|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:20:08 GMT
EP9 : Death Mirage ณ ฐานซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์
ยุทโธปกรณ์ทุกชนิดถูกขนย้ายไปรวมกันที่มุมของอาคาร เพราะ The Carvalry ถูกนำเข้ามาตรวจสอบสภาพของระบบไฟฟ้า ชิราโออิ พร้อมเจ้าหน้าที่อีกหลายสิบคนเข้าตรวจสอบและแก้ไขระบบต่างๆ ของ The Cavalry ภายหลังเข้าชั้นบรรยากาศมา ฟุบูกิ ชวน ซึบาสะ มาดูการตรวจสภาพ เพราะเขาหวังว่า The Cavalry จะไม่ได้รับความเสียหายมากมายอย่างที่คิดไว้นัก พวกเขาสองคนเดินเข้ามายังห้องบังคับการของ The Cavalry ก็พบ ชิราโออิ ที่กำลังสอดตัวเข้าไปใต้แผงควบคุมด้านหน้า
"ผลการตรวจเช็คเป็นยังไงบ้างครับ คุณชิราโออิ มีระบบอะไรเสียหายบ้างรึเปล่าครับ แล้วจะใช้เวลานานแค่ไหน" ฟุบูกิ ถามขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของ ฟุบูกิ เธอก็รีบลุกขึ้นจนหัวกระแทกขอบแผงควบคุมด้านใต้เสียงดังสนั่น ซึบาสะ หลับตาปี๋เพราะไม่อยากมอง ชิราโออิ ค่อยๆ ลุกขึ้น เธอใช้มือกดไปที่หัวซึ่งเริ่มแดง ใบหน้าของเธอบ่งบอกถึงความเจ็บปวดจากความซุ่มซ่ามของตัวเธอเอง หลังจากนั้น เธอก็เริ่มตอบคำถาม "อูยยยยยย....เจ็บๆๆๆ.....ผลการตรวจเช็คพบ Chip-set บางส่วนได้รับความเสียหายนะคะ" "เพราะ The Cavalry อยู่ใกล้กับการระเบิดหัวรบปรมาณู ทำให้รังสีแกรมม่าที่มีคุณลักษณะคล้ายระเบิด EMP เข้าปะทะ" "แต่ด้วยระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและความต้านทานของอุปกรณ์เอง ก็ทำให้มันไม่ได้รับความเสียหายมากมายหนักหนาอะไร" "ว่าแค่คุณคามิโจ กับเจ้าหน้าที่คนอื่นเข้าไปตรวจเช็คสภาพทาง DNA รึยังคะ" ชิราโออิ ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงเล็กน้อย
"ตรวจสภาพ DNA อย่างนั้นหรอคะ? ....ฟุบูกิ นายไปตรวจแล้วรึยัง" ซึบาสะ หันมาถาม ฟุบูกิ ด้วยความเป็นห่วงทันที ฟุบูกิ พยักหน้าเป็นการตอบรับ "เรียบร้อยแล้วล่ะ ยังดีที่ระบบเกราะสนามแม่เหล็กช่วยเอาไว้ พวกเราโดนรังสีไปเล็กน้อยเท่านั้น" ซึบาสะ ถอนหายใจ "เอ้อ แล้วนายรู้รึยังว่าเพื่อนซี้ของนายน่ะยังไม่ตายนะ หมอนั่นได้สติแล้วเมื่อเช้านี้ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล" ฟุบูกิ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะถึงบางอ้อ "เจ้าบ้าอากาศ แจ่มใส น่ะหรอ จากรายงานบอกว่าเครื่องหมอนั่นระเบิดนี่นา" ชิราโออิ หัวเราะออกมาเบาๆ "แหม...ดูเหมือนลูกน้องคนนั้นของคุณคามิโจ จะตายยากยิ่งกว่าแมว 9 ชีวิตเสียอีกนะคะ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ" ประโยคขำขันของ ชิราโออิ ที่ใช้มุกสมัยโบราณทำเอา ฟุบูกิ และ ซึบาสะ อดหัวเราะตามไม่ได้ และ ฟุบูกิ ก็มองไปรอบๆ ชิราโออิ มองตามสายตาของเขาจนนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมตอบคำถามไปหนึ่งคำถาม "เรื่องระยะเวลาการตรวจสอบคงอีกสักพักนะคะ" "ตัวยานมีระบบไฟฟ้าค่อนข้างเยอะ เจ้าหน้าที่ของเราก็มีจำกัด ดูท่าคงออกทำภารกิจไม่ได้ร่วม 2 สัปดาห์เลยล่ะค่ะ" ชิราโออิ พูด
...............................................................
สามวันต่อมา ณ ห้องบัญชาการใหญ่
เจ้าหน้าที่และนักบินถูกเรียกตัวโดย โนเอมี เฮ็นดริกส์ เพื่อร่วมประชุมวางแผนการปฏิบัติการออกตรวจสอบจุดตกของอุกกาบาต เนื่องจากฝูงบินจำนวนมากได้รับความเสียหายจากภารกิจล่าสุด บางฝูงบินก็ยังไม่ได้แต่งตั้งผู้บังคับการที่ตายไปในภารกิจ จึงเหลือผู้บังคับการเข้าร่วมการประชุมเพียง 8 คนเท่านั้น จำนวนดังกล่าวรวม มิเกล วัลดัส และ คามิโจ ฟุบูกิ ไปแล้ว ภารกิจที่ โนเอมี เฮ็นดริกส์ ได้กล่าวถึงไปนั้น เป็นภารกิจสำรวจจุดตกของดาวหางอีก 4 ลูก ตามจุดต่างๆ ของ Gliese เพราะ มิเกล วัลดัส ได้มีความเห็นว่า อาจจะมีเอเลี่ยนต่างดาวมากับดาวหางลูกอื่นด้วย และโอกาสเป็นเช่นนั้นค่อนข้างสูง โนเอมี เฮ็นดริกส์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงเห็นด้วยอย่างไร้ข้อโต้แย้ง พวกเขาจึงมอบหมายให้ มิเกล เป็นผู้เสนอแผน
มิเกล วัลดัส เปิดภาพจุดที่คาดว่าดาวหางได้ตกลงบน Gliese มันกระจัดกระจายแทบจะทั่วทั้งดาวที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร "จากภาพที่สถานีอวกาศได้รับ เราเห็นตำแหน่งที่คาดว่าเป็นจุดตกของดาวหางมฤตยูทั้ง 2 ลูก อีก 2 ลูกนั้นยังระบุพิกัดไม่ได้" จากนั้นเขาก็เปิดตำแหน่งของฐาน Radamanthys Aiacos และ Minos โดย Minos นั้นเป็นจุดที่อยู่ด้านบนของ Gliese Radamanthys อยู่ทางซีกซ้ายหรือทางทิศตะวันตกของดาว และ Aiacos อยู่ที่ด้านขวาหรือทางทิศตะวันออกของดาว "จุดแรกอยู่ห่างจากฐาน Aiacos ออกไปทางด้านขวาราว 4,000 กิโลเมตร จุดนั้นเราไม่สามารถนำกำลังเข้าไปตรวจสอบได้" "ทำได้เพียงแจ้งให้ Aiacos เตรียมการรับมือเท่านั้น แต่จุดที่ 2 คือช่วงระหว่างฐานของเราและฐานของ Aiacos" "จุดนี้ห่างจากฐานเราออกไปราวๆ 4,500 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะที่เรายังพอนำกองกำลังของเราเข้าไปตรวจสอบได้"
"ภารกิจที่ผ่านมา เราเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตต่างดาว มีโครงสร้างคล้ายแมลงขนาดยักษ์ พวกมันมีรูปแบบทางชีวะที่ซับซ้อนมาก" "พวกเราส่งข้อมูลไปให้ทาง Minos วิเคราะห์โครงสร้างทางชีววิทยาของพวกมันทันที และรายงานก็อยู่ในมือของพวกท่านแล้ว" "มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างแข็งแรงใหญ่โต ของเหลวภายในตัวมีฤทธิ์เป็นกรดเข้มข้น พวกมันใช้สายตาในการมองเห็น" "แต่ระดับทางสติปัญญาของพวกมันยังหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจาก Minos ไม่สามารถฟันธงได้ว่า การที่มันเข้าโจมตีอย่างโหดร้าย" "รวมไปถึงกลยุทธที่มันใช้ต่างๆ มาจากมันสมองหรือมาจากสัญชาติญาณของมันกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะยานรบ การหาที่กำบัง" "เราจึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันมาที่นี่เพื่อการใด ถ้ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญา รูปร่างแมลงที่เราเห็นอาจไม่ใช่ร่างกายจริงของมัน" "Minos เรียกพวกมันว่า Arachna ตั้งชื่อคล้าย Arachne สตรีที่ต่อกรกับ Athena และถูกสาบให้กลายเป็นแมลงมุมตัวร้าย"
"ในความคิดของผม ด้วยอวัยวะของแมลงไม่สามารถประกอบและสร้างอุปกรณ์ที่ซับซ้อนอย่างเช่นเครื่องขันดันดาวหางขึ้นมาได้อย่างแน่นอน” “แต่รยางค์ของมันก็อาจจะทำได้ เพราะมันสามารถหยิบฉวยสิ่งต่างๆ ได้ทัดเทียมมือมนุษย์ ผมจึงเสนอทฤษฎีความเป็นไปได้ 2 ทฤษฎีด้วยกัน" "ทฤษฎีแรกคือ มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญา แมลงที่เราเห็นเป็นหุ่นรบชีวภาพที่พวกมันใช้ เหมือนๆ ยานรบและเครื่องบินของมนุษย์เรา" "ทฤษฎีที่สองคือ มันเป็นสิ่งมีชีวิตไร้สติปัญญา มีเพียงความดุร้ายที่พร้อมจะพังทุกสิ่ง และถูกเผ่าพันธุ์อื่นส่งมาเพื่อทำการเก็บกวาดพวกเรา" "ดังนั้น พวกเราจึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องรีบเข้าไปตรวจสอบให้รู้แน่ชัดว่าความจริงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เรากำลังเจอกับอะไรที่หลุมอุกกาบาตนี้" "แต่ด้วยระยะทางถึง 4,500 กิโลเมตร ทำให้เราต้องใช้ระยะเวลาการเดินทางนาน และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อีกทั้งภารกิจนี้จะชักช้าไม่ได้" "เพื่อความรวดเร็ว เราต้องใช้ยานพาหนะความเร็วสูงพิสัยไกล ที่สามารถขนเชื้อเพลิงได้จำนวนมากพร้อมกับเครื่องบินรบพิสัยการบินสูง"
เมื่อ มิเกล พูดจบ ฟบูกิ จึงพูดเสริมขึ้น "ความเห็นของผมเรื่องทฤษฎีไม่แตกต่างจากผู้บังคับการวัลดัส มากนักครับ" "แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นทฤษฎีที่สองมากกว่า นั่นคือมันเป็นอาวุธชีวภาพ เพราะการเคลื่อนไหวของมันเหมือนสัญชาติญาณ" "การเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติมากเกินไปกว่าที่จะเป็นหุ่นรบ และแน่นอนว่ามันน่าจะถูกส่งมาพร้อมกับจรวดขับดันดาวหาง" "บางทีสิ่งมีชีวิตอื่นที่ทรงภูมิปัญญาอาจใช้ Arachna เหล่านี้เป็นอาวุธในการเข้ากวาดล้างดวงดาวที่มีสิ่งมีชีวิต ก่อนยึดครอง" "ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกมันอาจจะต้องมีเครื่องส่งสัญญาณหรืออะไรสักอย่างติดตามมาด้วยบ้าง เราจำเป็นต้องเร่งตรวจสอบ" "การสำรวจคราวนี้คงจะต้องใช้ Valkyria Unit ซึ่งมีพิสัยการบินที่ไกลกว่า CFA-44 อีกทั้งยังทำการเก็บกู้ได้เป็นอย่างดี" "ผมขออาสาเป็นผู้บังคับการในปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย Valkyria Unit ที่ Lancelot มีอยู่ และจะปฏิบัติการเต็มความสามารถครับ!!"
