|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:26:50 GMT
EP3 : At 120,000 Miles กลางอวกาศห่างจาก Gliese 667CC ออกไปราว 200,000 กิโลเมตร
Spacemobile ของฝูงบิน Lancelot กระจายตัวรอบยานรบอวกาศ พวกเขากำลังเตรียมพร้อมในการรับคำสั่ง อากาศ แจ่มใส อยู่ใน Lancelot 01 เท็ตสึยะ อยู่ในเครื่อง 02 เรล่า อยู่ในเครื่อง 03 และ ซึบาสะ อยู่ในเครื่อง 04 "เมื่อกี้นั่นมันอะไร พวกนายเห็นจากจอเรดาร์ใช่ไหม" ซึบาะ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างตื่นตระหนก โฮชิโซระ ขมวดคิ้วก่อนจะพูดตอบกลับไป "เห็นสิ หัวรบปรมาณูไม่ทำงาน จากนั้น Tristan ก็ส่งกระสวยออกไปพุ่งชน" ฟุบูกิ ซึ่งกำลังสังเกตุและวิเคราะห์อยู่ก็เริ่มอธิบาย "คงเพราะหัวรบไม่ทำงาน ทาง Tristan เลยส่งกระสวยเข้าไปตรวจสอบ" "ในภารกิจนี้ ไม่มี Drone เข้าร่วมปฏิบัติการ นั่นหมายความว่ากระสวยที่พุ่งชนนั้นมีนักบินอยู่แน่แต่ใครกัน...กล้าหาญจริงๆ" เรล่า ปกติเป็นคนเงียบๆ เธอกลับบ่นขึ้นเบาๆ ด้วยความวิตก "ต้องทำถึงขนาดเลยหรอคะ.....รู้สึกใจคอไม่ดีเลย....." "นั่นสินะ....งานนึ้คงลำบากซะแล้ว ผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์ก ก็ยังไม่ได้สั่งการอะไรเลยด้วย" ซึบาสะ พูดเสริมขึ้น
อากาศ แจ่มใส หันไปมอง Lancelot เครื่องหมายเลข 25 ซึ่งก็คือเครื่องของ ฟุบูกิ แล้วพูดขึ้นว่า "เป็นยังไงบ้าง เจ้าปวกเปียก ไม่คิดไม่ฝันล่ะสิว่าเจ้าหน้าที่ยุทธการจะต้องออกบินกับเขาด้วยในครั้งนี้" "งานนี้ท่าจะสาหัสใช่เล่น ขนาดสัปดาห์ก่อน พวกเราต้องฝึกบินเจ้าเครื่องบ้านี่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงทุกวัน" "ถึงนายจะซ้อมได้ดีก็เถอะ แต่พอออกมาเจอของจริงดูเหมือนนายจะดูตื่นๆ นะ" อากาศ พูดด้วยความกังวล ฟุบูกิ มองกลับไปที่ Lancelot เครื่องหมายเลข 01 "มันช่วยไม่ได้นี่นา ถึงชั้นจะอยู่ฝ่ายยุทธการก็ตามที" "แต่ภารกิจที่สถานการณ์รุนแรงแบบนี้ ชั้นเองก็ขาดประสบการณ์ ถึงอยู่ในห้องบังคับการคงช่วยอะไรไม่ได้มาก" "บางที....ผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์ก อาจจะต้องการให้ชั้นเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์การรบด้วยตัวเองก่อนก็เป็นได้" "ถ้าหากเขามองว่าการจะเป็นผู้นำในการสั่งการลูกน้องที่ดีได้ ต้องเข้าใจสถานการณ์และแรงกดดันของลูกน้องด้วย"
"มองโลกในแง่ดีซะจริงนะ....แน่นอนล่ะ คนสั่งการถ้าไม่เคยอยู่ในสถานการณ์จริงจะไปเข้าใจอะไร" อากาศ พูด
...................................................................
ภายหลังจากการเสียสละชีวิตของผู้บังคับการ Tristan
ฝูงบิน Tristan ต้องเข้ามาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ผู้ที่มีลำดับยศสูงที่สุดในปฏิบัติการครั้งนี้ มิเกล วัลดัส ได้ข้อมูลของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากกระสวยของผู้บังคับการ Tristan เขาวิเคราะห์อย่างละเอียด จากนั้น มิเกล วัลดัส ก็กดปุมสื่อสารที่แผงควบคุมติดต่อไปยัง Lancelot โดยตั้งค่า Privacy เป็นการสื่อสารส่วนตัว
ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ที่กำลังรอผลการวิเคราะห์จากเจ้าหน้าที่บนยานรบ เหลือบไปเห็นสัญญาณส่วนตัวของเขาเข้า ในใจเขาก็แอบตกใจที่ มิเกล สามารถวิเคราะห์ได้เร็วมาก "ว่ายังไงบ้าง Galahad วิเคราะห์ผลได้แล้วอย่างนั้นหรอ" มิเกล ตอบกลับและเริ่มอธิบายทุกสิ่งให้ ริงเก็ต ฟัง "ใช่ครับ กระแสไฟฟ้าที่ Jam ระบบสั่งการมีรัศมีราวๆ 500 เมตร" "และมันไม่เสถียรเสียด้วย บางช่วงก็หดลงเหลือ 211 เมตร แต่ช่วงกว้างที่สุดของสนามไฟฟ้าคือ 494 เมตร" "จากการตั้งค่าหัวรบเดิม เราตั้งค่าให้มันระเบิดที่ระยะห่าง 350 เมตร คราวนี้เราต้องระเบิดที่ระยะ 550 เมตรเป็นอย่างต่ำ" "ถ้าคำนวณแรงระเบิดของหัวรบที่เรามีอยู่ทั้ง 4 ลูก จุดระเบิดพร้อมกันที่มุมทางซ้าย ภารกิจเรายังคงลุล่วงไปได้" "วิถีการเบี่ยงเบนจะอยู่ที่ 9.1 องศา ภารกิจเราก็จะลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่ Aiacos ยังคงได้รับความเสียหายอยู่พอสมควร" "พวกเขาอาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูตัวเองจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว...แต่อันที่จริงผมคิดว่าเราทำลายมันได้..."
ริงเก็ต ขมวดคิ้ว "เจ้าหน้าที่วัลดัส คุณกำลังจะบอกว่า ถ้าเราใช้ปืนใหญ่แรงโน้มถ่วง เราจะทำลายมันได้อย่างนั้นสินะ" มิเกล ยิ้มที่มุมปาก ในใจเขายอมรับว่า ริงเก็ต เป็นคนที่มีระดับความคิดไม่ธรรมดาจากประโยคที่เขาพูดออกมาเมื่อครู่ "ถูกต้องแล้วล่ะครับ ก่อนออกมา ผมได้หาข้อมูลของปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงซึ่งติดตั้งไว้บนสถานีอวกาศด้านหลังของเรา" "มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีนัก หัวหน้าฝ่ายวิจัย ชิราโออิ ได้บันทึกเอาไว้ว่า มันสามารถยิงได้ไม่เกินกำลัง 15% เท่านั้น" "เพราะตัวต้านทานกำลังไฟฟ้าจะรับความร้อนไม่ไหว ด้วยกำลัง 15% ถ้าเรายิงเข้าไปตรงๆ ใส่กลางดาวดางแล้ว" "กำลังแรงโน้มถ้วงจะมีไม่มีทำลายดาวหางได้ มันคงทำได้เพียงเจาะผ่านไปตรงกลางจนเกิดรูขนาดเล็กๆ เท่านั้น" "แต่ถ้าเราเอียงมันทำมุม 90 องศา แล้วยิงมันออกไปเป็นเส้นคลื่นดักเส้นทางโคจรของดาวหางเอาไว้แล้วล่ะก็" "พื้นที่สัมผัสจากรูกลมๆ มันจะกลายเป็นเส้นตรงยาวราวกับใบมีด เราสามารถผ่าดาวหางออกเป็นสองท่อนได้ง่ายๆ" "จากนั้น ด้วยแรงโน้มเข้าที่ดูดเข้าหากัน ดาวหางทั้งสองซีกจะกระแทกกันเองแล้วผลักตัวออกจากกันที่ 18 องศา" "ที่เหลือเราก็แค่ปล่อยหัวรบปรมาณูของเราเข้าไปตรงกลางระหว่างดาวหางทั้งสองซีกในระยะ 550 เมตร" "พอเราจุดระเบิดหัวรบปรมาณูทั้ง 4 ลูกพร้อมกัน มันจะผลักดาวหางทั้งสองซีกให้พ้นวงโคจรของ Gliese ทันที"
"ตามระเบียบการใช้อาวุธ อาวุธใดที่กองทัพไม่ได้มีคำสั่งให้อยู่ในการครอบครองของหน่วยใดเป็นการเฉพาะ" "การใช้งานจะต้องผ่านการอนุมัติของประธานาธิบดี ถ้าเราขออนุมัติไปตอนนี้ ก็ใช่ว่าทางนั้นเขาจะเห็นด้วย" "และกว่าจะได้รับคำสั่ง ผมว่าดาวดางคงพุ่งชน Gliese ไปก่อนแล้วแน่ๆ อันนี้ผมวิเคราะห์ให้ผู้การฟังดูเท่านั้นนะครับ" "ในความคิดของผมแล้ว แค่เรายิงจรวดไปยังพิกัดที่ผมส่งให้ ภารกิจของเราก็ลุล่วง ไม่จำเป็นต้องทำเกินกว่านั้น" เมื่อ มิเกล วัลดัส ผู้บังคับการ Galahad พูดจบ เขาก็ตัดช่องทางการสื่อสารส่วนตัวนั้นไปทันที
ริงเก็ต ฟังจบเขาก็ยิ้มมุมปาก "หมอนี่เพิ่งจะคิดวิธีนี้ได้ หรือคิดไว้ก่อนแล้วและจงใจบีบให้ชั้นทำกันแน่นะ" "ถ้าชั้นตัดสินใจทำก็เท่ากับชั้นฝ่าฝืนระเบียบการใช้อาวุธ ถ้าชั้นไม่ทำ ถึงภารกิจลุล่วง แต่ผู้คนก็ยังตายเป็นเบือ" "มิเกล วัลดัส ถ้านายวางแผนนี้ไว้ล่วงหน้าเป็นการแก้แค้นให้ มานูเอล แล้วล่ะก็ ชั้นก็จะยอมรับผลกรรมนั้น"
....................................................................
ระหว่างนั้นกลุ่มสะเก็ดดาวหางที่โคจรนำมาก่อนเริ่มเข้าปะทะ
Spacemobile ที่เหลือราวๆ 15 เครื่องและยานรบของฝูงบิน Tristan ต้องพยายามบินหนีเศษดาวหางมายังที่ตั้งมั่น พวกเขาเร่งความเร็วเต็มอัตราเพราะสะเก็ดดาวไล่จี้หลังพวกเขามาไม่มาก และบางส่วนก็เริ่มพุ่งชนฝูงบิน Tristan มิเกล วัลดัส ไม่รอช้าที่จะส่งคำสั่งอนุมัติการยิงให้ฝูงบบิน Galahad และสั่งบรรจุหัวรบปรมาณูเข้ารังเพลิงทันที ฝูงบิน Galahad นั้นมี ฮิคารุ อยู่ในเครื่อง 01 มาร์คัส อยู่ในเครื่อง 02 เอเรียส อยู่ในเครื่อง 03 และวิมีน่า อยู่ในเครื่อง 04
ฮิคารุ ได้รับคำสั่งให้ยิงทำลายสะเก็ดดาวหางที่หลุดเข้ามาภายในระยะ 400 เมตร ถือเป็นการยิงคุ้มกันให้เพื่อน เพราะเธอมีความชำนาญในการบินที่สูง จึงมีความคล่องตัวมากกว่าคนอื่น ระยะเพียง 400 เมตรเธอไม่พลาดเป้าแน่ ส่วน มาร์คัส เอเรียส ใช้อาวุธปืนยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า Railgun ทำการยิงสะเก็ดดาวหางจากระยะไกล วิมีน่า ที่ยังไม่เริ่มยิงเพราะเธอกำลังทำสมาธิอยู่ ก็ลืมตาขึ้น "เอาล่ะ....มิเกล ชั้นจะทำให้นายสนใจในตัวชั้นให้ได้" Spacemobile ของ วิมีน่า ก็เริ่มตั้งปืนขึ้นมายิง เธอยิงได้แม่นยำและรวดเร็วมาก ทำเอา ฮิคารุ ถึงกับตกตะลึง เอเรียส มองดูในจอเรด้าร์ก่อนจะแซวขึ้นว่า "นี่สิน๊า พลังแห่งความรัก ระวังไว้นะ Galahad 04 ที่ใดมีรักที่นั่นมีตุ๊ด" "หุบปากไปเลย Galahad 03 นายทำให้ชั้นเสียสมาธินะ" วิมีน่า ตะโกนกลับมาด้วยความดังระดับทะลายแก้วหู มาร์คัส เป็นคนที่มีสมาธิดีอยู่แล้ว มันจึงไม่ส่งผลต่อการยิงของเขาเลย "พวกไร้สาระ...มันต้องที่นั่นมีทุกข์ตะหาก"
ระหว่างที่สะเก็ดดาวพุ่งเข้ามานั้น Spacemobile ของฝูงบิน Lancelot ก็ถูกทำลายไปทีละลำสองลำ "บ้าจริง เราเสีย Lancelot 07 12 13 16 21 ไปแล้ว อะไรกันล่ะเนี่ย" ซึบาสะ พูดขึ้นด้วยความหวาดหวั่น ในขณะนั้น Lancelot เครื่อง 01 ก็ลอยเข้ามาตั้งป้อมยิงข้างๆ จากนั้น อากาศ ก็พูดกับ ซึบาสะ ว่า "จับอาวุธให้แน่น" "เล็งไปข้างหน้าไม่ต้องคิดอย่างอื่น แล้วยิงมันให้หมด เธออย่าไปพะวงกับเรื่องอื่น แค่ทำส่วนของตัวเองก็พอแล้ว" ฟุบูกิ ที่ได้ยินคำพูดของ อากาศ เขาก็เริ่มขยับคันบังคับ มันเป็นระบบบังคับซึ่งติดอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย การเคลื่อนไหวของหุ่นเป็นไปตามการเคลื่อนไหวร่างกายของนักบิน และมีปุ่มคำสั่งอื่นๆ อยู่ที่มือและปลายเท้า จึงไม่แปลกที่นักบินของ Lancelot และนักบินใหม่คนอื่นๆ ที่ไม่เคยบังคับ Spacemobile จะสามารถบังคับมันได้
ทาง เรล่า และ เท็ตสึยะ ก็กำลังตั้งอกตั้งใจในการระดมยิงใส่สะเก็ดดาวหางที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง ทันใดนั้น เท็ตสึยะ ก็ต้องพุ่งเข้าไป ชาร์จ เครื่องของ เรล่า ทำให้เครื่องทั้งสองเกิดความเสียหายเล็กน้อย ก่อนที่สะเก็ดดาวหางจะพุ่งเฉียดเครื่องของ เท็ตสึยะ ไปเพียงไม่กี่ฟุต ทำเอา เรล่า สะดุ้งตกใจเฮือกใหญ่ "ใจลอยอยู่รึไง Lancelot 03 ถ้าเธอเหม่อเพียงเสี้ยววินาที เธอได้เป็นปุ๋ยอวกาศแน่นอน" เท็ตสึยะ เตือน เรล่า ทีท่าทีกลัวๆ เธอกล่าวคำว่าขอโทษแบบติดๆ ขัดๆ แต่แท้จริงแล้วเธอไม่ได้เหม่อลอยเลยแม้แต่น้อย เธอกำลังเล็งยิงสะเก็ดดาวหางที่กำลังบินตามหลังเข้ามาชนฝูงนักบิน Tristan ในขณะที่กำลังบินหนีตายเข้ามา
.........................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:27:19 GMT
ทันใดนั้น เสียงการติดต่อจาก ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ก็ดังเข้ามาใน Spacemobile ของ Lancelot
"จาก Lancelot Commander ชั้นขอทราบหน่อยว่าใครมีความสามารถในการสั่งยิงปืนใหญ่ด้วยการเข้ารหัสบ้าง" "......" เมื่อไม่มีใครที่ตอบกลับว่าทำได้ คามิโจ ฟุบูกิ จึงเป็นคนตอบขึ้นเอง "ผมทำได้ครับ Lancelot Commander" ริงเก็ต จึงรีบพูดต่อทันทีว่า "ดี งั้นฝูงบิน Lancelot จงฟัง ชั้นกำลังจะขอให้พวกเธอทำปฏิบัติการนอกเหนือจากภารกิจ" "เนื่องจากการยิงหัวรบปรมาณูสามารถทำให้ภารกิจลุล่วงได้ แต่ประชาชนใน Aiacos จำนวนมากก็ยังต้องตาย" "ชั้นอยากให้ Lancelot 01 Lancelot 02 Lancelot 03 Lancelot 04 คุ้มกัน Lancelot 25 กลับไปยังสถานีอวกาศ" "จากนั้นให้ Lancelot ทั้ง 5 นาย ทำการยึดสถานีอวกาศซะ จากนั้นให้หันปากกระบอกปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงไปด้านข้าง" "ชั้นต้องการใช้ปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงยิงดักการโคจรเพื่อทำลายดาวหางซะ จากการคำนวณแล้วโอกาสสำเร็จ 100%" "ประชาชน Aiacos ก็จะไม่ล้มตาย....ชะตาชีวิตของคนเหล่านั้นอยู่ในมือพวกเธอ อยู่ที่พวกเธอจะเอาด้วยหรือไม่"
ทันทีที่ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก พูดจบ อะมาเทระ ซึบาสะ ก็สวนกลับทันทีว่า "Lancelot Commander คุณบ้าไปแล้วงั้นหรอ?" การพูดขึ้นเสียงของ ซึบาสะ ทำเอา ฟุบูกิ อากาศ เรล่า และ เท็ตสึยะ ถึงกับแปลกใจ เพราะเธอไม่น่าจะเป็นคนก้าวร้าวได้ และ ซึบาสะ ก็ยังพูดต่อไปอีกว่า "คุณกำลังจะขอให้เราทำผิดระเบียบของกองทัพนะคะ แถมมันเป็นแผนที่บ้าบิ่นเอามากๆ" "ถ้าเราปล่อยให้ดาวหางเข้าถึงระยะที่ตั้งสถานีอวกาศ แล้วปืนใหญ่ดันใช้การไม่ได้ ก็เท่ากับเราฆ่าผู้คนใน Aiacos ทั้งหมด" "แล้วคนอย่างคุณ.....น้ำหน้าอย่างคุณยังมีหน้ารับผิดชอบความผิดซ้ำๆ ซากๆ จากความคิดบ้าๆ ของคุณได้อีกหรอคะ!!!" คำพูดของ ซึบาสะ ทำเอา ริงเก็ต พูดไม่ออก เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่า ซึบาสะ เป็นลูกสาวของ มานูเอล วัลดัส ผู้ที่เสียชีวิตจากภารกิจ M0487 ที่ตัวเขาเองเป็นผู้บังคับการปฏิบัติการครั้งนั้น และ ริงเก็ต ฝ่าฝืนแผนการปฏิบัติการจนเกิดเรื่อง
แต่แล้ว ฟุบูกิ ก็พูดขึ้นมาว่า "ผมจะทำครับ Lancelot Commander .... ชีวิตคนไม่ใช่จะโยนทิ้งได้ง่ายๆ ถ้าช่วยได้ผมจะช่วย" "ดิชั้นขอไปด้วยค่ะ...." เรล่า ตอบรับเป็นคนที่สอง "เอาไงเอากัน ผมไปด้วย" อากาศ ตอบรับเป็นคนที่สาม เท็ตสึยะ ส่ายหัว "เฮ้อ...ให้ตายเถอะไอ้เด็กพวกนี้ เอ้าๆ ผมจะไปจัดการกับพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้อีกแรง" อะมาเทระ ซึบาสะ ที่ใบหน้ากำลังแสดงความขุ่นเคืองก็ตอบแบบฝืนๆ "ชั้นไม่ไว้ใจใคร ถ้าจะทำ ชั้นก็จะขอทำด้วยตัวเอง" "ขอบคุณทุกคนมาก ชั้นจะแจ้งต่อไปที่ Galahad ขอให้ทั้งห้าคนกลับไปที่สถานีอวกาศได้เลย" ริงเก็ต ตอบกลับ
จากนั้นกองบิน Lancelot และ Galahad ก็เริ่มถอยทัพ กลับไปที่สถานีอวกาศ ในขณะที่ดาวหางใกล้เข้ามาแล้ว มิเกล มองผ่านกระจกไปที่ยานรบของฝูงบิน Lancelot "เป็นไปตามที่คิดไว้จริงๆ เตรียมใจเอาไว้ได้เลย รีเซ็นเบิร์ก"
.....................................................................
