื้อรองเท้าคู่ใหม่ที่ยัยมนุษย์ป้านี่อีกเพราะของเจ๊หายลงท้องชะมดไปซะแล้ว ฟีลลิ่งแบบนี้ ความพ่ายแพ้ท่ามกลางชัยชนะ เชื่อเค้าเลยยยย แม้แต่จิงโจ้ยังเกรียนใส่เขา แล้วตอนนี้ เราก็ เราอยู่ไหนแล้วเนี่ย
"จิงโจ้ นี่เราถึงหมู่บ้านอะไรนั่นหรือยังเนี่ย หรือว่าแกหลงทาง"หมวดตะวันหันไปหาจิงโจ้แล้วท้วง ซึ่งจิงโจ้ก็ยักไหล่ เขาเหยียบเบรคอย่างแรงจนรถเอียงแต่นั่นแหละ จิงโจ้ไม่ใช่พวกนักซิ่งมือใหม่ที่เหยียบเบรคจอดทีเดียว เขาใช้เบรคชะลอความเร็วลงแล้วค่อยๆทำแบบเดียวกันซ้ำๆ จนรถจอดสนิท เขาค่อยๆเอนตัวลงก่อนที่จะหันมาทางหมวดตะวันช้าๆแล้วยิ้มหวานใส่
"ถึงแล้ว ทุกๆท่านนน" หมู่บ้านที่ทุกคนรอคอยอยู่เบื้องหน้าแล้ว แล้วมันก็ ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่นัก ที่นี่ดูเหมือนกับนรกบนดิน ของจริง เปลวไฟลุกไหม้พวยพุ่งไปทั่วทุกแห่ง เสียงไฟที่ทำให้ได้ยินเสียงแตกหักจากไม้ช่างทำลายขวัญแหะกำลังใจยิ่งนัก เปลวไฟสีแดงส้มกำลังเผาไหม้ทุกอย่างให้กลายเป็นเถ้าถ่าน เหมือนกับว่าเบื้องหน้าของทั้ง2หมู่นั้นกลายเป็นปากประตูนรกโลกันต์ที่อ้ารอให้เราเข้าไปหา เสียงกรีดร้องหวีดหวิวดังขึ้นมาตามสายลม สัตว์น้อยใหญ่วิ่งหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อสมาชิกหมู่หมูมะนาวและหอยแครงลวกเข้าไปไกล้ๆ ก็พบว่าบ้านไม้และกระท่อมทุกหลังโดนเผาจนวอดวาย ไม่มีร่องรอยของชาวบ้านหรือสมาชิกหมู่กะเพราทมิฬหลงเหลือให้เห็น ถ้าหากจะมีอะไรซักอย่างที่จะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์นี้ มันยืนตระหง่านอยู่บนเนินดินในจุดที่ไฟไหม้ไปไม่ถึง เห็นเป็นเงาดำๆน่าครั่นคร้ามท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโหมกระหน่ำทำลายทุกอย่างที่สามารถเป็นเชื้อเพลิงได้
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า เฮอะ พวกแกนี่เอง แหมๆๆ ฉันละเกลียดจริงๆเลยพวกที่ชอบทำตัวเป็นฮีโร่ ที่ไหนได้ ก็แค่ไอ้หน้าโง่"ชายโฉดในชุดที่ดูเหมือนจะเป็นชุดชาวบ้านธรรมดาที่มีผ้าขาวม้าปิดส่วนใหญ่ของใบหน้าเอาไว้และมีผ้าขาดๆโทรมๆจำนวนหนึ่งพันแขนขาเอาไว้ ชุดนี้ พวกขบวนการมอดไม้มักจะใส่ชุดแบบนี้ ในมือของเขามีไฟแช็กสีแดงอยู่ เขามองมาทางเหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ด้วยความสายตาที่เคลือบไปด้วยเกลียดชัง เปลวไฟลุกโชนที่เผาผลาญและทำลายหมู่บ้านน้อยๆนี้เป็นฝีมือของชายที่ว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย
"นี่แกทำอะไรกับหมู่บ้านนนนน!!!!!!!"จ่าปลาฟิวส์ขาดชี้หน้าด่านักวางเพลิงที่ซ่อนใบหน้าของมันไว้ใต้ผ้าขาวม้า หน้าของจ่าปลาเปลี่ยนสีไปเป็นสีเดียวกับเปลวไฟ ชายโฉดจอมทำลายทำสายตาเหยียดหยามแล้วหันหลังให้
"ต้องให้บอกเหรอ"เสียงแหบกร้านน่าขนลุกของนักวางเพลิงทำให้ทุกคนอยากจะยิงเขาทิ้งซะตรงนั้นเลย ขาดก็แต่กระสุนปืนที่พวกเขาทุกคนใช้หมดไปเรียบร้อยแล้ว หมู่หอยแครงลวกเองก็ใช้กระสุนหมดไปตั้งแต่ตอนที่เดินทางข้ามมายังศูนย์วิจัย ระยะห่างจากจุดที่หมู่หมูมะนาวกับหอยแครงลวกอยู่นั้นห่างจากจุดที่ไอ้สารเลวนี่อยู่พอสมควรโดยมีกำแพงแห่งไฟกั้นขวางอยู่ ทำให้ไม่สามารถข้ามไปลากคอไอ้เลวนรกนี้มาชำแหละได้
ท่ามกลางความอึ้งและตกตะลึงของหลายๆคน นักวางเพลิงใจทรามคนนั้นก็เดินหายไปยังอีกด้านของหมู่บ้าน หายไป เหมือนกับไปกินข้าวที่ร้านอาหารเสร็จแล้วเดินสะบัดก้นหายไปเลย ไม่มีคำพูดเยาะเย้ยยาวเฟื้อยเหมือนในหนังและการ์ตูน ไม่มีการหัวเราะป่าวประกาศให้โลกรู้ ไม่มีทิ้งนามบัตรเอาไว้ มันเดินไปเหมือนกับกลับจากที่ทำงานอย่างนั้นหนะ เย็นชา ไร้ความรู้สึก ปราศจากความสำนึกใดๆทั้งสิ้น ไม่มีความเป็นมนุษย์เผยออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
"แก ไอ้เดรัจฉาน!!!!! ชั้นจะถลกหนักแก!!!!!"จ่าปลาสติแตก เธอรุดหน้าวิ่งอ้อมไฟกองโตหมายจะเข้าไปจัดการไอ้เดนมนุษย์ที่ทำลายหมู่บ้านนี้ แต่ว่าจ่าปลาก็ต้องหยุดชะงัก
"ปั้ง!!!!"เสียงปืนดังขึ้น ไอ้ชาติชั่วนั่นมีปืน เขายิงจนต้นไม้ที่อยู่ข้างๆจ่าแตกกระจุย เศษไม้ที่กระเด็นมาโดนหน้าจ่าทำให้จ่าปลาหยุดชะงักแทบจะในทันที เจ้านั่น มันยิงจริง เราไม่มีปืนแต่ว่ามันมี แถมฝีมือการยิงก็ไม่ได้แย่ด้วย นักลอบวางเพลิงคนนี้หายไปในม่านควันไฟ ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลยนอกจากเถ้าถ่าน ควันไฟ และการทำลาย
"ผมว่า นี่มันต้นสังกัดของพวกมอดไม้ เจ้านายของต้นกับขาวส่งมันมา มันมาทำลายหมู่บ้านนี้ทิ้งเพราะว่าฐานแปรรูปไม้ของพวกมันถูกทำลาย มันรู้ว่าหมวดชะโดกับหมู่กะเพราทมิฬอยู่ก็เลย . . ."ไอ้ตือพูด เขาเองก็ช็อกจากภาพเบื้องหน้าเหมือนกัน นี่สินะพวกนักวางเพลิงที่ตัวจริงเสียงจริง เหี้ยมโหดและน่าชิงชัง หมู่บ้านน้อยๆกลางป่านี้โดนทำลายจนสิ้นซาก หมู่บ้านที่ครั้งหนึ่งพวกเราเคยมาพัก ชาวบ้านที่เดือดร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ภาพรอยยิ้มจางๆที่แสดงถึงความหวังว่าซักวันพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หายจากโรคร้าย อยู่กันอย่างมีความสุข ชาวบ้านที่นี่มีน้ำใจและช่วยเหลือเราจากพญาจระเข้ เมื่อมองภาพอันบาดตาบาดใจเบื้องหน้า ความร้อนของเปลวเพลิงที่แผ่มาทางเรา และสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังของนักเผา มันทำให้รู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
"พี่ๆๆ หนูเจอหมวก"น้ำอ้อยทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ เธอหัวใจสลาย สีหน้าของเธอแสดงถึงความรวดร้าวเกินคำบรรยาย บ้านของเธอ ยายของเธอ ทุกคนที่เธอรักและรู้จัก ไปหมด หายไปในกองไฟ พ่ายแพ้ให้กับอำนาจมืด อาชญากร และความอยุติธรรม น้ำอ้อยใช้มือใหญ่ๆของเธอชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง มีมีดสั้นปักหมวกเอาไว้ หมวกใบนั้นมีตราของเจ้าหน้าที่ป่าไม้อยู่ ที่แย่ยิ่งกว่านั้น หมวกใบนั้นมีคราบสีแดงเข็มแห้งกรังติดอยู่ด้วย หมวดตะวันเดินตรงไปที่หมวดและมีดเล่มนั้น เขาใส่ถุงมือหนังสีดำที่เขามักจะพกติดตัวไว้เสมอ แล้วดึงมีดเล่มนั้นออกจากลำต้นของต้นไม้ หมวดตะวันมองดูรหัสที่อยู่ในหมวกใบนั้น เขาส่ายหน้าแล้วหันกลับมาหาคนอื่นๆที่ยืนอยู่รอบๆรถจี๊ป สายตาของหมวดตะวันสะท้อนความเศร้าโศกออกมา
"ของหมวดชะโด"หมวดตะวันพูดสั้นๆก่อนที่จะเดินกลับมาขึ้นรถ ใจจริงเขาอยากจะไล่ตามไปขยี้ไอ้เดนนรกนั่นกะโหลกแตกคามือ แต่ว่าเราไม่มีทั้งอาวุธและแผนการ สภาพของกำลังพลเราก็บอบช้ำมามากเกินพอแล้ว ศัตรูไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานที่คิดอะไรตื้นๆ มันมีปืน อิธพล และนั่นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่พวกมันมี ขบวนการมอดไม้อันตรายกว่าที่คนทั่วไปจะนึกออก มันจองล้างจองผลาญทั้งๆที่พวกมันเป็นฝ่ายผิด แต่พวกมันไม่เคยโทษตัวเองเช่นเดียวกับพวกเศษมนุษย์ทุกชีวิตที่ซ่องสุมอยู่ในหุบเขาดงโขมดเย็น
"ฮือออออ!!!!!! ฮืออออออออ!!!!!!! ฮือออออ!!!!!!!"น้ำอ้อยน้ำตาแตก เธอร้องไห้ออกมายกใหญ่ ก่อนที่จะลดตัวลง นั่งลงพื้นด้วยท่ากบ แล้วส่งเสียงที่ฟังดูน่าเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดเท่าที่หมู่หมูมะนาวและหอยแครงลวกเคยได้ยินนับตั้งแต่เริ่มภารกิจมา เด็กน้อยร้องไห้จนเหมือนกับว่าลูกตาของเธอจะหลุดออกมา น้ำตาหยดแล้ว หยดเล่า หลั่งลงสู่พื้นดิน ชีวิต ชีวิตไม่ใช่นิทานที่จะจบลงอย่างมีความสุขทุกครั้ง บางครั้ง ก็มีความสูญเสีย คนเลวก็ไม่ได้โดนลงโทษหรือถูกพิชิตไปเสียทุกครั้ง พวกมันยังอยู่ข้างนอกคอยหาโอกาสทำลายชีวิตผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อน มันไม่เคยละเว้นหรือมีความเมตตากรุณา ชีวิตมันโหดร้าย เธอไม่อาจจะจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับยายแม้น พ่อใหญ่ และ คนอื่นๆที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการถางป่า บ้าน บ้านแห่งเดียวที่เธอมี มอดไหม้ วอดวาย โดนทำลาย น้ำอ้อยยังคงเป็นครึ่งคนครึ่งกบที่ดูไม่น่าโสภา และสูญสิ้นทุกๆอย่าง เสียงร้องด้วยความเจ็บช้ำของเธอดังกึกก้องไปทั่วป่า น้ำตาของเด็กหญิงจอมแก่นไหลริน หยดแล้ว หยดเล่า ร่างกายของเธอสั่นเครือ ร้อนรุ่มอยู่ข้างใน หนาวเย็นอยู่ข้างนอก ทุกอย่างคือความเจ็บปวด หรือว่าโลกใบนี้เกลียดชังเธอเลยทำให้เธอต้องพบกับชะตากรรมที่น่าสงสารเช่นนี้
จ่าปลาเดินเข้ามาหาน้ำอ้อยจากด้านหลัง เธอกอดน้ำอ้อยแล้วลูบหัวเบาๆ จ่าเองก็ร้องไห้คู่กับน้ำอ้อย ท่ามกลางประกายไฟและเสียงของเพลิง ไม่รู้ว่ากี่ชีวิตต้องเสียไปให้กับความละโมบและเกลียดชังของขบวนการมอดไม้ พี่ชายของเธอเองก็หายไป อยู่ในหมู่บ้าน หมู่บ้านที่โดนกลืนกินโดนเปลวเพลิงที่เกิดจากน้ำมือของ มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ประหลาด ไม่ใช่ผีสาง ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ทุกอย่างถูกกระทำโดยมนุษย์เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์ พวกกากมนุษย์สิ้นดีพวกนี้ไม่เคยล้มเหลวที่จะทำให้คนอื่นเกลียดชังพวกมัน จากสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ทุกๆตัวที่จ่าเผชิญในผืนป่าแห่งฝันร้าย ไม่มีอะไรเลวร้ายมากไปกว่าคนอีกแล้ว ผู้ล่วงลับในป่าเห็ด เกิดจากฝีมือขบวนการค้ามนุษย์ ความหายนะในหุบเขานี้ เกิดจากการทดลองของด็อกเตอร์ หมู่บ้านที่ถูกเผาทำลาย เกิดจากฝีมือของขบวนการลักลอบตัดไม้ มนุษย์คือปีศาจร้ายตัวจริง แต่เธอเองก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเธอเกลียดมนุษย์เพราะเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอพูดไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินอุทิศให้แก่ทุกชีวิตที่ถูกพรากไป
"แล้ว . . . จะเอายังไงต่อไปดี"ชาติมองไปที่กองไฟโชติช่วง สีหน้าของเขาเศร้าหมอง แต่เนื่องจากการรับความรุ้สึกของชาตินั้นไม่ดีนัก ก็เลยทำให้เขาไม่เศร้าพอที่จะร้องไห้ เขาได้แต่มองดู ยืนห่อไหล่ แล้วถอนหายใจ
"คราวหน้า ถ้าหากได้เจอไอ้นรกไม่รับนั่นอีกที หมวดจะทำให้มันกลายเป็นอาหารหมา"หมวดตะวันพุดแล้วลดหมวกของตัวเองลงเพื่อให้เกียรติแก่ความสูญเสียและวิญญาณของผู้ล่วงลับ เขาหันหน้าไปทางรถจี๊ปที่รายล้อมไปด้วยลูกน้องและผู้ติดตาม หลับตาลงด้วยความขมขื่น กัดฟันแน่น แล้วเปล่งเสียงออกมา
"ยืนสงบนิ่ง1นาที ปฎิบัติ!!!"หมวดตะวันตะโกนสั่งแล้วยืนนิ่ง หันไปทางหมู่บ้านที่ลุกไหม้ ทุกคนที่อยู่แถวบริเวณรถจี๊ปค่อยๆขยับตัวอย่างช้าๆแล้วยืนเคารพเป็นแถวตรง แม้แต่ด็อกเตอร์ที่อุ้มแตงโมอยู่ นักข่าวทั้งสอง และ เจ้าฟองดู
