|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 23, 2016 15:10:11 GMT
EP9 : Betrayed
ด้านหลังศาลเจ้า
ก่อนจะถึงเขตป่าที่มีลำธาร มาซากิโยะ ปักจอบลงสู่พื้นดินแล้วปาดเหงื่อ เขาเงยหน้าขึ้นเอามือบังแสงอาทิตย์ยามเที่ยง จิโดริ กำลังจัดดอกไม้พุ่มหนึ่งด้านหน้าป้ายหลุมฝังศพ หลุมนั้นเป็นหลุมฝังศพของ ยูกิ มิซูนาชิ และ เซบัสเตียน โคคุโอะ เธอจัดดอกไม้ไปพร้อมกับการปาดน้ำตา "ทำไมเราต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ด้วย....ชั้นคิดถึงวันนี้เมื่อปีก่อนจัง...."
มาซากิโยะ แตะไหล่ จิโดริ ที่นั่งอยู่เบาๆ "ชั้นเข้าใจความรู้สึกของเธอนะ แต่ชั้นไม่รู้ว่าจะปลอบพวกเธอยังไงนอกเสียจากบอกว่า" "เรื่องพวกนี้น่ะ มันติดตัวพวกเรามาตั้งแต่เราเกิดแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมามันยังไม่เกิดขึ้นเท่านั้น....เมื่อมันเกิดแล้วเราต้องยอมรับให้ได้" "พวกเราเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการใช้จักระที่คนทั่วไปทำไม่ได้ หน้าที่ในการต่อสู้กับคนเลวที่มีพลังจักระ ก็ต้องเป็นพวกเรา" "มิซูนาชิ น่ะ เธอไม่ได้จากไปด้วยความเศร้า...แต่เธอจากไปอย่างหมดห่วงแล้ว...เธอได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่...." "และท้ายที่สุดก็ได้ทำให้คนที่ทำร้ายพวกท่านต้องชดใช้....วิญญาณที่ถูกกลืนกินโดยคาถาปิดผนึกซากอสูรจะถูกกักไว้ไม่ได้ไปเกิดใหม่"
จิโดริ ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ "แต่ว่า....ถึงยูกิจัง จะไม่ได้จากไปด้วยความเศร้า แต่สำหรับคนที่เธอทิ้งไว้อย่างชั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องดีนะคะ" มาซากิโยะ ถอนหายใจ "เราทุกคนต่างเศร้าใจกันทั้งนั้น แต่ชั้นคิดว่ามิซูนาชิ คงไม่อยากให้เธอ หรือไม่ว่าใครต้องมาร้องไห้เพราะเธอ" "ชั้นเชื่อว่า สิ่งที่จะทำให้การเสียสละของเธอมีคุณค่ามากที่สุดก็คือ เราสามารถหยุดพวกคุโรฮิซึจิเอาไว้ได้ และทำให้บ้านเมืองกลับสู่ปกติ" จิโดริ พยักหน้าทั้งน้ำตา "ค่ะ...ชั้นก็เชื่อว่ายูกิจังต้องการอย่างนั้น....ชั้นจะเข้มแข็ง...จะพยายามให้มากขึ้น....เราต้องทำได้แน่ค่ะ!!"
ภายในตัวศาลเจ้า
โยโซระ ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับ Plague กำลังนอนรักษาตัวอยู่ เขายังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ แม้ว่า จิโดริ ชิราซากิ จะใช้จักระช่วยรักษาบาดแผลที่ถูกแทงตรงลำตัวจนทะลุไปแล้วก็ตาม เขายังต้องพักฟื้นอยู่อีกพักใหญ่ๆ
ในขณะนั้น อายาโนะ มิอุระ เธอก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว จึงรับหน้าที่ในการดูแล โยโซระ เธอคอยเฝ้าดูอาการอยู่ไม่ห่าง จนในที่สุด โยโซระ ก็รู้สึกตัว เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา "คุณอายาโนะ....รู้สึกเหมือนเดจาวูเลยนะครับ" มันเป็นประโยคแรกของเขา อายาโนะ หันมามองแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ "นั่นสินะ จำได้ว่าชั้นเคยต้องมาเฝ้าไข้เธอก่อนหน้าที่แล้วครั้งนึงนี่นะ...เป็นไงบ้างล่ะจ๊ะ" โยโซระ พยายามขยับตัว แต่เขาหยับได้เพียงเล็กน้อย "ยังเจ็บอยู่เลยครับ....แต่ดูเหมือนว่าแผลที่ถูกแทงมันจะเกือบหายดีแล้ว" อายาโยะ พยักหน้า "ใช่แล้่วล่ะจ่ะ ชิราซิกิจังน่ะเขาใช้คาถาฟื้นฟูช่วยรักษาแผลของเธอให้หายเร็วขึ้น...ชั้นว่ามันดีมากเลยล่ะนะ" "เป็นการรักษาด้วยจักระที่เร่งสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ต้องทำการผ่าตัดด้วยวิธีการรักษาปัจจุบันเลยล่ะ..."
โยโซระ ยกหัวขึ้นเล็กน้อย เขามองซ้ายมองขวาแล้วถามขึ้น "แล้วจิโดริ กับคุณตำรวจมิโรซูมิ ล่ะครับคุณอายาโนะ...." อายาโนะ ใช้มือแตะหน้าผากของ โยโซระ เบาๆ เพื่อเช็คอุณหภูมิร่างกาย "สองคนนั้นเขาไปทำหลุมศพให้ ยูกิ กับรุ่นพี่ของเธอน่ะ" ทันทีที่ได้ยิน โยโซระ ก็พยายามจะลุกขึ้น แต่ อายาโนะ กดตัวเขาไว้ไม่ให้ลุกขึ้น "นอนพักก่อนเถอะทาคัตซึกิคุง เธอยังไม่หายดีนะ" แต่ โยโซระ ก็ยังดึงดันจะลุกขึ้นให้ได้ "ไม่ได้หรอกครับ....ผมปกป้องยูกิจังไว้ไม่ได้ อย่างน้อยผมก็ควรจะเป็นคนทำศพให้เธอ" อายาโนะ มีสีหน้าเศร้าๆ "พวกเธอยังเด็กอยู่เลยแท้ๆ....ทำไมต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้กันด้วยนะ....ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้"
โยโซระ ทิ้งตัวลงนอนช้าๆ "ผมจะต้องมองดูเพื่อนๆ คนรู้จักตายไปต่อหน้าอีกกี่คนกัน....เมื่อไรมันจะจบลงซะที....."
..............................
ช่วงเย็นของวันนั้น
หลังจากที่ต้องทนกับเหนื่อยล้าที่ผ่านมาทั้งวัน มาซากิโยะ และ จิโดริ ก็กลับเข้าไปในศาลเจ้าเพื่อดูอาการของ โยโซระ จิโดริ ใช้จักระของเธอรวบรวมไว้ที่มือ แล้วแตะมันลงที่บริเวณบาดแผลของ โยโซระ เพื่อทำการรักษาให้เขาหายไวขึ้น ในขณะที่ มาซากิโยะ และ อายาโนะ ก็นั่งอ่านข่าวความคืบหน้าของเหตุการณ์บ้านเมืองผ่านโทรศัพท์มือถือ
มาซากิโยะ ทำหน้าหน่ายๆ "เห้อ ผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ดูเหมือนพรรคของคุณจินได ริวงะ จะชนะขาดเลยนะ" "นั่นน่ะสิคะ ปีนี้มัวแต่ยุ่งกับเรื่องก่อการร้าย เลยไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งกับเขาเลย" อายาโนะ พูดด้วยสีหน้าเซ็งนิดๆ มาซากิโยะ เอียงคอนิดๆ "ก็ช่วยไม่ได้นี่นา มันเป็นหน้าที่ของพวกเรา จนกว่าเรื่องนี้จะจบ คงทำอย่างอื่นไม่ได้พรรคใหญ่ๆ เลยล่ะ" ทันใดนั้น มาซากิโยะ ก็สัมผัสได้ถึงจักระของใครบางคน เขาเบิกเนตรสีขาว ทำให้ อายาโนะ ตกใจแล้วควักปืนขึ้นมาทันที "อายาโนะ ระวังตัวไว้ มันกำลังเข้ามาแล้ว" มาซากิโยะ พูดขึ้นพร้อมตั้งท่าต่อสู้ เขารวบรวมจักรธาตุลมไว้ที่มือขวา แม้ว่าอาการของเขาจะยังไม่ดีขึ้นมาก แต่แขนขวาของ มาซากิโยะ ก็ใช้การได้ตามปกติ บัดนี้ตัวเขาพร้อมที่จะต่อสู้กับศัตรูแล้ว
ทันใดนั้น ชายชุดดำคนหนึ่งก็ลอยตัวเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วลงมายืนในศาลเจ้าต่อหน้า มาซากิโยะ ที่ตั้งท่าพร้อมสู้ "ใจเย็นก่อนครับคุณมิโรซูมิ แล้วคุณมิอุระ ก็ลดปืนของคุณลงเถอะ ผมมาดีไม่มีประสงค์ร้าย" ชายชุดดำคนนั้นคือ Marionette เขายกมือขึ้นทั้งสองข้างแล้วยืนนิ่งอยู่ครู่ขึ้น จน มาซากิโยะ คลายกระสุนวงจักรในมือ พร้อมๆ กับการลดปืนลงของ อายาโนะ "แกต้องการอะไรอย่างนั้นหรอ" มาซากิโยะ ถามขึ้นด้วยความสงสัย Marionette ค่อยๆ เอามือลงแล้วถอดหน้ากากออก ทำให้เห็นใบหน้าเรียวคม สายตาดุดันเจ้าเล่ห์ เส้มผมดำสั้น เรียวปากแหลมคม อันเป็นใบหน้าที่แท้จริงของ Marionette
"ผมมาเพื่อเจรจาขอสงบศึกในนามส่วนตัว...ผมคือ Marionette ที่พวกคุณรู้จักกัน แต่มีชื่อจริงๆ ว่า นามิ โคบายาชิ" "ช่วงก่อนเราเคยมีประสบการณ์ไม่ดีต่อกันมาบ้าง ถึงคุณจะไม่เชื่อใจผม ผมก็เข้าใจ แต่ขอให้ฟังสิ่งที่ผมจะพูดก่อน" นามิ พูดขึ้น มาซากิโยะ จึงถามกลับไปว่า "เจรจาสงบศึกในนามส่วนตัวอย่างนั้นหรอ....ชั้นรู้มาว่าแกเป็นคนวางแผนการของกลุ่มไม่ใช่รึไง" นามิ พยักหน้าเป็นการตอบแล้วพูดต่อไปว่า "แต่ต่อจากนี้ ผมไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มคุโรฮิซึจิ อีกแล้ว ผมจึงมีข้อเสนอมาให้" อายาโนะ มองหน้า มาซากิโยะ แล้วถาม นามิ ไปว่า "ข้อเสนอที่ว่าคืออะไรอย่างนั้นหรอคะ...เราจะขอฟังก่อนตอบรับได้มั้ยคะ"
นามิ พยักหน้าอีกครั้ง "ผมจะร่วมมือกับคุณในการหยุดยั้งแผนการชั่วร้าย แล้วจะบอกคุณว่าใครคือ Hades ผู้นำของเรา" มาซากิโยะ หรี่ตาลงเล็กน้อย "ฟังดูน่าสน แต่ผมขอฟังเงื่อนไขของคุณก่อนว่าคุณต้องการอะไร แล้วก็เหตุผลของคุณด้วย" นามิ จึงค่อยๆ นั่งลงกับพื้น "เงื่อนไขของผมนั้นไม่ยาก นั่นคือผมจะต้องไม่มีชื่อเป็นอาชญากร แล้วก็ไม่ขอเป็นพยานในคดี" "เชิญว่าต่อได้เลย ข้อเสนอของคุณผมว่าผมรับไว้ได้" มาซากิโยะ ตอบข้อเสนอของ นามิ ดูเหมือนข้อเสนอจะเป็นที่น่าพอใจ
นามิ จึงเริ่มอธิบายต่อไป "อันที่จริงพวกเราไม่มีใครรู้มาก่อนว่า Hades คือใคร ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นเป็นอย่างไรกันแน่" "จนเมื่อวาน ผมได้รับคำสั่งให้ตาม Blood และ Plague มาที่นี่ คำสั่งคือเมื่อพวกคุณทั้งหมดถูกฆ่า ผมจะฆ่าพวกเขาอีกที" "แล้วจากนั้น ผมจะต้องลงมือฆ่า นาโอกิ เซย์มิ ที่ตอนนี้ติดคุกอยู่ ก่อนจะกลับไปรายงานผลการปฏิบัติหน้าที่โดยตรงต่อ Hades"
ประโยคดังกล่าวทำให้ มาซากิโยะ รู้ทันทีว่าคนที่แอบช่วยพวกเขาเมื่อวานก็คือ Marionette หรือ นามิ คนนี้นี่เอง
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 23, 2016 15:11:44 GMT
รังลับกลุ่มคุโรฮิซึจิ
บัดนี้มีสมาชิกระดับสูงเพียงสองคน คือ ไอริส และ Slayer ที่มารอรับคำสั่งจาก Hades อยู่ภายในห้องโถงใต้ดิน Hades มองไปที่ ไอริส และ Slayer "ผมต้องขอบคุณพวกคุณสองคนมากที่ช่วยเหลือผมมาเป็นอย่างดีโดยตลอด" "บัดนี้ แผนการในการยึดครองประเทศนี้ใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว เหลือเพียงแค่การโจมตีรัฐสภาเท่านั้น...เราก็จะได้เริ่มก้าวต่อไปกัน" "แต่ก่อนอื่น ผมเข้าใจว่ามีพวกเราบางคนได้ทรยศและหักหลังผองสมาชิก....เขาไม่ทำตามคำสั่งที่ผมให้ไว้...Marionette" "ป่านนี้คงนำที่อยู่ของเราไปบอกให้แก่พวกแมลงหวี่แมลงวันรู้แล้ว....ผมคาดว่าพวกนั้นจะมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน"
"เอาล่ะ ไอริส...Slayer...หน้าที่ของพวกคุณที่ผมจะมอบให้ไปนั้นก็คือ....พรุ่งนี้....ฆ่าพวกมันทิ้งที่นี่ให้หมด!!" "ผมไม่ต้องการให้มีใครหน้าไหนมาคอยขัดใจ ถึงแม้มันจะน้อยนิด แต่มันก็น่าเสียอารมณ์...ทำมันให้จบ...แล้วมารายงานผม..." ไอริส หรี่ตาลงเล็กน้อย "รับทราบค่ะท่านผู้นำ....ชั้น....จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างเช่นที่ผ่านมาแน่นอน........." ส่วน Slayer ดูมีสีหน้าที่พึงพอใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเธอรอคำสั่งและโอกาสเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการวันแรก
เมื่อมอบคำสั่งให้แล้ว Hades ก็ก้าวถอยหลังแล้วหายลับไปในเงามืด
..............................