เมื่อฝูงบิน Lancelot Galahad และ Tristan ที่เหลือมาถึงสถานีอวกาศขนาดกว้าง 520 เมตร ยาว 1,840 เมตร
พวกเขาเหลือ Spacemobile 51 เครื่อง ถึงยานรบ Lancelot และ Galahad ยังอยู่ดีแต่ Tristan ได้รับความเสียหาย ยานรบและฝูงบินของ Tristan ถูกสั่งการให้เข้าไปใกล้สถานีอวกาศ เพื่อคุ้มกับตัวสถานีจากสะเก็ดดาวหางขนาดเล็ก ทางด้าน Galahad จะทำหน้าที่ยิงสะกัดให้เป็นด่านแรก จึงอยู่แถวหน้าสุด มิเกล ค่อนข้างจะมั่นใจในฝีมือของฝูงบินตน ในขณะที่ Lancelot นำตัวยานรบมาบังตัวสถานีอวกาศเอาไว้ เขาใช้ตัวยานเป็นโล่กำบัง และฝูงสะเก็ดดาวหางก็ได้เข้ามา ปริมาณสะเก็ดดาวหางระรอกนึ้ถือว่าเป็นปริมาณที่เยอะที่สุด เดิมทีพวกเขาไม่ต้องเข้าใกล้มันมากถึงขนาดนี้ แต่เนื่องจากแผนการของ มิเกล วัลดัส ซึ่ง ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ตัดสินใจทำนั้น จำเป็นต้องยิงจากระยะ 100 กิโลเมตร ทำให้ตัวสถานีอวกาศจำเป็นต้องเคลื่อนที่เข้ามาในระยะการโคจรของฝูงสะเก็ดดาวหางมรณะฝูงยักษ์เหล่านี้ จากนั้นจรวดปรมาณูทั้งหมดก็ถูกปล่อยออกจากยานรบ Galahad และ Lancelot มันบินย้อนกลับเลยสถานทีอวกาศไป
ในขณะที่ฝูงบิน Galahad ใช้ปืนใหญ่และจรวดของยานรบ หนึกกำลังด้วย Railgun ของหุ่นรบยิงสะกัดสะเก็ดดาวหาง ฝูงบิน Lancelot ที่เหลือทั้งหมดก็เริ่มทำการยิงสนับสนุน มันยังคงเหลือสะเก็ดดาวหางจำนวนหนึ่งหลุดรอดไปได้อยู่ดี ขณะนี้ Lancelot 01 02 03 04 และ 25 เข้ามาถึงทางเข้าสถานีอวกาศแล้ว ฟุบูกิ ซึบาสะ เท็ตสึยะ ได้ลงจอดเรียบร้อย แต่ทว่าในขณะที่ Lancelot 03 ของ เรล่า กำลังจะเข้าไปในสถานีอวกาศจากทางเข้าด้านท้ายที่เปิดเอาไว้นั้นเอง สะเก็ดดาวหางที่หลุดรอดมาจำนวนหนึ่ง พุ่งเข้าหาเครื่องของเธอ Lancelot 01 ของ อากาศ จึงหันกลับไปยิง ด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยม อากาศ แจ่มใส ยิงทำลายสะเก็ดดาวหางที่เข้าใกล้ได้เกือบหมด แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น "ฟื๊ดๆๆๆๆๆๆๆ" เสียงระบบแม่เหล็กไฟฟ้าดังขึ้นโดยไม่มีกระสุนหลุดออกจากปากกระบอกปืนของ Lancelot 01 "บ้าชิบ กระสุนหมด" อากาศ แจ่มใส อุทานขึ้น และยังคงมีสะเก็ดดาวหางอีกลูกกำลังพุ่งเข้าหา Lancelot 03
อากาศ กดปุ่มท่อขับดันด้วยปลายเท้า เขาเร่งเครื่องเข้าไปหา Lancelot 03 "เรล่า!! วันนี้อากาศแจ่มใสนะว่ามั้ย!!!" สิ้นเสียงของ อากาศ เครื่องของเขาที่เข้ามาบัง เรล่า ก็ถูกสะเก็ดดาวหางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 5 เมตรพุ่งชน Spacemobile ที่สูงร่วม 20 เมตร ถูกก้อนสะเก็ดดาวหางฉีกออกเป็นชิ้นๆ จนไว้สภาพที่มองดูว่าเป็นหุ่นรูปร่างมนุษย์ Lancelot 01 ที่ชิ้นส่วนถูกฉีกกระจายปลิวไปตามแรงปะทะ มันกระแทกกับตัวสถานีอวกาศที่มีขนาดใหญ่อยู่หลายครั้ง สุดท้ายถูกอัดเละกับขอบของสถานีอวกาศแล้วหยุดนิ่ง ชิ้นส่วนกระจายไปทั่ว มันกระเด็นจากจุดปะทะไปถึง 200 เมตร "รีบลงมาสิ Lancelot 03 ไม่ต้องไปสนใจ Lancelot 01 เขาปฏิบัติหน้าที่ได้ดีแล้ว" เท็ตสึยะ เรียก เรล่า ให้ลงจากเครื่อง หลังจากที่ เรล่า ลงจากเครื่องเข้า Airlock พร้อมๆ กับคนอื่น มือของเธอสั่นเทา เท็ตสึยะ รู้ว่าเธอไปต่อไม่ไหวแน่
เมื่อพ้น Airlock เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนก็เดินเข้ามา เขาพกอาวุธปืนไฟฟ้าระบบอัตโนมัติคนละกระบอก เจ้าหน้าที่สองคนเริ่มทำตามหน้าที่โดยการถามถึงสาเหตุการเข้ามา เพราะปกติหุ่นรบจะต้องลงจอดบนยานรบเท่านั้น ทันใดนั้น เท็ตสึยะ และ ฟุบูกิ อาศัยทีเผลอพุ่งเข้าชนแล้วสับศอกไปที่ปลายคงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสอง พวกเขารีบชิงปืนไฟฟ้าที่หน้าตาเหมือนปืนไรเฟิลจู่โจมสีดำมาคนละกระบอก "เอาล่ะ เรล่า เธอรอตรงนี้นะ" เท็ตสึยะ พูด เรล่า พยักหน้า เธอนำอุปกรณ์สื่อสารออกมาเพื่อรับคำสั่งบอกพิกัดและเวลายิงจากระบบสื่อสารของผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์ก ฟุบูกิ ยื่นปืนยาวไฟฟ้าของเขาให้ ซึบาสะ ในขณะที่เขานำอุปกรณ์ Tablet ประจำตัวขึ้นมาค้นหาแผนที่ไปห้องควบคุมอาวุธ "เจอแล้วไปกันเถอะ...ซึบาสะ ไม่ต้องกลัวนะ เจอใครขวางยิงได้เลย ปืนนี้ไม่ทำให้ถึงตายแค่ทำให้สลบเท่านั้น" ฟุบูกิ พูด จากนั้น ทั้งสามคนก็เริ่มบุกตะลุยไปตามทาง ซึบาสะ และ เท็ตสึยะ ไม่ลังเลใจที่จะยิงเจ้าหน้าที่ของสถานทีอวกาศทุกคน
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงห้องควบคุมอาวุธปืน มันเป็นห้องที่ต้องใส่ระหัสเข้า แต่จู่ๆ มันก็ปลดล็อคด้วยตัวของมันเอง ทำเอา ฟุบูกิ เท็ตสึยะ และ ซึบาสะ ประหลาดใจ ส่วน เรล่า เมื่อได้รับพิกัดและเวลา เธอส่งเข้า Tablet ของ ฟุบูกิ ทันที ทันทีที่ เรล่า ส่งพิกัดองศาปากกระบอก GPW และเวลาการยิงไปให้ ฟุบูกิ เธอพบว่ามีปากกระบอกปืนไฟฟ้าจ่อเธออยู่
....................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:28:32 GMT
ณ ห้องผู้บัญชาการทหารสูงสุดภายในฐานทัพ Radamanthys บน Gliese
ภายในห้องมี โนเอมี เฮ็นดริกส์ นั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมคอมพิวเตอร์แบบพับได้โดยมี ชิเอล ยืนข้างๆ ตามสไตล์ เบนจามิน ฮันเตอร์ ซึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะก็ถาม โนเอมี เฮ็นดริกส์ ขึ้นว่า "ทำแบบนี้จะดีแล้วหรอครับท่านผู้บัญชาการ" เฮ็นดริกส์ ปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของเธอลง แล้วหันมาตอบ "พวกเขาเลือกจะใช้วิธีนี้ ก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้วล่ะ" "และถ้าชั้นไม่ทำแบบนี้ ชาว Aiacos ก็คงได้ตายหมดแน่" เธอพูดจบก็ดึงอุปกรณ์ Drive พกพาออกจากคอมพิวเตอร์ ก่อนจะยื่นไปทางขวามือของตัวเองที่ ชิเอล ยืนอยู่ ราวกับบอกว่าให้เขารับมันไว้ และ ชิเอล ก็รับมันไว้เหมือนรู้ใจ
"ท่านรู้อยู่แล้วสินะครับว่าพวกเขาจะต้องทำแบบนี้" เบนจามิน ฮันเตอร์ ถามด้วยความคับข้องใจ โนเอมี เฮนดริกส์ พยักหน้าแล้วหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ "มิเกล วัลดัส บอกชั้นให้เตรียมพร้อมเรื่องนี้ไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ" เบนจาบิน ฮันเตอร์ จึงถามคำถามสุดท้ายที่คาในใจ "ท่านไม่กลัวว่าทำแบบนี้แล้วท่าจะต้องเดือดร้อนไปด้วยหรอครับ"
เฮ็นดริกส์ วางแล้วลงแล้วยิ้มด้วยสีหน้าไร้กังวล "ทำไมต้องเดือดร้อนด้วยล่ะ บอกแล้วว่ามีคนออกหน้ารับผิดชอบให้แน่นอน"
....................................................................
ขณะนี้ ดาวหางได้เคลื่อนที่ผ่านระยะยิงตามแผนการเริ่มแรกเข้ามาแล้ว สายเกินจะก้าวถอย
มิเกล ลุกจากเก้าอี้บัญชาการ เขามองดูดาวหางขนาดยักษ์ บินผ่านยานรบของเขาไป พร้อมกับสะเก็ดดาวหางจำนวนมาก มันเป็นดาวหางสีดำขนาดมหึมารูปทรงหยดน้ำ รอบๆ ของมันมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนปริมาณมหาศาลเป็นประกายสีฟ้า "ท่านคะระวัง!!" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งชี้ไปหน้าต่างด้านข้าง เพราะหน้าต่างอยู่รอบห้องบัญชาการ และ มิเกล ไม่ได้มองทางนั้น สิ่งที่เจ้าหน้าที่คนนั้นตะใจคือสะเก็ดดาวหางกำลังพุ่งดิ่งเข้ามายังกระจกซึ่ง มิเกล ยืนอยู่ เขาหันไปมองด้วยแววตาสงบนิ่ง
วินาที ก่อนที่มันจะชนเข้ากับกระจก มันก็แตกสลายเป็นผง "ยังไม่หัวใจวายตายไปซะก่อนใช่มั้ยคะผู้การ" วิมีน่า พูดเข้ามา ก่อนที่ Galahad 04 จะเคลื่อนที่เข้ามาอยู่หน้ากระจก ใบหน้าของ วิมีน่า ยิ้มร่าอยู่บนหน้าจอบนแผงควบคุมของ มิเกล มิเกล จึงตอบกลับไป "ทำไมผมต้องตกใจด้วย ถ้ามันชนยังไงก็ไม่รอด อีกอย่างตำแหน่งของเธอก็ยิงมันทิ้งก่อนได้สบายๆ" วิมีน่า ทำหน้าบึ้งนิดๆ "เชอะ.....อุส่าห์ช่วยยิงทั้งที พูดให้ดีใจหน่อยก็ไม่ได้" แล้วเธอก็หันกลับเพื่อทำการยิงต่อไป ส่วน มิเกล วัลดัส เขาไม่กลับเข้าไปนั่งที่ตัวเอง แต่เดินไปเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ก่อนจะลงไปนั่งแทนที่เจ้าหน้าที่คนนั้น
ก่อนที่ดาวหางสีดำขนาดยักษ์ลูกนั้นเคลื่อนผ่านยานรบ Lancelot สะเก็ดดาวก็พุ่งเข้าปะทะตัวยานรบ มันพุ่งเข้าทำลายท่อขับดันที่อยู่ท้ายยานจนเสียหาย ยานรบเกิดเสียการทรงตัว และบางลูกก็พุ่งเข้าชนลำตัวของยาน บางลูกเจาะทะลุตัวยานเข้ามาได้ บางจุดก็ทะลุเป็นรูใหญ่ทำให้เจ้าหน้าที่บริเวณนั้นหลุดกระเด็นออกนอกอวกาศ "ปิดแอร์ล็อคในส่วนที่เสียหาย จากนั้นใช้เครื่องยนต์ขวาที่ยังใช้การได้รักษาสมดุลตัวยานให้นิ่ง อย่าหยุดยิงเด็ดขาด" "ขอให้พระเจ้าทรงโปรด....อนาคตของประชาชนใน Aiacos อยู่ในมือของเธอแล้ว คามิโจ" ริงเก็ต สั่งการจบแล้วพูดเบาๆ ถึงยานรบ Lancelot จะเสียหายไม่มาก แต่เจ้าหน้าที่บางคนก็ได้รับบาดเจ็บล้มตายจากการที่ยานเสียสมดุลฉับพลัน
ริงเก็ต ก็ได้รับบาดเจ็บที่ตาข้างซ้าย แต่เขาก็ยังคงเชื่อมั่นในความสามารถของลูกทีมที่เขาส่งไปทำเรื่องสำคัญนี้
..................................................................