"โบร๋ว!!! โบร๋ว!!! โบร๋ววววววว!!!!!!!!!!"เสียงหอนยาวดังออกมาจากปากของเจ้าฟองดู3ครั้ง ครั้งสุดท้ายนั้นยาวกว่าทุกๆครั้งทำให้รู้สึกถึงความห่วงใยและอาลัยอาวร เสียงที่เหมือนกับหมาป่าหอนยามจันทร์เต็มดวง ช่างฟังดูเศร้าหมองและสั่นประสาท เฉื่อยชา เศร้าศร้อย และ นุ่มนวล เสียงหอนยาวนี้เป็นเสมือนกับเพลงงานศพแห่งผืนป่า ที่สัตว์ตัวใดได้ยินมักจะก้มหัวด้วยความเคารพพร้อมน้ำตาที่หยดลงบนผืนแผ่นดิน
หลังจากที่ครบ1นาที หมวดตะวันก็วันทยาหัตถ์ให้กับซากไฟไหม้สีดำหงิกงอซึ่งครั้งหนึ่ง เคยเป็นหมู่บ้านอันแสนสงบของชนกลุ่มน้อย เขาเดินห่อไหล่ หลับตา แล้วพาร่างกายอ่อนปวกเปียกของตนกลับไปยังรถจี๊ป เขานั่งหงายหน้าเอาแขนพาดหน้าตัวเอง ท่าทางเหมือนคนที่กำลังเครียดจัด คนอื่นๆก็มองจ่าปลากับน้ำอ้อยแล้วก็เริ่มหันหลังกลับไปยังรถจี๊ป
"ถ้าหนูยังมีกล้องอยู่นะ หนูน่าจะพอช่วยได้ หนูจะใช้พลังของสื่อมวลชนจนทุกคนบนโลกโซเชี่ยลออกไล่ล่าไอ้เลวบรมนี่ให้ไปถึงสุดขอบโลกเลย แต่ว่า หนูเสียใจด้วยนะ"เนยเดินมาแล้วพูดกับจ่าปลา เธอทำตาเศร้าศร้อยแล้วทำหน้าหมอง เธอคว้าไหล่ของสมบัติแล้วลากเขากลับไปยังรถจี๊ป เธอเองมีเวลาให้อาลัยอาวรไม่มากนักหรอก ชีวิตต้องดำเนินต่อไป และเธอมีเงินทองต้องไปหาอีก
"เฮ้ออออ ไม่คิดว่าพวกลอบโค่นป่าจะชั่วช้าต่ำทรามได้ขนาดนี้ แต่ เรามาช้าเกินไป"หมู่ไก่พูดแล้วค่อยๆเดินกลับไป เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
"หมวดชะโด ดาบน้ำเต้า ทุกคน หายไปจนหมด"กรอบรำพึง เขามองเข้าไปในเปลวไฟ ได้แต่ภาวนาให้ทุกๆคนยังคงปลอดภัย หนีออกมาได้ทัน แล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ดูจากหน้าของนักลอบวางเพลิงแล้ว คงจะยากอยู่ซักหน่อยอะนะ เขาเอามือปาดน้ำตาที่อยู่ตรงขอบตา แล้วหันหลังให้กับเปลวไฟโชติช่วง
"หมวดเอกกับหมู่โบกี้ไม่ควรจะมาเห็นภาพนี้ ให้พวกเขาหลับก็แล้วกัน"ตือพูด เขายักไหล่ ไม่รู้จะว่ายังไงต่อไปดี ในเวลาแบบนี้เขาทำอะไรไม่ถูก ชายร่างอ้วนหันหลังไปอีกราย ค่อยๆเดินออกไปอย่างสงบนิ่ง ความหิวกระหายไม่ปรากฎให้เห็นเลย หลงเหลือแต่ความนิ่งเงียบและจืดชืด ไร้ชีวิตชีวา
"จ่า เราจะเอายังไงกับน้ำอ้อยดี"กอล์ฟเดินเข้ามาหาแล้วย่อตัวลงข้างๆจ่า เขาถอดแว่นทรงกลมของตัวเองออกแล้วปาดน้ำตา เขาเอื้อมมือไปลุบหัวน้ำอ้อยที่กำลังช็อกกับเหตุการณ์เบื้องหน้า เธอร้องไห้ไม่หยุด บางครั้งเสียงร้องไห้ของเธอดังออกมาเป็นเสียงของกบผสมอยู่ด้วย นั่นทำให้ฟังดูทั้งเศร้าและเจ็บปวดเมื่อนึกได้ว่าเธอพยายามจะคงความเป็นมนุษย์ไว้ ส่วนของสัตว์ค่อยๆครอบงำเธอทีละน้อย และนั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าคิดตามเลย
"เธอยังเป็นเด็กอยู่ ต้องมีใครซักคนดูแลเธอ เราจะพาเธอไปที่ปลอดภัย"จ่าปลาบอกกอล์ฟแล้วเอื้อมมือเข้าไปจะอุ้มน้ำอ้อย แต่ว่าน้ำอ้อยกระดดดหนี เธอทำท่าแปลกไป เธอหันหน้ากลับมาแล้วส่ายหัวเล็กน้อยให้กับทั้งหมู่
"ที่นี่เป็นบ้านของหนู หนูไปไม่ได้ อีกอย่าง ขอบคุณทุกคนมากนะที่พยายามช่วยให้หนูคืนร่าง แต่ว่า หนูไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว หนูเป็นสัตว์ และป่าเป็นบ้านของสัตว์"น้ำอ้อยตอบ เธอก้มตัวลงแล้วกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่งก่อนที่จะหันกลับมามองจ่าปลาด้วยสายตาเศร้าๆ เธอคงต้องรับสภาพตัวเองแล้วหละตอนนี้
"อย่าพูดอย่างนั้นสิจ๊ะ หนูเป็นคน และยังคงเป็นคนเสมอมา ไม่ว่าภายนอกน้ำอ้อยจะดูเป็นยังไง แต่ว่าข้างในนั้น พี่สาวรู้ดี หนูยังคงเป็นมนุษย์เต็มร้อย ลงมาหาพี่สาวสิจ๊ะ"จ่าปลาพยายามปลอบน้ำอ้อยด้วยคำพูดและบทบาทพี่สาวใจดีของจ่า บทบาทที่หมู่โบกี้ชอบล้อเลียนเสมอมาแต่ว่าด้วยบทบาทนี้ ถ้าหากมันทำให้น้ำอ้อยรู้สึกสบายใจ จ่าก็พร้อมที่เล่นบทนี้ต่อไป เธอพยายามฝืนยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเงยหน้ามองน้ำอ้อยที่มีท่าทางน่ากังวล
"หนูเลือกแล้ว จริงๆอยู่ที่นี่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก หนูเป็นได้ทั้งคน และสัตว์ หนูจะกลับมาหาพี่สาวเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องเสียใจหรอก ลาก่อนนะทุกคน หนูจะไม่ลืมทุกคนเลย อ๊บ"น้ำอ้อยพูด เธอน้ำตาไหลพราก เธอยิ้มแบบฝืนๆไปพร้อมๆกับร้องไห้ ตัวสั่น ใจสลาย เจ็บปวด แม่กบน้อยหันหน้าไปทางที่เราเจอเธอครั้งแรก แล้วใช้พลังขากบของเธอกระโดดหายไป ร่างเล็กๆที่ปราดเปรี่ยวหายไปในดงไม้สีเขียว แล้วก็เงียบหายไป พอเดาได้ว่าเธอจะไปที่ไหนต่อ บ้านใหม่ของเธอ ซึ่งหากคิดว่าเด็ก10ขวบซักคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ่อน้ำเล็กๆท่ามกลางความโหดร้าย ศัตรูคู่อาฆาต และอาชญากรนานาสายพันธุ์และคดีความ การที่เธอตัดสินใจกลับไปที่นั่นอีกครั้ง เธอจะต้องสิ้นหวังขนาดไหนถึงจะปฎิเสธทางเลือกอื่นแล้วกลับไปยังความดิบเถื่อนแห่งพงไพรต้องห้าม
"น้ำอ้อย!!! กลับมาก่อน อย่าพึ่งไป น้ำอ้อยยย!!!!! ฮือออ!!! น้ำอ้อย"จ่าปลาตะโกนสุดเสียง เธอตั้งท่าจะวิ่งตามไปแต่ว่าเนื่องจากจ่าปลาใส่รองเท้าแค่ข้างเดียวเลยทำให้หกล้มหน้าทิ่มพื้น เธอลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลแล้วแหงนหน้ามองไปในป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยปริศนา เสน่ห์ และความพิศวง ไม่มีใครหรืออะไรรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อะไรดลบันดาลใจให้เด็กน้อยคนหนึ่งยอมทิ้งความเป็นมนุษย์ของตนเองทั้งๆที่นั่นคือสิ่งที่เธอพยายามจะรักษาไว้ตลอดการเดินทางร่วมกันหลายวันนี้ จ่าปลามองไปยังแมกไม้ไพรพณาสีเขียวขจีที่กว้างใหญ่ เธอเข้าใจแล้วว่าจ่าไม่สามารถห้ามการตัดสินใจของน้ำอ้อยได้ นั่นทำให้จ่ารู้สึก เจ็บ เศร้า กระอักกระอ่วมอยู่ข้างใน มันทำให้จ่านึกถึงใครซักคนที่จ่ารู้จัก ใครซักคนที่จ่าปลารักและเติบโตมาด้วยกัน คนคนนั้นยอมสยบก้มหัวให้แก่โชคชะตาอันโหดร้ายแล้วก้าวเดินเข้าไปสู่เส้นทางที่ย้อมด้วยสีดำแม้ว่าคนรอบข้างจะเตือนเอาไว้ รวมถึงตัวจ่าเองด้วย ในที่สุด บุคคลที่ว่านั้น ก็ต้องรับกรรมอันน่าอดสู นั่นไม่ใช่สิ่งที่จ่าปลาอยากเห็นเป็นครั้งที่สองในชีวิต แต่ถึงอย่างนั้น การเข้าไปก้าวก่ายของจ่าปลาไม่เคยส่งผลดีหรือยับยั้งสิ่งเลวร้ายที่จ่าคาดเดาไว้ได้เลย . . . จ่าเป็นหน่วยพยาบาล เพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่เธอล้มเหลว อีกครั้ง ภาพในอดีตที่ไม่น่าจดจำหวนกลับมาหลอกหลอนเธอ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย วนเวียนอยู่รอบกาย ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
"เสียใจด้วยนะจ่า แต่ว่า เราต้องกลับแล้ว"ชาติบอกจ่าปลาซึ่งจ่าก็ตอบสนองอย่างเงียบๆ เธอลุกขึ้นจากพื้นที่เต็มไปด้วยซากใบไม้และดินร่วน ยืนขึ้นอย่างช้าๆ เอาแขนข้างที่ไม่เจ็บยกขึ้นแล้วปาดน้ำตา สูดน้ำมูก เธอค่อยๆหันมาทางรถจี๊ปอันแออัดแล้วเดินเข้าไปร่วมสมทบกับคนอื่นๆ เธอเดินช้าเหมือนกับพยายามถ่วงเวลา แขนตก ตาหรี่ลงจนเหมือนกับคนอดนอน หน้าแดงก่ำเพราะอารมณ์ที่รุนแรง ท่าทางไร้ชีวิตชีวาเหมือนกับว่านั่นเป็นร่างเปล่าๆที่ปราศจากวิญญาณ ดูแข็งทื่อเหมือนหุ่นกระบอก เท้าลากไปกับพื้น รวมถึงข้างที่ไม่ได้ใส่รองเท้าด้วย แขนทั้งสองห้อยลงแล้วแกว่งไปมาเหมือนกับกระดิ่งต้องสายลม เธอลากสังขารที่แตกหักพังยับเยินทั้งภายนอกและภายในเข้ามาที่รถจี๊ปสภาพบู้บี้บุโรทั่งสีเขียวขี้ม้า เธอขึ้นรถอย่างเฉื่อยชาไร้อารมณ์แล้วเกาะร่างจ้ำม่ำของตือเอาไว้ เขาทำให้เธอนึกถึงตุ๊กตาหมีที่บ้าน ซึ่งเธอมักจะกอดเอาไว้เวลาที่เสียใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เธอสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักคนนั้น
บรรยากาศโดยรอบเงียบเหงา เศร้าหมอง และขมุกขมัว ควันไฟคละคลุ้งและกลิ่นไหม้ที่ลอยอยู่ในอากาศทำให้รู้สึกอึดอัด มีเพียงเสียงไฟไหม้ดังเปรี๊ยะๆๆและเสียงสูดน้ำมูกของพันธมิตรหมูมะนาว+หอยแครงลวกเท่านั้นที่มีให้ได้ยิน ลมร้อนจากกองไฟพัดเอื่อยๆเหมือนกับกำลังเยาะเย้ยความสูญเสียของผู้คน หมู่กะเพราทมิฬอันเป็นหมู่ที่นับว่าเป็นผู้นำของหมวด2นั้น หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกับเหล่าชาวบ้าน บนท้องฟ้าขมุกขมัวสีเทาที่แต่งแต้มไปด้วยควันไฟช่างเข้ากับบรรยากาศแห่งความทุกข์ระทม ทุกอย่างที่อยู่ในบริเวณนี้ปลิวไหวเอนเอียงไปตามจังหวะของสายลม แต่ถึงอย่างนั้น หุบเขาดงโขมดเย็นก็ไม่ใช่สถาณที่ที่ควรจะหยุดอยู่กับที่แม้ว่าจะมีกองไฟกองโตอยู่ข้างกายก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าพวกขบวนการมอดไม้ใจยักษ์พวกนั้นจะกลับมาอีกหรือเปล่า ยิ่งเราถูกเห็นตัวแล้วด้วยสิ
"ผมรู้ว่าทุกคนกำลังเศร้า แต่ว่า เกาะแน่นๆนะ อารมณ์อาจจะเปลี่ยนซักหน่อย"จิงโจ้พูด เขาเองก็ไม่อยากทำลายอารมณ์หงอยๆแบบนี้หรอกแต่ว่าด้วยอุปนิสัยส่วนตัว เขาขับรถแบบช้าๆไม่เป็น นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยไปจอดรถบนตึกจอดรถที่ห้างสรรพสินค้าเลย เวลานั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถแล้วเขาจะรู้สึกเป็นคนละคนกับเวลาอยู่ข้างนอกรถ ราวกับว่าตัวเขาถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงทำให้เกิดอาการอยากซิ่งแผ่นดินดับให้ฝุ่นตลบ มีคันเร่งต้องเหยียบให้สุด มีกี่เกียร์ต้องโยกให้ยับ ดริฟต์ได้ต้องดริฟต์ เหินได้ต้องเหิน ราวกับว่ามีสายเลือดของเด็กแว้นไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ขึ้นรถเมื่อไหร่จะรู้สึกอยากทำให้รถพุ่งทะยานไปให้ถึงดวงจันทร์ทุกครั้งไป
"อือ"หมวดตะวันส่งเสียงอ่อยๆแล้วพยักหน้าด้วยความเศร้า เขารู้ตัวว่าเขาเองจะเศร้าได้ไม่นานนักหรอกหากจิงโจ้ออกรถ เพราะจากอารมณ์เศร้าโศกเพราะความสูญเสีย จะเปลี่ยนเป็นอารมณ์รักตัวกลัวตายขึ้นมาทันที แบบเกาะเบาะแน่นเหมือนแมวเลยหละ อาการหมวดเอกก็ไม่ค่อยดีซะด้วย หน้าของหมวดเอกซีดและร่างกายเย็นลงเรื่อยๆ อย่างน้อยการขับของจิงโจ้ก็ได้เปรียบเรื่องความเร็ว
"ผมเอาละนะ . . . . . สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนนนนนนน!!!!!!!! ฮว้ากกกกกก ร็อค!!!"จิงโจ้ตะโกนเหมือนคนกำลังเมายาขึ้นมาอย่างกระทันหัน เท้าเหยียบคันเร่งจนมิดพารถคันนี้พุ่งทะยานทุลุมิติไปสู่อวกาศ(เวอร์) ดินโคลนและเศษใบไม้ปลิวว่อนไปทั่วเมื่อล้อของยานพาหนะพิโรธหมุนยิ่งกว่าหนูถีบจักร ควันดำพวยพุ่งออกมาจากท่อไอเสียและรูอื่นๆที่อยู่รอบคันรถราวกับถังน้ำแข็งแห้งสำหรับสเปเชี่ยลเอฟเฟค เสียงเครื่องยนต์คำรามอย่างดุร้ายราวกับพญามังกรไฟร่างยักษ์ที่กู่ร้องก้องคำรามก่อนเข้าโจมตีอาณาจักร ดวงตาของจิงโจ้เปลี่ยนไปเมื่อสติของเขาหายไป ตาขวาง เบิ่งกว้าง ลิ้นห้อย ปลิวสะบัด ปากยิ้ม น่ากลัว มือเกร็ง ขาตึง แล้วทุกคนบนรถก็เกิดอาการอยากสวดมนตร์ขอให้พระ/พระเจ้า/อะไรก็ตามที่พวกเขานับถือช่วยคุ้มครองชีวิตน้อยๆของพวกเขาที่ตกอยู่ในกำมืออันบ้าระห่ำเดนตายของนักขับจากอเวจีอย่างจิงโจ้ด้วย
"กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!!!!!!"จ่าปลาที่เกิดอาการอารมณ์เปลี่ยนกระทันหันกรีดร้องสุดเสียงเมื่อรถจี๊ปสภาพเหมือนผ่านสงครามโลกมา2รอบคันนี้เหินขึ้นจากพื้นดินแล้วพุ่งทะลุทะลวงฝ่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางกันชนหน้ารถไปอย่างผิดธรรมชาติ คนอื่นๆเองก็รู้สึกว่าจิงโจ้ขับรถได้น่าหวาดเสียวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เหมือนกับว่าหากพวกเขามีชีวิตรอดกลับไปถึงกองพันได้ นั่นจะนับว่าเป็นปาฎิหาริย์อย่างยิ่ง หัวใจของทุกๆชีวิตบนพาหนะแห่งความบ้าระห่ำนี้เต้นดังเหมือนกับว่าเพิ่งวิ่งมาราธอนมาหยกๆ ย้ำ ทุกๆชีวิตที่ว่านี้รวมถึงเจ้าฟองดูด้วย ความเศร้าโศกและเฉื่อยชานั้นถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นเร้าใจจนทุกคนอยากจะฉี่ราดคารถในทันที
รถจี๊ปสุดโทรมพาเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่วิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่างทั้งหลายเหาะเหินไปในป่าดงแห่งความวิปริตผิดธรรมชาติ เพียงไม่กี่นาที รถคันนี้ก็พาทุกคนผ่านหนองเห็ดกระสือออกไปได้อย่างไร้รอยขีดข่วน ไม่มีแม้แต่จระเข้ งู หรือตัวอะไรก็ตามพยายามจะเข้าโจมตีรถคันนี้เลย น่าจะเป็นเพราะความเร็วระดับเจ็ดบรรยากาศของรถศึกสุดโทรมสนิมขึ้นคันนี้ทำให้พวกมันตัดสินใจไม่ออกตามล่า หรืออาจจะเร็วจนมันมองไม่ทันก็ว่าได้ มีเพียงแค่ตะกวดตัวหนึ่งที่กำลังนอนอาบแดดอยู่บนก้อนหินหันมามองรถที่วิ่งผ่านไปด้วยความเร็วระดับเปิดประตูโลกันต์เท่านั้น และ มันจำเจ้าฟองดูได้ มันผงกหัวทีนึงก่อนที่จะลดตัวลงแล้วอาบแดดต่ออย่างสงบ การเดินทางครั้งนี้ประดับประดาไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงสวดมนตร์ขอความเมตตาจากคนขับสายพันธ์ุคลั่ง ต้นไม้และสิ่งต่างๆผ่านสายตาของเจ้าหน้าที่ป่าไม่ทั้งหลายไปเหมือนกับภาพเบลอๆ บ่งบอกถึงความเร็วของยานพาหนะคันนี้ได้เป็นอย่างดี
"เฮ้ยยย นั่นมัน ดงไม้เถาวัลย์นี่หว่า ที่จ่าเค้ามาอาบน้ำเพราะว่าโดน . . ."ไอ้กอล์ฟกำลังจะพูดแต่ว่าชาติเห็นสีหน้าของจ่าปลาเลยรีบเอามือปิดปากเจ้าแว่นฟันเหยินนี่ไว้ก่อนที่อะไรๆจะแย่ลงเพราะจ่าปลาเกิดตกมันขึ้นมากลางคันรถ
"อย่าสิกอล์ฟ อย่าพูดเรื่องนั้น จำได้มั้ยว่าตั๊กแตนตำข้าวยักษ์น่ากลัวแค่ไหน ตอนนั้นจ่าเค้าโดนเข้าไปหลายดอกอยู่ ขนาดชั้นเองยังโดนมันเฉาะไหล่เป็นแผลเบอเริ่มเลย ถ้าหากจะพูดก็พูดอะไรที่มันฟังเข้าท่าหน่อยอย่างเช่น เรามาที่นี่เพราะว่าเราต้องการหาที่กินข้าว อร่อยด้วย แล้วจ่าก็ต้องล้างขี้เจ้าฟองดูออกจากหัวด้วย"พูดจบประโยคจ่าปลาก็เกิดอาการอาละวาดขึ้นมาทันทีระหว่างที่คนอื่นๆบนรถจิ๊ปเหาะตีลังกาต่างขำกันจนท้องแข็ง หวาดเสียวจากการขับของจิงโจ้ก็อีกเรื่องนึง แต่ว่าการขำนี่มันก็อีกเรื่องนึงเหมือนกัน แม้แต่เจ้าฟองดูยังยิ้มเกรียนแตกใส่จ่าปลาเลย หมู่หอยแครงลวกทั้งหมู่ต่างก็ยิ้มชั่วร้ายแล้วกำลังคิดว่าจะเอาข้อมูลลับระดับกองพันนี้ไปเผยแพร่ให้ประชาชนคนในค่ายได้รับรู้ยังไงดี ส่วนหมู่หมูมะนาวคนอื่นๆก็ขำกันจนตัวงอเป็นกุ้งท้องแข็งเป็นหิน นักข่าวทั้งสองก็ ไม่สิ เนยคนเดียวก็พยายามกลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์ แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ด็อกเตอร์ เนิร์ดแก่ใส่ชุดกันรังสียางขอบโลหะของเราไม่มีอารมณ์ขำเลยแม้แต่น้อย ยกเว้นว่าไหล่เขาขยับเป็นจังหวะอยู่หลายๆที นั่นหมายความว่า ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์แห่งวงการวิทยาศาสตร์คนนี้กำลังหัวเราะแบบเนียนจัดอยู่ เทคนิควางมาดชั้นยอดสำหรับบุคคลที่มีตำแหน่งระดับสูงคือการกลั้นหัวเราะกึ่งสมบูรณ์ที่จะทำให้ใบหน้าและลำคอไม่ขยับเวลาหัวเราะ แต่ร่างกายจะไม่สามารถกลั้นส่วนท้องได้ ทำให้ไหล่ขยับไปมาตามกลไกของร่างกาย
"เจ้านายเห็นแก่หน้า ขี้ข้าเห็นแก่กินโว้ยยยยยย!!!!!! แล้วจ่าก็ไม่ใช่ขี้ข้าแบบพวกแกรรรร จ่าที่เห็นแก่หน้าก็เลยมาล้างหัวล้างตัวที่นี่เข้าใจมั๊ย หาาาาาา แล้วก็เลิกพูดเรื่องวีรกรรมต่ำๆของฟองดูได้แล้ว ไอ้พวกโหนหมาเนี่ย ตลกมากเหรอ ห๊าาาาา ลองไอ้หมาปัญญาทึบนี่มันขึ้นไปตั้งป้อมบนหัวพวกแกแล้วท้องเสียคาที่ดูซิว่าจะยังขำกันออกอยู่มั้ยยย พวกควายติดหล่มอย่างพวกแกเนี่ยคิดอะไรดีๆเป็นกับเค้าบ้างมั้ยเนี่ย กลับไปถึงกองพันเมื่อไหร่พวกแกโดนวิดพื้นจนกว่าแผลบนตัวจ่าจะหายหมดแน่ แล้วก็รวมถึงจนกว่าจ่าจะได้รองเท้าคู่ใหม่ด้วยยย!!!!!!!"จ่าปลาอาละวาดโวยวายสุดตัวจนแผลที่โดนเจ้ามากมายข่วนแทบจะเปิดอีกรอบ สีหน้าของจ่าปลาแดงก่ำเหมือนผลมะเขือเทศสุก มือไม้แกว่าไปมาทั้งๆที่บาดแผลและรอยฟกช้ำเต็มตัวไปหมด ทุกคนต่างหัวเราะร่ากันอย่างเฮฮาตัดกับอารมณ์เศร้าเมื่อครู่กันแบบลิบลับเลย
.
.
.
.
ณ กองพัน
พิกัด ห้องทำงานของสารวัตรเกรียงไกรอันเป็นดินแดนของสารวัตร อาณาจักรของสารวัตร สถาณที่แห่งสารวัตร ที่ที่สารวัตรมีอำนาจเด็ดขาดสูงสุด ห้องต้องห้ามที่ไม่มีใครนอกจากสารวัตรอยากจะมาย่างกรายเข้าไป
"ฮัดเช้ยยยยยย!!!! ใครบังอาจนินทาอีกแล้ววะ หรือว่าภูมิแพ้ขึ้น"สารวัตรเกรียงไกรจามออกมาเสียงดังลั่นไปทั้งตึก สารวัตรเกรียงไกรที่กำลังดื่มด่ำกับ(หรือจะเรียกแบบที่คนทั่วไปเรียกกันว่าสวาปาม) อาฟเตอร์นูน ทีย์(กรุณาออกเสียง ย.ยักษ์ ชัดๆ)ซึ่งก็คือการจิบชาและขนมรองท้องเล็กๆน้อยๆ(สำหรับสารวัตรคือขนมปังทาแยมครึ่งแถวพร้อมด้วยเค้กครีมอีก3ชิ้น)ยามบ่ายสไตล์แดนผู้ดีประสงค์ร้ายนั่นแหละ
"ไม่ทราบครับ เอายาแก้แพ้มั้ย"ลูกน้องคนสนิทตอบ เขามองสารวัตรด้วยสายตาเหม่อลอยเหมือนคนอดนอน สารวัตรจะกินอะไรกันนักหนาวันละ 4-5 มื้อเนี่ย แถมยังต้องกระแดะออกเสียงสำเนียงเหมือนเป็ดเป็นโรคด้วย
"ไม่เอา!!!! แล้วก็ ไม่ได้ถามแกโว้ย!!!! ไปล้างห้องน้ำหลังกองพันซะ คราวนี้ไม่ต้องแอบกินด้วย" สารวัตรสวนกลับแบบเนียนๆ ลูกน้องคนสนิทที่มีโดนัทน้ำตาลของสารวัตรอยู่ในมือก็ยิ้มแหยๆแล้วบรรจงวางโดนัทที่ว่านั้นลงบนจานของสารวัตรเกรียงไกรก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากห้องไป
"หยุดดดด กลับมารินชาก่อน แล้วค่อยไปขัดห้องน้ำ"สารวัตรเกรียงไกรสั่งเสียงดัง ซึ่งลูกน้องคนสนิทที่ว่านั้นก็วิ่งกลับมาเทชาให้สารวัตรก่อนที่จะกลับออกจากห้องของสารวัตรไป ระหว่างที่สารวัตรกำลังอ้าปากหมายจะกัดโดนัทน้ำตาลคำโตนั้น เสียงโทรศัพท์ของสารวัตรก็ดังขึ้น สารวัตรเกรียงไกรทำหน้าบอกบุญไม่รับแล้วเอามือข้างที่ไม่เปื้อนล้วงกระเป๋ากางเกงควานหาโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
"หมาที่ไหนโทรมาเวลาคนกำลังกินฟร๊ะ ไอ้พวกไม่รู้จักเวร่ำเวลา กวนใจชะมัด พวกตัวถ่วงความเจริญเนี่ยเกลียดนักเชียว"สารวัตรคว้าโทรศัพท์ของตนได้แล้วก็ดูว่ามันผู้ใดมาจากไหนโทรมา จากนั้นเขาก็หน้าซีดลงทันตา สารวัตรกดปุ่มรับสายแล้วเอาโทรศัพท์จ่อหูทันที
"ฮะ อะ ฮัลโหลครับ หัวหน้า แหะๆๆ สบายดีมั้ยครับ คือว่า ไม่ทราบว่าที่ติดต่อมาเนี่ย เออ มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ"สารวัตรเกรียงไกรพยายามพูดกับคนที่อยู่อีกฝั่งของหูโทรศัพท์ เหงื่อแตกพลั่กๆอย่างเห็นได้ชัด ตาเหลือกเหมือนโดนบีบคอ ร่างกายสั่นสะท้านเหมือนกับว่ายมทูตมาเคาะประตูหาถึงหน้าห้องแล้ว
"สวัสดี สารวัตร ไม่ต้องมาพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ความคืบหน้าเรื่องหุบเขาดงโขมดเย็นไปถึงไหนแล้ว คุณรู้ใช่มั้ยว่าเบื่องบนต้องการข้อมูลเพราะมีคนเดือดร้อนขึ้นเรื่อยๆกับเหตุการณ์นี้ นี่คุณกับคนของคุณดำเนินงานไปถึงไหนแล้ว"เสียงสยองดังออกมาจากโทรศัพท์ หน้าของสารวัตรเกรียงไกรซีดลงกับตา เขารู้สึกเหมือนกับว่ากระดูกสันหลังของตนเองกำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งอย่างช้าๆแล้วหัวใจก็เด้งขึ้นมาถึงคอหอยทุกครั้งที่มันเต้นตามจังหวะ เหงื่อท่วมกายเหมือนกับพึ่งเสร็จจากการเข้าห้องเซาว์น่ามา
"เออ คนของผม คือว่า กำลังจะกลับมาครับ ใช่ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวพวกเขาก็จะกลับมาปั่นร่ายงานพร้อมที่จะให้ท่านอย่างแน่นอนครับ แล้วก็ แหม เบื่องบนเค้ารอได้ครับ"สารวัตรเกรียงไกรกำลังพูดอย่างตื่นตระหนก
"รอได้เหรอ คุณไปตอบคำถามนักข่าวซัก20คนดูมั้ยหละ พูดมาได้ แล้วก็ เสียงแบบนี้ คุณกินขนมยามบ่ายอีกแล้วใช่มั้ย นี่ระหว่างปฎิบัติหน้าที่นะ เสียชาติเกิดจริงๆเลยคุณเนี่ย ไร้ความรับผิดชอบ เอาเป็นว่า ผมต้องการข้อมูลทั้งหมดภายในวันมะรืน ก่อนเที่ยงวัน แล้วผมก็จะไม่เลื่อนเด๊ดไลน์ด้วย เข้าใจใช่มั้ยสารวัตรเกรียงไกร ที่ผมพูดเนี่ย ทราบใช่มั้ย"เสียงคาดคั้นจากอีกฝั่งของสายโทรศัพท์ช่างทรงพลัง แข็งกร้าว ดุดัน มันทำให้สารวัตรรู้สึกว่าตนเองเป็นลูกเจี๊ยบที่กำลังต่อรองกับเสือสมิงยังไงอย่างนั้นเลย
"ทราบครับ งานเสร็จทันแน่นอนครับ"สารวัตรพูดแล้วยิ้มแหยๆอยู่บนเก้าอี้หนังของของตนเอง เขารู้สึก แย่อย่างบอกไม่ถูก เพียงแค่เสียงอย่างเดียวก็ทำให้สารวัตรรู้สึกเหมือนโดนบีบกระเพาะปัสสาวะด้วยพลังจิตอาฆาตร้าย ไม่ เขาลงทุนมามากเกินกว่าที่จะมาพ่ายแพ้ให้กับภารกิจนี้ ความพยายามแสนสาหัสที่ทำให้เขามาเป็นสารวัตรนี้ เขามาไกลเกินกว่าที่จะยอมเสียเก้าอี้และโต๊ะทำงานให้กับเรื่องงี่เง่าแบบนี้แน่ๆ
"เอ้อ สวัสดี เลิกสาย"เสียงสยองของบุคคลผู้ทรงอำนาจเงียบหายไป พร้อมกับการถอนหายใจเฮือกใหญ่ของสารวัตร เขามองออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงานด้วยสายตาสิ้นหวัง เขาหดหู่แล้วก็ดูไร้อำนาจต่างจากที่ปกติสารวัตรเป็น สารวัตรฝืนยิ้ม กุมขมับ เข่าอ่อน ในหัวเต็มไปด้วยสารพัดความคิดที่วิ่งไปมาไม่หยุดนิ่ง ได้แต่หวังว่าพวกไม่เอาอ่าวที่เขาเป็นลูกพี่อยู่นั้นจะกลับมาพร้อมข้อมูลที่เขาต้องการ เก้าอี้เขาอยู่ในกำมือของพวกไม่ได้เรื่องซะแล้ว สายตาเหม่อลอยของชายวัยกลางคนร่างอ้วนมองออกไปยังป่าน้ำตาหนาม หวังว่ารถจี๊ปจะกลับมาพร้อมกับสิ่งที่สารวัตรต้องการ ไม่ได้ เขาจะยอมให้โชคชะตาเป็นฝ่ายเล่นเกมการเมืองนี้อย่างเดียวไม่ได้ สารวัตรเดินออกจากห้องทำงาน ถึงเวลาแล้ว . . .
