|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 19, 2016 11:13:22 GMT
EP6 : Into Darkness
ที่ศาลเจ้าของ ยูกิ
หลังจากเหตุการณ์บุกโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยกลุ่มคุโรฮิซึจิผ่านไปหลายวัน เด็กๆ ได้พักฟื้นจนหายเหนื่อยล้า พวกเขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าเพื่อฝึกซ้อมการใช้จักระอย่างเช่นเคยโดย โยโซระ จิโดริ และ ยูกิ ทำการฝึกซ้อมร่วมกัน สำหรับระดับความชำนาญการใช้จักระ ดูเหมือน จิโดริ จะนำหน้าคนอื่นๆ อยู่พอสมควร จักระของเธอก็เพิ่มพูนขึ้นมากขึ้น
ในขณะที่ เซบัสเตียน จับคู่ฝึกซ้อมกับ ฮิเมะ
"คาถาไฟ ลูกไฟยักษ์!!" เซบัสเตียน รีดเร้นจักระพ่นลูกไฟขนาดใหญ่เข้าใส่ ฮิเมะ เธอไม่ยอมหลบแต่ทำประสานมือเข้าด้วยกัน ทันในนั้น โล่เหล็กก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าของ ฮิเมะ มันสะท้อนลูกไฟยักษ์กลับไปหา เซบัสเตียน เขาจึงกระโดดลอยตัวเพื่อหลบหลีก เมื่อหลบพ้นเขาก็เริ่มวิ่งเข้าหา "คาถาไฟ ฝนดาวตก!!" เซบัสเตียน พ่นลูกไฟขนาดเล็กจำนวนมากขึ้นฟ้าในขณะที่เร่งฝีเท้าเข้าหา ฮิเมะ มองขึ้นตามลูกไฟ เธอก็เห็นว่าลูกไฟที่พุ่งขึ้นไปกำลังร่วงหล่นลงใส่เธอ "คาถาอัญเชิญ!!" เธอก้มลงใช้ฝ่ามือเตะที่พื้นดิน
แสงเจิดจ้าปรากฏเหนือตัวเธอ จากนั้นสิ่งที่ปรากฏขึ้นคือเต่ายักษ์ตัวหนึ่ง มันสูงราว 6 เมตร ลำตัวยาวถึงหางร่วม 16 เมตร ลูกไฟจำนวนมากตกกระทบกระดองเต่ายักษ์แล้วหายไปพร้อมกับเต่ายักษ์ที่ถูกอัญเชิญมา ฮิเมะ ยิ้มด้วยความพอใจในผลงานของตน แต่เมื่อเธอหันมาอีกทีก็พบว่า เซบัสเตียน มายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับหมัดที่กำลังลุกเป็นไฟ "ว้า...ดิชั้นพลาดท่าอีกแล้วสินะคะ" แต่คราวนี้ เซบัสเตียน กลับยิ้มออกมา เขาช่วยพยุง ฮิเมะ ขึ้นมา "เธอน่ะเก่งขึ้นกว่าเก่ามากแล้ว แต่เธอต้องพยายามให้มากขึ้นกว่านี้" "เธอก็ต้องลงมือกับเป้าหมายบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ให้เขาโจมตี" ฮิเมะ มีสีหน้าหงอยๆ "แต่ว่า...ดิชั้นไม่อยากจะทำร้ายใครนี่คะรุ่นพี่...."
จากนั้นพวกเขาสองคนก็ทำการฝึกซ้อมด้วยกันต่อไป ดูเหมือนทั้งคู่จะไว้ใจกันและสนิทกันมากขึ้น
อีกด้านหนึ่งของศาลเจ้า
โยโซระ จิโดริ และ ยูกิ ได้ฝึกฝนการใช้จักระกันไปพอสมควรแล้ว พวกเขาจึงหยุดพักการฝึกและแยกย้ายเพื่อพักผ่อน ระหว่างที่ โยโซระ กำลังเดินไปล้างหน้าล้างตา เขาก็เหลือบไปเห็น ยูกิ เดินไปที่หน้าทางเข้าศาลเจ้า มันมีศาลาไม้ตั้งอยู่ข้างๆ ยูกิ เดินไปนั่งบนม้านั่งไม้ในตัวศาลา โยโซระ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเหงาและเดียวดายของ ยูกิ จึงเดินตามไปแล้วนั่งข้างๆ
"ยูกิจัง เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลย" โยโซระ ถามขึ้น ยูกิ ชำเลืองมองด้วยหางตา "บังเอิญคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมาน่ะค่ะ" "ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกท่านไปอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร สบายดีไหม แล้วคิดถึงชั้นอยู่บ้างไหม" ยูกิ อธิบายความรู้สึกของเธอออกมา โยโซระ ที่รู้เรื่องราวของ ยูกิ จากปากของ จิโดริ มาก่อนแล้ว จึงต้องการปลอบใจเธอ จึงพูดออกไปว่า "พวกท่านต้องคิดถึงยูกิจังอยู่แน่ๆ" "และพวกท่านคงยังรักยูกิจังอยู่มากๆ แน่นอนเลยล่ะ" โยโซระ พูดจบแล้วยิ้มให้ ยูกิ จึงถามต่อไปว่า "ทำไมทาคัตซึกิคุงคิดอย่างนั้นล่ะ"
โยโซระ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วตอบเธอไปว่า "ก็เพราะว่า...ผมรู้สึกอย่างนั้นน่ะครับ ตั้งแต่จำความได้จนถึงทุกวันนี้ ผมมีความฝันแปลกๆ" "ทั้งที่ตอนนี้ผมเองไม่มีและไม่รู้จักญาติเลยสักคน แต่ในความฝันของผม ผมฝันถึงใครคนหนึ่งเสมอ....ผมฝันว่าผมเคยมีพี่สาว" ยูกิ มีสีหน้าที่ประหลาดใจ เพราะ โยโซระ ไม่เคยเล่าเรื่องนี้กับใครมาก่อน โยโซระ ก็เล่าต่อไปว่า "เรื่องราวนั้นมันคุ้นอยู่ในหัวของผม" "มันคุ้นมาก จนผมไม่แน่ใจว่ามันเคยเป็นเรื่องจริงรึเปล่า ผมจำหน้าเธอคนนั้นที่ผมเรียกว่าพี่สาวไม่ได้ ในความฝันผมก็ไม่เห็นหน้าเธอ" "แต่เรารักกันมาก เธอเป็นห่วงเป็นใยและคอยปกป้องผมเสมอ....จนกระทั่งตอบจบของความฝัน ใครบางคนได้พรากพี่สาวไปจากผม" "นอกจากเรื่องราวของเธอ...สิ่งที่ผมจำได้ก็มีแค่ชื่อ เธอชื่อมายูมิ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ผมเชื่อว่าทุกวันนี้เธอก็ต้องคิดถึงผมอยู่อย่างแน่นอน" "และผมเองก็คงคิดถึงเธอ เหมือนกับยูกิจังนั่นแหละ คุณพ่อคุณแม่ต้องคิดถึงยูกิจังอยู่อย่างแน่นอน แต่ที่ต่างกันคือมันเป็นความจริงยังไงล่ะ"
คำพูดของ โยโซระ สามารถฉุด ยูกิ ขึ้นมาจากความเศร้าได้สำเร็จ เธอยิ้มแล้วพูดว่า "ทาคัตซึกิคุง มองโลกในแง่ดีจังเลยนะคะ" "ทั้งๆ ที่ ทาคัตซึกิคุงฝันแบบนั้นมาตลอด ทำไมไม่ลองสืบหาเรื่องราวและลองตามหาเธอดูล่ะคะ บางทีมันอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้" โยโซระ ยิ้มบางๆ "บางครั้งผมก็คิดจะทำอย่างนั้น แต่เมื่อคิดดูอีกทีแล้ว ผมจะทำแบบนั้นไปทำไม ถ้าวันนี้ผมเองก็มีความสุขดีอยู่" "ผมไม่จมอยู่กับเรื่องราวในความฝันอันเลวร้ายแถมไม่รู้ว่ามันเป็นจริงรึเปล่า ผมอยากอยู่โดยทำทุกวันให้เป็นวันที่ดีมากกว่า" ยูกิ ยิ้มแล้วกุมมือของ โยโซระ เอาไว้ "นั่นสิคะ ขอบคุณทาคัตซึกิคุงมากนะ ตั้งแต่นี้ต่อไป ชั้นจะทำทุกวันให้เป็นวันที่ดีด้วยอีกคน"
ช่วงที่ทั้งสองคนคุยที่กันศาลา มีคนคนหนึ่งได้แอบฟังอยู่บนต้นไม้ในป่าด้านหลัง เธอก็คือ จิโดริ
ผ่านไปไม่นาน
จิโดริ ชิราซากิ เดินคอตก อยู่ในอาการซึมเซื่องเข้ามานั่งที่เฉลียงไม้ ข้างกายเธอมีชายร่างยักษ์นอนกรนเสียงดังสนั่น เขาคือ ชีแมน เธอเหลือบมอง ชีแมน ที่นอนกรนอยู่แล้วหันกลับมา "ทำไมถึงไม่เล่าเรื่องแบบนี้ให้ชั้นฟังบ้างนะ ตาบ้าเอ้ย...ชั้นก็อยู่ข้างนายเสมอ" "ทำไมไม่ลองหันมามองชั้นบ้างนะ... ชั้นน่ะ....เป็นห่วงนายมาตลอด แต่นายกลับไปห่วงใยคนอื่น สนใจแต่คนอื่น...ทำไมกันนะ...." เธอบ่นในลำคอก่อนจะได้สติ "ว่าแต่ชั้นเป็นอะไรของชั้นไปล่ะเนี่ย" ทันใดนั้นเองสิ่งที่เธอไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีประโยคหนึ่งดังขึ้น "ก็เป็นคนที่แอบรักเค้าข้างเดียวไงล่ะย๊า" มันคือเสียงของ ชีแมน นั่นเอง ประโยคที่เขาพูดทำให้ จิโดริ หน้าซีดเหลือ 2 นิ้ว
จิโดริ รีบหันไปแล้วใช้นิ้วชี้ยันไปที่ริมฝีปากของ ชีแมน ด้วยอาการร้อนรน "คุณชีแมนพูดอะไรเบาๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน" ชีแมน ไม่พูดอะไรต่อ เขาปัดนิ้วของ จิโดริ ออกจากปากตัวเอง แล้วหยิบผ้าขนหนูข้างๆ ขึ้นมาเช็ดปาก "เค็มจริงเลยนิ้วเธอเนี๊ยะ!!" เขาวางผ้าลงเหมือนไม่ใส่ใจอะไร แต่เมื่อเห็นอาการเศร้าๆ ของ จิโดริ เขาจะไม่สนใจก็ดูจะใจร้ายเกินไป "เอ้าๆ จะท้อแค่นี้งั้นหรอยะ" ชั้นจะเล่าอะไรให้ฟังเอาม๊า ชีแมน ดึงความสนใจของ จิโดริ กลับมา "เมื่อก่อนน่ะ ชั้นน่ะ ไม่ได้เป็นอย่างนี้หรอกนะ...แบบสวยๆ เนี่ย" "นานมาแล้ว ชั้นเคยเป็นผู้ชายธรรมดาๆ ที่แอบรักเพื่อนสาวคนหนึ่ง เธอน่ะ สวยมาก ฐานะบ้านเธอก็ดี ทำให้ตัวผู้มาจีบเธอเยอะมาก" "ในทางตรงข้าม ชั้นน่ะ บ้านก็ยากจน เกิดมาในสังคมอันทพาล แต่เราเรียนอยู่ที่เดียวกัน เราสองคนนั่งข้างกันเลยสนิทกันมากกว่าใคร" "ชั้นคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ไม่มีอะไรให้เธอได้เลยสักอย่างเดียว เทียบกับตัวผู้ที่มาจีบเธอไม่ได้เลย ก็เลยไม่กล้าบอกความในใจออกไป"
"ในที่สุดเธอก็ไปตอบตกลงเป็นแฟนกับตัวผู้ที่เข้ามาจีบเธอ จนเวลาผ่านไป เราต่างเรียนจบ เธอกับตัวผู้ตัวนั้นก็แต่งงานกัน" "ชั้นก็น้อยเนื้อต่ำใจ อกหักรักคุดเหมือนละมุดข้ามปี ความชีช้ำทำให้ชั้นเป็นชีแมน ชั้นเปลี่ยนมาเป็นคนที่รักแต่ตัวเองเท่านั้น" "จนวันหนึ่งผู้หญิงคนนั้นก็กลับมา เธอพาลูกๆ ของเธอมาด้วย เธอเพิ่งหย่ากับผัวของเธอ จึงมาปรึกษาชั้นในฐานะเพื่อนเก่าที่เคยสนิท" "ชั้นก็ให้คำแนะนำเธอไป ซึ่งในตอนแรกที่เห็นหน้า ความรักที่เคยมีต่อเธอมันสลายหายไปหมดแล้ว จนกระทั่งเธอพูดบางอย่างกับชั้น" "เธอบอกว่า โชคดีสมัยวัยเด็กชั้นไม่จีบเธอ ถ้าชั้นจีบเธอแล้วโตมากลายเป็นแบบนี้ เธอคงแย่ เพราะตอนนั้นเธอก็แอบรักชั้นเหมือนกัน" "ประโยคนั้นทำให้ชั้นรู้ว่า ชั้นน่ะไม่ได้แพ้ตัวผู้ตัวนั้นหรือตัวไหนเลย แต่ชั้นน่ะเป็นคนยอมแพ้เองตั้งแต่แรก ชั้นเสียใจมาก....." "จนขาดสติ....ในคืนนั้นชั้นทำอะไรไม่ดีไว้มากมาย เพื่อระบายความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จนได้ชื่อว่าเป็นอาญชากรและถูกจับได้"
"ตอนได้ยินหล่อนบ่นน่ะ เหมือนชั้นเห็นตัวเองในอดีตไม่ผิดเพี้ยน...อุ๊ย ไม่สิ ในอดีตชั้นหล่อมวากตอนนี้เลยสวยมวากไม่เหมือนหล่อน" "แต่ชั้นก็ไม่อยากให้หล่อนต้องทำผิดพลาดแล้วมาเสียใจภายหลังแบบชั้น....เพราะฉะนั้น จงอย่ายอมแพ้นะชะนี สู้ให้ถึงที่สุด เชื่อชั้น"
หลังจากฟังที่ ชีแมน พูดจบ จิโดริ ก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ "ขอบคุณนะคะคุณซีแนม เอ้ย ชีแมน ต่อไปนี้ชั้นจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดเลย"
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 19, 2016 11:15:41 GMT
สถานีตำรวจนครบาลโตเกียว
เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากกำลังลังเข้าร่วมพิธีการมอบโล่เกียรติคุณให้แก่ มาซากิโยะ มิโรซูมิ สำหรับปฏิบัติการครั้งล่าสุด พิธีถูกจัดขึ้นที่หน้าสถานีตำรวจแห่งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงให้เกียรติมาเป็นพยานด้วยความเต็มใจ นักข่าวที่มาทำข่าวก็มีไม่น้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนร่วมงานของ มาซากิโยะ มิโรซูมิ ที่ไม่เคยไม่ชอบหน้า ก็เริ่มมองเขาในแง่ที่ดีขึ้น ส่วน อายาโนะ มิอุระ เพิ่งวิ่งเข้ามา เธอวิ่งเข้ามาชูป้ายไฟเหมือนเด็กวัยรุ่นท่ามกลางสายตาขุ่นเคืองของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง รวมไปถึง มาซากิโยะ ที่มุมปากกระตุกๆ เพราะเธอดันเข้ามาผิดจังหวะ มันเป็นจังหวะที่รองนายกเทศมนตรี ริวงะ จินได กำลังมองโล่เกียรติคุณให้ มาซากิโยะ มิโรซูมิ อยู่พอดี