ในที่สุดดาวหางก็ใกล้ Deadline ตามแผนปฏิบัติการใหม่
ฟุบูกิ ที่นั่งอยู่หน้าแผงควบคุมอาวุธปืนใหญ่แรงโน้มถ่วง GPW Gravitational Pulse Weapon ขนาดยักษ์ เขาถอดรหัสทำงานสำเร็จ พร้อมเรียกกำลังไฟเข้าไปในรังเพลิง ปากกระบอกเอียงไปด้านข้าง ระบบเริ่มทำงาน ลำกล้องที่ถูกเปิดออกมีความยาวกว่า 800 เมตร เมื่อกำลังไฟพร้อมยิง ฟุบูกิ ตั้งกำลังการยิงไปที่ 15% เขาเปิดระบบนับถอยหลัง ตัวเลขเริ่มรับถอยหลังจาก 20 วิ ไล่ลงไปเรื่อยๆ แล้วไฟในตัวสถานีอวกาศก็ดับลง เพราะกำลังไฟทั้งหมดถูกส่งไปที่ GPW เรียบร้อยแล้ว ทำให้ประตูห้องควบคุมอาวุธถูกปลดล็อคอีกครั้ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพร้อมอาวุธปืนยาวไฟฟ้าอัตโนมัติหลายสิบนายดันประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว
10....9....8....เท็ตสึยะ เริ่มเข้าต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วยมือเปล่าเพราะกระสุนปืนของเขาหมดแล้ว 7.....6..... โฮชิโซระ เท็ตสึยะ ถูกกระสุนไฟฟ้ายิงเข้า มันช็อตร่างของเขาจนเริ่มชัก ในที่สุดเขาก็ล้มลงหมดสติ 5.....4...... เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิงกระสุนปืนไฟฟ้าเข้าใส่ ซึบาสะ ที่เอาตัวเข้ามาขวาง ฟุบูกิ ไว้ถึงสามนัด 3....2....... ซึบาสะ ล้มลงหมดสติ ฟุบูกิ หันกลับไปเห็นเข้าพอดี ในขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเล็งมาที่เขา 1....0....... มือขวาของ คามิโจ ฟุบูกิ กดปุ่มสั่งยิงที่ 0.001 วินาที ก่อนที่กระสุนไฟฟ้าจะยิงเข้าใส่ร่างของเขาหลายนัด
คามิโจ ฟุบูกิ เริ่มล้มลง สายตาของเขามองไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นวินาทีที่คลื่นแรงโน้มถ่วงถูกยิงออกไปเป็นเส้นตรง มันขวางทางโคจรของดาวหางอย่างพอดิบพอดี เมื่อดาวหางเคลื่อนผ่านคลื่นแรงโน้มถ่วง มันก็ถูกผ่าเป็นสองซีก และดาวหางทั้งสองซีกยักษ์เกิดการกระแทกกันเองเพราะอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงที่ผ่ากลาง มันเริ่มแยกตัวออกจากกัน ทันใดนั้น จรวดปรมาณูทั้ง 4 ลูก ก็บินอ้อมกลับเข้ามาตรงกลางระหว่างดาวหางทั้งสองซีก "สำเร็จ" ฟุบูกิ พูดก่อนหมดสติไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ก็กำลังจะรวบร่างไร้สติของ ฟุบูกิ ซึบาสะ และ เท็ตสึยะ ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะแรงระเบิด
แรงระเบิดของหัวรบปรมาณูทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วน่านอวกาศ เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างเฝ้ารอดูผลอย่างใจจดใจจ่อ จนเสียงของเจ้าหน้าที่บนยานรบ Lancelot รายงานเข้ามาว่า "สำเร็จแล้วค่ะ ดาวหางสองซีกกำลังโคจรออกจากกัน" "วิถีการโคจรของมันเปลี่ยนไปมาก ไม่เพียงจะไม่พุ่งชน Aiacos แต่มันจะเลยผ่าน Gliese ไปด้วยค่ะท่าน" รอยยิ้มของ รีเซ็นเบิร์ก ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของเจ้าหน้าที่ทุกฝูงบิน และรวมไปถึงเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าดูการปฏิบัติการอยู่ที่ฐานทัพบนดาว Gliese ด้วย
มิเกล วัลดัส ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากคันบังคับ หน้าจอด้านหน้าของเขาคือระบบ "Homming Missile : Manual Mode"
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:32:10 GMT
EP4 : In Charge หลังจากปฏิบัติการหยุดยั้งดาวหางจบลง
1 สัปดาห์หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ผู้รอดชีวิตจากภารกิจทั้งหมดก็เดินทางกลับถึง Gliese อย่างปลอดภัย สถานีอวกาศได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด หัวหน้าฝ่ายพัฒนาอาวุธ ชิราโออิ ได้รับข้อมูลการใช้งานจริงของ GPW เธอไม่รอช้าในการนำข้อมูลการยิง GPW ของ คามิโจ ฟุบูกิ ที่ถูกบันทึกไว้มาศึกษาและพัฒนาอาวุธ GPW ต่อไป ส่วนนักบิน Lancelot ทั้งสี่คนที่ถูกคุมตัวไว้ คามิโจ ฟุบูกิ อะมาเทระ ซึบาสะ โฮชิโซระ เท็ตสึยะ และ เรล่า พวกเขาถูกสั่งกักบริเวณไม่นาน ก่อนที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด โนเอมี เฮ็นดริกส์ จะมีคำสั่งให้ปล่อยตัวเป็นอิสระ เธอแต่งตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อลงโทษทางวินัยเกี่ยวกับการปฏิบัติการอย่างพลการของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ทันที
ณ ห้องประชุมภายในฐานทัพ Radamanthys
เป็นห้องประชุมขนาดเล็ก ระหว่างการพิจารณาห้ามคนนอกเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต แน่นอนว่าด้านนอกคุ้มกันแน่นหนา ส่วนภายในห้อง มีโต๊ะรูปตัว U วางอยู่เจ้าหน้าที่ระดับสูง 9 คนกำลังปรึกษาหารือกัน มี โนเอมี เฮ็นดริกส์ เป็นประธาน การประชุมในครั้งนี้ก็คือการสอบสวนเพื่อลงโทษทางวินัยการสั่งยิงปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงจากภารกิจล่าสุดที่ผ่านมานั่นเอง ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก นั่งอยู่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้ถูกสอบสวน ข้อมือของเขาถูกใส่กุญแจมือไว้อย่างแน่นหนา ดูเหมือนว่าการสอบสวนจะดำเนินไปก่อนหน้านี้แล้วครู่หนึ่ง โฮชิโซระ เท็ตสึยะ และ เรล่า ได้เดินออกมาจากห้อง เรล่า มีอาการซึมๆ เธอเดินออกไปเงียบๆ ในขณะที่ เท็ตสึยะ เดินออกมาด้วยท่าทางหดหู่ผิดกับบุคลิกปกติของเขา เขาบอกกับ ฟุบูกิ และ ซึบาสะ ว่าให้พูดไปตามความจริง ไม่ต้องให้การปกป้อง ริงเก็ต เพราะอาจจะซวยไปเองด้วย
ไม่นานนัก ฟุบูกิ และ ซึบาสะ ก็ถูกนำตัวเข้ามาในห้อง ทั้งสองคนนั่งฝั่งตรงข้ามกับ ริงเก็ต ที่สุดปลายของโต๊ะประชุม ซึบาสะ มอง ริงเก็ต ด้วยสายตาอันแฝงไปด้วยความเคียดแค้น เธอคิดในใจว่า "คราวนี้แหละ คุณไม่รอดแน่นอน" ในขณะที่ คามิโจ ฟุบูกิ มอง ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ด้วยสายตาที่เป็นห่วง เพราะเขาคิดว่าตัวเองก็มีส่วนผิดในครั้งนี้เช่นกัน โนเอมี เฮ็นดริกส์ ปิดเอกสารฉบับเดิมลง ก่อนจะหยิบเอกสารอีกชุดขึ้นมาเปิดอ่าน เธอมองไปที่ ซึบาสะ สักพักแล้วถาม
"เอาล่ะ เริ่มจากเธอก่อนก็แล้วกัน อามาเทระ ซึบาสะ ใช่หรือไม่" เสียงตอบรับจาก ซึบาสะ คือ "ถูกต้องค่ะท่านประธาน" "จากรายงานของคุณอะมาเทระ ให้การว่า ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก เป็นผู้สั่งให้พวกเธอดำเนินการนอกแผนภารกิจสินะ" ซึบาสะ พยักหน้า "ถูกต้องค่ะท่านประธาน ดิฉันและนักบินคนอื่นจำเป็นต้องทำตามคำสั่งอย่างที่ได้รายงานไว้" เฮ็นดริกส์ พยักหน้าเบาๆ เธอเบะปากนิดหน่อย ก่อนจะเปิดเอกสารอีกเล่มขึ้นมาอ่าน มันเป็นรายงานของ คามิโจ ฟุบูกิ "แต่ดูเหมือนคนเดียวที่ให้การแตกต่างไปจากนักบิน Lancelot ทั้งสามคน รวมไปถึง มิเกล วัลดัส ก็คือคุณคามิโจ" เมื่อจบประโยคของ เฮ็นดริกส์ ทำให้ ซึบาสะ และ ริงเก็ต ขมวดคิ้ว ก่อนทั้งสองจะมองไปที่ ฟุบูกิ ด้วยความสงสัย
ฟุบูกิ นำหูฟังไมค์โครโฟนขึ้นมาใส่ มันเป็นหูฟังข้างเดียวมีไมค์ยื่นยาวลงมาถึงปาก เขากดเปิดไมค์ที่ตัวหูฟัง "ถูกต้องแล้วครับท่านประธาน ผมต้องขอเรียนว่า ผู้บังคับการออกคำสั่งแบบนั้นจริง แต่ก็ไม่ได้บังคับนักบินในสังกัด" "มันเป็นเพียงการขอความร่วมมือเท่านั้น หากไม่มีใครเห็นด้วย การปฏิบัติการโดยพลการก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน" "จากวีดิโอบันทึกการปฏิบัติการ ได้บันทึกขณะผู้การได้ออกคำสั่งไว้ และผมเองเป็นคนตอบรับที่จะปฏิบัติตามคำสั่งนั้น" "และก็เป็นผมเองที่บังคับให้ทุกคนปฏิบัติตามแผนการนั่น เพราะจากมุมมองของผมแล้ว มันเป็นแผนการที่ดีมาก" "เพียงแค่ทำให้ฐาน Aiacos ไม่ล่มสลาย ผมเห็นว่ามันยังไม่เพียงพอ เพราะประชากรจำนวนมากยังคงประสบภัยพิบัติ" "สำหรับผมแล้ว ผมเห็นว่าชีวิตคนเป็นสิ่งที่มีค่า ไม่สามารถชดเชยได้ด้วยสิ่งอื่นใดในจักรวาล จึงปล่อยให้ตายไปไม่ได้" "ผมขอให้กรรมการพิจารณาการลงโทผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์กอย่างรอบคอบอีกครั้ง เพราะคนที่ต้องรับผิดจริงๆ คือผม"
"ไม่จริง เธอพูดแบบนั้นไม่ถูก" ริงเก็ต พูดแทรกขึ้น แต่ เฮ็นดริกส์ ทุบโต๊ะอย่างแรงเพื่อหยุดเขาไว้ ทำให้ทุกคนสะดุ้ง "คุณไม่มีสิทธิจะพูด เพราะนี่เป็นการเบิกความของเจ้าหน้าที่ คามิโจ อะไรจริงไม่จริงปล่อยให้เป็นดุลพินิจของกรรมการค่ะ" หลังจากที่ โนเอมี เฮ็นดริกส์ และกรรมการอีก 8 คน ฟังคำให้การของ คามิโจ ฟุบูกิ พวกเขาก็เริ่มแลกเปลี่ยนความเห็น บางคนก็มองว่าการปฏิบัตินอกแผนเป็นความผิดของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก บางคนกลับมองว่า คามิโจ ฟุบูกิ พูดความจริง ซึบาสะ และ ฟุบูกิ พยายามเงี่ยหูฟังกรรมการที่กำลังปรึกษากันเพราะต้องการอยากรู้ผลการพิจารณาว่าจะเป็นแนวทางใด แต่ก่อนที่ ซึบาสะ และ ฟุบูกิ จะจับใจความได้ การปรึกษาก็สิ้นสุดลง โนเอมี เฮ็นดริกส์ จึงสรุปผลของการสอบสวนครั้งนี้
"คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า การปฏิบัติการนอกแผนภารกิจเป็นการกระทำความผิดของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก" "แต่ผลของภารกิจได้ช่วย Aiacos เอาไว้ได้ จึงมีคำสั่งพักราชการ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ออกไปอย่างไม่มีกำหนด" "และรอการพิจารณาลงโทษจากท่านประธานาธิบดี ระหว่างนี้จึงให้คุมตัว ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ไว้ที่คุกทหารไปพลางก่อน" "ดิฉัน ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขอแต่งตั้งให้เจ้าหน้าที่ คามิโจ ฟุบูกิ เป็นผู้รักษาการชั่วคราวกองบิน Lancelot" จากนั้น โนเอมี เฮ็นดริกส์ ก็กล่าวปิดการประชุม เธอและกรรมการต่างพากันเดินออกจากห้องอย่างไม่รีรอ เพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงมีงานที่รัดตัวมาก พวกเขาจึงไม่ค่อยจะมีเวลาในการพักเบรคมากเท่ากับทหารประจำฝูงบิน
ฟุบูกิ ที่ดูเหมือนจะไม่พอใจคำตัดสิน เขาพยายามจะตาม เฮ็นดริกส์ ไป แต่ก็ถูก ชิเอล เข้ามาขวางไว้เสียก่อน
........................................................................