.
.
.
.
ณ หุบเขาดงโขมดเย็น
พิกัด บ่อนสุขสบาย
"จ่า ไม่เอาหน่า เลิกบ้าได้แล้ว ผมแค่บอกเรื่องน่าอายของจ่าออกไปให้ประชาชนเพื่อนร่วมโลกรู้แค่นั้นเอง ไม่ได้เอากางเกงในจ่าไปประมูลขายที่ตลาดมืดซะหน่อย อะโด่ ทำเป็นซีเรียสไปได้"ไอ้ชาติที่พยายามปลอบซึ่งไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ดูๆไปแล้วเหมือนกับการราดน้ำมันก๊าดลงไปในกองไฟมากกว่า ตอนนี้จ่าปลาด่าจนแทบหมดแรง ซึ่งจากการผจญภัยในดินแดนแห่งฝันร้ายที่อุดมไปด้วยอุปสรรค์อันตรายและการต่อสู้กับสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ เรื่องดราม่ามากมายที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต ช่าวเวลาแห่งความสุขและความเศร้า สารพัดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในผืนป่าอันเต็มไปด้วยปริศนาและเสน่ห์ ความลึกลับและสิ่งเหนือธรรมชาติมากมาย ได้เวลาออกไปป่าวประกาศให้โลกรู้ ว่าเจ้าฟองดูขึ้นไปนั่งขี้บนหัวจ่า เออ ว่าเราเจอนักวิทยาศาสตร์เพี้ยนกับสัตว์กลายพันธุ์โขยงใหญ่ในดินแดนที่ไม่มีใครอยากเข้าไปเหยียบ อาชญากรมือเปื้อนเลือดและหมู่บ้านที่สาบสูญ สถาณที่อันน่ามหัศจรรย์และน่าหวาดหวั่น เหล่านักข่าวคงกำลังรอคอยที่จะกลับสำนักข่าวจนเนื้อเต้นแล้ว
"หนอย ไอ้หมาปากเปราะ ไอ้ก้นไม่มีหูรูด ไอ้โง่ตาใส เฮ้อออ ก็ได้"จ่าปลายอมหยุดแล้ว แล้วหันไปด้านข้าง เธอเห็นกระท่อมไม้หลังน้อยที่ซุกซ่อนอยุ่ในป่ารกสีเขียวขจีแห่งนี้ สถาณที่อันเคยเป็นบ่อนการพนันผิดกฏหมาย อาคารแห่งความวินเทจ มันทำให้จ่านึกถึงคืนแรกที่เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาตั้งแคมป์กันในบ้านไม้หลังน้อย มันเผา ไพ่ กองไฟอุ่นๆ และเรื่องผีสุดสยองของหมู่โบกี้ นอกจากนั้นยังมี
"อั๊บแอ้!!!!!"เสียงร้องปลุกปีศาจของสิ่งมีชีวิตที่จ่าปลาเกลียดนักเกลียดหนาดังขึ้น ต้นไม้ต้นหนึ่งที่รถคันนี้ขับผ่านมีสัตว์ร้ายตัวแรกที่เราพบในหุบเขาอยู่ เจ้าตุ๊กแกยักษ์ มันไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับรถคันนี้ ไม่ได้โจมตีหรือทำอะไรทั้งนั้น แต่ว่าแค่เห็นมันแว๊บเดียว ขนทุกเส้นบนร่างกายของจ่าก็ลุกชันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอไม่ชอบตุ๊กแก มาก
"จ่า ทักทายเพื่อนเก่าหน่อย"ตือแซวจ่าซึ่งจ่าปลารู้สึกจะไม่ขำด้วยกับมุขฝืดๆของชายร่างอ้วนคนนี้ ตุ๊กแกตัวนั้นโดนปืนลูกซองและคบเพลิงมามากเกินพอแล้ว มันเลยไม่คิดจะเข้าใส่โจทก์เก่าอีกครั้ง ร่างกายลายพร้อยสีเขียวแกมน้ำเงินที่เต็มไปด้วยจุดสีแดงส้มและสีเหลืองค่อยขยับหลบเข้าไปในเงาไม้ แลบลิ้นอย่างหิวกระหาย มันหรี่ตาลงแล้วเหลือบมองไปทั่วด้วยตาโปนๆสีเหลืองของมัน มันยิ้มอย่างน่ากลัวแล้วจากไป
"ไม่ตลก แผลที่ขาหนูยังไม่หายเลย"เนยพูด เธอก้มลงไปดูที่ขาของเธอที่โดนเจ้าตุ๊กแกบ้าเลือดตัวนั้นกัดเข้าเต็มคำ มันไม่สนุกเลยเวลาต้องลากขาที่มีบาดแผลแบบนั้นไปไหนมาไหนตลอด3วัน สิ่งที่แย่ที่สุดคือเธอกับสมบัติต้องวิ่งจนตับแลบในกลศึกไฟประหารมด แล้วนั่นไม่ใช่การวิ่งเพียงครั้งเดียวของเธอด้วย
รถที่วิ่งด้วยความเร็วระดับระห่ำเดนตายคันนี้พุ่งทะยานผ่านผืนป่าเขียวขจีที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เขากับพรรคพวกกำลังจะออกจากป่าแห่งนี้ในเวลาไม่นาน เราใช้เวลาเข้ามาไม่นานนักกว่าจะถึงบ่อนสุขสบาย แล้วตอนนั้นเราก็เดินมา แต่ว่าด้วยรถระห่ำๆแบบนี้พรอมด้วยคนขับจากอเวจีอย่างจิงโจ้แล้วหละก็ ไม่กี่อึดใจ เราจะออกไปจากดินแดนพิศวงได้อย่างแน่นอน หมวดตะวันกลอกตาดูรอบกาย เขารู้สึกไม่ไว้ใจ แม้ว่าหมู่หมูมะนาวจะไม่เจออะไรก่อนที่จะมาตุ๊กแกยักษ์ แต่เขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องมากๆอยู่ มันรู้สึกเหมือนมีใคร หรืออะไร กำลังจ้องมองเราจากที่ไกลๆ
มีบางสิ่ง กำลังจ้องมองพันธมิตรหมูมะนาว+หอยแครงลวกอยู่ มันแฝงตัวอยู่ในร่มไม้หนา ขยับร่างอย่างผิดไปจากสิ่งมีชีวิต ดวงตาสีดำสนิทเพียงดวงเดียวของมันขยับไปมาก่อนที่ร่างโลหะของมันจะขยับเล็กน้อยอย่างแผ่วเบา
"นั่นไง ทางออก รีบไปเร็ว หมวดตะวันชี้ไปที่ทางข้างหน้า"หมวดตะวันชี้แล้วรถที่พุ่งด้วยความเร็วสูงก็ทะยานออกไปจากป่าแห่งฝันร้ายแห่งนี้ ป่าทึบอันมืดมิดค่อยๆเบาบางลง เผยให้เห็นแสงสว่างและสภาพของป่าโปร่ง แสงสว่างเบื้องหน้านั้น เรากำลังจะออกไป
ฟุ่บ
รถคันนี้ผ่านแนวพุ่มไม้สุดท้ายอย่างรวดเร็ว ใบไม้กระจุยกระจาย ตามด้วยฝุ่นควันสีส้มแดงคละคลุ้ง เราออกมาจากหุบเขาดงโขมดเย็นอย่างเป็นทางการแล้ว แล้วตอนนี้เราอยู่บนเส้นทางสายดินลูกรังบนป่าน้ำตาหนาม ป่าดิบแล้งที่ทุกอย่างดูจะแห้งแล้งสมชื้อ ที่ๆเต็มไปด้วยต้นไม้หนามแห้งกรอบสีเทาหม่นเหมือนกับขี้เถ้าและพุ่มไม้หนามเล็บเหยี่ยวแหลมคมขึ้นเต็มพื้นที่ไปหมด รถคันนี้ผ่านป้ายหยุดอันใหญ่ขึ้นสนิมที่เต็มไปด้วยของกินเครื่องเซ่นแล้วก็พวงมาลัยหลากสีสันที่เหี่ยวเฉาเน่าตายไปเรียบร้อยแล้ว สงสัยเจ้าแม่ป้ายหยุดในตำนานจะให้หวยไม่แม่นชาวบ้านเพี้ยนๆก็เลยเลิกกราบไหว้บูชา มันมีบางอย่างเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนที่เราผ่านศาลเจ้าแม่ป้ายหยุด
"แปลกนะ ตอนขามาจำได้มาเห็นหมาอยู่2ตัว หนึ่งในนั้นคือเจ้าฟองดู ตอนนี้อีกตัวก็หายไป"จ่าปลาตั้งข้อสังเกตุแล้วมองไปที่เจ้าฟองดู มันกระดิกหางแลเวเห่ารับ2-3ทีให้กับบ้านเก่าของมัน จากนั้นจ่าปลาก็มองไปทางข้างหน้า จิงโจ้เบี่ยงรถไปยังถนนสายดินลูกรังก่อนที่จะเหยียบรถอย่างสนุกเท้า การขับรถแบบไม่มีความเกรงอกเกรงใจคนนั่งและกฎฟิสิกข์เลยแม้แต่น้อยคือเอกลักษณ์ของชายคนนี้เลยหละ เขาขยับหมวกแก๊ปบนหัวน้อยๆก่อนที่จะปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปกับแรงลมและฝุ่นทราย
"อ้าห์ ในที่สุด ท้องฟ้าสดใส เส้นทางชนบท ทิวทัศน์ปลอดโปร่งที่มีต้นไม้หนามเล็บเหยี่ยวขึ้นเป็นหย่อมๆ สถาณที่สำหรับการเหยียบคันเร่งสุดมันส์กระจายอย่างแท้จริง"จิงโจ้พูดแล้วพารถพุ่งกระหน่ำไปข้างหน้าอย่างเมามันส์ จนคนบนรถเริ่มร้องขอชีวิตกับยกถุงอ้วกขึ้นจ่อปาก เอาเป็นว่าทุกคนหน้าเขียวโดยไม่ต้องเป็นอย่างน้ำอ้อยเลยหละ
"เฮ้ยย ขับไม่ต้อแงเร็วมากก็ได้ ไกลขนาดนี้ไม่มีภูติผีสัตว์ประหลาดออกมาขย้ำหัวเราเล่นหรอก"หมวดตะวันพยายามทักท้วงแต่ว่าเขาเองก็รู้ดี ไอ้จิงโจ้ผู้มากด้วยชื่อเสียขับรถแบบคนสติดีๆไม่เป็น ไม่งั้นมันไม่มีประวัติขับรถตีลังกาข้ามหัวชาวบ้านเขาหรอก เชื่อเขาเลย ตอนนี้รถจี๊ปที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและทรายสีแดงกำลังฝ่าทะเลทรายน้อยๆนี้ไปยังกองพัน
"อีกไม่นาน รวยแน่ๆ หนูจะซื้อกล้องใหม่ แล้วอาจจะได้เข้าสำนักข่าวไฮยีน่านิวส์ ต่อให้ไม่ได้เข้า ก็น่าจะสร้างชื่อเสียงได้เยอะอยู่ หึหึหึ"เนยพูดกับตัวเอง เธอมองไปมาแล้วยกกล้องถ่ายวีดีโอ/รูปแตกๆขนาดใหญ่ปานท่อนซุงของเธอขึ้นมา เธอมองที่ช่องเม็มโมรี่ซึ่งไม่ได้รับความเสียหายแล้วยิ้มอย่างมั่นใจ ได้เวลาสำหรับแผนการทางการเงินและการทำกำไร เมื่ออุตสาห์ลำบากลำบนดิ้นรนเข้าป่าสุดสยองที่เต็มไปด้วยสารพัดสัตว์ร้ายและอสูรกาย อีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่เธอและสมบัติจะเก็บเกี่ยวผลงานที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเธอแล้ว ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ
"คิดเรื่องเงินใหญ่เลยนะเนี่ย นักข่าวเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่าเนี่ย"ไอ้กอล์ฟแซว เขายิ้มกวนๆแล้วส่งหางตามองมาที่เนยกับสมบัติอย่างทะเล้นใต้แว่นกลมหนาของเขา ยังคิ้วหน่อยๆ ฝืนยิ้มนิดๆ ทำมือเหมือนกับกำลังนับเงินแบบล้อเลียน
"เรื่องเงินเรื่องใหญ่พวก การเป็นอยู่ต้องใช้เงิน ใครบางคนบอกว่าเงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าสำหรับชั้นแล้วเนี่ย เกือบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตต้องใช้เงินในการอยู่รอดและดลบันดาลฝันให้เป็นจริง หนูทำงานแลกเงินและใฝ่หาอนาคตเช่นเดียวกับพวกคุณนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามาตรฐานจริยธรรมของเรามันต่างกันเฉยๆตามการแข่งขันที่มีความเข้มข้นต่างกัน แค่นั้นเอง ในเมืองอาจจะเต็มไปด้วยความเจริญและอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ต้องแลกด้วยชีวิตที่เร่งรีบและวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ชีวิตแบบนั้นแหละชีวิตของชั้น"เนยอธิบายด้วยรอยยิ้มกว้างและแววตาทะเล้นเหมือนกัน เธอกำลังฝันหวานกับกำไรที่เธอจะทำได้หากกลับไปยังสำนักข่าวอีกครา
