|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 10, 2018 17:57:24 GMT
EP.6 : Torn Apart ห้อง lab ใหญ่ของฐาน Minos
เวลานี้เป็นช่วงสาย วอร์เรน เกตส์ เรียกนักวิจัยทุกคนมารวมตัวกันเพื่อทำการประชุมสรุปผลการสำรวจของเมื่อวาน เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมถึงนักวิจัยทุกราย แน่นอนว่ามี ผศ.เบลลา สแกนลอนซ์ และซาเรียส แซนดรีน รวมอยู่ด้วย แต่มาริค สจ๊วต ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเสียแขนขวาไปในเหตุการณ์เมื่อวานนั้น ยังคงพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ รวมไปถึง แฟร๊งค์ ฟอนเบิร์ก ที่ได้ย้ายสังกัดไปทำงานให้กับกระทรวงกลาโหมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อวอร์เรน เกตส์ เห็นว่าทุกคนมายืนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เขาก็เปิดหน้าจอหลักของห้อง lab และเริ่มอธิบาย “จากภารกิจสำรวจล่าสุดเราได้ข้อมูลมามากมาย ถึงแม้เจ้าหน้าที่มาริค สจ๊วต หัวหน้าทีมสำรวจของเราจะได้รับบาดเจ็บ” “แต่เราก็ได้ข้อมูลสำคัญที่ยืนยันว่าข้อสันนิษฐานของเรานั้นถูกต้อง ตามที่ทุกคนเห็นในภาพ นี่คือ Phoenixaurus Rex” “แม้มันจะเป็นคนละสายพันธุ์กับ Phoenixaurus ธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเราวิเคราะห์โครงสร้างทางชีวภาพของมันแล้ว” “ก็พบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดกัมมันตภาพรังสี และมันใช้ก๊าซออกซิเจนหายใจเหมือนมนุษย์”
คำพูดของวอร์เรน เกตส์ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอย่างมากในห้องประชุม เบลล่า และซาเรียส ก็อึ้งปากค้างเช่นกัน วอร์เรน เกตส์ ก็อธิบายต่อไป “นั่นแสดงให้เห็นว่าบนดาวดวงนี้จะต้องมีบางพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยของมนุษย์” “ดังนั้น สิ่งที่พวกเราค้นหาก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เพียงแค่เราต้องหารังของมันให้พบ เราก็จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานได้ 100%” “แต่ผมมีข่าวร้ายมาแจ้งให้ทุกท่านทราบ นั่นก็คือ เมื่อเช้านี้ท่านประธานาธิบดีดิวาเรนปฏิเสธคำขอของผม….”
“คำขอที่ผมขอไปนั้น คือการให้ทีมสำรวจคณะใหญ่ที่สุดเท่าที่ใหญ่ได้ ออกเดินทางไปสำรวจทางตอนเหนือ...” “ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นแหล่งที่อยู่ของเจ้า Phoenixaurus Rex ตัวนี้….แต่ท่านกลับสั่งให้เราค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป...” “เพราะเราได้ไข่ของมันมาด้วย 1 ฟอง ท่านจึงอยากให้เราวิเคราะห์ไข่ของมันให้รู้ผลแน่ชัดเสียก่อน...” “ผมเข้าใจว่าพวกเราคงรู้สึกอึดอัดกับคำสั่งที่ได้รับ แต่มันก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าทฤษฎีของเราตลอดหลายปีมานี้ถูกต้อง”
เมื่อวอร์เรนหยุดพูด เบลล่าก็ถามสิ่งที่เธอคาใจขึ้น “แล้วมาริคล่ะค่ะท่านรัฐมนตรี เขาเป็นอย่างไรบ้าง” วอร์เรนหันไปยังเบลล่าแล้วให้คำตอบ “ตอนนี้เขากำลังพักฟื้น ถึงจะเสียแขนขวาไป แต่เขาก็ปลอดภัยแล้วล่ะ” “พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ เพราะผมเองก็มีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับเพื่อช่วยเหลือเขาแล้ว” ซาเรียสได้ยินอย่างนั้นก็กระซิบข้างหูของเบลล่า “งานวิจัยการเชื่อมต่อเครื่องจักรเข้ากับร่างกายมนุษย์น่ะ” “เอ๋!!” เบลล่าประหลาดใจที่ได้ยิน ซาเรียสจึงพูดต่อ “อย่างที่เธอรู้ ท่านรัฐมนตรีเกตส์ต่อต้านการดัดแปลงมนุษย์” “แต่ในมุมมองของท่าน การใช้เครื่องจักรแทนอวัยวะไม่ได้เปลี่ยนแปลงพันธุกรรม จึงยังคงความเป็นมนุษย์ไว้น่ะ”
วอร์เรน เกตส์เห็นว่าไม่มีใครสงสัย เขาจึงพูดต่อไปว่า “ความสำเร็จทั้งหมดทั้งมวลนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าขาดเขาไป” “เขาก็คือร้อยตรีชาคริต แจ่มใส พลขับ Ironsuit รหัส C33 ที่แสดงความกล้าหาญ เสี่ยงชีวิตเพื่อไปนำไข่ของมันมา” “และเพราะเขาคนนี้ เราถึงยังไม่เสียเจ้าหน้าที่มาริค สจ๊วตไปด้วย ผมจึงได้ส่งสินน้ำใจตอบแทนเขาไปแล้ว” “ผมก็หวังว่าพวกคุณจะกล้าหาญได้แบบเขาด้วยการกล้าอดทนและยึดมั่นในอุดมการณ์และแนวคิดของพวกเรา”
เบลล่ามีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยกับพลขับรหัส C33 “ชาคริต แจ่มใส เป็นคนกล้าหาญอย่างนั้นเลยหรอ”
…………………………………..
ห้อง Locker ในฐานทัพ Minos
มันเป็นห้องแต่งตัวของทหารหญิง มีม้านั่งยาวตั้งอยู่หลายตัว ห้อมล้อมไปด้วยตู้เก็บของโลหะทั้งห้อง นอกจากเป็นที่เอาไว้เก็บสัมภาระส่วนตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ทหารหญิงบางคนก็ใช้เป็นที่นั่งพักเหนื่อย ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ทหารส่วนใหญ่จะเข้าประจำหน่วยของตน เว้นแต่หน่วยที่เพิ่งกลับจากภารกิจ
ระหว่างที่อาเรีย มิดฟอร์ดกำลังจัดแจงข้าวของในล็อคเกอร์ส่วนตัวของเธออยู่นั้น ลอว์เรนซ์ ดิราเวน ก็เดินเข้ามานั่งที่ม้านั่งไม่ห่างจากอาเรียเท่าใดนัก ทั้งห้องเงียบสงัดไร้ผู้ใดรบกวน “อาจารย์คิดว่าคุณแจ่มใสจะกล้าทำอะไรแบบนั้นจริงๆ อย่างที่ผู้เห็นเหตุการณ์พูดมั้ยคะ” ลอว์เรนซ์ถามขึ้น อาเรียหยุดจัดข้าวก่อนของเธอและชะเง้อมามองลอว์เรนซ์ “หึหึหึ ว่าแล้วจะต้องมีคนสงสัยเรื่องนี้” เมื่อเธอพูดจบ อาเรียก็ปิดตู้ล็อคเกอร์เหล็กของเธอไว้ชั่วคราว ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ ลอว์เรนซ์
อาเรียที่ใช้มือซ้ายซึ่งอยู่ใกล้หญิงสาวตัวน้อยยกขึ้นลูบหัวของลอว์เรนซ์เบาๆ “เธอนี่ฉลาดมากเลยนะรู้มั้ย?” “ชั้นจะบอกข้อเท็จจริงให้ก็แล้วกัน แต่อย่าไปบอกใครล่ะ...พลขับ C33 เมื่อวานน่ะไม่ใช่ร้อยตรีแจ่มใสหรอก” “เขาเป็นใครตอนนี้เราก็ยังไม่สามารถระบุได้...เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องลอยหลังจากที่เรามากลับมาถึงฐาน” “และตอนที่พวกเราเดินทางกลับมาถึงชั้นก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ในฐานว่าร้อยตรีแจ่มใสถูกกลั่นแกล้งที่ห้องน้ำ” “ขณะที่เขาทำธุระส่วนตัว มีคนมือดีไปปิดวาล์วน้ำ ทำให้เขาไม่สามารถออกมาจากห้องน้ำและร่วมภารกิจได้” “ตอนนี้ทางเราเห็นว่าการไล่หามือดีรายนั้นไม่ได้ส่งผลดีอะไร แต่หากประกาศจับจะส่งผลเสียให้เรามากกว่า” “ท่านรัฐมนตรีแอนเดอร์สันมองว่า หากทำให้เรื่องมันแดงขึ้นมา กองทัพจะถูกโจมตีเรื่องความไม่รอบคอบน่ะ”
เมื่ออาเรียพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ล็อคเกอร์ของเธออีกครั้ง ในขณะที่ลอว์เรนซ์กำลังนั่งใช้ความคิด อาเรียก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “เธอรู้ข่าวของธีโอแล้วใช่มั้ยลอว์เรนซ์….ชั้นน่ะเสียดายจริงๆ นะ ที่ดันไม่ใช่เธอ” “เธอเป็นคนเก่ง มีความกระตือรือร้นในการทำงาน ถ้าจะมีน้องสาวเพิ่มสักคน ชั้นก็อยากให้เป็นเธอมากกว่านะ” ลอว์เรนซ์สะดุ้งเล็กน้อยจากคำพูดของอาเรีย เพราะเธอเข้าใจดีว่าอาเรียกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
แต่ในหัวของลอว์เรนซ์สนใจเรื่องอื่นมากกว่า “วิธีทุเรศๆ แบบนั้น จะมีใครกล้าทำกันนะ...นอกเสียจาก...”
…………………………………..
โรงพยาบาลกลาง ฐาน Minos
ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในฐาน Minos ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือป่วยหนัก จะถูกส่งตัวเข้ามาทำการรักษา ณ โรงพยาบาลแห่งนี้ มันประกอบไปด้วยตัวอาคารหลายอาคารตั้งอยู่เป็นกระจุก มาริค สจ๊วต ได้เข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ตอนนี้เขาถูกย้ายตัวไปยังห้องพักฟื้นแบบห้องเดี่ยว เวลานี้เข้าสู่ช่วงเย็นหลังเลิกงาน เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยที่สนิทกับเขาก็เดินทางเข้ามาเยี่ยมเยียน
วอร์เรน เกตส์ได้เข้าพบแพทย์และพยาบาลผู้รักษาและรับผิดชอบเคสของมาริคเพื่อนัดแนะการรักษา เขาจำเป็นต้องให้แพทย์และพยาบาลทำการรักษาและผ่าตัดแผลออกมาอย่างที่เขาต้องการ ในขณะที่นักวิจัยคนอื่นๆ รวมถึงซาเรียส ได้เดินทางกลับไปแล้ว ส่วนเบลล่าก็กำลังจะกลับเช่นกัน บนเตียงผู้ป่วยมาริคยังคงนอนหลับตาแน่นิ่ง เบลล่าลุกขึ้นจากที่นั่งข้างเตียงและหันหลังไปหยิบกระเป๋า
ในขณะนั้นเองประตูห้องคนไข้ก็ถูกเปิดเข้ามา คนที่เข้ามากลับเป็นคนที่เธอคาดไม่ถึง “ซีค!!” เมื่อซีคเดินเข้ามาปิดประตูและได้ยินเสียงเบลล่าเรียก เขาก็ตกใจเล็กน้อย “อ้าวเบลล่า อยู่ที่นี่ด้วยหรอ?” เบลล่าขมวดคิ้ว “ก็ใช่น่ะสิ ชั้นมาเยี่ยมมาริค เขาเป็นเพื่อนร่วมงานของชั้นนี่…..ว่าแต่ซีคล่ะมาทำอะไร” ที่เธอถามก็เพราะสงสัย เนื่องจากปกติแล้ว ซีคไม่ได้สนิทอะไรกับมาริค และไม่ได้ทำงานร่วมกันอีกด้วย
ซีคทำหน้ามึนๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้ามา และพาเบลล่าไปนั่งที่โซฟามุมห้อง ห่างจากเตียงผู้ป่วยไม่มาก “ชั้นจะบอกความจริงให้เธอฟังก็แล้วกัน ไหนๆ ก็เจอตัวแล้ว อันที่จริงชั้นกะจะบอกในที่ที่ส่วนตัวกว่านี้น่ะนะ” เบลล่าทำหน้างงๆ ซีคจึงพูดต่อไป “ชั้นน่ะได้เดินทางออกไปกับทีมสำรวจเมื่อวานนี้ด้วยล่ะนะ” “ได้ไง!!?” เบลล่าถามสวนทันที ซีคยิ้มมุมปาก “ก็ชั้นน่ะไปชิงชุดปฏิบัติการจากเจ้าพลขับรหัส C33 มาน่ะสิ”
“ชุดปฏิบัติการจากเจ้าพลขับรหัส C33!! อย่าบอกนะว่าเป็นนายน่ะ!!” เบลล่า ถามย้ำ ซีคยิ้มกว้าง “ใช่แล้ว!!” “ตอนแรกหมอนั่นน่ะขัดขืน และเราก็ได้มีการชกต่อยกัน...ชั้นหลบได้หมดเลยล่ะ เลยต่อยสวนไปบ้าง” “หมัดแรกพลาดไปโดนกำแพง เล่นเอากำแพงยุบเลย พอหมัดที่สองเท่านั้น เข้าปลายคาง หมอนั่นตัวลอย” “กระเด็นออกไป 10 เมตร หัวฟาดโถฉี่ ทำให้โถฉี่พัง แต่หมอนั่นยังลุกขึ้นมา ชั้นเลยกระโดดถีบขาคู่ใส่อีกครั้ง” “คราวนี้พอหมอนั่นเกม ชั้นก็เลยรีบไปเอาชุดสำรวจของหมอนั่น แล้วแอบขึ้นยานสำรวจแทนหมอนั่นไงล่ะ”
เบลล่าพยักหน้าหงึกๆ แต่เหมือนเธอจะไม่ค่อยเชื่อว่าซีคเป็นพลขับ Ironsuit C33 ที่วอร์เรนได้บอกไว้ เธอจึงพูดขึ้นว่า “ชั้นรู้แล้วล่ะเรื่องผลการออกสำรวจเมื่อวาน แต่เรายังคงต้องทำการตรวจสอบให้แน่ใจอีกทีน่ะ” ซีคขมวดคิ้ว “อะไรกัน จะตรวจสอบอีกทำไม มันเห็นชัดอยู่แล้ว ถ้าเธอไม่เชื่อว่าเจ้าลูกเจี๊ยบตัวนั้นน่ะนะ...” “มันทนกัมมันตภาพรังสีไม่ได้ และใช้ออกซิเจนหายใจ ชั้นจะเอาอะไรให้เธอดู...เอ้าดูนี่ซะ….”