เมื่อพิธีมอบโล่เสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาในการกล่าวสุนทรพจน์ของรองนายกเทศมนตรี นักข่าวก็เริ่มกระหน่ำกล้องถ่ายภาพทันที "ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาเป็นประธานในพิธีในวันนี้ ในฐานะรองนายกเทศมนตรีที่ดูแลเรื่องความสงบเรียบร้อย วันนี้เป็นวันสำคัญ" "เป็นวันที่พวกเราชาวโตเกียวได้แสดงให้ผู้ประสงค์ร้ายทั้งหลายได้รับรู้ว่าพวกเรานั้นไม่ใช่กลุ่มคนที่จะถูกทำลายลงได้โดยไม่ขัดขืน" "เจ้าหน้าที่ตำรวจของเรานั้นเข้มแข็งและแข็งแกร่ง แม้ว่าพวกเขาจะหยุดยั้งเหตุก่อการร้ายระบบการจราจรและระบบส่งน่ำประปาไม่ได้" "แต่เขาก็ยังสามารถจับกุมคนร้ายรายหนึ่งได้ และทำให้คนร้ายยอมซักทอดการก่อการร้ายที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แม้ว่าจะอยู่นอกเขต" "พวกเราแจ้งเจ้าหน้าที่เขตนั้นไปแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับ นายตำรวจท่านี้ ร้อยตำรวจตรีมาซากิโยะ มิโรซูมิ จึงทำในสิ่งที่กล้าหาญ" "เขาดำเนินการด้วยตนเองในฐานะของประชาชนผู้รักชาติ เขาสามารถหยุดยั้งเหตุก่อการร้ายเอาไว้ได้ ทำให้ได้รับความชื่นชมจากทุกฝ่าย"
"ตามที่ผมได้ประกาศให้ทราบกันไปแล้ว ผมชอบคนเก่งและมีความสามารถ และผมเชื่อว่าทุกคนเป็นคนเก่งอย่างเช่นเขาได้" "ขอแค่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ผมจึงขอแจ้งให้ทุกท่าน ณ ที่นี่ทราบว่า ผมจะผลักดันงบประมาณด้านรักษาความปลอดภัยอย่างสุดความสามารถ" "อีกทั้งล่าสุดผมได้ขออนุมัติจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ตำรวจของเราสามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ในทุกเขต" "เพราะในความคิดของผม ความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด มันต้องมาก่อนเรื่องอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" "ถ้าบ้านเมืองไม่สงบสุข จะให้ประชาชนมีความมั่นใจและมีขวัญกำลังใจในการทำงานเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองได้อย่างไร มันทำไม่ได้" "ท่ายที่สุด ผมขอให้ทุกคนไม่ใช่แค่เฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เอาแบบอย่างร้อยตำรวจตรีมิโรซูมิ ในการทำงาน เพื่อเห็นแก่ส่วนรวมครับ"
เมื่อเขากล่าวจบ เสียงปรบมือก็ดังกระหึ่ม อายาโนะ เปลี่ยนป้ายไฟจากชื่อ "มิโซซูมิคนเก่ง" เป็น "ท่านรองนายกฯ สุดหล่อ" ทันที นักข่าวก็โถมจู่โจมเข้าใส่รองนายกเทศมนตรีที่กำลังเป็นที่นิยมราวกับฝูงซอมบี้ และ อายาโนะ ก็แฝงตัวเป็นซอมบี้เข้าไปด้วย
ทว่าระหว่างที่เกิดความชุลมุนอยู่นั้นเอง
นายตำรวจคนหนึ่งก็รีบวิ่งมาเปิดช่องโทรทัศน์ด้วยโทรศัพท์มือถือของเขาให้ผู้กำกับการตำรวจนครบาลโตเกียวได้ดู มันเป็นการแฮคระบบกระจายเสียง โดยปรากฏภาพของชายสวมชุดคลุมสีดำ สวมหน้ากากสีขาว กำลังกล่าวถ้อยคำบางสิ่ง
"พวกคุณทั้งหมดจงฟังไว้ให้ดี ผมจะพูดเพียงสั้นๆ ผมคือ Hades ผู้นำกลุ่มคุโรฮิซึจิ ... เราจะไม่หยุดการลงมือไว้เพียงเท่านี้" "การลงมือทุกครั้งจะรุนแรงขึ้น ประชาชนทุกคนจะต้องรับรู้ว่าชีวิตของพวกคุณไม่มีความปลอดภัย สังคมจอมปลอมคุ้มครองคุณไม่ได้" "มันไม่มีอยู่จริงหรอกคำว่าเพื่อนมนุษย์ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข ผมจะแสดงให้ทุกคนเห็นเองว่าภาพเหล่านั้นเป็นเพียงหน้ากากที่สวมเข้าหา" "มันเกิดจากค่านิยมของสังคมจอมปลอมนี้เท่านั้น ผมจะทำให้ธาตุแท้เหล่านั้นปรากฏขึ้นด้วยการทำลายทุกอย่างให้พินาศสิ้น....." "คุณจะให้เห็นโลกในอีกแง่มุมได้ชัดเจน โลกที่เต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่น ความเห็นแก่ตัว การเชิดชูคุณค่าของสิ่งที่มันไร้ความหมาย" "และผมจะแสดงให้เห็นถึงรากฐานสังคมที่แท้จริง รากฐานสังคมที่เห็นคุณค่าเพียงแค่สิ่งเดียว นั่นคือคุณค่าของความเป็นมนุษย์"
"ผมจะแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจของพวกคุณไม่อาจหยุดยั้งผมได้ พรุ่งนี้ ผมจะโจมตีท่าอากาศยานนาริตะ" แล้วภาพก็ตัดไป
..............................
รังลับของ คุโรฮิซึจิ ไม่ทราบตำแหน่ง
ขณะที่ ไอริส กำลังเดินอยู่ในทางเดินที่เหมือนโพรงดิน ระหว่างทางเดินมีโคมไฟสีส้มสว่างเป็นระยะทำให้ฉากหลังเป็นสีส้ม ชายชุดดำคนหนึ่งเดินออกมาจากโพรงทางแยกด้านหน้าแล้วมาหยุดขวางทางเดินของ ไอริส เอาไว้ จน ไอริส ต้องหยุดก้าวเดิน
"มีธุระอะไรกับชั้นอย่างนั้นหรอ Marionette" ไอริส ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นและเยือกราวกับคนที่ไร้จิตใจ Marionette ยกแขนขึ้นท้าวผนังโพรงถ้ำ เขาเอียงคอถามเชิงสงสัย "ชั้นได้ข่าวว่าเธอได้พบกับน้องชายแล้ว ดีใจด้วยนะ" ไอริส นิ่งเงียบ Marionette เห็นดังนั้นจึงพูดต่อไปว่า "แต่ชั้นยังแปลกใจที่เธอยังนำเนตรวงแหวนไปให้ท่านผู้นำอยู่ดี" ดวงตาของ ไอริส ที่ผ่านช่องหน้ากากบ่งบอกว่าเธอเริ่มไม่พอใจ "จะพูดให้มันดูยากทำไม ที่จริงนายอยากพูดอะไรกันแน่"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า นั่นสินะ....คิดว่าชั้นไม่รู้หรอว่าที่ผ่านมาเธอแอบไปทำอะไรมาบ้างน่ะ ไอริส ถ้าคิดว่าชั้นไม่รู้จริง ก็จะบอกให้" "ชั้นรู้ว่าเธอเป็นคนปฏิบัติภารกิจเชิญมิซึฮะ คามิซาโตะ กับนำตำราคาถามาให้ท่านผู้นำ....แต่ที่ชั้นรู้ ตำราน่ะมีมากกว่านั้นนะ" "ไหนยังการหายสาบสูญของเด็กสาวผู้สืบสายเลือดของฮาชิรามะ เซ็นจู ซึ่งเธอหายตัวไปหลังจากที่เรามีแผนสังหารหล่อนแค่วันเดียว" "การกระทำของเธอมันบ่งบอกว่าเธอไม่ต้องการให้ท่านผู้นำบรรลุวัตถุประสงค์ ชั้นเลยสงสัยว่าทำไมถึงยอมมอบเนตรวงแหวนให้เขา"
ทันทีที่ได้ยิน ไอริส ก็เบิกเนตรวงแหวนขึ้นมาพร้อมตั้งท่าต่อสู้ทันที "เหมือนนายจะรู้มากเกินไปหน่อยนะ Marionette" "โอ๊ะโอ๊ะ เย็นไว้ไอริส ชั้นน่ะรู้เรื่องพวกนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ ถ้าชั้นคิดจะบอกท่านผู้นำ ชั้นคงบอกไปแล้ว และเธอคงตายไปแล้วเหมือนกัน" คำพูดของ Marionette ทำให้ ไอริส หยุดยั้งความตั้งใจจะสังหารลง "ถ้าอย่างนั้น นายต้องการอะไรกันแน่ Marionette" Marionette ยกแขนลงจากกำแพงแล้วพูดก่อนจะเดินกลับไปในโพรงที่เขาออกมา "ต้องการดูความสนุกของเกมส์ที่เธอเล่นน่ะสิ"
"ถ้าเธอต้องการเอาชนะในเกมส์นี้ ชั้นว่าการซื้อความไว้วางใจจากท่านผู้นำด้วยการมอบเนตรวงแหวนให้ มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักหรอกนะ"
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 19, 2016 11:17:06 GMT
วันรุ่งขึ้น
ณ สนามบินนานาชาตินาริตะ หลังจากที่มีการประกาศผ่านช่องโทรทัศน์จากผู้นำกลุ่มคุโรฮิซึจิว่าจะก่อการร้ายที่นี่วันนี้ ทางการญี่ปุ่นได้ประกาศยกเลิกเที่ยวบินที่จะทำการบินขึ้นและลงที่นี่ทั้งหมด โดยใช้กองกำลังทหาร ตำรวจ จำนวนหนึ่งมาคุ้มกัน มาซากิโยะ มิโรซูมิ และ อายาโนะ มิอุระ มาเตรียมความพร้อมเรียบร้อยแล้ว พวกเขาสวมชุดเกราะและมีอาวุธครบมือ
"น่าแปลก ทั้งๆ ที่ มีการประกาศชัดเจนออกขนาดนี้ ทำไมทางการถึงส่งกำลังพลมาแค่ร้อยคนนิดๆ" มาซากิโยะ พูดขึ้น อายาโนะ ที่กำลังใส่กระสุนลงในแมกกาซีน ก็มองไปรอบๆ "นั่นสินะ ท่านนายกรัฐมนตรีอาจมองว่าแค่นี้ก็เอาอยู่ล่ะมั้งคะ" "เอาอยู่ที่ไหนกันล่ะ เรายังไม่รู้เลยว่าพวกนั้นจะมากี่คน แล้วทำอะไรได้บ้าง" มาซากิโยะ พูดแย้งความคิดของ อายาโนะ อายาโนะ ยิ้มแห้งๆ "นั่นสินะ...แต่ว่าที่นี่ก็มีรุ่นพี่มิโรซูมิ อยู่แล้วทั้งคน งวดนี้คงไม่เกินมือของรุ่นพี่อีกหรอกน่า เชื่อสิคะ" มาซากิโยะ มีสีหน้าที่ไม่ดีนัก "ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ ว่าแต่พวกเด็กๆ ล่ะ ไปอยู่ที่ไหนกันแล้วตอนนี้ มาถึงรึยัง" "ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะรุ่นพี่ ชั้นติดต่อไปหาคุณชีแมนแล้วเมื่อกี้ คุณชีแมนบอกว่าอยู่ในสนามบินแล้ว กำลังพาเด็กๆ เดินดูรอบๆ"
ท่ามกลางสายตาที่สอดส่องของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ นับร้อย ไม่มีสิ่งใดหรือมนุษย์คนใดรอดพ้นสายตาของพวกเขาไปได้ แต่แล้วจู่ๆ สิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อนกตัวหนึ่งบินผ่านกลางลานบิน มันเป็นวันที่แสงแดดแรงจ้า ทำให้เงาของนกปรากฏบนพื้น ระหว่างที่เงาของนกตัวนั้นบินผ่านนั้นเอง เงาของมันก็มีขนาดใหญ่ขึ้น จากนั้น ร่างของชายชุดคลุมสีดำหน้ากากสีขาวก็ปรากฏ เขาโผล่ขึ้นจากเงาของนกตัวนั้นที่บินผ่านไปจนกระทั่งมายืนหยัดอยู่ที่กลางลานบิน เมื่อพลซุ่มยิงของทหารเห็น เขาก็ลั่นไกทันที เสียงกระสุนปืนยาวซุ่มยิงดังสนั่นหวั่นไหวจนมีเสียงสะท้อนกึกก้อง ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ว่าสนามบินถูกบุกโจมตีเรียบร้อยแล้ว
กระสุนขนาด 7.62 Nato พุ่งเข้าหา Hades ชายชุดคลุมดำหน้ากากขาวผู้เป็นผู้นำกลุ่มคุโรฮิซึจิ วิถีของมันตรงสู่ศีรษะ Hades เหลือบตามอง เขายกแขนขึ้นกางมือออกเหมือนจะรับกระสุนนั้น จากนั้นเงาดำประหลาดก็ออกจากฝ่ามือของเขา มันมีลักษณะไม่คงรูปคล้ายของเหลวที่ลอยได้เมื่ออยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก เมื่อกระสุนกระทบมันก็หายลับไปทำให้ทุกคนแปลกใจ ทันใดนั้น ก็มีเงาดำๆ รูปร่างคล้ายกับที่ Hades ปล่อยออกมาปรากฏขึ้นต่อหน้าพลซุ่มยิงผู้ลั่นไก ดวงตาของเขาเบิกโพรง วินาทีนั้น กระสุนที่เขายิงใส่ Hades ก็พุ่งออกจากเงาดำนั้นด้วยความเร็วเดิม มันเจาะทะลุศีรษะของพลซุ่มยิงจนกระโหลกบิดเบี้ยว มาซากิโยะ รีบพา อายาโนะ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในหน่วยหลบหลังคอนเทนเนอร์ที่วางไว้ข้างๆ บนลานบิน ห่างออกไปร่วม 400 เมตร
ทหารทั้งหมดได้รับคำสั่งให้ยิงอาวุธทุกประเภทเข้าใส่ Hades ริกะ ฮายาโยะ เพื่อนสาวของ อายาโนะ เป็นหนึ่งในกองกำลังนั้น เธอหยิบ RPG ขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ Hades ทว่าเธอก็สวมหูฟังของทีม มาซากิโยะ อยู่ด้วย เธอได้รับคำแนะนำว่าอย่าเพิ่งยิง RPG ในขณะที่ทั้ง เฮลิคอปเตอร์จู่โจม พลซุ่มยิง พลจู่โจม เริ่มจู่โจมเต็มอัตราศึก Hades มองไปรอบๆ ก่อนที่เขาจะแบมือขึ้นระดับเอว เงาดำลูกกลมขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เขาโยนบอลดำนั้นขึ้นไป มันลอยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และขยายใหญ่ขึ้น "ชิบาคุ เท็นเซย์!!"
