|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 5, 2018 13:01:58 GMT
EP.3 : Last Way To Go On พื้นที่สนามรบจำลอง
เวลานี้การทดสอบเพื่อเข้าเรียนวิชาทหารของผู้เข้าสมัครกลุ่มของ ซีค ธีโอดอร์ ลอว์เรนซ์ เจนนี่ และอีธาน ใกล้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว เนื่องจากพื้นที่ของสนามรบจำลองถูกบีบให้เล็กลงมา และผู้เล่นจำนวนมากได้ออกจากสนามไปแล้ว
เจนนี่ที่ตั้งป้อมยิงอยู่นั้น เธอเห็นชื่อของอีธานขึ้นเรื่อยๆ “อีธานคงอยู่ทางซ้ายไม่ไกลจากเราตั้งแต่แรกแล้วสินะ” “ทุกครั้งที่มีเสียงยิงจากด้านนั้น Kill Feed ของอีธานก็จะขึ้นเกือบทุกครั้ง ทางนั้นคงจะต้องเป็นอีธานแน่นอน” เธอคิดคำนวณโดยอาศัยความเป็นไปได้ เพราะเสียงปืนที่เธอได้ยินทางซ้ายมีความสัมพันธ์กับ Kill Feed ของอีธาน ในขณะเดียวกัน อีธานก็รู้ได้เช่นเดียวกันว่าทางขวาที่อีกมุมตึกหนึ่งของเขาต้องเป็นเจนนี่นายสาวของเขา อีธานมองดูผู้ที่เหลือรอดอยู่ “ดูเหมือนจะใกล้สำเร็จแล้ว แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ ยังไงก็ต้องคุ้มกันคุณหนูไว้ก่อน”
และระหว่างที่ทั้งสองกำลังยิงเก็บแต้มอยู่นั้น ก็มีเสียงปืนดังเข้ามาเป็นระยะ จากทางทิศใต้ และยังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มันเป็นเสียงจากการบุกทะลวงของลอว์เรนซ์ เธอมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเป็นอย่างมาก “เอาล่ะใกล้ถึงกลางวงแล้ว” “Kill Feed ยังขึ้นรายชื่อของ เจนนี่ และ อีธาน อยู่เรื่อยๆ แถมยังไม่ถูกกำจัด แสดงว่าพวกนั้นต้องอยู่แถวๆ นี้สินะ” “แต่จะว่าไป ยังไม่เห็น Kill Feed ของเจ้าซีคเลยแฮะ….แต่หมอนั่นก็ยังไม่ถูกกำจัด หรือหมอนั่นคิดทำอะไรแผลงๆ อยู่”
ทั้งสามมองไปที่จำนวนผู้เล่นที่เหลืออยู่ ผู้เข้ารับการคัดเลือกทั้งหมด เหลืออยู่เพียง 6 คนเท่านั้น
…………………………………...
ห้องผู้ชมการถ่ายทอดสด
ซาเรียสมองข้อมูลทั้งหมดแล้วเดาความเป็นไปได้ “เอาล่ะตอนนี้ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกเหลือแค่ 6 คนแล้วสินะ” “นั่นหมายความว่า ถ้าคนต่อไปที่ถูกจำกัดไม่ใช่ ซีค ธีโอดอร์ ลอว์เรนซ์ เจนนี่ และอีธาน พวกเขาทั้งหมดก็จะผ่านทันที” เบลล่าได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเธอก็ลุกโชน เธอประสานมือทั้งสองเอาไว้ระดับหน้าอก “จริงหรอซาเรียส!! ว้าว!!” “อีกนิดเดียวเองสินะ….ความฝันของทุกคนก็จะเป็นจริงแล้ว….ตื่นเต้นจังเลย สู้ๆ นะทุกคน สู้ๆ” เธอเชียร์อย่างออกหน้า
ซาเรียสยิ้มแห้งๆ และมองไปรอบๆ ผู้ชมทั้งหมดในห้องของเขาเหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว เนื่องจากเมื่อมีผู้เข้าทดสอบตกรอบ คนที่มาเชียร์ผู้เข้าทดสอบคนนั้นก็จะเดินออกไป และผู้ที่เข้ามาให้กำลังใจคนสุดท้ายซึ่งไม่ใช่พวกของเบลล่าก็ยังนั่งอยู่ ซาเรียสใช้นิ้วชี้ชูขึ้นระดับปากของตัวเอง เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้เบลล่าลดความดังของเสียงลง ทำเอาเบลล่ายิ้มแหยๆ
ซาเรียสมองไปที่หน้าจอไปยังจุดต่างๆ ของผู้เข้าร่วมการทดสอบ แล้วเริ่มคำนวณความเป็นไปได้ของผลอีกครั้ง “ชั้นว่ามันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่เธอคิดนะเบลล่า...การที่เจนนี่และอีธานยิงเก็บแต้มได้สบายๆ ตั้งแต่ต้นเกมส์” “และยังไม่ถูกกำจัดออกไป มีอยู่ตำแหนางเดียวที่น่าจะเป็นพวกเขา นั่นก็คือตรงกลางแผนที่ ทั้งสองต้องอยู่ตรงนั้น” “ส่วนลอว์เรนซ์นั้นก็ทำคะแนนเกิน 10 คะแนนแล้ว ไม่น่าต้องเป็นห่วง จุดที่ลอว์เรนซ์อยู่น่าจะเป็นทางทิศใต้ล่ะนะ” “เพราะด้วยนิสัยของเธอที่ชอบการลุยแหลก คงเป็น Ironsuit เครื่องนั้นที่บุกตรงดิ่งเข้ามายังใจกลางแผนที่”
เบลล่าพยักหน้างึกๆ แต่จริงๆ แล้วเธอก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ซาเรียสพูดมาเท่าใดนัก “แล้วธีโอกับซีคล่ะซาเรียส” ซาเรียสทำหน้าเข้ม “นั่นแหละที่ชั้นเป็นห่วง เมื่อครู่ทางตะวันตก มี Ironsuit เครื่องหนึ่งยิงเก็บแต้มได้มหาศาล” “แล้ว Kill Feed ก็ขึ้นเป็นชื่อของธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ เครื่องนั้นต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน แต่สำหรับซีค..” “ซีคยังไม่ขึ้น Kill Feed มาเลย แสดงว่าเขายังจัดการใครไม่ได้ แต่ผู้เข้าร่วมทดสอบอีกคนได้มา 1 แต้มแล้ว” “ตำแหน่งของ Ironsuit ที่ได้แต้มแล้วนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไม่มีใครอยู่ในระยะของเขาคนนั้นเลยตอนนี้”
“แต่จุดที่ใกล้กับธีโอดอร์ เป็นจุดของ Ironsuit ที่ยังไม่ได้แต้มจากการกำจัดคู่แข็ง...ตอนนี้ก็มีแต่หมอนั่นเท่านั้น” “แสดงว่าจุดๆ นั้น…..เฮ้อ…..ยังไงก็ต้องเป็นหมอนั่นอย่างแน่นอน….ยิ่งดูก็ยิ่งใช่ล่ะนะ ไม่ต้องเดาแล้วล่ะ” ซาเรียสเบือนหน้าหนีจากจอภาพ ทำเหมือนกันเขาไม่อยากจะดูภาพที่เกิดขึ้นเลยพร้อมบ่นว่า “บ้าบอชะมัด”
เบลล่ามองตามนิ้วของซาเรียสที่ชี้จุดของซีคไปที่หน้าจอ มือของเธอก็ร่วงลงบนตัก “นั่นเค้า...ทำอะไรของเค้า…”
…………………………………..
สนามรบจำลองทางตะวันตก
“บ้าชิบ!! ทำไมต้องมาเจอไอ้หมอนี่ตอนนี้ด้วยนะ แต่ไม่เป็นไร ชั้นจะแสดงพลังที่แท้จริงให้เห็นล่ะ” “แผนนี้มันจะต้องได้ผล….ให้ตายสิโว้ย…..ถ้าไม้ตายนี้ไม่ได้ผลตูก็คงจะต้องเจ๊งแล้วล่ะนะ...เข้ามาเล้ย!!” “อย่างน้อย ถึงจะสู้หมอนั่นไม่ได้ แต่ถ้าชั้นใช้ท่าไม้ตายนี้ ก็น่าจะพอจะถ่วงเวลาให้ผ่านเป็น 5 คนสุดท้ายได้” ซีค พูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เริ่มต้นจากความหวาดหวั่น จนเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
Ironsuit ของธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ ค่อยๆ เดินก้าวเข้ามายังมุมตึกทีละก้าว เขาใช้ปืนเล็งไปข้างหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ แง้มโผล่จากมุมตึก สอดส่องไปทุกทิศทางด้วยความรอบคอบเพราะไม่อยากถูกลอบยิง เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีศัตรู เขาก็ก้มลงมองที่พื้น เขาเห็น Ironsuit ที่เขาเพิ่งยิงออกจากสนามไปนอนอยู่ที่พื้น “ฮึ!! กะแล้วเชียว” ธีโอดอร์ พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก เขาก้าวไปยังซาก Ironsuit ที่เขาเพิ่งยิงล้มไป
จากนั้นก็ใช้ขาเขี่ยซาก Ironsuit เครื่องนั้นออกไปด้านข้าง ก็พบ Ironsuit อีกเครื่องกำลังนอนนิ่งคว่ำหน้าอยู่ ธีโอดอร์ส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วใช้ปืนของเขายิงใส่ปืนของ Ironsuit ที่คว่ำหน้าอยู่จนมันระเบิดใช้การไม่ได้ ทันใดนั้น Ironsuit ที่คว่ำหน้าอยู่ก็รีบพลิกตัวกลับมาในสภาพนอนหงายแล้วโบกมือแหง่กๆ ให้กับธีโอดอร์ ธีโอดอร์ส่ายหน้าอีกครั้งด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “ทำอะไรงี่เง่าสมกับเป็นแกจริงๆ นะ ซีค ฟาร์ชตัดท์”
พลขับของ Ironsuit เครื่องนั้นก็คือซีคนั่นเอง เขาพูดพลางเหงื่อตกออกไปว่า “นายอ่านแผนของชั้นออกได้ไง” ธีโอดอร์หัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า...แผนบ้าแผนบออะไรของแก….ไอ่ที่แกล้งตายนี่คือแผนงั้นหรอ ไร้สาระชะมัด” “เอาล่ะ เล่นมามากพอแล้ว ได้เวลาทำให้มันจบไปได้แล้วล่ะ” เมื่อพูดจบ ธีโอดอร์ก็เล็งปืนไปที่ Ironsuit ของซีค ซีคใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายตะโกนออกมา “ใครจะไปยอมให้นายทำแบบนั้นกันเล่า...เอ่ย๊ากกกกกกกก”
เมื่อสิ้นเสียงของซีค Ironsuit ของเขาก็….ลุกพรวดหันกลับหลังซอยเท้าวิ่งหนีทันที แต่ท่าวิ่งก็ยังตุปัดตุเป๋ ธีโอดอร์มองตามไปด้วยสายตาสุดเปื่อย “ปลายขาเป็นบูสเตอร์...” เขาพูดตามหลังของซีคไป ทำให้ซีคชะงัก “ใช่!! จริงด้วย ปลายขาเป็นบูสเตอร์” เมื่อซีคทวนคำพูดของธีโอดอร์จบ เขาก็กดปลายขาของขาลงทั้งสองข้าง ระบบความคุมซึ่งเหมือนปลอกแขน และปลอกขาเหล็ก มีระบบสั่งการพิเศษ สำหรับปลายขาก็คือ...บูสเตอร์…
ท่อขับดับ Ironsuit ของซีคที่ติดอยู่ที่แผ่นหลังก็เริ่มทำงาน มันส่งตัว Ironsuit ของซีคให้ลอยขึ้นสูงจากพื้น และพุ่งไปข้างหน้าด้วยอัตราเร่ง 3G “เห้ย!! ชิปหายแล้ว หยุดยังไงฟะเนี่ย!!” ซีคร้องโหวกเหวกเสียงดังลั่น เขาไม่เคยเปิดใช้งานบูสเตอร์ จึงไม่สามารถควบคุมการบินได้ เครื่องของเขาลอยไปมาอย่างไร้ทิศทาง
“ถ้าเป็นแกจะพูดว่าไงนะ….ฮึ?....GG...สินะ” ธีโอดอร์พูดจบเขาก็ยิงปืนเข้าใส่กลางหลัง Ironsuit ของซีค
…………………………………….
หอสังเกตการณ์
พลอากาศตรี เรย์ แอนเดอร์สัน และ ร้อยโทอาเรีย มิดฟอร์ด จับตาดูการทดสอบรอบนี้ตั้งแต่ต้น เมื่อมันจบลง พลตรีแอนเดอร์สัน ก็ปรบมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ “เด็กคนนั้นทำได้ดีมาก เยี่ยมยอด” จากนั้นเขาก็หันมาหาอาเรีย “ร้อยโทรู้จักเด็กคนนั้นสินะครับ มิน่าคุณถึงบอกให้ผมตั้งตารออะไรที่มันสนุกๆ แบบนี้”
อาเรียยิ้มพร้อมกับตอบกลับ “ค่ะท่าน ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ เป็นลูกพี่ลูกน้องของดิชั้นเอง มีศักดิ์เป็นน้องน่ะค่ะ” “ดิชั้นรู้จักและสนิทสนมกับเด็กหนุ่มคนนั้นมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น และมีฝีมือในทุกๆ ด้าน” “ดิชั้นจึงมั่นใจว่าเด็กคนนั้นจะต้องทำผลงานออกมาได้ดี และก็เป็นไปตามคาดที่เขาทำออกมาได้ขนาดนี้” “งั้นเรามาดูสรุปผลรวมคะแนนของการคัดเลือกรอบนี้กันเลยมั้ยคะ ท่านนายพลแอนเดอร์สัน”
เมื่อพลอากาศตรีเรย์ แอนเดอร์สัน พยักหน้าตกลง อาเรียก็แจ้งไปยังฝ่ายเก็บข้อมูลเพื่อขอผลการทดสอบ ไม่นานผลการทดสอบก็มาถึง ในรอบนี้มีผู้ผ่านการทดสอบด้วยกัน 5 คน ไม่แตกต่างไปจากรอบอื่นๆ “อันดับที่ 1 ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ กำจัดเป้าหมายไปทั้งสิ้น 26 kills เขาแสดงผลงานได้โดดเด่นที่สุด” “อันดับที่ 2 ลอว์เรนซ์ ดิราเวน กำจัดเป้าหมายไปทั้งสิ้น 14 kills ลูกสาวท่านประธานาธิบดีก็ไม่เป็นรองใคร“ “อันดับที่ 3 เจนนี่ เวอร์ม่า กำจัดเป้าหมายไปทั้งสิ้น 5 kills ลูกสาวนายพลใหญ่ก็ผ่านการทดสอบด้วยเช่นกัน” “อันดับที่ 4 อีธาน สมิทธ์ กำจัดเป้าหมายไปทั้งสิ้น 10 kills เด็กปั้นของนายพลเวอร์ม่า น่าจับตามองไม่แพ้กัน” “อันดับที่ 5 ชาคริต แจ่มใส กำจัดเป้าหมายไปทั้งสิ้น 1 kill ถึงจะแทบไม่ได้ทำอะไร แต่ตามกฎการคัดเลือก เขาก็ผ่าน”
หลังจากที่อาเรียอ่านผลการคัดเลือกจบ ก็มีรายงานเข้ามาจากผู้สังเกตการณ์ของฐาน Radamanthys เข้ามา “ไม่ได้ผิดจากที่คาดเอาไว้นะคะท่านนายพล...ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ เป็นผู้ได้สิทธิไปศึกษาวิชาทหารกับ Radamanthys” “ดูเหมือนดิชั้นคงจะต้องถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้กับลอว์เรนซ์ ดิราเวน ลูกสาวของท่านประธานาธิบดีแทนน้องชายซะแล้วสิ” พลตรีแอนเดอร์สันเอียงคอนิดๆ “แม้ยังเหลือการทดสอบอีกหลายกลุ่ม แต่ดูเหมือนทาง Radamanthys จะเลือกเด็กคนนั้นแล้วล่ะ” “ถ้าเด็กคนนั้นเก่งอย่างที่คุณว่า ผมเชื่อว่าเขาจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง….ถ้าเขากลับมาเมื่อไร ผมจะทำเรื่องขอตัวเขาทันที” “ส่วนบุตรีของท่านประธานาธิบดี ก็คงจะต้องรบกวนคุณแล้วแหละนะ ยังไงก็ฝากดูแลเด็กสาวคนนั้นให้ดีด้วยล่ะ ร้อยโท” “แต่ผมยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าเทียบกับการทดสอบของคุณเมื่อ 4 ปีก่อน เด็กคนนั้นกับคุณใครทำแต้มได้เยอะกว่ากัน…”
อาเรียยิ้มปนอายเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เมื่อ 4 ปีก่อน ดิชั้นยิงทำลายคู่แข่งได้ทั้งหมด 22 เครื่องเองค่ะท่าน….”
…………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 5, 2018 13:03:41 GMT
“แดมยู!!!”