ภายในศาลเจ้า
บทสนทนากับ Marionette สมาชิกระดับสูงของกลุ่มคุโรฮิซึจิ ที่กำลังหันหลังให้กลุ่มของเขาเองก็กำลังดำเนินไป นามิ พูดขึ้นว่า "เมื่อผมมาคิดย้อนกลับไปอีกทีหนึ่ง ทำไมตอนที่ Hades บุกสนามบิน เขาไม่ฆ่าทุกคนทิ้ง" "หรือไม่ก็ทำลายทิ้งทั้งสนามบิน ทั้งที่ตอนนั้นมันง่ายราวกับปลอกกล้วยเข้าปาก...แล้วทำไมเขาถึงไม่เปิดเผยตัวตนให้ใครรู้" "ความสามารถของพวกเราทั้งหมดที่จริงสามารถยึดประเทศนี้ได้เลยด้วยซ้ำ จนในที่สุดผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...." "ถึงแม้เราจะใช้กำลังบุกยึดประเทศนี้ได้ แต่เรามีสิ่งที่ยึดไม่ได้ นั่นคือพลังการสนับสนุนของประชาชน...ต้องอาศัยความสมัครใจ" "ซึ่งหากเราได้พลังสนับสนุนของประชาชนเหล่านั้นมา มันจะไม่มีอะไรหยุดยั้งพวกเราได้เลยล่ะ เราจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น" "เหมือนอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่ได้รับการเลือกโดยประชาชนให้เป็นผู้นำ....แต่....แน่นอนว่าประชาชนไม่ยอมรับกลุ่มก่อการร้าย"
"ดังนั้น ถ้า Hades ต้องการยึดประเทศนี้อย่างเบ็ดเสร็จ เขาก็ต้องยึดพลังการสนับสนุนของประชาชนทั้งหมดเอาไว้ให้ได้" "ปากเขาบอกกับพวกเราว่า เขาจะใช้พลังจักระที่ได้มาจากผลจักระในการยึดครองทั้งโลก และเปลี่ยนโลกนี้เสียใหม่ให้ดีกว่าเดิม" "แต่แผนการที่เราได้ทำไปนั้น อันที่จริงมันไม่ได้นำไปสู่การยึดอำนาจ....มันนำไปสู่ความกลัวและความสิ้นหวังกับผู้ปกครองประเทศ" "แล้วถ้าเช่นนั้น Hades จะทำอย่างนั้นไปทำไม....คำตอบก็คือ เขาต้องการแทนที่ผู้นำคนเดิมโดยมีพลังประชาชนทั้งหมดหนุนหลัง" "หลังจากที่เขาได้อำนาจปกครองประเทศนี้ไปแล้ว เขาก็จะเริ่มชักจูงผู้คนให้มองว่าตัวเขามีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งโลก" "เขาจะก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้น ตอนนี้เขามีผู้ใช้คาถาอัญเชิญอยู่ในกำมือ นั่นคือเพื่อนของพวกคุณ และเขาได้รับเนตรวงแหวนไปแล้ว" "ผมคาดว่าเขาจะใช้เนตรวงแหวนสะกดผู้ใช้คาถาให้อัญเชิญสิ่งมีชีวิตต่างมิติทรงพลังออกมา แล้วควบคุมด้วยพลังเนตรของเขา" "มันจะเป็นอาวุธมหาปลัยที่ไม่มีสิ่งใดทำลายลงได้แม้แต่ระเบิดปรมาณู เขาจะชนะสงครามแล้วได้ทุกสิ่งตามที่เขาฝันใฝ่เอาไว้"
"ตามที่ผมว่ามา....สิ่งนั้นมันไม่ใช่แผนที่เขาบอกกับพวกผม พวกผมแค่ถูกเขาหลอกใช้มาตั้งแต่ต้น และไม่เคยได้รับความไว้ใจเลย" "เพราะหากคุณบอกกับกลุ่มคนที่มีแต่ความเกลียดชังสังคมไปว่า จะเข้าบริหารประเทศแทน มันก็ไม่ได้ต่างกันที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเลย" "สมาชิกแต่ละคนต้องการความเปลี่ยนแปลงโดยการช่วงชิง พวกเรามีความเกลียดชังที่ใหญ่หลวง เขาจึงบอกแผนที่แท้จริงแก่เราไม่ได้" "แต่เขาต้องการพลังของพวกเรา การหลอกใช้ พอหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้ง ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีและไม่ได้เสียหายอะไรสำหรับเขา" "อีกทั้งเขาก็คงไม่ต้องการให้พวกผมนำความจริงของเขามาเปิดเผยซึ่งจะทำให้ทุกสิ่งที่เขาสร้างพังลงมาเป็นข้อต่อรองกับเขา"
"เมื่อแผนการสร้างความหวาดกลัวลุล่วง คนที่พอจะอ่านสถานการณ์ออก ก็คือสมาชิกระดับสูงของกลุ่มที่ทราบและรู้เห็นแผนการมาตลอด" "มันคงจะไม่เป็นการดีแน่สำหรับ Hades ที่จะปล่อยพวกเราเอาไว้ เขาจึงสั่งให้ผมมาฆ่า Blood Plague และ Vampire" "และหลังจากที่ผมฆ่าเจ้าพวกนั้นหมดแล้ว เขาก็จะฆ่าผมอีกทีด้วยตนเอง....แต่โชคดีของผมที่ผมไม่ได้เป็นคนโง่ให้เขาหลอกได้ง่ายๆ" "ว่าแต่พวกคุณคงทราบผลการเลือกตั้งแล้วสินะ.....อีก 2 วันก็จะเป็นวันที่ผู้ว่าที่นายกรัฐมนตรีจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ" "ตอนนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่า Hades คือใคร ผมและคุณไม่มีหลักฐานเพื่อแฉเขาต่อหน้าทุกคน ความจริงจะเปิดเผยต่อเมื่อเราฆ่าเขาได้" "ตอนนี้ จินได ริวงะ น่าจะอยู่ที่รังลับของกลุ่มคุโรฮิซึจิ และอีก 2 วันเขาจะเดินทางไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่สภา ผมจะทิ้งที่อยู่ไว้ให้"
เมื่อพูดจบ นามิ ก็ยื่นแผนที่ให้แก่ มาซากิโยะ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินออกจากตัวศาลเจ้าไป
อายาโนะ หันมามองหน้า มาซากิโยะ "เราควรจะเชื่อเขาดีรึเปล่าคะ....การกล่าวหาว่าคุณริวงะ จินได เป็นผู้ก่อการร้ายเนี่ย...." มาซากิโยะ ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง "ถึงมันจะฟังเหลือเชื่อ...แต่ถ้าคิดดีๆ จินได ริวงะ ก็เป็นคนที่ได้ประโยชน์สูงสุดตอนนี้ไม่ใช่หรอ" จิโดริ ที่เพิ่งเสร็จจากการรักษา โยโซระ ก็หันมาพูดขึ้นว่า "ชั้นมีเรื่องแปลกๆ จะบอกด้วยล่ะค่ะ....วันก่อนชั้นเห็นมือขวาของคุณจินได.." "มันมีผ้าพันแผลพันเอาไว้....มันเป็นมือข้างเดียวกันกับที่หัวหน้ากลุ่มคุโรฮิซึจิ ได้รับบาดเจ็บจากคาถาไฟของรุ่นพี่เซบัสเตียนเลยล่ะค่ะ" มาซากิโยะ มีท่าทีแปลกใจเขาจึงมองตามหลัง Marionette ไป "ถึงจะไม่น่าไว้ใจ แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ พรุ่งนี้เราจะบุกฐานของพวกมัน" "คืนนี้ก็กลับบ้านแล้วนอนพักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ อย่าลืมแจ้งผู้กำกับด้วยว่าเราจะบุกโจมตีพวกมันเต็มอัตราศึก แล้วจบเรื่องนี้ซะ....."
"เอ่อ....วันนี้ชั้นว่าชั้นจะไม่กลับน่ะค่ะ.....วันนี้พวกเด็กๆ เหลือกันแค่สองคน ชั้นว่าจะอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาน่ะค่ะ" อายาโนะ ตอบ
..............................
เช้าวันรุ่งขึ้น
มันเป็นวันที่ฟ้าโปร่ง แสงแดดบางๆ พอจะทำให้เกิดความอบอุ่น แม้ว่าสายลมแห่งฤดูหนาวจะพัดนำพาความหนาวเหน็บเข้ามา โยโซระ และ จิโดริ แต่งตัวในชุดที่พร้อมต่อสู้ อาการของ โยโซระ ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาทั้งสองเดินออกมาหน้าศาลเจ้า
โยโซระ หยุดเดินแล้วหันกลับมามองที่ศาลเจ้า "ไม่น่าเชื่อเลยนะจิโดริ....ว่าเรื่องราวต่างๆ จะผ่านไปเร็วเหลือเกิน....." "ใช่แล้วล่ะ....ยังรู้สึกว่าวันแรกที่ก้าวเข้ามาที่นี่เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่วัน ทั้งๆ ที่มันผ่านมาหลายเดือนแล้ว" จิโดริ ตอบขึ้น โยโซระ ขมวดคิ้วแล้วกำหมัดแน่น "อะไรเลวร้ายก็เกิดขึ้นมากมาย...เปลี่ยนชั้น...เปลี่ยนเธอ.....มันเปลี่ยนทุกคน...และทุกสิ่ง" จิโดริ ค่อยๆ สอดมือเข้าไปในอุ้งมือของ โยโซระ อย่างนุ่มนวล "แต่บางสิ่งมันก็ไม่เปลี่ยนแปลง และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป" โยโซระ หันมาพยักหน้าแล้วพูดเสริม "ใช่แล้วล่ะ....มันคือความมุ่งมั่นของเราที่จะทำให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนเดิม....."