"ดิชั้นไม่อนุญาตค่ะ..." โนเอมี เฮ็นดริกส์ พูดขัด ฟุบูกิ ขึ้น ทำให้ มิเกล ยิ้มอย่างผู้มีชัย ก่อนเธอจะเริ่มกล่าวต่อไป "ดิชั้นเห็นว่าผู้บังคับการคามิโจ ยังไม่มีความพร้อมในปฏิบัติการครั้งนี้ คุณควรติดตามการซ่อมแซม The Cavalry มากกว่า" "เพราะในอีกไม่ช้านี้ ดิชั้นเชื่อว่า The Cavalry จะเป็นอาวุธที่จำเป็นที่สุดของมนุษยชาติ จึงไม่อาจอนุญาตให้คุณรับภารกิจนี้ได้" "ภารกิจนี้จะอยู่ในความรับผิดชอบของผู้บังคับการวัลดัส โดยฝูงบินที่เข้าปฏิบัติการในครั้งนี้จะเป็นฝูงบิน Valkyria Unit ทั้งหมด" "ปัจจุบันเรามี Valkyria Unit ประจำการฝูงบินต่างๆ แล้วทั้งสิ้นประมาณ 26 ลำ ภารกิจนี้เราจะต้องใช้เครื่องทั้งหมดที่เรามี" "จึงต้องขอความร่วมมือไปทุกฝูงบินในการส่งนักบินพร้อมเข้าเครื่อง Valkyria Unit เข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วยนะคะ" "ขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตรวจสอบสภาพยุทโธปกรณ์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการให้พร้อม ภายใน 24 ชั่วโมง ภารกิจจะเริ่มขึ้น" ฟุบูกิ มีท่าทีที่ไม่พอใจอยู่พอสมควร เพราะนอกจากจะถูกกันออกจากภารกิจ ยังต้องส่งลูกน้องไปให้ มิเกล วัลดัส อีกด้วย
จากหลังจากที่ เฮ็นดริกส์ สรุปแผนปฏิบัติการเสร็จเธอก็หันมาทาง มิเกล "ยานรบที่คุณร้องขอ ดิชั้นอนุมัติให้ไปแล้วนะคะ..." “ในภารกิจนี้ ดิชั้นจะส่ง เจ้าหน้าที่ชิเอล และเจ้าหน้าที่ฮันเตอร์ ไปกับคุณด้วย พวกเขาจะช่วยงานด้านการเก็บตัวอย่าง”
...............................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:21:17 GMT
24 ชั่วโมงต่อมา
บนน่านฟ้าของพื้นที่ราบลุ่ม ปกคลุมด้วยพืชที่เหมือนหญ้าสีเขียว มีทะเลสาบขนาดมโหฬารอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก มันเป็นเขตพื้นที่ระหว่างฐาน Radamanthys และ Aiacos และแน่นอนว่ามีหลุมอุกกาบาตเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 กิโลเมตรตั้งอยู่ เวลาปฏิบัติภารกิจก็มาถึง บนดาว Gliese เป็นช่วงเวลาใกล้ค่ำ แม้จะไม่เหมาะสำหรับภารกิจเสียเท่าใดนักก็ตามที แต่การสำรวจอุกกาบาตที่ตกลงมาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน จึงต้องมองข้ามปัจจัยทางแสงสว่างไป
กองบินพิเศษได้บินเข้ามาในพื้นที่ด้วยยานรบขนาดยักษ์ชื่อว่า The Javelin เป็นยานรบภายใต้ชั้นบรรยากาศ Gliese มันดูไม่คุ้นตาสำหรับนักบินในยุคนี้ นั่นก็เพราะมันเป็นยานรบรุ่นโบราณซึ่งถูกปลดประจำการไปราว 200 ปีมาแล้ว ด้วยเหตุที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยานรบลักษณะนี้บนดาว Gliese มันเป็นยานรบขนานแท้ เต็มไปด้วยอาวุธหนักมากมาย ภารกิจที่ผ่านมาของ Radamanthys ไม่จำเป็นต้องใช้มัน อีกทั้งมันยังเป็นเตาปฏิกรณ์รุ่นเก่าซึ่งใช้พลังงานในการขับเคลื่อนที่สูงมาก มิเกล วัลดัส เล็งเห็นถึงสภาพความจำเป็นที่ Radamanthys อาจต้องเข้าสู่สภาวะสงคราม จึงขอให้นำมันกลับเข้าประจำการอีกครั้ง The Javelin บินมาถึงตำแหน่งที่ดาวหางตก มันก็ใช้ท่อขับดันแบบ VTOL ที่อยู่เต็มใต้ท้องยานรักษาระดับการบินเอาไว้
ก่อนที่สะพานเดินเรือจะเปิดและส่ง Valkyria Unit VF-1 จำนวน 25 ลำ และรุ่นพิเศษ VF-25G Messiah ออกมาอีก 1 ลำ VF-25G Messiah เป็น Valkyria Unit ซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษ มันมีท่อขับดันที่ทรงพลังว่า VF-1 ทั่วไปหลายเท่าตัว ทำให้ความเร็วและความคล่องตัวมีมากกว่า แต่ข้อจำกัดคือร่างกายและความสามารถของนักบินที่จะควบคุมมันได้ต้องแข็งแรงมาก อีกทั้งจะต้องมีประสบการณ์ ความชำนาญที่สูง เพราะเพียงแค่แรงกระชากของเครื่องยนต์ ก็พอจะทำให้นักบินทั่วไปหมดสติได้แล้ว
ในหมู่นักบิน VF-1 ประกอบด้วย มาร์คัส วิมีน่า ซึบาสะ เท็ตสึยะ ในขณะที่ ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ เป็นนักบินของ VF-25G Messiah Valkyria Unit ทั้งหมดบินออกมาตั้งขบวนในรูปร่างของหุ่นรบ สิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่เบื้องหน้าเป็นหลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์ ดูเหมือนมันจะชะลอความเร็วก่อนที่จะตกกระทบ ขนาดหลุมจึงไม่ใหญ่มาก ถึงกระนั้นก็มีฝุ่นละอองฟุ้งกระจายอยู่บ้างบางส่วน มิเกล สั่งให้เจ้าหน้าที่ของ The Javelin ใช้ระบบ Infrared ตรวจจับความร้อนของสิ่งมีชีวิต แต่มันกลับไม่พบอะไรเคลื่อนไหว หากมองด้วยสายตามันจะเห็นเพียงเศษหินที่กระจัดกระจาย และเศษซากเครื่องไอพ่นขับดันดาวหางที่เสียหายยับเยินเท่านั้น
“เอาล่ะ Knights of Round ระบบ Infrared ไม่แสดงสิ่งผิดปกติ แต่ก็ยังไม่อาจประมาทได้ เริ่มภารกิจ Phase 1” มิเกล สั่งการ ฝูงบิน Knights of Round เริ่มกระจายตัวล้อมหลุมอุกกบาตเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 กิโลเมตร ไว้ทั่วทิศทางทั้ง 360 องศา ก่อนจะ VF-1 เครื่องหนึ่งจะลงจอดกับพื้นดินห่างจากตัวหลุม เตรียมจะส่ง ชิเอล และ เบนจามิน ลงไปเก็บตัวอย่างของเจ้า Arachna ทันใดนั้นเอง แรงสั่นสะเทือนก็เริ่มต้นขึ้น Arachna ขนาดสูงร่วม 30 เมตร รูปร่างคล้ายแมลงมุมจำนวน 5 ตัวเริ่มผุดขึ้นจากดิน ซึบาสะ สังเกตรูปร่างของมันอย่างพินิจ “KoR 14 รายงาน พบการเคลื่อนไหวของ Arachna จากใต้ดิน ดูเหมือนขนาดมันจะใหญ่ขึ้น” เท็ตสึยะ เล็งปืนตั้งท่าพร้อมยิง “ดูเหมือนมันจะมีด้วยกันถึง 5 ตัวและมันเริ่มจะเคลื่อนไหวแล้ว รีบสั่งการเถอะครับ Arthur” มิเกล ผู้ใช้รหัส Arthur เห็นเช่นนั้น เขาจึงสั่งการไป “Knights of Round เริ่มการจำกัดศัตรู!! The Javelin บรรจุกระสุนสลายมวลสาร” แต่สิ่งที่ มิเกล รออยู่นั้นไม่ใช่พวกกลุ่มแมลงมุม เขากำลังมองหาเจ้าตัวใหญ่ที่อาจฝั่งตัวอยู่ในกลางของอุกกาบาต แต่เขายังหามันไม่พบ เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำลาย Arachna ยักษ์ด้วยปืนใหญ่สลายมวลสาร 4 กระบอกซึ่งติดตั้งอยู่ช่วงกลางลำของ The Javelin
หลังจากสิ้นเสียงคำสั่ง กระสุนสลายมวลสารจาก Valkyria Unit ทั้ง 26 ลำ ก็เริ่มยิงเข้าใส่ Arachna แมลงมุมทั้ง 5 ตัว กระสุนเข้ากระแทกส่วนต่างๆ ของแต่ละตัว ขณะที่มันยังสลัดออกจากพื้นดินไม่สมบูรณ์ดีนัก ทำให้บางตัวก็ถึงกับตายทันที แต่ก็มีตัวหนึ่งที่หลุดขึ้นมาจากพื้นดินทัน มันกระโจนเข้าใส่ Valkyria Unit ที่อยู่ห่างออกไปร่วม 500 เมตรได้ในครั้งเดียว มันใช้ขาทิ่มแทง VF-1 และยืดรยางค์ออกจาส่วนขาและปาก สะบัดเข้าใส่ VF-1 ที่อยู่รอบๆ ลำใดที่ถูกโจมตีจนเสียหายแล้ว มันก็ใช้รยางค์ทำลายเข้าไปในห้องนักบิน ก่อนจะกระชากตัวนักบินออกมากัดด้วยปาก หลั่งน้ำย่อยใส่ร่าง และดูดอวัยวะภายใน Knights of Round ซึ่งประกอบไปด้วยนักบินที่เรียกได้ว่าดีที่สุดใน Radamanthys เสียนักบินไปกว่า 7 คนในพริบตา ด้วยระยะที่ห่างกว่า 1 กิโลเมตร และความคล่องตัวของ Arachna แมลงมุมเมื่อมันสามารถใช้ขาได้เมื่ออยู่บนพื้นดิน ทำให้ มาร์คัส วิมีน่า ซึบาสะ ซึ่งมีสถิติการยิงระยะไกลที่แม่นราวจับวาง ก็กลับยิงพลาดเป้าไปเสียหมดจนน่าหงุดหงิด ฮิคารุ ที่ต้องการเข้าปะทะในระยะประชิดด้วย VF-25G Messiah ก็ถูกห้ามเอาไว้ เหลือเพียง VF-1 ของ เท็ตซึยะ ที่อยู่ใกล้
โฮชิโซระ เท็ตสึยะ ตัดสินใจนำเครื่องเข้าต่อสู้ในระยะประชิด เขา Shift เป็นยานรบและเร่ง Thruster เข้าหา ก่อนจะกระหน่ำใส่ด้วย Missile ไป 1 ชุดใหญ่ แม้ Arachna นั้นจะรวดเร็ว แต่มันก็ไม่สามารถหลบการนำวิถีของ Missile ได้ เกราะส่วนบนของมันจึงถูกทำลาย ขณะที่มันเริ่มจะฟื้นฟูเกราะส่วนนอก VF-1 เครื่องอื่นที่เหลือก็ระดมยิงอย่างไม่ลดละ ทำให้ Aracha แมลงมุมตัวสุดท้ายเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกนัก มันรีบกระโดดกลับไปยังกลางหลุมอุกกาบาตอย่างรวดเร็ว เท็ตสึยะ เห็นเช่นนั้นก็รีบเร่งเครื่องตามไป เขารู้ดีว่ากระสุนปืนกลนั้นไม่สามารถทำลายเกราะของมันได้ Missile ก็เหลือไม่มาก เหลือเพียงปืนยาวสลายมวลสารซึ่งอัตราการยิงถือว่าช้า และมันก็ยังช้ากว่าการฟื้นฟูเกราะของ Arachna ตัวนั้นอย่างแน่นอน มิเกล จึงติดต่อเข้าไปในขณะที่ เท็ตสึยะ กำลังบินตาม Arachna แมลงมุมนั้นไปติดๆ “KoR 15 จาก Arthur ผมมีแผนให้คุณ”
เมื่อเจ้า Arachna ถึงกลางหลุม มันเริ่มขุดดินอย่างรวดเร็วหมายจะหลบลงหลุมเพื่อหนีกระสุนที่กระหน่ำยิงอย่างรวดเร็ว VF-1 ของ เท็ตสึยะ ที่ใช้รหัส Knight of Round 15 ตามทัน เขาชะลอความเร็วลงอย่างฉับพลัน เมื่อได้ความเร็วที่ 288 km/h เขาก็ Shift เครื่องจากเครื่องบินรบกลับมาอยู่ในรูปหุ่นรบ ยิงกระสุนสลายมวลสารเข้าเต็มหลังของ Arachna ในทันที เมื่อเกราะส่วนหลังถูกทำลายจนหมด เท็ตสึยะ ก็ใช้ Missile ที่เหลืออยู่ทั้งหมด ยิงเข้าใส่พื้นรอบๆ Arachna ตัวนั้น แรงระเบิดจาก Missile ทำให้รยางค์ของมันขาดกระเด็น และยังทำให้ตัวของมันลอยขึ้นสูงกลางอากาศ ไร้ทางตอบโต้ เท็ตสึยะ ยิ้มมุมปากก่อนจะตะโกนขึ้น “เอาล่ะ จากนี้ก็เปิดงานปาร์ตี้ยาอีกันได้เลย Knights of Round ทะลวงมันให้ทะลุ” สิ้นเสียงของ เท็ตสึยะ กระสุนสลายมวลสารจาก มาร์คัส วิมีน่า ซึบาสะ ก็ระดมยิงเข้าใส่ Arachna จนแตกสลายกลางอากาศ
วิมีน่า ถอนหายใจ “เฮ้อ…..จบได้ซะที” แต่ มิเกล กลับพูดมาว่า “ยังหรอก…นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น” และดวงตาของ ซึบาสะ ก็เบิกโพรง “KoR 15 ระวัง!!! มีอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังคุณ!!” สิ้นเสียงของ ซึบาสะ นักบินเกือบทุกคนของ KoR ก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เริ่มมืดมิดลงเข้าสู่ช่วงกลางคืนของ Gliese ทำให้มีเพียง ซึบาสะ และ ฮิคารุ เท่านั้นที่พอจะเห็นความผิดปกติ จน ฮิคารุ ต้อง Shift Messiah เป็นเครื่องบินรบและเร่ง Thruster เข้าไป เธอติดต่อไปยัง มาร์คัส และวิมีน่า “คุ้มกันดิชั้นด้วยนะ” VF-25G Messiah บินควงขึ้นฟ้าก่อนจะปักหัวลงและไล่ยิงกระสุนปืนกลลงไปยังพื้นที่อันว่างเปล่าด้านหลังของ เท็ตสึยะ กระสุนกระทบเข้ากับที่ว่างเปล่า แต่กลับมีน้ำกรดกระเด็นออกมา เมื่อ มาร์คัส และ วิมีน่า เพิ่งสายตาอีกครั้งก็เห็นสิ่งผิดปกติ มันเป็นเหมือนที่ว่างเปล่า แต่มีคลื่นบางอย่างบิดเบือนภาพ จน วิมีน่า ตะโกนขึ้น “ศัตรูล่องหนได้ KoR 15 ระวังมันไปหาคุณแล้ว”
เท็ตสึยะ สะดุ้งเฮือก เขาเร่ง Thruster ทั้งที่อยู่ในร่างหุ่นรบ ทำให้ความเร็วในการกระชากหนีไม่มากพอ เครื่องของเขาถูกรั้งเอาไว้ จนในที่สุดศัตรูที่ มิเกล รอคอย และที่ ซึบาสะ และ ฮิคารุ มองเห็น ก็ปรากฏกาย มันเป็น Arachna ขนาดยักษ์ใจกลางอุกกาบาตแน่นอน
แต่รูปร่างมันไม่เหมือนกับตัวที่ถูก The Cavalry ยิงทำลายในชั้นบรรยากาศ มันมีปีกคล้ายปีกแมลง 4 ปีก ลำตัวเป็นปล้องยาวกว่า 80 เมตร มีหัวที่เห็นเด่นชัดมีขา 6 ขาและดูเหมือนมันจะใช้ขาคู่บนสุดเป็นเหมือนมือได้อีกด้วย รยางค์ของมันก็มีปริมาณมหาศาลและยาวมาก มันใช้รยางค์ล่องหนรัดเครื่องของ เท็ตสึยะ เอาไว้ และกระชากเข้าไปหาและใช้ขาคู่บนสุดเป็นเหมือนมือ ฉีกเครื่อง VF-1 เป็นสองท่อน แม้ Glieserium Alloy จะมีน้ำหนักเบาและแข็งแกร่งมาก แต่มันก็ไม่สามารถด้านทานพละกำลังอันมหาศาลของเจ้า Arachna ตัวนี้ได้ ซึบาสะ ไม่รอช้า เธอรีบยิงอาวุธทุกอย่างที่เธอมีออกไปพร้อมๆ กับ VF-1 เครื่องอื่น แต่ดูเหมือนมันจะไม่สามารถทำอะไรศัตรูตัวนี้ได้เลย มิเกล วัลดัส จึงรีบออกคำสั่งห้ามยิงจนทุกคนต้องหยุดการยิง เพราะ มิเกล เห็นว่าเมื่อยิงใส่ตรงๆ ทำอะไรไม่ได้ ก็ไม่ควรยิงอย่างสูญเปล่า
การฉีก VF-1 ของมันนั้นน่าเหลือเชื่อ เพราะมันฉีกจนห้องนักบินของ เท็ตสึยะ ขาดครึ่ง เขาร่วงลงจากเครื่องด้วยแรงโน้มถ่วงของดาว และเจ้า Arachna ตัวนี้ก็ไม่พลาดที่จะใช้รยางค์รัดตัว เท็ตสึยะ ได้ทัน แต่มันไม่ได้กัดแล้วปล่อยน้ำย่อยเข้าไปย่อยอวัยวะภายใน มันกลับกัดร่างของ เท็ตสึยะ จนขาดครึ่งจากหัวถึงก้นและกลืนเข้าไปทีละซีก เรียกได้ว่า โฮชิโซระ เท็ตสึยะ ไม่ทันจะได้ร้องสักแอะ และมันก็หันไปทาง The Javelin ที่อยู่ด้านหลังแนววงล้อม ก่อนที่มันจะกระชากแขนขวาของมันออกมาด้วยมือซ้ายเป็นอาวุธ แน่นอนว่ามันต้องเป็นอาวุธที่ร้ายกาจมาก เพราะนอกจากจะมีความยาวแล้ว ส่วนปลายยังมีน้ำย่อยมหาศาลที่พุ่งออกมาตลอดเวลา จากนั้น แขนขวาที่มันกระชากออกก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพเดิมอย่างรวดเร็วและน่าเหลือเชื่อ มันฟื้นตัวเร็วกว่าตัวอื่นถึง 2 เท่า
ซึบาสะ กำหมัดแน่นเพราะเธอได้แต่มองดูการตายของรุ่นพี่ โฮชิโซระ เท็ตสึยะ ทั้งที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย
...............................................................
