|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 7, 2017 9:23:51 GMT
☬ THE ADVENTURE OF MINOS ☬ [ミノス - の冒険] Intro : Unsung Story ในอวกาศอันมืดมิดและหนาวเหน็บอันไกลโพ้น...ระบบสุริยะแห่งหนึ่งมีดาวเคราะดวงหนึ่งเหมาะกับสิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ มนุษย์.......เดินทางมายังที่แห่งนี้ และได้ลงหลักปักฐานอยู่มาร่วม 300 ปีแล้ว
โลกสีครามใบเดิมที่คุ้นเคยกลายเป็นเพียงแค่ความฝันในนิทานก่อนนอนของเด็กๆ ที่พ่อและแม่เล่าให้ฟัง เท่านั้น โลกใบเดิมถูกทำลายไปหมดแล้ว จากน้ำมือของมนุษย์เองนี่แหละหลังจากที่หมดที่อยู่อาศัยและสิ้นหวัง มนุษย์โลกพากันอพยพมายังดาวอันแสนไกลแห่งนี้
Gliese 667Cc
คือชื่อของดาวดวงใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นมา แม้สภาพอากาศที่นี่จะโหดร้ายและทารุณกว่าโลกเดิม แต่แค่มันสามารถจะอยู่อาศัยได้ก็ดีเกินพอ ด้วยแรงโน้มถ่วงมากกว่าโลกมนุษย์ 2 เท่า และออกซิเจนมีไม่มากพอ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องอาศัยการอาศัยอยู่ในฐานซึ่งเป็นโดมปิดขนาดยักษ์ การออกนอกโดมจะต้องสวมชุดเดินทางที่ประกอบไปด้วยหน้ากากออกซิเจน เครื่องพยุงตัวต่อต้านแรงโน้มถ่วงและระบบปรับความดัน ประกอบกับพื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวดวงนี้ยังคงปนเปื้อนไปด้วยกัมมันตภาพรังสีอันตรายจากดาวหางที่พุ่งชนเมื่อหลายล้านปีก่อน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ขณะนี้มนุษย์ยังคงต้องอาศัยชุดอวกาศที่ถูกปรับแต่งให้สามารถใช้งานได้ภายนอกของตัวโดมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย ยังไม่สามารถเดินตัวปลิวไร้อุปกรณ์ช่วยเหลือในการออกไปนั่งปิ๊กนิคภายนอกฐานทัพที่เป็นโดมพักอาศัยได้
ทุกวันนี้ มนุษย์ได้ตัดต่อพันธุกรรมของพืชที่เป็นไม้ยืนต้นของดาวดวงนี้เข้ากับพันธุกรรมของพืชล้มลุกชนิดพิเศษอีกชนิดหนึ่ง เพื่อใช้จุดเด่นของไม้ยืนต้นที่ชอบแสงแดดและมีขนาดใหญ่ กับความสามารถในการดูดกลืนกัมมันตภาพรังสีของพืชล้มลุกที่ไม่ชอบแดด ให้เป็นพืชชนิดใหม่ที่สามารถตั้งตระหง่านรับแสงแดดได้อย่างยั่งยืน และแพร่ขยายออกไปเป็นป่าทึบ เป็นจุดเริ่มต้นของโลกใบใหม่ เราเรียกพืชชนิดนี้ว่า Genesis Plant มันถูกคิดค้นและใช้งานโดยฐานทัพ Minos เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ของดาวดวงใหม่ของเรา แม้มันอาจใช้เวลาหลายร้อยปีก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นก้าวเล็กๆ ของมวลมนุษยชาติที่สำคัญที่สุดในการก้าวข้ามขีดจำกัดของธรรมชาติ
ปัจจุบันฐานทัพของมนุษย์บน Gliese 667Cc มีอยู่ 3 แห่ง แต่ละแห่งมีบทบาทหน้าที่ไม่เหมือนกัน Radamanthys ทำหน้าที่ป้องกันภัยจากนอกอวกาศ ทั้งดาวหางและภัยคุกคามอื่นๆ ประชากรส่วนมากจะเป็นทหาร Aiacos หาทรัพยากรที่จำเป็นนำมาแปรรูป ก่อนจะแยกจ่ายให้ฐานทัพอีกสองแห่ง และสำรวจพื้นที่ของดาวดวงนี้ Minos มีหน้าที่พัฒนาระบบนิเวศน์บนดาวดวงนี้ให้มนุษย์อาศัยอยู่ได้ด้วย Genesis Plant ส่วนมากพวกเขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์
………………………………………………………………………………………
บริเวณใจกลางเมือง ฐานทัพ Aiacos
เบื้องบนของฐานทัพเป็นจอแสดงผลท้องฟ้าจำลอง มันส่องแสงสีส้มอำพันบ่งบอกว่าเป็นเวลาช่วงเย็นหลังเลิกเรียน เด็กสาวผิวขาวเผือก เส้นผมสีดำของเธอสั้นระดับต้นคอปลิวไสวไปตามสายลม กำลังเดินอยู่ข้างลำธารเล็กๆ ส่วนสูงของเธอราวๆ 155 ซ.ม. ใบหน้าของเธอผ่องใสน่ารัก แต่สีหน้าของเธอยังไม่ดีนัก เหมือนเธอกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เธอถอนหายใจเบาๆ ขณะนั้น เธอก็รับรู้ได้ถึงกระแสลมที่กำลังพัดผ่านเข้ามา แน่นอนว่ามันเป็นกระแสลมจำลองอีกเช่นกัน เด็กสาวที่มีความใสซื่อบริสุทธิ์ ค่อยๆ ยกแขนทั้งสองข้างเพื่อรับลม จากใบหน้าที่เคยหม่นหมองก็เริ่มมีรอยยิ้มบางๆ
ทันใดนั้น เธอก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อมีเสียงของเด็กสาวอีกคนตะโกนไล่หลังเธอมา น้ำเสียงนั้นแหลมบาดหู “ฟองน้ำ!!!” เสียงนั้นทำให้เด็กสาวผมสีดำสั้นที่ถูกเรียกว่า ฟองน้ำ ลดแขนลงแล้วหันกลับไปยิ้มแห้งๆ “มาโกะจัง....” เด็กหญิงที่ ฟองน้ำ เรียกว่า มาโกะจัง ยิ้มแล้วรีบเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามา เธอเป็นเด็กสาวที่ดูร่าเริงและกระฉับกระเฉงมาก เส้นผมของเธอเป็นสีน้ำเงินเข้ม นัยน์ตาสีเหลืองเปล่งประกาย รอยยิ้มบนใบหน้ากำลังบ่งบอกว่าเธอมีอะไรดีๆ จะบอก
เมื่อ มาโกะ วิ่งมาถึงจุดที่ ฟองน้ำ หยุดรอ ทั้งสองก็เริ่มก้าวเดินต่อไปตามทางช้าๆ ทีละก้าวด้วยท่าทีไม่เร่งรีบอะไร มาโกะ เป็นเด็กสาวร่างเล็กเช่นเดียวกับ ฟองน้ำ แต่เมื่อยืนเทียบกันแล้ว มาโกะ จะดูตัวเล็กกว่าด้วยความสูง 151 ซ.ม. มาโกะ โน้มตัวมามองหน้า ฟองน้ำ ที่กำลังก้มหน้า “เป็นอะไรไปงั้นหรอ? ลืมแล้วหรอว่าวันนี้เป็นวันเลี้ยงส่งรุ่นพี่น่ะ” ฟองน้ำ เข้าใจและรู้ดีอยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานของนักเรียนปีสุดท้าย เพื่อเลือกเส้นทางการดำรงชีวิต บางคนอยากทำอาชีพค้าขาย บางคนอยากเป็นนักวิชาการ บางคนอยากทำไร่ทำสวน และบางคนก็อยากเป็นทหารนักบิน ในขณะที่ มาโกะ ก็สนิทกับนักเรียนรุ่นพี่ของเธอบางคนมาก จึงต้องการชวนตัวฟองน้ำ ไปงานเลี้ยงสังสันต์เป็นเพื่อน ฟองน้ำ ยิ้มบางๆ “แต่ว่า....ชั้นยังคิดหัวข้อรายงานไม่ออกเลยนะ....ปีสองเนี่ย ต้องทำรายงานละเอียดว่าปีที่แล้วซะด้วย”
มาโกะ ได้ยินอย่างนั้น เธอก็ไม่ค่อยสบอารมณ์ และแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าที่บึ้งเป็นตูดเป็ด ฟองน้ำ ก็พูดต่อไปว่า “เพื่อนบางคนก็ทำหัวข้อรายงานเรื่องนักบินในตำนานของ Aiacos และเหมือนจะทำกันเยอะแล้วด้วย” “ส่วนบางคนก็บอกว่าจะทำรายงานเรื่องสงครามล้างเผ่าพันธุ์ของ Radamanthys เมื่อ 8 ปีก่อน...เฮ้อ ชั้นจะทำยังไงดี” มาโกะ ส่ายหน้านิดๆ พร้อมกับตบไหล่เพื่อนสาวเบาๆ “คิดมากทำไมล่ะ คนที่เรียนเก่งอย่าง ฟองน้ำ น่ะ เดี๋ยวก็คิดออก” ที่ มาโกะ เอ่ยไปเช่นนั้น เพราะเธอเชื่อว่า ฟองน้ำ ที่เก่งทุกเรื่องยกเว้นเรื่องการบินหุ่นรบ ย่อมคิดออก จึงพูดต่อไปว่า “รายงานน่ะ ชั้นเองไม่ได้หวังอะไรมาก ขอแค่ผ่านก็พอ เลยว่าจะเขียนเรื่องนักบินในตำนาน แล้วเอาเวลาไปฝึกบินแทน” “แต่ที่ได้ยินคนในห้องพูดๆ มา ชั้นรู้สึกว่ายังไม่มีใครคิดจะเขียนรายงานหัวข้อที่เกี่ยวกับเรื่องราวของ Minos เลยนะ....”
คำพูดนั้นทำให้แววตาของ ฟองน้ำ เปร่งประกาย “จริงด้วย!! ขอบใจมากนะ มาโกะจัง เธอนี่ฉลาดจริงๆ เลย” มาโกะ จึงรีบกอดอกและยิ้มอย่างภาคภูมิใจในคำชม จากนั้น ฟองน้ำ ก็พูดต่อไปว่า “งั้นชั้นไปห้องสมุดก่อนน๊ามาโกะจาง” เมื่อพูดจบ ฟองน้ำ ก็รีบวิ่งแซง มาโกะ ไปทันที มาโกะ ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วตะโกนตามไปว่า “อะไรกัน!! ไม่ไปกับชั้นหรอ?” ฟองน้ำ หันกลับมาตะโกนตอบว่า “ขอโทษน๊า ขอโทษจริงๆ ... มาโกะจัง ก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวรุ่นพี่ที่แอบชอบจะรอนานน๊า”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ มาโกะ มีสีหน้าเขินอายอย่างชัดเจน “เดี๋ยวสิ....อะไรกัน...แอบชอบอะไรกันเล่า!! โถ่!!”
………………………………………………………………………………………
ห้องสมุดกลาง
มันเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่โต มีชั้นหนังสือมากมายก่ายกอง พร้อมคอมพิวเตอร์ไว้ค้นคว้าจากฐานข้อมูล ห้องสมุดตกแต่งด้วยไม้ชั้นดีดูมีระดับ เครื่องปรับอากาศตั้งอุณหภูมิไว้กำลังเย็นสบาย ผู้คนมากมายเดินไปมา บางคนชอบใช้คอมพิวเตอร์ บางคนก็อ่านใน Tablet ล้ำยุคของตัวเอง แต่สำหรับบางคนชอบเปิดหนังสือมากกว่า แน่นอนว่า ฟองน้ำ ชอบอ่าน และค้นคว้าจากหนังสือ เพราะมันดูเป็นการอ่านที่มีระบบ และได้รสชาติมากกว่า
เธอหยิบหนังสือที่ไปหามาวางลงบนโต๊ะด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม มันเป็นโต๊ะไม้วางยาวมีเก้าอี้มากมาย หนังสือเล่มนั้นที่ ฟองน้ำ วางลงบนโต๊ะมีชื่อว่า The Adventure of Minos ดูเหมือนเธอจะคิดหัวข้อรายงานออกแล้ว แต่เธอไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่ง นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางขวาของเธอ กำลังเหล่มองเธอด้วยหางตา Classified : Science Fiction Genre : Political , Mecha , Action , Drama , Comedy , Romance Written by by Senjumaru Presented by Moonlight® Little Sister Studio 2018
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 7, 2017 10:32:38 GMT
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Jul 28, 2018 4:11:34 GMT
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 1, 2018 12:00:30 GMT
EP.1 : 82 Years On Ground ฐาน Minosตามประวัติศาสตร์ที่เราเรียนรู้กันมา ฐาน Minos เป็น 1 ใน 3 ฐานตั้งรกรากของมนุษย์บนดาวเคราะห์ Gliese 667Cc ภารกิจหลักของฐานคือการพัฒนาระบบนิเวศน์บนดาวดวงนี้ให้มนุษย์อาศัยอยู่ได้ จึงถือว่ามีบทบาทสำคัญไม่แพ้ฐานอื่นๆ โดยก่อนออกเดินทางจากโลกใบเดิม บุคลากรที่ได้รับการคัดเลือกให้เดินทางมากับฐาน Minos นั้น เป็นนักวิชาการ พื้นเพของประชากรที่อาศัยอยู่ที่นี่ จึงเป็นบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยองค์ความรู้ด้านต่างๆ โดยเฉพาะ สาขาวิทยาศาสตร์ ลักษณะทางสังคมจึงเป็นแบบปัญญาชน แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประชากรบางส่วนจะต้องทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย
เมื่อเดินทางมาถึง ฐาน Minos ฐาน Aiacos และฐาน Radamanthys ได้แยกตัวออกจากการเป็นยานอวกาศยักษ์ และทำการลงจอดบนผิวดาวเคราะห์ Gliese 667Cc ตามพิกัดตำแหน่งซึ่งแต่ละฐานกำหนดไว้เป็นเวลากว่า 82 ปีแล้ว มนุษยชาติได้อาศัยอยู่ที่นี่กว่า 3 ช่วงอายุคน แต่ก็ยังต้องอาศัยอยู่ในตัวโดมอาศัยของฐาน ไม่ต่างไปจากในห้วงอวกาศ เพราะบรรยากาศพื้นผิวมีก๊าซออกซิเจนเบาบาง มนุษย์ไม่สามารถหายใจนอกโดมอาศัยได้นานเกินกว่า 7 นาที ประกอบกับพื้นที่ส่วนมากของ Gliese 667Cc ยังปนเปื้อนไปด้วยกัมมันตภาพรังสีที่เป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิต
ด้วยแรงโน้มถ่วงที่มากกว่าโลกถึง 2 เท่า ทำให้ภายในฐาน Minos มีระบบแรงโน้มถ่วงจำลอง เพื่อลดแรงโน้มถ่วงของดาวลง สำหรับการเดินทางออกนอกโดมอาศัยของฐาน มนุษย์จะต้องใช้อุปกรณ์เสริมแรงในลักษณะ Exoskeleton และระยะเวลาหมุนรอบตัวเองของ Gliese 667Cc ช้ากว่าโลก 1 เท่า ทำให้มนุษย์ที่ร่างกายสามารถทำงานได้เพียง 12 ชั่วโมง จะต้องอาศัยกลางวันกลางคืนเป็นเวลาทำงานและพักผ่อน โดยท้องฟ้าจำลองจะปรับเวลาด้วยหน้าจอที่ติดอยู่ทั่วเพดานของฐาน มันเป็นฐานขนาดใหญ่ จุประชากรได้มากกว่า 6 ล้านคน มีทุกอย่างไม่ได้แตกต่างไปจากฐาน Aiacos หรือ Radamanthys เลย
ท่ามกลางทะเลทรายบนที่ราบสูง ฐาน Minos ตั้งตระหง่านอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้สิ่งอื่นใดเข้าระราน
………………………………………...
