|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:53:11 GMT
EP6 : Beyond My Destiny ท่ามกลางความมืดมิด
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นปูนฉาบเรียบดังเป็นจังหวะมาตามทาง มันดังขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ไฟหน้าห้องขังเปลี่ยนเป็นสีเขียว ประตูเหล็กที่ปิดอยู่ชั้นนอกห้องขังของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ได้เลื่อนเปิดออกพร้อมกับเสียงกดสวิตช์เปิดไฟด้านนอกห้องขัง ริงเก็ต ที่นั่งอยู่บนเตียง หนวดเคราเริ่มรกรุงรังมองไปยังผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า "มาทำอะไรที่นี่ครับ...ท่านผู้บัญญชาการ" โนเอมี เฮ็นดริกส์ ยืนกอดอกมองผ่านลูกกรงตรงมายัง ริงเก็ต ก็ตอบขึ้น "ท่านประธานาธิบดีมีคำสั่งให้ปล่อยตัวคุณค่ะ" ทันใดนั้น กรงเหล็กชั้นในก็ปลดล็อคและเลื่อนออก แต่ ริงเก็ต ยังคงนั่นอยู่เหมือนเดิม "หึ!!...ไปพูดอิท่าไหนมาล่ะครับท่าน...." ริงเก็ต ยังไม่ทันพูดจบ เฮ็นดริกส์ ก็พูดแทรกขึ้นทันที "ไม่ต้องเรียกท่านก็ได้ค่ะ....อาจารย์รีเซ็นเบิร์ก ที่นี่มีแต่เราสองคนเท่านั้น" "เธอนี่ยังเป็นเหมือนเดิมเลยนะ แม้ว่าจะมีตำแหน่งใหญ่โต ก็ยังคงทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจอยู่วันยังค่ำ" ริงเก็ต พูดพร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อย
โนเอมี เฮ็นดริกส์ ยิ้มบางๆ "นั่นก็เพราะอาจารย์สอนดิชั้นมาดียังไงล่ะคะ....แต่ถึงจะได้รับอิสระ อาจารย์ก็ยังคงถูกพักงานอยู่นะคะ" ริงเก็ต พยักหน้ารับ "นั่นมันก็สมควรอยู่นะ อีกอย่าง....ชั้นในตอนนี้คงไม่มีอะไรจะต้องทำอีกต่อไปแล้ว ต่อไปก็คงหายใจทิ้งไปวันๆ" "ภารกิจนั้นยังไม่ลุล่วง...ไม่แน่ว่า คามิโจ ฟุบูกิ อาจจะทำไม่สำเร็จเหมือนอย่างที่อาจารย์เคยทำพลาดมาก็ได้นะคะ" เฮ็นดริกส์ พูด แต่ ริงเก็ต กลับยิ้มออกมา "ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้หรอก โนเอมี .... หมอนั่นไม่มีวันจะล้มเหลวเหมือนอย่างชั้นแน่นอน" "ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะคะ อาจารย์....จากการประเมินของเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างก็เห็นว่าไม่รอด" เฮ็นดริกส์ ถามด้วยความสงสัย ริงเก็ต ลุกขึ้นและเดินมายืนข้างๆ โนเอมี เฮ็นดริกส์ "ก็เพราะว่าหมอนั่นไม่เหมือนกับชั้น....หมอนั่นไม่ใช่คนที่กลัวความตายแบบชั้น" "อันที่จริงเมื่อ 5 ปีก่อน ชั้นควรจะเป็นคนที่เข้าไปในนั้นมากกว่าคนอื่น แต่ชั้นกลับไม่มีความกล้ามากพอ....ความกล้าที่หมอนั่นมี"
"ความกล้าที่แสดงออกมาจากแววตา แสดงถึงความพร้อมในการสละชีวิตของตัวเองเพื่อทำให้ภารกิจลุล่วง และปกป้องทุกคนเอาไว้"
..........................................................................
ภายในรังของ Phoenixaurus
ฟุบูกิ กำลังวิ่งฝ่ากองเศษซากชิ้นส่วนของมนุษย์รวมไปถึงกองเลือดจำนวนมาก แววตาของเขาบ่งบอกเศร้าในจิตใจออกมาชัดเจน เขารู้สึกแค้นตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือลูกทีมที่ตายในถ้ำแห่งนี้ได้ เขาทำได้เพียงนั่งรอพวกเขาเหล่านี่นตายไปทีละคนเท่านั้น สายตาที่มองผ่าน Night Vision จากหมวกนักบินของ คามิโจ ฟุบูกิ กำลังกวาดไปรอบๆ เพื่อนหาผู้รอดชีวิตที่อาจหลงเหลืออยู่ จนในที่สุดเขาก็เข้ามาถึงส่วนลึกที่สุดของถ้ำ มันมีเลือดและซากศพกระจัดกระจายอยู่เต็มไปทั่ว ฟุบูกิ เดินไปสำรวจที่ผนังถ้ำ มันเป็นระเบิดแรงอัดสูงที่ใช้การไม่ได้แล้ว เพราะระบบจุดระเบิดสูญหายไปกับ เรล่า ประกอบกับตามทางที่เข้ามาก็ไม่พบศพของเธอ
"ซึบาสะ เธอหายไปไหนของเธอนะ" สิ่งที่ ฟุบูกิ ลำพันออกมา มันแสดงให้รู้ว่าเขาก็ยังไม่พบศพของ ซึบาสะ ระหว่างทางเช่นกัน คามิโจ ฟุบูกิ ตัดสินใจเดินวนไปรอบๆ เพื่อมองหาขอบเขตรอยเท้าจากพื้นซึ่งเป็นฝุ่นสีเทา และหาทิศทางที่รอยเท้าไปไกลที่สุด จนในที่สุดเขาก็พบรอยเท้าขนาดเล็ก "ไม่ทิ้งน้ำหนักไปที่ปลายเท้า แสดงว่าไม่ได้วิ่ง ยังดีที่ไม่มีรอยเท้าของนกบ้านั่นตามไป" ฟุบูกิ เห็นดังนั้นก็ไม่ลังเล เขาตั้งปืนหน้าไม้ขึ้นพร้อมยิงเล็งไปด้านหน้าของตัวเอง และเดินตามรอยเท้านั้นไปด้วยความระมัดระวัง
ภายในถ้ำมีโพรงแยกมากมาย แต่รอยเท้าที่เขาสะกดรอยตามมาบ่งบอกว่าเจ้าของรอยเท้าได้เดินสำรวจถ้ำแบบไม่มีจุดหมาย เมื่อเดินมาครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบเจ้าของรอยเท้านั่งกองอยู่กับโครงกระดูกมากมาย และมีเศษชิ้นส่วนของชุดนักบินระเกะระกะ สิ่งที่เขาเห็นคือ นักบินคนหนึ่งนั่งพับเพียบหันหลังให้ เธอกำลังก้มมองดูอะไรบางอย่าง Tag ชื่อของเธอคือ อะมาเทระ ซึบาสะ "ซึบาสะ!! เธอเป็นอะไรรึเปล่า" ฟุบูกิ รีบวิ่งเข้าไปหา เขานั่งลงพร้อมกับใช้มือขวาแตะไปที่ไหล่ซ้ายของ ซึบาสะ เบาๆ "คุณพ่อ....คุณพ่อตายที่นี่....." ซึบาสะ หันหน้ากลับมา น้ำตาของเธอคลอเบ้า เหมือนเธออยากร้องไห้แต่เธอกลับร้องไม่ออก ในมือของเธอนั้นก็คือ Tag ชื่อที่ฉีกขาดออกจากชุด มันเป็นชื่อของ มานูเอล วัลดัส และเธอเมื่อเห็น ฟุบูกิ เธอก็เริ่มร้องไห้ออกมา ฟุบูกิ นั่งลงข้างๆ ซึบาสะ เขาใช้แขนขวาโอบไหล่ของ ซึบาสะ เอาไว้ "เธอทำดีที่สุดแล้ว...ท่านต้องภูมิใจแน่ แต่เราต้องไปกันแล้ว" "ไม่!! ชั้นจะไม่ไปไหนทั้งนั้น...." ซึบาสะ ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ปนการสะอึกสะอื้น เธอปัดมือของ ฟุบูกิ ออกจากไหล่ของเธอ
ฟุบูกิ ขมวดคิ้ว ก่อนจะใช้มือทั้งสองจับหน้าของ ซึบาสะ ให้หันมาสบตากัน "นี่!! ซึบาสะ!! ฟังที่ชั้นจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ นะ" "คุณพ่อของเธอตายที่นี่ทำไม!!?... ไม่ใช่เพราะต้องการสร้างอนาคตความเป็นอยู่ของเธอให้ดีขึ้นกว่าเดิมหรอกรึไง ฮะ!!" "ถ้าดวงวิญญาณของท่านยังมีอยู่จริง แล้วท่านเห็นเธอมานั่งร้องไห้สิ้นหวังอยู่ตรงนี้ เธอคิดว่าท่านจะรู้สึกยังไงกัน ซึบาสะ!!" "ท่านอุส่าห์ทุ่มเททุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตของท่าน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการที่ลูกสาวสุดที่รักมานั่งรอความตายต่อหน้างั้นหรอ" คำพูดของ ฟุบูกิ ดูเหมือนจะทำให้ ซึบาสะ คิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง เธอตอนกลับเบาๆ "นั่นสินะ...เรา....ไปกันเถอะ....ขอบคุณนะ" ฟุบูกิ ยิ้มบางๆ "ไม่ต้องขอบคุณชั้นหรอก ซึบาสะ...เธอต้องขอบคุณพ่อของเธอที่ทำเพื่อความสุขของเธอจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต" จากนั้น ฟุบูกิ ค่อยๆ ประคอง ซึบาสะ ให้ลุกขึ้น ทั้งสองเริ่มหันหลังเพื่อเดินกลับออกจากถ้ำ "ซึบาสะ...เราต้องรีบหน่อยแล้ว"
ทั้งสองเริ่มวิ่งย้อนกลับตามรอยเท้าที่เดินมา แต่แล้วก็ต้องมาหยุดที่โถงวางไข่ เมื่อ Phoenixaurus วัยแรกรุ่นตัวหนึ่งมายืนขวางทาง มันเป็น Phoenixaurus ที่มีลูกดอกปักอยู่เต็มตัว และมีรอยช้ำราวกับถูกของแข็งชกที่ใบหน้า "ซวยล่ะสิ" ฟุบูกิ พูดขึ้นเบาๆ
..........................................................................
เหนือถ้ำขึ้นไปบนน่านฟ้า
CF-44 ของฝูงบิน Galahad Bors และ Lamorak กำลังบินต่อสู่กับฝูง Phoenixaurus ราวๆ 30 - 40 ตัวเป็นอย่างน้อย โดยฝูง Phoenixaurus ราวๆ 20 ตัวกำลังบินไล่ล่า VFX-0 Phoenix Prototype ที่จับตัวจ่าฝูงของพวกมันเอาไว้ ฮิคารุ พาตัวจ่าฝูงบินวนไปรอบๆ เพื่อลากฝูงของพวกมันให้บินตามมา เป็นการหลอกล่อและลดการปะทะที่เพื่อนๆ จะต้องรับมือลง ในขณะที่ มาร์คัส เอเรียส และ วิมีน่า บน CFA-44 ต้องต่อสู้กับตัวที่ตรงเข้ามาโจมตี พร้อมกับยิงสนับสนุน VFX-0 ไปด้วย วิมีน่า ซึ่งกำลังบินตามคุ้มกัน VFX-0 เธอเล็งและยิงสะกัด Phoenixaurus ตัวหนึ่งที่เข้าโจมตี ฮิคารุ ด้วยกระสุนปืนกล "เป็นอาวุธที่น่าทึ่งมาก Valkyria Unit สามารถใช้หุ่นรบได้กลางอากาศแถมมีความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่า CFA-44 ซะด้วย" เมื่อพูดจบ ก็มีกระสุนปืนกลเฉี่ยวหน้าเครื่องของ วิมีน่า ไปเล็กน้อย ก่อนที่มันจะเข้าปะทะ Phoenixauris ที่กำลังโผเข้ามา
จากนั้น เอเรียส ในเครื่อง Galahad 03 ก็บินโฉบผ่านไป "อย่าเหม่อสิ Galahad 04 ให้ชั้นยิงช่วยเธอทุกครั้งไม่ได้หรอกนะ" วิมีน่า ทำหน้าบึ้งๆ ก่อนจะหันหัวเครื่องตาม เอเรียส แล้วยิงปืนกลตามไป 1 ชุด กระสุนนั้นผ่านเครื่องของ เอเรียส ไปเล็กน้อย ก่อนที่มันจะเข้าปะทะ Phoenixaurus ที่โฉบลงมาขวางหน้า Galahad 03 จนร่วงลงไป เอเรียส ผวานิดๆ ก่อนจะเริ่มตั้งลำได้ วิมีน่า หันหัวเครือ่งกลับไปคุ้มกัน VFX-0 และพูดขึ้นว่า "นายก็อย่าเหม่อให้มากนะ ชั้นเองก็ไม่อยากช่วยนายบ่อยๆ เหมือนกัน" "หนวกหูโว้ย!!" เสียง มาร์คัส ดังขึ้นจนทั้งสองต้องหันไปมอง Galahad 02 บินฉวัดเฉวียนด้วยความเร็วสูงพร้อมกับสาดกระสุน มาร์คัส สามารถยิง Phoenixaurus จนร่วงลงไปได้รวดเดียวถึง 3 ตัว แต่กลับกันที่นักบินคนอื่นๆ ประสบปัญหาอย่างหนัก ด้วยความคล่องแคล่วของ Phoenixaurus มันเคลื่อนที่ได้อิสระกว่า CFA-44 มาก จึงฉีก CFA-44 ออกเป็นชิ้นๆ ไปหลายลำ Bors และ Lamorak เสียนักบินไปมากกว่า 46% แม้ Galahad เพิ่งเสียนักบินไปเพียง 10% เท่านั้น สภาพโดยรวมเริ่มย่ำแย่
และสถานการณ์เริ่มแย่หนักขึ้นไปอีก เมื่อตัวจ่าฝูงสามารถสลัดหลุดจากการจับกุมตัวของ VFX-0 ของ ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ ไปได้ มันสะบัดจน VFX-0 กระเด็นออกไป ฮิคารุ กัดฟันเกร็งร่างกายต่อสู้กับแรง G ก่อนที่เธอจะ Shift กลับมาอยู่ในโหมดเครื่องบินได้ ตัวจ่าฝูงไม่รอช้า มันบินวกกลับมาโจมตีใส่ Galahad 01 การดวลกันระหว่าง VFX-0 และพญาอินทรีอมตะก็เริ่มขึ้นกลางเวหา ฮิคารุ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการหลบหลีก ประสานกับการฝึกซ้อมอย่างหนักที่ผ่านมา เธอบินหลบไปมาอย่างคล่องแคล่ว และใช้ Shape-Shifting เป็นหุ่นรบในขณะที่ต้องการเปลี่ยนวิถีการบินอย่างฉับพลัน ทำให้เธอยังพอรับมือกับตัวจ่าฝูงตัวนี้ได้ แต่ ฮิคารุ ก็รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี เพราะเธอก็รับแรง G ต่อไปอีกได้ไม่มากนัก "แบบนี้ไม่ไหวแน่ Galahad Commander!!" "ทาง Lancelot ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว!! ต้องรีบทำลายรังมันแล้วถอนทัพแล้วนะคะ!! ชั้นรับมือมันนานกว่านี้ไม่ได้แน่" ฮิคารุ พูด
มิเกล ซึ่งฟังอยู่ที่ห้องบัญชาการบนรถบรรทุก เขามองการสู้รบอยู่ก็ตอบกลับไป "รับทราบ Galahad จัดกระบวนทัพ Delta ยื้อไว้ก่อน" หลังจากนั้น มิเกล วัลดัส ก็กดช่องสื่อสารไปหา Lancelot และก็ได้รับการตอบกลับ "นี่ Lancelot เชิญว่ามาเลย Galahad" ทันทีที่ได้ยิน มิเกล ก็รู้ทันทีว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของ คามิโจ ฟุบูกิ "Lancelot Commander ล่ะ ทำไมเขาไม่มาอยู่ในสาย" "ขออภัยด้วย Galahad ขณะนี้.....ท่านผู้บังคับการคามิโจ ลงไปช่วยเจ้าหน้าที่ อะมาเทระ ซึบาสะ ที่ติดอยู่ในถ้ำขณะปฏิบัติการ..." มิเกล ถึงกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน "ว่าไงนะ!!!.....แล้วพวกคุณกำลังทำบ้าอะไรกันอยู่!! ทางผมเริ่มจะรั้งพวกมันเอาไว้ไม่ไหวแล้วนะ" "ขออภัยด้วยครับ กระผมโฮชิโซระ เท็ตสึยะ กำลังรับหน้าที่สั่งการ พวกเราได้สัมภาระแล้ว กำลังเดินทางไปยังจุดนัดพบตามแผน" "ส่วนเรื่องการทำลายถ้ำทางเราเกิดเหตุผิดพลาดขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมระเบิดหายสาบสูญ จึงต้องรบกวนพวกคุณแล้วงานนี้" "คือว่า....ผมมีอะไรอยากจะขอร้องผู้การวัลดัส สักเรื่องหนึ่งน่ะครับ....ช่วยชะลอเวลาทำลายถ้ำจนกว่าพวกเราจะถึงจุดนัดพบด้วย..." มิเกล มองดูเวลาที่นาฬิกาดิจิตอลของตน "เจ้าหน้าที่โฮชิโซระ จำเอาไว้ว่าคุณมีเวลาอีก 32 นาที ไม่ว่าพวกคุณจะถึงที่หมายหรือไม่"
"ผมจะทำลายเป้าหมายทิ้งทันที....เพราะมันเป็นเส้นตายของภารกิจทำลายถ้ำนั่น!!" มิเกล พูดจบก็กดปิดสัญญาณสื่อสารไป
..........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:55:05 GMT
การเผชิญหน้าระหว่าง ฟุบูกิ และ ซึบาสะ กับ Phoenixaurus ภายในถ้ำ
ฟุบูกิ จ้องมอง Phoenixaurus ในขณะที่มันก็จ้องมากลับมาเช่นกัน ฟุบูกิ ก้าวขาออกด้านข้างเพื่อบัง ซึบาสะ เอาไว้ "ซึบาสะ....ปิดระบบ Night Vision ของเธอซะ เพราะแสงเลเซอร์ กับแสงปรับวิสัยทัศน์จะทำให้มันเห็นเธอได้อย่างชัดเจน" "และขอให้เธออยู่นิ่งๆ ห้ามขยับตัว จากผลงานวิจัยของ Minos ชี้ชัดว่ามันใช้สายตาในการมอง แต่ก็ได้ยินเสียงเช่นกัน" ซึบาสะ พูดขึ้นทันทีว่า "แล้วเธอล่ะ" ฟุบูกิ หันกลับไปยิ้มบางๆ "ทำตามที่ชั้นบอก เชื่อใจชั้น ชั้นจะปกป้องเธอเอง..." ซึบาสะ พยักหน้า ก่อนที่เธอจะปิดระบบ Night Vision แล้วใช้ Tag ชื่อของพ่อเธอ ปิดแสงของชุดที่อยู่บริเวณอกซ้ายเอาไว้
ฟุบูกิ ตั้งท่าพร้อมต่อสู้ เขาเล็งหน้าไม้ไปที่ Phoenixaurus หางตาของเขาเหลือบไปเห็นบางอย่างทางขวามือ มันคือร่างของ Phoenixaurus วัยแรกรุ่นขนาดพอๆ กับเจ้าตัวที่อยู่ตรงหน้า มันถูกยิงเข้าเบ้าตา นอนตายแน่นิ่งอยู่ตัวหนึ่ง ทำให้เขารู้ทันทีว่าพิษจากลูกดอกไม่สามารถฆ่ามันได้ การยิงจุดอื่นก็เช่นกัน และมีจุดเดียวที่สามารถโค่นมันลงได้ก็คือเบ้าตา ชั่วอึดใจ เขาก็ลั่นไลออกไป ลูกดอกจากหน้าไม้พุ่งเข้าหาเบ้าตาของ Phoenixaurus มันสามารถเจาะทะลุเข้าไปสู่สมองได้ แต่ Phoenixaurus กลับใช้ปีกกางขึ้นมากันเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่ ฟุบูกิ ด้วยความเร็วที่สูงเหลือเชื่อ แม้ว่า ฟุบูกิ ฉากหลบการโจมตีด้วยจะงอยปากไปทางด้านซ้ายได้ แต่ปีกของมันก็ตบตามน้ำเข้ามาใส่เขาเข้าอย่างจัง หน้าไม้ซึ่งเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวของ ฟุบูกิ หลุดลอยกระเด็นไปตกที่พื้นห่างจากตัวเขาร่วม 6 เมตร และเขาก็ล้มลง
ฟุบูกิ กัดฟันลุกขึ้น ดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย "บ้าชิบ....เป็นไงเป็นกันล่ะงานนี้ ชั้นไม่มีเวลามาเล่นกับแกนะ" เขาเปิดแผงควบคุมชุดที่หน้าแขนด้านในของแขนซ้ายขึ้นมาก่อนจะกดเข้า System Setting อย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะสายเกินไป จากนั้นเขาก็ไปที่ Power Stimulator จากเดิมแสดงผลอยู่ที่ 43% ฟุบูกิ ใช้นิ้วรูดแถบตั้งค่าไปทางขวามือจนสุด มันแสดงผล 100% "อ๊ากกกกกกก" ฟุบูกิ ร้องลั่นทำเอา ซึบาสะ ตกใจจนเปิด Night Vision ขึ้นมาดู ทำให้ Phoenixaurus หันไปทางหล่อนทันที ในขณะนั้น กระแสไฟฟ้าที่ปกติจะกระตุ้นกล้ามเนื้อเบาๆ เพื่อให้ผู้สวมใส่มีแรงมากขึ้นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่บนแรงโน้มถ่วงจริง ได้ทำงานเต็มอัตรา โดยปกติแล้วถือเป็นเรื่องต้องห้าม การตั้งค่า 100% มีไว้สำหรับทดสอบการทำงานของชุดก่อนสวมใส่เท่านั้น ทำให้ร่างกายของ ฟุบูกิ ได้รับกระแสไฟฟ้าของระบบ Power Stimulator ไปเต็มพิกัด เขาจึงร้องออกมาราวกับโดนไฟแรงสูงดูด
ขณะนั้นเอง Phoenixaurus ก็พุ่งเข้าชาร์จใส่ ซึบาสะ ซึ่งกำลังยืนผวา แต่วินาทีนั้นเอง ฟุบูกิ ก็กระโดดเข้าชนมันจากด้านข้าง เขาใช้แขนสองข้างคว้าคอของมันไว้จนกระเด็นไถลไปกับพื้นด้วยกัน "อย่า....เข้ามา....นะ ซึบาสะ....รีบ...หนีไป...เร็วเซ่" "ไม่!! ชั้นจะไม่หนีไปไหน....จะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีนายไปด้วย!!" ซึบาสะ ตะโกนขึ้นขณะรีบวิ่งไปหยิบหน้าไม้บนพื้น Phoenixaurus มีโครงสร้างที่ไม่สามารถรับกำลังไฟฟ้าได้มากมายนัก มันดิ้นไปดิ้นมาอย่างแรงอยู่พักหนึ่งก่อนจะหมดฤทธิ์ลง ซึบาสะ เห็นดังนั้น เธอจึงรีบวิ่งเข้ามา ใช้ลูกดอกอันหนึ่งซึ่งเก็บจากพื้น แทงเข้าไปที่บริเวณด้านหลังชุดนักบินของ ฟุบูกิ ทันที เธอรู้ดีว่าระบบเสริมแรงถูกติดตั้งอยู่บริเวณนั้น จึงต้องการหยุดการทำงานของมัน และเธอก็ทำได้สำเร็จ ฟุบูกิ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้น ซึบาสะ ก็พะยุ ฟุบูกิ ให้ลุกขึ้น ฟุบูกิ ที่ปราศจากระบบเสริมแรง ทำให้เขาต้องแบกรับน้ำหนัก 2 เท่า รวมทั้งน้ำหนักชุดอีกด้วย เขาจึงลุกขึ้นค่อนข้างลำบาก ในขณะที่ ซึบาสะ เล็งหน้าไม้ไปที่เบ้าตาของ Phoenixaurus ราวกับเธอรู้ว่าคือจุดอ่อนของมัน
แต่ ฟุบูกิ กลับใช้มือของเขากดหน้าไม้ของ ซึบาสะ ลง "อย่าฆ่ามันเลย ซึบาสะ....ชั้นรู้ว่าในใจของเธอเต็มไปด้วยความแค้น" "ถ้าเธอฆ่ามัน ความแค้นในใจของเธอมันก็ไม่ได้ลบเลือนไป แต่มันจะกลับตอกย้ำความรู้สึกชอกช้ำของเธอให้มากขึ้นกว่าเก่า" "แต่ถ้าเธอปล่อยวางความแค้นและเรื่องในอดีตไปได้ มันก็จะเหลือแต่ความทรงจำดีๆ ในใจของเธอ...ก้อนหินยิ่งบีบก็ยิ่งเจ็บ..." "และยิ่งเธอพยายามกระแทกมันให้แตกออก มือของเธอเองก็จะยิ่งเจ็บมากขึ้น...วางมันลงแล้วรีบหนีออกจากที่นี่กันเถอะ ซึบาสะ..."