ณ โรงพยาบาลทหารของกองทัพ
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่วุ่นมากเป็นพิเศษ เพราะทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากปฏิบัติการครั้งก่อนได้เข้ารักษาตัวเป็นจำนวนมาก เรล่า เดินซึมๆ มือของเธอถือแจกันดอกไม้อันหนึ่ง มีดอกกุหลาบสีเหลืองจำนวนมากปักอยู่ มันถูกเรียงมาอย่างสวยงาม เธอเปิดประตูห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างช้าๆ มันเป็นห้องที่ค่อนข้างมืดทึบ เพราะม่านได้ถูกปิดไว้ เรล่า นำแจกันที่ถือมาไปวางลงที่โต๊ะขนาดเล็ก ข้างหัวเตียงผู้ป่วยเบาๆ โดยอาศัยเพียงแสงสว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้น เธอก็ลากเก้าอี้เล็กๆ ซึ่งมีไว้สำหรับนั่งเฝ้าไข้มาข้างๆ เตียงผู้ป่วย และนั่งลงอย่างแผ่วเบาที่สุดเท่าที่เธอทำได้
"วันนี้ดิฉันเอาดอกไม้มาเยี่ยมคุณนะคะ....มันเป็นดอกกุหลาบสีเหลือง ไม่รู้ว่าคุณจะเห็นมันก่อนที่มันจะเ่ยวไปรึเปล่า" "คุณทราบไหมคะว่าดอกกุหลายสีเหลืองหมายถึงอะไร....ทีแรกดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่พอดีว่าวันก่อน..." "คุณแม่บอกว่า ถ้ามาเยี่ยมคนป่วย ให้นำดอกกุหลาบสีเหลืองมาด้วย .... เพราะว่าดอกกุหลาบสีเหลืองน่ะ....." "เป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพ สื่อถึงความห่วงใยของผู้ให้ แสดงถึงความปรารถนาดี ต้องการให้ผู้รับมีสุขภาพแข็งแรง" "มีความสุขสดชื่น....ฟังดูประหลาดดีใช่ไหมล่ะคะ นั่นเพราะว่าเป็นความเชื่อของมนุษย์เมื่อนานมากแล้วสมัยอยู่บนโลก" "ตอนนี้ดอกกุหลาบได้สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ถึงกุหลาบช่อนี้ถึงจะไม่ใช่ดอกไม้ของจริง...แต่ราคาก็แพงมากนะคะ...ฮะฮะ" เรล่า หยุดพูดขึ้นมากลางคัน ก่อนจะนึกในใจว่า "เราหัวเราะอย่างนั้นหรอ...แล้วนี่เราพูดอะไรออกไปเยอะแยะได้ยังไง" เธอยิ้มบางๆ และพูดต่อเบาๆ "ดูเหมือนดิฉันจะพูดรบกวนคุณมากเกินไปแล้ว....รีบฟื้นขึ้นมานะคะ....คุณแจ่มใส"
ช่วงนั้นเอง ลมเทียมได้พัดเข้ามาทางหน้าต่างอย่างแรง ทำเอาม่านเปิดให้แสงสองเข้าไปในห้องผู้ป่วยมืดๆ ห้องนี้ได้ ปรากฎให้เห็นร่างของ อากาศ แจ่มใส นอนอยู่ในอาการโคม่าไม่ได้สติบนเตียง มีเครื่องช่วยหายใจครอบปากไว้อยู่
........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:33:05 GMT
สองวันหลังจากนั้น
ภายในคุกทหาร ซึบาสะ ถือกล่องปิ่นโตสามชั้น เดินเข้าไปในเขตกักกัน เธอแสดงบัตรประจำตัวให้ผู้คุมดู ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเหล็กสีเทาให้ ซึบาสะ เข้าไป ทางเดินที่เธอต้องเดินเข้าไปเป็นเหมือนตรอกมืดๆ สองข้างทางมีประตูห้องขังนักโทษเรียงกันอยู่ ประตูห้องขังเป็นประตูเหล็กปิดทึบมีหลอดไฟเล็กๆ อยู่มุมบน ห้องที่หลอดไฟเป็นสีแดง ประตูเหล็กจะถูกปิดไม่สามารถมองเห็นอะไรข้างในนั้นได้ แต่ห้องที่เป็นสีเขียว ประตูเหล็กจะถูกเปิดไว้ แต่มีกรงเหล็กขวางเอาไว้แทน นั่นหมายถึงห้องที่กำลังเปิดให้เยี่ยมและพูดคุยกับนักโทษ ซึบาสะ เดินมาหยุดที่ประตูกรงเหล็ก ซึ่งเป็นหน้าห้องขังห้องเดียวในนั้นที่ไฟหน้าห้องแสดงเป็นสีเขียวอยู่ แน่นอนว่ามันเป็นห้องขัง ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก เมื่อเธอมาถึงห้องขัง เธอก็กดสวิตช์ไฟด้านนอกให้ห้องขังสว่าง
ภายในห้องขังที่ ซึบาสะ เห็น เป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 4 x 6 เมตร ในห้องมีเพียงเตียงนอน และส้วมเล็กๆ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก นั่งอยู่ที่กลางเตียงหันหน้ามาทางประตูห้องขัง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ชายสูงวัยมีรอยแผลที่ยังไม่หายดีบนใบหน้าซีกซ้ายถอนหายใจ "เธอมีอะไรจะต่อว่าชั้นก็ว่ามาได้เลย...." ซึบาสะ กัดฟันขณะที่มือกำหูหิ้วปิ่นโตไว้แน่น "รู้ทั้งรู้ว่าผลมันจะต้องออกมาเป็นแบบนี้ ทำไมคุณถึงยังทำอีกคะ" คำถามของเธอดูเหมือนเป็นประโยคที่แฝงไปด้วยอารมณ์เคียดแค้น แต่เธอก็ใช้น้ำเสียงที่ดูเรียบๆ เท่านั้น "ที่บอกว่าเป็นการช่วยชีวิตประชาชน ดิชั้นก็เข้าใจอยู่หรอกนะคะ แต่เราจะต้องเสียกำลังพลไปอีกเท่าไรกัน" น้ำตาของ ซึบาสะ เริ่มเอ่อขึ้นจากดวงตาของเธอ "อีกเท่าไรกันคะ....อีกเท่าไรกันถึงจะสาแก่ใจของคุณ....." หลังจากที่น้ำตาหยดแรกหล่นลงกระทบพื้นเบาๆ เธอก็เปิดปิ่นโต หยิบมีดซึ่งทำจากแก้วขึ้นมาถือเอาไว้
ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ค่อยๆ ลุกจากเตียงนอน เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า ซึบาสะ มีเพียงกรงเหล็กขวางทั้งสองไว้ "อยากจะฆ่าชั้นเพื่อแก้แค้นให้ มานูเอล อย่างนั้นสินะ.....ถ้าเธอตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นแล้วล่ะก็ จะรออะไร" "คนที่ฆ่าพ่อของเธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วตอนนี้ อะมาเทระ ซึบาสะ....." ริงเก็ต พูดขึ้นเพื่อยุอารมณ์ ซึบาสะ มีดแก้ว ซึ่งผ่านการตรวจอาวุธของคุก ถูกซ่อนไว้ในข้าวที่อัดแน่นในปิ่นโตก็พุ่งเข้าหาคอหอยของ ริงเก็ต ทันที แต่ ซึบาสะ หยุดมันเอาไว้ทัน มันจิ้มเข้าไปเพียงเล็กน้อย ทำให้เลือดของ ริงเก็ต ไหลซึมออกมาเท่านั้น เมื่อ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก เห็นท่าทีของ ซึบาสะ ที่ไม่ได้คิดจะฆ่าเขาจริงจัง จึงเริ่มพูดเพื่อให้ ซึบาสะ เข้าใจบางสิ่ง
"การเป็นผู้บังคับบัญชากองบินนั่นหมายถึงกุมชีวิตของลูกน้องทุกคนเอาไว้ในกำมือ...มันเป็นเรื่องยากนะรู้มั้ย" "แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้ลูกน้องในหน่วยของตนต้องตาย....และก็ไม่มีใครอยากทำให้ภารกิจนั้นล้มเหลว" "แต่เธออย่าลืมว่าเราทุกคนต่างก็เป็นทหาร ทหารมีหน้าที่ต้องปกป้องประชาชนผู้อยู่เบื้องหลัง และหวังพึ่งเราเสมอ" "หากคิดแต่ว่าไม่อยากให้เพื่อนตาย....หากคิดแต่จะแค่ทำภารกิจให้สำเร็จ.... ความคิดทั้งหลายเหล่านั้น....." "มันตรงตามเจตนารมณ์ที่เราเข้ามาสังกัดกองทัพ ...เข้ามาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์แห่งมวลมนุษยชาติแล้วอย่างนั้นหรอ" เมื่อพูดจบ ริงเก็ต ก็ฉีกเสื้อนักโทษของเขาออกด้วยแรงที่เขามี มันเป็นเพียงเสื้อยืดสีขาว จึงฉีกให้ขาดออกไม่ยาก มีดแก้วในมือของ ซึบาสะ ก็หล่นลงสู่พื้น มันแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความตกใจกับสิ่งที่เธอเห็น
บนร่างของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก มีรอยสักอยู่นับร้อย บางรอยก็ยังใหม่อยู่ มันเป็นคำที่ดูจะอ่านไม่เป็นภาษาคนเท่าใดนัก "นี่คือรายชื่อของลูกน้อยในหน่วยของชั้นทุกคนที่ต้องตายไปจากการบังคับบัญชาของชั้นเอง....เพราะชั้นความจำไม่ดี" "ชั้นจึงอาศัยรอยสักเหล่านี้ช่วยเตือนความจำ....ทุกครั้งที่ชั้นส่องกระจก ชั้นจะได้อ่านชื่อของพวกเขาทุกคน...ทุกวัน" ซึบาสะ หันไปมองกระจกหน้าอ่างล้างหน้าในห้องขัง มันสะท้อนอักษรที่อ่านไม่ออกบนตัว ริงเก็ต ให้เป็นอักษรที่อ่านได้ จากนั้น ริงเก็ต ก็ชี้ไปที่หัวไหล่ข้างซ้ายของเขา ซึ่งอยู่ตรงกับหน้ากระจกทางขวามือของ ซึบาสะ ให้เธอดูชื่ออยู่ชื่อหนึ่ง "มานูเอล วัลดัส เขาเป็นนักบินที่เก่งกาจ ถึงแม้แรกๆ เขาจะเป็นคนที่ดูเลือดเย็น แต่สุดท้ายหัวใจของเขาก็ยังมีความรัก" "ความรักที่เขามีต่อลูกๆ ของเขา ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวที่จากไป ลูกชายที่เกลียดเขา และเธอที่ทำให้เขารู้จักคำว่าห่วงใย"
ซึบาสะ ได้ยินดังนั้น เธอก็ก้มหน้าลงด้วยความเศร้า "แล้วทำไมภารกิจ M0487 คุณถึงไม่อธิบายอะไรเลยล่ะคะ" "ดิชั้นอ่านบันทึกภารกิจนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่เป็นพันรอบ....และค้นข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ทำไมคุณไม่พูดอะไรบ้าง" "ข้อมูลจากฐาน Minos ที่คุณได้รับจากภารกิจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง.... และคุณก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง....ทำไมกันคะ" ริงเก็ต ถอนหายใจเบาๆ "นั่นก็เพราะชั้นเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบน่ะสิ เมื่อแผนที่ชั้นเลือกมันล้มเหลว ชั้นก็ต้องยอมรับมัน" "ในครั้งนี้ก็เหมือนกับภารกิจ M0487 ชั้นไม่เสียใจที่สั่งการแบบนั้น และชั้นก็ทำใจพร้อมจะยอมรับผลของมันเสมอ" "ชั้นคิดมาเสมอว่า การลงโทษโดยสั่งย้ายจากผู้บังคับการฝูงบิน Galahad มาที่ Lancelot นั้นมันไม่สาสมเอาซะเลย" "ผู้บังคับการฝูงบิน Galahad ตำแหน่งที่เป็นถึงรองผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุด สำหรับชั้นแล้วมันเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว" "ชั้นควรจะถูกไล่ออก ไม่ก็ถูกจำคุกตลอดชีวิตมันถึงจะสาสม ...ที่ชั้นเสียใจกลับเป็นการที่รักษาชีวิตลูกน้องไว้ไม่ได้" เมื่อ ริงเก็ต พูดจบ ซึบาสะ ก็กดปุ่มปิดไฟโดยไม่พูดอะไรต่อ ประตูเหล็กได้เลื่อนมาปิดทับกรงเหล็กตัดบทสนทนาไป
ซึบาสะ ก้มลงเก็บเศษมีดไว้ในปิ่นโตและลุกขึ้น เมื่อเธอหันไปยังทางที่เธอเดินเข้ามาตอนแรก เธอก็เห็น คามิโจ ฟุบูกิ ยืนอยู่ สีหน้าของ ฟุบูกิ ทำให้ ซึบาสะ รู้ทันทีว่าเขาได้ยินเรื่องทุกอย่างเมื่อครู่แล้วแน่นอน "ซึบาสะ.....เธอไม่เป็นไรนะ" ฟุบูกิ ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่ ซึบาสะ ค่อยๆ เดินเขามาหาช้าๆ ท่าทางของเธอดูเหมือนอ่อนแรง นั่นเพราะร่างกายของเธอยังไม่หายดีจากการถูกกระสุนไฟฟ้าช็อตเมื่อหลายวันก่อน และเธอก็ล้มลง ในขณะที่ คามิโจ ฟุบูกิ ผวาเข้าไปช้อนตัวของ ซึบาสะ ไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะเป็นลมหมดสติ
"ความรับผิดชอบของผู้บัญชาการ เจตนารมณ์ของทหาร และภารกิจ M0487 อย่างนั้นหรอ" ฟุบูกิ พูดขึ้นเบาๆ
........................................................................
ณ หอสังเกตการณ์ภายในตัวโดมบริเวณลานฝึกบิน เขตกองทัพ
นักบินสองคนกำลังเดินขึ้นมาบนหอสังเกตการณ์ พวกเขามี Tag ติดอยู่ที่ไหล่ขวาเป็นตราสัญลักษณะของฝูงบิน Galahad คนหนึ่งก็คือ วิมีน่า เธรมริล ส่วนอีกคนก็เป็นคู่กัดของเธอ เอเรียส ซีวิโอเลีย ทั้งคู่เดินคุยกันมาตลอดทาง "จริงหรอที่นายว่า แผนการรบครั้งก่อนเป็นของ มิเกล น่ะฮะ!!" วิมีน่า ถามขึ้นเสียงดังด้วยความประหลาดใจ เอเรียส ยกนิ้วชี้ขึ้นมาจุดที่ปากเป็นการบอกให้ วิมีน่า พูดเบาๆ "ชั้นเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะ...แต่พอค้นข้อมูลการบินแล้ว..." "ชั้นพบว่าผู้บังคับการของเราได้ใช้ช่องสัญญาณติดต่อส่วนตัวไปยังยานรบ Lancelot ตั้งพักใหญ่แน่ะ" เอเรียส อธิบายเบาๆ และพวกเขาก็มาถึงห้องสังเกตการณ์โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง จนกระทั่งมีเสียงหญิงสาวพูดแทรกเพื่อเสริมเข้ามา
"ถูกแล้วล่ะ....แถมหลายวันก่อนที่พวกเราเดินทางขึ้นไปบนสถานีน่ะ ท่านผู้บังคับการวัลดัส ยังเคยไปพบท่าน ผบ. เฮ็นดริกส์ ด้วย" เอเรียส และ วิมีน่า สะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อพวกเขามองไปยังต้นเสียง ก็พบ ฮิคารุ ไชคอฟกี้ กำลังยืนมองการบินด้านนอกอยู่ วิมีน่า ขมวดคิ้วนิดๆ "แล้ว มิเกล เขาไปพบท่านผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุดทำไม เธอรู้อย่างนั้นหรอ เฮาะ!! ฮคารุ!!?" ฮิคารุ หันมายิ้มก่อนจะตอบ "ไม่เคยคิดจะให้เกียรติรุ่นพี่บ้างเลยสินะ แต่ชั้นจะตอบคำถามนั้นให้ก็แล้วกันนะ...คุณเธรมริล" "ประตูห้องควบคุมอาวุธของสถานีอวกาศในตอนนี้น่ะ จะต้องได้รหัสปลดล็อคจากท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดเสียก่อน" "การเปิดด้วยวิธีอื่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระเบิดนั้น เป็นไปไม่ได้เลย แถมมีความเสี่ยงสูง แล้วทำไม Lancelot ถึงเข้าไปได้ล่ะ" "นั่นอาจเป็นเพราะผู้บังคับการของเรา มิเกล วัลดัส ได้เข้าไปพบท่าน ผบ. เพื่อให้ท่านเตรียมการเรื่องนี้ไว้ก่อนล่วงหน้า" เอเรียส แสดงท่าทีที่เหมือนได้พบทางสว่าง "อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ พวกนั้นถึงผ่านประตูห้องอาวุธเข้าไปได้อย่างง่ายดาย"
วิมีน่า เดินเชิดมายืนข้างๆ ฮิคารุ เธอก็แอบนึกหมั่นไส้ ฮิคารุ ในใจนิดๆ ก่อนจะมองไปบนฟ้าเห็นเครื่อง CFA-44 กำลังซ้อมบิน ทั้งสองเครื่องคือเครื่อง Galahad 01 และ Galahad 02 จนเธอเอะใจขึ้นมา "เอ๊ะ!! นั่นมันเครื่องของเธอนี่ ฮิคารุ? ทำไมถึง..." ฮิคารุ ยิ้มอีกครั้งเพื่อตอบ "พอดีท่านผู้บังคับการวัลดัส ขอยืมเครื่องของชั้นไปซ้อมบินน่ะ ไม่งั้นชั้นคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก" เอเรียส ได้ยินดังนั้น เขาจึงรีบวิ่งมาดู มันเป็นการดวลกันระหว่าง มิเกล วัลดัส กับ มาร์คัส ที่ดูดุเดือดเอามากๆ "ว้าว ไม่น่าเชื่อว่าผู้การจะมีฝีมือการบินที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้นะเนี่ย ดูสิ!! สามารถไล่ต้อนเจ้ามาร์คัส ได้ดีด้วย ยอดเลย" วิมีน่า ดูท่าจะเห็นด้วยกับ เอเรียส "นั่นน่ะสิ การบินดูคล่องแคล่วลื่นไหล การเคลื่อนไหวก็ไม่ธรรมดา ทำไมถึงเก่งขนาดนี้นะ" "ถ้าบินเก่งขนาดนี้ ทำไมไม่มาเป็นนักบินด้วยอีกคนน๊า ถ้าเขาบินคู่กับชั้นในภารกิจหน้าคงน่าสนุกดีพิลึก" เธอพูดไปอมยิ้มไป
ฮิคารุ ดูนาฬิกาก่อนจะพูดขึ้นว่า "ใกล้ได้เวลาแล้วล่ะ...." เมื่อพูดจบ เลเซอร์ จำลองกระสุนก็ยิงออกจากเครื่อง 02 มิเกล ที่อยู่ในเครื่อง 01 ไม่สามารถหลบการยิงครั้งนี้ได้ หน้าจอของ มิเกล แสดงผลว่าเครื่องเขาถูกยิงที่ปีกเข้าอย่างจัง วิมีน่า และ เอเรียส ถึงกับอึ้ง ฮิคารุ จึงพูดต่อไปว่า "ถึงท่านผู้การจะบินได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่" "ร่างกายของเขาไม่ได้ฝึกมาเพื่อการบิน แม้สัญชาติญาณและความคิดจะเป็นเลิศ แต่ชั้นเชิงการบินยังไม่มากพอ" "เมื่อได้รับแรง G จากการบินไปพักใหญ่ๆ ส่งผลให้ร่างกายที่ไม่ได้ถูกฝึกมา เกิดการอ่อนล้า แรงดันโลหิตก็เริ่มตก" "ท่านผู้บังคับการจึงไม่สามารถหลบการยิงของ มาร์คัส เมื่อครู่ได้ ถึงจะบินเก่งกว่านักบินคนอื่นในฝูงบินเราโดยเฉลี่ย" "แต่ถ้าเทียบกับพวกเราจริงๆ....ดูเหมือนท่านผู้การจะอ่อนกว่านิดหน่อย เขายิงไม่แม่นเท่า วิมีน่า ไม่คล่องเท่า เอเรียส" "ยิ่งถ้าเทียบกับ มาร์คัส จากที่ผ่านมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะ มาร์คัส ได้ในการทำ Dog-Fight ก็คงเทียบไม่ติด" เมื่อ ฮิคารุ พูดจบ การต่อสู้ก็สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของ มาร์คัส ฝูงบิน Galahad บินกลับรวมฝูง ก่อนจะเริ่มทำการลงจอด
ไม่นานนักฝูงบิน Galahad ก็ได้ลงจอดเป็นที่เรียบร้อย
มิเกล เดินผ่าน Air-Lock ก่อนจะถอดหมวกนักบินออก เขาปิดระบบไฟฟ้าที่ช่วยเสริมแรงร่างกายของชุดนักบิน เนื่องจากเมื่อออกนอกตัวโดม จะไม่มีแรงโน้มถ่วงจำลอง นักบินต้องพบกับแรงโน้มถ่วงจริงของดาว Gliese มันมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าโลกมนุษย์เดิมถึง 2 เท่า นักบินจึงต้องอาศัยเครื่องเสริมแรงจากชุดเมื่อต้องออกนอกโดม มิเกล มาถึงบริเวณลานอ่างล้างหน้า มันเป็นอ่างยาวๆ ข้างตึกสังเกตการณ์ เขานั่งลงที่ม้านั่งร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ ในขณะที่นักบินของฝูงบิน Galahad ที่ร่วมบินด้วยกันคนอื่น พากันไปซื้อน้ำดื่มดับกระหาย ลานนี้จึงมี มิเกล คนเดียว
ระหว่างที่ มิเกล ใช้ผ้าก้มหน้าซับเหงื่ออยู่นั้น มีมือคู่หนึ่งยื่นน้ำดื่มแช่เย็นเข้ามาตรงหน้าของเขา เมื่อ มิเกล เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับรอยยิ้มของ วิมีน่า เธรมริล เขารับน้ำดื่มไว้ก่อนจะเอ่ยไปว่า "ขอบใจนะ...." วิมีน่า ดูท่าทางจะพอใจเป็นอย่างมาก เธอรีบนั่งลงข้างๆ และดูการเปิดฝาขวดน้ำแล้วยกขึ้นดื่มของ มิเกล ระหว่างยกขวดน้ำขึ้นดื่ม หางตาของ มิเกล ก็เหลือบเห็นว่า วิมีน่า กำลังนั่งจ้องเขาอยู่ชนิดที่ว่าตาไม่กระพริบ เขาจึงเอาขวดน้ำลงและหันไปถาม "มีอะไรอย่างนั้นหรอ เจ้าหน้าที่เธรมริล ทำไมถึงมาจ้องหน้าผมแบบนั้น" วิมีน่า ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า "กำลังสงสัยว่า ทำไมนายถึงขอยืมเครื่องของ ฮิคารุ ออกไปบินกับคนอื่นๆ น่ะ" มิเกล ย้ายสายตาจาก วิมีน่า มาเป็นขวดน้ำในมือ "ผมอยากรู้ขีดความสามารถของนักบินแต่ละคนน่ะ...."