ซีคหยิบ Tablet ส่วนตัวของเขาขึ้นมาแล้วเปิดให้เบลล่าดู มันเป็น Video Clip ภายในห้องพลขับ C33 ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครจะบันทึกได้หากไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ในนั้นตอนนั้น ซีคเปิดภาพที่ไม่มีใครได้เคยเห็น นั่นคือภาพหลังจากที่เขาได้พุ่งเข้าชนกับมันแล้วไถลไปตามพื้น เมื่อมันลุกขึ้นและมองมาที่จอภาพ ผิวหนังบางส่วนใต้ขนของมันเกิดอาการพุพอง จากนั้นมันก็มีอาการทุรนทุรายราวกับหายใจไม่ออก โดยที่มุมของภาพใน Clip เห็นมาตรวัดปริมาณกัมมันตภาพรังสีที่รุนแรง และมาตรวัดออกซิเจนที่เหลือน้อย นกยักษ์แสดงอาการอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนที่….ซีคจะยกนิ้วกลางให้มัน แล้วมันก็บินออกไปจากดาดฟ้ายานสำรวจไป
เบลล่าได้เห็นก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่เธอก็ต้องเชื่อแล้วว่าพลขับ Ironsuit C33 คนนั้นคือซีคจริงๆ ซีคยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นสีหน้าประทับใจของเบลล่า “เธอเห็นแล้วใช่มั้ยล่ะ ว่ามันไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว” “ชั้นน่ะ ตัดสินใจแล้วว่าจะทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ และเป็นคนที่ทุกคนต้องจดจำ เป็นคนที่ทุกคนยอมรับ ชั้นจะต้องเจ๋ง” “ในเมื่อพวกผู้มีอำนาจไม่สั่งการอะไรให้เรื่องนี้มันคืบหน้า ชั้นคนนี้ก็จะทำมันเอง ชั้นจะออกไปหารังของมัน”
“ถ้าชั้นรู้ว่ารังของมันอยู่ไหน ชั้นเชื่อว่ามันจะต้องมีพืชที่ดูดซับกัมมันตภาพรังสีและคายออกซิเจนอยู่แน่” “และถ้าชั้นได้ตัวอย่างมันมา ชั้นจะนำมันมาให้เธอกับทุกคนที่ lab เพื่อนำมันไปปรับแต่งคุณสมบัติเพิ่มเติม” “จนมันเป็นพืชที่โตเร็ว ทนทานต่อเชื้อโรค ปลูกง่ายทุกสภาพแวดล้อม เราจะสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาใหม่ด้วยกัน” “แต่ชั้นรู้ว่าชั้นคนเดียวคงไม่สามารถทำอะไรได้ ต่อให้ชั้นเทพขนาดนี้ก็เถอะ...ชั้นเลยอยากขอให้เธอช่วย”
เบลล่านิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนเธอจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เบาๆ ว่า “ไม่….ซีค...ซีคไม่ควรทำแบบนั้น” “ซีครู้ตัวรึเปล่าว่านั่นมันเป็นความผิดใหญ่หลวงเลยนะ สิ่งที่ซีคกำลังจะทำน่ะ มันคือกบฎต่อ Minos เลยนะ” “ไม่ใช่ชั้นไม่อยากร่วมมือกับซีคนะ แต่ชั้นก็คิดว่าซีคไม่ควรทำมันเลยด้วยซ้ำ มันอันตรายไม่คุ้มกันอยู่ดี” “ซีคน่ะเป็นคนที่ทุกคนจดจำอยู่แล้ว เพราะซีคเป็นคนดี ซีคไม่ต้องทำเรื่องบ้าๆ นี่เพียงเพราะเหตุนี้หรอก” “ซีคเข้าใจที่ชั้นพูดใช่มั้ย” เมื่อพูดจบ ซีค ก็มีอาการซึมลง “งั้น...ชั้นไปนะ...” เบลล่า จึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ซีคนั่งหงอย สายตาของเขาละห้อยคล้อยตามหลังเบลล่าที่ค่อยๆ เดินออกจากห้องและปิดประตูใส่หน้าเขา “ชั้นจะทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ และเป็นคนที่เธอจดจำ เป็นคนที่เธอยอมรับ และชั้นจะต้องเจ๋งเพื่อคู่ควรกับเธอ” เขาพูดในสิ่งที่ใจจริงเขาอยากจะพูดออกไปก่อนหน้า แต่ปากเขากลับไม่ยอมพูดให้มันตรงกับใจในทุกถ้อยคำ ซีคถอนหายใจลุกขึ้นด้วยท่าทีห่อเหี่ยว เขามองไปที่เตียงของมาริค “โทษทีนะไอ้หน้าเหลี่ยมที่ช่วยแขนแกไว้ไม่ได้”
เมื่อซีคเดินออกจากห้องไปแล้ว เปลือกตามาริคก็ค่อยๆ เปิดขึ้น จากนั้นดวงตาของเขาก็เหลือบไปที่ประตู
…………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 10, 2018 18:00:54 GMT
ช่วงเย็นของวันนั้น
ระหว่างทางเดินในโซนพักอาศัย ลอว์เรนซ์ และ ซาเรียส ที่มีบ้านพักอยู่ใกล้กันมักจะกลับบ้านพร้อมกันเสมอ ทั้งสองเดินมาเงียบๆ ไร้ซึ่งคำพูดจาอะไร ดูเหมือนทั้งสองได้ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบมาระหว่างทางไปแล้ว จนกระทั่งลอว์เรนซ์ สังเกตเห็นเงาของชายคนหนึ่งโผล่ออกมาจากข้างมุมกำแพง ท่าทีมีพิรุธอย่างมาก เธอจึงยื่นแขนขวาไปขวางหน้าซาเรียส ทำให้ซาเรียสตกใจเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะควักมีดออกมาด้วยมือซ้าย
“ใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ มาทำลับๆ ล่อๆ” ลอว์เรนซ์ทำเสียงเข้มเพื่อขู่ชายต้องสงสัยข้างมุมกำแพง ชายคนนั้นชูมือทั้งสองขึ้นเหนือหัว แล้วค่อยๆ เดินออกมามอบตัวแต่โดยดี เขาเป็นใครไม่ได้นอกจาก “ซีค….ที่มาทำลับๆ ล่อๆ มีเรื่องอะไรอีกล่ะ ดีนะชั้นไม่กระโดดไปปาดคอนายเข้าน่ะ” ลอว์เรนซ์เก็บมีดของเธอ ซีคยิ้มอย่างชั่วร้าย “ชั้นจะมาขอให้ช่วยน่ะ และชั้นมีของดีจะมาให้พวกนายดู…ดูก่อนแล้วค่อยตอบชั้นก็แล้วกัน” จากนั้นซีคก็เดินเข้ามาพร้อมกับหยิบ Tablet ของเขาขึ้นมาเปิด Video Clip ม้วนเดียวกับที่ให้เบลล่าดูไป
หลังจากที่ลอว์เรนซ์และซาเรียสได้ดูคลิปจนจบพลางฟังการอธิบายสิ่งที่ซีคพิสูจน์ได้และคำเชิญชวนจบจน ซีคก็เก็บ Tablet ของเขาไป “พวกนายว่าไง สนใจร่วมวงด้วยมั้ยล่ะ!! ถ้าเราทำได้เราจะเป็นโคตรทีมกู้โลกเลยนะ” ซาเรียสถอนหายใจ “ไม่ล่ะ มันอันตรายเกินไป ชั้นไม่อยากจะเอาอนาคตทั้งชีวิตของชั้นไปเสี่ยงคุกกับนาย” แต่สิ่งที่ทำให้ซาเรียสต้องตกใจก็คือเสียงของลอว์เรนซ์ที่ตอบว่า “ชั้นเอาด้วย!! ถึงมันจะฟังดูบ้าๆ แต่ชั้นเอาด้วย!!”
“ชั้นอ่านรายงานภารกิจ และพบว่าพลขับรหัส C33 ได้ทำสิ่งที่กล้าหาญจนพิสูจน์ทฤษฎีของมหาดไทยได้” “ทีแรกชั้นก็รู้สึกผิดสังเกตอยู่น่ะนะ เพราะพลขับรหัส C33 ไม่ใช่คนที่มีความกล้าหาญมากพอจะทำแบบนั้นได้” “แต่พอรู้ว่ามีคนร้ายไปขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของพลขับ Ironsuit รหัส C33 ไม่ให้ร่วมภารกิจสำรวจ” “และเจ้ามือดีคนนั้นก็สวมรอยเข้าทีมสำรวจแทนด้วยวิธีการสุดแสนน่าเกลียด ชั้นก็รู้ทันทีว่าเป็นนาย...ซีค...” “ถึงชั้นจะมองว่านายเป็นไอ้พวกขี้แพ้ โหลยโท่ย โอ้อ้วดเกินตัว เกทับคนอื่นไปวันๆ แต่ครั้งนี้นายแน่มาก...”
ซาเรียสใช้มือสองข้างจับที่ไหล่ทั้งสองของลอว์เรนซ์และโน้มให้เธอหันหน้ามาหา “จะบ้าหรอลอว์ เธอคิดอะไรอยู่” ลอว์เรนซ์จ้องตาซาเรียสด้วยแววตาจริงจัง “ชั้นพูดจริง….นายไม่เห็นหรอว่านี่น่ะเรื่องสำคัญขนาดไหน….” “ชั้นน่ะ อยากเห็นความก้าวหน้าเกิดขึ้นในยุคของเรา...ชั้นไม่ได้เหมือนพ่อที่ขี้ขลาดเอาแต่มุดหัวอยู่ในนี้” “นายเองก็เข้าใจดีไม่ใช่หรอว่าชั้นรอโอกาสแบบนี้มาโดยตลอด….ถึงมันจะฟังบ้าๆ แต่ชั้นจะช่วยหมอนี่….” ลอว์เรนซ์ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นปัดมือของซาเรียสที่แตะไหล่ของเธอออกช้าๆ มันทำเอาซาเรียสพูดไม่ออก
ซีคเดินเข้ามาหาลอว์เรนซ์ เขายื่นมือทั้งสองข้างไปหาลอว์เรนซ์เพื่อจะแตะไหล่บ้าง แต่ก่อนเขาจะแตะโดนตัวของเธอ บั่ก!!! เข่าของลอว์เรนซ์พุ่งเข้าเสียบเต็มลิ้นปี่ของซีคจนจุกพูดอะไรไม่ออกแล้วลงไปนอนขดตัวเป็นกุ้งอยู่กับพื้น “ชั้นตกลงจะช่วยนาย และคิดว่านายแน่ขึ้นก็จริงนะซีค แต่ไม่ได้หมายความว่านายมีดีพอที่จะตีซี้ชั้นได้ จำไว้ซะ!!” เมื่อพูดจบ ลอว์เรนซ์ ก็เดินจากซาเรียสและซีคไปโดยไม่หันมาพูดอะไรกับซาเรียสแม้แต่คำเดียว
ซาเรียสกำหมัดแน่นก่อนจะหันมองลงไปที่ซีค “ชั้นจะคุ้มครองลอว์เรนซ์เอง เผื่อที่ว่างให้ชั้นด้วยก็แล้วกัน”
…………………………………..
1 สัปดาห์ต่อมา
ณ ห้อง Lab ใหญ่ฐาน Minos วอร์เรน พร้อมกับนักวิจัยจำนวนหนึ่งนำไข่ Phoenixaurus Rex มาวิจัย จนได้ผลลัพท์ที่น่าทึ่ง นั่นคือ มันเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีลักษณะทางชีวภาพตรงตามข้อสันนิษฐานทุกประการ แต่พวกเขาก็ยังถูกปฏิเสธจากประธานาธิบดีเช่นเดิม เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพลโทแอนเดอร์สันคัดค้าน ข้ออ้างในการคัดค้านก็คือ การเดินทางขึ้นสู่ตอนเหนือเพื่อระบุแหล่งที่อยู่ของนกยักษ์นั้นเสี่ยงเกินไปมาก ด้วยเทคโนโลยีตอนนี้ ยังไม่สามารถนำยานไปลงจอดในพื้นที่แหล่งอาศัยของมันได้อย่างปลอดภัย จำนวนกำลังทหารและ Ironsuit ที่มีก็ไม่มากพอ หากทำอะไรบุ่มบ่าม อาจจะได้มีแต่เสียกับเสีย ประกอบกับ แม้หากเขตที่อยู่ของมันเหมาะสมกับมนุษย์จริง แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับพวกมันได้แน่
วอร์เรน เกตส์ จึงนั่งคิดทบทวนแผนการอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของเขา สีหน้าเขาดูเครียดเป็นอย่างมาก เพราะแม้ว่าเขาจะคิดหาข้ออ้างร้อยแปดพันเก้า ก็ดูเหมือนมันจะไม่หนักแน่นพอที่จะไปโต้แย้งเหตุผลของอีกฝ่ายได้ ขณะนั้น ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องของเขา เขาคือ มาริค สจ๊วต ที่ได้พักฟื้นร่างกายจนหายดีแล้ว แขนขวาของเขาที่ขาดไป ได้มีการสวมใส่แขนเหล็กเทียมเข้ามาแทนที มันเป็นผลงานของวอร์เรน เกตส์ เอง
เมื่อมาริคได้รับอนุญาตให้นั่ง เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีไว้ให้แขกของวอร์เรน เกตส์ ได้ใช้ วอร์เรน ถอนหายใจก่อนถามขึ้นว่า “แขนนั่นเป็นอย่างไรบ้างครับ คุณพบปัญหาการใช้งานมันบ้างรึเปล่า” มาริคยกแขนกลข้างขวาของเขาขึ้นมาลองขยับดู “ผมยังไม่ค่อยคุ้นชินกับมันเท่าไร แต่ขอบคุณท่านมากครับ” วอร์เรนยิ้มบางๆ “ก็ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยผลงานของผมก็ช่วยให้คุณกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมล่ะนะ”
เมื่อวอร์เรนพูดจบ เขาก็กลับเงียบไป มาริคเองดูออกว่าวอร์เรนมีเรื่องที่กำลังกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย และตัวมาริคเองมาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องที่เขาตัดสินใจจะมาบอกกับวอร์เรน แต่เขายังสองจิตสองใจอยู่ จนในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “ผมมีเรื่องจะมาบอกกับท่านน่ะครับ….ผมรู้มาว่ามีคนบางคนคิดจะแอบออกไปข้างนอก” “เพื่อที่จะไปสำรวจพื้นที่แหล่งอาศัยของเจ้า Phoenixaurus Rex เขาต้องการออกหาไปว่ามีพืชชนิดหนึ่งอยู่หรือไม่” “เขาเชื่อว่ามันจะต้องมีพืชที่ดูดซับกัมมันตภาพรังสีและคายออกซิเจนที่เราสามารถนำมันมาตัดต่อพันธุกรรมเสียใหม่” “จนมันเป็นพืชที่โตเร็ว ทนทานต่อเชื้อโรค ปลูกง่ายทุกสภาพแวดล้อม นำไปสู่การสร้างพื้นที่อาศัยนอกโดมของมนุษย์”
วอร์เรน เกตส์ ได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจและประทับใจในแนวคิด แต่เขาก็รู้ดีว่าการทำแบบนั้นมันเป็นไปได้ยาก “แล้วเขาคนนั้นรู้รึเปล่าว่าถ้าทำแบบนั้น เขาจะต้องโทษข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของท่านประธานาธิบดีดิราเวน” “มันเป็นข้อหาหนัก ฐานความผิดคือกบฎต่อ Minos มีอัตราโทษสูงสุด ถ้าเขารู้เช่นนั้นแล้ว เขายังคิดทำมันอยู่รึเปล่า” มาริคยิ้มก่อนจะตอบออกไปว่า “เรื่องนี้ ผมคงจะต้องเรียนท่านว่า...เขารู้ทุกอย่างที่ท่านว่ามาดีอยู่แล้วล่ะครับ”
วอร์เรน เกตส์ก้มหน้าใช้นิ้วเลื่อนไปมาบนหน้าจอ Tablet ของเขาก่อนจะลุกขึ้นแล้ววางมันลงบนโต๊ะ “ยังไงผมก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะ และคงจะไม่สนับสนุนการกระทำแบบนั้นเป็นแน่ ผมไปทานข้าวก่อนนะครับ” มาริคมีสีหน้าผิดหวัง แต่เมื่อวอร์เรน เกตส์เดินออกจากห้องไป มาริคก็พบบางสิ่งบนหน้าจอ Tablet นั้น
มันเป็นข้อมูลของยานพาหนะหุ้มเกราะเคลือบวัสดุ Stealth พร้อม ironsuit 3 เครื่องของมหาดไทยที่ไม่ใช้แล้ว แถมยังมีพิกัดบอกว่าสิ่งของเหล่านั้นอยู่นอกโดม Minos ทางตอนเหนือ เยื้องกับประตูทิศเหนือไป 3 กิโลเมตร ข้อมูลสุดท้ายบอกว่า มีประตูเก่าบานหนึ่งไม่ใช้แล้วใกล้ทางออกประตูทิศเหนือ จะไม่มีทหารคุ้มกันในเวลากลางคืน
…………………………………..
