|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 15, 2016 3:20:11 GMT
EP3 : That's Why...
เวลาตกเย็นของวันรุ่งขึ้น
ดวงอาทิตย์สาดส่องสีส้มในช่วงที่มันกำลังจะลับขอบฟ้า ลมเย็นๆ พัดผ่านพาให้ผู้คนที่อยู่กลางแจ้งรู้สึกผ่อนคลาย บริเวณศาลเจ้าแห่งหนึ่ง เป็นวัดไม้โบราณบนเขา นอกตัวเมืองออกมาไม่ไกล มีรถตำรวจคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้า
มาซากิโยะ อายาโนะ นั่งลงที่ม้าหินโดยฝั่งตรงข้ามมี โยโซระ จิโดริ เซบัสเตียน และ ฮิเมะ นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ ไม่นานนัก ยูกิ ก็เดินถือถาดที่วางแก้วน้ำมาเสริฟครบทุกคน "ขอโทษด้วยนะคะ ที่บ้านหนูไม่ได้สะดวกสะบายนัก" มาซากิโยะ ยิ้มอย่างเอ็นดู "ไม่เป็นไรครับหนูยูกิ นั่งลงกับเพื่อนๆ สิครับ ชั้นจะได้เริ่มอธิบายทุกอย่างให้ฟัง"
"สิ่งแปลกๆ ที่พวกเธอเห็นบนไฮเวย์น่ะ มันเป็นอะไรที่อธิบายยาก แต่ชั้นจะพยายามอธิบายให้พวกเธอก็แล้วกัน" "ร่างกายของมนุษย์นั้นมีจุดกำเนิดพลังงานอยู่หลายอย่าง เช่น พลังงานไฟฟ้าอย่างที่หัวใจเต้น พลังงานความร้อนในร่างกาย" "พลังงานจลจากกล้ามเนื้อ แต่มันมีจุดพลังงานอีกอย่างที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ ว่ากันว่ามันถูกปิดตัวลงไปเมื่อนานมาแล้ว" "มันเป็นจุดพลังงานที่เรียกว่าจักระ ตระกูลของชั้นมีเอกสารหนังสือโบราณอยู่หลายอย่างที่กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้" "หากได้รับการฝึกปรือการใช้งาน ร่างกายก็สามารถสร้างจักระได้มากขึ้น และเพิ่มปริมาณสูงสุดของจักระที่เก็บไว้ได้" "ชั้นถูกฝึกให้ใช้งานจักระมาตั้งแต่อายุ 15 ซึ่งเป็นช่วงที่อวัยวะร่างกายของมนุษย์เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว" "จักระก็เช่นกัน ดังนั้น การฝึกฝนการใช้จักระ ควรเริ่มฝึกตั้งแต่ช่วงอายุ 15 เป็นต้นไป แต่ไม่เกินอายุที่ 20 ปี"
"แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถใช้จักระได้ มันต้องถูกกระตุ้นด้วยจักระไปยังแหล่งกำเนิด เพื่อปลุกมันขึ้นมาจากการหลับไหล" "เว้นแต่เฉพาะกับบางคน ก็สามารถปลุกพลังงานจักระขึ้นมาได้ด้วยตนเอง" มาซากิโยะ เหลือบไปมอง โยโซระ "เท่าที่อธิบายมานี้ ชั้นกำลังพยายามบอกพวกเธอว่า มันดูเหมือนสิ่งพิเศษ แต่ไม่ได้พิเศษมาก มันอยู่ในตัวของเรานี่แหละ" "พ่อของชั้นเป็นผู้สืบทอดเรื่องราวในอดีตจากปู่ ปู่ก็เป็นผู้สืบทอดจากปู่ทวด เราสืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆ อย่างไม่ขาดสาย" "ตระกูลของชั้นเป็นตระกูลเดียวที่มีการฝึกปรือและเรียนรู้วิธีการปลุกพลังเหล่านั้นขึ้นมาใช้ นั่นก็เพื่อไม่ให้มันหายไป" "ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ดี แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็น เผื่อสักวันมีคนนำพลังจักระนี้มาใช้ได้ แต่นำไปใช้ในทางที่เป็นอันตราย" "ผู้สืบทอดของตระกูลก็มีหน้าที่ที่จะใช้พลังที่ได้รับมาทำการแก้ไขให้ถูกต้อง....อันที่จริง ชั้นได้เคยให้สัตย์ปฏิญาณกับพ่อไว้" "นั่นคือชั้นจะไม่ใช้พลังนี้ให้ใครเห็น....แต่เมื่อวานมันเป็นเรื่องที่สุดวิสัย....ชั้นเลยอยากขอให้พวกเธอลืมเรื่องนี้ไปซะ"
เมื่อ มาซากิโยะ พูดจบ ผลตอบรับคือความตื่นเต้นของเด็กๆ ทุกคน มันแสดงออกมาชัดเจนผ่านดวงตาแวววาว จิโดริ ถามขึ้นทันทีว่า "ถ้าอย่างนั้นคุณตำรวจช่วยสอนชั้นหน่อยจะได้ไหมล่ะคะ ชั้นอยากมีพลังพิเศษแบบคุณบ้าง" ฮิเมะ ยิ้มบางๆ แล้วมองเพื่อนๆ ซ้ายทีขวาที "ดิชั้นเห็นด้วยกับ ชิราซากิจังนะ เพื่อนๆ ไม่อยากมีพลังพิเศษบ้างหรอ?" โยโซระ พยักหน้า "ผมก็อยากมีพลังพิเศษเหมือนกัน ผมน่ะ...ผมน่ะไม่อยากเห็นใครต้องถูกรังแก ผมอยากปกป้องพวกเขา"
มาซากิโยะ ส่ายหน้า "ไม่ได้ ชั้นไม่สอนพวกเธอหรอก เพราะพวกเธออาจกลายเป็นเป้าหมายของพวกคุโรฮิสึจิก็เป็นได้" เขาพูดไปโดยหวังว่าเด็กๆ จะนึกถึง อุชิฮะ ไรฮะ ที่กลายเป็นเป้าหมายของคนพวกนั้น ทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเลย "แล้วก็อีกอย่าง....ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถปลุกพลังจักระได้ทั้งหมด....สำหรับบางคนอาจไม่มีจุดกำเนิดจักระเหลือแล้วก็ได้" คำพูดของ มาซากิโยะ ทำให้เด็กๆ คอตก เซบัสเตียน หัวเราะขึ้นเบาๆ "คำพูดมากมาย ความหมายเหมือนเดิม คือไม่สอน" ฮิเมะ หันไปมองค้อน เซบัสเตียน "ถ้ารุ่นพี่ไม่อยากเรียนก็ไม่เห็นต้องพูดแบบนั้นเลยนี่คะ คนอื่นเขาจะพลอยอดไปด้วยพอดี" เซบัสเตียน เบะปาก "นี่ยังหวังว่าเขาจะสอนอยู่อีกเรอะไง....เย็นมากแล้ว ในเมื่อตกลงจะค้างกันที่นี่ ชั้นไปจองที่นอนก่อนนะ"
อายาโนะ นึกขึ้นมาได้จึงถามเด็กๆ ขึ้นว่า "นี่พวกเธอบอกพ่อแม่ไว้แล้วใช่ไหมว่าคืนวันนี้กับคืนวันเสาร์จะค้างที่นี่กันน่ะ?" เด็กทุกคนพยักหน้าในขณะที่ มาซากิโยะ ลุกแล้วเดินไปด้านหลังศาลเจ้า โยโซระ กำหมัดแน่น เขามองตามอย่างไม่พอใจนัก และท่าทีของ มาซากิโยะ ก็ดูเหมือนจะเศร้าๆ เพราะเขาได้ผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับคุณพ่อ และยังแก้ไขความผิดไม่ได้
โยโซระ บ่นขึ้นในใจว่า "ไม่ได้...ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ชั้นจะต้องได้พลังจักระนั้นมาให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม" "ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่ได้พลังจักรที่ว่านั่นมาล่ะก็ ชั้นคงปกป้อง ยูกิ จิโดริ พ่อ แม่ น้องสาว หรือใครก็ตามไม่ได้เลย"
..............................
บาร์แห่งหนึ่ง
เป็นบาร์ขายเครื่องดื่มมึนเมาที่บรรยากาศดูมืดมน ลูกค้าชายหญิงเข้ามาใช้บริการล้นหลานคนค่อนข้างแออัด มันเป็นช่วงตกเย็นของวันศุกร์สุดสัปดาห์ ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนก็อยากเที่ยวผ่อนคลายหาความสุขให้กับชีวิตกันบ้าง
ในมุมมืดซอกในสุดของร้าน เป็นเบาะโซฟาหันหน้าเข้าหากันที่ดูแล้วนั่งได้สบาย มีโต๊ะแก้วต่ำๆ วางตรงกลาง บนโต๊ะนั้นมีขวดเหล้าวางอยู่ 3 ขวด โดยสองขวดแรกนั้นหมดเกลี้ยงแล้ว อีกขวดยังเหลืออยู่ค่อนขวด มีแก้ววางอยู่สองใบ ชายสองคนนั่งมองหน้ากันด้วยสายตาที่เริ่มพร่ามัว เพราะพวกเขาสองคนดื่มเหล้าเข้าไปแล้วเป็นจำนวนมากกระทั่งเมามาย "สรุปว่านายโดนตำรวจหางแถวใช้พลังจักระโจมตีมาจนได้รับบาดเจ็บสินะ เซย์มิ" ชายผมสีขาวแววตาดุร้ายถามขึ้น เซย์มิ ชายหนุ่มทรงผมวัยรุ่นใช้นิ้วดันแว่นของตัวเองขึ้นเล็กน้อย "ตามนั้นแหละคุณซาโอะ...ถึงได้อยากมาคุยด้วยไง" ชายที่ชื่อ ซาโอะ หัวเราะด้วยความสะใจ "ถ้าเป็นชั้นแล้วล่ะก็ ไอ้ตำรวจกระจอกนั่นไม่ได้แม้แต่เตะต้องตัวชั้นหรอก"
ชายที่ชื่อ เซย์มิ ก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาเริ่มกัดเล็บตัวเองเบาๆ "ที่ผมอยากหารือไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก มันเป็นอีกเรื่อง" ซาโอะ หยุดหัวเราะเพราะสีหน้าของ เซย์มิ เปลี่ยนไป เขาจึงรอฟัง "คุณซาโอะคิดว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมันถูกต้องมั้ย" "การที่เราใช้พลังที่เราได้รับมาจากท่านผู้นำไปทำร้ายผู้คนบริสุทธิ์เพียงเพื่อคำพูดไม่กี่ประโยคที่ว่าจะเปลี่ยนโลกใหม่" "แรกๆ ผมก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทาย และผมจะได้มีโอกาสทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่ในขณะที่คนอื่นๆ ทำไม่ได้" "แต่พอมองแววตาคนที่ผมฆ่า ตอนที่เขารู้ตัวว่าเขากำลังจะตาย...ผมรู้สึกว่าที่ทำไปนั้นมันไม่มีความหมายอะไรเลย....." "มันไม่ได้ทำให้โลกนี้ดีขึ้นเลย มันไม่ได้ทำให้ชีวิตผมดีขึ้นเลย...ผมบาดเจ็บ ผมไปโรงพยาบาลก็ไม่ได้....." "ผมบาดเจ็บก็ไม่มีคนมาคอยดูแลหรือใส่ใจ....มันช่างโดดเดี่ยว....ไร้ค่า....ผมไม่รู้ว่าจะทำแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน"
ซาโอะ ยิ้มมุมปาก "ก็แกมันยังเด็ก จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอ แกไม่เคยผ่านอะไรที่มันโหดร้ายจนเกินทนมาก่อนยังไงล่ะ" "ชั้นจะบอกอะไรให้รู้ไว้นะ....การเป็นคนฆ่า เป็นคนลงมือทรมานน่ะ มันสนุกกว่าการโดนกระทำเยอะเป็นไหนๆ" "แกเลิกคิดเพ้อเจ้อแบบนี้ได้แล้ว ถ้าท่านผู้นำได้ยินเข้าล่ะก็ ศพแกไม่สวยแน่ แถมแกเมามากแล้ว ชั้นว่าเรากลับกันดีกว่า"
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 15, 2016 16:52:56 GMT
เวลาพลบค่ำ
หวังศาลเจ้าบนเขา มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน บรรยากาศเงียบเชียบ มีเสียงนกและเสียงแมลงดังขึ้นมาบ้างเป็นระรอก มันเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ เป็นไม้ยืนต้นที่ไม่ได้ขึ้นหนาแน่นมากนัก มาซากิโยะ มิโรซูมิ ยืนอยู่ที่นั่นคนเดียว เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า มันเป็นคืนที่มีเมฆหนาแน่นทำให้แสงจากวงจันทร์สอดส่องผ่านลงมาเป็นเส้นกระจัดกระจาย
"ผมควรทำอย่างไรดีครับคุณพ่อ...เมื่อศัตรูที่ฆ่าคุณพ่อคุณแม่ คุณลุงคุณป้า และพรากมิซึฮะ ไป มาอยู่ต่อหน้าผม" "แต่ผมกลับไร้ความสามารถ ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะช่วยมิซึฮะไว้ไม่ได้แล้ว ผมก็ไม่รู้เธอไปอยู่ที่ไหนอีก" "และวันนี้ผมยังผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับคุณพ่ออีกด้วย....ผมมันแย่มากเลยใช่ไหมครับ" น้ำตาของเขาเริ่มเอ่อซึมเล็กน้อย และในขณะนั้นเขาก็รับรู้ได้ว่ามีคนคนหนึ่งเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังเขา "มีอะไรอย่างนั้นหรอ โยโซระคุง....."
มาซากิโยะ พูดจบก็หันกลับมาหา โยโซระ "เธอคงไม่ได้คิดจะมาตื้อให้ชั้นปลุกจักระและสอนวิธีใช้มันหรอกนะ" โยโซระ ขมวดคิ้ว เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "ผมขอโทษด้วยนะครับ ที่ผมมาก็เพราะจะมาขอร้องคุณตำรวจเรื่องนั้นแหละครับ" "เฮ้อ" มาซากิโยะ ถอนหายใจ เขามองเมินหน้าของ โยโซระ ไปทางอื่นแบบไม่แยแส "ชั้นบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ กลับไปนอนซะ" "ผมไม่ไปไหนเด็ดขาด ถ้าคุณยืนยันที่จะไม่สอน ผมจะขอสู้ตายกับคุณ ถึงจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกผมก็ยอม" โยโซระ พูดเสียงแข็ง "อย่าพูดให้ชั้นขำไปหน่อยเลยเด็กน้อย เรื่องที่เธอขอน่ะ ถ้ามันดีต่อตัวเธอ ชั้นก็คงสอนให้เธอไปแล้ว" มาซากิโยะ ตอบกลับ เมื่อจบประโยคกลับมีแต่ความเงียบงัน มาซากิโยะ เงียบเพราะต้องการให้ โยโซระ ถอดใจและเดินกลับไป ในขณะที่ โยโซระ เงียบ เพราะเขาต้องการแสดงความมุ่งมั่นให้ มาซากิโยะ เห็นว่าที่เขาพูดนั้นไม่ใช่แค่พูดเพื่อเอามัน
เมื่อ มาซากิโยะ เห็นว่าความเงียบไม่ได้ผล และเขารับรู้ถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของ โยโซระ ประกอบกับอีกเหตุผลหนึ่ง คือ เขามั่นใจมากว่าสิ่งที่เขาเห็นในขณะที่ โยโซระ กระโจนเข้ามาชกใส่ลำตัวของสมาชิกคุโรฮิซึกิ มันคือหมัดจักระ เขาจึงถามขึ้นว่า "ถ้าเธอยังยืนกรานอยากจะเรียนรู้วิธีการใช้จักระ ชั้นขอถามเธอหน่อยว่า เหตุผลอะไรที่ชั้นควรจะสอนเธอ"
โยโซระ ตอบกลับอย่างไม่ลังเล "เพราะที่ผ่านมาผมไม่ต้องการเห็นใครต้องถูกรังแก ผมไม่อยากเห็นใครต้องเจ็บปวด" "แต่ตัวผมเองไม่สามารถทำอะไรได้เลยสักอย่าง เป็นเพียงแค่ลูกไล่ที่ถูกนักเรียนรุ่นพี่รังแก ถูกข่มเหง ถูกนักเลงรุมทำร้าย" "ทุกๆ ครั้งผมเอาแต่วิ่งหนี ผมไม่สามารถปกป้องใครได้เลยแม้แต่ตัวเอง ทุกครั้งที่ผมออกตัวปกป้องใครผมก็กลายเป็นแค่ตัวตลก" มาซากิโยะ เริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาเกือบจะลืมไปแล้ว นั่นคือ ความพยายามปกป้อง ยูกิ แม้ โยโซระ ทำได้แค่เป็นกระสอบทราย โยโซระ ก็พูดต่อไปอีกว่า "หลายครั้งที่ผมถอดใจ ไม่คิดจะช่วยเหลือใคร คิดถึงแต่ตัวเอง แต่พอเห็นใครลำบาก ผมก็ทนไม่ได้ทุกครั้ง" "แม้ว่าจะห้ามใจเท่าไร เตือนตัวเองเท่าไร ว่าตัวผมมันก็แค่ตัวตลก ทำอะไรมันก็ไร้ความหมาย แต่ร่างกายมันก็ก้าวออกไปเองทุกครั้ง" คราวนี้ มาซากิโยะ เริ่มเข้าใจว่าทำไมเด็กที่เป็นได้แค่กระสอบทราย กล้าพอที่จะเข้าเผชิญอันตรายถึงชีวิตเพียงเพื่อช่วยเหลือเขา
"ที่สำคัญตอนนี้ คุณก็พูดเองว่า พลังนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น เมื่อสักวันมีคนนำพลังนี้มาใช้ได้ และใช้ในทางที่เป็นอันตราย" "และตอนนี้มันก็เป็นไปแล้วไม่ใช่หรอครับ...ถ้าผมไม่มีพลังนี้ คนอย่างผมจะปกป้องใครได้...คงต้องมองเพื่อนถูกทำร้ายใช่มั้ยครับ" เสียงสุดท้ายที่ โยโซระ พูดออกมา มันเป็นเสียงของคนที่กำลังจะร้องไห้ มาซากิโยะ ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วหันกลับมา
"ล้อเล่นน่า" ดวงตาของ มาซากิโยะ เบิกโพลง เมื่อเขาเห็น ดวงตาของ โยโซระ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาซึ่งกำลังไหลพราก มันเรืองแสงสีแดงเลือดนก มีวงแหวนสีดำรอบตาดำ มีรอยรูปหยดน้ำสีดำ 2 หยด ปรากฏขึ้น "เนตรวงแหวนงั้นหรอ" เขาคิดในใจ นอกจากเนตรวงแหวนแล้ว มาซากิโยะ รับรู้ได้ถึงจักระมหาศาลที่แผ่พุ่งออกมาทั่วร่างของเด็กนักเรียนหนุ่มคนนี้ "เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงสามารถเบิกเนตรวงแหวนได้" มาซากิโยะ คิด เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง เมื่อหลายเหตุผลประกอบเข้าด้วยกัน มาซากิโยะ จึงตัดสินใจพูดออกไปว่า "ก็ได้....ชั้นยอมแพ้แล้ว....ชั้นจะสอนเธอ...."