ทันใดนั้นก็เกิดสนามแรงโน้มถ่วงมหาศาลขึ้น มันดูเอากระสุนจากอาวุธทุกชนิด และวัตถุที่อยู่รอบข้างในรัศมี 25 เมตรเข้าไป ทุกสิ่งที่ถูกเงาดำนั้นดูกลื่นเข้าไป มันรวมกันอัดแน่นจนกลายเป็นก้อนกลมท่ามกลางความตกตะลึงของนายทหารและตำรวจที่ได้เห็น มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ โยโซระ จิโดริ ยูกิ ฮิเมะ เซบัสเตียน และชีแมน วิ่งออกมาจากอาคาร Terminal ของสนามบินพอดี Hades หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะประสานมือเข้าด้วยกัน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นเนตรวงแหวนเหมือน ไอริส ในชั่วเสี้ยววินาที
"ดาราสวรรค์คืนพิภพ!!" สิ้นเสียงเอ่ยคาถาของ Hades ลูกกลมๆ อันเต็มไปด้วยสสารที่ถูกอัดแน่นก็ระเบิดออกจากกันอย่างแรง มันส่งสสารแต่ละชิ้นคืนสู่สภาพเดิมแล้วย้อนกลับไปยังตำแหน่งที่มันถูกส่งออกมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมันย้อนกลับไปทำลายสิ่งที่ยิงมันมา มาซากิโยะ ตะโกนบอกให้นายทหารที่ยิงอาวุธใส่ Hades หลบจากจุดที่พวกเขาอยู่ แต่มันก็สายเกินไป ร่างพวกเขาถูกฉีกกระจาย เฮลิคอปเตอร์สงครามจำนวนหลายลำถูกสะเก็ดสสารนั้นเข้ากระแทกจนกระเบิดกลางอากาศแล้วร่วงลงสู่ลานบิน พวกมันถูกทำลายสิ้น เพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่เปิดฉากการสู้รบ นายทหารกว่าครึ่งล้มตาย อาวุธของพวกเขาถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ เงาที่พื้นจากเท้าของ Hades เริ่มแผ่ออกเป็นวงกว้าง รัศมีรอบตัว Hades ถึง 200 เมตร ก่อนที่จะเริ่มเกิดแผ่นดินไหว
มาซากิโยะ รู้ดีว่าหากปล่อยไว้ไม่ลงมือ ความพินาศจะตามมาแน่นอน เขาหลับตาลงแล้วเบิกเนตรสีขาว แล้วพุ่งเข้าใส่ Hades ในขณะที่เด็กๆ ทั้ง 5 เห็น มาซากิโยะ เริ่มเปิดฉาก พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะเข้าร่วมในการสู้รบ เด็กๆ ทั้ง 5 วิ่งทิ้ง ชีแมน ไว้เบื้องหลัง เมื่อทั้ง 5 คนเข้าสู่ระยะที่สามารถโจมตี Hades ได้ โยโซระ ก็เบิกเนตรวงแหวนพุ่งเข้าใส่ด้วยจักระที่เป็นสายฟ้าทั่วทั้งแขนขวา จิโดริ รีดเร้นจักระไว้ที่มือ แล้วพุ่งตาม โยโซระ เข้าไป ในขณะที่ ยูกิ ประสานอินแล้วส่งโซ่ทองจากหลังเข้าไปหา Hades ฮิเมะ ใช้คาถาอัญเชิญนกยักษ์ออกมา เซบัสเตียน กระโดดขึ้นบนนกยักษ์ เมื่อมันบินขึ้นสูง เขาพ่นลูกไฟขนาดยักษ์ลงใส่ Hades
Hades หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาพ่นลูกไฟยักษ์ที่ใหญ่กว่าสวนขึ้นไปหา เซบัสเตียน มันกลืนลูกไฟของ เซบัสเตียน หายไป จากนั้นลูกไฟของ Hades ก็ชนเข้ากับนกยักษ์ทำให้นกยักษ์สลายไป เซบัสเตียน ได้รับบาดเจ็บหนัก เขากำลังร่วงหล่นจากที่สูง ฮิเมะ เห็นเช่นนั้น เธอจึงรีบใช้คาถาอัญเชิญอีกครั้ง คราวนี้เธออัญเชิญกองฟางมารับ เซบัสเตียน ที่หมดสภาพการต่อสู้เอาไว้ได้ เมื่อโซ่ทองเข้าใกล้ Hades เขาใช้แขนขวาปัดโซ่ตรวนไปอย่างง่ายดาย ความรุนแรงจากการสบัดของโซ่ทำให้ ยูกิ กระเด็นไปไกล โยโซระ เห็น ยูกิ ได้รับบาดเจ็บเขาก็ยิ่งเพิ่มความเร็วเข้าไปอีก ทันทีที่หมัดของ โยโซระ และหมัดของ จิโดริ จะเข้าถึงตัว Hades Hades ยกแขนซ้ายขึ้นกางมือออก จากนั้นเงาดำไร้รูปร่างก็พุ่งเข้าใส่หน้าของ โยโซระ และ จิโดริ จนปลิวไปคนละทาง ชั่วเสี้ยววินาทีจากนั้น มาซากิโยะ ก็เข้าถึงตัว Hades เขาใช้บอลจักระในมือขวาอัดเข้าลำตัวของ Hades "กระสุนวงจักร!!"
ท่ามกลางสายตาที่กำลังลุ้นว่า มาซากิโยะ จะสามารถโค่นล้ม Hades ได้หรือไม่ ผลที่ออกมากลับไม่เป็นไปตามคาดหมาย กระสุนวงจักรสลายไป เสื้อคลุมของ Hades ขาดเป็นรู แต่ร่างกายภายในไร้รอยขีดข่วน และ effect ที่ตามมาก็กลับกัน คนที่กระเด็นออกแล้วหมุนเคว้งจนได้รับบาดเจ็บกลับเป็น มาซากิโยะ เขากระเด็นออกไปไกล อายาโนะ พยายามไปรับตัวเขาไว้ แต่พลังงานเท่ากับมวลคูณด้วยความเร็วยกกำลังสอง ร่างของ มาซากิโยะ นั้นชนกับ อายาโนะ แล้วลากกระเด็นออกไปด้วยกัน
..............................
เมื่อทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว
Hades เหลือบไปมองกลุ่มเด็กๆ ที่ล้มลงกองอยู่กับพื้น เขามองไปที่ โยโซระ อยู่พักหนึ่ง แล้วหันไปมองที่ ฮิเมะ และจิโดริ "โอ๊ะโอ ดูซิว่าวันนี้ผมเจอกับใครเข้า...หนุ่มน้อยใต้บันได สาวน้อยสุดอาภัพทั้งสอง และยังมีผู้สืบสายเลือดของเซ็นจูอีกด้วย" "แต่พวกเธอไม่สามารถหยุดผมได้หรอกนะ เสียใจด้วย" เมื่อพูดจบเงาดำๆ รอบตัวของ Hades ที่เป็นวงกว้างก็หดตัวกลับ วินาทีที่มันหดกลับมาเป็นเงาที่ควรจะเป็นตามปกติ พื้นที่ซึ่งเป็นลานบินทั้งหมดก็พังทลายราวกับถูกแผ่นดินไหวจนพินาศสิ้น
โยโซระ กำหมัดแน่น "คุณเองสินะที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด!! ผมไม่ยอมให้คุณทำร้ายคนบริสุทธิ์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว!!" เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีพุ่งเข้าใส่ Hades แต่ Hades ใช้เพียงนิ้วมือเดียวในการหยุดหมัดของ โยโซระ ทั้งที่แรงปะทะสูงมาก จากนั้นแรงอัดจากการปะทะก็ระเบิดเป็นคลื่น มันผลัก โยโซระ จนกระเด็นกลิ้งเหมือนลูกขนุน เขาได้รับบาดเจ็บจนหมดสภาพ Hades ค่อยๆ หันกลับมามองที่ จิโดริ "หึหึหึ ผู้สืบสายเลือดของเซ็นจู ฮาชิรามะ ทำได้แค่นี้เองสินะ เธอมันช่างไร้ค่าเสียจริงๆ" เมื่อพูดจบ Hades ก็เรียกเงาขึ้นมาบนฝ่ามือ รูปร่างเป็นก้านยาวมีปลายคมสองแฉก จากนั้นเขาก็ปาใส่ จิโดริ อย่างแรง วินาทีที่ จิโดริ รับสภาพความตาย ชีแมน วิ่งเข้ามาขวางไว้ หอกปักทะลุลำตัวของ ชีแมน จนร่างใหญ่ยักษ์ถูกลากไถไปกับพื้น
"คุณชีแมน!!" จิโดริ ร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ ชีแมน กระอักเลือด เขาหันกลับมาพูดว่า "จำไว้นะ ชะนี อย่ายอมแพ้" จากนั้น ร่างของ ชีแมน ก็ระเบิดกระจายกลายเป็นละอองเลือดที่ฟุ้งในอากาศพร้อมๆ กับการสลายไปของหอกเงาสีดำนั้น Hades ส่ายหัว "ไม่น่าเลยจริงๆ ช่างเป็นการตายที่สูญเปล่า สละชีวิตให้กับสิ่งที่ไร้ความหมาย เธอน่ะมันไร้ค่า!!" เมื่อพูดจบ เขาก็หันมาทาง ฮิเมะ แล้วยื่นมือไปทางเธอ ก่อนจะกวักมือเข้าหาตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ร่างของ ฮิเมะ ลอยขึ้น เธอร้องขอความช่วยเหลือ เพราะร่างเธอลอยขึ้นพร้อมกับเงาของตัวเธอที่ควรอยู่บนพื้น เธอลอยไปกองอยู่ที่เท้าของ Hades "เธอเป็นคนเดียวในหมู่ขยะพวกนี้ที่ได้รับพลังจักระโดยตรงจากเปลือกผลจักระ....ในที่สุดเธอก็พร้อมใช้งานแล้ว" เขาพูด
เซบัสเตียน เห็นเช่นนั้น เขาก็ทนไม่ได้ "ใช้งานอย่างนั้นหรอ แกจะทำอะไรกับ ฮิเมะ ชั้นไม่ยอมหรอกน่า ชั้นจะฆ่าแก" "เพราะชั้นสัญญากับ ฮิเมะ เอาไว้แล้วว่าจะอยู่เคียงข้าง และคอยช่วยเธอในการแก้แค้น" เขาค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับจักระท่วมตัว แม้จักระของ เซบัสเตียน จะแผ่พุ่งเป็นปริมาณมหาศาล แต่สายตาของ Hades กลับมองมันโดยไม่ได้สะทบสะท้านอะไรเลย เซบัสเตียน ประสานอินเพื่อร่ายคาถา "ชั้นจะขอทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อโค่นล้มแก คาถาไฟ...ระเบิดมังกรเพลิง!!" เขาพูดขึ้น เพลิงปริมาณมหาศาลรูปมังกรโถมเข้าใส่ Hades ในขณะที่ Hades ยกแขนขวาขึ้นมาแล้วใช้เงาสีดำแผ่ออกเป็นโล่ ท่ามกลางความตกตะลึงของ โยโซระ จิโดริ ยูกิ ฮิเมะ และทหารตำรวจ พวกเขาคาดหวังกับลูกไฟรูปมังกรลูกนี้เป็นที่สุด
ทว่าเมื่อเปลวเพลงดับมอดลง Hades ยังยืนหยัดอยู่ที่เดิม ลูกไฟมังกรสามารถทำให้แขนขวาของ Hades มีแผลไหม้ Hades ดึงแขนขวากลับมาดู สายตาของที่ขุ่นเคืองบ่งบอกได้ว่ามันสร้างความเจ็บปวดให้กับ Hades ได้เป็นอย่างมาก แม้ว่าเด็กหนุ่ม เซบัสเตียน โคคุโอะ หมดซึ่งจักระที่มีในการต่อสู้แล้ว แต่เขายังกัดฟันวิ่งเข้าหา Hades หมายชิง ฮิเมะ กลับมา
ดวงตาของ Hades เบิกเนตรวงแหวนในเสี้ยววินาที เขายกแขนซ้ายกางมือไปในทางที่ เซบัสเตียน กำลังวิ่งสวนเข้ามา "ในเมื่อดื้อด้านนัก ผมก็จะสงเคราะห์ให้....คุโรฮิซึจิ!!" สิ้นเสียงของ Hades เงาที่พื้นของ เซบัสเตียน พุ่งขึ้นรัดตัวเขาเอาไว้
ฮิเมะ ก็ร้องตะโกนขึ้น "ไม่นะ!!!!" ในขณะที่เขาไม่เริ่มขยับตัวไม่ได้และรู้ถึงจุดจบของตัวเองเขามอง ฮิเมะ ด้วยสายตาเศร้าหมอง "ขอโทษนะฮิเมะ....ชั้นทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเธอไม่ได้แล้ว" นั่นคือประโยคสุดท้ายของ เซบัสเตียน โคคุโอะ ก่อนเงาดำจะท่วมร่างเขา
เมื่อเงาดำท่วมร่างของ เซบัสเตียน จนมิดเหมือนห่อด้วยโลงศพ มันก็ระเบิดกระจายไม่ทิ้งสิ่งใดเอาไว้อีกเลย......