ณ ฐานซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์
ฟุบูกิ นั่งแสดงความอึดอัดอยู่ในห้อง lab ซ่อมบำรุงของ ชิราโออิ จากการนั่งดูการถ่ายทอดปฏิบัติการสำรวจหลุมอุกกาบาต ข้างๆ มีคนที่คุณก็น่าจะเดาออกว่าใครนอนอยู่ข้างๆ เขาก็คือ อากาศ แจ่มใส ที่รอดตายจากภารกิจที่แล้วอย่างน่าเหลือเชื่ออีกครั้ง คอของ อากาศ เอียงไปทางด้านซ้ายซึ่งเป็นด้านของ Exoskeleton เพราะโครงสร้างส่วนคอถูกกระแทกจนบิดงอและดึงคอไปด้วย แขนซ้ายซึ่งเป็น Exoskeleton ทั้งชุดขาดหายไป ทำให้ อากาศ ต้องมารอการติดตั้งอุปกรณ์ชิ้นใหม่จาก ชิราโออิ อยู่ที่นี่ แพทย์แจ้งว่า หาก Exoskeleton เสียหายมากกว่านี้จนดึงคอให้หันไปอีก 2 เซนติเมตร อากาศ แจ่มใส คงตายเพราะคอหักไปแล้ว แม้ว่าเขาจะหันคอไม่ได้ และร่างก็ถูกผูกติดอยู่กับเตียงที่เหมือนเตียงคนไข้ทันตกรรม แต่เขาก็มีสติ พูดได้ และชมการถ่ายทอดอยู่ด้วย
“บ้าชิป ไม่น่าเลยรุ่นพี่โฮชิโซระ ถ้าชั้นอยู่ด้วยก็คงจะดี ไอ้พวกแมลงเวรเอ้ย!!” อากาศ บ่นขึ้นด้วยความคับแค้นใจ ฟุบูกิ จึงหันกลับไปหา “มันก็น่าแค้นใจอยู่หรอก แต่ถึงนายอยู่ตรงนั้นก็คงจะทำอะไรไม่ได้หรอก….ที่ชั้นเป็นห่วงก็คือ ซึบาสะ” อากาศ มีสีหน้างงเล็กน้อย ฟุบูกิ จึงพูดต่อไป “นั่นก็เพราะ มิเกล วัลดัส….หมอนั่นเห็นภารกิจสำคัญยิ่งกว่าเรื่องอื่นทั้งหมด….” “จากภารกิจสนับสนุน Minos ปลูกป่า Genesis หมอนั่นเคยสั่งยิง Missile ใส่ชั้นและ ซึบาสะ ซึ่งเป็นน้องของตัวเองมาแล้วด้วย” “ชั้นเชื่อว่าในภารกิจนี้ หากหมอนั่นเห็นว่า ซึบาสะ เป็นคนที่ไม่จำเป็นแล้วล่ะก็….หมอนั่นอาจจะสั่งให้เธอไปตายเมื่อไหร่ก็ได้” อากาศ อึ้งกับสิ่งที่ ฟุบูกิ พูด เพราะตอนนั้นเขาหน้ามืดตามัวจากการตายของ เรล่า เลยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลยแม้แต่น้อย อากาศ ถอนหายใจ “ชั้นว่าอย่าเพิ่งไปห่วงเรื่องเจ้ามิเกล วัลดัส เล้ย!! ห่วงว่าพวกนั้นจะรอดกลับมาได้สักคนรึเปล่าจะดีกว่า”
ฟุบูกิ หันกลับไปมองภาพการถ่ายทอดพลางคิดในใจ “นั่นสินะ ศัตรูแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน อาจนำมาซึ่งการสูญสิ้นมนุษยชาติก็เป็นได้…”
...............................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:27:18 GMT
การปะทะกับ Arachna ล่องหน
มิเกล วัลดัส กำลังเก็บรวบรวมข้อมูลของเจ้า Arachna ล่องหนตัวนี้อย่างมีสมาธิ ในขณะที่กระสุนปืนใหญ่ของ The Javelin พร้อมยิง ฝูงบิน Knights of Round ได้รับคำสั่งให้ลองยิงอาวุธสลายมวลสารตามจุดต่างๆ รอบตัวของเจ้าแมลงล่องหนบินได้ตัวนี้ ในขณะที่ VF-1 ที่เหลือ 17 ลำ และ VF-25G ของ ฮิคารุ กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะการโจมตีด้วยอาวุธแขน และรยางค์นั้นเร็วมาก มันเริ่มหายตัวและโจมตีใส่ VF-1 จนถูกทำลายไปจนเหลือเพียง 14 ลำ และทั้งฝูงบินก็ยังไม่สามารถหาจุดอ่อนของมันได้ ซึบาสะ ซึ่งมีสายตาดีที่สุดในกลุ่ม ใช้ความสามารถในการสังเกตของเธอ บอกตำแหน่งของ Arachna ตัวนี้แก่เพื่อนๆ เพื่อหลบหลีก แต่บางครั้งระยะการโจมตีของมันก็ไกลเกินกว่าที่นักบิน VF-1 ในฝูงบินบางคนจะหลบพ้น ทำให้ VF-1 เหลืออยู่เพียง 10 ลำเท่านั้น เมื่อมันปรากฏตัว ซึบาสะ ที่ Shift VF-1 เป็นเครื่องบินรบ เธอบินวนมาอยู่ด้านหลังของ Arachna ตัวนี้พอดี ก็เห็นบางสิ่งเข้า
มันคือรอยต่อของเกราะในส่วนของต้นคอ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นช่องที่ใหญ่อยู่พอสมควร “KoR 03 ตามดิชั้นมาทีค่ะ” ซึบาสะ พูดขึ้น KoR 03 ของ วิมีน่า เธรมริล ซึ่งอยู่ใกล้ KoR 14 ของ ซึบาสะ มากที่สุดก็ Shift เป็นเครื่องบินรบแล้วบินเฉียงซ้ายขึ้นไปหา ซึบาสะ “ดิชั้นคิดว่าจุดอ่อนของมัน น่าจะอยู่ระหว่างเกราะต้นคอด้านหลัง นั่นก็เพราะว่า มันชอบขยับปีกมาบังส่วนนั้นบ่อยๆ” ซึบาสะ กล่าว วิมีน่า สังเกตอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “เป็นอย่างที่เธอบอกจริงๆ ด้วย KoR 14 งั้นเรายิงทำลายมันเลยเถอะ จะปล่อยนานกว่านี้ไม่ได้” VF-1 ของ วิมีน่า ยกปืนยาวสลายมวลสารขึ้นเล็ง แต่ ซึบาสะ ก็ห้ามเอาไว้ “ใจเย็นค่ะ แค่กระสุนคงไม่พอ ต้องใช้ Missile ช่วย” และ VF-1 ของ วิมีน่า และ ซึบาสะ ก็ยิง Missile ออกไปก่อน และตามด้วยกระสุนปืนยาวสลายมวลสารในจังหวะที่มันไม่ได้ป้องกัน กระสุนสลายมวลสารที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากกว่าเข้าปะทะจนเกราะต้นคอของมันเคลื่อนตัวเปิดขึ้นเล็กน้อย และในวินาทีต่อมา Missile จำนวน 8 ลูกก็เข้าระเบิดซ้ำกระแทกกระสุนที่ฝังตัวและกำลังถูกน้ำกรดละลายกระจายตัวออกมา มันดันเกราะให้เปิดขึ้นอีก
และแล้ว สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมันหันมาก่อนจะเริ่มบินขึ้น ซึบาสะ และ วิมีน่า ไม่รอช้า พวกเธอ Shift กลับเป็นเครื่องบินรบ สิ่งที่ VF-1 ทั้งสองเครื่องได้ทำลงไป เหมือนกับการเหยียบตาปลาของมันเข้า ทำให้มันดูโมโหมาก จนเริ่มบินขึ้นไล่บินโจมตี มิเกล เห็นดังนั้น เขาก็ประมวลผลที่ได้ทุกอย่างออกมาจากหัว “เอาล่ะผมมีวิธีจัดการกับมันแล้วล่ะนะ Knights of Round รับคำสั่ง” “ผมจะขอให้ KoR 03 และ KoR 14 บินแยกตัวออกจากการ หาก Arachna ตามเครื่องของใคร ผมขอให้คนนั้นรักษาระดับการบินไว้” “เราจะเป็นต้องยิงใส่จุดอ่อนของมันด้วยปืนใหญ่สลายมวลสารของ The Javelin และข่าวร้ายคือกระบอกปืนไม่สามารถขยับเล็งได้” “เราจึงต้องการให้ 1 ในพวกคุณ ทำให้มันบินอยู่นิ่งๆ ให้นานที่สุดเท่าที่จะมากได้” มิเกล สั่งการ ซึบาสะ และ วิมีน่า ถึงกับกลืนน้ำลาย
วิมีน่า ขมวดคิ้วและนึกในใจ “มิเกล….ชั้นจะทำในสิ่งที่เธอต้องการให้ได้!! ขอให้เจ้าแมลงนั้นบินตามเครื่องของชั้นทีเถิด!!” ซึบาสะ มองไปยังเครื่องของ วิมีน่า และนึกในใจ “จะให้คุณเธรมริล มาเสี่ยงเพราะชั้นเป็นต้นเหตุแบบนี้ไม่ได้ ขอให้มันตามชั้นเถอะ!!” เมื่อได้เวลา KoR 03 และ KoR 14 ก็บินแยกกัน Arachna ยักษ์กลับเลือกที่จะบินตาม KoR 14 ของ ซึบาสะ และมันไม่มีทีจะลดละ VF-25G Messiah ของ ฮิคารุ Shift เป็นเครื่องบินรบ และบินตามไปทันที ในขณะที่ VF-1 ของ ซึบาสะ บินตีวงกลับมาเพิ่มเริ่มล่อเป้า จังหวะที่สวนกัน VF-25G Messiah ก็ใช้ความคล่องตัวจากไอพ่นขับดันที่มีประสิทธิภาพมากกว่า VF-1 อยู่หลายเท่าตัว เชิดหัวขึ้น VF-1 ของ มาร์คัส ที่บินตามหลัง Arachna มา ก็ลั่นกระสุนซ้ำเข้าไปใส่เกราะต้นคอที่กำลังฟื้นฟูตัวเอง ให้มันคงเปิดคาเอาไว้ มิเกล มองไปที่นาฬิกาข้อมือ เขาได้ตั้งเวลานับถอยหลังเอาไว้ และมันเหลืออีก 30 วินาที The Javelin เริ่มบินขึ้นอย่างช้าๆ “เจ้าพวกงี่เง่า ทำนอกแผนการปฏิบัติการอย่างนั้นได้ยังไงกัน เวลาก็ยิ่งมีไม่มาก” มิเกล คิดในใจแต่สีหน้าแสดงจิตสังหารอย่างแรงออกมา เจ้า Arachna ล่องหนบินได้ตัวนี้ คิดว่า VF-25G ของ ฮิคารุ เป็นผู้โจมตีใส่มัน มันจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาไล่ล่า VF-25G ของเธอแทน
มิเกล เห็นว่าต้องใช้เวลามากในการเคลื่อนที่ The Javelin ไปยังด้านหลังของ Arachna และต้องพร้อมยิงปืนใหญ่ก่อนเวลาที่ตั้งไว้ เพราะเวลาที่ตั้งนั้นคือเวลาที่เขาสังเกตและจดจำได้จากการล่องหนของมัน มันสามารถล่องหนได้ทุกๆ 3 นาที จนกว่าจะถูกโจมตี ด้วยเงื่อนเวลาที่มีจำกัด การไปถึงตำแหน่งยิงก็ใช้เวลาพอสมควรจนเกือบจะหมดเงื่อนเวลาหายตัว และการยิงต้องไวและแม่นยำ หากใช้ VF-1 ของนักบินคนอื่นซึ่งไม่เร็วพอ และไม่คล่องแคล่ว พวกเขาจะไม่สามารถล่อให้ Aracha บินอยู่นิ่งๆ ได้นานนัก แม้ในตอนแรกจะเป็น VF-1 แต่ก็มี ซึบาสะ และ วิมีน่า เป็นนักบิน ก็อาจจะพอถ่วงเวลาได้อยู่บ้าง แต่อาจจะไม่มากก็ตาม แต่การกระทำนอกแผนของ ฮิคารุ เพื่อหวังปกป้อง ซึบาสะ ลูกสาวสุดรักของ มานูเอล วัลดัส อาจารย์ที่เธอเคารพทำให้เสียเวลาไป มิเกล ติดต่อเข้าไปยัง VF-25G ทันที "KoR 01 คุณรู้ใช่ไหมว่าคุณเพิ่งทำให้เราต้องคำนวณตำแหน่งการยิงทำลายใหม่ทั้งหมด" ฮิคารุ ตอบกลับอย่างหนักแน่นว่า "ดิชั้นทราบดีถึงการกระทำของตัวเองค่ะ Arthur ดังนั้น วางใจได้ ดิชั้นจะชดเชยเวลาที่เสียไปเอง" "ขอให้ทางคุณวางใจได้ ถึงแม้ดิชั้นจะต้องตายก็จะทำให้มันสำเร็จ... คุณเองก็รู้ดีว่า KoR 15 อาจจะดำเนินการตามแผนไม่สำเร็จ" "ดังนั้น หน้าที่ในการพาเจ้าแมลงนรกนี่ไปยังตำแหน่งยิง มันควรจะเป็นของดิชั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดิชั้นแค่ทำให้มันถูกต้องเท่านั้น!!"
ฮิคารุ รู้ดีว่าเมื่อตนทำให้เสียเวลา เธอก็ต้องเพิ่มเวลาขึ้นเองด้วยการถ่วงเวลา Arachna ยักษ์ตัวนั้นให้นานจน มิเกล ปรับองศาปืนได้ ฮิคารุ มีความสามารถในการบินที่สูงที่สุด ประกอบกับเครื่อง VF-25G Messiah ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด เธอลากมันไปในตำแหน่งได้ แต่เธอก็ต้องบินโฉบไปมา หลบการโจมตีจากขาทั้ง 6 ข้างของมัน และรยางค์อีกนับร้อยที่พุ่งเข้าสอยเธอจากด้านหลังตลอดเวลา ฮิคารุ สามารถบินหลบหลีกได้ดีกว่านี้ แต่เธอต้องจำกัดวงเลี้ยวในการหลบไม่ให้มากเกินไป เพราะจะทำให้ Arachna เคลื่อนที่ตาม หากการบินของ Arachna มีการเปลี่ยนแปลงและไม่นิ่ง มันจะส่งผลให้ The Javelin ที่บินตามมายิงปืนใหญ่สลายมวลสารพลาดเป้า
มิเกล วัลดัส มองไปที่เป้าบนหน้าจอ เมื่อมันเล็งไปตรงเป้าที่ต้องการบริเวณช่องว่างของเกราะต้นคอ เขาก็สั่งยิงทันที แม้ ฮิคารุ จะบินหลบหลีกสิ่งที่พุ่งโจมตีได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ดูเหมือนการยิงของ The Javelin นั้นสายเกินไปสำหรับเธอเสียแล้ว เมื่อเจ้า Arachna ตัวนี้กลับหยุดการโจมตีด้วยแขนทั้ง 6 และ รยางค์ลง และมันกลับจะพ่นน้ำกรดปริมาณหลายพันลูกบาศก์เมตรออกมา ฮิคารุ หันกลับไปมองน้ำกรดที่พุ่งมาจากด้านหลังและยิ้มบางๆ “ทำได้ดีที่สุดแค่นี้สินะ….แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง…” กรดนั้นกลบทับ VF-25G ของ ฮิคารุ และผ่านไป VF-25G เสียการทรงตัว มันหมุนกลางอากาศอย่างรุนแรงในขณะที่กรดเริ่มกัดกร่อน ชิ้นส่วนของ VF-25G ถูกเหวี่ยงออกมาทีละชิ้นสองชิ้น เมื่อจุดยึดของมันถูกกรดกัดจนสลาย และเสี้ยววินาทีต่อมามันก็ระเบิดกระจาย กระสุนปืนใหญ่สลายมวลสารพุ่งเข้าใส่ต้นคอของ Arachna ใน 1 วินาทีสุดท้ายบนนาฬิกา ขณะที่มันกำลังเริ่มทำการหายตัวอยู่พอดี Arachna ยักษ์เสียการทรงตัว มันพุ่งตกลงไปในทะเลสาบข้างๆ จนน้ำกรดทำปฏิกิริยากับน้ำระเหยเป็นไอ ส่วนตัวมันจมดิ่งหายไป
และแล้วเหตุการณ์การปะทะ ณ บริเวณหลุมอุกกาบาตก็สงบลง เจ้าหน้าที่เก็บกู้เริ่มเดินทางเข้ามายังพื้นที่หลุมอุกกาบาต VF-1 ที่อยู่นอกสุดของแนวรบ ลงจอดและปล่อยตัว ชิเอล และ เบนจามิน ลงไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจาก เฮ็นดริกส์ ชิเอล ขี่จักรยานไฟฟ้าวิบากมุ่งหน้าไปยังใจกลางหลุม เขาพบทั้งวัตถุโครงสร้างโลหะรวมไปถึงชิ้นส่วนชีวภาพเป็นถุงน้ำสีขาวขุ่น มีเมือกเหนียวสีใสเคลือบอยู่ ขนาดของมันมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 50 เซนติเมตร ถูกติดกันเป็นจำนวนราว 10 ลูกเห็นจะได้ เขาจึงกวักมือเรียกให้ทีมงานเก็บกวาดที่รอปฏิบัติการอยู่ นำรถขนส่งขนาดยักษ์แล่นเข้ามาในเขตพื้นที่เพื่อทำการเก็บกู้ทันที ส่วน เบนจามิน ขี่จักรยานไฟฟ้าวิบากไปยังซากของ VF-25G Messiah ที่ตกอยู่เขาใช้มือเปิดฝาห้องนักบินที่ถูกกรดกัดจนแหว่ง “โอ้วให้ตายเถอะ….ไม่อยากเชื่อเลย” เบนจามิน พูดพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ โดยมีทีมกู้ภัยวิ่งตามเข้ามายังซาก VF-25G
สิ่งพวกเขาพบคือร่างของ ฮิคารุ ไชคอฟสกี้ โดนน้ำกรดกัดส่วนลำตัวจนเหวอะหวะ ไร้ศีรษะ แต่ส่วนอื่นยังอยู่ดีใต้ชุดนักบิน
...............................................................