"ขอบคุณมากครับ" โยโซระ ตอบด้วยน้ำเสียงปลาบปลื่ม ดวงตาของเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ทำให้ มาซากิโยะ แอบโล่งใจนิดๆ จากนั้น จิโดริ ยูกิ เซบัสเตียน ฮิเมะ และ อายาโนะ ก็เดินเข้ามาด้านหลัง โยโซระ ด้วยใบหน้ามีความสุขที่ได้ยินคำตอบของ มาซากิโยะ
มาซากิโยะ ทำหน้าบูด คอตก "นี่ชั้นคงต้องสอนพวกเธอทั้งหมดด้วยสินะ....ให้ตายสิโว้ย!! ทำไมวันนี้มันเฮงซวยจังวะ!!!!!!!!"
..............................
เช้าวันรุ่งขึ้น
ณ ศาลเจ้า เป็นช่วงเช้าอันสดใจ อากาศเย็นสบาย โยโซระ จิโดริ ยูกิ ฮิเมะ และเซบัสเตียน มายืนรอที่ลานโล่งแต่เช้า ในที่สุด มาซากิโยะ ก็เดินตามออกมาพร้อมกับ อายาโนะ พวกเขาพร้อมที่จะเริ่มขั้นแรกในการเรียนรู้เรื่องจักระแล้ว
อายาโนะ เองก็เดินเข้าไปรวมกับกลุ่มเด็ก แต่หางคิ้วของ มาซากิโยะ กระดกขึ้นรัวๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยวอย่างรุนแรง "ออกมานี่เลยยัยเบื้อก ใครใช้ให้เธอเข้าไปร่วมวงกับเค้ากันล่ะฮะ!! มาซากิโยะ พูดขึ้นด้วยมุมปากที่กระตุกๆ อายาโนะ ทำหน้าบูด แล้วเดินบิดๆ กลับเข้ามายืนข้างๆ มาซากิโยะ ตามเดิม "ใจร้ายชะมัด ก็เค้าอยากเรียนด้วยนี่" สายตาของ มาซากิโยะ แสดงถึงความหน่าย "ก็บอกอยู่เมื่อวานว่าคนที่เรียนได้ต้องอายุตั้งแต่ 15 - 20 ช่วงกำลังโต" อายาโนะ ทำหน้าสลด "ก็เค้ายังเด็กอยู่นี่นา" มาซากิโยะ จึงจะโกนหัวโตกลับไปว่า "เด็กกะผีอะไรกันเล่า!!"
มาซากิโยะ เห็นทุกคนพร้อมแล้ว เขาจึงสั่งให้ทุกคนแบมือข้างถนัดออกมา จากนั้นก็เอาเมล็ดถั่วเขียววางไว้บนมือคนละเม็ด เมื่อเขาแจกเมล็ดถั่วเขียวครบทุกคนแล้ว ก็เริ่มพูดขึ้น "จักระ เป็นพลังงานหนึ่งซึ่งร่างกายของมนุษย์สามารถนำมาใช้งานได้" "ในรูปแบบทั่วไป มันจะทำให้ร่างกายส่วนที่ผู้ใช้ส่งจักระไปสถิตไว้ มีความแข็งแกร่งและทรงพลานุภาพหลายเท่าตัว" "ถ้าส่งมันไปที่แขน ก็จะเพิ่มกำลังแขน ส่งไปที่ขาก็เพิ่มกำลังขา และในอีกแง่มุมหนึ่ง มันทำให้ส่วนนั้นแข็งแกร่งขึ้นด้วย" "สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพของอวัยวะส่วนนั้นแล้ว มันยังเพิ่มความแข็งแกร่งไปด้วยในตัว"
"แต่การใช้งานที่แท้จริงของจักระ คือการแปลงสภาพของจักระให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ คล้ายกับเวทย์มนต์ในนิยายปรัมปรา" "ความสามารถในการแปรสภาพจักระของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับธาตุของคนคนนั้น และสายเลือดที่สืบทอดกันมา" "ในจดหมายเหตุประจำตระกูลชั้นบอกไว้ว่า ในอดีตมีหลายตระกูลจากทั่วทุกสารทิศ ใช้จักระในรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง" "ชั้นไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเธอคนใด ควรศึกษาการแปรสภาพจักระเป็นพลังอะไร ดังนั้น ชั้นจึงใช้เมล็ดถั่วเขียวเป็นตัวช่วย" "เมื่อชั้นเปิดจุดจักระให้พวกเธอทุกคน จงมองดูเมล็ดถั่วเขียวในมือของตัวเองให้ดี พวกเธอจะเข้าใจพลังของตนที่ตื่นขึ้นมาได้เอง" "เอาล่ะนะ" เมื่อพูดจบ มาซากิโยะ ก็เดินวนมาอยู่หลังเด็กทั้ง 5 ซึ่งยืนเป็นรูปครึ่งวงกลมพอดิบพอดี เขาหลับตาแล้วตั้งสมาธิ
".....เนตรสีขาว......" มาซากิโยะ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว เส้นเลือดจำนวนมากปูดขึ้นรอบหางตาของเขา วิสัยทัศน์ของเขาเบิกกว้าง เขาเพ่งไปที่จุดชีพจรในร่างเด็กแต่ละคนเพื่อหาจุดกำเนิดจักระ แล้วใช้นิ้วจิ้มเข้าไปทีละคนทีละคน
เมล็ดถั่วเขียวที่อยู่ในมือ จิโดริ มันเริ่มงอกและเติบโตขึ้นเป็นต้นถั่วเขียวอย่างรวดเร็วจนเธอตกใจ เมล็ดถั่วเขียวที่อยู่ในมือ ยูกิ เปิดออก มันแผ่ออกเหมือนถูกฉีกและกางออกเป็นแผ่นบางๆ เมล็ดถั่วเขียวที่อยู่ในมือ ฮิเมะ หายไปแต่กลับมีเมล็ดถั่วเหลืองมาอยู่แทนที่อย่างน่าประหลาด เมล็ดถั่วเขียวที่อยู่ในมือ เซบัสเตียน เริ่มซีด มันเริ่มมีรอยไหม้ จากนั้นมันก็ลุกเป็นไฟจนเหลือแต่เถ้าถ่าน และเมล็ดถั่วเขียวที่อยู่ในมือ โยโซระ กลับไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย เขาเลยรู้สึกใจคอไม่ดีนัก สิ่งที่แสดงออกมามากน้่อยนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณจักรที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยการกระตุ้นจุดกำเนิดจักระของ มาซากิโยะ
มาซากิโยะ พาเด็กทั้ง 5 คน กลับเข้าไปในตัวศาลเจ้า "เอาล่ะนี่คือตำราวิธีการแปรสภาพจักระที่เหมาะกับแต่ละคน" เขาแจกจ่ายตำราให้เด็กแต่ละคน จิโดริ ได้ตำราคาถาไม้ ยูกิ ได้ตำราคาถาผนึก ฮิเมะ ได้ตำราคาถาอัญเชิญ เซบัสเตียน ได้ตำราคาถาไฟ แต่เมื่อ มาซากิโยะ เดินมาหยุดต่อหน้า โยโซระ เขากลับยังไม่มอบตำราอะไรให้ โยโซระ "อะไรหรอครับ....ผมไม่มีตำราอะไรเลยงั้นหรอครับ" โยโซระ ถามขึ้นด้วยความสงสัย สีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก มาซากิโยะ ส่ายหน้าเบาๆ "ไม่หรอก เธอน่าจะฝึกได้ทุกคาถา แต่เริ่มจากคาถาสายฟ้าไปก่อนก็แล้วกัน" เมื่อพูดจบ มาซากิโยะ ก็เลือกตำราคาถาสายฟ้ามอบให้ โยโซระ เขารับมันมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ
เด็กทุกคนเริ่มเปิดตำราที่ได้รับขึ้นอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ผิดกับการเปิดหนังสือเรียนขึ้นมาอ่านลิบลับ
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 15, 2016 16:53:01 GMT
ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
มันเป็นห้องมืด ดูเหมือนชั้นใต้ดิน มีเพียงโต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัววางระเกะระกะ หากเดาคงต้องเดาว่าอยู่ใต้ดินอย่างแน่นอน ไอริส นั่งอยู่ที่โต๊ะ เธอมีตะเกียงเป็นอุปกรณ์ส่องสว่างเพื่อนั่งมองดูเนตรวงแหวน 2 ดวง ในหลอดแช่เย็นที่ทำจากแก้ว
ท่ามกลางความเงียบ ชายชุดคลุมสีดำสวมหน้ากากคนหนึ่งก็เดินลงมาจากบันไดด้านหลังของ ไอริส "มัวทำอะไรอยู่อย่างนั้นหรอ ไอริส ได้เนตรวงแหวนของเด็กนั่นมาแล้วไม่คิดจะนำไปให้ท่านผู้นำงั้นหรอ" ชายคนนั้นถาม ไอริส เหลือบตาผ่านรูหน้ากากกลับไปมอง "มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรอ Marionette คิดว่าชั้นจะทำอะไรอย่างนั้นหรอ" ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่า Marionette จึงตอบกลับว่า "ก็ไม่รู้สินะ บางทีชั้นก็คิดว่าเธออาจจะแอบเอามันไปทำลายทิ้งล่ะมั้ง" "ว่าแต่นั้นใช่เนตรวงแหวนของน้องชายเธอรึเปล่าล่ะ ไอริส" Marionette ถามขึ้นด้วยน้่ำเสียงที่บ่งบอกถึงการจงใจหาเรื่อง นัยน์ตาของ ไอริส เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอตอบกลับด้วยความเกรี้ยวกราดทันที "เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของนาย อย่าแส่จะดีกว่า"
Marionette ยิ้มมุมปาก "ยังเจ้าอารมณ์เหมือนเดิมเลยนะ เวลาพูดถึงน้องชายที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงขึ้นมา" "อย่าคิดนะว่าชั้นไม่รู้ เธอมันไว้ใจไม่ได้ เพราะในบรรดาสมาชิกของคุโรฮิซึจิ เธอเป็นคนเดียวที่เข้าร่วมอย่างไม่เต็มใจ" ไอริส ลุกขึ้น เธอเดินผ่านเขาไปแบบทำเป็นไม่สนใจ Marionette จึงทิ้งท้ายไปว่า "ส่งให้ถึงท่านผู้นำล่ะ...ไอริส"
เมื่อ ไอริส เดินลับขึ้นไปบนบันได Marionette ก็ค่อยๆ ยกฮู้ดออก แล้วถอดหน้ากากของเขาออกมา แสดงใบหน้าของชายหนุ่มหน้าตาดุดัน ผมเรียบเป็นทรง เส้นผมสีดำ คางแหลม ดวงตาเจ้าเล่ห์ รูปร่างสมส่วน เขาชี้นิ้วไปที่ตะเกียงบนโต๊ะห่างออกไปหลายเมตร ก่อนจะกระตุกนิ้วทำให้ตะเกียงลอยเข้ามาหามือเขาอย่างรวดเร็ว
"หมากนี้จะเดินยังไงต่อไปดีล่ะ ไอริส ช่างน่าตื่นเต้นซะจริงๆ" เขาพูดขึ้นขนาดชมความงามของไฟในตะเกียง
..............................
สองวันต่อมา
เด็กทั้ง 5 คนใช้เวลาทั้งวันเสาร์ และวันอาทิตย์ อ่านตำราคาถาที่ได้รับ แล้วทดลองใช้อย่างตั้งอกตั้งใจและมุ่งมั่น เซบัสเตียน ฝึกซ้อมถึงขั้นที่สามารถพ่นลูกไฟขนาดลูกฟุตบอลออกมาได้ไกลถึง 25 เมตร เขาทำได้ดีที่สุด ในขณะที่ จิโดริ ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เธอเริ่มที่จะควมคุมกิ่งไม้เล็กๆ ให้งอกงามอย่างรวดเร็วไปตามที่ใจเธอต้องการ แต่ทาง ยูกิ และ ฮิเมะ ยังทำได้ไม่ดีนัก เธอยังคงต้องฝึกฝนกับเมล็ดถั่วเขียวซึ่งเป็นบทเรียนเริ่มแรกอยู่เช่นเคย
ในขณะที่ โยโซระ กลับกลายเป็นคนที่ทำได้แย่ที่สุด เขายังไม่สามารถทำอะไรกับเมล็ดถั่วเขียวได้แม้แต่น้อย ทั้งที่อ่านตำราคาถาสายฟ้าไปครบถึง 3 รอบทั้งเล่มแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อ เขาฝึกซ้อมจนลืมเวลาเลยทีเดียว ในที่สุดก็หมดเวลาช่วงสุดสัปดาห์ มาซากิโยะ และ อายาโนะ ก็ขับรถผ่านการจราจรที่วุ่นวายไปส่งเด็กๆ ในช่วงเย็น ระบบสัญญาณไฟจราจรใช้การไม่ได้ ทำให้ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุมากมาย ต้องใช้ตำรวจจราจรมาโบกรถทุกแยก
แต่ในที่สุดพวกเขาก็ส่งเด็กคนสุดท้ายถึงหน้าบ้าน เขาคือ โยโซระ ซึ่งมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยมากที่สุดและด้อยพัฒนาที่สุด ก่อนที่ โยโซระ จะเข้าบ้าน มาซากิโยะ ตะโกนออกไปว่า "ตั้งใจเข้านะ ชั้นอุส่าห์ใจอ่อนสอนให้แล้วทั้งที อย่าเพิ่งย่อท้อล่ะ" ดวงตาของ โยโซระ ที่ดูล้าๆ ก็กลับมาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาพูดอย่างมั่นใจ "แน่นอนครับ คอยดูได้เลยคุณตำรวจ"
จากนั้น มาซากิโยะ ก็เริ่มออกรถ
"ตอนแรกชั้นว่าจะถามเธออยู่นะ ว่าตอนเห็นชั้นใช้กระสุนวงจักรบนไฮเวย์ ทำไมเธอไม่มีทีท่าตกใจเลย" มาซากิโยะ ถามขึ้น "เอ่อคือว่า...." อายาโนะ มีท่าทีเขินอายไม่กล้าตอบ มาซากิโยะ จึงเหล่มองด้วยหางตา "อย่าบอกนะว่าแอบดูตั้งแต่ที่ สน. แล้วน่ะ" คำพูดของ มาซากิโยะ ทำให้ อายาโนะ ยิ้มแหยๆ "แหะแหะ ก็มันอดไม่ได้นี่คะรุ่นพี่...จะไม่ดูได้ไง จู่ๆ บอกให้หลับตาแป๊ปนึง"
มาซากิโยะ ยิ้มๆ "นั่นสินะ...แต่เท่าที่ดูแล้ว การที่เธอแอบดูแล้วไม่พูดอะไร มันก็ทำให้ชั้นรู้ทันทีว่าเธอเป็นคนที่ไว้ใจได้เสมอ" "จะว่าไป...เธอก็คงอยากรู้นานแล้วว่าชั้นกับ ไอริส รู้จักกันได้ยังไง ทำไมชั้นถึงอยากฆ่าหล่อนนัก ชั้นก็จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน" "ชั้นน่ะเสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุตอนอายุได้ 16 ปี จากนั้นคุณลุงกับคุณป้าก็รับเลี้ยงชั้นเอาไว้ ท่านมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง" "เธอชื่อว่า มิซึฮะ เราสนิทกันมาก สนิทกันชนิดที่เรียกว่าเหมือนพี่น้องแท้ๆ เลยก็ว่าได้ จนเมื่อวันที่ชั้นได้บรรจุเป็นตำรวจ"
"ชั้นกลับมาที่บ้าน.....ประตูถูกเปิดอ้าไว้ เมื่อชั้นเข้าไป ก็พบว่าคุณลุงกับคุณป้าถูกฆ่าตาย พวกท่านถูกแช่แข็งจนตาย" "ชั้นตกใจมาก ชั้นพบว่าตำราคาถาที่พ่อทิ้งไว้ให้ชั้นจำนวนมากถูกขโมยไป มีรอยเท้าเดินออกไปทางหลังบ้าน" "ชั้นรวบรวมสติวิ่งตามไปอย่างสุดฝีเท้า แน่นอน ชั้นวิ่งได้เร็วมากจนตามคนร้ายทัน....มิซึฮะ อยู่กับคนร้ายคนนั้น" "ชั้นตะโกนเรียกเธอ แต่เธอกลับไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามองชั้นเลย คนร้ายมาเพียงแค่คนเดียว มันลักพาตัว มิซึฮะ" "ชั้นเริ่มที่จะใช้คาถาเพื่อทำการต่อสู้ชิงเธอคืนมา แต่แล้ว....ชั้นกลับถูกเล่นงานจนหมดสติ ชั้นแพ้กลับมาไม่เป็นท่า" "ชั้นสูญเสียทุกสิ่งที่มี จิตใจแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี เหมือนร่างไร้วิญญาณ ความเศร้าเกาะกินจิตใจชั้นอยู่นานหลายเดือน" "พอชั้นตั้งสติได้ ก็เริ่มความเป็นตำรวจสืบเสาะหาข้อมูลของพวกมันมาโดยตลอด จนรู้ว่าคนที่มาขวางชั้นในวันนั้น"
"ก็คือ ไอริส ใช่รึเปล่า" อายาโนะ ถามแทรกขึ้น มาซากิโยะ พยักหน้า อายาโนะ จึงถามต่อไป "แล้วเรื่องเด็กๆ ล่ะจะเอายังไง" มาซากิโยะ ขมวดคิ้ว "ชั้นไม่ปล่อยให้ตำรวจใช้พวกเด็กๆ เป็นเครื่องมืออย่างแน่นอน ชั้นกับเด็กๆ จะสู้ด้วยวิธีของเราเอง"
"ชั้นตั้งใจแล้วว่าจะต้องดูแลเด็กๆ พวกนี้ให้ดี เธอเองก็จะช่วยชั้นดูแลพวกเขาเหมือนกันใช่มั้ย อายาโนะ...."