โรงเรียน High School
เยาวชนของฐาน Minos จะได้รับการเล่าเรียนมากกว่าเยาวชนของฐาน Aiacos และ ฐาน Radamanthys โดยเยาวชนของฐาน Minos จะจบ High School เมื่ออายุ 17 ปี ย่าง 18 ปี แต่สำหรับอีกสองฐานจะจบที่อายุ 16 ปีเท่านั้น นั่นก็เพราะฐาน Aiacos และ ฐาน Radamanthys ต้องการบุคลากรที่มีร่างกายแข็งแรงสดใหม่ในการปฏิบัติภารกิจ แต่สำหรับฐาน Minos กลับต้องการบุคลากรทรงภูมิปัญญา และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ในการวิจัยและพัฒนา และวันนี้เป็นวันจบการศึกษาของเด็กนักเรียน High School ชั้นปีสุดท้ายของฐาน Minos
ทางเดินบริเวณรอบโรงเรียน
เด็กนักเรียนหลายพันคนกำลังเดินทางกลับบ้านพัก บางส่วนก็กำลังไปสังสรรค์หลังจากจบการปัจฉิมนิเทศน์ พวกเขาพร้อมแล้วที่จะก้าวต่อไปตามเส้นทางสายอาชีพที่พวกเขาเลือก แต่สำหรับบางคนก็ยังมีความลังเลอยู่ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ต้องการเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย แต่ก็มีบางส่วนต้องการเดินทางสายทหาร
“วันนี้จะไปปาร์ตี้ไหนกันดีคะทุกคน” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวคนหนึ่งถามเพื่อนๆ ที่เดินมาด้วยกัน เธอเป็นเด็กสาวที่ดูร่าเริง ใบหน้ากลม คางเรียว ดวงตาโฉบเฉี่ยว นัยน์ตาสีม่วง เส้นผมของเธอเป็นสีชมพู เธอไว้ผมบ็อบยาวประบ่าเส้นผมหยักศก ผิวขาวอมชมพู สูง 161 c.m. รูปร่างสมส่วนไม่ผอมจนเกินไป
“แหม พอเรื่องปาร์ตี้นี่ไม่เคยพลาดจริงๆ นะเธอเนี่ย เบลล่า” เด็กสาวอีกคนหนึ่งพูดแซะเด็กสาวคนแรกขึ้น เธอเป็นเด็กสาวที่ใบที่เต็มไปด้วยความ Alert เรียวคม ดวงตาจริงจัง นัยน์ตาสีเขียวสีเดียวกับเส้นผมของเธอ ทรงผมของเธอเป็นทรงบ็อบสั้นยาวถึงต้นคอ ผิวขาวโทนเหลือง สูง 161 c.m. รูปร่างดูมีกล้ามเนื้อมากกว่า เบลล่า
“หึ!! เวลาชั้นชวนไปปาร์ตี้ เธอเองก็ไปทุกครั้งไม่ใช่รึไงกันล่ะ ลอว์เรนซ์” เบลล่า ทำหน้าบึ้งๆ หรี่ตาลงเล็กน้อย เด็กสาวผมเขียวที่ถูกเรียกว่า ลอว์เรนซ์ ยิ้มแห้งๆ โดยไม่ปฏิเสธอะไร เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่เบลล่าพูดจะเป็นจริง เด็กหนุ่มอีกคนจึงถามขึ้น “ที่จริงชั้นเห็นด้วยนะถ้าจะปาร์ตี้กัน ไม่แน่ตั้งแต่วันนี้ไปเราอาจจะไม่อยู่กับครบแบบนี้แล้วก็ได้” เขาเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ส่วนสูงของเขาคือ 180 c.m. ร่างกายเขาผอมบางมาก หน้าตาของเขาคล้ายผู้หญิง ประกอบกับเส้นผมดำและยาวเรียบถึงกลางหลัง นัยน์ตาโฉบเฉี่ยวสีเหลืองอำพัน ดูอ่อนโยน ราวกับหญิงสาวคนหนึ่ง
“ที่ซาเรียสว่ามาก็ถูกนะ วันนี้อาจจะวันสุดท้ายที่เราได้อยู่กับครบแบบนี้” ลอว์เรนซ์พูดสนับสนุนความเห็นของชายหนุ่ม เบลล่าจึงเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าหาชายหนุ่มที่เดินอยู่หน้าสุด “ซีค!! นายล่ะว่าไง จะไปด้วยกันรึเปล่า” เด็กหนุ่มที่ถูกเบลล่าเรียกอย่างสนิทสนมว่า “ซีค” เขาเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาบึ้งตึง สีหน้าจริงจังมากๆ จนมากเกินไป ทรงผมของเขายุ่งเหยิงสุดๆ เส้นผมเสียๆ สีน้ำตาลชี้ไปมา เขามีดวงตาราวกับสิงห์โต นัยน์ตาสีแดงเข้มทรงพลัง เขาสูง 175 c.m. เตี้ยกว่า ซาเรียส เล็กน้อย แต่ก็มีรูปร่างผอมไม่แพ้กัน เขาตอบกลับมาว่า “เธอชวนขนาดนี้แล้ว...” “ชั้นก็คงจะต้องไปเพื่อรักษาน้ำใจหน่อยล่ะนะ” แม้มันจะฟังดูไม่ดี แต่มันก็สร้างรอยยิ้มให้กับเบลล่าขึ้นมาได้
“น้อยๆ หน่อย ซีค...นายน่ะอยากไปแต่แรกอยู่แล้ว แต่วางฟอร์มให้เบลล่าชวนอยู่ไม่ใช่หรอไง” ลอว์เรนซ์แซะขึ้น มุมปากของซีคกระตุกยิกๆ “วางฟอร์มอะไรกันเล่า!! ชั้นน่ะมีงานต้องทำอีกเยอะ งานสำคัญระดับฐานทัพเลยนะ” “นี่อุส่าห์ตอบตกลงแล้ว พวกเธอก็ควรจะสำนึกบุญคุณของชั้นไว้ซะบ้าง...คนอย่างชั้นไม่ใช่ใครชวนก็ได้นะเฟ้ย” ซีค หันกลับมาตอบโต้ ลอว์เรนซ์ทันที และดูเหมือนทั้งสองคนมีทีท่าจะวางมวยกัน จนเบลล่าและซาเรียสต้องปรามไว้ แต่ในขณะนั้นเอง มีเด็กหนุ่มอีกคนเดินแซงหน้าไปด้วยท่าทีที่ดูหยิ่งยะโส เขาเหลือบมองซีคด้วยหางตา
“งานระดับฐานทัพงั้นหรอ….ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ น่าขำ….ไปวิ่งแจ้นส่งใบสมัครเรียนสิไม่ว่า” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดขึ้นลอยๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าเจ้าเลห์ ดวงตาเหมือนเหยี่ยว นัยน์ตาสีทอง ผมสีดำเส้นละเอียดชี้ไปมาฟูฟ่อง ผิวสีเหลืองเข้มเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับสีน้ำผึ้ง ส่วนสูง 183 c.m. รูปร่างสมส่วน ท่าทางสง่างาม
คำพูดของเด็กคนนี้ทำให้ ซีคไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ขำงั้นหรอ คนอย่างนายน่ะธีโอดอร์ ต่อไปจะต้องเป็นลูกน้องของชั้น” “นายควรมีสัมมาคารวะให้มากกว่านี้หน่อยนะ ชั้นอาจจะเห็นใจและพิจารณาเลื่อนขั้นให้นายเร็วขึ้นเป็นพิเศษก็ได้นะ” แต่คำพูดของซีค กลับไม่กระทบกระเทือนเด็กหนุ่มธีโอดอร์เลยแม้แต่น้อย “ช่างฝันดีนะ….ชั้นเกลียดคนช่างฝัน” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เดินแซงไปโดยไม่ได้สนใจอะไร แต่เบลล่ากลับผละตัวจากซีค แล้ววิ่งตามธีโอดอร์ไป สิ่งที่เบลล่าทำ ทำให้ซีคออกอาการขุ่นเคืองเล็กน้อย ราวกับว่าเขาไม่อยากให้เบลล่าไปสุงสิงกับธีโอดอร์
เบลล่าวิ่งตามมาหยุดและเดินคู่ไปกับธีโอดอร์ “นายจะไม่ไปด้วยกันจริงๆ หรอธีโอ นี่อาจจะเป็นปาร์ตี้สุดท้ายแล้วนะ” “ปีก่อนๆ ชั้นชวนนายไป นายก็ไม่เคยไปเลย...ยังไงครั้งก็อยากให้นายได้ไปสนุกด้วยกันกับพวกเราจริงๆ นะ” ธีโอดอร์ เหลือบมองนาฬิกาด้วยใบหน้าเรียบเชียบ “เอาอย่างที่เธอว่าก็ได้….จากนี้ชั้นก็คงจะไม่มีเวลาว่างแล้วจริงๆ” “เย๊!! เดี๋ยวชั้นจะพาไปร้านประจำที่พวกเราเคยไปทุกปี มีอะไรให้เล่นเยอะแยะเลยล่ะ นายต้องชอบแน่ๆ” “รับรองว่านายจะไม่พลาดอะไรเด็ดๆ แน่นอน” เบลล่ายิ้มแล้วพูดขึ้นด้วยความร่าเริงเปี่ยมไปด้วยความดีใจ
ในขณะที่ระหว่างทั้งสองกำลังคุยกัน ซีคก็เดินย่องเข้ามาแอบฟังอย่างแนบเนียนด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นี่นายจะไปยุ่งอะไรกับเค้าสองคนเขาล่ะ!!” “โอ๊ยเจ็บนะลอว์เรนซ์” ลอว์เรนซ์ตามไปดึงหูของซีคกลับมา “ชั้นจะทำอะไรแล้วเธอจะมายุ่งอะไรด้วยเล่า!! พ่อใหญ่ทำอะไรก็ได้งั้นหรอ” ซีคบ่นพลางใช้มือถูใบหูของตัวเองที่แดงก่ำ “เซี๊ยะ!!” เสียงผ่ามือของลอว์เรนซ์เฉดเข้าเต็มศีรษะของซีค “บอกแล้วว่าอย่าพูดเรื่องนี้ไม่ใช่หรอฮะ!!” ซาเรียส ได้แต่ขำเบาๆ เพื่อเก็บอาการและรักษาภาพลักษณ์ที่เป็นคนเงียบๆ ของเขาเอาไว้
ด้านหลังกลุ่มของซีคที่กำลังเดินอยู่
มีเด็กสาวร่างผอมบาง ใบหน้าสระสวย เส้นผมสีแดงยาวตรงเงาสลวยมัดหางม้า ดวงตางดงาม นัยน์ตาสีส้ม รูปร่างผอมสูง เธอสูงถึง 172 c.m. ท่าทางเรียบร้อย สวมที่คาดผมสีขาว เดินตามมาอยู่ตั้งแต่แรกอย่างเงียบๆ สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยชอบใจกับการกระทำของซีคเท่าใดนัก ข้างๆ เธอมีเด็กหนุ่มร่างกายล่ำสัน สวมแว่นตาดำ ผิวสีเข้ม ผมสั้นประมาณติ่งหูทรงผมเกือบเห็ด ส่วนสูงถึง 190 c.m. เดินประกบข้างๆ เขาเดินไม่ห่างหญิงสาวเลย
ชายหนุ่มผิวเข้มจึงถามขึ้นว่า “คุณหนูเวอร์ม่าจะไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ไหมครับ กระผมจะได้แจ้งนายท่านให้” หญิงสาวผมแดงที่ถูกเรียกว่าคุณหนูเวอร์ม่าสลัดสีหน้าบึ้งตึงก่อนจะหันมาตอบด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไปสิคะ….แล้วเมื่อไรอีธานจะเลิกเรียกชั้นว่าคุณหนูเวอร์ม่าซะที ชั้นฟังกี่ครั้งก็รู้สึกไม่ชอบทุกครั้งเลยนะคะ” ชายหนุ่มผิวเข้มที่ชื่อว่าอีธานยิ้มแห้งๆ “แต่จะให้ผมเรียกคุณหนูเวอร์ม่าว่า เจนนี่ เหมือนคนอื่นหรอครับ” “ถ้านายท่านมาได้ยินเข้า….กระผมจะลำบากเอานะครับคุณหนู” อีธานพยายามเถียงด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ
เจนนี่ หันมาค้อนใส่ อีธาน “ก็อย่าเรียกชั้นแบบนั้นต่อหน้าคุณพ่อสิคะอีธาน….”