"ก็แล้วแต่นะ สไตล์ใครสไตล์มัน"กอล์ฟยักไหล่แล้วมองออกไปข้างนอก ชมวิวทิวทันศ์ของดินแดนที่แห้งแล้งและเป็นสีแดงส้ม เขากำลังคิดเรื่องจะกินอะไรดี แล้วจะทำอะไรต่อจากนี้ สิ่งที่พวกเขาเผชิญในป่าแห่งความสยดสยองนั้นน่ากลัวเกินคำบรรยาย เขาต้องไปพบจิตแพทย์หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แล้วแต่นะ แต่ที่แน่ๆเขากับคนอื่นๆต้องไปรักษาบาดแผลแสนสาหัสที่เกิดขึ้นนี้ก่อน
"จะว่านะ ตอนขามาพวกเราทั้งสนุกสนาน มั่นใจ ออกจะเบื่อด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนขาออกมาเนี่ย ไม่ใช่ Limited Edition นะ นี่มัน Defeated Edition ชัดๆ หน้าก็แหก แถมสลบเหมือด ชุดหลุดลุ่ยเหมือนซอมบี้คืนหลุม เครื่องแบบสภาพดูไม่ได้เหมือนของบริจาคให้ชาวบ้านประเทศโลกที่3 มีดหัก ปืนหาย กระสุนหมด แผลเต็มไปหมด ทั้งตัวและหัวใจ ผมยังเห็นภาพหลอนกระตุกๆจากเกสรดอกบัวสุดหลอนนั่นอยู่เลย ตอนเข้าไปในหุบเขาก็รู้นะว่าที่นี้น่ากลัวและเต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย แต่ว่าพอมีสัตว์ประหลาดกับไอ้เนิร์ดเฒ่าเก่าเก็บสติแตกเข้ามาผสมโรงด้วยแล้ว การเอาชีวิตรอดในหุบเขาชำเราใจนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว บรึ๋ยยย ถ้าให้เข้าไปอีกรอบขอลาออกดีกว่า"กอล์ฟพูด เขามองร่องรอยการต่อสู้ที่ประดับประดาอยู่บนร่างกายของหลายๆคนแล้วยิ้มน้อยๆ ชีวิตไม่เรียบสิถึงจะสนุก ตัวเขาเองก้าวผ่านอุปสรรค์ใหญ่หลวงแบบนี้ไปได้ก็ต้องนับเป็นหนึ่งในบทเรียนชีวิตอีกหนึ่งความทรงจำแล้วหละ
"บอกเลย ถ้าหายดีเมื่อไหร่ หมวดตะวันต้อง รอบวง!!!!!!"ไอ้ชาติพูดแล้วตามด้วยเสียงเชียร์อันฮาเฮของเหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้และคณะผู้ติดตาม หมวดตะวันหรี่ตาลง แต่เขาไม่แสดงอาการโมโหหรือไม่พอใจใดๆทั้งนั้น เขาเฉย ยิ้มน้อยๆ แล้วยักคิ้ว
"เอาก็เอาสิ ไหนๆรอดจากตัวอะไรก็ไม่รู้มาได้ถึงขนาดนี้แล้วเนี่ย มันก็ฉลองซักทีสิ ใช่มั้ยพี่น้อง หายดีแล้วเราไปนั่งดื่มกันให้สะใจวัยทอง เฮ้ย วัยทีนกันไปเลย งวดหน้า หมวดรอบวงเอง แล้วจะได้ดูกันว่าเวลาสู้กับสัตว์ประหลาดรอบต่อไปใครจะรอบวง เออ ไม่ขอสู้กับสัตว์ประหลาดแล้วนะรอบหน้า เมื่อกี๊ขอถอนคำพูด"หมวดตะวันป่าวประกาศแล้วทุกคนบนรถก็ส่งเสียงเชียร์กึกก้องไปทั่วยานพาหนะแห่งความพิโรธคันนี้อย่างครื้นเครง
คณะพันธมิตรหมูมะนาว+หอยแครงลวกที่กำลังพาตัวด็อกเตอร์แอนโทนี่ เจลโล่และหลักฐานอื่นๆไปยังกองพันเพื่อจบภารกิจนั้นไม่ได้ระวังตัวเมื่อเข้าไกล้กองพัน พวกเข้าบางคนอาจจะรู้ตัวว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแต่ว่าพวกเขาประมาทเกินกว่าที่จะเก็บมาคิดพิจารณา กว่าจะรู้ว่าสายตาอันเป็นภัยเข้ามาไกล้ก็สายเกินไปแล้ว
"วี๊ดๆๆๆ"เสียงอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ดังขึ้น จนทุกคนบนรถขมวดคิ้วสงสัยว่าต้นตอของเสียงมาจากไหน ทันใดนั้น บางอย่างก็พุ่งขึ้นมาจากด้านหลังของพุ่มไม้หนามสีเทาซีด มันเป็นบางอย่างที่ดูเหมือนหุ่นยนต์ตัวเล็กๆที่มีใบพัด4ใบอยู่ด้านบน กล้องตัวหนึ่งที่อยู่บนตัวหุ่นยนต์นั้นหันมาจ้องมองที่รถจี๊ปคันนี้อย่างน่าประหลาด แสงสีแดงกระพริบอยู่บนหุ่นยนต์สีเทาอ่อนที่ไม่สะท้อนแสงตัวนี้เป็นจังหวะเหมือนกับแสงบนกล้องวงจรปิด
"เฮ้ย ทำไมมีโดรนอยู่แถวนี้ว๊ะ"หมวดตะวันมองที่หุ่นโดรนอันนั้น มันบินขึ้นเหนือรถแล้วร่อนลงมาที่รถจี๊ปอย่างรวดเร็วและแม่นยำราวกับนกอินทรีโฉบลงมาจับแพะ มันทิ้งกระป๋องสีเงินที่มีฉลากสีเหลืองมัสตาร์ดเข้ามาในรถเก่าๆคันนี้อย่างแม่นยำแม้ว่ารถคันนี้จะขับโดยว่าที่นักแข่งรถFก่อนที่ก็ตาม กระป๋องอันน่าสงสัยอันนั้นจะปลดปล่อยสารเคมีอันตรายที่อยู่ข้างในออกมาอย่างรุนแรง ควันสีเทาอ่อนพวยพุ่งออกมาจนรถทั้งคันท่วมไปด้วยควันปริศนา ราวกับว่ายานพาหนะคันนี้เป็นถังใส่น้ำแข็งแห้งที่ปลดปล่อยควันออกมา
"รีบเอามันออกไปเร็ว"จ่าปลาตะโกน แต่ว่าด้วยความแออัดยัดเยียดบนรถจี๊ปสุดโทรมคันนี้ ไม่มีใครขยับร่างกายได้มากพอที่จะเอื้อมลงไปหยิบกระป๋องอันตรายกระป๋องนั้น แถมร่างกายของแต่ละคนยังคงมีบาดแผลนับไม่ถ้วนและรอยผึ้งต่อยเต็มตัวทำให้ขยับตัวแทบไม่ได้ เลยไม่มีใครสามารถกู้สถาณการณ์ฉุกเฉินนี้ได้ ควันที่ไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนดันเครื่องกระป๋องชิ้นนั้นให้เข้าไปใต้ที่นั่งของคนขับรถทำให้ไม่สามารถเอาออกมาได้
"วิ้วๆๆๆๆ วิ๊ดดดด"เสียงของโดรนจู่โจมนั้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีโดรนหลายตัวที่ซุกซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้บินว่อนออกมาแล้วทิ้งเครื่องกระป๋องอันตรายเหล่านั้นออกมาเพิ่ม รอบๆรถคันนี้เต็มไปด้วยควันพิฆาตที่ทรงพลังน่ากลัว เมื่อสูดดมเข้าไปทำให้รู้สึกสติค่อยๆหลุดลอยและง่วงสุดขีดจนแทบจะควบคุมตนเองไม่อยู่ นี่มันหนักยิ่งกว่าหนังสือคณิตศาสตร์ฉบับล้มช้างซะอีก ควันสีเทาที่พวยพุ่งออกมาพวกนี้เป็นควันยาสลบ ที่ทรงพลังมากเพราะนี่เป็นรถเปิดโล่งแต่มันยังใช้ได้ผลเป็นอย่างดีแบบน่าเหลือเชื่อ
"แค็กๆๆ ตั้งสติไว้ เหวอ!!!!"หมวดตะวันร้องเมื่อรถจี๊ปสนิมกินที่ขับโดยคนขับระดับสวรรค์ส่งนรกสาปคนนี้ส่ายไปมาเหมือนขับโดยคนเมาค้าง จิงโจ้โดนฤทธิ์ของยาสลบนี้เข้าให้แล้ว นี่คือวิกฤติสุดๆ ทุกคนบนรถต่างร้องอย่างตื่นกลัวสุดชีวิตก่อนที่เสียงของหลายๆคนจะแผ่วลงเพราะพลังของยาสลบรุนแรง เพียงแค่ครึ่งนาทีเท่านั้น ทุกอย่างที่หมวดตะวันมองเห็น ค่อยๆเลือนลางเหมือนภาพของคนที่กำลังเมา เขาเริ่มควบคุมร่างกายไม่ได้ แขนขาค่อยๆชาและไม่ยอมทำตามคำสั่งของสมอง และคนอื่นๆก็เป็นเหมือนกัน โดรนบินไล่ตามเหยื่อของมันอย่างไม่ลดละ และไม่ใช่โดรนอย่างเดียวที่ปรากฎกายออกมาให้เหล่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้เห็น
เอี๊ยดดดดดดดดด!!!!!!!!!!
โครมมมมมมมมม!!!!!!!!! รถที่คนขับไม่สามารถควบคุมสติของตนเองไว้ได้เสียหลักลงอย่างไม่ต้องสงสัย ยานพาหนะแห่งความเร็วคันนี้พุ่งเข้าใส่ต้นไม้แห้งกรอบตายซากต้นหนึ่งจนเปลือกไม้แตกกระจายราวกับพลุปีใหม่ ลำต้นแห้งๆที่ไม่มีสีเขียวอยู่เลยโค่นลงคาที่หลังจากที่รับแรงปะทะ ดีที่จิงโจ้ชะลอรถลงได้มากแล้วก่อนที่จะเข้าชนต้นไม้ผุๆแห้งกรังต้นนี้ไม่งั้นหลายๆคนอาจจะได้เหินเวหา ฝุ่นสีเทาและส้มแดงตลบอบอวลไปทั่วหลังจากที่รถเข้าไปอัดใส่ต้นไม้ต้นนั้น รถจี๊ปคันนี้หยุดลงในสภาพยับเยิน กระโปรงหน้ารถเปิดพร้อมด้วยเครื่องยนต์กลไกที่แตกหักและบิดเบี้ยว กระจกร้าว ล้อเบี้ยว ช่วงล่างงอ ถังรถยับเหมือนกับกางเกงยีนส์ของคนงานก่อสร้าง พวงมาลัยหักคามือจิงโจ้ คันโยกเกียร์ก็เช่นกัน
ผู้โดยสารต่างก็ตื่นตระหนกแล้วก็หายใจแรงแต่ก็ไม่สามารถต้านทานพลังของยาสลบได้ หลายคนยังอยู่บนรถ บางคนหล่นลงจากซากเหล็กก้อนนี้ไปนอนอยู่นอกรถ ทุกคนแทบจะขยับตัวไม่ได้เพราะฤทธิ์ของยาสลบและอาการบาดเจ็บจากการปะทะ หมวดตะวันลงไปนอนอย่างน่าเอน็จอนาถอยู่บนพื้นดินลูกรัง หลายคนพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ไม่สำเร็จ พลังของควันปริศนานั้นรุนแรงเกินกว่าที่ร่างกายจะทานทนไหว โดรนบินวนรอบๆจุดที่ซากรถจี๊ปกองอยู่ก่อนที่บางอย่างกำลังเข้ามา ควันสีแดงส้มราวกับก้อนอิฐคละคลุ้งไปทั่ว
"แค็ก แค็กๆๆ แฮะๆๆ อ้าก ไม่ งือออ"หมวดตะวันเห็นคนแล้วคนเล่าที่สูดเอาควันประหลาดนั้นตาหรี่ลง สติเลือนลาง แล้วสลบไสลลงอย่างง่ายดายยิ่งกว่าเด็กอ่อนเสียอีก พวกเขานอนหลับอย่างรวดเร็วเหมือนกับโดนยาสลบห้องผ่าตัดเข้า สิ่งสุดท้ายที่ที่หมวดตะวันเห็นคือมีรถตู้สีดำและโดรนอีกหลายตัวปรากฎออกมาให้เห็น เขาและคนอื่นๆนอนอยู่บนพื้นดินฝุ่นตลบ ไม่สามารถขยับเขยื้อน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พ่ายแพ้ให้แก่เทคโนโลยีปริศนานั้นอย่างหมดรูป เรือล่มตอนจอด ตาบอดเมื่อแก่ มันเป็นแบบนี้นี่เอง สติล่องลอยหายไปแม้ว่าพยายามจะฝืนสุดตัว นี่คืออะไร ที่ไหน มันเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างมืดลง ดำสนิท จาง หาย ไป
.
.
.
นิ่ง
.
.
เงียบ
.
สงบ
.