To be continued...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 16, 2016 17:46:53 GMT
EP4 : Change
เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์
หลังจากเหตุการณ์บุกทำลายระบบการจราจรของกรุงโตเกียว กลุ่มคุโรฮิซึจิ ก็ยังก่อวินาศกรรมอยู่อย่างต่อเนื่องทุกค่ำคืน แต่เป็นการก่อวินาศกรรมที่มีลักษณะทั่วไป ไม่พบร่องรอยของพลังลึกลับที่เรียกว่าจักระ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังมีเบาะแสไม่มาก จากหลักฐานที่มีเป็นการยืนยันได้ว่า กลุ่มคุโรฮิซึจิ มีผู้ร่วมอุดมการณ์จำนวนหลักพัน พวกเขามีเจตนาในการสร้างความปั่นป่วน ทางกรมตำรวจได้จัfตั้งกองกำลังพิเศษในการรับมือกับคุโรฮิซึจิ โดยคัดเลือกหน่วย SWAT ที่ดีที่สุดของประเทศมารวมตัวไว้ ในขณะที่มาตรการในการแก้ไขปัญหาจราจรคือใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรประจำตามแยกต่างๆ และยกเลิกระบบรถไฟชั่วคราว
จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้โรงเรียนที่อยู่กรุงโตเกียวทุกแห่งประกาศงดการศึกษาเป็นการชั่วคราว ข้อมูลที่ประชาชนทั่วๆ ไปได้รับเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดมาจากการแถลงข่าวของ ริวงะ จินได รองนายกเทศมนตรี เขาแถลงว่าเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งหมดเป็นการก่อการร้ายโดยกลุ่มคนไม่ทราบงฝ่าย แถมยังมีการใช้อาวุธที่ทันสมัยมาก ส่วนเด็กๆ ทั้งห้าคน พยายามชักชวนให้ครอบครัวของตนย้ายออกจากตัวเมือง แต่ดูเหมือนเขาไม่สามารถบอกความจริงออกไป เด็กๆ จึงบอกกับที่บ้านว่า โรงเรียนได้จัดค่ายพิเศษในการเรียนการสอนนอกตัวเมือง โดยมี อายาโนะ อ้างตัวเป็นครูไปช่วยยืนยัน พวกเขาใช้เวลาทั้งสัปดาห์ในการฝึกฝนการใช้จักระที่ศาลเจ้าซึ่งเป็นบ้านพักของ ยูกิ มาซูนาชิ พวกเขาตั้งใจกันอย่างเต็มที่
ณ ลานกว้าง
"คาถาอัญเชิญ!!" ฮิเมะ ตะโกนขึ้นเสียงดังขณะที่ก้มตัวลงใช้ฝ่ามือเตะลงไปบนพื้น เธอส่งจักระไปยังฝ่ามือของเธอ ปรากฏอักขระสีดำโบราณบนพื้นรอบๆ มือของ ฮิเมะ จากนั้นก็มีแสงวาบขึ้นต่อหน้าของ ฮิเมะ มันสว่างเจิดจ้า บางสิ่งก็ปรากฏขึ้นจากจุดที่มีแสงสว่างวาบ มันคือท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่กว่าตัวคนอยู่พอสมควร เธอมีท่าทีดีใจมากกับสิ่งที่เธอสามารถเรียกออกมาได้ แต่เธอก็ต้องตกใจแล้วรีบกระโดดผลีกตัวหลบออกไปด้านข้าง "ทำได้แค่นี้เองงั้นหรอ? คาถาไฟ ลูกไฟยักษ์!!" เซบีสเตียน พูดขึ้น เขาประสานมือทั้งสองเพื่อรีดเร้นและแปลงสภาพจักระ จากนั้น เขาก็พ่นลูกบอลไฟขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตรออกมา มันพุ่งตรงไปยังท่อนไม้ของ ฮิเมะ อย่างรวดเร็ว เมื่อกระทบท่อนไม้ ลูกบอลไฟก็ระเบิดทำให้ท่อนไม้ของ ฮิเมะ ถูกทำลายกระจัดกระจาย ก่อนที่มันจะค่อยๆ สลายไป
ฮิเมะ หลับตาปี๋ขณะที่กำลังนั่งกองอยู่บนพื้น "โห สุดยอดไปเลย รุ่นพี่โคคุโอะ สามารถทำได้ขนาดนี้แล้วงั้นหรอเนี่ย" "ลุกขึ้นมา....แล้วเอาใหม่ ตั้งใจหน่อย เธอน่ะเป็นลูกสาวคนเก่งของอธิบดีกรมตำรวจไม่ใช่รึไง" เซบัสเตียน พูดขึ้น เขามายืนข้างๆ ฮิเมะ แล้วยืนมาออกไปเพื่อช่วย ฮิเมะ ลุกขึ้นจากพื้น เธอจับมือของเขาไว้ แล้วเขาก็ดึงเธอขึ้นมา
ฮิเมะ มีสีหน้าเศร้าๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า "อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ รุ่นพี่...ดิชั้นน่ะ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อหรอกค่ะ" เซบัสเตียน มีท่าทีตกใจเล็กน้อย ก่อนที่ ฮิเมะ จะเริ่มเล่าต่อไป "แต่ท่านก็เอ็นดูและเลี้ยงดูดิชั้นขึ้นมาด้วยความรัก" "ถึงท่านจะไม่พูดอะไร แต่ดิชั้นก็ทราบดี...แม้แท้จริงแล้วดิชั้นจะเป็นเพียงแค่พยานที่ท่านต้องปกป้องเอาไว้เท่านั้น" เซบัสเตียน หรี่ตาลงเล็กน้อย "ถึงมันจะฟังดูน้ำเน่า แต่เธอก็ดูน่าสงสารอยู่นะ...พยานอย่างนั้นหรอ...พยานอะไร?" ฮิเมะ ยิ้มบางๆ "ดิชั้นเป็นพยานในคดีที่พ่อแท้ๆ ของดิชั้นเอง...ท่านถูกใครบางคนบีบบังคบและข่มขู่จนฆ่าตัวตาย...." เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซบัสเตียน ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะเขาฉลาดพอที่จะเดาออกได้ว่า พ่อของฮิเมะ ฆ่าตัวตายต่อหน้าเธอ
ที่เฉลียงไม้ของตัวศาลเจ้า
จิโดริ ชิราซากิ กำลังนั่งเปิดอ่านข่าวผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เธออ่านข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่ยังไม่ยุติ "จิโดริจัง ทำอะไรอยู่งั้นหรอ" เสียงของ ยูกิ มิซูนาชิ พูดขึ้น ในขณะที่เธอแบกกองหนังสือโบราณกองใหญ่มาวางไว้ข้างๆ จิโดริ ปิดหน้าจอโทรศัพท์ไปแล้วหันมาตอบ "ชั้นนั่งอ่านข่าวอยู่น่ะ พวกคุโรฮิซึจิ ยังคงออกทำร้ายผู้คน แต่เรากลับทำอะไรไม่ได้เลย" ยูกิ ยิ้มบางๆ "ก็คุณตำรวจมิโรซูมิ บอกว่าพวกเราต้องใช้จักระให้ชำนาญเสียก่อน ไม่งั้นเราคงช่วยอะไรไม่ได้ แถมยังจะไปเกะกะเขาอีก" "ก็น่าจะจริงของเขา แต่พออยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร โดยคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้มันน่าหงุดหงิดอยู่นะ" จิโดริ พูดเสริมซึ่ง ยูกิ ไม่ได้โต้แย้ง
"จริงสิ ยูกิจัง อยู่ที่นี่คนเดียวอย่างนั้นหรอ" จิโดริ ถามขึ้นเพราะเธอนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาเธอยังไม่เจอคนอื่นเลยนอกจาก ยูกิ คนเดียว ยูกิ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ใช่แล้วล่ะค่ะ คุณพ่อคุณแม่ของชั้นหายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน พวกท่านบอกว่าพวกท่านจำเป็นต้องไป" "ชั้นเอง ก็พอเข้าใจเหตุผลของพวกท่าน ถึงแม้พวกท่านไม่ยอมพูดอะไร แต่ชั้นรู้ดีว่าที่พวกท่านทำนั่นก็เพื่อปกป้องชั้น" เธอเริ่มน่ำตาซึม จิโดริ มีสีหน้าที่เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด "ยูกิจัง นี่เก่งจริงๆ เลยนะ....ที่รู้ขนาดนี้แล้วยังทำตัวได้เหมือนปกติได้อยู่ เป็นชั้นคงทำไม่ได้"
ยูกิ หันมายิ้มให้ จิโดริ ทั้งน้ำตา "ชั้นน่ะ....กลัว....ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง...เมื่อตอนชั้นยังเล็กมากๆ มีกลุ่มคนบุกรุกเข้ามาที่นี่" "พวกเขามาเพื่อต้องการเอาตำราประจำศาลเจ้า...แต่คุณพ่อคุณแม่ต่อสู้ขัดขืนแล้วขับไล่คนพวกนั้นไปได้สำเร็จ...พวกท่านพอใจมาก" "แต่แล้วเมื่อ 3 ปี ก่อน กลุ่มคนพวกนั้นกลับมาอีกครั้ง ชั้นจำได้ว่าพวกนั้นสวมเสื้อสีดำผ้ามิดชิด ไม่เห็นหน้าตาเลยแม้แต่คนเดียว" "ชายคนหนึ่งเข้ามาพูดอะไรบางอย่างแล้วจากไป....ในวันรุ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็หายตัวไปพร้อมกับจดหมายที่ทิ้งไว้ให้เท่านั้น"
จิโดริ ใช้มือแตะไปที่บ่าของ ยูกิ เบาๆ "พูดไปแล้วก็ตลก เพราะว่าชั้นเองกลับมีบางเรื่องที่ฟังดูแปลกๆ อยู่เหมือนๆ กันกับยฺกิจังเลย" "ชั้นรู้สึกมาโดยตลอดว่าความทรงจำของชั้นน่ะ มันขาดหายไปบางช่วง มันมีเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่เป็นจริง แต่รู้สึกว่ามันจริง" "ชั้นน่ะ รู้สึกว่าตอนเล็กๆ เคยถูกคนบางคนลักพาตัวไป พวกเขาค้นหาบางสิ่งในตัวชั้น แต่ถามใครเขาก็เอาแต่พูดว่าไม่ได้เกิดขึ้นจริง" "ถ้าคิดในเชิงนิยายน้ำเน่า ชั้นเดาว่าพวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น และเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะจงใจให้เกิดขึ้น" ยูกิ ปาดน้ำตา เธอเริ่มคลายจากภาวะย่ำแย่ทางอารมณ์ลงบ้างแล้ว "นั่นสินะคะ บางครั้งเรื่องที่เราคิดว่ามันพิเศษ อาจไม่พิเศษก็ได้"
..............................
ในป่าด้านหลังศาลเจ้า
โยโซระ ทาคัตซึกิ กำลังพยายามรีดเร้นจักระในตัวของเขาออกมาที่มือทั้งสองข้าง ดูเหมือรเขาทำมันได้สำเร็จอย่างไม่ยากเย็นนัก "เอาล่ะ ทีนี้ก็เหลือแค่ประสานอินแล้วเปลี่ยนมันเป็นสายฟ้า" เขาพูดกับตัวเองพร้อมกับประสานมือรีดเร้นแปลงสภาพของจักระ ออร่าสีฟ้าที่เรืองออกมาจากมือทั้งสองข้างเริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นประกายไฟสีฟ้า โยโซระ ยิ้มออกมาจากพอใจ ก่อนที่เขาจะผิดหวัง เมื่อออร่าสีฟ้าเปลี่ยนเป็นประกายไฟแต่มันเปลี่ยนสภาพอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นก็สลายหายไปจนหมดสิ้นไม่เหลืออะไรเลย
เด็กหนุ่มโยโรซะ ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นดินข้างลำธารด้วยท่าทีที่เหนื่อยล้า "เฮ้อ ทำไมมันถึงยากเย็นอะไรแบบนี้นะ...การใช้จักระเนี่ย..." คำพูดของเขาบอกให้รู้ว่าเขาได้ทดลองฝึกการแปลงสภาพจักระให้เป็นธาตุสายฟ้ามาหลายรอบแล้ว แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่าเอาเสียเลย ร่างกายของเขาเหนื่อยล้าเนื่องจากการฝึกฝนอย่างหนัก ประกอบกับความมุ่งมั่นตั้งใจที่มากกว่าเด็กคนอื่นหลายเท่าตัวทำให้เขาหมดแรง โยโซระ ทิ้งตัวลงเอนนอน เขามองไปที่ดวงอาทิตย์ซึ่งมีเมฆบางๆ บังอยู่ มันกรองแสงได้เพียงพอที่เขาจะมองดูมันได้โดยไม่แสบตา
เขาเห็นดวงอาทิตย์เป็นทรงกลมสีขาวเจิดจรัส มันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีส้ม สีแดง และกลายเป็นดวงตาสีแดงที่คุ้นตา
"โยโสะ มานี่สิ มาดูอะไรนี่เร็ว" เสียงเด็กสาวเรียก โยโซระ ทำให้เขาหันไปมอง เธอคนนั้นคือเด็กสาวผมสีดำที่กำลังยิ้มให้เขา "มีอะไรงั้นหรอพี่มายูมิ" โยโซระ ตอบ เขารีบลุกขึ้น ตัวของเขายังเด็กอยู่มาก อายุราวเดียวกับที่เขาเคยฝันมาโดยตลอดทุกครั้ง โยโซระ มองไปรอบตัว มันเป็นชายหาด น้ำทะเลสีครามสวยงามสดใส เม็ดทรายที่สัมผัสกับฝ่าเท้านุ่มละเอียดประกายเป็นสีทอง "มานี่สิ มาเร็วเข้า พี่มีอะไรจะให้ดูด้วยแหละ" มายูมิ เรียก โยโซระ ซ้ำอีกครั้ง ทำให้เขาเริ่มวิ่งช้าๆ เขาวิ่งอย่างกระท่อนกระแท่น
จนในที่สุดเขาก็วิ่งตามพี่สาวได้ทัน เธอมาหยุดตรงริมน้ำ แล้วยื่นกล้องส่องทางไกลให้ โยโซระ จากนั้นก็ชี้ออกไปนอกชายฝั่ง โยโซระ หยิบกล้องส่องทางไกลนั้นมาส่องดู เขาส่องไปตามทางที่ มายูมิ ชี้ รอยยิ้มอย่างมีความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาเห็นปลาโลมาฝูงหนึ่งกำลังกระโดดเล่นน้ำนอกชายฝั่งกันอย่างสนุกสนาน มันเป็นภาพที่ทำให้เด็กชายคนหนึ่งรู้สึกตื่นเต้น โยโซระ นำกล้องส่องทางไกลลง แล้วหันไปจับมือ มายูมิ เขาเริ่มวิ่งลงไปในทะเล แต่ มายูมิ ขืนเอาไว้ "เอ๋ โยโสะ จะทำอะไหรอ" "ผมอยากไปเล่นกับปลาโลมาฝูงนั้นครับ มาด้วยกันสิครับพี่มายูมิ" โยโซระ ตอบ ทำให้ มายูมิ หัวเราะในความไร้เดียงสาของน้องชาย
"ไม่ได้หรอกจ่ะ เราไปไกลถึงตรงนั้นไม่ได้ คราวหน้าเราโตกว่านี้ พี่สัญญาจะพาไปนะจ๊ะ" มายูมิ ยิ้มให้ เธอชูนิ้วก้อยขึ้นมาให้ โยโซระ
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 16, 2016 17:48:53 GMT
สถานีตำรวจนครบาลโตเกียว
ตำรวจที่นี่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มคิโนฮิซึจิ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น จากการที่พวกเขาแต่ละคนคิดเอาแต่จะทำงานเอาหน้า จนเสียเพื่อนร่วมงานไปหลายคน พวกเขาก็ตระหนึกถึงความอันตราย ความอันตรายที่มันส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของสังคมในภาพรวม และยังทำให้ครอบครัวของเขาอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยอีกด้วย พวกเขาจึงหันมาทำงานกันอย่างเต็มที่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อนุมัติการขอกำลังเสริมของสถานีตำรวจนครบาลโตเกียว ทำให้เขาได้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสมทบมากขึ้น เพื่อชดเชยกองกำลังที่สูญเสียไปในการปฏิบัติหน้าที่บนไฮเวย์
"ให้ตายสิ พวกคุโรฮิซึจิ นี่มันชักกำแหงใหญ่แล้ว เมื่อคืนก็ก่อเหตุนำอาวุธสงครามบุกกราดยิงร้านค้ากลางเมืองซะพังยับ" "นั่นน่ะสิ ดีนะที่เมื่อคืนชั้นกำชับเมียกับลูกให้รีบกลับเข้าบ้าน พวกเขาเกือบจะไปเดินช็อปปิ้งย่านนั้นอยู่แล้วเชียว ดวงดีชะมัด" "คืนนี้ ก็คงเป็นเวรตรวจตราของชั้นแล้วสินะ คราวนี้ชั้นจะยิงพวกมันให้ยับ อย่างน้อยจะได้รู้สำนึกว่าตำรวจเราก็มีพิษสงไม่ใช่น้อย" เสียงตำรวจที่พูดคุยกันลอยผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาของ มาซากิโยะ มิโรซูมิ ไป เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อยนิด
เพราะเขากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คนกำลังดูภาพถ่ายการชันสูตรศพของสมาชิกคุโรฮิซึจิ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงตายเมื่อคืน "คนร้ายรายนี้ถูกยิงเข้า 3 นัด กระสุนสังหารเป็นกระสุนที่ผ่านช่องเกราะกันกระสุนบริเวณรักแร้เข้าไปตัดขั้วหัวใจ" ตำรวจรายหนึ่งพูด มาซากิโยะ มองภาพรอยกระสุน จากนั้นเขาก็เปิดผ่านไปที่ภาพใบหน้าของศพคนร้าย "คนร้ายรายนี้เป็นใคร ได้ทำการสืบค้นแล้วรึยังครับ" ตำรวจคนที่ 2 พยักหน้า "เขาชื่อ คุโบะ มัตซึโมโตะ อายุ 35 คนงานก่อสร้าง เพื่อนร่วมงานบอกว่าเขาเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้เดือนเดียว" มาซากิโยะ เปิดผ่านไปดูภาพถ่ายอื่นๆ "ไม่มีเพื่อนฝูงสินะ แล้วครอบครัวของเขาล่ะ ประวัติความเป็นมาเป็นยังไงบ้าง เคยก่อคดีรึเปล่า" ตำรวจคนแรกก็ตอบ "เขาไม่เคยก่อคดีร้ายแรง มีก็แค่การทะเลาะวิวาทเนื่องจากการเมาสุราเท่านั้นน่ะครับ" มาซากิโยะ หันไปมองตำรวจอีกคน ตำรวจคนที่ 2 ก็เสริมต่อว่า "ส่วนครอบครัวของเขาไม่มีครับ เขาเป็นคนงานที่เกิดมามีฐานะยากจน นิสัยส่วนตัวค่อนข้างขวางโลก" มาซากิโยะ ถอนหายใจ "สรุปแล้วเราได้แต่ข้อมูลคนร้ายหางแถว แต่ยังไม่สามารถสาวไปถึงตัวการใหญ่ได้เลยว่าเขาเป็นใครอย่างนั้นสินะ"
หลังจากที่ผิดหวังเรื่องข้อมูลศพของคนร้ายรายแรก มาซากิโยะ ก็เดินกลับมาที่โต๊ะ เขามองไปโต๊ะตรงข้ามที่ว่างเปล่าเช่นเคย ช่วงนี้เช้านี้ อายาโนะ มิอุระ คงออกไปปฏิบัติหน้าที่ประจำวันที่ได้รับมอบหมายจากผู้กำกับการสถานีตำรวจแห่งนี้อย่างเช่นทุกวัน แต่แล้วเมื่อ มาซากิโยะ ยกแฟ้มเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าของเขาออก เขาก็พบกระดาษโน๊ตสีดำตัวอักษรสีขาววางไว้ มันเขียนว่า "ชั้นจะรออยู่ที่ซอยข้างโกดังร้าง ห่างออกไป 2 บล็อค มาหาชั้นถ้านายไม่อยากให้ใครตายเพิ่ม จะมากี่คนก็ได้" "ไอริส" มาซากิโยะ ขมวดคิ้ว เขารีบหยิบปืนแล้วออกไปทันทีโดยไร้กำลังเสริม เพราะเขารู้ดีว่าจะพาไปกี่คนก็ย่อมไร้ความหมาย
..............................