………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 1, 2018 12:01:32 GMT
ห้อง lab ใหญ่ของฐาน Minos
ที่นี้เป็นเหมือนศูนย์รวมภูมิปัญญาของฐาน Minos เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นศูนย์รวมนักวิทยาศาสตร์เกือบทั้งหมด มันเป็นห้องทดลองพื้นหลังสีขาวขนาดใหญ่ จุนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยได้พร้อมกันทีเดียวถึง 500 คน มีอุปกรณ์การทดลอง เครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ระรานตา และเครื่องมือไฮเทคหลากหลายชนิดนับไม่ถ้วน มีโครงการมากมายกำลังดำเนินการอยู่ร่วมร้อยโครงการ และที่นี่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย
นายทหารนายหนึ่งกำลังมองไปรอบๆ ห้องทดลอง เขาเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ติดยศเต็มชุดเครื่องแบบ ป้ายชื่อที่หน้าอกขวาของเขาระบุได้ว่า เขาคือ พลอากาศตรี เรย์ แอนเดอร์สัน เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง มีส่วนสูงถึง 187 c.m. ผมสั้นตามระเบียบทหารสีน้ำตาล ใบหน้าของเขาดูจริงจังและเข้มงวด ดวงตาดุร้ายมาก นัยน์ตาสีน้ำตาลเปล่งประกายแสงแห่งความทะเยอทะยานและความประสงค์ในความก้าวหน้ารุ่งเรือง
“ผมได้รับมอบหมายมาจากท่านประธานาธิบดีดิราเวนให้มาติดตามความคืบหน้าของห้องทดลองแห่งนี้” “เพราะดูเหมือนการทดลองทั้ง 97 โครงการของที่นี่ไม่มีความคืบหน้ามา 3 เดือนแล้วน่ะนะ” พลอากาศตรี เรย์ แอนเดอร์สัน กล่าวขึ้นกับเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มารายงานตัวกันหลายสิบคน
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งได้ก้าวเดินออกมาข้างหน้า เขามีแววตาที่เจ้าเลห์ไม่ต่างไปจากพลตรีคนนั้น เขาเป็นชายหนุ่มที่มีส่วนสูง 177 c.m. รูปร่างสมส่วน เขาไว้ผมยาวสีดำหยักศกยุ่งเหยิงเปิดหน้าผาก ที่ปลายปอยผมของเขาไฮไลท์ด้วยสีขาวเป็นเอกลักษณ์ นัยน์ตาสีดำประสานรับความร้ายกาจกับดวงตาของเขา
“กระผมวอร์เรน เกตส์ เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์อาวุโสขอรายงานแทนท่านรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยครับ” ชายหนุ่มผมเปิดหน้าผากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นคงหนักแน่น เมื่อพลตรีแอนเดอร์สันได้ยินเขาก็เชิดหน้าขึ้น วอร์เรน เกตส์ จึงเริ่มพูดขึ้น “ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยทั้ง 97 โครงการ กำลังเร่งทำงานอย่างเต็มที่” “ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่ศึกษาลักษณะของพันธุ์สิ่งมีชีวิตพื้นเมือง ที่สามารถระบุลักษณะทางชีวภาพได้หลายร้อยสายพันธุ์” “รวมไปถึงโครงการศึกษาพันธุ์พืชพื้นเมืองเพื่อทำวิจัยเชิงเปรียบเทียบกับพันธุ์พืชที่อยู่ในฐานของเราก็คืบหน้าไปมาก” “ผมเชื่อมั่นว่าในไม่ช้าเราจะค้นพบสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์อย่างเช่นที่เคยค้นพบ Glieserium เมื่อ 30 ปีก่อนอย่างแน่นอน”
พลตรีแอนเดอร์สัน ยกมือแบขึ้นเป็นสัญญาณให้ วอร์เรน เกตส์ หยุดอธิบาย “พอได้แล้ว….ที่คุณพูดมามันก็เหมือนรายงานเดิมๆ” “มันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยไม่ใช่รึยังไงกัน….ที่ผมมาที่นี่นอกจากมาเพื่อเป็นพิธีเพราะรู้แต่แรกว่าพวกคุณมันไร้น้ำยาแล้ว...” “ที่เราต้องการตอนนี้น่ะ!! มันไม่ใช่แค่ศึกษา ศึกษา แล้วก็ศึกษา เราต้องการความก้าวหน้า….พวกคุณลองมองไปรอบๆ ตัวดูสิ” “ไม่ว่าจะชาว Minos เอง ชาว Aiacos หรือชาว Radamanthys ต่างก็ต้องการทางออกกันทั้งนั้น….หนทางสู่อิสรภาพ” “ทุกคนอยากจะออกไปอยู่นอกโดมเน่าๆนี่ ไม่มีใครอยากติดอยู่ในไอ้กะลาเวรนี่ไปตลอดชีวิต….หรือว่าพวกคุณอยาก...” “ผมได้เสนอโครงการต่อท่านประธานาธิบดีไปแล้วล่ะนะ….ถ้าเราเปลี่ยนแปลงดาวไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงมนุษย์!!” “ล่าสุด โครงการที่ผมเสนอไปในขั้นตอนแรกได้รับการอนุมัติแล้ว...นั่นก็คือการปิดระบบจำลองแรงโน้มถ่วงประจำวัน”
สิ่งที่พลตรีแอนเดอร์สันพูดทำให้วอร์เรน เกตส์ ตกใจขึ้นเล็กน้อย “ปิดระบบจำลองแรงโน้มถ่วงประจำวันอย่างนั้นหรอ” พลตรีแอนเดอร์สัน พยักหน้าอย่างมีชัย “ถูกต้องแล้วล่ะ มันเป็นสัญญาณที่ดีว่ามั้ยล่ะ….พวกคุณกำลังจะได้งานใหม่กันแล้ว” “ถ้าภายในปีนี้ พวกคุณไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนงานการออกไปสู่โลกภายนอกแล้วล่ะก็….แผนของผมทั้งหมดจะผ่านทันที” “ผมตั้งใจจะทำการทดลองตัดต่อพันธุกรรมรวมไปถึงผ่าตัดดัดแปลงอวัยวะของมนุษย์ให้สามารถอยู่อาศัยนอกโดมได้!!” “ประชาชนของ Minos กำลังเลือกฝ่ายอยู่นะครับ...เท่าที่เห็นคือฝ่ายของผมกำลังได้เปรียบ เพราะเหตุผลที่พวกคุณมองข้าม” “พวกคุณมองแต่ความปลอดภัย แต่พวกเขามองถึงอนาคต พวกเขาไม่อยากถูกจำกัดให้อยู่แต่ภายในโดมแห่งนี้อีกต่อไป” “ก็อย่างที่ผมว่าน่ะนะ เปลี่ยนแปลงดาวดวงนี้มันยาก แต่เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของมนุษย์น่ะ ทำได้สบาย….คุณก็รู้”
วอร์เรน เกตซ์ กำหมัดแน่น “เข้าใจแล้วล่ะครับ….ภายในปีนี้พวกเราจะพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่พวกเราทำนั้นถูกต้อง” “เราจะเสนอแนวทางในการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของดาวดวงนี้โดยไม่ส่งผลต่อระบบนิเวศน์เดิมให้ได้ครับ” แต่เมื่อวอร์เรนซ์ เกตส์ พูดจบ ก็มีนักวิทยาศาสตร์หนุ่มอีกคนหนึ่งเดินออกมาด้วยท่าทางไร้มารยาทอย่างมาก เขาเป็นชายหนุ่มผมดำกระเซอะกระเซิง ความยาวผมประมาณต้นคอ ใบหน้ากวนอารมณ์ ดวงตาสองสี แดงข้างเหลืองข้าง ส่วนสูง 176 c.m. รูปร่างผอมซูบ ส่วมชุดนักวิทยาศาสตร์ที่หลุดลุ่ยไม่ได้มีความเป็นระเบียบวินัยเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินออกมาแล้วกล่าวขึ้นว่า “ขอโทษที่ขัดจังหวะนะหัวหน้าเกตส์ พอดีผมมีอะไรขัดใจนิดๆ หน่อยๆ ในคำโม้ของคุณ” “ไอแผนที่ว่าน่ะ มันยังไม่รู้จะเริ่มยังไงเลยไม่ใช่หรอครับ อีกทั้งคุณเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำมันด้วยวิธีไหน จริงมั้ยล่ะ” “ถ้าพูดแบบไม่เกรงใจเลยนะ คุณแม่มเฟ้คว่ะ….ทั้งๆ ที่คุณรู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้เราไม่มีอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย ทำอะไรไม่ได้เลย” “แต่คุณกลับปฏิเสธการตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์โดยอ้างหลักมนุษยธรรมบ้าบอ….ตอนนี้น่ะไม่มีใครสนใจมันหรอกเข้าใจอ๊ะ?” “คุณจะหลอกใครให้งมงายและหวังในสิ่งที่คุณโม้ไว้อย่างสวยหรูยังไงก็ได้ แต่คุณหลอกตัวเองไม่ได้นะครับคุณหัวหน้าเกตส์”
พลตรีเรย์ แอนเดอร์สัน ได้ยินที่นักวิทยาศาสต์หนุ่มคนนั้นกล่าว เขายิ้มอย่างพอใจเป็นอย่างมาก เขาเหลือบมองไปที่ป้ายชื่อของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มผู้ไร้ซึ่งระเบียบวินัย แล้วพูดขึ้นว่า “พูดได้ดีคุณเฟลเลอร์” “มุมมองของคุณนั้นกว้างไกลมาก ผมชอบคนแบบคุณนะ….ถ้าบ่ายนี้คุณไม่มีธุระอะไร ผมอยากคุยกับคุณหน่อย” “เผื่อบางทีหากคุณเบื่องานที่คุณต้องทำกับหัวหน้าห้องแลปที่นี่แล้ว คุณจะขอย้ายมาทำงานกับผมก็ได้นะ”
เมื่อพูดจบ พลอากาศตรี เรย์ แอนเดอร์สัน ก็เดินออกไปพร้อมกับนักวิทยาศาสตร์หนุ่ม แม็กซิม เฟลเลอร์
………………………………………….
“พรึ่บ….”
ฟองน้ำวางหนังสือที่เธออ่านอยู่นั้นลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจจากที่ได้อ่านมา “มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอดีตด้วยอย่างนั้นหรอ….ความแตกแยกทางความคิดในการออกไปอยู่อาศัยนอกโดม” “มันร้ายแรงถึงขั้นจะต้องตัดต่อพันธุกรรมของมนุษย์เลยอย่างนั้นหรอ….น่ากลัวจัง….” เธออุทานขึ้นเบาๆ แต่ด้วยความเงียบงันนั้น เสียงของเธอก็ไปเข้าหูของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่มุมโต๊ะ
ชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง เขาสูง 185 c.m. ท่าทีสงบนิ่งดูมีราศีแบบผู้ดี มีบารมีเช่นผู้นำ เส้นผมของเขาสีเทายาวถึงต้นคอ ไว้ผมปรกหน้า ใบหน้าคมกริบ ดวงตาร้ายกาจ นัยต์ตาสีเหลือง เขาเป็นคนที่เหล่มองฟองน้ำตั้งแต่เธอหยิบหนังสือเล่มนี้มา แล้วเริ่มนั่งอ่านตั้งแต่ตอนแรกแล้ว “ความขัดแย้งทางการเมืองเรื่องการตัดต่อพันธุกรรม….คงเป็นบันทึกของไมนอสช่วง 100 ปีแรกสินะครับ” เขาวางหนังสือของเขาลงแล้วหันพูดกับฟองน้ำ ทำให้ฟองน้ำสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะตอบไปว่า
“อ๊ะ...อ่อ...ค่ะ...”
ชายผมเทายิ้มมุมปาก “ผมชอบหนังสือเล่มนั้นนะ….มันเป็นอันดับ 1 ในใจของผมเลยล่ะครับ” “ผมอ่านมันจบหลายรอบแล้ว เรื่องที่เธอว่ามาน่ะ มันเป็นเรื่องปกติของผู้คนในสมัยนั้นน่ะครับ” “พวกเขาอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ….เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ยุคแรกที่ตั้งรกรากบนดาวเคราะห์ดวงนี้” “มันจะแปลกอะไร ถ้าหากคนในสมัยนั้นต่างคนก็ต่างอยากจะออกไปอยู่อาศัยในโลกภายนอก” “พวกเขาจึงดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะออกมาให้ได้ หนทางแรกคือการหาวิธีปรับสภาพบรรยากาศพื้นผิว” “และหนทางที่สองคือ แทนที่จะปรับสภาพบรรยากาศพื้นผิว พวกเขาจะสร้างมนุษย์ดัดแปลงขึ้นมาแทน”
ฟองน้ำได้ฟังที่ชายผมสีเทาพูดเธอก็รู้สึกประทับใจที่ชายคนนี้รู้และเข้าใจเรื่องที่เธอกำลังอ่านอย่างลึกซึ้ง “อย่างนั้นเองสินะคะ….ที่พวกเขามีแนวคิดแบบนั้น ก็คงเพราะยังไม่มีการค้นพบ Genesis Plant สินะคะ” “แถมเท่าที่ดิชั้นอ่านและเข้าใจก็คือ ในตอนนั้นก็ยังไม่มีใครมั่นใจเลยสักคนด้วยซ้ำว่า Genesis Plant มีจริงรึเปล่า” “ทำให้คนบางกลุ่มเกิดแนวคิดที่จะใช้ทางลัดคือเปลี่ยนแปลงมนุษย์ให้เข้ากับดาวดวงนี้แทนสินะคะ” “อืม…..Glieserium Alloy โลหะผสมที่เบา แข็ง และเหนียว วัสดุหลักของ Valkyria Unit ก็คิดค้นจาก Minos” “ดูเหมือนฐาน Minos มีอะไรให้เราประหลาดใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเลยนะเนี่ย …. คิคิ …. อ่านต่อดีกว่า….”