ฟุบูกิ มองไปที่ดวงตาของ Phoenixaurus ที่มองเขาอยู่ "เจ้านี่เองคงไม่ได้มีเจตนาทำร้ายพวกเรา ถ้าไม่เพราะพวกเราบุกเข้ามา" เขาก้มลงดึงลูกดอกที่ปักตัวมันอยู่ออกมาทีละอันสองอัน "ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรา เจ้านี่ก็อาจจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องมาตายวันนี้" หลังจากที่ฟัง ฟุบูกิ พูดจบ ซึบาสะ ก็วางปืนลง เธอพยักหน้า "ชั้นจะพยายามทำตามที่นายพูดดูสักครั้ง....งั้นเราไปกันเถอะ" ทว่าเมื่อ ซึบาสะ เริ่มก้าววิ่ง ฟุบูกิ กลับไปก้าวตามเธอ "เธอไปเถอะ ชั้นคงหนีออกไปไม่ทัน ชุดมันหนักเหลือเกิน เวลาก็จะหมดแล้ว"
"แต่ว่า...โอ้ว....ไม่นะ..." ก่อน ซึบาสะ จะพูดจบ เจ้า Phoenixaurus ด้านหลังของ ฟุบูกิ กลับเริ่มลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ อีกครั้ง
..........................................................................
ผ่านไป 32 นาที
ฝูงบิน Galahad Bors และ Lamorak เริ่มถึงขีดจำกัด พวกเขาเสียนักบินไปหลายนาย แถมบางลำก็เสียหายอย่างหนัก มิเกล ละสายตาจากนาฬิกา "เอาล่ะ Galahad เราจะถอนตัวออกจากภารกิจ Galahad 02 เริ่มปฏิบัติการทำลายถ้ำได้เลย" ท่วา วิมีน่า กลับพูดสวนขึ้นมา "ไม่ได้นะ มิเกล... อะมาเทระ กับ คามิโจ ยังไม่ออกมาเลย นั่นน่ะน้องสาวของเธอไม่ใช่หรอ!!" มาร์คัส ดูจะไม่สน เขาบินออกจากฝูงกระบวนรูปสามเหลี่ยมตามกระบวนทัพ Delta ที่บินต่อสู้กับฝูง Phoenixaurus ทันที "ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจนะ วิมีน่า เธรมริล...ภารกิจคือสิ่งสำคัญที่สุด เราจะเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เสียไม่ได้" มิเกล พูดขึ้น วิมีน่า ที่มองจอสื่อสารแบบเห็นหน้าจากเครื่องของเธอ ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อเธอเห็นแววตาอันสุดแสนจะเย็นชาของ มิเกล มันเป็นแววตาที่ทำให้รับรู้ได้ถึงความว่างเปล่า ไร้ความรู้สึก จนเธอแอบรู้สึกหวาดกลัวแววตาคู่นั่นของ มิเกล ขึ้นมาวูบหนึ่ง
VFX-0 ซึ่งเป็นเครื่องนำกระบวนการบินรูปแบบ Delta ก็เริ่มหันหัวตาม Galahad 02 ไป มันนำฝูงบินหันไปด้วยพร้อมๆ กัน พวกเขาทำการยิงสนับสนุนเพื่อเปิดทางให้กับ มาร์คัส ที่กำลังมุ่งหน้าไปบริเวณถ้ำในป่าเพื่อทำลายรังของ Phoenixaurus มาร์คัส กดปุ่มยืนยันการปล่อยอาวุธ Missile จากนั้นเขาก็ปรับระบบเป็นการควบคุมด้วยมือ เพื่อกำหนดทิศทางและจุดที่จะระเบิด "Galahad 02 ... Fox11!!" มาร์คัส พูดจบก็ส่ง Missile ออกจากใต้ท้องเครื่อง มันพุ่งดิ่งลงไปยังบริเวณปากถ้ำเป้าหมาย
Missile พุ่งชนฉากกั้นซึ่งทำจากวัสดุแข็งมวลเบาและบางจนมันแตกหักกระเด็นกระจาย พุ่งผ่านเข้าไปในปากถ้ำอย่างรวดเร็ว มาร์คัส ตั้งเวลาหน่วงการจุดระเบิดไว้ 4 วินาที ก่อนที่การควบคุมจะถูกตัดขาดเมื่อมันผ่านความลึกที่ 800 เมตรลงไปแล้ว จากนั้น 4 วินาที Missile ก็ระเบิดที่บริเวณกลางถ้ำ ส่งผลให้ถ้ำเริ่มทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว เสียงระเบิดนั้นดังสนั่นลั่นป่า Phoenixaurus ที่กำลังไล่โจมตีฝูงบินอยู่ก็หยุดชะงัก พวกมันทุกตัวรีบบินโฉบลงไปยังถ้ำ รวมไปถึงตัวจ่าฝูงด้วยเช่นกัน 2 วินาทีต่อมา แรงระเบิดดันกลับออกมาถึงปากถ้ำเป็นเปลวไฟขนาดยักษ์พร้อมเศษหินจำนวนมากกระเด็นออกมาตามแรงระเบิด
"นั่นมันอะไรน่ะ!!" มาร์คัส ขมวดคิ้วขณะเขาเห็นบางสิ่งบนเจอภาพ มันพุ่งออกมาพร้อมๆ แรงระเบิดจากหน้าปากถ้ำ มิเกล วัลดัส ซึ่งดูภาพอยู่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอภาพ เขาพยายามเพ่งมองวัตถุขนาดเล็กนั้น "ขยายภาพซิ Galahad 02" มาร์คัส ไม่รอช้าที่จะขยายภาพ ทำให้ เอเรียส อึ้งกับสิ่งที่เขาได้เห็นจากการขยายภาพ "บ้าน่ะ!! ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย!!" ภาพที่ทุกคนเห็นนั้นก็คือ คามิโจ ฟุบูกิ กำลังขี่หลัง Phoenixaurus วัยแรกรุ่นบินออกมาและ อะมาเทระ ซึบาสะ กอดหลังเขาอยู่
เอเรียส ชะเง้อออกไปมองนอกเครื่องด้วยตาของตนอีกครั้ง "ในประวัติศาสตร์มีแต่คนที่สามารถสังหาร Phoenixaurus ได้" "นั่นก็คือนักวิทยาศาสตร์รุ่นบุกเบิกของ Minos เขาเป็นคนแรกที่สามารถล้ม Phoenixaurus ได้ด้วยตัวคนเดียว...แต่ว่านี่มัน.." "นี่มันบ้าชัดๆ!!! การขี่หลัง Phoenixaurus และควบคุมให้มันบินภายใต้คำสั่งได้นี่มันอะไรกัน...หมอนั่นทำแบบนั้นได้ยังไง" "ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายที่สุด และเป็นผู้ล่าสูงสุดของบ่วงโซ่อาหารของดาวดวงนี้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงสุดเชื่องไปซะได้ เหลือเชื่อ!!"
ฟุบูกิ ที่กำลังบินอยู่บนหลัง Phoenixaurus เขามองไปรอบๆ ตัว "นี่สินะ....อิสระในการบินแบบที่เจ้าบ้าอากาศ แจ่มใส ว่าไว้" เขามองกลับไปที่ ซึบาสะ เธอดูเหมือนได้ปลดปล่อยบางสิ่งออกจากอก นั่นก็คือความแค้นที่เธอสั่งสมมาเป็นเวลา 5 ปีออกไปได้ "เอาล่ะ ทีนี้ก็เหลือแต่ให้เจ้านี่พาเราและตัวอื่นๆ บินไปที่จุดนัดพบ เพื่อรับสัมภาระ ก่อนจะไปตั้งรกรากในถ้ำแห่งใหม่ของพวกมัน" "อืม!!!....ขอบใจนะ....ฟุบูกิ ดูเหมือนจากนี้ไปนายอาจจะได้ฉายาใหม่ว่า อัศวินคู่อินทรี ไปซะแล้วล่ะนะ....ฮะฮะฮะฮะฮะฮะ" ฟุบูกิ มองรอยยิ้มของ ซึบาสะ และฟังเสียงหัวเราะของเธอ เขาก็อดยิ้มตามไม่ได้ "เอ่อ...แต่ฉายามันจะไม่ดูเสี่ยวไปหน่อยหรอ..." เขามองไปที่ขอบฟ้า พร้อมกับคิดในใจว่า "ตั้งแต่นี้ต่อไป ชั้นจะทำทุกอย่างให้มนุษย์อยู่ร่วมกับทุกๆ สรรพสิ่งบนดาวดวงนี้ให้จงได้"
หลังจากที่ ฟุบูกิ และ ซึบาสะ ลงจากหลัง Phoenixaurus ตัวนั้นและกล่าวอำลาเจ้านกยักษ์เพื่อนยาก ก่อนจะสมทบกับ Lancelot ฝูง Phoenixaurus ก็ได้บินตามเครื่อง Drone ซึ่งกำลังขนไข่ของพวกมันต่อไปยังพิกัดใหม่ โดยพวกมันไม่หันกลับมาโจมตีอีก ภารกิจของฝูงบิน Lancelot Galahad Bors และ Lamorak ในการเคลียร์พื้นที่ก็ได้จบลง แม้จะสูญเสียกำลังพลไปมากพอควร แต่มันก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง พวกเขาได้พื้นที่นั้นมา ในขณะที่ไม่ได้ทำลายระบบนิเวศน์ของ Gliese อีกด้วย
กองขนส่งของ Minos เริ่มเดินทัพเข้าสู่พื้นที่เพื่อปลูกป่า Genesis Plant ตามแผนการ Terra Forming ดวงดาวแห่งนี้ต่อไป
..........................................................................
เมื่อ Lancelot เดินทางกลับมาถึง Radamanthys
พวกเขาผ่าน Air-Lock เข้ามาในตัวโดมซึ่งเป็นสะพานเดินเรือ ทุกคนต่างอยู่ในสภาวะอิดโรยและเหนื่อยล้าจากภารกิจ แต่สิ่งที่ ฟุบูกิ ซึบาสะ เท็ตสึยะ นักบิน Lancelot ราวๆ 10 คน ชิเอล และ เบนจาบิน เห็นก็คือ มิเกล วัลดัส กับฝูงบิน Galahad พวกเขายืนอยู่เบื้องหน้าบริเวณสะพานเรือซึ่งเป็นเหมือนทางเดินโลหะ ราวกับว่ากำลังรอการกลับมาถึงของ Lancelot อยู่ตรงนั้น ชิเอล และ เบนจามิน ไม่ได้สนใจอะไรนัก พวกเขาสองคนรีบเดินแยกออกไปเพื่อไปรายงานตัวกับ โนเอมี เฮ็นดริกส์ อะมาเทระ ซึบาสะ ยิ้มบางๆ เธอทักขึ้นว่า "พี่มิเกล...." โดยที่เธอไม่ติดใจอะไรกับการสั่งยิงของเขาเลยแม้แต่น้อยนิด
แต่ในทางกลับกัน มิเกล วัลดัส กลับโผลเข้าหา คามิโจ ฟุบูกิ อย่างรวดเร็วเกินมนุษย์ ก่อนจะปล่อยหมัดซ้ายเข้าปลายคาง ฟุบูกิ ที่ยังไม่ทันตั้งตัว ถูกหมัดซ้ายของ มิเกล เต็มๆ ถึงกับกระเด็นไปข้างหลัง และล้มลง ตกอยู่ในภาวะมึนงงเหมือนถูกน็อค มิเกล กัดฟันแล้วพูดขึ้น "แกมันขยะ!! ด้วยแผนโง่ๆ ของแก กับการตัดสินใจโง่ๆ ของแก รู้มั้ยว่ามีกี่คนต้องตายไป ฮะ!!!" ฟุบูกิ ใช้มือเช็ดเลือดที่มุมปาก เขาค่อยๆ ลุกขึ้น และยืนเซๆ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ มิเกล ด้วยหมัดขวาของเขาเช่นเดียวกัน "ชั้นรู้ดีถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่มันจำเป็นต้องทำ แล้วแกล่ะยังเป็นคนอยู่รึเปล่าถึงสั่งยิงน้องสาวของตัวเองนะห๊า!!" ฟุบูกิ ตะโกน แต่หมัดของเขากลับพลาดเป้า เพราะ มิเกล เอียงคอไปทางขวาเพียงเล็กน้อย ก่อนที่ มิเกล จะฟันศอกขวาซ้ำเข้าไปอีกครั้ง ฟุบูกิ ถูกศอกขวาของ มิเกล เข้าเต็มกกหู สายตาขณะเซล้มลงของเขาแสดงถึงสติที่หลุดลอยออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"พี่มิเกล!! อย่านะคะ!!" ซึบาสะ ตะโกนขึ้นขณะ มิเกล กำลังจะตามเข้าไปเตะซ้ำ แต่เธอก็อยู่ห่างเกินจะห้ามเขาเอาไว้ "มิเกล!! นายจะทำบ้าอะไร!! นายทำแบบนี้เดี๋ยว..." วิมีน่า ตะโกนขณะพยายามเข้าไปห้าม แต่ถูก เอเรียส รั้งแขนของเธอเอาไว้ เท็ตสึยะ เองก็กำลังประคอง อากาศ แจ่มใส่ ที่โดน เบนจามิน อัดเข้าเต็มท้องและคาดว่าซีโครงหัก จึงเข้าไปห้ามไว้ไม่ได้ ฮิคารุ ที่อยู่ใกล้ที่สุด กลับมองด้วยสีหน้าเฉยๆ ราวกับเธอรู้ว่าอีกไม่กี่อึดใจจะเกิดอะไรขึ้น และจงใจไม่พยายามปัดป้องเหตุนั้น เปรี้ยง!!! หมัดถูกชกเข้าเต็มคางด้านซ้ายของ มิเกล วัลดัส เพียงหมัดเดียว ทำให้ มิเกล กระเด็นไปตามแรงหมัดออกไปถึง 2 เมตร ทุกคนยกเว้น ฮิคารุ ประหลาดใจกับเหตุที่เกิดขึ้น นั่นก็คือ มาร์คัส เป็นผู้ปล่อยหมัดเข้าใส่ปลายคางของ มิเกล วัลดัส จนสลบไป
มาร์คัส สบัดมือเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ "กฎของฝูงบิน Galahad ข้อที่ 6 ห้ามมีเรื่องกับใครทั้งสิ้นภายในเขตของกองทัพ..."