สถานที่นัดหมาย ซอยข้างโกดังร้าง ห่างออกไป 2 บล็อค
มันเป็นซอยที่เปลี่ยวมาก มาซากิโยะ ขี่มอเตอร์ไซค์ตำรวจเข้ามา เมื่อเขาเห็น ไอริส ยืนอยู่เขาก็รีบจอดแล้วลงจากมอเตอร์ไซค์ หลังจากนั้น เขาก็ควักปืนออกมาเล็งไปที่ ไอริส แล้วเดินเข้าไปหาช้าๆ "แกมีอะไรจะมาเล่นตุกติกอีกงั้นหรอ ไอริส" ไอริส หันหลับมาช้าๆ "ใจเด็ดมากมิโรซูมิ ที่มาที่นี่คนเดียว แต่นายลดปืนลงก่อนเถอะ ชั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อสู้กับนายหรอกนะ" มาซากิโยะ ขมวดคิ้ว ในใจเขาอยากจะยิง ไอริส ทิ้งเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่เขาเชื่อว่าเขาควรหยุดฟังในสิ่งที่เธอจะพูดต่อไปเสียก่อน
เมื่อ มาซากิโยะ ลดปืนลง ไอริส ก็เป็นฝ่ายเริ่มพูด "ชั้นจะมาแจ้งข่าวว่าวันนี้ตอนบ่ายจะมีการบุกโจมตีโรงประปาของเมือง" "แผนการจะใช้สมาชิกระดับสูง 3 คน ด้วยกัน สมาชิกทั้งสามคนนี้มีความสามารถใช้งานจักระได้เป็นเลิศไม่ด้อยไปกว่านาย" มาซากิโยะ หรี่ตาลงเล็กน้อย "แล้วแกจะมาบอกชั้นทำไม เกิดเป็นคนดีขึ้นมาแล้วอย่างงั้นหรอ แต่มันจะไม่สายเกินไปหน่อยรึไง" "ชั้นน่ะไม่ใช่คนดีอะไร ชั้นแค่กำลังเลือกข้างหาจุดยืนให้ตัวเองเท่านั้น....ใครเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า ชั้นก็จะอยู่ฝ่ายนั้น....เข้าใจรึยัง" คำตอบของ ไอริส ไม่ทำให้ มาซากิโยะ แปลกใจเท่าใดนัก "ถ้างั้นแกบอกชื่อของหัวหน้าของแกมามันจะไม่เป็นการง่ายกว่าหรอ" ไอริส ส่ายหน้า "ถ้าทำได้ ชั้นก็คงทำไปแล้ว...สมาชิกของเราปกปิดใบหน้าของตนเอง รวมถึงท่านผู้นำด้วย เราใช้โค้ดแนมเรียกกัน"
มาซากิโยะ มีท่าทีผิดหวังเล็กน้อย "นั่นก็แปลว่าแกไม่รู้ว่าใครเป็นหัวหน้าของแก แล้วใครทำงานร่วมกับแกอย่างนั้นสินะ" "พวกเราทุกคนไม่รู้จักว่าท่านผู้นำเป็นใคร มีแต่ท่านเท่านั้นที่รู้จักตัวตนของพวกเราทุกคน พวกเราอยู่ด้วยอุดมการณ์ร่วมกัน" "แต่เรื่องที่ว่าชั้นไม่รู้จักตัวตนของเพื่อนร่วมงานสักคน มันก็ไม่เสมอไปหรอกนะ มิโรซูมิ เพราะว่า...บางคนชั้นก็รู้จัก...." "เลิกพูดไร้สาระสักทีเถอะ ขอบคุณที่ให้ข้อมูลนะ ไอริส!!" ปังปังปังปัง!! มาซากิโยะ ฟังที่ ไอริส พูดจบ จากนั้นเขาก็ยิงเธอทันที
ทว่าผลของกระสุนปืนก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เมื่อมันกระทบตัว ไอริส ร่างของเธอร้าวทะลุเป็นรูเหมือนเช่นทุกที แล้วก็แตกสลายไป
..............................
ก่อนบ่าย (คลายเครียด แฮร่!!)
ณ โรงประปากรุงโตเกียว กองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากได้ไปพร้อมกันที่นั่นตามหมายกำหนดการที่ ไอริส พูด หน่วย SWAT ทำการคุ้มกันอยู่ด้านในอาคารโรงประปา พวกเขาประจำอยู่ทุกจุด พวกเขาติดอาวุธหนักครบมือ ในขณะที่ตำรวจของสถานีตำรวจนครบาลโตเกียว เข้าประจำทางเข้า วางกองกำลังสะกัดกั้นในกรณีถูกโจมตี พวกเขาใช้รถตำรวจจอดวาง ตั้งลวดหนาม วางกระสอบทราย ไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นบังเกอร์และเป็นสิ่งกีดขวาง มาซากิโยะ ก็อยู่ในกลุ่มตำรวจเหล่านั้น เขานั่งมองนาฬิกา และในใจของเขาก็ยังไม่คิดจะเชื่อสิ่งที่ ไอริส พูดโดยสนิทใจนัก
ไม่นานตำรวจบางคนก็เริ่มสังเกตุรถตู้สีดำวิ่งมาตามถนนทางเข้าที่เป็นซอยแยกจากถนนใหญ่ มันลึกราวๆ 800 เมตรเห็นจะได้ ข้างทางสองข้างของถนนเส้นนี้เป็นป่าทึบ มีรั้วลวดหนามขนาบข้าง มีป้ายโฆษณา ป้ายประกาศขนาดใหญ่ยักษ์อยู่เรียงตามทาง ที่พวกเขารู้ว่ามันเป็นสิ่งผิดปกติเพราะว่ารถของประชาชนโดยทั่วไปจะไม่แล่นเข้ามาในเขตพื้นที่นี้ในเวลาเช่นนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งรถยนต์ของเจ้าหน้าที่การประปาก็ถูกสั่งห้ามเข้าออก เจ้าหน้าที่ทุกคนยังคงอยู่ในโรงประปาและทำหน้าที่ของตน มาซากิโยะ ในฐานะหัวหน้าทีมปฏิบัติการยังไม่แน่ใจว่ารถตู้คันนั้นใช่เป้าหมายหรือไม่ เขาไม่อยากยิงพลาดไปโดนคนบริสุทธิ์ เขาจึงยังไม่สั่งการให้มีการยิงสะกัด จนกระทั่งรถตู้สีดำไร้ทะเบียนคันนั้นจอดในระยะ 200 เมตร และมีคนสวมชุดดำเดินลงมา กระสุนจำนวนมากจึงเริ่มถูกกระเคนเข้าใส่ชายชุดดำ 3 คนที่เดินลงมาทันที เสียงนั้นเป็นการเตือนและประกาศการสู้รบ
ชายชุดดำที่เดินนำมา อ้าแขนออกทั้งสองข้างออก ก่อนที่จะหุบแขนเข้าหากันเหมือนกระชากบางสิ่งเข้ามาหาตัว ทันใดนั้น แผงป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่อยู่ริมถนนทั้งสองข้างก็ปลิวเข้ามาบังกระสุนเอาไว้ "Blood Vampire ลุยได้เลย" "ชั้นน่ะไม่เคยพลาดอยู่แล้วล่ะ Marionette แกก็ระวังตัวให้มากกว่าเดิมก็แล้วกัน Vampire" ชายที่ชื่อ Blood พูด จากนั้นพวกเขาก็กระโดดแยกซ้ายขวา หายไปในพงหญ้าข้างทาง ทิ้ง Marionette เอาไว้เพียงคนเดียวให้รับมือตำรวจ จากนั้น Marionette ก็เริ่มทำท่าสบัดมือไปข้างหน้า ป้ายโฆษณาที่บังกระสุนนั้นก็ร่อนออกไปอย่างรวดเร็ว มันร่อนเหมือนจานร่อนเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งใช้รถตำรวจเป็นที่ซุ่มยิง แรงปะทะทำให้รถตำรวจและเจ้าหน้าที่กระเด็นไปไกล
มาซากิโยะ เหลือบไปมองด้วยความโมโห เขารู้ทันทีความชายชุดดำคนนี้สามารถควบคุมสิ่งต่างจากระยะไกลได้ เขาจึงสั่งการให้นายตำรวจคนอื่นล่าถอยไปคุ้มกันที่ประตูด้านหลัง โดยเขาจะขอรับมือกับชายชุดดำคนนี้ด้วยตนเอง แม้มันจะฟังดูตลก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนมากรู้แล้วว่า มาซากิโยะ ไม่ใช่คนธรรมดา และเขาก็อธิบายเรื่องต่างให้ฟังก่อนหน้า เมื่อเจ้าหน้าที่คนอื่นล่าถอย มาซากิโยะ ก็โยนปืนทิ้งไป เขาเดินไปที่รถแล้วหยิบบางสิ่งออกมาจากรถของเขา มันคือดาบ
มาซากิโยะ ตั้งดาบขึ้นมองไปยัง Marionette ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันว่า "มาเริ่มกันเถอะ...."
..............................
ศาลเจ้าของ ยูกิ
จิโดริ เรียกทุกคนมารวมกัน เธอเปิดข่าวให้ทุกคนดู มันเป็นข่าวการบุกโจมตีโรงประปาโดยกลุ่มคุโรฮิซึจิ จากภาพถ่ายมุมบนด้วยเฮลิคอปเตอร์ แม้มันจะมองไม่ชัด แต่ทุกคนก็รู้ว่าตำรวจที่ใช้ดาบต่อสู้กับชายชุดดำคือ มาซากิโยะ คู่ต่อสู้ของเขาใช้แผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่จำนวนมากเป็นอาวุธ มันร่อนไปร่อนมาโจมตี มาซากิโยะ อย่างต่อเนื่อง เขาใช้การกระโดดหลบไปมา แล้วเข้าประชิดด้วยอาวุธดาบ แต่ดูเหมือนว่าชายชุดดำคนนั้นยังคงหลบและป้องกันได้ไม่ยาก และอีกด้านของประตูทางเข้าเริ่มมีเหตุยิงกัน ตำรวจกำลังล้มตายทีละคน ร่างกายถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ภาพนั้นคุ้นตาเด็กๆ มาก ก่อนที่ประตูทางเข้าซึ่งเป็นโลหะนิรภัยอย่างหนา จะเกิดระเบิดขึ้นอย่างแรง ภาพเริ่มหมุนเอียง แล้วตกลงสู่เบื้องล่างแล้วหายไป
ยูกิ สะดุ้งตอนที่ภาพนั้นร่วงลงอย่างรวดเร็วแล้วขาดหาย "คราวนี้โจมตีโรงประปาอย่างนั้นหรอคะ ต้องวุ่นวายแน่ๆ" จิโดริ พยักหน้า "เป็นแบบนี้ท่าทางจะแย่อยู่นะ พวกนั้นน่าจะมากันมากกว่า 1 คนอย่างแน่นอน คุณตำรวจรับมือไม่ไหวแน่ๆ" โยโซระ หันกลับหลังแล้วเดินออกจากกลุ่ม เขาพูดขึ้นว่า "ผมจะไปช่วยพวกเขา จะให้ทนฝึกต่อไปโดยไม่ทำอะไรไม่ได้" ฮิเมะ พยักหน้า "แต่ว่าเรายังฝึกกันไปได้ไม่ถึงไหนเลยนะคะ คุณตำรวจเขาคงโกรธแน่ เพราะเขายังไม่ให้เราออกไปสู้"
โยโซระ หันกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ "แล้วจะให้ผมทนดูไปแบบนี้น่ะหรอ ผมทำแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ ปล่อยให้คนอื่นปกป้อง" "ตอนนี้ถึงผมจะไม่เก่ง แต่ผมก็ยังอยากทำอะไรบ้าง ถึงช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ถ้าได้ช่วยปกป้องคนอื่นสักนิดผมก็ยินดีแล้ว" เซบัสเตียน หัวเราะเหมือนเยาะเย้ย "ฮ่าฮ่าฮ่า ดูพูดเข้าสิ พระเอกเป็นบ้าเลย งั้นชั้นถามหน่อย นายจะไปทันช่วยเขารึไง" คำพูดที่อิงจากความเป็นจริงของ เซบัสเตียน โคคุโอะ ทำให้ทุกคนหดหู่ เพราะระยะทางไปถึงนั้นไกลพอควร ถึงไปก็คงไม่ทัน
ทันใดนั้นเอง รถตำรวจคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าทางเข้า "เด็กๆ ขึ้นมาเร็วเข้า" คนที่มาคือ อายาโนะ นั่นเอง
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 16, 2016 17:50:59 GMT
ที่โรงประปา
เหตุการณ์ผ่านไปได้ราว 30 นาที การสู้รบของ มาซากิโยะ กับ Marionette ยังดำเนินต่อไปอย่างสูสีหาผู้กำชัยไม่ได้ ในขณะที่ภายในโรงประปา ตำรวจที่เข้าไปคุ้มกันล้มตายไปเป็นจำนวนมาก พวกเขาทำได้แค่เพียงหลบซ่อนตัวจาก Vampire ส่วนด้านในมีประตูนิรภัยอีกหลายชั้น เพราะการประปาของเมืองถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ จึงมีระบบ Safety ที่รัดกุมมาก ชายชุดดำที่ถูกเรียกว่า Blood อยู่ด้านใน เขาคงรับหน้าที่ในการทำลายระบบ เขาใช้มือสัมผัสกับประตูเหล็กก่อนจะถอยออกมา ประตูเหล็กหนาก็ระเบิดออก มันถูกหลอมจนละลายไปหลายบาน จนเมื่อเขาผ่านประตูบานสุดท้ายเข้าไป เขาก็พบกับแนวป้องกัน เจ้าหน้าที่หน่วย SWAT จำนวนร่วม 20 นาย พร้อมปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติระดมยิงเข้าใส่ Blood จนต้องหลบข้างขอบประตู Blood ถอนหายใจ เขาใช้มือของเขาถอดหน้ากากออกแสดงให้เห็นว่า เขาไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ ซาโอะ ชายผมขาวใบหน้าดุร้ายนั่นเอง
ระหว่างการต่อสู้ของ มาซากิโยะ กับ Marionette
รถตำรวจคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูง มาซากิโยะ เพ่งมองจนเห็นว่าคนที่อยู่ในรถนั้นมีใครบ้างเขาก็ตกใจ "โถ่เอ้ย ยัยบ้านั่นทำอะไรของเค้านะ" มาซากิโยะ บ่นขณะก้มหลบแผ่นโลหะที่ร่อนเข้ามาหาหมายตัดศีรษะของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อ Marionette เหลือบไปเห็นรถตำรวจที่แล่นมาใกล้ เขาก็ชี้นิ้วไปที่รถตำรวจแล้วตวัดมันออกไปด้านหน้า รถตำรวจถูกกระชากจนลอยหมุนเคว้ง เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของเด็กสาวและตำรวจสาวในรถดังระงมกลางอากาศ ดวงตาของ มาซากิโยะ เบิกโพรงด้วยความตกใจ เขาอยากจะเข้าไปช่วย แต่ตัวของเขาเองก็ยังลำบากกับการรับมือ Marionette
ทว่าก่อนที่รถตำรวจจะกระแทกพื้น เงาดำๆ จำนวน 5 เงา พุ่งออกมาจากตัวรถผ่านประตูรถที่โบกสบัดขณะที่มันลอยเคว้ง เด็กๆ ทั้งห้ากระโดดลงมายืนด้านหน้ารถอย่างปลอดภัย ทุกคนเรืองแสงสีฟ้าเป็นออร่าจากจักระที่เพิ่มพูนขึ้นมากทั่วทั้งตัว จากนั้นกิ่งไหม้จำนวนมากโผล่แทรกผิวพื้นดินขึ้นมารองรับการกระแทกของรถตำรวจไม่ให้ตกลงกระแทกและหยุดลงอย่างนุ่มนวล "ขอโทษทีนะคะรุ่นพี่....ชั้นเป็นห่วงรุ่นพี่ เลยคิดว่าเด็กๆ พวกนี้จะช่วยได้น่ะค่ะ" อายาโนะ ที่ค่อยๆ คลานออกจากรถพูดขึ้น มุมปากของ มาซากิโยะ กระตุกนิดๆ เขาตะโกนหัวโตทันทีว่า "ยังจะมาทำแบ๊วอีกงั้นหรอ เธอคิดบ้าอะไรของเธอกันฟะเนี่ย!!" "อย่าไปว่าคุณมิอุระเลยครับ เพราะถึงเธอจะไม่พาพวกเรามาที่นี่ พวกเราก็จะมาที่นี่อยู่ดี" โยโซระ พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อ มาซากิโยะ เห็นแววตาของ โยโซระ เขาก็มีท่าทีอ่อนลง "งั้นชั้นก็คงต้องฝากพวกเธอดูแลเจ้าพวกข้างในนั้นด้วยแล้วล่ะนะ..."
..............................
