|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:45:50 GMT
EP12 : The Mission Of Radamanthys จากการต่อสู้กับ Arachna องครักษ์ในตอนที่แล้ว
ฟุบูกิ ได้ยิง Missile ทั้งหมดจาก The Cavalry เข้าใส่ Arachna องครักษ์ จนเหมือนมันเริ่มจนมุม และมีอาการโซเซ อากาศ และ มาร์คัส ได้ใช้ VF-1 ของพวกเขา พร้อมนักบินที่เหลือทั้งหมดเข้าโจมตี Aracha องครักษ์เพื่อหมายปิดบัญชี ทว่าเมื่อเข้าระยะยิง สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เกราะบนตัวของมันเกิดระเบิดกระจายออกอย่างรุนแรง จนน้ำกรดกระจายไปทั่ว จากมุมมองของคนที่อยู่รอบนอก มันเหมือนการระเบิดของระเบิดมือก็ไม่เชิง แต่สิ่งที่ระเบิดเป็นร่างกายสีเขียวของตัวองครักษ์ VF-1 ทั้งหมด ...ทั้งของ อากาศ แจ่มใส และ มาร์คัส รวมไปถึงเครื่อง F-19 ที่บินเข้าไปร่วม 20 ลำ ถูกแรงระเบิดเข้าเต็มๆ ฝุ่นละอองของน้ำกรดฟุ้งกระจาย...ไร้ซึ่งเครื่องบินรบลำใดที่บินเข้าไปแล้วรอดกลับออกมา ฟุบูกิ มองดูอย่างตกตะลึง ในขณะที่กองกำลังภาคพื้นดินก็กำลังต่อสู้กับ Arachna แมลงมุมที่เหลืออีกนับร้อยอย่างไม่ย่อท้อ พวกเขาต้องการชัยชนะ
แต่หลังจากการระเบิดตัวเองของ Arachna องครักษ์ เงาของมันกำลังจะก้าวออกจากกลุ่มควัน นั่นหมายถึงมันยังไม่ตาย อีกทั้งขนาดของมันกลับเพิ่มไปถึง 500 เมตร ผู้บังคับการทุกคนที่ฐานเริ่มรู้ชะตากรรมว่าพวกเขาอาจจะต้องพ่ายแพ้ นัยน์ตาของ มิเกล วัลดัล ที่มองจอภาพก็หดเล็กลง "ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้....นี่ชั้น....ล้มเหลวอีกแล้วงั้นหรอ....." ฟุบูกิ กำหมัดแน่น "นี่ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย ทั้งที่เข้าไปขนาดนั้นแล้วแท้ๆ....มันเป็นอมตะรึไงกันนะ....บ้าชิบ...."
................................................................................
ในป่าทึบ
มันเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ความสูงของแต่ละต้นร่วม 100 เมตร พื้นดินปกคลุมด้วยหญ้าและพืชเถาวัลย์มากมาย เครื่อง VF-1 รหัส Lancelot 01 จอดนิ่งสนิท มีควันฟุ้งออกมาจากช่องระบายความร้อนของเครื่องไอพ่นขับดันจำนวนมาก มันติดอยู่กับเถาวัลย์ที่ระดับความสูงร่วม 10 เมตรเหนือพื้นดิน ในขณะที่ฝากระจกห้องนักบินเปิดออกมาอย่างช้าๆ
ซึบาสะ ค่อยๆ ปีนออกมานั่งคร่อมที่หัวของตัวเครื่อง เธอมองไปรอบๆ พร้อมกับเช็คอุปกรณ์สื่อสารของเครื่อง VF-1 "บ้าจริง ป่าแห่งนี้ทึบเกินไป ทำให้สัญญาณวิทยุขาดหายไปซะได้" ซึบาสะ พูดขึ้นพร้อมกับหยิบเข็มทิศออกจากชุดนักบิน แสงไฟของชุดดับไปบางส่วน นั่นหมายถึงระบบของชุดนั้นได้ล้มเหลวไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังดีที่เธอยังเหลือออกซิเจนอยู่ ซึบาสะ มองดูเข็มทิศเพื่อให้เธอแน่ใจว่าเธอจะสามารถเดินทางออกจากป่าไปในทิศทางที่เป็นสนามรบโดยไม่พลัดหลง หลังจากสำรวจรอบๆ จนทั่ว เธอก็เอื้อมมือไปจับเส้นเถาวัลย์แล้วกระโดดโรยตัวลงมาตามเส้นเถาวัลย์เพื่อลงสู่พื้นด้านล่าง
เมื่อเธอลงมาถึงพื้น เธอก็ล้มลงอย่างแรงเพราะน้ำหนักของชุด กับการที่เธอต้องรับแรงโน้มถ่วงมากกว่าปกติ 2 เท่า ยังดีที่พื้นนั้นเป็นเถาวัลย์แห้งและหญ้าบางส่วน ทำให้ ซึบาสะ ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก จากนั้นเธอก็ดูเข็มทิศอีกครั้ง "ทางนี้สินะ หวังว่าพวกเขาคงจัดการเจ้าตัวใหญ่นั้นได้แล้วนะ....ฟุบูกิ ขอให้นายยังปลอดภัยดีอยู่ด้วยเถิด" ซึบาสะ พูด จากนั้นเธอก็ไม่รอช้าที่ก้าวเริ่มก้าวเดิน ทุกย่างก้าวของ ซึบาสะ เป็นไปด้วยความยากลำบาก เธอไม่มีแรงพอจะวิ่งได้
แม้ว่าทิศทางที่เธอกำลังไป จะมุ่งสู่สนามรบก็ตามที แต่เธอไม่รู้พิกัดของตัวเอง จึงไม่รู้เลยว่าเธออยู่ห่างไปถึง 15 กิโลเมตร
................................................................................
เขตพื้นที่การปะทะ
ในที่สุด Arachna องครักษ์ ก็ก้าวออกจากกลุ่มควัน ขนาดของมันที่ปรากฎนั้นใหญ่โตมโหฬารจนใครเห็นก็ต้องตาค้าง มันสูงถึง 500 เมตร ราวกับยอดเขา หน้าตาของมันได้เปลี่ยนแปลงไป รูปร่างของมันก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน มันลุกขึ้นมายืนด้วยขาสองข้าง แขนสองคู่บนสุดมีขนาดใหญ่ แต่สองคู่ล่างกลับหดเล็กลงจนแทบจะใช้การไม่ได้ ระยางค์ของมันปกคลุมอยู่แค่เพียงช่วงไหล่และต้นคอ หัวไปจนถึงไหล่และช่วงต้นขาของมันมีเกราะสีขาวปกป้องไว้ แต่ร่างกายส่วยใหญ่นั้นไม่เหลือเกราะที่เคยเป็นสีเขียวอีกแล้ว มันเป็นเนื้อแท้สีแดงสด กล้ามเนื้อของมันเป็นมัดๆ
ฟุบูกิ จ้องมองไปที่ Arachna องครักษ์ "นี่สินะ ร่างที่แท้จริงของมัน...การระเบิดคงเป็นรูปแบบของการลอกคราบ" "และดูเหมือนตอนนี้มันจะทำการ Metamorphosis สู่ร่างโตเต็มวัยเรียบร้อยแล้ว....แต่ชั้นไม่เชื่อหรอกว่ามันจะฆ่าไม่ตาย" หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จแล้ว มิเกล ก็ติดต่อเข้ามา "ชั้นต้องขอโทษนายด้วยนะ....ที่แผนการปฏิบัติการของชั้นล้มเหลว" "ชั้นไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันไม่ใช่ตัวโตเต็มวัย และสามารถทำ Metamorphosis ในขณะที่สู้รบได้อย่างนี้อีกด้วย..." "แต่เราก็ยังมีไม้เด็ดอยู่ เพราะตอนนี้ปืนใหญ่วงโคจร พร้อมทำการยิงแล้ว ขอเพียงนายหยุดการเคลื่อนไหวของมันให้ได้" ฟุบูกิ ฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของ มิเกล จึงตอบกลับไปว่า "วางใจเถอะครับ...เราต้องเอาชนะมันได้แน่"