"เฮือกกกก!!!!!"เสียงหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้น หมู่โบกี้ตื่นขึ้นแล้ว เขาอยุ่ที่ไหนเนี่ย แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บแบบนี้ แล้ว ที่นี่ สีขาว ไฟนีออน เตียงแบบนี้ ที่กั้นขอบเตียงโลหะเย็นเฉียบ ไม่ต้องแปลกใจเลย ที่นี่ต้องเป็นที่โรงพยาบาลแน่ๆเลย หมู่โบกี้พอตั้งสติได้ว่าเขาอยู่ที่โรงพยาบาลหลังจากบาดเจ็บสาหัสก็ถอนหายใจแล้วหรี่ตาลง เขาพยายามมองไปรอบๆตัว เห็นเพื่อนร่วมหมู่อีกหลายคนที่นอนเป็นง่อยอยู่บนเตียงคนไข้ แบบนี้ คงถึงเวลาพักผ่อนแล้วสินะ หมู่โบกี้หลับตาลง หัวเราะเบาๆให้กับตัวเองแล้วกำลังจะหลับตา
"โครม!!!!!!!"เสียงประตูห้องพักผู้ป่วยกระแทกกำแพงดังขึ้นเมื่อบุคคลสุดท้ายที่หมู่โบกี้อยากเห็นปรากฎกายขึ้นหลังบานประตู เงาดำทะมึนเดินเข้ามาอย่างทรงอำนาจ ใบหน้าบึ้งตึง เหงื่อท่วมกาย ร่างกายอ้วนใหญ่ของชายวัยกลางคนเดินตรงเข้ามาทางเตียงของหมู่โบกี้อย่างร้อนรน หมู่โบกี้รู้สึกหนาวไปทั้งตัวเมื่อเห็นคนๆนี้
"สะ สวัสดีคร้าบ สารวัตรเกรียงไกร แหะๆๆ ผมรู้สึกยินดีจริงๆที่สารวัตรมาเยี่ยมพวกเรา"หมู่โบกี้ฉีกยิ้มแล้วมองไปที่สารวัตรอย่างหวาดกลัว มันมีบางอย่างที่ทำให้ชายบนเตียงคนไข้คนนี้รู้สึกว่าเขากำลังเจอเรื่องเดือดร้อนแน่
"หมู่โบกี้ พูดได้แล้วสินะ เฮ้อ ดีจริงๆเลย เอาหละ จำได้มั้ยว่าผมส่งหมู่กับคนอื่นๆไปทำภารกิจที่หุบเขาดงโขมดเย็น ผมต้องการข้อมูลทั้งหมดเดี๋ยวนี้เลย ใจเย็นๆ ค่อยๆเล่าก็แล้วกันนะ เดี๋ยวผมช่วยฟัง เออ อยู่เฝ้าไข้ให้แล้วกัน ไอ้สอง จดเซะ"สารวัตรรุดเข้ามาที่เตียงอย่างร้อนรน มาดของเขาไม่เคร่งขรึมเหมือนเคย สีหน้าของสารวัตรเหมือนกับว่าเขากำลังโดนอะไรบางอย่างไล่ล่า ไม่ก็กำลังโดนผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าค่อยๆเข้าจัดการเขา สารวัตรนั่งฟังตาโตอย่างตั้งอกตั้งใจ ปากขมิบเต็มกำลังแล้วดูเหมือนจะตัวสั่นหงึกๆด้วย
"เออ แล้วหมวดเอกหละครับ"หมู่โบกี้พยายามจะยนความรับผิดชอบให้หมวดเอกเพราะว่าตามปกติแล้วเป็นหน้าที่ของหัวหน้าหมู่ที่จะต้องเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่ผู้บังคับบัญชา หมวดเอกรู้ว่าต้องพูดยังไงให้สารวัตรพึงพอใจ
ทันใดนั้นสารวัตรเกรียงไกรก็หน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเกาด้านหลังหัวตัวเองก่อนที่จะหันมามองที่หมู่โบกี้
"เสียใจด้วยนะ แต่ว่า . . ."สารวัตรทำหน้าจืด เขาห่อไหล่ลงทันทีแล้วก้มหน้าลงมองพื้น หมู่โบกี้เห็นอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกใจหาย นี่เกิดเรื่องที่เลวร้ายมากๆกับหมวดเอกเหรอ หรือว่า . . . เรื่องที่แม้แต่สารวัตรเกรียงไกรผู้หยิ่งทระนงยังไม่อยากพูด
"หมวดเค้า จากเราไปแล้วเหรอ"หมู่โบกี้หรี่ตาลง เขาทำหน้าเหมือนกับว่าตัวเองรวดร้าวสุดขีด น้ำตาหยดน้อยๆค่อยๆไหลออกมาตรงหางตา
"เปล่า หมวดเอกได้รับบาดเจ็บสาหัสหนักเกินไป แล้วมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินกว่าที่หมอจะรักษาได้ทัน ตอนนี้หมวดเอกเลย เฮ้อออ . . . หมวดเอกอาจจะ . . . ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย"สารวัตรทำหน้าเศร้าแล้วกุมมือของหมู่โบกี้ เขาฉายแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้า ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะที่จะได้เห็นอะไรแบบนี้ออกมาจากสารวัตร
"หา"หมู่โบกี้อ้าปากค้าง เขาหรี่ตาลง แล้วหุบปาก เขามองเบี่ยงไปทางคนอื่นๆ
"หมอบอกว่า หมวดเอกเสียเลือดเยอะเกินไปทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ นอกจากนี้หัวและส่วนอื่นๆที่สำคัญของร่างกายยังได้รับแรงกระทบกระเทือนรุนแรง ตอนนี้หมวดเอกเลยอยู่ในสภาพโคม่า ไม่รู้ว่าหมวดเอกจะฟื้นขึ้นมาได้อีกมั้ย เราก็ได้แต่ภาวนาให้หมวดเอกอาการดีขึ้น ส่วนคนอื่นๆที่รถคว่ำอาการก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ยังมีสติดีกันอยู่"ไอ้สองซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของสารวัตรเกรียงไกรกำลังอธิบายให้หมู่โบกี้ฟังแต่แล้วหมู่โบกี้ก็นึกขึ้นได้
"โว้ โว้ โว้ว อะไรนะ รถคว่ำเหรอ"หมู่โบกี้ทักท้วง เขาเลิกคิ้วสูง ทำหน้าแปลกๆ เขาจำได้ว่ารถไม่ได้คว่ำหนี่หน่า แค่ชนเฉยๆ
"ใช่แล้ว เราไปเจอพวกคุณที่ป่าน้ำตาหนาม หมู่ลิงละลายออกไปทำภารกิจกู้ภัยเพราะเราเห็นว่าที่หุบเขามีไฟไหม้แล้วไปเจอพวกคุณ กับ หมู่หอยแครงลวกนอนกระจัดกระจายพร้อมกับซากรถจี๊ปที่คว่ำตีลังกาอยู่ ล้อชี้ฟ้าเลย"ไอ้สองพูด หมู่โบกี้ทำหน้าประหลาดใจ จิงโจ้เบรครถทันหนี่หน่า มันใช้เบรคธรรมชาติเป็นต้นไม้เพื่อลดความสูญเสีย
"เปล่า รถไม่ได้คว่ำ เราโดนโจมตีโดยโดรนสงครามกับแก๊สยาสลบ จิงโจ้เลยขับไปชนต้นไม้"หมู่โบกี้พูด ไอ้สองกับสารวัตรเกรียงไกรหันไปมองหน้ากันไปมา ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อแล้วหันมามองหน้าหมู่โบกี้
"โดรนเดรินอะไรกัน เราไปเจอพวกหมู่รถคว่ำจริงๆ เอาภาพให้โบกี้ดูซิ"สารวัตรเกรียงไกรยักคิ้วด้วยความงุนงงฉงนใจ ไอ้สองหยิบแฟ้มสีน้ำตาลอ่อนออกมาแล้วหยิบรูปภาพรูปหนึ่งให้หมู่โบกี้ดู รถจี๊ปคว่ำอยู่ข้างๆต้นไม้ที่เขาและคนอื่นๆชน ในภาพมีเขากับคนอื่นๆนอนอนาถกันอยู่บนพื้น แต่มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องมากๆอยู่ ไม่มีด็อกเตอร์กับแตงโมในภาพนั้น นักข่าวเองก็หายไป แต่ฟองดูยังอยู่ แถมไม่เป็นไรด้วย
"ไอ้เนิร์ดเฒ่าไปไหนอ่ะสารวัตร เออ หมายถึง ด็อกเตอร์ คนที่ใส่ชุดยางกันรังสีอันเหลืองๆทั้งตัวอ่ะ แล้วก็ผู้ช่วยที่ดูแปลกๆ ผู้หญิงตัวเตี้ยๆสีฟ้าๆใสๆหน่อย แล้วก็นักข่าวอีกสองคนที่สารวัตรให้มากับเรา"หมู่โบกี้ถามสารวัตรซึ่งสารวัตรก็ทำหน้างงอีกแล้ว สารวัตรทำคิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ได้เลย เขาหันข้างไปหาไอ้สองซึ่งไอ้สองก็ยักไหล่ส่ายหน้า สารวัตรกุมหัวตัวเองแล้วหันมาทางหมู่โบกี้ เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าแล้วพูดต่อ
"เราไม่เจอใครหรืออะไรที่หมู่ว่าเลย ไม่ว่าจะเป็นด็อกเตอร์ชุดเหลืองหรือว่าผู้ช่วยตัวสีฟ้า แล้วเราก็ไม่เห็นนักข่าวเลย ไปบริเวณนั้นก็ไม่มีโดรนหรือว่าร่องรอยอะไรด้วย นอกจากพวกนาย หมู่หอยแครงลวก กรอบ และ จิงโจ้ เราไม่เจอใครอีกเลย ยกเว้นหมาจรจัดตัวนึงนะ"ไอ้สองหันมาพูดกับหมู่โบกี้ซึ่งเขาทำหน้าตาตื่น เขาหรี่ตาลง สับสน แปลกใจ ก่อนที่จะสะบัดหัวไปมาเรียกสติแล้วหันมาคุยกับสารวัตรเกรียงไกร
"เอางี้ ผมกับหมวดเอกและคนอื่นๆไปเจอว่าทุกอย่างที่ผิดปกตินั้นมันเกิดจากห้องแล็บกลางป่า มันมีนักวิทยาศาสตร์ ด็อกเตอร์ เออ แอนดี้ หรืออะไรซักอย่างนี่แหละ กับเพื่อนๆของเขาทำการทดลองสร้างสัตว์ประหลาดหรืออะไรเทือกนั้น แล้วทีนี้ มันมีคนชุดดำบุกมาโขมยของบางอย่างจากด็อกเตอร์แล้ว เออ ไม่รู้ว่าทำไม ของที่ว่านั้นหล่นอยู่กับ เออ อยู่ในที่ไหนซักแห่งในป่านั้น มันทำให้เกิดทุกอย่างที่ทำให้มีความผิดปกติเกิดขึ้น"หมู่โบกี้เล่าให้สารวัตรเกรียงไกรฟังซึ่งสารวัตรเองก็ทำหน้าเหมือนกินยาขม เขายักคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ ไอ้สองก็จดทุกอย่างที่หมู่โบกี้พูดลงไปในกระดาษของเขา
"ไหนลองเล่ามาซิว่าทำไมตอนกลับมาถึงได้มีร่องรอยโดนสัตว์ทำร้ายเยอะขนาดนี้ พวกนายไปเจออะไรผิดปกติเข้าเหรอ"สารวัตรเกรียงไกรกุมขมับแล้วหันมาพูดกับหมู่โบกี้
"ได้ครับ คือว่าคืนแรกตอนที่เรานอนในบ่อนสุขสบาย"หมู่โบกี้พูดได้แค่ประโยคแรกก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้ว หมู่โบกี้หนาซีดลงทันตาเมื่อเห็นหน้าของสารวัตรเกรียงไกรค่อยๆเปลี่ยนจากประหลาดใจกลายเป็นโมโหโกรธา หนึ่งในคำสั่งของสารวัตรที่พวกเราหลายๆคนลืมที่จะจัดการให้เรียบร้อย
"นี่ คุณ ผมสั่งให้รื้อบ่อนนั้นไปเป็นเดือนแล้ว นี่คุณขัดคำสั่งผมเหรอ เฮ้อ ต่อซิ"สารวัตรแค่นเสียงอย่างไม่เป็นมิตร เขามองหน้าหมู่โบกี้อย่างไม่พอใจ สารวัตรไม่ชอบเวลาที่เขาสั่งอะไรออกไปแล้วเหมือนกับสั่งขี้มูก ไม่มีใครทำตาม
"เราเจอตุ๊กแกยักษ์ ตัวเท่าตะกวดเลย น่ากลัวมาก แต่ว่าเราจัดการไล่มันไปได้ มันพยายามจะมากินหมาที่ตามเราไปด้วย"หมู่โบกี้ยิ้มหน้าเจื๋อน เขาพยายามจะเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้สารวัตรโกรธโดยเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงการเล่าเรื่องผีรอบกองไฟ หรือ การนั่งกินมันเทศป่าเผา หรือ ที่ร้ายแรงที่สุด การนั่งตั้งวงเล่นไพ่อยู่ตรงนั้น สารวัตรคงไม่แฮ๊ปปี้แน่ๆหากได้ยินกิจกรรมสันทนาการยามค่ำคืนของเราชาวหมูมะนาว
"คุณ คุณขัดขวางสัตว์ตัวหนึ่งในการกินสัตว์อีกตัวหนึ่งตามธรรมชาติเนี่ย ผิดกฎนะ คุณทำแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย แล้วผมส่งพวกคุณไปทำภารกิจสำคัญแต่คุณกลับเอาหมาไปด้วยเนี่ยนะ เหลวไหลจริงๆ เห็นทีคงต้องฝึกดำรงวินัยกันใหม่ซะแล้ว แล้วสรุปตุ๊กแกหรือว่าตะกวด"สารวัตรเกรียงไกรพูดอย่างเอาเรื่อง เขาไม่ชอบให้ลูกน้องหรือคนที่อยู่ในสังกัดของเขาเข้าไปทำอะไรที่อาจจะทำให้เกิดชื่อเสียแก่เขาได้ แล้วการขัดขวางสัตว์2ตัวที่อยู่ในธรรมชาติไม่ให้ไล่กินกันตามห่วงโซ่อาหารนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง
"ตุ๊กแกตัวเท่าตะกวด แล้วเช้าวันนั้น ผมโทรไปหาที่กองพันแต่ว่าโทรไม่ติด วิทยุสื่อสารใช้ไม่ได้"หมู่โบกี้พูดต่อแต่ว่าเขาก็พึ่งนึกได้ สารวัตรเตือนพวกเขาไปแล้วเรื่องนั้น ซึ่งหากสารวัตรเตือนแล้วแล้วยังผิดพลาดแบบนั้นอยู่อีก นั่นหมายความว่าเราเจอปัญหาของจริงเข้าซะแล้ว
"แหงละสิ ผมเตือนพวกคุณแล้วว่าประเทศเพื่อนบ้านติดตั้งเครื่องรบกวนสัญญาณมาใหม่ทำให้ไม่สามารถใช้วิทยุได้ นี่คุณไม่สนใจคำเตือนของผมเลยเหรอ คุณไม่เห็นผมอยู่ในสายตาหนี่หว่า คุณไม่มีความเคารพผู้บังคับบัญชาแบบนี้ ผมจะ . . . เฮ้อออ เล่าต่อ"สารวัตรเกรียงไกรพูดด้วยอารมณ์เดือดดาล เขาไม่ชอบคนที่ละเลยคำเตือนของเขา ไม่ชอบ มากๆด้วย
"แล้วเราก็ไปเจอตั๊กแตนยักษ์ ตั๊กแตนตำข้าวยักษ์ที่น่ากลัวมากๆ มันโจมตีเราตอนที่เราผ่านไปพักกันที่ดงเถาวัลย์ เพราะจ่าปลาต้องไปล้างตัวเพราะโดนหมาขี้ใส่"หมู่โบกี้พยายามจะกลั้นขำตรงนี้สุดความสามารถเพราะนึกถึงวันที่จ่าปลากับฟองดูเกิดเรื่องทีไร ขำก๊ากกันทุกที แต่ดูจากสีหน้าอมทุกข์ของสารวัตรแล้ว มุขนี้คงไม่ขำเท่าไหร่