ซีคเดินออกจากฐานทัพด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว แน่นอนว่าเขาไม่พอใจกับผลการคัดเลือกที่ออกมา และเหมือนว่าเขาพยายามรีบปลีกตัวออกมาจากฝูงชน และมองซ้ายมองขวาหลบหน้าเพื่อนๆ ของเขาอยู่ ในขณะที่ลอว์เรนซ์ เจนนี่ และอีธาน เดินออกมาหา เบลล่า และซาเรียส ที่ยืนรออยู่ด้วยรอยยิ้ม
“สำเร็จจนได้ ถึงจะไม่ได้ไป Radamanthys แต่ในที่สุดชั้นก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของรุนพี่มิดฟอร์ดแล้ว!!” ลอว์เรนซ์เฮลั่น ซาเรียสนำช่อดอกไม้ที่เขาซ่อนไว้ด้านหลังออกมาให้ลอว์เรนซ์และเจนนี่ “ยินดีกับพวกเธอด้วยนะ ทำได้ดีมากๆ เลย” เจนนี่รับดอกไม้ของซาเรียสพร้อมๆ กับลอว์เรนซ์ และกล่าวขอบคุณ แต่สายตาของเธอกลับยังมองไปรอบๆ ลอว์เรนซ์ทำคิ้วขมวดชวนสงสัย “เจนนี่...อย่าบอกนะว่ามองหาหมออยู่น่ะ….ไม่ต้องหาหรอก คง Cloaking หนีไปแล้วล่ะ” คำพูดของลอว์เรนซ์ทำเอาเจนนี่สะดุ้งนิดๆ “อืมมมม...ก็ชั้นเป็นห่วงซีคน่ะ ท่าทางจะผิดหวังมากเลยแอบหนีไปคนเดียว”
ลอว์เรนซ์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ต้องไปห่วงอิตาบ้านั่นหรอกน่ะ เดี๋ยวเดียวก็กลับมาจ้อได้เหมือนเดิมอยู่แล้ว...โน๊ะซาเรียส” ซาเรียสทำท่างงๆ ที่จู่ๆ บทสนทนามาลงที่เขา “อ่ะ...อ่อ ใช่แล้วล่ะ ซีคน่ะเป็นคนที่อารมณ์ดี แถมมีไฟอยู่ตลอดเวลานี่นะ” อีธานเห็นบรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดี เขาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วดอกไม้ชั้นล่ะซาเรียส...ใจคอจะแจกแต่สาวๆ รึไงกัน” “อี๋!! ก็ใช่น่ะสิ ชั้นเป็นผู้ชายนะอีธาน ให้ดอกไม้ผู้ชายด้วยกันเองมันจะดูแปลกๆ” ซาเรียส รีบตอบกลับคำถามของอีธาน
ลอว์เรนซ์ยิ้มอย่างมีเลห์นัยขณะที่เธอมองไปที่อีธานแล้วมองกลับมาที่ซาเรียสจากนั้นก็รูดสายตาไปตั้งแต่หัวจรวดเท้า “เอ...จะว่าไปซาเรียสนี่ก็ดูอ่อนหวาน ผมยาว หน้าสวยเหมือนกันนะเนี่ย….พอยืนคู่กับอีธานแล้วมันก็อดคิดไม่ได้อยู่น๊า...” ซาเรียสหันขวับไปทางลอว์เรนซ์ทันที “นี่ลอว์!! อย่าบอกนะว่าเธอกำลังคิดอะไรที่มันน่าขนลุกแบบนั้นอยู่น่ะ” ลอว์เรนซ์หัวเราะคิกคักพร้อมกับกระโดดหนีซาเรียสไปแอบอยู่หลังของอีธาน ก่อนจะโผล่หน้ามาแลบลิ้นใส่ซาเรียส การเล่นมุกแซวกันดูท่าจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เมื่อมันเรียกเสียงหัวเราะจาก ลอว์เรนซ์ และเจนนี่ได้
แต่มันกลับเรียกเสียงหัวเราะจากเบลล่าไม่ได้ และเมื่อทุกคนรู้ตัวอีกที เบลล่าก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
…………………………………....
“เดี๋ยว รอด้วยสินายน่ะ” “เจี๊ยก!!!”
เสียงตะโกนของเบลล่าไล่หลังมาจากระยะไกล เมื่อซีคได้ยินเข้าก็สะดุ้งโหยง แล้วค่อยๆ หันกลับหลังช้าๆ เบลล่าเห็นซีคหยุดเดินแล้วหันกลับมา เธอจึงรีบวิ่งไปหาซีคก่อนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะเดินหนีไปอีกครั้ง เมื่อวิ่งตามมาทันเธอก็ทักขึ้นทันที “จะรีบไปไหนซีค….ชั้นน่ะเป็นห่วงนายน่ะรู้มั้ย….ชั้นรู้ว่านายรู้สึกยังไง” ซีคแอบซึ้งตอนที่เขาได้ยินว่าเบลล่าเป็นห่วง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะแสดงอารมณ์ออกไปอย่างไร
ถ้าหากแสดงอารมณ์ว่าเขานั้นผิดหวังอยู่ เบลล่าก็จะปลอบเขา แต่ถ้าเขาทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไร เบลล่าก็จะสบายใจ และไม่ต้องมาห่วงความรู้สึกตอนนี้ของเขา มันเป็นการตัดสินใจที่ลำบากมาก เขาต้องเลือกระหว่างแสดงออกเพื่อตัวของเขาเอง กับแสดงออกเพื่อตัวของเบลล่าหญิงที่เขามีใจให้
ในที่สุด ซีคก็ฉีกยิ้มออกมา “ชั้นน่ะไม่เป็นไรหรอกน่าเบลล่า….อิโถ่เอ้ยก็แค่การทดสอบเข้าเป็นทหาร” “ถ้าชั้นอยากเป็นทหารจริง ชั้นก็แค่ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์แล้วค่อยไต่เต้าขึ้นมาให้ทันเพื่อนๆ ก็ได้” “พอดีชั้นมาคิดๆ ดูแล้ว จริงๆ เป็นทหารมันก็อาจจะไม่ได้มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำเท่าใดนัก” “ชั้นก็เลยไม่ได้เอาจริงน่ะ….แถมเห็นธีโอเขาจริงจังขนาดนั้น ชั้นก็เลยเลือกที่จะหลีกทางให้เขาแทน” “้เอ้อ!! ชั้นขอบอกไว้ก่อนเลยนะเบลล่า หมอนั่นน่ะโชคดีแล้ว ที่จอยเครื่อง Simulation ของชั้นมันไม่ดี” “หมายถึงคันบังคับที่แขน เอว และขาสองข้าง น่ะนะ มันฝืดไปหมด...ชั้นก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย”
เบลล่าฟังคำอธิบายของซีค เธอก็มีสายตาที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อเห็นซีคยิ้มออกมาแล้วพูดจ้อขนาดนี้ มันก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง “แล้วเธอจะเอายังไงต่อไปล่ะ สรุปว่าจะไม่สมัครเป็นทหารเกณฑ์ใช่มั้ย” ซีคนึกในใจ “สมัครไปให้เจ้าพวกนั้นมันเยาะเย้ยเพื่อ!!!” แต่เขาตอบออกไปว่า “ชั้นตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เป็นทหาร” “แต่จะไปสมัครเป็นนักวิทยาศาสตร์กับเธอ ชั้นก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่ทางที่ใช่ เลยยังไม่ได้คิดเผื่อเรื่องนั้นเอาไว้หรอก”
เมื่อซีคพูดจบเขาก็เริ่มก้าวเดินต่อ เบลล่ามีสีหน้าที่เป็นห่วงขึ้นมาทันที เธอจึงเริ่มก้าวเดินตามซีคไป “นายต้องคิดแล้วนะซีค อนาคตของนายน่ะ จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้หรอก….ชั้นน่ะถามซาเรียสมาแล้วล่ะ” “ว่าถ้าไม่เป็นทหารเกณฑ์ ไม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ นายต้องไปทำงานใช้แรงงาน ไปเก็บขยะ หรือไปขัดส้วม” “ชั้นน่ะนึกภาพนายทำงานแบบนั้นแล้วไม่สบายใจเลย มันเป็นงานที่ลำบาก ชั้นไม่อยากเห็นเพื่อนต้องลำบากนะ” “อันที่จริง ชั้นก็กำลังคิดๆ อยู่ว่า…..อยากจะชวนนายไปลงสมัครสอบเข้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันน่ะนะ”
ซีคนั้น เดิมทีมีความอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง เพราะเขาอยากทำงานที่ได้ใกล้ชิดกับเบลล่า แต่เขาก็รู้ตัวเองดีว่าความรู้ของเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คงจะลำบาก เพราะคะแนนสอบของเขานั้นทุเรศทุรังมาก เขาบอกทุกคนว่าเขาไม่มีเวลาอ่านหนังสือบ้างล่ะ ป่วยก่อนสอบบ้างล่ะ แต่จริงๆ แล้วเขานั่งอ่านมันทั้งสัปดาห์ ตอนนี้ถ้าเขาอยากกลับมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่แปลก เพราะเบลล่าเอ่ยปากชวน แถมเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ซีคทำหน้าเบื่อโลก “ที่เธอว่าก็น่าสนนะ แต่ว่า….เธอก็รู้ว่าตอนสอบน่ะ ชั้นทำคะแนนออกมาไม่ดีเท่าไรเลย” “แถมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ชั้นก็มีไม่มากเพราะไม่ค่อยมีเวลาอ่าน หลายครั้งที่ตอนสอบชั้นก็ดันมาป่วยอีก” “จะให้ไปสอบแข่งกับคนอื่นเพื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ มันฟังแล้วดูยากๆ อยู่เหมือนกันนะเบลล่า….คือว่าชั้นน่ะไม่….” ซีคยังไม่ทันพูดจบ เบลล่าก็สวนขึ้นทันที “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า...ใครเป็นคนชวนนาย...ชั้นคนนี้เชียวเลยนะ!!” “อย่าลืมว่าชั้นน่ะเป็นถึงอันดับที่ 2 ของโรงเรียน High School วิชาวิทยาศาสตร์ 3 ปี ซ้อน ชั้นจะต้องช่วยนายได้แน่นอน”
ซีคถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ “โอเคร๊ ฟังดูน่าสนใจดี เธอพูดเองนะว่าจะช่วยชั้นน่ะ” “อื้อ!!”
…………………………………..
ห้อง lab ใหญ่ของฐาน Minos
วอร์เรน เกตส์ นั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวสีขาว มีโต๊ะกระจกเงาสีดำตัวใหญ่เป็นโต๊ะทำงาน เอกสารนั้นกองเต็มโต๊ะ เขามีตำแหน่งเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยซึ่งขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถือว่าตำแหน่งค่อนข้างใหญ่ทีเดียว แม้จะเป็นชายหนุ่มที่อายุไม่มาก แต่การที่เขามาดำรงตำแหน่งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดา
ระหว่างที่วอร์เรน เกตส์ นั่งอ่านแฟ้มข้อเสนองานวิจัยอยู่ 2 เล่ม นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา เขาแจ้งว่าเด็กที่วอร์เรนเรียกพบนั้นได้มาถึงแล้ว วอร์เรนจึงอนุญาตให้เด็กสองคนนั้นเข้ามาพบได้ จากนั้นก็ส่งแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่งซึ่งเขาเพิ่งลงลายมือชื่ออนุมัติให้กับนักวิทยาศาสตร์คนดังกล่าวรับไป แฟ้มทั้งหมดในห้องเป็นแฟ้มอิเล็กทรอนิกส์ มันเป็นเหมือนแผ่นกระจกสีฟ้าหน้าจอสัมผัส สุดไฮเทค ส่วนแฟ้มที่เขาได้ลงลายมือชื่อไปนั้น เป็นแฟ้มการอนุมัติให้แมกซิม เฟลเลอร์โอนย้ายไปสังกัดกระทรวงกลาโหม
จากนั้นเด็กหนุ่มสองคนที่วอร์เรนเรียกหาก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีที่สุภาพอ่อนน้อม เขาคือ แฟร๊งค์และมาริค เมื่อวอร์เรนเห็นหน้าเด็กหนุ่มทั้งสอง เขาก็รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นใคร เพราะในแฟ้มเสนองานวิจัยมีรูปทั้งสองแสดงอยู่ “นั่งสิ….” วอร์เรน กล่าวขึ้น แฟร๊งค์และมาริคจึงเลื่อนเก้าอี้เบาะหนังสีดำขาเป็นเหล็กติดล้อเลื่อนออกมาแล้วนั่งลงไป เมื่อทั้งสองนั่งลง วอร์เรนก็ยื่นแฟ้มข้อเสนองานวิจัยกลับไปให้เด็กหนุ่มทั้งสอง “นี่ผลงานที่พวกเธอเสนอมาใช่รึเปล่า”
แฟร๊งค์และมาริคพยักหน้าแล้วตอบรับว่า “ครับ” อย่าเบาๆ เพราะพวกเขาคิดว่ายื่นคืนมาแบบนี้คงเป็นข่าวร้าย แต่วอร์เรน เกตส์กลับพูดต่อไปว่า “มันเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมากครับทั้งสองคนเลย ผมเซ็นต์อนุมัติให้แล้ว” “พวกคุณสองคนจึงได้สิทธิในการเข้าเรียนสาขาวิทยาศาสตร์และการวิจัย และได้รับการสนับสนุนการศึกษาฟรี” แฟร๊งค์ยิ้มด้วยท่าทีสุภาพ “ขอบคุณมากครับท่านอาจารย์เกตส์” ส่วนมาริคมีท่าทีดีใจที่ออกหน้าออกตาสุดๆ เขาลุกขึ้นเงยหน้ามองเพดานพร้อมชูแขนทั้งสองข้างขึ้น “เยส!!! เยสเซ่อร์!!! เซอร์เยสแหม๋น!! สำเร็จแล้วโว่ยยยย”
วอร์เรน เกตส์ ยิ้ม เขาแทบจะกลั้นขำใน React ของมาริค สจ๊วต แทบไม่อยู่ จนมาริคกล่าวขอบคุณแล้วนั่งลง วอร์เรนจึงเริ่มพูดถึงเรื่องหัวข้อวิจัย “หัวข้อวิจัยของคุณ...คุณแฟร๊ง ฟอนเบิร์ก มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆ” “การดัดแปลงให้สมองส่วน cognition สร้างความรู้สึกทุกข์พิการลงนั่นน่ะ ผมคิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อการแพทย์มาก” “หากงานวิจัยของคุณที่เสนอมาทำได้สำเร็จ เราจะสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้คนที่เป็นโรคซึมเศร้าได้” “ผมขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยนะ….คุณรับแฟ้มของคุณไป แล้วเอาไปเสนอที่ฝ่ายทะเบียนได้เลย...”
แฟร๊งค์ก้มหัวน้อมรับ แล้วหยิบแฟ้มของเขาก่อนจะเดินออกจากห้องของวอร์เรนไปเพื่อนำมันไปยื่นฝ่ายทะเบียน ในขณะที่มาริคยังนั่งสั่นยุกยิกด้วยความตื่นเต้น วอร์เรนก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินวนมาแตะไหล่ของมาริค ทำเอามาริคสะดุ้งเฮือก วอร์เรนพูดกับเขาว่า “งานวิจัยที่คุณเสนอมาน่ะ...คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าคุณได้ทำอะไรลงไป” มาริคมีท่าทีเลิ่กลั่ก “อ่ะเอ่อ….ท่านอาจารย์เกตส์อย่าบอกนะว่าผมส่งข้อเสนองานวิจัยผิดหัวข้อไป….ซวยล่ะสิ...” “ผมคงไม่ได้ส่งข้อเสนองานวิจัยหัวข้อเรื่องการถ่ายทอดน้ำวิสุทธิ์อย่างเต็มประสิทธิภาพไปให้อาจารย์หรอกใช่มั้ยครับ!!?”
วอร์เรน เกตส์ มีท่าทีกลั้นขำอีกครั้งที่ได้ยินชื่อหัวข้องานวิจัยของมาริค “เปล่า...คุณไม่ได้ส่งหัวข้อน้ำวิสุทธิ์อะไรนั่นมาหรอก” เมื่อได้ยินอย่างนั้น มาริคก็มีท่าทีผ่อนคลายลง วอร์เรนจึงพูดต่อไปว่า “หัวข้อเรื่องที่คุณส่งมามันทำให้ผมได้แนวคิดใหม่ขึ้นน่ะ” “หัวข้อที่ว่า ทฤษฎีสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองที่ปลอดกัมมันภาพรังสีและใช้ออกซิเจนหายใจ...ทำให้ผมตีความหมายมันย้อนกลับได้” “ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตตามทฤษฎีของคุณ...นั่นแปลว่าต้องมีสักที่บนดาวดวงนี้ที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้โดยปราศจากอุปกรณ์ช่วยเหลือ” “และมันก็ดันไปตรงกับข้อมูลที่กลาโหมไม่ได้เอะใจ และส่งมาให้ทางเรา นั่นก็คือ ข้อมูลของเจ้านี่….” วอร์เรนพูดจบ เขาก็กดหน้าจอสัมผัสบนโต๊ะทำงานของเขาซึ่งเป็นกระจกสีดำให้มาริค สจ๊วต ได้ดูสิ่งที่เขากำลังจะพูดถึง
สิ่งที่ปรากฏขึ้นคือภาพของสัตว์ปีกขนาดยักษ์คล้ายนก ขนสีแดงเพลิง สลับลายขาวบริเวณหน้าท้องและปลายปีก มันมีจะงอยปากอันแข็งแกร่ง ใหญ่โต และแหลมคม คอยาวเพราะกัดจิกทุกทิศทาง กรงเล็บราวกับหอกลองกินุส มีหงอนสีทองอยู่ที่ท้ายทอย ไม่มีใครไม่รู้จักมัน เพียงแค่มีน้อยคนนักที่เคยเห็นมันตัวเป็นๆ แล้วรอดกลับมาได้
“Phoenixaurus สัตว์ปีกพื้นเมืองเมื่อยืนจะสูง 20 เมตร ผู้ล่าสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารของดาวดวงนี้….” “มันเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างหวงพื้นที่ เรารู้ว่ามันอาศัยอยู่ในเขตป่าอุดมสมบูรณ์ที่ใดสักที่ทางตอนเหนือขึ้นไป...” “รายงานที่ผมรู้สึกเอะใจเมื่อเห็นหัวข้อของคุณก็คือ ทำไมมันไม่เคยเข้ามาใกล้ฐานของเราเลย...” “และนั่นก็เพราะรอบฐาน Minos มีวงแหวนแห่งกัมมันตภาพรังสีกั้นขวางระหว่างฐานเรากับภายนอกเอาไว้”
มาริคที่ฟังอยู่ก็เข้าใจในสิ่งที่วอร์เรนกำลังจะสื่อทันที “อาจารย์คิดว่าเจ้านกยักษ์อาจจะเป็นสัตว์ตามทฤษฎีของผมสินะครับ” วอร์เรนพยักหน้า “ถูกต้อง เพราะฉะนั้น คุณห้ามเปลี่ยนหัวข้อในการทำวิจัยเด็ดขาด ไม่งั้นผมจะไล่คุณออก” “ผมต้องการให้คุณทำการศึกษา วิเคราะห์และวิจัยเจ้านกยักษ์นี่ แล้วผมจะหาทางให้คุณได้ออกไปสำรวจกับพวกกลาโหม” “เมื่อถึงเวลาที่ได้เห็นตัวมันเป็นๆ คุณต้องเก็บข้อมูลทุกของมันอย่างละเอียดยิบ …. ยังไงก็ฝากด้วยล่ะ เข้าใจนะ”
เมื่อวอร์เรน เกตส์ พูดจบ เขาก็สั่งให้มาริค สจ๊วต ออกจากห้องไป แล้วเอาแฟ้มของเขาไปลงทะเบียนเข้าเรียน
…………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 5, 2018 13:05:20 GMT
“ไม่น่าเชื่อ….”