และแล้ว The Cavalry ก็เริ่มเร่งท่อขับดันเข้าหา Arachna องครักษ์ ฟุบูกิ เลือกที่จะยิงปืนกลจากป้อมปืนเล็กก่อน กระสุนขนาดเท่าปืนรถถัง ถูกยิงออกไปในอัตราถี่ยิบ ลูกที่ปะทะเนื้อแท้จะฝังตัวและสลายไปเพราะการกัดกร่อนของกรด แต่ลูกที่เข้าปะทะเกราะสีขาวส่วนหัวและไหล่ กลับกระเด็นกระดอนออกไปทั่วทิศทาง ไม่สามารถเจาะทำลายเกราะมันได้ จังหวะที่ The Cavalry เข้าใกล้ Arachna องครักษ์ ก็กระโจนเข้าใส่ทันที ยังดีที่ ฟุบูกิ สั่งให้เคลื่อนที่หลบได้ทันการณ์ แต่แรง G ที่เกิดขึ้นสวนทางจากการที่ The Cavalry เร่งท่อขับดันเพื่อฉากหลบไปทางด้านซ้าย ก็ทำให้ลูกเรือได้รับบาดเจ็บ ฟุบูกิ สั่งให้ตีวง The Cavalry กลับมา สิ่งที่เขาเหลือคือปืนใหญ่สลารมวลสาร 10 นัด และ ระเบิด DDT อีก 1 นัดด้วยกัน "การที่ร่างกายร้อยละ 70 ของมันไม่มีเกราะป้องกัน แสดงว่ามันไม่ใช่จุดอ่อน จุดอ่อนของมันต้องอยู่หลังเกราะสีขาวแน่" "จากตำแหน่งตอนนี้ เพียงแค่มันก้าวเข้ามาอีก 80 เมตร ก็จะอยู่ในพิกัดการยิงปืนใหญ่วงโคจรที่ผู้บัญชาการวัลดัส ส่งมา"
The Cavalry ใช้ปืนสลายมวลสารที่ติดอยู่ทางด้านขวาของหน้ายาน มันเป็นรางยิงยาวร่วม 180 เมตร ยิงกระสุนเข้าใส่ ฟุบูกิ เล็งไปที่ส่วนหัว กระสุนนั้นพุ่งตรงด้วยความเร็ว Mach 10 ดิ่งเข้าใส่หัวของ Arachna องครักษ์ อย่างแม่นยำ ทันทีที่มันปะทะ กระสุนโลหะขนาดยาว 31 เมตร ถูกบดบี้เข้ากับเกราะสีขาวส่วนหัว มวลของมันถูกบี้จนแทบจะแบนสนิท แรงปะทะทำให้เกิดการระเบิดของมวลโลหะจากกระสุน หัวของ Arachna องครักษ์หงายเงิบไปด้านหลัง แต่มันก็ไม่ได้ผล เกราะมันกลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ฟุบูกิ จ้องมองด้วยความตกตะลึง "บ้าชัดๆ ทำไมถึงแข็งอย่างนั้นได้!!" และเมื่อมันเริ่มก้าวเข้ามา ฟุบูกิ ได้เตรียมยิงอาวุธสุดท้ายที่เขาคาดว่าจะได้ผล "จังหวะนี้แหละ The Cavalry ยิงได้เลย" สิ้นเสียงสั่งการของ ฟุบูกิ Missile DDT ลูกใหญ่ที่ The Cavalry พกมาลูกเดียวออกไปยังส่วนอกของ Arachna องครักษ์ แรงระเบิดของ Missile ทำให้สารพิษ Dichlorodiphenyltrichloroethane เข้มข้นฟุ้งกระจายหนาแน่นรอบตัวของมัน
................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:47:00 GMT
เมื่อ Arachna ยักษ์ถูกฤทธิ์ของ Dichlorodiphenyltrichloroethane
มันก็เริ่มมีอาการกระสับกระส่ายจนเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก คลื่นแรงโน้มถ่วงก็พุ่งแหวกเมฆลงมาจากฟ้า มันคือลำคลื่นแรงโน้มถ่วงที่ ชิราโออิ พัฒนาให้มันมีอานุภาพสูงขึ้นมาก ลำคลื่นดิ่งตรงลงมายังหัวของ Arachna องครักษ์อย่างพอดิบพอดี มิเกล และผู้บังคับการทุกคนจ้องตาไม่กระพริบ ฟุบูกิ จ้องมองขณะสั่งให้ The Cavalry จุดไอพ่นขับดันด้านหน้าทั้งหมด เพื่อเคลื่อนที่ถอยหลังหนีผลของแรงโน้มถ่วง แม้เส้นคลื่นจะเป็นเส้นเล็กๆ ที่สามารถเห็นได้เนื่องจากการที่ฝุ่นละอองในอากาศถูกดูดเข้าหาศูนย์กลางของลำคลื่น แต่พลังงานที่บิดเบือนมิตินั้นมีสูงมาก ทำให้แรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นเป็นกำลังที่มหาศาล มันดูดทั้งพื้นดินและต้นไม้เข้าไป รัศมีที่ถูกพลังของคลื่นแรงโน้มถ่วงดูดเข้าไปมีรัศมีกว้างถึง 1.5 กิโลเมตร The Cavalry เองก็เกือบจะเอาตัวไม่รอด
แต่สิ่งที่น่าตกทึ่งยิ่งกว่าคือ คลื่นแรงโน้มถ่วงไม่สามารถเจาะผ่านเกราะสีขาวส่วนหัวของ Arachna องครักษ์ลงมาได้ ราวกับมันถูกหยุดและสลายไปเมื่อกระทบเข้ากับพื้นผิวของเกราะสีขาว จนในที่สุดคลื่นแรงโน้มถ่วงก็สลายหายไป Arachna องครักษ์ กระโดดออกจากพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าออกมา มันเริ่มกลับคืนสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ห้องบัญชาการเงียบเป็นป่าช้า มิเกล อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก และเสียงโหวกเหวกก็เริ่มดังระงมขึ้นทั้งห้องเพราะความกลัว ทุกคนต่างทำอะไรไม่ถูก เจ้าหน้าที่บางส่วนเกิดสติแตกวิ่งออกไปจากห้องบัญชาการ เพราะเขาคิดว่าอยู่ต่อต้องตายแน่ ในขณะที่ผู้บังคับการ 4 ฝูงบิน พยายามขอความเห็นจาก มิเกล วัลดัส ในฐานะที่เขาเป็นรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่เขากลับได้ความเงียบจาก มิเกล เป็นคำตอบ เพราะ มิเกล วัลดัส ยืนอึ้งราวกับเขาสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไปแล้ว
ฟุบูกิ ปากค้าง สายตามองด้วยสีหน้าซีดเผือก "เป็นไปไม่ได้...เกราะสีขาวของมันต่อต้านคลื่นแรงโน้มถ่วงได้งั้นหรอ" "ทั้งๆ ที่ภายในมิติของเรา ไม่น่าจะมีอะไรต่อต้านการบิดเบือนมิติของแรงโน้มถ่วงได้แท้ๆ มันฉีกกฎนั้นทิ้งไปเฉยเลย" ในขณะนั้น ฟุบูกิ ก็ได้ยินเสียงผ่านสัญญาณสื่อสารจากห้องบัญชาการ ทำให้รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้อยู่ในภาวะวิกฤติแล้ว ทั้งแผนการรบที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า อีกทั้งขวัญกำลังใจของทหารของฐาน Radamanthys ก็ถูกฉีกจนสลายไปจนหมด ฟุบูกิ มองไปรอบๆ ห้องบังคับการของ The Cavalry ก็มีสภาพไม่แตกต่างออกไปมากนัก เขากำหมัดกัดฟันแน่น จนในที่สุด ฟุบูกิ ก็พูดขึ้นว่า "สถานการณ์ตอนนี้เราคงถึงขั้นวิกฤติแล้ว...เพราะมันปิดประตูชนะเราไปจนหมดซะทุกบาน" "ผมอยากให้ทุกคนที่อยู่ใน Radamanthys เตรียมอพยพเป็นการด่วน....ถ้าผมไม่สามารถรั้งมันเอาไว้ได้ มันจะไปที่นั่นแน่" "ไม่ว่าการละทิ้ง Radamanthys จะไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะมนุษย์คงอยู่โดยปราศจากฐานที่มั่นได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์" "แต่ถ้าทำการอพยพตอนนี้ พวกคุณก็ยังไปถึง Minos ได้ มันอาจจะช่วยยืดเวลาให้กับมนุษยชาติออกไปอีกสักหน่อย" "ส่วนผมกับ The Cavalry และทหารทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็จะไม่ยอมแพ้...แม้จะต้องตาย...ก็จะขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด....." "ในฐานะทหารคนหนึ่งที่มีหน้าที่ปกป้องประชาชน...และในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งที่จะปกป้องมวลมนุษยชาติ!!"