"นี่ นอกจากเอาหมาไปด้วยแล้ว พอหมาก่อปัญหา คุณก็ต้องเสียเวลาไปจัดการปัญหาพวกนั้นอีก ก่อนจะลงมือทำอะไรพวกคุณได้คิดมั้ยเนี่ย"สารวัตรเริ่มรู้สึกเซ็งแล้วค่อยๆกุมหัวขึ้นทีละน้อย ไอ้สองที่อยู่ข้างกายก็ทำหน้าจืดๆ มองมาที่หมู่โบกี้แล้วส่ายหัวเบาๆ
"แหะ แล้วเราก็สู้กับตั๊กแตนยักษ์นั่น จนมันหนีไป แล้วเราก็พยายามจะข้ามหนองเห็ดกระสือ แต่ว่าเราเจอจระเข้ฝูงยักษ์กับสารพัดสัตว์น้ำน่ากลัวพยายามจะกินเรา เราเจอตัวหัวหน้ามันที่มีดอกบัวบนหัวแล้วถือท่อนไม้ยาวเฟื้อย"หมู่โบกี้เล่าเรื่องอย่างออกรสถึงในวันที่พวกเขาเข้าไปเผชิญหน้ากับพญาจระเข้เกล็ดมรกตแห่งหนองเห็ดกระสือ ปลิงหงอนตัวฉกาจ ปลาดุกกินปืน งูเงี้ยวเขี้ยวขอ คางคกพ่นพิษ และสัตว์ร้ายนานาชนิดในบึงน้ำชวนสยองแห่งนั้น
"เลอะเทอะกันไปใหญ่แล้ว ข้อแรก แมลงไม่สามารถมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือได้ไม่งั้นโครงสร้างของมันจะรับไม่ไหว ทำให้ขยับตัวไม่ได้ ข้อสอง ขาของจระเข้ไม่สามารถหยิบจับสิ่งของได้ แล้วมันจะถือท่อนไม้ได้ยังไง ข้อสุดท้าย ทำไมพวกคุณไม่อ้อมบึงนั่น ปัญญาอ่อนเหรอ รู้ทั้งรู้ว่ามันมีจระเข้ก็ดันสะเออะจะไปข้ามอีก เรื่องแต่งของคุณแย่มาก" ดีที่หมวดเอกไม่ได้ตื่นขึ้นมาฟังข้อสุดท้ายไม่งั้นหมวดเอกคงเจ็บกระดองใจตายคาเตียง
"เปล่า ไม่ได้แต่ง เรารอดมาได้เพราะว่าชาวบ้านแถวนั้นช่วยไว้ เราเกือบโดนจระเข้กับงูแล้วก็ปลิง ยุง คางคก ปลาดุก แล้วก็อื่นๆเจื๋อน ตอนนั้นโดนยำซะเละ"หมู่โบกี้พยายามแก้ต่างให้กับตัวเองแต่ยิ่งพูดก็ยิ่งฟังดูเหมือนกับกำลังแก้ตัว
"ชาวบ้านช่วยไว้ เฮอะ ทั้งปีแหละ บทละครน้ำเน่าค้างคลอง ผมว่าคุณน่าจะแต่งได้ดีกว่านี้ซะอีก"สารวัตรทำเสียงตลกๆบีบเสียงแหลมๆเหมือนตัวการ์ตูน ทำท่าล้อเลียนหมู่โบกี้ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เชื่อเรื่องเล่าของหมู่โบกี้เลย ซึ่งสำหรับจอมโม้อย่างหมู่โบกี้แล้ว การที่ไม่มีคนยอมเชื่อเรื่องเล่านี่มันเจ็บไปถึงทรวงเลย
"แล้วเราก็เจอหมู่กะเพราทมิฬที่นั่น แล้วเราก็เดินทางต่อในวันต่อมา"หมู่โบกี้พูดเสียงอ่อยลงเมื่อรู้สึกว่าสารวัตรไม่ค่อยยอมฟังเรื่องเล่าของตนเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามเล่าต่อไป ไอ้สองยังฟังอยู่แล้วก็ทำหน้าตายเหมือนกับเซ็งสุดขีด
"เอ้า ไหนบอกว่าโดนยำเละไง เดินทางต่อ? แล้วทำไมไม่พาหมู่กะเพราทมิฬไปด้วยหละ"สารวัตรเกรียงไกรถามคำถามสวนมาตรงๆแบบที่หมู่โบกี้ตั้งตัวไม่ทัน
"พวกนั้นจะดูแลหมวดชะโดที่นั่นเลยไปไหนไม่ได้ หมวดชะโดโดนหมูป่าซัดจนหมอบ พวกเค้าเลยจะเดินทางออกไปจากที่นั่นเมื่อหมวดชะโดหายดี"หมู่พยายามจะอธิบายสุดความสามารถ ถึงแม้สารวัตรกับสองจะมองบนแล้วกลอกตาไปมาเหมือนกับฟังข้อแก้ตัวของพวกเกรียนอินเตอร์เน็ททั้งหลายแหล่ อาการแบบเดียวกันนี้มักจะเกิดตอนที่พวกเขาไปงานแล้วต้องฟังท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายแหล่พล่ามถึงความยิ่งใหญ่อะไรซักอย่างเนี่ยแหละ
"อย่างหมวดชะโดเนี่ยนะโดนหมูป่าเล่นงาน ขำหว่ะ หมวดชะโดไม่ได้เป็นหัวหน้าหมู่1หมวด2 เพราะโชคช่วยนะเว้ย จะอ้างอะไรก็ให้มันฟังดูเข้าท่าหน่อยสิ"หมู่โบกี้รู้สึกประหลาดใจเพราะว่าถึงเขาจะรู้ว่าหมวดชะโดเก่งกล้าสามารถแต่ โดนหมูป่าอัดเต็มๆมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ ต่อให้หมวดชะโดเองก็ร่วงหากไม่ระวัง ยิ่งเจอหมู+กาฝากหมูครั้งแรกแล้วยิ่งไม่รู้ฤทธิ์ของมัน มีโอกาสโดนยำเละได้ง่ายๆเลยนะเมื่อเทียบจำนวนดู
"แล้วเราก็โดนหมูป่าที่ว่านั่นเล่นงาน มันไม่รู้สึกเจ็บหรือว่าอะไรทั้งนั้น มันโดนกาฝากสิง"หมู่โบกี้อธิบายต่อแต่ว่าเขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไงเรื่องกาฝาก
"กาฝากเนี่ยนะ กาฝากมันดูดน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ไม่ใช่สัตว์ ตลกกว่านี้มีอีกมั้ยเนี่ย"ตามคาด สารวัตรไม่เชื่อ ตอนนี้ในห้องพักผู้ป่วยก็มีการสนทนาที่น่าจะปลุกหลายๆคนตื่นได้แล้วหละ พยาบาลไม่กล้าเข้ามาขัดสารวัตรเพราะพลังของเครื่องแบบราชการนั้นทำให้ผู้คนเกรงกลัวนั่นเอง หมู่โบกี้ส่งสายตาไปหาเพื่อนร่วมหมู่คนอื่นๆที่ตื่นแล้ว แต่ว่าพวกนั้นก็ทำไม่รู้ไม่ชี้
"กาฝากมันแทงกระดูกสันหลังเพื่อควบคุมระบบประสาทของเหยื่อ ผมยังโดนมันทิ่มหลังเกือบตายเลย แล้วเราก็หนีไป แต่ว่าอยู่ๆหมูก็หนีกันหมดจากนั้นเราก็เจอแมวดำยักษ์หน้าตาน่าเกลียดมาก หน้าเหมือนแมวของสารวั....... เออ มัน"หมู่โบกี้หลุดพูดอะไรที่ฟังไม่เข้าท่าออกไปอีกแล้ว และคราวนี้มันทำให้สารวัตรโกรธแบบจริงจัง
"คุณกล้าดียังไงมาว่าเจ้าปุกปุยของผมว่าน่าเกลียด หา นี่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคนคุณยังไม่ให้เกียรติผมเลย ถ้าว่าเมียผมน่าเกลียดค่อยพอรับได้หน่อย ไม่ไหวเลยจริงๆ ต่อๆๆ"สารวัตรตะโกนใส่หน้าของหมู่โบกี้ที่มีเฝือกและผ้าพันแผลเต็มตัวจนผ้าพันแผลแทบจะปลิวไปตามแรงตะโกนของสารวัตรเลือดร้อน แต่ว่าประโยคที่เกี่ยวกับเมียของสารวัตรทำให้คนอื่นๆในห้องนี้ต้องกลั้นขำกันเป็นทิวแถว แม้แต่ไอ้สองเองยังตกเก้าอี้โครมใหญ่
"มันไล่ตามเรามา มันจะกินเรา หน้ามันเบี้ยว ตัวมันใหญ่มาก ใหญ่กว่าช้างอีก แต่ว่าขาพิการ มันเลยลากตัวเองไปกับพื้นแหงกๆๆๆ เราก็หนีมัน แล้วเราก็ไปเจอพวกขบวนการมอดไม้เข้า"หมู่โบกี้พยายามจะอธิบายสิ่งน่ากลัวที่เขาเจอในผืนป่าที่แปดเปื้อน แต่พอเล่าให้คนภายนอกฟังแล้ว แทนที่มันจะฟังดูน่ากลัวกลับฟังดูปัญญาอ่อนมากกว่า
"แล้วจับได้มั้ย"คำถามคลาสสิค เต็มๆ
"เราหลบออกข้าง แมวยักษ์เลยถล่มพวกมอดไม้ซะราบคาบ แต่ตัวมันเองก็โดนพวกขบวนการตัดไม้ยิงตาย เราจับตัวมาได้2คน แล้วก็ให้มาแบกของ พอมันงี่เง่าเราก็จัดยูไนเต็ดสเตตออฟบาทาให้ เราได้หลักฐานเป็นแผนที่ของคนตัดไม้ด้วยนะ อยู่กับหมวดเอก"หมู่โบกี้เล่าฉากแอ็คชั่นอย่างออกรสอีกแล้ว แต่ว่าสารวัตรทำหน้าตามู่ทู่เหมือนกับฟังภาษาต่างประเทศที่ตนเองฟังไม่ออกว่าคืออะไร ไอ้สองส่ายหน้าเบาๆ
"ผมค้นตัวทุกคนแล้ว ไม่เจอเลยนะครับแผนที่ของคนตัดไม้"ไอ้สองบอก เขาค้นภาพถ่ายของกลางออกมา แล้วไม่มีแผนที่คนตัดไม้ หรืออย่างอื่นเลย ไม่มีอะไรในลิสต์ของกลางที่สามารถระบุตัวตนของสัตว์ประหลาดสุดสยองที่อาศัยอยู่ในผืนป่าหลอนประสาท
"แล้วคุณจับกุมตัวพวกนั้น พวกเขาอยู่ไหน" armor piercing question (คำถามเจาะเกราะที่ผุ้ถามใช้ในการทำให้ผู้ถูกถามหยุดชะงักได้) สารวัตรนี่เก่งกาจจริงๆเรื่องคำถามประเภทนี้ แม้แต่ตัวหมู่โบกี้เองยังสะอึก
"ตายไปแล้ว คนนึงโดนหมีตบจนตกเหว อีกคนนึงโดนมดดำรุมกิน"หมู่โบกี้รู้ว่ามันอาจจะฟังดูเหมือนคำแก้ตัว แต่ว่าเขาก็พูดความจริง
"เล่นง่ายเนอะ ตายไปแล้ว เด็กอนุบาลที่ไหนก็อ้างได้แบบนี้ แถมจะโดนหมีตบหรือตกเหวยังเลือกไม่ได้เลยว่าตายยังไง แล้วคนตัดไม้ที่ไหนมันจะอยู่เฉยให้มดดำรุมกินฟร๊ะ กะล่อนไม่เข้าถ้าอีกแล้ว ต่อๆๆ"มาอีกแล้ว การบีบเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกอึดอัดและรู้สึกโดนล้อเลียนจนเสียเซล์ฟ เรื่องราวของเขาฟังดูเหมือนคำแก้ตัวซะด้วย
"แล้วเราก็ได้เบาะแสของที่มาของความผิดปกติ เราเลยเดินตามเส้นทางนั้นไป จนไปเจอ สารวัตรต้องไม่เชื่อแน่ๆ เราไปเจอเด็กผู้หญิงที่มีขาเป็นกบแล้วมีหางเป็นลูกอ๊อด ชื่อน้ำอ้อย เธอมาจากหมู่บ้านแล้วชอบแอบขโมยของกิน เธอพาเราไปนอนที่บ่อกบของเธอ"หมู่โบกี้พยายามจะเล่าเรื่องของน้ำอ้อยโดยหลีกเลี่ยงเรื่องโดนแม่กบน้อยจารกรรมเสบียงไปไม่งั้นสารวัตรคงจะบอกว่าเขาและพรรคพวก กระจอกงอกง่อย แน่ๆ
"ใช่ หลังจากที่พวกคุณเจอแมวยักษ์กับจระเข้กังฟู ทุกอย่างคงจะน่าเชื่อขึ้นมาทันตา ถามจริงเหอะ เด็กผู้หญิง อยู่ในป่า ตัวคนเดียว แถมเป็นครึ่งคนครึ่งกบด้วย มาจากหมู่บ้านด้วย แถมชื่อยังเชยระเบิดอีก คิดนานหรือเปล่าเนี่ย แล้วทำไมเจ้าหน้าที่ป่าไม้มืออาชีพอย่างพวกนายต้องให้เด็กหญิงหางลูกอ๊อดช่วย แล้วทำไมเด็กคนนั้นไม่กลับบ้านไปหาผู้ปกครอง ช่องโหว่เยอะแบบนี้ ให้ตายเถอะ"สารวัตรบ่นไม่หยุด เขากุมหัวตัวเองแล้วทำหน้าเซ็งเป็ด เบะปากแล้วเอามือลูบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยใจ หัวหน้าคงไม่แฮ๊ปปี้ที่ได้ยินเรื่องแบบนี้ในรายงานความคืบหน้าแน่ๆ เขาจะกลายเป็นโบโซ่ตัวโตทันทีที่ยื่นรายงานไปให้หัวหน้า รายล้อมด้วยเสียงหัวเราะสั่นประสาทของบรรดาลูกพี่ทั้งหลายแหล่ ดีไม่ดีอาจจะโดนถอดยศด้วยซ้ำ
"เธอต้องการให้เราช่วยเธอคืนร่างเป็นคนจะได้กลับหมู่บ้านได้"หมู่โบกี้พูดยังไม่ทันจบ แต่เขาเองก็รู้ว่าสารวัตรต้องขัดแน่นอน
"พวกนายเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ไม่ใช่พ่อมดเมอร์ลิน เด็กที่ว่าต้องโง่ขนาดไหนถึงจะแยกเครื่องแบบของพวกนายกับชุดคลุมพ่อมดไม่ออก หา" มีบางอย่างฟังดูแปลกไปในประโยคนี้ สารวัตรกำลังประชดเขามากกว่ากล่าวโทษ
"ไม่รู้สิครับ" คำตอบสิ้นคิดแห่งปี
"ไม่รู้สิครับ ทั้งชาติก็ ไม่รู้สิครับ เดี๋ยวตอนผมไล่คุณออกผมก็จะกรอกลงไปว่า ไม่รู้สิครับ ดีไหม เฮ้อ ต่อๆๆ" คำตอบสิ้นคิดแห่งปีเวอร์ชั่นย้อนกลับ สารวัตรเกรียงไกรเก่งเรื่องการต่อปากต่อคำไล่ต้อนหาข้อมูลจากคนอื่น
"แล้ววันต่อมาเราก็เดินทางต่อ เราไปเจอป่าต้นไม้ตาย ทุกอย่างร้อนระอุและแห้งแล้ง มีแต่ต้นไม้ตายเต็มไปหมด แล้วเราก็เจอว่าทำไมต้นไม้ตาย เราเจอมดดำยักษ์ที่เลี้ยงเพลี้ยเอาไว้แต่จ่าปลาดันไปฆ่าเพลี้ยเข้า เราก็เลยโดนพวกมดดำไล่ล่า แต่เราก็ใช้น้ำอ้อยทำระเบิดฝุ่นด้วย แล้วก็ใช้เลนส์กล้องถ่ายรูปทำตัวจุดระเบิด" เรื่องนี้ทำให้เขานึกถึงสภาพอันสะบักสะบอมของเขาที่ป่าต้นไม้ตาย วิ่งหนีกองทัพมดกับความสยองนานับประการ เขาหลีกเลี่ยงเรื่องเจ้าหญิงมดดำเพราะมันฟังดูตลกเกินไปที่จะเล่า เจ้าหญิงบ้านไหนเค้าจะออกมานำกองทัพเข้าสนามรบวะ บอกไปใครหน้าไหนก็ไม่เชื่อยกเว้นว่าจะได้มาเห็นด้วยตาตนเอง
"หนังของไมเคิล บวม ชัดๆ แล้วนี่คงจะเป็นมดดำที่กินพยานปากเอกของพวกนายไปสินะ เหมาะเจาะอะไรแบบนี้ ว่าไงต่อ" ไมเคิล บวม ถึงกับจามไม่หยุดหลังจากนี้ ยอดผู้กำกับหนังบะเบิดจอเยินประจำทศวรรต ไม่มีใครเกิน ไมเคิล บวม
"แล้วเราก็ผ่านมาเจอหมีหลายหัวที่มีหน้าอกลายสามบั้ง มันพยายามจะกินเรา"หมู่โบกี้ไม่ลงรายละเอียดเรื่องเจ้ามากมายจอมโหดเพราะว่าพูดไปสารวัตรก็ไม่ฟัง ไอ้สองทำหน้าเอ๋ออยู่พังนึงก่อนที่จะกลับไปจดบันทึกรายงานในกระดาษของตนเองต่อ
"แล้ว เดานะ พวกนายเสียพยานปากเอกอีกคนให้กับไอ้หมีหลายหัวนี่ใช่มั้ย"สารวัตรเกรียงไกรดักทาง ซึ่งระดับสารวัตรเกรียงไกรที่ได้ยินข้อมูลบางข้อก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็พอเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