ภายหลังจากปฏิบัติการสิ้นสุดลง
เจ้าหน้าที่และนักบินทุกคนก็ได้กลับมายังฐาน Radamanthys และแยกย้ายกันไปพักผ่อน และทำรายงานการปฏิบัติหน้าที่ แต่ มิเกล วัลดัส ชิเอล และเบนจามิน ฮันเตอร์ นำชิ้นส่วนเศษซากของ Arachna ที่เก็บตัวอย่างมาได้มุ่งหน้าไปที่ Lab ชีวะทันที Lab นั้นเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อ พวกเขาต้องส่งตัวอย่างซึ่งบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกหนาให้แก่เจ้าหน้าที่ ก่อนจะเดินเข้าประตูอีกบาน เมื่อทั้งสามผ่านประตูฆ่าเชื้อแล้ว ก็ได้เข้ามาในส่วนห้องโถง มันเป็น Lab ที่อยู่ในส่วนของเขตวิจัยและพัฒนาของกองทัพ มีพื้นที่กว้าง และทั้งสามได้พบกับ โนเอมี เฮ็นดริกส์ ชิราโออิ และ คามิโจฟุบูกิ ซึ่งรอพวกเขาอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว จากนั้นทั้งหมดก็พากันเดินต่อ
ทั้ง 6 คนเดินผ่านกลุ่มนักชีววิทยานับร้อยคนไปตามทาง ซึ่งมีหัวหน้าแผนกชีววิทยาเป็นผู้นำทางไปยังห้องทดลองห้องหนึ่ง เมื่อมาถึง พวกเขามองผ่านกระจกเข้าไปในห้องทดลองด้านหน้าก็เห็นการตรวจ DNA จากเศษตัวอย่างมากมายที่เก็บกู้มาได้ ชิราโออิ มองดูผลที่เริ่มแสดงขึ้นทางหน้าตาจากการตรวจสอบตัวอย่างแต่ละอัน ซึ่งมาจากตัวอย่างจำนวนหลายร้อยชิ้น เธอจึงเริ่มอธิบายสิ่งที่เห็น “ถึงดิชั้นจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เหมือนกับเจ้าหน้าที่จาก Minos แต่ก็พอเข้าใจผลการตรวจอยู่ค่ะ” “ผลการตรวจโครงสร้างชี้ให้เห็นว่า มันมีโครงสร้างคล้ายสิ่งมีชีวิตชนิดแมลง แต่ก็มีโครงสร้างส่วนอื่นๆ ที่แตกต่างกันมาก” ฟุบูกิ พยักหน้า ก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นบางอย่างเข้า “ผลการตรวจสอบนั่นมันอะไรครับ ทำไมมันถึงแตกต่างกันชิ้นเชิงเลยล่ะ” มิเกล ชิราโออิ ชิเอล เบนจามิน ถึงกับอึ้ง เฮ็นดริกส์ จึงส่งสัญญาณมือชี้ให้เจ้าหน้าที่ในห้องแสดงผลที่แปลกประหลาดนั้นขึ้นมา
มันเป็นโครงสร้างที่ไม่เหมือนกับ DNA ของ Arachna จนต้องแปลกใจ และรูปภาพด้านข้างก็แสดงถึงเจ้าของผลการตรวจชุดนั้น มันมาจากถุงน้ำสีขาวขุ่นขนาดยาว 50 c.m. มีความยืดหยุ่นสูง ชุ่มชื้นและมีเมือกใสเคลือบไว้ มีจำนวนประมาณหลาย 10 ถุงด้วยกัน มิเกล พยักหน้าเพราะเขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว “นี่คงเป็นผลตรวจของสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่พาเจ้า Arachna นี้มาอย่างแน่นอน” “ไม่แน่ว่าถุงน้ำเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราทราบแหล่งที่มาของพวกมันก็เป็นได้” มิเกล วัลดัส อธิบายสิ่งที่เขาคิด ฟุบูกิ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถ้าพวก Arachna ถูกส่งมาเพื่อทำลายล้างโดยเจ้าของถุงน้ำปริศนานี้ มันต้องมีของสิ่งนั้นอยู่ด้วยน่ะสิ” เฮ็นดริกส์ หันมาถามทันทีว่า “ของชิ้นนั้นที่ว่าคืออะไรงั้นหรอ คุณคามิโจ” แต่ เบนจามิน ก็ตอบให้แทน “เครื่องส่งสัญญาณครับท่าน” ชิราโออิ ตาสว่างทันทีที่ได้ยิน “ใช่แล้ว!! ถ้ามันส่งอาวุธมากวาดล้าง มันก็ต้องมีเครื่องส่งสัญญาณกลับไปแจ้งผลด้วยอย่างนั้นแน่นอน” เบนจามิน จึงหยิบ Tablet ขึ้นมาให้ดูรูปอุปกรณ์หน้าตาแปลกประหลาด มันเหมือนลูกโลหะสีเงินที่มีลวดลายแปลกๆและรูตรงกลาง ฟุบูกิ จ้องมองอย่างพินิจน์ “งั้นเราก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าทฤษฎีที่สองนั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง Arachna ถูกเผ่าพันธุ์อื่นส่งมากวาดล้างมนุษย์”
โนเอมี เฮ็นดริกส์ ก็พูดต่อ “ตอนนี้เรื่องที่ต้องห่วงคงไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ส่งพวกมันมาหรอกค่ะ เพราะเท่าที่รู้เครื่องนั้นยังไม่ได้ทำงาน” “ปัญหาของเราตอนนี้คือ การหาวิธีกำจัดพวก Arachna อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้าเรายังไม่มีอาวุธไปต่อกร ก็ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น” ฟุบูกิ จึงเสนอขึ้นว่า “ถ้าพวกมันมีโครงสร้างคล้ายแมลง แสดงว่าร่างกายของมันไวต่อความร้อน เหมือนร่างของเจ้าเพศเมียบนอวกาศ” “ทันทีที่มันตาย ความร้อนเผาร่างของมันได้ภายในเวลาไม่ถึงนาที หากเราสร้างอาวุธไฟขึ้นมา ผมคิดว่าน่าจะรับมือมันได้ดีแน่นอน” แต่ มิเกล ไม่เห็นอย่างนั้น “ผู้บังคับการคามิโจ อย่าลืมสิครับ ว่าในชั้นบรรยากาศของเรานะจุดไฟติดค่อนข้างยาก การพ่นไฟคงทำได้ยาก” “เว้นเสียแต่คุณจะเอาเชื้อเพลิงมหาศาลราดใส่ร่างของมันได้ ก่อนจะเริ่มจุดไฟเพื่อย่างมัน และต้องใช้เชื้อเพลิงมหาศาลเลยทีเดียวนะครับ” “ในความคิดของผม ผมเห็นว่าใช้วิธีบ้านๆ แบบโบราณน่าจะดีที่สุด คือการใช้สารพิษฆ่ามัน มันสามารถทำลายประสาทของแมลงได้ง่ายดาย” “ไม่ต้องเปลืองเชื้อเพลิงเผาไหม้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ดีกว่า แน่นอนคุณคงจะบอกว่าสารพิษตกค้างมันมีสูงจึงไม่เหมาะสินะ” ฟุบูกิ หรี่ตาลงเล็กน้อย “ร้ายกาจจริงๆ นะครับ ผู้การวัลดัส รู้แทบทุกซอกทุกมุมในความคิดของผมเลย ผมกำลังจะบอกแบบนั้นอยู่พอดีเลยล่ะ” “อีกทั้งเราก็ยังไม่รู้ว่าสารพิษชนิด Dichlorodiphenyltrichloroethane จะต้องใช้ความเข้มข้นมากเท่าใดจึงจะสังหารพวกมันที่มีขนาดใหญ่ได้” โนเอมี เฮ็นดริกส์ ฟังการถกเถียงของสองยอดหัวกะทิจนจบ จึงตัดสินใจสั่งการ “ชิราโออิ ทดสอบทั้งสองอย่างเลยทั้ง ไฟ และสารพิษ”
ชิราโออิ รับคำสั่งจากนั้น โนเอมี เฮ็นดริกส์ ก็เดินกลับออกไปพร้อม ชิเอล และ เบนจามิน เหลือแต่ฟุบูกิ กับ มิเกล ที่จ้องตากันเขม็ง มิเกล หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางคิดในใจ “คนอย่างแกน่ะเอาชนะชั้นไม่ได้หรอก คามิโจ ฟุบูกิ และก็จะไม่มีวันที่หยุดภารกิจของชั้นได้” ฟุบูกิ หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางคิดในใจ “นายไม่คิดอะไรนอกจากภารกิจเลยสินะ…วันนี้ถ้า ซึบาสะ เป็นอะไรไปชั้นจะไม่ให้อภัยนายแน่”
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:28:55 GMT
EP10 : Love ช่วงเช้าของวันใหม่
เป็นช่วงเวลาที่ซ่อมแซม The Cavalry ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ฟุบูกิ จึงชวน ซึบาสะ มาเดินเล่นในเขตตัวเมืองโซนพักอาศัย ร้านขายของ และร้านค้าข้างทางดูเงียบเหงา ปกติผู้คนจะพากันมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ทำให้ดูจะเงียบหงากว่าปกติ ซึบาสะ มองไปรอบๆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเฉียบ "คนหายไปไหนกันหมดนะ ปกติที่นี่จะคึกคักมากๆ น่าแปลกจริง" "ไม่แปลกหรอก เพราะล่าสุดกองทัพเพิ่งเปิดเผยข้อมูลปฏิบัติการของเราในช่วงที่ผ่านมาไปน่ะ" ฟุบูกิ อธิบายให้เธอฟัง ซึบาสะ แปลกใจเล็กน้อย "เอ๊ะ? ทำไมกันล่ะ...การเปิดเผยว่าเรากำลังถูกโจมตีด้วยสิ่งมีชีวิตต่างดาวน่าจะเป็นความลับนี่" ฟุบูกิ พยักหน้า "เพราะผู้บัญชาการเฮ็นดริกส์ เห็นว่าการปิดข่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มนุษย์มีสิทธิที่จะรู้เรื่องราวทุกอย่าง" "ก็จริงนะ...ทุกวันนี้พวกเรามาอยู่บนดาวดวงนี้ มันก็ไม่ได้มีความมั่นคงสักเท่าไรอยู่แล้วล่ะ" ซึบาสะ คอตกนิดๆ
ฟุบูกิ เห็นอาการซึมๆ ของ ซึบาสะ เขาจึงจับมือของ ซึบาสะ เอาไว้ด้วยความอ่อนโยน "อย่าคิดมากเลยนะ ซึบาสะ" "ชั้นจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไปหรอก ในฐานะที่พวกเราเป็นนักบินของ Radamanthys ต้องทำให้ดีที่สุด" "มันเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะทำให้มนุษยชาติคงอยู่ต่อไป ชั้นมั่นใจในศักยภาพของมนุษย์ว่าจะต้องเอาชนะพวกมันได้" ซึบาสะ ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา "นั่นสินะ นายพูดถูก มันเป็นหน้าที่ของเรา....ชั้นนี่แย่จริงๆ ทำไมถึงรู้สึกท้อแท้ได้นะ" ฟุบูกิ หัวเราะเบาๆ "นั่นอาจเพราะช่วงนี้เธอเจอแต่เรื่องร้ายๆ มามากก็ได้ ชั้นจะสอนวิธีคิดที่ทำให้ผ่อนคลายลงให้เอาไหม"
ซึบาสะ พยักหน้าอย่าสนใจ ฟุบูกิ จึงเริ่มอธิบายแนวคิดของเขา " มีหลายทฤษฎีสำหรับการเกิดเอกภพ และเกิดพวกเรา" "ขนาดของมันกว้างใหญ่ไพศาลมาก และกำลังเคลื่อนตัวออกจากกัน บางคนกล่าวว่ามันเกิดจากการระเบิด Big Bang" "ทำให้มิติของอวกาศยืดตัวออกจากกันโดยมีมิติของเวลาคอยรั้งความเป็นอยู่ของทุกสรรพสิ่งให้คงรูปอยู่ในมิตินี้" "แต่เมื่อมันยืดตัวถึงจุดหนึ่ง จุดที่มิติของอวกาศไม่สามารถรั้งสัมพันธ์ภาพของตัวมันเองกับมิติของเวลาได้อีกต่อไป" "มันก็จะยุบเข้าหากันทันทีจนระเบิดขึ้นอีกครั้ง มันจะทำลายทุกสิ่งและสร้างทุกสิ่งขึ้นมาใหม่ พวกเราไม่อาจจะฝืนกฎนั้นได้"
"พูดกันตามตรง มนุษย์เราเป็นเพียงอนูของจักรวาลที่เกิดจากความบังเอิญทางชีววิทยา กำลังติดกับระเบิดของมิติที่กำลังขยายตัว" "ในวันที่ทุกสิ่งสลายหายไป ชั้นและเธอจะไม่มีวันอยู่จนได้เห็นวันนั้น จึงมีคำถามที่เกิดขึ้นมากมาย และมันทำให้ชั้นคิดไม่ตก" "ว่าเราเกิดมาทำไม แล้วสิ่งที่เราทำอยู่นั้นเพื่ออะไร จนกระทั่งวันนี้ชั้นก็ได้เข้าใจ....เราไม่ได้เกิดมาเพื่อครอบครองจักรวาล" "เราไม่ได้มีความหมายอะไรต่อจักรวาลนี้ แล้วเราอยู่ไปทำไม...ผู้การรีเซ็นเบิร์ก ได้เฉลยคำตอบที่ชั้นคิดไม่ตกมานานนี้ให้" "พวกเราอยู่เพราะความรักความห่วงใยที่มีต่อกัน พวกเราอยู่เพราะเราต้องการที่จะอยู่ต่อ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และอยู่อย่างมีความสุข" "ถึงเราไม่อาจใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและเป็นสุขได้ในตอนนี้ แต่เราสามารถทำให้ลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปทำในสิ่งที่เราต้องการได้" "นั่นคือจุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิตของชั้น ชั้นจะไม่ยอมแพ้จนลมหายใจสุดท้าย....ยอมแลกทุกสิ่งเพื่อสร้างอนาคตที่สดใจของมนุษยชาติ"
ใบหน้าของ ซึบาสะ ปรากฏรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน "ได้ฟังก็รู้สึกหัวมันโล่งขึ้นเยอะเลยล่ะ จากเดิมที่รู้สึกเหมือนพวกเรากำลังสูญเสีย" "แต่ได้ฟังนายพูด ชั้นกลับรู้สึกว่าพวกเราไม่ได้มีอะไรจะสูญเสียตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่พวกเรากำลังจะสร้างสิ่งที่เรียกว่าอนาคตขึ้นมา" ฟุบูกิ พยักหน้า "ใช่แล้วล่ะ ล่าสุดกองทัพของเราได้ส่งข้อมูลการสร้าง Valkyria Unit ทั้งรุ่น VF-1 และ VF-25 ไปยังอีกสองฐานที่เหลือ" "พวกเราจะร่วมกันสู้เพื่อความอยู่รอดด้วยกัน ในฐานะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน และจะสร้างอนาคตภายภาคหน้าที่สดใสร่วมกันให้ได้เลยล่ะ" ซึบาสะ ยิ้มออกมาอย่างร่าเริ่ง "ดีล่ะ!! งั้นในเมื่อช่วงเวลาที่เรามีความสุขในตอนนี้จะไม่มาก เราไปหาอะไรสนุกๆ ทำดีกว่านะ ฟุบูกิ" ฟุบูกิ ยิ้มออกมาอย่างร่าเริงเช่นกัน "งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า การกินเป็นหนึ่งในความสุขที่สุดของมนุษย์เชียวล่ะ แต่เธอเลี้ยงนะ" ซึบาสะ ทำหน้ามุ่ยๆ "อะไรกัน เป็นถึงผู้บังคับการฝูงบิน กลับให้ลูกน้องเลี้ยงข้าวเนี่ยน๊า? แต่ช่างเถอะ มีเงินเยอะตายก็เอาไปไม่ได้"
ทันใดนั้นเอง เสียงที่คุ้นหูก็ดังมาจากด้านหลัง "เอ้าเห้ย วันนี้อากาศแจ่มใสมากเลยงั้นหรอ ถึงมากุ๊กกิ๊กกันสองคนแบบนี้น่ะ" ซึบาสะ หันกลับไปด้วยความตกใจ "อ้าวคุณแจ่มใส หายดีแล้วหรอคะ รึว่าคุณชิราโออิ ซ่อมแซม Exoskeleton ให้เสร็จแล้ว?" อากาศ แจ่มใส ยิ้มร่า แล้วรีบเดินเข้ามาโอบไหล่ของ ซึบาสะ และ ฟุบูกิ จากด้านหลัง "มันแน่นอนอยู่แล้ว หายดี กระฉับกระเฉง!!" ฟุบูกิ ทำหน้าเซ็งนิดๆ ก่อนจะบ่นขึ้นในลำคอ "ให้ตายเถอะ กะว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีวันหนึ่งแท้ๆ กลับมีไอ้บ้านี่มาขัดขวางซะได้" อากาศ ขมวดคิ้วเพราะเขาแอบได้ยินที่ ฟุบูกิ บ่น แต่ก็ได้ยินไม่ถนัดเท่าไรนัก "มะกี้ว่าไงนะ อะไรขัดขวางๆ นะ เฮาะ เฮาะ!!" ฟุบูกิ เบะปากมองบนและตอบเสียงสูง "เปล๊า!! ก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย แค่ไม่คิดว่านายจะหายเป็นปกติไวขนาดนี้ น่ายินดีซะจริงๆ"
ซึบาสะ หัวเราะเบาๆ เพราะเธอรู้ว่า ฟุบูกิ พูดเชิงประชด แต่ อากาศ กลับไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย "เอ้า มะกี้ว่าจะไปหาไรกินกันนี่ ไปๆ"
.................................................................................
อาคารซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์
มิเกล วัลดัส เดินออกจากตัวอาคารโดยมี วิมีน่า เธรมริล เดินตามออกมา เขาเดินเร็วมากจน วิมีน่า ที่เดินตามถึงกับหอบกิน "นี่นาย!! เดินช้าๆ หน่อยได้ไหมเล่า จะรีบไปไหนฮะ ชั้นจะเดินตามไม่ทันอยู่แล้วนะรู้มั้ย" วิมีน่า บ่นขึ้นขณะเร่งฝีเท้า มิเกล นั้น กำลังอ่านข้อมูลจาก Tablet ไม่ได้สนใจสิ่งที่ วิมีน่า บ่นแม้แต่น้อย "คุณก็ไม่ต้องเดินตามผมมาสิครับ ไม่เห็นยากเลย"
คำตอบของ มิเกล ทำให้ วิมีน่า ไม่พอใจ เธอจึงใช้แขนขวาคล้องเข้าไปในซอกแขนซ้ายของ มิเกล แล้วควงแขนเขาไว้ มิเกล สะดุ้งเล็กน้อย และพยายามสะบัดแต่ดูเหมือนจะทำไม่สำเร็จ "ทำอะไรของคุณเนี่ย คุณเธรมริล มาล็อคแขนผมไว้ทำไม" วิมีน่า เบะปากก่อนจะตอบกลับ "ก็ช่วยไม่ได้ ดันเดินเร็วจนชั้นเดินตามไม่ทัน ชั้นก็เลยต้องทำให้นายเดินช้าลงแทนยังไงล่ะ" มิเกล ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนที่เขาจะก้าวเดินต่อไป พร้อมกับอ่านข้อมูลใน Tablet อย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อทั้งสองเดินต่อมาได้ครู่หนึ่งโดยไม่มีการสนทนาใดๆ วิมีน่า ก็ถาม มิเกล ขึ้นว่า "สิ่งที่นายทำอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไรกัน?" มิเกล ได้ยินก็หยุดเดิน "เป็นคำถามที่คุณเองก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ...สิ่งที่ผมทำก็เพื่อบรรลุหน้าที่ของผม" วิมีน่า ก้าวมายืนตรงหน้าและพูดต่อไป "เหมือนชั้นกำลังคุยกับหุ่นยนต์อยู่เลยนะ สงสัยอยู่ว่าคนอย่างนายรู้จักความรักบ้างมั้ย"
มิเกล ยิ้มมุมปากและหัวเราะเบาๆ "ความรักอย่างนั้นหรอครับ...ผมรู้จักกับมันดี มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายกับมนุษย์" "ความรักทำให้มนุษย์อ่อนไหวจนนำไปสู่ความอ่อนแอ มันส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คนนั้น" "คนส่วนใหญ่มองว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม เพราะพวกเขามองข้ามความเป็นจริงที่ว่า ความรักทำให้เกิดสิ่งเลวร้ายมากกว่า" "ถ้าเราตัดคำว่าความรักออกจากสารบบของสมองได้ เราก็เข้มแข็งมากขึ้น และทำให้เราอยู่รอดจนวาระสุดท้ายของกายเนื้อ" "ผิดแล้ว มิเกล วัลดัส...ความรักไม่ได้ทำให้มนุษย์อ่อนแอ แต่ทำให้มนุษย์เข้มแข็งและมีความเป็นมนุษย์" วิมีน่า สวนกลับไป
หลังจากที่ วิมีน่า พูดจบ เธอก็ปล่อยแขนของ มิเกล ก่อนจะแยกทางไป มิเกล หัวเราะเยาะเบาๆ "หึ!! นี่น่ะหรอเข้มแข็ง..."
.................................................................................
วันรุ่งขึ้น
กองทัพ Radamanthys ได้รับแจ้งจาก Minos ว่าขบวนขนส่งตัวอย่างพืชของ Minos สูญหายระหว่างการเดินทางกลับ มันเป็นพื้นที่ระหว่างฐาน Radamanthys กับ ฐาน Minos ประกอบกับช่วงนี้ฐาน Minos กำลังเร่งผลิต Valkyria Unit ขึ้นพอดี ทำให้ฐาน Minos ไม่มีกำลังพลมากพอจะลงไปสำรวจพื้นที่ดังกล่าวได้ อีกทั้งก่อนขบวนขนส่งจะขาดการติดต่อไปนั้น มีรายงานภาพเข้ามาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาพบสิ่งมีชีวิตโครงสร้างแมลงขนาดยักษ์ หรือที่พวกเขาเรียกว่า Arachna พวกมันบุกเข้าทำลายขบวนขนส่งด้วยการผุดขึ้นจากใต้ดิน และเพียงไม่กี่วินาทีขบวนรถข่นส่งนับร้อยก็ถูกทำลายสิ้น
โนเอมี เฮ็นดริกส์ รีบสั่งให้มีการประชุมผู้บังคับการฝูงบินเป็นการด่วน พร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกจำนวนมาก เนื่องจากความเสียหายที่ได้รับมาจากภารกิจกำจัดดาวหาง และพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับฝูง Arachna เป็นครั้งแรก ฝูงบิน Geraint Bedivere Lamorak Bors Gaheris และ Tristan ได้รับความเสียหายอย่างหนักและไร้ซึ่งผู้บังคับการ ทำให้ โนเอมี เฮ็นดริกส์ สั่งยุบ 6 ฝูงบิน กระจายกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปยังฝูงบินที่เหลือเพื่อคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพ
บัดนี้จึงเหลือเพียงฝูงบิน Lancelot Galahad Percival Gareth Gawain และ Kay กับ 6 ผู้บังคับการฝูงบินในห้องประชุม โนเอมี เฮ็นดริกส์ เริ่มเปิดหัวข้อการประชุมขึ้น "ภารกิจในครั้งนี้ เราคงไม่ต้องคาดหวังในการค้นหาผู้รอดชีวิตอย่างแน่นอน" "นั่นก็เพราะขบวนขนส่งของ Minos ไม่มีกองกำลังติดอาวุธหนักทำการคุ้มกัน พวกเขามีเพียงรถถังและปืนใหญ่เท่านั้น" "ซึ่งยุทโธปกรณ์เหล่านั้นไม่อาจต่อกรกับ Arachna ได้เลย อีกทั้งจากภาพที่เก็บได้ ขนาดของ Arachna ดูจะใหญ่โตมาก" "และยังไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัดของมันได้ จึงขอให้พวกคุณวางแผนปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นการด่วน เชิญว่ามาได้เลย..."
ผู้บังคับการฝูงบิน Gareth เป็นชายสูงวัยเสนอขึ้นว่า "ด้วยระยะทางที่ห่างไปเกือบ 8,000 กิโลเมตร เป็นอุปสรรคที่หนักมาก" "CFA-44 ไม่มีทางบินไปทำภารกิจได้ และถึงจะไปถึงได้ ก็บินกลับไม่ได้ ส่วน Valkyria Unit ก็เหลืออยู่เพียง 13 ลำเท่านั้นด้วย" ฟุบูกิ ขมวดคิ้ว "ท่านผู้บังคับการกำลังจะบอกให้เราล้มเลิกภารกิจอย่างนั้นหรอครับ....ถึงไม่มีใครรอดเราก็ปล่อยไปไม่ได้นะครับ" มิเกล พยักหน้าและพูดเสริมขึ้น "ถูกต้องแล้วล่ะครับ เราจะปล่อยมันไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะเรายังไม่รู้ว่ามันแพร่พันธุ์ได้หรือไม่" "อีกทั้งการที่มันมีตัวตนอยู่บนดาวดวงนี้ ย่อมเป็นภัยอย่างมหันต์ต่อมนุษยชาติ รวมไปถึงข้อมูลของพวกมันตอนนี้ก็ยังน้อยเกินไป" "เราจะเป็นต้องเข้าตรวจสอบลักษณะของพวกมันทั้งหมด จากนั้นถึงทำลายมันทิ้ง ... ผมเชื่อว่าอุกกาบาต 4 ลูกนั้นแตกต่างกัน"
ฟุบูกิ พยักหน้าก่อนจะพูดเสริม มิเกล อีกครั้ง "ใช่ครับ มันต้องมีความแตกต่างกันอย่างที่ผู้บังคับการวัลดัส กล่าวมาอย่างแน่นอน" "ลูกที่ The Cavalry ทำลายไปนั้น บรรจุเจ้าตัวที่ Minos ยืนยันลักษณะมาแล้วว่าน่าจะเป็นตัวนางพญา ส่วนในปฏิบัติการล่าสุด" "Minos วิเคราะห์ความสามารทั้งหมดของมัน คาดว่าจะเป็นประเภททหารเอก หรือตัวองค์รักษ์พิทักษ์นางพญา มันจึงร้ายกาจมาก" "อีกทั้งเรายังมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าพวกมันถูกสิ่งมีชีวิตอื่นส่งมาที่นี่ ถ้ากลุ่มที่โจมตี Minos มีพวกที่ส่ง Arachna มาที่นี่แล้วล่ะก็" "มันจะยิ่งจะเป็นอันตรายต่อพวกเราอย่างมาก ดังนั้น ผมจึงสนับสนุนให้เราทำการติดตามและทำลายมันเป็นการด่วนครับ"
ผู้บังคับการฝูงบิน Gareth ยิ้มเยาะเย้ย "แล้วพวกคุณสองคนคิดจะทำยังไงกันล่ะครับ The Cavalry ก็ยังซ่อมแซมไม่เสร็จ" "ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ผมได้ข่าวมาว่า ผู้บังคับการวัลดัส เพิ่งนำยานรบบุโรทั่ง The Javelin ไปติดตั้งอาวุธแรงโน้มถ่วงซะด้วย" "การที่คุณเห็นว่าระบบของ The Javelin เป็นระบบเก่า สามารถดัดแปลงกับระบบปืนใหญ่แรงโน้มถ่วงได้ง่ายกว่า The Cavalry" "มันก็เป็นเรื่องที่ผมเห็นว่าจริง แต่คุณเร่งนำมันไปติดตั้งเกินไปรึเปล่า ดังนั้น ปฏิบัติการนี้ก็ไม่อาจทำให้เกิดขึ้นได้เพราะคุณ"
ฟุบูกิ ขมวดคิ้ว "ผมมีวิธีส่ง Valkyria Unit รุ่น VF-1 ที่เรามีทั้ง 13 ลำ พร้อมกับ CFA-44 อีก 18 ลำ ไปถึงพิกัดเป้าหมายได้" "เราจะใช้ความพิเศษของ Valkyria Unit ที่มีมือจับ จับแผงลานจอดเอาไว้ และใช้แรงขับจาก VF-1 พาฝูงบินไปยังจุดหมาย" "ลานจอดที่สามารถถอดได้บนยานรบ The Cavalry มีน้ำหนักเบาและแข็งแรง พร้อมแรงขับมหาศาลจาก VF-1 ทั้ง 13 ลำ" "เราสามารถ CFA-44 ทั้ง 18 ลำที่จอดรอบนลานจอด Hyperium แบนราบ ไปถึงที่หมายโดยไม่เสียเชื้อเพลิงเลย"
มิเกล พยักหน้า "หากมองว่ากองบินไม่มีความสามารถเพียงพอในการกำจัด Arachna ขนาดยักษ์นั้นได้แล้วล่ะก็..." "เรายังมีปืนใหญ่วงโคจรที่เจ้าหน้าที่ชิราโออิ หัวหน้าแผนกวิจัยอาวุธได้พัฒนามันจนมีประสิทธิภาพยิงลงมาถึงพื้นได้อยู่" "เห็นไหมล่ะครับ ตอนนี้เรามีวิธีรับมือกับพวกมันแล้ว... ส่วนการบัญชาการรบของ 6 ฝูงบินที่เข้าปฏิบัติการในครั้งนี้" "เราจะใช้ห้องประชุมแห่งนี้ร่วมกันเป็นฐานบัญชาการ" เมื่อ มิเกล พูดจบ หัวหน้าฝูงบินอีก 4 คนก็มองไปรอบๆ ห้อง
ในขณะนั้น เฟอร์นิเจอร์ บิ้วอินทั้งหมด ก็เริ่มเคลื่อนที่หลบเข้าไปในกำแพง และส่งหน้าจอและแผงควบคุมลงมาแทน มันแปลงสภาพจากห้องประชุมธรรมดาๆ กลายเป็นฐานบัญชาการรบสุดล้ำยุคภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น ทำเอาทุกคนแปลกใจ โนเอมี เฮ็นดริกส์ พยักหน้า "ฟังดูน่าสนใจดีนะ อีกทั้งเราเองก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากนี้อีกแล้วด้วย เริ่มปฏิบัติการได้เลย" "ปฏิบัติการคราวนี้ ดิชั้นขอฝากให้เป็นหน้าที่ของรองผู้บังคับการทหารสูงสุด มิเกล วัลดัส ด้วย....ดิชั้นมีงานอื่นจะต้องไปทำ"
"ขอให้ทุกท่านเชื่อใจกันและกัน ร่วมกันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าร่วมกัน...ดิชั้นขอตัวก่อนนะคะ" แล้ว เฮ็นดริกส์ ก็ออกจากห้องไป
.................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:32:46 GMT
ผ่านไป 12 ชั่วโมง
VF-1 จำนวน 13 ลำจากฝูงบิน Galahad 7 ลำ และฝูงบิน Lancelot 6 ลำได้พาลานจอดโลหะมาถึงบริเวณเป้าหมาย มันเป็นทะเลทรายซึ่งถูกระบุว่าเป็นตำแหน่งที่ขบวนขนส่งพันธุ์พืชตัวอย่างของ Minos ได้สูญหายจากการโจมตีของ Arachna นักบิน VF-1 ประกอบไปด้วย มาร์คัส รหัส Galahad 01 วิมีน่า Galahad 02 ซึบาสะ Lancelot 01 อากาศ Lancelot 03 พวกเขาวางลานจอด Hyperium ที่มีขนาดยาว 200 เมตรลงบนเนินทรายก่อนที่ CFA-44 ทั้ง 18 ลำจะเริ่มขึ้นบิน ที่ห้องบัญชาการใหญ่ ผู้บังคับการฝูงบินทั้ง 6 ฝูง Lancelot Galahad Percival Gareth Gawain และ Kay ก็พร้อมแล้ว ภาพที่ถูกส่งมาจากเครื่องบินสอดแนม ทำให้เห็นเขตพื้นที่ทะเลทรายขาวโพลน แต่มีเศษซากโลหะกระจายเกลื่อนกราด
ซึบาสะ มองไปรอบๆ จนกระทั่งเธอเห็นการเคลื่อนไหวจากแนวสันทรายอยู่ห่างออกไปจากตำแหน่งเธอไกลพอสมควร "Lancelot 01 พบการเคลื่อนไหวค่ะ กำลังตรวจสอบด้วยกล้อง infrared" ซึบาสะ พูดพร้อมเปิดระบบและส่งข้อมูลให้คนอื่น ภาพ infrared ที่ได้รับแสดงให้เห็น Arachna ขนาดมหิมาซึ่งแฝงตัวอยู่ใต้กองทราย มันมีด้วยกันถึง 5 ตัว และที่น่าแปลกคือ มันไม่ได้มีสิ่งผิดปกติอื่นใดอันบ่งบอกได้ถึงสิ่งมีชีวิตผู้ทรงภูมิที่ มิเกล และ ฟุบูกิ คาดการณ์ว่าจะมีอยู่ วิมีน่า ทำการ Lock เป้าหมายจากระยะไกลพร้อมยิง "Galahad 02 พร้อมทำการกำจัดเป้าหมายด้วย Missile ค่ะ" ส่วน มาร์คัส ยังไม่ได้ตั้งท่าพร้อมยิง "ใจเย็นก่อนเถอะ Galahad 02 ด้วยขนาดของมัน Missile เราจงทำอะไรมันไม่ได้แน่"