เมื่อได้ยิน ฟุบูกิ พูดเช่นนั้น ผู้บังคับการฝูงบินก็รับข้อเสนอของ ฟุบูกิ แต่พวกเขาทั้ง 4 ก็ไม่ยอมหนีไปไหน พวกเขาสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เหลือและทราบคำสั่งแล้ว กระจายคำสั่งออกไปแทน และช่วยเหลือในการอพยพทันที นั่นเพราะพวกเขาเห็นว่า คามิโจ ฟุบูกิ ยังคงยืนยันที่จะต่อสู้อยู่....หากคนหนุ่มหน้าใหม่ยังมีไฟที่จะสู้ พวกเขาก็จะสู้ด้วย อีกทั้งหน้าที่ของพวกเขาเองก็ยังไม่จบ พวกเขายังต้องสั่งการกองทัพภาคพื้นดินในการต่อต้าน Arachna แมลงมุมต่อไปด้วย ทว่า มิเกล วัลดัส กลับหันหลัง และค่อยๆ ก้าวเดินออกจากห้องบัญชาการไปช้าๆ โดยที่ไม่มีใครกล้าจะรั้งหรือสั่งอะไรเขา
ฟุบูกิ ได้รับแจ้งจากฐานบัญชาการว่าผู้บังคับการฝูงบินทั้ง 4 ต้องการจะสู้ร่วมกับเขาต่อไปโดยไม่มี มิเกล วัลดัส เขาก็พยักหน้าเบาๆ "ผมต้องขอบคุณทุกคนนะครับที่ยังร่วมกันทำหน้าที่ทหารของกองทัพร่วมกับผม ส่วนใครที่ยอมแพ้ในตอนนี้ ก็คงจะโทษเขาไม่ได้" "ระหว่างนี้ผมขอให้ท่านผู้บังคับการทุกท่านติดต่อไปยังฐาน Minos ให้พวกเขาวิเคราะห์ Arachna ที่เราต้องเผชิญอยู่ด้วยนะครับ" ฟุบูกิ พูดและยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ เขาเปิดแผงควบคุมด้านขวาบริเวณที่วางแขนของเก้าอี้บัญชาการของเขาออก "เอาล่ะ ดูเหมือนจะเหลือลูกไม้นี้อย่างเดียวเท่านั้นแล้วสินะ...หวังว่ามันจะทำอะไรได้บาง" เขากดปุ่มเพื่อสั่งการระบบบางอย่าง
ยานรบ The Cavalry เชิดหัวขึ้นในขณะที่ส่วนต่างๆ ของยานรบเริ่มเคลื่อนไหว มันเริ่มย้ายตำแหน่งส่วนต่างๆ ของยานทีละชิ้นๆ ในที่สุด รูปร่างที่แท้จริงของมันก็ปรากฏ The Cavalry แปลงร่างเป็นหุ่นรบขนาดยักษ์ ส่วนสูงของมันมีมากถึง 400 เมตร ดูจากขนาดของมันแล้วพอฟัดพอเหวี่ยงกับเจ้า Arachna องครักษ์เลยก็ว่าได้ มันเป็นระบบที่ ชิราโออิ ได้บอก ฟุบูกิ ไว้ และเธอยังบอกอีกว่าในกรณีที่ใช้อาวุธไปหมดสิ้น The Cavalry สามารถแปลงร่างเป็นหุ่นรบขนาดยักษ์ได้เพียงครั้งเดียว นั่นหมายความว่า คามิโจ ฟุบูกิ ได้ใช้ไพ่ตายใบสุดท้ายของ The Cavalry และยอมแลกทุกสิ่งในการหยุดยั้งศัตรูในครั้งนี้
ฟุบูกิ จ้องมองผ่านจอภาพไปที่ Arachna องครักษ์ด้วยสายตาแน่วแน่ เขาหยิบบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อของเขา
มันเป็นเข็มกลัดรูปคนขี่นกอินทรีซึ่ง ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก เป็นคนทำให้ เขานำมันกลัดเข้ากับเสื้อนักบินเหนือป้ายชื่อของเขา "เอาล่ะ...นี่อาจจะเป็นศึกครั้งสุดท้ายของมนุษย์ชาติ...วันนี้ไม่มีปุ่มยอมแพ้....จอมยุทธ์อินทรีก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!!"
................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:49:35 GMT
ในป่าทึบ ห่างจากจุดปะทะไปราว 14 กิโลเมตร
ซึบาสะ กำลังแหวกพงหญ้าและเถาวัลย์อย่างยากลำบาก เหงื่อของเธอไหลพรากภายใต้ชุดนักบิน เพราะระบบเสริมแรงล้มเหลว "ให้ตายสิ ผ่านไป 20 นาทีแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงที่หมายเลย... ออกซิเจนก็เหลือน้อยลงทุกทีแล้วด้วย" เธอบ่นพึมพำ เรี่ยวแรงของเธอน้อยลงทุกที จนในที่สุด ขาของเธอก็รับน้ำหนักไม่ไหว เธอสะดุดกับเถาวัลย์และกลิ้งล้มลงไปกองกับพื้น เธอนอนหงายหน้าขึ้น และมองไปบนฟ้า สิ่งที่เธอเห็นคือต้นไม้สูง ใบของมันหนาทึบจนแสงแดดแทบจะส่องผ่านลงมาไม่ได้ "ไม่ไหวแล้ว.....จบสิ้นแล้ว......ได้นอนตายอย่างสงบตรงนี้ก็คงจะไม่แย่อะไรมากมายนัก......" ซึบาสะ พูดด้วยความสิ้นหวัง
"สู้แทนชั้นด้วยนะ...ฟุบูกิ..." แต่ทันใดนั้นสายตาที่เริ่มหรี่ลงของ ซึบาสะ ก็พบการเคลื่อนไหวรุนแรงบนยอดต้นไม้สูง มันทำให้กิ่งไม้บนยอดหักโค่น สายตาของเธอเบิกโพรงเมื่อสิ่งนั้นแหวกกิ่งไม้ออกไปจนหมด จนแสงดวงอาทิตย์ปรากฎชัดแจน เงาที่บังแสงของมันเหมือนนกขนาดยักษ์ มันสยายปีกกว้าง 10 เมตร ออกมา แล้วกระพือช้าๆ ขณะลดระดับความสูงลงมาเรื่อยๆ ก่อนที่จะลงมายืนด้วยสองขาข้างๆ ตัวเธอ ทำให้ ซึบาสะ ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมานั่ง และสิ่งนั้นก็คือ Phoenixaurus ตัวหนึ่ง "นี่แก...." ซึบาสะ พูดขึ้นด้วยความตกตะลึง มันคือ Phoenixaurus ที่มีรอยแผลเต็มตัว แน่นอนว่าเธอจำมันได้เป็นอย่างดี
มันคือ Phoenixaurus ที่เคยพา ฟุบูกิ และ ซึบาสะ หนีออกจากรังก่อนที่จะถูกทำลายด้วย Missile นั่นเอง มันเดินเข้ามาใกล้ ซึบาสะ ก่อนจะนั่งลงและเอียงตัวเข้าฟา ซึบาสะ มาลดปีกลงเป็นการบ่งบอกให้ ซึบาสะ ปีนขึ้นหลัง
................................................................................