จิโดริ ยิ้มด้วยใบหน้ามุ่งมั่น "ชั้นจะสู้ร่วมกันนาย จะยืนเคียงข้างนายตลอดไป....ไม่ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตามนะ" "ขอบใจนะ จิโดริ.....ที่เชื่อมั่นในตัวชั้น เราจะต้องไม่ทำให้ ยูกิจัง และรุ่นพี่โคคุโอะ ต้องตายเปล่า" โยโซระ กล่าวออกมา แต่จู่ๆ จิโดริ ก็เงียบไป "แต่ว่า....ชั้นไม่รู้ว่ามันใช่เวลาที่จะถามนายรึเปล่า" คำพูดแปลกของ จิโดริ ทำให้ โยโซระ เกิดสงสัย โยโซระ จึงถามขึ้น "จะถามอะไรอย่างนั้นหรอ จิโดริ" จิโดริ อ้ำอึ้่งก่อนจะยอมเอ่ยปาก "ถ้าคนที่ตายเป็นชั้น...นายจะเสียใจมั้ย" "ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็น ยูกิจัง....ไม่ใช่ชั้น....นายจะเศร้าใจอย่างนี้มั้ย....." จิโดริ ก้มหน้าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาเอามากๆ
โยโซระ ถอนหายใจ ก่อนจะตอบ "การตายของยูกิจังน่ะ ชั้นเสียใจมาก....ชั้นอยากสนิทกับยูกิจังให้มาก เพราะเธอน่ะไม่ค่อยมีเพื่อน" "ถ้าในชีวิตหนึ่ง เราไม่มีเพื่อนที่เข้าใจเราเลย มันคงเป็นโลกที่ไม่น่าอยู่ ชั้นเลยอยากจะเป็นเพื่อนที่ดี สร้างโลกที่สดใสให้กับยูกิจัง" "แต่ถ้าเป็น จิโดริ ที่ต้องตายแล้วล่ะก็....ชั้นน่ะ....คงจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่....เพราะ จิโดริ น่ะ เป็นคนที่อยู่เคียงข้างชั้นเสมอ" "ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ชั้นมีความสุข เป็นทุกข์ หรือกำลังลำบาก...ทั้งๆ ที่ชั้นเองก็รู้ตัวว่าไม่ใช่คนที่มีอะไรดีเด่ไปกว่าคนอื่นเลย...." จิโดริ ค่อยๆ หันตัวเข้ามากอด โยโซระ "ไม่หรอก....เธอมีสิ่งที่ดีกว่าคนอื่นอยู่นะ....จิตใจที่หวังดีกับคนอื่นเสมอของเธอยังไงล่ะ"
โยโซระ ยืนแน่นิ่ง เขาทำตัวไม่ถูก ใบหน้าเขาแดงขึ้นมาด้วยความเขินอาย ที่เขาทำได้คือใช้แขนทั้งสองโอบ จิโดริ ไว้เท่านั้น
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 23, 2016 15:16:13 GMT
ในที่สุด โยโซระ และ จิโดริ ก็เริ่มออกเดินทางไปยังรังของกลุ่มคุโรฮิซึจิ
ทว่าพวกเขาก็ต้องหยุดการออกเดินทางลงทั้งที่ยังไม่ทันก้าวผ่านซุ้มประตูไม้ออกนอกเขตพื้นที่ของศาลเจ้าเลยเสียด้วยซ้ำ "พวกเธอจะไปไหนกันหรอ....จะไปสู้อย่างนั้นหรอ....ชั้นเสียใจด้วยนะที่วันนี้ชั้นคงให้ไปไม่ได้" อายาโนะ พูดขึ้น คนที่เข้ามาขวางพวกเขาก็คือ อายาโนะ มิอุระ เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังเป็นอย่างมาก เธอกางแขนขึ้นมาขวาง
"ทำไมล่ะครับ....พวกเราต้องไปช่วยคุณตำรวจมิโรซูมินะครับ แค่กำลังตำรวจน่ะ มันไม่พอนะครับ" โยโซระ พูดค้าน จิโดริ จึงพูดเสริมขึ้น "ใช่แล้วค่ะ ที่นั่นเป็นรังโจรแหล่งซ่องสุมของพวกมัน กองกำลังที่นั่นต้องเยอะมากๆ แน่นอนเลยนะคะ" "ถ้าพวกเราไม่ไป จะต้องมีเจ้าหน้าที่ทำตำรวจล้มตายอีกมาก หลายครอบครัวจะต้องกำพร้าพ่อแม่...เราถึงต้องไปไงล่ะคะ" อายาโนะ หรี่ตาลง "แล้วพวกเธอไม่คิดถึงพ่อแม่พี่น้องของพวกเธอบ้างรึไง ถ้าหากเธอเป็นอะไรไป พวกเขาจะรู้สึกยังไง"
โยโซระ กำหมัดแน่น "ผมเข้าใจเรื่องนั้นดีอยู่แล้วล่ะครับ แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าแล้วนี่ครับ เพราะพวกเราน่ะมีพลัง" "ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีพลังแบบเรา ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรเพื่อเป็นการปกป้องพวกเขา เราจะมีพลังนี้ไว้ทำไมกันล่ะครับ!!" "จะให้ผมอยู่เฉยๆ ทั้งๆ ที่ช่วยได้ ผมทนไม่ได้หรอกครับ....คุณเองก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีไม่ใช่หรอครับ คุณถึงเคยช่วยเรา" น้ำตาของ อายาโนะ ค่อยๆ ซึมออกจากตาทั้งสองข้าง "ใช่....แต่ชั้นทนเห็นพวกเธอต้องตายไปทีละคนทีละคนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว" "ที่ผ่านมา ชั้นรักและเอ็นดูพวกเธอเหมือนน้องมาตลอด จะให้ชั้นปล่อยให้พวกเธอไปตายได้ยังไง" อายาโนะ พูดกลับมาเสียงแข็ง
โยโซระ จึงเดินเข้าไปกอด อายาโนะ "ผมขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ คุณอายาโนะ...ผมเองก็อยากมีพี่สาวที่เป็นเหมือนคุณ" จิโดริ เห็นเช่นนั้น เธอก็เดินเข้าไปกอด อายาโนะ และ โยโซระ อีกที "ชั้นก็เห็นคุณเป็นพี่สาวคนนึงเหมือนกัน...เข้าใจเราเถอะค่ะ" อายาโนะ จึงผละตัวออกจากเด็กทั้งสอง "งั้นสัญญาก่อนนะว่าจะไม่ตาย พวกเธอจะต้องไม่เป็นอะไร และระวังตัวให้มากๆ" โยโซระ ยิ้มบางๆ เขายกแขนซ้ายขึ้นมาแล้วชูนิ้วก้อยขึ้น อายาโนะ ยิ้มตอบรับแล้วเกี่ยวนิ้วก้อยของเธอ พร้อมๆ กับ จิโดริ
"ตอนนี้ผมแข็งแกร่งขึ้นแล้ว....ผมสัญญาว่าจะไม่เป็นอะไรนะครับ....พี่อายาโนะ...." โยโซระ พูด
..............................
สถานที่แห่งหนึ่ง
มันเป็นเหมือนคุกที่มืดทึบ มีเสาเหล็กต้นหนึ่งตั้งอยู่ มันถูกคล้องด้วยโซ่โลหะที่มีข้อขนาดใหญ่และแข็งแรงทนทานมาก เด็กหญิงคนหนึ่งถูกล่ามเอาไว้กับโซ่นั้น เบื้องหน้าของเธอเต็มไปด้วยจานอาหารที่มีอาหารเน่าบูดเต็มไปด้วยหนอนและแมลงวัน
ชายสวมหน้ากากคนหนึ่งเปิดประตูเหล็กบานโตและหนาเดินเข้ามา เขาคือ Hades และเขาก็เดินเข้ามานั่งยองๆ ข้างๆ เด็กสาว "สาวน้อย คุณไม่ทานอาหารมาหลายวันแล้ว ไม่ห่วงชีวิตตัวเองบ้างเลยอย่างนั้นหรอครับ" Hades กระซิบเบาๆ ข้างหูเด็กสาว เด็กสาวคนนั้นหันหน้ามาแล้วพ่นน้ำลายใส่หน้ากากของ Hades "ถุ๊ย!!! คุณไม่ต้องมายุ่งกับดิชั้น ดิชั้นจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับคุณ" เด็กสาวคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เธอคือ ฮาคุโอกิ ฮิเมะ ที่ถูก Hades จับตัวมาตั้งแต่การต่อสู้บนลานบินของสนามบินนาริตะนั่นเอง
Hades ถอนหายใจ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากเสื้อคลุมสีดำ แล้วค่อยๆ เช็ดคราบน้ำลายบนหน้ากากของเอาออกไป "คุณน่ะ ไม่รู้ตัวรึยังไงว่ามีความสำคัญต่อผม...ไม่สิ...มีความสำคัญต่อทุกคนบนโลกนี้มาก" Hades พูดขณะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน "ถ้าไม่มีคุณแล้วล่ะก็ แผนการในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ของผมก็คงจะยากขึ้นอยู่หลายเท่าตัว....เพราะฉะนั้นกินอาหารเถอะครับ" Hades พูดจบก็ส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องที่สวมชุดดำซึ่งรออยู่ด้านนอกห้องนำอาหารจานใหม่เข้ามาวาง แล้วเก็บกวาดจานใบเก่า ในขณะที่ลูกน้องคนสุดท้ายจะเกินออกจากห้อง Hades ก็แบมือตามหลังลูกน้องคนนั้นแล้วเงาแปลกๆ ก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา มันรัดไปที่ขอของลูกน้องชุดดำคนนั้นคนเขาหายใจไม่ออก พูดอะไรไม่ได้ ส่งผลให้ถ้วยชามใบเก่าที่ชายคนนั้นถือร่วงลงตกมาแตก
ฮิเมะ สะดุ้งด้วยความตกใจ Hades จึงหันมามอบผ่านหน้ากากด้วยแววตาเลือดเย็น "ถ้าไม่อยากให้เขาตาย...ก็กินซะสิครับ...."
To be continued...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 25, 2016 16:42:03 GMT
EP10 : Last Breathe of Hatred
บ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง
ผู้ชายวัย 30 กลางๆ คนเปิดประตูไม้เข้ามาในตัวบ้านหลังเล็กๆ ท่ามกลางสายตาของภรรยาและลูกสาวที่กำลังจับจ้อง เขายิ้มให้ภรรยาและลูกสาว ก่อนจะพาเด็กชายคนหนึ่งที่เดินตามหลังเขามาตั้งแต่ต้น ขึ้นมายืนต่อหน้าภรรยาและลูกสาว
ชายคนนั้นใช้มือแตะลงบนไหล่ทั้งของเด็กชายวัยประมาณ 7 ขวบ "เอ้านี่คือมาซากิโยะ ลูกชายคนเดียวของบ้านมิโรซูมิ" ภรรยาของเขามองใบหน้าเด็กชายผู้มีแววตาแสนเศร้า เธอยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น "สวัสดีจ้ามาซากิคุง เข้ามานั่งก่อนสิจ๊ะ" ชายผู้เป็นสามีก็พา มาซากิโยะ เข้าบ้านจากนั้นก็หันกลับไปปิดประตูบ้าน ส่วนภรรยาลุงขึ้นมาจูง มาซากิโยะ เข้าไปนั่ง มันเป็นโต๊ะญี่ปุ่นขนาดไม่ใหญ่ และสมาชิกทุกคนของบ้านก็นั่งอยู่กับพื้นบ้าน มาซากิโยะ เข้าไปนั่งข้างๆ เด็กสาวที่ดูโตกว่า มาซากิโยะ นั้นเพิ่งเสียพ่อและแม่ไปเนื่องจากอุบัติเหตุ เขาจึงต้องมาอาศัยอยู่กับครอบครัวที่เป็นญาติห่างๆ ของเขา พ่อแม่ของ มาซากิโยะ ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เขามากมายนัก นอกเสียจากหนังสือตำราโบราณเป็นของดูต่างหน้า
เมื่อชายผู้เป็นสามีมานั่งข้างภรรยาของเขาแล้ว เขาก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม "นี่คือบ้านใหม่ของเธอนะมาซากิคุง ทำตัวตามสบาย" "บ้านเราก็มีแค่ชั้น ภรรยา แล้วก็ มิซึฮะ ต่อไปเธอก็เรียกชั้นว่าพ่อ เรียกเธอว่าแม่ แล้วเรียก มิซึฮะ ว่าพี่ก็แล้วกันนะ มาซากิคุง" มาซากิโยะ พยักหน้า ในขณะที่เด็กสาวที่ชื่อว่า มิซึฮะ กลับหน้าบึ้งตั้งแต่ มาซากิโยะ เดินเข้ามาแล้ว เธอก็มีท่าทีไม่พอใจ มิซึฮะ ลุกขึ้นทำหน้าบึ้งๆ "ไม่....เธอไม่ต้องมาเรียกชั้นว่าพี่ ชั้นไม่เคยมีน้อง เธอก็แค่คนที่มาอยู่อาศัยบ้านของเราเท่านั้นแหละ" เมื่อพูดจบ มิซึฮะ ก็เดินขึ้นบันไดบ้านไป ทำให้ชายผู้เป็นสามี และภรรยา ของเขาต้องปลอบ มาซากิโยะ กันยกใหญ่
"อย่าถือสา มิซึฮะ เลยนะ มาซากิคุง....มิซึฮะ ก็เอาแต่ใจแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว" ชายผู้เป็นสามีพูดขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี
มิซึฮะ ที่ดูไม่พอใจกับอะไรหลายๆ อย่างในตัว มาซากิโยะ และคอยแต่กลั่นแกล้ง มาซากิโยะ เธอก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะไม่ว่าเธอจะแกล้ง มาซากิโยะ เท่าไร เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเธอ แถมยังตีหน้าซึมเศร้าอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ในความคิดของเธอ คือเธอคิดว่าเขาเงียบ ไม่พูด เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ของเธอเท่านั้นเอง
จนในที่สุดในวันหนึ่ง
มันเป็นช่วงกลางคืนและดึกมากแล้ว สมาชิกทุกคนของบ้านกำลังนอนหลับอันเป็นวิถีชีวิตทั่วไปของคนที่อยู่ชานเมือง มิซึฮะ ลุกขึ้นจากเตียงชั้นบนของเตียงสองชั้น เธอรู้สึกว่าอากาศในห้องเย็นสบายผิดปกติ เธอจึงเดินลงจากเตียง ห้องนอนของ มิซึฮะ นั้นอยู่ชั้น 2 ของตัวบ้าน เธอนอนห้องเดียวกันกับ มาซากิโยะ เพราะตัวบ้านที่เล็กมีห้องอยู่ไม่มาก
สายตาของ มิซึฮะ มองเห็นม่านที่บังประตูออกสู่ระเบียงกำลังพัดไหวด้วยแรงลม ในจังหวะที่ม่านปลิวไสว เธอก็แปลกใจ เธอค่อยๆ แหวกม่านออกก็พบว่า มาซากิโยะ กำลังนั่งอ่านหนังสือที่พ่อแม่เขาทิ้งไว้ให้ เขาอ่านไปร้องไห้ไปอย่างน่าเวทนา มิซึฮะ ยืนนิ่งจนทำอะไรไม่ถูก เธอเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความเงียบงัน และใบหน้าอันซึมเศร้าของเด็กชายคนนี้ "ทำอะไรอยู่งั้นหรอ มาซากิ...." มิซึฮะ ถามขึ้นและค่อยๆ นั่งลงข้างๆ ขณะนั้นเธออายุได้ 11 ปี มาซากิโยะ อายุราวๆ 9 ปี ด้วยความที่เป็นเด็ก มาซากิโยะ รีบปิดหนังสือแล้วซ่อนไว้ข้างหลังไม่ให้ มิซึฮะ เห็น "ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณคามิซาโตะ"
มิซึฮะ มองดู มาซากิโยะ ที่กำลังทำเนียนแอบปาดน้ำตา "นี่เธอแอบมานั่งอ่านหนังสืออย่างนี้ทุกคืนเลยหรือยังไง..." มาซากิโยะ พยักหน้าเบาๆ "ก็ผมคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่นี่ครับ....สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกถึงพวกท่านได้ก็คืออ่านหนังสือพวกนี้" "หนังสือพวกนี้ เป็นของต่างหน้าของคุณพ่อและคุณแม่ของเธอสินะ" มิซึฮะ ถามขึ้นขณะที่เธอแอบหยิบหนังสืออีกเล่มมาดู ทันทีที่ มาซากิโยะ เห็น เขาก็รีบแย่งมันคืนมากอดไว้ มันทำให้ มิซึฮะ รู้ได้ทันทีว่า เด็กคนนี้น่าสงสารมากแค่ไหน เธอจึงพูดขึ้นว่า "พรุ่งนี้ออกไปเล่นกันมั้ยล่ะ....ชั้นว่านายควรออกไปวิ่งเล่นบ้างนะ....ชั้นจะเป็นคนพานายออกไปเอง" มาซากิโยะ หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง มันทำให้เขานึกถึงตอนที่พ่อแม่ของเขาพาไปเล่นที่สนามเด็กเล่น "ตกลงครับคุณคามิซาโตะ"
มิซึฮะ ยิ้มแล้วลูบหัว มาซากิโยะ เบาๆ "ตกลงตามนี้นะ รีบนอนกันเถอะ....เอ้อ แล้วต่อไปนี้นายก็ต้องเรียกชั้นว่าพี่ด้วยล่ะ"
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 25, 2016 16:43:28 GMT
หน้าเหมืองร้างแห่งหนึ่ง
มันเป็นเหมืองเก่าที่ถูกทิ้งร้างไปนาน มันถูกปิดลงเนื่องมาจากไม่เหลือทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถขุดหาได้อีกแล้ว ภูมิศาสตร์เป็นภูเขาที่มีทางเข้าขนาดใหญ่ตรงกลาง ตามตัวภูเขา มีโพรงมืดๆ จำนวนมาก เกิดจากการถูกลมกัดกร่อน ตำรวจนับร้อย กำลังตั้งแนวยิงเพื่อเตรียมทำการบุกจู่โจม มาซากิโยะ เตรียมอาวุธปืนและดาบของเขาไว้ทำการต่อสู้ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่ง โคบายาชิ นามิ หรือ Marionette บอกกับเขาว่าเป็นรังลับของกลุ่มคุโรฮิซึจิ
ไม่นานนัก กลุ่มคนชุดคลุมสีดำสวมหน้ากากแต่ไม่มีฮู๊ดจำนวนมาก โผล่มาตามจุดต่างๆ จากโพรงของหน้าผา พวกเขาใช้อาวุธสงครามเริ่มเปิดฉากยิงเข้าใส่ตำรวจที่ล้อมทางเข้าของเหมือง ทำให้ตำรวจต้องพากันหลบกระสุนหลังรถ จากนั้น มาซากิโยะ ก็ส่งสัญญาณให้ทำการยิงต่อสู้ ในขณะที่กลุ่มคนชุดดำอีกจำนวนมาก กรูกันออกมาจากทางเข้าเหมือง การยิงต่อสู้ระหว่างสมาชิกกลุ่มคุโรฮิซึจิ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลโตเกียวก็เปิดฉากขึ้น เริ่มมีผู้บาดเจ็บล้มตาย
มาซากิโยะ มองดูสถานการณ์อยู่พักหนึ่ง "เจ้าหน้าที่ทุกคน ตรึงกำลังเอาไว้ที่นี่ อย่าให้พวกมันหนีออกไปได้แม้แต่คนเดียว" "ผมจะบุกเข้าไปและลากตัวผู้บงการออกมาเอง" เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เริ่มรีดจักระออกมาปกคลุมทั่วร่างในปริมาณมหาศาล วินาทีต่อมา มาซากิโยะ พุ่งเข้าหากลุ่มคนชุดดำที่กำลังตั้งแนวยิงอยู่หน้าทางเข้าเหมือง เขาวิ่งหลบซ้ายขวาจนแทบมองไม่ทัน เมื่อเข้าประชิดแนวยิงของศัตรู มาซากิโยะ ก็ใช้การชก และการเตะ ทำการปลดอาวุธศัตรูพร้อมกับทำให้ศัตรูหมดสติ ด้วยความเร็ว และความรุนแรงในการโจมตี บวกกับประสบการณ์ในการต่อสู้ระยะประชิด เขากำราบกลุ่มคุโรฮิซึจิ ได้ง่ายดาย
แต่วินาทีที่เขาสับต้นคอของชายชุดคลุมดำคนสุดท้ายของแนวยิงกว่า 20 คน จนสลบ และกำลังจะวิ่งเข้าไปในทางเข้า เขาก็พบว่ามีกระสุนจำนวนมากกำลังยิงสวนออกมาจากโพรงทางเข้าเหมือง มาซากิโยะ ยกดาบขึ้นกัน "บ้าจริง....." จู่ๆ ก็มีรากไม้ขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจากพื้นด้านหน้าของ มาซากิโยะ มันแข็งแกร่งมากจนสามารถรับกระสุนทั้งหมดเอาไว้
"คุณตำรวจมิโรซูมิ...พวกเรามาช่วยแล้วครับ!!" โยโซระ พูดขณะกำลังกระโดดไต่ไปตามต้นไม้พร้อมๆ กับ จิโดริ เมื่อถึงกลางต้นไม้ ซึ่งเป็นกลางโพรงทางเข้าสูงจากพื้นราว 8 เมตร จิโดริ ก็ปล่อยหมัดมหาปลัยของเธอใส่ต้นไม้ยักษ์ มันพังและทะลุเข้าไปอย่างแรงทำให้ได้ยินเสียงร้องโหยหวยอย่างทรมานจากคนที่อยู่ในโพรงทางเข้าดังระงมออกมา จากนั้น โยโซระ ที่กำลังลอยตัว ก็ใช้จักระสายฟ้าลงสู่เท้า เขากระโดดเหยียบตามเศษต้นไม้ที่ลอยอยู่แล้วทะยานเข้าไปด้านใน ไม่นานนัก โยโซระ ก็วิ่งออกมาราวสายฟ้าฟาด มายืนต่อหน้า จิโดริ และ มาซากิโยะ โดยมี อายาโนะ วิ่งตามมาเสริม โยโซระ เป่าปากหนึ่งครั้งแล้วพูดขึ้นว่า "ข้างในเรียบร้อยแล้วครับ ผมเคลียร์เส้นทางหมดแล้ว พร้อมจะลุยกันรึยังครับ"
ภายในโพรงทางเดินของเหมือง
มันเป็นทางเดินที่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ จากปากทางเข้าซึ่งมีขนาดใหญ่โต จนมันเริ่มดูอึดอัด ทางด้านในค่อนข้างมืด เพราะถูกลมกระแทกจากหมัด จิโดริ ทำให้โคมไฟสีส้มที่เคยส่องสว่างตามทางเดิน ส่วนใหญ่ได้มอดดับลงไปแล้ว หลังจากที่ โยโซระ จิโดริ มาซากิโยะ และ อายาโนะ เดินเข้ามา อายาโนะ ก็บ่นขึ้นว่า "ในนี้มืดจนน่ากลัวจริงๆ เลยน๊า" มาซากิโยะ จึงหยิบเอาโคมไฟที่ยังติดไฟอยู่ขึ้นมาส่องเป็นการนำทางไปตามทางเดิน เขาก้าวเดินอย่างระมัดระวังทีละก้าว
จนกระทั่งพวกเขามาหยุดอยู่ตรงทางสามแยก มันไม่มีสัญลักษณ์ใดบอกว่าทางไหนคือทางที่ไปยังรังของคุโรฮิซึจิเลย "เอ๊ะ ดูนั่นสิ ทางนั้นมีแสงสว่างด้วย" จิโดริ เหลือบเห็นแสงสว่าง เธอก็รีบชี้ให้ทุกคนดู และทุกคนก็เห็นพ้องต้องกัน โยโซระ หันมามองหน้า มาซากิโยะ จิโดริ และ อายาโนะ "ผมว่าน่าจะเป็นทางนั้นแหละครับ ทางอื่นมืดแบบนี้เดินไม่ได้แน่" มาซากิโยะ มองไปรอบๆ "ชั้นก็คิดว่างั้นแหละนะ ถ้าลมกระแทกพัดจนตะเกียงดับมาถึงแยกนี้ แรงลมก็น่าจะหมดไปแล้วล่ะนะ" "ดังนั้น ถ้าทางนั้นมีไฟส่องสว่างเพียงทางเดียว พวกที่วิ่งออกมา ก็คงต้องวิ่งมาจากทางที่มีแสงไฟแน่ มันคงวิ่งออกจากที่มืดไม่ได้"
และเมื่อทั้ง 4 คน วิ่งมาจนถึงแสงส่องสว่าง
มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีโคมไฟล้อมรอบ พ้นที่ราวๆ กับ ฮอลคอนเสิร์ตเลยก็ว่าได้ โดยสุดอีกมุมของห้องมีทางออกอีกทาง มันเป็นบันไดขึ้นไป ปลายทางขึ้นของบันไดก็มีแสงสว่างรำไรอยู่เช่นกัน แต่เมื่อสายตาของทุกคนมองไปถึงจุดนั้นแล้ว พวกเขาพบคนสวมชุดสีดำคลุมฮู๊ดสวมหน้ากากอันบ่งบอกว่าเป็นสมาชิกระดับสูงของคุโรฮิซึจิ รูปร่างทั้งสองคนนั้นผอมบางมาก หากยืนยันด้วยสายตาก็สามารถบอกได้ว่าสองคนนั้นคือหญิงสาวทั้งคู่ เธอทั้งสองก็คือ Slayer และ ไอริส ที่ทุกคนคุ้นตา
ทันทีที่เห็นว่าเป็น ไอริส มาซากิโยะ ก็ฉุนเลือดขึ้นหน้า เขาพุ่งปรี่เข้าใส่ทันที "ไอริส!! สรุปว่าแกเลือกเป็นศัตรูกับเราสินะ" ด้วยระยะทางที่ห่างกันร่วม 50 เมตร ทำให้ โยโซระ กับ จิโดริ ไม่ทันตั้งตัววิ่งตามเขาไม่ทัน อายาโนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่เมื่อ มาซากิโยะ เข้าใกล้ถึงระยะ 25 เมตร Slayer ก็ตวัดดาบออกไป สร้างคลื่นลมคบกริบเข้าใส่เขาทันที "ดาบที่สร้างใบมีดลมอย่างนั้นหรอ" มาซากิโยะ หรี่ตาลง และยั้งตัวเอาไว้ไม่ให้ถลำออกไป ทำให้ใบมีดลมตกลงสู่พื้นต่อหน้าเขา "แกไม่มีทางหนีไปไหนได้อีกแล้ว ไอริส แล้วก็พวกแกทุกคน ยอมแพ้ซะเดี๋ยวนี้จะดีกว่า แล้วส่งตัวหัวหน้าแกมาให้เรา"
ไอริส หันกลับหลังแต่ครึ่งใบหน้ายังหันมาทาง มาซากิโยะ "หึหึหึ....คิดว่าทำได้อย่างนั้นหรอ....นายขวางชั้นไม่ได้หรอก" "เพราะคนที่จะฆ่านายก็อยู่ต่อหน้านายตรงนี้แล้ว....ทำความรู้จักกันไว้ซะสิ....ไม่สิ...ชั้นว่านายน่าจะรู้จักเธอดีอยู่แล้วมากกว่า" มาซากิโยะ หรี่ตาลงด้วยความสงสัยในคำพูดแปลกๆ ของ ไอริส "แกหมายความว่ายังไง....คนที่ชั้นรู้จักดีอยู่แล้ว...." ไอริส หันหน้ากลับไปพร้อมก้าวเดินขึ้นบันไดออกจากโถงไปทีละขั้น "คามิซาโตะ มิซึฮะ....นายยังจำชื่อของเธอได้รึเปล่าล่ะ" เมื่อพูดจบ Slayer ก็ใช้มือซ้ายของเธอถอดหน้ากากออก แล้วโยนมันทิ้งไป แสงไฟสลัวๆ ส่องกระทบใบหน้าของเธอ เส้นผมสีม่วงเข้มปลิวไสว ดวงตาสีฟ้ากลมโต ใบหน้าอ่อนหวาน ทำเอาดวงตาของ มาซากิโยะ เบิกโพรง "ไม่จริง...พี่มิซึฮะ..."