ฟองน้ำตาลุกวาว “ไม่น่าเชื่อจริงๆ นะคะ ว่าจากแค่หัวข้องานวิจัยเพื่อสมัครเข้าเรียนสาขาวิทยาศาสตร์ของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง” “จะกลายเป็นก้าวแรกของแนวคิดเรื่องการมีอยู่จริงของ Genesis Plant คนๆ นี้ถึงจะดูเพี้ยนๆ แต่ความคิดของเขานั้นยอดจริงๆ” “ถึงแม้มันจะเป็นหัวข้อที่ยังไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด แต่มันกลับชี้ชัดไปที่ Phoenixaurus โดยบังเอิญ” “ถ้าพวกเขาพิสูจน์ได้ว่า Phoenixaurus เป็นสิ่งมีชืวิตตามทฤษฎีในหัวข้องานวิจัย พวกเขาก็ต้องออกตามหาที่อยู่ของมันแน่”
เอริคยิ้มๆ “ตอนนั้นมันยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอกครับฟองน้ำ สิ่งสำคัญที่มาริค สจ๊วตได้สร้างขึ้นก็คืออำนาจการต่อรอง” “เพราะตอนนั้น วอร์เรน เกตส์ ยังไม่มีอะไรไปคานแนวคิดการตัดต่อพันธุกรรมของมนุษย์เพื่อปูทางสู่การอยู่อาศัยนอกโดมเลย” “แต่หัวข้อวิจัยนี้กลายเป็นสิ่งเดียวที่วอร์เรน เกตส์ สามารถใช้เพื่อดึงคะแนนเสียงสนับสนุนแนวทางของเขากลับมาได้” “อย่างน้อย ถ้าหากเขาพิสูจน์ได้ว่านกยักษ์เป็นสิ่งมีชีวิตแบบนั้นจริงๆ ถิ่นที่อยู่ของมันก็สามารถเป็นที่อยู่ของมนุษย์ได้”
เอริค ดึงสายตากลับมาที่หนังสือของเขาพลางคิดในใจ “เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา แค่อ่านแว๊บเดียวก็คิดได้ขนาดนี้แล้ว...”
…………………………………..
2 สัปดาห์ต่อมา
ณ สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งฐาน Minos ที่แห่งนี้เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอนสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และการวิจัย อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของห้องทดลองใหญ่ของฐาน Minos ซึ่งวันนี้มันถูกจัดให้เป็นสถานที่สอบแข่งขันของเหล่าเด็กหนุ่มสาว ก่อนที่จะเริ่มประกาศให้เข้าห้องสอบ เด็กหนุ่มสาวที่สมัครสอบไว้ ได้มารวมตัวกันตามมุมต่างๆ อย่างมากล้น บางคนมีความมั่นใจ บางคนก็ยังกังวล บางคนยังขอใช้เวลาวินาทีสุดท้ายในการอ่านหนังสือย้ำเตือนความจำเป็นครั้งสุดท้าย
ซีค เดินตรงเข้ามาด้วยท่าทีอิดโรย ใต้ตาของเขาคล้ำเป็นเงาดำๆ เหมือนหมีแพนด้าแสดงถึงการอดหลับอดนอนอย่างหนัก เขาเดินตรงเข้ามาทางเบลล่าและซาเรียส ที่กำลังนั่งทบทวนบทเรียนผ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหน้าตาเหมือนแผ่นกระจก “Hi all!! พวกนายดูชิวจังเลยนะ” ซีคทักขึ้น เบลล่าหันมายิ้มแล้วตอบรับเป็นคนแรกว่า “สวัสดีซีค เมื่อคืนโพยที่ให้ไปอ่านจบมั้ย” สิ่งที่เบลล่าพูดทำให้ได้รู้ว่าเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เบลล่าได้จดสรุปเป็นโพยและช่วยเหลือซีคในการเตรียมตัวมาโดยตลอด
ซาเรียสมีสมาธิกับการเลื่อน page ในหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อยู่ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าซีคมาถึงแล้ว เขาจึงหันหน้าไปมอง “เห้ย!!” ซาเรียสตกใจกับใต้ตาหมองคล้ำของซีค “ตกใจหมดเลยให้ตายเถอะ….นี่นายทุ่มเทเกินไปรึเปล่าเนี่ย!! แต่ก็น่าดีใจนะที่เห็นอย่างนี้” ซีคยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเดินเนียนเข้ามาเกี่ยวแขนของซาเรียสให้เดินออกห่างจากเบลล่า จากนั้นเขาก็เหลือบกลับไปมองว่าเบลล่ามองมาไหม พอทางสะดวกเขากระซิบว่า “นี่ซาเรียส ตอนสอบน่ะ ช่วยสง Sig ให้ชั้นหน่อยได้มั้ย มะคืนชั้นนั่งเล่น Ironsuit Simulation ทั้งคืนเลย แหะๆ”
มุมปากของซาเรียสกระตุกๆ “ไอ่เจ้าบ้าเอ้ย ที่เห็นขอบตาดำๆ ก็นึกว่าตั้งใจเตรียมตัวสอบ นายนี่มันไม่รู้ว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญเลยรึไง” “ชั้นจะบอกให้นะ ห้องสอบน่ะ เป็นห้องสอบปิด ล้อมด้วยผนังปิดกั้นสัญญาณทุกชนิด ไม่มีทางจะใช้เครื่องมือสื่อสารติดต่อใครได้” “แถมข้อสอบไม่ใช่ปรนัย แต่เป็นอัตนัยล้วนๆ ถึงแม้จะส่งสัญญาณให้กันได้ มันก็เปล่าประโยชน์ นายต้องทำข้อสอบด้วยตนเองอยู่ดี” ไหล่ของซีคตกลู่ลง “ก็กะไว้แบบนั้นอยู่แล้ว….ช่างเถอะยังไงชั้นก็สอบผ่านได้ไม่ยาก จริงๆ แค่อยากรู้ว่านายจะตอบข้อสอบได้มั้ยแค่นั้น” ซาเรียสทำหน้าเซ็งๆ “โถ่นายมันน่านัก!! ยังไงก็สอบให้ได้ก็แล้วกัน….อย่าทำให้ความตั้งใจของเบลล่าเสียเปล่าล่ะ ไอ้คนไม่เอาไหน!!” ซีคทำปากแบะๆ แล้วเดินกลับมาหาเบลล่า และดูว่าเบลล่ากำลังอ่านอะไร เธอให้ความสำคัญกับหัวข้อใดในการสอบมากเป็นพิเศษ
อันที่จริงซีคนั้นไม่ได้เล่น Ironsuit Simulation อย่างที่เขาพูดไป แต่เมื่อคืนเขาอ่านหนังสือและยังไม่ได้นอนเลยตะหาก และในที่สุดเสียงออดที่ใช้มาตั้งแต่สมัยโลกใบเดิมเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณให้เข้าห้องสอบได้
………………………………….
“สุดท้ายแล้วเขาก็สอบผ่าน”
“ซีค ฟาร์ชตัดท์ ได้เข้าเรียนสาขาวิทยาศาสตร์และการวิจัยด้วยคะแนนสอบคาบเส้นแทบจะเป็นอันดับสุดท้ายที่ผ่าน” ฟองน้ำวางหนังสือเล่มนั้นลง “เด็กคนนี้เป็นคนที่ค้นพบ Genesis Plant จริงๆ อย่างนั้นหรอ….” “ทั้งนิสัย คำพูดคำจา การแสดงออก ความรู้ ความสามารถ ไม่มีอะไรที่เด็กคนนี้โดดเด่นกว่าคนอื่นเลย” “หรือหลังจากนี้เขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นกันแน่นะ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เขาก็ต้องเปลี่ยนเยอะเลยล่ะ”
เอริคพูดแย้งขึ้นเบาๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่หรอกครับหนูฟองน้ำ คนคนนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าคนอื่นอยู่….”
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 7, 2018 16:10:20 GMT
EP.4 : My Theory….Mine? และเวลาก็ล่วงเลยผ่านไป 4 ปี
ผู้นำของฐาน Minos ประธานาธิบดีดิราเวน ยังคงอยู่ในตำแหน่งและยึดมั่นในนโยบายบริหารเดิมของเขา นั่นก็คือ การตั้งมั่นอาศัยอยู่ภายในโดม Minos ต่อไป และพัฒนาคุณภาพชีวิตภายในโดมให้ดียิ่งขึ้น เขาจึงยังไม่ได้อนุมัติให้มีการทดลองโครงการที่จะนำพามนุษย์ออกไปอยู่อาศัยนอกโดมอย่างจริงจัง เพราะไม่เชื่อมั่นว่าการตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์หรือทำการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายให้อาศัยอยู่นอกโดม เป็นสิ่งที่ควรทำ หากเขาสั่งการไปเช่นนั้น เขาจะต้องเสียเสียงสนับสนุนหลักที่เขามีอยู่ตอนนี้ไปแน่นอน
และเขาก็ไม่เชื่อว่าจะมีวิธีที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของดาวดวงนี้ให้ดีขึ้นได้ แม้มุมมองของเขาอยากสนับสนุนโครงการนี้มากกว่าโครงการดัดแปลงมนุษย์ของกลาโหมก็ตามที แต่หากเขาออกตัวสนับสนุนโครงการนี้ ผลที่เขาได้รับก็คือการเสียงฐานเสียงสนับสนุนเดิมของเขาเช่นกัน ดังนั้น การชะลอเวลาเอาไว้ เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้ความขัดแย้งด้านแนวคิดจึงเป็นตัวเลือกสมเหตุผล
ปัจจัยที่ประธานาธิบดีสามารถประวิงเวลาไว้ได้นั้นก็คือโครงการศึกษาวิจัยสิ่งมีชีวิตที่ปลอดกัมมันตภาพรังสี กล่าวคือ โครงการวิจัยของมาริค สจ๊วตที่เสนอโดยวอร์เรน เกตส์ ได้ต่อชีวิตให้ประธานาธิบดีดิราเวนโดยปริยาย มันสามารถหยุดอัตราการเพิ่มขึ้นของเสียงสนับสนุนโครงการของฝ่ายกลาโหมอย่างได้ผลชะงัก วอร์เรน เกตส์จึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นรางวัลตอบแทน
ถึงแม้จะดูเป็นความสำเร็จของฝ่ายมหาดไทยที่เขายังไม่พ่ายแพ้ให้แก่นโยบายและแผนการของฝ่ายกลาโหม และตัวประธานาธิบดีเองก็มีข้ออ้างในการรักษาเสียงสนับสนุนนโยบายการพัฒนาชีวิตภายในโดมของเขาไว้ แต่เขาก็ถูกกลาโหมซึ่งบัดนี้มีพลโทเรย์ แอนเดอร์สันเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ใช้กุศโลบายในการกดดัน แอนเดอร์สันอ้างว่า มนุษย์จะย่ำอยู่กับที่ตลอดไปไม่ได้ และการดัดแปลงมนุษย์เป็นทางออกที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ ทำให้ประธานาธิบดีดิราเวนจำเป็นต้องแสดงออกถึงวิสัยอันกว้างไกล แม้ว่าเขาไม่ได้ต้องการเช่นนั้นเลยก็ตาม เขาได้ตัดสินใจลงนามอนุมัติให้เริ่มศึกษาและเก็บข้อมูลโครงการตัดต่อพันธุกรรมและดัดแปลงมนุษย์ของกลาโหม
แต่ประธานาธิบดีเองก็ไม่ได้อยากให้ฝ่ายกลาโหมทำได้สำเร็จและชิงเอาเสียงสนับสนุนจากเขาไปจนหมดสิ้น เขาจึงให้มหาดไทยช่วยคานอำนาจไว้ด้วยการออกคำสั่งให้มหาดไทยเริ่มทำการศึกษาภาคสนามด้วยเช่นกัน เขาใช้ชั้นเชิงให้สองฝ่ายงัดกันเองโดยสั่งให้ทั้งสองฝ่ายทำการค้นคว้าภาคสนามร่วมกัน การแข่งขันจึงเริ่มต้นขึ้น แม้ว่ากลาโหมเองจะไม่ต้องการให้มหาดไทยได้ออกภาคสนามและได้ความคืบหน้าของโครงการก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้มีอำนาจตัดสินใจได้ มันจึงเป็นไปตามแผนที่วอร์เรน เกตส์วางไว้
ทุกครั้งที่กลาโหมส่งยานสำรวจออกไปนอกโดม ก็จะมีนักวิจัยของมหาดไทยออกไปทำงานด้วยเสมอ
……………………………………
ห้อง lab ใหญ่ของฐาน Minos
เวลานี้ ที่นี่เต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์หน้าใหม่และหน้าเก่าปะปนกันไป แต่ทุกคนที่ได้รับเลือกให้มาทำงานที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นระดับหัวกระทิของฐาน Minos ทั้งสิ้น จึงไม่น่าแปลกที่ เบลล่า ซาเรียส แฟร๊งค์ และ มาริค จะอยู่ที่นี่ พวกเขามีหัวข้องานวิจัยที่รับผิดชอบแตกต่างกันออกไปตามความสนใจและความถนัดของแต่ละคน
แฟร๊งค์ ฟอนเบิร์ก รับผิดชอบโครงการศึกษาลักษณะของเซลล์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในเขตกัมมันตภาพรังสีและออกซิเจนเบาบาง เพราะโครงการทดลองผ่าตัดสมองให้ส่วน Cognition ที่สร้างความรู้สึกทุกข์พิการของเขาได้บทสรุปเสร็จสิ้นไปแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีการอนุมัติให้เขาเริ่มทำการทดลองกับคนไข้จริงๆ เขาจึงเริ่มทำการศึกษาโครงการใหม่
มาริค สจ๊วต เขาเป็นที่โปรดปรานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน วอร์เรน เกตส์ มากที่สุด เพราะเขาเป็นผู้ต่อชีวิตให้แนวคิดของวอร์เรน เกตส์ ดูเหมือนเขาจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือนักวิจัยที่นี่หลายๆ คน นั่นคือเขารับผิดชอบโครงการศึกษาสิ่งมีชีวิตที่ไม่ทนต่อกัมมันตภาพรังสี และใช้ออกซิเจนหายใจแบบมนุษย์ ซึ่งถือเป็นโครงการหลักของห้อง Lab นี้ในตอนนี้ไปแล้ว แถมยังเป็นคนเดียวที่มีโอกาสได้ออกไปศึกษานอกโดม หมายความว่า ทุกครั้งที่กลาโหมจะส่งยานสำรวจออกไปทำการเก็บข้อมูล มาริค จะได้ขึ้นยานลำนั้นไปด้วย
ซาเรียส แซนดรีน เขาเป็นคนง่ายๆ เรื่อยๆ เขารับผิดชอบการวิเคราะห์ทางธรณีวิทยา โครงสร้างของเปลือกดาว ความน่าจะเป็นของภูมิอากาศตามภูมิภาคต่างๆ ของดาว และภัยธรรมชาติที่มีโอกาสเกิดขึ้นบนดาวดวงนี้ ทำให้งานของเขามาเป็นระยะๆ ไม่ได้ต่อเนื่อง เนื่องจากต้องรอข้อมูลจากการสำรวจของมาริคถึงจะทำต่อได้ เวลาว่างของเขาจึงมีเยอะกว่าคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งเวลาให้เสียเปล่า จึงผันตัวมาเป็นนักเขียนหนังสือ เขาได้เขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม เป็นหนังสือทางวิชาการเสียส่วนมาก และได้รับรางวัลนักเขียนยอดเยี่ยม ผลงานการเขียนหนังสือเล่มที่เขาได้รับคำชมมากที่สุดจากหลายภาคส่วนก็คือ"ศตวรรษที่ 1 ณ แผ่นดินใหม่" มันเป็นงานเขียนสรุปข้อมูลทุกอย่างของดาว Gliese 667Cc ณ ปัจจุบันเท่าที่สถาบันวิจัยค้นหามาได้
ในขณะที่เบลล่า สแกนลอนซ์ คุณไม่สามารถเรียกเธอว่าเบลล่า สแกนลอนซ์ได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะเธอเสนองานวิจัยเกี่ยวกับพันธุ์พืชมากมายบนดาวดวงนี้ และได้รับตำแหน่งทางวิชาการเพิ่มเติม คุณจะต้องเรียกเธอว่าผู้ช่วยศาสตราจารย์เบลล่า สแกนลอนซ์ ผลงานที่ผ่านมาของเธอนั้นถือว่ายอดเยี่ยม เธอสามารถตัดต่อพืชพื้นเมืองของดาวดวงนี้บางชนิด ให้มนุษย์สามารถนำมาเป็นอาหารได้ และโตเร็วมาก พืชที่เธอคิดค้นนี้ เธอให้ชื่อมันว่าต้นปาร์ตี้ มันถูกส่งไปเพาะปลูกอย่างแพร่หลายที่ฐาน Aiacos
……………………………………..