The Cavalry ในร่างหุ่นรบยักษ์พร้อมปะทะ Arachna องครักษ์
ฟุบูกิ นึกย้อนไปในตอนที่ ชิราโออิ ได้กระซิบความลับของ The Carvalry ให้เขาฟังในวันที่เขาได้รับมันมาเป็นวันแรก "ข้อต่อทุกชิ้นของ The Cavalry จะทำการ Lock ตัวเอง มันทำให้โครงสร้าง Glieserium Alloy มีความแข็งแรงมากขึ้น" "พลังงานทั้งหมดถูกถ่ายโอนไปที่การขับเคลื่อน มันเป็นหุ่นรบที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำการต่อสู้กับศัตรูขนาดยักษ์โดยเฉพาะ" "ถึงแม้ว่าทางการจะมองว่าการสร้างหุ่นรบขนาดยักษ์จะไม่ใช้เรื่องที่จำเป็นและคุ้มค่า แต่ทีมพัฒนาก็อยากสร้างมันขึ้นมาสักครั้ง" "วัตถุประสงค์จึงเป็นเพียงการพิสูจน์ความสามารถของทีมพัฒนา แต่มันก็ดันบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่อาจจะได้ใช้งานมันจริงๆ"
ฟุบูกิ ยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้น "ต้องขอบคุณทีมพัฒนาของคุณชิราโออิ แล้วล่ะมั้งงานนี้....เอาล่ะ....เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า" เจ้าหน้าที่ประจำหุ่นรบ The Cavalry พร้อมสำหรับปฏิบัติการณ์แล้ว พวกเขามีกำลังใจในการต่อสู้เพราะรู้สึกถึงความหวังที่ยังมี การสั่งการเคลื่อนไหวหุ่นรบถูกโอนไปที่กัปตัน นั่นก็คือ คามิโจ ฟุบูกิ คันบังคับที่คล้ายคันบังคับของ VF-1 ก็ปรากฏต่อหน้า ฟุบูกิ ลุกจากเก้าอี้บัญชาการก่อนที่มันจะแปลงเป็นจุดบังคับ คันบังคับโลหะดันตัวขึ้นมาจากเก้าอี้สองข้างให้เขาสอดแขนไป ตอนนี้ คามิโจ ฟุบูกิ ได้สวมใส่อุปกรณ์บังคับหุ่นรบ The Cavalry ที่แปลงสภาพจากเก้าอี้บัญชาการ ส่วนคนอื่นจะทำหน้าที่สนับสนุน การยิงอาวุธต่างๆ จะถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธ การระบุตำแหน่ง และท่อขับดัน ก็อยู่ที่เจ้าหน้าที่สนับสนุนคนอื่นๆ
The Cavalry ตั้งปืน Railgun ที่แขนขวาขึ้นเล็ง พวกเขาเหลือกระสุนสลายมวลสารอยู่อีก 9 นัด ฟุบูกิ สั่งยิงทันที เจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธก็กดปุ่มลั่นกระสุน ในขณะที่ Arachna องครักษ์ ก็กระโจนสวนเข้าใส่ด้วยกำลังทั้งหมดของมัน มันใช้แขนซ้ายปัดกระสุนสลายมวลสารออกไป แล้วโจมตีหุ่นรบ The Cavalry ด้วยการตะปบลงมาด้วยแขนข้างขวา ฟุบูกิ ยกแขนซ้ายของ The Cavalry ขึ้นมากัน พร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่ควบคุมระบบที่สั่งการในการกางโล่ออกจากแขนซ้าย การทำงานอย่างสามัคคีของ The Cavalry นั้นไร้ที่ติ มันยกโล่ขึ้นมากันการโจมตีได้สำเร็จ แต่แรงปะทะนั้นก็สูงเกินไป แรงกดทำให้ The Cavalry ทรุดตัวลงเล็กน้อย ระบบไฮโดรลิกส์จากขาทั้งสองข้างจึงทำงานเต็มกำลังเพื่อยกตัวกลับขึ้นมา "จังหวะนี้แหละนะ" ฟุบูกิ ตะโกนขึ้น เขาใช้ราง Railgun ของปืนใหญ่สลายมวลสารที่แขนขวากระแทกเข้าใส่ศัตรูอย่างแรง เจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธลั่นไกส่งกระสุนสลายมวลสารอีก 7 นัด รัวเข้าใส่หน้าอกของ Arachna องครักษ์ระยะประชิด
เกราะส่วนอกสีขาวแตกกระจายออก ฟุบูกิ ยกขา The Cavalry ขึ้นถีบให้ Arachna องครักษ์ กระเด็นออกไปอย่างแรง เพราะขนาดที่ใหญ่โต ทำให้เหมือนหุ่นยักษ์นั้นเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ แต่การปะทะจริงนั้นรวดเร็วและแรงกว่าที่เห็นมาก จังหวะที่ Arachna องครักษ์กระเด็นไป The Cavalry ก็ยิงกระสุนสลายมวลสารนักสุดท้ายเข้าใส่หน้าอกของมันอย่างจัง กระสุนสามารถเจาะทะลุหน้าอกของมันจนเป็นรูโหว่ แต่มันกลับไม่ล้มลง มันฝืนตัวเองจนมายืนได้ด้วยสองขาของมัน รูโหว่ค่อยๆ ประสานกันจดมิด และเกราะสีขาวก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ฟุบูกิ กำหมัดกัดฟันแน่น และตั้งท่ารอ เมื่อ Arachna องครักษ์ ฟื้นฟูตัวเองเสร็จ มันคำรามเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แล้วกระโจนเข้าใส่ The Cavalry อีกครั้ง ฟุบูกิ จ้องมองการฟื้นตัวของมัน "ดูเหมือนส่วนบนช่วงอกและต้นคอจะเป็นจุดอ่อนของมัน แต่ปืนใหญ่ฆ่ามันไม่ได้แค่นั้น" "ถ้าเรามีอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สามารถยิงทำลายภายในของมันได้อย่างจนหมด....เราก็น่าจะฆ่ามันได้แล้วแท้ๆ...."
ระหว่างที่มันกระโจนเข้ามาใส่ The Cavalry ร่างกายของมันก็เริ่มจะเลือนหายไปจากการมองเห็นด้วยสายตาและเรด้าห์ ฟุบูกิ รู้ทันทีว่ามันกำลังเข้าสู่สภาวะการพลางตัว เขาจึงเดาการโจมตีของมันเพื่อทำการตั้งรับ และรับการโจมตีแรกได้ แต่การที่เป็นหุ่นรบ The Cavalry จึงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้คล่องแคล่วและเป็นอิสระได้เหมือนเจ้า Arachna องครักษ์ The Cavalry รับการโจมตีที่รวดเร็วและต่อเนื่องด้วยแขนสองข้างของมันได้เพียง 3 ครั้ง ก่อนเป็นฝ่ายถูกโจมตีซะเอง มันใช้แขนตบเข้าใส่ตามลำตัวทำให้ Hyperium Alloy บุบและยุบตัว ประกายไฟจากการเสียดสีกระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดมันกดใช้หัวขวิดใส่ลำตัวของ The Cavalry จนกระเด็นลอยออกไปและไถลไปกับพื้น ระยะไถลนั้นไกลกว่า 4 กิโลเมตร บัดนี้ The Cavalry ไม่เหลืออาวุธที่จะไปต่อกรกับ Arachna องครักษ์ได้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าพวกเขาทำมันได้ดีที่สุดแล้วก็ตาม Arachna องครักษ์ ปรากฏกายก้าวเข้าหา The Cavalry ที่ล้มหงายอยู่ มันยืดรยางค์ที่อยู่ช่วงคอและไหล่ออกมาจำนวนมาก
ฟุบูกิ เข้าใจทันทีว่ามันตั้งใจจะจับมนุษย์ข้างในออกไปกิน และเขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว "เรา....มาได้ไกลเท่านี้แล้วสินะ..."
................................................................................