โยโซระ กับ จิโดริ หันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย อายาโนะ จึงอธิบายสั้นๆ ว่า "เธอคนนี้คงเป็น คามิซาโตะ มิซึฮะ...." "ลูกพี่ลูกน้องของรุ่นพี่มิโรซูมิ น่ะค่ะ....เธอเป็นญาติห่างๆ แต่เติบโตมาในครอบครัวเดียวกัน รุ่นพี่น่ะรักเธอเหมือนพี่สาวแท้ๆ" "แต่หลายปีก่อน เธอถูกไอริสจับตัวไป....ในคืนนั้นพ่อแม่ของเธอก็ถูก ไอริส สังหาร....แต่ทำไมเธอถึงร่วมมือกับไอริสได้ล่ะ" โยโซระ ได้ยินดังนั้น เขาก็เข้าใจดีว่าหากปล่อยให้ มาซากิโยะ ต้องสู้กับ มิซึฮะ คงไม่เป็นการดีแน่ เขาจึงกำลังจะเข้าไปช่วย แต่แล้ว มาซากิโยะ ก็พูดขึ้นว่า "ไม่ต้องเข้ามานะ ทาคัตซึกิ ชิราซากิ แล้วก็เธอด้วย อายาโนะ....ตรงนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ชั้นเอง" "หน้าที่ของพวกเธอตอนนี้น่ะ คือต้องไปหยุด ไอริส แล้วจับกุม Hades เอาไว้ให้ได้....รีบไปซะ ก่อนที่จะสายเกินไป..."
โยโซระ พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง เขาจึงพา จิโดริ และอายาโนะ วิ่งอ้อมไป อายาโนะ หันมามองแล้วพูดว่า "ระวังตัวด้วยนะคะ"
..............................
เมื่อ โยโซระ จิโดริ และ อายาโนะ วิ่งขึ้นบันไดมา
พวกเขาก็พบเส้นทางที่แยกเป็นโพรงมากมายจนไม่รู้ว่าจะเลือกเดินไปทางไหนดี ทั้งสามคนได้แต่มองซ้ายมองขวา หลังจากกวาดสายตาไปได้พักหนึ่ง จิโดริ ก็เห็น ไอริส อยู่ที่ปลายแยกด้านซ้าย เธอจึงชี้แล้วพูดขึ้นว่า "อยู่นั่นไงคะ เห็นแล้ว!!" อายาโนะ รีบควักปืนขึ้นมายิงใส่ทันที กระสุนพุ่งเข้ากลางหน้าผากของ ไอริส ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้วแตกกระจาย
ทั้งสามคนจึงรีบวิ่งไปดูที่ร่างน้ำแข็งของ ไอริส มันค่อยๆ ละลายกลายเป็นน้ำ ไม่มีร่องรอยของเลือดแม้แต่หยดเดียว ทันใดนั้น เสียงก็ ไอริส ก็ดังก้องขึ้น "พวกเธอไม่มีทางเอาชนะศึกในครั้งนี้ได้หรอก...เพราะตอนนี้ท่านผู้นำไม่ได้อยู่ที่นี่" โยโซระ กำหมัดแน่น เขาหันไปมองตามเสียง เขาก็เห็น ไอริส ยืนอยู่ทางด้านขวามือไกลสุดทางแยก เขารีบกระโจนไปทันที เมื่อเข้าใกล้ โยโซระ ก็ชกหมัดจักระเข้าใส่ ไอริส ที่ไม่มีท่าทีจะหลบ ร่างเธอถูกชกจนแตกกระจายเป็นก้อนน้ำแข็งอีกครั้ง
และเสียงเธอก็ดังขึ้นเป็นรอบที่สอง "พวกเธอทั้งหมดจะต้องตายที่นี่....นี่เป็นบัญชาของ Hades จงอย่าพยายามอีกเลย" คราวนี้เป็น จิโดริ ที่เห็น ไอริส อยู่ทางซ้ายมือสุดของเธอ เธอจึงเป็นคนที่กระโจนใส่ ไอริส บ้าง เธอพุ่งเข้าไปด้วยหมัดจักระ เมื่อเข้าประชิด จิโดริ ก็ปล่อยหมัดจักระเข้าใส่ร่างของ ไอริส นอกจากมันทำให้ร่างของ ไอริส แตกกระจายออกเป็นน้ำแข็งแล้ว มันยังทำลายกำแพงหินด้านหลังจนกลายเป็นโพรง และเมื่อมองผ่านโพรงนั้น เธอก็เห็นห้องโถงอีกห้อง เป็นห้องโถงขนาดใหญ่
ทั้งสามคนจึงรีบมุดโพรงกำแพงที่พังทลายเข้าไป พวกเขาก็พบ ไอริส นั่งอยู่บนเก้าอี้หิน ซึ่งคาดว่าเป็นเก้าอี้ของหัวหน้ากลุ่ม ไอริส ปรบมือช้าๆ เป็นจังหวะ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ "การแสดงโชว์จบลงแล้ว พวกเธอสนุกกับการวิ่งไล่จับไหมล่ะ"
"ระวังนะ ไอริส พร้อมจะเอาจริงแล้วล่ะ" จิโดริ มองหน้า โยโซระ กับ อายาโนะ แล้วเธอก็พูดขึ้น
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 25, 2016 16:45:28 GMT
ที่ห้องโถงแรกของเหมือง
มาซากิโยะ กำลังหลบหลีกการโจมตีของ มิซึฮะ หรือ Slayer อย่างทุลักทุเล เพราะการโจมตีด้วยดาบของเธอรุนแรงมาก นอกจากระยะดาบแล้ว ยังมีใบมีดลมที่เกิดจากคลื่นแหวกอากาศของดาบที่เธอใช้พลังจักระสร้างขึ้น พุ่งตามมาอย่างรวดเร็วอีกด้วย
มาซากิโยะ ใช้ดาบปัดป้องการโจมตีด้วยดาบของเขา "พี่มิซึฮะ!! ทำไมกัน....ทำไมถึงเป็นแบบนี้....หยุดซะทีเถอะครับพี่ครับ" แต่ มิซึฮะ ยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง การโจมตีของเธอดูจะเลือดเย็นเอามากๆ เธอเล็งแต่ละครั้งเข้าจุดตายของ มาซากิโยะ ทุกครั้ง จนบางครั้ง เขาก็ไม่สามารถหลบการโจมตีได้พ้น ทำให้ถูกคลื่นลมบาดเข้าที่ต้นขาซ้าย เขาจึงต้องกระโดดออกมาตั้งหลัก มาซากิโยะ ทรุดลงบนเข่าขวาของเขาเอง เขาใช้ดาบของเขาปักตั้งกับพื้นเพื่อประคองตัว "บ้าชิบ....นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพี่กันแน่" "ไอริส คงบังคับพี่ให้ทำอย่างนั้นสินะ....รึว่ามันใช้เนตรวงแหวนควบคุมจิตใจของพี่เอาไว้.....ได้สติซะทีเถอะครับ พี่มิซึฮะ!!"
มิซึฮะ เริ่มยิ้มที่มุมปาก จากที่ใบหน้าของเธอไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมาเลย "ห๊ะห๊ะห๊ะ.....นายนั่นแหละได้สติซะทีเถอะ มาซากิ" ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเรียบๆ แต่ดูจริงจังของ มิซึฮะ ดวงตาของ มาซากิโยะ ก็เบิกโพรงด้วยความตกใจ "เมื่อกี้....พี่ว่ายังไงนะ" "ก็บอกว่านายนั่นแหละควรตั้งสติให้ดี....ชั้นไม่ได้ถูกอะไรครอบงำ หรือถูกบังคับทั้งนั้น....ที่ชั้นทำมันเกิดจากความสมัครใจล้วนๆ "นายคิดว่าไงล่ะ....ชั้นควรจะยินดีที่พ่อแม่ถูกฆ่าตาย ครอบครัวที่เคยมีต้องสูญสลายเพราะการรับคนอย่างนายเข้ามาในครอบครัวรึไง" มิซึฮะ พูดพร้อมกับชักดาบอีกเล่มขึ้นมาถือไว้ที่แขนซ้าย มันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอพร้อมจะลุยเต็มกำลังสำหรับศึกครั้งนี้
มาซากิโยะ ลุกขึ้นมาตั้งดาบเพื่อรับการโจมตี "ที่พี่พูดมานั่นหมายความว่ายังไง....เพราะผมอย่างนั้นหรอ....ทำไมกัน!!...." มิซึฮะ หรี่ตาลงพร้อมพุ่งเข้าโจมตี ในขณะที่ มาซากิโยะ ก็เบิกเนตรสีขาวพร้อมกับระเบิดจักระทั้งหมดที่มีออกมารับการโจมตี การต่อสู้ด้วยกระบวนดาบนั้นรวดเร็วจนมองไม่ทัน เห็นเพียงแค่เป็นเงาเท่านั้น ความรุนแรงของการดวลดาบเริ่มทำลายสิ่งของโดยรอบ พื้นของห้องโถงเริ่มแตกเป็นหลุมในจุดที่ทั้งสองใช้เท้าลงปักหลักสำหรับการปะทะ กำแพงหินเริ่มมีรอยถูกของมีคมฟันเป็นรอยลึก จนดาบทั้ง 2 เล่ม ปะทะกันและหยุดนิ่ง มิซึฮะ จ้องเข้าไปในดวงตาเนตรสีขาว "ก็เพราะนาย พวกคุโรฮิซึจิถึงมา ตาสว่างได้แล้ว!!" "พ่อแม่ของนายไม่ได้ประสบอุบัติเหตุ...แต่ถูกฆ่าเพื่อแย่งชิงตำราคาถา.....ตำราคาถาของนาย ทำให้ชีวิตของชั้นพังทลายลง!!" เธอยกดาบเล่มที่สองฟันเข้าใส่ มาซากิโยะ ที่ไม่มีอะไรมาป้องกันดาบเล่มนั้นได้ "ความเกลียดชังนี้จะให้ชั้นลืมมันลงอย่างนั้นหรอ!!"
มาซากิโยะ ถูกฟันเข้าที่ลำตัว เลือดของเขาสาดกระเซ็นจนเลอะเพดานของห้องโถง เขาล้มลงคุกเข่าต่อหน้า มิซึฮะ
..............................
คุกนอกตัวเมืองกรุงโตเกียว
ในห้องขังเดี่ยวห้องหนึ่ง มันถูกปิดมิดชิด ประตูห้องนักโทษนั้นเป็นโลหะหนาแข็งแรงทนทานมาก มันมีช่องมองผ่านเล็กๆ ที่ประตู มันเห็นห้องขังของ นาโอกิ เซย์มิ ระหว่างที่เขากำลังนั่งนิ่งทำสมาธิปล่อยใจให้ว่างเปล่าอยู่นั้น เขาก็รู้สึกว่ามีบางคนมองเขาอยู่ เมื่อ เซย์มิ หันมามองที่ประตูด้วยสายตาที่สงบนิ่ง ประตูเหล็กบานนั้นก็เปิดออก ผู้คุมนักโทษที่เขาเห็นอยู่เป็นประจำก็เดินเข้ามา
เขาเป็นชายรูปร่างปราดเปรียว เส้นผมสีดำตรง แววตาดุดันเจ้าเลห์ ลักษณะใบหน้าเช่นนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Marionette เซย์มิ เห็นว่าผู้คุมคนนี้เข้ามาผิดเวลาจากทุกวันจึงถามขึ้นว่า "มีอะไรอย่างนั้นหรอคุณโคบายาชิ เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาพักนักโทษนะ" ผู้คุมที่ติดป้ายชื่อว่า โคบายาชิ นามิ ก็ยิ้มมุมปากด้วยใบหน้าที่ เซย์มิ ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาตอบว่า "วันนี้ผมไม่ได้มาในนามผู้คุมหรอกครับ" "ผมมาในนามของคนที่คุณรู้จักชื่อ Marionette คุณน่าจะยังจำชื่อนี้ได้ดีนะครับ Vampire" นามิ เปิดเผยตัวตนของเขา เมื่อได้ยิน เซย์มิ ก็มีท่าทีที่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็สงบลงได้อย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วหลับตา "ทำในสิ่งที่คุณต้องทำเถอะ"
ระหว่างที่หลับตาพร้อมที่จะตาย เพราะเขาคิดว่า Hades ต้องสั่งให้ Marionette มาสังหารเขาแน่ เขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อกุญแจมือของเขาทั้งสองข้างถูกปลดออก เซย์มิ ลืมตาขึ้น "นี่คุณมาทำอะไรกันแน่....ท่านผู้นำไม่ได้สั่งให้คุณมาสังหารผมอย่างนั้นรึไง" นามิ ยิ้มมุมปากอีกครั้ง "ท่านผู้นำสั่งให้ผมมาสังหารคุณครับ...แต่ตอนนี้ชายคนนั้นไม่ได้เป็นท่านผู้นำของผมอีกแล้ว...ผมเลยทำแบบนี้" "ตอนนี้เจ้าเด็กหนุ่มทาคัตซึกิ โยโซระ กำลังอยู่ที่รังลับของเรา...ที่นั่นมี ไอริส อยู่ด้วย ผมเห็นว่าคุณนับถือเด็กคนนั้นมากไม่ใช่หรอครับ" เมื่อถอดกุญแจมือและโซตรวนเท้าของ เซย์มิ ออกหมดแล้ว นามิ ก็ยื่นชุดคลุมสีดำที่ เซย์มิ เคยใส่ให้แก่เขา "ผมว่าเรามีงานต้องทำนะ"
เซย์มิ รับชุดคลุมสีดำของเขาเอาไว้ทันที "ผมก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ Marionette ไปช่วยพวกเขากัน...."
..............................