โซนโต๊ะทำงานในห้อง Lab
มันเป็นโต๊ะ Partition สีขาวตั้งเรียบต่อกัน ให้นักวิจัยได้มีพื้นที่ส่วนตัวในการนั่งทำงานของพวกเขา แม้ว่างานวิจัยที่นี่เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนเป็นเท่าตัว แต่มันก็เป็นโซนโต๊ะที่ค่อนข้างโล่ง เพราะเอกสาร หนังสือทั้งหมดถูกเก็บรักษาและเรียกใช้อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมด จึงมีก็แต่จอคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ เม้าส์ และ Tablet อเนกประสงค์ที่ทำได้แทบทุกอย่าง แต่ความยุ่งเหยิงในช่วงเวลาทำงานของโซนโต๊ะทำงานก็ไม่ได้แตกต่างไปจากส่วนห้อง lab มากนัก เพราะนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ต่างพากันเดินเข้าเดินออกโต๊ะของตัวเองแทบจะตลอดเวลา
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเบลล่าที่กำลังนั่งส่องกล้องจุลทรรศน์อย่างเคร่งเครียด “ผศ.คนสวย เที่ยงนี้ไปทานอาหารด้วยกันมั้ยครับ...ผมอยากไปร้านเนื้อแท้น่ะ….ผมเลี้ยงเอง” เสียงของชายหนุ่มคนนั้นทำให้เบลล่าเงยหน้าขึ้นแล้วก้มลงมองนาฬิกา “ตายแล้ว เที่ยงแล้วหรอเนี่ย” ดูเหมือนว่าเบลล่านั้นจะตั้งใจมากจนรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วเกินไป เธอจึงหันไปทางชายหนุ่ม
“ขอโทษทีนะแฟร๊งค์ งานชั้นยังไม่เสร็จเลย ถ้าไปร้านนั้นคงต้องใช้เวลานั่งนานแน่ๆ” เบลล่ายิ้มปนเสียดาย แฟร๊งค์ดูท่าจะผิดหวังเล็กน้อย “งั้นไม่เป็นไร วันนี้เราก็ไปหาไรกินในโรงอาหารสถาบันด้วยกันก่อนก็ได้” เบลล่ายิ้มแห้งๆ อีกครั้ง เธอก้มลงหยิบบางสิ่งขึ้นมาให้ แฟร๊งค์ดู มันคือปิ่นโตที่เธอเตรียมมาจากบ้าน “คือว่า….วันนี้คุณแม่ทำกับข้าวมาให้แล้วล่ะจ่ะ ถ้าไม่ทานคุณแม่ก็คงจะเสียใจแย่” เบลล่าปฏิเสธอีกครั้ง
แฟร๊งค์ทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้น…..” จากนั้นเสียงของชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามเบลล่าก็พูดสวนขึ้นมาว่า “งั้นชั้นไปแทนเบลล่าเอง...นายจะไปร้านเนื้อแท้ใช่มั้ยล่ะ ชั้นไม่ได้กินเนื้อแท้มาหลายเดือนแล้วล่ะ” “ช่วงนี้กินแต่เนื้อสังเคราะห์จนลืมไปแล้วว่าเนื้อแท้ๆ มันรสชาติเป็นยังไง” คนที่พูดขึ้นก็คือซาเรียส แฟร๊งค์เหงื่อตกทันที เพราะจริงๆ แล้วเขาตั้งใจจะชวนเบลล่าไปออกเดท ไม่ได้ตั้งใจจะไปกินอย่างจริงจัง ประกอบกับเนื้อแท้ๆ นั้นหายาก ราคาสูงกว่าเนื้อสังเคราะห์หลายเท่าตัว จะมาเลี้ยงเพื่อนผู้ชายก็คงไม่คุ้ม “เอ่อ...พอดีชั้นลืมไปว่ามีงานอยู่เหมือนกัน งั้นชั้นไปก่อนก็แล้วกันนะ….” แฟร๊งค์ ยิ้มแหยๆ แล้วเดินกลับไป
ระหว่างที่แฟร๊งค์เดินไปที่ Partition ของเขาซึ่งตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ซาเรียสก็ทำหน้างงๆ “อะไรของเขากันนะ….ก็เห็นบอกว่าอยากกินเนื้อแท้ แล้วจะเลี้ยงด้วย...พอเบลล่าไม่ไป หมอนั่นติดงานเฉยเลย” เบลล่าที่เริ่มเลื่อนกล้องจุลทรรศน์และตัวอย่างทดสอบออกไปข้างๆ และแกะปื่นโตออกมาวางไว้บนโต๊ะ เธอก็อมยิ้มแล้วตอบซาเรียสว่า “วันก่อนแฟร๊งค์น่ะมาบอกว่าเค้าชอบชั้น และถามว่าเขาจะจีบชั้นได้มั้ยน่ะ” “ชั้นเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง จะปฏิเสธเค้าก็กลัวจะเสียน้ำใจ ก็เลยบอกเขาไปว่าให้เขาลองจีบดูก็ได้น่ะ”
ซาเรียสทำปากป่องๆ “ออ….อย่างนี้นี่เอง...แล้วทำไมเธอไม่บอกแฟร๊งค์ไปล่ะว่าเธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มันก็ทำให้เบลล่านึกถึงคนที่เธอแอบชอบ แก้มสองข้างของเธอก็เริ่มแดงระเรื่อ “บ้าหรอ มีคนที่ชอบอยู่แล้วอะไรกันเล่า… คนอย่างชั้นจะมีเวลาไปชอบใครได้ … จะแต่งกับงานอยู่ละเนี่ย” ซาเรียสยิ้มอย่างเอ็นดูเพื่อนสาวของเขา ก่อนปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเขากำลังเขียนหนังสือเล่มใหม่ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วบิดขี้เกียจสุดเหยียด แล้วพูดขึ้นว่า “งั้นชั้นไปหาไรกินก่อนก็แล้วกัน”
“อื้อ!!” เบลล่าตอบกลับ จากนั้นเธอก็เปิดลิ้นชักออกมาแล้วมองไปที่รูปของธีโอดอร์ในนั้นด้วยรอยยิ้ม
……………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 7, 2018 16:12:21 GMT
ห้องทำงานรัฐมนตรีกลาโหม
มันเป็นห้องที่ดูหรูหรา ตกแต่งด้วยลายไม้อย่างดี มีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และเก้าอี้นั่งทำงานชั้นยอด เบื้องหลังเป็นตู้ไม้ Build In ที่มีหนังสือวางอยู่เต็มไปหมด ทั้งหนังสือโบราณและหนังสือเล่มใหม่ แม้ว่าหนังสือที่เป็นรูปเล่มจะไม่เป็นที่นิยมใช้กันแล้ว เพราะการวารสารถูกจัดทำในรูปแบบ E-Book ทว่าหนังสือที่เป็นรูปเล่มก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง แต่จะมีเฉพาะหนังสือทรงคุณค่าเท่านั้น และราคาของหนังสือที่เป็นรูปเล่มนั้นสูงมาก มีไว้เหมือนของสะสมมากกว่าจะมีไว้อ่านจริง
พลอากาศโท เรย์ แอนเดอร์สัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ ในขณะที่มีสัญญาณเสียงขออนุญาตเข้าพบ เขาปล่อยมือซ้ายจากหนังสือที่ถืออยู่เพื่อกดปุ่ม มันเป็นปุ่มสัมผัสบนกระจกของพื้นโต๊ะ จากนั้นล็อคประตูห้องก็ถูกคลายออก ทำให้เปิดเข้ามาได้ ผู้ที่ขอเข้าพบก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือแมกซิม เฟลเลอร์ ที่ปรึกษาและมือขวาของรัฐมนตรีท่านนี้
“ชะอ้าว!! อ่านหนังสืออยู่อย่างนั้นหรอครับ ผมมารบกวนเวลาท่านรึเปล่าเอ่ย” แมกซิม ทักขึ้น พลโทแอนเดอร์สันวางหนังสือที่อ่านอยู่ลง “ไม่ได้รบกวนหรอกครับ คุณมีธุระอะไรรึเปล่าครับ” แมกซิม เดินกุ้ยๆ มาเลื่อนเข้าอี้แล้วนั่งลงตรงหน้าพลโทแอนเดอร์สัน “ก็มารายงานเหมือนเคย” “ผลการวิเคราะห์จากคอมพิวเตอร์ เรื่องการผ่าตัดเพื่อก้าวออกสู่โลกใหม่ ล้มเหลวอีกแล้วล่ะน๊า” “จากการคำนวณตัวอย่างอวัยวะของสัตว์พื้นเมืองที่ได้มา ยังไม่สามารถทำงานร่วมกับร่างกายมนุษย์ได้”
พลโทแอนเดอร์สันรู้สึกผิดหวัง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาเสียทีเดียวนัก เขาจึงเอ่ยว่า “งั้นเราก็ต้องออกไปหาตัวอย่างเพิ่มเติม คราวนี้คุณคิดไว้แล้วรึยังว่าจะจับตัวอะไรมาทดลอง?” แมกซิมแลบลิ้นแล้วเอานิ้วชี้ทั้งสองแตะลงบนลิ้น จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ทั้ง 2 ข้าง จิ้วหมุนๆ ที่ขมับ “คิดออกแล้วล่ะน๊า….คราวหน้าผมจะจับมันมาทำการทดลองเลยก็แล้วกัน วางใจได้ขอรับจ้าวน๊าย”
“โอ๊ะ!!” แมกซิมอุทานขึ้นเมื่อเขาเห็นหนังสือที่พลโทแอนเดอร์สันกำลังอ่านวางอยู่บนโต๊ะ “ศตวรรษที่ 1 ณ แผ่นดินใหม่อย่างนั้นหรอเนี่ย ไม่ยักกะรู้ว่าท่านชอบหนังสือของฝ่ายวิจัยด้วย" พลโทแอนเดอร์สันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมต้องชอบสิครับ ในนี้เขียนข้อมูลทุกอย่างของดาวดวงนี้” “ยิ่งผมอ่านก็ยิ่งได้รู้ว่าพวกนั้นคิดจะทำอะไร การก้าวนำศัตรูออกไป 1 ก้าว ก็ใกล้ชัยชนะเข้าไปอีก 1 ก้าว”
แมกซิมปรบมือให้พลโทแอนเดอร์สัน “ร้ายกาจ ร้ายกาจ ผมชอบทำงานกับคุณก็เพราะงี้แหละน๊า”
…………………………………...
ศูนย์วิจัยอาหาร
มันเป็นอาคารวิจัยสีขาวเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์วิจัยใหญ่ของฐาน Minos ที่นี่มีพื้นที่เพาะปลูกพืชผลทดลองในสวนซึ่งเต็มไปด้วยกระบะดินขนาดใหญ่เรียงกันมากมาย หลังจากที่พืชผลถูกตัดต่อพันธุกรรมแล้ว จะนำมาทดลองปลูกที่สวนของศูนย์วิจัยอาหารแห่งนี้ เมื่อพืชทดลองโตขึ้น นักวิจัยของศูนย์วิจัยอาหารก็จะนำมาทดสอบเรื่องคุณค่าทางอาหาร รวมไปถึงสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือรสชาติของพืชผลทดลองชนิดนั้นๆ ก่อนนำไปปลูกจริง
เครื่อง Ironsuit เครื่องหนึ่งเดินแบกถาดโลหะเพาะปลูกพืชทดลองชนิดใหม่เข้ามาในตัวอาคาร เนื่องจากถาดนั้นมีขนาดใหญ่มาก กว้าง 4 เมตร ยาว 12 เมตร ลึก 2 เมตร มนุษย์จึงแบกไม่ไหว และการใช้ Ironsuit ช่วยในการขนย้ายเหมือนกิจการอื่นๆ ภายในฐาน ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและขาดไม่ได้ เมื่อ Ironsuit เครื่องนั้นวางถาดโลหะลง มันก็เดินเข้าช่องจอดหุ่น ก่อนที่สะพานเดินเรือจะทำงาน ทางเดินโลหะยาวเคลื่อนตัวจากชานชาลาที่สูงระดับอกของหุ่น 17.5 เมตร มาขนาบด้านหน้า นักขับก็เปิดฝาห้องขับออกมาจากช่วงอกของ Ironsuit แล้วก้าวขึ้นทางเดินโลหะออกจากตัวหุ่น
นักขับคนนั้นไม่ได้สวมชุดสำรวจที่ซึ่งมีระบบปรับแรงดัน เคลือบสารกันกัมมันตภาพ และหมวก เพราะเขาทำงานอยู่ภายในโดม เขาจึงสวมชุดพื้นฐานทั่วไปที่เป็นชุดธรรมดาที่มีเป้นิรภัยสะพายไว้ เขาคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากซีค ฟาร์ชตัดท์ ที่แบกใบหน้าไม่สบอารมณ์เดินเหี่ยวๆ ไปตามทาง
…………………………………….
หน้าศูนย์วิจัยอาหาร
เวลานี้เป็นช่วงเวลาเลิกงาน เจ้าหน้าที่ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ที่ไม่มีงานค้างต่างพากันทยอยกลับที่พัก ซีคที่ผลการเรียนไม่ดี เมื่อจบการศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และการวิจัย เขาจึงไม่ได้เข้าทำงานที่ห้อง Lab แต่ถูกบรรจุเข้าทำงานที่สถาบันวิจัยและพัฒนาอาหาร และเขาเองก็ถูกใช้งานอย่างหนักจนร่างเปื่อยแทบทุกวัน แต่วันนี้ระหว่างที่ซีคกำลังเดินออกจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งฐาน Minos นั้น ก็มีเสียงหญิงสาวทักขึ้น
“ซีค!! กลับแล้วหรอ? ไม่เจอกันนานเลยนะ ทำงานเป็นไงบ้าง” มันคือเสียงของเบลล่า หญิงสาวที่เขาแอบรัก เขาดีใจมากที่วันนี้ได้พบกับเธอ และเธอเป็นฝ่ายทักเขาก่อน เมื่อเขาหันไปตามเสียง เธอก็เดินปรี่เข้ามาหา เมื่อเบลล่าเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้า ซีคก็ฉีกยิ้มทั้งที่ร่างเขาแทบจะล้มอยู่แล้ว “ไฮเบลล่า ชั้นสบายดี งานสนุกสุดๆ” เบลล่ามีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย เพราะทุกคนต่างรู้กันดีว่างานที่สถาบันวิจัยอาหารนั้นน่าเบื่อ และเป็นงานที่ไม่ค่อยโต แต่เธอก็ตอบรับว่า “ดีจัง นึกว่าซีคจะไม่ชอบงานที่นั่นซะอีก เห็นมีแต่คนบอกว่างานที่นั้นทั้งหนัก ทั้งน่าเบื่อน่ะ”
ซีคฝืนยิ้มอีกครั้ง “ฮ่าฮ่าฮ่า อะไรกัน เจ้าพวกนั้นน่ะไม่เคยมาลองทำงานที่สถาบันซะหน่อย จะไปรู้ได้ไงกันเล่า” “อยู่ที่นี่น่ะ นอกจากชั้นได้ชิมอาหารทดสอบก่อนคนอื่นแล้ว ยังได้ขับ Ironsuit ทำงานแทบทุกวันอีกด้วยนะ” ถึงแม้มันจะเป็นคำพูดที่ฟังแล้วดูดี แต่จริงๆ แล้วอาหารทดสอบ กว่าร้อยละ 95% จะรสชาติแย่ และไม่ผ่าน QC และถึงจะได้ขับ Ironsuit ทุกวัน แต่หากต้องบังคับมันให้ยกของไปๆ มาๆ ตามจุดเดิมๆ ซ้ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ “แล้วเธอล่ะ เป็นไงบ้าง งานที่ห้อง Lab สนุกรึเปล่า งานเยอะรึเปล่า แล้วเจ้าซาเรียสล่ะ หมอนั่นสบายดีนะ” ซีคถาม
เบลล่าชูสองนิ้วเป็นรูปตัว V และตอบคำถามด้วยใบหน้าเบิกบาน ”สนุกสุดๆ ไปเลยล่ะ ชั้นน่ะได้วิจัยพืชแปลกๆ เยอะแยะเลย” “บางชนิดแทบจะมีโครงสร้างเหมือนกับพืชที่อยู่ในฐานเราเลยด้วยซ้ำ แต่บางชนิดก็แตกต่างจนไม่น่าจะเป็นพืชเลยล่ะ” “บางชนิดแปลกกว่านั้น คือมีโครงสร้างเหมือนสัตว์ แต่เป็นพืช...ชั้นชอบมากเลยล่ะ...ตอนนี้ก็กำลังหา idea ตัดต่อพันธุ์พืชใหม่อยู่” “ส่วนซาเรียสก็สบายดีเหมือนกัน ปกติเขาจะไม่ค่อยมีงาน เพราะต้องรอข้อมูลทางธรณีวิทยาจากมาริคที่ออกไปสำรวจน่ะ” “เขาก็เลยใช้เวลาว่างเขียนหนังสือเป็นประมวลความรู้เกี่ยวกับดาวดวงนี้ และเห็นว่าตอนนี้กำลังเขียนหนังสือเล่มใหม่อยู่ด้วยล่ะ”
ระหว่างที่เบลล่าและซีคกำลังถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา เขาคือ แฟร๊งค์ ฟอนเบิร์ก มือของแฟร๊งค์ข้างขวานั้นไขว้หลังอยู่ เขาเดินอมยิ้มเข้ามาทางเบลล่า “เบลล่า คุณมาอยู่นี่เอง ผมไปหาคุณที่โต๊ะแต่คุณไม่อยู่” “ซาเรียสบอกว่าวันนี้คุณเลิกงานไว….โชคดีจังที่หาพบ กะว่าจะโทรหาอยู่แล้วเชียว เอ้านี่!!” แฟร๊งค์ตรงเข้ามาพูดกับเบลล่า เขานั้นไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าตอนนั้นซีคกำลังพูดคุยกับเบลล่าอยู่ ทำให้เมื่อเบลล่าหันไปเธอก็มีท่าทีตกใจ “อุ๊ย!! แฟร๊งค์” เพราะสิ่งที่แฟร๊งค์ยื่นเข้ามาให้เธอนั้นเป็นดอกไม้สีแดงสดช่อใหญ่ เบลล่านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะรับมันมาถือไว้
แน่นอนว่าการกระทำของแฟร๊งค์นั้นขัดใจซีคถึงที่สุด นอกจากการเข้ามาแบบไร้มารยาทแล้ว ยังมอบดอกไม้ให้เบลล่าอีกด้วย “แกอีกแล้วงั้นหรอ มาตามตื้อเบลล่าอยู่ได้ ถ้าเธอชอบแกเธอคงตอบตกลงคบกับแกไปตั้งนานแล้ว!!” ซีคพูดเสียงดังลั่นเพราะไม่พอใจ แฟร๊งค์แสยะยิ้ม “ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผมไม่ใช่หรอครับคุณฟาร์ชตัดท์ คุณเองไม่ใช่หรอที่ตามตื้อ ผศ. คนสวยมาตั้งแต่สมัยเรียน” “อันที่จริงคุณน่าจะยอมรับความจริงได้แล้วนะครับว่าคุณน่ะไม่คู่ควรกับ ผศ. เพราะเป็นแค่หนูทดลองคอยชิมอาหาร ทำงานต่ำๆ”
คำพูดของแฟร๊งค์ทำให้ได้รู้ว่าพวกเขานั้นรู้จักกันมาก่อนแล้วตั้งแต่เรียนในสาขาวิทยาศาสตร์และการวิจัย แถมถูกกันอย่างมาก ซีคกระชากคอเสื้อของแฟร๊งค์ด้วยมือขวา “งานต่ำตรงไหนมิทราบ แกไม่รู้สินะว่าตอนนี้ทั้งสถาบันยอมเป็นลูกน้องของชั้นหมด 200 คน” แฟร๊งค์ฟังจบเขาก็เอามือของเขาจับที่ข้อมือขวาของซีค แล้วกระชากมันออกจากคอเสื้อ “200 กว่าคน น่าขัน ทั้งสถาบันมีถึง 100 คนรึเปล่า” เบลล่าเห็นท่าไม่ดี เธอจึงรีบห้ามศึกทันที “พอแล้วทั้งสองคน พวกเราเป็นเพื่อนร่วมสาขากันมาไม่ใช่หรอ ทำไมจะต้องมาทะเลาะกันด้วย” “ถ้าพวกเธอสองคนยังไม่หยุดทะเลาะกัน ชั้นจะไม่คุยกับพวกเธอสองคนแล้วนะ!! สิ้นประโยคของเบลล่า ศึกน้ำลายนี้ก็ยุติลงทันที
จากนั้นทั้งสามคนก็ล่ำลากัน และแยกย้ายกลับที่พัก เนื่องจากวันพรุ่งนี้เป็นวันทำงานไม่ใช่วันหยุด และนี่ก็เริ่มเย็นมากแล้ว
…………………………………..
