|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 16, 2018 11:52:37 GMT
EP.9 : Friendship เช้าของวันต่อมา เขตทุ่งหญ้า
ยาน Phaeton ได้แวะลงจอดหลบอยู่ใต้ต้นไม้ เบลล่าสวมชุดสำรวจพร้อมอุปกรณ์เก็บตัวอย่างอยู่ออกจากยาน เนื่องจากอุปกรณ์นั้นมีหลายชิ้น ซีคจึงรับอาสาช่วยถือมันไปบางส่วน ทั้งสองตรงไปยังพืชข้างทางหลากหลายสายพันธุ์ เบลล่าบรรจงเก็บตัวอย่างของพืชนั่นใส่เข้าไปในกล่องปลอดเชื้อสีขาวโดยมีซีคคอยเป็นลูกมือให้
ระหว่างที่เก็บตัวอย่างอยู่นั้น ซีคก็ถามขึ้นว่า “ทำไมเธอถึงอยากลงมาเก็บตัวอย่างพืชพวกนี้ล่ะเบลล่า” เบลล่าตอบกลับขณะมือของเธอยังคงทำงานของเธออยู่ “ชั้นอยากตรวจสอบลักษณะทางชีวะของมันน่ะ” “จริงๆ ชั้นอยากจะทำมันตรงนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เรามีเวลาไม่มาก และชั้นก็ไม่อยากจะมองข้ามพวกมันไป” “เพราะพื้นที่บริเวณนี้ แม้จะมีกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนอยู่ แต่มันก็น้อยกว่าเขตแห้งแล้งก่อนหน้าที่เราผ่านมา”
“ถ้าผลการตรวจสอบออกมาพบว่าพืชพวกนี้มีคุณลักษณะในการดูดซับกัมมันตภาพรังสีอยู่เล็กน้อยแล้วล่ะก็” “มันจะเป็นเครื่องยืนยันให้เรามั่นใจได้ว่า ถ้าเราเดินทางเข้าป่าลึกขึ้นเหนือต่อไป เราจะพบพืชที่เราต้องการแน่” ซีคฟังสิ่งที่เบลล่าพูดก็เข้าใจเจตนาของเธอ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเบลล่าไม่ได้มาเพื่อประชดชีวิตอย่างที่เขาคิด แต่เธอมาก็เพื่อทำตามความฝันของเธอจริงๆ นั่นก็คือการสร้างโลกใบใหม่ให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคน
ซีคยิ้มอย่างพอใจขณะมองดูเบลล่าตั้งหน้าตั้งตาเก็บตัวอย่างพืชที่เธอต้องการด้วยความมุ่งมั่น ท่ามกลางความเงียบนั้น “เบลล่า….คือชั้นมีอะไรจะบอกน่ะ” ซีคพูดขึ้นทำให้เบลล่าหันกลับมามอง เดิมทีซีคตั้งใจจะสารภาพรัก เพราะเขาเห็นว่าตอนนี้มันเป็นโอกาสดีที่สุด อย่างน้อยเธอก็ควรรู้ แต่เมื่อเขาเห็นสายตาของเบลล่า มันไม่มีสัญญาณบ่งบอกเลยว่าตอนนี้เธออยากได้ยินมันตอนนี้
ซีคเปลี่ยนสีหน้าจากหน้าซึ้งๆ เป็นหน้านิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น “เธอดูอ้วนขึ้นนะ” “......”
……………………………………………..
บนยาน Phaeton
ซาเรียสวางปากกาของเขาลงจากการเขียนข้อความบางอย่างลงไปในแฟ้มอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นเขาก็ทอดสายตาผ่านช่องหน้าต่างหน้ายานออกไปด้านนอก แสงแดดยามสายส่องประกาย มันสะท้อนทุ่งหญ้าสีเขียวดูงดงาม แม้ว่ามนุษย์จะออกไปเดินเล่นตัวเปล่าไร้ชุดสำรวจไม่ได้ก็ตาม สิ่งที่เขาเห็นคือ ลอว์เรนซ์ในชุดสำรวจกำลังเดินชมต้นไม้พื้นเมืองรอบตัวยานและคอยมองไปที่ซีค และเบลล่า ในมือของลอว์เรนซ์ถือปืนกลอัตโนมัติเอาไว้ เธอรับหน้าที่คุ้มกันระหว่างที่เบลล่ากำลังออกไปเก็บตัวอย่าง
ซาเรียสถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่คิดไม่ฝันเลยนะว่าเราจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ ที่หน้าจอเรด้า มันแสดงผลว่ายานบิน Challenger IV ได้เคลื่อนเข้ามาใกล้แล้ว แต่ซาเรียสเลือกที่จะยังคงนิ่งเฉยอยู่พักหนึ่งเพื่อถ่วงเวลาให้ Challenger IV ได้เข้ามาใกล้ขึ้นอีก เมื่อเขาเห็นว่าระยะทางนั้นพอเหมาะพอเจาะที่จะไล่ตามทัน เขาจึงติดต่อไปหาเพื่อนๆ
“ทุกคน ชั้นมีข่าวร้ายจะแจ้ง...ดูเหมือน Challenger IV กับหน่วยพิเศษจะไล่ตามเราทันแล้วล่ะ” ลอว์เรนซ์หันกลับมามองซาเรียสผ่านกระจกหน้ายานแล้วพูดผ่านอุปกรณ์สื่อสารขึ้น “รับทราบ พวกเรารีบเก็บข้าวของและไปกันต่อเถอะ จะให้เจ้าพวกนั้นไล่ตามมาทันไม่ได้เด็ดขาด”
ซาเรียสมองลอว์เรนซ์ที่กำลังวิ่งไปช่วยซีคและเบลล่าเก็บอุปกรณ์ “ถ้าเธอรู้ เธอจะให้อภัยชั้นมั้ยนะ...”
……………………………………………...
Challenger IV
บัดนี้ยานบิน Challenger IV พาหน่วยพิเศษออกติดตามกลุ่ม Genesis ได้บินอยู่เหนือพื้นที่แห้งแล้ง ธีโอดอร์ และอาเรียสวมชุดพร้อมออกปฏิบัติการเดินเข้ามาในห้องบัญชาการ เพื่อรับแผนปฏิบัติการ เนื่องจากในอีกไม่ช้า พวกเขาจะตาม Phaeton ได้ทัน พลโทแอนเดอร์สันจึงสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อม
เมื่อธีโอดอร์ และอาเรีย เดินเข้ามาทำวันทยาหัตถ์ พลโอแอนเดอร์สันก็เปิดจอภาพหลักในห้องขึ้นมา “พร้อมแล้วใช่มั้ยครับ….ผมมีเรื่องบางอย่างจะต้องแจ้งให้พวกคุณทราบก่อน….ดูเหมือนจะไม่ใช่ข่าวดีเท่าไร” “อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้อยากคิดว่ามันจะออกมาแบบนี้เหมือนกันครับ….พวกคุณมองที่ภาพนี่ดูสิครับ...”
ภาพที่พลโทแอนเดอร์สันกล่าวถึงคือ ภาพร่องรอยการต่อสู้ของ Genesis กับฝูง Lycanus มีรอยกระสุน เศษลูกดอกยาสลบ รอยกระสุนปืนใหญ่ รวมไปถึงรอยการระเบิดของระเบิดยาสลบ พลโทแอนเดอร์สันตีสีหน้าเครียด “จากร่องรอยที่เราพบ แสดงว่าเราประเมินสถานการณ์ผิดไป” “ข้อมูลที่เราได้รับนั้นไม่ถูกต้อง กล่าวคือ นี่ไม่ใช่การจับตัวประกัน แต่มันเกิดจากความร่วมมือ...” “ลำพังแค่ซีค ฟาร์ชตัดท์คนเดียว คงทำทั้งหมดนี่ไม่ได้….ผมจึงคิดว่าเราจะต้องเปลี่ยนแผนใหม่”
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับอาเรียและธีโอดอร์ เพราะทั้งสองพอรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่การจับตัวประกัน พลโทแอนเดอร์สันมองสีหน้าของลูกน้องทั้งสองแล้วกล่าวต่อไปว่า “เดิมทีผมกะว่าจะใช้วิธีการเจรจาต่อรอง” “เผื่อว่าซีค ฟาร์ชตัดท์ยอมปล่อยตัวประกันแล้วมอบตัว แต่ดูท่างานนี้เราจะต้องเกลี้ยกล่อมพวกเขาทุกคน” “ดังนั้น เมื่อเราตามพวกเขาทัน ผมจะส่งพวกคุณไปเพื่อต่อรองกับพวกเขา โดยยื่นข้อเสนอให้ไป” “นั่นก็คือ สำหรับร้อยตรีดิวาเรน ทางเราจะช่วยปกปิดเรื่องของเธอไว้ ส่วนคนอื่นเขาจะพิจารณาลดโทษให้เป็นพิเศษ”
ธีโอดอร์ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรอยู่แล้ว เพราะในความคิดของเขา เขาต้องการแค่ทำภารกิจให้ลุล่วงเท่านั้น แต่สำหรับอาเรีย ดูเหมือนเธอจะพอใจกับวิธีการนี้อยู่ เพราะอย่างน้อยลูกศิษย์คนสนิทของเธอก็ยังไม่ต้องรับโทษ พลโทแอนเดอร์สันพูดต่อไปว่า “หากพวกเขาไม่ยอม ผมจะปล่อยให้พวกเขาหนีไปคิดทบทวนให้ดีอีกครั้งก่อน” “และในระหว่างที่พวกคุณเกลี้ยกล่อมอยู่นั้น ผมจะส่งคนไปที่ Phaeton โดยให้หน่วยพิเศษบางคนคอยคุ้มกัน” “เพื่อแอบเข้าไปทำการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณระบุตำแหน่งใน Phaeton ให้เรารู้ตำแหน่งของพวกเขาที่แน่ชัด” “จากนั้นเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่พวกเขาได้รับเพื่อคิดทบทวน เราจึงค่อยเข้าไปทำการจับกุม...อย่าลืมว่าห้ามฆ่าเด็ดขาด”
เมื่อพลโทแอนเดอร์สันสั่งการเสร็จ เขาก็ให้อาเรีย และธีโอดอร์ ออกจากห้องไปได้ แมกซิม เฟลเลอร์ ที่นั่งฟังบนเก้าอี้กัปตัน เขาก็หันเก้าอี้กลับมาแล้วปรบมือให้พร้อมแสดงอาการสนุกสนาน “รู้มั้ยผมชอบใจตรงไหนมากที่สุด…..ผมชอบใจคำที่ท่านกำชับว่า ห้ามฆ่าเด็ดขาด แต่จริงๆ จะฆ่าให้หมดนี่แล๊”
“คุณเฟลเลอร์ ทำไมคุณถึงอยากให้คุณฟอนเบิร์กไปทดสอบการรับกัมมันตภาพไกลถึงขนาดนั้น” เฟลเลอร์ทำหน้าตาทีเล่นทีจริง “มันเสี่ยงน่ะครับ ถ้าจะให้ทดสอบบนดาดฟ้าของยานลำนี้….” “ผมใช้รังสีแกรมม่ายิงใส่ DNA ของเขาให้เกิดช่องว่าง จากนั้นก็ใส่ DNA ของ Lycanus เข้าไปบางส่วน” “ผมไม่แน่ใจว่ากัมมันตภาพรังสีจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดการกลายพันธุ์เฉียบพลันรึเปล่านะน๊า”
………………………………………………..
ผ่านไปไม่นาน
ก่อนที่ Phaeton จะเข้าเขตป่าทึบที่ปกคุลมด้วยต้นไม้พื้นเมืองสูงร่วม 300 เมตร หากพวกเขาเดินทางเข้าไปในป่าทึบนั้นได้ พวกเขาก็จะรอดพ้นจากการไล่ล่าของ Challenger IV เพราะ Challener IV เป็นยานบินขนาดใหญ่ ไม่สามารถบินลัดเลาะผ่านป่าทึบหรือลงจอดได้
ระหว่างที่ซาเรียสกำลังสำรวจสภาพแวดล้อม เพื่อให้เบลล่ากำหนดเส้นทางการบินอยู่นั้น ก็มีสัญญาณติดต่อเข้ามาจากหน่วยพิเศษ หน้าจอแสดงชื่อผู้ที่ติดต่อเข้ามา นั่นคืออาเรีย มิดฟอร์ด ลอว์เรนซ์ มีสีหน้าไม่ค่อยดี เธอหันไปมองเพื่อนๆ เพื่อขอความเห็นว่าจะรับสายนี้หรือไม่ ท้ายที่สุด ซีคเห็นว่าควรรับสาย เพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่ากลาโหมมีข้อเสนออะไรจึงติดต่อเข้ามา
เมื่อภาพขึ้นจอหลักของ Phaeton ก็ปรากฏใบหน้าของอาเรียในชุดพลขับ Ironsuit เธอมองไปรอบๆ จนสายตาของเธอไปหยุดที่ลอว์เรนซ์ “เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ สินะลอว์เรนซ์” “ชั้นรู้อยู่แล้วล่ะว่าพวกเธอทุกคนเต็มในจะฝ่าฝืนคำสั่งท่านประธานาธิบดี….ไม่รู้รึไงว่านี่มันร้ายแรงมาก”
ซีคเบะปากแล้วตอบโต้ไปว่า “นี่เจ๊ มีอะไรก็ว่ามาดีกว่า บ่นมากเสียเวลาเปลืองหน้ากระดาษเปล่าๆ” อาเรียขมวดคิ้วพร้อมถอนหายใจ “ถูกของนาย….ชั้นติดต่อเข้ามาเพื่อนำข้อเสนอของท่านรัฐมนตรีมาให้” “ชั้นและหน่วยพิเศษจะนำ Ironsuit ลงจอดที่ชายป่า ขอให้พวกเธอไปพบเพื่อทำการเจรจาที่นั่น...”
เมื่อสายตัดไป
ซีค เบลล่า ลอว์เรนซ์ มีสีหน้าหวั่นวิตก แต่ซาเรียสมีสีหน้าหวั่นวิตกมากกว่าใครเพื่อน เพราะก่อนหน้านี้เขายื่นข้อเสนอไปให้รัฐมนตรีแอนเดอร์สันแล้ว จึงไม่น่าจะต้องเจรจาอะไรกันอีก แต่เมื่ออาเรียแจ้งว่าจะขอเจรจา แสดงว่าเงื่อนไขการให้ความร่วมมือของเขามีการเปลี่ยนแปลงไป
ซีคมองเพื่อนๆ ด้วยสายตาดูเหมือนมีแผนแต่แท้จริงแล้วหัวของเขากลวงไปหมด นึกอะไรไม่ออก “เรื่องนี้ที่จริงชั้นมีแผนรับมืออยู่แล้วล่ะนะ แต่ก็อยากรู้ความเห็นของพวกเธอว่าคิดไง” ซีคตีเนียนพูดขึ้น เบลล่าขมวดคิ้ว “ชั้นว่าเราไม่ควรหยุดเจรจานะ เราไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ เขาไม่อยากให้เราทำสำเร็จ” ซาเรียสรู้สึกไม่เห็นด้วยแต่แรกแล้วจึงขัดขึ้นว่า “ชั้นคิดว่าเรายังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาจะเสนออะไร น่าจะลองฟังดูนะ” ลอว์เรนซ์พยักหน้า “งั้นเราเจอกันคนละครึ่งทาง ชั้นกับซีค จะไปเจรจากับพวกนั้น ส่วนนายกับเบลล่าไปต่อ”
ซาเรียสรู้ดีว่าหากเขาออกตัวขัดอีกครั้ง ทุกคนจะต้องสงสัยตัวเขาแน่ เขาจึงเลือกที่จะเงียบ เบลล่าดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยเช่นกัน “ทำแบบนั้นไม่ได้นะ เธอกับซีคอาจจะถูกจับตัวไปเลยก็ได้” ลอว์เรนซ์ส่ายหน้า “ไม่หรอก เบลล่า ชั้นรู้จักนิสัยของอาจารย์มิดฟอร์ดี อาจารย์ไม่ทำอย่างนั้นแน่” “ชั้นจะไปลองเจรจา โดยชั้นจะขอรับผิดแทนพวกเธอทั้งหมด เป็นไปได้ชั้นจะส่งซีคกลับมาที่ยาน” “ส่วนเธอและซาเรียส…..พวกเธอจะต้องเดินทางต่อไป เป้าหมายของเราอยู่อีกไม่ไกลแล้วล่ะ”
ซีคกอดอกพยักหน้า “หัวดีเหมือนกันนะลอว์เรนซ์ เธอคิดเหมือนแผนที่ชั้นคิดเอาไว้เลย” มุมปากของลอว์เรนซ์กระตุกยิบๆ “เหมือนที่นายคิดงั้นหรอ!!...ไม่ใช่ว่าคิดอะไรไม่ออกรอเนียนงั้นหรอ!!” ซีคตบไหล่ของลอว์เรนซ์เบาๆ “เนียนเนินอะไรกันล่ะลอว์เรนซ์ ชั้นยังแปลกใจเลยที่เราคิดเหมือนกัน”
“เอ๋ง!!” เสียงร้องแปลกๆ ดังออกจากปากของซีค เมื่อลอว์เรนซ์จับนิ้วของซีคหักล็อคหงายขึ้น
……………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 16, 2018 11:56:16 GMT
ทางตะวันตกของป่าทึบ
Ironsuit สองเครื่องกำลังบินลัดเลาะไปตามแนวป่าทึบ ในมือของ Ironsuit เครื่องขึ้นถือกล่องโลหะขนาดยักษ์อยู่ ส่วน Ironsuit อีกเครื่องอีกอุปกรณ์เหมือนร่มขนาดยักษ์ มีแกนเป็นโลหะ ส่วนใบร่มทำจากวัสดุโปร่งใส ร่มนี้คือร่มที่สามารถเบี่ยงเบนและหักเหคลื่นของเรด้าได้ มันทำให้ Ironsuit ทั้งสองหายไปจากเรด้า
ระหว่างที่ Ironsuit ทั้งสองเครื่องใช้แรงดันจากท่อขับดันที่แพคหลังเร่งความเร็วอยู่นั้น พลขับ Ironsuit ที่ถือกล่องโลหะก็ถามพลขับอีกเครื่องขึ้นว่า “ทำไมคุณหนูถึงอาสารับงานนี้แทนขอรับ” เสียงของพลขับที่ถามขึ้นคืออีธาน และคนที่เขาถามก็คือเจนนี่ใน Ironsuit ที่กางร่มใสบินนำหน้า “ชั้นอยากจะเกลี้ยกล่อมพวกเขาด้วยตัวเองน่ะอีธาน….ชั้นคิดว่าให้คนอื่นทำคงไม่สำเร็จแน่....”