ทั้งสองในนั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ๆ ก็ที่ มิเกล จะขอตัวกลับไปก่อน วันนี้ดู วิมีน่า จะมีความสุขเอามากๆ
........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:33:48 GMT
ช่วงค่ำของวันนั้น
แม้ว่าภายนอก ดาว Gliese ยังคงสว่างไสว แต่ภายในโดม Radamanthys ได้ปรับเป็นบรรยากาศตกเย็นซะแล้ว นั่นเพราะช่วงเวลา 1 วันของ Gliese ยาวนานกว่าโลกมนุษย์เดิม และมนุษย์ยังไม่สามารถปรับตัวกับเวลาที่นานขึ้นได้ ดังนั้น จอภาพบนเพดานของโดมทั้ง 4 เริ่มหรี่แสงลงเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับสัญญาณบอกใบ้ให้ผู้คนเริ่มพักผ่อน
ที่สนามเด็กเล่นแห่งหนึ่งในเขตพักอาศัย
ฟุบูกิ กับ ซึบาสะ กำลังนั่งมองท้องฟ้าจำลองยามค่ำคืนอยู่บนชิงช้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้แกว่งมันไปมาเหมือนเด็ก "นายได้ยินเรื่องคุณพ่อของชั้นหมดแล้วสินะ" ซึบาสะ พูดขึ้นหลังจากทั้งสองนั่งเงียบมาได้พักใหญ่ๆ แล้ว ฟุบูกิ พยักหน้าแล้วตอบกลับไป "อืม....เพิ่งจะรู้นี่แหละ ไม่แปลกใจว่าทำไมวันก่อนี่ทำภารกิจเธอถึงโมโหนัก" ซึบาสะ ยิ้มด้วยความเศร้า ก่อนจะเล่าเรื่องให้ ฟุบูกิ ฟัง "หมอนั่นทำให้คุณพ่อต้องตาย....ถึงเขาจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ" "แต่ตลอดเวลาที่คุณพ่อรับชั้นมาเลี้ยง ท่านใส่ใจชั้นเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ท่านอบรมสั่งสอนชั้นให้ทำความดี" "ถึงใครๆ จะบอกว่าเมื่อก่อนท่านเป็นคนอำมหิต หรือบางคนบอกว่าชั้นเป็นเพียงตัวแทนของลูกสาวแท้ๆ ของท่าน" "แต่ชั้นก็ยังรู้สึกดีใจ ที่อย่างน้อยในชีวิตอันแสนโดดเดี่ยวของชั้นยังได้รับความรักจากพ่อเหมือนๆ กับคนอื่นบ้าง"
เมื่อ ซึบาสะ เล่าเรื่องพ่อของเธอจบ ฟุบูกิ ก็นึกถึงบางสิ่งที่เขาได้ยินมาจากคำพูดของ ริงเก็ต เมื่อตอนอยู่ในคุก "ว่าแต่เธอมีพี่ชายด้วยอย่างนั้นเหรอ....เหมือนชั้นจะได้ยินว่าพี่ชายเธอเป็นผู้บังคับการฝูงบิน Galahad อยู่นะ" ซึบาสะ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ใช่แล้วล่ะ พี่มิเกล เป็นลูกชายแท้ๆ คนโตของคุณพ่อ...แต่ทั้งสองคนไม่ค่อยถูกกันค่ะ" "มีคนเล่าว่าเมื่อก่อน พี่มิเกล นิสัยเหมือนคุณพ่อมาก มีความเข้มแข็ง ไร้ช่องโหว่ เคร่งครัดในกฎระเบียบ ยึดมั่นในหน้าที่" "บางคนยังบอกอีกว่า คนแบบนี้สามารถทำทุกอย่างให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยไม่เลือกวิธีการ....มันฟังดูน่ากลัวนะคะ" "แต่จริงๆ แล้วคุณพ่อน่ะไม่ใช่คนแบบนั้นเลย...หลังจากท่านเสียลูกสาวแท้ๆ ไป ความอ่อนแอก็ปรากฏขึ้นมาจนได้" "พี่มิเกล ที่เคยมองคุณพ่อเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด จึงคิดว่าคุณพ่อเปลี่ยนไป ทั้งสองทะเลาะกันและไม่คุยกันอีกเลย" "พอคุณพ่อตายไป พี่มิเกล ไม่ยอมมางานศพ แถมไม่เคยมาไหว้หลุมศพคุณพ่อเลยสักครั้ง จนกระทั่งเมื่อวันก่อน...."
ฟุบูกิ นั่งฟัง ซึบาสะ ระบายความในใจจนจบ เขาจึงรับรู้ได้ทันทีถึงความรู้สึกของ ซึบาสะ และ มิเกล ที่มีในตอนนี้ ซึบาสะ รักพ่อของเธอมากราวกับพ่อแท้ๆ เธอจึงเสียใจกับการตายของพ่อ และมอง มิเกล เป็นเหมือนญาติคนเดียวที่เหลือ ส่วน มิเกล วัลดัส เป็นคนที่ผิดหวังกับพ่อตัวเองที่พ่อของเขามีมุมอ่อนแอ ไม่ได้แข็งแกร่งไร้ที่ติอย่างที่เขาคิดเอาไว้เลย ฟุบูกิ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะดูเหมือนมันเป็นเรื่องที่เขาเข้าไปยุ่งมากไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า "ท้องฟ้าสวยดีนะ ซึบาสะ" ซึบาสะ ถอนหายใจก่อนจะมองขึ้นไปแล้วยิ้มออกมาบ้าง "จริงด้วย...อากาศก็แจ่มใสด้วยนะคะ ถ้าเป็นท้องฟ้าจริงคงดีกว่านี้ " ทันใดนั้นเครื่อง Tablet ของ ฟุบูกิ และ ซึบาสะ ก็สั่นขึ้นพร้อมกัน มันเป็นการแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทราบ
ฟุบูกิ เปิดคำสั่งขึ้นอ่านก่อนจะพูดขึ้นว่า "ภารกิจปลูกป่า Genesis Plant....ให้ตายเถอะนี่มันพื้นที่เดิมของภารกิจ M0487 นี่นา ...."
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:39:33 GMT
EP5 : Deja Vu เวลาช่วงเช้าของวันใหม่
เจ้าหน้าที่ระดับสูง พร้อมด้วยหัวหน้าฝูงบิน ถูกเรียกตัวเข้าประชุม ณ ห้องประชุมยุทธการหลักของกองทัพ โนเอมี เฮ็นดริกส์ เป็นประธานในที่ประชุม และหัวหน้าฝูงบิน 4 ฝูงบิน อยู่ในที่ประชุมแล้ว ประกอบไปด้วย Bors Lamorak และแน่นอนที่สุด Galahad โดย มิเกล วัลดัส และ Lancelot โดย คามิโจ ฟุบูกิ รักษาการผู้บังคับการฝูงบิน Lancelot หัวข้อการประชุมคือแผนปฏิบัติการปลูกป่า Genesis Plant ซึ่งเป็นภารกิจที่ฐาน Minos ได้ขอความช่วยเหลือเข้ามา เมื่อหัวหน้าฝูงบินได้เอกสารการประชุมกันแล้ว โนเอมี เฮ็นดริกส์ ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ก็เริ่มสวมหูฟังไมค์โครโฟน และพูดขึ้น
"ที่เรียกทุกท่านมาในวันนี้ ก็เพราะเราเพิ่งได้รับการร้องขอมาจากทางฐาน Minos ให้ช่วยเหลือการดำเนินภารกิจอีกครั้ง" "ภารกิจในครั้งนี้เป็นภารกิจเคลียร์พื้นที่เพื่อเปิดทางให้ขบวนรถขนส่งของ Minos เข้าไปในพื้นที่อย่างปลอดภัยเพื่อปลูกป่า" "Genesis Plant ที่พวกเขาได้ตัดต่อพันธุกรรมขึ้นมานั้น จะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนจำนวนมากในบรรยากาศของ Gliese" "และมันยังสามารถดูดซับกัมมันตภาพรังสีได้ดีอีกด้วย พิกัดดังกล่าวเป็นป่าทึบและอยู่ใกล้ทะเลอันเป็นแหล่งน้ำขนาดยักษ์" "หากพวกเขาสามารถปลูก Genesis Plant ขึ้นที่นั่นได้ มนุษย์ก็จะมีแหล่งผลิตออกซิเจนและกรองสารพิษเพิ่มเป็นแห่งที่สี่" "พิกัดนี้นอกจากจะห่างจาก Radamanthys ของเราไปไม่มากแล้ว มันยังจะเป็นทำเลปลูกป่า Genesis ที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย" "ความสำคัญของภารกิจนี้จัดว่าอยู่ในระดับความสำคัญอันดับต้นๆ เพราะเราต้องทำการ Terraforming ดาวดวงนี้ให้เร็วที่สุด" "แต่ข่าวร้ายก็คือ.....เราเคยทำภารกิจนี้แล้วเมื่อ 5 ปีก่อน และล้มเหลวเนื่องจากมันเป็นแหล่งอาศัยของ Phoenixaurus"
"สิ่งมีชีวิตพื้นเมือง บินได้ โครงสร้างเป็นสัตว์ปีก ขนาดของมันอย่างที่ทราบกันดีว่าตัวเต็มวัยสามารถยาวได้ถึง 23 เมตร" "นิสัยดุร้าย อยู่รวมกันเป็นฝูง ออกล่าเหยื่อเป็นฝูง ร่างกายของมันแข็งแกร่ง คล่องแคล่ว รวดเร็ว เป็นผู้ล่าสูงสุดของระบบนิเวศน์" "เป็นสัตว์ที่มีสติปัญญา มีระดับทางสังคม มีจ่าฝูง รังของมันจะอยู่ในที่ต่ำ อาจจะเป็นโพรงหรืออาจจะเป็นถ้ำ ออกลูกเป็นไข่" "มีอาณาเขตในการล่าเหยื่อที่ชัดเจน ออกล่าเวลากลางคืน แต่ละฝูงจะมีอาณาเขตรัศมี 2,000 กิโลเมตร และพวกมันหวงพื้นที่" "ตามพิกัดนี้ รังของมันจะอยู่ในถ้ำขนาดยักษ์ เมื่อ 5 ปีก่อน เรามีแผนที่จะทำลายรังของมัน แต่ผู้บังคับการขณะนั้นไม่เห็นด้วย"
"เขาต้องการจะย้ายรังของมันออกไปก่อน จึงตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปนำไข่ของมันออกมา แต่แล้วก็เกิดผิดพลาดจนล้มเหลว" "วันนี้ดิฉันเรียกเจ้าหน้าที่ทุกคนมาประชุม เนื่องจาก Minos ยังคงร้องขอผ่านประธานาธิบดีของเราให้ช่วยเหลือเขาอีกครั้ง" "ดิฉันจึงเลือกฝูงบิน Galahad Bors Lamorak และ Lancelot ที่ว่างจากภารกิจเข้าดำเนินการ และหวังว่าครั้งนี้จะสำเร็จได้" "เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน และดิฉันไม่อาจตัดสินใจเองได้ จึงอยากขอความคิดเห็นจากทุกท่าน ว่าควรดำเนินการอย่างไร"
เมื่อ โนเอมี เฮ็นดริกส์ กล่าวจบ เจ้าหน้าที่ฝ่ายยุทธการทั้งหลายก็เริ่มจับกลุ่มปรึกษากันอย่างระงมไปทั่วทั้งห้อง ไม่นานนัก มิเกล วัลดัส ก็กดไมค์พูดขึ้น "ผมยังคงเห็นด้วยกับแผนการเดิมจากปฏิบัติการครั้งก่อนคือทำลายรังของมัน" "คำร้องขอของ Minos ที่ให้ย้ายรังของ Phoenixaurus ทางทฤษฎีนั้นเป็นไปไม่ได้ ความพยายามครั้งก่อนก็ชี้ให้เห็นแล้ว" "อย่างที่พวกเราทราบกันดี ความคิดของทาง Minos มักจะโลกสวยเสมอ พวกเขาสงสารสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เราจึงไม่ควรเสี่ยง" คำพูดของ มิเกล วัลดัส ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับจากเจ้าหน้าที่ส่วนมาก เพราะพวกเขาพยักหน้าด้วยท่าทีที่แสดงถึงความพอใจ แต่แล้ว ฟุบูกิ กลับพูดขึ้นว่า "ผมไม่เห็นด้วยกับการทำลายรังของมันครับทุกท่าน" ทำเอาเจ้าหน้าที่ระดับสูงหันมามองเขา สายตาพวกเขามอง คามิโจ ฟุบูกิ ด้วยความดูหมิ่นราวกับเขากำลังอวดดี เพราะเขาเป็นพวกหน้าใหม่ที่ไร้ประสบการณ์
ฟุบูกิ มองไปรอบๆ เขาเห็นปฏิกิริยาของทุกคนที่พร้อมจะค้านทุกเมื่อ จนเริ่มเสียความมั่นใจในการที่จะเสนอความเห็นต่อ "เชิญว่ามาได้เลยค่ะ....ท่านรักษาการผู้บังคับการคามิโจ ดิชั้นรอฟังท่านอยู่" เฮ็นดริกส์ เรียกความมั่นใจของ ฟุบูกิ กลับมา ฟุบูกิ พยักหน้าด้วยแววตาที่มุ่งมั่นอีกครั้ง "เมื่อ 5 ปีก่อน การที่ผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์ก ไม่ยอมทำลายรัง Phoenixaurus" "เป็นการกระทำที่เป็นที่ยอมรับจากฐาน Minos อย่างมาก เพราะจากผลการวิจัย Phoenixaurus ของ Minos ในเขตนั้นชี้ชัดว่า" "แม้ว่าฝูง Phoenixaurus ในพื้นที่ดังกล่าวจะไม่ใช่ฝูงใหญ่ ปริมาณของจำนวนไข่ที่มีในรังของมันจะมีไม่ถึง 20 ใบก็ตาม" "แต่หากเราทำลายรังของมันจนหมด มันจะไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ไปอีกกว่า 5 ปี เพราะพวกมันจะวางไข่ทุกๆ 5 ปีเท่านั้น"