มิเกล ใช้เวลาวิเคราะห์อยู่พักหนึ่งขนาด การเคลื่อนไหว และท่าทีของ Arachna ยักษ์ที่แฝงตัวอยู่ใต้กองทราย และเริ่มสั่งการ "อย่างที่ Galahad 01 นั่นแหละครับ ขนาดของมันยาวเกือบ 1 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีถึง 5 ตัว อาวุธธรรมดาคงทำอะไรมันไม่ได้" "ทาง Minos ไม่ได้แจ้งว่าขนาดของมันจากหัวถึงหางจะยาว 940 เมตร แบบนี้ ดูท่าเราอาจจะต้องใช้แผนสำรองแผนที่สอง" ฟุบูกิ คำนวณการฝังตัวของ Arachna ทั้ง 5 ในกองทรายก่อนจะเสริมขึ้น "จากข้อมูลชี้ชัดว่า GPW สามารถทำลายมันได้แน่นอน" "แต่ GPW บนสถานีอวกาศของเราตอนนี้ สามารถใช้การได้เพียงกระบอกเดียว และอานุภาพคลื่นแรงโน้มถ่วงก็ยังไม่กว้างมากพอ" "เพราะขนาดตัวของมันใหญ่มาก อย่างเก่งที่สุดก็คือต้องหาตำแหน่งที่คลื่นจะทำลายมันได้มากตัวที่สุด ซึ่งคือตำแหน่งพิกัดนี้" ฟุบูกิ กดปุ่มระบุตำแหน่งบนหน้าจอ ตำแหน่งที่ ซึบาสะ พบมันกระจายตัวเป็น 5 เหลี่ยม เขาระบุที่ระหว่างกลางของ 3 ตำแหน่งบน
มิเกล วัลดัส พยักหน้าเขาจึงสั่งการอย่างไม่รอช้า "ฟังดูเข้าท่า.... เริ่มทำการยิง Gravitational Pulsed Weapon ได้เลย" วินาทีต่อมา คลื่นแรงโน้มถ่วงเส้นใหญ่ก็ยิงลงมา มันแหวกชั้นบรรยากาศลงสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ ด้วยคลื่นที่โปรงใส
จากสายตาของมนุษย์มองเห็นมันได้ด้วยการสะท้อนแสงจากฝุ่นละอองที่ถูกลำคลื่นดูดเข้าไปหาศูนย์กลางคลื่นเท่านั้น เมื่อคลื่นแรงโน้มถ่วงเข้าปะทะ มันก็เริ่มดูดทรายจำนวนมากเข้าไปราวกับพายุหมุน อานุภาพของมันรุนแรงจนเกิดลมกรรโชก Arachna ขนาด 940 เมตร ลอยขึ้นจากพื้นทรายที่เกิดเป็นหลุมขนาดยักษ์ เราเห็นไม่เต็มทั้งตัวเพราะเศษทรายบังไว้บางส่วน และร่างกายขนาดยักษ์ของมันทั้ง 3 ตัวก็ถูกแรงโน้มถ่วงบีบอัดเข้าไปตามแรงหมุนจนมลายหายสิ้นไป ทำให้ฝุ่นทรายฟุ้งไปทั่ว
ท่ามกลางความปลื้มปิติของเหล่านักบินทั้ง 6 ฝูงบินที่เห็นอานุภาพของ GPW ผ่านจอภาพของเครื่องตนเองนั้น บางสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อ Arachna ยักษ์อีก 2 ตัวที่เหลือพุ่งขึ้นจากกองทรายมายืนอยู่ต่อหน้าระยะประชิดกับกองบิน "Lancelot แยกตัวเร็ว" ฟุบูกิ สั่งการพร้อมๆ กับที่ มิเกล ก็สั่งการเช่นกัน แต่อีก 4 ฝูงบินไม่ได้รับการสั่งการที่รวดเร็วพอ ทำให้ Lancelot และ Galahad หลบรยางค์ขนาดยักษ์ที่พุ่งเข้าใส่ได้ แต่ฝูงบินอื่น เสีย CFA-44 ไปรวดเดียวกว่า 10 ลำ ผู้บังคับการ 4 ฝูงบินตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาสั่งการให้ CFA-44 ทั้งหมดระดมยิงและบินวนแบบไร้ระบบอย่างอลหม่าน
Arachna ที่ปรากฏต่อหน้า ลำตัวคล้ายงู หัวยาว มีรยางค์จำนวนมากออกจากปากที่กว้างและน่ากลัว แขน 2 ข้างของมันใหญ่มาก การโจมตีฉับพลันนี้ เป็นสิ่งที่ มิเกล วัลดัส ไม่ได้คาดหมายเอาไว้ตั้งแต่แรก เขาจึงพยายามรวบรวมสติในการคิดหาทางแก้ไข ในขณะที่ ฟุบูกิ รับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าไม่อาจรับมือกับมันได้ เขาจึงสั่งให้ ซึบาสะ อากาศ และนักบินในฝูงบินอีก 4 คนถอยห่าง ฟุบูกิ เห็นท่าไม่ดีจึงตะโกนขึ้น "ตั้งสติกันหน่อยครับทุกท่าน เราต้องถอยห่างก่อน และค่อยวิเคราะห์ว่าจะจัดการกับมันยังไงต่อไป"
มิเกล กัดฟันแน่น "Galahad รักษาระยะห่างมันเอาไว้....ฝ่ายวิเคราะห์ช่วยหาตำแหน่งเกราะที่บางที่สุดให้ผมด่วนเลย"
.................................................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:35:55 GMT
ห้อง Lab ชีวภาพในเวลาเดียวกัน
โนเอมี เฮ็นดริกส์ ชิเอล เบนจามิน ฮันเตอร์ และ ชิราโออิ ได้มาสังเกตการณ์การทดลองอาวุธไฟ ในการกำจัด Arachna ในห้องทดลองมีชิ้นส่วนเนื้อเยื่อของ Arachna ซึ่งมันยังทำการฟื้นฟูตัวเองอยู่เรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายจนเป็นก้อนเนื้อที่บวมปูด และยังมีตัวอย่างชิ้นส่วนทั้งหมดที่เก็บกู้ได้จากหลุมอุกกาบาต ทุกคนสวมชุดกันแก๊สพิษสีขาวยกเว้น เบนจามิน เพราะเขาใส่ไม่ได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ควบคุมการทดลอง เปิดระบบ ภายในห้องกระจกที่ทำการทดลองก็เกิดไฟลุกขึ้นอย่างรุนแรงทันทีทั่วทั้งห้อง ไฟลามและแผดเผาชิ้นส่วนทุกชิ้นที่วางอยู่บนโต๊ะโลหะ ที่เรียงกันอยู่นับร้อยชิ้น ภายในห้องที่มีขนาด 10 x 10 เมตร เมื่อการเผาไหม้ผ่านพ้นไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง ไฟก็ถูกดับลง จากนั้นเครื่องระบายความร้อนก็ทำการดูดความร้อนทั้งหมดออกไป
เจ้าหน้าที่ควบคุมการทดลอง 6 คนเปิดประตูนิรภัยซึ่งเป็นโลหะหนาเข้าไปพร้อมกับ เฮ็นดริกส์ ชิเอล เบนจามิน และ ชิราโออิ ทุกคนถือเครื่องตรวจวัตถุชีวภาพและช่วยกันทำการ Scan เนื้อเยื้อของ Arachna ที่ถูกไฟเผาไหม้ร่วม 10 นาทีอย่างละเอียด ชิราโออิ พบว่าเนื้อเยื้อบางส่วนในตอตะโกไม่ตายสนิท "ดูท่าการใช้ไฟเผาคงจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรนะคะ ท่านผู้บัญชาการ" โนเอมี พยักหน้าก่อนที่จะเดินสำรวจก้อนเนื้อชิ้นอื่น แต่ในขณะนั้นเอง เบนจามิน ฮันเตอร์ ก็เดินไปยังโต๊ะที่วางถุงน้ำสีใสเอาไว้ เขาสังเกตเห็นว่ามันยังคงสภาพอยู่ดีเหมือนเดิม มีเพียงเขม่าสีดำอยู่ขอบๆ ของถุงน้ำถุงเดียวถุงนั้น และพบสิ่งผิดปกติ มันมีการขยับและเคลื่อนไหวเป็นคลื่นๆ เขาจึงใช้นิ้วมือจิ้มลงไปทำให้ถุงน้ำแตกออก มันคงรูปเป็นเจลลี่สีใสเหนียวหนึบ ชิเอล หันไปเห็นเข้าพอดี เขาพยายามจะเข้าไปห้าม แต่ก็ไม่ทันการณ์ เมื่อเจลใสนั้นซึมผ่านนิ้วมือของ เบนจามิน อย่างรวดเร็ว เขาเกิดอาการชักกระตุกอย่างแรง ร่างกายของเขาเริ่มขยายใหญ่ขึ้นจนผิดรูปร่าง ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดตกใจกลัว
หลังจากอาการชักหายไป เบนจามิน ก็หันมามอง โนเอมี เฮ็นดริกส์ ชิเอล ชิราโออิ และเจ้าหน้าที่คนอื่นด้วยสายตาแปลกๆ ร่างกายเขาเป็นอสูรกายเต็มตัว ในขณะที่ข้อมูลจากหน้าจอภายนอกก็เริ่มวิเคราะห์ร่างกายของเขาโดยอัติโนมัติ เบนจามิน เริ่มอ้าปากแล้วพูดบางสิ่งขึ้นติดๆ ขัดๆ "พวก...แก...อา..เอา....ของ...ขะ..ของ....ข้า.....ไป....ไว้....ที่......ใด" เมื่อพูดจบเขาก็ฟาดแขน Exoskeleton เข้าใส่เจ้าหน้าที่ 1 ใน 6 ราย ที่อยู่ในห้องนั้นจนร่างแตกกระจายไปติดผนังห้อง ชิเอล ไม่รอช้า เขารีบพา โนเอมี เฮ็นดริกส์ และ ชิราโออิ กับเจ้าหน้าที่ที่เหลืออีก 5 ราย หนีออกจากห้องนั้นอย่างรวดเร็ว แต่มันก็วิ่งตามออกมาแล้วสังหารเจ้าหน้าที่ตายเพิ่มไปอีก 2 รายอย่างสยดสยองด้วยการตบทีเดียวจนศีรษะหลุดกระเด็น
ชิราโออิ รีบเปิดแผนที่จาก Tablet ขณะกำลังวิ่งหนี และพา โนเอมี เฮ็นดริกส์ วิ่งไปตามทาง แต่เธอก็เปิดมันได้ช้าเกินไป พวกเขาทั้ง 2 คนกับเจ้าหน้าที่อีก 3 คน มาหยุดอยู่ที่ห้องทดลองอีกห้อง มันเป็นทางตัน จึงตัดสินใจพากับหลบมุมกำแพง "นั่นมันบ้าอะไรน่ะ ของเหลวสีใสนั่นมันคืออะไรกันแน่" ชิราโออิ ถามเจ้าหน้าที่ 3 คนที่หลบอยู่ในห้องทดลองเดียวกัน พวกเขามีอาการเกรงกลัวที่จะตอบก่อนเจอสายตาของ โนเอมี เฮ็นดริกส์ ที่จ้องเขม็งกดดันพวกเขาจนต้องตอบความจริงออกมา "มันเป็นโลหะเหลวคล้ายปรอทครับ แต่เป็นโลหะที่พวกเราไม่เคยพบเจอมาก่อน แถมยังมีสารประกอบแปลกๆ ที่เราระบุไม่ได้" ชิราโออิ ก็คิดออก "เข้าใจแล้ว มันเป็นฮาร์ทไดร์ฟเหลวที่บรรจุข้อมูลบางอย่างเอาไว้ การตรวจสอบของเราจึงไม่พบอะไรผิดปกติ" "ในตอนที่เราเผามัน ประจุอิเล็กตรอนภายในเกิดการเปลี่ยนแปลง เหมือนกับเรากดปุ่มสตาร์ทมันขึ้นมาด้วยมือของเราเอง" เฮ็นดริกส์ หรี่ตาลงเล็กน้อย "คุณกำลังจะบอกว่ามันถ่ายเทข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้เข้าสู่ร่างกายของเจ้าหน้าที่ฮันเตอร์ อย่างนั้นหรอ" เจ้าหน้าที่แลปทั้ง 3 คนมองหน้ากันเอง ก่อนจะพยักหน้าให้กับ เฮ็นดริกส์ "ผมคิดว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากครับ" และแล้วเสียงฝีเท้าขนาดใหญ่ก็ใกล้เข้ามาทีละก้าว "พวก....แก.....เอา.....ของ.....ของ.....ข้า.....ไป....ไว้.....ที่....ใด"
วินาทีที่เหมือนจะหมดหวัง เสียงใสๆ ของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้นด้านหลังอสูรกายเบนจามิน "เบนจามิน ฮันเตอร์ แกกำลังหานี่อยู่สินะ" โนเอมี เฮ็นดริกส์ จำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของ ชิเอล ก็โผล่หน้าจากมุมกำแพงออกไปมอง เธอก็เห็น ชิเอล ยืนอยู่หลังอสูรยักษ์ เขาถือวัตถุทรงกลมสีเงิน มีรูเล็กๆ ตรงกลางประดับด้วยลวดลายแปลกๆ อยู่ในมือ จากนั้น ชิเอล ก็เอียงคอส่งสัญญาณให้ ชิราโออิ อสูรกายเบนจามิน หันกลับไปช้าๆ มันมีท่าทางที่เกรี้ยวกราดเมื่อได้เห็นวัตถุทรงกลม "ดิ....อม...นิ....โพ....เท็น....ของ...ข้า...." ทันทีที่พูดจบ มันก็เริ่มวิ่งไล่กวด ชิเอล ทันที เขาก็ไม่รอให้มันถึงตัว จึงเร่งฝีเท้าทิ้งระยะจากเจ้าอสรูกาย และพามันไปตามทาง จนในที่สุดเขาก็ย้อนกลับมาถึงห้องที่ทำการทดลอง ชิเอล วิ่งไปหยุดกลางห้อง ในขณะที่อสูรกายวิ่งตามไปยืนต่อหน้าเขา เฮ็นดริกส์ ที่รีบวิ่งนำมาคนแรก เธอตะโกนขึ้นเสียงดังสนั่นห้องทดลอง "ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ชิเอล เธอเข้าไปทำบ้าอะไรในนั้น" ก่อนที่ เฮ็นดริกส์ จะถึงประตูโลหะทางเข้า ชิราโออิ ก็คว้าตัวเธอเอาไว้ได้ทันจากด้านหลัง และเจ้าหน้าที่ที่ตามมาก็ปิดประตูเหล็ก
ชิเอล หันมามอง เฮ็นดริกส์ ผ่านกระจกห้องทดลอง เขาถอดผ้าปิดปากสีแดงออกทำให้ทุกคนเห็นปากที่มีแผลเหวอะหวะของเขา รอยยิ้มบางๆ ปรากฏให้เห็นจากปากที่ดูน่ากลัว "ไม่เป็นไรครับแม่....ผมขอบคุณที่ดูแลผมมาตลอด บอกพ่อด้วยว่าผมไม่เคยเสียใจ" "ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของเขา ถึงแม้ว่าแม่จะไม่เคยบอกผมเลยก็ตามว่าพ่อของผมเป็นใคร ถือซะว่าวันนี้ผมได้ตอบแทนพระคุณแล้ว" เมื่อ ชิเอล พูดจบท่ามกลางความสงสัยของทุกคนในห้อง โนเอมี เฮ็นดริกส์ ที่น้ำตาคลอเบ้าก็พูดขึ้นเบาๆ "วอลเบิร์ต............" "วอลเบิร์ต ไฮเซ็นไทน์.....คือพ่อของเธอ.....เขาเป็นนักบินที่เก่งกาจแห่ง Aiacos ..... เขาต้องภูมิใจแน่ๆ ที่มีลูกชายอย่างเธอ" "และแม่ก็ขอโทษนะที่ทำให้ลูกต้องลำบากมาตลอด กับการที่ต้องปกปิดสถานะของเราเอาไว้จนถึงวาระสุดท้ายแบบนี้......" ทันใดนั้น อสูรกายเบนจามิน ก็พุ่งเข้าชกท้องของ ชิเอล จนร่างเขากระเด็น ทำให้วัตถุทรงกลมหลุดลอยขึ้นกลางอากาศ" เป็นจังหวะเดียวกันที่เจ้าหน้าที่ควบคุมห้องทดลอง เปิดระบบปล่อยสารพิษDichlorodiphenyltrichloroethane เข้าไปในห้อง ชิเอล ลากร่างกายที่สิ้นสภาพมาที่ขอบกระจกเขายกมือขึ้นวางทาบบนกระจกขนาบกับมือของ โนเอมี เฮ็นดริกส์ อีกฟากของกระจก
"ลาก่อน....ครับแม่......" สิ้นเสียงของ ชิเอล สารพิษสีเทาเข้มก็กลบร่างของเขาหายไปในเงาควันมืดพร้อมกับอสูรยักษ์เบนจามิน
.................................................................................