To be continued...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 20, 2016 10:34:22 GMT
EP7 : Unstable
โรงพยาบาลตำรวจ กรุงโตเกียว
ที่ห้องพักฟื้นห้องหนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น อายาโนะ กำลังนอนพักฟื้นอยู่ก็พูดกับคนที่เคาะประตูว่า "เข้ามาได้เลยค่ะ" ห้องพักของเธอเป็นห้องพักชั้นดี บรรยากาศภายในค่อนข้างสว่าง เพราะเธออยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากหน้าที่ เธอเหลือบไปมองทางประตูห้องเพื่อดูว่าใครเป็นคนเข้ามาหาเธอ เป็นคนมาเยี่ยมไข้ หรือ เป็นแพทย์ที่เข้ามาตรวจดูอาการ แต่เมื่อเธอเห็นคนที่เดินเข้ามา เธอก็ประหลาดใจ "เอ๋!! ทาคัตซึกิคุง" คนที่เดินเข้ามาให้ห้องพักฟื้นก็คือ โยโซระ นั่นเอง
เขาเดินเข้ามานั่งข้างๆ เตียงผู้ป่วยด้วยรอยยิ้มหมายเติมกำลังใจให้ อายาโนะ ที่ได้รับบาดเจ็บ "ฟื้นแล้วหรอครับคุณ...อายาโนะ" อายาโนะ ยิ้มด้วยความเอ็นดู เธอรู้สึกดีใจที่ โยโซระ ไม่เรียกเธอว่าคุณตำรวจแล้ว "ใช่จ่ะ...ว่าแต่เธอมานานแล้วหรอ....." "ครับ ผมมาผลัดเวรกับคุณตำรวจมิโรซูมิ น่ะครับ" โยโซระ ตอบ เขาหยิบจอกน้ำชาขึ้นมารินใส่แก้วแล้วยื่นให้ อายาโนะ สภาพร่างกายของเธอดูเหมือนจะบาดเจ็บไม่ใช่น้อย เธอต้องใส่เฝือกที่แขนซ้าย มีรอยฟกช้ำบนใบหน้า และแผลถลอกทั่วร่าง เธอรับน้ำชาจาก โยโซระ ขึ้นมาจิบก่อนจะยื่นคืน โยโซระ เมื่อกลืนน้ำชาลงคอหมดเธอก็ถามต่อ "แล้วคนอื่นๆ เป็นยังไงกันบ้าง" คำตอบที่ได้จาก โยโซระ คือ "คุณมิโรซูมิ ไหล่หลุดหัวแตก ส่วนยูกิ ก็มีรอยฟกช้ำ ส่วนผมกับ จิโดริ ไม่เป็นอะไรมากครับ"
ถึงแม้มันจะฟังเป็นข่าวดี แต่สีหน้าของ โยโซระ และ อายาโนะ กลับไม่ดีเสียเลย เมื่อพวกเขานึกถึงคนที่ต้องตายจากไป อายาโนะ จึงพูดขึ้นว่า "เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะ...มันเกินจะรับไหวจริงๆ แต่เราจะต้องยืนหยัดต่อไป เพื่อไม่ให้พวกเค้าตายเปล่านะ" โยโซระ พยักหน้า เขากำลังนึกถึงภาพที่เกิดขึ้น หลังจากที่โลงศพสีดำแตกสลาย Hades ทำเหมือนกับการฆ่าเป็นเรื่องปกติ Hades มองขึ้นไปบนฟ้า หาจังหวะที่นกบินผ่าน แล้วอุ้ม ฮิเมะ วิ่งตามเงาของนก ก่อนจะหายลงไปในเงาของนกอย่างไร้ร่องรอย โดยตัวเขาเอง จิโดริ ไม่สามารถทำอะไรได้ มาซากิโยะ อายาโนะ และยูกิ ก็ได้รับบาดเจ็บ แถมต้องเสีย เซบัสเตียน ไปอีกคน
จนกระทั่งเขานึกถึงคำพูดบางสิ่งที่ Hades พูดเอาไว้ขึ้นมาได้ "เด็กหนุ่มใต้บันไดอย่างนั้นหรอ.....เอ๊ะ!!....รึว่า!!...." อายาโนะ แปลกใจในขณะที่ โยโซระ พึมพำ "หรือว่าที่หมอนั่นพูดจะเป็นความจริง.....เรื่องในความฝันนั่น....เป็นจริงงั้นหรอ" สีหน้าของ อายาโนะ ดูไม่เข้าใจในสิ่งที่ โยโซระ พูดขึ้นลอยๆ "ความฝันอะไรอย่างนั้นหรอโยโซระคุง....เธอเป็นอะไรรึเปล่า...." โยโซระ จึงหันกลับมาแล้วตอบ "ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้....บางสิ่งที่มันเลือนลางในความฝันของผม..." "หมอนั่นเรียกผมว่าเด็กหนุ่มใต้บันได มันตรงกับความฝันแปลกๆ ของผมน่ะครับ....ผมเลยกำลังคิดว่ามันอาจจะเป็นความจริงก็ได้"
สิ่งที่ได้ยินทำให้ อายาโนะ สงสัยเป็นอย่างมาก เธอจึงถามต่อไป "ความฝันในทำนองไหนหรอโยโซระคุง...มันเป็นฝันที่ดีหรือฝันร้าย" โยโซระ ทำหน้าเศร้าๆ "มันเป็นฝันร้ายน่ะครับ ผมฝันถึงช่วงที่ผมเป็นเด็ก ตั้งแต่แทบจะจำความอะไรไม่ได้เลย...ผมฝันเห็นครอบครัว" "ครอบครัวที่ผมไม่คิดว่าเคยจะมีมาก่อน ผมมีคุณพ่อคุณแม่ และพี่สาว เราอยู่กันอย่างมีความสุข จนกระทั่งฝันของผมมาจบลงตรงที่" "ในคืนๆ หนึ่ง ชายคนหนึ่งเข้ามาทำลายครอบครัวของผม ผมได้แต่หลบอยู่ใต้บันได...ผมมองดูชายลึกลับลักพาตัวพี่สาวของผมไป....." "เมื่อกลับมาคิดๆ ดูแล้ว คำว่า เด็กน้อยใต้บันไดที่หมอนั่นพูดถึง มันดันบังเอิญตรงกับตัวผมที่อยู่ในความฝันไม่ผิดเพี้ยนเลย"
โยโซระ ขมวดคิ้วเขากำหมัดแน่น "ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าความฝันที่ตามหลอกหลอนผมมาตั้งแต่จำความได้ มันเป็นความจริงรึเปล่า" อายาโนะ ค่อยๆ ใช้มือซ้ายของเธอกุมมือของ โยโซระ เอาไว้อย่างนุ่มนวล "เข้มแข็งเอาไว้นะ...เรื่องนี้ชั้นคงช่วยอะไรเธอไม่ได้..." โยโซระ หันไปยิ้มให้ อายาโนะ "ครับคุณอายาโนะ ผมจะต้องเข้มแข็งและแข็งแกร่งขึ้น...ผมต้องแข็งแกร่งพอจะหยุดชายคนนั้นได้...."
..............................
บ้านพักแห่งหนึ่ง
มันเป็นบ้านพักระดับคฤหาสถ์หลังใหญ่โต ตกแต่งสไตล์ยุโรปตัวอาคารเป็นสีครีม ดูเผินๆ จะนึกว่าเป็นราชวังเสียด้วยซ้ำ บริเวณรอบตัวบ้าน และสนามกว้างหลายไร่ มีชายสวมชุดสูทสีดำ แต่งตัวดี สวมแว่นตาสีดำ ติดอาวุธ ยืนคุ้มกันอยู่โดยรอบ บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านธรรมดาทั่วไป เพราะมันคือบ้านพักของนายกรัฐมนตรีผู้นำประเทศญี่ปุ่น และท่านก็กำลังอยู่ในบ้านพัก
ภายในตัวบ้านในห้องทำงาน เป็นห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือ เครื่องเรือนไม้และโต๊ะไม้ ประดับประดาไปด้วยวัตถุเลอค่ามากมาย ชายสูงวัยหัวล้านกลางหน้าผาก สวมแว่นตาหนาเตอะ กำลังเดินวนไปวนมา สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังกังวลใจอย่างบางอย่าง จนกระทั่งในเงามืดของห้องก็มีเสียงของชายคนหนึ่งทักขึ้น "สวัสดีท่านนายกรัฐมนตรี..." ชายสูงวัยคนนั้นสะดุ้งตกใจ "นี่คุณ..."
ชายสูงวัยซึ่งถูกเรียกว่าท่านนายกรัฐมนตรีค่อยๆ เดินถอยห่างจากมุมมืดของห้องนั้น ในคณะที่เงาดำเริ่มปรากฏเป็นตัวคน เขาคือ Hades ในชุดคลุมดำ เมื่อออกจาเงามืด เขาก็เดินไปนั่งตรงเก้าอี้ทำงานของเจ้าบ้าน "นั่งสบายดีจังนะครับ...." ชายสูงวัยมีท่าทีที่หวาดกลัวเอามากๆ เขาพูดขึ้นว่า "ผมทำตามที่คุณบอกแล้วนะ....ผมอนุมัติกองกำลังไปน้อยที่สุดแล้วนะ...." Hades เอนหลังลงพิงเก้าอี้ช้าๆ "นั่นแหละครับที่ผมกำลังจะขอบคุณท่าน....ท่านทำให้แผนการของผมง่ายขึ้นเยอะเลยล่ะ" ชายสูงวัยยังคงไม่หายจากอาการหวาดกลัว "ละละแล้วคุณต้องการอะไรอีก...ผมให้ได้ทุกอย่าง แต่ขออย่าทำร้ายครอบครัวผมเลย"
Hades ได้ยินก็โยกตัวขึ้นมาใช้แขนสองข้างเท้าที่โต๊ะขณะนั่งไขว่ห้าง "สิ่งที่ผมต้องการจากท่านคงเหลือเพียงสิ่งเดียวแล้วล่ะครับ" สายตาที่มองผ่านหน้ากากออกมา บ่งบอกได้ว่าเขามีประสงค์ร้ายอย่างแน่นอน ชายสูงวัยจึงถามทั้งที่ไม่อยากถาม "อะอะอะไรงั้นหรอ..." Hades ค่อยๆ ลุกขึ้น เขาแบมือขวาออกมาในขณะที่หอกสีดำปรากฏขึ้นในมือของเขา "ก็ชีวิตของท่ายังไงล่ะครับ ท่านนายกฯ..." หอกสีดำปักเข้ากลางหน้าอกอย่างรวดเร็วในชนิดที่ชายสูงวัยไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวด จากนั้นร่างก็เขาก็ระเบิดกลายเป็นเพียงละอองเลือด
"ก้าวแรกก็การเปลี่ยนแปลงโลกกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว...ความฝันของชั้นที่กำลังจะเป็นจริง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" Hades หัวเราะอย่างชอบใจ
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 20, 2016 10:35:44 GMT
ค่ายทหารห่างออกไปจากตัวเมือง
มันเป็นค่ายของทหารราบ แม้ว่ามันจะอยู่ในเขตโตเกียว แต่มันก็เป็นแดนทหาร ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ ค่ายทหารแห่งนี้มีทั้งกำลังพล มีทั้งยุทโธปกรณ์จำนวนมาก รวมไปถึงเฮลิคอปเตอร์สงคราม และรถถังอีกจำนวนหนึ่ง มันเป็นหนึ่งในค่ายทหารที่ใหญ่ที่สุด และเป็นที่ตั้งของบ้านพักผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกด้วย จำนวนนายทหารที่นี้มีอยู่นับพัน
ริกะ ฮานาโยะ ทหารสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทของ อายาโนะ มิอุระ เธอเป็นทหารที่ประจำการอยู่ที่นี่ และกำลังพักซ้อมประจำวัน ในช่วงพัก เธอมันจะขี่จักรยานยนต์เล่นรอบๆ ค่าย เนื่องจากนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบอยู่เฉย และชอบการขี่จักรยานยนต์เป็นพิเศษ ส่วนนายทหารคนอื่นที่เป็นผู้ชายมักจะใช้เวลาว่างในการเล่นกีฬาในค่าย ทหารหญิงคนอื่นก็จะจับกลุ่มกันทำกิจกรรมไปเรื่อยเปื่อย ขณะที่ทหารทุกนายกำลังพักผ่อนกันอย่างสบายใจ จู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นไปทั่ว เสียงมันก้องกังวานจนทำให้หูอื้อชั่วขณะ
ริกะ มองไปทางต้นเสียง เธอก็รีบหยิบวิทยุสื่อสารแล้วตะโกนไปทันทีว่า "คลังแสงระเบิด อาจจะถูกโจมตี ขอกำลังไปตรวจสอบด้วยค่ะ" ทว่าเจ้าหน้าที่สื่อสารในสายกำลังอยู่ในภาวะหูอื้อ พวกเขาไม่สามารถได้ยินเสียงของ ริกะ ที่พูดผ่านอุปกรณ์วิทยุสื่อสารได้เลย นายทหารแต่ละคนจึงพยายามวิ่งออกมาดูว่าเสียงระเบิดนั้นดังมาจากที่ใด และส่วนมากเสียงระเบิดดังเช่นนี้ ก็คงจะมีอยู่แค่ที่เดียว ไม่นาน เสียงการยิงอาวุธปืนก็ดังขึ้น แต่หากไม่เงี่ยหูฟังดีๆ ก็แทบจะไม่ได้ยินเลย เพราะอาการอื้อของหูนั้นยังไม่จางหายไป
ด้านหน้าของคลังแสง
มีคนสวมชุดคลุมสีดำรูปร่างเล็ก กำลังใช้ดาบคาตานะไล่ฟันทหารหลายสิบนายจนร่างขาดสะบั้น เธอคนนี้ก็คือ Slayer ความคล่องแคล่วของเธอสามารถหลบกระสุนที่กำลังจะยิงมาได้ทุกนัด เธอใช้ดาบฟันสวนออกไปจนเป็นคลื่นรูปจันทร์เสี้ยว คลื่นนั้นพุ่งด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกับกระสุนปืน แถมความรุนแรงแทบจะไม่ต่างกับการฟันด้วยคมดาบเลยแม้แต่น้อยนิด มันสามารถฟันผ่ากระสุนที่ยิงออกมาเป็นสองท่อน และพุ่งเข้าไปฉีกร่างนายทหารที่กำลังต่อสู้กับเธอจนขาดสะพายแร่ง
ทันใดนั้น รถถังคันหนึ่งก็แล่นเข้ามา มันหันปากกระบอกปืนมาทาง Slayer แต่โชคร้ายที่เธอหันไปเห็นเข้าเสียก่อน เธอควงดาบแล้วฟันรอบตัวในหลายทิศทางด้วยความรวดเร็วจนเกิดรอยแยกของอากาศจำนวนมากเบื้องหน้าของเธอ "ของแค่นี้คิดว่าจะทำอะไรชั้นได้อย่างนั้นหรอ" เสียงที่เย็นและเยือกของเธอพูดขึ้นในขณะที่เธอเก็บดาบเข้าฝักอย่างบรรจง จากนั้น เธอก็ยกแขนและแบผ่ามือขึ้นไปทางรถถัง รอยแยกของอากาศที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าจำนวนมากก็พุ่งเข้าไปยังรถถัง ทันทีที่กระแทกกับรถถัง มันสามารถผ่านตัวรถถังไปได้อย่างง่ายดาย จนตัวรถถังที่แข็งแกร่งสลายกลายเป็นชิ้น และระเบิดไป