อีธานเข้าใจความหมายที่เจนนี่จะสื่อ นั่นก็เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัย High School โอกาสที่จะเกลี้ยกล่อมให้ Genesis ยอมเปลี่ยนใจย่อมสูงกว่าให้คนที่ไม่รู้จักเป็นคนพูด อีธานขมวดคิ้ว “แล้วถ้าหากพวกนั้นไม่ยอมเปลี่ยนใจละขอครับ….คุณหนูจะทำยังไง...” คำถามนี้ก็เป็นคำถามที่เจนนี่เองไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ เธอจึงได้แต่เงียบไม่พูดอะไร
อีธานมองเจนนี่ผ่านหน้าจอภาพในห้องพลขับ “ถ้าอย่างนั้น….กระผมขอถือวิสาสะพูดอะไรหน่อยนะขอรับ” เจนนี่หันมองผ่านหน้าจอด้วยความสงสัย เพราะที่ผ่านมาอีธานไม่เคยพูดอะไรล้ำเส้นเธอเลย “กระผมติดตามคุณหนูมาตั้งแต่ยังเล็ก เติบโตมาพร้อมกับคุณหนู และคอยเคียงข้างคุณหนูเสมอมา” “กระผมรู้สึกมีความสุขเมื่อคุณหนูมีความสุข และกระผมรู้สึกทุกข์ใจเมื่อเห็นคุณหนูมีความทุกข์” “ช่วงหลังมานี้ กระผมเห็นคุณหนูมีแต่ความทุกข์ โดยที่กระผมไม่สามารถช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้”
“กระผมพอเข้าใจสาเหตุของความทุกข์นั้น นั่นก็คือการที่นายท่านบังคับให้คุณหนูหมั้นกับธีโอดอร์” “ทั้งที่ในใจของคุณหนูมีเพียงเจ้าลิงกังนั่นไม่เคยมองชายอื่น….ถึงกระผมไม่ชอบเจ้าหมอนั่นเลยก็ตาม” “แต่พอได้มาเห็นคุณหนูในสภาพแบบนี้แล้วกลับยิ่งทุกข์ใจมากกว่า….กระผมอยากเห็นคุณหนูยิ้มอีกครั้ง” “ดังนั้น....ความเห็นของคนโง่อย่างกระผม...ผมเห็นว่า...คุณหนูไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งนายท่านเสมอไปนะขอรับ”
“ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์เป็นคนเก่ง ทุ่มเทให้การทำงาน แต่นิสัยส่วนตัวของเขาเป็นคนที่สนแต่เรื่องตัวเอง” “หากคุณหนูต้องอยู่กับคนพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต ผมยอมให้คุณหนูได้เคียงคู่กับเจ้าลิงกังซะยังจะดีกว่า...” “อย่างน้อยเจ้าลิงกังนั่นก็ทำให้คุณหนูยิ้มได้….ไม่เหมือนกับธีโอดอร์คนนั้นที่นำพามาซึ่งความหดหู่ใจ”
เจนนี่ยิ้มบางๆ “ขอบใจนะอีธานที่เป็นห่วงและเข้าใจชั้น…..ขาดนายไปชั้นคงลำบากน่าดู......”
………………………………………………...
ปากทางเข้าเขตป่าทึบ
Iron suit ของซีค และ ลอว์เรนซ์ เดินออกมาจากป่าทึบ ตรงหน้าพวกเขาเป็น Ironsuit หน่วยพิเศษ 8 เครื่อง ทั้งสองฝั่งยืนดูท่าทีและเล็งอาวุธปืนยาวเข้าหากันในระยะห่างประมาณ 200 เมตร ในขณะที่ Challenger IV ลอยตัวอยู่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร พวกเขากำลังรอผลการเจรจา พลโทแอนเดอร์สัน และแมกซิม เฟลเลอร์ ไม่ได้สนใจการเจรจาเลย เขาสนใจแต่ตำแหน่งของแฟร๊งค์เท่านั้น
เมื่ออาเรีย เห็น Ironsuit ของฝ่าย Genesis มายืนต่อหน้า เธอก็เริ่มต้นติดต่อเข้าไปยังซีคและลอว์เรนซ์ “สมแล้วที่เป็นเธอ ลอว์เรนซ์ เธอคงไม่ไว้ใจพวกเราถึงได้มาแค่ 2 คน และให้ที่เหลือหลบหนีต่อไป” “เป็นชั้นก็คงจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน….แต่วางใจเถอะ พวกชั้นมาเพื่อต่อรอง ไม่ได้มีเจตนาอื่น” จากนั้นเธอก็ส่งสัญญาณมือให้หน่วยพิเศษทั้ง 8 เครื่องลดปืนลง ธีโอดอร์ดูเหมือนไม่เต็มใจเท่าไรนัก ซีคเบะปาก “ทำไมฉากนี้มันคุ้นๆ นะ….~ชั้นมาเพื่อต่อรอง~ เหมือนกันเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยน๊า” ลอว์เรนซ์หันไปมองค้อนใส่ซีคทีหนึ่งเพื่อให้ซีคหยุดทำตัวน่ารำคาญไร้สาระ ก่อนจะเข้าเรื่อง
เมื่ออาเรียเห็นว่าทั้งซีคและลอว์เรนซ์พร้อมจะฟังข้อเสนอแล้ว เธอจึงเริ่มพูดขึ้น “ท่านรัฐมนตรีกลาโหมแจ้งว่า ถ้าพวกเธอยอมมอบตัวตอนนี้มันยังไม่สาย ท่านจะพิจารณาให้เป็นพิเศษ” “ลอว์เรนซ์จะได้รับยกเว้นโทษและส่งตัวกลับไปให้ท่านประธานาธิบดี ส่วนคนอื่นจะได้รับการลดโทษ” “จากเดิมที่มีกำหนดโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต เมื่อยอมให้ความร่วมมือ จะเหลือจำคุก 25 ปี” “ส่วนตัวชั้นคิดว่ามันเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ และชั้นคิดว่าเธอน่าจะรับไว้นะ ลอว์เรนซ์ ถ้าไม่เห็นแก่ชั้น” “ก็เห็นแก่ท่านประธานาธิบดีบ้าง หัวอกของพ่อแม่ต้องเป็นห่วงลูกของตัวเองอย่างหาที่สุดไม่ได้….”
ลอว์เรนซ์แทบไม่ใช้เวลาหยุดคิดเลย เธอตอบกลับไปทันทีว่า “เสียใจด้วยนะคะท่านอาจารย์” “ชั้นน่ะไม่คิดจะยอมมอบตัวแล้วพ้นผิด โดยปล่อยให้เพื่อนคนอื่นๆ ของชั้นต้องรับโทษหรอกค่ะ” ซีคที่กำลังบังคับ Ironsuit ทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาก็ถึงกับชะงักเมื่อเขาได้ยินคำพูดของลอว์เรนซ์ ลอว์เรนซ์หันมาหาซีค แต่พูดกับอาเรียว่า “พวกเราทุกคนตัดสินใจทำมันเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”
สิ้นประโยค ธีโอดอร์ก็บังคับ Ironsuit ให้เล็งปืนขึ้นไปทางฝ่าย Genesis ทั้งที่ยังไม่มีคำสั่งให้เตรียมยิง
……………………………………………….
กลางป่าทึบ
ระหว่างที่ Phaeton กำลังบินเลียดพื้นป่าซึ่งเป็นเพดานการบินปกติของมันอยู่นั้น เบลล่าก็เห็นบางสิ่ง เธอจึงรีบบังคับให้ Phaeton ชะลอความเร็วลงจนหยุดนิ่ง ในขณะที่ซาเรียสมีสีหน้าฉงนสงสัย แต่เมื่อเขาหันไปมองผ่านกระจกหน้าตัวยาน เขาก็รู้เหตุผลว่าทำไมเบลล่าถึงต้องหยุดการเดินทางลง นั่นเพราะเบื้องหน้าของ Phaeton เป็นทางแคบ และช่องทางแคบๆ นั้นมีทหารสองคนยืนขวางอยู่
ผู้ที่มายืนขวางเส้นทางของบินของ Phaeton ก็คือเจนนี่ และอีธาน ทั้งสองมาตัวเปล่าไม่มีอาวุธ เมื่อเห็นว่าเจนนี่ และอีธานไม่มีท่าทีจะหลบให้ เบลล่าจึงลุกและเตรียมตัวออกนอกยาน ซาเรียสที่ยังคงครุ่นคิดอยู่ว่าเขาควรทำเช่นไรดี แต่ก็ไม่มีทางเลือก จึงต้องลุกตามเบลล่าไป ทั้งเบลล่า และ ซาเรียส เปิดฝาท้ายของ Phaeton แล้วเดินตรงไปหาเจนนี่ และอีธาน
เบลล่าจ้องมองไปที่เจนนี่และอีธานด้วยสีหน้าวิตก “พวกเธอสองคนมาขวางเราไว้ทำไมกันคะ” “ไหนตกลงกันว่าจะเจรจาที่ปากทางเข้าป่าไม่ใช่หรอ….อย่าบอกนะว่าจะไม่รักษาคำพูด” เจนนี่เหลือบหางตาไปด้านหลังของ Phaeton เธอก็เห็นว่าแฟร๊งค์ได้ลากกล่องโลหะขนาดยักษ์เข้าไปแล้ว
หน้าที่ที่ได้รับมาของเจนนี่จริงๆ ก็คือการถ่วงเวลาให้แฟร๊งค์นำเครื่องส่งสัญญาณเข้าไปไว้ใน Phaeton แต่เธอหารู้ไม่ว่าภายในกล่องโลหะขนาดใหญ่นั้นไม่ใช่เครื่องส่งสัญญาณแรงสูง แต่มันเป็นไข่ Phoenixaurus “ชั้นไม่ได้มาเพื่อขวางทางเธอ หรือมาเพื่อจับเธอหรอกนะ ชั้นน่ะมาเพื่อ….เกลี้ยกล่อมในฐานะเพื่อน” “ที่เธอทำอยู่น่ะมันผิด เธอก็รู้อยู่เต็มอก….คุณพ่อของชั้นพอรู้จักกับคนใหญ่คนโตที่ Aiacos อยู่บ้าง” “ถ้าพวกเธอยอมมอบตัว ชั้นจะขอร้องให้คุณพ่อคุยกับคนใหญ่คนโตเพื่อมาต่อรองลดโทษให้พวกเธอ”
ในวินาทีนั้น
สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อแฟร๊งค์นำเครื่องส่งสัญญาณไปไว้ใน Phaeton สำเร็จ แฟร๊งค์ควรจะแอบหนีไปเงียบๆ และเริ่มทดลองด้วยการชุดสำรวจออกรับกัมมันตภาพรังสี แต่เขากลับเดินเข้ามา เจนนี่และอีธานที่แสดงอาการประหลาดใจก็ทำให้เบลล่าและซาเรียสกันกลับไปมอง
พวกเขาเห็นแฟร๊งค์ ฟอนเบิร์กเดินเซไปมา และตรงเข้ามาหา แฟร๊งค์ถอดหมวกสำรวจโยนทิ้งไป ทั้งที่บริเวณนี้มีออกซิเจนอยู่น้อย อีกทั้งยังปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี จึงอันตรายถึงชีวิตถ้าจะถอดหมวกออก เบลล่าตะโกนถามไปว่า “แฟร๊งค์!! เธอทำอะไรของเธอ? ใส่หมวกกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” แต่ซาเรียสกลับรั้งเบลล่าที่กำลังจะก้าวไปหาแฟร๊งค์ “ไม่ใช่หมอนี่กำลังทำอะไร….แต่หมอนี่มาทำไมมากกว่า...”
จากนั้นร่างกายของแฟร๊งค์ก็เริ่มพองโต กล้ามเนื้อปรากฏขึ้นมาทั่วร่างกาย แขนและขาของเขาเริ่มแปรสภาพ มันทำให้ชุดท่อนบนและส่วนขากางเกงฉีกขาดรุ่งริ่งในพริบตา จากที่เขามีแขนขาเหมือนมนุษย์ปกติ รูปร่างของมันกลับเปลี่ยนไปคล้ายกับแขนขาของ Lycanus เขี้ยวของเขายาวและคมไม่เหมือนฟันมนุษย์ โครงหน้าเริ่มบิดตัว ขากรรไกรยื่นออกมาข้างหน้า ขนของเขาเริ่มดกขึ้น และยาวขึ้น มันปกคลุมทั่วไปหน้า แขน และขา และส่งเสียงคำราม “ฮร่า!!!!”
เบลล่า ซาเรียส เห็นเช่นนั้น ก็รีบถอยออกห่าง ในขณะที่เจนนี่ และ อีธาน เล็งปืนอัตโนมัติขึ้นมา “หยุดอยู่ตรงนั้นนะแฟร๊งค์!!” อีธานพูดขึ้น แต่แทนที่แฟร๊งค์จะหยุด ดูเหมือนเขานั้นสติหลุดไปแล้ว แฟร๊งค์วิ่งพรวดเข้าใส่ ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ขึ้นจากเดิมมาก ตอนนี้เขาน่าจะสูงราว 225 c.m. เห็นจะได้ แฟร๊งค์วิ่งเข้ามาพร้อมกับง้างแขนขึ้น ที่ปลายนิ้วของเขามีเล็บยาวแหลม และคมงอกออกมาเป็นอาวุธ
ปังปังปังปังปังปังปังปังปังปัง!!
อีธานและเจนนี่รัวกระสุนปืนอัตโนมัติเข้าใส่หลายนัด พวกเขายิงเข้าใส่เต็มลำตัวของแฟร๊งค์ แรงกระสุนทำให้แฟร๊งค์ชะงัก แต่ก็เพียงครู่เดียว แฟร๊งค์ก็พรวดเข้ามาโจมตีต่อโดยเล็งไปที่เจนนี่ ทั้ง 4 คนกลิ้งหลบไปคนละทาง จนกระทั่งเจนนี่พลาดท่าล้มลงหงายไปกับพื้น และแฟร๊งค์ก็กระโดดเข้าใส่
ฉั่วะ!!!!
กรงเล็บอันแหลมคมเสียบเข้าทะลุร่าง เลือดสีแดงสาดกระจายเปรอะเลอะเต็มใบหน้าของเจนนี่ นัยน์ตาของเธอหดเล็งลงด้วยความตกใจ “ไม่นะ…..อีธาน!!” นั่นเพราะอีธานมาขวางหน้าเจนนี่เอาไว้ ทำให้เล็บที่ยาวร่วม 3 ฟุต ทั้ง 4 เล่ม เสียบทะลุช่องท้องของเขา เลือดไหลพรากออกจากปากของอีธาน แต่เขายังมีสติดีแม้จะเริ่มหายใจโรยริน อีธานจับแขนของแฟร๊งค์เอาไว้ไม่ให้หนีออกห่าง ก่อนที่จะยกปืนอัตโนมัติขึ้นจ่อหัวหมาป่าของแฟร๊งค์แล้วรัวกระสุนใส่จนหมดซองกระสุนที่เขามี
หงิ๋ง!!!
แฟร๊งค์ร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด ก่อนที่จะสบัดร่างของอีธานจนกระเด็นและวิ่งหนีเข้าป่าไป
…………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 16, 2018 12:01:53 GMT
“ไม่นะอีธาน….”
เจนนี่รีบวิ่งไปประคองร่างอันใหญ่โตของอีธานขึ้นมานอนบนตัก ลมหายใจของเขาอ่อนแรงเต็มที แต่เขาก็ยิ้มให้เจนนี่ “หน้าที่….ของกระผม….จบแล้ว...ล่ะขอครับ….ขอให้….คุณหนู….อยู่ต่อไป...อย่างมีความสุข” “อย่าลืม….ที่กระผม….บอกนะ...ขอรับ….เลือกทำ….ในสิ่งที่...อั่ก….สิ่งที่คุณหนู….คิดว่า….ถูกต้อง...และดี...ที่...สุด...” เมื่อพูดจบ อีธาน สมิทธ์ก็สิ้นใจลงคาหน้าตักของเจนนี่ น้ำตาของเธอเอ่อล้นดวงตา แต่เธอก็กลั้นมันเอาไว้ได้ เธอพูดกับอีธานด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เป็นครั้งสุดท้ายว่า “อีธาน…..ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่นายมอบให้ชั้นมาจนวันนี้…..” “ชั้นสัญญาว่าชั้นจะอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข…..เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดไม่ว่าใครจะมองยังไงก็ตาม….”
เบลล่า และซาเรียส ค่อยๆ เดินเข้ามานั่งข้างๆ เจนนี่ ทั้งสองใช้มือแตะที่ไหล่ของเจนนี่เบาๆ เพื่อปลอบประโลม เจนนี่ค่อยๆ วางร่างของอีธานลงและจัดให้เขานอนอยู่ในท่าทางที่สงบ ก่อนจะลุกขึ้นและหันมาหาเจนนี่กับซาเรียส “แฟร๊งค์มาทำอะไรที่นี่น่ะเจนนี่ พวกเธอมีแผนจะทำอะไรกันแน่” เบลล่า ถามขึ้นด้วยความสงสัย เจนนี่ก้มหน้าเงียบ ก่อนจะต้องตอบไปตามความจริงว่าเธอมีหน้าที่มาใส่เครื่องติดตามไว้ในยาน
เบลล่า ซาเรียส และ เจนนี่ รีบมุ่งหน้ากลับไปที่ Phaeton เพื่อมองหากล่องโลหะมาทำลายทิ้ง ทั้งสามคนค้นหาอยู่พักใหญ่ เพราะตัวยานของ Phaeton ถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน จนในที่สุดเจนนี่ก็พบมัน ทั้งสามจึงค่อยๆ ลากมันออกมานอก Phaeton และเปิดมันออก ก็พบกับความจริงว่า ภายในเป็นไข่สีแดงใบโต เจนนี่จึงสงสัยยิ่งกว่าเดิม แต่เธอก็ยังนึกคำตอบไม่ออกว่าทำไม “นี่มันอะไรกัน….ท่านนายพลต้องการทำอะไรกันแน่”
ระหว่างที่ความเงียบกัดกินเวลาอยู่นั้น ซาเรียสก็ลุกขึ้น เขาหลับตาแล้วถอนหายใจ ก่อนพูดขึ้นว่า “ชั้นมีเรื่องจะสารภาพ….ชั้นไม่รู้ว่าพวกเธอทุกคนจะให้อภัยชั้นได้รึเปล่า…..ชั้นเองนี่แหละที่เป็นไส้ศึก...” “ชั้นเป็นคนส่งข้อมูลของพวกเรา วัตถุประสงค์ เส้นทาง รวมทั้งอาวุธที่เรามีไปให้รัฐมนตรีกลาโหมเอง….” “โดยชั้นยื่นข้อเสนอให้ละเว้นโทษพวกเราทุกคนยกเว้นซีคที่เป็นตัวต้นคิด….ไม่คิดเลยว่าผลจะเป็นแบบนี้...”
เบลล่าหันกลับไปด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “ว่าไงนะ!! นายเองงั้นหรอที่ส่งข้อมูลให้กับกลาโหม….!!” ซาเรียสเบือนหน้าหนี “ขอโทษนะ….ชั้นคิดว่ามันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเพื่อหยุดสิ่งที่เราทำลงไป…..” “ชั้นเองก็แค่อยากจะปกป้องลอว์เรนซ์และเธอน่ะเบลล่า…ชั้นทนเห็นพวกเธอสองคนต้องเป็นอะไรไปไม่ได้...” “อีกอย่าง….เธอเองก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันเสียเปล่า….สิ่งที่ซีคพูดมาเป็นเรื่องขายฝันทั้งนั้น!!”
“ไม่ใช่ซะหน่อยซาเรียส!! สิ่งที่เราทำลงไปน่ะไม่เสียเปล่า!! ชั้นเพิ่งตรวจสอบตัวอย่างพืชพื้นเมืองที่เก็บมาก่อนหน้านี้” “มันเป็นเรื่องจริง ซาเรียส….พืชเหล่านั้นดูดซับกัมมันตภาพรังสีได้!! เพียงแค่มันไม่มากพอไม่เหมาะในการทำ GMO” “แต่ถ้าเราเดินทางต่อไป ถ้าเรายังยึดมั่นในสิ่งที่เราเชื่อ เราต้องเจอพืชที่เราต้องการอย่างแน่นอน!!.....” “ชั้นน่ะ…..เชื่อใจซีค เชื่อใจลอว์เรนซ์ และเชื่อใจนายนะซาเรียส…..ทำไมนายไม่เชื่อใจในตัวพวกเราบ้าง!!?”