เด็กๆ ทั้ง 5 คนรีบวิ่งเข้ามายังลานด้านในโรงประปา
พวกเขาเห็นศพที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายไปทั่ว โดยมีชายชุดคลุมดำคนหนึ่งกำลังยืนมองซ้ายมองขวาจากนั้นก็หันมา "หืม??...เด็กนักเรียนสองคนนั้น....พวกเธออีกแล้วงั้นหรอ....คราวก่อนเล่นงาน Slayer ได้ไม่เบาเลยนี่นะ" Vampire พูด โยโซระ ขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น "หยุดเถอะครับ คุณทำแบบนี้มันไม่มีอะไรดีขึ้นมา คุณทำแบบนี้แล้วคุณได้อะไรอย่างนั้นหรอครับ" Vampire เอียงคอเล็กน้อย มีแสงสะท้อนจากช่องที่ตาผ่านหน้ากากของเขา "ที่ชั้นทำไปน่ะก็เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ยังไงล่ะ" "พวกเธอระวังตัวไว้" เมื่อเห็น Vampire งอกเล็บอันคมกริบออกมาทั้ง 2 ข้าง เซบัสเตียน โคคุโอะ ก็วิ่งเข้าใส่เป็นคนแรก
เขาพ่นลูกไฟขนาดใหญ่ใส่ Vampire แต่ Vampire ฉากหลบได้อย่างคล่องแคล่ว และมีอาการแปลกใจเล็กน้อย ตามมาด้วยการโจมตีด้วยหมัดจักระของ โยโซระ แต่ดูเหมือนการโจมตีแบบนี้นั้นดูง่ายเกินไปสำหรับ Vampire เขาหลบหมัดของ โยโซระ แล้วเข่าเข้าใส่ชายโครงของ โยโซระ อย่างแรงดังแอ๊ก!! จน โยโซระ กระเด็นไถลไปกับพื้น จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าฟัน เซบัสเตียน ด้วยกรงเล็บ ฮิเมะ เห็นท่าไม่ดี เธอจึงใช้คาถาอัญเชิญท่อนไม้มากัน เซบัสเตียน ไว้ได้ทัน กรงเล็บจากมือซ้ายของ Vampire ฟันท่อนไม้จนระเบิด เขาไม่หยุดแค่นั้น เขาใช้กรงเล็บมือขวาฟันตามเข้ามาอีกครั้ง เป็นขณะเดียวกันที่ ยูกิ ประสานมือ เธอสร้างโซ่สีทองออกจากหลังของตัวเอง มันพุ่งเข้าไปรัดแขนทั้งสองของ Vampire ยูกิ สามารถตรึง Vampire เอาไว้ได้ ในขณะที่ ฮิเมะ ใช้จักระของเธอในการเรียกท่อนไม้ไปจนหมดเรียบร้อยแล้ว
"พวกเธอมันยังอ่อนต่อโลกนัก....ชั้นไม่เข้าใจว่าเด็กอย่างพวกเธอทำไมถึงเอาแต่ถูกพวกผู้ใหญ่หลอกใช้" Vampire พูดขึ้น ระหว่างที่ทุกคนกำลังฟัง เขาก็พูดต่อไป "โลกนี้มันเต็มไปด้วยความน่ารังเกียจ...ท่านผู้นำกล่าวไว้ได้อย่างถูกต้องที่สุด" "โลกของเราต้องการความเปลี่ยนแปลง และชั้นเองก็เป็นหนึ่งในคนที่จะช่วยท่านผู้นำเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ด้วยความสามารถของชั้น" จิโดริ หรี่ตาลง เธอมองไปที่ โยโซระ เธอเห็นสภาพที่เขานอนหมดสภาพก็รู้ว่า โยโซระ ไม่น่าจะสู้ไหวอีกต่อไปแล้ว จิโดริ จึงเริ่มประสานอิน เธอสร้างรากไม้ขนาดใหญ่ขึ้นมารัดแขนทั้งสองของ Vampire "ลุยกันเลยดีกว่าค่ะ รุ่นพี่" เมื่อพูดจบ จิโดริ และ เซบัสเตียน ก็วิ่งเข้าใส่ Vampire เต็มฝีเท้า ทว่าวินาทีก่อนที่พวกเขาจะเข้าถึงตัว Vampire
Vampire กระชากโซ่ตรวนสีทองของ ยูกิ จนขาดทำให้ ยูกิ ได้รับผลกระทบจบเธอล้มลงแล้วไม่มีแรงลุกขึ้น เท่านั้นยังไม่พอ Vampire กระชากผ้าคลุมสีดำและหน้ากากออก ทำให้เห็นใบหน้าหนุ่มหล่อใส่แว่น ซึ่งก็คือ เซย์มิ นาโอกิ เขากางปีกที่เหมือนค้างคาวออกจากหลัง แล้วกระพืออย่างแรง ทำให้ จิโดริ และ เซบัสเตียน ที่กำลังวิ่งเข้ามาถูกพัดปลิวออกห่าง Vampire ร่อนด้วยปีกเข้าหา เซบัสเตียน และ จิโดริ เขาง้างกรงเล็บที่ยาวมากขึ้นกว่าเดิมตะปบบเข้าใส่ด้วยความเร็วที่สูงมาก จังหวะที่ Vampire ตวัดกรงเล็บเข้าใส่นั้น เซบัสเตียน ก้มหลบกรงเล็บด้านขวาทำให้ถูก Vampire เตะด้วยขาขวาแทน ในขณะที่ จิโดริ ใช้มือจับกรงเล็บของ Vampire แล้วสร้างรากไม้ขึ้นมารัด เพื่อช่วยรับแรงปะทะที่สูงเอามากๆ จากนั้นเธอก็ปล่อยหมัดซ้ายไปที่ใบหน้าของ Vampire แน่นอนว่า Vampire เพียงแค่เอียงคอหลบเขาก็หลบพ้น
เขาถีบ จิโดริ เข้ากลางลำตัวจนเธอกระเด็นไถลไปกับพื้น เด็กทั้ง 4 คน ยูกิ ฮิเมะ เซบัสเตียน จิโดริ หมดสภาพกองรวมกัน
....................
จังหวะนั้นเอง
กำแพงด้านข้างของตัวอาคารโรงงานประปาก็ระเบิดออกอย่างแรงเป็นรูกว้าง โดย Blood หรือ ซาโอะ เดินออกมาคนเดียว เขาหันมาเห็น Vampire หรือ เซย์มิ ที่อยู่ในสภาพที่มีปีก เขาจึงพูดไปว่า "เอาจริงเลยงั้นหรอ Vampire...." "ภารกิจของเราลุล่วงแล้วล่ะ อันที่จริงชั้นกับ Marionette กำลังจะถอนตัว นายจะอยู่ต่ออีกซักพักก็ตามใจนะ" Vampire หันกลับไปหา Blood "ผมขอลองพิสูจน์ตามที่คุณว่าก่อนก็แล้วกัน ว่าการฆ่ามันดีกว่าถูกฆ่าจริงรึเปล่า" Blood หัวเราะออกมาเบาๆ "รีบๆ ทำรีบๆ จบ แล้วถอนตัวไปซะ อย่าไปหลงใหลในการฆ่าซะล่ะ เพราะมันเย้ายวนใจมาก"
เมื่อ Blood พูดจบ เขาก็กระโดดออกไปทางป่าข้างๆ อย่างรวดเร็ว
Vampire ค่อยๆ ก้าวเข้าหาเด็กๆ สบัดรากไม้ที่ติดกรงเล็บทิ้งไป เซบัสเตียน พยายามใช้ตัวมาบังปกป้อง ฮิเมะ เอาไว้ แว่นของ Vampire เกิดอาการปริร้าว เขาสบัดแว่นทิ้งไป "ทำได้ไม่เลวนี่ แต่ถึงยังไงพวกเธอก็คงสู้ต่อไม่ไหวแล้วล่ะ" "เอาล่ะ ใครจะตายก่อนดี...แม่สาวน้อยผมเขียวก่อนก็แล้วกัน เพราะดูเธอจะเป็นตัวแสบที่สุด" Vampire พูดแล้วยกกรงเล็บขึ้น ในชั่ววินาทีที่ Vampire กำลังจะสังหาร จิโดริ เขาก็เห็นเงาบางอย่างบังแสงอาทิตย์เหนือหัวของเขา ทำให้เขาต้องริบบินถอย โครม!!! เสียงกระแทกใส่พื้นตรงจุดที่ Vampire ถอยไปก็ดังสะนั่น ฝุ่งฟุ้งกระจาย เบื้องหลังหมอกฝุ่น เขาเห็นบางอย่าง
มันเป็นออร่าของจักระ ที่แผ่พุ่งสว่างเจิดจ้า โยโซระ เด็กหนุ่มที่ถูกโจมตีเข้าอย่างจังในตอนแรกกลับลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง มันทำให้ Vampire ประหลาดใจเป็นอย่างมาก "นี่เธอยังยืนไหวอีกอย่างนั้นหรอ!! แล้วจักระมหาศาลนี่มันคืออะไรกัน" โยโซระ เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเป็นสีแดงเลือดนก "นะ....เนตรวงแหวนอย่างนั้นหรอ!! ล้อกันเล่นรึเปล่า!!...." ขณะที่ Vampire กำลังประหลาดใจ โยโซระ ก็พูดขึ้นว่า "คุณคิดว่าโลกนี้น่ารังเกียจอย่างนั้นอย่างนั้นหรอ......" "ผมน่ะ...เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูดทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องการที่จะเปลี่ยนแปลงมัน...เราน่ะเป็นเพียงแค่คนๆ เดียวเท่านั้น"
"การจะเปลี่ยนแปลงผู้อื่นให้เป็นไปตามความคิดของเราน่ะ....มันทำไม่ได้หรอก....เพราะคนอื่นยังเปลี่ยนเราไม่ได้เลย" "ผมน่ะเคยคิดว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม ทำไมผมถึงอ่อนแอถูกรังแกอยู่เรื่อย ผมอยากจะเปลี่ยนคนที่รังแกผมให้เขาเลิกทำแบบนั้น" "แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ผมบังคับความคิดของคนอื่นไม่ได้....สิ่งที่ทำได้ก็คือ....การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ไม่ถูกรังแก"
Vampire ฟังสิ่งที่ โยโซระ พูดก็ถึงกับอึ้ง "เปลี่ยนแปลงคนอื่นไม่ได้....แต่เปลี่ยนแปลงตัวเองแทนอย่างนั้นหรอ...." "ฮึ...ถ้างั้นขอชมหน่อยว่าเธอเปลี่ยนแปลงตัวเองในแบบไหนกัน" Vampire ยิ้มมุมปาก เขาตั้งท่าพร้อมจะโจมตี ปีกของเขากางออกเตรียมกระพือเพื่อเพิ่มความเร็ว มือของเขาทั้งสองข้างกางออกเตรียมตะครุปฉีกร่าง โยโซระ ในขณะที่ออร่าจักระทั้งตัวของ โยโซระ นั้นเริ่มมีประกายสายฟ้าแลบออกมาทั่วทั้งร่าง แววตาของเขามุ่งมั่นมาก จิโดริ ยูกิ ฮิเมะ และ เซบัสเตียน ถึงกับตกตะลึง เพราะเขาเพิ่งเคยเห็นปริมาณจักระของ โยโซระ ที่มากขนาดนี้เป็นครั้งแรก แต่ทั้ง 4 คนนั้นอยู่ด้านหลัง พวกเขาจึงไม่เห็นดวงตาอันน่ากลัว ดวงตาที่เป็นเนตรวงแหวนของ โยโซระ
วินาทีต่อมา ทั้งสองก็พุ่งเข้าหากันแทบจะมองไม่ทัน ในจังหวะที่ Vampire จะตะปบกรงเล็บทรงพลังใส่นั้น ความเร็วของ โยโซระ ก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน เขาเคลื่อนที่ราวกับสายฟ้าฟาดพุ่งเข้าชกเต็มลำตัวของ Vampire ประกอบกับที่ Vampire เสียแว่นตาเพราะแรงอัดอากาศจากหมัดของ จิโดริ กระแทก ทำให้เขามองเห็นไม่ชัด ท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนๆ Vampire ถูกแรกอัดกระเด็นปลิวไปกระแทกกับผนังกำแพงจนถล่มลงมา
โยโซระ ทรุดตัวลงกับพื้นในจุดที่เข้าปะทะ ดวงตาของเขากลับสู่ภาวะปกติ ออร่าจักระทั้งหมดคลายตัวสลายไป
เขาอยู่ในสภาพหมดเรี่ยวแรง "การเปลี่ยนแปลงของผม คือเปลี่ยนจากคนที่รอให้คนอื่นปกป้องเป็นคนที่ปกป้องคนอื่นยังไงล่ะ"
To be continued...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 18, 2016 6:35:45 GMT
EP5 : First Confrontation
หลังจากเหตุการณ์บุกโจมตีโรงประปาจบลงไปได้ 1 วัน
ระบบประปาหลักเสียหายอย่างหนักทำให้โตเกียวต้องขอแบ่งปันน้ำประปาจากเขตข้างเคียงชั่วคราว มันส่งผลกระทบร้ายแรง เพราะนอกจากน้ำประปาที่ไหลน้อยลงแล้ว การแบ่งปันน้ำจากเขตข้างเคียง ก็ยังทำให้ระบบประปาเขตข้างเคียงนั้นแย่ลงด้วย ในขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็เสียกำลังพลไปหลายนาย รวมถึงหน่วย SWAT ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ล้วนเสียชีวิตลงทั้งหมด แต่ละศพถูกฉีกกระจาย การชันสูตรบอกได้เพียงว่า พวกเขาเสียชีวิตเพราะอวัยวะภายในระเบิดออกจากกันด้วยความร้อน
ผู้กำกับการตำรวจนครบาลโตเกียว ได้เห็นเหตุการบางส่วนจากภาพที่ถ่ายโดยเฮลิคอปเตอร์ และปากคำตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาเรียก มาซากิโยะ มิโรซูมิ เข้าพบเป็นการส่วนตัว ภายหลังจากที่ มาซากิโยะ ได้จับกุมตัว นาโอกิ เซย์มิ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาซากิโยะ เปิดประตูห้องของผู้กำกับแล้วทำความเคารพ ก่อนที่ผู้กำกับจะชี้ไปที่ม่าน และกลอนประตูเป็นการบอกใบ้ ซึ่ง มาซากิโยะ ก็เข้าใจคำใบ้นั้น เขาหันกลับหลังทำการลงกลอนประตู แล้วหมุนมู่ลี่ที่เป็นม่านบังตาของห้องจนมิดชิด
เมื่อ มาซากิโยะ นั่งลงบนเก้ากี้หน้าโต๊ะของผู้กำกับ ผู้กำกับก็หยิบแฟ้มที่วางข้างๆ มาให้ มาซากิโยะ เปิดอ่าน ผู้กำกับที่เป็นชายสูงวัยผมหงอกเริ่มพูด "ผมอ่านรายงานของคุณแล้วนะ ร้อยตรีมิโรซูมิ ถึงแผนจะล้มเหลวแต่คุณก็ทำได้ดี" "มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมยังติดใจ....นั่นคือเรื่องเด็กๆ....มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนบอกว่าเขาเห็นเด็กวัยรุ่นจำนวน 5 คนอยู่ที่นั่น" "และยังบอกอีกว่าเด็กๆ มีความสามารถใช้พลังพิเศษได้เหมือนพวกคุโรฮิซึจิ....พูดอีกนัยหนึ่งคือ มีพลังแบบที่คุณมีนั่นแหละ" "ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า วันก่อนที่หญิงสาวลึกลับบุกมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าว เธอบอกพวกเราเกี่ยวกับการรวบรวมผู้ที่ใช้พลังมาช่วย" "ดังนั้น ผมว่ามันอาจจะเป็นการดีก็ได้ ที่จะให้เด็กๆ เหล่านั้นได้เข้ามาช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ และขึ้นตรงต่อผม คุณคิดว่าไง"
มาซากิโยะ ขมวดคิ้ว "เรื่องนี้....ผมเกรงว่าจะไม่ได้ครับท่าน....เด็กๆ พวกนั้นยังเป็นเด็กอยู่ จะให้มาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้ยังไง" ผู้กำกับฟังแล้วก็ไม่พอใจ เขาทุบโต๊ะดังสนั่น "เอ้าแล้วเรื่องเมื่อวาน เด็กๆ พวกนั้นไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อันตรายเลยรึยังไง" ประโยคนี้ทำเอา มาซากิโยะ ถึงกับพูดไม่ออก เขาจึงถามกลับไปแทนว่า "แล้วท่านมองเด็กๆ พวกนั้นเป็นอะไรอย่างนั้นหรอครับ" "เด็กๆ พวกนั้นมีความสามารถพิเศษก็จริง แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก ยังไม่มีความพร้อม ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เด็กเข้ามาเกี่ยวข้องหรอกครับ" "ถ้าท่านเห็นแก่เด็กๆ พวกนั้นที่ควรมีอนาคตที่ดี ผมว่าท่านไม่ควรบังคับหรือสั่งให้เด็กๆ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงครามของเรานะครับ" ผู้กำกับลุกขึ้นแล้วกระชากคอเสื้อของ มาซากิโยะ "คุณคิดว่าอนาคตของเด็กเพียง 5 คน จะมีน้ำหนักมากกว่าประชาชนนับล้านงั้นหรอ" "คุณเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าตอนนี้ถ้าเราไม่มีคนที่ใช้พลังพิเศษมาช่วย ศึกนี้เราย่อยยับแน่ ผมไม่สนหรอกว่าคนเหล่านั้นจะเป็นเด็กรึไม่"
มาซากิโยะ กำหมัดแน่น เขาไม่มีทางเลือกจึงต้องยื่นข้อเสนอไปว่า "ถ้าเช่นนั้น ผมขอเป็นคนสั่งการเด็กๆ เอง ห้ามใครเข้ามาก้าวก่าย" ผู้กำกับจึงปล่อยคอเสื้อของ มาซากิโยะ แล้วค่อยๆ นั่งลงช้าๆ "ถ้านั่นเป็นข้อเสนอของคุณ ผมก็จะรับไว้ ผมจะอนุญาตเท่าที่คุณยังทำได้"
..............................
โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง กรุงโตเกียว
ในห้องพักแบบส่วนตัวห้องหนึ่ง เป็นห้องที่เปิดม่านพอประมาณจนแสงยามสายส่องเข้ามาพอจะทำให้บรรยากาศของห้องดูสลัว โยโซระ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นบนเตียงผู้ป่วยพร้อมเสียงโอดครวญเล็กน้อย ทำเอาคนที่อยู่ดูอาการสะดุ้ง เธอก็คือตำรวจสาวมิอุระ อายาโนะ "ตื่นแล้วหรอจ๊ะ ทาคัตสึกิคุง เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่มั้ยจ๊ะ" อายาโนะ รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้มาเกาะขอบเตียงผู้ป่วยแล้วถาม "ยังเจ็บซี่โครงอยู่หน่อยๆ น่ะครับ คงเป็นเพราะผมเคลื่อนย้ายตำแหน่งจักระไปป้องกันไว้ไม่มากพอ....ว่าแต่ผมอยู่ที่นี่ได้ยังไงหรอครับ" โยโซระ อธิบายไปจนนึกขึ้นได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขายังมีสติคือหลังจากที่ปล่อยหมัดใส่ Vampire ไปไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง
อายาโนะ เดินไปที่โต๊ะวางของเล็กๆ อีกมุมหนึ่งของห้อง เธอหยิบผลไม้ที่เธอปอกมาพร้อมกับน้ำ มันเป็นแอปเปิลเขียว เมื่อเธอบรรจงวางมันไว้ข้างตัวของ โยโซระ แล้วจึงเริ่มตอบคำถามของเขา "เธอสลบไปเกือบ 1 วันแหน่ะ แต่หมอตรวจร่างกายแล้ว" "คุณหมอบอกว่า กล้ามเนื้อบริเวณชายโครงฟกช้ำ แต่ยังดีที่ซี่โครงไม่ร้าว ส่วนที่เธอหมดสติไปชั้นเดาว่าเธอคงใช้จักระมากไปน่ะจ่ะ" โยโซระ พยักหน้า "ขอบคุณคุณตำรวจมากเลยนะครับที่อุส่าห์มาเฝ้าผม แล้วเพื่อนๆ คนอื่นเป็นยังไงบ้างครับ มีใครเป็นอะไรรึเปล่า" อายาโนะ หยิบโทรศัพท์เธอขึ้นมากดเพื่อแจ้ง มาซากิโยะ ว่า โยโซระ ฟื้นแล้วพร้อมกับตอบไปด้วย "คนอื่นสบายดีจ่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง" "แล้วเพื่อนๆ ของผมเขาทำอะไรกันอยู่หรอครับ" โยโซระ ถามขึ้น และเขาก็ได้คำตอบทันที "ฝึกซ้อมไงจ๊ะ พวกเขาอยากเก่งเหมือนเธอน่ะ" หลังตอบจบเพียงเสี้ยววินาที เธอก็สะดุ้ง "อุ๊ย!! เกือบลืมไปเลย" อายาโนะ ชี้ไปที่หน้าต่างของห้อง ซึ่งลมกำลังพัดจนม่านปลิวไสว
เมื่อ โยโซระ มองตามไป เขาก็เห็นดอกไม้ดอกหนึ่งสีม่วงสดแช่อยู่ในแจกัน ในขณะที่ อายาโนะ พูดต่อว่า "ชิราซากิจัง ทำให้เธอแหน่ะ" "จิโดริ น่ะหรอ....ยัยนั่นทำอะไรแบบนี้เป็นกับเค้าด้วยหรอเนี่ย" โยโซระ พูดลอยๆ สีหน้าของเขาก็ไม่ได้มีอาการเขิน มีแต่อาการงง "ฮันแหน่ะ!! พวกเธอสองคนเป็นแฟนกันหรอจ๊ะ" อายาโนะ ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่ โยโซระ รีบปฏิเสธทันที "มะ...มะ...ไม่ใช่นะครับ" "ใครจะไปชอบยัยนั่นได้กันล่ะครับคุณตำรวจ!! ทั้งถึก ทั้งทน ทั้งเถื่อน บ้าพลัง ไม่ได้มีความเป็นผู้หญิงเลยซักนิด" เขาปฏิเสธเสียงแข็ง
"ฮ๊ะฮ๊ะฮ๊ะฮ๊ะ เธอเนี่ยนะ เป็นคนที่ตลกดีจังเลย ฮ๊ะฮ๊ะฮ๊ะฮ๊ะ...จะว่าไป เรียกชั้นว่าพี่อายาโนะ ก็ได้น๊า เรียกคุณตำรวจๆ มันฟังแล้วแหม่งๆ"
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 18, 2016 6:35:53 GMT
ผ่านไป 1 สัปดาห์
ภายหลังที่ โยโซระ ทาคัตซึกิ หายขาดจากอาการบาดเจ็บ มาซากิโยะ และ อายาโนะ ก็พาเขามาที่เรือนจำซึ่งอยู่นอกตัวเมือง เหตุผลที่พวกเขาทั้ง 3 คนมาที่นี่ก็เพื่อสอบปากคำ นาโอกิ เซย์มิ เพราะตั้งแต่จับกุมตัวได้ เขาพูดแต่เพียงแค่ขอพบกับ โยโซระ ระหว่างนั่งรอผู้คุมพาตัว นาโอกิ เซย์มิ มาในพื้นที่ที่จัดไว้ โดยที่ โยโซระ ไปนั่งรออยู่แล้ว มันเป็นเค้าเตอร์กระจกเก็บเสียง
มาซากิโยะ มองไปที่ โยโซระ ซึ่งกำลังนั่งรออยู่เบื้องหน้าเขา ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนขึ้นมา
ตอนที่เขาต่อสู้กับ Marionette แล้วจู่ Marionette ก็ถอนตัวไป เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปในรั้วการประปา สิ่งที่เขาเห็นคือ โยโซระ นอนหมอบอยู่ที่พื้น ในขณะที่เด็กๆ คนอื่นก็ยังคงไม่มีแรงลุกขึ้น เขามองไปรอบๆ เห็นร่องรอยการต่อสู้ จากนั้น กำแพงที่พังถล่มก็เริ่มทลายลง มาซากิโยะ เล็งปืนไปที่ซากกำแพงอย่างไม่รอช้า เขาพบว่า Vampire กำลังลุกขึ้น สภาพของ Vampire ดูเหมือนมีแผลอยู่เต็มตัว แต่แผลนั้นกำลังรักษาตัวเองอย่างรวดเร็ว เขายกปีกค้างคาวแล้วสบัดขึ้น
"หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่งั้นชั้นยิงจริงๆ นะ" มาซากิโยะ หรี่ตาลงและพูดข่มขู่เพื่อให้ Vampire หยุดการเคลื่อนไหว จากที่ มาซากิโยะ ประเมินสภาพแล้ว Vampire ยังมีความสามารถที่จะต่อกรกับเขาได้อย่างสบาย เขาจึงต้องระวังตัวไว้ก่อน แต่จู่ๆ ปีกค้างคาวทั้ง 2 ข้างของ Vampire ก็หดกลับเข้าไปในแผ่นหลัง กรงเล็บที่ยาวออกมาราวนิ้วละครึ่งฟุต ก็เริ่มกลับเข้าที่ Vampire ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ "ผมน่ะถูกจับแล้ว....ผมแพ้แล้ว....ผมแพ้ให้กับเด็กคนนี้...." Vampire มองไปที่ โยโซระ ซึ่งหมดสติที่พื้น ทำให้ มาซากิโยะ ประหลาดใจอย่างมาก "โยโซระ อย่างนั้นหรอ ทำไมกัน"
Vampire หันกลับมามอง มาซากิโยะ เขาเดินเข้ามาช้าๆ ก่อนจะยื่นแขน 2 ข้างให้ มาซากิโยะ เพื่อให้เขาใส่กุญแจมือ "เด็กคนนี้ชื่อ โยโซระ อย่างนั้นหรอ คุณคงเป็นคนที่สอนเค้าสินะ บางทีผมก็อยากรู้ว่าถ้าคุณเป็นคนสอนผม ผมจะเป็นเหมือนเค้าไหม" มาซากิโยะ ส่ายหน้าก่อนจะตอบว่า "จริงอยู่ที่ผมสอนวิธีการใช้จักระให้เด็กคนนี้ แต่ผมไม่ใช่คนที่สอนเค้าให้เป็นแบบนี้ มันคือตัวเค้าเอง" Vampire ก้มหน้ายิ้มรับสภาพของตน "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่ผมคิด อุดมการณ์ที่ผมเชื่อ จะพังทลายลงเพราะเด็กเพียงคนเดียว"
"แล้วคุณรู้ใช่มั้ย.....เรื่องดวงตาของเด็กคนนี้......มันอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พวกคุณเป็นฝ่ายชนะในศึกครั้งนี้" Vampire พูด
ไม่นานนัก ผู้คุมก็พาตัว นาโอกิ เซย์มิ เข้ามาในห้องเยี่ยมนักโทษ
เขามองหน้า โยโซระ แล้วยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะนั่งลงแล้วยกหูโทรศัพท์ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาแนบหูพร้อมกันกับ โยโซระ "ว่าไงเจ้าหนู อาการบาดเจ็บหายดีแล้วใช้รึเปล่า ชั้นชื่อนาโอกิ เซย์มิ....ชั้น....ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี" เซย์มิ พูดไปก้มหน้าไป โยโซระ จึงตอบขึ้นก่อน "ผมหายดีแล้วล่ะครับ...คุณเซย์มิ คุณ...เอ่อ....คุณสบายดีรึเปล่าครับ....คือผมก็ไม่รู้จะถามยังไงดี" เซย์มิ หัวเราะในคำพูดแปลกๆ ของ โยโซระ "ชั้นหรอ ชั้นสบายดีเสมอแหละ ในนี้ถึงจะคับแคบ แต่ชั้นว่า ไม่นานก็คงชิน" "ที่ที่ชั้นเคยอยู่ถึงมันจะกว้างกว่านี้ แต่ในใจชั้นรู้สึกว่าทุกอย่างมันคับแคบ....ตอนนี้ไม่แล้ว....ตั้งแต่ที่เธอทำให้ชั้นตาสว่าง" "ขอบใจเธอมากนะ....นั่นคือสิ่งที่ชั้นอยากจะบอก..... ดูเหมือนว่าคุณตำรวจเขาต้องการให้เธอมาถามข้อมูลจากชั้นไม่ใช่หรอ" โยโซระ นิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไม่กล้าตอบว่า ใช่ จนในที่สุดเขาก็ตอบ "เอ่อ....ก็ใช่ครับ....แต่ถ้าคุณเซย์มิ ไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร"
เซย์มิ ส่ายหัว "ไม่เป็นไร ชั้นจะบอกเท่าที่ชั้นรู้ก็แล้วกัน...เท่าที่ชั้นรู้ก็คือ สมาชิกในกลุ่มของเราจะติดต่อกันด้วยอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง" "มันเป็นแท่งสีดำเหมือนปากกา ชั้นมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว แต่มันคงจะใช้การไม่ได้แล้ว เพราะทันทีที่สมาชิกถูกโค่นล้มลง" "หรือถูกจับตัวได้ พวกนั้นก็จะตัดการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์ของสมาชิกคนนั้นทันที....สมาชิกขององค์กรมีจำนวนหลายพันคน" "แต่จะมีสมาชิกระดับสูงซึ่งเป็นสมาชิกที่มีความสามารถในการใช้จักระในระดับที่น่ากลัวอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น...ชั้นก็คือหนึ่งในนั้น" "สมาชิกของกลุ่มคุโรฮิสึจิ จะไม่ค่อยได้พบปะกันเท่าไร ไม่มีการเปิดเผยตัวตนแก่กันและกัน เว้นแต่เฉพาะบางคนที่สนิทกันเท่านั้น"
"ท่านผู้นำจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย Marionette จะเป็นคนที่กำหนดแผนการเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของท่านผู้นำ" "ส่วนคนอื่นๆ จะมีหน้าที่ในการปฏิบัติการตามแผนของ Marionette สมาชิกระดับสูงนั้นแข็งแกร่งอยู่ในระดับไล่เลี่ยกัน" "แต่ถ้าถามชั้นว่านอกจากท่านผู้นำแล้ว สมาชิกคนใดดูน่ากลัวมากที่สุด.....ชั้นจะตอบแบบไม่ลังเลว่า เธอคือ ไอริส เธอเป็นหญิงสาว" "ดวงตาของเธอ....มันเป็นดวงตาที่คล้ายดวงตาของนายมาก หลายคนเรียกว่าเนตรวงแหวน มันดลบันดาลพลังอันมหาศาลให้ผู้ใช้" "โยโซระ...ถ้านายจะต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกระดับสูงของคุโรฮิซึจิอีกล่ะก็ แต่ชั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับ ไอริส ไว้ก่อน" "สำหรับแผนการโจมตีครั้งต่อไป จะเป็นแผนการโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ จังหวัด ฟุกุชิมะ ในอีก 4 วันข้างหน้า" "เดิมทีชั้นจะต้องเป็นผู้ร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ แต่ตอนนี้ชั้นถูกจับตัวได้ พวกนั้นก็จะส่งสมาชิกระดับสูงคนอื่นมาทำหน้าที่แทนชั้น"
โยโซระ นั่งฟังจนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เดินเข้ามาบอกว่าหมดเวลาเยี่ยมนักโทษแล้ว "ขอบคุณนะครับคุณเซย์มิ...." เขาพูด เซย์มิ ยิ้มให้ "ชั้นตะหากต้องขอบคุณ...ชั้นรอดูวันที่นายหยุดพวกนั้น และปกป้องโลกใบนี้เอาไว้อยู่นะ...ชั้นเชื่อว่านายทำได้ โยโซระ" จากนั้น ผู้คุมก็พาตัว นาโอกิ เซย์มิ เดินกลับห้องขังของเขาไป โยโซระ ลุกขึ้นแล้วเดินมาหา มาซากิโยะ และ อายาโนะ เขาเล่าข้อมูลที่ เซย์มิ บอกให้ มาซากิโยะ และ อายาโนะ ฟัง อายาโนะ จึงถามขึ้นว่า "คำพูดของเจ้าหมอนั่นน่ะเชื่อได้แน่หรอ?"
โยโซระ พยักหน้า "ผมเชื่อใจเขาครับ" ในขณะที่ มาซากิโยะ แตะไหล่ทั้งสองคนแล้วพูดว่า "หมอนั่นคงพูดความจริงอย่างแน่นอน" "พวกเธอสองคนคิดว่าคนที่ยังมีความสามารถในการต่อสู้ในระดับดีเยี่ยมขนาดนั้น แข็งแกร่งขนาดนั้น จะยอมให้จับง่ายๆ งั้นหรอ" "แล้วพวกเธอคิดว่ากับอิแค่กำแพงบางๆ กับประตูเล็กนิ่มๆ พวกนี้ จะขังเขาเอาไว้ได้อย่างนั้นหรอ....นอกเสียแต่เขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ" "นั่นก็ต้องขอบคุณเธอนะ ทาคัตซึกิ อย่างน้อยเธอก็ช่วยเขาไว้ไม่ให้ถลำลึกลงไปในความชั่วร้ายมากกว่านี้" มาซากิโยะ พูดด้วยรอยยิ้ม
..............................
ณ สถานที่ไม่ทราบตำแหน่ง
มันเป็นห้องตกแต่งด้วยไม้ชั้นดีสไตล์ยุโรป มีตู้เก็บหนังสือที่เต็มไปด้วยตำรามากมาย ประดับประดาไปด้วยวัตถุเลอค่า ชายสวมชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ เขาถือไม้เท้าแกว่งไปแกว่งมาตามพื้น ท่าทางเหมือนคนตาบอดไม่มีผิดเพี้ยน เขาเดินมาจนถึงโต๊ะทำงานไม้โต๊ะใหญ่ มีแบบแปลน มีเอกสารมากมายซึ่งดูละลานตา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูเด่นชัดและเตะตา มันคือหน้ากากของกลุ่มคุโรฮิซึจิ แต่มันแตกต่างออกไป มันเป็นหน้ากากสีขาวมีลวดลายซึ่งถูกสวมใส่โดยผู้นำของกลุ่ม แน่นอนว่าชายคนนี้คือผู้นำกลุ่มคุโรฮิซึจิ เขาก้มหน้าในฮู๊ดคลุมศีรษะทำให้ไม่เห็นหน้าตา เขาใช้มือดึงผ้าบางอย่างออกจากฮู๊ด
มันคือผ้าพันแผลสีขาว ความยาวของมันยาวมากทำให้พอนึกออกได้ว่ามันถูกพันรอบดวงตาเอาไว้ เขาจึงมองไม่เห็นทางเดิน จากนั้นเขาก็หยิบหน้ากากขึ้นมาสวม ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ยาวสไตล์วินเทจของยุโรปโดยหลับตาเอาไว้ตลอด "ในที่สุด....ในที่สุดชั้นก็ได้มันมาครอบครอง....พลังในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้...." เขาพูดขึ้นอย่างชื่นอกชื่นใจ
แล้วเมื่อเขาลืมตาขึ้น ดวงตาที่มองผ่านช่องของหน้ากากออกมา มันเป็นดวงตาสีแดงเลือดนก...มันคือ...เนตรวงแหวน
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 18, 2016 6:36:01 GMT
ผ่านไป 2 วัน
วันนี้เป็น 1 วันก่อนวันลงมือโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ จังหวัด ฟุกุชิมะ ซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่เขตโตเกียว ส่งผลให้ มาซากิโยะ และ อายาโนะ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่คุ้มกันในฐานะตำรวจได้ เพราะตำรวจแบ่งเขตพื้นปฏิบัติการชัดเจน พวกเขาจึงต้องการความช่วยเหลือ นั่นก็คือยานพาหนะ ในสถานการณ์ที่รถไฟความเร็วสูงหยุดให้บริการชั่วคราว อีกทั้งยังไม่สามารถใช้รถตำรวจในการเดินทางไปยังจังหวัดฟุกุชิมะ ได้อีกด้วย ยานพาหนะ คือสิ่งที่พวกเขากำลังเสาะหา มาซากิโยะ จึงชวน อายาโนะ มายังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องนี้จากคนบางคนที่ อายาโนะ ไม่รู้จัก พวกเขาปล่อยให้เด็กๆ กลับไปฝึกฝนการใช้จักระที่ศาลเจ้า ในช่วงหลังมานี้ฝีมือของพวกเด็กๆ ทั้ง 5 คนพัฒนาได้รวดเร็วมาก
ระหว่างที่ มาซากิโยะ และ อายาโนะ เดินเข้าไปยังชุมชนแออัดแห่งหนึ่ง อายาโนะ มองไปรอบๆ เธอก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที "ทำไมเราต้องมาในที่แบบนี้ด้วยคะ บรรยากาศแบบนี้ดูขนลุกชะมัด" อายาโนะ บ่นขึ้น เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นไม่เหมือนที่อื่น มันเป็นชุมชนที่มีโทนเป็นสีเทา มีอาคารสูงขึ้นขนาบข้างเต็มสองข้างทาง เป็นอาคารเก่าๆ สภาพแวดล้อมค่อนข้างสกปรก ซ้ำร้ายสองข้างทางก็มีตั้งแต่แมวจรจัดไปจนถึงคนจรจัด บางมุมมืดๆ ก็เห็นแก็งค์วัยรุ่นกำลังมั่วสุมทำอะไรไม่ดีบางอย่าง พอบางคน บางกลุ่ม เห็น มาซากิโยะ และ อายาโนะ ที่สวมเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินผ่านมาก็เริ่มเดินหนีออกห่าง บางคนมีท่าทีลุกลี้ลุกลน บางคนถึงกับวิ่งหนี ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าใด อายาโนะ ก็เกาะแขน มาซากิโยะ แน่นขึ้นเท่านั้น