"ผลที่ตามมาจะทำให้ระบบนิเวศน์เสียสมดุลย์ โดยเฉพาะปริมาณของ Slither (งูพิษยักษ์) จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล" "สิ่งมีชีวิตบนดาวก็ถูกพวก Slither แย่งเขตที่อยู่อาศัย ถูกทำร้าย และถูกล่า แน่นอนว่าอาหารของมนุษย์เราก็ย่อมลดลงไป" "เมื่อปริมาณอาหารลดลง และเต็มไปด้วยสัตว์พิษและสัตว์ดุร้ายอื่นนานกว่า 5 ปี การสูญพันธุ์ย่อมเกิดขึ้นให้เห็นอย่างแน่นอน" "ที่ Minos ขอให้เราช่วยดำเนินการเคลียร์พื้นที่นั้นในช่วงเวลานี้ ก็เพราะช่วงนี้เป็นฤดูวางไข่ของ Phoenixaurus" "เราสามารถล่อให้มันออกจากเขตพื้นที่ด้วยไข่ของมัน จากนั้นจึงค่อยทำลายถ้ำที่เป็นรังของมันไม่ให้มันย้อนกลับมา" "และนำไข่ของพวกมันไปไว้ในพิกัดใหม่ ที่แห่งนั้น Minos แจ้งว่ามีถ้ำที่พวกมันสามารถทำเป็นรังใหม่ได้อย่างแน่นอน"
"ผมได้ศึกษาภารกิจ M0487 อย่างละเอียด เลยพบว่าผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์ก ได้รับผลวิจัยนี้จาก Minos ระหว่างดำเนินภารกิจ" "อีกทั้งทาง Minos ยังได้ส่งพิกัดที่จะคืนรังของพวกมันมาให้เขาด้วย มันห่างจากจุดเดิมออกไป 1,211 กิโลเมตรเท่านั้น" "แต่ขณะที่เขาได้รับข้อมูลนี้ ภารกิจก็ได้เริ่มต้นไปแล้ว กล่าวคือ เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะวางแผนให้ถูกต้องรัดกุมเลย" "จนกระทั่งการปะทะกับฝูง Phoenixaurus ได้รุนแรงขึ้น เขาไม่สามารถถอยกลับได้ จึงต้องตัดสินใจด้วยตนเอง" "และเปลี่ยนแผนปฏิบัติการเป็นการนำเฮลิคอปเตอร์ลงจอดก่อนจะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปเพื่อลำเลียงไข่ของพวกมันออกมา"
"โชคร้ายที่พวกเขาก็เพิ่งรู้ว่า Phoenixaurus มีรังขนาดใหญ่อยู่ในถ้ำ มันเป็นการค้นพบรังของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ครั้งแรก" "เจ้าหน้าที่ทุกคนเลยเสียชีวิตทั้งหมด.....เพื่อให้เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่เสียชีวิตไปในครั้งนั้น" "ผมจึงเห็นว่าเราควรจะปฏิบัติการด้วยวิธีการขนย้ายรัง Phoenixaurus แทนการทำลายรังของมัน เพื่อป้องกันผลกระทบ"
เมื่อ ฟุบูกิ พูดจบ มิเกล หันไปมอง ฟุบูกิ ด้วยหางตาที่ไม่พอใจนัก เฮ็นดริกส์ จึงสั่งให้ตัดสินด้วยวิธีการโหวต
..................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:46:04 GMT
ช่วงบ่ายของวันนั้นหลังจากการประชุมจบลงแล้ว
คามิโจ ฟุบูกิ ยืนอยู่หน้าห้องคุมขังของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ด้วยสีหน้าที่ดูจะกังวลใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก กำลังหัวเราะอย่างชอบใจ "อะไรนะ!! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แกนี่มันบ้าชัดๆ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" "แกพูดแบบนั้นในที่ประชุมต่อหน้า โนเอมี จริงๆ น่ะหรอ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แล้วที่ประชุมก็กลับโหวตให้แกอีกด้วย" "บ้าจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แกนี่มันใจได้เลยว่ะ ชั้นไม่ค่อยแปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมหล่อนส่งแกมาที่ Lancelot น่ะ" ฟุบูกิ ขมวดคิ้วก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ท่านผู้การจะขำอะไรนักหนาครับ ผมแค่พูดในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น"
ริงเก็ต หยุดหัวเราสีหน้าของเขากลับมาจริงจัง ก่อนจะยิ้มแล้วตอบกลับ "นั่นน่ะมันก็ดีอยู่หรอกนะ...แต่ว่า" "ที่แกมานี่ แล้วขอให้ชั้นช่วยแนะนำว่าควรทำยังไงดี มันฟังดูตลกน่ะสิ ในเมื่อกล้าพูดไปซะขนาดนั้นแล้วล่ะก็" "แกก็ควรคิดหาวิธีรับผิดชอบในคำพูดด้วยตัวของแกเอง ชั้นบอกแกไม่ได้หรอกว่าแกจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง" "แต่ชั้นบอกแกได้แค่ว่า จำนวนของพวกมันมีเยอะมาก และในถ้ำนั่นน่ะมันมืดมาก และคลื่นวิทยุก็เข้าไม่ถึง" "เมื่อ 5 ปีก่อน นักบิน Galahad และทหารราบตายที่นั่นทั้งหมด และชั้นก็บอกไม่ได้ว่าตายเพราะอะไรกันแน่" "แต่ดูเหมือนว่าพวกมันสื่อสารกันด้วยเสียง ก่อนที่สัญญาณของลูกทีมขาดหายไป ชั้นได้ยินเสียงร้องของมัน" "จากนั้น ฝูงที่โตเต็มวัยก็เริ่มบินกลับมาที่รัง ชั้นรอพวกเขาจนวินาทีสุดท้าย แต่แล้วกลับต้องหนีเอาตัวรอด"
"ดังนั้น ในครั้งนี้ แกต้องคิดและวางแผนอย่างรอบคอบ เตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นอย่างมีสติ" "ที่จริงหน้าที่นี้มันควรเป็นของชั้น ที่ชั้นยังประจำการอยู่ก็เพื่อรอทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ นั่นก็เพื่อพวกเขาทุกคน" "ชั้นหวังจะกู้ชื่อเสียงและความภาคภูมิใจของพวกเขากลับมาให้ได้ในสักวัน แต่เมื่อมันอยู่ในมือของแกแล้ว" "ชั้นก็ต้องฝากภารกิจนี้ไว้กับแกแล้วล่ะนะ...ดูเหมือนชั้นคงจะทำจุดมุ่งหมายในชีวิตด้วยมือชั้นเองไม่ได้ซะแล้ว" ฟุบูกิ เห็นสีหน้าที่ดูเศร้าของ ริงเก็ต จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า "ถ้าอย่างนั้น ไว้ใจผมเถอะครับ...ผู้การ" "ผมจะทำมันให้สำเร็จเพื่อผู้การ เพื่อทุกคน และเพื่อกอบกู้เกียรติถูมิของวีรบุรุษผู้เสียสละเมื่อ 5 ปีก่อนให้ได้"
....................................................................................
วันต่อมา
ณ ฐานซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ เป็นอาคารภายในโดม มีเครื่องบินรบ รถถัง ปืนใหญ่ และอาวุธมากมายอยู่ที่นี่ มันถูกจัดเอาไว้ตามโซนแต่ละประเถท มีเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงกว่า 100 นาย กำลังทำงานของตนอย่างขมักเขม้น
ห้อง lab ซ่อมบำรุงของ ชิราโออิ มันเป็นฉากกั้นสีขาว มีกระจกส่วนบนโดยรอบ ขนาดเท่าตู้คอนเทนเนอร์ มันเป็นส่วนหนึ่งของฐานซ่อมแซมบำรุงยุทโธปกรณ์แห่งนี้ และถูกต้องอยู่ที่ส่วนกลางของตัวอาคารเลยทีเดียว อากาศ แจ่มใส นั่งอยู่ที่เก้าอี้คล้ายเก้าอี้หมอฟันภายในห้อง ชิ้นส่วนของ Exoskeleton ด้านซ้ายถูกเปิดออก ร่างกายของเขายังคงมีผ้าพันแผล และเฝือกอ่อนที่แขนขวา แต่สติของเขาได้กลับมาแล้ว จึงมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ ในขณะที่ เรล่า นั่งอยู่ที่เก้าอี้ธรรมดาข้างๆ เขา เธอนั่งเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่เหลือบมอง อากาศ เป็นพักๆ ไม่นานนัก ชิราโออิ ก็เดินเข้ามาหาจากอีกมุมห้อง เหมือนเธอไปรื้ออุปกรณ์ แล้วหยิบแปลนบางอย่างมาด้วย
"ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเธอจะรอดมาได้จากการถูกกระแทก" ชิราโออิ นั่งลงที่เก้าอี้ทำการข้างๆ เก้าอี้ของ อากาศ อากาศ เหลือบมอง ชิราโออิ ด้วยหางตา เพราะตอนนี้ร่างกายของเขาถูดยึดติดกับเก้าอี้จนขยับไม่ได้เลย "ผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันครับ...แต่นั่นอาจเป็นเพราะตอนเกิดการกระแทก อุปกรณ์ด้านซ้ายนี้ช่วยผมเอาไว้" เรล่า หันมามองแขนที่เต็มไปด้วย mechanic และสายไฟรวมถึงวงจรจำนวนมากของ อากาศ อย่าพินิจพิเคราะห์
ส่วน ชิราโออิ กางแปลนออก แล้วไล่ดูวงจรและโครงสร้าง "ดูเหมือน Chip-set บางตัวช็อต อันนี้แก้ไขได้ไม่ยาก" "แต่ส่วนของโครงสร้างโลหะ มีข้อต่อส่วนหนึ่งที่บิดงอ ทำให้มันไปขัดการเคลื่อนไหวของ Joint ส่วนอื่นๆ" "เธอคงจะขยับแขนในบางองศาไม่ได้ ใช้แรงมากก็ไม่ได้ และยังต้องหลีกเลี่ยงการขยับมันอย่างเร็วอีกด้วยนะ" ที่แขนซ้ายซึ่งเป็น Exoskeleton ของ อากาศ แจ่มใส มีแกนเหล็กชิ้นหนึ่งบิดงออย่างเห็นได้ชัดตามที่ ชิราโออิ ว่า "Chip-set เดี๋ยวชั้นจะซ่อมให้ แต่โครงโลหะที่เป็นแกนเหล็กยาวชิ้นนี้ อาจจะต้องสั่งทำพิเศษ ใช้เวลานานหน่อย" "ดังนั้น คำแนะนำจากแพทย์ ไม่สิ จากฝ่ายเทคนิค ขอให้เธอยื่นใบลาพัก และงดการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนนะ"
คำพูดนั้นทำให้ อากาศ ไม่ค่อยพอใจนัก "ไม่ได้หรอกครับ จะให้ผมนั่งๆ นอนๆ ดูเพื่อนๆ ทำงานแบบนั้นน่ะ" ชิราโออิ ยิ้มแห้งๆ "ดูเหมือนเธอจะเป็นพวกหัวดื้อไฟแรงนะ ถ้าอยากทำงานก็ทำได้อยู่หรอก แต่เฉพาะงานเบาๆ" หลังจากนั้นเธอก็ยกกล่องเครื่องมือขึ้นมาเปิดแล้วเริ่มคุ้ยหา "เอาล่ะ จะเปลี่ยน Chip-set ให้ มันเจ็บใช้ได้เลยล่ะ" เรล่า ได้ยินดังนั้น เธอก็ควักผ้าเช็ดหน้าของเธอออกมาแล้วม้วนมันเป็นแท่ง ก่อนจะใส่ที่ปากให้ อากาศ กัดไว้ ทันทีที่ ชิราโออิ เริ่มใช้บัดกรีจี้เอา Chip-set ตัวเก่าออกมา อากาศ ก็มีอาการเกร็ง สีหน้าแสดงความทรมาน นั่นเพราะ Chip-set ตัวนั้นทำหน้าที่เชื่อมต่อกับประสาทของแขน ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเลื่อยแขนอยู่
เรล่า เห็นดังนั้น เธอจึงเอื้อมมือไปกุมมือของ อากาศ เอาไว้ ในขณะที่เขาหันมามอง เรล่า แต่เธอก็หลบตาไป เมื่อ Chip-set เก่าหลุดออก ชิราโออิ ก็ใส่อันใหม่ไปแทน คราวนี้ดูท่าจะเจ็บกว่าเก่า เพราะเขาถึงกับหมดสติไปเลย
ทันทีที่ อากาศ หมดสติ
ฟุบูกิ ซึบาสะ และ เท็ตสึยะ ก็เข้ามาในห้องเพื่อมาเยี่ยม อากาศ แจ่มใส พวกเขาเพิ่งทราบว่า อากาศ รอดตาย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาช้าไป อากาศ แจ่มใส ได้หมดสติไปแล้ว จึงได้แต่ถามอาการจาก เรล่า เท่านั้น เท็ตสึยะ ยิ้มมุมปาก "ไอ้หมอนี่อึดเป็นควายจริงๆ ตายยากขนานแท้ ถ้าไม่ได้หมอนี่คงจะแย่เอาการเหมือนกัน" ฟุบูกิ พยักหน้า "นับเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันนะครับรุ่นพี่โฮชิโซระ ... ตอนแรกผมคิดว่าหมอนี่ม่องเท่งไปซะแล้ว" คำพูดของ ฟุบูกิ ทำเอา เท็ตสึยะ และ ซึบาสะ หัวเราะออกมา ในขณะที่ เรล่า ได้แต่อมยิ้มอย่างเขินอายเท่านั้น ทันใดนั้น ซึบาสะ ก็เห็นอะไรบางอย่างข้างนอก เธอพูดขึ้นเบาๆ ว่า "พี่มาทำอะไรที่นั้.... แล้วนั่นมันคืออะไรกัน...."