ศูนย์วิจัยอาหาร
“ซล๊วบ……….ถุ๊ย!! แม่มเอ้ย รสชาติยังกับแกงบูด น่าอ้วกชะมัด” ซีค กำลังนั่งชิมอาหารสังเคราะห์ได้บ่นขึ้น เขานั่งอยู่คนเดียวในคลังตัวอย่างอาหารสังเคราะห์ที่มีเรียงกันจนเรียกได้ว่าแค่ชิมอย่างละคำก็อิ่มได้ไปเป็นอาทิตย์ ทันใดนั้น เสียงชายคนหนึ่งก็พูดขึ้นขณะเดินเข้ามานั่งข้างๆ “รสชาติมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย อาหารพวกนี้” ซีคทำหน้าตาเซ็งๆ ก่อนจะหันไปหาชายคนนั้น “ชะเห้ย!! มาริค สจ๊วต!! หายดีแล้วหรอ แขนไปโดนอะไรมา”
มาริคยิ้มพร้อมหรี่ตาลง “นายไม่ต้องมาทำไขสือหรอกน่า ชั้นได้ยินหมดแล้วล่ะที่นายพูดกับ ผศ.สแกนลอนซ์” “เจี้ยก!!! ได้ยินหมดแล้วงั้นหรอ!!” ซีคตกใจสุดขีด หากมาริคได้ยินทั้งหมด แสดงว่าเขารู้ถึงแอบอ้างแนวคิดของซีคแล้ว มาริคพยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ….ชั้นไม่คิดมาก่อนเลยนะว่าคนอย่างนายกลับหัวดีเกินคาด...นายน่ะคิดเหมือนชั้นเลยล่ะ” ซีคอึ้งไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกอึ้งปนโล่งใจที่มาริคยังไม่รู้ว่าแล้วแนวคิดการหาพืชที่มีคุณสมบัติพิเศษมาตัดต่อพันธุกรรมนั้น ไม่ใช่ซีคคิดเหมือนกันกับเขา แต่ซีคได้ยินที่เขาพูด แล้วเอามันไปแอบอ้างกับคนอื่นไปทั่วว่าเป็นความคิดของตน
ซีคจึงถามด้วยความสงสัย “แล้ว….แกต้องการอะไรอย่างนั้นหรอ….แกคงไม่คิดจะแจ้งจับชั้นข้อหากบฎงั้นใช่มั้ย” “รึว่าแกจะเอามันมาเป็นข้อต่อรองและข่มขู่ชั้น จะบอกไว้ให้รู้ แกน่ะไม่มีทางทำแบบนั้นได้ ศาลน่ะชั้นคุมหมดแล้ว” “ขนาดพวกตำรวจยังไม่กล้ากับชั้นเลย อย่าหวังจะทำอย่างนั้นซะให้ยาก ไสหัวเอาแขนบัคกี้ของแกกลับไปไป๊ ชิ่วชิ่ว” มาริคส่ายหน้า “ตรงกันข้ามเลยล่ะ….เมื่อนายมีแนวคิดที่เหมือนกันกับชั้น ชั้นก็เลยจะช่วยให้นายได้ออกไปยังไงล่ะ” คำตอบของมาริค ทำเอาซีคถึงกับประหลาดใจไม่น้อย และมันทำให้เขาอยากรู้เหตุผลเพิ่มเติม “งั้นไหนลองว่ามาเด๊ะ”
มาริคจึงหยิบ Tablet ของวอร์เรนออกมา ก่อนจะทำการส่งข้อมูลที่วอร์เรน เกตส์จงใจทิ้งเอาไว้ให้เขาไปให้ซีค ซีคเห็นเช่นนั้นก็รีบหยิบ Tablet ขึ้นมาแล้วเปิดดูข้อมูลในนั้นทันที “อ้าวฮัลโหล มีทั้งพาหนะและ Ironsuit เพลินละตู” มาริคค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “จำเอาไว้ว่าชั้นและกระทรวงมหาดไทยไม่รู้ไม่เห็นการกระทำของนาย...ขอให้โชคดีนะ...” ซีคฉีกยิ้มกว้างแล้วยกนิ้วโป้งขึ้นกดไลค์ “เซ่อเยสแหม๋น อีธาน ฮันท์รับภารกิจ thx หลายๆ เด้อ บักบัคกี้ บานส์”
ซีคจ้องมองไปที่ข้อมูลที่เขาได้รับมาแล้วพูดในใจว่า “ยังไงซะมหาดไทยต้องรู้เรื่องนี้แน่…เบลล่าจะเปลี่ยนใจก็งานนี้ล่ะนะ”
…………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 10, 2018 18:04:13 GMT
ช่วงเย็นของวันนั้น
ย่านค้าขายในฐาน Minos ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ย่านนี้ครึกครื้นที่สุด ผู้คนต่างพากันมาเดินจับจ่ายซื้อของหลังเลิกงาน มันเป็นย่านที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขายของใช้ไฟฟ้า ร้านขายเครื่องครัว เครื่องเรือน และจิปาถะนานาชนิด โดยหากคุณเดินมาจากสถาบันวิทยาศาสตร์และการวิจัยของ Minos มาทางนี้ ย่านนี้จะถึงก่อนย่านร้านสถาบันเทิง
เบลล่าเดินมาพร้อมเพื่อนนักวิจัยกลุ่มหนึ่งเพื่อที่จะมาปาร์ตี้หลังเลิกงานตามที่ได้นัดแนะกันไว้ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเบลล่า ถึงซาเรียสจะลางานเพราะบอกว่าป่วย และลอว์เรนซ์ก็บอกว่าไม่ว่าง แต่ทั้งสองก็ได้ส่งของขวัญวันเกิดมาให้เบลล่าเรียบร้อยก่อนหน้านี้แล้ว เธอจึงมาสังสรรค์กับเพื่อนที่ห้อง lab ระหว่างทางที่เบลล่าเดินมานั้น เธอก็พบกับชายคนหนึ่งเข้า ทำให้เธอต้องหยุดชะงักจนต้องยืนนิ่งไม่ก้าวเดินต่อ เขาก็คือ ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ ข้างๆ ธีโอดอร์ มีชายอีกคนที่เธอรู้จักยืนอยู่ด้วย เขาคือ อีธาน สมิทธ์
เบลล่าอมยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนที่เธอจะเริ่มก้าวขาวิ่งเข้าไปหาธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ และกำลังจะเรียกเขา แต่เหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้น ทำให้ขาทั้งสองข้างของเบลล่าก้าวเดินต่อไปไม่ไหว และปากของเธอก็แข็งทื่อ
หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากหน้าร้านที่ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ยืนอยู่ เธอคือ เจนนี่ เวอร์ม่า และร้านที่เจนนี่เดินออกมา คือร้านขายอัญมณีราคาสูง สิ่งที่ทำให้นัยน์ตาของเบลล่าหดเล็กลงก็คือ ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจนนี่ เวอร์ม่า และนิ้วนางข้างซ้ายของ ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ สวมแหวนที่เหมือนกันอยู่ ธีโอดอร์ ยื่นมือขวาไปให้เจนนี่ โดยเขามีวัตถุประสงค์จะให้เจนนี่จับมือเขาตามมารยาทชนชั้นสูง
หางตาข้างซ้ายของเจนนี่ก็สังเกตเห็นว่ามีคนมองเธอกับธีโอดอร์อยู่จากทิศทางนั้น เธอจึงหันมองกลับไป เงาสะท้อนของคนที่ปรากฏอยู่ในแววตาของเจนนี่ ไม่ใช่เบลล่า แต่เป็นซีค ฟาร์ชตัดท์ ที่อยู่หลังเบลล่าอีกที เธออึ้งจนพูดอะไรไม่ถูกเช่นกัน จนอีธานส่งเสียง “แฮะแฮ่ม!!” เจนนี่จึงยื่นมือซ้ายไปจับมือขวาธีโอดอร์เอาไว้ ธีโอดอร์ประคองเจนนี่ให้เดินลงจากหน้าร้านที่เป็นพื้นต่างระดับอย่างนุ่มนวล และพาเธอเดินกลับหลังไปอีกทาง
เบลล่าได้แต่ยืนอึ้ง น้ำตาของเธอเริ่มซึมออกจากดวงตา ปากของเธอสั่นไม่ต่างจากมือไม้ที่เริ่มไร้เรี่ยวแรง ไร้คำพูดใดๆ เบลล่าหันกลับหลังมา เธอก็เห็นซีค ฟาร์ชตัดท์ยืนมองเธออยู่ด้วยสายตาสงสารปนห่วงใย ในที่สุด เบลล่าก็กลั้นน้ำตาของเธอเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เธอปล่อยโฮเฮือกใหญ่แล้วโผลเข้ากอดซีค ทีแรกซีคกะจะมาชวนเบลล่าให้แอบออกไปสำรวจกับเขาอีกครั้ง ด้วยข้ออ้างและการสนับสนุนใหม่ที่เขาได้รับ พร้อมกับจะเอ่ยคำว่าสุขสันต์วันเกิดและมอบของขวัญให้แก่เธอแต่ตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะพูดคำนั้นแล้ว เขาทำได้เพียงปล่อยของขวัญที่เขาซ่อนไว้ข้างหลังลงพื้นแล้วใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดเบลล่าไว้อย่างแผ่วเบา
เจนนี่ที่กำลังเดินจูงมือธีโอดอร์เดินออกห่างซีคและเบลล่าไป เธอขมวดคิ้วแล้วค่อยๆ หันกลับมา ทว่าสิ่งที่เธอเห็นคือใบหน้าเย็นชาของอีธาน สมิทธ์ซึ่งบังฉากบาดตาบาดใจของเจนนี่เอาไว้พอดิบพอดี อีธานส่ายหน้า เขาทำปากเหมือนพูดแต่ไม่มีเสียงบอกกับเจนนี่ว่า “ไม่ขอรับ” มันเป็นคำสั้นๆ ที่ครบทุกความหมาย เจนนี่ละสายตาจากอีธาน เธอมองเหม่ออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับไปยังทิศทางที่ร่างของเธอก้าวเดิน
แม้ภายใจในจะเสียใจอย่างสุดซึ้ง แววตาจะดูไร้ซึ่งจิตใจ แต่เจนนี่ เวอร์ม่าก็ไม่เสียน้ำตาสักหมด
…………………………………..
“อะไร...กัน….เนี่ย”
ฟองน้ำ วางหนังสือที่เธออ่านอยู่ลง มาโกะที่นั่งอ่านอยู่ด้วยก็อึ้งไม่ต่างไปจากเพื่อนสาวของเธอเลย “ทำไมเรื่องราวมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ….ทั้งๆ ที่ผู้หญิงสองคนนั้นยังไม่ได้พูดคำคำนั้นออกไปเลยแท้ๆ” “แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอทั้งสองจะไม่มีโอกาสได้พูดออกไปให้ผู้ชายที่เธออยากให้ฟังมากที่สุดได้ยินแล้ว” มาโกะมองหน้าฟองน้ำแล้วพูดขึ้น “นี่ฟองน้ำ เธอจะอินอะไรมากมาย มันไม่ใช่เธอสักหน่อยที่อกหักน่ะ”
ฟองน้ำทำหน้าบูดๆ ก่อนจะตอบมาโกะไปว่า “ก็ชั้นสงสารพวกเค้านี่มาโกะ เธอไม่สงสารเขารึไงกัน” “เชอะ อ่อนไหวจริงๆ นะเธอเนี่ย ทำยังกะเคยมีความรักกับเขาแล้วอย่างนั้นแหละ” มาโกะแซะกลับไป มันทำให้ฟองน้ำเหล่มองบนเพดานพลางคิดในใจ “ถ้าเราเป็นหนึ่งในสองคนนั้น เราจะทำยังไงนะ?....” เอริคยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดเข้ามาว่า “ความรักน่ะ มันเป็นสิ่งแปลกประหลาด สวยงามแต่เจ็บปวด” ฟองน้ำหันไปยิ้มบางๆ ให้เอริค “นั่นสินะคะ ขนาดดิชั้นยังไม่เคยมีความรัก ดิชั้นก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วล่ะค่ะ”
“ธีโอดอร์ เขาจะไม่มีวันรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเบลล่า และซีค ก็จะไม่มีวันรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเจนนี่อีกแล้ว...”
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 12, 2018 16:14:49 GMT
EP.7 : Genesis 3 วันต่อมา ช่วงพลบค่ำ
ภายในฐาน Minos ขณะนี้เป็นเวลาค่ำ และวันนี้เป็นวันที่กลางคืนของฐานตรงกับกลางคืนของ Gliese 667Cc ตามปกติแล้วตามประตูทางออกทุกแห่งที่ใช้งานอยู่และไม่ได้ใช้งาน มักจะมีทหารเฝ้ายามอยู่ตลอดเวลา แต่หากเป็นช่วงเวลาที่กลางคืนภายในของโดมอาศัยของ Minos ตรงกับกลางคืนของโลกภายนอก จะมีการลดระดับความปลอดภัยลง ทหารจะเฝ้ายามเฉพาะประตูทางออกที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
ทหารยามเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่กีดกันไม่ให้มีผู้ใดออกไปนอกโดม แต่พวกเขามีหน้าที่คอยช่วยเหลือ ในกรณีที่มีผู้ออกนอกโดมอาศัยจะต้องเจ้าหน้าที่หรือทหารไปด้วย เนื่องจากนอกโดมนั้นค่อนข้างอันตราย ทว่าในเวลาที่กลางคืนด้านนอกและด้านในตรงกัน เป็นเวลาที่ถือว่าอันตรายมากหากจะเดินทางออกนอกโดม จึงไม่ค่อยมีใครเลือกที่จะเดินทางออกไปนอกโดมเสียเท่าใดนัก และส่วนมากเหตุของการออกนอกโดมก็มีเพียง หากไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทหารไปลาดตระเวน เจ้าหน้าที่วิจัยออกไปทำวิจัยใกล้ๆ ก็หนุ่มสาวบ้านรวยหาที่ออกเดทเท่านั้น
………………………………………..
ที่ประตูทางออกเก่าบานหนึ่งของ Minos
มันเป็นประตูที่ไม่ใช้งานแล้วใกล้ทางออกประตูทิศเหนือ เพราะประตู Air Lock บานนี้ถือว่าเล็กมาก ขนาดของประตูไม่ใหญ่พอจะส่งยานบินสำรวจ หรืออุปกรณ์ต่างๆ แม้แต่ Ironsuit ผ่านออกไปได้ จึงไม่ถูกใช้งาน ประตูบานนี้จะใช้งานเมื่อมีผู้ยื่นเรื่องขอออกไปข้างนอกต่อกระทรวงมหาดไทย ส่วนมากจะไปเพื่อออกเดท ในช่วงเวลานี้จึงไม่มีทหารมาเฝ้ายาม ทางเดินมายังประตูเป็นอุโมงค์เล็กๆ คดเคี้ยวและสูงเพียง 3 เมตรเท่านั้น
ซีคสวมชุดสำรวจสีดำ พร้อมอุปกรณ์ Exo-Skeleton เสริมกำลังค่อยๆ เดินหันซ้ายหันขวาอย่างระวังมาตามทาง เมื่อเขามองเห็นประตูทางออก เขาก็พบคนที่เขานัดแนะไว้ นั่นก็คือ ลอว์เรนซ์ ดิราเวน และ ซาเรียส แซนดรีน ทั้งสองคนสวมชุดสำรวจแบบเดียวกับซีค และรอเขาอยู่ที่หน้าประตู Air Lock ซีคจึงรีบก้าวเดินตรงไปหาทันที
“คิดว่าจะไม่มาซะแล้ว ชั้นอุส่าห์โล่งใจแล้วแท้ๆ” ซาเรียสเอ่ยขึ้นเมื่อซีคเดินมาถึงหน้าประตู Air Lock “หึ!!” ซีคฉีกยิ้มกว้าง “นายประเมินพลังของชั้นต่ำไปซาเรียส ชั้นเป็นคนต้นคิด ชั้นก็ต้องมาอยู่แล้วล่ะ” “อีกอย่าง ชั้นน่ะของจริง พูดอะไรแล้วก็ทำได้เสมอ เคยโกหกอะไรใครที่ไหนกันเล่า” ซีคพูดขึ้น ซาเรียสยิ้มด้วยใบหน้าเซ็งๆ “มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ รึเปล่านะ เท่าที่ชั้นเห็นนี่ก็แค่ครั้งแรกที่พูดจริงทำจริง”
ลอว์เรนซ์มองไปทีซาเรียสทีหนึ่งแล้วมองไปทีซีคอีกทีหนึ่ง สายตาของเธอแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย “พวกนายพร้อมจะออกไปกันรึยัง ถ้ายังอยากจะเถียงกันต่อ ชั้นไปเองคนเดียวก็ได้นะ” เธอเอ่ยขึ้นทำเอาซาเรียสชะงัก สีหน้าของซาเรียสที่ดูเหมือนทีเล่นทีจริงในตอนแรก ก็เปลี่ยนมาเป็นสีหน้าซีเรียสและจริงจังขึ้นมาทันที เขาหันไปพูดกับลอว์เรนซ์ว่า “ชั้นรู้อยู่แล้วล่ะว่าเธอคงไม่เปลี่ยนใจแน่ และก็ไม่อยากจะขัดเธออีกแล้ว เราไปกันเถอะ” ซีคจึงดึงหมวกกระจกจากต้นคอของเขามาปิดลงที่ตัวยึดปลายคางพร้อมๆ กับลอว์เรนซ์ และซาเรียส
แต่ก่อนที่ลอว์เรนซ์จะเอื้อมมือไปกดปุ่ม Air Lock เพื่อเข้าไปในห้องไล่อากาศ ก็มีเสียงของหญิงสาวตะโกนเข้ามา “รอก่อน!! ชั้นขอไปด้วยคน” ซีคจำเสียงของหญิงสาวคนนั้นได้เป็นอย่างดี ตาของเขาลุกวาวพร้อมหันกลับไป ตามอุโมงค์ทางเดินนั้น มีหญิงสาวสวมชุดสำรวจพร้อมอุปกรณ์ Exo-Skeleton กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างเร่งรีบ ซีคยิ้มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข แล้วพูดขึ้น “เบลล่า!! เธอ….เธอจะไปกับชั้นจริงๆ อย่างนั้นหรอ!!”
ระหว่างที่ลอว์เรนซ์ และซาเรียส กำลังอึ้ง เพราะเบลล่าเป็นคนเดียวที่พวกเขาคิดว่าไม่มีทางจะไปด้วยแน่ แต่เธอกลับวิ่งเข้ามาในชุดสำรวจที่พร้อมจะออกเดินทางไปกับพวกเขา ซีคก็วิ่งสวนกลับไปรับเบลล่า เมื่อซีคและเบลล่าวิ่งมาพบกัน เขาก็จ้องมาเข้าไปที่นัยน์ตาของหญิงสาว “ทำไมกัน...ในเมื่อเธอปฏิเสธไปแล้วนี่” “หรือว่าเพราะเธอเป็นห่วงชั้น เลยอยากจะมาเพื่อปกป้องชั้น ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง ชั้นดูแลตัวเองได้” “แต่ถ้าเธอจะไปด้วย ชั้นรับประกันว่าทริปนี้ต้องสนุกแน่ๆ และชั้นคนนี้นี่แหละจะคอยปกป้องเธอจากอันตรายเอง”
เบลล่ายิ้มด้วยใบหน้าที่ยังดูเศร้าๆ อยู่บ้าง แล้วตอบซีคกลับไปสั้นๆ ว่า “อื้อ!!”
………………………………………….