ทางด้านหน้าบ้านพักผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ทหารจำนวนมากเล็งปืนไปที่ชายเสื้อคลุมดำ ผู้ที่มีศพทหารกำลังลอยตัวบังเขาอยู่ แน่นอนว่าเขาคือ Marionette แต่สิ่งที่ประหลาดก็เกิดขึ้นเมื่อ Marionette ยกแขนขวาขึ้น อาวุธปืนที่นายทหารกลุ่มนั้นถืออยู่ก็หลุดลอยขึ้นเหนือหัว "เรื่องแค่นี้บางทีชั้นอาจไม่ต้องมาด้วยตัวเองก็ได้" Marionette พูดขึ้นจากนั้นอาวุธไรเฟิลจู่โจมที่ลอยตัวอยู่ก็ลั่นไก มันยิ่งใส่ทหารราว 10 นายที่กำลังตกใจ และเป็นเจ้าของอาวุธไรเฟิลจู่โจมกระบอกพวกนั้นเอง มันถูกยิงจนหมดลูกกระสุน ร่างกายของพวกเขากระจัดกระจาย บางร่างแทบจะดูไม่ออกเลยว่าเป็นศพมนุษย์ เพราะมันดูเหมือนก้อนเนื้อโดนรถทับมากกว่า
จากนั้น Marionette ที่ยืนอยู่ตรงหน้าบ้านพักของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็กวัดแกว่งมือของเขาเหมือนการเชิดหุ่น ศพทหารที่เขายกมันมาเป็นโล่ด้วยพลังจักระเส้นบางๆ ก็หยิบอาวุธไรเฟิลจู่โจมที่สะพายไว้ที่หลังขึ้นมาตั้งท่าเล็ง เท้าทั้งสองยืนลงที่พื้น ศพทหารเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า ในขณะที่ Marionette ยืนทำท่าเชิดหุ่นอยู่ที่เดิม ศพทหารนั้นเดินเข้าไปในบ้าน จากนั้นไม่กี่วินาที เสียงกรีดร้องของหญิงสาว เด็กหญิง เด็กชาย หญิงสูงวัย และเสียงของชายสูวัย ก็ร้องขอความช่วยเหลือกันระงม Marionette หลับตาลงแล้วพูดเบาๆ "ขอโทษทีนะ...." จากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นหลายสิบนัด มันหยุดเสียงกรีดร้องนั้นลงทันที
หน้าอาคารบัญชาการ
มันเป็นภาพที่ไม่น่าดูเสียเท่าใดนัก เพราะมันเป็นเหมือนสนามรบที่เต็มไปด้วยศพเกลื่อนกลาด ศพนับร้อยอยู่ในสภาพราวกับโดนระเบิด ที่หลงเหลืออยู่คือทหารหญิงจำนวนหลายสิบคน พวกเธออยู่ในภาวะหวาดกลัว น้ำตาของแต่ละคนเอ่อล้นออกมา พวกหล่อนกำลังเสียสติ ชายชุดดำค่อยๆ เดินเข้าไปหาพวกเธอช้าๆ ชายคนนั้นคือ Blood เขาเดินไปลูบไล้ใบหน้าของทหารหญิงทีละคนทีละคนอย่างนุ่มนวล "ชิ....พวกทหารนี่ไม่มีสาวสวย อยู่เลยรึไง แต่ละคนหน้าตายังกับป้าขายข้าวแกง" เมื่อ Blood พูดจบเขาก็หันหลังแล้วเดินออกมา จากนั้นศีรษะของทหารหญิงที่ Blood เดินไปลูบไล้ก็ระเบิดกระจาย บางร่างระเบิดจนศีรษะหลุดลอย บางร่างก็กะโหลกเปิด
แต่ในจังหวะนั้น ก็มีกระสุนไรเฟิลจู่โจมยิงเข้าใส่ Blood กระสุนเจาะเข้าที่ต้นแขน 1 นัด แต่ที่เหลือเขากระโดดหลบออกมาได้ เมื่อเขามองไปยังมือปืนที่โจมตีเขา ดวงตาของ Blood ก็ลุกวาวราวกับพบสิ่งล้่ำค่า เขาเห็นทหารหญิงผมสีน้ำตาลสั้น หุ่นดี น่ารัก เธอคือ ริกะ ฮานาโยะ เธอกำลังเล็งไรเฟิลจู่โจมอยู่บนจักรยานยนต์คู่ใจ Blood ใช้มือถอดหน้ากากของเขาของ ให้เธอเห็นใบหน้า "ว้าว เจอของดีเข้าแล้ว....ซาโอะเอ๋ย วันนี้ช่างโชคดีอะไรเยี่ยงนี้" Blood พูดขึ้นเบาๆ แต่ ริกะ ไม่สนใจ เธอเริ่มบิดคันเร่งเข้าใส่ Blood เลียริมผีปาก จากนั้นก็ระเบิดฝีเท้าเข้าใส่เช่นกัน ความเร็วของเขาเหนือกว่าจักรยานยนต์ของ ริกะ เสียอีก จนเธอต้องตกใจ Blood หลบกระสุนที่ ริกะ ยิงเข้าใส่ได้ แล้วทั้งคู่ก็สวนกันไปคนละต่าง ต่างฝ่ายต่างตั้งหลักหันกลับมาเพื่อทำการต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง
ทันใดนั้นเอง จักรยานยนต์ของ ริกะ ก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างแรงจนร่างของเธอกระเด็นกลิ้งไปกับพื้นซึ่งเป็นถนนคอนกรีตภายในฐานทัพ ริกะ ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เธอมองไปที่ขาของเธอ เธอพบว่าขาขวาของเธอขาดไปตั้งแต่ข้อเท้า แต่เธอก็กัดฟันหยิบปืนขึ้นมาเล็ง Blood ยิ้มอย่าชื่นอกชื่นใจ เขาค่อยๆ เดินเข้ามาช้าๆ "เธอนี่ช่างน่ารักเหลือเกิน ชั้นอยากจะค่อยๆ ฆ่าเธอ เสียงร้องของเธอช่าง..." ทว่ามีบางสิ่งทำให้ Blood ต้องหยุดชะงัก "ซั่วะ!!!!!" ....... ศีรษะ ของ ริกะ ร่วงหล่นลงสู่พื้นขณะที่ร่างของเธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
"นี่แก.....นี่แกทำอะไรของแกกันฟะ Slayer!!" Blood พูดด้วยน้ำเสียงโมโห ในขณะที่ Slayer กำลังเก็บดาบ
Slayer หันหลังแล้วเดินไปโดยไม่สนใจอะไร เธอพูดขึ้นว่า "รีบไปเถอะ อย่ามัวเสียเวลากับการเล่นไร้สาระอยู่เลย Blood"
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 20, 2016 10:37:16 GMT
ที่ศาลเจ้าของ ยูกิ
ภายในตัวศาลา ยูกิ มิซูนาชิ กำลังนอนพักอยู่บนฟูก ร่างกายของเธอแม้ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่หายดี ข้างกายของเธอมี จิโดริ ชิราซากิ นั่งอยู่เป็นเพื่อน โดย จิโดริ กำลังนั่งอ่านข่าวผ่านโทรศัพท์มือถือของเธออยู่อย่างเช่นเคย ยูกิ ลืมตาขึ้นชำเลืองมอง จิโดริ เธอก็ถามขึ้นว่า "จิโดริจัง นี่ดีจังเลยนะคะ" คำพูดของ ยูกิ ทำให้ จิโดริ หันกลับมาถาม "ยังไงงั้นหรอ" ยูกิ ยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อไป "ก็ขนาดผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาขนาดนี้ จิโดริจัง ยังสามารถทำตัวเข้มแข็งไม่สะทบสะท้านได้อยู่อีก" จิโดริ ยิ้มเป็นการตอบกลับ "อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าชั้นเข้มแข็งอะไรหรอก...ชั้นน่ะ แค่อยากทำตัวเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ในเวลาแบบนี้"
ทันใดนั้น จิโดริ ก็ตกใจกับบางสิ่งที่เธอเปิดอ่านเจอเข้า "เอ๊ะ!! อะไรกันเนี่ย ท่านนายกรัฐมนตรีถูกลอบสังหารอย่างนั้นหรอ" และภายในข่าวของเธอ ก็มีภาพประกอบ ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพการให้สัมภาษณ์ของรองนายกเทศมนตรี ริวงะ จินได บทความในข้อข่าวเขียนว่า รองนายกเทศมนตรี แสดงว่าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้พักหลังข่าวของนายกรัฐมนตรีจะไม่ดีนัก เพราะการสั่งอนุมัติกองกำลังในการปะทะกับกลุ่มคุโรฮิซึจิ ที่มีจำนวนน้อยเกินไป ทำให้รันเวย์ของสนามบินนาริตะ ถูกทำลายลง อีกทั้งยังไม่ยอมกำหนดมาตรการป้องกันเหตุการณ์ก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับฐานทัพ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ เมื่อล่าสุด ค่ายทหารบกที่เข้มแข็งทุกสุดของญี่ปุ่น ถูกกลุ่มคุโรฮิซึจิ โจมตีจนพินาศย่อยยับ เหตุเพราะการป้องกันหละหลวม
ประกอบกับช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ใกล้ครบวาระของสภาและนายกรัฐมนตรี รองนายกเทศมนตรีจินได มีความประสงค์ในการลงแข่งขันเลือกตั้ง เขาเชื่อว่าหากเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาจะสามารถให้ประเทศญี่ปุ่นกลับคืนสู่เสถียรภาพได้อีกครั้ง โดยไม่ทำให้ประชาชนต้องผิดหวัง ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รองนายกเทศมนตรีมีความมั่นใจในการลงแข่งขันเลือกตั้งครั้งหน้าคือคะแนนนิยมในตัวเขาที่เพิ่มขึ้นสูงนำคู่แข่งคนอื่น จนสำนักข่าวต่างพากันเริ่มตีแผ่อัตตชีวประวัติของนักการเมืองหนุ่มไฟแรง ที่กำลังเป็นตัวเต็งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
จิโดริ หรี่ตาลงเล็กน้อย เธอขยายภาพ แล้วยกโทรศัพท์เข้ามาดูใกล้ๆ จน ยูกิ ต้องถามขึ้นว่า "มีอะไรอย่างนั้นหรอ จิโดริจัง"
"ไม่มีอะไรหรอก ยูกิจังพักผ่อนต่อเถอะนะ" จิโดริ ตอบ แต่เธอก็ยังไม่เลิกจ้องมองภาพที่เธอดูอยู่ด้วยสายตาอันน่าฉงน
..............................
สามวันถัดมา หน้าลานหน้าศาลเจ้า
เป็นช่วงเวลาเช้าที่อากาศดี ในขณะที่ จิโดริ และยูกิ ยังไม่ตื่น โยโซระ เดินออกมาหน้าลานในชุดกางเกงขายาวซึ่งเขาใช้ในการฝึก มาซากิโยะ มิโรซูมิ กำลังยืนรอเขาอยู่ แขนขวาของเขายังใส่เฝือกอยู่ แต่วันนี้เขามาที่ศาลเจ้าเช้าเป็นพิเศษไม่เหมือนวันก่อนๆ
เมื่อ โยโซระ เดินมาถึง มาซากิโยะ ก็ค่อยๆ หันหลังกลับมา "พร้อมแล้วใช่ไหม ทาคัตสึกิ คุง....วันนี้ชั้นจะสอนคาถาหนึ่งให้เธอ" โยโซระ แสดงใบหน้าสงสัย "คาถาใหม่อย่างนั้นหรอครับ แค่คาถาในตำรานั้นผมยังฝึกไปได้ไม่ถึงไหนเลยนะครับคุณตำรวจ" มาซากิโยะ มองหน้า โยโซระ ด้วยสีหน้าจริงจัง "คาถาในตำราพวกนั้นมันเป็นคาถาพื้นฐาน ถ้าไม่นับคาถาไม้ของชิราซากิ น่ะนะ" "หลังจากที่ชั้นได้ประมือกับกลุ่มคุโรฮิซึจิ มาหลายครั้ง ชั้นก็พบว่า บางครั้งการจับกุมตัวอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเสมอไป" "เพราะชั้นสัมผัสได้ว่าสมาชิกระดับสูงของกลุ่มคุโรฮิซึจิ บางคนไม่เหมือนกับ นาโอกิ เซย์มิ ที่เราสามารถเปลี่ยนใจพวกเขาได้" "บางครั้ง เราจำเป็นต้องลงมือสังหาร...ที่ผ่านมาชั้นยังไม่เคยสอนคาถาที่เอาไว้ใช้สังหารให้แก่พวกเธอเลย แต่ตอนนี้ชั้นกำลังจะทำ"
โยโซระ ตกใจกับคำว่าต้องสังหารที่ มาซากิโยะ กล่าวขึ้น "คาถาสังหารงั้นหรอครับ....ถ้าต้องฆ่าใคร ผมจะไม่ฝึกแน่นอน...." ทันใดนั้น มาซากิโยะ ก็ตะคอกเสียงดังสวนกลับมา "ถ้านายไม่ฆ่า พวกนั้่นก็จะฆ่านายและเพื่อนนาย นายอยากให้ตายอีกกี่คนกัน" คำพูดของ มาซากิโยะ เหมือนจะแทงใจดำของ โยโซระ เข้าเต็มๆ เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้แต่นิ่งเงียบหงอไม่ปริปาก มาซากิโยะ ถอนหายใจ "เอาล่ะ งั้นมาเริ่มกันเลย...มันเป็นคาถาที่เหมาะกับเธอมาก เพราะต้องใช้ความเร็ว และความแม่นยำ" "ในการโจมตีแต่ละครั้ง เธอจะต้องใช้จักระสูงสุด เบิกเนตรวงแหวนของเธอเล็งให้ดี ตั้งสมาธิไว้ที่จุดโฟกัสอย่างแน่วแน่ พลาดไม่ได้"
"คาถานี้ เป็นคาถาสายฟ้า...ยังไม่เคยมีใครเคยฝึกสำเร็จแต่ชั้นเชื่อว่าเธอจะสามารถฝึกจนสำเร็จได้ มันชื่อว่า.....พันปักษา....."