ชิราโออิ ที่กำลังเก็บอุปกรณ์หันไปมองตามสายตาของ ซึบาสะ ไปก็เห็นเครื่องบินรบรูปร่างแปลกใหม่ มันมีสีขาว ปรากฏข้อต่อจำนวนมากตามลำตัวของเครื่อง แถมติดอาวุธหนักครบครัน กำลังถูกลำเลียงออกไป โดย มิเกล วัลดัส และ ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ กำลังเปิด specification ของมันอ่านขณะเดินตามอุปกรณ์ลำเลียงไป
จากนั้น ชิราโออิ จึงเริ่มอธิบายข้อสงสัยของ ซึบาสะ "อ้อ นั่นน่ะหรอ มันคือเครื่องบินรบรุ่นใหม่ล่าสุดของเรา" "รหัสคือ VFX-0 Phoenix เป็นรุ่นทดสอบ มันเป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องบินรบกับหุ่น Humanoid Mobile" "ชื่อเต็มๆ ของมันก็คือ Valkyria-Unit Fighter 0 Phoenix Prototype ฟังดูยาวใช่มั้ยล่ะ แต่มันก็ไม่ธรรมดานะ" "ด้วยโครงสร้างแบบใหม่ ทำจากวัสดุสังเคราะห์ผสมจากโลหะ Hyperanium ที่พบบนดาวดวงนี้กับ Titanium" "ทำให้มีน้ำหนักที่ไม่แตกต่างจาก CFA-44 แต่มีโครงสร้าง ข้อต่อที่แข็งแรงกว่ามาก มันสามารถ Transform ได้"
"ถูกออกแบบมาให้ทำภารกิจที่หลากหลาย การเปลี่ยนรูปร่างของมัน เราเรียกขั้นตอนการทำ Shape-Shifting" "นักบินสามารถเปลี่ยนรูปร่างจากเครื่องบินรบให้เป็นหุ่นรบได้ที่ความเร็วประมาณ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง" "ถ้าทำที่ความเร็วสูงกว่านี้ อาจเป็นอันตรายต่อตัวนักบินเอง แม้ว่าโครงสร้าง Glieserium Alloy จะรับได้ก็เถอะ" "คาดว่าไม่เกิน 5 ปี มันจะถูกสั่งเข้าประจำการแทน CFA-44 ที่พวกเธอใช้อยู่ทั้งหมด เพราะมันมีประโยชน์กว่ามาก"
ฟุบูกิ มองดูที่ตัวเครื่อง Valkyria Unit เครื่องนั้นก่อนจะถามขึ้นว่า "ว่าแต่มันใช้การได้รึยังครับ ผลิตออกมากี่เครื่อง" ชิราโออิ หันกลับมายิ้มให้ ฟุบูกิ "แหม รัวคำถามซะตอบไม่ทันเลยนะพ่อหนุ่ม ชั้นจะตอบทีละคำถามก็แล้วกัน" "คำตอบแรกคือ มันบินได้แล้ว โดยนักบินทดสอบก็คือผู้หญิงคนนั้น ฮิคารุ ไชคอฟกี้ หรือสมญานาม ไซคล็อป" "คำตอบที่สองคือ ตอนนี้ยังมีแค่เครื่องเดียว ตอนนี้เรากำลังผลิตลำต่อไปอยู่ แต่ต้องรอข้อมูลจากรุ่นทดสอบก่อน" เท็ตสึยะ เดินเข้าไปดูแทบจะชิดกระจกที่เป็นฉากกั้น "ฟังดูน่าสนุกดีนะ เครื่องบินรบแปลงร่างได้....ไม่เลวเลย"
ชิราโออิ ลุกขึ้นพูดก่อนเดินไปว่า "หมดธุระแล้วพวกเธอกลับไปได้...เอ้อ...แล้วอย่าลืมพาเพื่อนเธอกลับไปด้วยล่ะ"
.....................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:46:59 GMT
3 วันถัดมา
ปฏิบัติการก็เริ่มต้นขึ้น ขบวนรถของฐาน Minos เตรียมพร้อมจากจุดรวมพลห่างจากป่าทึบนั้นไกลพอสมควร ในขณะที่ Galahad Bors Lamorak ใช้กองกำลังทางอากาศบินนำเข้าไปในในพื้นที่ภารกิจอย่างไม่รอเช้า มิเกล สั่งการอยู่ในรถหุ้มเกราะสีเขียวลายทหารซึ่งติดตั้งจานสื่อสานบนหลังคา จอดรวมอยู่กับขบวนขนส่งของ Minos โดยมี มาร์คัส วิมีน่า เอเรียส ขับเครื่อง CFA-44 พร้อมกับนักบินทั้งหมดรวม 64 ลำส่วน ฮิคารุ อยู่ในเครื่อง VFX-0 ในขณะที่ Lancelot ทั้งหมด ใช้กองกำลังทางบก พวกเขาเข้าไปในพื้นที่เรียบร้อยแล้วด้วยรถบรรทุกไฟฟ้าหุ้มเกราะ กองกำลัง Lancelot มุ่งหน้าไปยังรังของ Phoenixaurus มีเป้าหมายในการขนย้ายไข่ โดยฝูงบินอื่นทำการคุ้มกัน
ฟุบูกิ ซึ่งอยู่ส่วนหน้าของรถบรรทุกไฟฟ้าสีเขียวลายทหาร ติดต่อไปยังลูกทีมผ่านอุปกรณ์สื่อสาร "พวกนายพร้อมมั้ย" เสียงตอบกลับเป็นเสียงเดียวจากลูกทีม Lancelot คือคำว่า "พร้อมครับท่าน" "พร้อมค่ะท่าน" เป็นเสียงที่ฮึกเหิม เจ้าหน้าที่ของ Lancelot ในภารกิจนี้มีทั้งหมด 28 คน แน่นอนว่ามี ซึบาสะ เท็ตสึยะ เรล่า อากาศ รวมอยู่ในนั้นด้วย "ภารกิจครั้งนี้ของเราคือการขนย้ายไข่ของ Phoenixaurus ไปยังเครื่องบิน Drone ที่คอยรับสัมภาระอยู่นอกป่า" "เราต้องนำไข่ของพวกมันออกมา แลบรรจุไว้ในตู้คอนเทอเนอร์ท้ายรถบรรทุกคันนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้..." "จากนั้นก็นำมันไปยังเครื่อง Drone มันจะพาไข่ไปยังพิกัดรังใหม่ ทิ้งสัมภาระพร้อมร่มชูชีพ ภารกิจก็เป็นอันเสร็จสิ้น" "ทุกคนต้องจำเอาไว้ว่า เราต้องปฏิบัติการให้เงียบที่สุด ไม่งั้นเราจะตกเป็นเป้าของพวกมันโดยไร้การตอบโต้" "หากเจอเหตุฉุกเฉิน อนุมัติให้ใช้อาวุธหน้าไม้อาบยาสลบในการยิงได้....แต่จะได้ผลไหมผมไม่รับประกันนะครับ" "ข้อมูลเบื้องต้น ถ้ำของพวกมันจะมีความลึกถึง 2 กิโลเมตร หากพ้นระยะ 800 เมตร ลงไป สัญญาณวิทยุจะขาด" "หวังว่าทุกคนคงจำภารกิจของเราได้ และทำมันอย่างละเอียดรอบคอบ ... ขอจะรอพวกคุณอยู่ข้างบนนี้...โชคดี"
จากนั้น ฟุบูกิ ก็หันมาใช้ช่องสัญญาณส่วนตัว "อากาศ แจ่มใส นายไหวรึเปล่า ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยนะ" เสียงตอบกลับจาก อากาศ คือ "สบายมากไอ้ปวกเปียก ไม่สิ สบายมากครับท่านรักษาการผู้บังคับการ....." จากนั้น ฟุบูกิ ก็กดสลับช่องการสื่อสารแบบส่วนตัวอีกครั้งเพื่อสลับไปคุยกับ ซึบาสะ "ซึบาสะ....ระวังตัวด้วยนะ" ซึบาสะ ก็ตอบกลับมาว่า "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า...ที่นายเลือกแผนของ รีเซ็นเบิร์ก มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว" "ที่นายเป็นห่วง ก็เพราะที่นี่เป็นที่ตายของคุณพ่อ เลยไม่แน่ใจว่าชั้นจะไหวรึเปล่าอย่างนั้นสินะ...ชั้นไหวอยู่น่า" ฟุบูกิ ขมวดคิ้วนิดๆ ถึงปากจะตอบไปว่า "อย่างนั้นชั้นก็วางใจ" แต่ในใจของยังคงเป็นกังวลอยู่เหมือนเดิม
เมื่อพูดจบ ฟุบูกิ ที่อยู่ในห้องบัญชาการภายในรถก็หันไปข้างๆ มีชายสองคนกำลังสวมชุดปฏิบัติการข้างๆ เขา "พวกคุณจะลงไปด้วยอย่างนั้นหรอครับ คุณชิเอล คุณฮันเตอร์" ฟุบูกิ พูดขึ้นกับชายสองคนข้างๆ เขา ชิเอล พยักหน้าแล้วตอบสั้นๆ ว่า "อืม" ในขณะที่ เบนจามิน ฮันเตอร์ ไม่สวมชุดเลยเพียงแบกถึงออกซิเจนไปเท่านั้น เบนจาบิน ฮันเตอร์ ตรวจดูสภาพหน้าไม้ขณะตอบกลับ "ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่งให้ผมมาคอยสังเกตการณ์" "ท่านเองก็อยากรู้ว่าภายในรังนั้นมันเป็นยังไงเหมือนกัน....ดูเหมือนท่านกำลังจะช่วยผู้บังคับการของคุณอยู่นะ" ฟุบูกิ ไม่พูดอะไรแต่ภายในใจเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าสองคนนี้มาเพื่อหาหลักฐานการยืนยันการตายของเจ้าหน้าที่ 5 ปีก่อน หากพวกเขายืนยันได้ว่าการตายของเจ้าหน้าที่อยู่นอกวิสัยที่ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก จะควบคุมได้ ก็ล้างมลทินไปได้บ้าง
.....................................................................................
ในที่สุดภารกิจก็เริ่มต้นขึ้น
ขณะที่ฝูงบินกำลังบินตรวจการอยู่นั้น Phoenixaurus ตัวหนึ่งพบฝูงบิน Bors เข้าจนได้ มันจึงเริ่มส่งเสียงร้อง มิเกล วัลดัส ได้ยินเสียงร้องสนั่นป่า เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย "ยุ่งล่ะสิ Galahad บินออกมาจากรัศมี 700 เมตร!!" จากนั้นไม่นาน Phoenixaurus โตเต็มวัยจำนวนนับร้อยก็เริ่มแห่บินขึ้นจากป่า แล้วพุ่งเข้าหาฝูงบินทั้ง 65 เครื่อง มาร์คัส มองดูการต่อสู้ระหว่างฝูงบินกับ Phoenixaurus "ให้ตายเถอะ ให้ฆ่ามันได้ก็สู้ยากอยู่แล้ว ยังห้ามฆ่ามันอีก" "ก็ช่วยไม่ได้นี่น๊า เขาไม่ให้ฆ่าก็เพราะมีเหตุผลอยู่นั่นแหละ บ้านผมสอนว่าทุกอย่างมีเหตุมีผล" เอเรียส พูดเสริม ฮิคารุ มองดูการต่อสู้ของฝูงบิน Bors และ Lamorak "ดูท่าพวกนั้นจะไม่ไหวนะ สองฝูงบินนั้นไม่ได้เก่งเท่าไรซะด้วย" ไม่นาน Bors และ Lamorak กลับเริ่มเสียเครื่อง CFA-44 มันถูกจิกจนระเบิดบ้าง ถูกตะครุมจนร่วงบ้าง รวมแล้ว 7 - 8 ลำ
วิมีน่า เห็นท่าไม่ค่อยดี จึงติดต่อกลับ มิเกล "มิเกล!! จะไม่สั่งการอะไรหน่อยอย่างนั้นหรอ พวกนั้นกำลังจะตายนะ" "ยังก่อน Galahad 04 ตอนนี้เราต้องดูเชิงเพื่อสังเกตการจู่โจม ขีดความสามารถ และจำนวนของพวกมัน" มิเกล ตอบ แต่ วิมีน่า มีท่าทีที่ยังไม่พอใจ "ถ้าไม่ให้เข้าไป อย่างน้อยก็ให้เรายิงสนับสนุนพวกเขาบ้างก็ยังดีกว่าแบบนี้นะ" "ไม่ได้เด็ดขาด จากตำแหน่งของคุณ ถ้าขืนยิงออกไปล่ะก็ พวกมันก็ได้แห่กันมาทางนี้กันพอดี" มิเกล ย้ำอีกเป็นรอบที่สอง "แต่...." วิมีน่า กำลังจะพูดแย้งต่อ แต่กลับถูก มิเกล พูดกลบทันที "คอยฟังคำสั่งของผมเถอะครับ คุณวิมีน่า ใจเย็นเข้าไว้" เอเรียส ที่ฟังบทสนทนานั่นอยู่ก็รู้สึกว่า มิเกล เป็นคนที่เลือดเย็น เขามองฝูงบิน Bors และ Lamorak เป็นเหมือนเบี้ยเท่านั้น แต่ มาร์คัส กลับคิดว่า มิเกล เป็นคนที่สั่งการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่เขาพูดตรงกับความคิดของ มาร์คัส ทุกอย่าง
ระหว่างที่กองบินเริ่มเสียเปรียบ มิเกล เหลือบไปเห็น Phoenixaurus ตัวที่ใหญ่ที่สุดที่บินโจมตีอยู่ เขามองมันสักพักก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือตัวจ่าฝูง เพราะทุกครั้งที่มันเหมือนจะพลาดท่า ก็จะมีตัวอื่นเข้ามาช่วยทุกครั้ง และทุกๆ ทิศทางการในโจมตีของฝูง Phoenixaurus ก็ดูเหมือนจะได้รับการชี้เป้ามาจากเจ้าตัวใหญ่ตัวนี้เสียทุกครั้ง ขนาดของมันแม้จะใหญ่กว่าตัวอื่นราวๆ 30% แต่เมื่อมองจากระยะไกล แถมมองผ่านกล้อง มิเกล ต้องเพ่งอยู่นานทีเดียว "เอาล่ะ Galahad พวกคุณเห็นเจ้าตัวใหญ่นั่นรึเปล่า ผมอยากให้คุณทำตามแผนของผม" มิเกล ออกคำสั่งไปยังลูกทีม มาร์คัส นำ Galahad 02 บินฉวัดเฉวียน ฝ่าดง Phoenixaurus เข้าไปอย่างคล่องแคล่ และยิง Missile นำวิถีออกไปสองลูก Missile พุ่งเข้าหาตัวจ่าฝูง แต่ถึงแม้ว่าจะมี Phoenixaurus ตัวอื่นมาขวางไว้ แต่มันก็ยั่วยุจ่าฝูงให้หันเป้ามาที่ Galahad 02 ตัวจ่าฝูงเริ่มบินไล่ Galahad 02 ความเร็วของมันนั้นสูงมาก CFA-44 จำเป็นต้องเร่งความเร็วเต็มอัตราเพื่อทิ้งระยะห่าง แต่ดูเหมือนทุกอย่างเป็นไปตามแผนของ มิเกล วัลดัส เมื่อตัวจ่าฝูงเร่งความเร็วไล่กวด การเคลื่อนไหวของมันก็เดาไม่ยาก
ชั่ววินาทีนั่น VFX-0 ที่ ฮิคารุ ขับอยู่ ก็ได้ร่อนลงจากเมฆด้านบนตัวจ่าฝูงอย่างรวดเร็ว ก่อนเธอจะทำแอร์เบรคกระทันหัน ฮิคารุ กัดฟันแน่นในขณะที่ร่างกายรับแรง G- เมื่อหน้าจอแสดงความเร็วที่ 250 km/h เธอก็สับเกียร์ที่อยู่สุดขวามือของเธอ ข้อต่อส่วนต่างๆ ก็เคลื่อนที่ VFX-0 เปลี่ยนรูปร่างจากเครื่องบินรบมาเป็นหุ่นรบอย่างฉับพลันทำเอาผู้ที่เห็นต้องตกตะลึง เอเรียส ยิ้มที่มุมปาก "เอาเลย Lancelot 01 แสดงพลังของฝูงบิน Galahad ให้ทุกคนได้เห็นกันหน่อยเป็นไง" มาร์คัส ที่บินล่ออยู่ข้างหน้าไม่พูดอะไร ในขณะ วิมีน่า เบะปาก ดูท่าเธอจะหมั่นไส้ ฮิคารุ อยู่นิดๆ ที่โดดเด่นกว่าเธอ VFX-0 ใช้แขนทั้งสองข้างล็อคปีกของ Phoenixaurus ตัวจ่าฝูงเอาไว้จากด้านหลังก่อนจะใช้แรงขับลากมันไปด้วย
"เอาล่ะ มาดูกันว่าจ่าฝูงมีค่ากับพวกแกมากแค่ไหน" มิเกล วัลดัส พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
......................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:50:15 GMT
ระหว่างที่ฝูงบินกำลังทำการต่อสู้อยู่ด้านนอก