..........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 4:57:01 GMT
3 วันต่อมา
Radamanthys ได้จัดพิธีสดุดีให้แก่เหล่านักบินผู้เสียสละอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติบริเวณสุสานนักบินภายในเขตกองทัพ พิธีสดุดีได้เสร็จสิ้นไปพักหนึ่งแล้ว เหล่าเพื่อนนักบินผู้รอดชีวิตและนายทหารที่เข้าร่วมงานต่างพากันแยกย้ายและเดินทางกลับ บรรยากาศดูเศร้าหมอง ญาตินักบินผู้เสียชีวิตได้รับโล่เกียรติยศจากประธานาธิบดี มันพอจะเยียวยาจิตใจให้แก่พวกเขาได้บ้าง
คามิโจ ฟุบูกิ เดินคอตกไปรอรถรางหน้าสุสานพร้อมกับ ซึบาสะ โดยที่ ซึบาสะ ก็แปลกใจอาการซึมเศร้าของ ฟุบูกิ อยู่ไม่น้อย ท่ามกลางความเงียบ ฟุบูกิ ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ "บางทีพี่ชายของเธออาจพูดถูกก็ได้...พวกเขาตายก็เพราะชั้น" ซึบาสะ ตบบ่าของ ฟุบูกิ เบาๆ "แต่นายก็ทำดีที่สุดแล้วไม่ใช่รึไง....ที่นายกลับมาช่วยชั้นไว้น่ะ ถือว่ากล้าหาญมากเลยนะ" คำพูดของ ซึบาสะ ที่มีเจตนาปลอมใจ ฟุบูกิ นั้นดูเหมือนจะไม่ได้ผล เขายังรู้สึกผิดและโทษตัวเองอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง จนกระทั่งรถรางมาจอดอยู่ตรงหน้า มันเป็นรถรางไฟฟ้าแบบ open air ไม่มีประตูปิด ทั้งสองก้าวขึ้นไปนั่งด้วยอาการซึมๆ ฟุบูกิ กำหมัดแน่น "ชั้นไม่รู้ว่าชั้นมาเป็นผู้บังคับการเพื่ออะไร....ถ้าได้กลับไปเป็นนักบินและได้ตายร่วมกับพวกเขาอาจจะดีซะกว่า"
ทันใดนั้น ก็มีเสียงคุ้นหูพูดขึ้นจากด้านหลัง "กลับมาอย่างวีรบุรุษแท้ๆ ทำไมดูเหมือนหมาหงอยแบบนี้ล่ะ พ่อจอมยุทธอินทรี" เสียงนั้นทำเอา ซึบาสะ กับ ฟุบูกิ สะดุ้งก่อนจะหันกลับไป และ ซึบาสะ ก็พูดขึ้นว่า "ท่านผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์ก ทำไมถึง...." "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้งั้นหรอ ก็เพราะเขาปล่อยตัวชั้นแล้วน่ะสิ....ที่สำคัญกว่านั้นคือหมอนี่" ริงเก็ต ชี้ไปที่ ฟุบูกิ "ให้ตายเถอะเจ้าบ้า!! สอนชั้นขี่นกยักษ์นั่นบ้างสิ แกรู้มั้ยตอนที่แกบินออกมา ทุกคนต่างเฮกันลั่นเลยนา" เขาพูดไปหัวเราะไป เมื่อพูดจบ ริงเก็ต จะล้วงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ "เอ้านี่ ชั้นทำมาให้แกโดยเฉพาะเลยนะ... ดูสิมันเท่ห์รึเปล่า ฮ่าฮ่าฮ่า" ฟุบูกิ มองดูสิ่งที ริงเก็ต ยื่นมาให้ มันเป็นเข็มกลัดรูปคนขี่นกอินทรี ก่อนจะปัดมันไป แต่ ซึบาสะ กลับรับมันเอาไว้แทน "ผู้การอย่าล้อเล่นได้มั้ย.....ผมไม่มีอารมณ์เล่นด้วยหรอกนะครับ.....ทุกอย่างมันเป็นเพราะผมคนเดียวแท้ๆ" ฟุบูกิ ตัดพ้อ
ริงเก็ต ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขากลับดูจริงจังและพูดเสียงเข้มขึ้นว่า "นี่เจ้าโง่ ตั้งใจฟังและคิดในสิ่งที่ชั้นจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ" "นักบินทุกคนเข้ามาเป็นนักบินเพื่ออะไรกัน....นั่นก็เพื่อทำหน้าที่ปกป้องคนที่ตนเองรัก และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้แก่ทุกๆ คน" "พวกเขาทำได้ทุกอย่าง สละได้ทุกสิ่ง เพื่อสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้อง และที่แกทำน่ะก็เพื่อรักษาความอยู่รอดของมนุษยชาติไม่ใช้รึไง" "ชั้นถามหน่อยว่าถ้าพวกเขารักตัวกลัวตาย รึมองว่าสิ่งที่แกทำมันไม่ถูกต้อง พวกเขาจะยอมทำตามแกรึยังไง...ไม่มีทางซะหรอก" "ที่พวกเขาทำก็เพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่ากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง....ถามว่าแกเสียใจรึเปล่าที่เข้าไปช่วยยัยหนูนี่ออกมาจากถ้ำนั่น" "แกน่ะดีกว่าชั้นมาก.....แกกล้าทำในสิ่งที่หัวใจแกต้องการ กล้าทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง....ไม่เหมือนไอ้ขี้ขลาดแบบชั้น" "ถ้าแกอ่อนแอ เอาแต่คิดว่าตัวเองทำในสิ่งที่ผิดพลาด....แล้วต่อไปใครจะไปฟังคำสั่งของแก....สิ่งที่ทำมาก็สูญเปล่าหมดกันพอดี" "เพราะฉะนั้น!! แกจะเอาแต่โทษตัวเองแบบนี้ไม่ได้....แกจะต้องเข้มแข็ง เป็นเสาหลักที่มั่นคงของลูกน้อง แกถึงจะทำสิ่งที่ถูกได้" "เอ้อ....แล้วอีกอย่างนึงน่ะนะ ชั้นได้รับการปล่อยตัวออกมา แต่ก็ยังถูกสั่งพักงานอยู่ ดังนั้น แกยังคงเป็นผู้บังคับการ Lancelot ต่อไป" "เข้มแข็งไว้เจ้าโง่....อย่าทำให้พวกเขาที่เสียสละชีวิตไปทั้งหมดต้องผิดหวัง แกต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าพวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"
ฟุบูกิ นั่งนิ่ง แต่แววตาของเขาเริ่มคลายจากความเศร้ากลับมาเป็นความมุ่นมั่นแทน "ครับ....ท่านผู้บังคับการ....ผมจะทำให้ได้" ในขณะที่ อะมาเทระ ซึบาสั ดูเหมือนจะเริ่มทำใจให้อภัย ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก สำหรับการตายของพ่อเธอในภารกิจ M0487 ได้เสียที
..........................................................................
ห้องทำงานของ โนเอมี เฮ็นดริกส์
เธออ่านรายงานของ ชิเอล และ เบ็นจามิน ฮันเตอร์ จนจบ ก่อนจะปิดมันลงด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความพอใจเป็นอย่างมาก สักพักโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของเธอก็ดังขึ้น เธอกดรับสายและมันก็แสดงใบหน้าของ ชิราโออิ ขึ้นมาผ่านจอภาพโฮโลแกรม "มีอะไรสำคัญอย่างนั้นหรอ ชิราโออิ" โนเอมี เฮ็นดริกส์ ถามขึ้น ชิราโออิ ยิ้มแบบเขินๆ ก่อนจะก้มลงดูอะไรบางอย่างในมือ "ยานรบรุ่นใหม่พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้วค่ะท่าน มันเป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นโดยเหล่าวิศวกรระดับแนวหน้าว่า 10 ปีเต็ม" "มันชื่อว่า The Cavalry เป็นยานรบที่ทรงอานุภาพที่สุดของเราและของมนุษยชาติ พร้อมส่งมอบให้แก่กองทัพในวันพรุ่งนี้ค่ะ"
โนเอมี เฮนดริกส์ จ้องมองภาพของ The Cavalry ที่ได้รับอย่างพินิจน์ มันเป็นยานรบขนาดยักษ์ยาว 470 เมตร กว้าง 180 เมตร ติดตั้งอาวุธครบครัน และยังสามารถบรรทุกเครื่องบินรบได้อีกจำนวนมาก โครงสร้างเป็น Glieserium Alloy ทั้งหมด
"เอาล่ะ...งานต่อไปดูเหมือนจะต้องหาผู้ที่เหมาะสมจะเป็นเจ้าของที่แท้จริงให้แกเจ้านี่สินะ...." โนเอมี เฮ็นดริกส์ พูดขึ้น
..........................................................................
ตกค่ำของวันนั้น
ที่สุสานของนักบิน หน้าหลุมศพของ เรล่า ชายคนหนึ่งยังคงยืนนิ่ง มือของเขาถือดอกไม้อยู่ช่อหนึ่ง เขาคือ อากาศ แจ่มใส "เธอรู้ไหมว่าดอกไม้ในมือชั้นคือดอกอะไร....หึหึหึ...มันคือดอก เยอร์บีร่า....ความหมายของมันมีด้วยกันสองความหมาย" "ความหมายแรก คือ ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ส่วนอีกความหมายคือ ความเข้มแข็ง" อากาศ พูดไปน้ำตาของเขาก็คลอไป "พอนำจิตใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา มารวมกับความเข้มแข็งแล้ว มันหมายถึง เธอคือแสงอาทิตย์ แห่งชีวิตฉัน....เธอรู้ใช่มั้ย" "ชั้นไม่เข้าใจว่าเธอช่วยชั้นเอาไว้ทำไม....ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้นด้วย......แล้วตั้งแต่นี้ชั้นควรทำยังไง....." เขากำหมัดแน่น แม้เขาพูดให้ดูติดตลก แต่น้ำเสียงในการพูดกลับฟังเป็นเชิงตลกร้ายเสียมากกว่า มันแฝงไปด้วยความเศร้าใจในทุกถ้อยคำ
"นายควรทำในสิ่งที่เธอต้องการทำให้ได้ ให้มันเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ยังไงล่ะ" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ชายคนนั้นเดินออกมาจากเงามืด เขาก็คือ โฮชิโซระ เท็ตสึยะ และเขาก็พูดต่อไปว่า "ก่อนเธอตาย นายจำได้ไหมเธอพูดว่าอะไร" "เธอบอกให้นายอยู่ต่อแทนเธอ มีชีวิตแทนเธอ ... ชั้นจะบอกให้ว่าชีวิตของเธออยู่เพื่ออะไร เผื่อนายไม่เคยไปค้นหาคำตอบ" "เรล่า น่ะมีครอบครัวอยู่ในตัวเมือง ครอบครัวของเธอยากจน เธอจึงเข้ามาเป็นนักบินและนำรายได้นำกลับไปจุนเจือครอบครัว" "เธออยากให้พ่อแม่และน้องชายของเธอมีชีวิตที่ดี ซึ่งทางกองทัพก็ได้จัดการเรื่องนั้นให้เป็นที่เรียบร้อยจนนายหมดห่วงได้" "แต่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ก็คือการปกป้องพวกเขาให้อยู่อย่างเป็นสุข และนั่นแหละคือสิ่งที่ชั้นจะบอกว่านายต้องทำให้ได้" "อย่าทำให้ความตั้งใจของเธอต้องสูญเปล่า อากาศ แจ่มใส..... พรุ่งนี้เจอกันที่ลานฝึกนะ" เท็ตสึยะ พูดจบก็เดินจากไป
อากาศ แจ่มใส เช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยแขนเสื้อก่อนจะวางดอกไม้ลงหน้าหลุมศพ "วันนี้อากาศไม่ค่อยแจ่มใสเลยแฮะ เจอกันที่ลานฝึกนะ....เรล่า......."
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 5:03:25 GMT
EP7 : The Chosen One หลังจากภารกิจสนับสนุนการปลูกป่า Genesis Plant ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ฝูงบินทั้งหมดก็กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่และฝึกซ้อมตามตารางเวลาปกติทั่วไป บางฝูงบินก็ได้รับภารกิจอื่นกันบ้างแล้ว ฝูงบิน Galahad เองก็สูญเสียนักบินจากภารกิจที่แล้วไปจำนวนหนึ่ง แต่ก็มีนักบินใหม่เข้ามาสังกัดแทนที่อย่างเช่นปกติ แม้ว่าช่วงเวลานี้ มิเกล วัลดัส อนุญาตให้ทหารประจำฝูงบินได้หยุดพักหลังจากที่เพิ่งผ่านพ้นภารกิจสุดโหดหินมาได้ แต่ มาร์คัส ก็ยังคงมีความขยันหมั่นเพียรมาฝึกซ้อมการบินเช่นปกติ เพราะเขาต้องการจะเป็นนักบินที่เก่งที่สุดให้ได้
ณ ห้องรวมพล ฝูงบิน Galahad
มิเกล วัลดัส นั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหน้าห้อง เขานำสำเนารายงานการปฏิบัติภารกิจของทุกฝูงบินของภารกิจที่แล้วมานั่งศึกษา ด้วยความที่เป็นคนจริงจังและคลั่งความสมบูรณ์แบบ จึงต้องการความรู้มากที่สุดเท่าที่มากได้ และอ่านรายงานไปแล้วร่วม 40 ฉบับ ท่ามกลางความเงียบซึ่งทำให้ มิเกล มีสมาธิในการศึกษาข้อมูลสูงนั้น ประตูห้องรวมพลก็ถูกเปิดออก จนเขาต้องเหลือบไปมอง "อยู่ที่นี่เองสินะ...ไหนบอกว่าอนุมัติการหยุดพักผ่อน ทำไมนายถึงยังมานั่งงมอยู่ตรงนี้ล่ะ" วิมีน่า ผู้เดินเข้ามาหาได้ถามขึ้น มิเกล ดึงสายตากลับมาที่รายงานซึ่งเขาอ่านค้างอยู่ "ผมอนุมัติการหยุดพักผ่อน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าตัวผมจะต้องพักนี่ครับ" วิมีน่า ก้มลงมองใบหน้าของ มิเกล จนเขาต้องหยุดอ่านและมองจ้องตาเธอด้วยความสงสัย "มีอะไรอย่างนั้นหรอ คุณเธรมริล...หืม?" "หน้านายยังบวมอยู่เลย....ให้ตายสิเจ้ามาร์คัส ต่อยไม่มียั้งแรงบ้างเลยรึยังไงนะ" วิมีน่า ขมวดคิ้วก่อนจะเดินปรี่ไปคุ้ยของหลังห้อง
ไม่นานนักเธอก็เดินกลับมาพร้อมกับถือถาดเหล็กขนาดใหญ่ มันมีผ้าที่ห่อเจลแช่แข็ง พร้อมกับยาแก้ปวด และน้ำหนึ่งแก้ว เธอเดินมาหยุดข้าง มิเกล ก่อนจะวางถาดทับรายงานที่เขาอ่านอยู่ ทำให้ มิเกล หันขวับด้วยอากับกิริยาที่ดูไม่ค่อยพอใจนัก วิมีน่า ถือโอกาสที่ มิเกล ยังไม่ทันได้เอ่ยปากต่อว่า เธอใช้ผ้าห่อเจลแช่เย็นประคบที่คางด้านซ้ายซึ่งกำลังบวมเป่งของ มิเกล ทีแรกเหมือนเขาจะดึงใบหน้าหลบ แต่เมื่อเขาหลบไม่พ้นเลยยอมให้ วิมีน่า ประคบผ้าเย็นลดอาการบวมให้แต่โดยดี
"นายจับเอาไว้เองนะ....เดี๋ยวชั้นจะป้อนยาแก้ปวดให้....เอ้าอ้าปากสิ" วิมีน่า พูดจบก็วางยาแก้ปวดชนิดเม็ดลงในปากของ มิเกล จากนั้นเธอก็ใช้มือทั้งสองข้างประคองแก้วน้ำให้ มิเกล ดื่ม เพื่อช่วยกลืนยาเม็ดแก้อาการบวมนั้นลงคอ จนเขาดื่มน้ำหมดแก้ว "ยังติดใจเรื่อง ฟุบูกิ อยู่รึยังไง ดูสีหน้านายไม่ค่อยผ่อนคลายเลย รึเป็นห่วง ซึบาสะ อย่าบอกนะว่า..." วิมีน่า ยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มิเกล วัลดัส ถอนหายใจพร้อมทำหน้ามุ่ยๆ "คุณอย่าพูดเหลวไหลจะดีกว่า ถึงจะไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ แต่ยังไงก็เป็นแค่น้องสาว" วิมีน่า ได้ยินดังนั้น เธอก็ยิ้มด้วยความโล่งใจ ก่อนจะเลื่อนถาดเหล็กออกไป แล้วนั่งลงบนโต๊ะต่อหน้า มิเกล ในระยะประชิด
"แล้วนายกังวลใจเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย" วิมีน่า ถามในขณะที่ มิเกล ถอยเก้าอี้ออกไป "เรื่องของ คามิโจ ฟุบูกิ น่ะสิ......" "ในเมื่อคุณก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ผมก็จะบอกคุณไว้ก่อนแล้วกัน เส้นสายของ เอเรียส แจ้งว่าท่านผู้บังคับการจะสั่งให้มีการประลอง" "เป็นการประลองของ 12 ฝูงบิน ด้วยเครื่องจำลอง Cockpit Simulator หาผู้ชนะและผู้ที่เหมาะสมกับยานรบรุ่นใหม่ลำหนึ่ง" "มันเป็นยานรบที่ใชเวลาพัฒนามานานกว่า 10 ปี ประสิทธิภาพตาม Spec ที่ระบุไว้นั้นถือว่าเป็นสุดยอดของอาวุธเลยล่ะ" มิเกล พูดไปพร้อมกับหยิบ Tablet ส่วนตัวขึ้นมาค้นหาข้อมูล ก่อนที่เขาจะแสดงข้อมูลของ The Cavalry ให้ วิมีน่า ดู วิมีน่า อึ้งกับสิ่งที่เธอได้ยิน "งั้นแสดงว่า เธอกังวลว่าการดวลในครั้งนี้ คามิโจ ฟุบูกิ กับ Lancelot จะเป็นอุปสรรคของเรางั้นหรอ" มิเกล พยักหน้า "ถูกต้องแล้วครับ จากภารกิจล่าสุด ทุกคนต่างมอง คามิโจ ฟุบูกิ เป็นเหมือนไอดอล...จอมยุทธอินทรีบ้าบออะไรนั่น" "ทำให้นักบินที่มีความสามารถบางส่วนเข้ารับการคัดเลือกเข้าฝูงบิน Lancelot เป็นจำนวนมาก จากเดิมนั้นจะมาเข้ากับทางเรา"
วิมีน่า ได้ฟังสิ่งที่ มิเกล พูดมาทั้งหมด เธอกลับดูไม่กังวลเลย เพราะเธอนั้นไม่ได้มีเจตนาจะฟัง มิเกล เป็นสำคัญแต่แรกอยู่แล้ว "คุณน่ะรีบลงมาจากโต๊ะได้แล้ว ผมทำงานอยู่นะ" มิเกล พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ดูเหมือน วิมีน่า จะไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น เธอได้ถามต่อไปอีกว่า "ชั้นอยากรู้ว่าถ้าคนที่อยู่ในถ้ำเป็นชั้นล่ะก็ นายจะสั่งยิงเหมือนกับที่นายสั่งยิงน้องสาวของนายรึเปล่า" มิเกล วัลดัส ได้ยินก็ถึงกับลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ไม่ว่าใครก็หยุดภารกิจของผมไม่ได้ทั้งนั้น" วิมีน่า ดูท่าทางผิดหวังเล็กน้อย "เชอะ!! คอยดูนะ สักวันหนึ่ง ชั้นจะต้องทำให้นายเห็นชั้นสำคัญกว่าภารกิจของนายให้ได้!!" มิเกล วัลดัส พยักหน้าเออออไปด้วย แล้วสบัดมือไปข้างหน้าสองครั้ง เพื่อเป็นการบอกให้ วิมีน่า ลุกจากโต๊ะของเขาเสียที
ระหว่างนั้น มีชายหนุ่มกำลังมองผ่านช่องประตูที่ปิดไม่สนิทอยู่มาสักพัก
เอเรียส ซีวิโอเลีย ได้ยืนมองและยืนฟังบทสนทนาของ มิเกล กับ วิมีน่า อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินกลับหลังไปอย่างเงียบๆ ระหว่างที่เขาเดินผ่านมุมห้องด้านนอกซึ่งเป็นมุมของห้อง เขาก็เหลือบเห็น ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ ยืนพึงกำแพงด้วยหางตาของเขา ฮิคารุ ยิ้มแบบไร้อารมณ์ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า "ชั้นไม่รู้จะพูดปลอบใจนายยังไงดีนะ เอเรียส คงได้แค่บอกว่า อย่าสนิทกับใครให้มากนัก" เอเรียส ขมวดคิ้วและก้าวเข้าไปหา ฮิคารุ "ทำไมคุณไชคอฟสกี้ ถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ...การมีเพื่อนย่อมดีกว่าการไม่มีไม่ใช่หรอครับ"
ฮิคารุ ที่ยืนพิงกำแพง เธอเปลี่ยนอิริยาบทมายืนด้วยสองขาของตนเอง "การมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับพวกเรามันไม่ได้ดีเสมอไป" "ชั้นน่ะเคยมีเพื่อนสนิทมากมายตั้งแต่อยู่ฝูงบิน Tristan แต่แล้วพวกเขาก็ตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคน" ฮิคารุ พูดไปพร้อมก้าวเดิน ระหว่างที่ เอเรียส ก้าวเดินตาม เธอก็พูดต่อไปว่า "ปัญหาก็คือ เมื่อเราเป็นคนที่ยังอยู่ เราต้องทุกข์ทรมานกับการสูญเสียทุกครั้งไป" "ชั้นจึงแนะนำได้เพียงว่า หากยังเป็นนักบินสังกัดกองทัพ อย่าสนิทกับใครให้มากจะดีที่สุด เป็นการป้องกันความเจ็บปวดของตัวเธอเอง"
เอเรียส ก้มหน้าลงก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องให้ ฮิคารุ ฟังว่า "ผมว่ามันเป็นความคิดที่ดีอยู่นะครับ แต่สำหรับผมแล้ว...คงจะทำไม่ได้" "นั่นก็เพราะว่า วิมีน่า วูลู วองซ์ เธรมริล ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนในฝูงบินที่สนิทกับผมเท่านั้น แต่เธอยังเป็นอดีตคู่หมั้นของผม..." "ครอบครัวของผมเป็นผู้มีอิทธิพล ซึ่งคุณก็น่าจะรู้...ต้องการให้ผมหมั้นหมายกับ วิมีน่า เพราะครอบครัวเธอถือเป็นมหาเศรษฐี" "ทางเทคนิคแล้ว เราสองคนถือว่าเหมาะสมกันมาก สามารถสนับสนุนกันและกันให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียว" "ทางบ้านผมพอจะมีความสามารถในการโน้มน้าวประธานาธิบดีได้ ส่วนทางบ้านเธอก็เป็นนายทุนใหญ่ที่ให้ทุนพัฒนาอาวุธแก่กองทัพ" "หากเราร่วมมือกัน เราจะสามารถคิดค้นและพัฒนาอาวุธรุ่นใหม่ขึ้นได้อีกมากมาย สามารถต่อรองกับ Aiacos และ Minos ได้มากขึ้น" "แต่มันติดตรงที่....วิมีน่า น่ะ เป็นคนรักอิสระ เธอเอาแต่ใจตัวเอง เธอจึงไม่ต้องการให้ครอบครัวมาชักนำอนาคตของตัวเธอเอง" "และผมก็เช่นกัน....ผมไม่ต้องการให้ครอบครัวมาตัดสินหรือวางอนาคตของตัวผม มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่มีตัวตนเป็นของตัวเอง" "วิมีน่า ปฏิเสธการหมั้นโดยยังไม่ทันรู้ว่าคู่หมั้นของเธอนั้นก็คือผม...เธอตัดสัมพันธ์กับทางบ้าน และเข้ามาเป็นทหารสังกัดกองบิน" "เมื่อผมกลับมาคิดทบทวนเรื่องนี้แล้ว ผมก็รู้สึกว่าเธอต้องทำแบบนี้ก็เพราะผม ถ้าไม่มีผมเธอก็คงได้อยู่อย่างสุขสบายต่อไป"
ฮิคารุ ยิ้มเมื่อเธอฟังจบ "เธอก็เลยเข้ามาเป็นนักบิน และใช้เส้นสายของเธอเพื่อย้ายมาอยู่ฝูงบินเดียวกับ วิมีน่า อย่างนั้นสินะ" เอเรียส พยักหน้า "ถูกต้องแล้วครับ...ผมได้ตกลงกับครอบครัวของเธอเอาไว้ว่า จะทำให้เธอเลิกล้มความคิดการเป็นนักบินให้ได้" "ก็เลยกลั่นแกล้งเธอบ้าง ยั่วโมโหเธอบ้าง บางครั้งก็ทำทุกวิถีทางให้เธอรู้สึกว่าฝูงบิน Galahad นี้ ไม่ใช่ที่ที่เธออยู่ได้อย่างเป็นสุข" "ทีแรกก็เหมือนไปได้สวย แต่แล้วผู้บังคับการวัลดัส ก็ได้ย้ายเข้ามา วิมีน่า ดูเหมือนจะพอใจกับความเป็นอยู่ตอนนี้มาก จนผมเริ่มท้อ"
"ฮึฮึฮึฮึ เธอนี่ปากไม่ตรงกับใจเลยนะ ชั้นจะบอกอะไรให้ สิ่งที่ทำให้เธอเริ่มท้อไม่ใช่การย้ายมาของท่านผู้บังคับการหรอก"ฮิคารุ หัวเราะ "แต่เป็นเพราะเธอชอบ วิมีน่า ด้วยใจจริงของเธอ จนยอมรับสภาพความเป็นอยู่ตอนนี้ได้ แต่ก็ไม่ชอบที่ วิมีน่า ไปมีใจให้ท่านผู้การ" "ดังนั้น ทางเลือกของเธอจึงมีอยู่ 3 ทางด้วยกัน ทางแรกตัดใจซะอย่างที่ชั้นบอก ทางที่สองบอกเธอตรงๆ ทางสุดท้ายก็คือลาออกไป" "จำเอาไว้นะ เอเรียส ซีวิโอเลีย ยิ่งผูกพันมากเท่าไร พอถึงตอนที่ต้องเจ็บ มันก็จะเจ็บมากขึ้นเท่านั้น" หลังจากพูดจบเธอก็เดินแยกไป
เอเรียส หยุดเดิน เพราะ ฮิคารุ เดินเข้าห้องน้ำหญิงไปซะแล้ว "ยิ่งผูกพันมาก ก็จะยิ่งเจ็บมากอย่างนั้นหรอ......"