..............................
"ชั้นเชื่อว่าเธอต้องทำได้"
เสียง มายูมิ พูดขึ้นจากทางด้านหลัง ในมือของ โยโซระ มีลูกยางลายลูกบาสเก็ตบอลอยู่ เขามองไปตรงหน้าก็เห็นแป้นห่วง สถานที่ซึ่งเขาและ มายูมิ ผู้เป็นพี่สาวยืนอยู่นั้น เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นที่เขาคุ้นเลย แต่เขาไม่พบใครอยู่แถวนั้นเลย แป้นห่วงสูงประมาณ 2 เมตร โยโซระ ซึ่งยังเด็กมาก ยกลูกยางนั้น แล้วโยนมันออกไป เขากะจะให้มันลงห่วงบนแป้น แต่ทว่าลูกยางนั้นกลับกระดอนขอบห่วง แล้วเด้งออกมา "พี่มายูมิ ผมทำไม่ได้.....แป้นมันสูงเกินไปครับ เลื่อนลงมาอีกได้มั้ย" เด็กสาวมายูมิ เดินเข้ามานั่งยองๆ ข้างๆ น้องชายของเธอ เธอลูบหัวน้องชายเบาๆ "เอาลงมาอีกไม่ได้หรอกจ่ะ ไม่งั้นมันจะง่ายไปนะ"
โยโซระ เริ่มงองแง เขาทุบตีพี่สาวเบาๆ จน มายูมิ พูดขึ้นจริงจังว่า "ถ้ามันง่ายไป เราก็จะไม่เก่งขึ้นนะโยโสะ...มานี่พี่จะสอนให้น๊า" เธอยื่นลูกบอลยางให้น้องชายจากนั้นก็ใช้มือทั้งสองประคองมือน้อยๆ ของ โยโซระ ให้ตั้งขึ้น "เอาล่ะ ตั้งลูกบอลไว้อย่างนี้น๊า โยโสะ" "จากนั้น โยโสะ ต้องใช้ความเร็วในการส่งลูกบอลนี้ออกไป ใช้แรงทั้งหมดที่มี แล้วตั้งสมาธิไว้ที่จุดโฟกัสอย่างแน่วแน่........" จากนั้น เธอก็ปล่อยมือของน้องชาย ในขณะที่ โยโซระ โยนลูกบอลขึ้นไปด้วยความตั้งใจตามคำแนะนำของ มายูมิ ผู้เป็นพี่สาว ลูกบอลนั้นลอยสูง แล้วย้อยลงห่วงอย่างแม่นยำ โยโซระ ดีใจมาก เขากระโดดไปกระโดดมา "ทำได้แล้ว เห็นมั้ยพี่มายูมิ ผมทำได้แล้ว"
แต่เมื่อ โยโซระ หันมา เขากลับเห็น มายูมิ กำลังจับมือชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมดำ ที่ทางปากทางเข้าสนามเด็กเล่นห่างไปไกล
"พี่มายูมิ....." โยโซระ พูดขึ้นเบาๆ จากนั้นเขาก็เห็นดวงตาของพี่สาวเริ่มเปล่งแสงสีแดงออกมา มันเปลี่ยนเป็น....เนตรวงแหวน....
To be continued...
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 21, 2016 17:12:17 GMT
EP8 : Awakening of Power
ศาลเจ้าของ ยูกิ
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงบ่ายของวัน แสงแดดร้อนระอุ ความร้อนของมันแผดเผาหยาดน้ำค้างยามเช้าจนระเหยไปหมดสิ้น ขณะที่ ยูกิ และ จิโดริ กำลังพักผ่อนและอ่านตำราคาถาของตน โยโซระ กลับยังคงไม่ยุติทำการฝึกคาถาสังหาร ไม่ว่าเขาจะพยายามรีดเร้นจักระและแปลงสภาพเป็นสายฟ้าแล้วรวมรวมมันเอาไว้ที่ฝ่ามือเท่าใด เขาก็ทำไม่สำเร็จ
"แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก....ทำไมถึงยากเย็นแบบนี้นะ" โยโซระ พูดขึ้นขณะที่กำลังหอบ เขามีอาการเหนื่อยล้ามาก มาซากิโยะ ซึ่งแขนขวายังคงใส่เฝือกอยู่ จึงยังไม่อยากช่วยเหลืออะไรไปมากกว่าคำแนะนำ และบอกว่า "เอาใหม่....." เสียงที่ โยโซระ ได้ยินมาตั้งแต่เช้า มีเพียงคำว่า "เอาใหม่...." "อีกที...." "ตั้งใจหน่อย...." "ลองใหม่อีกครั้ง...." ซึ่ง ยูกิ และ จิโดริ ก็ได้ยินประโยคเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาเช่นกัน ยูกิ จึงหยุดอ่านตำราคาถามแล้วพูดขึ้น "จะสำเร็จมั้ยนะ" ทำให้ จิโดริ ต้องพับตำราคาถาของเธอลงเช่นกัน เธอเงยหน้าขึ้นมามองดูความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าของ โยโซระ
"ท่าจะไม่ได้เรื่องซะล่ะมั้ง หมอนั่นน่ะ...เฮ้อ..." จิโดริ พูดด้วยสีหน้าท้อใจแทน โยโซระ เธอส่ายหน้าเบาๆ ยูกิ ขมวดคิ้ว "เราน่าจะพอมีวิธีช่วยทาคัตซึกิ คุงบ้างนะ....ถ้าเป็นไปได้ชั้นก็อยากช่วยค่ะ" ทำให้ จิโดริ นึกบางสิ่งได้ เธอจำได้ว่าในตอนที่สู้กับ Vampire และพวกเธอกำลังลำบาก โยโซระ กลับมีพลังจักรเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จิโดริ จึงพูดขึ้นว่า "ยูกิ เธอจำตอนที่เราสู้กับสมาชิกระดับสูงของคุโรฮิซึจิ ที่โรงประปาได้มั้ย" ยูกิ ก็เหลือบตามองบนเพื่อนึก แล้วเธอก็นึกออก "อ๋อ ใช่จริงด้วย ตอนนั้นน่ะ ทาคัตซึกิคุง มีจักระเยอะมาก แถมลุกขึ้นได้ ทั้งที่โดนอัดหมดสภาพไปก่อนแล้วแท้ๆ" "แต่อาจเราะพวกเรากำลังจะโดนศัตรูฆ่า จึงทำให้เค้าลุกขึ้นมาสู้ได้อีก" จิโดริ พยักหน้า "บางทีเราอาจจะทำอะไรได้อยู่บ้างนะ"
ในระหว่างที่ ยูกิ กำลังแปลกใจในคำพูดของ จิโดริ และเธอก็ไม่รู้มาก่อนว่า จิโดริ หมายถึงอะไร จิโดริ ก็วิ่งไปที่ลานฝึกแล้ว เธอวิ่งเข้ามาขวางหน้า โยโซระ ทำให้ โยโซระ รู้สึกแปลกใจ "ม่ะ....มีอะไรอย่างนั้นหรอ จิโดริ....ชั้นกำลังฝึกอยู่นะ" "ก็เพราะนายฝึกตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่ไปถึงไหนยังไงล่ะ!!" จิโดริ ตะคอกขึ้น มาซากิโยะ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็พลอยประหลาดใจไปด้วย "นายน่ะมันไม่เอาไหน ได้แต่คอยวิ่งหนี คนไม่เอาไหนอย่างนายทำอะไรไม่สำเร็จหรอก ปกป้องใครไม่ได้หรอก" จิโดริ พูด โยโซระ มีสีหน้าไม่พอใจทันที "ทำไมเธอพูดแบบนี้ล่ะ ชั้นน่ะก็พยายามอยู่นี่ไง....เธอไม่มีสิทธิจะมาบอกว่าชั้นทำอะไรได้หรือไม่ได้!!"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ทำไมชั้นจะไม่มีสิทธิ!! เพราะพวกเรามัวเสียเวลากับนายอยู่ เราเลยต้องเสียรุ่นพี่เซบัสเตียนไป แถม ฮิเมะ ก็ยังถูกจับ" "ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง!! แล้วนายล่ะทำอะไรได้บ้างล่ะ!! ขนาดแค่ฝันเธอยังเอาแต่หนี เอาแต่หลบซ่อนตัวในเงามืด" "และคอยมองดูพ่อแม่ของนายถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา แถมยังกล้าดูพี่สาวของตัวเองถูกข่มขู่และพาตัวไป ทั้งหมดก็เพราะนาย" "ถ้าเรื่องในฝันของนายเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะก็ นายก็จงรู้ไว้ว่าทั้้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะนาย แค่นายก้าวเดินออกจากมุมมืดแล้วสู้!!" "ไม่ว่าเป็นตายร้ายดียังไง มันก็ดีว่ากลายเป็นคนขี้ขลาด เป็นคนที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ยังมีหน้าจะมาบอกอีกว่าจะปกป้องคนอื่น!!"
มาซากิโยะ และ ยูกิ ที่ไม่ทันรู้และตั้งตัวว่า จิโดริ จะพูดอะไรเช่นนี้ออกมา พวกเขาอึ้งและไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อช่วยให้เหตุการณ์ดีขึ้น ทันใดนั้น ดวงตาของ โยโซระ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เนตรวงแหวนที่มีรอยด่างรูปหยดน้ำ 2 หยดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า จิโดริ เธอมองไปที่ดวงตาคู่นั้นของ โยโซระ ด้วยความตระหนก เพราะมันช่างเป็นดวงตาที่น่ากลัว จักระของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นจนเกินคาดเดา "จิโดริ!! เธอพูดเกินไปแล้วนะ!!" โยโซระ พูดด้วยสีหน้าแค้นใจมาก ทันใดนั้น ทั่วทั้งแขนขวาของเขาก็มีประกายสายฟ้าปรากฏขึ้น มันมีปริมาณมหาศาล จากนั้นมันก็ไหลลงไปอยู่ที่ปลายนิ้วมือทั้ง 4 ของมือขวา เสียงสายฟ้ากระทบกันถี่ยิบ มันดังมากจนแสบแก้วหู และหากฟังดูให้ดี เสียงของมันเหมือนเสียงร้องของนกจำนวนเกินกว่า 1000 ตัว ที่ร้องอื้ออึงไม่หยุด วินาทีนั้น โยโซระ ก็พุ่งตัวออกไป
จิโดริ ที่ยืนตะลึงอยู่ เธอไม่สามารถก้าวขาออกไปทางไหนได้ โยโซระ พุ่งเข้าใส่ด้วยสายฟ้าจำนวนมากที่ปลายมือ "พันปักษา!!" ....ชึ่บ!!.... ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงของนก 1000 ตัวก็เงียบลง พันปักษาของ โยโซระ มันหยุดห่างใบหน้าของ จิโดริ ไปไม่กี่เซ็น "พอได้แล้ว.....ยินดีด้วยนะ ทาคัตซึกิ....นายฝึกพันปักษาสำเร็จแล้ว" มาซากิโยะ พูดขึ้น ก่อนค่อยๆ ปล่อยมือจากข้อมือของ โยโซระ เขาเข้ามาหยุดพันปักษาเอาไว้ได้ก่อนที่ จิโดริ ถูกโจมตี โยโซระ ตกใจจนพูดไม่ออก ในขณะที่ดวงตาของเขาค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติ จิโดริ ยิ้มบางๆ "ขอโทษนะ โยโซระ ที่ชั้นต้องพูดแบบนี้...." น้ำตาของเธอเริ่มไหลออกมา โยโซระ พูดขึ้นเบาๆ "นี่ชั้นทำอะไรลงไป"
"ขอโทษนะ จิโดริ...." โยโซระ พูดขึ้นด้วยสีหน้าสำนึกผิด แต่ จิโดริ ร้องไห้ไม่หยุด เธอปาดน้ำตาก่อนจะวิ่งหนีออกจากลานฝึกไป มาซากิโยะ จึงพูดขึ้นว่า "นอกจากพันปักษาที่นายต้องฝึกแล้ว ชั้นว่านายยังต้องฝึกควบคุมอารมณ์ตอนใช้เนตรวงแหวนอีกด้วยนะ" โยโซระ คอตก เขาดูเครียดๆ และตอบว่า "ครับ" มาซากิโยะ ขมวดคิ้วแล้วหันมามอง "แล้วยังยืนบื้ออะไรอยู่ล่ะ...รีบตามเธอไปเซ่!!"