ในที่สุด Lancelot ก็มาถึงหน้าปากถ้ำ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลงจากรถอย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงใบไม้แห้งดังกร๊อบแกร๊บเท่านั้น ทุกคนสวมชุดปฏิบัติการซึ่งเหมือนชุดอวกาศที่มิดชิดทั้งตัว มีระบบหายใจ ระบบเสริมแรง และทุกคนสะพายเป้ใบใหญ่ไว้ พวกเขานำฉากเก็บเสียงที่เหมือนแผ่นปูนขนาดยักษ์มาปิดหน้าปากถ้ำ รูปร่างของมันแทบจะมีขนาดเท่ากับปากถ้ำ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทำการซีลขอบฉากทีงโค้งกับขอบถ้ำให้ไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ เหมือนการปิดอุโมงค์ก็ไม่ปาน ทั้งหมดเป็นแผนการปฏิบัติการที่ คามิโจ ฟุบูกิ ได้วางเอาไว้โดยอาศัยข้อมูลจาก ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ที่เขาได้รับฟังมา เมื่อกระบวนการเก็บเสียงเสร็จสิ้น พวกเขาก็เริ่มเปิดประตูที่อยู่ตรงกลางฉากพับยักษ์นั้นและเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ Lancelot ในชุดปฏิบัติการคล้ายชุดอากาศพร้อมอาวุธหน้าไม้ เข้าไปตั้งกระบวนแถวอย่างเป็นระเบียบด้านใน เท็ตสึยะ เปิด Night Vision ที่เป็น option ของหมวกปฏิบัติการ ในขณะที่ทุกคนก็เริ่มเปิดระบบนี้เช่นกัน และมองไปรอบๆ "เอาล่ะ ดูเหมือนทางเข้าจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ก็รับรู้ได้ถึงคลื่นความร้อนที่ออกมาจากด้านใน" เท็ตสึยะ พูด ถ้ำนั้นมีขนาดกว้างและสูงโปร่ง มันเป็นถ้ำที่อยู่ในภูเขา ทางเดินมืดมิดและลึกลงไปเรื่อยๆ พวกเขาไม่รอช้าในการเดินลงไป
แต่ทางด้าน อากาศ แจ่มใส ดูเหมือนเขาจะมีปัญหากับแขนกลข้างซ้ายซึ่งมันเคลื่อนที่ไม่ราบรื่น ติดๆ ขัดๆ เป็นบางจังหวะ เรล่า เดินมาสะกิดหลังเขาเบาๆ "แขนกลของคุณแจ่มใส ขัดข้องรึเปล่าคะ ดูเหมือนมันเคลื่อนไหวแปลกๆ อยู่นะคะ" อากาศ ส่ายหน้าแล้วยกนิ้วโป้งขึ้น "ไม่มีปัญหาหรอก ยังใช้การได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ เธอไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ สบายมาก" ไม่นานพวกเขาก็มาถึงความลึกที่ 799 เมตร เท็ตสึยะ ดูหน้าจอ LCD ขนาดเล็กที่ติดอยู่ที่ข้อมือ ก่อนจะพูดขึ้นว่า "เอาล่ะ ถ้าก้าวลงไปอีก 1 เมตร สัญญาณที่ห่วยลงนี้ก็จะขาดไปแน่นอน มีอะไรจะสั่งไหมครับ Lancelot Commander" เสียงติดต่อจาก ฟุบูกิ ก็ตอบกลับมาอย่างเริ่มขาดๆ หายๆ แต่พอจับใจความได้ว่า ไม่มีอะไรนอกจากขอให้ทุกคนโชคดี
จากนั้นไม่นานนัก กองกำลัง Lancelot ก็มาถึงส่วนที่เป็นรังของ Phoenixaurus มันอยู่ส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ อากาศภายในนั้นร้อนมาก มีไข่สีดำเงาจำนวน 20 กว่าฟองวางเอาไว้บนเศษหญ้าแห้ง บางใบก็ฟักตัวแล้ว "นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย ยังกับรังเอเลี่ยน" อากาศ บ่นขึ้นขณะเขาวางเป้ลงแล้วหยิบโครงบางส่วนออกมาวาง เรล่า ก็วางส่วนของเธอลงแล้วประกอบกับส่วนของอากาศ "ถ้าตามทฤษฎีแล้ว จะบอกว่าเป็นรังเอเลี่ยนก็ไม่ผิดนะคะ" จากนั้น เธอก็หยิบของอีกชิ้นออกจากกระเป๋า ก่อนจะนำแท่งโล่หะยาวสีเงินวาวนั้นไปแปะไว้กับผนังของถ้ำ มันคือระเบิดอานุภาพสูง ใช้ปุ่มกดระเบิด เนื่องจากสัญญาณวิทยุลงมาไม่ถึง ที่ตัวเธอจึงมีตัวส่งสัญญาณอยู่หลายชิ้น เรล่า จะต้องทิ้งตัวส่งสัญญาณไว้ตามทาง เป็นเหมือนสะพานเชื่อมสัญญาณสั่งระเบิดให้ออกไปถึงด้านนอก
"นั่นมันอะไรน่ะ" ซึบาสะ มองไปเห็นบางสิ่ง เมื่อทุกคนมองตามไปก็พบว่ามันเป็นกองโครงกระดูกที่สุมกันสูงกว่า 2 เมตร เรล่า ขมวดคิ้ว "นั่นคงเป็นกองขยะ เศษอาหารที่พวกตัวอ่อนกินหมดแล้วทิ้งเอาไว้ล่ะมั้งคะ....น่ากลัวจริงๆ" หลังจากที่ทุกคนประกอบชิ้นส่วนที่แบกมาด้วยกันจนเสร็จ มันก็คือรถเข็นมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเอาไว้บรรทุกของนั่นเอง หลังจากนั้น ก็เริ่มขนไข่ทรงกลมสีดำเงาเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 45c.m. ที่วางรวมๆ กันอยู่ขึ้นไปไว้บนรถเข็น แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ อะมาเทระ ซึบาสะ มองเห็นการเคลื่อนไหวในกองหญ้า "ทุกคน ระวังนะ ชั้นเห็น......" ซึบาสะ พูดยังไม่ทันจบดี Phoenixaurus ที่ยังโตไม่เต็มวัยก็โผล่ขึ้นมาจากกองหญ้า 5 ตัวด้วยกัน มันเริ่มส่งเสียงร้อง มันไม่ใช่ตัวแรกเกิด แต่เป็นตัวที่โตยังไม่เต็มที่ หน้าตารูปร่างมันเหมือนตัวเต็มวัยแล้ว แต่ขนาดของมันยังอยู่ที่ 3 เมตร
แม้เสียงร้องของตัววัยรุ่นจะดังมาก แต่มันก็ไม่สามารถผ่านกำแพงเก็บเสียงหน้าปากทางเข้าถ้ำที่ ฟุบูกิ สั่งให้ติดตั้งไปได้ ในวินาทีนั้น ชิเอล ก็ยิงลูกดอกอาบยาสลบเข้าไปปักที่ปีกด้านขวาของ Phoenixaurus อย่างแม่นยำ จนมันชะงักไป แต่ดูเหมือนว่าพิเศษยาสลบจะไม่สามารถทำอะไรมันได้เท่าไรนัก และมันหันมาไล่จิก ไล่ตะครุม ชิเอล อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เจ้าหน้าที่บางคนก็เริ่มทำการยิงตอบโต้ และบางคนก็ถูกกรงเล็บมันจิกเข้า เล็บของมันเจาะตัวจนทะลุ ก่อนจะเหวี่ยงเจ้าหน้าที่ผู้เคราะห์ร้ายกระเด็นหายเข้าไปในเงามืดพร้อมเสียงร้องอย่างทรมาน ก่อนเสียงนั้นจะหายไป
ส่วนทางด้านของ เบนจามิน ที่ไม่ได้สวมชุด แต่สวมเฉพาะหมวกเพื่อใช้หายใจ เขาใช้แขนต่อสู้คุ้มกันคนอื่นๆ ความโกลาหลเริ่มเกิดขึ้น เบนจามิน จึงพูดขึ้น "เราต้องไปแล้ว คุณโฮชิโซระ ช่วยบังคับรถเข็นที ผมจะคุ้มกันให้เอง" เมื่อทุกคนทราบคำสั่งก็หนีเอาตัวรอด ส่วนผู้ที่อยู่กับรถเข็นไฟฟ้าซึ่งกำลังขนไข่ออกไป คือ เท็ตสึยะ เรล่า และอากาศ Lancelot เสียกำลังคนไปอย่างรวดเร็ว เลือดและชิ้นส่วนของผู้เคราะห์ร้ายถูกฉีกกระจาย พวกมันกินชิ้นส่วนเนื้อแทบทุกชิ้น ราวกับว่าพวกนี้ไม่ค่อยจะได้กินเนื้อสัตว์แบบจริงๆ จังๆ เพราะพวกมันได้แต่กินเศษเนื้อที่ตัวเต็มไว้เหลือทิ้งไว้ให้แค่นั้น นี่ยังถือว่าโชคดีที่พวกตัวเต็มวัยจะไม่ค่อยเข้ามาในรัง ส่วนมากพวกมันจะหาที่พักตามต้นไม้ใหญ่ด้านนอกเสียมากกว่า
ทันใดนั้น Phoenixaurus ตัววัยแรกรุ่น ก็ไล่เข้ามาใกล้ Lancelot ที่วิ่งรวมกันไปกับรถเข็นไฟฟ้า และมันก็เริ่มจิก เบนจามิน หันกลับไป เขาใช้แขนที่เป็น Exoskeleton ทั้งสองข้างปัดป้องการโจมตีแทนเจ้าหน้าที่คนอื่น ระหว่างที่ เบนจามิน กำลังต่อสู้กับ Phoenixaurus ตัวที่ไล่โจมตีขบวนรถเข็น ทุกคนก็วิ่งขึ้นไปถึงกลางถ้ำ แต่ก็มี Phoenixaurus ตัวที่สองพุ่งเข้าใส่ เรล่า เมื่อ อากาศ เห็น เขาโยนหน้าไม้ทิ้งไป แล้วกระโดดเข้าใส่มันทันที เขาใช้ขาซ้ายซึ่งเป็น Exoskeleton เตะขาจน Phoenixaurus ล้มลง แล้วกระโดดขึ้นคร่อมรัวหมัดใส่ส่วนหัวไม่ยั้ง แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมี Phoenixaurus ตัวที่สามโผล่จากเงามืดทางด้านหลังของ อากาศ เข้าจู่โจม เขาพยายามหันมาเพื่อใช้แขนกลข้างซ้ายเพื่อตบหลังมือ แต่แกนเหล็กขัดกับข้อต่อ ทำให้เขาขยับมันไม่ได้ "ไอ้บ้าเอ้ย ระวัง!!!" เท็ตสึยะ ตะโกนขึ้นขณะเขายิงลูกดอกพลาด "ฉึก!!!" วินาทีต่อมา เลือดก็สาดกระเซ็นเต็มพื้น
ชุดปฏิบัติการของ อากาศ แจ่มใส เปื้อนเลือดที่สาดกระเซ็นไปครึ่งซีก......
แต่นั่นกลับไม่ใช่เลือดของเขา ภาพที่สะท้อนด้วยแสง Nightvision ภายในดวงตาของ อากาศ นั้นหดหู่ใจยิ่ง เมื่อมันเป็นภาพของ เรล่า ผู้เอาตัวมาบังการจู่โจมแทน อากาศ ถูกจะงอยปาก Phoenixaurus งับเข้าที่ไหล่ขวา ด้วยขนาดของจะงอยปากยาวร่วม 40 เซ็นติเมตร และคมกริบ ทำให้ช่วงไหล่ของ เรล่า ขาดออกจากลำตัว เลือดของเธอพุ่งกระฉูด ใบหน้าของเธอแสดงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด แต่แววตาของเธอกลับดูพอใจกับมัน
เธอพูดแบบติดๆ ขัดๆ "ถ่ะ.....เท่านี้.....เรา....กะ....ก็....หายกัน...แล้ว...นะคะ....อยู่ต่อ....ไปแทน....ชั้นด้วย" อากาศ ที่กำลังอึ้งพูดอะไรไม่ออก เขาได้แต่ยืนดู Phoenixaurus งับ เรล่า เป็นหนที่สองกลางลำตัวพอดี คราวนี้ร่างของเธอเหลือเพียงครึ่งท่อนบนกับช่วงไหล่ซ้ายลงไปเท่านั้น และร่างก็ล้มลง "ม่ายยย!!!" อากาศ ตะโกนลั่น เขากระโดดเข้าไปชกหัวของ Phoenixaurus จนเซ ก่อนที่ ชิเอล และ เบนจามิน จะวิ่งตามขึ้นมาได้ทัน ชิเอล กระโดนไต่หลังของ Phoenixaurus วันแรกรุ่นตัวสุดท้ายก่อนจะแทงมันด้วยลูกดอกตรกลางหลัง จากนั้น เบนจามิน ก็กระโดดตาม ชิเอล ขึ้นไป เขาทุบลูกดอกที่ปักคาอยู่ครึ่งหนึ่งลงไปจนมิด ทำให้มันสิ้นใจตาย
อากาศ พยายามกลับลงไปยังเศษร่างของ เรล่า แต่ เบนจามิน กระชากและลากตัวเขาให้วิ่งหนีกลับขึ้นมาแทน
......................................................................................
ไม่นานนัก Lancelot ที่เหลือราว 16 คนก็วิ่งมาถึงทางออก
ดูเหมือนว่าพวก Phoenixaurus วัยรุ่นที่ยังต้องอยู่ในถ้ำจะไม่กล้าตามพวกของ เบนจามิน ออกมาถึงปากถ้ำ เท็ตสึยะ รีบเปิดท้ายรถบรรทุก แล้วขนไข่จากรถเข็นไฟฟ้าร่วม 24 ฟอง ขึ้นไปไว้ในตู้คอนเทนเนอร์สัมภาระ ส่วน เบนจามิน และ ชิเอล ช่วยกันลากตัว อากาศ ขึ้นไปบนส่วนกลางของตัวรถซึ้งเป็นตำแหน่งนั่งของพวกเขา เบนจามิน เห็นว่า อากาศ มีภาวะอารมณ์ที่โมโหจนเลือดขึ้นหน้า อาจควบคุมตัวเองไม่อยู่และอาจก่อความวุ่นวาย เขาจึงต้องหยุด อากาศ เอาไว้ด้วยชกเข้าไปที่หน้าท้อง อากาศ แจ่มใส ล้มลงก่อนเขาจะใช้กุญแจมือล็อคไว้กับที่นั่ง ในขณะที่ ฟุบูกิ เปิดประตูเชื่อมส่วนหัวมายังส่วนท้ายเห็น อากาศ นั่งตัวงอเพราะกำลังจุก "เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ" ชิเอล ส่ายหน้า เบนจาบิน จึงตอบออกไปแทน "เราไปเจอ Phoenixaurus วัยรุ่นข้างในนั้น...เจ้าหน้าที่ตายเยอะ"
ฟุบูกิ ตกใจมาก เขาจึงรีบวิ่งไปที่ท้ายรถบรรทุกซึ่ง เท็ตสึยะ กับคนอื่นๆ กำลังขนไข่ขึ้นไปไว้ในตู่คอนเทอเนอร์ "เหลือรอดมาแค่นี้หรอครับรุ่นพี่ เรล่า กับ ซึบาสะ ไปไหนล่ะ แล้วการติดตั้งระเบิดเป็นยังไงบ้าง" ฟุบูกิ ถามขึ้น เท็ตสึยะ หันกลับมาส่ายหน้า "เรล่า ไม่รอด ระบบการระเบิดเธอเป็นคนรับผิดชอบ ดูท่าคงต้องให้ฝูงบินมาถล่มแทน" "ส่วนแม่สาวน้อย อะมาเทระ ซึบาสะ ก็น่าจะอยู่แถวนี้นี่นา....ว่าแต่เธอหายไปไหนนะ... " เขาพูดจบก็ช่วยมองหา
แต่ ซึบาสะ กลับไม่ได้อยู่ที่นั่น ทันใดนั้น ฟุบูกิ ก็เหลือบเห็นอะไรบางอย่างหล่นอยู่บนกระบะของรถเข็นไฟฟ้า มันเป็นเครื่องส่งสัญญาติดตามตัวของ อะมาเทระ ซึบาสะ ตกหล่นอยู่ "แย่ล่ะสิ ซึบาสะ และคนอื่นๆ ยังอยู่ในนั้น...." "จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้" ฟุบูกิ พูดขึ้น แต่ เท็ตสึยะ ก็ขัดขึ้น "แต่ท่านครับ ภารกิจต้องดำเนินต่อไปนะครับ" "ท่านต้องพาพวกเราไปยัง Drone ขนส่ง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ฝูงบินคุ้มกันถอนตัว และทำลายรังของมัน!!" "อีกอย่าง ถึงท่านจะกลับลงไป อะมาเทระ ซึบาสะ ก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้...มันไม่มีประโยชน์ ท่านจะตายเปล่า"
ฟุบูกิ มองหน้า เท็ตสึยะ ด้วยแววตาที่จริงจัง "ภารกิจต่อจากนี้ผมเชื่อว่าคุณสั่งการแทนผมได้ ภารกิจต้องดำเนินต่อไป" "แต่ผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์ก เคยพูดไว้ว่า ชีวิตของลูกน้องอยู่ในหน่วยเป็นความรับผิดชอบของผู้บังคับการ...ซึ่งก็คือผม" "การลงไปช่วย ซึบาสะ จึงต้องเป็นหน้าที่ของผมคนเดียวเท่านั้น...จะปล่อยให้เธอตายไปเสียเฉยๆ ไม่ได้เด็ดขาด!!" เมื่อ ฟุบูกิ พูดจบ เท็ตสึยะ ก็ถอนหายใจ "เข้าใจแล้วครับ...ท่านคงเป็นห่วงเธอมาก" เขายืนปืนหน้าของเขาไปให้ ฟุบูกิ "ถ้าพวกคุณถึง Drone ขนส่งแล้วล่ะก็....แจ้งให้ทางฝูงบินระเบิดถ้ำนี้ทิ้งได้เลยไม่ต้องห่วงผม" ฟุบูกิ พูดก่อนจะหันหลัง "ขอให้ท่านโชคดี" โฮชิโซระ เท็ตสึยะ ทำวันทยาหัตถ์ในขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ พร้อมจะออกเดินทางแล้ว
ฟุบูกิ เปิดประตูฉากกันออกและก้าวลงไปในถ้ำ "ขอให้เธออย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ..... ซึบาสะ!! จะไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้ล่ะ!!"
つづく.
|
|