จังหวะที่รยางค์จำนวนนับพันของ Arachna องครักษ์กำลังพุ่งเข้าใส่ The Cavalry
มันก็ถูกโจมตีจากด้านหลังด้วยอาวุธปืนใหญ่ พร้อมกับระเบิด Missile จำนวนมาก ทำให้รยางค์หดกลับไปทันที ฟุบูกิ เหลือบไปมองบนท้องฟ้าด้านหลังของ Arachna องครักษ์ เขาก็เห็นการบินเข้าสู่สนามรบของ The Javelin "ท่านผู้บัญชาการวัลดัส.....อย่าผลีผลามนะครับ จุดอ่อนของมันอยู่หลังเกราะสีขาว ยิงส่วนอื่นทำอะไรมันไม่ได้" ฟุบูกิ พูดขึ้น มิเกล วัลดัส ที่นำ The Javelin บินเข้ามาก็ตอบกลับไปว่า "เรื่องนั้นชั้นรู้อยู่แล้ว!! และเจ้านี่ก็เป็นตัวที่ทำให้ภารกิจล้มเหลว" "ชั้นจะจัดการเจ้านี่ให้ได้ด้วยตัวของชั้นเอง!! เข้ามาเลยไอ้แมลงยักษ์!!" มิเกล วัลดัส ตะโกนขึ้น ในขณะพุ่งเข้าโจมตี
The Javelin ดิ่งเข้าหา Arachna องครักษ์ในขณะที่มันก็หันมายัง The Javelin มิเกล สั่งยิงปืนใหญ่สลายมวลสารทั้งหมด เจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธได้ยิงกระสุนสลายมวลสารจากป้อมปืนออกไปทั้งหมดรวดเดียวถึง 20 นัด ทำให้ลำกล้องเกิดความร้อนสูง ป้อมปืนสลายมวลสารทั้ง 4 กระบอกของ The Javelin ระเบิดทันที ในขณะที่กระสุนพุ่งเข้ากระแทกเกราะบนใบหน้าของ Arachna เกราทั้งหมดแตกกระจาย และ มิเกล วัลดัส ก็ไม่หยุดแค่นั้น เขาสั่งให้ยิง Gravitational Pulse Cannon จากหัวยานออกไป The Javelin มีทิศทางการบินพุ่งชนเจ้า Arachna ในขณะที่ตั้งใจจะยิง GPC เข้าใส่ไปพร้อมๆ กับการชนด้วยความเร็วสูงสุด แต่โชคร้ายที่เจ้า Arachna ไหวตัวทัน มันเอียงตัวหลบไปทางขวาแล้วใช้แขนซ้ายฟาดดักทางการบินของ The Javelin
ลำคลื่นแรงโน้มถ่วงที่หมายจะยิงเข้าเกราะส่วนหัวก็พลาดเป้า มันเข้าทำลายแขนซ้ายของ Arachna องครักษ์จนหายไปแทน และรยางค์ที่พันกันเอจนดลายเป็นเชือกขนาดยักษ์ก็ฟาดเข้าใส่ช่วงท้ายซึ่งเป็นท่อขับดันหลักของ The Javelin อย่างแรง The Javelin เสียการทรงตัวหมุนเคว้งกลางอากาศ ในขณะที่ท่อขับดันทั้งหมดเกิดระเบิดขึ้น สลัดชิ้นส่วนกระเด็นกระจายไปทั่ว ร่างของเจ้าหน้าที่ The Javelin บางคนที่หลุดลอยออกจากตัวยานถูกรยางค์รัดและดึงเข้าไปกัดกินร่วมๆ 20 นาย อย่างสยดสยอง ก่อนที่ The Javelin จะตกกระทบพื้น ฟุบูกิ ก็ใช้ The Cavalry บินดิ่งเข้าไปรับเพื่อลดแรงกระแทก ทำให้ทั้งสองลำไถลไปด้วยกัน
................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:50:55 GMT
เมื่อการลื่นไถลของ The Cavalry และ The Javelin สิ้นสุดลง
มิเกล วัลดัส สบัดหัวไปมาเพื่อสลัดอาการมึนงงอันเกิดจากแรงกระแทก เขามองไปรอบๆ ห้องบังคับการก็เห็นภาพที่ไม่น่าดูนัก ชิ้นส่วนร่างกายของเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กว่า 10 นาย ถูกฉีกจากแรกกระแทกกระจัดกระจายไปทั่วห้องบังคับการของพวกเขา บางรายที่ยังไม่เสียชีวิตก็โอดครวญด้วยความทรมาน บ้างก็ขาขาด บ้างก็แขนขาด บางก็กำลังช็อคเพราะลำตัวขาด มิเกล วัลดัส ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก อวัยวะภายในบอบช้ำจนกระอักเลือดออกมาเปื้อนกระจอกของหมวกนักบินของตน "บ้าชิบ.....ไม่คิดเลยว่า.....คนอย่างชั้น.....จะต้องมา.....ลงเอย.....แบบนี้......" มิเกล วัลดัส พูดขึ้นด้วยเสียงทีเริ่มสั่นคลอน แต่เสียงของ ฟุบูกิ ก็พูดเข้ามา "ถ้าเราจะต้องตายที่นี่วันนี้....ผมว่ามันก็คุ้มค่าแล้วล่ะครับ....เราได้ทุ่มเททุกสิ่งที่มีไปแล้ว...."
มิเกล มองไปที่ภาพหน้าจอหลัก ซึ่งมันก็เริ่มติดๆ ดับๆ เขาเห็นหน้าของ ฟุบูกิ ซึ่งก็อาการย่ำแย่ไม่ต่างอะไรกับเขากำลังพูด มิเกล ยิ้มมุมปาก "คนอย่างแก...น่ะหรอ....จะไปรู้อะไร....จุดมุ่งหมาย....ของการเป็นผู้บัง...คับการ....ก็คือ...ภารกิจ....เท่านั้น" "ตอนนี้....ชั้น....ทำมัน....พังไปหมด....แล้ว.....ชั้นพ่ายแพ้....มนุษย์....อย่างเรา....คงไม่มี....วันที่จะไป....ต่อ....กรกับ...มันได้!!" ฟุบูกิ เถียงกลับมาทันที "ไม่ใช่ครับ...หัวใจของการเป็นทหารก็คือ....การได้ปกป้องคนที่เรารัก...ทำให้พวกเขาอยู่รอดปลอดภัย" "และเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข....เหมือนพ่อของคุณที่ทำทุกอย่างให้คุณเข้มแข็ง เพื่อจะได้ปกป้อง ซึบาสะ ได้" คำพูดของ ฟุบูกิ ทำให้ มิเกล นึกถึงภาพที่เขาลืมเลือนไปแล้วในวัยเด็ก แต่มันกลับปรากฏขึ้นชัดเจนในหัวของเขาตอนนี้
ในขณะที่ มิเกล ยังเด็กและหกล้ม มานูเอล ดึงตัวเขาขึ้นและบอกกับเขาว่าห้ามร้องไห้ เป็นลูกผู้ชายต้องอดทนและอดกลั้น ในขณะที่ มิเกล เป็นวัยรุ่นและก่อเหตุวิวาท มานูเอล ดุด่าว่ากล่าวและบอกว่า คนที่มีความแข็งแกร่งต้องใช้มันปกป้องไม่ใช่ใช้ทำร้าย ในขณะที่ มิเกล โตและถาม มานูเอล ว่าเหตุใดถึงอ่อนโยนกับ ซึบาสะ เขาก็ได้คำตอบว่า เพราะ ซึบาสะ เป็นคนที่เขาต้องปกป้อง และในขณะที่แผนของ มิเกล กำลังจะล้มเหลว วิมีน่า เธรมริล ก็ใช้ชีวิตของเธอในการแก้ไขความล้มเหลวนั้นเพื่อตัวของ มิเกล
แววตาของ มิเกล ดูผ่อนคลายลง "ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องและทำให้คนที่รักมีความสุขอย่างนั้นหรอ...นี่ชั้นเข้าใจผิดมาตลอดงั้นหรอ?" ฟุบูกิ ยิ้มบางๆ "ผมคิดว่าคงจะเป็นแบบนั้น....แต่ถึงแม้คุณจะเพิ่งมาเข้าใจทุกสิ่งเอาช่วงเวลานี้ มันก็ยังไม่สายเกินไปหรอกครับ" ฟุบูกิ มองออกไปที่ Arachna องครักษ์ ขณะที่มันหันไปไล่โจมตีกองกำลังภาคพื้นดินอย่างสนุกมือ "เพราะคุณยังมีโอกาสแก้ตัวอยู่...."