ซาเรียสอึ้งไปพักหนึ่งกับคำพูดของเบลล่า เขาไม่เคยนึกถึงคำว่า “เชื่อใจ” มาก่อน “นั่นสินะ….ทำไมชั้นถึงไม่เลือกที่จะเชื่อใจพวกเธอนะ…..ทั้งที่พวกเราเป็นเพื่อนกันแท้ๆ…..” ระหว่างเบลล่ากำลังมองซาเรียสอยู่ด้วยสายตาที่ผิดหวัง เธอก็เห็นแววตาสำนึกผิดของซาเรียส
กระทั่งซาเรียสฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ชั้นพอจะคิดอะไรออกแล้วล่ะ….” “เธอจะให้ชั้นทำหรือไม่ก็แล้วแต่เธอก็แล้วกัน...ถึงมันจะไถ่โทษที่ชั้นทำลงไปไม่ได้...แต่ลองฟังดูก่อนนะ...” “เมื่อเจนนี่บอกว่า เธอมีหน้าที่นำเครื่องส่งสัญญาณมาวางไว้บนยานของเรา แต่มันกลับไม่ใช่เครื่องที่ว่า” “ตามนิสัยของ Phoenixaurus มันจะหวงไข่ของมัน และติดตามเอาคืนอย่างถึงที่สุด” “แสดงว่านายพลแอนเดอร์สันกะยืมมือ Phoenixaurus เพื่อฆ่าพวกเรา….เขาผิดคำพูดที่ให้ไว้กับชั้น” “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะรู้ถึงแผนการที่เขาคิดจะฆ่าพวกเราทั้งหมดด้วย Phoenixaurus”
“ดังนั้น ถ้าชั้นจะส่งข้อความกลับไปอีกครั้ง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แจ้งข่าวเหมือนคราวก่อนๆ” “ชั้นก็จะสามารถหลอกว่าตำแหน่งของรังนกยักษ์อยู่ทางอื่นที่ไกลออกไป พวกเขาก็จะมุ่งหน้าไปทางนั้น” “เมื่อ Challenger IV ต้องเดินทางอ้อมป่าไป พวกเขาก็จะทำได้แค่ส่ง Ironsuit ตามมาในป่าเท่านั้น” “ลำพังแค่ Ironsuit ความเร็วในการติดตามก็ไม่น่าจะเท่าไร พวกเราคงจะไปถึงปากทางเข้ารังนกยักษ์ได้ก่อน” “ดีกว่าให้ Challenter IV บินอยู่เหนือพวกเรา แล้วแซงไปดักหน้า ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็จบเห่แน่นอน”
เบลล่าฟังสิ่งที่ซาเรียสอธิบาย สายตาของเธอก็มองเขาในแง่ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยและตอบกลับสั้นๆ ว่า “อื้อ” เจนนี่ นิ่งไปครู่หนึ้ง ก่อนเธอจะพูดขึ้นว่า “ชั้นน่ะ….ไม่ยอมให้ท่านนายพลฆ่าพวกเธอแน่….ดังนั้น ชั้นจะช่วยพวกเธออีกแรง!!” "ถึงแม้ชั้นจะต้องตกอยู่ในฐานะกบฎไปพร้อมกับพวกเธอก็ตาม....เพราะชั้นเชื่อว่านี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้องที่อีธานว่าไว้..."
………………………………………………..
ตุม!!!!
ธีโอดอร์ ส่งกระสุนปืนยาวของ Ironsuit แหวกอากาศเสียงสนั่นหวั่นไหว มันพุ่งเข้าหากลุ่ม Genesis กระสุนนั้นตรงมายัง Ironsuit ของซีค แต่มันกลับพลาดเป้า ซีคได้แต่ยืนตัวเกร็งเพราะเขาไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่เมื่อซีคหันกลับไปมองจุดที่กระสุนของธีโอดอร์ตกกระทบ เขาก็พบว่าธีโอดอร์ไม่ได้ยิงพลาด เขาไม่ได้เล็งมาที่ Ironsuit ของซีคตั้งแต่แรกแล้ว เขาเล็งไปที่อย่างอื่นด้านหลังต่างหาก และมันก็คือ
ซ๊าสสสสสสสสส เจ้า Phoenixaurus Rex ร้องคำรามเสียงแสบแก้วหูจากด้านหลังของซีค เมื่อลอว์เรนซ์เห็นนกยักษ์ที่แอบเข้ามาด้านหลัง เธอจึงรีบดึง Ironsuit ของซีคหลบออกข้างทันที มันเป็นจังหวะเดียวกับที่ Phoenixaurus Rex พุ่งทะยานเฉียด Ironsuit ของซีคไปหวุดหวิด
สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ล้วนๆ หน่วยพิเศษทั้งหมดรุมยิงไปที่ Phoenixaurus Rex มันบินหลบกระสุนอย่างคล่องแคล่ว และพุ่งเข้าใส่แนวยิงของหน่วยพิเศษด้วยความเร็วสูง Ironsuit ของหน่วยพิเศษเครื่องแรกถูกฉีกเป็นชิ้นในชั่ววินาทีที่มันโฉบผ่านไป ร่างของนักบินแหลกเป็นก้อนเนื้อกระจัดกระจาย เลือดสีแดงสดเปรอะเลอะเต็มห้องนักบินที่ถูกฉีกออก
อาเรียหรี่ตาลง “ทุกคนโจมตีใส่ Death Bringer อย่างให้มันเข้าใกล้ เราต้องไล่มันไปให้ได้” ธีโอดอร์ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เพราะเขารู้หน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว และเขาก็ยิงได้อย่างแม่นยำ กระสุนของธีโอดอร์และอาเรียเข้าปะทะจน Phoenixaurus เสียหลักและร่วงลงมา แต่โชคไม่ดีสำหรับหน่วยพิเศษคนที่ 2 ที่ถูกมันล้มใส่ กรงเล็บของมันเสียบทะลุลำตัวของหุ่น ปลายกรงเล็บที่ทะลุออกมาด้านหลัง มีเศษชิ้นเนื้อ ลำไส้ และเศษชุดพลขับติดออกมาด้วย
ซีคเห็นว่า Phoenixaurus Rex เข้าไปคลุกวงในกับหน่วยพิเศษอย่างชุลมุน เขาก็เห็นโอกาส “ดีล่ะ ในเมื่อลูกเจี้ยบมันเข้าไปนัวเนียไซ้ซอกคอเจ้าพวกนั้น เราก็รอช้าอยู่ใย” ลอว์เรนซ์หันขวับมาถามทันที “อย่าบอกนะนายจะใช้โอกาสนี้กำจัดหน่วยพิเศษที่พลาดท่าอยู่” “เมื่อกี้นายไม่เห็นรึไงว่าธีโอดอร์น่ะ เพิ่งช่วยเราไว้!! นายมีมนุษยธรรมอยู่บ้างมั้ยเนี่ย”
ซีคทำหน้าบูดๆ “อะไรของเธอนะยัยหัวเขียว…..ชั้นหมายถึง….เผ่นสิโว๊ย!! อยู่ทำลิงไรฟะ!!” เมื่อพูดจบ ซีคก็ไม่รอช้าที่จะหันหลังกลับเข้าป่า แล้วใช้ท่อขับดันโกยแนบหายไปทันที ลอว์เรนซ์ทำหน้างงๆ “เอิ่ม สรุปว่าหมอนี่ไม่ขิงแล้วหรอคราวนี้” และเธอก็หนีเข้าป่าตามซีคไป
หน่วยพิเศษเริ่มเสียท่า
เมื่อ Phoenixaurus Rex ลุกขึ้นมาตั้งหลักได้ มันใช้แพนหางที่เป็นเหมือนแส้สบัดไปมา มันไม่ใช่แพนหางธรรมดา เพราะมันสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ราวกับเป็นอวัยวะมีกล้ามเนื้อ แพนหางที่เหมือนแส้เส้นหนึ่งยืดตรงราวแท่งเหล็ก พุ่งเข้าเสียบ Ironsuit ของหน่วยพิเศษจนระเบิด
บัดนี้หน่วยพิเศษเสียนักบินมือดีไปแล้วถึง 3 คน และยังทำให้ Phoenixaurus Rex บาดเจ็บไม่ได้ อาเรียจึงสั่งให้หน่วยพิเศษที่เหลือทั้งหมด 5 คน รวมตัวเธอ ปล่อยระเบิดควันแล้วถอยออกห่าง และมันก็ได้ผล เมื่อ Phoenixaurus Rex อยู่ท่ามกลางกลุ่มควัน มันก็มองอะไรไม่เห็น หน่วยพิเศษทั้ง 5 จึงระดมยิงกระสุนที่มีทั้งหมดเข้าใส่ ขณะเปิดท่อขับดันสวนทางเพื่อถอยหลัง
โชคยังเข้าข้างพวกเขา เมื่อพายุทรายพัดผ่านเข้ามาพอดี เจ้า Phoenixaurus Rex ขึ้นโผบินขึ้น มันมองไปที่หน่วยพิเศษซึ่งยังอยู่ในเขตพื้นที่ทุ่งหญ้าโล่งๆ และหันกลับไปในโซนป่าทึบ ก่อนที่มันจะตัดสินใจบินกลับไปในโซนป่าทึบซึ่งเป็นทิศเหนือ ทางเดียวกับที่ Phaeton มุ่งหน้าไป ความรุนแรงของพายุทรายบนดาวดวงนี้ไม่เหมือนกับพายุทรายบนโลกใบเดิม เพราะมันรุนแรงกว่ามาก มันรุนแรงจนสามารถละลายซาก Ironsuit ทั้ง 3 เครื่องให้หายไปได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที
ระหว่างที่ธีโอดอร์ อาเรีย และหน่วยพิเศษที่เหลือ 5 คนกำลังกลับมายัง Challenger IV แอนเดอร์สันยิ้มอย่างพอใจในห้องบัญชาการของ Challenger IV เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของ Phoenixaurus Rex “ค่อยสบายใจหน่อย ที่ไม่ได้สั่งให้ฟอนเบิร์กทำลายระบบขับเคลื่อนของ Phaeton เพราะพวกเขาคงไม่รอดแล้วล่ะ”
แมกซิมเลิกคิ้วขึ้น “นั่นสิน๊า ถ้ามีการนำซากยานไปตรวจสอบพบว่าถูกทำลายระบบขับเคลื่อน พวกเราอาจเจอปัญหาได้” “แต่ถ้ายานไม่มีปัญหา แต่ถูกพังโดย Phoenixaurus Rex เราก็โยนความผิดให้เจ้า Death Bringer ได้เต็มปากเต็มคำ” “และเท่าที่ดู พวกนั้นคงไมรอดเงื้อมมือของเจ้า Phoenixaurus Rex ตัวนั้นแล้วจริงๆ อย่างที่ท่านว่า” “แต่ใจร้ายจังเลยน๊า เสียลูกน้องมือดีไปตั้งหลายคน ท่านกลับสบายใจอย่างนี้ได้น่ะ” แมกซิม เอ่ยขึ้น
จากนั้น ข้อความบางอย่างก็ถูกส่งเข้ามายัง Challenger IV มันเป็นข้อความจากซาเรียส แซนดรีน “เจ้าไส้ศึกที่แอบส่งข่าวให้เราอยู่ใน Phaeton พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปขึ้นไปทาง 2 นาฬิกา” “เขาคาดว่าทางเข้าสู่รังของ Phoenixaurus Rex อยู่ทางขวาของหุบเขาด้านบนของเรานี้เอง” “แต่ดูเหมือนว่าเราเสียหายติดต่อกับฟอนเบิร์ก ร้อยตรีเวอร์ม่า และร้อยตรีสมิทธ์ไปแล้ว...” “ถ้าให้ผมเดา….คงจะเป็นความผิดพลาดของการตัดต่อพันธุกรรม และมันก็อันตรายอย่างที่คุณว่าจริงๆ”
“เมื่อพายุทรายผ่านไป ผมจะส่งหน่วยพิเศษออกไล่ล่าอีกครั้ง ส่วนเราจะไปดักหน้าพวกเขาที่ทางเข้ารังนกยักษ์!!”
……………………………………………….
ยาน Phaeton
หลังจากที่ซีค และลอว์เรนซ์กลับมาถึง เบลล่า ซาเรียส และเจนนี่ ก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง แต่เบลล่าตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องที่ซาเรียสเป็นไส้ศึกให้ ซีคและลอว์เรนซ์ได้รับรู้ เพราะเธอไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของซาเรียสกับลอว์เรนซ์จะต้องร้าวฉานโดยไม่จำเป็น ในเมื่อตอนนี้ซาเรียสได้สารภาพกับเธอหมดแล้ว และช่วยวางแผนในการดัดหลังพลโทแอนเดอร์สันอีกด้วย
ทุกคนได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับไข่ของ Phoenixaurus Rex พวกเขาควรทิ้งไปหรือเก็บไว้ ซีค และ ซาเรียส เห็นว่าควรจะทิ้งไว้เพื่อความปลอดภัย แต่เบลล่ากลับมองว่าควรนำกลับไปคืนที่รังของมัน ลอว์เรนซ์ งดออกความเห็นเพราะเธอไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เธอไม่รู้ว่าเก็บไข่ไว้หรือทิ้งไปจะส่งผลอย่างไร แต่ลอว์เรนซ์พูดขึ้นว่า “ถ้าเก็บไว้ในกล่องเหล็กนั่น แล้วซ่อนไว้บนยาน แม่มันไม่น่าจะหาเจอหรอกนะ...” ถึงซาเรียสจะมีข้อมูลเยอะที่สุด แต่เขาก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าทำแบบที่ลอว์เรนซ์ว่าจะปลอดภัย
สุดท้ายซีคก็พูดขึ้นว่า “อืม…. งั้นชั้นว่า การเก็บเอาไว้ในยานก่อนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกนะ” “เพราะไม่ว่ามันเจอไข่ หรือมันเจอเรา เราก็คงโดนตบอยู่ดี แค่ถ้าเก็บไข่มันเอาไว้ก็แค่โดนจัดหนักหน่อยๆ” เขาชูสองนิ้วขึ้นเป็นตัว V แล้วงอมันเป็นจังหวะ “สำหรับมุมมองโลกสวย ถ้าไม่โดนไล่ตบ เราก็จะได้พามันกลับรังด้วย” “เรามานี่ก็เพื่อมาตามหาพืชที่สามารถนำไปสร้างโลกใหม่ เราไม่ได้มาเพื่อทำลายครอบครัวของมันนี่โนะ”
หลังจากได้ข้อสรุปเรื่องไข่ของ Phoenixaurus Rex ทุกคนก็เดินมารวมกันที่หน้าหลุมศพของอีธาน
ซีคเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้พวกเราทุกคนเหลือทางเลือกเพียงทางเดียว นั่นก็คือต้องลุยกันให้จบเท่านั้น” ถึงแม้ทุกคนรู้ข้อนั้นดีอยู่แล้ว แต่คำพูดของซีคมันก็รวบรวมกำลังใจของทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียว “ชั้นจะไม่ยอมให้นายตายเปล่าหรอก อีธาน….ถ้านายตายแล้วมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ลจะให้ใครเล่นแทน….” “เดี๋ยวๆ แป๊ปๆ ลืมสคริป” ….. “อ้อโอเค ชั้นจะไม่ยอมให้นายตายเปล่า ชั้นจะทวงความยุติธรรมให้นายเอง!!”
จากนั้นเบลล่าก็มีเรื่องสงสัยจึงถามขึ้น “จะว่าไป หน่วยพิเศษปล่อยซีคกับลอว์เรนซ์กลับมาอย่างนั้นหรอ” ลอว์เรนซ์ส่ายหน้า “ปล่อยอะไรกันเล่า!! กำลังคุยอยู่ จู่ๆ Phoenixaurus ก็เข้ามาโจมตีซะเฉยๆ” ซีคเท้าสะเอวยืดอกทำท่าอย่างภาคภูมิใจ “เข้ามาเฉยๆ ที่ไหนกันเล่า ชั้นรู้อยู่แล้วว่ามันต้องมาแน่” “ทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของชั้นคนนี้หมดตั้งแต่แรกแล้ว ไม่งั้นชั้นไม่ออกไปคุยกับพวกนั้นหรอก”
ลอว์เรนซ์หรี่ตาลง “อยู่ในการคำนวณบ้าบออะไร เกือบโดนมันงาบตูดอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ยังจะมาทำพูดดี” “งาบเงิบอะไรกันเล่า” “เอ้าหรือไม่จริง ถ้าธีโอดอร์ไม่ช่วยไว้ นายไม่ได้มายืนขิงอยู่นี่หรอกน่า” “ได้พูดงี้ใช่มั้ย...” ระหว่างที่ซีคและลอว์เรนซ์เถียงกันเป็นเสียง Back Ground พวกเขาทำลายความเศร้าลงไปได้บ้าง
เบลล่าหันมาสบตากับซาเรียสที่กำลังรู้สึกผิด เธอพยักหน้าเป็นการบอกว่าทุกอย่างโอเค ไม่ต้องกังวนอะไรแล้ว
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 18, 2018 16:08:21 GMT
EP.10 : Opened Hearts ภายในห้องพลขับของ Phaeton
ขณะนี้ Phaeton ได้ออกเดินทางลึกเข้าไปในป่าทึบมุ่งหน้าตรงขึ้นไปยังทางตอนเหนือของ Gliese 667Cc จุดมุ่งหมายของเหล่า Genesis คือการไปให้ถึงหุบเขาที่อยู่ทางตอนบนซึ่งคาดการณ์ว่าเป็นรังของ Phoenixaurus Rex ในห้องพลขับ เบลล่า และซีคกำลังติดต่อสื่อสารกับมาริค สจ๊วต และวอร์เรน เกตส์ อยู่
มาริคได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดรวมไปถึงได้รับข้อมูลผลการวิเคราะห์พืชที่เบลล่าได้เก็บตัวอย่างมาแล้ว “เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะเนี่ยที่ผลการตรวจสอบของคุณ ผ.ศ. ชี้ชัดได้ว่าพืชบริเวณนั้นดูกลืนกัมมันตภาพรังสีได้” “แต่น่าเสียดายไปนิดที่มันไม่ใช่คุณลักษณะเด่น แถมประสิทธิภาพการดูดซับของพืชพันธุ์นั้นมีไม่มากพอ” “พวกคุณก็เลยยังกลับบ้านกันไม่ได้….แต่ก็อย่างว่า ผมเองได้ทำการวิเคราะห์การปนเปื้อนของบริเวณต่างๆ แล้ว” “ยิ่งคุณเดินทางขึ้นสู่ตอนเหนือไกลมากเท่าไร กัมมันตภาพรังสีก็จะลดลงเท่านั้น แถมออกซิเจนก็เข้มข้นขึ้นด้วย” “ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่จะมีพืชพันธุ์ที่เราต้องการจึงมีสูงมาก สูงจนผมมั่นใจว่ามันมีอยู่ 100% เต็มเลยล่ะ”
ซีคและเบลล่ายิ้มด้วยความพอใจกับสิ่งที่พวกเขาได้ยิน อย่างน้อยสิ่งที่พวกเขาทำมามันก็ไม่เสียเปล่า วอร์เรน เกตส์ เห็นว่ามาริคแจ้งข้อมูลให้ทั้งสองทราบเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงเริ่มพูดในส่วนของเขาต่อ “ประเด็นเรื่องที่รัฐมนตรีแอนเดอร์สันมีเจตนาฆ่าปิดปากของพวกคุณ ผมเกรงว่ามันจะเป็นจริง” “มิฉะนั้นเขาคงไม่ให้คุณฟอนเบิร์กแอบนำไข่ของนกยักษ์ไปใส่ไว้ใน Phaeton อย่างนั้นหรอกครับ” “ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะครับ….ระหว่างนี้ผมได้สั่งการให้คุณสจ๊วตคัดสรรพันธุ์พืชเอาไว้บางส่วน” “เราจะทำการจำลองการตัดต่อพันธุกรรมพืชไปเบื้องต้นก่อน…..เดินทางปลอดภัยนะครับ….”
เมื่อสัญญาณการติดต่อถูกตัดไป เบลล่ายิ้มบางๆ เธอรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยเธอก็คิดถูก แต่เธอยังไม่สามารถยิ้มได้เต็มที่ มันเป็นผลกระทบจากการที่เพิ่งเสียอีธาน เพื่อนที่ดีคนหนึ่งไป ซีคเห็นรอยยิ้มและสีหน้าของเบลล่า เขาจึงใช้มือขวาแตะที่ไล่ซ้ายของเบลล่าเบาๆ “เรามาถูกทางแล้วล่ะเบลล่า… ความฝันของชั้นและเธอไม่ได้เป็นแค่ความฝันของเราอีกต่อไปแล้ว” “ตอนนี้มันเป็นความฝันของเจนนี่ อีธาน มาริค ท่านรัฐมนตรีเกตส์ และมนุษย์ทุกคนบนดาวดวงนี้”
เบลล่าหันมาสบตากับซีค ท่ามกลางความเงียบชั่วขณะ เบลล่าก็โผเข้ากอดซีค และพูดขึ้นเศร้าๆ “เราจะต้องเสียใครไปอีกมั้ยนะ….ถ้าเราทำสำเร็จ แต่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของเพื่อนอีกล่ะก็...”