ในห้องโถงแรกของเหมือง
มาซากิโยะ กำลังนั่งคุกเข่าต่อหน้า มิซึฮะ น้ำตาของเขาเริ่มเอ่อล้นออกมา "เป็นอย่างนั้นจริงๆ สินะ...เพราะผมอย่างนั้นสินะ" "การที่ผมเข้ามาในครอบครัวของพี่....มันทำลายทุกสิ่งที่พี่มีจริงๆ....อย่างนั้นสินะ....ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว....ผมเป็นต้นเหตุของทุกสิ่ง" มิซึฮะ ยกดาบของเธอขึ้น เธอเล็งไปที่ต้นคอของ มาซากิโยะ "ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วก็จงรับโทษทัณฑ์และความเกลียดชังของชั้นไปซะ!!" ทว่าก่อนที่เธอจะฟันเข้าที่คอของเขา มาซากิโยะ ก็ดีดตัวถอยหลังออกมาตั้งหลักด้วยความเร็วสูงภายในพริบตาเดียว
มาซากิโยะ ระเบิดจักระที่มีทั้งหมดออกมา ของจ้องมอง มิซึฮะ ด้วยแววตาที่เศร้าหมอง ในมือซ้ายของเขาเริ่มเกิดลมหมุน เขาตั้งท่าพร้อมจะต่อสู้ ดาบที่มือขวาของเขาตั้งขึ้นมันเรืองออร่าสีฟ้าทั่วคมดาบ ลมที่มือซ้ายก่อตัวเป็นกระสุนวงจักรลูกใหญ่มาก "ผมจะยอมรับการลงโทษจากพี่ทั้งหมด ถ้ามันจะชำระล้างความเกลียดชังทั้งหมดที่พี่มีต่อผมได้....แต่ผมก็ปล่อยพี่ไปไม่ได้!!" "โลกของเรากำลังจะพังพินาศ ผมจะต้องหยุดสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นให้ได้....ผมจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งพี่เอาไว้ตรงนี้" มิซึฮะ ยกดาบขึ้นทั้งสองข้าง พลังจักระของเธอเพิ่มพูนขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ดาบของเธอเต็มไปด้วยจักระลมหมุนทั้ง 2 เล่ม "เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ มาซากิ.....ทั้งความเกลียดชังระหว่างเรา ทั้งความโศกเศร้าที่เราต้องประสบพบเจอ" มิซึฮะ พูดขึ้น
วินาทีต่อมา ทั้งสองก็พุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วสูงสุดที่ต่างฝ่ายต่างสามารถทำได้ในขณะนั้น "พายุดาบซึบากิ!!" มิซึฮะ ตะโกนขึ้นในขณะที่เธอกางดาบออกทั้งสองข้างแล้วหมุนตัวกลายเป็นพายุ มันรุนแรงจนเกิดการสั่นสะเทือน "กระสุนวงจักร!!!" มาซากิโยะ ตะโกนขึ้น เขาพุ่งเข้าหาด้วยกระสุนวงจักรที่มือซ้ายแรงหมุนมันไม่ได้ด้อยกว่าพายุของ มิซึฮะ เลย เมื่อพายุดาบของ มิซึฮะ ปะทะเข้ากับกระสุนวงจักรของ มาซากิโยะ มันก็เกิดคลื่นอัดกระจายออกพังผนังถ้ำจนทะลุไปหลายชั้น จากนั้น ดาบทั้งสองเล่มของ มิซึฮะ ก็แทงทะลุหน้าอกของ มาซากิโยะ ในเวลาเดียวกัน ดาบของ มาซากิโยะ ก็แทงทะลุอกของ มิซึฮะ
สนามเด็กเล่นแห่งหนึ่ง
มิซึฮะ ในวัยเด็ก พาเด็กน้อย มาซากิโยะ มาเล่นชิงช้า ในตอนแรก มาซากิโยะ เอาแต่นั่งนิ่งๆ ไม่ยอมแกว่งชิงช้าให้เคลื่อนไหว มิซึฮะ ที่เล่นชิงช้าอยู่ข้างๆ ก็หันกลับมามองแล้วหยุดชิงช้าของเธอ เธอลุกขึ้นแล้วมายืนข้างๆ มาซากิโยะ "ทำไมไม่เล่นล่ะ" มาซากิโยะ ถอนหายใจ "ผมกลัวครับ....ผมกลัวจะแกว่งแรงไปแล้วหล่นจากชิงช้า....คุณแม่เลยเป็นคนช่วยไกวชิงช้าให้ผม" "แหม ทำไมขี้กลัวอย่างนี้ล่ะ เป็นผู้ชายแท้ๆ มานี่มา..." เมื่อ มิซึฮะ พูดจบเธอก็จับที่เชือกแล้วไกวชิงช้าให้ มาซากิโยะ
"เหวออออออ เร็วไปแล้วนะครับพี่มิซึฮะ!! ผมกลัว" มาซากิโยะ ร้องขึ้น เขาหลับตาปี๋ เพราะ มิซึฮะ ไกวชิงช้าเร็วมาก "ฮ๊าฮ๊าฮ๊า ไม่เห็นจะต้องกลัวเลยนี่ มาซากิ พี่ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเธอจะหล่นพี่รับทันอยู่แล้ว เอ้า ลืมตาสิ" มิซึฮะ หัวเราะแล้วพูดขึ้น มาซากิโยะ กลั้นใจในการลืมตาขึ้นมา ตอนแรกเขารู้สึกเสียวและกลัวมาก แต่ผ่านไปสักพักเขากลับรู้สึกสนุกและชอบใจมาก เด็กๆ ทั้งสอง เล่นชิงช้ากันอย่างสนุกสนาน และมันเป็นครั้งแรกที่ มิซึฮะ ได้เห็นรอยยิ้มจากใบหน้าของ มาซากิโยะ หลังจากเล่นชิงช้ากันเสร็จ ทั้งสองก็มานั่งข้างกันที่ม้านั่งหินอ่อนข้างๆ ชิงช้า มันเป็นเวลาเย็น กระแสลมเริ่มพัดแรงขึ้น
"ขอบคุณพี่มิซึฮะ มากเลยนะครับ....วันนี้ผมสนุกมากเลย แถมวันนี้อากาศก็ดี ลมก็แรงดีด้วย ผมชอบมากเลยครับ" มาซากิโยะ พูด มิซึฮะ ยิ้มอย่างชื่นใจก่อนจะหันไปพูด "ใช่แล้ว วันนี้พี่ก็สนุกมาก ว่าแต่มาซากิชอบลมแรงๆ หรอ พี่ก็ชอบกระแสลมมากเหมือนกัน" "ดูเหมือนเราสองคนมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกันนะ....เอาเป็นว่าตั้งแต่นี้ต่อไป พี่จะเป็นเพื่อนเล่นให้มาซากิทุกวันเลยดีมั้ย" มาซากิโยะ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "ดีครับ...." และแล้วภาพเหล่านั้นก็เริ่มจากหายไปกลายเป็นเพียงหมอกสีขาวๆ อันเลือนลาง
"วันนี้....ลมแรง....ดีจัง....ผมดีใจ....ที่ได้เล่นสนุก....กับพี่......อีก......ครั้ง...." มาซากิโยะ พูดขึ้นก่อนที่เขาจะสิ้นใจ
To be continued...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 27, 2016 11:13:16 GMT
EP11 : Behind The Iris
ทางเดินขึ้นภูเขา
มันเป็นช่วงสายที่แสงแดดเริ่มทวีความรุนแรง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นป่าทึบ มีไม่ยืนต้นขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุม ทำให้อากาศด้านล่างบริเวณทางเดินไม่ได้ร้อนอย่างที่คิด มันกำลังเย็นสบาย เหมาะกับการเดินป่าในกิจกรรมวันหยุด สามีและภรรยาคู่หนึ่งได้เดินขึ้นไปนั่งพักบริเวณศาลาที่อยู่สูงขึ้นไปเกือบถึงยอดหุบเขา พวกเขากำลังมองดูลูกๆ ที่เดินตามขึ้นมา
เด็กน้อย โยโซระ กำลังก้าวเดินตามทางเดินที่เต็มไปด้วยก้อนหินทั้งเล็กและใหญ่อย่างกระท่อนกระแท่นทีละก้าวสองก้าว ในขณะที่ มายูมิ พี่สาวของเขาเดินตามอยู่ด้านหลัง เธอคอยมองและคอยระวังหลังให้น้องชายที่กำลังใช้ความพยายามเดินขึ้นเขา ทันใดนั้น เด็กน้อยโยโซระ ก็ก้าวผิดทำให้เขาเริ่มเสียการทรงตัวและหงายหลัง ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นแล้วร่วงลง "เหวอ~~!!!" โยโซระ ร้องเสียงหลง แต่เมื่อการเคลื่อนไหวหยุดลง เขาไม่รู้สึกเจ็บหรือรู้สึกว่าร่างกายตกกระแทกกับพื้นเลย
เมื่อ โยโซระ หันมามองกับสิ่งที่มารับร่างกายของเขา ก็พบรอยยิ้มของ มายูมิ ผู้เป็นพี่สาว เธอเข้ามารับตัวเขาไว้ได้ทันเวลา "ขะ....ขอบคุณครับ...พี่มายูมิ" โยโซระ พูดขึ้นด้วยเสียงที่ยังสั่นๆ เพราะยังไม่หายตกใจ มายูมิ ประคองเขาให้ยืนขึ้น เธอลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดู "ไม่เป็นไรจ่ะ....โยโสะ น่ะต้องมีสติตลอดเวลารู้มั้ย เธอต้องมองพื้นให้ดีก่อนแล้วค่อยก้าวไปน๊า" "การเดินขึ้นเขาน่ะ มันก็เหมือนกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเรา เราต้องมีสติ มองสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจน ไม่ให้ทำอะไรผิดพลาด" "แต่หากในบางครั้ง เราทำผิดพลาด จนเหมือนกับการก้าวพลาดและล้มลง เราก็ต้องลุกขึ้นยืนให้ได้แบบนี้ แล้วก้าวต่อไป"
โยโซระ พยักหน้าก่อนที่เขาจะเริ่มก้าวเดินขึ้นไปตามทางที่สูงชันใหม่อีกครั้ง โดย มายูมิ คอยประคองและชี้ทางที่ควรก้าวขา จนเธอปล่อยให้ โยโซระ เดินด้วยตัวเอง โยโซระ ก้าวเดินไปจนรู้สึกตัวว่าพี่สาวของเขาไม่ได้ช่วยประคองตัวเขาเอาไว้แล้ว เขาหยุดเดินแล้วหันมาถาม มายูมิ ขึ้นว่า "ทำไมพี่มายูมิไม่ช่วยผมเดินขึ้นไปต่อล่ะครับ....ผมกลัวผมจะล้มอีกน่ะครับ...." คำตอบของเขาคือรอยยิ้มของพี่สาวและเธอพูดว่า "ไม่ได้หรอกจ่ะ...พี่คอยช่วยโยโสะ ตลอดไปไม่ได้ บางครั้งเธอก็ต้องสู้ด้วยตัวเอง" "พี่อยากให้โยโสะเป็นคนที่เข้มแข็ง เพราะเมื่อวันใดที่โยโสะโตขึ้น พี่คงจะไม่ได้อยู่ช่วยโยโสะตลอดเวลา โยโสะ มีทางที่ต้องเลือกเดิน" "พี่ก็มีทางของพี่ที่ต้องเลือกเดิน...." มายูมิ อธิบาย แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก โยโซระ ไม่พอใจคำพูดของพี่สาวด้วยการแสดงออกทางใบหน้า
"พี่มายูมิใจร้าย ผมเกลียดพี่ที่สุด ถ้าไม่มีพี่คอยช่วย ผมจะปืนขึ้นไปหาคุณพ่อกับคุณแม่ได้ยังไงกันล่ะ!!" โยโซระ พูด มายูมิ จึงเดินขึ้นมายืนข้างๆ "โยโสะต้องเดินขึ้นไปได้แน่ พี่เชื่ออย่างนั้น....เพราะโยโสะน่ะ เป็นคนที่เก่งและเข้มแข็งกว่าพี่นะรู้มั้ย" "ถึงแม้วันนี้ โยโสะ จะยังเดินขึ้นไปเองไม่ได้ แต่ต่อไป โยโสะ จะสามารถทำมันได้อย่างแน่นอน" เธอยิ้มแล้วกุมมือน้องชายเอาไว้ เมื่อทั้งสองเริ่มก้าวเดิน โยโซระ ก็ถามขึ้นต่อไปว่า "ถ้าถึงวันที่ผมโตขึ้น....พี่มายูมิคงไม่สนใจผม หรืออยู่ข้างผมแล้วอย่างนั้นสินะครับ" มายูมิ ยิ้มด้วยความเอ็นดูน้องชาย "ไม่หรอกจ่ะ....ถึงโยโสะจะโตแล้ว หรือเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พี่ก็จะรักและห่วงใย โยโสะ เสมอ"
โยโซระ ยิ้มและหันไปมองรอยยิ้มของพี่สาว โดยเธอพูดกับเขาว่า "พี่สัญญาจ่ะ...." ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเริ่มจางหายไป
..............................