มิเกล ยิ้มมุมปากแล้วกัดฟันลากสังขารผ่านชิ้นส่วนอวัยวะและกองเลือดไปที่แผงควบคุมเพื่อเปิดข้อมูลที่บันทึกมาทั้งหมด ในขณะที่ ฟุบูกิ ได้รับผลวิเคราะห์ที่ผู้บังคับการทั้ง 4 คนส่งมาจากฐาน มันเป็นข้อมูลการวิเคราห์จากนักชีววิทยาของ Minos "จากการต่อสู้...นักชีววิทยาแน่ใจว่าจุดอ่อนของเจ้า Arachna ยักษ์ตัวนี้อยู่ช่วงระหว่างหน้าอก หัว และต้นคอของมัน" "แต่โชคร้ายที่มันมีเกราะสีข้าวป้องกันจุดอ่อนของมันไว้ทั้งหมด การทำลายเกราะนั้นต้องใช้กำลังยิงที่สูงเอามากๆ อีกด้วย" "แถมเกราะสีขาวของมันยังมีอำนาจในการสลายคลื่นแรงโน้มถ่วง ดังนั้น การยิงคลื่นแรงโน้มถ่วงใส่ไปตรงๆ จึงไร้ความหมาย" "ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขายังหาคำตอบไม่ได้แน่ชัดว่าเกราะสีขาวของมันทำจากอะไรกันแน่ ถึงสลายคลื่นแรงโน้มถ่วงไปได้" "นอกจากนั้น หลังจากที่เกราะหรือเนื้อแท้ของมันถูกทำลาย มันจะรักษาตัวเองกลับมาได้ภายในไม่กี่วินาที...การจัดการกับมัน" "เราจึงต้องเปิดเกราะของมันออกก่อน จากนั้นก็ใช้อาวุธทั้งหมดที่มีทำลายเนื้อแท้ที่เป็นจุดอ่อนของมันให้หมดสิ้น......"
มิเกล หัวเราะเบาๆ "พูดน่ะ...มันก็ง่ายอยู่นะ ตอน...นี้ยิงปืน....ใหญ่ดาว...เทียม....คงยิง...ไม่ได้อีกต่อ....ไปแล้วล่ะนะ" "The Javelin ก็เสียหาย...จนขึ้นบินไม่ได้...แถม...ลำกล้องของปืนใหญ่...แรงโน้มถ่วงก็เสีย...หายจนไม่สามารถยิงได้อีก" "เกราะสีขาว...ของมัน...คงเป็นธาตุ...ที่ไม่ได้มี...ความถี่...ในมิติ...ของเรา...จึงไม่...ได้รับ...อิทธิพลจากการ...บิดเบือนของมิติ..." "และ...มัน...อาจจะ...ไม่ได้รับ...ผลกระทบ...จากรังสี...อะไรเลย....ก็ว่าได้...กล่าวคือ....มันอยู่เหนือ...มิติ...ของเรา....นั่นคือ..." "สาเหตุ...ที่มันไม่ได้รับ...อิทธิพลของ....คลื่นแรง....โน้มถ่วง....แต่ตอนที่.... The Javelin กำลังจะโจมตี...ด้วยปืนใหญ่แรงโน้มถ่วง" "ชั้นเห็น...เต็ม...สองตาว่า...มันจงใจ....ที่จะหลบวิถีของ...ลำคลื่น....อย่างเห็นได้ชัด....แสดงว่าอานุภาพ....ของคลื่นแรงโน้มถ่วง" "มีโอกาส....ที่จะจัดการ....กับมันได้....แต่อาจ...จะคลื่น....อาจจะ....ต้องปะทะกับ....เนื้อแท้....ภายใน.....ของมันเท่านั้น...."
"ถ้าผม....สามารถนำ The Javelin ไป...ถึง...ตัวมันได้ .... แล้วสั่งการ....ให้เดินเครื่องสร้าง.....แรงโน้มถ่วง....จนเต็มกำลัง" "เครื่องสร้าง...แรงโน้มถ่วงของ Gravitaional Pulsed....Cannon...ก็จะสร้างสนาม....แรงโน้มถ่วง....มหาศาลขึ้น....มาได้อยู่" "แต่ปัญหา...ของเรา....ที่จะทำแบบนั้น...มีอยู่ 2 ประการ...คือ...ประการแรก...เราจะเปิดเกราะ....สีขาวของมันออก...มาได้อย่างไร" "ประการที่...สองคือ...ถึงเราจะเปิดเกราะ...ของมันออกมาได้...แต่เราะจะส่ง The...Javelin เข้าไป...ทำลาย....มันได้...ยังไง" หลังจาก มิเกล วัลดัส อธิบายทุกสิ่งอย่างติดๆ ขัดๆ จบ เขาก็กระอักเลือดออกมาเพิ่ม อาการของเขาเริ่มจะดูไม่ดีเสียแล้ว
ฟุบูกิ ครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับมา "วิธีเปิดเกราะของมันเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะตอนนี้ผมไม่มีกระสุนสลายมวลสารเหลือแล้ว" "ส่วนเรื่องส่ง The Javelin เข้าไปหามันนั้น ผมพอมีวิธีอยู่" เมื่อพูดจบ The Cavalry ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ ฟุบูกิ ใช้แขนซ้ายเปิดราง Railgun ที่แขนขวาออกมา มันเป็นแผงรางแม่เหล็กยาว ก่อนจะค่อยๆ หยิบ The Javelin ขึ้นไปวางบนราง "ด้วยระบบ Magnetic Railgun ผมสามารถส่ง The Javelin ออกไปด้วยยังเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น สิ่งที่เหลือก็คือ" "ให้ท่านผู้บัญชาการวัลดัส ตั้งเวลาให้ระบบทำงานให้พอดีในขณะที่ The Javelin เข้าปะทะเป้าหมาย เราก็สามารถจัดการมันได้"
มิเกล ยิ้มบางๆ "ดูเหมือน...จะไม่ง่าย...แบบนั้น...เพราะว่า....ระบบสั่งการ....ทั้งหมด...ของชั้น....นั้นล่ม....ไปแล้วล่ะนะ..." "แต่...ไม่ต้องห่วง...ตอนนี้...ชั้น....กำลังเชื่อม...ต่อวง...จรของ....ระบบ....สั่งการ....ทำงานของเครื่อง....สร้างแรงโน้มถ่วง...ขึ้นใหม่" "มันคง...ต้องสั่งการ...ด้วยมือ...ชั้นจึง....จำเป็นต้อง....อยู่ในนี้...และสั่ง...การ...ทำงาน....ของมัน....ด้วยตัวเอง...." "ส่วนนาย....ก็มี....หน้าที่จะต้อง....ส่งชั้น....และ The Javelin ออกไป...ด้วยความเร็ว...ก่อนที่ผลแรงโน้มถ่วงจะสิ้นสุดลง..." "ร่างกายของชั้น...ไม่สามารถทนแรง G ....ขณะส่งยานรบ...ออกไปได้...ดังนั้น...ชั้นจะสั่งการ...ทำงานก่อนที่...นายจะยิงออกไป" ฟุบูกิ พยักหน้าเบาๆ "ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะเร่งกำลังส่งทั้งหมดที่มี มันจะส่ง The Javelin ออกไปที่ความเร็วต้น Mach 120" "แต่ก่อนอื่น เราต้องหาวิธีทำลายเกราะส่วนหน้าอกของมันได้ให้ก่อน" ฟุบูกิ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน
................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:52:09 GMT
ระหว่างที่ ฟุบูกิ และ มิเกล กำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น
สัญญาณการติดต่อจาก Galahad 02 ก็ติดต่อเข้ามาในยานรบทั้งสองลำ ทำให้ มิเกล และ ฟุบูกิ รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะ Galahad 02 เป็นเครื่องที่ได้รับการยืนยันว่าถูกทำลายไปแล้วในช่วงต้นของการปะทะ ไม่น่าจะส่งสัญญาณเข้ามาได้ เมื่อ ฟุบูกิ กดรับสัญญาณการติดต่อ ก็พบว่าผู้ที่อยู่ใน Galahad 02 ก็คือ อะมาเทระ ซึบาสะ เธอกำลังนำเครื่องบินขึ้น ฟุบูกิ มองออกไปด้านนอกก็เห็น VF-1 รหัส Galahad 02 กำลังบินเข้ามาหา โดยเครื่องนั้นไม่มีกระจกฝาห้องนักบิน