ซีคเองก็มีสีหน้าเศร้า ทั้งที่เขาไม่ค่อยแสดงดีหน้าแบบนี้ออกมาบ่อยนัก “มันต้องคุ้มสิเบลล่า...” “ไม่เสียสละ ชัยชนะย่อมไม่เกิน ซามูเอล วิดวิกกิ๊กกี้กุ๊กกู๋อะไรสักอย่างนี่แหละจำไม่ได้ละยาวจัดได้บอกไว้” “ชั้นเองก็พร้อมจะยอมตายเพื่อแลกมากับความสำเร็จครั้งนี้….เพราะมันเป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของชั้นและเธอ...” “เธอไม่ต้องเป็นห่วง….ชั้นจะไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรไปแน่….เพราะจบงานนี้เธอยังมีสิ่งที่เธอต้องทำเหลืออยู่...” เบลล่าตอบสั้นๆ ว่า “อื้อ!! ขอบใจนะซีค” สิ่งที่เธอต้องทำที่ซีคว่าก็คือการกลับไปสร้างพืชพันธุ์ใหม่ที่ดาวดวงนี้ต้องการ
ระหว่างที่ซีคและเบลล่ากอดกันและพูดคุยกันอยู่นั้น เจนนี่ได้ยืนรออยู่ที่หน้าประตูด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ
……………………………………………………….
หลังพายุทรายได้ผ่านพ้นไป
Challenger IV ได้ส่งหน่วยพิเศษลงไปพร้อม Ironsuit ทั้งหมด 5 เครื่อง เพื่อเริ่มติดตาม Genesis อีกครั้ง ในขณะที่ Challenger IV จะบินอ้อมไปอีกทางเพื่อไปดักที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเขาหลงกลซาเรียสเข้าแล้ว
พลโทแอนเดอร์สันนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องพักส่วนตัวบน Challenger IV เขาก็รู้สึกได้ว่ายานนั้นไม่ได้เคลื่อนที่ไปยังเป้าหมาย เขาจึงกดอุปกรณ์สื่อสารจาก Tablet ของเขาเพื่อติดต่อไปยังกัปตันของยาน “คุณเฟลเลอร์ ทำไมคุณถึงนำเครื่องย้อนกลับครับ” ไม่นานนักแมกซิม เฟลเลอร์ก็ตอบกลับมา “กัปตันเฟลเลอร์รายงานครับท่านรัฐมนตรี ตอนนี้พลังงานของเราเหลือน้อยเยี้ยว” “ผมต้องกลับไปลงจอดที่เขตทุ่งแห้งแล้งเพื่อให้เจ้ายานลำนี้ได้นอนอาบแดดซักหน่อย ไม่ต้องห่วงครับท่าน…..” “ด้วยความเร็วของยานลำนี้ เราต้องไปดักหน้าเจ้าพวกนั้นทันแน่….เผลอๆ หน่วยพิเศษจะเก็บพวกนั้นได้ก่อนด้วยซ้ำ”
พลโทแอนเดอร์สันมีสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เขาปิดอุปกรณ์สื่อสารพร้อมกับทุบโต๊ะที่เขานั่งอยู่อย่างแรง ปฏิกิริยาของเขาแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว แต่เก็บอาการเหล่านั้นไม่ให้คนอื่นได้เห็น สิ่งที่แมกซิม เฟลเลอร์รายงาน คือ Challenger IV จะต้องทำการสะสมพลังงานจากแสงอาทิตย์เนื่องจากเหลือน้อย หากมุ่งหน้าไปตามทางที่ซาเรียสได้หลอกพวกเขาไว้ พลังงานที่มีตอนนี้ไม่สามารถเดินทางได้ไกลขนาดนั้น และแม้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงกลางวันที่บินไปรับแสงแดดไปได้ แต่เขตพื้นที่ทุ่งหญ้าเพิ่งถูกพายุทรายพัดผ่านอย่างรุนแรง วิสัยทัศน์และท้องฟ้าเบื้องบนจึงถูกปกคลุมด้วยฝุ่นละอองทราย แผงรับพลังงานแสงจึงทำงานได้ไม่เต็มที่
Challenger IV จึงย้อนกลับไปเล็กน้อยเพื่อลงจอดในเขตพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายและกางแผงรับพลังงานออกมา
………………………………………………………..
ฟองน้ำวางหนังสือลง
เธอยิ้มขึ้นอย่างมีความหวัง “ดูเหมือนว่าแผนไถ่โทษของคุณแซนดรีนจะได้ผลนะคะ….ดีจังเลยแบบนี้” มาโกะที่มีสีหน้าบูดบึ้งก็ได้แซวขึ้น “แหม….. เชียร์ออกหน้าออกตาเชียวนะเธอเนี่ย ไม่ค่อยเข้าข้างเล๊ย” “ทั้งที่เรื่องวุ่นๆ ทั้งหมด รวมไปถึงเหตุการตายของร้อยตรีสมิทธ์ ก็เกิดขึ้นเพราะการกระทำของแซนดรีนแท้ๆ” ฟองน้ำขมวดคิ้วทำหน้าโกรธๆ เธอหันมาหามาโกะ “ที่คุณแซนดรีนทำไปน่ะ ก็เพราะเป็นห่วงเพื่อนๆ ของเขานะ” “ชั้นน่ะ พอเข้าใจแล้วว่าตอนนั้นเขายังไม่รู้ถึงความตั้งมั่นของคุณดิราเวน และก็ไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้”
เอริคฟังฟองน้ำพูดจนจบ เขาก็พอใจในสิ่งที่ฟองน้ำเข้าใจ “ความตั้งใจของเขาในทีแรกมีเจตนาที่ดี” “ถึงผลมันจะไม่ออกมาอย่างที่เขาคิดก็ตาม...แต่ตอนนี้เขาเข้าใจเพื่อนของเขาทุกคนแล้ว” “และเขายังได้รับรู้ถึงความเชื่อใจที่เพื่อนๆ มอบให้ ตอนนี้เขาจึงเลือกที่จะเชื่อใจในตัวเพื่อนๆ บ้าง” “แต่ที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คงไม่ใช่พลโทแอนเดอร์สันหรอกครับ...หากแต่เป็นหน่วยพิเศษทั้ง 5 คนมากกว่า” “ถึงแม้ Genesis จะได้รับความร่วมมือจากร้อยตรีเวอร์ม่า และมีร้อยตรีดิราเวน ทว่าหากประเมินดูแล้ว...”
“Genesis ไม่น่าจะรับมือทหารระดับแนวหน้าทั้ง 5 คนได้…. น่าสนใจใช่มั้ยล่ะครับหนูฟองน้ำ”
……………………………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 18, 2018 16:09:49 GMT
ยาน Phaeton
ระหว่างที่ซีคกำลังนั่งเหม่อลอยจินตนาการไปถึงวันที่เขาได้กลับไปอย่างวีรบุรุษอยู่นั้น เจนนี่ก็เดินเข้ามาหาซีคก่อนจะตัดสินใจพูดว่า “ซีค…..ที่ผ่านมา...เธอรู้เรื่องชั้นมาตลอดเลยใช่มั้ย” ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังของเจนนี่ ทำให้ซีคตกใจ แต่เหมือนเขาพอรู้ว่าเจนนี่หมายถึงอะไร “อืม...ชั้นรู้…..แต่…..” เจนนี่ยิ้มบางๆ “อย่างนั้นเองสินะ...รู้อย่างนั้นมาตลอดแต่นายก็ยังรักเบลล่าไม่เปลี่ยนแปลง…...” “ถ้างั้น ชั้นขอถามอะไรเธอหน่อย….ชั้นอยากรู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นเบลล่า….”
ซีคนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วค่อยฉีกยิ้มออกมา “เธอจะเอาเวอร์ชั่นไหนล่ะ เวอร์ชั่นจริงจังหรือเวอร์ชั่นขิงจัง” “เอ๊ะ!! นี่ชั้นไม่ได้ลอกเลียนคำพูดของใครใช่มั้ย? คุ้นๆ ว่ามันเคยมีประโยคแบบนี้เกิดขึ้นแล้วน๊า...” “เอาเป็นว่า บทตอนนี้ชั้นต้องจริงจัง เอาเป็นเวอร์ชั่นจริงจังก็แล้วกัน….เรื่องมีอยู่ว่า...อ่ะแฮ่ม...แค่กๆ...”
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว จนเกือบจะไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้เลยก็คงจะเล่าไม่ได้….นอกเรื่องอีกละ…” “เอาล่ะ...มีเด็กชายคนหนึ่ง เขาอ่อนแอ ฐานะต่ำต้อย ทำอะไรไม่ดีสักอย่างทำให้เพื่อนๆ ต่างพากันเย้ยหยัน” “แต่แล้วในหมู่เพื่อนที่คอยเย้ยหยันและประนามเด็กชายคนนั้น กลับมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา” “เธอถามเด็กชายคนนั้นว่า ~ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย ซีคน่ะทำดีที่สุดแล้ว สักวันพวกเขาจะเข้าใจเอง~” “และในทุกๆ ครั้งที่เด็กชายคนนั้นหมดกำลังใจ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนที่นำแสงสว่างอันสดใจมาให้ทุกครั้ง”
“กระทั่งชั้นรู้สึกได้ว่า ชั้นจะเป็นไอ้ขี้แพ้แบบนี้ต่อไปไม่ได้ จะมามัวเสียใจกับการที่เพื่อนๆ ไม่ยอมรับไม่ได้” “ชั้นจะต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนเข้มแข็ง แสดงให้ทุกคนรู้ว่าชั้นน่ะเป็นคนที่มีคุณค่าให้พวกเขาได้ประจักษ์” “ชั้นก็เลยเริ่มขิง เอ้ยไม่ใช่….อย่าพิมพ์แบบนี้ตอนกำลังซีเรียสสิฟะอิเจ๊ จังหวะ Climax พังพินาศหมด” “เอาใหม่!! ชั้นก็เลยเริ่มตั้งปณิธานกับตัวเองว่าต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่จดจำในหน้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์” “เป็นคนที่ได้รับการยอมรับ ไม่ใช่แค่การไม่ต้องให้เด็กผู้หญิงคนนั้นต้องมาคอยปลอบประโลมทุกครั้งที่ล้มลง” “แต่ชั้นจะไม่ยอมล้มลงเด็ดขาด และจะเป็นคนคอยช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนในการทำให้ความฝันของเธอเป็นความจริง”
เจนนี่ฟังไปก็รู้สึกตื้นตันไป เพราะสิ่งที่เธอได้ยินมันไม่ได้แตกต่างจากตัวตนของซีคในความคิดของเธอเลย เธอคิดเสมอว่าเขาเป็นคนดีที่จริงใจกับทุกคน แม้ว่าการกระทำของเขานั้นมันจะดูแปลกประหลาดกว่าคนอื่นก็ตาม “เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือเบลล่าสินะ” เจนนี่ถามทั้งที่เธอก็รู้อยู่แล้ว ซีคจึงหยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ...และความฝันของเบลล่า….” “นั่นก็คือการสร้างโลกใบใหม่ให้ดีกว่าโลกใบเดิม ...ทำให้ทุกคนได้อยู่ใต้ฟ้าของจริงไม่ใช่ภาพจำลองภายในโดม”
เจนนี่จึงพูดต่อไปว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น….ชั้นก็คงต้องยอมแพ้เรื่องนี้แล้วล่ะนะ….” จากนั้นเธอก็ยิ้ม “เพราะชั้นน่ะ ทำได้แค่ยืนมองเธออยู่ห่างๆ ไม่เคยช่วยอะไรเธอ พอมีโอกาสช่วย...มันก็สายเกินไปแล้ว” ซีคเองก็ทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ กลับไป เจนนี่จึงปิดท้ายว่า “งั้นเรามาตกลงเป็นเพื่อนกันที่ดีต่อกันนะซีค” รอยยิ้มก็ซีคและเจนนี่ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน มันเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ ทั้งสองเกี่ยวก้อยให้สัญญาต่อกัน ซีคส่งรอยยิ้มจริงใจให้เจนนี่อีกครั้ง “ขอบคุณนะเจนนี่….เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป”
“ประโยคชวนอ้วกชะมัด…..ยัง...ยังเงียบอยู่อีก….ไม่ใช่พวกแกที่อ่านอยู่นะ...อิเจ๊นั่นต่างหาก...ยัง...ยังพิมพ์อยู่อีก….”
……………………………………………….
ระหว่างการเดินทางของ Phaeton
หน่วยพิเศษที่นำโดย อาเรีย มิดฟอร์ด และธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ ก็ตามมาทัน เมื่อเห็นสัญญาณปรากฏในเรด้า ลอว์เรนซ์ สั่งให้ ซีค เจนนี่ และซาเรียส ขึ้นประจำ Ironsuit เพื่อเตรียมการปะทะ เธอเห็นว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ การจะก้าวเดินต่อไปตามเส้นทางที่ได้เลือก จะต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า เธอจึงเลือกเผชิญหน้า กระทั่ง Ironsuit ของ Genesis ทั้ง 4 เครื่อง ลงมาประจัญหน้ากับ Ironsuit ของหน่วยพิเศษทั้ง 5 เครื่อง ในขณะที่เบลล่าถูกสั่งให้เดินทางต่อด้วย Phaeton อย่างน้อยพวกเขาก็อยากให้เบลล่าไปถึงภูเขาที่เป็นที่หมาย
อาเรียหันไปมองธีโอดอร์ เธอพูดขึ้นว่า “อย่าลืมล่ะร้อยโทเดอลาครัวซ์ คำสั่งที่ได้รับคือจับเป็นพวกเขา อย่าพลั้งมือเข้าล่ะ” ธีโอดอร์มองภาพที่หน้าจอของอาเรีย “รับทราบครับร้อยเอกมิดฟอร์ด ถ้าอย่างนั้นผมจะรับผิดชอบจัดการกับหัวโจกเอง” อาเรียจึงมองไปที่เครื่องของลอว์เรนซ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ชั้นจะรับมือกับร้อยตรีดิราเวน...คนอื่นๆ ไปจับคนที่เหลือให้ได้” เมื่อคำสั่งเริ่มภารกิจดังขึ้นจากปากอาเรีย มิดฟอร์ด การปะทะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงครั้งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
Ironsuit ของหน่วยพิเศษ 3 เครื่อง เปิดฉากยิงกระสุนปืนยาวพุ่งตรงเข้าใส่ Ironsuit ของซาเรียส และเจนนี่ ทำให้ทั้งสองต้องเคลื่อนตัวหลบออกมาทางขวา แต่หน่วยพิเศษยังไม่หยุดยิง พวกเขายิงเข้าใส่ต่อเนื่อง ซาเรียสที่บังคับ Ironsuit ได้ชำนาญพอประมาณ สามารถฉากหลบออกมาได้ แต่เขายิงสวนไปไม่เข้าเป้า “ดูเหมือนพวกนั้นจงใจจะแยกเราออกจากซีคและลอว์เรนซ์นะเจนนี่” ซาเรียสพูดขึ้นขณะพยายามเล็งยิง เจนนี่ก็เห็นด้วย “นั่นสินะ แต่จำนวนของพวกเขามากกว่าเรา ที่เราทำได้คือต้องเล่นตามเกมส์และหาทางเอาชนะ”
ความแม่นยำของเจนนี่อยู่ในระดับดีมาก เธอยิงเข้าใส่ปืนยาวของ Ironsuit จนระเบิดไปถึง 2 กระบอก ระหว่างที่กำลังยิงใส่ปืนยาวของอีกเครื่องที่เหลือ หน่วยพิเศษก็พยายามถามว่าทำไมเจนนี่ถึงหักหลังพวกเขา สิ่งที่เจนนี่อยากจะตอบมันคงจะฟังไม่ขึ้นเท่าใดนัก และคงไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เธอจึงไม่เลือกที่จะตอบ ซาเรียส และเจนนี่ ถูกแยกออกห่างซีค และลอว์เรนซ์ และทำการยิงต่อสู้กับหน่วยพิเศษทั้ง 3 นาย
……………………………………….
ทางด้านลอว์เรนซ์ เธอเลือกที่จะปลีกตัวออกมาอีกด้าน
ดูเหมือนความตั้งใจของลอว์เรนซ์นั้นตรงกันกับความตั้งใจของอาเรีย อาเรียจึงเลือกที่จะตามเธอไป เมื่อออกห่างจากจุดที่ซีคและธีโอดอร์เริ่มทำการประทะกันด้วยกระสุนปืนแล้ว ลอว์เรนซ์ก็หยุดเคลื่อนที่ บัดนี้ Ironsuit ทั้งสองเครื่องของอาเรีย และลอว์เรนซ์ ได้มายืนประชันหน้ากันโดยเล็งปืนเข้าหากัน
จู่ๆ อาเรียก็ลดปืนลง ก่อนจะเปิดฝาห้องพลขับออก พร้อมกับส่ง Sling โลหะสู่เบื้องบ้างแล้วโรยตัวลงมาที่พื้น ลอว์เรนซ์อึ้งไปชั่วขณะที่เห็นอาเรียเลือกที่จะออกจาก Ironsuit ขณะเธอกำลังจะเริ่มการต่อสู้กับศัตรู อาเรียเดินตรงเข้ามาหา Ironsuit ของลอว์เรนซ์ที่อยู่ห่างออกไปราว 40 เมตร ทีละก้าว พร้อมยกมือขึ้นเหนือหัว
“ร้อยตรีดิราเวน…..ไม่สิ…..ลอว์เรนซ์…..ชั้นไม่อยากจะสู้กับเธอ…..ชั้นแค่ต้องการเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอ” “เธอแค่ยอมมอบตัวและกลับไปกับเรา เธอก็จะพ้นผิดจากการตัดสินใจกระทำการในครั้งนี้…...” “ถ้าเธอไม่พอใจ ไม่เห็นแก่ท่านประธานาธิบดี หรือไม่เห็นแก่ชั้น….เธอก็ฆ่าชั้นทิ้งซะตอนนี้เลย….”
ลอว์เรนซ์กัดฟันแน่น เธอไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายให้เพื่อนของเธอต้องมารับโทษได้ เพราะความตั้งมั่นของเธอคือการลงมือทำอะไรสักอย่างที่มันเห็นผลและเปิดประโยช์ต่อ Minos อย่างแท้จริง แต่จะให้เธอลงมือฆ่าอาเรีย มิดฟอร์ด ซึ่งเป็นคนที่เธอเคารพ สนิทสนม และเป็นเหมือนครูฝึกของเธอก็ทำไม่ได้ เธอไม่สามารถเลือกอะไรได้ในข้อเสนอที่อาเรียมอบให้ หลังจากนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ลอว์เรนซ์ก็ลดปืนยาวลง จากนั้นเธอเปิดฝาห้องพลขับออก พร้อมกับส่ง Sling โลหะสู่เบื้องบ้างแล้วโรยตัวลงมาเช่นเดียวกับที่อาเรียทำ
แต่ลอว์เรนซ์ไม่ได้เดินมาโดยปราศจากอาวุธ เธอถือปืนกลอัตโนมัติลงมาด้วย เธอเล็งไปที่อาเรีย เมื่อลอว์เรนซ์เดินมาจนถึงระยะห่างประมาณ 8 เมตร เป็นระยะที่เธอยิงไม่พลาด และไม่ใกล้จนเกินไป “อาจารย์คิดว่าสิ่งที่อาจารย์ทำอยู่นั้นถูกต้องแล้วอย่างนั้นหรอคะ….อาจารย์รู้รึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่” อาเรียดูสงสัยในคำพูดของลอว์เรนซ์ ลอว์เรนซ์จึงพูดต่อไปว่า “สิ่งที่รัฐมนตรีแอนเดอร์สันต้องการจริงๆ น่ะ….” “ไม่ใช่การจับตัวพวกเรากลับไป…..แต่เป็นฆ่าพวกเราให้หมดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเอง!!”