ชายผมสีเทายิ้มโดยไม่ตอบอะไร เขาหันกลับไปอ่านหนังสือของเขาต่อ ฟองน้ำจึงเริ่มอ่านหนังสือของเธอต่อไป
………………………………………....
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 1, 2018 12:02:26 GMT
ที่ห้องร้องเพลงแห่งหนึ่งในฐาน Minos
มันเป็นห้องมืดๆ ไม่ใหญ่มาก มีโต๊ะขนาดใหญ่สีดำวางอยู่ตรงกลางขนาบข้างไปด้วยเบาะนั่งยาวสองฝั่ง ตรงหน้าห้องมีหน้าจออัจฉริยะและลำโพงซึ่งมีไว้สำหรับแสดงเนื้อเพลง ภาพประกอบ และเสียงดนตรี
ซีค เบลล่า ธีโอดอร์ ซาเรียส ลอว์เรนซ์ เจนนี่ และ อีธาน มาปาร์ตี้สังสรรค์กันที่นี่ พวกเขาร้องเพลงอย่างสนุกสนาน ทุกอย่างในงานนี้คงต้องขอบคุณเจนนี่ที่จัดการเหมาห้องร้องเพลงด้วยตนเองให้เพื่อนๆ ได้สนุกกันตลอดทั้งคืน ทั้งอาหาร หนมขบเคี้ยว น้ำหวาน น้ำอัดลม วางเกลื่อนกลาดชนิดที่เรียกได้ว่า “สั่งได้ไม่อั้น อยากสั่งอะไรสั่งเลย” เบลล่า ร้องเพลงได้อย่างไพเราะ ในขณะที่คนอื่นร้องเพลงไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายเท่าไร ส่วนธีโอดอร์นั่งนิ่งมาตั้งแต่ต้น
เมื่อเบลล่าวางไมค์ของเธอลง ซีคปรบมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาชื่นชมและปลาบปลื้มกับการร้องเพลงของเบลล่ามาก “เฮ้อ...ให้ตายซี่ ถ้าที่นี่มีอาชีพนักร้องเหมือยสมัยที่มนุษย์ยังอยู่บนโลกใบเดิมแล้วล่ะก็ เธอคงได้เป็นนักร้องไปแล้วแน่ๆ” “ผิดกับพวกคนแถวนี้….ให้ตายเถ๊อะร้องเพลงยังกะกบโดนรถทับ บางคนแม่มก็นั่งนิ่งไม่กระดิกราวกับรูปปั้นเทพซุส” “จะว่าไปในเรื่องนี้มีทั้งหมด 12 บวก 12 บวก 5 ก็ปาเข้าไป 29 ตอนแล้ว นี่เป็นฉากที่สามเองนะเนี่ยที่เป็นฉากกินข้าว” "ไม่รู้อิเจ๊หิวคิลนั่นลืมไปรึยังไงว่าตัวละครในเรื่องนี้เป็นมนุษย์....หรือเพราะอิเจ๊แม่มกินคิลจนอิ่มทำให้ลืมฉากกินข้าวไปกันนะ" “พวกแกอ่านไปแล้วไม่สงสัยบ้างเลยเรอะว่าตัวละครอย่างพวกเราอยู่ไปได้ยังไงตั้งหลายเดือน…ฮึ?...ไม่สงสัย?...ก็ได้...”
เบลล่ากลับมานั่งที่ข้างๆ ของเธอ มันเป็นที่นั่งข้างธีโอดอร์ เพราะถึงตาของอีธานที่จะออกไปโชว์พลังเสียงบ้าง เบลล่าจิบน้ำหวานของเธออึกใหญ่ก่อนจะหันมายิ้มให้ธีโอดอร์ที่นั่งทางซ้ายของเธอ “ไม่สนุกเลยหรอธีโอ...” ธีโอดอร์ ไม่ได้มีปฏิกิริยาทางสีหน้าอะไร แต่เขาก็พอรู้มารยาททางสังคมที่จะตอบกลับ “ก็สนุกนะ ได้นั่งโง่ๆ ไม่ต้องคิดอะไร” เบลล่ามีท่าทีดีใจจากการได้ feedback กลับมาถึงถามต่อไป “แล้วธีโอจะทำอะไรต่อจากนี้หรอ อย่างเธอคงทำได้ทุกอย่าง….” “ไม่ว่าจะไปเป็นทหาร หรือจะเป็นนักวิทยาศาสตร์….ชั้นก็เลยอยากรู้ว่าอันดับหนึ่งของรุ่นเราจะเลือกเส้นทางไหนน่ะ” ธีโอดอร์ตอบทันทีราวกับไม่ต้องคิดอะไรเลยว่า “ชั้นจะเป็นทหารน่ะ….ชั้นอยากออกไปนอกโดม ไปเห็นโลกภายนอก” เบลล่ามีท่าทีหงอยลงนิดๆ “ดีจังเลยนะ….ชั้นน่ะคงเป็นได้แค่นักวิทยาศาสตร์….คงเป็นทหารแบบเธอไม่ได้….” ธีโอดอร์ยิ้มมุมปาก “คนเราแต่ละคนมีขีดจำกัดและขีดความสามารถ...ก็ดีแล้วล่ะที่เธอรู้ขีดความสามารถของตัวเอง”
ระหว่างที่เบลล่าพูดคุยกับธีโอดอร์อยู่นั้น ก็มีสายตาคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองเข้ามาด้วยสายตาพยาบาทรุนแรง “ไอ่หมอนี่น่าหมั่นไส้ชะมัด!! ดูก็รู้ว่ามันไม่ได้สนใจอะไรเลยนอกจากตัวเอง เบลล่าก็ยังอุส่าห์ไปชวนคุย แล้วดูพูดจาเข้า!!” “ขีดความสามารถบ้าบออะไร ขี้โอ่ชะมัด” ซีคที่จ้องมองบ่นในลำคอ ก่อนจะพูดออกไปว่า “ชั้นก็จะเป็นทหารเหมือนกัน” “ชั้นน่ะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เลยล่ะเบลล่า….เธอคงยังไม่รู้สินะว่าชั้นน่ะขึ้นขับ Ironsuit ออกไปข้างนอกนั่นตั้งแต่อายุ 7 ขวบแล้ว” ท่ามกลางสายตาที่หันมามองซีค ธีโอดอร์ก็หัวเราะขึ้น “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า 7 ขวบงั้นหรอ นายนี่ชอบให้คนอื่นมองเป็นตัวตลกสินะ” “Ironsuit น่ะเป็นหุ่นที่ใช้อุตสาหกรรมแรงงานและการทหาร ไม่ได้มีไว้ให้เด็ก 7 ขวบขึ้นไปนั่งบังคับกันง่ายๆ หรอกนะ!!” “มันเป็นหุ่นสูง 17.5 เมตร สร้างขึ้นด้วย Glieserium Alloy อย่าว่าแต่ขับมันเลย อย่างนายแค่เห็นก็คงยังไม่เคยด้วยซ้ำ”
ลอว์เรนซ์ที่นั่งอยู่อีกมุมจึงโน้มตัวลงมาแล้วหันไปถามซีคข้ามแถวที่นั่ง “นายน่ะรู้รึเปล่าว่า Ironsuit น่ะมันขับยังไง?” ซีคได้ยินก็มีท่าทีเหวอนิดๆ ก่อนทำหน้าเข้ม “รู้สิ แต่ชั้นบอกพวกเธอไม่ได้หรอกนะ ของแบบนี้พวกเธอต้องเรียนรู้เอง” เมื่อได้ยิน ลอว์เรนซ์ก็กำลังจะเริ่มต่อปากต่อคำแต่ซาเรียสมาหยุดมันเอาไว้ด้วยการถามขึ้นว่า “ลอว์เรนซ์ล่ะ อยากเป็นอะไร” เมื่อได้ยินเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ ถามขึ้น เธอจึงเปลี่ยนใจมาตอบคำถามซาเรียสแทนว่า “ชั้นหรอ….ชั้นจะเป็นทหารล่ะ” ซาเรียสตกใจทันที “ทหารงั้นหรอ….เธอบอกพ่อรึยังน่ะ...ถ้าท่านอนุญาตเธอน่าจะได้เป็นแน่นอน แต่ถ้าไม่แล้วล่ะก็….”
ลอว์เรนซ์มีท่าทีฉุนเล็กน้อย “ชั้นไม่บอกหรอก….ถึงพ่อจะเป็นประธานาธิบดี แต่เขาก็ไม่อยากให้ชั้นเป็นทหาร” “ดังนั้น!! ชั้นจะเป็นทหารให้ได้ ไม่ว่าใครจะห้ามหรืออะไรก็ตามแต่ ชั้นจะไม่มุดหัวอยู่ในนี้เหมือนที่เขาทำแน่นอน!!” “ชั้นน่ะตั้งใจแล้วว่าจะเป็นทหารให้ได้อย่างรุ่นพี่อาเรีย มิดฟอร์ด ที่ได้เป็นนักเรียนทหารแลกเปลี่ยนกับ Radamanthys” “การจะได้ไปที่นั่นน่ะ จะต้องทำการทดสอบให้โดดเด่นที่สุด เพื่อจะได้ไปเรียนวิชาทหารอย่างแท้จริงที่ฐานแห่งนั้น!!” “ในรุ่นหนึ่งจะมีคนเดียวที่ได้สิทธินั้น แต่ถึงชั้นจะไม่ได้เก่งกาจอะไรอย่างรุ่นพี่อาเรีย และถึงไม่ได้สิทธินั้นชั้นก็จะเป็นทหาร!!” ซาเรียสมีสีหน้าผิดหวังกับคำตอบเพื่อนสนิทเล็กน้อย แต่เขาก็รู้นิสัยของลอว์เรนซ์ดี “พยายามเข้าล่ะ...ชั้นเชื่อว่าเธอทำได้แน่” “ส่วนชั้นก็คงจะไปสมัครเป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนกับเบลล่า เพราะดูแล้วยังไงการออกไปลุยข้างนอกคงไม่เหมาะกับชั้นเท่าไร”
ส่วนที่นั่งช่วงกลาง เจนนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ซีค เธอดูเหมือนจะอยากชวนซีคคุย แต่ก็ไม่อยากไปขัดจังหวะการพูดคุย เธอจึงทำได้แค่เนียนปรบมือไปตามจังหวะเพลงที่อีธาน บอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอกำลังร้องเพลงอยู่หน้าห้อง แม้ว่าจะไม่มีใครสนใจฟังก็ตาม แต่เขาก็แสดงท่าทางประกอบการร้องเพลงอย่างจริงจัง แม้มันจะดูตลกและประหลาด
“โลกภายนอกโดมงั้นหรอ….มันจะสวยงามเหมือนโลกใบเดิมที่เราเห็นในสมุดภาพมั้ยนะ” เจนนี่ คิดในใจ
………………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 1, 2018 12:03:49 GMT
ตามถนนยามค่ำคืน
เวลานี้แสงจากท้องฟ้าจำลองเบื้องบนของฐาน Minos ได้ถูกหรี่ลงเป็นสัญญาณของยามค่ำคืนที่มาถึง กระแสลมจำลองถูกพ่นไปทั่วบริเวณถนนหนทางเพื่อระบายความร้อนจากช่วงเวลากลางวันให้เย็นลง เด็กนักเรียน High School สองคนกำลังเดินทางกลับบ้านไปด้วยกัน พร้อมกับพูดคุยกันไป พวกเขาสองคนดูเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง จึงไม่ค่อยชอบที่จะเข้าสังคมเท่าใดนัก
เด็กหนุ่มนักเรียนคนแรกเป็นคนหน้าตาดี ใบหน้าเรียวคม ดวงตาเฉียบคม นัยน์ตาสีต้ำตาล ผมของเขาเป็นสีน้ำตาล ทรงผมของเขานั้นเหมือนกับนักร้องบอยแบนด์สมัยเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่มนุษย์ยังอยู่อาศัยบนโลกใบเดิม เขามีส่วนสูง 185 c.m. รูปร่างสมส่วนมีกล้ามเนื้อพอประมาณ เขาเห็นแมวตัวหนึ่งขนปุยสีขาววิ่งผ่านมา เขาจึงนั่งชันเข่าลงเพื่อเล่นกับแมวตัวนั้นด้วยรอยยิ้ม แสดงให้เห็นถึงความรักสัตว์ เขาพลิกป้ายชื่อที่ปลอกคอมันขึ้นมา “นานาชิ Mk.VIII งั้นหรอ แกนี่ชื่อแปลกดีนะ ใครมันตั้งชื่อแมวน้อยแบบนี้กันน๊า ว่ามั้ยมาริค” เด็กหนุ่มคนนั้นหันไปถามเพื่อน
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่ามาริค เป็นเด็กหนุ่มสูง 180 c.m. รูปร่างจัดว่าผอมมาก เขาไว้ผมสั้นทรงทหารเส้นผมสีน้ำตาล ใบหน้ายาวและเหลี่ยม ดวงตาเรียวเล็ก ริมฝีปากหนาและกว้าง หน้าตาคล้ายกับมนุษย์สมัยที่อาศัยบนโลกเดิม “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ นั่นสินะ แฟร๊งค์ ...Mk.VIII ราวกับว่าเจ้าของเคยเลี้ยงมาหลายตัว แล้วกลัวจะลืมชื่อ เลยตั้งเป็นซีรี่ย์ซะอย่างนั้น” “จะว่าไปออกแนวเหมือนการตั้งชื่อรุ่นหุ่นยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงมาเป็น Generation ต่างๆ เลยซะด้วยซ้ำ...บ้าจริง...ฮ่าฮ่า” มาริค ตอบกลับเพื่อนของเขาโดยเรียกชื่อเพื่อนว่า แฟร๊งค์ ท่าทางมาริคบ่งบอกว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดีและจินตนาการไกลมาก
แฟร๊งค์ เล่นลูกแมวขนปุยสีขาวตัวนั้นสักพัก ก่อนจะปล่อยให้มันวิ่งกลับบ้านของมันไปตามทาง เขาลุกขึ้นแล้วปัดมือกับกางเกง “จะว่าไปมาริค นายจะเอายังไงต่อไปล่ะ ตอนนี้พวกเราก็เรียนจบ High School กันแล้ว” มาริคมองบนก่อนจะตอบกลับ “ก็….ต้องไปสมัครเป็นนักวิทยาศาสตร์กันอยู่แล้วไม่ใช่หรอ เราน่าจะคุยกันบ่อยแล้วนี่”
แฟร๊งค์ส่ายหน้าก่อนเริ่มก้าวเดินนำไป “ชั้นหมายถึงนายจะเลือกทำงานสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านไหนน่ะ” “ตอนนี้ฐานของเรา...นายก็รู้ว่ากระแสสังคมแบ่งออกเป็นสามฝ่าย ฝ่ายแรกคือทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้คนได้ออกไปนอกโดม” “ฝ่ายที่สองบอกว่าเราต้องทำการศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้พร้อมก่อน เพื่อพัฒนาสภาวะแวดล้อมของดาวดวงนี้เสียใหม่” “ส่วนฝ่ายที่สามมองว่าเราควรพัฒนาคุณภาพความเป็นอยู่ภายในโดมให้ดีที่สุด เพราะเราอยู่อย่างนี้มานานแล้ว” “มันก็แสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถอาศัยอยู่ในโดมแบบนี้ต่อไปได้อย่างไม่เกิดปัญหาอุปสรรคอะไร”
มาริคก้าวเดินตามแฟร๊งค์แล้วเริ่มแสดงความเห็น “ชั้นน่ะคงเลือกที่จะสร้างโลกภายนอกให้เราอยู่อาศัยได้ล่ะนะ” “เพราะชั้นว่ามันดูสวยงามกว่าการพัฒนาแนวทางอื่น และท้าทายกว่า เพราะตอนนี้คนของเราก็ยังไม่รู้จะเริ่มมันยังไงด้วย” “แต่ก็ไม่รู้สิ บางทีการอยู่แบบนี้ต่อไปก็อาจจะดีก็ได้นะ ยังไงซะท่านประธานาธิบดีดิราเวนก็สนับสนุนทฤษฎีนี้อยู่” “และกระแสส่วนใหญ่ก็ยังไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่จะว่าไป กระแสการทำทุกหนทางที่จะออกไป” “มีพลอากาศตรี เรย์ แอนเดอร์สัน เป็นตัวตั้งตัวตี ช่วงหลังมาก็ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ เดายากแฮะว่าจะเป็นยังไง”
แฟร๊งค์ส่ายหน้าอย่างผิดหวังเล็กน้อย “นายนี่เหมือนเดิมเลยนะ มาริค สจ๊วต...ลังเลไปลังเลมา พูดจาสรุปไม่ได้ความเหมือนเดิม” “ชั้นน่ะไม่สนหรอกว่าใครจะคิดยังไง ชั้นคิดว่ามนุษย์น่ะอ่อนแอ ควรจะวิวัฒนาการให้ไกลกว่านี้ แถมมนุษย์อย่างเราน่ะฉลาด” “มีองค์ความรู้และมีความสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย หากไม่ยึดติดกับหลักการบางอย่าง เช่น หลักมนุษยธรรมน่ะนะ” “ชั้นเชื่อว่ามนุษย์อย่างพวกเราน่ะ สามารถไปได้ไกลกว่านี้….ชั้นเลยจะเลือกที่จะทำการศึกษาวิจัยตามแนวทางของท่านพลตรี” “อันที่จริงชั้นเสนอหัวข้อเรียนต่อไปแล้วล่ะนะ ชั้นเสนอเรื่องการดัดแปลงให้สมองส่วน cognition สร้างความรู้สึกทุกข์พิการลง”
มาริคมีท่าทีตกใจนิดๆ “นี่นายเสนอหัวข้ออย่างนั้นไปจริงๆ งั้นหรอ แล้วเขารับนายเข้าเรียนด้วยอย่างนั้นหรอ...โคตรพีค!!” แฟร๊งค์พยักหน้าพร้อมตบไหล่มาริคเบาๆ “ใช่แล้วล่ะ ชั้นเสนอไป แล้วชั้นก็ได้รับเลือกให้เรียนต่อแล้วด้วยนะจะบอกให้” “บางทีนายน่ะ อาจจะต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่บ้าง….อย่างที่ชั้นบอกไปนั่นแหละ มนุษย์น่ะมีขีดความสามารถมากกว่านี้” “เมื่อเรียนจบ ชั้นจะทำการศึกษาการตัดต่อพันธุกรรมของมนุษย์และผ่าตัดดัดแปลงให้สามารถอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ได้” “ถึงยังไม่มีนโยบายมา Approve การทดลองที่ว่าตอนนี้ก็ตาม อย่างน้อยการสร้างหลักการรองรับไว้ก่อนก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี”
มาริคหยุดเดิน “นายนี่สุดยอดจริงๆ ชั้นน่ะยังคิดได้แค่หัวข้อเรื่องการถ่ายทอดน้ำวิสุทธิ์อย่างเต็มประสิทธิภาพอยู่เลย”
………………………………………….
หน้าร้านซึ่งเป็นห้องร้องเพลง
หลังจากที่งานปาร์ตี้สังสรรค์จบลง เจนนี่ และอีธาน กำลังรอการเก็บค่าบริการจากทางร้านอยู่ภายในร้าน ลอว์เรนซ์ และซาเรียส เห็นว่ามันเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว จึงขอตัวแยกย้ายเดินทางกลับไปก่อนไม่นาน ซีค เดินผ่านเจนนี่ และอีธานซึ่งยืนอยู่หน้าเค้าเตอร์ของร้านและเปิดประตูเลื่อนหน้าร้านออกมาข้างนอก
เขาหาวฟอดใหญ่ ก่อนจะใช้มือขวารูดซิบกางเกงให้เรียบร้อยหลังจากที่ไม่ได้รูดมาตั้งแต่ออกจากห้องน้ำ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นมาสะพายอย่างเช่นที่ผู้คนทุกคนซึ่งเดินไปเดินมาภายในโดมทำกัน เพราะกระเป๋านั้นมีระบบหน้ากากออกซิเจนฉุกเฉินในกรณีที่ระบบอากาศหมุนเวียนของฐานเกินล้มเหลว เมื่อเขาล็อคกระเป๋าไว้ที่ต้นคอของเขาเสร็จ เขาก็เหลือบไปเห็น เบลล่า ซึ่งยืนคุยกับ ธีโอดอร์ อยู่อีกฝั่งถนน
“ไว้เจอกันใหม่นะธีโอ….สู้ๆ นะ ชั้นจะเป็นกำลังใจให้นาย!!” เบลล่า บอกลาธีโอดอร์ ด้วยท่าทางร่าเริง ธีโอดอร์ พยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะหันกลับหลังแล้วเดินไปอย่างไร้คำพูดใดๆ กลับมาให้ เบลล่า สายตาของเบลล่าที่ส่งไปให้ธีโอดอร์นั้น ไม่ว่าใครมองก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยความห่วงใย และ...ความรัก… เธอยังคงโบกมือลาไปมาไม่หยุด โดยหวังว่าธีโอดอร์จะหันกลับมามองเห็นมันสักแว๊บหนึ่งก็ยังดี
“ชิ!! ยัยบ้าเอ้ย โบกไปเถอะคนอย่างเจ้านั่นน่ะมันไม่แยแสเธอหรอก...ไปสนใจคนพันธุ์นั้นได้ยังไงกันนะ” ซีคบ่นด้วยสีหน้าขุ่นเคืองและอิจฉานิดๆ ทว่า “เพร๊ง!!!!” สิ่งที่เขาบ่นกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม เมื่อ ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์ กลับหันมาแล้วโบกมือกลับให้เบลล่า….. มันทำให้เบลล่ายิ้มหน้าบานยิ่งกว่าเดิม จากนั้นธีโอดอร์ ก็เหลือบหางตามาทางซีค “หึ!!” เขากระแทกลมหายใจออกหนึ่งครั้งแสดงการดูถูกใส่ซีค “หรรมเอ้ย!! ไอ้เวรนี่มันจะขัดใจข้าตูไปถึงไหนกันฟะ!!” ซีค กำหมัดแน่นแล้วทุบไปที่กำแพงของร้าน
มันเป็นขณะเดียวกันกับที่ เจนนี่ เดินออกจากร้านมาพอดี เธอเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น “ซีคน่ะ….ชอบเบลล่าสินะคะ” เจนนี่ ถามขึ้นทำให้ ซีค สะดุ้งด้วยความตกใจแล้วหันกลับหลังมาตอบ “ป่ะ….ปล่าวซะหน่อย….ทำไมเธอว่างั้นล่ะ...” เจนนี่มองชะเง้อไปทางเบลล่าที่กำลังเดินลับไป “ก็ชั้นเห็นซีครู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่เบลล่าคุยกับธีโอน่ะสิคะ” “ชั้นก็เลยรู้ว่าซีคน่ะ ต้องแอบชอบเบลล่าอยู่แน่ๆ …. ถ้าชอบ...ซีคน่าจะบอกเบลล่าไปตรงๆ เลยนะคะ….” ซีคเหล่มองบน “ปล๊าว…..คิดมากไปป่าวครับคุณหนู…..ดึกแล้วป๊ะป๋าไม่บ่นหรอจ๊ะ...เด๋วโดนตีก้นนะ เซี๊ยะ เซี๊ยะ...” อีธานที่เดินตามออกมาก็รู้ได้ทันทีว่าซีคกำลังแซวเขาอยู่ “หนอยไอ่เด็กเวรนี่!! ต้องมวยมันซะหน่อยละมั้ง!!” ซีค เห็น อีธาน ที่เดินปรี่เข้ามาหา เขาก็รีบวิ่งหนีไปพร้อมกับโบกมือลากลับมาให้เจนนี่จนลับตาของหล่อนไป
“บอกไปตรงๆ อย่างงั้นหรอ….เราเองรู้สึกยังไงก็ยังไม่กล้าบอกเขาเลย” เจนนี่บ่นกับตัวเองเบาๆ
…………………………………………
ฟองน้ำค่อยๆ วางหนังสือเล่มนั้นลงอีกครั้ง
ใบหน้าของฟองน้ำมีเลือดฝาดปรากฏขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง เธอประสานมือสองข้างปิดปากของเธอเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือทั้งสองลงอย่างช้าๆ มาประสานไว้ที่หน้าตัก เธอนึ่งไปครู่หนึ่งก็จะยิ้มออกมาบางๆ
“สามคนนี้….ใครจะกล้าพูดคำคำนั้นออกมาก่อนกันนะ….” เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 4, 2018 12:56:19 GMT
EP.2 : Ambition ช่วงเช้าของวันใหม่
ณ ฐานทัพทหารภายในโดมของ Minos มันเป็นพื้นที่ไม่ใหญ่โตมากนัก เพราะกำลังทหารไม่ใช่หัวใจหลักของฐานนี้ แต่ก็ต้องมีตามพื้นฐานและตามความจำเป็น เมื่อมีชุมชน ก็ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แก่ชุมชนนั้น วันนี้เป็นวันที่กองทัพของ Minos ประกาศวัน เวลา และเงื่อนไขการสมัครเข้าเรียนวิชาทหารในปีนี้
ซีค เบลล่า ซาเรียส และลอว์เรนซ์ ได้นัดกันมาที่ฐานทัพตั้งแต่เช้า เพราะมีอยู่สองคนที่ต้องการจะสมัครเป็นทหาร นั่นก็คือ ซีค และ ลอว์เรนซ์ แต่ลอว์เรนซ์มีอีกหนึ่งความต้องการที่จะต้องมาที่นี่ในวันนี้ให้จงได้ นั่นก็เพราะบนเวทีที่จัดอยู่ในหอประชุมซึ่งจุคนได้ประมาณ 4,000 คน มีทหารหญิงคนหนึ่งกำลังกล่าวสุนทรพจน์อยู่ เธอเป็นหญิงสาวอายุ 23 ปี ผมบลอนด์ เส้นผมละเอียดเหยียดตรง มัดหางม้าสูง ไว้ผมปรกหน้าปาดซ้ายระดับคิ้ว ทหารสาวคนนี้มีใบหน้าค่อนข้างกลม คางเรียวแหลม ดวงตาโตสีฟ้าใส ขนตายาวงอน สูง 165 c.m. รูปร่างแข็งแรง