หลังจากที่ทั้งสี่คนออกจากฐาน Minos ได้ไม่นาน
พวกเขาก็มาถึงโรงเก็บของใต้ดินของสถาบันวิทยาศาสตร์และการวิจัยเก่าทางตอนเหนือ ห่างจากฐาน Minos 3 กิโลเมตร ทางเข้าเหมือนอุโมงค์ที่ถูกเจาะเข้าไปในหุบเขา อุปกรณ์ที่ทำประตูและอุโมงค์เต็มไปด้วยโลหะที่ขึ้นสนิมไปตามกาลเวลา แต่โชคยังดีที่มันยังใช้งานได้ตามปกติ โรงเก็บนี้เป็นสถานที่เก็บเครื่องมือ อุปกรณ์และยานพาหนะของสถาบันวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ได้ถูกใช้งานแล้ว ตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีมีคำสั่งให้การสำรวจดาวตกไปอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงกลาโหม
ทั้ง 4 คนเปิดประตูเข้าไปยังโรงเก็บเก่า และมุ่งหน้าตามแผนที่ที่ซีคได้รับจากมาริค และซีคเป็นคนที่เดินนำทาง จนในที่สุดก็มาถึงส่วนที่เป็นโรงเก็บพาหนะ มันมียานภาคพื้นดินลำหนึ่ง เป็นยานหุ้มเกราะติดอาวุธและเป็น Stealth
ตามที่มาริคได้ให้ข้อมูลไว้ ประกอบกับ Ironsuit อีก 3 เครื่องสภาพดี พร้อมอาวุธและกระสุนอีกจำนวนพอเหลือใช้ พวกเขาจึงนำ Ironsuit ขึ้นไปไว้บนยานลำนั้น โดยลอว์เรนซ์เป็นผู้ที่ขึ้นไปเปิดระบบของยานและเช็คความเรียบร้อย การทำงานของระบบ อุปกรณ์ต่างๆ และเครื่องยนต์ทำงานได้เป็นปกติเกินความคาดหมาย ยานลำนี้ชื่อว่า Phaeton
ห้องบังคับการที่อยู่ส่วนหัวของยานภาคพื้นดินลำนี้ มีอุปกรณ์คันโยก หน้าปัด และปุ่มมากมายที่แผงควบคุม มีเก้าอี้นักบินพร้อมใช้งาน และหน้าจอแสดงผลอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งห้องนั้นเป็นโลหะแทบทั้งสิ้น เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน ซีค ก็เดินมายืนต่อหน้าเพื่อนของเขาทั้ง 3 คนในห้องบังคับการของ Phaeton ซีคยืนเท้าสะเอวทำมาดเข้ม และพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ทุกอย่างพร้อมแล้ว ชั้นก็จะขออธิบายภารกิจกันก่อนนะ”
“ชั้นในฐานะหัวหน้าทีมสำรวจครั้งนี้ จะพาทุกคนไปยังทางตอนเหนือ เพื่อหารังของ Phoenixaurus” “โดยมีเป้าประสงค์ในการหาตัวอย่างพืชที่มีคุณสมบัติในการดูดซับกัมมันตภาพรังสีและคายก๊าซออกซิเจน” “การเดินทาง เราจะเลือกเดินทางเป็นเส้นตรง มุ่งหน้าไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุด เราไม่อ้อมหรือหลบอะไรทั้งนั้น” “เพราะไม่มีใครหยุดชั้นคนนี้ได้” เมื่อซีคเริ่มโม้หลุดประเด็น ซาเรียสก็ทักทันที “เดี๋ยวสิ ใครให้นายเป็นหัวหน้ากัน”
ซาเรียสหันกลับมาทางลอว์เรนซ์ “ชั้นว่าคนที่มีประสบการณ์และมีภาวะผู้นำ น่าจะเป็นลอว์มากกว่านายนะซีค” ลอว์เรนซ์ยิ้มบางๆ และตอบซาเรียสไปว่า “ที่นายว่ามันก็ถูก แต่หมอนี่เป็นคนคิดแผนการนี้ขึ้นมา ชั้นก็เลยไม่ขัดข้องน่ะนะ” เมื่อได้ยินที่ลอว์เรนซ์พูด ซีคยิ้มมุมปาก “เห็นมั้ยล่ะซาเรียส ชั้นนี่แหละเหมาะที่สุดแล้วกับการเป็นหัวหน้า ฮ่าฮ่าฮ่า” “อะแฮ่ม!! เนื่องจากเรามีกันแค่ 4 คน ดังนั้น เราก็ควรจะแบ่งหน้าที่กัน เพื่อให้แผนการของเราบรรลุเป้าหมายอย่างมีระบบ”
ลอว์เรนซ์ กับ ซาเรียส มีท่าทีเหมือนจะขำเล็กน้อยจากการที่ซีคพูดว่า อย่างมีระบบ เพราะมันขัดกับตัวตนของเขามาก แต่ทั้งสองก็ปล่อยให้ซีคพูดต่อไปว่า “เท่าที่ชั้นคิดไว้ ลอว์เรนซ์ กับชั้นเป็นสองคนที่ขับ Ironsuit ได้ดี ถึงชั้นจะดีกว่าก็ตาม” “แต่มันก็ยังเหลือ Ironsuit อีกเครื่อง ดังนั้น ก็ต้องมีคนหนึ่งขึ้นไปช่วยขับมัน ส่วนอีกคนจะมีหน้าที่บังคับยานลำนี้...” ซีคมองไปที่ซาเรียส และ เบลล่า สลับกันไปมา “งั้นเอาเป็นนายก็แล้วกัน…” เขาชี้ไปที่ซาเรียส ทำเอาซาเรียสเหวอ
“ระหว่างเดินทาง เนื่องจากเราไปได้ไม่เร็วมากนัก คงใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่เราจะต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคแรก” “เวลาที่เราพอมีอยู่นี้ ลอว์เรนซ์จะช่วยนายในการฝึกขับ Ironsuit และนายต้องขับมันให้ได้...เข้าใจ๋?” จากนั้นซีคก็มองไปที่เบลล่า เบลล่าขมวดคิ้ว “แต่ชั้นขับยานลำนี้ไม่เป็นหรอกนะ ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำบ้างหรอ เช่นล้างจาน ซักผ้า ร้องเพลง…?” ซีคยิ้มแห้งๆ “เธอทำได้อยู่แล้วล่ะเบลล่า เธอเป็นคนเก่งที่สุดและน่ารักที่สุดเท่าที่ชั้นรู้จักมาในชีวิต ลอว์เรนซ์จะสอนเธอเอง” เบลล่าหันไปมองหน้าลอว์เรนซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ลอว์เรนซ์ก็หันกลับมาพยักหน้าให้เบลล่าด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้เบลล่ามั่นใจขึ้นบ้าง
เมื่อจัดแจงหน้าที่จนลงตัวแล้ว ซีคก็กล่าวปิดท้าย “เรื่องสุดท้ายแล้วล่ะนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ….” สายตาทุกคนมองไปยังซีคด้วยความสนอกสนใจ แต่เมื่อเขาพูดว่า “การตั้งชื่อทีมของเรา” สายตาของทุกคนก็เหี่ยวลง ซีคมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก “ทำไม!! พวกนายคิดว่ามันไม่สำคัญรึไง? ใครๆ เขาก็ตั้งกันทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปอ่านดู” “ทั้งฝูงบินยูนิคอร์น เปกาซัส ยูนิคอร์นเปกาซัส Last Duty นี่ยังไม่รวมฝูงบินชื่อห่าเหวยังกะอัศวินโต๊ะกลมในราดาแมนทิสอีกนะ” “พอคิดๆ ดูแล้ว การผจญภัยครั้งนี้ของพวกเราเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการกำเนิดอนาคตใหม่ของมนุษยชาติ”
“ฉะนั้น ชื่อทีมของเราก็คือ ……………….Genesis!!!”
จากนั้นไม่นานยาน Phaeton ก็เริ่มเปิดท่อขับดันยกตัวขึ้นจากพื้น 3 เมตร จากนั้นท่อขับดันด้านหลังก็สร้างแรงส่ง ลอว์เรนซ์ ทำการบังคับ Phaeton เพื่อออกเดินทางโดยมีเบลล่าคอยนั่งศึกษาระบบต่างๆ ของยานอยู่ข้างๆ อย่างตั้งใจ ทางออกด้านบนที่เป็นโพรงขึ้นสู่ยอดเนินเขาขนาดใหญ่ก็เปิดออก ในชั่วอึดใน Phaeton ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่พื้นผิวของดาว ภายในค่ำคืนที่มืดมิดคืนนั้น Phaeton ได้พา Genesis ออกเดินทางจากโรงเก็บมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่จุดหมายที่เคยมีใครพบเจอ
…………………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 12, 2018 16:15:50 GMT
ช่วงสายของวันต่อมา
ณ ห้องทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลอากาศโท เรย์ แอนเดอร์สัน กำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ เบื้องหน้าของโต๊ะทำงานหรูหราของเขานั้น มีแฟร๊งค์ ฟอนเบิร์ก นั่งอยู่คู่กับแมกซิม เฟลเลอร์ บนโต๊ะนั้น มีแฟ้มอิเล็กทรอนิกส์กระจกใสวางอยู่ มันแสดงถึงบันทึกข้อความบางอย่างว่า
“มีผู้กระทำการกบฎต่อฐาน Minos ด้วยการขัดคำสั่งของประธานาธิบดีดิราเวน” “พวกเขาขโมยพาหนะและ Ironsuit พร้อมอุปกรณ์จากโรงเก็บเก่าของสถาบันวิจัย” “มุ่งหน้าออกไปสำรวจหารัง Phoenixaurus ทางตอนเหนือของดาวดวงนี้” “ผู้กระทำการคือเจ้าหน้าที่วิจัยและพัฒนาอาหารซีค ฟาร์ชตัดท์ เขาได้จับตัวประกับไว้ 3 คน” “สองคนเป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันวิทยาศาสตร์และการวิจัย ส่วนอีกคนคือบุตรีของท่านประธานาธิบดี”
พลโทแอนเดอร์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “ขอบใจมากคุณฟอนเบิร์กที่เอาเรื่องนี้มารายงานผม” แฟร๊งค์มีสีหน้ากังวลและตอบกลับไปว่า “ผมเป็นห่วงก็แต่นักวิจัยที่ถูกจับเป็นตัวประกันนั่นแหละครับ” “หนึ่งในนั้นน่ะ….คือคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์เบลล่า สแกนลอนซ์ ผมเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ” พลโทแอนเดอร์สันจึงเอ่ยกับแฟร๊งค์ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เรื่องนี้ผมจะรีบดำเนินการช่วยเหลือทันที” “ส่วนคุณก็เตรียมตัวเองให้พร้อม ผมจะให้คุณเริ่มทดสอบการผ่าตัดทันที เพื่อพิสูจน์ความภักดีของคุณ” “คุณเฟลเลอร์จะคอยช่วยเหลือ ช่วยดำเนินการผ่าตัด ติดตามและเก็บข้อมูลของคุณเอาไว้ให้”
เมื่อพลโทแอนเดอร์สันพูดจบ เขาก็ยื่นมือขวาเป็นการบอกให้แฟร๊งค์ออกไปได้ คงเหลือแต่แมกซิมไว้ หลังจากที่แฟร๊งค์ ฟอนเบิร์กเดินออกไปแล้ว แมกซิมก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านคิดว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ สิน๊า” พลโทแอนเดอร์สันพยักหน้า “ถูกต้องแล้วล่ะ เจ้าหน้าที่วิจัยอาหารมายุ่มย่ามอะไรกับภารกิจของมหาดไทย” “อีกทั้งลำพังแต่ตัวคนเดียว สามารถจับตัวประกันได้ 3 คน และหนึ่งในนั้นก็เป็นทหารยอดฝีมือของเราด้วย”
แมกซิมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ใช่แล้วล่ะน๊า ดูเหมือนทั้งหมดเป็นการจัดฉากของมหาดไทยเลยล่ะ” “ผมว่าไม่ใช่การจับตัวประกันซะละม๊าง แต่อ้างแบบนั้นเพื่อให้คนของมหาดไทยและลูกประธานาธิบดีพ้นผิด” “การส่งข้อความแบบนี้มา ก็เพื่อทำให้ดูเหมือนตัวเองไม่เกี่ยว และโยนความผิดให้เจ้าคนที่ชื่อซีค ฟาร์ชตัดท์แทน” พลโทแอนเดอร์สันพยักหน้า “ผมก็คิดแบบเดียวกับคุณ แต่อย่างไรก็ตาม ผมจะไม่ยอมให้พวกเขาได้สิ่งที่ต้องการ”
แมกซืมหรี่ตาลง “แล้วท่านคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรอครับ จะไปจับตัวเจ้าพวกนั้นกลับมาอย่างนั้นใช่มั้ยเอ่ย” พลโทแอนเดอร์สันยิ้มอย่างชั่วร้าย “ผมจะไม่ให้สิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยพวกเขากลับมา” “ถ้าเจ้าพวกที่ออกไปนั่นตายระหว่างเดินทางไปตอนเหนือ ประชาชนจะคิดว่าพื้นที่ที่กระทรวงมหาดไทยพูดถึง” “เป็นพื้นที่อันตราย ไม่เหมาะสมกับการย้ายไปอยู่อาศํย เมื่อเป็นเช่นนั้น แผนการของเราก็จะได้เปรียบมากขึ้นไปอีก””
“ประการแรกคือ ลูกสาวประธานาธิบดียอมเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่ออุดมการณ์ในการออกไปอยู่อาศัยนอกโดม” “ประการที่สองคือ การอยู่นอกโดมในพื้นที่ที่เหมาะสมนั้นทำไม่ได้ ทางออกเดียวก็คึอการดัดแปลงเผ่าพันธุ์มนุษย์เสียใหม่” เมื่อได้ยินแผนที่พลโทแอนเดอร์สันวางไว้ แมกซิม ก็พูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอเสนอวิธีฆ่าพวกนั้นโดยมือไม่เปื้อนเลือดให้น๊า” พลโทแอนเดอร์สันแสดงท่าทีสนใจข้อแนะนำของแมกซิม เฟลเลอร์เป็นอย่างมาก แมกซิม เฟลเลอร์ จึงพูดขึ้นว่า
“ผมจำได้ว่ามหาดไทยได้ไข่นกยักษ์ไปทำการทดลอง จะเป็นไงน๊า ถ้าเจ้านกยักษ์นั่นมาทวงไข่ของมันคืนน่ะ….”
………………………………………..
ทางตอนเหนือของ Minos
Phaeton ยานบินเพดานต่ำ หุ้มเกราะติดอาวุธกำลังบินรักษาเส้นทางมุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่แห้งแล้ง มันเป็นยานที่มีขนาดใหญ่พอประมาณ มีความยาวร่วม 40 เมตร จึงมีการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนชัดเจน และหนึ่งในสัดส่วนนั้นคือโรงเก็บ Ironsuit ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง ขณะนี้ Ironsuit เครื่องหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว มันกำลังเดินอย่างเก้ๆ กังๆ ยกแขนซ้ายขวาดูไม่เป็นธรรมชาติ นั่นก็เพราะพลขับคือ ซาเรียส แซนดรีน
ที่สะพานเดินเรือข้างๆ โรงเก็บ ลอว์เรนซ์กำลังนั่งเท้าคางด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายขณะดูการฝึกขับของเพื่อนหนุ่ม เธอส่ายหัวแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่ปุ่ม Speak แล้วพูดว่า “เอาใหม่!! มันยากตรงไหนเนี่ยซาเรียส พยายามหน่อยสิ” ซาเรียสที่อยู่ใน Ironsuit ก็ยิ้มแห้งๆ ผ่านระบบสื่อสารแบบ Video Call กลับมา “แหะๆ ก็ชั้นเพิ่งลองครั้งแรกนี่นา” ลอว์เรนซ์เบะปาก “นายก็ลองคิดซะว่ากำลังเคลื่อนไหวร่างกายตัวเอง ทั้งแขนและขา ไม่ต้องไปคิดว่ากำลังขับอะไรอยู่” “เท่าที่เห็นคือ เหมือนนายรอดูว่าทุกการเคลื่อนไหวของนาย หุ่นจะเคลื่อนที่ยังไง นายอย่าไปคิดเยอะสิ เอาใหม่ๆ!!”