เช้าวันใหม่
ฐานทัพในโดม Minos วันนี้เป็นวันเดียวกับเมื่อ 4 ปีก่อนที่กองทัพประกาศรับสมัครคัดเลือกทหาร และนอกจากจะเป็นวันที่นักศึกษาวิชาทหารปีสุดท้ายจะจบการศึกษาและได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้าประจำกองทัพ ยังเป็นวันที่นักศึกษาวิชาทหารที่ได้สิทธิพิเศษเดินทางไปศึกษายังฐาน Radamanthys จบการศึกษากลับมาด้วย ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ คือผู้สำเร็จการศึกษาจากฐาน Radamanthys ปีล่าสุด ด้วยคะแนนเป็นอันดับที่ 1 ของรุ่น เขาได้เดินทางกลับมาเพื่อรับโล่เกียรติคุณพร้อมขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เป็นกำลังใจให้นายทหารที่กำลังได้รับการบรรจุ
หลังจากที่ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์จบ เขาสร้างความประทับใจให้นายทหารจบใหม่เป็นอย่างดี จากนั้นเขาก็เดินลงจากเวทีและมุ่งหน้าไปยังห้องประชุมแห่งหนึ่งในฐานทัพเพื่อพบคนที่รอพูดคุยกับเขาอยู่ เมื่อเขาเปิดประตูห้องประชุมเล็กๆ เข้าไป ก็พบว่า อาเรีย ลอว์เรนซ์ เจนนี่ และอีธาน กำลังรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
ธีโอดอร์ เริ่มจากการทำวันทยาหัตถ์ให้อาเรีย ที่ตอนนี้เธอมียศเป็นถึงร้อยเอก สังกัดกระทรวงกลาโหม “สวัสดีครับร้อยเอกมิดฟอร์ด” ธีโอดอร์เอ่ยขึ้น อาเรียทำวันทยาหัตถ์เป็นการตอบรับ “สวัสดีร้อยโทเดอลาครัวซ์” “ชั้นว่าเราเลิกพิธีการ แล้วมาคุยกันแบบพี่น้องดีกว่า เป็นยังไงบ้าง ได้กลับบ้านดีใจรึเปล่าธีโอ” ธีโอดอร์ยิ้มแบบไม่ฉีกปากให้เห็นฟัน “รู้สึกดีใจสิครับ นอกจากจะคิดถึงบ้านแล้ว ผมยังคิดถึงพี่อาเรียด้วย” อาเรียแตะไหล่ของธีโอดอร์เบาๆ “น้องคนนี้เหลือเกินจริงๆ …. เอาล่ะ ในเมื่อมาแล้วชั้นก็จะแนะนำให้รู้จักนะ”
อาเรียชี้มือไปทางลอว์เรนซ์ “ร้อยตรีลอว์เรนซ์ ดิราเวน ตอนนี้เธอทำงานให้กลาโหม” จากนั้นอาเรียก็ดึงมือกลับมาเท้าสะเอว “ส่วนที่เหลือเธอก็น่าจะรู้จักอยู่แล้ว ร้อยตรีวอร์ม่า และร้อยตรีสมิทธ์” “ตอนนี้ทั้ง 3 คนทำงานให้กระทรวงกลาโหม ขึ้นตรงต่อท่านรัฐมนตรี และสังกัดอยู่หน่วยปฏิบัติการของชั้น” “ท่านพลโทแอนเดอร์สันได้ทำเรื่องขอตัวเธอเข้ามาอยู่ในสังกัดเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเราจะต้องทำงานร่วมกัน” “หวังว่าพวกเราทั้ง 5 คนจะทำงานร่วมกันได้ราบรื่นนะ….เธอคงไม่มีอะไรขัดข้องใช่มั้ย ธีโอ”
เมื่ออาเรียพูดจบ ธีโอดอร์ ก็ไม่มีคำถามอะไรค้างคาใจ สำหรับเขาแล้ว เขาสนแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หลังจากอาเรียหมดธุระของเธอแล้ว เธอก็บอกให้ ลอว์เรนซ์ เจนนี่ และอีธาน แยกย้ายกันไปทำธุระของตนได้ ส่วนตัวของเธอเอง ก็พาตัวน้องชายคนเก่ง ธีโอดอร์ เดินออกจากห้องไป เพื่อพูดคุยต่อเป็นการส่วนตัว
อีธานมองหน้าเจนนี่ เขาก็เห็นได้ชัดเจนว่าเจนนี่ดูเศร้าๆ แม้ว่าเธอไม่ได้แสดงความเศร้าออกมาทางสีหน้า แต่แววตาที่หม่นหมองของเธอนั้นฟ้องออกมาชัดเจน “คุณหนูไม่เป็นไรนะขอรับ….กระผมว่านายท่านน่ะตัดสินใจดีแล้ว” เจนนี่ถอนหายใจ เธอแสดงอาการเศร้าแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนออกมาให้ได้เห็น “ชั้นเข้าใจ ชั้นไม่เป็นไรหรอกอีธาน” ลอว์เรนซ์ที่ยังไม่ได้เดินออกไป ได้การพูดจาแปลกๆ และเห็นสีหน้าของเจนนี่ที่ปกติเธอจะเป็นคนหนักแน่นและมั่นคง กลับอยู่ในสภาพซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด “มีอะไรกันอย่างนั้นหรออีธาน...เจนนี่….พวกเธอสองคนโอเครึเปล่า?”
เจนนี่ฝืนยิ้มให้ลอว์เรนซ์ แต่เธอก็ยังไม่ยอมบอกสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ “ชั้นสบายดี ขอบใจนะลอว์เรนซ์”
…………………………………...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 7, 2018 16:14:05 GMT
ช่วงพักเที่ยง
ภายในสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งฐาน Minos เป็นอีกช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เพราะเป็นเวลาพักผ่อนอันมีค่ายิ่งของนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย ที่ช่วงหลังมีโครงการให้ทำเยอะไปเสียหมด พวกเขาบางส่วนก็ไปรับประทานอาหารเที่ยง บางส่วนที่รับประทานอาหารเสร็จแล้วก็มาหาที่นั่งจับกลุ่มพูดคุย
ซีค ฟาร์ชตัดท์ เพิ่งทานข้าวเที่ยงเสร็จ เขาก็รีบเดิมจั้มและคอยเดินหลบๆ คนเพราะไม่อยากให้ใครทักชวนคุย กระทั่งเขาเดินมาที่ข้างตึก และได้ยินชายสองคนกำลังพูดคุยกันในเรื่องที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ซีคค่อยๆ แอบย่องเนียนๆ มาฟังว่าชายทั้งสองคุยอะไรกันอยู่ที่ข้างมุมตึกด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาก็พบว่าชายที่คุยกันอยู่นั้น คนหนึ่งคือ แฟร๊งค์ ฟอนเบิร์ก ที่เขาเกลียดขี้หน้า อีกคนคือมาริค สจ๊วต
“แฟร๊งค์ คือชั้นมีทฤษฎีเด็ดๆ ที่เพิ่งคิดออกจะโม้ให้ฟัง นายอยากฟังมั้ยล่ะ” มาริค พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น แฟร๊งค์ทำหน้าหน่ายๆ “เอาอีกแล้วหรอ...ทฤษฎีแปลกๆ สุดท้ายมันก็วนๆ อยู่กับไอ้น้ำพิรุธนั่นไม่ใช่รึไง” เขาพูดราวกับรู้อยู่แล้วว่ามาริคกำลังจะบอกอะไรอย่างที่เคยบอกมาตลอดหลายปี แต่คราวนี้ไม่ใช่ มาริคยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ไม่ใช่น้ำวิสุทธิ์อย่างที่นายคิดหรอก มันเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการออกไปอาศัยข้างนอกโดม” ประโยคนี้ทำให้แฟร๊งค์ ฟอนเบิร์ก แปลกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อมาริคเห็นท่าทีว่าแฟร๊งค์สนใจ เขาก็เริ่มอธิบาย
“ชั้นมาคิดๆ ดูแล้วว่าถ้า Phoenixaurus เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปลอดกัมมันตภาพรังสี และหายใจด้วยออกซิเจน” “ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เพราะ 86 ปีที่เราอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ และตั้งฐานที่นี่ มันไม่เคยบินเข้ามาเฉียดเลย” “ก็เพราะว่าระหว่างทางตอนเหนือ และฐานของเราน่ะ มันมีเขตกัมมันตภาพรังสีขวางกั้นเอาไว้อยู่” “แปลว่าต้องมีสถานที่ที่ปลอดกัมมันตภาพรังสีถูกมั้ย? แล้วก็ต้องมีก๊าซออกซิเจนอยู่หนาแน่นด้วยถูกมั้ย?” “ว่ากันว่ารังของ Phoenixaurus นั้นอยู่ทางตอนเหนือ มันเป็นไปได้ว่าที่นั่นอาจจะมีป่าวิเศษอยู่ก็เป็นได้” “จากการคาดเดาของชั้น มันจะต้องมีพืชที่มีคุณลักษณะดูดซับกัมมันตภาพรังสี และผลิตออกซิเจนอยู่แน่”
แฟร๊งค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แล้วถ้าสมมติมันมีอยู่จริงอย่างที่นายว่า...นายจะเอามันมาปลูกทั่วดาวได้รึไง” “ถ้าพืชชนิดนั้นมีอยู่จริง ทำไมมันไม่เจริญเติบโตไปทั่วดาวดวงนี้แล้วล่ะ ชั้นว่ามันฟังไม่ค่อยเข้าท่านะ” มาริคใช้มือขวาลูกคางตัวเอง “อืม...ก็ไม่แน่นะ ที่มันไม่เจริญเติบโตทั่วดาว เพราะมันขาดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม” “ใช่แล้วล่ะ!! ถ้ามันมีอยู่จริง บางทีเราอาจจะนำมันมาให้ ผศ.สแกนลอนซ์ ตัดต่อพันธุกรรมกับพืชสายพันธุ์อื่น” “ทำให้มันโตเร็ว ปลูกง่าย ขึ้นได้ทุกที่ และทนต่อสภาพแวดล้อม ทีนี้การออกไปอาศัยข้างนอกนั่นก็จะเป็นจริง” “นายว่าไง เจ๋งใช่มั้ยล่ะทฤษฎีของชั้นเนี่ย นายอยากจะมีส่วนร่วมด้วยรึเปล่าล่ะ ชั้นบอกนายคนแรกเลยนะเนี่ย”
แฟร๊งค์มีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วย “อืม….แต่ชั้นเห็นนายออกไปสำรวจเก็บข้อมูลเจ้า Phoenixaurus มานานแล้วนะ” “ไม่เห็นจะมีอะไรคืบหน้าเลย แม้แต่เรื่องที่มันไม่บินเข้ามาในเขตกัมมันตภาพรังสีก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ไม่ใช่หรอ” มาริคได้ยินก็ทำหน้าหงอยๆ “ที่นายว่ามามันก็ใช่อยู่น่ะนะ แต่เราก็เข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีแล้วล่ะ” “ภารกิจคราวหน้า เราจะออกไปสำรวจติดตามการบินย้ายถิ่นของพวกมัน เพราะเราจับสัญญาณพวกมันได้” “เหมือนว่าพวกมันกำลังย้ายถิ่นฐานอยู่ ชั้นจะไปสำรวจเส้นทางการบินที่มันใช้….นายไม่เอาด้วยจริงง่ะ?”
แฟร๊งค์ยิ้มเพื่อรักษาน้ำใจก่อนพูดว่า “ขอโทษทีนะมาริค มันก็น่าสนใจดีหรอก แต่ชั้นไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีนั้นน่ะนะ” “นายก็รู้ว่าชั้นสนับสนุนแนวคิดการดัดแปลงมนุษย์ให้เหมาะสมกับดาวดวงนี้มากกว่าทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงดาวของนาย” “นี่ก็หมดเวลาพักแล้ว….ยังไงชั้นก็ขอตัวก่อนนะ” คำปฏิเสธของแฟร๊งค์ทำให้มาริค ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย ระหว่างที่แฟร๊งค์เดินแยกจากมาริค นัยน์ตาของเขาดูเย็นชาไร้ความรู้สึกพลางคิดในใจ “สักวันชั้นจะต้องชนะนาย มาริค”
ซีค ที่แอบฟังมาตลอดก็ตาลุกวาว “พืชที่ดูดซับกัมมันตภาพรังสีและผลิตก๊าซออกซิเจนงั้นหรอ หึหึหึ มวย เอ้ย สวย”
………………………………….