อาเรียตกใจและประหลาดใจเพราะเธอยังไม่รู้เรื่องที่พลโทแอนเดอร์สันจงใจนำไข่นกยักษ์มาไว้ที่ Phaeton ลอว์เรนซ์จึงเริ่มเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้อาเรียได้รับรู้ รวมไปถึงเหตุผลที่พลโทแอนเดอร์สันอย่างฆ่าพวกเธอ เพราะหากลอว์เรนซ์ตายด้วยเหตุโดนนกยักษ์ฆ่า คนส่วนมากจะสรรเสริญเธอว่าเป็นเทพธิดาแห่งอนาคตใหม่ และแสดงตนเป็นปฏิปักษ์ต่อแนวคิดของประธานาธิบดีดิราเวนผู้เป็นพ่อของตนเอง คะแนนเสียงของเขาก็จะลดลง ประกอบกับการถูกนกยักษ์ฆ่า นั่นหมายถึงอันตรายที่ไม่คุ้มค่าสำหรับการย้ายออกมาอาศัยในพื้นที่ของนกยักษ์ ผลทั้งหมดจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลามของคะแนนสนับสนุนแนวคิดการดัดแปลงและตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์
ที่ผ่านมา อาเรียเชื่อใจลอว์เรนซ์มาโดยตลอด แต่เรื่องที่ลอว์เรนซ์พูดคราวนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่ยังไม่ควรปักใจเชื่อ
……………………………………...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 18, 2018 16:12:21 GMT
“เห้ย!! เดี๋ยว!!...ใจเย็นก่อนสิฟะ!!”
ซีคตะโกนขึ้นขณะบังคับ Ironsuit กระโดดเขยงๆ ไปมา Joox หลบกระสุนที่ธีโอดอร์ยิงเข้าใส่ กระทั่งเขาทิ้งถูกบังคับให้ทิ้งน้ำหนักของ Ironsuit ลงไปที่ขาขวาทั้งหมด ธีโอดอร์ก็ใช้จังหวะนั้นเข้าประชิด
โครม!!
ตึง!!
Ironsuit ของซีคถูก Ironsuit ของธีโอดอร์ใช้ไหล่พุ่งเข้ากระแทกด้วยความเร็วสูงจนหงายหลังล้มลง “มันจบแล้วล่ะฟาร์ชตัดท์ จะอีกสักกี่ครั้งนายก็แพ้ชั้นเหมือนเดิมนั่นแหละ” ธีโอดอร์ค่อยๆ นำ Ironsuit เดินเข้าหา เขาใช้ขาซ้ายเหยียบแขนขวา Ironsuit ของซีคที่กำลังนอนหงายและแขนขวาข้างนั้นเป็นข้างที่ถือปืนยาวอยู่ ซีคพยายามขยับแขนขวา แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากแรงที่กดทับนั้นมากกว่ากำลังระบบไฮโดรลิกที่แขนของ Ironsuit
“เห้ยข้างหลัง!!” ซีคตะโกนพร้อมยกแขนซ้ายชี้ไปที่ด้านหลังของธีโอดอร์ “.....” แต่ธีโอดอร์นิ่งสนิท “บ้าชิบ หลอกหมอนี่ไม่ได้หรอเนี่ย” ซีคอุทานขึ้นเบาๆ ขณะที่ธีโอดอร์ยกปืนขึ้นจ่อ “มุกหลอกเด็กโง่ๆ….” ซีคถอนหายใจพร้อมกับหยุดขัดขืน เขาปล่อยแรงด้านทั้งหมดลงและนอนในสภาพยอมรับความพ่ายแพ้
“ชั้นแพ้แล้วสินะ…..ทุกสิ่งคงต้องมีขีดจำกัดของมันเอง….คราวนี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่เบลล่าแล้วล่ะ” ซีคบ่นขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันไปถามธีโอดอร์ขึ้นว่า “นี่…..แกน่ะ….ชั้นขอถามอะไรจริงๆ หน่อยสิ….” ธีโอดอร์เงียบพร้อมรับฟังคำถามแต่เขาก็ยังไม่ลดปืนที่เล็งไปยังฝาห้องพลขับของซีคลง ซีคจึงถามขึ้นว่า “แกน่ะ….เป็นหุ่นยนต์ที่คอยทำตามคำสั่งอย่างเดียวโดยไม่สนเหตุผลรึเปล่า”
ธีโอดอร์หรี่ตาลงเล็กน้อย “ทำไมชั้นต้องตอบนายด้วย….แต่ถ้านายอยากรู้ชั้นก็จะตอบให้เอาบุญ….” “เผื่อตอนไปอยู่ในคุกจะได้ทำตัวดีๆ เป็นผู้เป็นคน ไม่โดนคนในคุกฆ่าตาย….ชั้นน่ะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง...” “คนที่ทำในสิ่งที่ถูกต้องได้อย่างสมบูรณ์แบบจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ และคนคนนั้นก็ต้องเป็นชั้น….” “เดิมทีตระกูลของชั้นเคยมีอำนาจ แต่โชคร้ายที่เหตุการณ์บ้านเมืองทำให้ตระกูลของชั้นต้องตกต่ำ” “ชั้นในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลมีหน้าที่ต้องฟื้นฟูความรุ่งเรื่องขึ้นมาใหม่….ชั้นจะต้องสร้างชื่อ...” “และตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างมันด้วยการทำในสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้มันถูกต้อง”
“ชั้นไม่เหมือนกับนาย...คนที่ไม่เคยเข้าใจว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด....นายไม่เข้าใจพื้นฐานทางสังคมเลยด้วยซ้ำ” “สังคมของเราตอนนี้ยึดถือกฎระเบียบ มีโครงสร้างการใช้อำนาจปกครอง มีการเลือกผู้นำจากประชาชนทั้งหมด” “เพราะฉะนั้น กฎระเบียบ คำสั่งจากผู้นำที่ประชาชนเลือกจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”
“หึ!!” ซีคกระแทกลมหายใจออกเป็นการเย้ยหยันอย่างที่ธีโอดอร์ติดนิสัยชอบทำ ทำให้ธีโอดอร์เอะใจ “แกแน่ใจแล้วหรอว่าที่ทำอยู่น่ะถูกต้อง….” คำพูดของซีคดูจะแทงใจของธีโอดอร์และสร้างความสงสัยขึ้น ซีคจึงพูดต่อไปว่า “ที่แกว่ามามันก็ถูก...ท่านประธานาธิบดีเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ใน Minos” “แต่แกแน่ใจหรอว่าสิ่งที่แกกับหน่วยพิเศษกำลังทำอยู่นะมันถูกต้องตามกฎระเบียบที่แกรักนักรักหนา”
ธีโอดอร์หรี่ตาลงด้วยความสงสัย เขาเลือกที่จะรับฟังสิ่งที่ซีคพูดต่อไป “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่แกรับใช้อยู่น่ะ…ก็กำลังทำผิดกฎระเบียบของ Minos และยังไม่พอ” “เขาก็กำลังจะกระทำการขัดคำสั่งท่านประธานาธิบดีไม่ต่างไปจากพวกชั้น...และแกก็มีส่วนร่วมด้วย...” “แกไม่รู้สินะว่าไอ้ท่านนายพลนั่นได้ลักลอบทำการทดลองตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์ลงไปแล้ว!! ตอบชั้นสิแฟร๊งค์อยู่ที่ไหน!!” “และแกก็ไม่รู้หรอกว่าที่เขาส่งพวกแกมาจับชั้นเป็นเรื่องแหกตา จริงๆ แล้วเขามีแผนจะฆ่าพวกเราทั้งหมดตั้งแต่แรก” “จะบอกให้ก็ได้นะว่าเจ้าคนบ้าอำนาจนั่นน่ะ ส่งแฟร๊งค์มาที่ Phaeton และแอบนำไข่ลูกไก่มาไว้กับพวกชั้น” “เพื่อให้เจ้าแม่ไก่ขนทองตัวนั้นมาไล่โซ๊ยพวกเราทั้งหมด ทีนี้ก็ไม่เหลือใครเป็นพยานให้ความชั่วของเขาแล้ว”
เมื่อซีคพูดจบ ธีโอดอร์จึงพูดขึ้นว่า “ที่นายว่ามาน่ะ นายมีหลักฐานรึเปล่า...ไม่ใช่พูดพล่อยๆ แค่หวังเอาตัวรอดงั้นหรอ” ซีคยิ้มมุมปากเมื่อเห็นท่าทีลังเลใจของธีโอดอร์ “ถ้าแกสงสัย….ทำไมไม่ตามไปดูที่ Phaeton ให้เห็นกับตาไปเลยล่ะ” “ไหนๆ ปฏิบัติการครั้งนี้ก็ยังเป็นความลับ ไม่มีใครรู้เรื่องนอกจากท่านรัฐมนตรีกลาโหมเฮงซวยของแกอยู่ละนี่” แต่แล้วระหว่างนั้นเงาบางอย่างขนาดใหญ่เคลื่อนผ่านไปด้วยความเร็วสูง ซีคที่เงยหน้าอยู่เขาเห็นมันเต็มสองตา ธีโอดอร์รับรู้ได้ถึงรูปร่าง ขนาด และความเร็วของมันจากเงาที่ร่อนผ่านหัวเขาไป เขาจึงรีบหันกลับไปดู เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า เขาก็เห็น Phoenixaurus Rex บินผ่านขึ้นเหนือไปด้วยความเร็วสูง
เหงื่อเม็ดหนึ่งของซีคหยดลงจากใบหน้าภายในหมวกชุดพลขับพร้อมกับอุทานขึ้นว่า “แย่ล่ะสิ….เบลล่า…..” ธีโอดอร์จึงปล่อยซีคให้ลุกขึ้น แล้วติดต่อกลับไปยังอาเรีย “ร้อยตรีมิดฟอร์ด...Death Bringer มันอยู่ที่นี่” ในขณะนั้น อาเรีย ลอว์เรนซ์ ซาเรียส เจนนี่ และหน่วยพิเศษทุกคนก็ได้เห็นมันบินผ่านไปแล้วเช่นกัน อาเรียตอบกลับผ่านวิทยุสื่อสารมายังธีโอดอร์ว่า “ชั้นเห็นแล้ว เรากำลังไล่ตามมันไป มันมุ่งหน้าไปยัง Phaeton”
ธีโอดอร์หันไปมองหน้าซีค “ได้เวลาพิสูจน์สิ่งที่นายว่ามาแล้วล่ะ ฟาชตัดท์!!”
……………………………………………………
ไม่นานนัก
ซีคและธีโอดอร์ ก็มาถึงจุดที่ Phaeton อยู่ เขาเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่ทำให้พื้นที่โดยรอบเละเทะ ต้นไม้ใหญ่โค่นล้มลงไปเป็นจำนวนมาก ลอว์เรนซ์ ซาเรียส เจนนี่ และอาเรีย มาถึงที่นี่ได้พักหนึ่งแล้ว นอกจากเศษซากต้นไม้ พวกเขายังเห็นเศษชั้นส่วนของ Ironsuit กระจัดกระจายเต็มพื้นอีกด้วย บางจุดมีชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ตกอยู่เรี่ยราด มันเป็นของหน่วยพิเศษผู้โชคร้ายทั้ง 3 คน โชคยังดีที่ Phaeton นั้นยังไม่ถูกทำลาย เพราะ Ironsuit มาขวางเอาไว้ได้ทันเวลา มันจอดอยู่ห่างออกไป
แต่เหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า นั่นก็คือ เบลล่าในชุดสำรวจ ยืนอยู่หลังกล่องโลหะขนาดใหญ่ ภายในกล่องนั้นคือไข่ของ Phoenixaurus Rex ตัวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และมันกำลังดูเชิงเบลล่า เบลล่ามีอาการกลัวเล็กน้อย ขาของเธอสั่นๆ แต่เธอเลือกที่จะจ้องตากับมันไม่ยอมหลบ เจตนาของเธอคือพยายามบอกให้เจ้า Phoenixaurus Rex ตัวนี้รู้ว่านี่คือไข่ของมันและเธอจะคืนให้ ขณะนั้น ลอว์เรนซ์ ซาเรียส เจนนี่ อาเรีย ไม่กล้าที่จะยิงปืนยาวเข้าใส่เพราะกลัวเบลล่าจะถูกลูกหลง
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ Phoenixaurus Rex กลับพุ่งเข้าใส่เบลล่า
บุม!!!!................ “
"เบลล่า!!!!!!!!!!” ซีคตะโกนลั่น
ด้วยความดุร้ายอันเป็นทุนเดิมของ Phoenixaurus Rex มันสนใจที่จะไล่ฆ่ามากกว่าสนใจอย่างอื่น ทำให้มันไม่รู้เลยว่ากล่องเหล็กใบนั้น ได้ใส่ไข่ของมันเองเอาไว้ และจังหวะที่มันพุ่งเข้าใส่เบลล่า เบลล่าได้กระโดดกลิ้งตัวหลบออกมา กรงเล็บของ Phoenixaurus จึงขยี้เข้าเต็มกล่องเหล็กใบนั้นแทน กล่องเหล็กแตกและฉีกขาด เปลือกไข่ที่แตกเป็นเสี่ยงเหลื่อมออกมาตามช่องที่ถูกฉีกของตัวกล่อง ของเหลวใสเหนียวไหลออกมาพร้อมกับบางส่วนที่เป็นสีส้มเข้ม….ไข่ของมันแตกเรียบร้อยแล้ว
ซ๊าสสสสสสสส!!!!!!!!!!!!! เจ้านกยักษ์กางปีกพร้อมกับส่งเสียงแผดร้องเมื่อมันรู้ว่าไข่ของมันถูกทำลาย จากนั้นมันก็จ้องมาที่เบลล่า อาเรียไม่รอช้า เธอเริ่มเปิดฉากยิงกระสุนเข้าใส่ Phoenioxaurus Rex ทันที ธีโอดอร์ ลอว์เรนซ์ ซาเรียส และเจนนี่ ก็ช่วยอาเรียยิงกระหน่ำเข้าใส่เพื่อไล่ Phoenixaurus Rex ไป ซีคใช้จังหวะนั้นหนี “เดี๋ยว!! ไม่ได้หนีโว่ย!! ไปช่วยเบลล่าตะหากเล่า!!” อะเคร ตามนั้น ไปช่วยเบลล่า
ซีคพาเบลล่ากลับไปหลบข้างใน Phaeton เขามองดูการต่อสู้ระหว่าง Ironsuit กับ Death Bringer “เบลล่า….ชั้นว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ไม่งั้นลอว์เรนซ์กับซาเรียสแย่แน่ๆ….” ซีคพูดขึ้นก็เพราะเจ้า Phoenixaurus Rex เลือกที่จะล็อคเป้าไปที่ลอว์เรนซ์และซาเรียส และคนที่โดนของดีเข้าก่อนก็คือซาเรียส Ironsuit ของเขาถูกแพนหางสบัดเข้าใส่จนส่วนหัวหลุด หน้าจอของซาเรียสดำมืด เขาไม่สามารถทำการต่อสู้ต่อไปได้ งานจึงไปตกแก่ลอว์เรนซ์และเจนนี่
เบลล่าครุ่นคิดขณะเดินลงจากมือของ Ironsuit ที่ซีคบรรจงวางแนบลงกับพื้น “ชั้นคิดออกแล้วล่ะ” “คราวที่แล้วตอนที่ซีคกับลอว์เรนซ์หนีมันมาได้ หน่วยพิเศษก็หนีได้เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ….” “บางทีตอนนั้นพวกเขาน่าจะทำอะไรสักอย่างลงไป….” ซีคฉีกยิ้มออกมา “ไน๊ซื๊อออ เดี๋ยวชั้นมานะ” พูดจบ ซีคก็รับนำ Ironsuit ออกไป เขามุ่งหน้าไปทาง Ironsuit ของธีโอดอร์ ปล่อยเบลล่ายืนงงไว้ตรงนั้น
…………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 18, 2018 16:16:01 GMT
ซีคนำ Ironsuit มายืนข้าง Ironsuit ของธีโอดอร์
จากนั้นซีคก็ถามธีโอดอร์ขึ้นว่า “นี่แก!! ชั้นถามอะไรหน่อยสิ….คราวที่แล้วพวกแกสลัดมันหลุดได้ยังไง” ธีโอดอร์ทำหน้าตาสงสัย “คราวที่แล้วงั้นหรอ….พวกชั้นใช้ระเบิดควันเพื่อบดบังการมองเห็นของมันน่ะ” ซีคได้ยินก็ฉีกยิ้มกว้าง “งั้นแกช่วยยิงระเบิดควันไปใส่ลอว์เรนซ์ให้ทีจะได้มั้ยล่ะ….น่าจะเวิร์คนะ...” ธีโอดอร์รู้สึกเห็นด้วยกับซีค เขายังแอบทึ่งเล็กๆ ว่าทำไมซีคถึงคิดแผนแบบนี้ขึ้นมาได้
ป๊อง!!!..............ฟู่……………….
ระเบิดควันถูกยิงข้ามหัวของ Phoenixaurus Rex ไปตกในจุดที่ลอว์เรนซ์และเจนนี่อยู่พอดี ควันก็เริ่มโพยพุ่ง ซีครีบติดต่อไปยังลอว์เรนซ์ และพูดอย่างเร่งรีบขึ้น “จังหวะนี้แหละ ลอว์เรนซ์ รีบพาซาเรียสไปที่ Phaeton เร็วเข้า” ลอว์เรนซ์ไม่รอช้า เธอและเจนนี่ก็ช่วยกันประคอง Ironsuit ของซาเรียส และมุ่งหน้าไปยัง Phaeton ทันที แต่แล้วเจ้า Phoenixaurus Rex ก็หันมาทางธีโอดอร์และซีค มันจำระเบิดควันได้ และยังคงเคียดแค้นเหตุการณ์นั้น
เมื่อมันหันมา มันก็พบ Ironsuit ของธีโอดอร์ที่ถือปืน แต่ข้างๆ ดันมีบางสิ่งที่ชวนให้มันหัวร้อนมากกว่า นั่นก็คือ Ironsuit ของซีคยืนเท้าสะเอวด้วยแขนซ้าย แต่แขนขวายกขึ้นมาหามันแล้วชูนิ้วกลางใส่ เมื่อซีคเห็นว่ามันมองมา เขาจึงรีบเปิดท่อขับดันสวนทางเพื่อถอยไปด้านหลังพร้อมกับใช้ระเบิดควันอำพรางตัวเอง ธีโอดอร์ตกใจกับการกระทำของซีคที่เขาไม่คาดคิด “นี่นาย!!” แต่มันไม่ทันแล้ว เมื่อเขาหันกลับมา Phoenixaurus Rex ได้โผเข้ามาใส่ จนธีโอดอร์ต้องรีบหลบ และรับมือกับมันแบบตัวต่อตัว
ซีคซุ่มอยู่ในกลุ่มควันและเปิดระบบตรวจจับความร้อนเพื่อดูการต่อสู้ของธีโอดอร์ “สู้ๆ นะพ่อคนเก่ง แกน่ะเก่งที่สุดในกลุ่มพวกเราแล้ว ยังไงก็หาวิธีไล่มันไปให้ได้นะ” ธีโอดอร์กัดฟันด้วยความแค้นที่ตกหลุมพรางของซีค แต่เขาก็ไม่มีเวลาที่จะตอบโต้กลับไปได้ แม้การบังคับ Ironsuit ของธีโอดอร์จะสมบูรณ์แบบมากเพียงใด และการใช้อาวุธมีดดาบของเขาไร้ที่ติ แต่การต้องดวลกับ Phoenixaurus Rex ที่แข็งแกร่ง รวดเร็ว และตัวใหญ่ถึง 30 เมตร เป็นเรื่องยาก
ธีโอดอร์ใช้อาวุธมีดดาบของ Ironsuit ฟันใส่นกยักษ์ไปหลายครั้ง แต่มันไม่สามารถผ่านขนเกราะสีทองไปได้ ซั่วะ!!! แขนซ้ายของ Ironsuit ของธีโอดอร์หลุดลอยเพราะโดนจะงอยปากอันแหลมคมจิกเข้าใส่ ซั่วะ!!! ขาขวาของ Ironsuit ของธีโอดอร์ถูกกรงเล็มทรงพลังขยี้เละ จน Ironsuit ของธีโอดอร์ล้มลง Phoenixaurus Rex กางปีกและส่งเสียงคำราม มันแสดงความยิ่งใหญ่ออกมาก่อนจะลงมือสังหารเหยื่อ แต่วินาทีนั้น Ironsuit อีกเครื่องก็พุ่งเข้าปะทะร่างของมันจนกระเด็น มันเป็น Ironsuit ของอาเรีย
เธอลากมันออกไปไกลด้วยแรงขับจากท่อขับดันทั้งหมดที่มี “ชั้นไม่ยอมให้แกฆ่าน้องชั้นได้หรอกน่า!!” ธีโอดอร์อึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น “พี่อาเรีย!! พี่ทำอะไรของพี่น่ะ!!” เขาอุทานจนลืมใส่ยศของอาเรียไปชั่วขณะ อาเรียยิ้มและตอบกลับมาว่า “ชั้นน่ะหรอ….ชั้นก็จะช่วยน้องชายผู้น่ารักของชั้นยังไงล่ะ….” “และอีกอย่าง….อย่าลืมว่าหน่วยพิเศษนี้ ชั้นน่ะเป็นหัวหน้า คนที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตของพวกเธอทุกคน”
ระหว่างนั้น เจ้า Phoenixaurus Rex ก็ตั้งตัวได้ มันใช้กรงเล็บที่ขาขวาจิกลงกับพื้นเพื่อหยุดแรงลาก อาเรียยิ้มมุมปาก “ในเมื่อกระสุนทำอะไรแกไม่ได้….อาวุธดาบทำอะไรแกไม่ได้….ชั้นเลยมีบางอย่างมาให้แก!!” ด้วยการที่เป็นเครื่องหัวหน้าหน่วย Ironsuit ของอาเรียจึงได้รับการติดตั้งอาวุธหนักที่ไม่เหมือนกับคนอื่น มันคือหัวรบ Missile ซึ่งมีอานุภาพระเบิดรุนแรงกว่ากระสุนธรรมดาหลายสิบเท่า มันถูกติดตั้งไว้ที่แขนซ้ายของหุ่น
นัยน์ตาของธีโอดอร์หดเล็กลง “พี่อาเรีย!!! ถ้าพี่ยิงในระยะนั้น Ironsuit ของพี่ก็จะโดนระเบิดไปด้วยนะครับ!!” แต่อาเรียเปิดช่องยิงมันออกมาแล้ว Ironsuit ของอาเรียกำลังใช้แรงขับทั้งหมดยันร่างของ Phoenixaurus เอาไว้ “หึ!! ชั้นรู้อยู่แล้วล่ะนะ….ฝากบอกลาคุณพ่อของชั้นด้วย….จงเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง….น้องรักคนเก่งของพี่”
ตูม!!!!...................