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 21, 2016 17:13:34 GMT
รังลับของกลุ่มคุโรฮิซึจิ ไม่ทราบตำแหน่ง
ในบริเวณที่เหมือนห้องประชุมลับใต้ดิน มันมีลักษณะเป็นห้องวงกลม ไม่มีสิ่งใดอยู่ในห้องนอกจากโคมสีส้มไฟรอบๆ ผนังห้อง Hades ยืนอยู่ท่ามกลาง Slayer Marionette Plague และ Blood สมาชิกระดับสูงโดยไม่มี Iris พวกเขามาประชุมเรื่องแผนที่จะดำเนินการต่อไป เมื่อทุกคนที่ Hades ต้องการพบอยู่กันพร้อมหน้า การประชุมก็เริ่มขึ้น
"เอาล่ะ มากันครบแล้วสินะ ผมมีกำหนดการภารกิจต่อไปที่จะมอบหมายให้แก่พวกคุณทุกคนที่อยู่ที่นี่" Hades เริ่มกล่าวขึ้น "ในช่วงที่ผมลงมือบุกทำลายสนามบินนาริตะ ผมพบกับผู้ขัดขืนที่สามารถใช้พลังจักระในการต่อสู้ได้ พวกคุณก็น่าจะเคยประมือแล้ว" "ถึงแม้ในสายตาของผมตอนนี้ พวกนั้นยังเป็นเพียงไม้ซีกที่พยายามจะงัดไม้ซุง แต่มันก็เป็นการดีในการที่จะตัดไฟแต่ต้นลม" "ในกลุ่มไม้ซีกเหล่านั้น ผมพบเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง....ดูเหมือน Plague คุณจะรู้จักเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างดี....ใช่ไหมล่ะ"
"เธอมีชื่อว่า ยูกิ มิซูนาชิ ลูกสาวตระกูลมิซูนาชิ ผู้เชี่ยวชาญคาถาปิดผนึก สมาชิกบางคนอาจจะยังไม่ทราบภารกิจที่ Plague ทำไว้" "หลายปีก่อนผมได้ยื่นข้อเสนอให้กับครอบครัวพวกเขา โดย Plague เป็นผู้ดำเนินการ ในการยอมส่งมอบคาถาผนึกทั้งหมดให้เรา" "จากนั้นพวกเขาก็จะต้องตาย โดยผมจะไว้ชีวิตลูกสาวพวกเขา ทั้งนี้ผมได้ตรวจสอบโดยถี่ถ้วนแล้วว่าตัวลูกสาวไม่สามารถใช้จักระได้" "พวกเขาไม่ลังเลใจรับข้อเสนอ เรานำคาถาปิดผนึกต้องห้ามทั้งหมดมาทำลายทิ้ง เหตุผลคือ...ผมไม่ต้องการให้อะไรมาหยุดยั้งแผนการได้" "แต่ว่าวันนี้ เด็กสาวกลับกลายเป็นคนที่ใช้คาถาปิดผนึกพื้นฐานได้ หล่อนจึงอาจเป็นอุปสรรคของเราในอนาคต...ผมจึงขอมอบภารกิจ" "ให้ Plague ผู้รู้สถานที่หลบซ่อนตัวของเด็กคนนั้นและผองเพื่อน ร่วมกับ Blood ทำการสังหารกลุ่มไม้ซีกเสียให้สิ้นซาก"
"จงดำเนินการได้ทันที" Plague และ Blood ได้ยินดังนั้นก็ทำการโค้งคำนับ แล้วรีบเดินหายไปในเงามืดทันทีอย่างไม่รีรอ ในขณะที่ Slayer ดูมีท่าทีที่ไม่พอใจนัก "เหตุใดท่านผู้นำไม่มอบหมายให้ดิชั้นเป็นผู้ทำภารกิจนี้แทน Blood ล่ะคะ..." หางตาที่มองผ่านหน้ากากของ Hades จ้องมาที่ Slayer "เย็นไว้ก่อน Slayer ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจคุณหรอกนะ" "แต่ผมไม่อยากให้คุณเกิดลังเลในขณะลงมือ ถึงคุณจะมั่นใจว่าไม่มีความลังเลก็ตามที ประกอบกับผมมีภารกิจอื่นจะมอบให้แก่คุณ" "ผมอยากให้คุณพาตัวเด็กสาวที่ชื่อ ฮิเมะ ฮาคุโอกิ ซึ่งผมจับตัวเอาไว้คราวก่อนไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง" Hades พูดขึ้น เขายื่นเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ ใส่มือของ Slayer แม้ว่าสายตาใต้หน้ากากของเธอจะดูไม่พอใจ แต่เธอก็รับไว้แล้วเดินไป
หลังจากที่ Plague Blood และ Slayer เดินออกไปจนหมดแล้ว ก็เหลือเพียง Marionette คนเดียวเท่านั้น "เอาล่ะ Marionette...คุณเป็นคนที่ฉลาดที่สุด จงตั้งใจฟังภารกิจของคุณเอาไว้ให้ดี...ผมไม่อยากให้คุณทำอะไรผิดพลาด..."
..............................
ศาลเจ้าของ ยูกิ
ป่าด้านหลังศาลเจ้า โยโซระ กำลังยืนมอง จิโดริ นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวริมลำธาร เขารู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปมาก แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปเริ่มพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกับ จิโดริ ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาได้อย่างไรกับสิ่งที่เขาทำลงไป ในที่สุด โยโซระ ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งข้างๆ จิโดริ อย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะที่จริงแล้วเขาก็ยังคิดไม่ออกว่าควรพูดอย่างไร
"จิโดริ....ชั้นขอโทษนะ....ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเธอ...." โยโซระ ก้มหน้าพูดขึ้นเบาๆ แต่ จิโดริ ก็ยังไม่หันมาพูดอะไรตอบ "ตอนนั้นชั้นโกรธมาก...แต่จริงๆ แล้วชั้นไม่ได้โกรธเธอ...ชั้นโกรธตัวเองที่เป็นอย่างที่เธอพูดทุกอย่าง" เมื่อได้ยิน จิโดริ ก็หยุดร้องไห้ โยโซระ เห็นว่าคำพูดของเขานั้นเริ่มได้ผลจึงพูดต่อ "และชั้นก็ไม่รู้จะแก้ไขสิ่งที่ชั้นทำลงไปยังไง...ที่ชั้นทำไป...ชั้นแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ" จิโดริ เหลือบมามอง โยโซระ เธอเห็นน้ำตาของ โยโซระ ไหลเป็นทางตามแก้มของเขา "เป็นเพราะดวงตาคู่นั้นรึเปล่า" จิโดริ ถามขึ้น โยโซระ ก้มหน้าลง "ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน....แต่ถ้ามันเป็นเพราะเนตรวงแหวนจริงๆ แล้วล่ะก็ ชั้นก็อยากจะควักมันออกซะเดี๋ยวนี้"
จิโดริ ปาดน้ำตา เธอเชิดใส่ โยโซระ แล้วพูดขึ้นว่า "ชั่งมันเถอะ อันที่จริง แค่ไอวิชาพันปักษาอะไรนั่น ทำอะไรชั้นไม่ได้หรอก" โยโซระ ยิ้มขึ้นบางๆ เพราะเขารับรู้ได้ว่า จิโดริ คนเดิมกลับมาแล้ว "นั่นสินะ...แต่ก็....ชั้นสัญญานะ ว่าจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก" จิโดริ เหล่หางตามมอง "สัญญาแล้วนะ" โยโซระ พยักหน้า เขายกแขนซ้ายขึ้นแล้วชูนิ้วก้อย จิโดริ จึงใช้นิ้วก้อยของเธอเกี่ยวเอาไว้ แต่สีหน้าของ โยโซระ กลับบอกว่าเขานึกอะไรขึ้นได้ "เอ่อ....ว่าแต่....เธอรู้เรื่องความฝันของชั้นได้ยังไงกัน...ชั้นจำได้ว่าไม่ได้...." ขณะที่ยังถามไม่จบประโยค โยโซระ และ จิโดริ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของ ยูกิ พร้อมกับเสียงกระแทกที่ดังสนั่นมาจากศาลเจ้า
..............................
ฐานลับใต้ดินของกลุ่มคุโรฮิซึจิ
Slayer กำลังรีบวิ่งไปตามโพรงใต้ดิน ซึ่งระหว่างทางมีโคมไฟสีส้มแควนไว้ข้างผนัง เธอวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็ต้องหยุดเมื่อมีใครคนหนึ่งมายืนขวางเธอไว้ แสงจากทางออกทำให้เห็นเพียงเงาของคนสวมชุดคลุมเท่านั้น
Slayer หรี่ตามองผ่านหน้ากากของเธอจนเธอเริ่มเห็นคนที่เข้ามาขวางไว้ชัดขึ้น "ไอริส....เธอมาทำอะไรที่นี่...." ไอริส เดินเข้ามาหา Slayer ทีละก้าว "ชั้นต่างหากที่ควรถามเธอนะ Slayer เธอกำลังจะรีบไปไหนของเธอ" "ชั้นได้ข่าวมาว่าภารกิจของเธอคือการพาตัวเด็กสาวที่ชื่อ ฮิเมะ ฮาคุโอกิ ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งไม่ใช่หรือยังไง...." Slayer ตกใจสะดุ้ง ไอริส เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างขวา แล้วพูดต่อไปว่า "ชั้นรู้ว่าเธอกำลังจะไปหา มาซากิโยะ มิโรซูมิ" "วางใจเถอะ หมอนั่นไม่ตายง่ายๆ หรอก เพราะคนที่จะสังหารหมอนั่นก็คือเธอยังไงล่ะ" ไอริส ใช้แขนขวาแตะที่ไหล่ Slayer
ท่าทีของ Slayer ก็เปลี่ยนไป เพราะเธอรู้สึกเหมือนถูกจับได้ว่ากำลังจะฝ่าฝืนคำสั่ง และมันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ ไอริส เหล่มอง Slayer ด้วยหางตา "เธอรู้สถานที่ที่เธอต้องไปแล้วใช่รึเปล่าล่ะ....ถ้ารู้แล้วก็รีบไปซะสิ จะรออะไรอยู่" ได้ยินดังนั้น Slayer ก็หันกลับหลังแล้วเดินกลับเข้าไปตามโพรงลับใต้ดิน เธอกำหมัดแน่นด้วยความแค้นเคืองใจ ไอริส มองดู Slayer เดินจากไป เมื่อลับสายตา เธอก็แบมือขวาที่ใช้แตะไหล่ของ Slayer ออกมามาดูช้าๆ
มันเป็นเศษกระดาษบอกตำแหน่งสถานที่ซึ่ง Slayer จะต้องพาตัว ฮิเมะ ไปไว้ "ที่นี่เองอย่างนั้นสินะ...."
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 21, 2016 17:15:31 GMT
เมื่อ จิโดริ และ โยโซระ วิ่งกลับมาถึงศาลเจ้า
สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ มาซากิโยะ ล้มนอนอยู่กับพื้น หลังของเขาชิดกับเสาไม้ของศาลเจ้า และได้รับบาดเจ็บอยู่พอสมควร ในขณะที่ ยูกิ กำลังเดินถอยหลังทีละก้าว ต่อหน้า ยูกิ มีชายชุดคลุมสีดำอยู่สองคน ทั้งสองคนนั้นไม่ได้สวมหน้ากากไว้เลย
Plague หรือ นางาสะ โอเลลอฟ หันไปมอง มาซากิโยะ ที่กำลังพยายามใช้แขนซ้ายค้ำยันตัวเองขึ้นมานั่ง "ผมน่ะอยากสู้และอยากฆ่าคุณอยู่ก็จริงน่ะนะ คุณร้อยตำรวจตรีมาซากิโยะ มิโรซูมิ....แต่ผมมีคนที่ผมอยากจะฆ่ามากกว่า" จากนั้นเขาก็หันมามองยูกิ "คุณคงจำผมไม่ได้สินะ....แต่ผมจำแววตาของคุณได้ เมื่อหลายปีก่อนผมเคยมาที่นี่ คุ้นๆ ไหมล่ะ" ทันใดที่ได้ยิน ยูกิ ก็จำได้ทันทีว่าเสียงของ Plague คือเสียงเดียวกันกับชายชุดดำที่มาคุยกับพ่อแม่ของเธอก่อนพวกเขาหายไป "คุณนั่นเอง....คุณคือคนชุดดำในวันนั้น" ยูกิ พูดขึ้นเสียงสั่น Plague พยักหน้า "ใช่แล้วล่ะครับ ถูกต้องที่สุด คุณจำผมได้แล้ว"
"วันนี้ผมได้รับคำสั่งมาให้สังหารคุณ ผมเลยจะให้ความเมตตาแก่คุณก่อนที่คุณจะต้องตาย....ผมจะบอกความจริงให้แก่คุณ" "พ่อแม่ของคุณคือผู้สืบทอดคาถาปิดผนึกต้องห้าม ซึ่งสามารถปิดผนึกพลังงานทุกชนิดได้ และมันก็ฟังดูไม่ดีเลยสำหรับพวกเราเลย" "แต่ทว่า ถึงเราฆ่าพวกเขาไป ตำราคาถาเหล่านั้นมันก็ไม่ได้หายไป สักวันหนึ่งมันอาจจะถูกใช้เพื่อต่อต้านพวกเราก็เป็นได้" "ดังนั้น ท่านผู้นำจึงฝากให้ผมมายื่นข้อเสนอให้แก่พ่อแม่ของคุณ เพื่อที่จะแลกกับชีวิตของคุณ พวกเขาต้องมอบตำราเหล่านั้นให้เรา" "และ...พวกเขาต้องตาย..." เมื่อสิ้นประโยคนี้ ทำให้ ยูกิ ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก เพราะที่ผ่านมาเธอคิดมาตลอดว่าพ่อแม่เธอแค่หายตัวไป
ยูกิ ทนไม่ได้กับสิ่งที่ Plague พูด เธอพุ่งเข้าใส่หมายจะโจมตีด้วยฝ่ามือจักระ แต่ Plague ปัดมันออกไปด้วยหลังมือ หลังจากที่ปัดมือของ ยูกิ ออกไปแล้ว เขาก็ใช้ศอกกระแทกเข้าที่ลำตัวของ ยูกิ อย่างแรง จนกระทั่ง ยูกิ เซไถลไปกับพื้น Plague ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าหา ก่อนที่เขาจะดึงดาบรูปร่างประหลาดขึ้นมา มันดูมีหยักมีคมแปลกๆ สีของมันเป็นสีแดง เขาแลบลิ้นออกมาเลียดาบของตัวเอง "เอาล่ะ ถึงเวลาจะต้องตายแล้วล่ะครับ" จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าแทง ยูกิ ด้วยดาบประหลาด ทว่าวินาทีนั้น โยโซระ ก็ระเบิดพลังจักระลงสู่เท้า แล้วพุ่งเข้าไปหา Plague โดยตรง ขณะที่ Blood พยายามจะขวางไว้ แต่ Blood เองก็โดน จิโดริ พุ่งเข้ามาจากมุมอับสายตาและต่อยเข้าที่ชายโครงเต็มๆ จนกลิ้งกระเด็นออกไปไกล