โซนโต๊ะทำงานในห้อง Lab ใหญ่
ระหว่างที่เบลล่ากำลังก้มหน้าก้มตาวิเคราะห์โครงสร้างพันธุกรรมพืชของเธออยู่นั้น ซีคก็พรวดเข้ามานั่งข้างๆ “ว่าไงเบลล่า!!” การทักทายของซีคทำให้เบลล่าตกใจ “อุ๊ย!! โถ่เอ้ย ซีค ตกใจหมดเลย มาที่นี่ได้ไง มีอะไรหรอ” ซีคมองซ้ายมองขวา แล้วขยับเข้าไปใกล้ๆ เบลล่า “ชั้นมีโปรเจคใหญ่ที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้แหละ เธออยากฟังมั้ย” เบลล่าขมวดคิ้วใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงน “ทฤษฎีอะไรหรอซีค แล้วทำไมนายต้องทำท่าลับๆ ล่อๆ ด้วยล่ะ”
ซีคเห็นเบลล่าสนใจ เขาจึงเริ่มกระซิบเบาๆ “ชั้นคิดว่ามันต้องมีพืชที่ดูดซับกัมมันตภาพรังสีและผลิตออกซิเจน” “มันน่าจะอยู่ที่รังของ Phoenixaurus ถ้าชั้นได้มันมา เธอก็จะได้สร้างพืชที่มีคุณสมบัติโตง่าย ทนทาน” “ดูดซับกัมมันตภาพรังสี ผลิตก๊าซออกซิเจน และเราจะกลายเป็นตำนานผู้สร้างดาวดวงนี้ให้มนุษยชาติ” เบลล่าสะดุ้งเมื่อได้ยิน “บ้ากันไปใหญ่แล้ว ทุกวันนี้เรายังพิสูจน์ไม่ได้เลยว่า Phoenixaurus มีคุณลักษณะแบบนั้น” “อีกอย่าง รังของมันเราก็ไม่เคยตรวจพบว่าตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ โปรเจคของนายน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
เมื่อซีครู้ว่าเบลล่าไม่เห็นด้วยกับโปรเจคของเขา เขาจึงตัดสินใจว่าจะต้องพิสูจน์เรื่อง Phoenixaurus เสียก่อน ถ้าหากเขาพิสูจน์คุณลักษณะมันได้ บางทีเบลล่าอาจจะเห็นด้วยกับโปรเจคที่เขาคิด….ไม่สิที่เขาแอบอ้างว่าเขาคิด “โอ๊ยยยยย ปวดหัวชะมัดยาดเลย โอ๊ยยยยย” ซีคร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาพลางเอามือสองข้างกุมศีรษะตัวเองเอาไว้ เบลล่าตกใจกับอาการที่ซีคแสดงออกมาจึงรีบประคองตัวเขาไว้ “เป็นอะไรซีค!! เป็นอะไรรึเปล่า!! ชั้นจะเรียกพยาบาลให้นะ!!” “ไม่!!” ซีคตะโกนสวนขึ้นมาทันที “ชั้นเป็นแบบนี้ประจำแหละ โอ๊ยยยย ขอน้ำกับยาแก้ปวดก็หายดีแล้วล่ะ โอ๊ยยย”
เมื่อเบลล่าได้ยินดังนั้น เธอก็รีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปเพื่อหาน้ำกับยาแก้ปวดมาให้ซีคอย่างไม่ลังเล เมื่อซีคเหลือบเห็นเบลล่าเดินลับไป เขาก็หยุดร้องโอดครวญ ก่อนจะสลับไปนั่งเก้าอี้ของเบลล่า และเปิดคอมพิวเตอร์ของเธอ แต่หลังจากที่คุยกันนาน คอมพิวเตอร์ของเบลล่าก็เข้าสู้ Sleep Mode ทำให้ซีคต้องใส่รหัสผ่านเสียก่อน “บ้าจริง ต้องใส่พาสเวิร์ดด้วยหรอเนี่ย อะไรดีนะ….ลองนี่ก็แล้วกัน BellaZiegForever…...” Wrong Password!! “ไม่ใช่ งั้นก็ต้องนี่ BellaloveZieg...” Wrong Password!! ซีคนิ่งไปพักหนึ่ง “ไม่เอาน่า...ล้อเล่นกันใช่มั้ย อย่าบอกนะว่า...” เขากัดฟันด้วยความเจ็บแค้นก่อนจะพิมพ์ลงไปว่า “BellaloveTheodore” แล้วหน้าจอระบบปฏิบัติการก็แสดงผลออกมา
แม้ว่าซีคจะไม่พอใจกับพาสเวิร์ดที่เขาต้องจำใจลองพิมพ์ไป แต่เขามีเวลาไม่มาก เขาจึงตั้งสติค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ข้อมูลที่เขาต้องการก็คือ แผนการออกสำรวจของกระทรวงมหาดไทยนอกฐาน Minos ในคราวต่อไป
……………………………………
“โอ้โห คนคนนี้ทำไมนิสัยแบบนี้ล่ะคะ!!”
ฟองน้ำบ่นขึ้นด้วยสีหน้าบูดๆ ราวกับผิดหวังกับการกระทำของซีค “คิดว่า 4 ปีที่ผ่านไปเขาจะนิสัยดีขึ้นกว่าเดิมแล้วแท้ๆ” “นอกจากจะแอบอ้างความคิดของคนอื่นแล้ว ทำไมยังไม่มีมารยาทแอบใช้ของส่วนตัวของคนอื่นอีกล่ะคะเนี่ย” “แถมของส่วนตัวนั้นยังเป็นของของคนที่ตัวเองแอบชอบอยู่ด้วย...คนคนนี้ก็ยังจะกล้าทำได้ลงคอ...” หลังฟองน้ำบ่นจบ เอริคก็เหมือนกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่กลับมีเด็กสาวอีกคนโผล่เข้ามาขัดขวางการพูดของเขาไว้
“แน๊ะ มาอยู่ที่เองสินะฟองน้ำ เป็นไงบ้างอ่านไปถึงไหนแล้วล่ะ” เด็กสาวคนนั้นพูดขึ้น เธอก็คือ โฮชิโซระ มาโคโตะ ฟองน้ำหันไปยิ้มให้มาโกะ “อ่านไปได้ยังไม่เยอะเท่าไรเลยจ้า….แล้วมาโกะไม่ไปงานเลี้ยงของรุ่นพี่คนนั้นแล้วหรอ” มาโกะทำหน้าบูดๆ “ไม่ไปแล้วล่ะ เขาเลื่อนไปเป็นอาทิตย์หน้า เห็นว่าบ้านพังต้องไปซ่อมบ้าน ชั้นก็เลยมาหาเธอแทน” ฟองน้ำยิ้มด้วยความดีใจในขณะที่มาโกะนั่งลงข้างๆ เธอ “งั้นเธอมาอ่านด้วยกันสิ เราน่ะมีคุณเอริคคนนั้นคอยแนะนำอยู่ด้วยนะ” “เอ๊ะ!! คุณเอริค….อย่างนั้นหรอ…..” มาโกะมองตามสายตาของฟองน้ำไปหาเอริคอย่างข้าๆ นัยน์ตาของมาโกะก็หดเล็กลง
“ถะถะถะถะถะถะถะถะถะถะถะ ท่านผู้บังคับการแซนเบิร์ก!!!!” มาโกะตะโกนออกมาด้วยความตกใจอย่างสุดเสียง
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 9, 2018 8:54:05 GMT
EP.5 : The Death Bringer “ว่าไงนะ...ทะ….ท่านผู้บังคับการแซนเบิร์กอย่างนั้นหรอ!!?”
ฟองน้ำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจ สีหน้าเธอซีดเล็กน้อยหลังจากได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเอริค “ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ครับ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ครับหนูฟองน้ำ” เอริค ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ฟองน้ำยิ้มแหยๆ “คือ….ดิชั้นไม่ทราบจริงๆ ว่าเป็นท่านผู้บังคับการแซนเบิร์ก...ต้องขออภัยด้วยนะคะ!!” เอริคเลิกต้นคิ้วขึ้น “ตอนนี้เป็นเวลานอกราชการ ผมไม่ได้เป็นผู้บังคับการแล้ว ก็เป็นแค่พลเมืองคนหนึ่งเท่านั้น” “ไม่ต้องทำตัวหรือใช้คำพูดเป็นทางการก็ได้ครับ ผมไม่ถือเรื่องพวกนี้หรอก” เอริคพูดก่อนจะอ่านหนังสือของเขาต่อไป
มาโกะเหล่มองเอริค เมื่อเธอเห็นว่าเอริคไม่ได้สนใจพวกเธอแล้ว เธอจึงกระซิบข้างหูของฟองน้ำ “นี่ฟองน้ำ เธอไม่รู้เลยหรอว่าคนคนนั้นน่ะคือท่านผู้บังคับการ แล้วเธอพูดอะไรไปบ้างล่ะเนี่ย….หื๊อ!!?” ฟองน้ำทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ก็ชั้นไม่รู้นี่นา …. แต่ก็นะ ชั้นก็ไม่ได้พูดอะไรที่เสียมารยาทไปหรอก” มาโกะ มีทีท่าโล่งใจขึ้น “แล้วนี่อ่านถึงไหนแล้วล่ะ ชั้นมาอ่านด้วยตอนนี้จะรู้เรื่องรึเปล่า?”
ฟองน้ำตอบมาโกะกลับไปด้วยรอยยิ้ม “อ่านถึงตอนที่เรื่องราวกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเอง มาอ่านด้วยกันสิ”
…………………………………………...
ปากประตูฝั่งใน ทางเหนือของฐาน Minos
มันเป็นเหมือนอุโมงค์ทางออกขนาดใหญ่ มีประตูเหล็กหนากั้นสองชั้น ทำหน้าที่เป็น Airlock ประตูนี้จะปิดกั้นอากาศระหว่างภายในและภายนอก พร้อมกับมีคุณสมบัติป้องกันกัมมันตภาพรังสีโดยสมบูรณ์ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังเตรียมความพร้อมให้ยานบินขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งอยู่
มันเป็นยานบินที่มีลักษณะแบนยาว ขนาดของมันยาวร่วม 200 เมตร มีความกว้างร่วม 40 เมตร สูง 25 เมตร มันเป็นยานสำรวจของกระทรวงกลาโหม ชื่อของมันก็คือ Challenger IV มันจอดอยู่หน้าประตู Airlock เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทหาร ทั้งนายช่าง ทั้งผู้ที่จะออกเดินทางสำรวจในช่วงเช้าของวันนี้กำลังวุ่นกันอยู่ พวกเขาทำการขนสัมภาระ อาวุธ ยุทโธปกรณ์ รวมไปถึง Ironsuit จำนวนหนึ่งขึ้นไปบน Challenger IV
ไม่นานนักทีมงานที่จะต้องขึ้นประจำการก็เดินทางมาถึง พวกเขาเองก็ต้องเตรียมความพร้อมด้วยเช่นกัน แมกซิม เฟลเลอร์ เดินนำทีมงานคนอื่นเข้ามาที่ Challenger IV ทหารและนายช่างต่างหันมาแล้วทำวันทยาหัตถ์ พวกเขาทักทายแมกซิม เฟลเลอร์เป็นเสียงเดียวกันว่า “ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้งครับ กัปตันเฟลเลอร์” แมกซิม เฟลเลอร์ เชิดหน้าหนึ่งครั้งเป็นการตอบรับเพื่อให้ทหารเหล่านั้นกลับไปทำงานของพวกเขาต่อ
ส่วนทีมงานที่เดินตามแมกซิมเข้ามาประกอบไปด้วย ร้อยเอกอาเรีย มิดฟอร์ด ในฐานหัวหน้าหน่วย Ironsuit ร้อยโทธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ รองหัวหน้าหน่วย Ironsuit ลอว์เรนซ์ ดิราเวน สมาชิกหน่วย Ironsuit ตำแหน่งแนวหน้า ร้อยตรีเจนนี่ เวอร์ม่า และ ร้อยตรีอีธาน สมิทธ์ ตำแหน่งพลยิงสนับสนุน และนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันคนหนึ่ง พวกเขาคือตัวแทนของกระทรวงมหาดไทยในการร่วมสำรวจ มาริค สจ๊วต พร้อมกับพลขับ Ironsuit อีกจำนวนหนึ่ง
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทีมสำรวจ Challener IV กำลังตระเตรียมข้าวของที่จำเป็นกันจ้าละหวั่น ชายหนุ่มคนหนึ่งเคลื่อนตัวในเงามืดที่มุมของอุโมงค์ปล่อยตัว เขากำลังแอบสังเกตการณ์อย่างลับๆ ล่อๆ ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ ซีค ฟาร์ชตัดท์ ที่กำลังวางแผนทำการอะไรบางอย่างอยู่ในหัว และตอนนั้นเอง เขาก็เห็นพลขับ Ironsuit ของทีมนายหนึ่ง ซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนชุดปฏิบัติการเดินแยกตัวออกมา เขาบ่นกับเพื่อนๆ ว่า ขอตัวไปห้องน้ำสักครู่ จะได้ไปเปลี่ยนชุดสำรวจด้วย แล้วก็เดินเข้าไปในโซนอาคาร
..........................................
ภายในอาคารเตรียมความพร้อม
มันเป็นอาคารส่วนหนึ่งของผนังอุโมงค์เหล็ก ซีคได้ย่องตามสมาชิกทีมสำรวจคนนั้นมาอย่างเงียบๆ ช่วงเวลานี้ จริงๆ ทีมสำรวจทุกคนจะต้องขึ้นประจำยานแล้ว สมาชิกรายนี้จึงเหลือเวลาเตรียมตัวอีกไม่นาน เขาเดินเข้าห้องน้ำที่เป็นห้องส้วมติดกัน 5 ห้อง คล้ายกับห้องน้ำสาธารณะที่มีอยู่ในโลกใบเดิมของมนุษย์
ซีคเดินมาหยุดที่หน้าห้องน้ำ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาดูต้นทาง เพื่อรอจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม เขาเอียงคอมองลอดช่องใต้ประตูห้องน้ำที่ชายคนนั้นเข้าไปทำธุระส่วนตัว จากนั้นก็มีเสียงบางสิ่งหล่นกระแทกน้ำ “อี๋!! ไอ้หมอนี่ขี้เหม็นชะมัด” ซีคอุทานขึ้นในใจ ระหว่างทางที่เดินมา เขาเห็นก่อนแล้วว่าชายคนนี้มี Tag C33 ติดอยู่ นั่นคือหมายเลขปฏิบัติการณ์ของเขา สิ่งที่ซีคต้องการตอนนี้ก็คือ ขึ้นไปบนยานสำรวจแทนที่เหยื่อรายนี้ รอยยิ้มที่มุมปากของซีค ฟาร์ชตัดท์ก็ปรากฏขึ้น เขาเดินกลับออกไป เพื่อไปหยิบของบางสิ่งมาก่อน
ไม่นานนักซีคก็เดินกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์ช่าง มันคือประแจโลหะขนาดยาวเท่าแขน เขาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องที่เดิม แล้วหันมอง….มอง….ยัง….ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเขามอง….ยังอ่านอยู่อีก “พวกแกคงคิดสินะว่าชั้นจะเอาไอ้ดุ้นอันเท่าแขนนี่ไปโบกหัวหมอนั่นที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ” “มันเป็นไอเดียที่ดี อันที่จริงชั้นก็เห็นด้วย….แต่มันจะไม่เดจาวูไปหน่อยรึไงถ้าจะทำแบบนั้นน่ะ” “อีกอย่าง….คนที่ทำแบบนั้นคนล่าสุด ก็ออกไปตายคาที่ ร้องโหยหวนโอดครวญขอชีวิตอย่างน่าเวทนา” “ประกอบกับอิเจ๊ที่นั่งพิมพ์อยู่ตอนนี้ก็คงจะไม่เล่นมุกซ้ำแน่ๆ โชคดีของอิเจ๊นะที่บทนี้มันเป็นบทของชั้น” “ชั้นจะแสดงพลังที่แท้จริงให้พวกแกได้เห็นเป็นบุญตาว่าคนอย่างชั้นน่ะ มีบางสิ่งที่เหนือคนอื่นอยู่”
เมื่อพูดจบ ซีคก็เดินออกไปที่ข้างกำแพงห้องน้ำ จากนั้นก็เปิดตู้เหล็กใบหนึ่งออกมา มันคือตู้ควบคุมน้ำ ภายในตู้เป็นเหมือนแหล่งชุมทางของท่อน้ำ มีทั้งน้ำดีและน้ำเสียที่ไหลเข้าและไหลออกจากห้องน้ำ อุปกรณ์ที่ทำท่อนั้นเป็นโลหะอย่างหนาชั้นดี ภายในนั้นมีชิ้นส่วนกลไกควบคุมน้ำอยู่ครบถ้วน เขามองตามเส้นทางการเดินของแต่ละท่ออยู่พักหนึ่ง แล้วง้างประแจเหล็กขึ้นเหนือหัว “ช๊ะอ้า...ไม่ตี...” เขาลดประแจเหล็กนั้นลง ก่อนจะนำปากของประแจงับไปที่คันโยกไร้หัวหมุนที่อยู่ด้านล่าง แล้วเริ่มขัน
สิ่งที่ซีคทำก็คือ ขันวาล์วเพื่อปิดน้ำดีไม่ให้ไหลเข้าไปในห้องน้ำห้องนั้นได้ จากนั้นเขาก็เดินออกไป เนื่องจากห้องน้ำสมัยนี้ โถส้วมเป็นระบบอัจฉิยะทั้งหมด มีทั้งระบบราดน้ำ ล้างก้น เช็ดก้นในตัวเอง และกระดาษชำระถือว่าเป็นสิ่งของที่เปลืองทรัพยากรและหายาก คนที่นี่จึงเลิกใช้ไปนานแล้ว ซีคไม่รอช้าที่จะเร่งฝีเท้าไปที่ล็อคเกอร์ C33 เพื่อสวมชุดสำรวจของชายที่นั่งถ่ายหนักอยู่ทันที
“เห้ย!! ใครอยู่ข้างนอกบ้าง!! ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ช่วยดูน้ำให้หน่อย มันไม่ไหล!! มีใครได้ยินมั้ย!! ฮัลโหล!!”
…………………………………………….