เมื่อเธอกล่าวจบ วิทยากรทหารที่ยืนอยู่บริเวณโพเดี้ยมด้านล่างข้างเวทีก็กล่าวขอบคุณทหารสาวผู้กำลังลงจากเวที ชื่อของทหารสาวคนนั้นก็คือร้อยโท อาเรีย มิดฟอร์ด เธอเดินลงจากเวทีด้วยท่าทางสง่างาม หลังตรงหน้าเชิด “สุดยอดไปเลยโนะ ร้อยโทคนนั้นน่ะ” เบลล่า พูดขึ้นท่ามกลางเสียงปรบมือที่สนั่นหวั่นไหวจากผู้คนร่วม 4,000 คน ลอว์เรนซ์ที่ยืนข้างๆ เบลล่า ก็ยิ้มแล้วพูดเสริม “สุดยอดแน่นอนอยู่แล้ว รุ่นพี่คนนั้นน่ะเก่งที่สุดในรุ่นของเธอเลยนะ” “หลังจากที่รุ่นพี่มิดฟอร์ดเข้าทำการทดสอบแล้ว เธอก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งเดียวของรุ่นที่ได้สิทธิอันทรงเกรียรติ” “นั่นก็คือการไปเรียนวิชาทหารที่ฐาน Radamanthys และผลการเรียนของเธอที่นั่นก็ออกมาอยู่ในอันดับต้นๆ” “แถมยังเป็นทหารหญิงคนแรกที่ได้รับเลือกให้ไปศึกษาวิชาทหารที่ฐาน Radamanthys ตั้งแต่มีโครงการนี้ด้วยล่ะ”
“อิโถ่!! มันจะซักแค่ไหนกันเชี๊ยว...ก็แค่วิชาทหาร ยิงปืน ขับหุ่น ขับเครื่องบินเองไม่ใช่รึไง” ซีค พูดขึ้นด้วยใบหน้าหน่ายๆ ลอว์เรนซ์หรี่ตาลง เธอชะเง้อข้ามเบลล่าที่อยู่ด้านซ้ายมือของเธอไปตอบโต้กับซีค “นายน่ะเก่งนักรึไงถึงกล้าพูดแบบนั้นน่ะ” ซีคหันขวับมาด้วยใบหน้ากวนบาทา “ชั้นน่ะไม่อยากจะอวดหรอกนะ อย่าว่าแค่ขับนั่นโน่นนี่เล้ย ยิงเลเซอร์จากตาชั้นก็ทำได้เฟ้ย” มุมปากและคิ้วของลอว์เรนซ์กระตุกยิกๆ “คนนะไม่ใช้คลาก เคนส์ ที่จะยิงเลเซอร์ออกจากตาได้...ให้มันน้อยๆ หน่อยนายน่ะ!!” ซาเรียสที่ยืนอยู่ข้างลอว์เรนซ์เห็นท่าไม่ดี เขาจึงแตะไหล่ของลอว์เรนซ์เบาๆ “ลอว์ ดูนั่นสิ….ร้อยโทกำลังเดินมาทางนี้” เมื่อได้ยินที่ซาเรียสพูด ลอว์เรนซ์ก็เปลี่ยนสีหน้าแล้วหันกลับไปทางที่ซาเรียสบอกว่าอาเรียกำลังเดินมาหาทันที
สิ่งที่ลอว์เรนซ์เห็นคือ ฝูงคนมากมายในห้องประชุมหลีกทางให้ร้อยโทอาเรีย มิดฟอร์ดเดินผ่านเป็นทางตั้งแต่หน้าเวที เบลล่ามองความสง่างามของอาเรียจนแสดงความปลื้มออกมาทางแววตา และซีคก็เห็นแววตาที่กำลังหลงเสน่ห์นั้น ซีคจึงปิ๊งความคิดขึ้นมาในหัวทันที ดวงตาของเขาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความตื่นเต้นพลางคิดในใจว่า “ให้ตายซี๊ สงสัยจะต้องสมัครทหารเข้าจริงๆ ซะแล้วล่ะมั้งเนี่ย….นี่ถ้าชั้นได้ไปอยู่บนนั้น และเดินมาหาเธอตรงนี้….” “ในขณะที่พวกขี้แพ้นี่หลีกทางให้แบบนี้….โฮลี่ชsิท มันคงจะเป็นอะไรที่เท่ห์ขิงๆ เลยให้ตาย…เบลล่าจะต้องปลื้มชัวร์” “แถมดูจากอาการพวกทหารคลั่งลัทธิทั้งหลายแหล่ในนี้แล้ว...ดูท่ายัยรุ่นพี่นั่นคงเป็นบุคคลสำคัญมากๆ ซะด้วยสิ” “ดีล่ะ!! ถ้าชั้นทำได้แล้วล่ะก็!! ชั้นก็จะเป็นที่ยอมรับ เป็นบุคคลสำคัญของหน้าประวัติศาสตร์ไมนอสอย่างแน่นอน!!”
ซาเรียส เองก็เหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ของเสน่ห์สาวในเครื่องแบบเข้าแล้วเช่นกัน เขาจึงเอ่ยปากพูดกับลอว์เรนซ์ “รุ่นพี่คนนั้นท่าทางสง่างามจริงๆ ทหารทุกคนให้ความเคารพยำเกรงต่อเธอหมดเลย มิน่าล่ะ เธอถึงอยากเป็นทหาร” “ใช่...อุ๊ย...ไม่จริงน่า!! รุ่นพี่กำลังเดินมาหาชั้น” ลอว์เรนซ์ตอบและเธอก็ตื่นเต้นมาก ก่อนเธอได้ยินว่า “รุ่นพี่มาหาชั้นตะหากโว่ย” ซีคพูดทำลายจังหวะของลอว์เรนซ์ ก่อนจะเสริมด้วยว่า “ดูสายตาของรุ่นพี่ดีๆ สิลอว์เรนซ์ รุ่นพี่น่ะกำลังมองความหล่อของชั้นอยู่” ลอว์เรนซ์ เหมือนจะไม่เชื่อสิ่งที่ซีคพูดในครั้งแรก แต่เธอหันมองตามสายตาของอาเรีย เธอก็พบว่า อาเรียมองไปทางซีคจริงๆ
อาเรียเดินเข้ามาใกล้ซีคเรื่อยๆ จนในที่สุด อาเรีย มิดฟอร์ด ก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของซีค แล้วจ้องไปที่นัยน์ตาของซีค ซีคยิ้มมุมปาก เขาเหลือบไปมองเบลล่า ลอว์เรนซ์ และซาเรียส ด้วยสายตาขิงๆ “ร้อยโทมิดฟอร์ดมีธุระอะไรกับผมงั้นหรอครับ” “ผมชื่อซีค ฟาร์ชตัดท์ ผมเองก็ชื่นชมร้อยโทมากเลยนะครับ ร้อยโทนี่สุด….” แล้วเสียงหวานๆ ก็แทรกขึ้น “ขอทางหน่อยค่ะ” เพร๊ง!!! หน้าของซีคแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่กล้าหันไปมองเพื่อนทั้งสาม ในขณะที่ค่อยๆ ยุกยิกปลายเท้าหลีกข้างอย่างแนบเนียน อาเรียเดินผ่านไป แต่เธอเลยไปไม่ไกลก่อนหยุดที่… “เห้ย!! ไอ้เวรนั่นอีกแล้วเรอะ!!!” อาเรียไปหยุดที่ ธีโอดอร์ เดอลาครัวซ์
เมื่อร้อยโทอาเรีย มิดฟอร์ด เดินมาหยุดต่อหน้าธีโอดอร์ ข้างๆ เขามีเจนนี่ เวอร์ม่า และอีธาน สมิทธ์ ยืนรออยู่ด้วย “ไม่เจอกันนานนะธีโอ….คุณอาเป็นยังไงบ้าง” อาเรีย มิดฟอร์ด เป็นฝ่ายทักทายธีโอดอร์ก่อนด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง ธีโอดอร์ยิ้มแล้วก็ตอบกลับไป “คุณพ่อสบายดีครับพี่อาเรีย….เพิ่งมาถึงหรอครับ แล้วพี่อาเรียได้บอกคุณลุงแล้วรึยังครับ” อาเรียส่ายหน้า “ยังเลย เพิ่งมาถึงก่อนขึ้นเวทีได้ครู่เดียวเองน่ะ” แล้วเธอก็หันไปทางเจนนี่ก่อนจะยิ้มบางๆ “ว่าไงเจนนี่สบายดีนะ …. ขอบใจมากนะที่มาในวันนี้ ท่านนายพลเป็นยังไงบ้าง ช่วงหลังชั้นยุ่งมากไม่ได้คุยกับท่านเลย” เจนนี่พยักหน้า “สบายดีค่ะ คุณพ่อก็สบายดีค่ะ” แต่หลังจากที่ได้ยินอาเรียและธีโอดอร์คุยกัน เจนนี่ก็เกิดความสงสัย “ว่าแต่พี่อาเรียกับธีโอดอร์….?” เจนนี่ถามยังไม่จบ อาเรียก็ตอบทันที “เราเป็นญาติกันน่ะ...ธีโอเป็นลูกของคุณอาชั้นเอง”
“เราไปหาที่คุยกันเงียบๆ ดีกว่านะครับผมว่า” ธีโอดอร์ พูดขึ้นพร้อมกับมองไปทางซีคที่ยืนหรี่ตาอยู่ด้านหลังอาเรีย “อืม!! ก็ดีนะ …. เจนนี่ เธอก็มาด้วยกันสิ ชั้นมีเรื่องเล่าเยอะแยะเลยล่ะ” อาเรีย พูดขึ้นทำให้เจนนี่ ก็หันไปหาอีธาน อีธานก้มลงมองนาฬิกาดิจิตอลที่ข้อมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบเจนนี่ “เรายังพอมีเวลาเหลืออยู่ขอรับคุณหนู”
แล้วทั้ง 4 คนก็เดินออกจากหอประชุมไป
……………………………………....
ทางเดินออกจากฐานทัพ Minos
หลังจากที่ร้อยโทอาเรีย มิดฟอร์ดลงจากเวทีไม่นาน งานประชุมใหญ่เพื่อประกาศการรับสมัครนักเรียนทหารก็จบลง ลอว์เรนซ์ และซาเรียส ขอแยกกลับกันไปก่อน ลอว์เรนซ์บอกว่าเธอต้องการจะกลับไปฝึกฝนร่างกายเพื่อเข้าสอบ ส่วนซาเรียสก็ดูเหมือนจะจริงจังกับการสอบเข้าเรียนสายวิทยาศาสตร์และการวิจัยมาก เขาจึงรีบกลับไปอ่านหนังสือ ในขณะที่เบลล่าอยากพักผ่อนด้วยการเที่ยวเล่นก่อน เพราะเธออ่านหนังสือเตรียมเข้าสอบจบไป 2 รอบแล้ว แน่นอนว่าซีค ฟาร์ชตัดท์ อาสาเดินเป็นเพื่อนเบลล่า เขาอ้างว่าอยากเดินเล่นเหมือนกัน แต่จริงๆ ก็รู้กันอยู่ว่าเพราะอะไร
ระหว่างเดินออกจากเขตฐานทัพ เบลล่า หันไปมองซีค เธอก็เห็นท่าทางแปลกๆ ของซีคที่ชะเง้อไปมาซ้ายทีขวาที “หาอะไรอยู่อย่างนั้นหรอซีค” เบลล่าทักขึ้นทำเอาซีคสะดุ้งโหยงก่อนจะกลับมาตีเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ปล่าวซะหน่อย….ก็แค่สงสัยว่าคนที่มาวันนี้เยอะแค่ไหนกันน่ะ” ซีคพูดด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ขณะที่สายตาก็ยังล่อกแล่ก เบลล่าขมวดคิ้วเข้าหากัน “ไม่ใช่ว่ากำลังมองหาว่ารุ่นพี่มิดฟอร์ดกับธีโอดอร์ไปคุยอะไรกันที่ไหนหรอกหรอ” ซีคได้ยินอย่างนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นเกาหัวแล้วเปลี่ยนมายิ้มแหยๆ แทน “แหะๆ ก็คนมันสงสัยนี่นา...” “รุ่นพี่คนนั้นดูจะเป็นคนที่สำคัญมาก ชั้นกลัวหมอนั่นมันไปเป่าหูรุ่นพี่ทำให้ชั้นไม่ได้สิทธิไป Radamanthys น่ะ”
“ฮ๊ะฮ๊ะฮ๊ะฮ๊ะฮ๊ะ ทำไมเธอถึงได้คิดแบบนั้นนะ...ตายแล้วตลกจังเลย” เบลล่า หัวเราะร่าออกมา แล้วเธอก็พูดต่อไป “ธีโอน่ะเขาไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกนะซีค...เขาน่ะ เป็นคนที่มีความตั้งใจ มีความพยายาม และเชื่อมั่นในตัวเอง” “เขาจะไม่ยอมใช้วิธีสกปรกเพื่อเอาชนะหรอก เพราะถ้าทำแบบนั้นมันก็เหมือนเขากำลังดูถูกตัวเองอยู่ยังไงล่ะ” ซีคทำหน้าบูดๆ เล็กน้อย “ก็ใครจะไปรู้กันเล่า เธอเองก็เข้าข้างเจ้านั่นตลอด แถมชั้นก็ไม่ถูกกับเจ้านั่นด้วย” เบลล่าเอามือขวาปิดปากของเธอไว้ขณะที่เธอพยายามกลั้นขำจนสำเร็จ “จะว่าไปทำไมซีคอยากเป็นทหารล่ะ”
ซีคได้ยินเขาก็แอบดีใจที่เบลล่าถามขึ้น เพราะมันแปลว่าเบลล่าเองก็มีความอยากรู้และสนใจในตัวเขาอยู่บ้าง “ชั้นน่ะนะ….ไม่ได้สนว่าจะต้องเป็นอะไรหรืออยากเป็นอะไรหรอก…...แค่อยากทำในสิ่งที่มันยิ่งใหญ่..….” “ทำในสิ่งที่คนอื่นยอมรับว่าชั้นน่ะเจ๋งเป้ง เป็นคนมีคุณค่า เป็นคนที่ทุกคนเห็นว่าขาดไปจากประวัติศาสตร์ไม่ได้!!” “แล้วเท่าที่ดู จริงๆ การเป็นทหารมันก็ไม่เลวเหมือนกัน….ได้ขับ Ironsuit ทำหน้าที่ปกป้องทุกๆ คนในฐาน” “คอยคุ้มกันคณะสำรวจในการออกไปข้างนอกนั่น….ถ้าชั้นเป็นทหาร...บางทีต่อไปชั้นอาจจะได้ทำงานกับเธอ” “ตอนเธอออกไปสำรวจทำวิจัยข้างนอกโดมนั่น ชั้นก็อาจจะได้เป็นหน่วยคุ้มกัน คอยปกป้องเธอยังไงล่ะ...”