เหตุที่ซาเรียสบังคับ Ironsuit ได้ไม่เป็นธรรมชาติ นั่นก็เพราะมันมีดีเลย์ 0.3 วิ ในการสั่งการ และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเขาอีกด้วย ซาเรียสเหงื่อตกเล็กน้อย สีหน้าของเขาเริ่มท้อใจ แต่เมื่อเขามองกลับไปที่สะพานเดินเรือ เขาก็เห็นลอว์เรนซ์นั่งเกาแก้มอยู่ สิ่งที่แว๊บเข้ามาในหัวของเขาก็คือ เขาไม่อยากให้ลอว์เรนซ์ต้องได้รับอันตราย หรือได้รับบาดเจ็บในภารกิจครั้งนี้ ซาเรียสกำหมัดของตัวเอง และมองไปที่คันบังคับซึ่งเหมือนปลอกแขนและถุงมือเหล็ก “ชั้นจะยอมแพ้อย่างนี้ไม่ได้” จากนั้น เขาก็หลับตานึกเพียงแค่การเคลื่อนไหวร่างกายของตน และผลที่ออกมา เขาก็สามารถบังคับมันได้ดียิ่งขึ้น
ห้องนักบินของ Phaeton
เบลล่ากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้พลขับ ขณะที่ลอว์เรนซ์ได้เปิดระบบ auto pilot ทิ้งเอาไว้แล้ว มันจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับเบลล่าในการศึกษาวิธีการขับ และการสั่งการอุปกรณ์อื่นๆ ของตัวยาน ด้วยการที่เป็นคนฉลาดหัวดี และขยันอดทน เบลล่าสามารถเรียนรู้การขับขี่และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
ระหว่างนั้น ซีค ก็เดินเข้ามาและนั่งที่เก้าอี้พลขับที่ 2 ข้างๆ เบลล่า เธอจึงหันไปมองและยิ้มให้ก่อนทักว่า “ว่าไงซีค ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ” ซีคยิ้มเป็นการตอบรับคำถามนั้นและตอบกลับ “เรียบร้อยดีอยู่แล้ว” เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า “จะว่าไป ชั้นยังไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงเปลี่ยนใจมาด้วยกัน” “แต่ถ้าไม่สะดวกจะพูด หรือลำบากใจที่จะต้องพูด จะไม่พูด ชั้นก็ไม่ว่าอะไรเธอนะ ชั้นเข้าใจ….” “ชั้นรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงของเธอคงไม่ใช่เพราะอยากจะมาช่วยชั้นในการออกผจญภัยครั้งนี้หรอก”
เบลล่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบซีคกลับไปว่า “ที่ชั้นตัดสินใจจะไปกับซีคในครั้งนี้ เพราะชั้นน่ะ….” เธอพูดยังไม่ทันจบ ก็เงียบไปอีกครู่หนึ่งราวกับไม่อยากจะพูดประโยคต่อไปออกมา แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจพูด “ชั้นในตอนนี้น่ะ….เกลียดสิ่งที่ตัวชั้นเองเป็น วันๆ ชั้นเอาแต่นั่งทำวิจัย วุ่นอยู่แต่กับงานจนไม่ได้สนใจเรื่องอื่น” “พอว่าคิดๆ ดูแล้ว ชีวืตของชั้น….จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีอะไรเลย เป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ” “ชั้นอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สุดขั้วดูบ้าง อยากลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝันอย่างจริงจัง…..”
“ชั้นเองก็มีความฝันเหมือนกันนะ...ชั้นอยากจะสร้างโลกนี้ให้ดีกว่าเดิม อยากให้ทุกคนได้เห็นท้องฟ้าของจริง” “ได้สูดอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติของจริง ได้รับสายลมธรรมชาติของจริง ได้รับแสงแดดของจริง อยู่บนโลกจริงๆ” “และดูเหมือนว่าครั้งนี้จะเป็นเพียงโอกาสเดียวที่ชั้นจะทำได้….แม้ว่าโอกาสสำเร็จมันจะดูเลือนลางมากก็ตาม” “ชั้นก็อยากจะลองเสี่ยงทำตามความฝันของชั้นดูสักครั้ง….และตอนนี้ชั้นไม่มีอะไรจะต้องห่วงอีกแล้วล่ะ….”
ถึงแม้จะดีใจ แต่ซีคก็ยิ้มไม่ออก เพราะเขารูเว่าเหตุผลที่เบลล่าห่วงอยู่เสมอ นั่นก็คือการได้อยู่ใกล้ชิดกับธีโอดอร์ สิ่งต่างๆ ที่เธอทำในสถาบันวิทยาศาสตร์และการวิจัย นั่นก็เพื่อทำตัวเธอเองมีคุณค่า และเป็นคนได้รับการยอมรับ เผื่อสักวันธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ จะมองมาที่เธอบ้าง ไม่ใช่มีแค่เธอที่มองไปที่เขาคนนั้นอย่างที่เป็นเสมอมา แต่ความฝันเหล่านั้นของเธอพังทลายลงไปแล้ว ที่เธอตัดสินใจเข้าร่วมอาจเพียงเพราะเธออยากหนีความจริงก็เป็นได้ ซีคใช้มือทั้งสองแตะไปที่ไหล่ของเบลล่าด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “งั้นเรามาพยายามสร้างโลกใบนี้ให้สวยงามด้วยกันเถอะ!!”
“นี่ตูพูดอะไรออกไปฟะเนี่ย!! โคตรน้ำเน่าเลยชิบหายเอ้ย! ทำไมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างนี้ฟะ!!!”
………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 12, 2018 16:17:23 GMT
ห้อง lab ใหญ่ของฐาน Minos
ระหว่างที่วอร์เรน เกตส์กำลังทำการวิเคราะห์ผลการทำงานของแขนกลของเขาเองที่มาริคใช้งานอยู่นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็เข้ามาเยี่ยมเยียน เขาเดินเข้ามาแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานของวอร์เรน วอเรนซ์จึงจงใจวางแฟ้มอิเล็กทรอนิกส์ของเขาลงบนโต๊ะ เพื่อให้พลโทแอนเดอร์สันเหลือบมองว่าเขากำลังอ่านอะไรอยู่ “ไปยังไงมายังไงล่ะครับท่านรัฐมนตรีแอนเดอร์สัน เหตุใดถึงมาหาผมถึงที่โต๊ะทำงานของผมที่นี่อีกแล้ว”
เมื่อได้ยินคำถามของวอร์เรน เกตส์ พลโทแอนเดอร์สันก็รับรู้ได้ว่าวอร์เรน เกตส์กำลังยั่วโมโหเขาอยู่ ประกอบกับการจงใจวางแฟ้มอิเล็กทรอนิกส์ให้เขาได้เห็นว่ามันไม่ใช่แผนการเดินทางของซีค ฟาร์ชตัดท์อีกด้วย พลโทแอนเดอร์สันจึงเสแสร้งยิ้มออกไป “ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาแจ้งข่าวให้พวกคุณทราบในฐานะผู้เสียหายน่ะครับ” เพียงคำพูดสั้นๆ และไม่ได้บอกตรงๆ วอร์เรน เกตส์ ก็ทราบแล้วว่าพลโทแอนเดอร์สันจะมาพูดถึงเรื่องอะไร เขาจึงแกล้งถามกลับไปว่า “ฐานะผู้เสียหายอย่างนั้นหรอครับ….มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรอครับท่านรัฐมนตรี?”
พลโทแอนเดอร์สันหรี่ตาลง เขารู้ทันทีว่านี่เป็นการเสแสร้งไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน “ผมได้รับแจ้งจากผู้ไม่ประสงค์ออกนามว่ามีการโจรกรรมยานหุ้มเกราะภาคพื้นดินและ Ironsuit ของศูนย์วิจัยออกไป” “พวกเขามุ่งหน้าขึ้นทางตอนเหนือ เพื่อไปค้นหาพื้นที่ทำรังของ Phoenixaurus Rex โดยพลการน่ะครับ” “ผมจึงจะมาแจ้งให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทราบว่าผมมิได้นิ่งดูดาย รวมทั้งได้แจ้งท่านประธานาธิบดีแล้ว” “ผมจะเร่งติดตามนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และนำทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมไปมาคืนให้คุณโดยเร็วที่สุด”
วอร์เรน เกตส์ รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะเขาคิดว่ากลาโหมคงต้องรู้ว่ามีการโจรกรรมเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่เขาไม่คิดว่าข้อมูลที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรู้ตอนนี้ มันมีมากกว่าที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้มาก แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของวอร์เรน เกตส์ที่มีพอตัว เขาไม่แสดงสีหน้าตกใจออกมา เขากลับยิ้มออกมาอย่างยินดี เขาตอบกลับพลโทแอนเดอร์สันไปว่า “อย่างนั้นก็ดีสิครับ ผมคงต้องพึ่งคุณแล้วล่ะนะงานนี้ ขอบคุณจริงๆ นะครับ”
เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มยินดีของวอร์เรน เกตส์ พลโอแอนเดอร์สันก็รู้เช่นกันว่ามันเป็นการเสแสร้งปกปิดความจริง แต่ดูเหมือนงานนี้เขาจะจับผิดวอร์เรน เกตส์ไม่ได้ เขาจึงพูดขึ้นว่า “ผมมีเรื่องจะแจ้งอีกเรื่องน่ะครับ….” “ผมทราบมาว่าทางสถาบันวิทยาศาสตร์และการวิจัยได้เก็บข้อมูลของไข่ Phoenixaurus Rex เรียบร้อยแล้ว” “ผมจึงจะมาขอรับมันกลับไปเพื่อหาวิธีส่งคืนแม่ของมันในการออกสำรวจคราวหน้า...คุณคงไม่ขัดข้องนะครับ” วอร์เรน เกตส์รับรู้ได้ว่ามันมีสิ่งผิดปกติแอบแฝงอยู่ แต่ด้วยกระบวนการดำเนินงาน เขาจึงต้องส่งไข่ฟองนั้นให้ไป
เมื่อพลโทแอนเดอร์สันได้รับไข่สีแดงของ Phoenixaurus มาแล้ว แมกซิมและเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการขนย้ายกลับออกไป วอร์เรน เกตส์ มองตามพลโทแอนเดอร์สันที่เดินออกจากประตูห้อง lab ด้วยสายตาที่ฉงนสงสัย ในขณะที่มาริค สจ๊วตเป็นผู้ที่เดินเข้ามาในห้องและนั่งลงที่เก้าอี้ตามทำคำสั่งของวอร์เรน เกตส์ มาริคทำหน้าเลิ่กลั่กและถามขึ้นว่า “มีอะไรอย่างนั้นหรอครับท่านรัฐมนตรี ทำไมพวกคุณถึงดึงหน้าตึงใส่กันขนาดนั้น”
วอร์เรน เกตส์ลากสายตาของเขากลับมาที่มาริค “รัฐมนตรีกลาโหมรู้เรื่องแล้วล่ะครับคุณสจ๊วต...และรู้มากเกินไปเสียด้วย” “เขามาแจ้งผมว่าเขาจะดำเนินการติดตามจับกุมคนกลุ่มนั้น และนำยาน Phaeton พร้อม Ironsuit มาคืนให้พวกเรา” “ผมรู้ว่ามันเป็นกระบวนการดำเนินการตามหน้าที่ แต่ผมเกรงว่าเขาจะมีแผนการชั่วร้ายอะไรซ่อนอยู่เสียมากกว่า” มาริค ทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “อืม….แสดงว่าท่านมองว่ารัฐมนตรีคนนั้นเป็นตัวร้ายที่จะสร้างความหายนะสินะครับ” วอร์เรน เกตส์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ใช่แล้วล่ะ...เราต้องระวังเขาไว้ให้มากกว่านี้….แล้ว...พวกนั้นไปถึงไหนแล้วล่ะ”
มาริคจึงตอบกลับไปว่า “พวกเขาจะเข้าสู่เขตพื้นที่แห้งแล้งในอีก 3 วันครับท่าน….พวกเขาเรียกตัวเองว่า...Genesis...”
………………………………………...
สามวันต่อมา
การเดินทางของ Genesis ด้วยยานหุ้มเกราะ Phaeton ได้เข้ามาสู่พื้นที่แห้งแล้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระหว่างสามวันที่ผ่านมา ลอว์เรนซ์ได้ช่วยฝึกจนซาเรียสสามารถขับเคลื่อน Ironsuit ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่ได้ลองนำ Ironsuit ออกไปใช้งานจริงนอกตัวยานแต่อย่างใดเพราะไม่มีการหยุดพัก ในขณะที่เบลล่าสามารถขับขี่ Phaeton ได้อย่างคล่องมือ รู้วิธีใช้งานอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ยกเว้นการใช้อาวุธ ถึงแม้ว่าอาวุธจะพร้อมใช้งาน แต่จำนวนกระสุนมีอยู่อย่างจำกัด เธอจึงไม่สามารถลองยิงอะไรซี้ซั๊วได้
ระหว่างที่ทุกคนต่างพักผ่อนนั่งเล่นอยู่ในห้องพลขับของ Phaeton เบลล่าก็สังเกตเห็นอะไรบางสิ่งบนเรด้า “นี่มันอะไรกันน่ะ….ทุกคนมาช่วยดูนี่หน่อย….มันเกิดอะไรขึ้น” เบลล่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หวั่นวิตก ลอว์เรนซ์ ซาเรียส และซีค จึงรีบลุกขึ้นมาดูที่จอเรด้า พวกเขาก็เห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว มันมุ่งหน้าตรงมาขวางเส้นทางการเดินทางของ Phaeton จำนวนของสิ่งเหล่านั้นบนจอเรด้ามีมากมาย ลอว์เรนซ์จึงนึกขึ้นได้ทันที “ชั้นรู้แล้วล่ะ มันเป็นฝูง Lycanus การสำรวจคราวก่อนพวกเราก็มาที่นี่แหละ”
ซาเรียสมองไปที่แผนที่ เขาเป็นคนที่มีความรู้ด้านภูมิศาสตร์ดีกว่าใคร “แย่ล่ะสิ ตรงนี้มีแต่ที่โล่ง” “ไม่มีที่ให้หลบหรือหลีกเลย ถ้าเราจะฝ่าเข้าไปตรงๆ มันก็เสี่ยง เพราะพวกมันอาจจะพังยานของเราได้” ลอว์เรนซ์มีสีหน้าหวั่นวิตก “คราวก่อนเราเจอแค่ 10 ตัว แต่เรามีทหารมือดีอย่างอาจารย์มิดฟอร์ดและธีโอดอร์” “เราจึงจัดการมันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก….แต่จำนวนของมันคราวนี้มันมากกว่านั้นมาก มันมีร่วมร้อยตัว...” ซีคยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ของกล้วยๆ คราวที่แล้ว 10 ตัว พวกเธอมีใครนะ? ธีโอดอร์ กับอาจารย์มิดฟอร์ดงั้นหรอ?” “แต่อย่าลืมเซ่!! ว่าวันนี้เธอมีปรมาจารย์ฟาร์ชตัดท์อยู่ทั้งคน แค่นี้ยังน้อยไป 1,000 ตัวโน่นถึงจะเริ่มตึงมือชั้นน่ะ”
ลอว์เรนซ์ถอนหายใจด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ให้มันจริงอย่างที่พูดก็แล้วกัน เราจะออกไปสู้กับมัน...suit up!!”
………………………………………...