ซึบาสะ ก้มหน้าตรวจสภาพของ VF-1 "Galahad 02 ยังคงเหลือ Missile DDT อยู่ 2 ลูก ไม่รู้จะพอทำลายมันได้รึเปล่านะ" ฟุบูกิ ส่ายหน้าเชิงปฏิเสธ "ไม่พอแน่นอน...สิ่งที่ DDT ทำได้คือการชะลอการเคลื่อนไหวและอัตราฟื้นฟูของมันให้ช้าลง" ทันใดนั้น สิ่งที่ทั้ง คามิโจ ฟุบูกิ อะมาเทระ ซึบาสะ และ มิเกล วัลดัส คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อมีบางสิ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามา มันเคลื่อนที่มาจากกองควันการระเบิดครั้งใหญ่ของเจ้า Arachna องครักษ์ ด้วยความเร็วที่สูงมาก ฟุบูกิ รีบตรวจสอบทันที
มันเป็นเครื่อง VF-1 สภาพเสียหายยับเยิน รหัสของเครื่องคือ Lancelot 03 ฟุบูกิ อุทานขึ้นเบาๆ "บ้าน่ะ...อากาศ แจ่มใส" "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า วันนี้อากาศแจ่มใสใช่มั้ยล่ะไอ้ปวกเปียก...ชั้นได้ยินเข้าพอดีว่าพวกแกขาดแนวหน้าสุดเมพขิงบลิ้งเข้าไปอัลติ" "Witness me!!....." อากาศ จะโกนขึ้นขณะมือของเขาดันคันเร่งของท่อขับดันไปจนสุด และรับมือกับแรง G มหาศาลอย่าฉับพลัน "ชั้นกำลังจะทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด!! เธอมองดูอยู่ใช่มั้ย!!? เรล่า!! เรากำลังจะปกป้องทุกคน เรากำลังจะเป็นตำนาน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" ในจังหวะที่ Arachna องครักษ์กำลังเหวี่ยงรถถังให้กระเด็นเคว้งกลางอากาศ มันก็หันมาเห็น VF-1 ของ อากาศ เข้าพอดี มันจึงรีบสบัดรยางค์จากต้นคนพุ่งเข้าใส่ VF-1 ของ อากาศ แจ่มใส จากทั่วทิศทางจนเกิดความสามารถที่จะหลบได้
แต่ อากาศ แจ่มใส ใช้พลังเฮือกสุดท้าย บินควงหลบรยางค์ทั้งหมดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และตรงดิ่งเข้าใกล้ "นี่ไม่ใช่การตาย!! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แต่เป็นการเปิดประตูสู่อนาคต!! ตายไปซะไอ้แมงเวรเอ้ย!!" อากาศ ตะโกนขึ้นสุดเสียง "วัลฮาล่า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" สิ้นเสียงของ อากาศ แจ่มใส VF-1 ของเขาก็พุ่งโหม่งเข้าเต็มเกราะแข็งสีขาวกลางอก วินาทีที่พุ่งชน อากาศ กดปุ่มยิง Missile ทั้งหมดออกไปเพื่อเพิ่มแรงปะทะ เมื่อบวกความเร็วและมวล มันจึงรุนแรงมากๆ Arachna องครักษ์ เซถอยไปด้านหลังเพราะพลังงานจลปริมาณมหาศาลเข้าปะทะ เกราะสีขาวส่วนอกของมันแตกกระจาย เมื่อมันรู้ตัวว่าจุดอ่อนของมันได้ปรากฏขึ้น มันก็เริ่มจะทำการพลางตัวเพื่อหมายจะหลบหลีกการโจมตีที่อาจจะปลิดชีวิตของมัน
ซึบาสะ เห็นเช่นนั้น เธอจึงเพ่งมองไปที่พื้นซึ่งเป็นป่าบริเวณที่มันหายตัวไป จนเห็นรอยเท้าของมันเริ่มถอยห่างอย่างชัดเจน เธอจึงยิง Missile DDT ตามเข้าไปในพื้นที่เป้าหมาย และควบคุมการระเบิดด้วยมือ จนมันระเบิดในตำแหน่งที่เธอต้องการ ทันทีที่ Arachna องครักษ์ โดนสารพิษจาก Missile ของ ซึบาสะ มันก็ไม่สามารถพลางตัวได้อีก และเกิดอาการมึนงงเฉียบพลัน สารพิษจาก Missile นอกจากจะทำให้มันเผยตัวได้แล้ว มันยังชะลอการฟื้นฟูของบาดแผลช่วงอกที่ อากาศ ได้สร้างไว้ได้อีกด้วย
ฟุบูกิ ติดต่อเข้าไปใน The Javelin ขณะที่เขาเล็งเป้าการยิงเรียบร้อยแล้ว "ท่านผู้บัญชาการการวัลดัส พร้อมรึยังครับ" มิเกล พยักหน้าตอบกลับมา "ชั้นพร้อมแล้ว....ยินดีที่...ได้ร่วมรบนะ คามิโจ ฟุบูกิ....ฝากดูแล...ซึบาสะ...แทนชั้นด้วย......" ฟุบูกิ พยักหน้าก่อนทำวันทยาหัตถ์ให้ มิเกล และ มิเกล ก็ทำวันทยาหัตถ์ตอบรับ ก่อนที่เวลานับถอยหลัง 5 วินาทีจะเริ่มต้น ซึบาสะ รู้ทุกอย่างว่า ฟุบูกิ และ มิเกล จำเป็นต้องทำ แต่เธอก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว "พี่มิเกล...ทำไม...ทำไมต้องเป็นพี่ด้วย" มิเกล ยิ้มบางๆ "โตแล้ว...หยุดร้องไห้...เป็นเด็กซะที...แบบนี้ชั้น...จะไปบอกมานูเอล...ไม่สิ...คุณพ่อ....ได้ยังไง....กันล่ะ"
สิ้นเสียงของ มิเกล เขาก็กดสั่งการเครื่องสร้างแรงโน้มถ่วงของ Gravitational Pulsed Cannon ของยานรบ The Javelin เวลานับถอยหลังหยุดอยู่ที่ 0.001 วินาที อย่างแม่นยำ จากนั้นพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามหาศาลจะเริ่มทำการผลัก พลังงานทั้งหมดของ The Cavalry ผลัก The Javelin ออกไปด้วยความเร็วต้น Mach 120 ภายในวินาทีนั้นอย่างทันที มิเกล วัลดัส หลับตาลง เขาเห็นภาพของ มานูเอล วัลดัส และ วิมีน่า เธรมริล ปรากฎขึ้น...น้ำตาของเขาก็หยดลงจากใบหน้า ก่อนที่น้ำตาหยดนั้นของ มิเกล วัลดัส จะหยดลงสู่พื้นยาน The Javelin ก็ถูกแรงผลักออกไปด้วยความเร็วที่มองแทบไม่ทัน ร่างของ มิเกล วัลดัส และ เศษซากชิ้นส่วนของเจ้าหน้าที่ในห้องบังคับการของ The Javelin ถูกแรงเร่งขยี้จนแหลกสลาย แรงถีบกลับทำให้แขนขวาของ The Cavalry เกิดระเบิด มันบิดลำตัวของ The Cavalry จนรูปร่างและระเบิดตามไปด้วย อะมาเทระ ซึบาสะ กัดฟันแน่นขณะพยายามพา VF-1 ที่สภาพยับเยิน บินหนีแรงอัดการระเบิดอย่างสุดตัวด้วยกำลังทั้งหมด
The Javelin ถูกส่งออกไปพร้อมกับการทำงานของเครื่องสร้างแรงโน้มถ่วงที่ดูดกลืนมันทั้งลำ จนกลายเป็นบอลแสงขนาดเล็ก บอลพลังแรงโน้มถ่วงพุ่งตรงต่อไปด้วยความเร็ว Mach 120 จนปะทะเข้ากับช่องว่างของเกราะ Arachna องครักษ์อย่างแม่นยำ แรงโน้มถ่วงดูดกลืน Arachna องครักษ์ จากภายในบริเวณช่วงอกด้วยพลังงานอันมหาศาล ทำให้ทั้งร่างถูกดูดหายวับไปกับตา อานุภาพของแรงโน้มถ่วงได้ดูดต้นไม้จากป่า มวลดินจากพื้น ไม่แตกต่างไปจากปืนใหญ่แรงโน้มถ่วง โชคดีที่ ซึบาสะ รอดมาได้ กองกำลังสนับสนุนภาคพื้นดินของ Radamanthys เริ่มเข้าไปยังพื้นที่ พวกเขาส่งทหารราบติดอาวุธไปสนับสนุนแนวรบอีกแรง ในไม่ช้า รถถัง ยานยนต์หุ้มเกราะ ปืนใหญ่ และทหารราบ ก็สามารถขับไล่ Arachna แมลงมุมทั้งหมดให้ล่าถอยและหายไป
นอกจากชัยชนะจะตกเป็นของ Radamanthys แล้ว พวกเขาก็ได้รับแจ้งจาก Aiacos ว่าได้ขับไล่ Arachna สำเร็จแล้วอีกด้วย ในที่สุด เสียงเฮแห่งชัยชนะที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความยินดีปรีดา ก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งฐาน Radamanthys.......