การสู้รบกับ Arachna ยักษ์ 2 ตัวที่กำลังดำเนินอยู่
ฟุบูกิ และ มิเกล สั่งการให้ฝูงบิน Lancelot และ Galahad ทดลองยิงอาวุธที่มีทุกอย่างใส่ทุกมุมของ Arachna ยักษ์ แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไร Arachna ยักษ์ 2 ตัวนี้ได้ ทำให้ CFA-44 ที่เหลืออยู่ 8 ลำ ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ผลการวิเคราะห์พบว่า Arachna ยักษ์ 2 ตัวนี้ไม่มีจุดอ่อนเลยจากภายนอก มันเป็นเกราะหนาทั้งตัว มีเพียงช่องปากเท่านั้น และโชคร้ายซ้ำสองคือ ช่วงที่มันจะเปิดปากออกมานั้น คือช่วงที่มันกำลังจะพ่นน้ำกรดเพื่อโจมตีเป้าหมายของมัน ในขณะที่ GPW ของสถานีอวกาศก็ไม่สามารถยิงคลื่นแรงโน้มถ่วงซ้ำได้เป็นนัดที่สอง เพราะความร้อนที่สูงจากการยิงครั้งแรก มาร์คัส ขมวดคิ้ว "จะทำยังไงกันดีล่ะคราวนี้ จรวด Missile ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงลำละ 2 ลูกเท่านั้นเอง บ้าชิบ!!!" "นั่นล่ะสิคะ VF-1 ของเราเหลือ 13 ลำเท่านั้นด้วย ตอนนี้เท่ากับเราถือ Missile ที่ไร้ค่าอยู่ 26 ลูก" ซึบาสะ พูดเสริม อากาศ กัดฟันแน่น "ถ้าเป็นเจ้าตัวเล็กนี่ก็ยังพอว่า แต่ตัวบักเอ้กแบบนี้ข้าน้อยก็มิอาจหาญกล้าเหมือนกันวะครับ!!"
มิเกล วัลดัส ทุบโต๊ะด้วยความแค้นใจเพราะเขารู้สึกล้มเหลว "เป็นไปไม่ได้....แผนการล้มเหลวอย่างนั้นหรอ....โกหกกันชัดๆ!!" ฟุบูกิ มอง มิเกล ที่ดูเหมือนจะอยู่ในภาวะสับสนและสติแตกราวกับเป็นการผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ไม่ต่างจากผู้บังคับการคนอื่นๆ ที่ความสิ้นหวัง ฟุบูกิ จึงพูดขึ้นว่า "พวกเราสู้มันไม่ไหวจริงๆ ยังไงก็ต้องถอนกำลังก่อน" "จากความเร็วของมันในการเคลื่อนที่ ถ้ามันใช้สายตาในการมอง เพียงแต่ VF-1 ที่เหลือบินขึ้นซ่อนตัวบนเมฆแล้วล่ะก็" "ก็สามารถถอนตัวออกจากพื้นที่เป้าหมายและกลับมายัง Radamanthys ได้ ส่วนเรื่องกำจัดมันนั้นค่อยว่ากันก็ได้นะครับ" "อย่างน้อยในครั้งนี้เราก็พอรู้แล้วว่า อุกกาบาตทั้ง 4 ลูกที่ตกลงมา ประกอบไปด้วย Arachna ที่ไม่เหมือนกันเลย" "บางทีเจ้า 4 ตัวนี้อาจเป็นเพียงทหารเลวสำหรับพวกมัน ที่เอาไว้บุกโจมพวกเราเป็นด่านหน้า ไม่ได้มีความหมายอะไรมาก" แต่ไม่ทันที่ ฟุบูกิ จะพูดจบ Galahad 02 ก็ Shift เป็นยานรบพุ่งเข้าใส่ Arachna ทั้งสองตัวนั้นด้วยความเร็วสูง
เสียงของ วิมีน่า เธรมริล พูดเข้ามายังฐานบัญชาการว่า "มิเกล วัลดัส!! นายเคยบอกว่าความรักคือความอ่อนแอใช่รึเปล่า?" มิเกล สะดุ้งก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองจอภาพที่แสดงหน้าของ วิมีน่า ใสชุดนักบิน "ชั้นจะทำให้นายเห็นก็คราวนี้ล่ะนะ..." "ขอเพียงทำให้นายได้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง!! จงดูเอาไว้ซะให้เต็มสองตา....มิเกล วัลดัส!! ความแข็งแกร่งของความรักที่ชั้นมีต่อนาย!!!" VF-1 ระหัส Galahad 02 บินฉวัดเฉวียนด้วยความเร็วสูง ถึงแม้ว่า วิมีน่า จะต้องรับกับแรง G มหาศาล แต่เธอไม่แสดงสีหน้าออกมาเลย เธอบินวนรอบ Arachna ยักษ์สองตัวไปมาจนมันหันซ้ายทีขวาทีและเริ่มเกิดอาการมึนงง ในที่สุดทั้งสองตัวก็เริ่มอ้าปากของมัน วินาทีที่น้ำกรดปริมาณหลายพันลูกบาศก์เมตรพุ่งออกมา วิมีน่า ใช้เครื่อง VF-1 บินผ่านกลางระหว่าง Arachna สองตัวนั้นทันที น้ำกรดสาดเข้าท่วม VF-1 ของ วิมีน่า และโถมเข้าปะทะกันเอง ราวกับว่า Arachna สองตัวนั้นหันหน้าพ่นกรดใส่กันก็ไม่ปาน
แม้อาวุธที่ฝูงบินมีทำอะไรเกราะมันไม่ได้ แต่ วิมีน่า ก็ทำให้เห็นแล้วว่า กรดของมันเองนี่แหละคืออาวุธที่ทำลายเกราะของมันได้ เกราะส่วนหัวของมันถูกกรดของอีกตัวกัดจนแตกและหลุดล่วงลงมาทั้งหมด มันแสดงอาการดิ้นทุรนทุรายเพราะดวงตาถูกทำลาย ฟุบูกิ เห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้า เขาสั่งให้ VF-1 ที่เหลือทั้ง 12 ลำ ส่งจรวด 24 ลูกไปทำลายส่วนหัวของ Arachna ทั้ง 2 ตัวละ 12 ลูก Missile ทั้ง 24 ลูกพุ่งเข้าระเบิดเนื้อสีชมพูส่วนหัวของมันอย่างแรง ทำให้หัวของมันระเบิดกระจายจนเหลือเพียงข้อต่อช่วงคอ แต่ มาร์คัส ก็เห็นแกนเล็กๆ ที่เริ่มสร้างตัวขึ้น เขารู้ทันทีว่ามันกำลังจะสร้างหัวใหม่ จึงรีบนำเครื่อง VF-1 ตามเข้าไปซ้ำด้วยปืนยาว ซึบาสะ และ อากาศ ก็มีไหวพริบไวพอที่จะบินตาม มาร์คัส ไปทันที ทั้งสามยิงทำลายแกนเล็กๆ สีขาวที่กำลังเติบโตจนหมดสิ้น และในที่สุดร่างของ Arachna ยักษ์ไร้หัวทั้ง 2 ตัว ก็ล้มลงสิ้นฤทธิ์ พร้อมๆ กับเศษชิ้นส่วนของ VF-1 ที่ค่อยๆ ตกลงมาสู่พื้นทราย
มันเหลือเพียงเศษป้ายข้างปีกด้านซ้ายที่มีอักษรเขียนว่า "Galahad 02 / Pilot : Vimena Vu’lu Vonce Thremril"
.................................................................................
ผ่านไป 2 วัน บริเวณลานอ่างล้างหน้า ข้างตึกสังเกตการณ์การซ้อมรบในตัวโดม
มิเกล นั่งลงที่ม้านั่งบริเวณลานอ่างล้างหน้ายาวๆ อย่างช้าๆ ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อจากวิ่งออกกำลังกาย ระหว่างที่ มิเกล ใช้ผ้าก้มหน้าซับเหงื่ออยู่นั้น เขาก็เห็นว่ามีมือคู่หนึ่งยื่นน้ำดื่มแช่เย็นเข้ามาตรงหน้าของเขา มิเกล เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของ วิมีน่า เธรมริล เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มอันแสนจะอบอุ่น ก่อนจะสลายหายไปกับสายลม เหงื่อของ มิเกล หยดลงพื้นทีละเม็ดทีละเม็ด แต่ในจำนวนหยดเหงื่อที่ตกลงสู่พื้นนั้น ก็มีหยดน้ำที่หล่นจากตาของเขาปนอยู่ ดวงตาของ มิเกล เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาทั้งที่สีหน้าของเขานิ่งสนิทไร้ความรู้สึกราวกับไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้ร้องไห้ออกมาอยู่
"ความรักอย่างนั้นหรอ........วิมีน่า.........." มิเกล วัลดัส พูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นและหันหลังเดินจากไป
つづく.