ภายในเหมือง
Marionette และ Vampire ในชุดคลุมสีดำสวมหน้ากาก กำลังวิ่งเข้ามาตามโพรงถ้ำอย่างไม่มีหยุดชะงัก นั่นเพราะพวกเขาคุ้นเคยกับทางเดินเหล่านี้เป็นอย่างดี ทั้งสองมีท่าทีที่รีบมาก จนกระทั่งพวกเขาวิ่งมาหยุดที่ห้องโถงแรก สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ ร่างของ มาซากิโยะ มิโรซูมิ กับร่างของ มิซึฮะ คามิซาโตะ ที่อยู่ในท่านั่งชันเข่าหันหน้าเข้าหากัน พวกเขาถือดาบซึ่งเป็นอาวุธคู่กาย แทงทะลุร่างของอีกฝ่าย มันเป็นภาพที่ดูแล้วน่าหดหู่ใจยิ่งนักสำหรับมุมมองของคนนอก
Marionette เป่าปากพร้อมกับถอดหน้ากากของเขาออก สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยกังวลนัก "แล้วไป...เห็นแบบนี้ใจชื้นหน่อย" Vampire จึงถอดหน้ากากของเขาออกตามแล้วถามขึ้นว่า "ใจชื้นหรอ....หมายความว่ายังไง ทั้งที่เราเพิ่งเสียกำลังคนไปเนี่ยนะ" เมื่อ Marionette หรือ นามิ เห็นว่า Vampire หรือ เซย์มิ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อความหมายให้รู้ เขาจึงเริ่มอธิบายว่า "คุณลองดูรอบๆ สิครับ การที่คุณตำรวจมิโรซูมิ ถูกสังหารด้วยฝีมือของ Slayer นั่นหมายถึงอะไรกัน" "....มันแปลว่า Hades ไม่ได้อยู่ที่นี่และเป็นไปตามที่ผมคิดเอาไว้ เขาคงมอบหมายให้ Slayer และ ไอริส เก็บกวาดที่นี่แทน"
เมื่อ เซย์มิ เข้าใจในสิ่งที่ นามิ ต้องการสื่อความหมาย แต่เขาก็ยังติดใจในบางเรื่อง "แล้วตอนนี้ ไอริส อยู่ที่ไหนกัน...เราต้องรีบหาให้พบ" นามิ มองไปรอบๆ แล้วใช้หูของเขาฟังเสียงภายในถ้ำ "เจอแล้ว....พวกเด็กๆ คงกำลังทำการต่อสู้กับ ไอริส อยู่ที่ห้องโถงบัญชาการ" เซย์มิ ได้ยินดังนั้น เขาก็รีบปล่อยจักระ แล้วงอกกรงเล็บของเขาออกมา ก่อนที่จะเริ่มออกวิ่งไปยังที่ซึ่ง นามิ บอกเอาไว้อย่างไม่รอช้า นามิ ส่ายหัวเบาๆ "ไอหมอนี่ใจร้อนซะจริงๆ เลยนะ" เมื่อเขาบ่นจบ เขาก็ปล่อยจักระออกมา แล้ววิ่งตาม เซย์มิ ไปอย่างไม่รอช้า
ทั้งสองรีบมุ่งหน้าไปห้องโถงบัญชาการอย่างไม่รอช้า
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 27, 2016 11:14:32 GMT
ที่ห้องโถงบัญชาการ
การต่อสู้ระหว่าง โยโซระ จิโดริ และอายาโนะ กับ ไอริส ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว มันเป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้างดุเดือดและรุนแรง จิโดริ ใช้คาถาไม้สร้างรากไม้เข้าฟาดโจมตีใส่ ไอริส จากระยะไกล ในขณะที่ โยโซระ ใช้พลังจักระสายฟ้าเข้าประชิดตัว ไอริส นั้นยังสามารถหลบรากไม้ที่ฟาดเข้าใส่ และรับการโจมตีของ โยโซระ ทั้งการชก และการเตะ ได้อย่างไม่ยากเย็น
ไอริส ใช้แขนของเธอในการปัดป้องการโจมตี สลับกับการโยกหลบการโจมตีที่ต่อเนื่อง และชกสวนออกเป็นจังหวะด้วยความแม่นยำ การโจมตีของ โยโซระ นั้นไร้ผลโดยสิ้นเชิง แต่กลับกัน หมัดของ ไอริส เข้าเป้าทุกครั้ง ทำให้ โยโซระ ได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เข้าประชิดตัวได้ โยโซระ ก็ปล่อยหมัดจักระสายฟ้าเข้าตรงใส่ใบหน้าของ ไอริส อย่างรุนแรง และหมัดนั้นรวดเร็วมาก ไอริส พยายามเอียงตัวหลบไม่สามารถหลบหมัดของเขาได้ "เร็วจริงๆ" เนตรวงแหวนของ ไอริส ก็เริ่มทำงานในทันที ไอริส สามารถดึงใบหน้าหลบหมัดของ โยโซระ ได้ แต่มันยังคงทำให้หน้ากากของเธอบริเวณช่วงปากแตกกระจาย
เมื่อหลบการโจมตีพ้น ไอริส ก็ถีบเข้าใส่ลำตัวของ โยโซระ จนกระเด็นออกมาไกล ในขณะที่ ไอริส กระโดดขึ้นไปยืนบนเก้าอี้หิน จิโดริ รีบวิ่งไปดูอาการของ โยโซระ "เป็นอะไรรึเปล่า โยโซระ" แต่ โยโซระ ยังลุกขึ้นมาได้อยู่ "ชั้นไม่เป็นไร...ขอบใจนะ จิโดริ" เมื่อ โยโซระ ลุกขึ้นได้ เขาก็พูดขึ้น "คุณน่ะ หยุดการกระทำแบบนี้ซะทีเถอะครับ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอกนะครับ...." "คุณกำลังถูกหลอกใช้โดย Hades หลังจากที่คุณหมดประโยชน์ เขาก็จะฆ่าคุณทิ้ง...อย่าทำสิ่งที่ผิดแบบนี้ต่อไปอีกเลยนะครับ" "เพราะยังไงผมก็ไม่ยอมแพ้ ถึงผมจะต้องตายก็เถอะ ผมจะต้องปกป้องทุกคน หยุดยั้งเหตุการณ์ในครั้งนี้และช่วย ฮิเมะจัง ให้ได้"
ไอริส หลับตาซ้ายลงก่อนจะเริ่มปากริบฝีปากที่สามารถเห็นได้จากการแตกของหน้ากากของเธอ "มีความตั้งใจดี....แต่ก็ยังอ่อนหัด..." "บางครั้ง ในการต่อสู้ เธอก็ต้องมีสติตลอดเวลา และส่งมองดูสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจน....ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ไป เธอก็ไม่มีทางหยุดพวกเราได้" "Kuraokami!!" ไอริส พูดขึ้นเรียบๆ แล้วลืมตาซ้ายขึ้น เนตรวงแหวนของเธอนั้นเปลี่ยนรูปร่างไป และเริ่มหมุนขึ้นช้าๆ
ทันทีที่ ไอริส ลืมตาซ้ายที่เป็นเนตรวงแหวนรูปร่างแปลกๆ ขึ้นนั้น บรรยากาศโดยรอบก็เย็นวาบทันที มันหนาวสะท้านไปถึงกระดูก มังกรน้ำแข็งขนาดยักษ์ก็ปรากฎขึ้น มันกระพือปีกแล้วบินพุ่งตรงเข้าใส่ โยโซระ โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวและไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
วินาทีนั้นเอง สิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นเมื่อ อายาโนะ โผเข้ามาขวางหน้า โยโซระ เอาไว้ เธอก้มหน้ามอง โยโซระ ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มังกรน้ำแข็งขนาด 20เมตร โถมเข้าใส่แผ่นหลังของ อายาโนะ ร่างของเธอกลายเป็นน้ำแข็งชั่วพริบตาโดยยังไม่ทันได้ร้องออกมาสักแอะ จากนั้น ร่างก็เธอก็ถูกแช่แข็งเป็นก้อนน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว "พี่อายาโนะ!!!" โยโซระ ตะโกนขึ้นด้วยความตกใจปนกับความเคียดแค้น เขาเคลื่อนตัวออกมาโดยหมายจะพุ่งโจมตีสวนใส่ ไอริส แต่ระยะทางนั้นไกลมาก ในขณะที่มังกรน้ำแข็งตัวใหม่กำลังพุ่งเข้ามาซ้ำ
จิโดริ เห็นเช่นนั้น เธอจึงรีบวิ่งไปขวางหน้า โยโซระ ก่อนจะใช้คาถาไม้สร้างเป็นโล่ป้องกันการโจมตีของมังกรน้ำแข็ง Kuraokami ต้นไม้จำนวนมากผุดขึ้นมาขวางหน้า จิโดริ และ โยโซระ แต่มันถูกแช่แข็งเพียงชั่วเสี้ยววินาที ทั้งสองถึงกับตกตะลึงกับอานุภาพของคาถา จิโดริ หันไปหา โยโซระ "มังกรนี่คงเป็นคาถาที่มาจากเนตรวงแหวนของ ไอริส หากเธอมองไปที่สิ่งไหน มังกรน้ำแข็งจะโจมตีสิ่งนั้น" ทันทีที่พูดจบ ต้นไม้ที่ จิโดริ สร้างขึ้นก็แตกกระจาย โดย ไอริส เป็นคนที่ทำให้มันพังทลายด้วยการกระโดดเข้าถีบเข้ามาอย่างแรง และแล้ว ไอริส ก็มายืนอยู่ต่อหน้า โยโซระ กับ จิโดริ โดยตาซ้ายของ ไอริส ยังปิดอยู่ "พวกเธอหลบชั้นไม่พ้นหรอก....Kuraokami" จิโดริ เห็นเช่นนั้น เธอจึงรีบผลัก โยโซระ ออกไปอย่างแรงในขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว ทำให้ร่างของ โยโซระ กลิ้งกระเด็นออกมา
ภาพที่ โยโซระ เห็นคือ จิโดริ กำลังถูกมังกรน้ำแข็งกลืนกินร่างกายเหมือนถูกแช่แข็งในก้อนน้ำแข็งเช่นเดียวกับ อายาโนะ
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 27, 2016 11:15:37 GMT
ในที่สุด นามิ และ เซย์มิ ก็มาถึงห้องโถงบัญชาการ
เซย์มิ และ นามิ เข้ามาเห็นการโจมตีด้วยมังกรน้ำแข็งที่กำลังกลืนกินร่างของ จิโดริ จนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งอยู่พอดี เซย์มิ ก็ถึงกับหน้าซีด "บ้าน่า นี่มันอะไรกัน ไอริส สามารถใช้คาถาน้ำแข็งที่รุนแรงได้ขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรอ....แย่ล่ะสิ" ขณะนั้น โยโซระ ก็ลุกขึ้น เขาเบิกเนตรวงแหวนที่สมบูรณ์แล้วขึ้นมาพร้อมกับจักระที่เพิ่มพูนขึ้นมหาศาลทั่วร่าง เขากำหนดแน่นด้วยสายฟ้าที่แลบขึ้นปกคลุมทั่วร่างกาย แล้วการต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น โยโซระ พุ่งโจมตี ไอริส อย่างไม่ลังเล โดยที่ ไอริส เมื่อเห็นเนตรวงแหวนสมบูรณ์ของ โยโซระ เธอก็ประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดลงจากเก้าอี้หิน
เซย์มิ และ นามิ มองดูการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าของ โยโซระ ที่หลบซ้ายทีขวาทีเพื่อย่นระยะระหว่างศัตรู โยโซระ หลบมังกรน้่ำแข็งตัวแล้วตัวเล่า แต่เขาก็ไม่สามารถหลบมันได้พ้นทั้งหมด ทำให้แขนและแขาของเขาถูกแช่แข็งบางส่วน แต่เขาก็ยังไม่หยุดยั้งการโจมตีลงง่ายๆ และไม่มีท่าทีที่ย่อท้อ เขายังพยายามหาหนทางในการเข้าประชิดตัว ไอริส เซย์มิ กำหมัดแน่นแล้วพูดขึ้นว่า "ต่อให้เจ้าหนูนั่นมีจักระมากแค่ไหน แต่ดูท่าเขาไม่มีหนทางเอาชนะ ไอริส ได้เลย...." ในขณะที่ นามิ ยิ้มมุมปาก "ถ้ามองว่าเจ้าหนูนั่นเป็นคนทั่วๆ ไป มันก็คงเป็นแบบนั้น แต่สำหรับ ไอริส แล้ว เขาเป็นคนพิเศษ" เซย์มิ ขมวดคิ้วแล้วมองหน้า นามิ เขามีท่าทีที่สงสัยในคำพูดกำกวมของ นามิ มาก "นี่คุณหมายความว่ายังไง...สำหรับไอริสน่ะ"
ทันใดนั้นเอง โยโซระ ก็ตะโกนขึ้นว่า "ผมไม่ให้อภัยคุณหรอก!! คุณต้องชดใช้ทุกสิ่งที่ทำกับจิโดริ และคุณอายาโนะ!!" จักระสายฟ้าของ โยโซระ ระเบิดออกทำให้น้ำแข็งที่รั้งแขนและขาของเขาแตกกระจาย มันทำให้ ไอริส ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าประชิดตัวด้วยความเร็วที่ ไอริส คาดไม่ถึง เธอพยายามยกแขนขึ้นป้องกันลำตัว แต่ โยโซระ ปัดแขนเธอออก เมื่อมีช่องว่าง เขาก็ปล่อยหมัดขวาเข้าเต็มหน้าท้องของ ไอริส จนตัวงอ แล้วตามด้วยการเตะด้วยขาขวาเสยขึ้นเข้าปลายคางอย่างแรง ร่างของ ไอริส กระเด็นขึ้นฟ้า และ โยโซระ ยังไม่ยอมหยุดเท่านั้น เขาลอยตัวขึ้นตามแล้วชกซ้ำเข้าที่ลำตัวกลางอากาศอีกที แรงชกทำให้ ไอริส กระเด็นชนเอ้าอี้หินของ Hades จนมันแตกกระจาย เธอทะลุไปติดกำแพงและหยุดนิ่ง ทำให้กำแพงร้าว