................................................................................................
สัปดาห์ต่อมา
ณ ห้องซ้อมรบดิจิตอล มันเป็นห้องขนาดใหญ่ยักษ์ที่เต็มไปด้วย Cockpit Simulator จำนวนมาก เรียงรายร่วม 300 เครื่อง มันเป็น Cockpit ที่จำลองห้องนักบินของ CFA-44 เอาไว้ซ้อมรบในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแผนการรบจะส่งผลมากกว่าฝีมือนักบิน นั่นเพราะเครื่องซ้อมรบจำลอง แม้จะจำลองทุกอย่างของ CFA-44 ลงไปก็จริง แต่มันไม่มีแรง G หรือแรงกดอากาศอย่างเช่นสภาพจริง นักบินที่ทำการจำลองการบินนั้น ทำการบินเหมือนกำลังนั่งเล่นเกมส์ก็ไม่ปาน ดังนั้น แผนการรบจึงเป็นสิ่งที่ส่งผลมากที่สุด นอกจากส่วน Cockpit แล้ว ยังมีห้องบัญชาการแยกออกไปราว 20 ห้อง มันจะแสดงภาพของหน้าจอ Cockpit ที่กำหนดไว้ได้ อีกทั้งยังมีส่วนของห้องสังเกตการณ์ซึ่งสามารถดูภาพจำลองการรบได้เหมือนเป็นบุคคลที่สาม เอาไว้สำหรับครูฝึกและผู้ชมการซ้อม
ในอีกไม่กี่อึดใจ การประลองเพื่อค้นหาฝูงบินที่จะเป็นผู้กำชัย และหาผู้เหมาะสมกับ The Cavalry ยานรบรุ่นใหม่เข้าประจำการจะเริ่มต้นขึ้น นักบินของทั้ง 12 ฝูงบิน Lancelot Gawain Geraint Percival Bors Lamorak Kay Gareth Bedivere Gaheris Galahad Tristan จำนวนฝูงบินละ 20 นายได้เข้าประจำเครื่อง Simulator แล้ว และแน่นอนว่าผู้บังคับการของแต่ละฝูงบินก็พร้อมแล้วเช่นกัน ผู้บังคับการทุกคนดูมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าโดยเฉพาะ มิเกล วัลดัส แต่ คามิโจ ฟุบูกิ ดูเหมือนไม่อยากทำการทดสอบเท่าใดนัก เพราะเขามองว่า ไม่ว่าฝูงบินไหนได้ The Cavalry ไป ก็มีผลดีทั้งนั้น ในขณะที่ Lancelot อาจไม่จำเป็นต้องใช้งานมันเท่าใดนัก ด้วยความที่ The Cavalry เป็นยานรบที่สามารถปฏิบัติการได้ทั้งในและนอกชั้นบรรยากาศ เขาคิดว่าฝูงบิน Tristan สมควรจะได้มันไป ฟุบูกิ มองไปที่นักบินในฝูงบินของเขาทุกคนในจอภาพ ก่อนจะเหลือบสายตาไปรอบๆ ห้อง จนกระทั่งเห็นปุ่มสีแดง เขียนว่ายอมแพ้อยู่ตรงหน้า "ถึงไม่อยากจะเข้าร่วมการประลองบ้าๆ นี่ก็เถอะ ถ้าเสียว่าเป็นสถานการณ์จริงก็ไม่เลว เราคงยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด" ฟุบูกิ คิดในใจ
ที่ห้องสังเกตการณ์
โนเอมี เฮ็นดริกส์ ได้เชิญ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก มาเข้าร่วมรับชมพร้อมกับเธอ เธอนั่งอยู่บนโซฟาขนาดใหญ่และเขาก็นั่งข้างๆ ในขณะที่ด้านหลังก็มี ชิเอล เบนจามิน ฮันเตอร์ ชิราโออิ และเจ้าหน้าที่ส่วนกลางระดับสูงเข้ารับชมการประลองในครั้งนี้ แน่นอนว่าการประลองครั้งนี้ถือเป็น Event ใหญ่ มันจึงได้รับการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ทั่วทั้ง Radamanthys ชิราโออิ เป็นผู้กล่าวอธิบายความสามารถและประวัติการพัฒนาของ Cavalry เบื้องต้นเพื่อกระตุ้นความต้องการของทุกๆ คน ก่อนที่ โนเอมี เฮ็นดริกส์ จะเป็นผู้กล่าวเปิดการประลอง เธอลุกขึ้น ภาพของเธอก็ได้ปรากฏไปยังหน้าจอผู้ประลองทุกคน
"ดิชั้นจะไม่ขอกล่าวอะไรให้มันยืดยาวมากนัก แต่การประลองครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อกองทัพ Radamanthys มาก" "เพราะเป็นการประลองเชิงซ้อมรบหาผู้ชนะและผู้ที่เหมาะสมกับ The Cavalry ยานรบรุ่นใหม่ซึ่งทุกท่านคงได้เห็นข้อมูลบ้างแล้ว" "มันเป็นยานรบอเนกประสงค์ขนาดยักษ์ ถือเป็นอาวุธทรงอานุภาพที่สุดที่เรามี ณ ขณะนี้ มันจึงควรอยู่ในมือของผู้ที่เหมาะสม" "ยานรบลำนี้สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองชีวิตและความอยู่รอดของมนุษย์ทุกคน การตัดสินว่าใครคือผู้ชนะนั้น" "ถึงแม้จะมีฝูงบินที่ต้องพ่ายแพ้กันบ้างในการประลองในครั้งนี้ อย่างน้อยก็เป็นการแสดงแสงยานุภาพให้เป็นที่ประจักษ์" "ดังนั้น ดิชั้นขอให้ทุกท่านทั้งนักบิน และผู้บังคับการ แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่....เริ่มการประลองได้ค่ะ!!"
................................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 5:06:04 GMT
ทันทีที่สัญญาเริ่มการประลองดังขึ้น
Gawain Geraint Percival Bors Lamorak Kay Gareth Bedivere Gaheris และ Tristan ได้เคลื่อนพลบุกเข้าใส่กันทันที สนามประลองใน Simulator เป็นสนามประลองที่มีภูมิศาสตร์เป็นเขตเทือกเขา มีซอกเขา และเขาลูกโดดตั้งอยู่มากมาย ต่างฝ่ายต่างขุดแผนยุทธวิธีในการรบเอามาใช้กันอย่างเต็มที่ แต่ด้วยปริมาณเครื่องบินกว่า 200 ลำ ทำให้การต่อสู้ดูวุ่นวายมาก ในขณะที่ Lancelot และ Galahad กลับยังคงจัดกระบวนทัพอยู่วนวงนอกเพื่อดูเชิงการเข้าปะทะของฝูงบินทั้ง 10 ฝูงอย่างดุเดือด Lancelot ประกอบด้วย ซึบาสะ อยู่ในเครื่อง 01 เท็ตสึยะ อยู่ในเครื่อง 02 และอากาศ อยู่ในเครื่อง 03 พวกเขาติดตั้งอาวุธทั่วไป Galahad มี ฮิคารุ ในเครื่อง 01 มาร์คัส เครื่อง 02 เอเรียส เครื่อง 03 ติดตั้งอาวุธทั่วไป วิมีน่า เครื่อง 04 ติดตั้ง Missile ทั้งหมด คามิโจ ฟุบูกิ ขมวดคิ้วก่อนเขาจะมองไปที่ห้องบัญชาการฝั่งตรงข้าม ก็พบว่า มิเกล วัลดัส กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน
"มิเกล วัลดัส คงคิดเหมือนกันสินะว่า การบุกเข้าไปเพื่อโชว์ออฟฝีมือของตัวเอง มันจะเป็นการฆ่าตัวตายไปซะเปล่าๆ" "หึหึหึ ร้ายกาจไม่เบานะ คามิโจ ฟุบูกิ นายเองก็คงดูออกว่าพวกขยะเหล่านี้มันก็แค่ตัวประกอบฉากเพิ่มสีสันเท่านั้น" "หมอนี่คงรอให้ทุกฝูงบินอ่อนกำลังลง แล้วรอที่จะเผด็จศึกรวดเดียวอยู่ ดังนั้น เราจะเสียกำลังพลไประหว่างนี้ไม่ได้" ทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างใช้ความคิดในการเดาใจและเดาแผนการของอีกฝ่ายเบื้องต้น ผ่านทางสายตาที่จ้องมองกัน
ระหว่างที่ฝูงบินทั้ง 10 เริ่มเสียกำลังรบไปบ้างแล้ว ทันใดนั้นเอง ฝูงบิน Kay ก็พุ่งเข้าหา Lancelot ฟุบูกิ จึงรีบสั่งให้ Lancelot จับกลุ่มบินเป็นหน้ากระดาน แล้วใช้กระสุนปืนกลกระหน้ำยิงสะกัดกันเอาไว้ Lancelot สามารถทำลายฝูงบิน Kay ไปได้ส่วนหนึ่ง ก่อนที่ Gareth จะบินผ่านเข้ามาสาดกระสุนเข้าใส่ Lancelot ยังถือว่าโชคดีที่นักบินส่วนใหญ่ของ Lancelot ในขณะนี้เป็นนักบินที่มีฝีมือดี พวกเขาจึงหลบการโจมตีนั้นไปได้ ฟุบูกิ อากาศ และ เท็ตสึยะ ดูเหมือนจะโดดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน เพราะทุกการเคลื่อนไหว ทุกตำแหน่งการบิน พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ยิงได้ง่าย และปฏิกิริยาตอบสนอง รวมไปถึงวิถีการหลบหลีกก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ
ในขณะที่ Galahad เริ่มเข้าสู่สนามรบ มิเกล สั่งให้ ฮิคารุ เป็นจ่าฝูงในการโฉบบินทำลายล้างศัตรูที่เขาระบุไว้ มิเกล เลือกที่จะทำลายเครื่องที่หลงฝูงเป็นอันดับแรก และทำลายฝูงบินที่เหลืออยู่ปริมาณไม่มากให้พ้นทาง มาร์คัส ใช้ Missile ในการทำลายเป้าหมายแบบกลุ่มได้อย่างไร้ที่ติ เขาใช้การสังเกตการปล่อย Flare ของเป้าหมาย ฮิคารุ ใช้วิธีการบินหลอกล่อและยิงกดดันทำลายกระบวนทัพ เอเรียส ทำการยิงทำลาย ในขณะที่ วิมีน่า ยังไม่ได้ยิงเลย และในที่สุดก็เป็นไปตามคาด เมื่อเครื่อง CFA-44 ลำสุดท้ายของ Bedivere ถูกยิงระเบิดไปจากหน้าจอ Simulator ก็เหลือเพียง Lancelot จำนวน 18 ลำเผชิญหน้ากับ Galahad ที่เหลืออยู่ 20 ลำเต็มจำนวนที่เข้าร่วมรบ
"ดูท่าจะสั่งให้แยกเป็นฝูงเล็กคงจะไม่ไหว เพราะหากนับความสามารถแบบตัวต่อตัวพวกเรา คงสู้ Galahad ไม่ได้แน่" "แกคงคิดจะจัด Formation เป็นฝูงใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ความสามารถของนักบินอยู่สินะ เป็นความคิดที่ไม่เลว" "อีกทั้งจำนวนกำลังรบของเราก็ห่างกันไม่มาก ถ้าจัดกระบวนทัพสู้กันตรงๆ มันก็ดูจะเสี่ยงเกินไปสำหรับทั้งแกและชั้น" "ดังนั้น ชั้นจะทำลายกระบวนทัพของแกให้เสียรูปกระบวน จากนั้นก็จะจัดการทั้งฝูงบินของแกให้อยู่หมัดในคราวเดียว" "ถ้าหมอนั่นคิดจะทำให้เราแตกฝูง เราก็ต้องหาทางกำจัดลำที่เข้ามาล่อเป้าให้เร็วที่สุดโดยจะเสียรูปกระบวนการบินไม่ได้" "Lancelot ได้นักบินใหม่ที่ดูแล้วจะยิงปืนกลได้แม่นมาก แถมทำตามแผนได้เป็นอย่างดี แต่ยังจับจังหวะ Missile ไม่ดีนัก" "ถ้าหมอนั่นแยกกันโจมตี เราจะเป็นต้องหาจังหวะดีๆ ในการใช้ Flare ชั้นไม่กลัวนายหรอก มิเกล วัลดัส....เข้ามาเลย!!!" "ชั้นพร้อมเสมอนั่นแหละ คามิโจ ฟุบูกิ ไหนลองแสดงให้ดูซิว่านายมีดีสักแค่ไหนกัน....เอาล่ะ เตรียมรับมือได้เลย!!!" แม้จะไม่ได้แสดงเป็นคำพูดออกมา แต่ดูเหมือนทั้งสองวางแผนการรับมือและตอบโต้ระหว่างกันได้ราวกับอ่านใจกันออก
..............................................................................................
ภายในห้องสังเกตการณ์
ทุกคนในห้องต่างจับจ้องการประลองช่วงก่อนที่เหมือนสงครามเครื่องบินรบกลางเวหาภายใต้ความเงียบสงบ ชิราโออิ ได้ถามขึ้นเป็นการทำลายความเงียบสงบนั้นลง "ท่านผู้บัญชาการเห็นว่ายังไงคะ กับการประลองในครั้งนี้" เฮ็นดริกส์ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "เป็นเหมือนการชิงไหวชิงพริบกันเลยล่ะ ฝูงบิน Tristan และ Gareth ลุยกันอย่างไม่คิดชีวิต" "Gaheris Gawain Geraint Percival และ Bors พยายามจะแย่งทำเลที่ดีที่สุดกันบริเวณมุมเขาจนต้องพินาศกันไปหมด" "ในขณะที่ Lamorak Kay และ Bedivere ดูเหมือนจะร่วมมือกันในตอนต้น แต่ทางด้าน Kay กลับหักหลัง ทั้งหมดจึงไปไม่รอด" "ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือ Galahad และ Lancelot ... ฟังดูน่าทึ่งที่ Lancelot กลับกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่เหลือรอดในขณะนี้" "จากประวัติการซ้อมรบที่ผ่านมา Lancelot ไม่เคยอยู่รอดมาได้ถึงขนาดนี้ ส่วนมากจะถูกลบไปจากสงครามตั้งแต่ช่วงต้นๆ แล้ว"
"ฮ่าฮ่าฮ่า อย่านับครั้งล่าสุดที่ผมเป็นผู้บังคับการก็แล้วกันครับท่าน ถึงจะไม่ชนะแต่ก็รอดมาเป็นที่สองได้" ริงเก็ต พูดเสริมขึ้น "จะว่าไปก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คามิโจ ฟุบูกิ สามารถอ่านเกมส์ได้ดี เขาสั่งการให้ Lancelot ไปอยู่ในตำแหน่งที่ดีทุกครั้ง" "แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะต้องพบกับงานหนัก เมื่อศัตรูอีกฝ่ายที่เหลืออยู่ตอนนี้กลับเป็น มิเกล วัลดัส แห่ง Galahad น่ะนะ" "ผมจะยอมรับว่าเทใจไปให้ทาง Lancelot มากกว่า แต่ก็ไม่อาจมองข้ามความจริงที่ว่า Galahad ตอนนี้ไร้เทียมทานมาก" "พวกเขายังคงเหลือเครื่อง CFA-44 ครบทั้ง 20 ลำ ในขณะที่ Lancelot เหลืออยู่ 18 ลำ เอาแค่จำนวนก็ได้เปรียบมากแล้ว" เบนจามิน ฮันเตอร์ พูดเสริมขึ้นว่า "ผมขออนุญาตถามความเห็นของท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดสักนิด ท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ"
โนเอมี เฮ็นดริกส์ ยิ้มที่มุมปาก "ถ้าถามว่าใครจะเป็นผู้ชนะ คงเป็น Galahad แน่นอน แต่ถ้าใครจะเป็นผู้ถูกเลือก...คงยังบอกไม่ได้" "อย่างที่บอกไป เราไม่ได้มาหาผู้ที่สามารถเอาชนะสงคราม แต่เรามาหาผู้ที่มีความเหมาะสมกับ The Cavalry เท่านั้น" "ยานรบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องและคุ้มครองความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ ใครทำได้ดีกว่า มันก็เหมาะกับคนนั้น" ชิเอล ฟังคำพูดของ โนเอมี เฮ็นดริกส์ จนจบ เขามองไปที่ฝูงบิน Lancelot ก่อนจะหัวเราขึ้นมาเบาๆ ราวกับกำลังเพลิดเพลิน เจ้าหน้าที่ระดับสูงแต่ละคนในห้องสังเกตการณ์ นั่งให้คะแนนฝูงบินแต่ละฝูงผ่านทางหน้าจอที่ยื่นขึ้นจากพื้นเข้ามาด้านหน้าเก้าอี้
แน่นอนว่าคะแนนรวม ณ ขณะนี้เหลือเพียง Lancelot และ Galahad ที่นำโด่ง แต่ Galahad ยังคงได้เปรียบเรื่องคะแนนอยู่นิดๆ
..............................................................................................