ด้วยความช่วยเหลือของ จิโดริ ทำให้ โยโซระ สามารถช่วย ยูกิ เอาไว้ได้ โดยเขาใช้สองมือจับที่คมดาบของ Plague ในทีแรก Plague มีท่าทีตกใจ แต่เมื่อเขามองที่ดาบของเขา ซึ่งมีเลือดของ โยโซระ ติดอยู่ เขาก็ยิ้มออกมาแล้วเตะเข้าใส่ โยโซระ ใช้มือตั้งขึ้นกันการเตะของ Plague ได้ แต่แรงเตะของ Plague นั้นรุนแรงมาก ถึงจะไม่แรงเท่า Vampire แต่แรงเตะของเขาก็ทำให้ โยโซระ ไถลไปไกล และไปหยุดอยู่ข้างๆ ที่ ยูกิ ล้มอยู่ Plague หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วสูดหายใจเข้า "อ่าเข้าใจแล้ว เป็นเพราะว่าพวกคุณปลดปล่อยระดับจักระออกมาป้องกันไว้สูงพอตัว การระบาดของจิตที่ผมส่งเข้าไปจึงเข้าไม่ถึง" "ถ้าเช่นนั้นเราก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า แต่ผมขอบอกเอาไว้ก่อนว่า อย่าทำให้ดาบของผมได้ลิ้มรสของโลหิตพวกคุณไปมากกว่านี้" "เพราะยิ่งมันลิ้มรสโลหิตมากขึ้นเท่าใด จักระของผมก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น" เมื่อพูดจบ Plague ก็ปลดปล่อยจักระมหาศาล โยโซระ ก็เริ่มเปิดใช้งานเนตรวงแหวน เขาเพิ่มจักระทั่วร่างและเข้าทำการต่อสู้ระยะประชิด โดยมี ยูกิ ใช้คาถาโซ่ตรวนสนับสนุน
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง
Blood หรือ ซาโอะ กำลังลุกขึ้นจากกองดินที่เป็นหลุมใหญ่จากการกระแทก เขากระอักเลือดออกมาทางปากก่อนแล้วลุกขึ้น "น่าสนใจ...น่าสนใจจริงๆ...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า มีเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มสามารถทำให้ชั้นคนนี้ได้รับบาดเจ็บได้" Blood ใช้แขนเช็ดเลือด "ให้เดาเธอคงเป็นเด็กสาวผู้สืบทอดขีดจำกัดทางสายเลือดของเซ็นจู ฮาชิรามะ ที่ศตวรรษหนึ่งจะเกิดขึ้นครั้งเดียวสินะ" เขาพูด ในขณะที่ จิโดริ ก็ไม่ได้เข้าใจความหมายที่ Blood พูด "คาถาไม้ เถาวัลย์มังกร!!" จิโดริ ประสานอินและรีดเร้นจักระของเธอ เถาวัลย์ขนาดมหึมาโผล่ทะลุพื้นดินขึ้น 5 เส้น แล้วพุ่งเข้าใส่ Blood อย่างรวดเร็ว แต่เขากระโดดหลบการโจมตีได้
"ลูกไม้แค่นี้ทำอะไรชั้นไม่ได้หรอกน่า ชั้นจะค่อยๆ ฆ่าเธอให้ตายช้าๆ อ่าาาาา แค่คิดก็สุดยอดแล้วล่ะ" Blood ยิ้มอย่างโรคจิต เขากระโดดหมุนตัว ซ้ายที ขวาที หลับเส้นเถาวัลย์จำนวนมากด้วยความคล่องแคล่วและรวดเร็ว จนในที่สุดก็เข้าประชิดตัว จิโดริ Blood ต่อยเข้าที่หน้าท้องของ จิโดริ เต็มๆ ในขณะที่ทักษะการใช้จักระป้องกันอันยอดเยี่ยมของ จิโดริ นั้นรับแรงปะทะเอาไว้ จิโดริ กระเด็นออกมา แต่เธอยังตั้งหลักได้แม้จะไถลถอยหลังไปกับพื้นก็ตาม ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที ช่วงท้องของ จิโดริ บริเวณที่ถูก Blood ต่อยด้วยหมัดขวาเกิดระเบิดขึ้นอย่างแรงจนเป็นแผลลึก เลือดพุ่งกระจาย จนเธอทรุดลง
Blood เอียงคอซ้ายทีขวาทีทำให้มีเสียงดังแกร๊บทั้งด้านซ้ายและขวา เขาสบัดไหล่เล็กน้อย แล้วแสยะยิ้ม "เริ่มสนุกแล้วรึยัง" ขณะนั้น มาซากิโยะ ที่ไม่สามารถทำการต่อสู้ได้แล้วก็ตะโกนบอก จิโดริ ว่า "อย่าให้มันแตะต้องตัวได้ เพราะมันจะระเบิดทุกสิ่งที่สัมผัส" จิโดริ พยักหน้าขณะที่เธอพยายามลุกขึ้น แต่แล้ว Blood ก็เข้าประชิดด้วยความเร็วที่เหมือนเงา เขาชกหมัดขวาเข้าที่ใบหน้าด้านซ้าย จากนั้นก็ใช้หมัดซ้ายชกเข้าที่ใบหน้าด้านขวา ทำให้หน้าของ จิโดริ หันขวาทีซ้ายที คอมโบสกิลจบลงด้วยการถีบซ้ำเข้าที่หน้าท้องจุดเดิม จิโดริ กระเด็นลอยขึ้นฟ้าแล้วตกลงสู่พื้นอย่างแรง จากนั้นใบหน้าของเธอก็เกิดระเบิดอย่างแรง โยโซระ หันมามองด้วยความตกใจ
"จิโดริ!!!" ขณะที่กำลังตะโกนด้วยความตกตะลึง โยโซระ ก็โดน Plague แทงเข้าที่กลางลำตัว แล้วถีบจนกลิ้งไปกับพื้น
..............................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Nov 21, 2016 17:16:48 GMT
ในป่าทางด้านหน้าของศาลเจ้า
มีชายชุดดำคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนกิ่งไม้ เขาคือ Marionette เขาตาม Plague และ Blood มาตั้งแต่แรก และมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ตั้งแต่ต้น ในหัวของเขากำลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ในช่วงที่เขารับคำสั่งจาก Hades
Hades เดินเข้ามาใกล้แล้วสั่งเขาว่า "ภารกิจของคุณคือ หลังจากที่ Plague และ Blood ฆ่าเจ้าพวกนั้นหมดแล้ว" "พวกเขาก็หมดประโยชน์ต่อแผนการของผมแล้ว คุณจะต้องลงมือฆ่าพวกเขาทันที จากนั้นก็ให้คุณไปฆ่า Vampire ที่คุก" "เมื่อภารกิจของคุณทั้งหมดในคราวนี้สำเร็จลุล่วง ให้คุณกลับมาหาผมเพื่อรายงานผล........มีคำถามอะไรอยากถามรึเปล่า" Marionette ในตอนนั้นก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามอะไร ถึงแม้ในใจเขามีข้อสงสัยที่ย้อนแย้งกันอยู่มากมายก็ตามที
"ฆ่าเพราะว่าหมดประโยชน์อย่างนั้นหรอ....ทั้งๆ ที่คุณบอกว่าเราจะสร้างโลกใหม่ขึ้นมาด้วยกันเนี่ยนะ" Marionette บ่นเบาๆ
ในจังหวะนั้นเอง
จิโดริ ลุกขึ้นในกองฝุ่นผงที่เกิดขึ้นจากการระเบิด เมื่อฝุ่นผงจางลง Blood ก็ต้องตกตะลึง เพราะ จิโดริ กลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลย "ตกใจอย่างนั้นสินะ....ชั้นน่ะ ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ ด้วยสิ นายเรียกชั้นว่าอะไรนะ....ผู้สืบทอดของเซ็นจู อย่างนั้นหรอ" จิโดริ พูดขึ้น ที่หน้าผากของเธอมีผลึกสีเขียวรูปข้าวหลามตัดปรากฏขึ้น จากนั้นเธอก็ระเบิดจักระขึ้นมาอย่างรุนแรงทำให้เกิดคลื่นกระแทก Blood กำลังตกตะลึงกับสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ "บ้าจริง.....คาถาฟื้นฟูอย่างนั้นหรอ.....ทำได้ขนาดนี้เลยงั้นหรอ!!" ชั่ววินาทีนั้น จิโดริ ประสานอินอย่างรวดเร็ว "คาถาไม้ กางเขนแห่งพงไพร!!" สิ้นเสียงร่ายคาถา พื้นของ Blood ยืนก็สั่นไหว
Blood ย่อตัวลงเพื่อจะกระโดดหลบ ทว่าในจังหวะนั้นเอง ก็มีเส้นใยจักระเข้ามาจากด้านหลังและตรึงการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้ ทำให้ร่างของ Blood ถูกรากไม้ขนาดมหึมาที่พุ่งขึ้นจากเท้ารัดเข้าทุกส่วนของร่างกาย และรากไม้ก็เติบโตเป็นต้นไม้อย่างรวดเร็ว มันยกตัว Blood ขึ้นสูงราว 20 เมตร ในที่สุดร่างของ Blood ก็ถูกตรึงด้วยรากไม้สูงราว 20 เมตร ในรูปไม้กางเขน "ชั้นจะทำทุกวิถีทาง" จิโดริ เริ่มออกวิ่ง "เพื่อหยุดยั้งพวกนาย" เธอกระโดดไต่ขึ้นตามกึ่งไม้ "ทำลายพวกนาย" เธอลอยตัวขึ้นเหนือต้นไม้ "ด้วยการอยู่เคียงข้างคนที่ชั้นรัก คอยให้อภัย สนับสนุน และปลอบโยน ด้วยทุกสิ่งที่ชั้นมี" พูดจบ เธอก็ใช้หมัดจักระชกลงมาที่หัวของ Blood
แรงชกของ จิโดริ นั้นสูงมากจน มาซากิโยะ ตะลึงตาค้าง มันทำลายต้นไม้ทั้งต้น และปลิดชีพ Blood ลงด้วยการต่อยเพียงครั้งเดียว
..............................
ทว่าในอีกด้านหนึ่ง
Plague ได้ลงดาบเข้าใส่ช่องท้องของ ยูกิ ไปเรียบร้อยแล้ว ยูกิ กระอักเลือดออกมา เธอทรุดตัวลงกับพื้น Marionette ที่มองอยู่จากด้านนอกก็ขมวดคิ้ว เขามีท่าทีที่คับแค้นเพราะเขากำหมัดแน่น แต่ยังคงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป "ยูกิจัง!!!!!!!! ไม่นะ!!!!!!!!!!!" โยโซระ ตะโกนขึ้นดังสนั่น เขาลุกขึ้นมาอย่างทุกลักทุเล ในขณะที่ Plague กำลังเอื้อมมือซ้ายออกไป เขาตั้งใจจะบีบคอของ ยูกิ ให้ขาดใจคามือ แต่แล้วเส้นจักระบางๆ ก็พุ่งเข้ามาตรึงแขนซ้ายของ Plague เอาไว้จนขยับไม่ได้
"สังหารพวกท่าน...เพราะจะทำลาย....คาถา....แค่นั้นหรอกคะ....ใจร้าย...จริงๆ....เลยนะคะ" ยูกิ ที่ก้มหน้าอยู่ก็พูดขึ้น "แต่คุณ....ไม่สามารถ.....ทำลาย....คาถาเหล่านั้น....ได้....หรอกค่ะ.....คาถาสะกดปิดผนึกซากอสูร......" ยูกิ หลับตาแล้วพูดขึ้นเบาๆ เธอนึกถึงสิ่งที่พ่อแม่เธอพร่ำสอนพร่ำบอกมาตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่เธอจำความได้ มันเป็นเหมือนบทสวดอะไรสักอย่างที่เธอไม่เข้าใจ แต่แล้วในวันนี้เธอก็เข้าใจแล้ว มันคือหนึ่งในคาถาปิดผนึกต้องห้ามที่แข็งแกร่งที่สุด ในที่สุด ยมทูตน่าสะพรึ่งก็ปรากฏกายด้านหลังเธอ Plague จ้องมองดวงตาของยมทูตด้วยความหวาดหวั่น ในขณะที่มันล้วงทะลุร่างของ ยูกิ แล้วผ่านเข้าไปในตัวของ Plague แต่ดูเหมือน Plague จะมีปริมาณจักระที่แข็งแกร่งเกินไป ทำให้ ยูกิ ยังไม่สามารถดึงวิญญาณของ Plague ออกมาได้ทันที
ยูกิ หันมาหา โยโซระ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแม้เลือดจะไหลออกมาเต็มปาก "ทาคัต...ซึกิคุง....ฝาก....ที่เหลือด้วย....นะคะ....." วินาทีนั้น เนตรวงแหวนของ โยโซระ ก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่มันมีรอยด่างรูปหยดน้่ำเพียงสองหยด มันกลับปรากฏเพิ่มขึ้นมาอีก 1 รอย
เขาระเบิดจักระออกมาเต็มที่ด้วยความโกรธแค้นจนทำให้เกิดลมพัดราวพายุ สายฟ้าปริมาณมหาศาลถูกรวมไว้ที่ปลายมือขวา
"ชั้นคิดว่าฆ่าคือสิ่งที่ผิด...แต่แกทำให้ชั้นเปลี่ยนความคิดนั้น!!" โยโซระ ตะโกนขึ้น เขาเริ่มก้าวขาวิ่งตรงไปยัง Plague มือที่เต็มไปด้วยสายฟ้าฟาด ทำลายพื้นดินแตกกระจายลากเป็นทางยาวตามทิศทางที่ โยโซระ วิ่งไป ".........พันปักษา!!!!"
"........อึ่ก..........บ้าชิบ........." Plague กระอึกเลือดออกมา เขาเริ่มทรุดตัวลง จากนั้น วิญญาณของเขาก็ถูกดึงออกจากร่าง
เป็นวินาทีเดียวกับที่ ยูกิ มิซูนาชิ ล้มลงและสิ้นใจภายในอ้อมกอดของ โยโซระ "ยูกิจัง!!!!!..." โยโซระ ตะโกนลั่นทั้งน้ำตาจนสุดเสียง
มาซากิโยะ ทุบพื้นด้วยความแค้นที่เขาช่วยอะไรเด็กๆ ไม่ได้เลย จากนั้นเขาก็มองไปยังต้นไม้ซึ่งเป็นที่มาของเส้นจักระบางๆ
To be continued...
|
|