Missile ของอาเรียระเบิดขึ้นสนั่นหวั่นไหวส่งแรงอัดอากาศออกไปทั่วบริเวณกว้าง ฝุ่นละอองจะพื้นดินฟุ้งกระจาย แรงระเบิดแยกชั้นส่วนของ Ironsuit ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปทั่ว แม้แต่โลหะสัมฤทธิ์ที่ว่ากันว่าทนทานที่สุดในตอนนั้นอย่าง Glieserium Alloy ยังต้านทานเอาไว้ไม่ไหว ร้อยเอกอาเรีย มิดฟอร์ด ได้สละชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องธีโอดอร์น้องชายของเธอและคนอื่นเอาไว้
ในขณะที่เจ้า Phoenixaurus Rex กลับยังไม่ตาย มันทะยานขึ้นด้วยรอยแผลอันแสนสาหัส ขนสีทองที่ปกคลุมร่างกายซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะของมันถูกทำลายจนหลุดล่วงไปเป็นจำนวนมาก ธีโอดอร์ไม่รอช้า แม้ว่า Ironsuit ของเขาจะเคลื่อนที่ไม่ได้และต้องนอนอยู่กับพื้นเป็นเป้านิ่ง แต่เขาก็ยิงปืนยาวที่เขาถืออยู่ในมือขวาซึ่งเหลืออยู่เพียงข้างเดียวยิงซ้ำขึ้นไปใส่เจ้านกยักษ์ กระสุนหลายนัดของธีโอดอร์พุ่งเข้าปะทะร่างกายซึ่งเป็นเนื้อเปื้อนเลือดสีแดงสดไร้ขนสีทองปกคลุม มันได้ผล นกยักษ์ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดของมันสาดกระเด็นไปทั่วฟ้า
จนในที่สุด เมื่อมันรู้ว่าตอนนี้มันสู้ต่อไม่ไหว มันก็ตัดสินใจบินหนีไป … เป็นชัยชนะของมนุษย์
.......................ตูม!!!!.......................
ธีโอดอร์กำลังสะเทือนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้เขาจะสนิทกับอาเรียมากเขาก็ยังไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่แล้วก็มีเสียงปืนดังขึ้น เสียงปืนนั้นเป็นเสียงจากปืนยาวของ Ironsuit ของซีคที่เดินมาจากข้างหลัง เขายิงเข้าใส่แขนขวา Ironsuit ของธีโอดอร์ แขนนั้นถูกยิงจนพังยับ ทำให้ตอนนี้ Ironsuit ของธีโอดอร์หมดสภาพโดยสิ้นเชิง เขาไม่มีอาวุธต่อสู้ และเคลื่อนไหวไม่ได้
ซีคเดินมาอยู่ต่อหน้าธีโอดอร์ เขาเล็งปืนไปที่ลำตัวซึ่งเป็นฝาปิดห้องพลขับของธีโอดอร์และฉีกยิ้ม “เอ้าลงมาได้แล้ว แกแพ้แล้วล่ะธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์คนเก่ง….ชั้นเคยบอกแล้วว่าซักวันแกต้องก้มหัวให้กับชั้น เคี้ยกเคี้ยกเคี้ยก” “ชิ….ไอ้คนเจ้าเล่ห์เอ้ย...” ธีโอดอร์หลับตาเบือนหน้าหนี ก่อนจะเริ่มเปิดฝาพลขับออกมายกมือสองข้างขึ้นเหนือหัว
……………………………………………………
ภายหลังจากที่ Phoenixaurus Rex บินหนีไป
ซีคได้จับตัวธีโอดอร์ไปขังไว้ในห้องพักโดยให้เจนนี่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลคู่หมั้นของเธอ ในขณะที่ตัวซีคเอง กับเบลล่า กำลังติดต่อพูดคุยกับวอร์เรน เกตส์และมาริค สจ๊วตอีกครั้ง
วอร์เรนได้รับรู้เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว เขาก็ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “จากที่คุณเล่ามา ถือว่าพวกคุณใกล้ความสำเร็จเข้าไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว เพราะไม่มีหน่วยพิเศษมาขัดขวางอีกแล้ว” “และก็ยังโชคดีที่รอดเงื้อมมือจาก Death Bringer มาได้ แต่ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงกลับมาเป็นท่านนายพลแอนเดอร์สัน” “จากการคำนวณของผม พวกเขาต้องกลับไปเติมพลังงานให้ Challenger IV จึงยังไม่ได้เริ่มออกเดินทางต่อ” “ประกอบกับหน่วยพิเศษทั้งหมดขาดการติดต่อ และยังมีการยิง Missile ทำลายล้างเกิดขึ้นอีกด้วย”
“การยิง Missile นั้นเกิดขึ้นเป็นวิถีตรงจากตำแหน่งล่าสุดที่พวกเขาพบพวกคุณ ไม่ได้เบนออกจากเส้นทางเดิมเลย” “ผมจึงอนุมานไปก่อนว่า ท่านนายพลแอนเดอร์สันคงรู้แล้วว่าตำแหน่งที่คุณแซนดรีนส่งให้ไปเป็นของปลอม” “เขาจะต้องออกไล่ลาพวกคุณต่อแน่ ผมหวังว่า Challenger IV จะต้องใช้เวลาชาร์จพลังงานนานกว่านี้อีกสักนิด” “เพราะถ้าพวกคุณได้ตัวอย่างพืชที่เราต้องการก่อนเขาจะไปถึง ผมจะแจ้งเรื่องทั้งหมดต่อท่านประธานาธิบดีเอง” “คำสั่งของท่านประธานาธิบดีกับการได้รับรู้ความจริงว่าบุตรสาวของท่านกำลังจะถูกฆ่า น่าจะหยุดท่านนายพลได้”
หลังจากที่วอร์เรนพูดจบ มาริคก็เสริมขึ้นว่า “ระหว่างนี้เราจะได้เริ่มทำการวิจัยแผนเพื่อเสนอท่านประธานาธิบดีแล้ว” “เราจะเสนอแผนการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นผิวโดยไม่เปลี่ยนแปลงสภาพผิวดาวทั้งหมด แต่จะทำในบางพื้นที่” “เราเลือกพื้นที่ที่อยู่ไม่ห่างจากแต่ละฐาน หากเราทำพื้นที่นั้นให้ปราศจากกัมมันตภาพรังสีและมีออกซิเจนได้มากพอ” “ระบบนิเวศน์ของดาวดวงนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราจะมีพื้นที่เป็นของตัวเอง และมีแนวกัมมันตภาพรังสีเป็นรั้วบ้าน” “ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งทั้งหมดอยู่ในกำมือของพวกนาย พวกนายจะต้องทำให้สำเร็จ….ฝากด้วยนะเหล่า Genesis ทั้งหลาย”
เมื่อมาริคพูดจบ สัญญาณก็ถูกตัดไป เบลล่าหันมาสบตาซีคด้วยแววตาที่มุ่งมั่นและจริงจัง ซีคเองก็ฉีกยิ้มกลับไป เพราะแผนที่เขาเป็นคนริเริ่มได้กล่ายเป็นรูปเป็นร่างเกินความคาดหมายเอาไว้มาก จากเดิมที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ แต่ตอนนี้โอกาสนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งที่เขาทำก็มีคนยอมรับแล้ว
“อุ๊ย!!....” เบลล่าอุทานพร้อมกับหลบตาซีค ซีคเห็นท่าทีเช่นนั้น เขาก็ถามด้วยความสงสัย “มีไรงั้นหรอเบลล่า?” “ป่ะ...ปล่าว...” เธอตอบด้วยท่าทีเขินอาย เพราะในช่วงที่ผู้เขียนกำลังอธิบายยาวยืด ใจของเบลล่าก็ลอยออกไปไกล เธอนึกถึงตอนที่ซีคเข้ามาช่วยเธอไว้อย่างไม่คิดชีวิตเป็นครั้งที่สอง เธอนึกถึงสิ่งที่ซีคพูดกับเธอเสมอว่าเขาจะปกป้องเธอ เธอนึกถึงสิ่งที่ซีคทำทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่จะเติมเต็มความฝันของเธอให้เป็นจริง สิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็เพื่อ...เธอ….
“~ นี่เรา….ชอบเขาแล้วอย่างนั้นหรอ….~”
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 20, 2018 14:29:48 GMT
EP.11 : Salvation ยานหุ้มเกราะ Phaeton
ขณะนี้มันกำลังพาเหล่า Genesis มุ่งหน้าเดินทางสู่พื้นที่สุดท้ายของจุดหมายผ่านป่าทึบขึ้นสู่ทางเหนือ จากการคาดคะเนของซาเรียสผู้มีความชำนาญด้านภูมิศาสตร์ จุดมุ่งหมายของ Genesis จะเป็นหุบเขา ซีคและเบลล่าได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน เวลานี้ในห้องพลขับเป็นหน้าที่ของลอว์เรนซ์ เธอเปิดระบบ Auto Pliot ไว้ก็จริง แต่เธอก็ยังนั่งคอยสังเกตการณ์เผื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันเจนนี่รับหน้าที่ในการคอยคุมควบคุมตัวธีโอดอร์ซึ่งอยู่ในสถานะนักโทษบนยาน
ซาเรียสนั้นได้อาสามาช่วยลอว์เรนซ์สังเกตการณ์ในห้องพลขับ เขานั่งอยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จา ในมือของเขากำลังลงมือเขียนบทความอย่าง้ช่นที่เขาทำมาตลอดเวลาว่างในการเดินทางครั้งนี้ ท่ามกลางความเงียบสงัด ลอว์เรนซ์ก็พูดขึ้นลอยๆ ว่า “ทำไมอาจารย์มิดฟอร์ดถึงต้องทำอย่างนั้นด้วยนะ” ซาเรียสได้ยินเสียงบ่นของลอว์เรนซ์ เขาเข้าใจดีอยู่แล้วว่าเธอกำลังเศร้าโศกเสียใจจากการเสียอาเรียไป แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเรียบเรียงคำพูดเพื่อปลอบใจเธออย่างไร กระทั่งเขานึกถึงสิ่งที่เบลล่าพูดไว้
ซาเรียสจึงวาง Tablet ที่เขาใช้ในการเขียนหนังสือลง “ที่ร้อยเอกมิดฟอร์ดทำไปน่ะ ก็เพื่อพวกเรา...” “ร้อยเอกไม่อยากให้พวกเราต้องมาตายเปล่า...โดยเฉพาะเธอ ลอว์….ร้อยเอกเข้าใจเธอทุกอย่าง...” “ชั้นเชื่อว่าที่ร้อยเอกตัดสินใจทำลงไปแบบนั้น ไม่ใช่เพื่อให้พวกเรารอดตายเพียงอย่างเดียวหรอกนะ” “ร้อยเอกเชื่อใจในตัวพวกเราทุกคน ว่าพวกเราทุกคนจะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมาอย่างที่วาดฝันไว้ได้” ลอว์เรนซ์หันครึ่งหน้ากลับมามองซาเรียส “เชื่อใจในตัวพวกเราอย่างนั้นหรอ….”
ซาเรียสพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจแล้วหลับตาลง “ไม่เหมือนกับชั้น….ที่กลับไม่เคยเชื่อใจพวกเราเลย” “ชั้น….ชั้นก็เลยหักหลังพวกเรา….ชั้นเองนี่แหละ….ชั้นคนนี้นี่แหละที่เป็นไส้ศึกส่งข่าวให้หน่วยพิเศษ” นัยน์ตาของลอว์เรนซ์หดเล็กลง เธอหันกลับมามองหน้าซาเรียสด้วยใบหน้าที่ใจหาย “นายว่าไงนะ!!?”
ซาเรียสเงยหน้าขึ้นจ้องตากับลอว์เรนซ์ “ใช่แล้วล่ะ….มันเป็นชั้นเองที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น!!” “ชั้นทำลงไปเเพราะคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดโดยไม่เคยคิดที่จะเชื่อใจเธออย่างที่เธอเชื่อใจชั้น...” “ชั้นรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เกินให้อภัย….ชั้นจะไม่ขอให้เธอให้อภัย...แต่ชั้นขอสาบานว่าตั้งแต่นี้ต่อไป...” “ชั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่ชั้นได้ก่อไว้...ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม!!” “เพราะโลกใบนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง….ไม่ใช่หยุดนิ่งรอโอกาส….พวกเราต้องไขว่คว้าโอกาสนั้นเอง”
เมื่อซาเรียสพูดจบ เขาก็เดินออกไปเงียบๆ ในขณะที่ลอว์เรนซ์มีสีหน้าที่ผิดหวังกับสิ่งที่ซาเรียสได้ทำลงไป
………………………………...