................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:54:51 GMT
สองปีผ่านไป
ณ สุสานทหารภายในเขตกองทัพของฐาน Radamanthys สายตาคู่หนึ่งได้ลืมขึ้นมองดูสุสานที่อยู่ตรงหน้า ป้ายหลุมศพจำนวนมากตั้งอยู่เรียงราย สายตาคู่นั้นมองไล่ไปตั้งแต่ท้ายสุดมาถึงหน้าสุด ซ้ายสุดไปถึงขวาสุด
หลุมศพของ อากาศ แจ่มใส และ เรล่า ตั้งอยู่คู่กัน มันบ่งบอกว่าทั้งสองคนได้อยู่ดูแลกันและกันตลอดไป หลุมศพของ ฮิคารุ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากหลุมศพ มาร์คัส เอเรียส และ เท็ตสึยะ เธอไม่ต้องรักษาระยะห่างกับใครอีกแล้ว หลุมศพของ โนเอมี เฮ็นดริกส์ อยู่เคียงข้างกับหลุมศพของ ชิเอล ลูกชายสุดที่รักของเธอในพื้นที่ซึ่งตั้งอยู่สูงเด่นชัด ตรงหน้าของดวงตาคู่นั้น เป็นหลุมศพของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก และ มานูเอล วัลดัส ผู้ซึ่งไม่มีเรื่องอะไรต้องติดค้างกันอีก ถัดจากหลุมศพของ มานูเอล วัลดัส ก็เป็นหลุมศพที่มีดอกไม้ช่อหนึ่งวางอยู่ มันเป็นหลุมศพเดียวที่สลักชื่อสองคนไว้
"มิเกล วัลดัส และ วิมีนา วูลู วองซ์ เธรมริล จะสถิตอยู่ ณ สรวงสรรค์อันสงบสุขตลอดกาล" เสียงของ ฟุบูกิ พูดขี้น เขาเป็นเจ้าของสายตาที่มองไปรอบๆ นั่นเอง แววตาของ คามิโจ ฟุบูกิ บ่งบอกถึงความสงบสุขออกมาได้เป็นอย่างดี "ผ่านไปสองปีแล้วสินะ....นับตั้งแต่ที่พวกเขาจากเราไป...." เสียงใสๆ ของ ซึบาสะ ก็พูดขึ้นทางด้านขวาของ ฟุบูกิ ฟุบูกิ ยิ้มบางๆ "นั่นสินะ....พวกเราอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ได้เพราะการเสียสละของพวกเขาในวันนั้น...ผ่านไปเร็วจริงๆ"
ซึบาสะ หันซ้ายมามอง ฟุบูกิ "แต่เราก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้...เพราะเรายังไม่พบหลุมอุกกาบาตหลุมสุดท้ายที่ตกลงมาเลย" ฟุบูกิ พยักหน้า "ถึงแม้ที่ผ่านมา เราพบร่องรอยของ Arachna...แกะรอย...ติดตาม...และกวาดล้าง...จนมันหายไปแล้วปีกว่า" "สภาพบ้านเมืองของ Radamanthys Aiacos และ Minos ก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วก็ตาม...ชั้นก็ตั้งใจที่จะต่อสู้ต่อไป..."
ระหว่างที่ ฟุบูกิ และ ซึบาสะ พูดคุยกันอยู่นั้น เสียงติดต่อก็ดังขึ้นจากนาฬิกาข้อมือของ ฟุบูกิ และ ซึบาสะ พร้อมๆ กัน เสียงและภาพโฮโลแกรมก็ปรากฏขึ้นจากนาฬิกาข้อมือ มันเป็นการติดต่อของ ชิราโออิ เธอยิ้มและพูดกับทั้งสองคนว่า "แหม...ผู้บังคับการทั้งสองคนนี้ตามตัวยากจริงๆ นะคะ...เอ๋...อยู่ที่สุสานงั้นหรอคะ ดิชั้นจะแจ้งว่าหุ่นรบรุ่นใหม่พร้อมแล้วนะคะ" "จะให้ดิชั้นส่งไปที่ Lancelot เลยมั้ยคะท่านผู้บังคับการอะมาเทระ..." คำถามของ ชิราโออิ ได้รับคำตอบว่า "ต้องรบกวนแล้วนะคะ" "แล้วท่านผู้บังคับการคามิโจ จะให้ส่งไปที Galahad ด้วยมั้ยคะ" คำถามที่สองของ ชิราโออิ ก็ได้รับคำตอบว่า "ตามนั้นครับ..."
เมื่อ ชิราโออิ วางสายไป ซึบาสะ ก็ชูแขนขึ้นบิดขี้เกียจ "อ๊ายยยยย.....ได้เวลาไปทำภารกิจอีกแล้วสินะ.....รีบไปกันเถอะ ฟุบูกิ" ซึบาสะ สอดมือซ้ายมาจับมือขวาของ ฟุบูกิ เอาไว้อย่างอ่อนโยน โดยที่มือขวาของ ฟุบูกิ นั้นกลายเป็นโลหะไปแล้วทั้งหมด นั่นก็เพราะ ฟุบูกิ เสียแขนขวาไปจากแรงดึงกลับของคันบังคับ The Cavalry ที่ถูกแรงถีบของ Railgun ในการยิงครั้งสุดท้าย ทำให้เขาต้องใช้ Exoskeleton เข้ามาทดแทนแขนขวา ฟุบูกิ จ้องตา ซึบาสะ เขายิ้มแล้วตอบกลับว่า "อืม...ไปกันเถอะ...." คามิโจ ฟุบูกิ เดินตามการจูงมือของ อะมาเทระ ซึบาสะ ออกจากสุสาน....รอยยิ้มอย่างมีความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เมื่อทั้งสองเดินจากไป ที่หน้าหลุมศพของ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ก็มีเข็มกลัดรูปคนขี่นกอินทรีวางอยู่ข้างๆ ดอกไม้ช่อใหญ่....
"ตราบใดที่มนุษย์ยังคงอยู่บนดาวดวงนี้ พวกเราทุกคนก็จะทำสุดความสามารถเพื่อสร้างอนาคตให้แก่มนุษยชาติ......"
"ตราบใดที่มนุษยชาติยังคงต้องการอนาคตที่ดีในภายภาคหน้า...สิ่งหนึ่งก็ยังต้องดำเนินต่อไป...นั่นคือ...ภารกิจของราดาแมนธิส"THE END......
Thanks For ReadingPlotted by Senjumaru
Written by Senjumaru
Characters
Kamijou Fubuki - Saito Amatera Tsubasa - eisengard Miguel Valdus - aranea Vimena v.v. Thremril - unidentified Ringet Resenberg - Saraphina Hikaru Tchaikovsky - unidentified Agard Jamsai - C.C.Quinn Manuel Valdus - Senjumaru Marcus - kiwada Rela - dendu Ares Civiolia - tonklaaaaaawow Hoshisora Tetsuya - helel666 Noemie Hendrick - Senjumaru Ciel - unidentified Benjamin Hunter - cptalex Shiraoi - feliona
|
|