"ใช่ ที่หน้าผา" ตอบสั้นๆได้ใจความ
"แล้วทำไมมันไม่จับพวกแกโยนลงหน้าผาให้หมดเลยหละ" อีกแล้ว คำถามประเภท armor piercing question อีกแล้ว ทำไมเจ้ามากมายไม่โยนพวกเขาลงหน้าผาหมดก็เพราะว่าแขนขายุบยับและการขยับตัวที่ไม่ถนัดของมันนี่แหละ อีกอย่าง ถ้าหากมันเข้าชาร์จใส่ให้เราลงหน้าผาหมด มันก็จะร่วงลงไปด้วย บางทีมันอาจจะทำก็ได้หากน้ำอ้อยช่วยเราไม่ทัน
"เพราะว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะตกหน้าผาด้วย"หมู่โบกี้ตอบคำถามสุดหินนั้นอย่างง่ายๆ
"น่าเชื่อตายหละ ไอ้กะล่อนเอ้ยยย ถ้าหากหมู่เทน้ำลงไปในแก้วแล้วหมู่จะหล่นลงไปในแก้วด้วยไหม ถามจริงเหอะ มุขฝืดๆแบบนี้ ทำไมเค้าถึงเรียกแกว่าจอมกะล่อนประจำหมู่ฟะ ข้ออ้างฟังไม่ขึ้นเลย สิ่งเดียวที่ขึ้นคือมือของสารวัตรเนี่ย ขึ้นไปประจำตำแหน่งอยู่ข้างขมับแล้วเนี่ย ต่อซิ" สารวัตรนั่งกลอกตามองบน
"แล้วเราก็ไล่มันไปได้ แต่ว่าเราได้รับบาดเจ็บสาหัส ผมเองก็โดนหมีตะปบใส่หลายทีอยู่เหมือนกัน แค่สลบแต่ว่าไม่ตาย หมวดเอกโดนกัด คนอื่นๆก็โดนเข้าไปหลายตู้มอยู่"หมู่โบกี้เล่าเสียงอ่อย เขาพยายามพูดให้ดูน่าเชื่อถือมากที่สุดเท่าที่เขาปั้นได้
"เดี๋ยวนะ นายโดนหมีควายหลายหัวตบ ไม่ใช่ทีเดียว แต่เป็นหลายที ที่มาของแผลบนหน้าอกนายสินะ แล้วนายเองก็รอดมาได้ หลังจากโดนหมีตบ หลายที รอดมาได้ไงฟะ สมัยก่อนเพื่อนผมโดนหมีธรรมดาตบทีเดียวตายคาอุ้งตีนเลย เฮ้อ" สารวัตรพูดถูก ทำไมพวกเขารอดจากอุ้งตีนมหากาฬนั่นมาได้ ตอนนั้นตัวเขาเองก็เลือดโชกเกินขนาด
"แล้วเราก็ค้างคืนกันตรงนั้น แล้ววันต่อมาเราก็เดินทางต่อ" หมู่โบกี้เตรียมตัวตั้งรับคำถามหินแกรนิตรุ่นต่อไป ซึ่งยังไงมันมาแน่ๆ
"เดินทางต่อ โดนหมีขย้ำเกือบตายแต่เดินทางต่อไหว พวกคุณเป็นคนธรรมดานะไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ เดินทางต่อไหว เชื่อเขาเลย"สารวัตรเกรียงไกรพูดถูก น่าแปลกนะที่เขากับคนอื่นๆสามารถเดินทางต่อได้ในวันรุ่งขึ้น ทั้งๆที่โดนเข้าไปขนาดนั้นน่าจะใช้ชีวิตที่เหลือในโรงพยาบาลแล้วแท้ๆ แปลกจริงๆ แปลกมาก
"เราผ่านป่าเห็ด ป่าที่พวกผู้ร้ายในหุบเขาเอาศพไปซ่อนกัน จนเห็ดขึ้นเยอะแยะเต็มไปหมด"หมู่โบกี้หน้าเศร้าลงในทันทีเมื่อพูดถึงป่าเห็ด สารวัตรเองก็ทำหน้าผ่อนความตึงเครียดลง เขาเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดี
"เหรอ อุตส่าห์เอาศพไปซ่อนกันเป็นจุดเดียว ผมว่าพวกเค้าฝังตรงจุดเกิดเหตุเลยไม่ง่ายกว่ามั้ย แล้วเห็ดขึ้นเนี่ย มันน่าแปลกใจตรงไหน"สารวัตรตั้งข้อคิดเห็นที่ฟังดูเหมือนฝืนตรรกะ หากเค้าฝังในจุดเกิดเหตุ ก็โดนจับได้อย่างรวดเร็วหนะสิ มันมีบางอย่างฟังดูไม่ชอบมาพากลเกียวกับสารวัตร แต่ถึงอย่างนั้นการตอบโต้หรือเถียงก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก
"เห็ดดอกใหญ่มาก ดอกนึงหยั่งกับเก้าอี้แหนะ" หมู่โบกี้เล่าถึงเห็ด เห็ดน่ากลัว เห็ดที่แม้ว่าจะดูไร้พิษภัยแต่ทำให้ทุกคนในหมู่หมูมะนาวหวาดกลัวเป็นพิเศษ เมื่อรู้ว่าอะไรหล่อเลี้ยงให้สิ่งมีชีวิตแห่งความเสื่อมทรามเหล่านี้งอกเงย สัญลักษณ์ของความสูญเสียและเน่าเหม็น เห็ดสีเหลืองซีดดอกโตที่ดูเหมือนตุ่มน้ำใสขนาดใหญ่
"ต่อ" สารวัตรเกรียงไกรทำท่าเหมือนเบื่อเต็มทน
"แล้วเราก็เจอตึกที่มีด็อกเตอร์อยู่" และแล้วหมู่โบกี้ก็เล่าเรื่องราวขาไปจบอย่างยากลำบาก การจะเล่าอะไรซักอย่างเป็นเรื่องยากมากหากมีแต่คนขัดตลอดเวลา
"หมู่ พอเถอะ ผมฟังมามากเกินพอแล้ว หมู่คิดว่าหมู่เล่านิทานให้เด็กกำพร้าฟังอยู่เหรอ หลักฐานก็ไม่มีซักอย่าง บุคคลที่หมู่พูดถึงก็หายสาบสูญไปหมด แล้วที่สำคัญ เราตรวจแผลของหมู่ดู มีตั้งแต่รอยฟกช้ำ โดนทิ่มแทง สัตว์ร้ายกัดข่วน แต่ว่าไม่มีอันไหนเลยที่ดูแล้วผิดปกติไปจากที่สัตว์ทั่วไปทำได้ แถมเรายังพบเจอว่าบนร่างกายและเครื่องแบบของพวกคุณหลายๆคนมีละอองของสารเสพติดหลายชนิดติดอยู่ ผมว่าคงไม่น่าแปลกใจซักเท่าไหร่ที่คุณจะเห็นหมีหลายหัว,เด็กหญิงกบหรือว่าละเมอเพ้อพกว่าได้ไปผจญภัยสุดมันส์ย้อมแฟนตาซีในหุบเขาอลวนมิติอลเวงอะนะ สงบสติอารมณ์ลงแล้ว มาเล่าให้ผมฟังใหม่ในวันพรุ่งนี้ และคราวนี้ขอแบบจริงๆด้วย ผมจะไปสอบถามคนอื่นๆทันทีที่พวกเขาตื่น"สารวัตรกุมหัวแล้วลุกขึ้น เขาหันหลังให้หมู่โบกี้ทันที เสร็จแล้วก็เดินอาดๆตรงไปทางประตูทางออกห้องพักผู้ป่วย
"แต่ว่า"หมู่โบกี้พยายามจะทักท้วง เขาอยากให้ผู้บังคับบัญชาฟังเขาบ้าง แต่ว่า เรื่องที่เขาเจอมันหลุดโลกจนใครก็ตามที่ไปเจอมาจริงๆถึงกับเอียนหนังแฟนตาซีไปเลยก็ว่าได้ เขาคงโทษสารวัตรไม่ได้หรอกหากสารวัตรจะเชื่อเรื่องของเขาไม่ลง ลองคิดดู หากเพื่อนคนไหนของหมู่โบกี้เล่าอะไรแบบนี้ให้เขาฟังในวงเหล้า เขาคงไม่เก็บไปคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงหรอก คงเรียกแท็กซี่พาเพื่อนคนที่ว่านั้นไปส่งบ้านแล้ว(เมาไม่ขับไง)
"แล้วผมก็ใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลข้าราชการของคุณเรียบร้อยแล้ว รวมถึงการรักษาอาการทางประสาทของคุณด้วย เดี๋ยวผมจะเรียกหมอจากแผนกประสาทขึ้นมาดูแลคุณกับ อีกหลายๆคนเป็นพิเศษ ผมไปคุยกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆดูเค้าบอกว่ามีเห็นภาพหลอน ไม่ต้องห่วง โรคนี้รักษาให้หายขาดได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆผมจะติดต่อไปยังหน่วยงานปราบปรามและต่อต้านยาเสพติดให้เขาพาพวกคุณไปดูแล"ไอ้สอง เจ้าหน้าที่ป่าไม้คนสนุทของสารวัตรเกรียงไกรที่เป็นทั้งเลขาและหมอนปักเข็มส่วนบุคคลของสารวัตรเกรียงไกร เขาสามารถทำตัวได้เด็ดและแสบสันต์พอๆกับสารวัตรเกรียงไกรทีเดียวเชียวหละ คาดว่าคงซึมซับพฤติกรรมเหล่านี้มาจากผู้เป็นนาย
" . . . " หมู่โบกี้พูดไม่ออก
"โครมมมมม!!!!!!"สารวัตรปิดประตูโครมใหญ่ ด้วยความหัวเสีย ผสมไปกับการต้องการโชว์ออฟในที่สาธารณะด้วย หมู่โบกี้หันไปมองหน้าคนอื่นๆก่อนที่จะหันกลับมามองตัวเองแล้วถอนหายใจเฮือกน้อยๆออกมาด้วยความผิดหวัง เขาเอนตัวลงนอนบนเตียงคนไข้ แล้วตั่งที่จะนอนหลับฝันดีซักตื่น
"แอ๊ดดดด"ไอ้สองกลับมา เขายื่นหน้ามาทางหมู่โบกี้ซึ่งหมู่ก็รู้สึกคล้ายๆกับเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หน้าตาจืดชืดของไอ้สองทำให้ไม่มีใครเดาออกว่าไอ้สองกำลังคิดอะไรอยู่
"อ้อ แล้วก็ อย่าลืมทำรายงานส่งผมด้วยหละ" ประโยคสุดเกรียน รายงาน ฝันร้ายของเหล่าเจ้าหน้าที่ที่อุตส่าห์ฝ่าร้อนฝ่าฝนแล้วต้องทำงานนั่งโต๊ะสุดน่าเบื่อ
"ม่ายยยยยยยย!!!!!!!!!!!"
.
.
.
.
.
"แล้วเรื่องที่จะส่งข้อมูลไปบอกหัวหน้า เอายังไงดีครับ ผมไม่คิดว่าหัวหน้าเค้าจะเชื่อเรื่องแบบนี้แน่ๆ มันฟังเหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนที่ลูกผมชอบดูเลย"ไอ้สองเดินเคียงข้างลูกพี่แล้วเตือนสารวัตรเกรียงไกรเรื่องลูกพี่ของลูกพี่(ซึ่งมีลูกพี่และลูกพี่และลูกพี่อีกที ยังไม่รวมคณะลูกพี่นำโดยอภิมหาลูกพี่ในสภานะ)
"ผมได้ข้ออ้างใหม่แล้ว ผมก็แจ้งไปว่าคนของผมได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมาอีกทั้งยังมีอาการทางประสาทร่วมด้วยทำให้ไม่สามารถแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำให้กับเบื้องบนได้ ผมจะขอเลื่อนเด๊ดไลน์จนกว่าพวกนั้นจะหายดีแล้วแจ้งได้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นในป่านั้น ยังไงซะ ต่อให้ที่หมู่โบกี้พูดเป็นความจริง ผมก็ไม่ยอมไปเป็นตัวตลกหลงโรงให้หัวหน้าสับเล่นคาห้องหรอก ใครมันจะไปเชื่อวะเรื่องแบบนั้นหนะ บทเหมือนกับคนเสพยาแล้วดูหนังผจญภัยตะลุยป่าและมโนเป็นตุเป็นตะ ว่าแต่ แกรู้ได้ยังไงว่าหัวหน้าตามมาจี้ผม หา อธิบายมาเดี๋ยวนี้"สารวัตรพึ่งนึกได้ว่าเขาไม่ได้บอกไอ้สองเรื่องโดนลูกพี่เล่นงานหนี่หว่าแล้วทำไมมันรู้ได้ หรือว่า . . . เห็นเงียบๆแบบเนี้ย ฟาดเรียบนะเธอว์(กรุณาทำปากรูปตัว O แล้วออกเสียง ว.แหวน ข้างหลังให้กระแดะที่สุดเท่าที่ทำได้)
"ก็ผมได้ยินการสนทนาระหว่างคุณกับหัวหน้า ขนาดคนที่อยู่หน้ากองพันยังได้ยินเลยครับ"ไอ้สองพูดแล้วยิ้มเล็กน้อย จริงๆไม่น้อยเท่าไหร่ ปากแทบจะฉีกไปถึงหูแล้วเนี่ย หน้าแดง เหงื่อตก เสียงกลั่นหัวเราะดังออกมาจากร่องฟันของไอ้สองเป็นระยะๆ นอกจากนั้นยังมีสายตาล่อกแล่กไปมาซึ่งดูๆไปแล้ว ชายหน้าจืดคนนี้อาจจะรู้อะไรหลายๆอย่างมากกว่าที่คนอื่นๆและสารวัตรคิดเอาไว้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความน่าเคารพยำเกรงของสารวัตรเท่าไหร่
"แก ไอ้หน้าดินน้ำมัน ไอ้ปลิ้นปล่อนกะล่อนตอแหลแหงแก๋ ไอ้หูอีนิกม่าตาสัปปะรด เฮ้อออ ช่างมันเถอะ ผมน่าจะรู้ว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ในร่องรองเท้ามีแกคอยแอบฟัง ผมมีนัดบ่ายนี้ แล้วไม่ต้องตามผมไปหละ กลับกองพันก่อน"สารวัตรพูดปัดเรื่องที่ฟังดูไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ เขาเดินออกจากโรงพยาบาลแล้วขึ้นรถ โดยมีไอ้สองเป็นคนนั่งข้างคนขับ เขาอาจจะให้ไอ้สองขับให้ก็ได้แต่ว่า นี่เป็นความชอบส่วนตัว สารวัตรชอบขับรถเองมากกว่า พร้อมด้วยคอลเล็คชั่นเพลงลูกทุ่งดึกดำบรรพ์ เออ คลาสสิคจัด ฟังทีไรทำให้เขานึกถึงฝันตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่นว่าเขาอยากเป็นนักร้องดาวเด่นที่ไปร้องตามงานคอนเสิร์ตใหญ่ๆ มีไฟสวยๆและอื่นๆประดับประดาทั่วงาน ใส่ชุดที่คนทั่วไปเรียกว่าความหายนะของวงการแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย กางเกงขาม้าสีเงินที่มีแต่ผงกากเพชรเป็นประกายส่งแสงวิ๊งวับสยบสายตา เสื้อแจ็คเก็ตสีแดงเชอร์รี่ที่มีแต่ยศทางการทหารประดับประดาเต็มไปหมด ผมฟูฟ่องเหมือนโดนไฟดูดและแว่นกันแดดขนาดใหญ่ประชดโลก ดิ้นกันสุดมันส์ในลานดิสโก้ที่เต็มไปด้วยมนุษย์ดึกดำบรรพ์แต่งชุดอวกาศ ตามด้วย เสียงเพลงป่วนประสาทแสบแก้วหูฟังแล้วรู้สึกอยากลงไปนอนร้องไห้หาแม่ ถ้าเป็นแถวบ้านคงจะมีควายขึ้นจากนาออกมาเต้นด้วย อ่าห์
แต่ว่าเวลานี้ เขาขับรถกลับกองพัน ในหัวกำลังคิดอะไรบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นัดยามบ่ายนี้จะต้องสนุกแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ เป็นปริศนา ลึกลับ และ ซ่อนเร้น บางสิ่งบางอย่างกำลังรอสารวัตรอยู่ เช่นเดียวกับที่หลายสิ่งกำลังรอใครก็ตามที่หลงเข้าไปในหุบเขาดงโขมดเย็น
ทุกอย่าง มีเบื้องหน้า และเบื้องหลัง เสมอ . . .
|
|