ฐานทัพ Minos
พลโทแอนเดอร์สันเรียกประชุมลับกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเขา ในหน่วยนั้นนายทหารอยู่ 10 นาย มีร้อยเอกอาเรีย มิดฟอร์ด เป็นหัวหน้าหน่วย ร้อยโทธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ เป็นรองหัวหน้าหน่วย ส่วนในหมู่สมาชิกนั้นก็มีร้อยตรีเจนนี่ เวอร์ม่า และร้อยตรีอีธาน สมิทธ์รวมอยู่ด้วย พลโทแอนเดอร์สันได้แจ้งภารกิจใหม่ให้พวกเขาทราบ นั่นก็คือ การไล่ล่าจับกุมกลุ่มอาชญากร Genesis
อาเรียมีสีหน้ากังวลมาก เธอรับคำสั่งด้วยความเต็มใจเพราะเธอเป็นห่วงความปลอดภัยของลอว์เรนซ์ เนื่องจากสิ่งที่พลโทแอนเดอร์สันบอกกับพวกเธอนั้น คือ เบลล่า ลอว์เรนซ์ และซาเรียสถูกจับเป็นตัวประกัน ในขณะที่ธีโอดอร์กลับดูพออกพอใจกับการได้รับภารกิจนี้ เขาพูดขึ้นว่า “นายได้จบเห่แน่ ซีค ฟาร์ชตัดท์” “กะไว้แล้วว่าคนไม่เอาไหนอย่างนายจะต้องก่อเรื่องอีกตามเคย….ไม่รู้จักตัวเองไม่พอ ยังไม่รู้จักโตอีกต่างหาก”
ในขณะที่เจนนี่ เวอร์ม่า เป็นคนที่ดูกังวลและสงสัยมากที่สุด เพราะเธอเป็นคนที่รู้จักซีคดี เธอหันไปพูดกับอีธานว่า “ชั้นว่าซีคไม่น่าจะทำแบบนั้นนะอีธาน….น่าจะมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นแน่ๆ” “อีกอย่างฐานความผิดกบฎต่อ Minos นั้นมีอัตราโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต...ทำไงกันดีละ...” อีธานเองก็เข้าใจความรู้สึกของเจนนี่ดี และเขาก็เห็นด้วย แต่เขาก็ต้องพูดว่า “ใจเย็นๆ ขอรับคุณหนู” “ตอนนี้ข้อมูลของเรามีแค่นี้ เรายังบอกไม่ได้ขอรับว่าอะไรจริงไม่จริง กระผมก็หวังว่ามันจะไม่จริงขอรับ”
ระหว่างที่สมาชิกในหน่วยพิเศษกำลังถกเถียงกันอยู่ พลโทแอนเดอร์สันก็พูดขึ้นว่า “ผมลืมแจ้งพวกคุณไปอีกเรื่องหนึ่งน่ะครับ ในภารกิจครั้งนี้ ผมจะขอให้ผู้ช่วยของผมคนหนึ่งเดินทางไปด้วย” “แฟร๊งค์ ฟอนเบิร์ก เขามีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เขาจะช่วยเหลือพวกคุณตอนอยู่ข้างนอกนั่นอีกแรง”
เมื่อพูดจบ ทุกคนก็หันไปทางแฟร๊งค์ ฟอนเบิร์กที่เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ...” ถึงแม้ธีโอดอร์ เจนนี่ และอีธาน จะไม่สนิทกับแฟร๊งค์มากนักตอนที่เรียนอยู่ระดับ High School
แต่พวกเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อในแววตาของแฟร๊งค์นั้นเย็นชาไร้ความรู้สึกราวกับไม่มีจิตวิญญาณสถิตอยู่เลย
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 14, 2018 16:00:34 GMT
EP.8 : What's right What's wrong พื้นที่เขตแห้งแล้ง
บัดนี้กลุ่ม Genesis ถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูง Lycanus จำนวนกว่า 100 ตัว พวกเขาจึงต้องหยุดการเดินทางลง ซีค ลอว์เรนซ์ และซาเรียสได้นำ Ironsuit ออกมาทำการคุ้มกัน Phaeton เพื่อดูท่าทีของฝูง Lycanus เหล่านั้น พวกเขาไม่สามารถขับ Phaeton ฝ่าไปได้ เพราะลอว์เรนซ์คำนวณแล้วว่าพวกมันสามารถพัง Phaeton ลงได้แน่นอน
ลอว์เรนซ์มองท่าทีของพวกมันที่ยังไม่เริ่มจู่โจม เธอก็เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนพวกมันกำลังรออะไรบางอย่าง” “เพราะการที่พวกมันยังคงอยู่ที่นี่ไม่ย้ายถิ่นฐาน ทั้งที่พายุทรายใกล้จะพัดเข้ามาแล้ว มันคงต้องการอะไรแน่” ซีคแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย “นั่นไม่ใช่เพราะว่าเมื่อสามสี่วันก่อนพวกเธอไปจับฝูงของมันไปบางส่วนหรอกหรอ” ถึงแม้จะเป็นประโยคที่เหมือนจิกกัด แต่มันกลับสมเหตุผลอย่างไม่น่าเชื่อ ซาเรียสจึงเสริมสั้นๆ ว่า “เป็นไปได้นะ” ทันใดนั้นเอง ที่สุดสายตาด้านหลังของฝูง Lycanus ก็ปรากฏร่างของ Lycanus ตัวมหึมา มันเดินมาอย่างช้าๆ
รูปร่างของมันไม่แตกต่างจาก Lycanus ที่เหมือนหมาป่ายืนสองขา ตาสีแดง มีหนามขึ้นตามแขนและขา แต่ขนาดของมันใหญ่กว่าตัวอื่นมาก ส่วนสูงของมันเกือบ 20 เมตร ทั้งที่ตัวอื่นจะสูงเพียง 8 - 10 เมตร มันแยกเขี้ยว ใบหน้าสั่นระริกราวด้วยความโกรธ และร้องคำรามสนั่นหวั่นไหว “ฮร่าาาาาาาาาาาาาห์!!” สิ้นเสียงคำรามของเจ้าตัวใหญ่ ฝูง Lycanus ก็เริ่มก้มลงควบ 4 ขา เข้าโจมตีกลุ่ม Genesis
ซีคมีอาการเหวอเล็กน้อย “ดูเหมือนเจ้าตัวใหญ่นั่นจะเป็นจ่าฝูงสินะ….พวกมันมากันแล้ว ใส่เกียร์หมามาซะด้วย” ลอว์เรนซ์ที่ดูมีสติดีกว่าทุกคนเพราะเคยชินเรื่องการต่อสู้ เธอเล็งปืนใหญ่ไปที่ฝูง Lycanus ทันที “เยอะแบบนี้จะฆ่ายังไงให้หมดกันล่ะ ดูท่ากระสุนของพวกเราน่าจะหมดซะก่อนด้วยซ้ำไป” แต่ซาเรียสก็ขัดขึ้นว่า “ลอว์ เธอจะฆ่าพวกมันอย่างนั้นหรอ….ชั้นว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าพวกมันนะ” ลอว์เรนซ์มองไปที่จอภาพด้านขวาเป็นภาพของซาเรียสในห้องพลขับ “อย่าโลกสวยสิซาเรียส มันจะฆ่าเรานะ”
เบลล่าที่นั่งอยู่ใน Phaeton เธอก็เสริมเข้ามาว่า “ลอว์เรนซ์ ชั้นว่าเราน่าจะใช้ลูกดอกยาสลบก่อนนะ” “ตามธรรมชาติแล้ว สุนัขป่าจะล่าถอยถ้าหากเหยื่อของมันแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้น เราแค่ขู่มันก็พอ” ซีคไม่รอช้าที่จะสนับสนุนความคิดของเบลล่า “ใช่แล้วล่ะ แค่ขู่ก็พอ พอมันน็อคสัก 4 - 5 ตัวก็ป๊อดไปเองแหละน่า” ลอว์เรนซ์เบือนหน้าหนี เธอไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “จะเอางั้นก็ได้ แต่อย่าหาว่าชั้นไม่เตือนล่ะ เปลี่ยนเป็นลูกดอกยาสลบ!!” เบลล่ายิ้มบางๆ เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องฆ่าพวกมัน เบลล่าเองก็เปลี่ยนระบบการยิงปืนใหญ่ของ Phaeton เสียใหม่ จากที่เป็นกระสุนปืนใหญ่ เธอเลือกใช้หัวระเบิดยาสลบ แล้วเริ่มเล็งเป้าหมายเป็นแบบกลุ่มแทน
ไม่นานนัก พวก Lycanus ก็เข้าระยะยิงลูกดอกยาสลบที่มีระยะยิงหวังผลใกล้กว่ากระสุนจริงมาก ซีคเริ่มยิงลูกดอกออกไปทันที ถึงแม้เขาจะคุ้นเคยกับการควบคุม Ironsuit จากการทำงานแรงงานในศูนย์วิจัยอาหาร แต่เขากลับไม่เคยชินกับการเล็งยิงอาวุธปืนของ Ironsuit ทำให้ลูกดอกที่ถูกยิงออกจากกระบอกปืนพลาดเป้าหลายนัด ซาเรียสดูจะอาการหนักที่สุด เพราะอย่าว่าแต่ยิงปืนเลย เขานั้นเพิ่งจะขับขี่ Ironsuit เป็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง ลูกดอกที่ซาเรียสยิงออกไป จึงไม่มีนัดใดเข้าเป้า เขามีสีหน้าหวั่นวิตก “บ้าจริง ทำไมมันยิงยากอย่างนี้นะ”
กลับกัน ลอว์เรนซ์ถูกฝึกให้ขับขี่ Ironsuit และปฏิบัติการจริงด้วยการใช้อาวุธมานับครั้งไม่ถ้วน เธอยิงไม่พลาดเลย ส่วนเบลล่านั้น เธอมีระบบช่วยเล็งยิงอัตโนมัติ เพียงแค่เลือกเป้าหมายบนจอเรด้า ปืนใหญ่ของ Phaeton ก็จะไม่พลาด มันเลื่อนติดตามการเคลื่อนไหวของเป้าหมายอย่างแม่นยำ ทำให้การยิงลูกระเบิดยาสลบของเบลล่าได้ผลดีมาก แต่ถึงแม้ว่า Lycanus จำนวนนับ 10 ถูกยาสลบ แล้วล้มลง แต่ด้วยจำนวนที่เหลือยังมีจำนวนมาก มันจึงเข้าประชิดได้สำเร็จ ซีคหันไปมองสถานการณ์ที่เริ่มดูไม่ดีเท่าไร “แย่ล่ะสิ พวกมันเร็วยังกะลิงทั้งที่เป็นหมา แต่หมาก็เร็วนี่ฝ่า ทำไงดีฟะเนี่ย”
โครม!! Ironsuit ของซีคถูก Lycanus สามตัวชนจนกระเด็นล้มลง และทางซาเรียสก็มีสภาพไม่ต่างกัน
………………………………….
ฐาน Minos
ประตู Air Lock ทางทิศเหนือ มีการเตรียมการครั้งใหญ่ ยานบินขนาดใหญ่ Challenger IV ประจำจุดปล่อยตัว พลโทแอนเดอร์สันเดินเข้ามาตามอุโมงค์ยักษ์ เขาสวมชุดสำรวจสีดำโดยมีแมกซิม เฟลเลอร์ตามมาติดๆ แมกซิมยิ้มมุมปาก “ไม่คิดว่าท่านรัฐมนตรีจะตัดสินใจออกไปลุยด้วยตัวเองเลยน๊างานนี้เนี่ย” พลโทแอนเดอร์สันหันกลับมาตอบว่า “เรื่องนี้คุณก็รู้ว่ามันสำคัญต่อพวกเรา จะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้” แมกซิมพยักหน้าหงึกๆ อยู่สองสามครั้ง “ว่าแต่ท่านรัฐมนตรีไม่ได้ออกไปลุยด้วยตัวเองมานานเท่าไรแล้วน๊า”
พลโทแอนเดอร์สันที่กำลังมองดูเจ้าหน้าที่ยกข้าวของขึ้นยานก็ตอบกลับ “พักใหญ่แล้วครับ ต้องเคาะสนิมกันหน่อย” “คิดถึงงานนี้ใช้ย่อยเลยล่ะ ผมคงต้องหวังพึ่งคุณแล้วล่ะนะกัปตันเฟลเลอร์….แล้วพวกหน่วยพิเศษมาถึงกันรึยัง” แมกซิม เฟลเลอร์เปิด Tablet ขึ้นมาดูข้อมูล “หน่วยพิเศษพร้อมอยู่บนเครื่องแล้วล่ะครับท่านรัฐมนตรีฮิฮิ” พลโทแอนเดอร์สันยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปทางผู้ติดตามที่เดินตามมาคนสุดท้าย เขาคือ แฟร๊งค์ ฟอนเบิร์ก
“ในที่สุดคุณก็ได้ออกไปสำรวจนอกโดมอย่างที่ต้องการแล้วนะครับ” พลโทแอนเดอร์สันพูดขึ้น แฟร๊งค์หันกลับมาด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไร้อารมณ์ “ครับท่านรัฐมนตรี” จากนั้นแฟร๊งค์ก็เดินขึ้นยานไปโดยไม่แสดงปฏิกิริยาดีใจอะไรออกมาเลย พลโทแอนเดอร์สันจึงหันไปหาแมกซิม “ดูเขาไม่ดีใจเลยนะ” คำพูดของพลโทแอนเดอร์สันก็ได้ถูกอธิบายโดยแมกซิมว่า “เจ้านั่นผ่านการผ่าตัดสมองแล้วล่ะ” “แต่แนวคิดของเขามองข้ามสิ่งหนึ่งไป การผ่าตัดทำให้ Cognition ไม่ทำงาน มันไม่ได้หยุดความรู้สึกเศร้าลงเท่านั้น” “เพราะมันหยุดสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกทุกอย่างลงไปพร้อมๆ กันด้วยจ้า….ตอนนี้หมอนั่นเป็นหุ่นยนต์ไปแล้วละน๊า”
เมื่อพลโทแอนเดอร์สัน แฟร๊งค์ และแมกซิม ขึ้นไปบน Challenger IV แมกซิมก็เข้าประจำเก้าอี้กัปตัน เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเปิดประตู Air Lock ด้านใน Challenger IV ก็ค่อยๆ เดินท่อขับดันยกตัวแบบ VTOL จากนั้นมันค่อยๆ ลอยเข้าไปในประตู Air Lock ก่อนที่ประตู Air Lock ด้านในจะปิด และเปิดประตูด้านนอก “Main Gate Stand-by….Systems All Clear …. Challenger IV ….. You got control” แมกซิม ได้ยินสัญญาณให้ออกตัว เขาก็กดปุ่มสื่อสารพูดกับไป “Challenger IV copied...”
“We got control….Cabin-crew Ready for Take-off!!” สิ้นประโยค Challenger IV ก็บินออกจาก Minos
…………………………………..
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 14, 2018 16:02:13 GMT
การปะทะฝูง Lycanus
ซีค ลอว์เรนซ์ และซาเรียส ใช้ลูกดอกยาสลบระดมยิงสะกัดฝูง Lycanus อย่างสุดความสามารถ แต่เนื่องจากการขาดประสบการณ์ของซีค และซาเรียส ลำพังเพียงลอว์เรนซ์ไม่สามารถรับมือพวกมันได้ ฝูง Lycanus วิ่งพล่านเข้าประชิด Ironsuit ทั้งสามเครื่อง พวกมันใช้กรงเล็กและคมเขี้ยวเป็นอาวุธ ถึงแม้มันจะไม่สามารถทำให้ Ironsuit เสียหายได้มากนัก แต่การพุ่งเข้าปะทะนั้น ทำให้ซีคได้รับบาดเจ็บ การตะปบของมันถึงจะไม่รุนแรงพอ แต่เมื่อมันตะปบหลายครั้งเข้า ชิ้นส่วนเกราะก็เริ่มหลุดออก
ลอว์เรนซ์เป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่ถูกปะทะ การต่อสู้ของเธอนั้นอยู่ในระดับมืออาชีพ แต่ทุกอย่างก็มีข้อจำกัด “แย่ละสิ ลูกดอกยาสลบหมดแล้ว” ลอว์เรนซ์พูดขึ้น ในขณะที่ Lycanus บางตัววิ่งเลยแนว Ironsuit ไปยัง Phaeton เบลล่าที่อยู่ใน Phaeton ก็ประสบปัญหา เนื่องจากระเบิดยาสลบของเธอก็ใช่ไปหมดเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ทว่าจำนวน Lycanus ที่ยังเหลืออยู่นั้นยังมีอีกเกินครึ่ง มันพยายามงัดแงะประตูของ Phaeton ด้วยกรงเล็บ ลอว์เรนซ์เห็นเช่นนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ขอโทษทีนะเบลล่า ซาเรียส ดูเหมือนงานนี้จะต้องใช้กระสุนจริงแล้วล่ะ!!”