ห้องแลปใหญ่ของฐาน Minos
“อรุณสวัสดิ์ซาเรียส….มาแต่เช้าเชียวนะ” เบลล่าที่กำลังวางสัมภาระของตนไว้ใต้โต๊ะทำงานตนทักขึ้น ซาเรียสชะเง้อหน้ามองไปยังโต๊ะทำงานตรงข้ามที่เบลล่าอยู่ “อ้าว สวัสดีเบลล่า พอดีว่าจะรีบเขียนหนังสือหน่อยน่ะ” “เช้านี้มาริคจะออกไปกับทีมสำรวจของกลาโหมเพื่อไปเก็บข้อมูล ถ้าเขากลับมา ชั้นคงงานเข้าเยอะ เลยรีบเขียนไว้ก่อน” “เห็นว่าคราวนี้เป็นงานช้างด้วย….เขาว่าทีมสำรวจจะออกไปติดตามการย้ายถิ่นฐานของ Phoenixaurus ล่ะ”
เบลล่าได้ยินเธอก็ตาลุกวาว จากที่กำลังจะหย่อนก้นลงนั่ง เธอเปลี่ยนใจยืนโน้มตัวใช้แขนท้าวขอบโต๊ะไว้แทน “หืม!! การย้ายถิ่นฐานของ Phoenixaurus งั้นหรอ….มันทำแบบนั้นด้วยหรอเนี่ย ชั้นว่ามันน่าแปลกอยู่นะ” ซาเรียสยิ้มบางๆ “ก็เธอสนใจแต่พวกพืชนี่นา เธออาจจะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วน่ะ Phoenixaurus เป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก” “มันหวงพื้นที่ก็จริง แต่มันก็ยอมละทิ้งพื้นที่ของมันเมื่อกำลังเกิดภัยพิบัติขึ้น...ครั้งนี้เท่าที่ชั้นดูน่าจะเป็นพายุทรายล่ะนะ”
เบลล่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เอ….งั้นแสดงว่ามันก็แค่อพยพชั่วคราว จากนั้นมันก็ต้องกลับไปอยู่ที่รังเดิมของมันสินะ” ซาเรียสพยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ซับซ้อนหรอก สิ่งที่ซับซ้อนคือ….มันมี Phoenixaurus อยู่อีกสายพันธุ์หนึ่ง” “เราเรียกมันว่า Phoenixaurus Rex เป็นสายพันธุ์ที่ตัวใหญ่กว่า ขนาดของมันสูงร่วม 30 เมตร มีปีกถึงสี่ปีก” “มีแพนหางเป็นเหมือนแส้จำนวนมาก หัวของมันทั้งหัวเป็นเกราะแข็งเหมือนกับจะงอยปาก ขนแข็งราวกับ Glieserium” “กรงเล็บของมันทั้งใหญ่ ทั้งคม และแข็งแกร่งกว่า Phoenixaurus ทั่วไปเป็นอย่างมาก น่ากลัวสุดๆ เลยล่ะ” ซาเรียสกลัวว่าสิ่งที่เขาอธิบายจะไม่เข้าถึงจินตนาการของคนที่สนแต่พืชอย่างเบลล่า เขาจึงเปิดรูปให้ดูผ่าน Tablet
เบลล่ามีสีหน้างงงวย เพราะที่ผ่านมา เธอรู้เหมือนๆ กับคนอื่นว่า Phoenixaurus คือสิ่งมีชีวิตสูงสุดบนบ่วงโซ่อาหาร ซาเรียสเห็นสีหน้าของเบลล่า เขาก็รู้ดีว่าเธอสงสัยอะไร เขาจึงอธิบายต่อไป “แต่เจ้าตัวนี้น่ะ ไม่ได้อยู่เป็นฝูง มันรักสันโดษ” “นิสัยของมันดุร้ายกว่า Phoenixaurus มาก มันโจมตีทุกสิ่งหมายฆ่าให้ตายแบบไม่ยั้งคิด จนได้รับฉายา The Death Bringer” “และอาหารอันโอชะของมันก็คือลูกๆ ของ Phoenixaurus ฟังดูน่ากลัวใช่มั้ยล่ะ แต่ที่ยังหาคำตอบไม่ได้น่ะ ก็คือ” “เราเคยพบซากของลูก Phoenixaurus Rex ที่เพิ่งฟักเป็นตัวได้ไม่ถึง 4 ชั่วโมง เน่าเปื่อยอยู่ในเขตกัมมันตภาพรังสี” “ทั้งๆ ที่ขนของมันยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำไป แถมมีร่องรอยการทำร้ายจาก Phoenixaurus แล้วพวกมันเอาตัวอ่อนมาได้ยังไง” “ข้อมูลนั้นบอกเราได้แค่ว่าช่วงฤดูวางไข่ของ Phoenixaurus นั้น เป็นช่วงใดของปี...และมันไม่กินลูกของ Rex เท่านั้นเองล่ะ”
“ปกติแล้วเราจะไม่ค่อยได้เห็น Phoenixaurus Rex หรอก….แต่ช่วงนี้…..เป็นฤดูวางไข่ของพวกมัน…..”
…………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 9, 2018 8:55:22 GMT
น่านฟ้าทางทิศเหนือของ Minos
ยานบินสำรวจยักษ์ Challenger IV ได้พาทีมสำรวจ Challenger บินเข้าสู่เขตกัมมันตภาพรังสีหนาแน่น เจ้าหน้าที่ทุกนายสวมชุด Exoskeleton ทับชุดสำรวจเพื่อสู้กับแรงโน้มถ่วงที่มากกว่าโลกใบเดิมถึง 2 เท่าตัว
เจ้าหน้าที่แต่ละคนนั่งประจำเก้าอี้สองแถวซึ่งหันหน้าเข้าหากัน พวกเขารอที่จะออกปฏิบัติการ พวกเขาสวมหมวกปฏิบัติการ ทำให้สิ่งที่สามารถระบุยืนยันตัวตนพวกเขาได้มีเพียงรหัสที่ไหล่ซ้าย ในแถวนั้นมีธีโอดอร์ ลอว์เรนซ์ เจนนี่ อีธาน และอาเรียอยู่ด้วย พวกเจ้าหน้าที่แต่ละคนนั่งด้วยท่าทีสบายๆ แต่อีธานสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งนั่งสั่นขายิกๆ มองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลา น่าผิดสังเกต
ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ในชุดสำรวจที่นั่งสั่นขาก็ลุกขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ขอตัวไปห้องน้ำ เขาลุกและเดินเก้ๆ กังๆ เหมือนท่าทางไม่คุ้นชินกับการใช้ชุดสำรวจที่มีอุปกรณ์รกรุงรังออกไป อีธานจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วลุกเดินตามไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครแปลกใจยกเว้นเจนนี่ เพราะปกติแล้ว อีธานจะเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีและไม่เคยลุกไปเข้าห้องน้ำเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาจะคอยอยู่ข้างๆ และช่วยเหลือเจนนี่ตลอด แต่วันนี้เขากลับลุกตามเจ้าหน้าที่ C33 ออกไป
...........................................
ห้องน้ำภายในตัวยาน
เจ้าหน้าที่รหัส C33 เปิดประตูห้องน้ำที่เป็นโลหะเข้ามา ทั้งห้องนั้นสร้างจะวัตถุที่เป็นโลหะทั้งสิ้น เขาถอดหมวกออกเผยให้เห็นใบหน้าของซีค ฟาร์ชตัดท์ จากนั้นเขาก็เปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างหน้า ทันใดนั้นประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง อีธานพุ่งเข้าล็อคคอขอซีคทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว เขาใช้ท่อนแขนขวาล็อคคอซีคเอาไว้แน่ ขณะที่ซีคพยายามดิ้นและโวยวาย “เห้ย นี่นายทำอะไร”
“จะบ้าไปแล้วรึไง ชั้นไปสร้างความโกรธแค้นอะไรให้นายตอนไหน ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ!!” จากนั้นกระจกดำที่ปิดหน้าของอีธานก็เปลี่ยนสีเป็นกระจกใส “แกนั่นแหละขึ้นมาทำไอ้ลิงกัง!!” ซีคหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อรู้ว่าชายที่เข้ามาจู่โจมเขาคืออีธาน “อ้าว นายเองหรออีธาน” “ชั้นก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเท่านั้นเอง ปล่อยชั้นสิเห้ย หายใจจะไม่ออกอยู่แล้วนะ!!” อีธานยิ้มมุมปาก “ไม่ปล่อยโว่ย ชั้นจะจับนายส่งให้ผู้กองอาเรีย คราวนี้นายเสร็จแน่”
เมื่อซีคได้ยินอย่างนั้น เขาก็พยายามดิ้นหนักกว่าเดิม แต่เขาก็ดิ้นไม่หลุดเสียที เขาจึงเริ่มเปลี่ยนวิธีด้วยการใช้มือค่อยๆ ลูบไปตามท่อนแขนของอีธานอย่างละมุนละม่อม แล้วเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่เบิ้ม….ตะวันใกล้จะลับฟ้าแล้ว….ตะวันใกล้จะลับฟ้าแล้ว” การกระทำช่างไร้ค่า เมื่ออีธานยกตัวของซีคขึ้นเหนือไหล่แล้วทุ่มซีคกลับหลังลงกระแทกกับพื้น
“แอ๊ก!!” ร่างของซีคกระแทกพื้นในจังหวะที่ประตูห้องน้ำถูกเปิดขึ้นเป็นครั้งที่สาม “ซีค!! เธอขึ้นมาทำอะไร” คนที่เปิดประตูห้องน้ำชายเข้ามาคนที่สามก็คือเจนนี่ เวอร์ม่า เมื่ออีธานเห็นนายหญิงของเขา เขาก็รีบลุกขึ้นแล้วลากคอ ซีค ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “อาาวาาาอาาาวาาาา โอยยยยยย โอยยยย ชั้น....จะบอก….ก็ได้….” ซีค ตอบกลับ เจนนี่มีสีหน้าบึ้งๆ บนสงสัย เธอหันกลับไปล็อคประตูห้องน้ำชายไว้ ป้องกันคนอื่นเข้ามาได้ จากนั้นก็เล่าความจริงที่เขาแอบขึ้นมาบนยาน และสารภาพสิ่งที่เขาทำกับเจ้าหน้าที่ C33
เจนนี่ตกใจกับสิ่งที่เธอได้ยินมาก “อะไรนะ!! นายจะมาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาก่อนลงมืองั้นหรอ” “อย่าบอกนะว่านายคิดที่จะออกไปหารังของ Phoenixaurus จริงๆ น่ะ นั่นมันผิดข้อบังคับนะ” “นายจะถูกลงโทษขั้นสูงสุดนะ รู้ตัวรึเปล่าซีค….ชั้นรู้ว่านายอยากทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้มนุษยชาติ” “แต่นายน่าจะคิดถึงความสามารถและสถานภาพของตัวเองบ้าง...ทำอะไรที่มันเกินตัว มันไม่คุ้มหรอกนะ”
ซีคได้ยินที่เจนนี่พูดเขาก็มีท่าทีที่อ่อนลง “เอาอย่างนั้นก็ได้….ถ้างั้นชั้นก็จะขอแค่มาเที่ยวเล่นก็ละกัน” “เป็นไปได้ชั้นก็….ขอร้องหน่อยนะ ช่วยปกปิดตัวตนของชั้นไว้ระหว่างภารกิจนี้ด้วย...ชั้นผิดไปแล้วล่ะ...” เจนนี่ถอนหายใจแล้วพยักหน้า “ถ้านายเลิกล้มความคิดบ้าๆ ได้แบบนี้แล้ว ชั้นจะช่วยนายสักครั้ง” “นายไปได้แล้ว ชั้นแนะนำว่าให้ทำตามคนอื่น ไม่ต้องพูดกับใครทั้งนั้น และอย่าได้ทำอะไรแบบนี้อีก”
เมื่อเจนนี่พูดจบ ซีคก็เดินคอตกออกจากห้องไป อีธานจึงหันไปมองเจนนี่ที่ดูกำลังกังวล “ไม่ต้องไปห่วงเจ้าลิงกังนั่นมากนักหรอกขอรับคุณหนู เจ้านั่นน่ะไม่กล้าทำอะไรต่อแล้วล่ะขอรับ” “แล้วก็….กระผมคิดว่าตอนนี้มีคนอื่นให้คุณหนูเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าเจ้าลิงกังนั่นอยู่นะขอรับ” สีหน้าของเจนนี่ดูเศร้าลงทันทีที่ได้ยินคำพูดของอีธาน “อีธานหมายถึง...ธีโอดอร์สินะ” ซีคที่ออกจากห้องน้ำไป เขายังไม่ไปไหนไกล เพราะเขาหยุดเพื่อแอบฟังอีธานและเจนนี่คุยกัน
“เคี้ยกเคี้ยกเคี้ยก โดนต้มซะเปื่อยเลยนะพี่เบิ้ม...ชั้นขอโทษนะเจนนี่” ซีคพูดกับตัวเองเบาๆ
…………………………………………….
ผ่านไปไม่นานนัก Challenger IV ก็เข้าสู่พื้นที่แห้งแล้ง
มันเป็นที่ราบ ดินแห้งแตกระแหง มีต้นไม้แห้งๆ ขึ้นเป็นหย่อมๆ ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีสูง สัญญาณปล่อยตัว Ironsuit ก็ดังขึ้น Challenger Team 1 ถูกส่งตัวลงไปเพื่อปฏิบัติภารกิจ ผู้ที่ลงไปปฏิบัติภารกิจนั้นได้แก่ อาเรีย ลอว์เรนซ์ ธีโอดอร์ และเจ้าหน้าที่อีก 7 นาย พวกเขา 10 คนทิ้งตัวลงมาจากท้องของยานบิน Challenger IV และร่วงลงจากความสูง 4,000 เมตร ก่อนที่จะกางร่วมชูชีพ เพื่อชะลอความเร็วในการลงสู่พื้นดิน เมื่อใกล้พื้นดิน พวกเขาใช้ท่อขับดันช่วยอีกแรง จนในที่สุด Ironsuit ทั้ง 10 เครื่องก็ลงจอด และมันลงจอดกลางวงล้อมของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งร่วม 20 ตัว
มันเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายหมาป่า แต่ตัวใหญ่กว่ามาก มันยืนสองขา ลำตัวคล้ายมนุษย์ ส่วนสูงประมาณ 8 เมตร มีขาอันแข็งแกร่ง กรงเล็บที่แหลมคม ซี่ฟันคมกริบ ขนสีแดง ที่พิเศษคือมีดวงตาสีแดงข้างละ 3 ดวง รวม 6 ดวง หลังลงจอด เสียงของแมกซิม เฟลเลอร์ดังขึ้นผ่านช่องการสื่อสารถึงพลขับ Ironsuit ทั้ง 10 นาย “เอาล่ะที่พวกนายเห็นมันก็คือ Lycanus ...สิ่งมีชีวิตกิ๊กกี้ที่พวกนายรู้จักดีอยู่แล้ว ชั้นจะพล่ามภารกิจให้ฟังก็แล้วกัน” “ชั้นจะให้พวกนายยิงลูกดอกยาสลบใส่พวกมัน แล้วใช้ตาข่ายจับพวกมันมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” “จงจำใส่กระโหลกเอาไว้ว่าชั้นอยากได้มันเป็นๆ ในสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุด ชั้นต้องการอวัยวะทุกส่วน เข้าใจ๋?”
“Challenger Leader รับทราบ” อาเรียตอบกลับ และเริ่มออกคำสั่ง “เอาล่ะ Challenger Team 1 เริ่มภารกิจได้” เมื่ออาเรียให้สัญญาณ พลขับ Ironsuit ก็เริ่มระดมยิงลูกดอกยาสลบจากปืนไรเฟิลเข้าใส่ฝูง Lycanus ทันที พวกมันเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ทำให้ส่วนใหญ่จะยิงพลาดเป้า แต่ไม่ใช่กับ ธีโอดอร์ อาเรีย และลอว์เรนซ์ ทั้งสามสามารถยิงลูกดอกเข้าปักตามลำตัวของ Lycanus ได้ตั้งแต่การยิงนัดแรก ส่งผลให้พวกมันเดินโซเซ ส่งเสียงคำรามร้องโหยหวน ก่อนจะล้มลง และตาขายก็ถูกยิงตามออกไปจับกุมตัวพวกมันได้สำเร็จอย่างง่ายดาย
……………………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 9, 2018 8:56:26 GMT
ยานสำรวจ Challenger IV
มันได้บินต่อมาอีกพักหนึ่งจนมาถึงพื้นที่ที่เริ่มเป็นทุ่งหญ้าพื้นเมืองสีเขียว มีเนินเขาสูงต่ำสลับกัน ระบบตรวจจับกัมมันตภาพรังสีแสดงให้เห็นว่าพื้นที่นี้ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีต่ำ และพอมีออกซิเจนอยู่บ้าง ประกอบกับเป็นพิกัดที่ฝ่ายมหาดไทยต้องการส่งนักวิจัย มาริค สจ๊วต มาสังเกตการณ์ที่นี่ Challenger IV จึงลดความเร็วลงจนหยุดนิ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ลดระดับความสูงลงไปจอดบนพื้นดิน
มาริค สจ๊วต สวมชุดสำรวจเดินถืออุปกรณ์ออกมาพร้อมกับผู้ช่วยร่วม 10 นาย ออกมาบนดาดฟ้ายานบิน พวกเขาเริ่มติดตั้งอุปกรณ์เก็บข้อมูลระยะไกล เพื่อสังเกตการณ์ หากเป็นอย่างที่มาริคคาดการณ์ไว้ ในไม่ช้าพวกเขาจะได้พบกับฝูง Phoenixaurus ที่กำลังอพยพย้ายถิ่นฐานบินผ่านไป ส่วนพลขับ Ironsuit ที่เหลือก็นำ Ironsuit ติดอาวุธออกมาทำการคุ้มกันรอบ Challenger IV ในทีมคุ้มกันนั้น มีเจนนี่ เวอร์ม่า อีธาน สมิทธ์ และซีค ฟาร์ชตัดท์ที่แฝงตัวเข้ามารวมอยู่ด้วย
และแล้วสิ่งที่พวกเขาตั้งตารอ และหวังให้มันเป็นจริงก็เกิดขึ้น พวกเขาเริ่มเมื่อฝูง Phoenixaurus จำนวน 15 ตัว บินลัดเลาะมาตามเนินเขา ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร ทุกคนมีความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก พวกเขาใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูความงดงามและสง่างามของพวกมัน ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ
มาริคก้มมองดูข้อมูลบน Tablet “สำเร็จ เป็นอย่างที่คิดจริงๆ มันเดินทางตามเส้นทางนี้จริงๆ ด้วยสินะ” “ข้อมูลที่ได้มา ประกอบกับแนวคิดของผมไม่ผิดจริงๆ เราพบมันจนได้ เป็นไปตามที่คิดเอาไว้เลย” แต่แล้วเจนนี่ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงพูดผ่านอุปกรณ์สื่อสาร “ที่กรงเล็บของมันมีไข่อยู่ด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ยิ่งประหลาดใจ พวกเขาขยายภาพขึ้นและโฟกัสไปที่กรงเล็บ พวกเขาก็เห็นสิ่งที่เจนนี่พูด พวกมันบางตัวใช้กรงเล็บอันแหลมคม จับไข่ฟองโตเอาไว้อย่างอ่อนโยนดูไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้
ทว่าซีคกลับเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่ทันสังเกต เขาตีเสียงเข้มพูดขึ้น “ดูเจ้าตัวสุดท้ายสิครับ ทำไมไข่ใบนั้น...” มาริคได้ยินเขาก็เลื่อนกล้องส่องทางไกลไปที่ Phoenixaurus ตัวสุดท้าย เขาก็ต้องแปลกใจทันที เพราะไข่ฟองอื่นมีลักษณะเป็นสีขาวไข่มุก แต่ไข่ฟองที่ซีคพูดถึงนั้นกลับเป็นสีแดงเลือดนกและฟองโตกว่า มาริคขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “ไข่สีแดงอย่างนั้นหรอ แถมขนาดของมันก็ใหญ่ผิดปกติ มันคืออะไรกันนะ”
ทันใดนั้น สิ่งที่ไขข้อสงสัยของมาริคก็ปรากฏ เมื่อมีเงาสัตว์ปีกขนาดใหญ่พุ่งลงมาจากเบื้องบน มันเล็งไปที่ Phoenixaurus ตัวสุดท้าย ตัวที่กำลังถือไข่ฟองสีแดงเลือดนก มันพุ่งลงมาเร็วมาก แต่ Phoenixaurus ตัวนั้นก็รู้ตัว มันบินหลบไปมา และสิ่งที่เข้ามาโจมตีก็คือ Phoenixaurus Rex เจ้า Death Bringer ไม่ได้มีความสนใจ Phoenixaurus ตัวอื่น มันจ้องโจมตีแค่ตัวนั้นตัวเดียว
ไม่นานมาริคก็แสดงอัจฉริยภาพออกมาอีกครั้งด้วยการวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “เข้าใจแล้วล่ะ….ไข่สีแดงฟองนั้น….มันเป็นไข่ของ Phoenixaurus Rex นั่นเอง แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ” “ฝูง Phoenixaurus ได้ขโมยไข่ของ Phoenixaurus Rex มาเก็บไว้ที่รัง เมื่อมันฟักเป็นตัว พวกมันก็ฆ่าแล้วเอาไปทิ้ง” “เราถึงเคยพบซากลูก Phoenixaurus Rex ที่ยังบินไม่ได้ถูก Phoenixaurus ฆ่าแล้วทิ้งร่างวันไว้ในเขตปนเปื้อน” “พวกมันคงต้องเก็บไข่เอาไว้ที่รังของพวกมัน….แต่เก็บไว้ทำไมกันนะ….ใช่สิ ตัวประกันความปลอดภัยงั้นสินะ...” “ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีสติปัญญาเชิงซับซ้อนได้ถึงขนาดนี้ การสำรวจครั้งนี้ยิ่งกว่าคำว่าคุ้มค่าแล้วล่ะครับทุกคน”
“ยินดีด้วยครับคุณสจ๊วต” “สุดยอดไปเลยครับ” “คุ้มค่าจริงๆ ด้วยครับ” เสียงเชยชมดังขึ้นไม่ขาดสาย
…………………………………………...