ไม่นานนัก มาซากิโยะ ก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ายิมเพาะกายเก่าๆ โทรมๆ และมืดๆ แห่งหนึ่ง "ถึงที่แล้วล่ะ เข้าไปกันเถอะ" เมื่อได้ยินที่ มาซากิโยะ พูด อายาโนะ ก็แสดงท่าทีตกใจ "เอ๊ะ เรามาทำอะไรที่นี่คะ? อย่าบอกนะว่ารุ่นพี่จะพามาเล่นกล้ามน่ะ" มาซากิโยะ หยุดเดิน เส้นเลือดของเขาปูดขึ้นที่มุมหน้าฝากซ้าย เขากำหมัดแน่นตัวสั่นสะท้าน "ช่วยอยู่เงียบๆ แล้วเดินตามมาได้มั้ย" "กับอิแค่เดินเข้ามาก็ขนลุกพออยู่แล้ว นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องหารถไปฟุกุโอกะ ชั้นก็คงไม่ถ่อสังขารณ์มาถึงที่นี่ให้หรอกนะ" อายาโนะ ทำหน้าบูดๆ จากนั้นเธอก็เดินหลังแอ่นๆ ตาม มาซากิโยะ เข้าไปในยิมเพาะกายโทรมๆ อย่างจำใจ
ภายในยิม อายาโนะ เห็นนักเพาะกายจำนวนมากกำลังเล่นเครื่องเล่นอยู่ พวกเขาล้วนเป็นชายหนุ่มรูปร่างล่ำสันกันทั้งนั้น ถึงหน้าตาพวกเขาจะดูป่าเถื่อน แต่ที่น่าแปลกคือทุกคนที่หันมาไม่ได้มอง อายาโนะ เลย พวกเขากลับจ้อง มาซากิโยะ ตาเป็นมัน ระหว่างที่ อายาโนะ รู้สึกแปลกๆ มาซากิโยะ ก็เดินมาหยุดที่คนคนหนึ่ง เขากำลังเล่นกล้ามแขนด้วยดรัมเบลซึ่งมีขนาดใหญ่มาก รูปร่างของเขาใหญ่โตที่สุด เส้นผมตรงยาวประบ่าสีเหลือง ใบหน้าดูเหมือนผู้ชาย แต่แต่งหน้าแต่งตาอย่างเช่นที่ผู้หญิงทำไม่มีผิด ชายคนนั้นเหลือบมาเห็น มาซากิโยะ ก็ตกใจ เขาทำดรัมเบลหล่นลงกระแทกใส่หัวแม่เท้าของตัวเองจนกระโดดเป็นกระต่าย
"ต๊ายต๊าย นึกว่าใครมา ที่แท้ก็ที่รักมานี่เอง คิดถึงเค้าหรอคะ มามะมาให้เค้าหอมแก้มหน่อยนะตัวเอง" ชายคนนั้นโผเข้าใส่ทันที มาซากิโยะ หรี่ตาลงด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเอียงตัวหลบไปด้านซ้ายรอดใต้แขนขวา จากนั้นก็ใช้เข่าขวาดักไปที่ขาของชายคนนั้น น้ำหนักตัวของชายคนนั้นหนักมาก เข่าของ มาซากิโยะ ตระตุกมีเสียงดังแกร๊บ แต่เขาก็เกร็งมันไว้พอจะล้มชายคนนั้นได้ ร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของชายคนนั้นล้มกระแทกพื้นอย่างแรง จนทำให้อาคารสั่นไหว เศษฝุ่นละอองร่วงหล่นลงจากเพดาน อายาโนะ ยืนแข็งทื่อ เธอเหลือบตามองบนเพดานซ้ายทีขวาที ในใจของเธอกลัวว่าอาคารทั้งหลังจะถล่มลงมาทับ
มาซากิโยะ ก้าวเข้าไปหาชายคนนั้นก่อนจะทิ้งก้นลงนั่งบนหลังชายที่ล้มลง "สวัสดีชีแมน ทักทายกันแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ" ชีแมน ทำปากจู๋ "ที่รักก็เป็นแบบนี้ทุกที คราวก่อนมาก็ขอให้ช่วยทำโน่นทำนี่ให้ มาคราวนี้จะให้เค้าทำอะไรให้อีกล่ะยะ" มาซากิโยะ ใช้นิ้วจิ้มไปที่หัวของชายที่เขาเรียกว่า ชีแมน "คราวนี้ชั้นอยากได้รถสักคันนึง คันที่ใหญ่พอจะนั่งได้ 7 คนน่ะนะ" ชีแมน ยิ้มมุมปาก "แล้วถ้าเค้าไม่ทำให้ล่ะจ๊ะตัว ตัวจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า รึว่าตัวจะมีอะไรแลกเปลี่ยนที่แบบว่าจึ๊กกะดึ๋ยๆ" มาซากิโยะ หลับตากำหมัดก่อนจะตะโกนหัวโตเข้าใส่ทันที "ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละน่า แล้วอะไรคือจึ๊กกะดึ๋ยๆ ของแกฟะ" จากนั้นเขาก็หยิบสมุดโน๊ตขึ้นมาเปิด "ข้อเสนอคือ หารถมาให้ชั้นตามที่ขอ เพราะว่าชั้นได้ข่าวว่าพักหลังนี่แถวนี้มันกลิ่นไม่ดี" "คดีพรากผู้เยาว์ที่เป็นเด็กผู้ชาย 15 คดี คดีข่มขืนกระทำชำเราชายหนุ่ม 18 คดี ข่มขืนชายชรา 6 คดี และยังมีคดี......." มาซากิโยะ ยังพูดไม่ทันจบ ชีแมนก็ แทรกขึ้นว่า "ก็ได้ค่า ก็ได่ค่า จัดให้เลย จะเอาวันไหนล่ะค้า ยอมแล้วค่ายอมทุกอย่างแล้ว"
หลังจากที่ตกลงเงื่อนไขกันครบแล้ว มาซากิโยะ ก็เดินออกมาจากยิมนั้น อายาโนะ เดินตามมาด้วยใบหน้าที่สงสัย "คนนั้นใครกันหรอคะรุ่นพี่ ทำไมเรียกรุ่นพี่ว่าที่รัก ตัวเองอย่างงั้นอย่างงี้ แล้วยังจึ๊กกะดึ๋ยๆ อีกด้วย" อายาโนะ ถามขึ้น มาซากิโยะ มีท่าทีที่สลดใจสุดๆ "ก็แค่คนร้ายที่เคยจับได้แล้วพ้นโทษออกมาน่ะแหละ หมอนี่พอจะช่วยเราได้ แล้วขอทีเถอะ" "เลิกพูดคำว่าจึ๊กกะดึ๋ยๆ ซะทีจะได้มั้ย"....."เอ๊ะ?" มาซากิโยะ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อายาโนะ เธอจึงถามว่า "เอ๊ะอะไรหรอคะ" แววตาเจ้าเล่ห์ของ มาซากิโยะ ก็เผยออกมาซึ่งปกติแล้วถ้าไม่ใช่กับคนสนิทเขาจะดูไม่ขี้เล่นเท่านี้ "เอ๊ะ!!...รึว่าเธอหึงชั้น"
......เปรี้ยง!!!....... ร่างของ มาซากิโยะ พุ่งหัวปักพื้นอย่างแรงเพราะเขาโดนหมัดของ อายาโนะ ทุบเข้าเต็มศีรษะ เขาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิกอดอก "นั่นไงล่ะ เขินจนหน้าแดงหมดแล้ว เอาน่าเราคนกันเอง แอบชอบก็บอกได้นะ อายะจัง" มุมปากของ อายาโนะ กระตุกดิ๊กๆ "รุ่นพี่มิโรซูมิ!!! จะเอาอีกหมัดอย่างนั้นสินะคะ" เธอชูกำปั้นขึ้น มือของเธอสั่นรัว "ล้อเล่นน่าล้อเล่น ว่าแต่เรื่องเพื่อนของเธอที่เป็นทหารน่ะ คุยแล้วรึยัง เค้าตกลงรึเปล่า" มาซากิโยะ ลุกขึ้นแล้วถาม อายาโนะ พยักหน้า "ชั้นคุยกับริกะจังแล้วล่ะค่ะ เธอบอกว่าจะทำรายงานให้ผู้บังคับบัญชาเพื่อสั่งการส่งกำลังมาช่วยค่ะ" "แล้ว....ทำไมคราวนี้รุ่นพี่ถึงคิดจะพาพวกเด็กๆ ไปด้วยล่ะคะ มันจะไม่อันตรายไปหน่อยรึไงกัน" เธาถามด้วยความสงสย
มาซากิโยะ ตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆ "เพราะว่าชั้นต้องทำใจยอมรับน่ะสิ....ยังไงสักวันหนึ่งมันก็จะต้องกลายเป็นศึกของพวกเขาอยู่ดี"
..............................
วันเช้าตรู่ของวันถัดมา
บริเวณโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ จังหวัด ฟุกุชิม มีรถตู้เก่าๆ สีชมพูแป๊ดท่อนตอนหลังไม่มีหน้าต่าง มันปิดทึบจอดอยู่ไม่ห่าง มาซากิโยะ มิโรซูมิ นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ โดยข้างๆ มี อายาโนะ นั่งหลับซบไหล่ของเข้าอยู่ พวกเขามาเฝ้าสังเกตการณ์แต่ยังไม่สว่าง ส่วนท่อนหลังเด็กๆ ทั้ง 4 คน นั่งหลับเรียงกันอยู่ ที่พวกเขายังไม่ตื่นเพราะว่ามันยังไม่สว่างดี เซบัสเตียน เป็นคนเดียวที่ไม่อยู่ในรถ ฮิเมะ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เธอมองไปกวาดไปภายในรถที่มืดทึบ เธอเห็นเพื่อนๆ นอนหลับอยู่ และชีแมน นั่งมอง โยโซระ ตาไม่กระพริบ เมื่อเธอเห็นว่ารุ่นพี่เซบัสเตียน โคคุโอะ ไม่อยู่ในรถ เธอจึงค่อยๆ คลานอย่างเงียบๆ แล้วเปิดประตูหลังรถตู้ออกไปข้างนอก
มาซากิโยะ มองผ่านกระจกข้าง เขาเห็น ฮิเมะ กำลังเดินไปหา เซบัสเตียน ที่ลุกออกไปสูบบุหรี่ เขาก็มองดูเด็กสองคนอย่างเงียบๆ อากาศข้างนอกนั้นหนาวมาก ฮิเมะ เห็น เซบัสเตียน สวมเพียงเสื้อยืดบางๆ เธอจึงถามขึ้นว่า "มายืนตรงนี้ไม่หนาวหรอคะรุ่นพี่" เซบัสเตียน ส่ายหน้า ก่อนจะหันกลับมา "แล้วเธอล่ะ ไม่หนาวรึไง จะออกมาทำไม" ฮิเมะ พูดด้วยเสียงสั่นๆ "ดิชั้นนอนไม่หลับค่ะ" "ดิชั้นกำลังมีความคิดที่ไม่เข้าท่า อยากขอความเห็นรุ่นพี่หน่อยน่ะค่ะ...." ฮิเมะ พูดขึ้นขณะเธอเดินมาหยุดข้างๆ เซบัสเตียน เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร ฮิเมะ จึงเริ่มพูดต่อ "บางครั้งที่นึกถึงคุณพ่อแท้ๆ ดิชั้นจำได้ลางๆ ว่าท่านพูดอะไรบางอย่างก่อนที่จะ..." "ท่านพูดทำนองว่า "นี่ก็เพือลูกนะ เจ้าหญิงของพ่อ...จากนั้นท่านก็หันไปคุยกับคนบางคนว่า คุณน่ะไม่มีทางทำสำเร็จหรอก"
"ดิชั้นน่ะไม่อยากคิดให้เป็นแบบนั้น แต่ความทรงจำบอกชั้นว่า..... ดิชั้นเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาสวมชุดคลุมสีดำ" น้ำตาของเธอเริ่มหลั่งออกจากดวงตา "ไม่แน่บางที เขาอาจจะเป็นสมาชิกของพวกกลุ่มคุโรฮิซึจิ ก็ได้ เพราะตั้งแต่นั้นมา..." "ดิชั้นรู้สึกมาตลอดว่ามันมีอะไรบางอย่าง....อยู่ในตัวของดิชั้น.....แล้วดิชั้นก็กลายเป็นคนที่มีพลังพิเศษแบบนี้..." เธอพูด เซบัสเตียน หันมามอง สายตาของเขาดูเหมือนจะเห็นใจเธอมาก เขาโอบกอดไหล่ของเธอเอาไว้ "ไม่เป็นไร ตอนนี้เธอไม่เป็นไรแล้ว" "ถ้าคนพวกนั้นเป็นพวกเดียวกับที่ฆ่าพ่อแท้ๆ ของเธอ พวกเราก็จะจัดการกับพวกมัน และชั้นจะช่วยเหลือเธอเอง" เขาพูด
จากจุดที่รถตู้ของพวก โยโซระ จอดอยู่
ห่างออกไปข้างหน้าราวๆ 400 เมตร เป็นประตูทางเข้าโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ที่มีการป้องกันแน่นหนามาก ทันใดนั้น มาซากิโยะ ก็เห็นสิ่งผิดปกติ เขาจึงรีบสะกิด อายาโนะ ให้ตื่นขึ้นมา และปลุกเด็กๆ ให้ตื่นมาเตรียมพร้อมเอาไว้ ชีแมน ค่อยๆ ปลุกเด็กๆ ขึ้นมาทีละคนสองคน แต่เหมือนมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น เขาคือ โยโซระ เขาหลับลึกมาก ชีแมน จึงก้มลงพูดข้างหูของ โยโซระ "หนุ่มน้อย...นี่ถ้าตัวเองไม่ตื่นเค้าจะแอบจูจู๊บแบบจึ๊กกะดึ๋ยๆ กับตัวเองแล้วน๊า ม่วฟฟฟฟฟฟ" วิธีปลุกของ ชีแมน ได้ผลดีเกินคาด ไม่ใช่แค่ทำให้ โยโซระ ตื่นขึ้นมาได้ มันทำให้เขาตาสว่างไร้ความงัวเงียไปเลยอีกด้วย
สิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือคนชุดดำจำนวนมาก ถืออาวุธปืนบุกกระหน่ำยิงใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรงประตูหน้า เสียงสัญญาณเตือนภัยเริ่มดังขึ้น ในกลุ่มคุโรฮิซึจิที่เดินมาจากอีกมุมถนนนั้น มีสมาชิก 1 คนที่ดูแว๊บเดียวก็รู้ว่าเป็นสมาชิกระดับสูง เขาเดินแซงสมาชิกติดอาวุธจำนวนหลายสิบคนเข้าไป สิ่งที่ทำให้เป็นจุดสังเกตคือเส้นผมที่ยาวหยักโสกสีขาว ท่าทางการเดินสง่างาม มาซากิโยะ หันกลับไปหาเด็กๆ "พวกนั้นมีอาวุธปืน หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าแบบตรงๆ ลองใช้แผนที่ฝึกมาดูก็แล้วกันนะ...." "แล้วก็อีกอย่าง ถ้ารู้ว่าตรงไหนอันตราย ก็อย่าเสี่ยงเข้าไปล่ะ....ตั้งสมาธิเข้าไว้ ส่วนตัวหัวหน้านั่น ชั้นจะเป็นคนจัดการเอง" "เอาล่ะไปได้ ระวังตัวกันให้ดีๆ ล่ะ" เขาให้สัญญาณเด็กๆ จากนั้นเขาก็หันมาหา อายาโนะ "ส่วนเธอก็ติดต่อคุณริกะ ด่วนเลย"
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 18, 2016 6:36:09 GMT
หลังจากที่กลุ่มคุโรฮิซึจิ บุกเข้าไปได้ไม่นาน
เด็กทั้ง 5 คนก็ลอบเข้าไปในตัวพื้นที่ของโรงงาน ในขณะที่ มาซากิโยะ ลอบเข้าไปอีกฝั่งเพื่อหาตัวสมาชิกระดับสูงของคุโรฮิซึจิ อายาโนะ ยังคอยอยู่ที่รถ เธอพยายามติดต่อหา ฮายาโนะ ริกะ เพื่อนของเธอที่เป็นทหาร ส่วนทางด้าน ชีแมน ทำหน้าที่เฝ้ารถ
ไม่นานนัก พวกเด็กๆ ก็ตามกลุ่มชุดดำที่กำลังกราดยิงใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้านในด้วยอาวุธสงคราม สภาพพื้นที่เป็นเหมือนโรงงานทั่วไป เต็มไปด้วยโลหะ และท่อต่างๆ จำนวนมาก มีเครื่องยนต์และกลไกมากมายไว้ให้หลบหลีก จนในที่สุดเด็กทั้ง 5 ก็ตามกลุ่มชายชุดดำมาถึงหน้าประตูทางเข้าบริเวณ Section ที่เป็นเตาปฏิกรนิวเคลียร์
โยโซระ จิโดริ และยูกิ หลบซ่อนตัวอยู่ฝั่งขวา ในขณะที่ เซบัสเตียน และฮิเมะ หลบซ่อนตัวอยู่ฝั่งซ้ายของกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธ "แย่ล่ะสิ ให้พวกมันไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะนะ ถ้าพวกมันเข้าไปได้ คนทั้งเมืองได้ตายหมดแน่" โยโซระ พูดด้วยสีหน้าไม่ดี เมื่อ เซบัสเตียน เห็นว่าเป็นจังหวะดีที่พวกคนชุดดำไม่ได้ระวังตัว เขาก็ส่งสัญญาณมือไปให้ โยโซระ เพื่อเริ่มแผนการ โยโซระ จึงเริ่มรีดเร้นจักระ เขาส่งมันลงไปยังปลายเท้า ก่อนออกวิ่ง เขาวิ่งพรวดออกไปด้วยความเร็วที่สูงจนแทบมองไม่ทัน เขาวิ่งวนหลอกล่อกลุ่มคนชุดดำจนพวกเขาเริ่มเกิดอาการสับสน และยิงกราดใส่มั่วซั่วไปหมด จากนั้นก็เป็นเทิร์นของ ฮิเมะ
ฮิเมะ ใช้คาถาอัญเชิญอย่างที่เธอฝึกฝนมา เธอสามารถอัญเชิญประตูราโชมอน 1 ชั้นขึ้นมาขวางด้านหน้ากลุ่มคนชุดดำ ประตูบานเป็นประตู้โบราณขนาดใหญ่ มีต้นเสาและคานประตูเป็นสีแดงประดับด้วยลวดลาย บานประตูเป็นหน้าปีศาจถูกลงกลอนไว้ พวกเขาไม่ได้ตกใจอะไรมากมายนัก เพราะพวกเขาเคยชินกับหลังเหนือธรรมชาติมาก่อนหน้า แต่มันก็ขวางไม่ให้ลุยไปได้ต่อ จากนั้น เซบัสเตียน โคคุโอะ ก็กระโดดขึ้นไปยืนบนประตูราโชมอนที่สูงราว 4 เมตร "โทษทีที่ให้ผ่านไปไม่ได้ คาถาไฟ ลูกบอลไฟยักษ์!!" เซบัสเตียน พ่นลูกไฟขนาดยักษ์เข้าไปใส่กลุ่มคนชุดดำเหล่านั้นราว 20 คน จนแต่ละคนกระเด็นกระดอนออกไปอย่างไม่เป็นท่า หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป ร่างกายของพวกเขาคงถูกแรงอัดจะร่างฉีกกระจายไปอย่างแน่นอนแต่พวกเขามีจักระป้องกันอยู่บ้าง และกลุ่มคนชุดดำกระเด็นไปในทางที่ เซบัสเตียน ต้องการ เพราะด้านหลัง มีรากไม้ขนาดใหญ่จำนวนมากพุ่งทะลุพื้นขึ้นมา
"คาถาไม้ ค่ายกลแห่งพงไพร!!" จิโดริ ที่อยู่ด้านหลังกองรากไม้ตะโกนขึ้น รากไม้ขนาดใหญ่ยักษ์รัดพันกลุ่มคนชุดดำไว้ทั้งหมด ตามมาด้วยโซ่สีทองยาวจำนวนมาก "คาถาพันธนาการ โซ่ตรวน" ยูกิ พูดขึ้น แล้วโซ่เหล่านั้นที่ออกจากแผ่นหลังของ ยูกิ ก็ลอยเข้าไป มันพันล้อมทับรากไม้ที่ จิโดริ สร้างขึ้นมา แล้วรัดกลุ่มคนชุดดำทับรากไม้ มันแน่นจนกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธทั้งหมดไร้ทางต่อสู้อีกต่อไป เด็กทั้ง 5 คน หยุดกองกำลังติดอาวุธของ คุโรฮิซึจิ เอาไว้ได้ แต่ก็แลกกับการใช้จักระทั้งหมดของ เซบัสเตียน ฮิเมะ ยูกิ และ จิโดริ
ทันใดนั้นเอง โยโซระ รู้สึกเหมือนมีเงาดำๆ อยู่ที่ประตูด้านหลังของเขา
เขาเห็นเงาของคนชุดดำในเงามืดหลังประตูที่เปิดอ้าไว้ เงานั้นกำลังเดินถอยไป ทว่าภายใต้หน้ากากนั้น โยโซระ ได้เห็นเนตรวงแหวน เขาจึงนึกถึงคำพูดของ เซย์มิ ที่บอกกับเขาเกี่ยวกับสมาชิกของคุโรฮิซึจิ ว่า "สมาชิกที่กลัวมากที่สุด... เธอคือ ไอริส เธอเป็นหญิงสาว" "ดวงตาของเธอ....มันเป็นดวงตาที่คล้ายดวงตาของนายมาก หลายคนเรียกว่าเนตรวงแหวน มันดลบันดาลพลังอันมหาศาลให้ผู้ใช้" "โยโซระ...ถ้านายจะต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกระดับสูงของคุโรฮิซึจิอีกล่ะก็ ชั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับ ไอริส เอาไว้" แต่คำเตือนเหล่านั้นช่างไร้น้ำหนักเมื่อเทียบกับความเคลือบแคลงใจของเขา เพราะดวงตาที่เขาเห็นนั้นเหมือนกับในฝันของเขามาก
โยโซระ เหลือบไปมองเพื่อนๆ ที่กำลังจัดการกับกลุ่มสมาชิกคนชุดดำติดอาวุธจนไม่ทันได้สังเกต เขาจึงถือโอกาสวิ่งตามเงานั้นไป
..............................