การปะทะระหว่าง Lancelot กับ Galahad ได้เริ่มต้นขึ้น
ฟุบูกิ สั่งการให้ ซึบาสะ ในเครื่อง 01 เป็นเครื่องจ่าฝูง พาฝูงบินทำการบินวนผ่ากลางซอกของเทือกเขา และให้เครื่องที่เหลือคุ้มกัน เทือกเขานั้นเป็นเหมือนกับเหวลึกยาว 400 k.m. มันเป็นซอกที่ยาวมาก และในเทือกเขาลูกนี้ไม่ได้มีซอกเขาเพียงซอกเดียว มันมีซอกเขายาวเรียงแทบจะขนานกันไปจุดสุดแนวเขาอยู่ 5 แนว ความลึกของซอกเขาประมาณ 17 กิโลเมตร ถือว่าลึกเอามากๆ เพราะ ฟุบูกิ ไม่ต้องการให้ Lancelot ตกเป็นเป้านิ่งในที่โล่ง การบินเลาะระหว่างเทือกเขา จะสามารถลดทิศทางที่ถูกโจมตีลงได้ เขาจึงตัดสินใจสั่งการให้ Lancelot บินหนีฝูงบิน Galahad ที่บินตามไล่ลา เข้าไปในซอกเขาตรงกลางซอกที่ 3 จากทั้งหมด 5 ซอก แต่ระหว่างแนวขนานก็มีช่องเขาที่เชื่อมติดกันด้วย เขาจึงสั่งให้ Lancelot ค่อยๆ ยิง Missile ทำร่องไปยังช่องเขาที่อยู่เบื้องหน้า และก็เป็นไปตามคาด มิเกล วัลดัส ได้ให้ฝูงบิน Galahad กระจายตัวบินลัดเลาะมาตามช่องเขาจากอีกฟากหนึ่งของซอกเขาคู่ขนาน Galahad ที่มาดักโจมตีถูกยิงระเบิดและออกจากการจำลองการรบไปทีละลำสองลำ จนในที่สุด พวกเขาก็เหลือเพียง 15 ลำ อากาศ มองดูการระเบิดของทีม Galahad และพูดขึ้นว่า "โอ้ว ไม่เลวๆ ดูเหมือนไอ้หน้าหล่อหลงกลแผนของเจ้าปวกเปียกซะแล้ว"
แต่ทันใดนั้น ก็มี Missile พุ่งข้ามขอบแนวเทือกเขามาที่ Lancelot จากด้านขวา มันตรงดิ่งตาม Lancelot ด้วยความเร็วสูง เท็ตสึยะ ทำการปล่อย Flare เพื่อล่อและทำลาย Missile เหล่านั้นไป แต่ Missile ก็ยังคงยิงเข้ามาเรื่อยๆ พวกเขาต้องใช้ Flare มากขึ้น ฟุบูกิ และทุกคนในฝูงบิน Lancelot รู้ทันทีว่าฝูงบิน Galahad จำนวนไม่น้อยบินอยู่ทางซ้ายมือ เพราะจำนวน Missile ที่ยิงมานั้นเยอะมาก ระหว่างที่ Lancelot บินผ่านกลางระหว่างซอกเขา พวกเขาทำลาย Galahad ไปจนเหลือเพียง 12 ลำ แต่ก็เสียงฝูงบินไปบ้างเหลือ 15 ลำ และพวกเขากำลังจะพ้นแนวซอกเขา จากปริมาณ Missile ทางด้านซ้าย ฟุบูกิ จึงประมาณว่า Galahad อยู่ด้านซ้ายมือของเขาราวๆ 8 ลำ "บ้าชิบ โดนมันเก็บไปได้ 3 ลำ.... ถ้าเป็นการรบจริง.... ชั้นทำลูกน้อยตายไปแล้ว 3 คนแล้วอย่างนั้นหรอ" ฟุบูกิ กัดฟันพูดขึ้น เขาจึงสั่งให้ Lancelot ทั้งฝูงตีวงอ้อมไปเข้าซอกเขาทางขวา เพื่อใช้จำนวนที่มากกว่าในการถล่มยิง Galahad ที่คาดว่ามีเพียง 4 ลำ
แต่เมื่อ Lancelot ตีวงไปทางด้านขวา ฟุบูกิ และ Lancelot กลับต้องแปลกใจเมื่อเขาไม่พบ Galahad สักลำอยู่ทางด้านนั้นเลย "แย่ล่ะสิ มันเป็นกับดักให้ชั้นเลี้ยวมาทางนี้ Lancelot ศัตรูอยู่ด้านหลัง" ฟุบูกิ ตะโกนสั่งการให้ลูกทีมรีบเชิดหัวขึ้นแล้ววกกลับลงมา ระหว่างที่พวกเขาเชิดหัวขึ้นเพื่อ Turn ทิศทางการบิน Missile จำนวนมากก็ถูกยิงเข้าใส่จนต้องใช้ Flare ชุดสุดท้ายเอาตัวรอด เมื่อพวกเขาหันกลับหลังมาได้ กลับพบสิ่งที่ประหลาดใจอีกครั้ง เพราะศัตรูที่อยู่ตรงหน้ามีเพียง Galahad 04 ลำเดียวของ วิมีน่า เครื่องของเธอหนักมาก ทำให้ไม่สามารถเชิดหัวขึ้นเพื่อนวกกลับมาตลบท้ายฝูงบิน Lancelot ได้เหมือนที่ Lancelot ทุกลำทำ "บ้าจริง อย่าบอกนะว่า Missile ทั้งหมดถูกยิงมาจากเครื่องบินลำนั้นลำเดียว .... แล้วพวกเขาทั้งหมดหายไปไหนกันล่ะ ...." ระหว่างที่กำลังใช้ความคิด Lancelot ก็ยิงทำลายเครื่องของ วิมีน่า ที่เป็นเหยื่อล่ออย่างแน่นอน จนระเบิดออกจากการประลอง เมื่อ ฟุบูกิ นึกขึ้นมาได้ เขาสั่งให้ Lancelot บินแยกตัวออกจากกันทันที แต่ด้วยข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ที่ ฟุบูกิ ต้องเผชิญ คือทั้งแนวซอกเขาสองข้างเป็นเทือกกำแพงสูง ทำให้ไม่สามารถบินแยกตัวออกจากกันได้ห่างมากพอจะหลบวิถีของ Missile ได้
Missile จำนวนหนึ่งพุ่งลงจากฟ้า แม้ว่า Lancelot จะหลบการโจมตีนั้นได้ แต่เขาก็พลาดอีกครั้งเมื่อ CFA-44 ที่บินลงมาจากฟ้า มันกลับมีเพียง 3 ลำเท่านั้น ผู้ที่นำทีมบินลงมาคือ Galahad 01 พวกเขาใช้ Missile ทำลาย Lancelot ไปเพิ่มได้รวดเดียวถึง 4 ลำ ฮิคารุ เธอบินอยู่เหนือหัวของ Lancelot มาพักใหญ่แล้ว แต่เพิ่งจะไล่ตามมาทัน เพราะเสียเวลากับการไต่ระดับความสูงอยู่พอควร ในขณะนี้ Lancelot เหลือเครื่องบินที่ยังรอดอยู่ 11 ลำ ทางกลับกัน Galahad เสียเพิ่มไปอีก 3 ลำ เหลือรอดอยู่เพียง 8 ลำเท่านั้น แต่สิ่งที่แย่สำหรับ ฟุบูกิ คือ ความมั่นใจของเขาที่คิดว่า Galahad ทั้งหมดดักโจมตีจากที่สูงนั้น ทำให้เขาใช้ Missile ไปจนหมด ฟุบูกิ กำหมัดแน่น สิ่งที่แล่นมาในหัวของเขาก็คือ ถ้าสิ่งที่เขาเจอในคราวนี้เป็นภารกิจจริง เขาต้องสูญเสียลูกน้องไปเกือบครึ่ง ทันใดนั้น ฝูงบิน Galahad ทั้งหมดก็บินออกจากซอกเขาทั้งสองข้าง นำออกมาโดย Galahad 02 และ Galahad 03 อาวุธครบมือ ทั้งหมดบินอยู่ในซอกเขาซอกที่ 1 และ 5 รอจังหวะที่ Lancelot หมดทางต่อสู้ จึงลัดเลาะมาตามช่องเขาทางเชื่อมและโผล่ออกมา พวกเขา Lock เป้าไปที่ Lancelot แบบเรียงตัวทีละลำ ซึบาสะ เหลือบไปเห็นสัญญาณที่แจ้งว่าถูก Lock เป้าหมายเรียบร้อย "ฟุบูกิ พวกเราถูก Lock เป้าหมาย ศัตรูล้อมเราไว้หมดแล้ว Galahad พวกเขาใช้เหยื่อล่อทำให้เราใช้ Missile และ Flare ไปจนหมด"
ฟุบูกิ มองดูภาพจากห้องนักบิน Lancelot ทุกคน "ไม่จริงน่า...ชั้นจะเสียพวกเขาไปทั้งหมดไม่ได้...จะทำยังไงดี คามิโจ ฟุบูกิ!!" มิเกล วัลดัส ยิ้มมุมปาก "แกแพ้แล้ว คามิโจ ฟุบูกิ...." ทว่าในขณที่ มาร์คัส และ เอเรียส กำลังจะกดปุ่มยิง Missile นั้นเอง Simulator ทั้งหมดก็ดับลง ท่ามการเสียงปรบมือของผู้รับชมที่อยู่ภายนอก มันแสดงผลว่าการประลองสิ้นสุดลงเรียบร้อย มิเกล วัลดัส เงยหน้าขึ้นมองผ่านกระจกไปยังห้องบังคับการที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาเห็น ฟุบูกิ ยืนนิ่ง มือของเขาจิ้มลงที่แผงหน้าจอ และแน่นอนว่า สิ่งที่ คามิโจ ฟุบูกิ ทำนั้นก็คือ การกดปุ่มยอมแพ้ เพื่อยุติการประลองในครั้งนี้ลง ก่อนจะเงยหน้ามอง มิเกล กลับมา "ชั้นไม่รู้ว่าที่ทำไปน่ะถูกต้องรึเปล่า....แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่จะไม่ต้องเห็นพวกเขาถูกทำลาย" ฟุบูกิ พูดขึ้นเมื่อการประลองยุติลง
..............................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 5:08:03 GMT
หลังจากการประลองสิ้นสุด
นักบินทุกคน รวมไปถึงผู้บังคับการ ก็เดินออกจากห้องฝึกบิน Cockpit Simulator ไปยังห้องโถงที่จัดเตรียมไว้มอบรางวัล พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ที่วางเรียงรายอยู่ต่อหน้าเวที เจ้าหน้าที่ทุกคนตระเตรียมความพร้อมก่อนที่ โนเอมี เฮ็นดริกส์ จะเดินขึ้นไปบนเวที
"ก่อนจะประกาศผลการตัดสินของคณะกรรมการว่าใครจะเป็นผู้ที่ได้รับ The Cavalry เข้าสังกัดกองบินของตนนั้น...." "ดิชั้นขอชื่นชมฝูงบินทุกฝูง ที่ต่างพากันทุ่มเทให้กับการประลองในครั้งนี้อย่างสุดความสามารถ มีการใช้ยุทธการหลากหลายรูปแบบ" "ทำให้ดิชั้นรับรู้ได้ทันทีว่า 12 ฝูงบินแห่ง Radamanthys ไม่ได้ถดถอยลงไปกว่าอดีตที่ผ่านมาเลย พวกคุณยังคงความเป็นเลิศเอาไว้ได้" "แน่นอนว่าต้องปรบมือให้แก่ Lancelot และ Galahad ที่เหลือรอดประหนึ่งมวยคู่เอกให้เราได้ชมในช่วงท้ายของการประลองนี้" "หาก The Cavalry ตกเป็นของฝูงบินใดฝูงบินหนึ่ง มันก็คงเป็นเรื่องที่ไร้ข้อกังขาสำหรับฝูงบินอื่นที่พ่ายแพ้ไปอย่างแน่นอนที่สุด"
"ทว่า ดิชั้นขอทวนโจทย์ในการประลองในครั้งนี้ให้ทุกท่านทราบอีกครั้ง เผื่อบางท่านหลงลืมและมองข้ามไป และนั่นก็คือ" "The Cavalry ยานรบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองชีวิตและความอยู่รอดของมนุษย์ทุกคนบนดาวดวงนี้" "มันตีความหมายได้ว่า พวกคุณทุกคนต้องทำทุกวิถีทางให้เพื่อความรอด เรามาหาผู้ชนะ แต่ก็มองหาผู้ที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน" "ผู้ที่ได้รับชัยชนะจากการประลองในครั้งนี้ก็คือฝูงบิน Galahad โดยไม่ต้องสงสัย แต่ผู้ที่เหมาะสมกับ The Cavalry คือ...Lancelot" "เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดแล้วจริงๆ แม้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ชนะการประลอง แต่เป็นผู้ที่กรรมการได้เลือกแล้ว" ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ฟุบูกิ กลับแทบไม่เชื่อหูของตนเอง ในขณะที่ มิเกล วัลดัส ลุกขึ้นแล้วยิงคำถามใส่ เฮ็นดริกส์ ทันที "มิเกล วัลดัส ผู้บังคับการฝูงบิน Galahad ขอทราบเหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงเป็น Lancelot ในเมื่อ Galahad เป็นผู้อยู่รอดอย่างแท้จริง" "พวกเรา Galahad ได้แสดงให้ทุกท่านได้เห็นประจักษ์ถึงศักยภาพอันแท้จริงว่าพวกเราเหนือกว่า Lancelot ในการรบทุกๆ ด้าน" "ประเด็นเหล่านี้ ผมเชื่อว่าไม่ได้มีเพียงตัวผมที่ยังขัดข้องใจ ทุกท่านในที่นี้ย่อมต้องการคำตอบจากท่านด้วยเช่นกันครับ!!"
เฮ็นดริกส์ ยิ้มอย่างพอใจในคำถาม ก่อนจะตอบกลับไปว่า "เป็นคำถามที่ดี เพราะหากท่านไม่ถาม ทุกคนก็คงจะสงสัยอยู่ไม่น้อย" "ในสมัยก่อนครั้นอยู่บนโลก มนุษย์ได้เคยทำสงครามกันเองเพื่อแก่งแย่งพื้นที่ ทรัพยากร และผลประโยชน์ ต่างมองอีกฝ่ายเป็นคนละพวก" "มนุษย์ในสมัยนั้นไม่เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง พวกเขาใช้กำลังเข้าประหัดประหาร และยังเคยมีสิ่งที่เรียกว่า ทาส อีกด้วย" "Galahad แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกคุณมีแผนการที่ยอดเยี่ยมในการหลอกล่อศัตรู มีแผนซ้อนแผนที่เหนือชั้น แต่คุณลืมบางสิ่งไป" "นั่นก็คือความเป็นเพื่อนมนุษย์ นอกจาก Galahad จะยิงทำลายศัตรูไปได้มากที่สุดแล้ว พวกคุณใช้นักบินในฝูงบินของตนเป็นเหยื่อล่อ" "การที่คุณทิ้งให้ Galahad 01 05 06 และโดยเฉพาะ 04 เป็นเหยื่อล่อให้ศัตรูรุมยิง เป็นแผนการที่ดีแต่มันไร้มนุษยธรรมเกินไป" "ปัจจุบัน สงครามระหว่างมนุษย์ไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนดาวดวงนี้คือความหมายของคำว่า "เรา" "ด้วยสภาวะแวดล้อม และปัจจัยที่เป็นภัย ความอยู่รอดของเราจึงสำคัญที่สุด มันอยู่เหนือสิ่งอื่นใด อยู่เหนือซิ่งศักดิ์ศรี" "โจทย์ที่ว่าทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด นั่นรวมไปถึงการตัดสินใจละทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อให้สมาชิกในทีมไม่ต้องถูกยิงตกด้วยเช่นกัน" "ผู้บังคับการวัลดัส คุณทำทุกวิถีทางเพื่ออยู่รอดก็จริง แต่ผู้บังคับการคามิโจ ได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดมากกว่าคุณ" "เขาพยายามสุดความสามารถ ทำทุกหนทาง ยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง เราจึงเลือกเขา" เฮ็นดริกส์ พูดจบก็เริ่มเข้าสู่พิธีมอบรางวัล
เมื่อพิธีมอบรางวัลจบลง เจ้าหน้าที่ระดับสูงเริ่มทะยอยเดินออกจากห้องโถง นักบิน Lancelot ทุกคนวิ่งกรูกันมาแสดงความยินดีกับ ฟุบูกิ แต่ในสายตาและในความคิดของ ฟุบูกิ มันไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากรายยิ้มของ อะมาเทระ ซึบาสะ ที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้เลย มิเกล วัลดัส ไม่ยอมรับในการตัดสินครั้งนี้ เขาคิดว่าเขาเป็นฝ่ายที่ต้องได้รับ The Cavalry และยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ เฮ็นดริกส พูด จึงรีบเดินออกจากห้องโถงนั้นไปแบบไม่สนใจใคร วิมีน่า มีสีหน้าเป็นห่วง มิเกล อย่างเห็นได้ชัด เธอจึงเดินตาม มิเกล ออกไปด้วย มาร์คัส นั้นไม่สนใจว่า Galahad จะได้รับ The Cavalry หรือไม่ เพราะสำหรับเขา การที่ Lancelot ยอมแพ้ ก็เท่ากับเขานั้นชนะแล้ว ส่วน เอเรียส ได้แต่มอง วิมีน่า เดินตาม มิเกล ออกไป ตัวเขาเองและ ฮิคารุ ยอมรับผลการตัดสิน จึงไม่ได้เดินตามทั้งสามคนออกไป พวกเขาตัดสินใจที่จะอยู่ต่อในงานเลี้ยงที่กำลังจะดำเนินต่อไป และไปแสดงความยินดีกับ Lancelot รวมถึงพูดคุยกับนักบินจากฝูงบินอื่น
................................................................................................
ดาดฟ้าชั้น 25 ของอาคารบัญชาการ เขตกองทัพ
มิเกล วัลดัส เดินขึ้นบันใดเพื่อเป็นการควบคุมอารมณ์ตั้งแต่ชั้น 4 ที่เป็นห้องโถง จนมาถึงชั้น 25 ซึ่งเป็นดาดฟ้า ท้องฟ้าจำลองเริ่มจะมืด ลมจำลองพัดมากระทบร่างกายที่เปียกท่วมไปด้วยเหงื่อของ มิเกล ทำให้อารมณ์ของเขาเย็นลงบ้าง "คนพวกนี้เป็นบ้าอะไรกันไปหมด กดปุ่มยอมแพ้แต่กลับเป็นผู้ที่ถูกเลือกอย่างนั้นหรอ ความอยู่รอดและความเป็นเพื่อนมนุษย์งั้นหรอ" "มันจะโลกสวยเกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง....ในสงครามใครจะไปห่วงการเอาตัวรอดกันล่ะ...มันมีแต่ต้องพังกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น" มิเกล บ่นไปหอบไป ระหว่างนั้น ก็มีอ้อมแขนเข้ามาโอบกอดเขาไว้จากด้านหลัง หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้นว่า "ไม่เป็นไรนะ...มิเกล"
มันเป็นเสียงของ วิมีน่า เธรมริล ที่เดินตามเขาขึ้นมาตั้งแต่ชั้น 4 เธอก็มีสภาพเหนื่อยล้า ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อเช่นกัน "ไม่ว่านายจะคิดอะไร หรือตัดสินใจอะไร แล้วใครมองว่าไม่ถูกต้อง หรือแม้ว่านายจะสั่งให้ชั้นไปเป็นเหยื่อล่ออีกสักกี่ครั้งก็ตาม" "ชั้นก็ไม่เคยเคลือบแคลงใจในตัวของนาย....ไม่ว่านายจะไม่เหลือใคร หรือไม่มีใครอยู่ข้างนาย นายยังมีชั้นอยู่ตรงนี้เสมอนะ" "ชั้นแค่อยากรู้จริงๆ ว่า มันพอจะมีสักครั้งไหม.....ที่นายจะมองเห็นว่าชั้นสำคัญมากไปกว่าเป้าหมายในใจของนาย....." มิเกล ตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์กลับไปว่า "นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าในตอนนั้น คุณมีความสามารถที่ผมต้องการมากกว่าคนอื่นรึเปล่า"
วิมีน่า ยิ้มบางๆ น้ำตาเธอคลอขึ้นมาเล็กน้อย "ฮึฮึฮึฮึ...ว่าแล้วนายจะต้องพูดแบบนี้ ชั้นคงจะต้องพยายามให้มากขึ้นกว่านี้ซะแล้วสิ...."
.................................................................................................