เบลล่าฟังสิ่งที่ซีคพูดออกมา เธอก็เริ่มเข้าใจเขาขึ้นมาบ้าง “ความฝันของซีคน่ะดีจังเลยนะ...” “สิ่งที่ซีคว่ามาน่ะ ฟังดูเหมือนอุดมการณ์ของพวกผู้ใหญ่เลยล่ะ….ชั้นเองก็มีความฝันอยู่เหมือนกันนะ” “ชั้นน่ะ อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างดาวดวงนี้ให้น่าอยู่เพื่อมนุษย์ทุกคน..” “ชั้นอยากให้ทุกๆ คนได้เห็นท้องฟ้าสีคราม สูดอากาศสดชื่นจากโลกภายนอก ไม่ใช่ของเทียมเหมือนทุกวันนี้” “และไหนจะพืชพรรณไม้ต่างๆ ที่สวยงามข้างนอกนั่นอีก….ว้า….แค่คิดถึงวันนั้นชั้นก็มีความสุขแล้วล่ะ”
ซีคเคลิบเคลิ้มระหว่างที่เบลล่านั้นกำลังพูดถึงความฝันของเธอ แต่เขาไม่ได้เคลิ้มคำพูดของเธอเลย สายตาของเขาจ้องมองใบหน้าอันสดใส ผิวขาวเนียนผ่อง ริมฝีปากชมพูอ่อน แก้มแดงระเรื่อของเธออยู่ต่างหาก “บรื่ออออออออ…..” ซีคสบัดหน้าตั้งสติ “ดีล่ะ...งั้นเรามาเป็นกำลังใจให้กันและกันนะเบลล่า” “อื้อ!!”
……………………………………...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 4, 2018 12:57:47 GMT
ร้านกาแฟร้านหนึ่งในฐานทัพ Minos
มันเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ใช้โต๊ะเก้าอี้ไม้ ตกแต่งด้วย Build-In ลายไม้ Style Vintage โบราณ มันเป็นร้านที่ค่อนข้างเงียบ แต่ก็มีลูกค้าแวะเข้ามาในร้านอยู่ไม่ขาดสาย ลูกค้าส่วนมากจะเป็นทหาร ที่โต๊ะมุมในสุด ธีโอดอร์นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับอีธาน ฝั่งตรงข้ามธีโอดอร์เป็นอาเรียที่เจนนี่นั่งอยู่ข้างๆ
ทั้งสี่นั่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่บริกรของร้านเป็นชายหนุ่มร่างกายใหญ่โต กล้ามเป็นมัด ผมสีดำยาวฟูจะเดินมา เขาวางถาดกาแฟลงสร้างความสนั่นหวั่นไหวให้กับโต๊ะ เรียกจุดโฟกัสของทั้งสี่คนได้ในวินาทีแรก “กาแฟที่สั่งไว้ได้แล้วครับผม” บริกรหนุ่มคนนั้นพูดก่อนจะค่อยๆ ก้าวถอยและเดินกลับไปที่เค้าเตอร์ ธีโอดอร์หมุนแก้วกาแฟสีขาว 1 รอบจนเห็น Logo ของร้านที่เขียนว่า Black Cat แล้วยกมันขึ้นมาจิบ
เมื่อเห็นธีโอดอร์จิบกาแฟ ทุกคนก็เริ่มจิบตาม ก่อนที่ธีโอดอร์จะวางแก้วลงและเริ่มเปิดบทสนทนา “ไปอยู่ที่นั่นเป็นไงบ้างครับพี่อาเรีย ลำบากมั้ยครับ แล้วที่นั่นแตกต่างจากที่นี่ตรงไหนบ้างหรอครับ” เมื่ออาเรียได้ยินคำถาม เธอก็วางแก้วลง “ถามว่าลำบากมั้ยหรอ….ก็มีบ้างนะ ที่นั่นน่ะไม่เหมือนที่นี่” “แค่เข้าไปวันแรก ทุกคนที่นั่นก็รู้ทันทีว่าเราไม่ใช่คนของ Radamanthys แล้วล่ะ แถมยังโดนเมินอีก”
“เอ๋!! รู้ทันทีขนาดนั้น แล้วเมินเราเลยอย่างนั้นหรอคะ” เจนนี่ ถามขึ้นด้วยความตกใจและแปลกใจ อาเรียพยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ...พวกเขาไม่ค่อยจะยอมรับคนจากฐานอื่นเสียเท่าไรนัก โดยเฉพาะจาก Minos” “ระหว่างการเรียน ชั้นเลยตัดสินใจว่าจะต้องแสดงศักยภาพออกมาให้พวกเขาได้เห็นกับตาพวกเขาเอง” “และชั้นก็รับรู้ได้เลยว่า ถ้าชั้นไม่มีศักยภาพมากพอ ชั้นก็จะถูกเมินต่อไป แต่โชคดีที่ความตั้งใจของชั้นไม่เสียเปล่า” “หลังจากที่พวกเขายอมรับในความสามารถของชั้น ชั้นก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น...พอได้รู้จักจริงๆ พวกเค้าก็ไม่ได้เลวร้าย” “แต่อยู่ที่นั่น อาจจะต้องปรับตัวให้มากหน่อย เพราะทุกอย่างมันดูเป็นระเบียบไปหมด ไอ้นั่นต้องเป๊ะไอ้นี่ต้องเป๊ะ”
อีธานเห็นว่าหลังจากที่อาเรียพูดจบไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา เขาจึงถามขึ้น “ขออภัยนะขอรับ ทหารที่นั่นเก่งมั้ยขอรับ” อาเรียเอียงคอแล้วยิ้มออกมา “พวกเขาเก่งมาก เรียกได้ว่าเก่งกันแทบทุกคนเลยล่ะ ไม่ว่าจะด้านไหนทุกคนล้วนโดดเด่น” เจนนี่อึ้งกับสิ่งทีไ่ด้ยินจนแทบจะกลืนกาแฟในปากไม่ลงคอ “หืม...ฟังดูกดดันแย่เลยนะคะเนี่ย ถ้าได้ไปที่นั่น” ธีโอดอร์มีสีหน้าที่สนใจขึ้นทันที “แล้วหลักสูตรการเรียนของที่นั่นล่ะครับ ยากกว่าที่นี่รึเปล่า พวกเขาสอนอะไรบ้าง”
อาเรียยกกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งก่อนจะเริ่มตอบ “หลักสูตรของที่นั่นน่ะคือของจริง ต่างจากที่นี่ลิบลับ เทียบกันไม่ได้เลย” “ก่อนชั้นได้สิทธิไปที่ Radamanthys ชั้นคิดมาตลอดว่ามันต้องเหมือนกันกับที่ Minos หรือไม่น่าจะต่างกันมากนัก” “แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ที่นั่นจะมีการฝึกภาคสนามของจริง นักเรียนทหารจะได้ออกไปปฏิบัติการจริงจนชำนาญ” “ไม่เหมือนกับที่นี่ซึ่งถึงแม้จะได้เรียนการขับ Ironsuit Jetfighter Battle Tank และการยิงปืน เหมือนๆ กัน” “แต่ที่นี่น่ะ ไม่ได้มีการฝึกภาคสนาม….นักเรียนทหารจะได้ปฏิบัติการจริงก็ต่อเมื่อได้บรรจุเข้าเป็นทหารแล้ว”
ธีโอดอร์ยิ้มอย่างพอใจ “น่าสนใจจริงๆ นะครับ ผมว่าผมคงจะต้องพยายามเพื่อคว้าสิทธินั้นมาให้ได้ซะแล้วสิ” เจนนี่นึกขึ้นได้จึงถามออกไปว่า “แล้วทุกปีฐาน Minos ของเราจะมีคนได้รับเลือกไปที่นั่นแค่ 1 คนอย่างนั้นหรอคะ” อาเรียส่ายหน้า “ไม่ใช่ทุกปีหรอกนะเจนนี่….บางปีก็ไม่มีใครได้ไป แต่ปีที่ได้ไปก็ไม่เคยได้ไปเกิน 1 คนเลย” อีธานเอามือขวาลูบคางของตัวเองด้วยสีหน้าสงสัย “แล้วสำหรับ Minos...ใครล่ะครับที่ได้ไปคนแรก”
อาเรียยิ้มก่อนจะตอบอีธานไปว่า “เขาคนนั้นก็คือพลอากาศตรี เรย์ แอนเดอร์สัน”
………………………………………
ห้องสมุดฐาน Aiacos ณ เวลาปัจจุบัน
“โห ทำไมถึงได้เหยียดพื้นเพกันได้ขนาดนี้ล่ะคะ….ทั้งๆ ที่เป็นมนุษย์ด้วยกันแท้ๆ” ฟองน้ำบ่นขึ้นอุบ เอริคยิ้มมุมปาก เขาเอ่ยปากถามฟองน้ำขึ้นโดยไม่ได้ละสายตาจากหนังสือของเขาว่า “แล้วเธอคิดว่าทำไมกันล่ะ”
ฟองน้ำหันมามองอิริค ก่อนเธอจะครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “อืม...ดิชั้นคิดว่าคงเป็นเพราะความแตกต่างอันสุดขั้วนะคะ” “Radamanthys เป็นฐานที่เต็มไปด้วยทหาร ส่วนมากจะปฏิบัติการด้วยการใช้กำลัง ส่วน Minos เป็นฐานที่ใช้สมอง” “คนของ Radamanthys คงมองว่าคนของ Minos เป็นพวกขี้ขลาด ใช้ความรู้เป็นข้ออ้างเพื่อไม่ต้องออกไปเสี่ยงชีวิต” “ในทางกลับกัน Minos ก็คงมองคนของ Radamanthys เป็นพวกป่าเถื่อน ใช้แต่กำลังในการแก้ปัญหาอย่างเดียว” “แต่จะว่าไป…มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่มนุษย์อยู่บนโลกเดิมแล้วนะคะ...มุมมองทหารและนักวิชาการน่ะ...”
เอริคพยักหน้า “ถือว่าวิเคราะห์ได้แม่นยำมากครับ มันเป็นอย่างที่เธอว่ามาจริงๆ คนของเราเองก็ถูกมองแบบนั้น” “สมัยก่อนฐาน Aiacos เองก็มีการส่งทหารไปเรียนวิชาทหารที่ Radamanthys แล้วก็ถูกมองเหยียดไม่ต่างกัน” “ใครเก่ง ก็จะเป็นที่ยอมรับ ใครไม่เก่งก็จะถูกปล่อยทิ้งให้เป็นส่วนเกิน...แต่มุมมองแบบนั้นมันหมดไปแล้วล่ะครับ” “หลังเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อนที่ฝูง Arachna เข้าโจมตีฐาน Radamanthys พวกเขาจึงเริ่มจะตระหนักขึ้นมาได้...” “ว่ากำลังอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถค้ำจุนความอยู่รอดของมนุษยชาติได้ พวกเขาต้องการความรู้ และการพัฒนาด้วย” “หลังจากนั้น แทนที่เราจะส่งทหารของเราไปปีละ 1 คน พวกเขาเสนอส่งทหารเก่งๆ มาฝึกให้พวกเราแทนเลยน่ะครับ”
ฟองน้ำยิ้มอย่างพอใจที่ได้ยินเอริคพูดเช่นนั้น “จริงค่ะ….ความแข็งแกร่งที่สุดของพวกเราคือความสามัคคี” “ตอนนี้ดิชั้นเข้าใจแล้วล่ะค่ะว่าทำไมทุกวันนี้กองกำลังของมนุษยชาติเราทั้งสามฐานถึงเข้มแข็งกว่าสมัยก่อนมาก” “ว่าแต่...คุณชื่ออะไรหรอคะ...คุยกันมาตั้งนานแล้ว ดิชั้นก็เสียมารยาทไม่ได้ถามชื่อคุณเลย ดิชั้นชื่อฟองน้ำนะคะ”
เอริคละสายตาจากหนังสือแล้วยิ้มให้ฟองน้ำก่อนจะพูดว่า “เรียกผมว่าเอริคก็ได้ครับหนูฟองน้ำ”
……………………………………….