หน้าประตูทางเข้าห้องควบคุม
มาซากิโยะ มาหยุดขวางชายชุดคลุมดำเอาไว้ แต่เขามาถึงช้าเกินไปเพียงนิดเดียว เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยทุกคนตายหมด ศพของพวกเขาแต่ละคนถูกยิงด้วยอาวุธปืน บางศพก็นอนอยู่ข้างกัน มาซากิโยะ มองไปรอบๆ ก่อนตั้งปืนเล็งไปที่ ชายชุดดำคนนั้น ชายชุดดำหันมาช้าๆ แล้วถอดหน้ากากออกแสดงใบหน้าเรียบเชียบ แววตาเย็นชา ผมของเขาเป็นสีขาวยาวมาก หน้าตาเหมือนลูกครึ่ง เขาพูดด้วยสำเนียงที่เหมือนคนรัสเซียว่า "ทิ้งอาวุธนั่นไปเถอะครับ คุณตำรวจก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงว่ามันเปล่าประโยชน์ถ้าใช้กับพวกเรา" มาซากิโยะ ไม่ลังเลใจ เขาลั่นไกเข้าใส่ทันที ส่วนชายชุดดำผมสีขาวสามารถโยกซ้ายขวาหลบกระสุนได้เหมือนเดอร์เมทริกซ์ก็ไม่ปาน ทว่า มาซากิโยะ ไม่สามารถยิงกระสุนนัดต่อไปได้ เพราะว่า ปืนในมือของเขา กำลังเล็งเข้าใส่ใบหน้าของเขาเองอย่างน่าฉงน
"แปลกใจอย่างนั้นหรอคร๊าบ ผมน่ะถูกเรียกว่า Plague หมายถึงการระบาด ตอนนี้ความคิดของผมคงระบาดอยู่ในหัวของคุณแล้ว" Plague พูดยิ้มด้วยรอยยิ้ม เขาหันกลับหลัง และเดินไปยังประตูเข้าห้องคุมควบคุมชนิดที่มั่นใจมากว่า มาซากิโยะ คงไม่รอดแล้ว ทว่าเมื่อเสียงปืนดังขึ้น กระสุนกลับพุ่งทะลุเไหล่ซ้ายของ Plague จนเลือดของเขาพุ่งกระจาย ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวด แต่ Plague ไม่ส่งเสียงร้องออกมา เขาหันกลับไปหา มาซากิโยะ ช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม "อาาาา วันนี้มันจะโชคดีอะไรแบบนี้กันน๊า" มาซากิโยะ โยนปืนทิ้งไปแล้ว ร่างกายเขาเรืองออร่าสีฟ้า เขายกดาบคาตานะโบราณเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วค่อยๆ ดึงมันออกจากฝักดาบ
Plague ก็ชูดาบของเขาขึ้นมา แต่มันยังไม่ถูกดึงออกจากฝักดาบ "ผมเริ่มสนใจคุณเข้าแล้วล่ะ คุณตำรวจ คุณชื่ออะไรงั้นหรอ" มาซากิโยะ ยิ้มนิดๆ "ผมคือเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลโตเกียว ร้อยตำรวจตรีมาซากิโยะ มิโรซูมิ คนที่จะจับกุมคุณ" Plague ใช้มือซ้ายเคาะที่ฝักดาบเป็นการปรบมือ "โอเลลอฟ นางาสะ ยินดีที่ได้รู้จัก จะจับผมน่ะหรอ...ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก"
จากนั้น ทั้งคู่ก็เริ่มปะทะกันด้วยการดวลดาบ มันเป็นการดวลดาบที่ไม่เหมือนการดวลดาบทั่วไป เพราะเป็นการดวลจักระไปด้วย
..............................
ทางแยกซึ่งดูเหมือนเป็นทางออกจากตัวอาคาร
โยโซระ วิ่งตามเงาดำนั้นมาจนเขาตามทัน เขาเห็นคนชุดดำร่างเล็กสูงราว 170 c.m. กำลังจะเดินออกไปจากประตู "หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ.....คุณคือไอริส ใช่รึเปล่า" โยโซระ ตะโกนขึ้น ทำให้คนชุดดำร่างเล็กหยุดเดินแล้วหันกลับมาตามเสียง เธอคือ ไอริส ที่พวกเรารู้จักไม่ผิดแน่นอน เธอหัวเราะเบาๆ "หึหึหึ....เจ้า Vampire เอาเรื่องของกลุ่มเราไปเผาอย่างนั้นสินะ" โยโซระ ไม่รอช้า เขารีดเร้นจักระลงสู่เท้าแล้วระเบิดความเร็วพุ่งเข้าใส่ ไอริส ด้วยหมัด แรงออกตัวทำให้พื้นที่เขายืนแตกเป็นหลุม ดวงตาของ ไอริส เปลี่ยนจากดวงตาปกติเป็นเนตรวงแหวนเพียงชั่วเสี้ยววินาที เธอเอียงตัวหลบไปด้านข้างแล้วถีบใส่ โยโซระ
แรงถีบของเธอนั้นไม่ได้รุนแรงเท่าแรงถีบของ Vampire ถึงแม้ โยโซระ จะกระเด็นออกไป แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายนัก เมื่อ โยโซระ ตั้งหลักได้เขาก็พุ่งเข้าโจมตีด้วยการชก และการเตะ ใส่ ไอริส อย่างชนิดที่ไม่ให้ ไอริส ได้มีช่วงพักหายใจเลย แต่การชกทั้งซ้ายทั้งขวา ทั้งขึ้นและทั้งลง การเตะ เข่า และการออกอาวุธทุกรูปแบบที่ โยโซระ ฝึกฝนมากลับทำอะไร ไอริส ไม่ได้ เธอใช้การเอียงตัวหลบ การยกแขนเพื่อกันหมัด การยกขารับการเตะ ในการรับมือ โยโซระ และเธอก็ชกเข้าใส่เต็มหน้าของ โยโซระ "เอาล่ะหมดเวลาเล่นแล้ว ลาก่อนนะพ่อหนุ่มน้อย" ไอริส สร้างหอกน้ำแข็งขึ้นมาและกระโดดตาม โยโซระ ที่กำลังกระเด็นถอยหลังอยู่
หอกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของ โยโซระ ด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อมันเข้าใกล้ใบหน้าของ โยโซระ ในระยะประมาณ 1 คืบ นั้นเอง ดวงตาของ โยโซระ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนก เนตรวงแหวนปรากฏขึ้น แต่มันยังไม่เหมือนเนตรวงแหวนของ ไอริส เสียทีเดียว มันมีวงแหวนสีดำขึ้นรอบนัยน์ตาดำก็จริง แต่รอยด่างสีดำรูปหยดน้ำรอบวงแหวนนั้นยังมีเพียง 2 จุด ต่างกับ ไอริส ที่มีถึง 3 จุด เมื่อ ไอริส เห็นเนตรวงแหวนของ โยโซระ รวมถึงจักระมหาศาลของเขา เธอก็ตกใจจนถึงขั้นหยุดชะงักการโจมตีเอาไว้ จนกระทั่งทั้งสองการเคลื่อนไหวของทั้งสองหยุดลงทั้งอย่างนั้น โยโซระ อยู่ในท่าเอามือกัน ไอริส อยู่ในท่ากำลังแทงหอกใส่ ทันทีที่ โยโซระ ตั้งหลักด้วยสองขาได้ เขาก็ปล่อยหมัดจักระเข้าใส่ปลายคางของ ไอริส ทันที ทำให้เธอกระเด็ดไถลลงไปกับพื้น
โยโซระ มีอาการหอบ ในขณะที่ ไอริส ค่อยๆ ลุกขึ้นมายืน หน้ากากของเธอมีปริรอยร้าว มุมปลายคางมีการแตกหลุด เธอมองตรงมายังดวงตาของ โยโซระ "เนตรวงแหวนอย่างนั้นหรอน่าสนใจดีนี่....แต่เธอยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะชั้นได้...." ไอริส ใช้มือขวาของเธอปิดรอยร้าวบนหน้ากาก ก่อนที่เธอจะกระโดดหนีออกไปทางประตูอย่างรวดเร็วจน โยโซระ ตามไม่ทัน
..............................
การต่อสู้ของ มาซากิโยะ กับ Plague
มาซากิโยะ ยังไม่สามารถทำอะไร Plague ได้มากไปกว่าการยิงใส่ที่หัวไหล่ของเขาตั้งแต่การปะทะกันครั้งแรก เขาเริ่มเหนื่อยหอบ ในขณะที่ Plague มีเลือดไหลออกจากรูที่ถูกยิงบนไหล่มากขึ้น แต่เขายังไม่มีท่าทีและอาการที่สะทบสะท้านอะไรเลย อีกทั้งดาบของเขายังไม่ถูกดึงออกมาจากฝักเลยด้วยซ้ำ "มีดีแค่นี้อย่างนั้นหรอ คุณร้อยตำรวจตรีมิโรซูมิ....ว่ายังไงล่ะห๊า"
มาซากิโยะ กัดฟันแน่น เขาหลับตาลง "เหมือนจะต้องเอาจริงแล้วสินะ...สู้กันไปแบบนี้ แค่ดาบยังให้หมอนั่นดึงออกจากฝักไม่ได้เลย" ทว่าก่อนหน้าที่ มาซากิโยะ จะเริ่มทำอะไรบางอย่าง เสียงปืนก็ดังขึ้นหลายสิบนัด กระสุนจำนวนมากถูกสาดเข้าใส่ Plague ทำให้ Plague ต้องฉากหลบหาที่กำบัง และกระสุนนั้นยังคงยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เสียงฝีเท้าจำนวนมากเริ่มใกล้เข้ามา มันเป็นกองกำลังทหารที่วิ่งเข้ามาช่วย มาซากิโยะ ในหมู่ทหารนั้น มี อายาโนะ และหญิงสาวอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาสมทบด้วย Plague เห็นท่าไม่ดี และเป็นช่วงเดียวกับที่แท่งปากปาในเสื้อคลุมของเขามีเสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า "ถอนตัวได้" เมื่อได้ยิน Plague ก็แสดงใบหน้าไม่พอใจนัก แต่ดูเหมือนเสียงของชายคนนั้นสามารถสั่งให้ Plague ถอนตัวออกไป เขาเก็บดาบที่ยังไม่ได้ชักออกจากฝักเข้าไปในผ้าคลุม หยิบหน้ากากขึ้นมาสวม แล้วกระโดดออกไปทางหน้าต่างราวกับนินจา
"ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะรุ่นพี่มิโรซูมิ!!" อายาโนะ วิ่งเข้ามาหาและดูอาการของ มาซากิโยะ มิโรซูมิ ร่างกายของเขามีรอยถูกทำร้าย แต่เขายิ้มแล้วเก็บดาบเข้าฝัก "ชั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าเธอมาช้ากว่านี้ก็อาจจะไม่แน่ ยังไงก็ขอบใจที่มาช่วยนะ...แล้วก็เอ่อ......" มาซากิโยะ มองไปที่หญิงสาวข้างๆ อายาโนะ เธอแต่งตัวด้วยเครื่องแบบทหาร ผมสีน้ำตาลสั้นประบ่าทรงฮามาน นัยน์ตาสีเขียว เมื่อเธอเห็น มาซากิโยะ หันมาทางเธอ เธอก็แนะนำตัวด้วยน้ำเสียงที่สดใสรับกับใบหน้าที่น่ารัก "ดิชั้น ร้อยเอกฮายาโนะ ริกะ ค่ะ" เมื่อได้รับคำตอบ มาซากิโยะ ก็ถึงกับบางอ้อ "อ๋อ คุณริกะ เพื่อนสมัยเรียนของยัยอายะนี่เองสินะ ขอบคุณมากครับที่มาช่วย" ระหว่างนั้น อายาโนะ ก็เดินไปพาเด็กๆ ทั้ง 5 ออกมา เด็กๆ แต่ละคนอยู่ในท่าทีที่เหน็ดเหนื่อย แต่ไม่ได้รับอันตรายหรือบาดเจ็บ และกองกำลังทหารที่เหลือก็เข้าไปลากตัวสมาชิกคุโรฮิซึกิร่วม 20 นาย ที่ถูกเด็กๆ เล่นงานไปจนหมดสภาพออกมาทั้งหมด
ระหว่างที่เดินออกจากตัวอาคารโรงงาน จิโดริ สังเกตเห็นท่าทีเงียบแปลกๆ ของ โยโซระ เลยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย "โยโสะ....ตอนที่เราจัดการกับคนร้ายได้สำเร็จน่ะ นายหายไปไหนมาอย่างนั้นงั้นหรอ" เธอกระซิบถามข้างหูของ โยโซระ โยโซระ ที่เงียบๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ก็มีท่าทีอึกอัก จนเขาตอบ จิโดริ กลับไปว่า "ชั้น...ไปดูว่ามีพวกมันคนอื่นเหลืออยู่อีกไหมน่ะ" จิโดริ ได้ยินคำตอบเธอก็ยิ้มออกมา "แล้วไป ชั้นนึกว่านายกลัวจนฉี่จะราด เลยแวะไปหาที่ฉี่มาน่ะสิ ฮ๊าฮ๊าฮ๊าฮ๊าฮ๊าฮ๊าฮ๊า"
"เนตรวงแหวนในดวงตาคู่นั้น.....ทำไมตอนนั้น ไอริส ถึงไม่ลงมือนะ แปลกจัง....." โยโซระ คิดขึ้นในใจ
..............................
หน้าบ้านหลังหนึ่ง
"อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา" เสียงโยโซระ ดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงสุนัขตัวใหญ่เห่าและคำรามขู่ เสียงฝีเท้าที่เริ่มวิ่งก็ดังขึ้น เด็กสาวผมดำคนหนึ่งรีบออกมาจากตัวบ้านด้วยท่าทีร้อนรน เธอคือเด็กสาวผมสั้นสีดำ มายูมิ ผู้เป็นพี่สาวของเด็กน้อยโยโซระ เธอมองซ้ายมองขวาแล้วพูดด้วยความตกใจ "โยโสะ!! โยโสะ!! เกิดอะไรขึ้น" จนเมื่อเธอมองไปทางขวาที่กำแพงหัวมุมทางแยก เธอก็เห็นหางไวๆ ของสุนัขตัวใหญ่ และโซ่ล่ามที่ลากไปกับพื้นวิ่งลับไป ทางซ้ายดูเหมือนเจ้าของกำลังวิ่งตามด้วยท่าทีที่ตระหนก
สุนัขตัวนั้นดมกลิ่นตามพื้นไปคำรามไป มันเป็นสุนัขตัวใหญ่พันธุ์ร็อตไวเลอร์ จนมันมาหยุดตรงพงหญ้าข้างทาง มันคำรามเห่า และแยกเขี้ยว หูของมันตั้งตรง หางของมันสบัดซ้ายขวา ในพุ่มไม้นั้นมีเด็กชายตัวน้อยโยโซระ หลบอยู่ เขาร้องไห้ นั่งขดตัวกอดเข่าอยู่กับพื้นในพงหญ้า เนื้อตัวของเด็กชายตัวน้อยสั่นเทา เขากลัวสุนัขที่ดุร้ายตัวนี้มาก
แต่แล้วจังหวะที่สุนัขตัวนี้กำลังกระโจนเข้าใส่เด็กหนุ่มตัวน้อย ดวงตาของเขาก็เห็นเงาของเด็กหญิงพุ่งพรวดเข้ามาขวาง เจ้าร็อตไวเลอร์กัดเข้าที่หัวไหล่ของเด็กหญิงคนนั้นจนจมเชี้ยว มันฉีกกระชากจนร่างของเด็กหญิงคนนั้นเป็นแผลลึก เธอถูกเหวี่ยงมากองต่อหน้าของ โยโซระ "ไม่เป็นไรนะโยโสะ พี่มาช่วยแล้ว" เด็กหญิงคนนั้นคือ มายูมิ ผู้เป็นพี่สาว ร่างของเธอเปียกโชกไปด้วยเลือด เธอกางแขนบังน้อยชายตัวน้อยของเธอเอาไว้ ในขณะที่เจ้าร็อตไวเลอร์กำลังจะจู่โจมอีกรอบ แต่คราวนี้โชคดีที่ชายวัยกลางคนเจ้าของร็อตไวเลอร์ตัวนั้นวิ่งตามมาถึง เขารีบยิบโซ่จูงแล้วกระตุงรั้งมันเอาไว้ได้ทัน
"เลือด....พี่มายูมิเลือดไหลนี่ครับ เลือดเต็มไปหมดเลย" โยโซระ พูดด้วยความตกใจกลัวหลังจากที่เขาเห็นเลือดจำนวนมาก มายูมิ หันกลับมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน และพูดขึ้นว่า "พี่ไม่เป็นไรหรอกจ่ะ โยโสะไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ทีหลังอย่าวิ่งซนคนเดียวอีกนะ" "แล้วก็ถ้าเจออะไรที่น่ากลัว พี่อยากให้โยโสะวิ่งมาหาพี่....เพราะว่าพี่เป็นคนปกป้องโยโสะเอง สัญญากับพี่ก่อนจะได้มั้ยล่ะ"
น้ำตาของเด็กน้อยโยโซระ เริ่มเอ่อล้นออกจากดวงตาด้วยความสำนึกผิด "ครับ...ผมสัญญา" เขาชูนิ้วก้อยขึ้นมาให้พี่สาว
To be continued...
|
|