ยาน Challenger IV
ช่วงเวลานี้ยานบินยักษ์ Challenger IV กำลังจอดแน่นิ่งอยู่กลางทุ่งแห้งแล้งและกางแผงโซล่าออกทั่วลำ มันต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ เพื่อสะสมพลังงานในการออกบินต่อ ส่งผลให้มันยังใช้การไม่ได้ชั่วคราว
ที่สะพานเดินเรือ พลอากาศโทเรย์ แอนเดอร์สันสวมชุดพลขับกำลังสั่งการเจ้าหน้าที่อย่างเร่งรีบ ใบหน้าของเขาไม่สบอารมณ์มากนัก มือของเขากำแน่น พยายามเก็บอาการหัวร้อนไม่ให้แสดงออกมา ไม่นานนัก แมกซิม เฟลเลอร์ก็รีบวิ่งเข้ามาที่สะพานเดินเรือ เขามองไปรอบๆ ห้องโถงโลหะ เมื่อเขาเห็นพลโทแอนเดอร์สันอยู่ด้านล่าง เขาก็รู้ทันทีว่าพลโทแอนเดอร์สันพร้อมลุยแล้ว
แมกซิมวิ่งปรี่เข้ามาหยุดต่อหน้าพลโทแอนเดอร์สันแล้วถามขึ้นว่า “จะออกไปลุยแล้วอย่างนั้นรึครับท่าน” แอนเดอร์สันหันกลับมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ใช่แล้ว เสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้...พวกเราตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว” แมกซิมแปลกใจเมื่อได้ยินว่าพวกเขานั้นตกหลุมพราง พลโทแอนเดอร์สันจึงอธิบายต่อไปว่า “เมื่อครู่สัญญาณของหน่วยพิเศษขาดหายไป แถมยังมีสัญญาณแจ้งการใช้หัวรบ Missile กลางป่า” “เส้นทางการระเบิดนั้นยังคงมุ่งตรงขึ้นสู่ทางตอนเหนือ ไม่ได้เบี่ยงเบนไปยังจุดที่เราวางแผนมุ่งหน้าไป” “เป็นไปได้ว่าคนที่ชื่อแซนดรีนหักหลังพวกเราด้วยการส่งข้อความเท็จ ทำให้การคำนวณของเราผิดพลาด”
แมกซิมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดที่พลโทแอนเดอร์สันกล่าวมาได้ และมันฟังดูสมเหตุผล แมกซิมจึงรีบสั่งให้นำ Ironsuit ส่วนตัวของพลโทแอนเดอร์สันเข้าช่องส่ง พร้อมติดตั้งอาวุธหนักไปเท่าที่ทำได้ “แย่จริงเชียว….ต้องขออภัยท่านรัฐมนตรีด้วยน๊าทำให้ท่านต้องลำบาก...ถ้ายังไงผมจะรีบไปรับท่านกลับนะครัช” พลโทแอนเดอร์สันพยักหน้า เมื่อ Ironsuit ของเขาเข้าประจำจุดปล่อยตัว เขาก็ขึ้นประจำห้องพลขับอย่างเร่งรีบ หลังจากที่ Sling เหล็กดึงตัวนายพลแอนเดอร์สันขึ้นไป ฝาห้องพลขับก็ปิดตัว พร้อมๆ กับประตูช่องส่งที่เปิดออก
“เรย์ แอนเดอร์สัน….Ironsuit II Ready for Take-Off…..ชั้นจะฆ่าพวกแกเอง” เมื่อพูดจบเขาก็จุดระเบิดท่อขับดัน หุ่นรบรูปร่างมนุษย์สูง 18 เมตร สีส้ม ติดอาวุธหนักทั้งตัว มีแพคเสริมอาวุธด้านหลัง พร้อมท่อขับดันพิเศษเริ่มลอยขึ้น Ironsuit II พุ่งทะยานออกจากช่องส่งของ Challenger IV ด้วยความเร็วสูงมาก มุ่งหน้าไปเข้าป่าทึบทางทิศเหนือ
………………………………
ในที่สุด Genesis ก็มาถึงที่หมาย
จุดหมายของพวกเขานั้นเป็นปากทางเข้าสู่หุบเขาปลอดกัมมันตภาพรังสี และมีออกซิเจนหนาแน่น จากหน้าจอเซ็นเซอร์ตรวจจับสภาพแวดล้อมใน Phaeton มันบ่งบอกว่าสิ่งที่พวกเขาคิดนั้นถูกต้อง ปากทางเข้าเป็นช่องเขาซึ่งไม่กว้างมากนัก มันใหญ่พอที่จะส่ง Ironsuit เข้าไปได้อย่างสบายๆ แต่มันไม่ใหญ่พอที่จะนำยาน Phaeton ทั้งลำผ่านเข้าไปได้ ภายในเป็นหน้าผาซ้อนกันหลายชั้น มีน้ำตกจำนวนมากไหลตามหน้าผา ทั้งฝั่งซ้ายและขวาประดับประดาไปด้วยโขดหิน และต้นไม้นานาชนิด
ลอว์เรนซ์และซาเรียสเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถนำ Phaeton ผ่านเข้าไปได้ จึงนำมันจอดหลบไว้ข้างทางเข้า ทุกคนรู้ดีว่าสถานที่ที่อยู่เบื้องหน้านั้น แม้จะดูสวยงามวิจิตรตา แต่มันเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดบนดาวดวงนี้ เพราะมันเป็นสถานที่ทำรังและอยู่อาศัยของ Phoenixaurus Rex ตัวที่พวกเขาเพิ่งจะเผชิญหน้า
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์นั้นสงบเงียบดี ราวกับว่า Phenixaurus Rex ตัวนั้นไม่ได้กลับมาที่รังแห่งนี้ ซีคจึงตัดสินใจให้เบลล่านำอุปกรณ์เก็บตัวอย่างติดตัวมาและเข้ามาใน Ironsuit ของเขาเพื่อเข้าไปด้วยกัน และให้ลอว์เรนซ์ ซาเรียส เจนนี่ ประจำใน Ironsuit เพื่อตามเข้ามาด้วย โดยขังธีโอดอร์ไว้ใน Phaeton
แต่เมื่อทุกคนนำ Ironsuit ออกมา และเดินไปถึงหน้าปากทางเข้าหุบเขา พวกเขาก็พบกับศัตรูเจ้าเก่า ซ๊าสสสสสส!!!! เจ้า Phoenixaurus Rex ที่ได้รับบาดเจ็บ ได้โผบินออกมาดักหน้าทางเข้าไว้ มันรู้อยู่แล้วว่า Genesis จะต้องมาที่นี่ ด้วยสัญชาติญาณ มันไม่ยอมเสียพื้นที่ทำรังของมันไปแน่
ซีคถอนหายใจด้วยใบหน้าสุดเซ็ง “โถ เจ้าลูกเจี๊ยบตัวนี้อีกแล้วเรอะ!! คราวก่อนท่าจะยังไม่เข็ด” “ถ้ายังวอนหาเรื่องอย่างนี้อยู่อีกล่ะก็ พ่อจะตีให้ขนหลุด บอกก่อนว่าคราวนี้เอาจริงแล้วจะหาว่าไม่เตือน” ลอว์เรนซ์หรี่ตาลง “จริงจังหน่อยสิ นี่มันใช่เวลาจะมาขี้โม้งั้นหรอ เจ้านั่นน่ะอันตรายแค่ไหนนายก็รู้นี่” เธอพูดจบก็เหลือบไปมองที่ Ironsuit ของซาเรียสด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความไม่ไว้ใจอีกต่อไป
ซาเรียสเห็นแววตาของลอว์เรนซ์ เขาได้แต่แสดงสีหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะเริ่มตั้งสติเพื่อทำการต่อสู้ ซาเรียสมองไปที่รอยบาดแผลของมัน “ดูเหมือนจากการต่อสู้คราวที่แล้ว กระสุนจะยิงมันเข้าอยู่น่ะนะ” “แต่กระสุนที่สร้างบาดแผลให้มันได้ มีเฉพาะส่วนที่ไม่มีขนสีทองเป็นเกราะกัมบัง พวกเราต้องเล็งจุดนั้น” รอยบาดแผลที่ซาเรียสเห็น เกิดขึ้นที่หน้าอกด้านซ้าย และโคนปีกซ้าย ซึ่งเกราะขนสีทองหายไปทั้งแถบ
ซีคยิ้มมุมปาก “ถ้ายิงเข้า งี้ก็เล่นไม่ยาก” เมื่อพูดจบ เขาก็ยกแขนขวาของ Ironsuit ขึ้นชูนิ้วกลางใส่มัน ทันทีที่มันเห็นท่าทางของซีค มันก็จำได้เป็นอย่างดี และเหมือนมันก็เข้าใจด้วยว่าเป็นการยั่วโมโห Phoenixaurus Rex โผเข้าโจมตีซีคอย่างไม่ลังเล แม้ความเร็วมันจะลดลง แต่มันก็ยังเร็วมาก ผลจากการเผชิญหน้ากับมันมาหลายครั้ง รวมถึงการแอบสังเกตวิธีเคลื่อนไหวของมันในกลุ่มควัน ทำให้ซีคเดาการโจมตีของมันออก เขาบังคับ Ironsuit เอี้ยวตัวหลบได้อย่างไม่น่าเชื่อจนทุกคนต้องอึ้ง
Phoenixaurus Rex ยังคงบินวนไปมา และโฉบลงมาโจมตีใส่ Ironsuit ทั้ง 4 เครื่องเป็นระยะๆ แต่ดูเหมือนมันฉลาดพอที่จะหันด้านขวาของมันเองเข้าใส่ เพราะเป็นด้านที่ยังมีเกราะป้องกัน ความแม่นยำของลอว์เรนซ์ และเจนนี่ จึงยังทำอะไรมันไม่ได้ แม้ซาเรียส และซีคจะมีช่องยิงก็ตาม แต่เขาก็ไม่แม่นพอจะยิงเข้าไปยังจุดที่ไม่มีขนสีทองป้องกัน พวกเขาเสียกระสุนไปจำนวนมาก
ทว่าสถานการณ์ดูไม่ดีขึ้นเลย เบลล่าที่นั่งอยู่ด้านหลังของซีคใน Ironsuit กุมมือตัวเองอย่างวิตก “ถ้าเราบอกมันได้ว่าเราไม่ได้มาเพื่อยึดรังของมันก็ดีสินะ….เราจะได้ไม่ต้องมาสู้กับมันแบบนี้” “แถมปล่อยไว้แบบนี้อาวุธของเราจะหมดก่อนที่จะล้มมันได้….ทำไมมันน่าอึดอัดใจแบบนี้น่ะ...” ซีคขมวดคิ้ว เขาเข้าใจความรู้สึกของเบลล่าที่ไม่อยากทำร้ายมัน “ก็เราไม่มีทางเลือกนี่ เบลล่า...”
กระทั่งความผิดพลาดของเหล่า Genesis ก็เกิดขึ้นเมื่อมันโฉบเข้าหาเจนนี่ด้วยความเร็วสูง แม้ก่อนหน้านี้มันจะพยายามโฉบเข้ามาแล้วหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพราะเจนนี่เดาทางมันได้ ทุกครั้งมันจะต้องเข้ามาทางซ้ายของเธอ เพื่อใช้ปีกขวาที่มีขนสีทองเป็นเกราะขณะทำการโจมตี แต่คราวนี้เมื่อมันเข้ามาใกล้ มันกลับหันหน้าตรงเปิดจุดอ่อนในขณะโจมตี ทำให้เจนนี่ไม่ทันคาดคิด
ฟึ่ม!!!..........
Ironsuit ของเจนนี่ถูกกรงเล็บเท้าขวาของ Death Bringer ขยี้เข้าที่ส่วนหัวลงไปถึงหน้าอก Ironsuit ของเจนนี่ล้มลง โชคยังดีที่การบดขยี้ของมันไม่เข้ามาถึงห้องนักบิน แต่เจนนี่ก็ไม่สามารถสู้ต่อได้
“เจนนี่!!” ซีค เบลล่า ลอว์เรนซ์ และซาเรียส อุทานขึ้นพร้อมกัน และไร้เสียงตอบรับจากเจนนี่
แต่แล้วสถานการณ์กลับแย่ลงกว่าเดิมเมื่อเสียการยิงอันแม่นยำจาก Ironsuit ของเจนนี่ไป 1 เครื่อง จากที่มีโอกาสยิงอยู่หลายต่อหลายครั้ง คราวนี้พวกเขาที่เหลือทั้ง 3 เครื่อง จึงหามุมยิงแทบไม่เจอ กระทั่งมีเสียงติดต่อเข้ามาหาซีค มันติดตามาจาก Phaeton ผู้ติดต่อเข้ามาคือ ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์
“ถ้าไม่อยากให้เจนนี่ตาย….ฟาร์ชตัดท์ นายต้องปล่อยชั้นออกไป….” แต่ซีคตอบกลับไปว่า “ไม่โว่ย!!”
………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 20, 2018 14:33:00 GMT
“เขาบอกเธอไปแล้ว….”
ฟองน้ำอุทานขึ้นเบาๆ เธอรู้สึกตกใจกับการตัดสินใจของซาเรียส ที่จะเลือกสารภาพความจริงกับลอว์เรนซ์ เอริคหรี่ตาลงก่อนจะถามว่า “หนูฟองน้ำคิดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะครับ” ฟองน้ำนิ่งไปครู่หนึ่ง เธอก็ตอบกลับไปว่า “คุณแซนดรีนคงฝืนมองหน้าคุณดิราเวนต่อไปไม่ได้ เลยตัดสินใจบอกความจริงออกไปแบบนั้น...สินะคะ...” “ตอนนี้คุณดิราเวนคงยังไม่เข้าใจเจตนาดีและความรู้สึกผิดของคุณแซนดรีน….นั่นอาจเพราะเธอคงยังตกใจอยู่” “แต่สักวันหนึ่ง ดิชั้นเชื่อว่าคุณดิราเวนจะต้องเข้าใจแน่ๆ ค่ะ….ที่ผ่านมาคุณแซนดรีนหวังดีกับเธอมาตลอดนี่คะ….”
มาโกะทำหน้าบึ้งๆ เธอศอกเข้าไปที่เอวของฟองน้ำเบาๆ “เอาอีกแล้วนะเธอเนี่ย ไปเข้าข้างหมอนั่นอีกแล้ว!!” ฟองน้ำยิ้มแห้งๆ “ไม่ได้เข้าข้างซะหน่อย มาโกะจังเนี่ยล่ะก็….ชั้นแค่สงสารคุณแซนดรีนที่ต้องตกที่นั่งทำบากเท่านั้นเอง” มาโกะเชิดหน้าหนี “ชิ ไม่เห็นจะน่าปลาบปลื้มหรือน่าสงสารอะไรเลย….ไอที่น่าสนใจกลับไม่สนใจ….” “เอ๊ะ!!?” “ก็เจ้านกยักษ์ตัวนั้นน่ะสิ!! เท่าที่อ่านมายังไม่เห็นวี่แววจะเอาชนะมันได้เลยไม่ใช่รึไง ทำไมมันถึงร้ายกาจขนาดนั้นนะ” “ชั้นอยากจะรู้จริงๆ นะว่า ถ้าพวกเราต้องมาสู้กับมันตอนนี้ ด้วย Valkyria Unit ของเราจะชนะมันได้รึเปล่า?”
เมื่อเอริคเห็นทั้งฟองน้ำ และมาโกะ หันมาเป็นสัญญาณว่าต้องการคำตอบจากเขา เขาก็ยิ้มปนหัวเราะ “ถามผมอย่างนั้นหรอกครับ….ผมคงต้องเกริ่นก่อนว่าจากข้อมูลเทคโนโลยีสมัยนั้นถึงจะก้าวหน้าแล้วก็ตาม” “แต่การพัฒนา Ironsuit เพื่อใช้ในการทหารยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังเท่าใดนัก ไม่เหมือนสมัยนี้” “สมัยนั้น ฐาน Radamanthys ให้ความสำคัญกับการสร้างสถานีอวกาศเพื่อติดตั้งปืนใหญ่วงโคจรมากกว่า” “เพราะดาวดวงนี้เป็นดาวที่มีขนาดใหญ่ มันมักจะถูกอุกกาบาตขนาดน้อยใหญ่พุ่งชนอยู่อย่างต่อเนื่อง”
“Ironsuit สมัยนั้นจึงเชื่องช้ากว่า อืดอาดกว่า มีความทนทานต่ำกว่า และอาวุธด้อยกว่า Valkyria Unit มาก” “ถ้าหากฝูง Valkyria Unit ในสมัยนี้ต้องเผชิญหน้ากับมัน คงจะกำราบมันให้ร่นถอย หรือปลิดชีพมันได้ไม่ยาก” “แต่อย่างไรก็ตาม หากต้องสู้แบบตัวต่อตัวกับมันในตอนนี้ เราก็คงต้องใช้นักบินที่เก่งที่สุดไปดวลเพื่อเอาชนะเหมือนกัน”
“เพราะตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ เผ่าพันธุ์ Phoenixaurus ยังคงเป็นผู้ล่าสูงสุดในบ่วงโซ่อาหารของดาวดวงนี้ไม่เปลี่ยนแปลง”
……………………………...
Challenger IV
ท่ามกลางความสงบ เจ้าหน้าที่รายหนึ่งในห้องบัญชาการยานบินก็รายงานขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “แย่แล้วครับกัปตัน…..พวกมันมาจากไหนก็ไม่รู้ครับ พวกฝูง Lycanus….ทำไงกันดีครับกัปตัน” เสียงเตือนนั้นทำให้แมกซิม เฟลเลอร์สะดุ้งเฮือก เขารีบวิ่งมาดูที่หน้าจอหลักอย่างเลิ่กลั่ก เมื่อเขาเห็นฝูง Lycanus กำลังควบเข้ามาที่ Challenger IV ด้วยความเร็วสูงจากทั่วทิศทาง ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือก เพราะตอนนี้ Challenger IV ไม่เหลือ Ironsuit เอาไว้รับมือกับพวกมันแล้ว
“บ้าชิบ!! เจ้าพวกโง่ รีบหุบแผงรับพลังงานเดี๋ยวนี้ เราต้องรีบออกบินแล้ว อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย!!” ทันทีที่แมกซิมสั่งการลงไป เจ้าหน้าที่ของยานก็รีบดำเนินการทันที แต่ด้วยแผงรับพลังงานที่มีมาก และขนาดของมันก็ใหญ่โต มันจึงเคลื่อนกลับเข้าที่ได้ช้า ยานลำนี้ไม่ใช่ยานบินติดอาวุธจึงไร้การป้องกัน ปกติจะต้องมี Ironsuit ทำการคุ้มกันระหว่างยานทำการชาร์จพลังงาน และยานลำนี้มีระบบ Safety อีกอย่าง นั่นคือ ยานจะไม่สามารถจุดระเบิดไอพ่นขับดันเพื่อบินขึ้นได้ ถ้าหากยังเก็บแผงพลังงานไม่เสร็จสิ้น เพราะแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์มีโครงสร้างที่บอบบางไม่สามารถรับแรงกระชากจากการบินขึ้นได้
แมกซิม เฟลเลอร์นั่งลุ้นขาสั่นตัวเกร็ง ขณะมองฝูง Lycanus กำลังวิ่งเข้ามาโจมตีใส่ Challenger IV ทุกทิศทาง ประตูรอบยานค่อยๆ ปิดลงช้าๆ บางบานก็ปิดสนิทแล้ว บางบานยังไม่ปิด ขณะที่ Lycanus บางตัวพยายามเข้ามาในยาน Lycanus บางตัวเกือบทำได้สำเร็จ แต่ประตูกลับปิดได้ทัน ทำให้ครึ่งลำตัวบนของมันถูกประตูเหล็กหนีบตัดจนขาดครึ่ง ในที่สุดระบบทุกอย่างก็ Online ไอพ่นขับดันเริ่มทำงานอีกครั้ง มันยกตัวยาน Challenger IV ลอยขึ้นจากพื้น Lycanus บางตัวที่ปืนอยู่บนตัวยานก็เสียหลักร่วงลงสู่พื้น บางตัวก็ถูกไอพ่นด้านล่างพ่นใส่จนร่างสลายหายไป
ในที่สุด Challenger IV ก็บินสูงขึ้นจนถึงระดับ 1 กิโลเมตร และเริ่มเคลื่อนที่ขึ้นไปทางตอนเหนือด้วยความเร็ว แมกซิมเป่าปากโล่งใจ “ฟู่……..ไอ้หมาเวรพวกนี้จมูกดีนัก คงตามกลิ่นพรรคพวกที่โดนจับไอเชือดมาแน่ๆ” แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อประตูห้องบัญชาการถูกอัดกระแทกเข้ามาจนลอยเฉี่ยวหน้าแมกซิมไป แมกซิมหันกลับมามองที่ประตู หน้าของเขาก็เหลือเพียงสองนิ้ว “สะสะสวัสดี...เจ้าตูบ….จุ๊ๆๆๆๆ ไม่ดื้อน๊าลูกน๊า...”
ฮร่าห์!!!!!!!! Lycanus ตัวหนึ่งหลุดรอดเข้ามาใน Challenger IV ได้ และบัดนี้มันอยู่ในห้องบัญชาการแล้ว
ไม่นานนัก Challenger IV ก็เริ่มบินเฉียงออกนอกเส้นทาง และทิ่มหน้าลงไปยังพื้นดินของทุ่งแห้งแล้ง
ตูม!!!!!!!
Challenger IV ร่วงลงกระแทกพื้นดาวทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แสงสว่างเจิดจ้าไปทุกทิศ แรงระเบิดทำให้เกิดกลุ่มควันโพยพุ่งขึ้นคล้ายดอกเห็ด….Challenger IV ถูกทำลายชนิดแทบไม่เหลือซาก
………………………………...