หลังจากที่งานเลี้ยงจบลง
ฟุบูกิ และ ซึบาสะ แยกย้ายจากงานมายังสนามเด็กเล่น นั่งชิงช้าตัวเดิมที่กับวันก่อน พวกเขานั่งมองดาวบนฟ้าจำลอง ซึบาสะ มองหน้า ฟุบูกิ ที่ดูจะผ่อนคลายลงจากการประลอง "ชั้นถามหน่อยสิ....ทำไมนายถึงตัดสินใจกดปุ่มนั้นขึ้นมาละ" ฟุบูกิ ยิ้มบาง ก่อนจะละสายตาจากท้องฟ้าจำลองยามค่ำคืนกลับมามองหน้า ซึบาสะ "เป็นคำถามที่ตอบยากอยู่เหมือนกันนะ" "ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะมาเอาชนะพี่ชายของเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว....แค่เพียงอาจจะลองดูว่าพอจะสู้เขาได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น" "แต่ระหว่างนั้น มีวูบหนึ่งชั้นคิดขึ้นว่า ถ้ามันเป็นภารกิจในปฏิบัติการจริง ชั้นคงทนเห็นพวกเธอต้องตายไปจนหมดไม่ได้" "ชั้นพยายามคิดหาวิธีอื่น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เหลือสักทางที่จะช่วยพวกเธอได้ การกดปุ่มๆ นั้นมันยังดีกว่าปล่อยให้พวกเธอถูกยิง"
ซึบาสะ หัวเราะเบาๆ "งั้นในสถานการณ์จริง ช่วยคิดหาวิธีอื่นในการช่วยพวกชั้นในภารกิจจริงด้วยนะ เพราะว่ามันไม่มีปุ่มยอมแพ้นะ" ฟุบูกิ หัวเราะกับตลกร้ายของ ซึบาสะ ก่อนจะตอบโต้กลับไปว่า "ถ้ามันไม่มีปุ่มยอมแพ้ ชั้นก็จะใช้ชีวิตของชั้นนี่แหละช่วยเธอแทน" "แล้วก็....ชั้นมีเรื่องจะบอกเธอตั้งแต่วันก่อน แต่ไม่มีเวลาจะได้บอกซะที....คราวหลังอย่าหายตัวหรือทิ้งชั้นไปไหนอีกล่ะ" ซึบาสะ มองเข้าไปในดวงตาของ ฟุบูกิ เธอรับรู้ได้ถึงความจริงใจในคำพูด จึงพยักหน้าเป็นการตอบรับโดยไม่พูดมันออกจากปาก จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะหันมายิ้มให้ "งั้นชั้นกลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้นะท่านผู้บังคับการ...เอ๊ะไม่สิ....จอมยุทธอินทรี" ทันทีที่แซวจบ ซึบาสะ ก็รีบเผ่นหายไปในเงามืดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่ ฟุบูกิ จะได้ต่อว่าเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็เห็นอะไรบางสิ่ง ทีแรกมันเหมือนกับว่า ซึบาสะ ทำของหล่นเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ขณะที่เธอลุกขึ้น และเธอก็วิ่งไปโดยไม่ได้สนใจมัน แต่เมื่อเขามองสิ่งที่หล่นอยู่บนม้านั่งชิงช้าของ ซึบาสะ ให้ชัดด้วยลูกตาของเขาอีกครั้ง ก็เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่เธอจงใจทิ้งไว้ ฟุบูกิ หยิบของชิ้นนั้นขึ้นมา มันเป็นเข็มกลัดรูปคนขี่นกอินทรีที่ ริงเก็ต เคยจะมอบให้เขา แต่เขากลับปฏิเสธไปในตอนแรก
"ความเป็นจริงคงไม่มีปุ่มยอมแพ้และก็จะยอมแพ้ไม่ได้.....และแน่นอนว่าจอมยุทธอินทรีจะไม่มีทางยอมแพ้ด้วยเช่นกัน"
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 5:57:32 GMT
EP8 : Unidentified Invaders การปฏิบัติภารกิจของ Radamanthys ผ่านไปได้ด้วยดีจนผ่านไปเป็นเวลา 3 เดือน
กระทั่งสถานีอวกาศได้ตรวจพบการโคจรของดาวหางกลุ่มใหม่ที่เข้ามาในระบบสุริยะ นักดาราศาตร์จึงเริ่มติดตามมันอย่างใกล้ชิด แม้ว่ามันจะโคจรด้วยความเร็วไม่มาก แต่มันกลับผ่านวงโคจรของ Gliese667CD ซึ่งโคจรอยู่รอบนอกเข้ามาได้อย่างน่าฉงน นักดาราศาสตร์ให้ความสนใจมันเป็นอย่างมาก เพราะตามวิถีของดาวหางทั่วไปที่มีมวลสารสูง เส้นผ่าศูนย์กลางร่วม 20 กิโลเมตร มันน่าจะถูกแรงโน้มถ่วงของ Gliese 667CD ดึงเข้าหาเรียบร้อยแล้ว แต่ดาวหางกลุ่มนี้กลับไม่เสียทิศทางการโคจรแม้แต่น้อย เมื่อมันโคจรผ่าน Gliese 667CD มาได้ นอกจากจะไม่เสียวิถีการโคจรเดิมของมันแล้ว มันยังเพิ่มความเร็วการโคจรมากขึ้นอีกด้วย สามวันต่อมา มันได้เปลี่ยนวิถีการโคจรอย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ และแยกตัวออกจากกัน แถมมุ่งหน้ามายัง Gliese667CC เมื่อ โนเอมี เฮ็นดริกส์ ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว เธอจึงนัดประชุมฝูงบินเป็นการเร่งด่วน เพื่อเตรียมแผนการรับมือดาวหางกลุ่มนี้
ภายในห้องประชุมใหญ่ ประกอบด้วยผู้บังคับการฝูงบินทุกฝูง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกราย ภายใต้บรรยากาศที่ตรึงเครียด การประชุมผ่านมาได้ช่วงหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนได้รับทราบความเป็นมาและรายการงานการติดตามดาวหางกลุ่มนี้เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนเจ้าหน้าที่และผู้บังคับการฝูงบินส่วนใหญ่จะพยายามคิดและมองว่ามันเป็นกลุ่มดาวหางธรรมดาเหมือนที่เคยผ่านๆ มา แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ จึงได้เพียงกระซิบกันเบาๆ ไม่มีผู้ใดกล้าแสดงความคิดเห็นของตนออกมา เมื่อ โนเอมี เฮ็นดริกส์ เห็นว่ายังไม่มีผู้ใดกล้าจะแสดงความคิดเห็น จึงขอความเห็นจาก มิเกล วัลดัส ผู้บังคับการฝูงบิน Galahad ในฐานะที่เขาเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดตามตำแหน่ง มิเกล วัลดัส อ่านรายงานอยู่หลายรอบก่อนจะส่วมใส่ Headphone
"เรียนทุกท่าน...จากรายงานการตามติดตามดาวหางที่เรามี มีเรื่องทีแปลกประหลาดจนผมคิดไม่ออกอยู่หลายประการด้วยกัน" "ประการแรกคือ กลุ่มดาวหางที่มีมวลสารขนาดนั้น แต่กลับไม่ได้รับผลกระทบจากแรงดึงดูดของ Gliese 667CD แม้แต่น้อย" "นั่นแปลว่า ขณะที่มันโคจรผ่าน Gliese 667CD ต้องมีพลังงานบางอย่างพยุงวิถีการโคจรของมันเอาไว้ ซึ่งก็ยังยืนยันไม่ได้แน่ชัด" "ประการที่สองก็คือ การเร่งความเร็วและการกระจายตัว ข้อนี้มันจะง่ายขึ้นถ้าในรายงานบอกว่ามันถูกชนจากดาวหางอีกกลุ่ม" "หากมีการปะทะจากด้านหลัง ทำให้ความเร็วมันสูงมากขึ้น และกระจายตัวออก การวิเคราะห์ก็คงจะทำได้ไม่ยากเย็นเช่นนี้" "ประการที่สามคือ กลุ่มดาวหางที่กระจายตัวออก มันแยกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ แต่มีหนึ่งในนั้นจะโคจรตรงเข้ามายัง Radamanthys" "Gliese 667CC มีขนาดใหญ่ แต่วิถีกับความเร็วของมันที่โคจรเข้ามากลับแม่นยำราวกับมีการคำนวณทุกอย่างเอาไว้ก่อนแล้ว" "ความเห็นโดยสรุปของผมมันอาจจะฟังดูแปลกประหลาด นั่นก็คือ เรากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตต่างดาว ซึ่งมันไม่ธรรมดา" "มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา และปราศเปรื่อง ดูจากวิถีการโคจร มันอาจจะเป็นดาวหางที่ถูกส่งมาเพื่อทำลายเราก็เป็นได้"
เมื่อ มิเกล วัลดัส พูดจบ เสียงฮือฮาก็เริ่มดังขึ้น แน่นอนว่ามันเป็นการถกเถียงความเป็นไปได้ของสิ่งที่ มิเกล พูดขึ้นมา คามิโจ ฟุบูกิ มองดูเจ้าหน้าที่และผู้บังคับการฝูงบินในห้อง ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ค่อยเชื่อทฤษฎีของ มิเกล วัลดัส เท่าใดนัก ฟุบูกิ จึงสวม Headphone และเริ่มกล่าวขึ้น "ผมเห็นด้วยกับทฤษฎีของผู้บังคับการวัลดัสครับ" เมื่อ มิเกล ได้ยินก็แปลกใจเล็กน้อย มิเกล ชำเลืองหางตามอง ฟุบูกิ ในขณะที่ ฟุบูกิ หันมามอง มิเกล ก่อนจะพูดต่อไปว่า "เพราะมันขัดกับทฤษฎีของดาวหางไปเสียหมด" "ทั้งวิถีการโคจร ทั้งความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น และการแยกตัวโดยไร้ปัจจัยภายนอก มันก็เท่ากับว่าเป็นการกระทำโดยตัวของดาวหางเอง" "มันชี้ชัดอยู่แล้วว่าเป็นการกระทำของสิ่งที่มีสติปัญญา การที่มันสามารถควบคุมดาวหางได้ ก็ย่อมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทั่วไปอย่างแน่นอน" "การที่เราเดินทางมายังดาวดวงนี้ได้ สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ เป็นข้อพิสูจน์ได้ดี มันจะแปลกอะไรครับ ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอื่นที่ทำได้เหมือนกัน" "แต่มันมาเพื่ออะไร หรือ สิ่งที่พุ่งตรงเข้ามาคืออะไร ตอนนี้คงยังไม่มีใครบอกได้ เพราะเท่าที่เราเห็นตอนนี้คือดาวหางกลุ่มหนึ่งเท่านั้น" "จากข้อมูลที่มี มันประกอบด้วยโลหะ หิน น้ำแข็ง และกัมมันตภาพรังสี แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือเราต้องทำลายมันก่อนที่มันจะทำลายเรา"
โนเอมี เฮ็นดริกส์ พยักหน้าแล้วถามขึ้นว่า "แล้วแผนการทำลายมัน...พวกคุณหาวิธีไว้ได้แล้วรึยังล่ะคะ คุณวัลดัส คุณคามิโจ" มิเกล เป็นผู้ตอบคำถามนั้นก่อน "จากการคำนวณวิธีกลุ่มดาวหางทั้ง 5 มันมีเพียงกลุ่มเดียวที่ถือว่าเป็นอันตรายต่อพวกเรา" "ขนาดดาวหางในครั้งนี้อยู่ในวิสัยที่เราจะสามารถทำลายมันได้ แต่แม้มันจะเหลือเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 5 กิโลเมตร ก็ตามที" "แต่อย่างที่เราทราบจากรายงานว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีได้ และมันก็อาจเกิดขึ้นอีกครั้งขณะที่เรากำลังปฏิบัติภารกิจ" "สถานีอากวศได้รับการพัฒนาจากปฏิบัติการครั้งก่อนก็จริง แต่การยิงปืนใหญ่ดาวเทียม GPW เหมือนคราวก่อนก็อาจจะล้มเหลว" "ผมจึงขอเสนอให้ใช้ฝูงบินทั้งหมดเท่าที่เรามี ด้วยยานรบอวกาศทั้งหมด 12 ลำ บังคับวิถีโคจรของให้มันเข้าหาแนวยิง GPW" "แต่ถ้าเราเลื่อนแนวปะทะออกไปไกลเท่าไร โอกาสที่มันจะหลบเลี่ยงการปะทะได้ก็ยิ่งง่ายมากขึ้น ปฏิบัติการนี้ก็จะเสี่ยงมากขึ้น" "เราต้องทำลายมันในระยะใกล้ที่ 30,000 กิโลเมตร โดยใช้ยานรบ 8 ลำ 8 ฝูงบินบีบวิถีการโคจรของมันให้เข้าหาแนวยิง GPW" "หลังจากที่มันผ่านแนวการยิง GPW มาได้แล้ว เราจะใช้ยานรบอีก 4 ลำ และ 4 ฝูงบิน ยิงทำลายมันซ้ำอีกครั้งให้สิ้นซาก"
เมื่อ มิเกล พูดจบ ฟุบูกิ จึงเสนอขึ้นว่า "ผมกับ Lancelot อาสายิงทำลายมันก่อนมันจะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ Gliese ครับท่าน" "ถือว่าเป็นการทดสอบสมรรถนะและประสิทธิภาพของ The Cavalry ไปด้วยในตัว และผมจะไม่ยอมปล่อยให้มันลงมาได้แน่นอน" มิเกล เหลือบมอง ฟุบูกิ และพูดขึ้น "อันที่จริงผมก็จะเสนออย่างนั้นอยู่เหมือนกันแหละครับ เพราะยานรบธรรมดาดูจะด้อยเกินไป" โนเอมี เฮ็นดริกส์ ฟังจบ เธอมองไปรอบห้อง และดูเหมือนจะไม่มีใครคัดค้านแผนการปฏิบัติภารกิจที่ มิเกล และ ฟุบูกิ เสนอ "เอาล่ะ ถ้าไม่มีใครคัดค้าน ปฏิบัติการของเราจะเริ่มอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า ฝูงบินทั้งหมดรับคำสั่ง Galahad Geraint Percival Bors " "Kay Gareth Bedivere และ Lamorak ดำเนินภารกิจยิงทำลายกลุ่มดาวหาง 05 ด้วย GPW ของสถานีอวกาศเป็นด่านแรกสุด" "ส่วน Gaheris Tristan Gawain และ Lancelot ทำลายดาวหางที่หลงเหลือหลังจากที่มันผ่านด่านแรกมาเป็นด่านที่ 2 ให้สิ้นซาก"
"ขอให้ทุกท่านเตรียมความพร้อมของฝูงบินตนให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะมากได้ ขอให้ทุกคนโชคดี" เฮ็นดริกส์ กล่าวปิดท้าย
........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 5:58:31 GMT
ภายในโดมเขตอยู่อาศัย ช่วงเย็น
ภายหลังจากการประชุมใหญ่เสร็จสิ้นไปแล้ว นักบินทุกคนรับทราบภารกิจเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาออกประจำการ ฝูงบิน Galahad ได้เข้ามาที่ตัวเมือง ฮิคารุ ไชคอฟกี้ และ เอเรียส ซีวิโอเลีย ขอให้ มิเกล วัลดัส เป็นเจ้ามืองานปาร์ตี้ฝูงบิน เนื่องจาก ฮิคารุ เห็นว่าตั้งแต่ มิเกล วัลดัส เข้าประจำการ Galahad ก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ได้หยุดหย่อนแม้แต่วันเดียว นักบินในฝูงบินก็เริ่มเกิดความเครียดมากขึ้น เพราะรูปแบบการทำภารกิจภายใต้การนำของ มิเกล ค่อนข้างจะเข้มงวดและกดดัน มิเกล วัลดัส จึงตกลงเป็นเจ้ามือแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เต็มใจนักก็ตาม เขาจึงต้องพาเจ้าหน้าที่ทุกคนในฝูงบินว่า 40 ชีวิตมาเลี้ยงฉลอง ฝูงบิน Galahad ได้จองห้องในร้านอาหารซึ่งเป็นห้องสำหรับร้องเพลง จัดงานปาร์ตี้สังสรรค์ ทุกคนร้องเล่นเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
แต่ละคนก็มีความเพลิดเพลินที่แตกต่างกัน มาร์คัส ไม่สนใจใครเท่าใดนัก เขาเอาแต่กินผลไม้ Alchofruit ผลไม้ที่เหมือนเหล้า ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ ไม่ต่างไปจาก มาร์คัส เธอกิน Alchofruit อย่างเงียบๆ แต่มีอากับกิริยาร่วมกับเสียงเพลงขึ้นมาบ้างบางครั้ง วิมีน่า ออกไปร้องเพลงอย่างสนุกสนานกับเครื่อง Karaoke ซึ่งร้านนี้เป็นแห่งเดียวที่เปิดให้บริการประเภทนี้อยู่บน Radamanthys เอเรียส เพลิดเพลินกับการนั่งฟังเพลงด้วยรอยยิ้ม ปัจจุบันไม่มีการเขียนเพลงใหม่ขึ้น จึงเป็นเพลงสมัยเมื่อกว่า 300 ปีที่แล้ว แต่เหนือสิ่งอื่นใด สายตาของ เอเรียส จับจ้องไปที่ วิมีน่า ตลอดเวลา แต่เมื่อเธอหันมาเขากลับหลบตาทำเป็นมองไปที่อื่นแทน ส่วน มิเกล วัลดัส นั้นแตกต่างออกไป เขาไม่ได้สนุกสนานกับลูกน้องเลย แต่นั่งทำงานด้วย Tablet ของตัวเองอย่างจดจ้อง
ไม่นานนัก มิเกล ก็เดินออกจากร้านเพื่อเดินทางกลับ แต่ก็ต้องหยุดเดินเมื่อ ฮิคารุ มายืนขวางอยู่ตรงหน้า มิเกล จึงถามขึ้น "มีอะไรงั้นหรอครับ คุณไชคอฟสกี้" "จะกลับแล้วหรอคะ ท่านผู้บังคับการวัลดัส" "อ่อ...ใช่ครับ ผมบอกทางร้านให้คิดเงินกับผมแล้ว" "ที่ดิชั้นถามน่ะ ไม่ได้ห่วงว่าคุณจะเลี้ยงพวกเรารึเปล่าหรอกค่ะ แต่ถามเพราะสงสัยว่าวันนี้คุณสนุกรึเปล่า เห็นคุณเอาแต่ทำงาน"
มิเกล ยิ้มบางๆ "สนุกสิครับ ความสนุกของคนเราน่ะไม่เหมือนกัน สำหรับผมแล้ว การทำงานคือสิ่งที่สนุกที่สุด" ฮิคารุ ยิ้มขึ้นก่อนพูดต่อ "อย่างนั้นเองหรอคะ...เหมือนคุณพ่อคุณมากเลยนะคะ คนที่เอาแต่ทำงานเพื่อคนที่รัก ภายนอกดูแข็งกระด้างแต่ภายในกลับอ่อนโยน" เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของ มิเกล กลับเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะพูดน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์นัก "ผมทราบดีว่าคุณเป็นศิษย์ของ มานูเอล" "การที่คุณเคารพและนับถือเขามาก ผมเองก็เข้าใจดี แต่ถ้าคุณคิดว่าผมจะเป็นเหมือนกับ มานูเอล แล้วล่ะก็ คุณคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ" "ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ในส่วนของตนให้ดีที่สุด และหน้าที่ในส่วนของผมไม่จำเป็นต้องใช้ความอ่อนโยนแบบนั้น" ฮิคารุ อึ้งกับคำตอบที่ได้รับ มิเกล เดินผ่านหน้าแล้วจากไปตามทาง เธอก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า "ทุกคนมีจุดอ่อนกันทั้งนั้น ชั้นเชื่อว่าคุณก็มี"
วิมีน่า เดินเซออกมาจากร้านโดยที่ เอเรียส ประคองเธอไว้ "มิเกล กลับแล้วหรอ?" ฮิคารุ ยิ้มๆ แล้วพยักหน้าเป็นการตอบกลับ
........................................................................