ฐานทัพ Minos
และแล้ววันคัดเลือกทหารใหม่ก็มาถึง วัยรุ่นจำนวนมากมาเข้าแถมลงชื่อในการสมัครเข้าคัดเลือกเป็นทหาร โดยการทดสอบจะแบ่งเป็นการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย ทั้งวิ่ง วิดพื้น ซิดอั้พ ดึงข้อ จากนั้นจะเป็นของจริง นั่นก็คือ Ironsuit Simulation การทดสอบด้วยเครื่องจำลองการขับขี่ Ironsuit ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่หินที่สุด เพราะเป็นการทดสอบแบบ Battle Royale ระบบจะจำลองสนามรบให้ผู้เข้าทดสอบ 100 คนได้ต่อสู้กันเอง โดยผู้ที่อยู่รอด 5 คนสุดท้ายจะผ่านการทดสอบ และหากใครมีคะแนนสังหารเกิน 10 ก็จะผ่านการทดสอบเช่นกัน
ในการทดสอบครั้งนี้ พลตรีเรย์ แอนเดอร์สัน และร้อยโทอาเรีย มิดฟอร์ด เข้ามาชมด้วย การสอบดำเนินไปอย่างดุเดือด ส่วนมากผู้เข้าทดสอบจะผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ทำให้ต้องมาวัดกันที่ Battle Royale ด้วย Ironsuit ซึ่งส่วนมากจะผ่านการทดสอบเพียง 5 คนใน 1 รอบ
Simulator ทุกเครื่องจะจำลอง Ironsuit โดยกำหนดค่าให้เหมือนกันคือมีเพียงอาวุธปืนกลและอาวุธมีดดาบ ฉากการต่อสู้เป็นตัวเมือง เมื่อเริ่มผู้เข้าทดสอบจะถูก Random จุด Spawn Point และเริ่มต่อสู้กันได้ทันที เขตการสู้รบจะค่อยๆ บีบเข้าสู่ศูนย์กลางเรื่อยๆ เพื่อบีบให้ผู้เข้าทดสอบแสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่ หากใครอยู่นอกเขตการต่อสู้ ก็จะถือว่าแพ้ทันที พวกเขาจะไม่รู้ตำแหน่งของผู้เข้าทดสอบคนอื่น แต่จะเห็น Kill Feed ขึ้นที่หน้าจอ รวมไปถึงจำนวนผู้เข้าร่วมทดสอบที่เหลืออยู่ในสนามการทดสอบนั้น
พลตรีเรย์ แอนเดอร์สัน นั่งจิบกาแฟชิวๆ อยู่ในห้องสังเกตการณ์ “ดูเหมือนยังไม่มีคนเข้าตาเลยนะครับ” อาเรียที่ยืนมองจอภาพหลักซึ่งกำลังแสดงภาพสนามรบจำลองที่กำลังหาผู้ชนะในการทดสอบอยู่ เธอยิ้มบางๆ “ค่ะท่าน...ตอนนี้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกมา ยังไม่มีใครที่น่าจับตามองเลยแม้แต่คนเดียว” “แต่อีกไม่นานหรอกค่ะท่าน….ดิชั้นยืนยันได้ว่าท่านจะได้เห็นอะไรดีๆ อย่างแน่นอน” ระหว่างที่พูดนั้น สายตาของอาเรียก็จับจ้องไปที่แถวผู้เข้าร่วมทดสอบด้านล่าง ซึ่งมีธีโอดอร์ยืนรออยู่
....................................................
ด้านหลังแถว
เจนนี่ พา อีธาน เดินเข้ามาต่อท้าย ทั้งสองคนผ่านการทดสอบร่างกายและต้องมาคัดเลือกในกลุ่มนี้ด้วย เจนนี่มองซ้ายมองขวา ด้วยความสูงที่แทบจะเท่าผู้ชายแถมสูงกว่าผู้ชายบางคน ทำให้เธอไม่ต้องเขย่ง อีธานเห็นว่าเจนนี่ผู้เป็นนายกำลังมองหาใครบางคน เขาก็รู้ทันทีว่าเธอกำลังมองหาใครอยู่ “หมอนั่นอยู่ตรงนั้นขอครับคุณหนู” อีธานชี้ไปที่ด้านหน้าทางซ้าย ทำให้เจนนี่มองเห็นหลังของซีคอยู่ไรๆ
เจนนี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เค้าสมัครเป็นทหารจริงๆ ด้วยสินะ….อีธานว่าเค้าจะสอบผ่านมั้ย” อีธานกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “คุณหนูจะเอาคำตอบเวอร์ชั่นไหนดีขอครับ เวอร์ชั่นจริงใจ หรือเวอร์ชั่นตามใจ” เจนนี่ทำหน้าบูด เพราะรู้ว่าที่อีธานพูดหมายถึงอะไร เมื่อเห็นว่าเจนนี่ไม่ตอบอะไร อีธานจึงถามด้วยความสงสัย “กระผมขออนุญาตถามคุณหนูหน่อยได้มั้ยขอครับ….ทำไมคุณหนูถึงไปชอบคนไม่เอาไหนอย่างหมอนั่นล่ะขอครับ...”
เจนนี่ออกอาการตกใจหน้าแดงแต่เธอก็ไม่ปฏิเสธ “ก็เค้าดูจริงใจดีออก...อีธานดูไม่ออกหรอ….” “ถึงเขาจะพูดจาแบบนั้น เป็นคนแบบนั้น แต่ทุกอย่างที่เขาแสดงออกมา...มันออกมาจากใจเขาจริงๆ” อีธานฝืนยิ้มออกมา “เรื่องจริงใจกระผมคงไม่อาจเถียงได้...แต่เชื่อเถอะขอครับ เขาไม่คู่ควรกับคุณหนูหรอก” เจนนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ให้มันได้อย่างนี้สิ….อีธานเองก็ยังไม่เห็นดีเห็นงามกับชั้นด้วยอีกคนงั้นหรอ?”
ช่วงกลางแถว
ซีคกำลังบ่นพึมพำอยู่คนเดียว “สอดมือเข้าไป ไม่ๆๆๆ สอดขาเข้าไปก่อน แล้วค่อยสอดมือเข้าไป...” “จากนั้นก็…..” ซีคเกิดติดขัดในสิ่งที่เขาบ่น จนเสียงของลอว์เรนซ์ก็มาต่อให้ “จากนั้นก็รัดเข็มขัด” “เปิดสวิตท์การทำงานของเตาปฏิกรณ์หลัก เคลื่อนไหวเหมือนเป็นร่างกาย ปลายเท้าคือบูสเตอร์” “การบังคับจะมีดีเลย์ 0.3 วินาที จงเล็งให้เร็วยิงให้เร็ว มองเป้าหมายและคำนวณเผื่อล่วงหน้า”
มุมปากของซีคกระตุกยิกๆ “ใครจ้างให้เธอมาก่อกวนเวลาทำสมาธิของชั้นฟะยัยหัวเขียวเหม็นหืน!!” ลอว์เซน์เท้าเอวแล้วตอบกลับ “ไหนใครบอกขับหุ่นตั้งแต่ 7 ขวบ ไหงมานั่งท่องคู่มือบทที่ 1 อยู่ล่ะ” ซีคเถียงกลับไป “หนอย….ก็เพราะมันนานแล้ว ชั้นก็ลืมจำไม่ได้ ทวนนิดเดียวมันก็ปร๋อแล้วเฟ้ย” “อีกอย่างนะ ชั้นท่องไว้เป็นพิธี คู่มือน่ะไร้ระมากๆ บอกเลย ของแบบนี้มันอยู่ที่ Sense ล้วนๆ” ลอว์เรนซ์เบือนหน้าหนี “เชิญนายพูดต่อไปเถ๊อะ ชั้นว่านายจะต้องสอบตกเป็น 10 คนแรกแน่ๆ”
……………………………………….
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Aug 4, 2018 13:00:00 GMT
การทดสอบกำลังจะเริ่มขึ้น
ผู้เข้าทดสอบทุกคนได้เข้าประจำที่ในเครื่อง Simulator ที่มีหน้าตาเหมือนตู้เล่นเกมส์ทุกคนแล้ว ส่วนคนที่มาให้กำลังใจ ทางฐานทัพก็จัดห้องพิเศษให้นั่งชมผ่านจอภาพเหมือนโรงภาพยนตร์
เบลล่านั่งชมด้วยความตั้งอกตั้งใจ ซาเรียสที่นั่งข้างๆ จึงถามขึ้นว่า “เธอมาเชียร์ใครหรอเบลล่า” “อ๊ะ….อ๋อ….ก็มาเชียร์ทุกคนนั้นแหละ ธีโอ ซีค ลอว์เรนซ์ เจนนี่ อีธาน...ทุกคนเลย” เบลล่าตอบ ซาเรียสยิ้มออกมาเล็กน้อย “ทำไมถึงเอ่ยชื่อของธีโอดอร์ออกมาคนแรกล่ะเบลล่า ….ฮึ….” การแซะเล่นๆ ของซาเรียสก็ทำให้เบลล่ารวนได้เช่นกัน “ก็….ก็….อ๋อ...ก็ชื่อธีโอขึ้นมาคนแรกนี่นา” “แต่จะว่าไป….ถ้ามีเพื่อนเราไม่ผ่านการทดสอบขึ้นมา อนาคตพวกเขาจะทำอะไรต่อไปกันนะ”
ซาเรียสครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ถ้าเป็นธีโอน่ะคงสอบผ่านอยู่แล้ว ส่วนเจนนี่กับอีธานเองก็ไม่น่าเป็นห่วง” “ในกรณีที่ลอว์เรนซ์ไม่ผ่าน เธอก็คงสอบเข้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ไม่ยากน่ะนะ หนักใจก็แค่...” เมื่อฟังที่ซาเรียสพูดเบลล่าก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงใคร “ซีคน่ะหรอ...นั่นสินะ ถ้าเขาตกจะทำยังไงดี” ซาเรียสเบะปาก “ไม่รู้สินะ หมอนั่นไม่น่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ อาจจะต้องไปเป็นทหารเกณฑ์” “กรรมกรก่อสร้าง ทำงานบริการเป็นบ๋อย ทำงานรักษาความสะอาดขัดส้วม รึไม่ก็เก็บขยะน่ะ”
เบลล่ายิ้มแห้งๆ “แหะๆๆๆ มุมมองของนายต่ออนาคตของซีคนี่สดใสมากๆ เลยนะซาเรียส...”
……………………………………...
ในที่สุดการสู้รบใน Simlutator ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เจนนี่ และอีธาน ได้จุด Spawn Point แทบจะตรงกลางของแผนที่ ทำให้ไม่ต้องเคลื่อนที่ไปไหน ทั้งสองคนหาจุดยุทธศาสตร์ได้ดี เพราะได้รับการฝึกสอนมาจากนายพลผู้เป็นบิดาของเจนนี่ ทำให้ เจนนี่ และอีธาน เริ่มยิงเก็บแต้มเข้าใส่ผู้เข้าร่วมทดสอบที่พยายามบุกเข้ากลางวง
ในขณะที่ลอว์เรนซ์เอง เธอนั้นเคยฝึกเครื่อง Simulator มาก่อนแล้ว เพราะพ่อเธอหามาให้เล่น ทำให้การควบคุม Ironsuit ของเธอนั้นเป็นธรรมชาติมาก ความคล่องแคล่วจึงเหนือกว่าคนอื่นๆ แม้จะได้จุด Spawn Point ซึ่งอยู่ห่างจากกลางแผนที่ แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเธอเท่าไร ลอว์เรนซ์ ดิราเวน เริ่มยิงเก็บคะแนนพร้อมขยับเข้ากลางวงไปเรื่อยๆ อย่างไม่ยากเย็นนัก
ในทางกลับกัน
“โถ่เอ้ย!! ขัดใจชะมัด ทำไมมันช้าแบบนี้นะ….อ๋อ….ดีเลย์ 0.3 วิ โอเคร๊ ได้ เอาแบบนี้ก็ได้” ซีค กำลังบังคับหุ่นของเขาให้เข้าไปหลบหลังตึก การบังคับหุ่นของเขานั้นดูเก้ๆ กังๆ น่าอึดอัดมาก ในที่สุดเขาก็หลบมุมตึกได้สำเร็จ แล้วพยายามเล็งไปที่ Ironsuit ที่อีกมุมตึกซึ่งนักขับนั้นยังไม่เห็นซีค “โอเค ตั้งเป้าตรงแล้ว ต่อไปก็ยิงสินะ….ฮัดช่า!! เห้ย!!” …..ตึง!!..... แทนที่จะยิง เขาดันปล่อยปืนลงพื้น ทำให้ Ironsuit ซึ่งเขาน่าจะยิงเก็บคะแนนได้ง่ายๆ ตั้งแต่ Shot แรก หลบหลังกำแพงแล้วหายลับไป
Theodore Delacroix eliminated Clare Goodwill…!!
Theodore Delacroix eliminated Kristen Mia Lannister…!!
Theodore Delacroix eliminated Marry Sue…!!
Theodore Delacroix eliminated Colin Cyrus…!!
Theodore Delacroix eliminated Conner Aznable…!!
Theodore Delacroix eliminated Garry Stew…!!
Theodore Delacroix eliminated Lisa Rousseau…!!
Theodore Delacroix eliminated Nobi Nobita…!!
Theodore Delacroix eliminated Goblin Leader…!!
Theodore Delacroix eliminated Be Twenty…!!
Theodore Delacroix eliminated Ceptus Isoleucine…!!
Theodore Delacroix eliminated Zlota Judith Moran…!!
เหงื่อของซีคหยดลงสู่หน้าจอของเขา “นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย หมอนั่นมันเปิดโปรล็อคหัวรึยังไง ปุ่มรีพอร์ตอยู่ไหนฟะ” แต่แล้วซีคก็เห็น Ironsuit ตัวหนึ่งอยู่ต่อหน้าเขา และหันหลังให้โดยไม่ได้เล็งเขาอีกครั้ง “อ้าวได้ งี้ก็หวานเจี๊ยบ!!” เขาไม่รอช้าที่จะเล็งปืนไปที่ Ironsuit ตัวนั้น แต่ก่อนที่เขาจะยิง …..ตุม…...ตึง!!!.... Ironsuit ตัวนั้นก็ล้มลงต่อหน้าต่อตา
Theodore Delacroix eliminated Seiferia Winbeldon…!!
“ชิปหายแล้วโว้ยยยยยยย” ซีคอุทานขึ้นด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด เมื่อ Ironsuit ของธีโอดอร์กำลังมุ่งหน้าเข้ามา
つづく.
|
|