เบลล่าตอบกลับมาสั้นๆ “อื้อ!!” เนื่องจากเธอเองก็เริ่มเกิดอาการหวาดกลัว เพราะตัวเครื่อง Phaeton ถูกโยกไปมา ลอว์เรนซ์เปลี่ยนระบบการยิงเป็นกระสุนจริง เธอรีบเล็งไปที่ Lycanus ตัวที่เข้าไปใกล้คันโยกเปิดฝาท้ายยาน Phaeton ปัง!!.... กระสุนปืนยาวจาก Ironsuit ของลอว์เรนซ์ แหวกอากาศดังสนั่น ก่อนจะพุ่งทะลวงกะโหลก Lycanus ตัวนั้น ด้วยพลังงานจลที่มีมากของหัวกระสุนขนาดใหญ่ มันระเบิดหัวของหมาป่าต่างดาวกลายเป็นชิ้นๆ ทันทีที่ปะทะ “ฮร่าาาาาาาห์!!!!!” Lycanus ร่างยักษ์ที่เหมือนจ่าฝูงหันมาเห็นลูกน้องของมันถูกฆ่าก็ร้องขึ้นดังสนั่นอีกครั้ง ทันทีที่สิ้นเสียง มันก็ควบเข้าสู่แนวการปะทะด้วยความเร็วที่มากกว่า Lycanus ตัวอื่นถึง 3 เท่า
“อี๋!! เฮียแกเอาจริงแล้วฝ่ะ!! ทำไงดีฟะเนี่ย ชั้นจะมานอนแมวตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด” ซีคบ่นขึ้นพร้อมเปลี่ยนกระสุนจริง “ช่วยไม่ได้แล้วล่ะนะ ต้องเล่นไม้นี้ซะแล้ว!!” ซีครีบบังคับ Ironsuit ของเขาให้ลุกขึ้นพร้อมสบัด Lycanus บางตัวออกไป Ironsuit ของซีคอยู่ในสภาพสะบักสะบอมเกราะหลุดรุ่ย เขาเริ่มวิ่ง วิ่ง และวิ่ง จากนั้นเขากดปลายเท้าเร่งท่อขับดันที่แพคหลัง “เจ้านั่นทำบ้าอะไรของเขาน่ะ” ซาเรียส ที่กำลังนอนกลิ้งยิงลมคบกริบบ่นขึ้นเมื่อเห็นเส้นทางการเคลื่อนที่ของซีค
ผ่าม!!! การเคลื่อนไหวของซีคไม่ได้เปิดโหมด Leeroy Jenkins วิ่งเข้าใส่ฝูง Lycanus แต่อย่างใด แต่เขากลับพุ่งเข้าไปหลบติ๋มอยู่ข้างหลังลอว์เรนซ์ ทำเอาลอว์เรนซ์มีการเซ็งและบ่นขึ้น “มาติ๋มหลังชั้นเนี่ยนะ” ซีคยิ้มอย่างไม่ละอายพร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่ได้ติ๋มโฟ่ย เขาเรียกว่า Formation B ไม่รู้จักรึไง….ซาเรียส มาเร็ว” ลอว์เรนซ์ทำหน้างงๆ “Formation B งั้นหรอ….มันคืออะไรกันยะ!!” แต่ซาเรียสก็ไม่รอคำอธิบาย เขารีบลุกขึ้นทันที เมื่อซาเรียสเร่งท่อขับดันเข้ามาหลบหลังลอว์เรนซ์ได้อย่างทุกลักทุเล ทั้งสามก็เริ่มตั้งป้องยิงจากจุดนั้น
ผลที่ออกมากลับดีเกิดคาด เมื่อทั้งสามมารวมกันเป็นกระจุกเดียว ทำให้ทิศทางการโจมตีของ Lycanus เหลือทางเดียว ซีค และซาเรียส จึงเริ่มยิงเข้าเป้า พวกเขากำจัด Lycanus ได้เพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง ลอว์เรนซ์แสดงสีหน้าประหลาดใจ เธอจึงพูดขึ้นว่า “ใช้ได้เหมือนกันนี่แผน Formation B ของนายน่ะซีค” ซีคจึงฉีกยิ้มออกมา “มันแน่นอนอยู่แล้วเฟ้ย!!” ซาเรียสที่ยังไม่เข้าใจจึงถามขึ้นว่า “Formation B ที่ว่านั่นคืออะไรงั้นหรอ” ซีคที่กำลังตั้งหน้าตั้งตายิงอยู่ก็ตัดสินใจตอบ “นายไม่เคยเล่นเกมส์กับเพื่อนแบบปิดไมค์บ้างรึไงซาเรียส เวลาสู้ไม่ได้ให้ถอยน่ะ เค้าจะพิมพ์สั้นๆว่า bbbbbbbbbbb” “นี่แหละ Formation B ล่ะ!!” สิ้นประโยค มุมปากของลอว์เรนซ์กระตุกยิกๆ เธอแอบศอกเข้าใส่ Ironsuit ของซีคไป 1 ที
เบลล่าที่อยู่ด้านหลังสุดใน Phaeton เธอมองเพื่อนๆ ทั้งสามคนทำงานเข้าขากัน และดูสนิทสนมเหมือนตอนเด็กๆ ความผูกพัน และความรู้สึกดีๆ สมัยวัยเยาว์ก็หวนกลับมาสร้างรอยยิ้มบางๆ ให้เธอได้ เบลล่าจึงตั้งสติเพื่อสู้อีกครั้ง “สนุกกันใหญ่เลยนะ ในเวลาแบบนี้แท้ๆ แต่ก็ไม่ได้เห็นพวกเค้าทั้งสามคนสนุกสนานแบบนี้มานานแล้วจริงๆ....” เบลล่าหันมากำคันบังคับปืน แล้วเลื่อนเป้าไปหาฝูงศัตรูอีกครั้ง เธอรู้ดีว่าอานุภาพของปืนใหญ่ในมือนั้นรุนแรงมาก มันไม่เหมือนกระสุนปืนยาวที่ปลิดชีพ Lycanus ได้ทีละตัว แต่มันเป็นการสังหารหมู่ เธอจึงไม่อยากจะยิงใส่ตรงๆ เบลล่าเลือกวิธียิงไปที่พื้นเพื่อดักหน้าการเข้าโจมตีของ Lycanus แทน และมันก็ได้ผล จนกระทั่ง
เจ้า Lycanus จ่าฝูงกระโดดลอยตัวข้ามหัว Ironsuit ของซีค ลอว์เรนซ์ และซาเรียสไปยัง Phaeton ที่อยู่ด้านหลัง จังหวะลงของมัน มันได้ตะปบเข้าที่หลังคาของ Phaeton ทำให้ตัวยานที่จอดอยู่บนพื้นลื่นไถลถอยออกไปไกล “โอ๊ะ!!!” เบลล่าร้องขึ้นเนื่องจากร่างของเธอถูกกระชากด้วยแรงปะทะ แต่ยังดีที่เข็มขัดนิรภัยยังรั้งตัวเธอไม่ให้ลอยหลุดไป ผลจากแรงปะทะ ทำให้เกราะกันกระสุนปืนใหญ่ของ Phaeton มีรอยบุบยับลึก เบลล่าตรวจพบความเสียหายที่หน้าจอ เธออึ้งไปพักหนึ่ง “ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะมีแรงปะทะเยอะขนาดนี้ ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ Phaeton ต้องพังแน่” ว่าแล้วเจ้า Lycanus จ่าฝูงก็ไล่ทุบส่วนต่างๆ ของตัวยานจนมีรอยบุบไปทั่วลำ รวมถึงยังงอลำกล้องปืนใหญ่ไปอีกด้วย
จนกระทั่งมันพบช่องกระจกที่อยู่หน้ายาน มันจ้องเข้ามาเห็นเบลล่านั่งตัวสั่นด้วยความกลัวแล้วแยกเขี้ยวยาวคมของมัน
……………………………………
บนยาน Challenger IV
ภายในตัวยานนั้น มีห้องพักส่วนตัวให้ลูกเรืออยู่มากมายเอาไว้สำหรับใช้นอนหลับพักผ่อนในภารกิจข้ามวัน ห้องส่วนตัวห้องหนึ่งกำลังถูกใช้งาน ภายในห้องนั้น ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง เบื้องหน้าของธีโอดอร์มีหญิงคู่หมั้นของเขายืนทำสีหน้าอมทุกข์อยู่ เจนนี่ไม่ได้มองธีโอดอร์เลยแม้แต่น้อย สายตาของเธอทอดยาวออกไปไกลผ่านช่องหน้าต่างทรงรีที่อยู่ด้านหลังของธีโอดอร์
ท่ามกลางความเงียบงัน ธีโอดอร์ก็ถามขึ้นว่า “เธอมาหาชั้น มีธุระอะไรอย่างนั้นหรอ เจนนี่ เวอร์ม่า” เจนนี่ลากสายตาของเธอมาสบตากับธีโอดอร์ “ชั้นอยากจะมาถามความเห็นของนายหน่อยเกี่ยวกับภารกิจ” เมื่อเจนนี่เห็นว่าธีโอดอร์พร้อมรับฟังแล้ว เธอก็กล่าวต่อไป “นายคิดว่าซีคทำแบบนั้นจริงๆ รึเปล่า….?” “ชั้นน่ะ ไม่เชื่อว่าซีคจะจับเบลล่า ซาเรียส และลอว์เรนซ์เป็นตัวประกันเพื่อลักลอบออกจากฐานหรอกนะ”
ธีโอดอร์กระแทกลมหายใจออกสั้นๆ “หึ!!...ชั้นคิดไว้อยู่แล้วล่ะนะว่ามันจะต้องเป็นเรื่องนี้...อยากได้ยินว่าไงดีล่ะ” “ชั้นก็คิดเหมือนเธออย่างนั้นหรอ….ใช่ ชั้นคิดเหมือนเธอ คนไม่เอาไหนอย่างหมอนั่นไม่มีทางจับลอว์เรนซ์ได้อยู่แล้ว” เจนนี่รู้อยู่แล้วว่าธีโอดอร์ก็เห็นด้วยกันเธอ “แล้วนายคิดจะจับพวกเขากลับไปรับโทษอย่างนั้นหรอ ธีโอดอร์….?” ธีโอดอร์ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาใกล้เจนนี่ “ใช่….เธออย่าลืมสิว่าเราเป็นอะไร เราเป็นทหารสังกัดกระทรวงกลาโหม”
เจนนี่กลืนน้ำลายลงคอระหว่างที่ธีโอดอร์พูดต่อไปว่า “ชั้นไม่สนหรอกนะว่าข้อเท็จจริงมันเป็นยังไง ใครทำอะไร” “ชั้นสนแค่คนที่ทำผิดกฎระเบียบจะต้องถูกลงโทษ ถึงเบลล่า ซาเรียสและลอว์เรนซ์จะมีข้ออ้างยกเว้นโทษก็ตามที” “แล้วเธออย่าคิดว่าชั้นไม่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไงกับหมอนั่น….แต่อย่าลืมว่าผู้หลักผู้ใหญ่ได้ตกลงกันหมั้นหมายพวกเราไว้แล้ว” “ถึงเราจะไม่ได้รักกัน แต่คนที่เธอสมควรจะต้องเป็นห่วงคือชั้นคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอ...ไม่ใช่หมอนั่น!!”
ถึงแม้ว่าเจนนี่จะไม่เห็นด้วยการการหมั้นหมาย เพราะเธอไม่ได้รักธีโอดอร์ แต่เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งของบิดาได้ ด้วยความที่ธีโอดอร์เป็นลูกหลานของตระกูลสูงศักดิ์และเป็นคนเก่งอนาคตไกล จึงเป็นที่ถูกใจของพ่อเจนนี่มาก และพ่อของเจนนี่เป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ยศนายพลมีหน้ามีตาในสังคม พ่อของธีโอดอร์จึงเห็นว่าเป็นคู่ที่เหมาะสม
ธีโอดอร์โน้มตัวเข้าหาเจนนี่แล้วประกบริมฝีปากของเขากับริวฝีปากของเจนนี่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวและไม่อาจขัดขืนได้
…………………………………....
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 14, 2018 16:04:37 GMT
โรงเก็บสรรพาวุธบน Challenger IV
ร้อยโทอาเรีย มิดฟอร์ดกำลังตรวจเช็คปริมาณอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พวกเธอนำมาจากฐาน Minos อย่างถี่ถ้วน โดยมีอีธาน สมิทธ์ เป็นผู้ลงไปตามจุดต่างๆ ตามคำสั่งของอาเรีย เขาทำงานไปด้วยพลางมองรอบๆ ห้องไปด้วย เมื่อเห็นว่าตอนนี้เหลือเพียงตัวเขาและอาเรียเพียงสองคนที่อยู่ในโรงเก็บสรรพาวุธ เขาก็วางมือจากงานลง
อาเรียเหลือบเห็นอีธานที่หยุดทำตามคำสั่งของเธอ จึงถามขึ้น “มีอะไรอย่างนั้นหรอ ร้อยตรีสมิทธ์ ทำไมไม่ทำต่อล่ะ” อีธานจึงตอบกลับไปว่า “ผู้กองมิดฟอร์ดคิดว่าลอว์เรนซ์ถูกจับเป็นตัวประกันจริงๆ อย่างนั้นหรอครับ….” อาเรียนิ่งเงียบไม่แสดงสีหน้า “บอกตามตรง ชั้นเองไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ แต่เพราะอะไรชั้นคงบอกคุณไม่ได้” นั่นก็เพราะอาเรียรู้ว่าลอว์เรนซ์เป็นคนเต็มใจออกไปเอง จากการที่ทั้งสองได้พูดคุยเปิดใจกันเมื่อคราวก่อน
ด้วยการฝึกและทำงานร่วมกันมานานกว่า 4 ปี อีธานจึงรู้ดีว่าอาเรียสนิทสนมกับลอว์เรนซ์มาก เรียกได้ว่าคนที่สนิทกับลอว์เรนซ์มากที่สุด ถ้าไม่ใช่ซาเรียส แซนดรีน ก็ต้องเป็นอาเรีย มิดฟอร์ดคนนี้เท่านั้น เขาจึงถามขึ้นว่า “หากลอว์เรนซ์เต็มใจไปเอง แล้วทำการขัดขืนการจับกุมล่ะครับ...ผู้กองจะทำยังไง” “ผู้กองน่าจะรู้ดีนะครับว่าผู้ต้องหาข้อหากบฎ หากทำการต่อสู้ขัดขืน เจ้าหน้าที่มีสิทธิวิสามัญฆาตกรรมได้” “และเท่าที่พวกเรารู้กันดี มุมมองทางการเมืองของท่านรัฐมนตรีเป็นปฏิปักษ์ต่อการออกสำรวจของซีค ฟาร์ชตัดท์” “ถ้าถึงเวลานั้น ท่านรัฐมนตรีออกคำสั่งให้วิสามัญฆาตกรรมลอว์เรนซ์กับพวก….ผมอยากรู้ว่าผู้กองจะทำยังไง”
คำถามของอีธานมีคำตอบง่ายๆ คือ ฆ่า กับ ไม่ฆ่า แต่องค์ประกอบโดยรวมตอนนี้มันยากที่อาเรียจะให้คำตอบได้
…………………………………...
“เบลล่า!!!!!”
ซีคหันไปเห็นจังหวะที่ Lycanus ยักษ์เริ่มทุบกระจกของ Phaeton เขาบังคับ Ironsuit ปลีกตัวออกจากลอว์เรนซ์ และซาเรียส ขณะนั้น ลอว์เรนซ์ และซาเรียส ยังไม่สามารถตามซีคเข้าไปช่วยได้ เพราะพวกเขาต้องต้านฝูง Lycanus ที่ยังเข้ามาไม่ขาดสาย ซีคใช้ Ironsuit ของเขาพุ่งเข้าอัดใส่ Lycanus จ่าฝูงจนมันกระเด็นออกไป ก่อนที่มันจะได้ทุบกระจกหน้าของ Phaeton จนแตก ดูเหมือนการกระทำนี้เป็นครั้งแรกที่ซีคลงมือทำอะไรลงไปโดยเขาไม่ได้ฉุกคิดก่อนราวกับเป็นสัญชาติญาณอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อซีคตั้งหลักได้ เขาก็หันกลับมามองผ่านช่องกระจกหน้าซึ่งมีรอยร้าว “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยเบลล่า บร๊ะเอกมาช่วยแล้น” เบลล่าพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนเธอจะสะดุ้งด้วยความตกใจแล้วชี้ไปที่ด้านหลังของซีค “ซีค!! หลังเข้า!!” “เอ๊อะ!!” ซีคอุทานออกมาก่อนจะหันไปเห็นจ่าฝูง Lycanus กระโจนเข้าตะปบด้วยกรงเล็บพิฆาตหมายปลิดชีพ ซีคยกแขนขึ้นกันการตะปบเอาไว้ได้ทัน แต่เกราะส่วนแขนซ้ายของเขาก็หลุดออก มันรับการโจมตีอีกครั้งไม่ได้แล้ว เจ้าจ่าฝูงตัวยักษ์ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยสบอารมณ์มากกว่าทีแรก มันไล่ตบ Ironsuit ของซีคจนเขาต้องเอาแต่หลบฝ่ายเดียว
ไม่นานกระสุนปืนของลอว์เรนซ์และซาเรียสก็หมดลง ทั้งสองจึงตัดสินใจดังอาวุธมีดดาบขึ้นมาเพื่อเตรียมปะทะ ด้วยความคล่องตัวของ Lycanus ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ลอว์เรนซ์รู้ดีว่า Ironsuit นั้นเชื่องช้าเกินไปที่จะรับมือได้ในระยะประชิด ประกอบกับจำนวนของมันที่ยังเหลืออยู่มีมากกว่า 30 ตัว เธอจึงพูดกับซีคขึ้นว่า “ทำอะไรเข้าสักอย่างสิเจ้าบื้อเอ้ย!!” “ตอนยิงน่ะวืดเอาวืดเอา ไม่ได้ความ แต่พบตอนหลบหนีเอาตัวรอดเนี่ย เอวพริ้วเชียวนะ!! ตอบโต้ไปบ้างเซ่!!” จังหวะนั้นจ่าฝูง Lycanus ก็ตะปบเข้าช่วงลำตัว Ironsuit ของซีคจนลอยกระเด็น เขาได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทก
เลือดสีแดงสดไหลออกจากมุมปากของซีค “ก็คิดอยู่...แต่...ยังคิดไม่ออกเฟ้ย!!....บ้าจริง ชั้นจะต้องมานอนแมวที่นี่งั้นหรอ” “ชั้นน่ะ….ยังมีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่ต้องทำให้ลุล่วงอยู่อีกนะ!! และถ้าชั้นแตกตอนนี้….ใครจะช่วยเบลล่าได้อีกล่ะ...” “หรือที่ชั้นทำไปทั้งหมด คือชั้นพาโหงหมู่งั้นหรอ….มันต้องไม่จบแบบนี้ อิเจ๊คงไม่เขียนแบบนี้แน่ นี่ก็แค่ตอนที่ 8 เอง” และก็ถึงคราวที่ Ironsuit ของซาเรียสโดนฝูง Lycanus เข้ามารุมทึ้งจนล้มลง ชิ้นส่วนเกราะเริ่มถูกฉีกกระเด็นออกมาทีละชิ้น ซาเรียสกัดฟันแล้วอุทานขึ้นว่า “บ้าเอ้ย!! ชั้นต้องมาตายใน Ironsuit จริงๆ สินะ….อย่างน้อยก็ยังได้ตายอย่างลูกผู้ชาย...”
“เดี๋ยว!! เมื่อกี้นายว่าไงนะซาเรียส!!” ซีคตาลุกวาว ขณะประคอง Ironsuit ให้ลุกยืนขึ้น ซาเรียสเอะใจกับคำถามของซีค เขาจึงตอบซีคกลับไปว่า “ชั้นบอกว่าอย่างน้อยชั้นก็จะได้ตายอย่างลูกผู้ชายก็เท่านั้น มันสำคัญตรงไหนอย่างนั้นเรอะ?!!” ซีคยิ้มมุมปาก “เบลล่า...เธอช่วยยืนยันทีซิว่าปกติจ่าฝูงหมาป่ามันเป็นตัวผู้เสมอน่ะ” “เอ๊ะ….อื้ม ใช่” เบลล่า ตอบกลับแบบงงๆ “ไน๊ซื้ออออออ” ซีคพูดขึ้น พร้อมกับดึงอาวุธมีดดาบออกมา จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าใส่จ่าฝูง Lycanus ด้วยแรงผลักจากท่อขับดัน
จ่าฝูง Lycanus แยกเขี้ยว มันไม่ได้เกรงกลัวการ Leeroy ของซีคแม้แต่น้อย เพราะมันเองก็พุ่งกระโจนสวนเข้าใส่เช่นกัน ครึก!!! กรงเล็บทั้งสองของ Lycanus ตะปบเข้าใส่ในขณะที่ซีคใช้แขน Ironsuit ทั้งสองยกดาบขึ้นมากัน จนแขนซ้ายหลุดกระเด็น ด้วยแรงจากแขนเพียงข้างเดียวที่ใช้ดาบค้ำน้ำหนักทั้งตัวของจ่าฝูง Lycanus มันก็ไม่สามารถค้ำไว้ได้นานเพราะถูกกดต่ำลงเรื่อยๆ
“จังหวะนี้แหละ!!!” ซีคตะโกนขึ้น “ลูกเตะมหาประลัย ชาร์อาสุนาบูรู อสุนีบาต ทะยานฟ้าขั้นที่ 3 แห่งอัตนิยม!!!”