เช้าวันรุ่งขึ้น
ฟุบูกิ ซึบาสะ อากาศ เท็ตสึยะ ริงเก็ต และนักบิน Lancelot เข้าตรวจรับ The Cavalry ยานรบขนาดใหญ่ที่เข้าประจำการ ทุกคนเข้าตรวจตราอุปกรณ์ทุกชิ้นและเรียนรู้การทำงานของมันโดยมี ชิราโออิ เป็นผู้อธิบายและให้คำแนะนำการใช้งาน ยานรบมีขนาดใหญ่ ติดตั้งอาวุธหนักทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นปืนใหญ่ Missile ปินกลเล็ก และยังมีสะพานเดินเรือในตัวยาน จำเป็นต้องใช้ลูกเรือกว่า 20 นาย เข้าปฏิบัติหน้าที่ตามจุดต่างๆ แต่ละจุดก็จะมีเก้าอี้นิรภัยสำหรับยึดเหนี่ยวกรณีฉุกเฉิน ห้องบังคับการเป็นห้องสีขาว มีแท่นนั่งบัญชาการสำหรับผู้บังคับการและตำแหน่งบังคับส่วนต่างๆ คล้ายกับยานรบลำอื่นทั่วไป
ทุกคนต่างประทับใจในยานรบ The Cavalry ที่ได้รับ อีกทั้งยังมีเครื่อง Valkyria Unit VF-1 รุ่นใช้งานจริงติดมาด้วย 3 ลำ
ชิราโออิ เดินเข้าไปหา ฟุบูกิ ซึบาสะ อากาศ เท็ตสึยะ และ ริงเก็ต ซึ่งทุกคนอยู่ในห้องบังคับการ "เป็นยังไงบ้างค่ะ ยานลำนี้" ฟุบูกิ ยิ้มอย่างพอใจ "สุดยอดมากเลยครับ นอกจากจะติดตั้งด้วยอาวุธทันสมัยแล้ว ยังทำขึ้นมาจาก Hyperium Alloy ทั้งลำ" ซึบาสะ ตกใจเล็กน้อย "อะไรนะ Hyperium Alloy ทั้งลำเลยหรอ!!.... แบบนี้ก็ใช้ทุนสร้างจำนวนมหาศาลเลยงั้นสิคะ" ชิราโออิ พยักหน้า "ถูกต้องแล้วล่ะค่ะ มันใช้ทุนสร้างสูงมาก เราจึงสร้างได้เพียงลำเดียว นายทุนก็เจ้าเก่า ซีวิโอเลีย กรุ๊ป" "พวกเขาต้องการสร้างอาวุธที่ทันสมัยที่สุดและร้ายกาจที่สุดขึ้น อันที่จริงมันยังขาดอาวุธไปอย่างหนึ่งซึ่งเรายังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์" "Gravitational Pulse Cannon เป็นอาวุธที่ถูกออกแบบมาให้ติดตั้งส่วนหัวของยาน แต่ตอนนี้ยังคงเป็น Railgun สลายมวลสารอยู่" ฟุบูกิ ส่ายหน้าพร้อมโบกมือเชิงปฏิเสธ "ไม่จำเป็นหรอกครับ ลำพังแค่อาวุธที่มีตอนนี้ก็เหลือเฟือแล้ว เข้าใจเลยว่าทำไมถึงอยากได้กัน"
ริงเก็ต ขมวดคิ้วก่อนจะมาหยุดข้างๆ ชิราโออิ "ได้ข่าวว่ายานรบลำนี้สามารถฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปได้ด้วยตัวเอง จริงรึเปล่า" ชิราโออิ ยิ้มก่อนจะหันกลับไปตอบ "ได้แน่นอนค่ะ เครื่องขับดันเป็นรุ่นพิเศษ มันสามารถส่งตัวยานขึ้นไปได้ง่ายๆ เลยล่ะค่ะ" "แล้วก็....มันยังฝ่าชั้นบรรยากาศลงมาได้ด้วยนะคะ แต่อาจจะต้องทำตามคู่มือที่ดิชั้นให้ไว้แก่กัปตันคามิโจ มันอธิบายได้ไม่ยาก" "เซรามิกสังเคราะห์ที่ทนความร้อนได้สูงแต่ก็มีน้ำหนักสูงมากเช่นกัน เราจึงทำการติดตั้งไว้เฉพาะพื้นด้านล่างของตัวยานเท่านั้น" "การฝ่าชั้นบรรยากาศลงมา จึงต้องใช้พื้นล่างของตัวยานเข้ารับความร้อนในมุมองศาที่เหมาะสมจนสามารถระบายความร้อนได้" เท็ตสึยะ ยกนิ้วโป้งกดไลค์ให้ ชิราโออิ "เจ๋งสุดยอดเลย...ทั้งยานลำนี้ ทั้งสาวน้อยผู้ประดิษฐ์มันขึ้นมาเลยนะครับ ไม่ทราบมีแฟ.." ซึบาสะ ที่ยืนข้างๆ รีบศอกเข้าชายโครงของ เท็ตสึยะ ไปหนึ่งครั้ง "รุ่นพี่นี่ก็จริงๆ เลยนะคะ เห็นสาวๆ หน่อยเป็นไม่ได้เลย!!" เท็ตสึยะ ยิ้มแห้งๆ "เอ้าๆ ท่านผู้การรีเซ็นเบิร์ก รุ่นพี่เท็ตสึยะ คุณแจ่มใส เราไปดูกันดีกว่าว่าทัศนวิสัยหัวยานเป็นยังไงกันบ้าง"
เมื่อพูดจบ ซึบาสะ ก็รีบลาก เท็ตสึยะ ออกไปก่อนที่เขาจะแสดงความเจ้าชู้ซึ่งเป็นนิสัยติดตัวเมื่อเจอสาวๆ น่ารักๆ มากไปกว่านี้
เมื่อ ชิราโออิ เห็นว่า ซึบาสะ อากาศ เท็ตสึยะ และ ริงเก็ต เดินไปดูหัวยานรบตรงหน้ากระจกห้องบัญชาการ เธอก็ก้าวเข้าหา ฟุบูกิ ทำให้ ฟุบูกิ ตกใจเล็กน้อย ขณะที่เขาพยายามจะก้าวออกห่าง ชิราโออิ ก็ดึงแขน ฟุบูกิ ไว้ ก่อนจะแอบยื่น Tablet ของเธอให้ดู "นี่มัน.....อย่าบอกนะครับว่าไอนี่ก็คือ...." ฟุบูกิ พูดยังไม่ทันจบ ชิราโออิ ก็กระซิบขึ้นเบาๆ "ใช่แล้วค่ะ ชั้นขอเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ" "กรุณาหลีกเลี่ยงการใช้งาน เพราะมันอันตรายและเสี่ยงมาก ทั้งต่อตัวโครงสร้างและต่อเจ้าหน้าที่ที่อยู่ส่วนต่างๆ ของ The Cavalry" ฟุบูกิ พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เขามองภาพที่ปรากฎใน Tablet ของ ชิราโออิ ด้วยความสนใจ จนกระทั่งเธอกดปิดภาพนั้นไป ในขณะที่ ซึบาสะ ที่ยืนอยู่หน้ากระจกหันหลับมามอง ฟุบูกิ ที่คุยซุบซิบกับ ชิราโออิ กันสองคน "มีอะไรกันนะ ถึงต้องซุบซิบกันด้วย"
ฟุบูกิ เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้บัญชาการ "เอาล่ะ อีก 2 สัปดาห์จะได้รู้กันแล้วว่า The Cavalry ลำนี้จะปกป้องมนุษย์ได้มากน้อยแค่ไหน"
........................................................................
สองสัปดาห์ต่อมา
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวมทั้ง 12 ฝูงบิน ได้เข้าประจำตำแหน่งตามแผนการรบที่วางไว้ 8 ฝูงบินอยู่ด่านหน้าสุดพร้อมด้วยสถานีอวกาศ ส่วนแนวหลังประกอบไปด้วย 4 ฝูงบิน บนยานรบอวกาศ 3 ลำ ส่วนอีกหนึ่งลำก็คือ The Cavalry ทุกคนพร้อมปฏิบัติการ ฟุบูกิ นั่งลงที่เก้าอี้บัญชาการ The Cavalry เขามองดูเวลาที่ข้อมือ "เอาล่ะ ใกล้ได้เวลาปฏิบัติการแล้วล่ะนะทุกคน เตรียมตัวได้เลย" ซึบาสะ อากาศ เท็ตสึยะ ได้พร้อมอยู่ในเครื่อง Spacemobile ภายในสะพานเรือของ The Cavalry ส่วน ริงเก็ต ไม่ได้ออกไปด้วย เมื่อเห็นดังนั้น คามิโจ ฟุบูกิ ก็ออกคำสั่งเริ่มแผนปฏิบัติการพร้อมๆ กับฝูงบิน Gaheris Tristan และ Gawain ที่เป็นด่านสอง เจ้าหน้าที่สื่อสารประจำ The Cavalry ถ่ายทอดคำสั่งทันทีอย่างไม่รอช้า Spacemobile นับร้อยทะยอยกันออกบินจากยานรบ
เท็ตสึยะ มองไปยัง Spacemobile หมายเลข 01 และ 03 ที่พร้อมจะออกตัวไปตามช่องปล่อยข้างๆ "ว่าแต่คิดยังไงใช้เลข 03" อากาศ จึงตอบกลับมา "ก็เพราะมันเป็นเลขของ เรล่า ยังไงล่ะครับรุ่นพี่ ผมจะใช้ Lancelot 03 ทำความฝันของเธอให้เป็นจริง" "อีกอย่าง เดิมที Lancelot 01 ควรจะเป็นของยัยพร่องมันเนย ซึบาสะ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยัยนั่นน่ะถ้าเอาจริงขึ้นมาล่ะก็เก่งน่าดูเชียวล่ะ" "จริงจังเหลือเกินนะ....ออกไปจะเจอกับอะไรก็ไม่รู้แฮะ แค่ดูรายงานสังเกตการณ์ก็ขนลุกแล้ว...." เท็ตสึยะ บ่นขึ้นก่อนจะออกตัว อากาศ หักข้อนิ้วของตัวเองคลายความเมื่อยดังกร๊อบ "เจออะไรก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ ระเบิดมันทิ้งให้หมดก็พอแล้ว" Spacemobile หุ่นรบรูปร่างมนุษย์ของ Lancelot ถูกปล่อยตัวออกไปจนถึงเครื่องสุดท้ายซึ่งก็คือ Lancelot 01 ของ ซึบาสะ "อะมาเทระ ซึบาสะ Lancelot 01 พร้อมออกตัวแล้วค่ะ" เธอพูดขึ้นก่อนจะนำมือสอดเข้าไปยังคันบังคับที่เหมือนปลอกแขนทั้งสองข้าง
ก่อนที่ ซึบาสะ จะออกตัว เสียง ฟุบูกิ ก็ติดต่อเข้ามา "ระวังหน่อยนะ Lancelot 01 เราไม่รู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไร ต้องมีสติเข้าไว้นะ" ซึบาสะ ยิ้มอย่างร่าเริง "ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ Lancelot Commander ดิชั้นจะทำเต็มที่ และจะไม่ประมาทเด็ดขาด เธอก็ระวังตัวด้วยนะ" ฟุบูกิ ยิ้มก่อนพยักหน้า "ถึงจะได้ลงมาช่วยพวกเธอในการปฏิบัติภารกิจเพราะเจ้า The Cavalry แต่คงสนับสนุนได้ไม่ 100% ระวังด้วยล่ะ" "ถ้าเธอเป็นอะไรไป ชั้นคงจะรู้สึกแย่มากๆ ชั้นไม่ต้องการเสียคนที่สนิทที่สุดและไว้ใจที่สุดไป กลับมาอย่างปลอดภัยนะ...นี่คือคำสั่ง" ซึบาสะ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "รับทราบค่ะ Lancelot Commander ดิชั้นจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอนตามคำสั่งค่ะท่าน......."
และแนวรบด่านที่ 2 ซึ่งอยู่ด้านหลังก็พร้อมแล้ว
........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:01:57 GMT
ในที่สุดกลุ่มดาวหางก็มาถึง
มันมีด้วยกัน 5 แต่ 4 กลุ่มที่แยกตัวออก ไม่ได้มีพิกัดตกลงใกล้ฐาน Radamanthys Aiacos และ Minos ถูกปล่อยให้ผ่านไป เหลือแค่กลุ่มที่ 5 ซึ่งมีพิกัดพุ่งเข้าชน Radamanthys อย่างน่าเหลือเชื่อ ก็เคลื่อนเข้ามาในระยะยิง ทำให้ทุกคนเห็นมันชัดขึ้น มันเป็นดาวหางลูกใหญ่ 1 ลูกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 กิโลเมตร และสะเก็ดดาวหางลูกเล็กๆ โคจรมาพร้อมกันอีกเป็นปริมาณมาก มิเกล วัลดัส และหัวหน้าฝูงบินอีก 7 ฝูงบิน ด้วยยานรบ 8 ลำ Spacemobile 250 กว่าลำ พร้อมสถานีอวกาศก็เริ่มภารกิจทันที Geraint Percival Bors Kay Gareth Bedivere และ Lamorak ตั้งแนวยิงตามเส้นทางที่ดาวหางลูกยักษ์จะโคจรผ่าน
Spacemobile คอยยิงปืน Railgun กระสุนมวลหนักทำลายสะเก็ดดาวหางเพื่อคุ้มกันยานรบจากการปะทะที่รุนแรง พวกเขาสามารถทำลายสะเก็ดดาวหางได้เป็นปริมาณมหาศาล แต่ Spacemobile ราวๆ 30 ลำถูกปะทะจนระเบิดไปในทันที ยานรบเริ่มทำการยิงจรวดนำวิถีเข้าใส่ดาวหางลูกยักษ์จากทุกมุม 360 องศา เพื่อบังคับให้มันบินตรงเข้ามาตามวิถีการโคจรเดิม แต่ทันทีที่มันบินผ่านฝูงบิน Kay ซึ่งปักหลักอยู่ตำแหน่งหน้าสุด พวกเขาก็เห็นบางสิ่งผิดปกติเป็นอย่างมากบนดาวหางลูกนี้ เขาจึงรายงานสิ่งนั้นทันที "แจ้งทุกฝูง Kay พบสิ่งผิดปกติส่วนท้ายของดาวหาง มันมีคลื่นความร้อนและแรงดันแผ่ออกมา" "โอ้พระเจ้า....มันเป็นเครื่องขับดัน!!! มันไม่ใช่ดาวหางธรรมดา มันคือยานรบอวกาศ ย้ำอีกครั้ง จาก Kay พบสิ่งผิดปกติ...." มิเกล และ ฟุบูกิ ก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้บังคับการฝูงบิน Kay พูดผ่านมาจากช่องการสื่อสารของหัวหน้าฝูงบิน
มิเกล ไม่รีรอ เขาแจ้งให้สถานีอวกาศเตรียมพร้อมสำหรับการยิงทำลาย โดยตั้งมุมเอียงข้างเหมือนการยิงครั้งก่อน ฝูงบิน Galahad ทำหน้าที่คุ้มกันสถานีอวกาศ เริ่มเปิดฉากยิงเข้าใส่สะเก็ดดาวหางเพื่อช่วยบีบทิศทางการโคจรของดาวหาง ฮิคารุ และ มาร์คัส นำ Spacemobile ของตนเข้าไปอยู่บริเวณสถานีอวกาศพร้อมกับ Spacemobile ของเพื่อนร่วมฝูงบางส่วน ในขณะที่ วิมีน่า และ เอเรียส พร้อมฝูงบินอีกครึ่งหนึ่งของ Galahad ทำหน้าที่คุ้มกันยานรบของ มิเกล การสเก็ดดาวหาง ทว่าเมื่อดาวหางเคลื่อนเข้าใกล้แนวยิง GPW ของสถานีอวกาศ มันกลับเกิดการระเบิดขึ้นจากด้านในออกมารอบทิศทางด้านข้าง มีวัตถุลักษณะชีวภาพราวกับขาของแมลงยักษ์พังพื้นผิวที่เป็นหินและโลหะของดาวหางออกมา มันค่อยๆ กระเทาะออกมาทีละนิด วิมีน่า มองเรื่องประหลาดอย่างตกตะลึง "นั่นมันบ้าอะไรน่ะ เอเลี่ยนอย่างนั้นหรอ พวกมันกำลังพังยานของมันเองออกมางั้นหรอ?" เอเรียส ขมวดคิ้ว "ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น พวกมันรู้ตัวว่าพวกเรามาต้อนรับมันอยู่หน้าปากประตูนรกแล้วอย่างแน่นอน" ในขณะที่ ฮิคารุ ดูจะสงสัยมากเป็นพิเศษ "อย่าบอกนะว่าดาวหางติดจรวดจะเป็นยานอวกาศของพวกมัน...ไม่น่าเป็นไปได้" มาร์คัส ยิ้มราวกับพอใจเป็นอย่างมา "เข้ามาเลย....เข้ามาเลย!! นานๆ จะเจออะไรน่าตื่นเต้นแบบนี้ทั้งที เข้ามาเลยสิวะ!!"
และแล้วพวกมันก็พังเศษหินและโลหะออกมาเกาะอยู่นอกตัวดาวหางให้มนุษย์ทุกคนเห็นหน้าตาของมันอย่างชัดเจน มันมีรูปร่างเหมือนแมลงมุม ร่างกายปกคลุมด้วยเกราะสีดำเงา มีดวงตาหลายคู่ มีขาหลายขา แถมมีหนวดเป็นระยางค์จำนวนมาก ขนาดของมันยาวราวๆ 20 เมตร มันผุดขึ้นมาเกาะรอบๆ ดาวหางถึง 3 ตัว เมื่อมันสลัดเศษหินออกหมดแล้ว มันก็มองตรงเข้ามา มิเกล หรี่ตาลงเล็กน้อย "ที่ Galahad 01 พูดมาก็ถูก ดูท่าทางแล้วพวกมันไม่น่าจะสร้างจรวดขับดันได้...รึนั่นเป็นหุ่นรบกันนะ?" วินาทีที่มันผ่านมายังแนวยิง เจ้าแมลงยักษ์ทั้ง 3 ตัว ก็ดีดตัวเองออกจากดาวหางแล้วพุ่งเข้าใส่ Geraint และ Bedivere ทันที ส่วนตัวสุดท้ายกระโดดเข้ามุ่งหน้าไปยังสถานีอวกาศ พร้อมๆ กับดาวหาง และทันใดนั้นคลื่นแรงโน้มถ่วงก็ถูกยิงออกมา มันผ่านดาวหางออกเป็น 2 ซีก เหมือนคราวก่อน มีดาวหางซีกหนึ่งระเบิดกระจาย แต่อีกซีกกลับไม่ระเบิด มันยังมุ่งตรงต่อไป
เจ้าแมลงยักษ์เข้าเกาะแล้วใช้ขาทิ่งแทงทำลายยานรบของ Geraint และ Bedivere จนสิ้นซากภายในไม่กี่วินาที พวกมันเจาะผนังยานจนทะลุ ร่างของเจ้าหน้าที่ในตัวยานกระเด็นออกมาเนื่องจากแรงดันอวกาศภายในตัวยานที่มีมาก แต่เจ้าแมลงยักษ์ก็ไม่ปล่อยให้ร่างนั้นหลุดลอยไปได้ไกล มันใช้ระยางค์ตามลำตัวยืดไปรัดผู้โชคร้ายอย่างแม่มยำเหมือนกบตวัดลิ้น ก่อนที่จะกระชากเข้ามากัดด้วยปาก มันปล่อยสารอะไรบางอย่างผ่านชุดอวกาศเข้าไปในร่างเหยื่อที่เกิดอาการชักอย่างรุนแรง จากนั้นก็ดูดของเหลวภายในจนหมด และโยนให้ลอยออกไป สภาพเหยื่อเหลือเพียงผิวหนังกลวงๆ ในชุดอวกาศเท่านั้น
เจ้าหน้าที่ในปฏิบัติการที่เห็นภาพทุกคนต่างก็ตกใจกลัว รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ที่ชมการถ่ายทอดอยู่จากภาคพื้นดินของ Gliese ด้วย อีกทั้งเมื่อกระสุนสลายมวลสารและ Missile เข้าปะทะ มีของเหลวกระจายออกจากตัวของมันล่องลอยในสภาวะไร้น้ำหนัก แต่ มิเกล ก็เห็นอย่างชัดเจนเมื่อละอองมันกระทบกับตัวยานรบที่มันเกาะอยู่ มันกัดกร่อนผิดนอกของยานรบจนทะลุได้ง่ายดาย แถมทุกครั้งที่ยิงเข้าใส่จนเกราะสีดำเงาแตกออก ไม่นานมันก็ปิดกลับและเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
มิเกล สั่งให้ มาร์คัส และ ฮิคารุ พร้อมด้วยนักบิน Galahad ที่ยังเหลือรอด กำจัดตัวที่เกาะอยู่บนสถานีอวกาศทันทีโดยไม่ลังเล จากนั้นเขาก็สั่งให้ปืนทุกกระบอกของยานรบ Galahad หันไปยังยานรบที่มีแมลงยักษ์นั้นกำลังเกาะก่อนจะออกคำสั่งยิงทันที แม้ว่า Lamorak จะไม่เห็นด้วย แต่หลังจากที่ยานรบของ Geraint และ Bedivere ระเบิดมันก็ดีดตัวเข้าใส่ Lamorak และ Bors Spacemobile ของฝูงบินอื่นๆ ต่างก็ไม่กล้าโจมตีใส่ เพราะยิ่งยิงมันไปเท่าไร ยานรบก็ยิ่งได้รับความเสียหายมากขึ้นเท่านั้น ซ้ำร้าย Spacemobile ที่บินเข้าไปใกล้หวังจะยิงทำลายแบบเน้นๆ กลับถูกระยางค์ดึงเข้าไปและฉีกหุ่นรบออกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา
มิเกล พูดขึ้นว่า "ไม่มีเวลาจะมาสนใจแล้วล่ะครับว่าใครจะโดนลูกหลงบ้าง เพราะนี่ถือเป็นหายนะเลยก็ว่าได้ ถ้ามันลงไปถึง Radamanthys" "ศัตรูที่มีขนาดใหญ่ ดุร้าย ล่ามนุษย์เป็นอาหาร แข็งแกร่ง มีเลือดเป็นกรดรุนแรง แถมยังฟื้นฟูตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ต้องทำลายให้สิ้น" เอเรียส และ วิมีน่า จำใจต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ มิเกล พวกเขาและ Spacemobile ต่างระดมยิงเข้าใส่แมลงยักษ์อย่างไม่ลดละ
........................................................................