แต่ระหว่างที่ทุกคนกำลังยินดีกับคำพูดของมาริค
ซีคที่สังเกตการณ์อยู่บน Ironsuit รอบๆ Challenger IV กลับไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ เขาดูท่าทีของแต่ละคนก็พบว่า ฝ่ายนักวิจัยไม่ได้มีแผนการพิสูจน์เรื่องลักษณะทางชีววิทยาเชิงลึกของพวกมันเลย พวกเขาเพียงแค่อยากพิสูจน์เส้นทางการอพยพ โดยคาดเดาว่าจะเป็นเส้นทางที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีน้อย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคาดการณ์ได้ถูกต้อง หรือเพียงเพราะพวกเขาดวงดีที่เดามั่วแต่ดันถูกกันแน่ ซีคขมวดคิ้วและบ่นเบาๆ “ไม่หรอก แค่นี้ยังไม่พอหรอก….มันยังพิสูจน์อะไรให้เบลล่าไม่ได้ทั้งนั้น….”
ระหว่างการบินต่อสู้ Phoenixaurus เกือบทั้งฝูงดูเหมือนจะไม่มีแนวโน้มหันมาช่วยตัวที่ถูกโจมตี นั่นก็เพราะแม้พวกมันจะบินได้เร็ว แต่ในวันวันหนึ่ง พวกมันไม่สามารถบินได้ระยะทางที่ไกลเหมือนเครื่องจักร ทุกวินาทีของการอพยพจึงมีคุณค่า ทำให้ Phoenixaurus ที่ถูกโจมตีจำเป็นต้องเอาตัวรอดด้วยตัวของมันเอง มันจึงตัดสินใจทิ้งไข่สีแดง โดยวางไว้ขณะโฉบลงบนพื้นเพื่อหันไปบินต่อสู้กับเจ้า Death Bringer อย่างจริงจัง ซีค เห็นชั่ววินาทีนั้นเข้าพอดี เขาจึงเบิดท่อขับดันออกจากแนวป้องกันโดยไม่ขออนุญาตใครทั้งสิ้น
“ซีค!!” เจนนี่ตะโกนขึ้น แต่เป็นการตะโกนขึ้นในใจ เพราะเธอสัญญาแล้วว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนของซีค ในขณะที่อีธานก็พร้อมที่จะเร่งท่อขับดันตามเจนนี่ไป หากเจนนี่ตัดสินใจจะออกไปช่วย แต่นายสาวของเขานั้นเป็นหนึ่งในทหารที่ยึดมั่นใจระเบียบวินัย หากไม่มีคำสั่งให้ทำ เธอก็จะไม่ทำเด็ดขาด
……………………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 9, 2018 8:58:16 GMT
Phoenixaurus สองสายพันธุ์กำลังสู้กันชนิดถึงตาย
ด้วยขนาด ความเร็ว และความแข็งแกร่งของ Death Bringer มันเหนือกว่า Phoenixaurus ทุกด้าน ระหว่างบินโฉบไปมา มันจิกโดนตามจุดต่างๆ ของ Phoenixaurus จนเลือดของมันอาบไปทั้งตัว ขนสีแดงสวยปลิวหลุดลอยไปตามแรงลมเป็นกระจุกๆ จนในที่สุดมันก็ร่วงลงสู่พื้นหญ้าด้านล่าง Death Bringer พุ่งตามลงมาขย้ำร่างของ Phoenixaurus ด้วยกรงเล็บทำให่เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทุ่ง มันขยี้ร่างของ Phoenixaurus จนแหลกเหลว ก่อนจะใช้จงอยปากกัดที่ลำคอของเหยื่อจนขาดเป็นสองท่อน
เมื่อมันได้รับชัยชนะ มันกางปีกทั้ง 4 ออก พร้อมส่งเสียงร้องแสบแก้วหูดังสนั่นไปหลายกิโลเมตร มันตั้งท่าเหมือนจะบินตามฝูง Phoenixaurus ไป แต่มันกลับหยุด และหันกลับไปมองจุดที่ไข่ของมันตกอยู่ ราวกับว่ามันสัมผัสได้และรู้ว่ามีอะไรผิดสังเกต และมันก็พบเข้าจริงๆ เมื่อ Ironsuit รหัส C33 กำลังอุ้มไข่ของมันอยู่ ซีคหันหัวของ Ironsuit ที่ติดตั้งกล้องมองภาพไปในจังหวะที่มันหันกลับมาพอดี สายตาทั้งสองก็ประสานกัน ซีคอุทานขึ้นเบาๆ “เยี้ยดเปียด มองตูทำไมฟะไอ้นกหรรม หันกลับไปชิ่วๆ” วินาทีต่อมา “ช่วยด้วยโว๊ย!!”
Ironsuit C33 เร่งท่อขับดันกลับมายัง Challenger IV ด้วยความเร็วสูงสุด ในขณะที่เครื่องอื่นเริ่มช่วยยิงสะกัด แมกซิม ที่นึกว่าสิ่งที่ซีคทำนั้นอยู่ในแผนการสำรวจของมหาดไทย เขาจึงไม่ว่าอะไรและสั่งเริ่มถอนกำลัง Challenger IV ลอยตัวสูงขึ้น ในขณะที่ Ironsuit เครื่องอื่นขึ้นมายืนคุ้มกันทีมวิจัยของมาริคบนดาดฟ้ายาน พวกเขาเล็งปืนยาวไปที่ Phoenixaurus Rex และกระหน่ำยิงต่อ แม้ความต่อเนื่องจะไม่สูงมาก แต่กระสุนนั้นแรงมาก กระสุนปืนยาวพุ่งแหวกอากาศเข้าหา Death Bringer เป็นระรอกๆ ทำให้มันต้องบินหลบไปมาจนเสียความเร็ว ในขณะที่ Ironsuit นั้น ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้บินร่อนได้ ซีคจึงต้องบินเลียดพื้นแล้วหาจังหวะพุ่งตัวขึ้นยานตรงๆ
เป็นโชคดีของซีคที่เจนนี่ และอีธาน มีตำแหน่งเป็นพลยิงสนับสนุน ไม่เหมือนพลขับของมหาดไทยคนอื่น ทั้งสองช่วยกันยิงใส่จนในที่สุดก็ยิงโดน โดยเจนนี่ยิงเข้าที่ปีกซ้ายของมัน ทำให้มันเสียหลักกลางอากาศ และนัดที่สองของอีธานก็ยิงเข้าที่หัวของมัน ทำให้การบินของมันหยุดลง แล้วค่อยๆ ร่วงลงไปสู้พื้นหญ้าด้านล่าง ซีค หันไปยิ้มมุมปาก เขาบังคับ Ironsuit หันหลังกลับหลังไปหา Death Bringer ขณะพุ่งตัวถอยหลังช้าๆ ซีคฉีกยิ้ม “นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็แค่ลูกไก่ ปักป๊ากปักปัก” เขายกแขนซ้ายของ Ironsuit ขึ้นชูนิ้วกลางใส่นกยักษ์ตัวนั้น จากนั้นก็ใช้ท่อขับดันส่งหุ่นขึ้นไปจอดบนดาดฟ้า แล้ววางไข่สีแดงสดขนาดสูง 2 เมตร ลงบนพื้นยานอย่างนุ่มนวล มาริค ที่กำลังเก็บอุปกรณ์หันมาเห็นไข่ฟองนั้น เขาละทิ้งทุกสิ่งแล้วเข้าลูบคลำมันด้วยความลุ่มหลง
แต่แล้วขณะที่ Challenger IV กำลังบินไปรับ Challenger Team 1 ซึ่งรอการกลับมารับอยู่นั้น เจ้า Phoenixaurus Rex หรือ Death Bringer ก็ทะยานขึ้นมาจากใต้ยาน Challenger IV มันร่อนลงยืนต่อหน้าฝูง Ironsuit ทั้ง 10 เครื่อง แล้วพุ่งเข้าไปยังไข่ของมันที่มาริคยืนอยู่ทันที ความเร็วของมันนั้นสูงมากจนปฏิกิริยาของพลขับ Ironsuit ทั้งหมดไม่ทันยกปืนขึ้นมาเล็งยิง
ฉั่วะ!!!!! โลหิตของมนุษย์คนหนึ่งพุ่งกระฉูดขึ้นฟ้า พร้อมกับท่อนแขนขวาที่ลอยอยู่กลางอากาศ ผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นคือมาริค หลังจากเขาเสียแขนไป ความเจ็บปวดที่มีดีเลย์เพราะอาการชาก็เริ่มออกฤทธิ์ “อ๊าก!!!!!” มาริค สจ๊วต จับที่รอยแผลและร้องโหยหวนดังลั่น สายตาของเขาจ้องไปยังท่อนแขนที่ขาดบนพื้น ขณะที่ชุดของเขาเสียแรงดัน นักวิจัยคนอื่นก็รีบหามร่างของมาริคให้ลุกขึ้น พร้อมเก็บแขนที่ขาดกลับเข้าตัวยานไป แต่จะบอกว่ามาริคนั้นเคราะห์ร้ายก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะมีคนช่วยเขาเอาไว้แล้ว แต่ช่วยได้เพียงเท่านั้น
Ironsuit C33 ที่ซีคเป็นพลขับ พุ่งเข้าเบียด Phoenixaurus Rex ให้บินแฉลบออกไปด้านข้าง มิฉะนั้น ร่างของมาริค สจ๊วต ก็คนจะแหลกอยู่คาจงอยปากของ Death Bringer ไปแล้วอย่างแน่แท้ ร่างของ Phoenixaurus Rex และ Ironsuit C33 ของซีค ไถลไปตามพื้นยานบินไปด้วยกันออกไปไกล ขณะที่ซีคกำลังบังคับ Ironsuit ให้ลุกขึ้น พลขับ Ironsuit คนอื่นก็รอหาจังหวะยิงเพื่อไม่ให้ซีคโดนลูกหลง เจ้า Phoenixaurus Rex ก็ค่อยๆ ลุกขึ้น ท่าทางของมันดูแปลกไป มันมีอาการกระสับกระส่าย ทุรนทุราย ก่อนที่มันจะส่งเสียงร้องแสบแก้วหูอีกครั้ง แล้วกระพือปีกบินร่อนลงจากดาดฟ้า Challenger IV แล้วหายไป
สายตาของซีคมองไปที่เครื่องวัดกัมมันตภาพ มันขึ้นว่า “ปนเปื้อนร้ายแรง”
…………………………………………..
ห้องทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แฟร๊งค์ ฟอนเบิร์ก เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีสงบนิ่ง ในขณะที่พลโทแอนเดอร์สันยื่นมือเป็นสัญญาณให้นั่ง เมื่อแฟร๊งค์นั่งลง เขาก็ส่งอุปกรณ์แผ่นกระจกซึ่งเป็นแฟ้มอิเล็กทรอนิกส์ลงบนโต๊ะให้แก่พลโทแอนเดอร์สัน พลโทแอนเดอร์เหลือบตาลงมองที่แฟ้ม เขากอดอกแล้วเริ่มพูดขึ้น “คุณมาพบผมมีธุระอะไรสำคัญอย่างนั้นหรอครับ” แฟร๊งค์มีสีหน้าที่สงบนิ่งแววตาเย็นชาผิดกับใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริงซึ่งเป็นปกติของเขาโดยสิ้นเชิง และตอบว่า “ผมต้องการย้ายสังกัดมาทำงานให้กับท่านพลโทที่กระทรวงกลาโหมครับ….โปรดพิจารณาด้วยครับ...”
พลโทแอนเดอร์สันได้ยินดังนั้น เขาจึงยื่นมือขวาออกจากการประสานกับแขนซ้ายไปรับแฟ้มขึ้นมาอ่านดู “แฟร๊งค์ฟอนเบิร์ก อันดับ 1 ภาควิชาวิทยาศาสตร์ระดับ High School อันดับ 3 ของสถาบันวิทยาศาสตร์งั้นหรอ” “ไหนคุณลองบอกผมหน่อยซิว่า คุณมีเหตุผลอะไรที่อยากจะย้ายสังกัดมาทำงานกับผมที่กระทรวงกลาโหม” “เท่าที่ผม … ดูผลการเรียนของคุณที่สถาบันวิทยาศาสตร์และการวิจัย คุณก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่นั่นนะ”
แฟร๊งค์จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่หนักแน่นว่า “ผมไม่พอใจกับสิ่งที่ผมได้รับจากที่นั่นอย่างมากครับท่าน” “ผลงานวิจัยของผมเรื่องการผ่าตัดดัดแปลงสมองมนุษย์ งานวิจัยเรื่องการตัดต่อพันธุกรรมและดัดแปลงร่างกายมนุษย์” “ไม่ได้รับการยอมรับจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอย่างที่มันควรจะเป็น ทั้งที่มันเป็นผลงานชั้นยอด” “ผมควรจะได้อันดับที่ 1 ของสถาบัน และคนที่ควรออกไปทำการสำรวจกับคณะสำรวจก็ควรจะเป็นผม ไม่ใช่มาริค สจ๊วต” “ประกอบกับแนวคิดของผม เป็นแนวคิดที่สนับสนุนนโยบายการก้าวออกไปสู่โลกภายนอกของท่าน และขัดกับนโยบายที่นั่น” “ดังนั้น หากผมได้ทำงานร่วมกับท่าน ผมเชื่อว่าผมจะสามารถทำประโยชน์ให้สังคมจากความสามารถที่ผมมีได้มากกว่าครับ”
พลโทแอนเดอร์สันพยักหน้า แต่เหมือนเขายังไม่พึงพอใจกับคำตอบของแฟร๊งค์เท่าใดนัก “แล้วถ้าคุณมาทำงานกับผม คุณคิดว่าผมจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานของคุณบ้าง ช่วยบอกหน่อยได้มั้ยครับ” แฟร๊งค์ยิ้มมุมปาก “ผมจะทำการทดลองจริงจากงานวิจัยของผมที่ผ่านมา รวมไปถึงงานวิจัยที่ผมทำอยู่ให้บรรลุผลครับ” พลโอแอนเดอร์สันขมวดคิ้วนิดๆ “คุณรู้อยู่แก่ใจนี่ครับว่ามันผิดกฎหมาย แถมไม่มีใครยอมเป็นหนูทดลองให้คุณแน่นอน” แฟร๊งค์จึงพูดประโยคสุดท้ายที่เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่า “ผมทราบดีครับ ดังนั้น ผมจึงจะทดลองด้วยร่างกายของผมเอง” สิ่งสุดท้ายจากปากแฟร๊งค์สร้างรอยยิ้มให้แก่นายพลได้สำเร็จ เขาจึงดึงปากกาออกมาเสื้อแล้วลงชื่อในแฟ้มอิเล็กทรอนิกส์
“ผมยอมรับในความมุ่งมั่นของคุณ….และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง” พลโทแอนเดอร์สันกล่าว
つづく.
|
|