โยโซระ มีอาการหอบเพราะเขาใช้จักระไปเยอะ ทว่า ไอริส กลับยังไม่สิ้นฤทธิ์ เธอลุกขึ้นช้าๆ จากเศษหินที่แตกกระจายไปทั่ว ไอริส ใช้แขนเสื้อคลุมสีดำเช็ดเลือดที่ริมฝีปากตัวเอง "ทำได้ไม่เลวเหมือนกันนี่....แต่เธอคงมาได้แค่นี้แล้วล่ะนะ ทาคัตซึกิ โยโซระ...." "ชั้นจะแสดงให้เธอได้เห็นพลังที่แท้จริงของเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา.....เนตรที่ได้รับจากความเจ็บปวดแสนสาหัส...." "และนี่คือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเนตรคู่นี้....พลังที่เธอไม่มีวันก้าวผ่านไปได้.....พลังที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง....Susano'O" เมื่อพูดจบ มังกรน้ำแข็ง 7 ตัวก็ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวของ ไอริส ก่อนที่มันจะเริ่มรวมร่างกลายเป็นก้อนน้ำแข็งรูปร่างมนุษย์ขนาดยักษ์ ร่างมนุษย์นั้นปกคลุมร่างของ ไอริส ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่เธอควบคุมและใช้เป็นอาวุธ มันเหมือนเจ้าหญิงน้ำแข็งก็ไม่ปาน
เซย์มิ เห็นดังนั้น เขาก็ตัดสินใจจะเข้าไปช่วย โยโซระ แต่ นามิ กลับยกแขนขึ้นขวางไม่ให้ เซย์มิ ก้าวขาออกไปช่วย โยโซระ ได้ "คุณคิดจะทำอะไรกันแน่!! คุณมาเพื่อช่วยทาคัตซึกิ โยโซระ ไม่ใช่รึไง คุณจะห้ามผมไว้ทำไม เจ้าหนูนั่นสู้พลังของ ไอริส ไม่ได้หรอก!!" คำพูดของ เซย์มิ ไม่ได้ทำให้ นามิ สะทบสะท้าน และเขายังตอบกลับมาว่า "ผมเข้าใจดี....แต่ถ้าคุณหวังดีกับทาคัตซึกิ จริงๆ แล้วล่ะก็" "ผมขอแนะนำว่าคุณควรมองดูอยู่ห่างๆ....นี่เป็นช่วงที่สำคัญสำหรับเขา....ถ้าคุณเข้าไปขวางเขาไว้ตอนนี้ล่ะก็...เขาจะไม่มีทางแข็งแกร่ง" "เขาจะไม่มีวันที่จะล้ม Hades ตามที่เราคาดหวังเอาไว้ได้!!.....เขาต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น" นามิ พูดขึ้น
แต่ เซย์มิ ยังคงไม่เชื่ออย่างนั้น "แต่คุณไม่เห็นหรอว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร Susano'O ที่ว่านั่นดูก็รู้แล้วว่ามันคืออาวุธสังหาร" นามิ เหลือบหางตามามอง เซย์มิ "แล้วคุณคิดว่าคนที่เป็นพี่สาวผู้ทำทุกอย่างเพื่อนน้องชาย จะใช้อาวุธสังหารฆ่าน้องชายได้ลงคองั้นหรอ" เมื่อได้ยิน เซย์มิ ก็ประหลาดใจอย่างที่สุด "คุณว่ายังไงนะ.....พี่่สาว....กับน้องชาย....อย่างนั้นหรอ.....หรือว่า ไอริส เธอจะเป็น..." นามิ พยักหน้าเป็นการตอบกลับ "ถูกต้องแล้วล่ะ....ผมคงอธิบายอะไรไม่ได้มาก....ที่รู้คือเธอต้องการสังหาร Hades มาโดยตลอด" "แต่เธอทำไม่ได้ เพราะเธอไม่แข็งแกร่งพอ เธอต้องการเพียงแค่ปกป้องแค่น้องชาย มันเหมือนกำแพงของพลังที่เธอข้ามผ่านไปไม่ได้"
"ในทางกลับกัน โยโซระ ทาคัตซึกิ ผู้เป็นน้องชายของเธอ เป็นคนที่ต้องปกป้องทุกคน เขาจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด"
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 27, 2016 11:17:57 GMT
เมื่อ ไอริส พร้อมจะโจมตีเป็นครั้งสุดท้าย
เธอเปิดเผยพลังที่แท้จริง Susano'O ต่อหน้า โยโซระ เจ้าหญิงน้ำแข็งสร้างหอกน้ำแข็งขึ้นมาถือไว้ที่มือพร้อมต่อสู้ พลังจักระนั้นรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่แววตาของ โยโซระ ไม่ได้มีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อยนิด เขาเหลือบไปมอง จิโดริ จากนั้นเขาก็หลับตาลงกัดฟันแน่น "จิโดริ....ชั้นขอโทษนะ....ที่ชั้นแข็งแกร่งไม่พอจะปกป้องเธอ..." โยโซระ เริ่มประสานอินที่มือ จากนั้น สายฟ้าฟาดก็ถูกรวมไว้ที่มือของเขา ในคราวนี้เขารวมจักระทั้งหมดที่เขามี เขาตั้งใจทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อโค่นล้ม ไอริส สายฟ้านั้นมีปริมาณมหาศาลมากเกินกว่าที่จะรวมอยู่แค่ปลายมือ มันจึงเอ่อทะลักมาท่วมทั่วร่างอีกทั้งมันยังสร้างความเจ็บปวดแก่เขา
"พันปักษา!!" โยโซระ พูดขึ้น ในชั่วพริบตานั้น โยโซระ ก็พุ่งเข้าใส่ Susano'O ของ ไอริส ด้วยพันปักษาที่สายฟ้าช็อตทั้งร่าง มุมปากของ ไอริส ก็เผยให้เห็นรอยยิ้ม เธอใช้ Susano'O พุ่งสวนพันปักษาของ โยโซระ ด้วยหอกน้ำแข็งที่อยู่ในมือ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะปะทะกัน นั่นคือ จิโดริ ระเบิดจักระพังน้ำแข็งรอบตัวเธอออกมาได้ เธอไม่ได้รับบาดเจ็บเลย เธอมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่อย่างมีสติ และเธอก็พบว่าทุกการโจมตีของ ไอริส นั้นไม่ได้มีเจตนาฆ่า โยโซระ ตั้งแต่แรกแล้ว "โยโซระ!! อย่านะ!!!" จิโดริ ตะโกนขึ้น ทำให้ โยโซระ เหลือบไปมอง แม้ว่าเขาจะได้ยิน แต่เขาหยุดการโจมตีของตัวเองไม่ได้แล้ว
....ซึ่บ!!........ พันปักษาที่มือขวาของ โยโซระ เสียบเกราะน้ำแข็งของ Susano'O จนทะลุ และยังทะลุเข้าลำตัวของ ไอริส โยโซระ เงยหน้าขึ้นมอง ไอริส ในขณะที่ ไอริส นั้นยิ้มขึ้นบางๆ เธอใช้มือขวา จับที่ข้อมือขวาของ โยโซระ แล้วดึงมันเข้าหาตัวเธออีกครั้ง พันปักษาของ โยโซระ จึงทะลุออกจากแผนหลังของ ไอริส จากนั้น เธอค่อยๆ ชูนิ้วก้อยขึ้นมาด้วยแขนซ้าย ทำให้ โยโซระ อึ้งตาค้าง "เธอแข็งแกร่งขึ้นมากแล้วนะ....โยโสะ...." ไอริส พูดขึ้นในขณะที่เลือดปริมาณมากเอ่อล้น และไหลทะลักออกทางปากของเธอ
..............................
บ้านหลังหนึ่ง
ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำอย่างหนัก เสียงฟ้าร้องคำราม และฟ้าผ่าอย่างต่อเนื่องยามราตรี มันเป็นบ้านที่ โยโซระ คุ้นเคย เขากำลังหลบอยู่ในห้องใต้บันใดของบ้านที่พังพินาศด้วยความหวาดกลัว พ่อแม่ของเขาถูกชายสวมชุดดำสังหารอย่างโหดร้าย ขณะนั้น มายูมิ กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าชายชุดดำ เธอเองก็มีท่าทีที่หวาดกลัวไม่ได้แตกต่างไปจาก โยโซระ ที่แอบซ่อนอยู่
โยโซระ ได้แต่บอกกับตัวเองว่า เขาจะต้องปกป้องพี่สาว เขาไม่อยากจะให้พี่สาวถูกฆ่า แต่ร่างกายของเขามันไม่ยอมขยับ มายูมิ ผู้เป็นพี่สาวร้องไห้แล้วเหลือบมอง โยโซระ ผ่านช่องระบายลมของประตูไม้บานเล็กๆ ที่ขวางกั้นพวกเขาเอาไว้เท่านั้น เธอจะยิ้มบางๆ ด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนก มันคือเนตรวงแหวนที่ โยโซระ ในตอนนี้รู้จัก
เขาสังเกตุเห็นริมฝีปากของ มายูมิ กำลังพูดบางสิ่ง แต่ไม่ออกเสียง เธอพูดขึ้นว่า "พี่ขอโทษนะ โยโสะ....ที่พี่ต้องทำแบบนี้..." "พี่อยากให้ โยโสะ มีชีวิตที่ดี เป็นเด็กดีที่ร่าเริงสดใส พี่ไม่อยากให้ โยโสะ ต้องมีความทรงจำที่ไม่ดีแบบนี้ตามหลอกหลอนในจิตใจ" "ลืมเรื่องราวของครอบครัวเราซะ.....ลืมพี่ซะ......แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่......ขอให้รู้เอาไว้ ว่าพี่จะรักและห่วงใย โยโสะ ตลอดไป....." จากนั้น มายูมิ ก็ยื่นมือขึ้นไปสัมผัสมือของชายชุดดำ เขาพยุงร่างของสาวน้อยขึ้นมายืน แสงจันทร์กระทบใบหน้าของชายคนนั้น ทำให้เห็นว่าชายคนนั้นเป็นชายหน้าตาดี ใบหน้าเฉียบคม นัยน์ตาเลือดเย็นสีฟ้า เส้นผมตรงสีดำ เขาคือ จินได ริวงะ ไม่ผิดเพี้ยน
จากนั้น วิสัยทัศน์ สติ และความทรงจำในวัยเด็กของ โยโซระ ก็เลือนลางและค่อยๆ จางหายไป
..............................
โยโซระ ยกแขนซ้ายขึ้นเกี่ยวก้อยกับ ไอริส
น้ำตาของเขาเอ่อล้นจนพูดอะไรไม่ออก เรื่องราวต่างๆ ทุกฉากทุกตอนในความฝันกลับมาชัดเจนอีกครั้งทำให้รู้ว่ามันคือความจริง ไอริส ยิ้มอย่างพอใจ "พี่น่ะ....ดีใจที่เห็น โยโสะ เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กดี เป็นคนดี จิตใจอ่อนโยน และมีเมตตา...อย่างที่พี่ต้องการ...." "ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพี่จะไม่ได้อยู่ดูแล โยโสะ อย่างที่เคยสัญญาไว้...แต่อย่างน้อยแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่พี่ได้ใกล้ชิดกับ โยโสะ...." "และได้อยู่ดูแล โยโสะ .... ได้สัมผัสตัวตนของ โยโสะ....มันก็คุ้มค่าสำหรับช่วงเวลาตลอดทั้งชีวิตที่พี่ต้องเสียไปแล้วล่ะนะ......"
"พี่น่ะ มีสิ่งที่ต้องการเพียงอย่างเดียว....ก็คือขอให้ โยโสะ ได้ใช้ชีวิตต่อไป.....และมีความสุขกับการใช้ชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้..." "พี่จึงไม่สามารถก้าวผ่านกำแพงแห่งความแข็งแกร่งนี้ไปได้.....แต่สำหรับ โยโสะ แล้ว....เธอเป็นคนที่เป็นห่วงเป็นใย....คนอื่นเสมอ...." "เธอจะ....สามารถ....แข็งแกร่งขึ้นได้ทุกครั้ง....ที่เธอต้องการปกป้องใคร.....พี่รู้ได้ทันที....ว่าเธอคือคนเดียว....ที่จะล้ม Hades ลงได้..." "พี่จะมอบทุกสิ่ง.....ที่พี่มี.....เพื่อชดเชย.....สิ่งที่พี่ไม่ได้ทำ....มาตลอด 9 ปี....พี่จะรอ โยโสะ...อยู่บนนั้น....กันคุณพ่อ....คุณแม่....นะ...."
"ลาก่อน....โยโสะ....น้องรักของพี่......"
เมื่อสิ้นเสียงของ ไอริส หน้ากากที่เริ่มปริก็แตกออก พร้อมกับการพังทะลายของร่างน้ำแข็ง Susano'O ที่ปกคลุมกายของเธอ เนตรวงแหวนของ โยโซระ ก็เบิกโพรง มันเริ่มเปลี่ยนรูปร่างพร้อมแผ่จักระมหาศาลออกมา จนมันเป็นเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา
ใบหน้าของ ไอริส นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน มันเป็นใบหน้าของ อายาโนะ มิอุระ ที่ โยโซระ รู้จักเและคุ้นเคยมาโดยตลอดนั่นเอง มันทำให้ โยโซระ กระหนักถึงทุกคำพูดของ ไอริส ผ่านการกระทำของ อายาโนะ และเธอคือคนที่แอบมอง โยโซระ มาตลอด และไขข้อสงสัยว่าทำไมวันนั้นที่หน้าโรงเรียน เขาถึงเห็น อายาโนะ สะกดรอยและแอบมองเขา อีกทั้งยังพยายามหลบหน้าเขาอีก.....
To be continued...
|
|