หน้าทางเข้าหุบเขา
Genesis ที่เหลือเพียง Ironsuit ของซีค ลอว์เรนซ์ และซาเรียส กำลังต่อสู้กับ Phenixaurus Rex หลังจากที่เสียการยิงสนับสนุนจากเจนนี่ ซึ่งยังไม่รู้ชะตากรรม พวกเขาก็เสียเปรียบหนัก พวกเขาทำได้เพียงรอยิงตอบโต้เฉพาะเวลาที่มันโฉบลงมาเท่านั้น และยังทำอะไรมันเพิ่มเติมไม่ได้ กระทั่งมันพุ่งเข้าใส่ Ironsuit ของซาเรียส จากนั้นมันก็ใช้หางสบัดเข้าใส่จน Ironsuit ของซาเรียสล้มหงาย แรงกระแทกทำให้เกราะส่วนหน้าอกของซาเรียสได้รับความเสียหาย ระบบขับเคลื่อนผิดปกติเล็กน้อย
หลังจากที่มันโจมตีซาเรียสแล้ว มันก็พุ่งตรงกลับไปที่เครื่องของเจนนี่ ราวกับมันจะซ้ำให้ตายไปทีละคน และแล้วจังหวะนั้น Ironsuit เครื่องที่ 4 ก็ปรากฎตัวขึ้น มันเป็น Ironsuit ของอีธานที่เจนนี่เก็บกลับมาด้วย นักบินของ Ironsuit คนนั้นก็คือ ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ เขาแหกห้องขังออกมาด้วยการทำลายวงจรล็อคประตู ธีโอดอร์นำ Ironsuit มาขวางหน้า Ironsuit ของเจนนี่ไว้ ก่อนจะยิงกระสุนสวนเข้าใส่ Phoenixaurus Rex กระสุนพุ่งเข้าปะทะหน้าอกด้านซ้ายที่ไม่มีขนเกราะสีท้องป้องกัน ทำให้มันลื่นไถลหายไปในป่าทึบ
ซีคหรี่ตาลง เขาเล็งปืนยาวไปที่ Ironsuit ของธีโอดอร์ แต่ธีโอดอร์กลับไม่ยกปืนเล็งกลับมาที่ซีค เขาหันกลับหลังและก้มลงไปที่ Ironsuit ของเจนนี่ ก็จะใช้มืองัดฝาห้องพลขับให้เปิดออก สิ่งที่ธีโอดอร์เห็นคือ เจนนี่ที่ถูกกระแทกบริเวณศีรษะจนเลือดอาบเต็มใบหน้ากำลังนอนหมดสติอยู่ ซีคมีท่าทีสงสัยจึงถามไปว่า “นี่แกเสียสติไปแล้วรึ ตะก่อนแกเป็นเกย์เคยจะแคร์จะสนผู้หญิงนี่นา”
ธีโอดอร์หลับตาลงด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย “เสียสติหรอ เกย์งั้นหรอ….ไม่ใช่ทั้งนั้น….ชั้นแค่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง” “ปณิธานของชั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ร้อยตรีเวอร์ม่าเป็นคู่หมั้นของชั้น มันจึงเป็นหน้าที่ของชั้นที่จะปกป้องเธอ” “ถ้านายคิดว่าสิ่งที่ชั้นทำมันไม่ถูกล่ะก็ ยิงเข้ามาได้เลย!! ฟาร์ชตัดท์!!” ธีโอดอร์พูดจบแล้วนิ่งไปเพื่อให้ซีคตัดสินใจ “ชิ!! ทำเป็นเท่ห์ ฉากเท่ห์ๆ แบบนี้ชั้นทำมาเยอะ ชั้นบอกเลยว่าฉากของชั้นแหล่มแมวกว่าเยอะ” ซีคตัดสินใจลดปืนลง
ธีโอดอร์ จึงใช้อาวุธมีดดาบที่แขนขวา ตัดส่วนหัว แขน และขาของ Ironsuit ของเจนนี่ให้เหลือแต่ลำตัว จากนั้นเขาก็ใช้มือทั้งสองข้างประคองพาเจนนี่ในห้องพลขับมุ่งหน้าไปกลับไปยังยาน Phaeton เขาลงจาก Ironsuit ของตัวเองแล้วปีนเข้าไปในห้องพลขับของเจนนี่ ก่อนจะบรรจงอุ้มเธอลงมา
ตลอดทางที่ธีโอดอร์พาเจนนี่ไปตัวยาน เขาไม่รู้ลยว่าเจนนี่ยังพอมีสติอยู่บ้าง และเธอก็เห็นภาพของเขาลางๆ
…………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 20, 2018 14:39:11 GMT
หลังจากเขาส่งเจนนี่ในห้องที่ปลอดภัย
ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ก็รีบวิ่งกลับมาตามทางและขึ้นไปบน Ironsuit เขามองเห็นนกยักษ์กำลังบินขึ้น หลังจากที่มันลุกขึ้นมาตั้งหลักได้จากการถูกยิงจนล้มไปช่วงก่อนหน้า มันก็พร้อมกลับมาต่อสู้ ธีโอดอร์ครุ่นคิดก่อนพูดขึ้นว่า “ถ้าจะล้มเจ้านกยักษ์นี่ เราจะต้องทำลายเกราะของมันออกให้หมดก่อน” “จากนั้นก็เด็ดปีกมันทิ้ง ถ้าขืนมันยังปืนวนเล่นได้อยู่อย่างนี้ล่ะก็ เราไม่มีทางเอาชนะมันได้แน่ๆ” หลังจากพูดจบ ธีโอดอร์ก็รีบมุ่งหน้าเข้าสู่แนวการปะทะเพื่อช่วยเหลือ Genesis สู้กับ Death Bringer
“ที่แกพูดน่ะ มันฟังดู EZEZ นะ แต่ทำจริงมันทำได้ซะที่ไหนกันล่ะบักโกรก แน่จริงก็เสนอขั้นตอนมาด้วยเซ่!!” ซีคบ่นอุบขณะที่พยายามยิงสอย Phoenixaurus Rex ไปพร้อมๆ กับซาเรียส และลอว์เรนซ์ เบลล่า จึงลองคำนวณบางสิ่งทั้งที่จริงๆ เธอก็ไม่อยากทำเช่นนั้น “เท่าที่ชั้นคำนวณดูแล้วน่ะนะ….” “ถ้าจะทำลายเกราะของมันให้หมด เราจะต้องใช้แรงระเบิดมหาศาลอย่าง Missile ของร้อยเอกมิดฟอร์ด” “ตอนนี้มีอย่างเดียวที่พอจะสร้างแรงระเบิดขนาดนั้นได้….นั้นก็คือ...การระเบิดของ Ironsuit...แต่คงไม่ดีแน่...”
ทันทีที่ได้ยินลอว์เรนซ์ก็พูดขึ้นว่า “งั้นชั้น…..” แต่แล้วเธอก็พูดได้ไม่จบประโยคเมื่อซาเรียสลงมือทำบางสิ่ง เขาเร่งท่อขับดันของ Ironsuit ไปกลางที่โล่ง ก่อนจะยิ้มมุมปาก “โทษทีละลอว์ นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ชั้นจะไถ่บาปได้” เขาเงยหน้าขึ้นมอง Phoenixaurus Rex ที่ยังคงบินวนอยู่เบื้องบน เขายกแขนขวาขึ้น….ชูนิ้วกลางใส่มัน… ท่ามกลางความตกตะลึงของซีค เบลล่า ลอว์เรนซ์ และธีโอดอร์ นกยักษ์ก็หันมาเห็นท่าทางของซาเรียส
ก๊าซซซซซซซ!!!!! มันโผลงมาใส่ซาเรียสทันที ในขณะที่ซาเรียสปล่อยปืนยาวทิ้งไปแล้วดึงมีดดาบออกมา
“ซาเรียส!! นายจะทำอะไรน่ะ!!” ลอว์เรนซ์ตะโกนขึ้น แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วยซาเรียส ซาเรียสหันกลับมามองลอว์เรนซ์ผ่านจอภาพในห้องพลขับ “ชั้นจะแสดงความเชื่อใจในตัวเธอให้เธอได้เห็น...” เมื่อ Phoenixaurus Rex พุ่งลงมาถึงตัว ซาเรียสฉากหลบแรงปะทะออกไปด้านขวาของนกยักษ์ จากนั้นเขากระโดดลอยตัวขึ้นใช้อาวุธมีดดาบล็อคไปที่คอของมัน ด้วยน้ำหนักทั้งหมด เขาโน้มตัวมันลงมาได้ แต่มันก็ไม่ได้ยอมง่ายๆ มันใช้ขาของมันพยายามย่ำเข้าใส่ขาซ้าย Ironsuit ของซาเรียส หุ่นของเขาทรุดลง
ซาเรียสหันไปมองที่หน้าจอ Tablet ที่เขาวางไว้ด้านข้างในห้องพลขับ มันขึ้นข้อความว่า “Data Transfered” จากนั้นเขาก็มองไปที่ลอว์เรนซ์ “ลอว์...ชั้นกำลังเขียนหนังสืออยู่เรื่องหนึ่ง ยังไม่ได้ตั้งชื่อ และยังเขียนไม่จบดี” “และชั้นก็คงจะเขียนให้จบเองไม่ได้แล้ว….ชั้นอยากจะรบกวนเธอหน่อย...ถ้าเธอว่าง ยังไงก็เขียนต่อให้ทีนะ” “นั่นคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชั้นจะให้เธอได้ และมันก็เป็นทุกอย่างที่ชั้นมี…..ฝากตั้งชื่อหนังสือเล่มนั้นให้ด้วยนะ….”
“อย่ารีรออยู่เลย!! ทำในสิ่งที่เธอต้องทำซะ!! ชั้นน่ะ….ชั้นน่ะเชื่อใจในตัวเธอนะ” ซาเรียสตะโกนขึ้น จังหวะนั้น Phoenixaurus Rex ก็ย่ำเข้าใส่ขาขวาของ Ironsuit ของซาเรียสจนทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น ลอว์เรนซ์กัดฟันด้วยความอึดอัดใจเป็นที่สุด Phoenixaurus Rex ก็พยายามดิ้นจนใกล้จะหลุดพันธนาการ ซีคหลับตาลง เขาขยับมือเพื่อเล็งปืนยาวไปที่ Ironsuit ของซาเรียส แต่เบลล่ากลับเอื้อมมือมาจากด้านหลัง เธอปรามซีคไม่ให้ทำในสิ่งที่เขาคิด เบลล่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังปนความเศร้า “ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขาเถอะ...”
วินาทีนั้น ก่อนที่ Phoenixaurus Rex จะหลุดพ้นจากพันธนาการของ Ironsuit ของซาเรียส น้ำตาของลอว์เรนซ์ไหลเอ่อออกมาจากดวงตา เธอกัดฟันพูดขึ้นว่า “ซาเรียส….ชั้นน่ะ….เชื่อใจนายมาเสมอนั่นแหละน่า...”
ปัง!!.........
กระสุนจากปืนยาว Ironsuit ของลอว์เรนซ์พุ่งดิ่งไปยังแพคหลังที่เป็นท่อขับดัน Ironsuit ของซาเรียส มันเป็นตำแหน่งที่พลังงานทั้งหมดของ Ironsuit ถูกกักเก็บไว้ ทำให้เป็นจุดที่สามารถสร้างการระเบิดได้ง่ายที่สุด
ตูม!!!.........
Ironsuit ของซาเรียสระเบิดกระจายอย่างรุนแรง ความรุนแรงนั้นเทียบเท่า Missile อย่างที่เบลล่าว่าไว้ก่อนหน้า Phoenixaurus Rex ผงะหงาย มันพยายามกระพือปีกเพื่อทรงตัวไม่ให้ล้มลง แรงระเบิดทำให้มันสูญเสียเกราะไปจนสิ้น บัดนี้หน้าอกทั้งแผง ยาวไปจนถึงโคนปีกทั้ง 2 ข้าง ปรากฏเป็นเนื้ออาบเลือดสีแดงสด ไม่มีขนเกราะสีทองปกคลุม
“จังหวะนี้แหละ ฟาร์ชตัดท์” ธีโอดอร์พูดขึ้นในขณะที่เขามาถึงจุดปะทะพอดี เขาพุ่งเข้าใส่นกยักษ์ด้วยอาวุธมีดดาบ “เออ รออยู่นานแล้ว!!” ซีคตอบรับธีโอดอร์ เขาชักอาวุธมีดดาบออกมาพร้อมกับกดปลายเท้าเร่งท่อขับดัน เบลล่าหลับตาปี๋ เธอไม่อยากเห็นภาพที่ Phoenixaurus Rex กำลังจะถูกทำร้าย แม้มันเป็นเหตุที่ช่วยไม่ได้ก็ตาม
ซึบ!!!!......................................
Ironsuit ของซีคและธีโอดอร์พุ่งมาจากคนละทางเข้าหา Phoenixaurus ซีคพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง เขาใช้อาวุธมีดดาบตัดเข้าไปที่โคนปีกขวาซึ่งไร้เกราะขนสีทองป้องกันด้วยความเร็วสูงสุดที่ทำได้ ในขณะที่ธีโอดอร์พุ่งเข้ามาจากด้านหน้าของนกยักษ์ เขาใช้อาวุธมีดดาบตัดเข้าไปที่โคนปีกซ้าย Ironsuit ทั้งสองเครื่องบินผ่าน Phoenixaurus Rex ไปคนละทาง ขณะที่ปีกของมันหลุดลอย
ก๊าซซซก๊าซซซก๊าซซซก๊าซซซก๊าซซซซซซซซซซซ!!!!!!!!!!!!! มันร้องโหยหวนดังสนั่น
ลอว์เรนซ์จึงใช้จังหวะนั้น ยกปืนยาวกระหน่ำยิงซ้ำไม่ให้มันได้ทันตั้งตัว ร่างของมันเซไปเซมา แต่มันก็ยังไม่หมดฤทธิ์ลงง่ายๆ แม้จะไม่มีปีกทั้งสองข้างเหลือแล้่ว แต่มันคงยังเหลือขาสองข้าง มันวิ่งหนีเข้าไปในปากทางเข้าหุบเขาด้วยความเร็วสูงสุดที่มันทำได้ อาการของมันตอนนี้สาหัสมาก
ลอว์เรนซ์ลดปืนลงด้วยอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอมองไปที่เศษซาก Ironsuit ของซาเรียส
…………………………………
ห้อง lab ใหญ่ฐาน Minos
วอร์เรน เกตส์ เดินเข้ามาพร้อมกับคณะนักวิจัยกลุ่มหนึ่ง มาริค สจ๊วต เห็นเช่นนั้นเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหา “เป็นยังไงบ้างครับท่านรัฐมนตรี สำเร็จไหมครับ!!?” มาริค ถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นและอยากรู้ วอร์เรน เกตส์ หันมามองมาริคด้วยสีหน้านิ่งๆ ทำให้มาริคต้องรีบสำรวมอาการแล้วถามอีกครั้ง “ไม่สำเร็จ...หรอครับ?” วอร์เรน เกตส์ หรี่ตาลง “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก สำเร็จดีครับ….แต่คุณช่วยปล่อยแขนผมก่อนจะได้มั้ยครับ...มันเจ็บ...”
มาริคสะดุ้งเฮือก เขาเหลือบตาลงมามองที่มือตัวเองก็พบว่า เขาใช้มือขวาที่เป็นแขนกลบีบแขนวอร์เรนไว้อย่างแน่น มาริคยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือจากแขนของวอร์เรน แขนสูตรสีดำเป็นรอยยับยู่ยี่เนื่องจากแรงบีบมหาศาล วอร์เรนเป่าปากบรรเทาอาการเจ็บที่เขาอดกลั้นเอาไว้ “อูย…..โครงการของเราได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีเลยครับ......” “ท่านประธานาธิบดีเห็นด้วยกับแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนสภาพพื้นผิวของดาวเป็น Section เพื่อรักษาระบบนิเวศน์เดิมไว้” “แต่ก่อนอื่น พวกเราต้องหวังให้เหล่า Genesis ทั้งหลายนำพืชพันธุ์ที่เราต้องการกลับมาให้ได้เสียก่อน”
มาริคยิ้มด้วยความดีใจ “สำเร็จ!!! ในที่สุดแผนของเราก็สำเร็จลุล่วง!!….เราจะได้สร้างโลกใหม่กันแล้วนะน๊า!!!” วอร์เรนทำหน้าสงสัยก่อนจะเอ่ยปากถามมาริคว่า “เราทำสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรอ? ผมว่ามันยังไม่แน่หรอกกระมังครับ...” มาริคกำหมัดข้างขวาที่เป็นแขนกลด้วยความมั่นใจ “แน่สิครับ!! พวกเขาต้องทำสำเร็จแน่!! ผมเชื่อใจในตัวพวกเขาครับ!!” วอร์เรน เกตส์ ยิ้มออกมา เขารู้สึกดีที่อย่างน้อยผู้ช่วยของเขาคนนี้ก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ
จากนั้นวอร์เรน เกตส์ก็เดินกลับเข้าห้องทำงานส่วนตัวของเขาไป การเข้าพบประธานาธิบดีดิราเวนในครั้งนี้ เขาได้เสนอแผนเปลี่ยนแปลงดวงดาวที่วางไว้ไปทั้งหมด แต่เขาเลือกที่จะไม่บอกว่ากลุ่ม Genesis มีตัวตนอยู่ และในกลุ่มนั้นมีร้อยตรีลอว์เรนซ์ ดิราเวน บุตรีของประธานาธิบดีอยู่ด้วย เพราะถ้าหากเขาบอกเรื่องนี้ไปแล้ว ประธานาธิบดีอาจสั่งยกเลิกโครงการของเขา รวมไปถึงสั่งการให้กองกำลังหลักเดินทางไปตาม Genesis กลับมา
แน่นอนว่ามีอีกอย่างที่วอร์เรน เกตส์ยังไม่ได้บอกประธานาธิบดี นั่นก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคิดจะฆ่าลอว์เรนซ์
………………………………...
หลังจาก Phoenixaurus Rex หนีเข้าหุบเขาไป
Genesis นำ Ironsuit ของพวกเขากลับเข้าไปใน Phaeton เพื่อทำการเปลี่ยนอะไหล่และเติมกระสุนปืน ลอว์เรนซ์ เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการเตรียมความพร้อมของอาวุธยุทโธปกรณ์ของ Ironsuit ซีคและเบลล่ากำลังช่วยกันวางแผนการเข้าไปตรวจสอบและเก็บตัวอย่างพืชภายในหุบเขาอีกครั้ง หลังจากที่ความพยายามในการเข้าไปเก็บตัวอย่างครั้งแรกถูกขวางไว้โดย Death Bringer
ในห้องพักห้องหนึ่ง เจนนี่ที่กำลังนอนไม่ได้สติ เธอได้รับการทำแผลแตกที่ศีรษะ พร้อมกับแผลอื่นๆ การรักษาทั้งหมดเป็นฝีมือของธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ เขาค่อยๆ บิดผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามใบหน้าของเจนนี่ ระหว่างนั้น เจนนี่ก็เริ่มได้สติ เธอเปิดตาขึ้นเล็กน้อยมองไปยังชายคู่หมั้นที่กำลังดูแลเธออย่างใกล้ชิด เจนนี่ยกแขนของเธอขึ้นมาจับมือของธีโอดอร์ที่กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของเธอ
“นาย….ทำแบบนี้….ทำไม….นายไม่จะเป็น….ต้องทำ….หรอกนะ….” เจนนี่ถามขึ้นเบาๆ ธีโอดอร์มองเจนนี่ด้วยแววตานิ่งเฉย เขาใช้มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่จับมือของเจนนี่กลับไปวางข้างลำตัวของเธอ “ชั้นจำเป็นต้องทำ สิ่งนี้เป็นหน้าที่ของชั้น...หากเธอได้รับบาดเจ็บแล้วชั้นที่อยู่ในฐานะคู่หมั้นคู่หมายมัวนิ่งดูดาย...” “มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง….ดังนั้น….เธอวางใจเถอะ ถ้าเป็นเรื่องหน้าที่แล้ว ชั้นคนนี้จะไม่มีวันบกพร่อง...” เจนนี่จ้องมองธีโอดอร์อยู่ครู่หนึ่ง “อย่างนั้นหรอกหรอ…..ไม่มีเหตุผลอื่นที่น่าฟังกว่านี้แล้วสินะ….” ธีโอดอร์ยิ้มบางๆ ทั้งๆ ที่เขาแทบไม่เคยยิ้มมาก่อน เขาค่อยๆ ก้มลงแล้วใช้ริมฝีปากจุ่มพิตไปที่หน้าผากของเจนนี่
แต่แล้วเสียงของลอว์เรนซ์ก็ดังขึ้นทั่ว Phaeton
“รัฐมนตรีแอนเดอร์สันกำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามาแล้ว…..เขานำ Ironsuit II พร้อมอาวุธเต็มอัตราศึกมาด้วย” ธีโอดอร์ลุกขึ้นแล้วกดปุ่มสื่อสารที่อยู่ที่ข้อมือชุดพลขับของเขา “เอาล่ะพวกเราไปกันได้แล้ว!!” “ฟาร์ชตัดท์ นายกับเบลล่าขึ้น Ironsuit แล้วรีบเข้าไปเก็บตัวอย่างพืชที่พวกนายหาอยู่ออกมา” “ชั้นกับลอว์เรนซ์จะอยู่รับมือไอ้บ้านั่นเอง….” พูดจบ เขาก็หันมามองเจนนี่ ก่อนจะเปิดประตูออกไป
ซีคและเบลล่ารีบมายังสะพานเดินเรือ ทั้งสองไม่รอช้าที่จะขึ้นไปประจำใน Ironsuit ของซีค เบลล่าหันกลับมามองลอว์เรนซ์ที่ยืนมองพวกเขาอยู่ “เธอไหวใช่มั้ยลอว์เรนซ์...ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนนะ” ลอว์เรนซ์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ชั้นไหวอยู่หรอกน่า ไม่ต้องเป็นห่วง เธอก็รีบไปรีบมาล่ะ….” ซีคทำหน้าตากวนๆ แล้วพูดกับลอว์เรนซ์ว่า “เห้อ!! ยัยหัวเขียวเหม็นหืนนี่จะไหวจริงๆ งั้นร๊อ~?” คำพูดแซะของซีคทำให้มุมปากของลอว์เรนซ์กระตุกยิบๆ ตามเคย “ห่วงตัวเองดีกว่ามั้ย บักขิงเอ้ย!!” เมื่อได้ยินคำพูดของลอว์เรนซ์ ซีคก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยเธอก็ไม่ห่อเหี่ยวและยังมีแรงด่าเขากลับมา
ซีคหันไปทางเบลล่าแล้วถามเธอว่า “เธอพร้อมจะไปกับชั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่มั้ยเบลล่า?” “อื้อ!!”
つづく.
|
|