…..บั่ค!!!!....
“หมับเข้าให้!!!” ซีคยกขาขวาของ Ironsuit เตะเข้ากึ่งกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของจ่าฝูง Lycanus เต็มกำลัง มันหยุดชะงักลงทันทีพร้อมๆ กับแรงกดบนอาวุธมีดดาบที่หมดไป
…...หงิ๋งงงงงงงงงงงงงง!!!!.......
จ่าฝูง Lycanus ร้องออกมา มันถอยออกห่าง หางของมันลู่ม้วนปิดก้น ลำตัวโค้งงอ จากนั้นก็หันกลับหลังแล้วเดินโซซัดโซเซ เมื่อ Lycanus ตัวอื่นเห็นว่าจ่าฝูงของมันล่าถอยและได้รับบาดเจ็บ มันก็ผละตัวออกจาก Ironsuit ของซาเรียสและลอว์เรนซ์ ก่อนจะวิ่งไปขนาบข้างจ่าฝูงของมัน เพื่อคุ้มกันจ่าฝูง บางตัวก็หันกลับมาแยกเขี้ยวขู่ซีค จนในที่สุดพวกมันก็หนีไป
ลอว์เรนซ์มีสีหน้าโล่งอกเมื่อเห็นว่าพวกมันถอนตัวออกไปหมดแล้ว “รอดแล้วอย่างงั้นสินะ...ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้านั่นจะชนะ” ซีคถอนหายในเฮือกใหญ่แล้วหันกลับไปถามเพื่อนๆ ว่า “เมื่อกี้มันร้องว่าไงนะ? ชั้นกำลังตื่นเต้ว ได้ยินไม่ค่อยชัด” ซาเรียสหลับตาเบือนหน้าไม่อยากจะรับความจริงที่ว่าซีคเอาชนะได้ แต่ก็แอบยิ้มเล็กๆ “หงิ๋งน่ะ….มันร้องว่า….หงิ๋ง….” ซีคพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ ขณะพูดเหมือนจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ว่า “ร้องงั้นจริงดิ ตัวอย่างควาย ร้องหงิ๋งเนี่ยนะ!!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของซีค ซาเรียส และลอว์เรนซ์ เบลล่าแอบหัวเราะอยู่เงียบๆ คนเดียว “ดีจังนะ ความรู้สึกแบบนี้...”
……………………………………
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 14, 2018 16:07:15 GMT
หลังจากผ่านวิกฤติมาได้
ยานบินหุ้มเกราะเพดานบินต่ำ Phaeton เริ่มเดินทางมุ่งหน้าสู้ตอนเหนือของ Gliese 667Cc ต่อไปตามเส้นทางเดิม ในระหว่างนี้ซาเรียส และลอว์เรนซ์ซึ่งไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายจากการต่อสู้กับฝูง Lycanus อยู่ที่โซนเก็บ Ironsuit ทั้งสองกำลังทำการซ่อมแซม Ironsuit อยู่ ถือเป็นโชคดีของพวกเขา เพราะ Ironsuit เดิมทีถูกออกแบบให้มีไว้ใช้งานหนัก ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่อยู่ตลอด วิศวกรจึงออกแบบให้มันสามารถถอดประกอบแบบแยกชิ้นส่วนใหญ่ๆ ได้ เช่นลำตัว แขน ขา หัว แพคหลัง และชิ้นส่วนที่เป็นเกราะ สามารถถอดเปลี่ยนในลักษณะชิ้นส่วนสำเร็จรูปได้อย่างไม่ยากนัก
ส่วนซีคและเบลล่า ทั้งสองอยู่ในห้องพลขับของ Phaeton เนื่องจากซีคได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ เบลล่าใช้เครื่องสแกนร่างกายคล้ายเหมือนเครื่องตรวจจับโลหะแต่มีหน้าจอ X-Ray ตรวจดูร่างกายของซีค เมื่อสแกนเสร็จ เธอก็วางอุปกรณ์นั้นลง “เอาล่ะ ดูเหมือนกระดูกจะไม่มีอะไรแตกหักนะ ทีนี้นายถอดเสื้อซิ” “เอ๊อะ!! ถะถะถะถอดเสื้องั้นหรอ ขะขะขะคือว่ามันไม่น่าจะถึงฉากไอ้อย่างว่าเร็วแบบนี้นะเบลล่า” ซีคเริ่มหน้าแดง เบลล่าทำหน้าบูดๆ “นี่ซีคคิดไปถึงไหนกันเนี่ย!! ชั้นอยากจะดูรอยฟกช้ำตามร่างกายว่ามันสาหัสถึงช้ำในมั้ยตะหากล่ะ”
ซีคเบะปากหรี่ตามองข้าง “อิโถ่ ไอ่เราก็นึกว่าเป็นฉากนั้นเลยแอ๊บเขิน เกือบจะถอดกางเกงไปแล้วด้วยสิ” เบลล่ามองค้อน ขณะซีคยิ้มแห้งๆ แล้วค่อยๆ ถอดเสื้อยืดสีดำออกมาให้เบลล่าตรวจดูตามลำตัวของเขา “อื้ม….ดูเหมือนจะไม่ช้ำในนะ มีแค่รอยฟกช้ำนิดหน่อย” เมื่อเธอพูดจบก็หยิบผ้ามาเช็ดรอยเลือดที่ปากของซีค เบลล่ายิ้มให้ซีค “เลือดนี่คงแค่ปากแตกเท่านั้น สบายใจได้” จังหวะนั้นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้สบตากันใกล้ๆ
ชั่ววินาทีนั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของเบลล่าเมื่อเห็นรอยยิ้มของตัวเองสะท้อนจากนัยน์ตาของซีค “นี่เรายิ้มอยู่อย่างนั้นหรอ ทำไมถึงรู้สึกดีได้ขนาดนี้นะ….ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาแท้ๆ” “ทำไมเราถึงรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง และอยากจะพบเจอเรื่องราวเหตุการณ์ใหม่ๆ ต่อจากนี้” “ทำไมเราอยากจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ…..ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกอยากเก็บรักษาช่วงเวลาไหนไว้เลย” “แล้ว…...ทำไมทุกครั้งตอนที่เราล้มลง...คนที่คอยฉุดเราให้ยืนขึ้นใหม่ต้องเป็นนายทุกที…..ซีค…..”
แต่แล้วจังหวะสุดโรแมนติกที่ซีคเฝ้ารอมาตลอด 8 ตอนก็จบลงเมื่อมีสัญญาณสื่อสารติดต่อเข้ามา
เบลล่ากลับคืนสติ เธอเดินออกจากบริเวณเก้าอี้ที่ซีคนั่งอยู่ไปกดรับสัญญาณ ทำให้ภาพของผู้ติดต่อแสดงขึ้น มันเป็นภาพของวอร์เรน เกตส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ มาริค สจ๊วต เพื่อนที่คอยช่วยเหลือพวกเขา มาริคยิ้มผ่านจอภาพเข้ามา “เป็นไงบ้างพวกนาย เหนื่อยเลยสินะเจอฝูงไลแค่น….โอ้โห นี่ชั้นมาขัดจังหวะรึเปล่าเนี่ย” ประโยคที่มาริคกำลังพูดก็สะดุด เมื่อเขาเห็นซีคที่ท่อนบนเปลือยเปล่า ซีคจึงรีบสวมเสื้อยืดสีดำกลับอย่างเดิมทันที
มาริครู้ว่าเวลานี้ไม่ควรเล่น เขาไม่สามารถติดต่อผ่านช่องทางนี้ได้นาน จึงเปิดประเด็นว่า “ท่านรัฐมนตรีมีอะไรจะบอกน่ะ” จากนั้น วอร์เรน เกตส์ก็เข้ามาที่หน้าจอภาพแทนมาริค เขามองไปรอบๆ ห้องพลขับ “พวกคุณอยู่กับแค่สองคนใช่มั้ย” เบลล่าและซีคมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย พวกเขามองไปรอบๆ ห้องและกันมาตอบพร้อมกันว่า “ใช่ครับ” “ใช่ค่ะ”
วอร์เรน เกตส์จึงเข้าเรื่องว่า “ตอนนี้รัฐมนตรีกลาโหมออกประกาศจับพวกคุณแล้วนะ ข้อหากบฎ” “อันที่จริงเรื่องนี้น่าแปลกมาก เพราะพวกคุณน่าจะมีข้อหาแค่โจรกรรมทรัพย์สินของฐาน Minos เท่านั้น” “แต่เขากลับรู้ว่าพวกคุณออกไปเพื่อค้นหารังของ Phoenixaurus จึงนำมาสู่ข้อหากบฎ ฝ่าฝืนคำสั่งประธานาธิบดี” “เรื่องแปลกอีกอย่างคือ พวกเขากล่าวหาคุณ….ซีค ฟาร์ชตัดท์ ว่าจับเพื่อนของตนเป็นตัวประกัน” “แถมกลาโหมและประธานาธิบดีไม่ประกาศข่าวนี้ให้สาธารณชนรับทราบ พวกเขาอ้างว่าไม่อยากให้แตกตื่น” “แต่ผมเกรงว่าเหตุผลจริงๆ ไม่น่าจะใช่อย่างนั้น เขาอาจจะอยากปิดข่าวเพื่อไม่ให้คะแนนสนับสนุนผมเพิ่มขึ้น” “หรือเขาอยากจะปิดข่าวเอาไว้ ถ้าเขา…...คิดจะฆ่าพวกคุณเพื่อข่มขู่ผม เรื่องมันก็จะได้ไม่แดงออกไป”
เบลล่าและซีคต่างก็ตกใจที่ได้ยินสิ่งที่วอร์เรนบอกว่า เบลล่าจึงถามลอยๆ ว่า “ลักพาตัวประกันงั้นหรอคะ??” “แถมยังปิดข่าวเอาไว้โดยที่เราก็ยังเดาไม่ออกว่าเขาคิดจะทำอะไร….ดูน่ากลัวจังเลยนะคะ คนคนนั้น...” ซีคขมวดคิ้ว “แล้วทำไมเขาถึงรู้เยอะขนาดนั้น….ทั้งๆ ที่เขาควรรู้แค่ว่ามีการโจรกรรมเท่านั้น แถมทำผมเป็นแพะอีก” เบลล่าครุ่นคิดอย่างหนัก “คนที่รู้เรื่องก็มีแค่พวกเรา มาริค และก็ท่านรัฐมนตรีแค่นี้ไม่ใช่หรอคะ...น่าแปลก...” วอร์เรนจึงตอบว่า “ผมเกรงว่าเราจะมีไส้ศึกน่ะสิครับ” เบลล่าหรี่ตาลง “ไส้ศึกอย่างนั้นหรอคะ ไม่น่าจะเป็นไปได้”
เบลล่ามีท่าทีตกใจและฉงนสงสัย แต่ซีคกลับมีสีหน้าบึ้งตึงตั้งแต่รู้ว่าตนกลายเป็นแพะ และไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เมื่อหมดเรื่องพูดวอร์เรนก็ออกจากหน้าจอไปและส่งต่อให้เป็นหน้าที่ของมาริคแทน เขาพูดว่า “เรื่องสุดท้ายล่ะนะ” “แมะ...แมะแฮะแฮะแฮะแฮะ” ซีคลุกขึ้นเดินไปมาพร้อมส่งเสียงแปลกๆ มาริคส่ายหน้าเบาๆ “ไอ้หมอนี่จริงๆ เล๊ย” เขาจึงตัดสินใจพูดโดยมองหน้าเบลล่าแทน “ตอนนี้กลาโหมออกปฏิบัติการแล้ว พวกเขาใช้ยาน Challenger IV” “พร้อมหน่วยปฏิบัติการพิเศษ มีร้อยเอกมิดฟอร์ด ร้อยโทเดอลาครัวซ์ ร้อยตรีเวอร์ม่า และร้อยตรีสมิทธ์รวมอยู่ด้วย”
“จากที่ชั้นคำนวณแล้ว พวกเขาสามารถเดินทางไล่หลังพวกเธอไปได้เร็วมาก ไม่นานพวกเขาจะตามทันแน่” “แต่ถ้าพวกเธอสามารถเข้าเขตป่าทึบที่อยู่เหนือขึ้นไปได้ พวกเขาก็ยากที่จะตรวจพบ รีบหน่อยล่ะ...” เมื่อมาริคพูดจบสัญญาณก็ถูกตัดไป เบลล่ายังคงมีสีหน้าฉงน ในหัวของเธอมีแต่คำว่า “ไส้ศึกงั้นหรอ...”
“แมะ...แมะแฮะแฮะแฮะแฮะ~~~......แมะแฮะแฮะแฮะแฮะ~~~”
…………………………………….
ในห้องพักบนยาน Phaeton
ข้อความบางอย่างปรากฏขึ้นบนหน้าจอ Tablet มันระบุตำแหน่ง ความเร็วในการเคลื่อนที่ ทิศทางที่เดินทาง ปริมาณอาวุธ สภาพ Ironsuit และสภาพลูกเรือ ของกลุ่ม Genesis จากนั้น นิ้วมือของผู้ใช้งานก็กดไปที่ปุ่ม Send โดยผู้รับข้อความคือ แฟร๊ง ฟอนเบิร์ก
ผู้ที่ส่งข้อความดังกล่าวไป ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นซาเรียส แซนดรีน สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก “ชั้นขอโทษนะลอว์ ชั้นจำเป็นต้องทำ…หวังว่าสักวันเธอจะเข้าใจในความหวังดีของชั้นนะ…” ซาเรียสพูดกับตัวเองเบาๆ เขาเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง
“นี่ชั้นทำถูกรึเปล่านะ….”
…………………………………….
“ได้ไง!!”
ฟองน้ำขมวดคิ้ว “ทำไมคุณแซนดรีนถึงทำแบบนั้นล่ะคะ….ทั้งที่คนอื่นๆ ก็เป็นเพื่อนของเขาแท้ๆ” มาโกะทำหน้าบิดๆ เบี้ยวๆ “สงสัยหมอนั่นไม่เชื่อใจเพื่อนล่ะมั้งฟองน้ำ คงคิดว่าไม่สำเร็จแน่เลยจะเอาตัวรอดแหง” ฟองน้ำหันมาทำหน้ามุ่ยๆ “หืมใจร้ายจังเลยนะ ทั้งมาโกะจัง ทั้งคุณแซนดรีน ดิชั้นไม่เข้าใจเลยค่ะคุณเอริค” “อุ๊ย!! ขออภัยนะคะ ดิชั้นลืมตัว….” ฟองน้ำยิ้มด้วยความอาย “ท่านผู้บังคับการ….เห็นว่ายังไงหรอคะ...”
เอริคหันมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องเรียกผมแบบนั้นในช่วงนอกเวลาทำการ” ฟองน้ำยิ้มแห้งๆ ขณะที่มาโกะแอบหยิกแขนฟองน้ำเบาๆ เอริคหัวเราะออกมาเบาๆ น้อยคนจะได้เห็นเขาในอารมณ์แบบนี้ “เรื่องเหตุผลของแซนดรีนน่ะ ผมว่าเขามีเหตุผลอยู่นะครับ….ถ้าเราเป็นคนอ่านที่รู้ตอนจบว่ากลุ่ม Genesis ทำสำเร็จ” “เราก็จะคิดว่าแซนดรีนเป็นคนไม่ดี เห็นแก่ตัว ขี้ขลาด และยอมแพ้ต่อปัญหาอุปสรรคเร็วเกินไป”
“แต่ลองคิดอีกทีสิครับ คิดในแง่มุมของเขา สิ่งเขาต้องเจอตอนนั้น….ออกมาไม่ถึงครึ่งทางพวกเขาก็เกือบไม่รอด” “แถมไม่มีหลักประกันว่าที่รังของ Phoenixaurus Rex จะมีพืชที่สามารถนำมาตัดต่อพันธุกรรมทำ Genesis Plant อยู่” “ประกอบกับความรักเพื่อนของเขา….เขาน่ะเป็นห่วงความปลอดภัยของ ผศ.สแกนลอนซ์ และร้อยตรีดิวาเรนมาก” “สถานการณ์ตอนนั้น การก้าวเดินตามแผนของฟาร์ชตัดท์ยังไงก็มีแต่เสียกับเสีย ไม่เห็นโอกาสสำเร็จเลย” “เขาจึงอยากให้เพื่อนของเขาหยุด แต่พวกเขาก็ก้าวไปไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้ว แซนดรีนจึงเลือกวิธีนี้” “เขาเลือกที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้ฟาร์ชตัดท์ผู้ที่ก่อเรื่องขึ้น โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าแอนเดอร์สันจะหักหลังเขา”
“ถูก ผิด เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น….ไม่เชื่อก็ลองหาคำตอบจริงๆ ดูสิครับว่าสิ่งที่แซนดรีนทำนั้น ถูก หรือ ผิด…..?”
つづく.
|
|