การสู้รบผ่านไปได้ครู่หนึ่ง
"เอาล่ะ ดูเหมือนว่ามันจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ผมจะยิงเกราะนอกของมัน จากนั้น Galahad 04 ยิงเนื้อในของมันทันที" เอเรียส พูด เขากระหน่ำยิงเข้าไปทีส่วนลำตัวของมันในระหว่างที่มันกำลังลอยตัวจากยานรบหนึ่งไปอีกยานรบหนึ่ง จนกระหน้าท้องมันแตกออก วิมีน่า และสมาชิกฝูงบิน Galahad คนอื่นไม่ลังเล พวกเราจะดมยิงเข้าใส่ส่วนที่เกราะถูกทำลาย แม้ว่ามันจะใช้ระยางค์เกี่ยวยานรบไว้ได้ทัน แต่กระสุนสลายมวลสารรูปร่างทรงกระบอกหัวตัดก็พุ่งเข้าใส่หลายนัด มันตอกเข้าไปที่จุดๆ เดียวจนทะลุ ทำให้แมลงยักษ์สิ้นฤทธิ์ทันที
ในขณะที่ มาร์คัส และ ฮิคารุ ได้ทราบวิธีจัดการกับแมลงยักษ์ ฮิคารุ ใช้ Spacemobile 01 บินพุ่งเข้าใส่แมลงยักษ์นั่นทันทีด้วยความเร็ว เธอใช้ท่อขับดันตามส่วนต่างๆ ของตัวหุ่นได้อย่างชำนาญ สามารถบินหลบระยางค์ที่พุ่งเข้าหาได้อย่างสมบูรณ์แบบและน่าเหลือเชื่อ ก่อนที่จะ Slide ตัวหุ่นรบไปใต้ตัวของแมลงยักษ์ แล้วยิงกระสุนสลายมวลสารอัดเข้าไปเต็มๆ ช่วงท้อง จนเกราะหนาของมันแตกกระจาย ของเหลวที่กระเซ็นออกมากัดเกราะนอกของเครื่องเธอจนได้รับความเสียหาย แต่นับว่าโชคยังดีที่กรดมันหมดฤทธิ์ก่อนที่จะถึงห้องนักบิน ขณะที่ตัวของแมลงยักษ์ถูกกระสุนสลายมวลสารยิงอัดระยะประชิด มันก็กระเด็นขึ้นมา มันรีบใช้ระยางค์พันเข้ากับสถานีอวกาศ "เป็นจังหวะที่งดงามมาก Galahad 01 แต่เจ้านี่น่ะ พี่ขอนะไอ่น้อง" มาร์คัส พร้อมกับลั่นไกยิงทะลุลำตัวที่ ฮิคารุ เปิดเกราะออกไว้ให้
แต่ในด้านของ มิเกล วิมีน่า และ เอเรียส กลับไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่อตัวที่เหลืออยู่กลับมีความคล่องแคล่วและดุร้ายกว่าตัวอื่น มันหันมาทางยานรบของ Galahad ก่อนจะดีดตัวเข้าใส่อย่างรวดเร็ว วิถีของมันพุ่งชน Galahad 04 ของ วิมีน่า ที่ยืนบนตัวยานรบ จังหวะนั้น เอเรียส ใช้แขนและท่อขับดันดึง Galahad 04 กลับลงมาติดกับตัวยาน เจ้าแมลงยักษ์เริ่มอาละวาดจนเกิดความชุลมุนขึ้น มาร์คัส และ ฮิคารุ เห็นดังนั้นพวกเขาก็รีบพาสมาชิกคนอื่นกลับจากสถานีอวกาศมาช่วยเหลือยานรบของ มิเกล วัลดัส ที่กำลังถูกโจมตี วิมีน่า ถูกแรงกระแทกจนเธออยู่ในสภาวะมึนงง เธอได้ยินแต่เสียงกรีดร้องบ้าง เสียงโวยวายบ้าง เสียงสั่งการบ้าง ผ่านทางช่องสื่อสาร เหตุชุลมุนบนตัวยานรบของ Galahad เกิดขึ้นอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเจ้าแมลงยักษ์ก็ถูกโค่นลงได้พร้อมกับสติของ วิมีน่า ที่กลับมา
"จบแล้วสินะ...ค่อยยังชั่ว....เอเรียส นายเป็นอะไรมั้ย" วิมีน่า พูดก่อนที่เธอจะหันมาเห็นเพียงซาก Spacemobile ของ Galahad 03
........................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:10:49 GMT
เมื่อดาวหางส่วนที่เหลือเข้าปะทะแนวรบที่สอง
มันก็ปล่อยแมลงยักษ์ออกมาและเข้าโจมตีกองยานรบ Lancelot Gaheris Tristan และ Gawain อีก 2 ตัวด้วยกัน ในขณะที่ตัวดาวหางมุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่ลดความเร็ว กระสุนสลายมวลสารและ Missile ของยานรบกระหน่ำยิงออกไปจำนวนมาก ซึบาสะ เท็ตสึยะ และ อวกาศ ช่วยกันระดมยิงใส่แมลงยักษ์ที่เข้ามาเกาะยานรบ Gaheris และ Tristan อย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย มันใช้เวลาไม่นานในการทำลายยานรบของ Tristan จังหวะที่มันกำลังกระโดดเข้าใส่ The Cavalry มันก็ถูก เท็ตสึยะ ยิงเข้าพอดี เมื่อเกราะหน้าท้องด้านล่างมันแตกออก ซึบาสะ และ อากาศ ก็ยิงกระสุนสลายมวลสารออกไปคนละนัด พวกเขาปลิดชีพมันได้สำเร็จ
ในขณะที่ ฟุบูกิ สั่งยิงปืนใหญ่ของ The Cavalry เข้าใส่ดาวหาง ความรุนแรงของมันสูงมากจนทำให้ดาวหางแตกกระจาย มันปรากฏร่างของแมลงยักษ์อีกตัวหนึ่ง มันมีขนาดใหญ่มโหฬาร คาดการณ์จากสายตาน่าจะยาวถึง 60 เมตรเห็นจะได้ มันมีหัวคล้ายมนุษย์ มีแขนสองข้าง ร่างสีดำขลิปแดง ลำตัวท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างคล้ายแมลง มีขา 4 ข้างขนาดใหญ่ยักษ์
ทิศทางของมันยังคงมุ่งหน้าไปหา Gliese โดยไม่ลดความเร็ว "บ้าน่า นั่นมันอะไรกัน" ฟุบูกิ พูดขึ้นด้วยความตกตะลึง "แย่ล่ะสิ มวลของมันใหญ่มาก เบี่ยงเบนวิถีไม่ได้ซะด้วย ผมจะตามมันลงไป ตรงนี้ต้องฝากทุกคนแล้ว" ฟุบูกิ พูดพร้อมสั่งการ The Cavalry หันหัวยานและเร่ง Thruster เต็มกำลัง ตามหลังแมลงเพศเมียที่ฝังตัวใจกลางดาวหางนั้นลงไปที่ Gliese
แต่ตัวที่เหลือกลับเจ้าเล่ห์ มันใช้มุมของยานรบ Gaheris บังวิถีการยิงของฝูงบิน Lancelot และ Gawain เอาไว้จนหาตัวไม่พบ ระหว่างนั้นมันก็ใช้ระยางค์ดึง Spacemobile ที่อยู่ใกล้ๆ เข้าไปทำลายพร้อมๆ กับเจาะตัวยานรบ Gaheris อย่างไม่ลดละ "บ้าชิบ แบบนี้ก็ได้ชิหายกันหมดพอดี ไม่คิดว่ามันจะใช้มุมยานบังการยิงเอาไว้ ต้องทำอะไรซักอย่าง" อากาศ กัดฟันด้วยความแค้น เท็ตสึยะ พยายามเล็งยิงระยางค์ที่ตะวัดไปมา แต่ดูเหมือนยิงไปก็ไร้ความหมาย "จากมุมนี้ทำอะไรมันไม่ได้เลยแฮะ ลำบากซะแล้ว" ทันใดนั้น Lancelot 03 ของ อากาศ ก็เร่ง Thruster มุ่งหน้าเข้าไปหายานรบ Gaheris ทันที ซึบาสะ พยายามจะคว้าแต่ไม่สำเร็จ "Lancelot 03 คุณกำลังจะทำอะไรของคุณคะ มันเปล่าประโยชน์ รอมันเผยตัวดีกว่านะคะ" ซึบาสะ ตะโกนขึ้นเสียงแข็ง แต่ อากาศ กลับยิ้มและตอบกลับมา "ปล่อยแบบนี้ไม่ได้หรอก พวกเธอค่อยหาจังหวะยิงมันให้ดีๆ ก็แล้วกัน ฝากด้วยล่ะ!!" ไม่นานหลังจากที่ Lancelot 03 บินหายไปในมุมของยาน Gaheris ก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างแรงจนแมลงยักษ์กระเด็นออกมา ซึบาสะ เห็นจังหวะที่มันกระเด็นขึ้นโดยไร้เกราะส่วนหน้าท้อง เธอก็ลั่นไลและสังหารแมลงตัวสุดท้ายลงได้ในที่สุด
"เจ้านั่น....." เท็ตสึยะ พูดขึ้นหลังจากที่เห็นเศษซาก Spacemobile ของ Lancelot 03 กระจายไปทั่วตัวยานรบของ Gaheris
........................................................................
ผ่านไปครู่ใหญ่
ในที่สุด The Cavalry ก็ไล่ตามแมลงเพศเมียขนาดมโหฬารทัน มันยังโคจรต่อไปเพราะแรงดันที่เหลือจากท่อขับดันของดาวหาง เริ่มแรกที่ตามทัน The Cavalry ยิงกระสุนสลายมวลสารจากระยะใกล แต่เจ้าแมลงกลับใช้ขาขนาดใหญ่ปัดเอาไว้ได้ทันทุกครั้ง เมื่อเห็นดังนั้น ฟุบูกิ จึงตัดสินใจเคลื่อนที่เข้าใกล้มันเข้าไปเรื่อยๆ และลองยิงเพื่อหาระยะที่มันไม่สามารถปัดป้องได้ทัน จนในที่สุดเขาก็เข้ามาในระยะ 300 เมตร ซึ่งการยิงในครั้งนี้มันไม่สามารถปัดป้องกระสุนสลายมวลสารระยะประชิดได้
ฟุบูกิ ลองใช้อาวุธทุกชนิดยิงเข้าใส่มันจากด้านหลัง เขาได้รับผลการยิงคือ Missile ทำลายเกราะนอกของมันไม่ได้แม้แต่น้อย ดังนั้น ฟุบูกิ จึงสั่งให้ The Cavalry ยิงกระสุนปืนใหญ่เข้าใส่ มันทำลายเกราะได้ แต่ Missile กลับทำอะไรเนื้อในไม่ได้เช่นกัน และปืนใหญ่ Railgun สลายมวลสารที่ทรงอานุภาพของ The Cavalry ก็มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำการยิงได้อย่างต่อเนื่องมากนัก ทำให้เจ้าแมลงยักษ์อวกาศตัวนี้สามารถฟื้นฟูเกราะนอกของมันให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เสียก่อนที่ The Cavalry พร้อมยิงนัดต่อไป ฟุบูกิ กัดฟันแน่น "เวลาเหลือไม่มาก การที่มันมุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละ แสดงว่ามันคงฝ่าชั้นบรรยากาศลงไปได้อย่างแน่นอน" "ต้องทำลายมันก่อนจะถึงชั้นบรรยากาศให้ได้....แต่จะทำยังไงดีล่ะ...." ฟุบูกิ ขมวดคิ้ว สีหน้าบ่งบอกถึงความตรึงเครียดที่เขาเผชิญ
ทันใดนั้น ระยางค์ของมันก็เข้ามารัดตัวยานของ The Cavalry เอาไว้ก่อนจะกระชากยานรบเข้าหาอย่างแรงทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ฟุบูกิ เห็นท่าไม่ดี เขารู้ทันทีว่า ถ้า The Cavalry ถูกลากเข้าไปถึงตัวมัน จะต้องถูกมันทำลายได้อย่างง่ายดายแน่นอน เขาจึงสั่งการให้ดับ Thruster ท้ายยาน และเร่ง Thruster ด้านหน้าเพื่อดึงตัวยานให้ออกห่างจากเจ้าแมลงยักษ์สุดประหลาดตัวนี้ แต่แล้วก็มีรายงานเข้ามาว่า สะพานเรือของ The Cavalry ถูกเปิดออก และมี Spacemobile บินออกจากตัวยานไป 1 ลำ ฟุบูกิ รีบติดต่อไปทันที "จาก Lancelot Commander คุณกำลังทำอะไร เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ Spacemobile จะทำอะไรได้นะครับ" แต่เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงที่คุ้นหูเป็นอย่างมาก "โทษทีนะ Lancelot Commander ชั้นกำลังจะทำในสิ่งที่จำเป็นที่สุด"
"ท่ะ....ท่านผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์ก....ท่านกำลังจะทำอะไรครับ ผมขอออกคำสั่งให้ท่านกลับเข้ามาทันที" ฟุบูกิ สั่งเสียงแข็ง แต่ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก กลับเพิกเฉยต่อคำสั่งเขายิ้มบางๆ "นี่ไอ้ไก่อ่อน แหกหูฟังสิ่งที่ชั้นจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ นะ" "ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุ M0487 ชั้นแค้นตัวเองมาโดยตลอดที่ต้องมองลูกน้องตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคน" "อีกทั้งยังต้องทนเห็นความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่และนักบินคนอื่นๆ รวมไปถึงผู้บังคับการฝูงบิน Tristan ชั้นก็ยิ่งแทบทนไม่ได้" "ชั้นไม่สามารถก้าวข้ามความกลัวของตัวชั้นเองได้เลยสักครั้ง.....แต่ครั้งนี้นั้น ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว ชั้นจะทำในสิ่งที่ควรต้องทำซะที" "Spacemobile เครื่องนี้ติดหัวรบปรมาณูเอาไว้ ชั้นจะใช้มันระเบิดเกราะส่วนท้ายของมันออก และแกต้องฆ่ามันทิ้งให้จงได้!!"
"แต่ว่า!!" ฟุบูกิ กำลังจะค้าน ทว่า ริงเก็ต ก็สวนกลับทันที "ไม่ต้องมาต่งไม่ต้องมาแต่ นั่งเงียบๆ และทำตามที่ชั้นบอกซะ" Spacemobile ของ ริงเก็ต เร่งความเร็วเข้าใกล้แมลงยักษ์เพศเมีย ขณะที่ทั้งตัวแมลงและ The Cavalry เริ่มเข้าชั้นบรรยากาศ เจ้าแมลงยักษ์ใช้ระยางค์พุ่งเข้ารวบ Spacemobile ของ ริงเก็ต เอาไว้ทันที ก่อนจะกระชากเข้าไปหาด้วยความรวดเร็ว เมื่อส่วนหน้าเริ่มเสียดสีกับชั้นบรรยากาศ เจ้าแมลงยักษ์เพศเมียก็มีการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวของตัวมันเองในส่วนหัวที่เริ่มลุกเป็นไฟ มันเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินรุ้งสะท้อนแสง และดูเหมือนว่าการเปลี่ยนสีของมันทำขึ้นเพื่อระบายความร้อนขณะเข้าชั้นบรรยากาศ ริงเก็ต กัดฟันยิ้มขณะที่เขากดเปิดชะนวนระเบิดปรมาณูทีละลูกทีละลูก ในที่สุดเขาก็เปิดชะนวนระเบิดครบทั้ง 4 ลูก เครื่องของเขาเริ่มร้อน มันร้อนจนกระจกหมวกนักบินของเขาแตก ผิวหนังเริ่มพองขึ้น เลือดเริ่มไหลออกจาก จมูก ปาก และ รูหู "เอาล่ะไอ้เอเลี่ยนบ้า!! น้ำหน้าอย่างแกต้องมาเจอกันชั้นคนนี้ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก!!!!!!!!!!!" ริงเก็ต ตะโกนพร้อมกดระเบิด
แรงระเบิดสว่างเจิดจ้า Spacemobile แตกสลายกลายเป็นผงในพริบตา แต่ The Cavalry ที่มีโครงสร้างแข็งแกร่งเสียหายเล็กน้อย ระยางค์ที่เหนี่ยวรั้ง The Cavalry ขาดออก ทำให้มันชะลอความเร็วหนีแรงอัดของระเบิดออกมาได้บางส่วนด้วย Thruster ที่เร่งค้างไว้ เมื่อแสงสว่างดับลง เจ้าแมลงเสียเกราะส่วนท้ายไปจนหมดสิ้น ทำให้เห็นเนื้อจริงของมันเป็นสีแดง ซึ่งกำลังฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว "ไปตายซะ ไอ้แมลงบ้า!!" ฟุบูกิ ตะโกนทั้งน้ำตา ก่อนที่กระสุนสลายมวลสารของ The Cavalry จะยิงเข้าจากด้านท้ายทะลุส่วนหัว เมื่อมันตาย สีน้ำเงินส่วนหัวของมันกลายเป็นสีดำ ก่อนที่มันจะเริ่มลุกไหม้อย่างรวดเร็วเพราะสารระบายความร้อนนั้นไม่ได้ถูกหลั่งมาเพิ่ม
จากนั้น The Cavalry เริ่มทำการฝ่าชั้นบรรยากาศ ในขณะที่ร่างของแมลงยักษ์เพศเมียถูกเผาไหม้จนหมดสิ้นในชั้นบรรยากาศ Gliese
........................................................................
4 วันต่อมา
ณ สุสานทหาร เขตกองทัพ พิธีสดุดีนักบินที่เสียสละชีพได้ถูกจัดขึ้นอย่างเช่นเคย ดูเหมือนช่วงนี้จะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ฟุบูกิ โอบไหล่ ซึบาสะ เอาไว้ต่อหน้าหลุมศพของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ที่ขณะที่ เท็ตสึยะ วางดอกไม้ลงด้วยความโศกเศร้า ซึบาสะ ยิ้มบางๆ ด้วยแววตาเศร้าๆ "ในที่สุดผู้บังคับการรีเซ็นเบิร์ก ก็ได้ทำสิ่งที่ตนเองต้องการที่สุดในชีวิตเสียทีนะคะ..." ฟุบูกิ พยักหน้าเบาๆ "อืม...ชั้นอยู่กับท่าน ตอนท่านตาย ท่านกล้าหาญมาก ถ้าไม่มีท่านป่านนี้ Radamanthys คงล่มสลายไปแล้ว" เท็ตสึยะ เข้ามาแตะบ่าของ ฟุบูกิ และ ซึบาสะ ด้วยมือทั้งสองข้างๆ เบาๆ "ตั้งแต่นี้ต่อไปคงเหลือแต่พวกเราแล้วสินะ......"
และเสียงที่ทำให้ทุกคนต้องสะดุ้งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง มันเป็นเสียงของ โนเอมี เฮ็นดริกส์ ที่พูดขึ้นแบบเศร้าๆ ว่า "ผู้บังคับการริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก เป็นคนดี ถึงแม้ท่านจะมีนิสัยที่บ้าบิ่นเกินไปก็เถอะ แต่ท่านก็มักหวังดีกับทุกคนเสมอมา" "คามิโจ ฟุบูกิ...คุณอาจจะคิดว่าท่านแค่ต้องการเอาชนะความกลัวของตัวเอง ความกลัวที่ทำให้เขาต้องสูญเสียทุกสิ่งไป" "แต่นอกจากท่านต้องการเอาชนะความกลัวและปกป้องทุกคนแล้ว ท่านยังมีความคิดว่า ท่านไม่ใช่คนของโลกใบมานานแล้ว" "ท่านไม่สามารถละทิ้งอดีตที่โหดร้ายนั้นไปได้ ดิชั้นจึงมอบหมายภารกิจการสนับสนุนฐาน Minos ให้การปลูกป่าให้แก่คุณแทน" "โดยหวังให้ท่านเลิกล้มความคิดที่จะตาย...แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล คราวนี้ปัจจัยทั้งหลายเป็นใจให้ท่านเลือกที่่จะสละชีวิตของท่าน" "ในการทำให้ความปรารถนาทุกอย่างที่ท่านมีบรรลุผล โอกาสที่จะชดใช้ความผิดพลาดของตัวเอง และได้ตายตาหลับอย่างภาคภูมิ" "ดังนั้น คุณคามิโจ เลิกห่วงเรื่องของท่านได้แล้วล่ะค่ะ....เพราะตั้งแต่นี้ต่อไป คุณต้องเป็นที่พึ่งของทุกคนแทนท่านให้ได้...."
เมื่อพูดจบ โนเอมี เฮ็นดริกส์ ก็เดินจากไปเงียบๆ โดยมี ชิเอล และ เบนจามิน ฮันเตอร์ สวมเสื้อสูทสีดำ เดินตามออกไป
........................................................................
อีกมุมหนึ่งของสุสาน
เป็นหลุมศพของ เอเรียส ซีวิโอเลีย ทุกคนในฝูงบิน Galahad ได้เคารพหลุมศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มทะยอยกันกลับ "นายน่ะตายง่ายไปนะ เอเรียส การที่นายไม่มาอยู่ขัดหูขัดตาชั้นแบบนี้ก็น่าจะดี" วิมีน่า เธรมริล บ่นเชิดใส่หลุมศพก่อนจะเดินออกมา ในขณะที่ไม่มีคนสนใจอะไรมากมายนัก ฮิคารุ กลับเป็นคนที่ยืนมองทุกอย่างอยู่จากด้านหลัง เธอมอง วิมีน่า ที่รีบวิ่งตามหลัง มิเกล ไป รอยยิ้มบางๆ ของ ฮิคารุ ปรากฏขึ้นเพราะนึกถึงบทสนทนาในตอนที่ เอเรียส เล่าความหลังของเขากับ วิมีน่า ให้ ฮิคารุ ฟังอย่างละเอียด
"คุณไชคอฟสกี้ อย่าบอก วิมีน่า เรื่องที่ผมเป็นอดีตคู่หมั้นของเธอ และคอยกลั่นแกล้งเพื่อให้เธอออกจากการเป็นทหารนะครับ" "หึหึหึ...เอาน่า ดิชั้นไม่บอกคุณเธรมริล หรอกค่ะ....เพราะถ้าบอกไปอาจจะทำร้ายทั้งตัวคุณเองและตัวของคุณเธรมริลด้วย"
"แบบนี้คงดีที่สุดแล้วสินะ....เอเรียส ซีวิโอเลีย" ฮิคารุ พูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกจากสุสานไปเงียบๆ คนเดียว
つづく.
|
|