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:38:28 GMT
EP11 : Annihilated Posibility ช่วงเช้า ณ เขตพื้นที่สุสานทหาร
คามิโจ ฟุบูกิ และ อะมาเทระ ซึบาสะ โค้งคำนับต่อหน้าหลุมฝังศพที่สลักชื่อไว้ว่า ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก ด้วยความอ่อนน้อม มีดอกไม้เทียมวางอยู่หลุมศพ พร้อมด้วยอาหารเทียมวางอยู่ข้างๆ กัน พวกเขาทั้งสองซื้อมาจากร้านค้าด้านหน้าทางเข้าสุสาน "ดูเหมือนพื้นที่ของสุสานจะเริ่มน้อยลงทุกทีแล้วนะ....ตั้งแต่ที่เราเผชิญกับพวก Arachna" ซึบาสะ พูดขึ้นทำลายความเงียบงันลง
ฟุบูกิ พยักหน้า "มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ มนุษย์เราเพิ่งเคยต้องรับมือกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่ไม่มีพฤติกรรมอย่างอื่นนอกจากการทำลายล้าง" "จากประวัติศาสตร์ของมนุษย์เมื่อ 300 ปีก่อน ก้าวแรกที่เหยียบลงบน Gliese 667CC เราเตรียมรับมือกับเหตุทำนองนี้เป็นอย่างดี" "เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าบนดาวดวงนี้จะมีอะไรอยู่บ้าง มันอาจอันตรายหรือก็อาจไม่...จะรู้ก็ต่อเมื่อได้ลงมาใช้ชีวิตอยู่บนดาวดวงนี้เท่านั้น" "แล้วพวกเราก็พบสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้หลากหลายสายพันธุ์ แต่มันก็ไม่ได้จ้องจะทำอันตรายต่อมนุษย์อย่างที่เคยคาดการณ์กันเอาไว้" "เมื่ออาศัยอยู่มาเป็นร้อยปี มนุษย์เราก็เริ่มมองว่าดาวดวงนี้ปลอดภัย ไม่แตกต่างกับการอยู่บนโลกใบเดิม เพียงต้องเพิ่มเติมบางอย่าง" "เช่น การป้องกันอุกกาบาต อุกทกภัย วาตภัย อัคคีภัย และแผ่นดินไหว ทำให้การรับมือกับสงครามล้างเผ่าพันธุ์ถูกมองข้ามไปเสียเฉยๆ" "ส่งผลให้ทั้งจำนวนบุคลากร ทั้งจำนวนยุทโธปกรณ์ และการพัฒนาอาวุธ เป็นไปอย่างมีข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ และทรัพยากร"
ซึบาสะ ยิ้มบางๆ "มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่เนาะ ผ่านมาตั้ง 300 ปีแล้ว ใครจะไปคาดคิดกันล่ะว่าต้องมาเจออะไรบ้าๆ แบบนี้" ฟุบูกิ โอบไหล่ ซึบาสะ ทำให้เธอหน้าแดงนิดๆ ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ไม่ต้องกลัวนะ ซึบาสะ เธอยังมีชั้นอยู่ทั้งคน" ซึบาสะ หัวเราะลั่น "ฮ๊าฮ๊าฮ๊าฮ๊า ดูทำพูดเข้าสิ ยังกับตัวเองเป็นพระเอกอย่างนั้นแหละ ฮ๊าฮ๊าฮ๊า โอ๊ยฟังแล้วรู้สึกจั๊กกะจี๋มากเลย" "เท่าที่จำได้ ผู้การรีเซ็นเบิร์ก เคยบอกว่า วัตถุประสงค์ของการเป็นทหารคือการปกป้องทุกคน ไม่ใช่ให้นายมาปกป้องชั้นคนเดียวนะ"
คำพูดของ ซึบาสะ ทำให้ ฟุบูกิ เขินและอายอย่างเห็นได้ชัด "ก็ชั้น.....แค่อยากพูดให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นหน่อยนี่นา...ให้ตายสิ" ซึบาสะ หยุดหัวเราะ เธอหันกลับมามองสบตาตรงๆ กับ ฟุบูกิ "เอาเป็นว่าชั้นเชื่อใจนายละกัน...พ่อจอมยุทธอินทรีกับยานรบทหารม้า" ฟุบูกิ ขมวดคิ้ว "ยังไม่เลิกล้อเล่นอีกงั้นเรอะ!! ต้องโดนดีซะหน่อยแล้ว!!" ฟุบูกิ ใช้นิ้วจี้เอวทำให้ ซึบาสะ สะดุ้งพร้อมกับหัวเราะร่า ทั้งสองเล่นหยอกล้อกันหน้าหลุมศพ ริงเก็ต รีเซ็นเบิร์ก และหวังว่าหากเขาได้รับรู้ จะได้วางใจเสียทีว่าคนที่อยู่ทางนี้ยังคงยิ้มได้อยู่
ระหว่างที่ทั้งสองหยอกล้อกันอยู่นั้น
เสียงหญิงสาวคนหนึ่งก็พูดเข้ามาว่า "ท่านผู้บังคับการคามิโจ มาอยู่ที่นี่เอง มีคนบอกว่าเมื่อเช้าคุณเข้างานแล้ว ดิชั้นก็ตามหาซะทั่วเลย" เมื่อ ฟุบูกิ และ ซึบาสะ หันตามเสียงที่ดังจากด้านหลังไป ก็พบ ชิราโออิ หัวหน้าแผนกวิจัย พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้ติดตามอีกราว 5 คน ฟุบูกิ ปล่อยมือจากเอวของ ซึบาสะ แล้วเดินตรงไปหา ชิราโออิ "ตามหาผม มีอะไรอย่างนั้นหรอกครับ คุณชิราโออิ มีเรื่องด่วนรึเปล่า" ชิราโออิ หัวไปหาลูกน้องแล้วพยักหน้า ก่อนที่ลูกน้องสวมสูทและแว่นดำ จะก้าวออกมาเปิดกระเป๋าถือทรงเหลี่ยมออกเป็นคอมพิวเตอร์ หน้าจอนั้นแสดงถึงผลของการทดลองวิธีกำจัด Arachna ด้วยเปลวความร้อน เปรียบเทียบกับ Dichlorodiphenyltrichloroethane
ซึบาสะ เดินเข้ามายืนข้างๆ ฟุบูกิ เธอก็มองไปที่ข้อมูลในหน้าจอ "Dichlorodiphenyltrichloroethane ได้ผลดีกว่าอย่างนั้นสินะคะ" ชิราโออิ พยักหน้า "ถูกต้องค่ะ ขณะที่เปลวความร้อนแผดเผา เซลล์ของมันก็รักษาตัวเอง ดังนั้น ถ้าจะฆ่าให้ตาย ต้องเผามันให้หมดจด" "แต่ในขณะที่ Dichlorodiphenyltrichloroethane หากมีความเข้มข้นมากพอ มันสามารถส่งปฏิกิริยาลูกโซ่ไปยังเซลล์ใกล้เคียงได้" "การใช้แปลวไฟเผาเป็นอาวุธ เราต้องใช้ทั้งเชื้อเพลิงและอากาศ แต่การใช้สารพิษนั้น อาศัยเพียงอากาศที่ทำให้ฟุ้งกระจายก็พอแล้วค่ะ"
ระหว่างดูข้อมูลอยู่ สายตาของ ฟุบูกิ ก็ไปเตะเข้ากับข้อมูลบางอย่างเข้า มันมีภาพประกอบเป็นร่างมนุษย์ที่ผิดรูปร่างขนาดใหญ่โต เขาจิ้มไปที่ไฟล์ชื่อ B.Hunter "นี่คืออะไรอย่างนั้นหรอกครับ....ทำไมโครงสร้าง DNA ของสิ่งนี้มันถึงใกล้เคียงกับมนุษย์ได้ล่ะ" ชิราโออิ เม้มปากก่อนเริ่มให้คำตอบแก่ ฟุบูกิ "จากภาพและ DNA ที่คุณเห็น เป็นร่างของเจ้าหน้าที่ เบนจามิน ฮันเตอร์ น่ะค่ะ" "ระหว่างการทดลอง เขาได้ไปสัมผัสเข้ากับโลหะเหลวที่เราเก็บมาได้จากหลุมอุกกาบาตเข้าโดยตรง จนมันซึมเข้าไปในร่างกาย" "โลหะชนิดนี้ทำงานด้วยประจุไฟฟ้า เมื่อมันเข้าไปในร่างกายของเจ้าหน้าที่ฮันเตอร์ มันได้เปลี่ยนแปลง DNA ของเขาอย่างรวดเร็ว" "มันใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเพื่อประสานระบบทางชีวะของมันเข้ากับร่างกายมนุษย์ หลังจากมันก็ทำปฏิกิริยากับโครงสร้าง DNA" "DNA รูปแบบใหม่สามารถสั่งการในการสร้างและสลายเซลล์ได้ตามใจนึก และยังเปลี่ยนแปลงเซลล์สมองได้อย่างน่าประหลาดใจ" "ก่อนตาย เจ้าหน้าที่ฮันเตอร์ ได้พูดประโยคแปลกๆ ทำนองเหมือนตามหาของบางสิ่งอยู่ เขาเรียกสิ่งนั้นว่า The Omnipotent" "เราคาดการณ์ว่า โลหะเหลวนั้นอาจเป็นเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตต่างดาวประเภท Sentient Beings แต่ก็ยังไม่รู้แน่ชัดมากนัก" "ถุงโลหะเหลวเหล่านั้น ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดสั่งให้เราเก็บข้อมูลและนำไปทำลาย เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดหายนะขึ้นอีก"
ฟุบูกิ พยักหน้า "จากนี้ก็คงจะต้องศึกษาข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ให้ละเอียดแล้วล่ะนะครับ ส่วนเรื่องอาวุธใหม่ไม่ทราบว่าไปถึงไหนแล้วครับ" ชิราโออิ กดปุ่มเปลี่ยนข้อมูลในหน้าจอที่ ฟุบูกิ มองดูอยู่ "การที่เราได้ข้อสรุปแล้วว่า Dichlorodiphenyltrichloroethane ได้ผลดีกว่า" "จึงตัดสินใจทำให้มันอยู่ในลักษณะของหัวรบ แรงระเบิดจะทำให้ Dichlorodiphenyltrichloroethane เข้มข้นกระจายตัวอย่างรวดเร็ว" "แต่สารพิษที่เราสกัดได้ตอนนี้ยังมีไม่มาก ดังนั้น ความเข้มข้นที่เราทำได้ก็อาจจะไม่รุนแรงมากพอจะสังหาร Arachna ขนาดใหญ่ได้" ฟุบูกิ ปิดจอคอมพิวเตอร์ที่ลูกน้องของ ชิราโออิ ถืออยู่ลง "ขอบคุณมากครับ ..... ดูเหมือนคราวนี้พี่ชายของ ซึบาสะ จะชนะผมอีกแล้ว" ซึบาสะ ประหลาดใจในคำพูดและรอยยิ้มเจื่อนๆ ของ ฟุบูกิ "เอ๋...มะกี้พูดถึงพี่มิเกล อยู่หรอ แล้วอะไรที่ว่าชนะนายได้น่ะงงไปหมดแล้ว"
เมื่อ ชิราโออิ ได้ยินชื่อ มิเกล เธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ "อ๊ะ!! จริงสิ ดิชั้นเห็นผู้บังคับการวัลดัส อีกฝากหนึ่งของที่นี่ด้วยนะคะ"
...............................................................
อีกฟากของสุสาน
แจกันดอกไม้ที่มีไอน้ำเกาะอยู่รอบๆ เพราะความชื้นในอากาศ บ่งบอกว่ามันถูกตั้งเอาไว้หน้าหลุมศพนี้เป็นเวลาพอสมควรแล้ว มิเกล วัลดัส อยู่มองไปที่แจกันนั้นต่อหน้าหลุมศพของ มานูเอล วัลดัส เขายืนนิ่งไม่ขยับราวกับรูปปั้น คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว และก็ยังคิดหาคำตอบนั้นไม่ได้ อาการของเขาเรียกได้ว่าอยู่ในภาวะเหม่อลอย
"พี่มิเกล!! มาไหว้หลุมศพคุณพ่อหรอคะ" เสียงของ ซึบาสะ ถามขึ้น เธอเดินเข้ามาหา มิเกล จากด้านข้างพร้อมกับ ฟุบูกิ สายตาของ มิเกล มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งจุดโฟกัสเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของ ซึบาสะ จนหลุดออกจากวังวนความคิดของตัวเอง แต่ มิเกล ก็ไม่ได้หันหา ซึบาสะ แต่อย่างใด เพราะหางตาของเขาเหลือบไปเห็น คามิโจ ฟุบูกิ ที่เดินเข้ามาพร้อมกับ ซึบาสะ ทำให้ ซึบาสะ เป็นฝ่ายเข้าไปยืนข้างๆ ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าของ มิเกล เพื่อไปมองขึ้นไปสังเกตสีหน้าของ มิเกล ที่ก้มหน้าอยู่ เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเชียบของ มิเกล แล้ว ซึบาสะ ก็ถามขึ้น "ไม่สบายรึเปล่าคะพี่...ดูสีหน้าพี่ไม่ค่อยดีเลยนะคะ....ว่ายังไงคะ...." มิเกล หลบตา ซึบาสะ เขาใช้แขนข้างขวาที่ติดกับไหล่ ซึบาสะ ผลัก ซึบาสะ ออกไปช้าๆ "เธอไม่ต้องมายุ่งกับชั้นหรอก...." ซึบาสะ ทำหน้ามุ่ยๆ ขณะถูกดันเซไปชนกับ ฟุบูกิ ที่ยืนห่างไป 3 ก้าว ทำให้ ฟุบูกิ ต้องประคองเธอไว้จนกระทั่งเธอทรงตัวได้เอง
ความเงียบเข้าครอบงำสถานการณ์ระหว่างทั้งสามคนอยู่พักหนึ่ง กระทั่ง มิเกล ได้ถามขึ้นว่า "พวกนายรู้มั้ยว่าความรักคืออะไรกันแน่..." "นิยามความหมายที่บอกว่า ความรักเป็นความรู้สึก สภาพและเจตคติต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่ความชอบระหว่างบุคคล ไปถึงความพึงพอใจ" "อารมณ์การดึงดูด และความผูกพันส่วนบุคคล มันเป็นสิ่งที่ชั้นคิดยังไงก็ไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์กันระหว่างเหตุและผลของมันเลย...." ซึบาสะ รู้สึกประหลาดใจกับคำถามของ มิเกล เป็นอย่างมาก เธอจึงตอบกลับไปว่า "ความรักน่ะ...ไม่จำเป็นมีเหตุผลหรอกค่ะพี่..." "มันเป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก...บางที พี่อาจจะไม่เคยเปิดใจให้กับความรักล่ะมั้งคะ เลยไม่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้" มิเกล ยิ้มบางๆ "ถ้าเป็นอย่างนั้น ดูเหมือนชั้นก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจความหมายของมันเท่าไรแล้วล่ะนะ...เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น"
ทันทีที่ มิเกล วัลดัส พูดจบ คามิโจ ฟุบูกิ ก็เถียงขึ้นทันทีเลยว่า "ผิดแล้วล่ะครับคุณวัลดัส ความรักน่ะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน" "นั่นก็เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ซึ่งตามธรรมชาติทั่วไปแล้ว จะไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง มนุษย์จะผูกพันธ์ตัวเองกับผู้อื่นเสมอ" "สิ่งที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน ผนึกกำลังจนมีความเข้มแข็งก็คือความรักที่มีต่อกัน ความรู้สึกว่าเป็นพวกพ้องเดียวกันและก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน" "ก็คือความรัก...และมันบ่งบอกว่าเรายังคงเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งทีชีวิตที่มีอารมณ์และความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง แค้น ขุ่นเคือง" "เมื่อมนุษย์เรามีความรัก ก็จะแสดงความเมตตา เห็นอกเห็นใจ ห่วงหา สนใจ ใส่ใจ รวมไปถึงความพยายามทำอะไรเพื่อสิ่งที่ตนเองรัก" "มนุษย์จะดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ เพื่อรักษาหรือสร้างให้สิ่งที่ตนเองรักให้เป็นจริง โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวงที่เข้ามาขัดขวาง" "หากมนุษย์คนใดไม่มีความรักในหัวใจ ก็จะไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรที่ทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของคำสั่งนั้นคืออะไร" "ผมเชื่อว่าผู้บังคับการวัลดัส ก็มีความรักอยู่ภายในจิตใจ ถึงจะยังไม่เข้าใจมันในตอนนี้ก็ตามที...นั่นก็เพราะว่าคุณเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง"
มิเกล หัวเราะในลำคอ "ความรักภายในจิตใจอย่างนั้นหรอ อย่าพูดให้ฟังตลกหน่อยเลย ความรักเป็นยังไงชั้นยังไม่เจอเคยด้วยซ้ำ" "ไม่จริงหรอกค่ะพี่มิเกล...พี่มิเกล น่ะอยู่ท่ามกลางความรักมาโดยตลอด แต่เพียงไม่ยอมเปิดใจรับมันเท่านั้น" ซึบาสะ พูดขึ้น คิ้วของ มิเกล ขมวดเข้าหากัน ก่อนที่ ซึบาสะ จะพูดต่อไป "คุณพ่อน่ะ รักพี่มากเลยนะคะ ท่านเคยบอกว่าอยากเห็นพี่มีความสุข" มิเกล หัวเราะอีกครั้ง "หึหึหึหึ อย่างเธอจะไปรู้อะไร ซึบาสะ...สมัยที่ชั้นยังเด็ก เธอคงไม่รู้ว่า มานูเอล เลี้ยงดูชั้นมายังไง" "หากเทียบกับความสัมพันธ์พ่อลูกกับครอบครัวอื่นแล้ว เธอก็จะรู้ทันทีว่าสิ่งที่หมอนั่นทำมันไม่ใช่ความรัก แต่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง" "ตอนชั้นมีปัญหา หมอนั่นบอกว่าเป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็งและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง... ตอนที่ชั้นร้องไห้ หมอนั่นไม่เคยมาปลอบ" "แถมยังลงโทษชั้นอีก หมอนั่นบอกว่าลูกผู้ชายห้ามร้องไห้....เธอรู้รึเปล่าว่าในวันที่แม่ตาย....มานูเอล ไม่เสียน้ำตาเลยสักหยด" "ชั้นเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องมาโดยตลอด ความเข้มแข็งของหมอนั่นที่มองข้างความรู้สึกเปราะบาง ทำให้ชั้นเข้มแข็งขึ้นจนทุกวันนี้" "และคำว่าความรักที่เธอพูดถึง กลับทำให้ มานูเอล อ่อนแอลง เมื่อจิตใจอ่อนไหว การที่หมอนั่นต้องตาย มันก็ไม่ได้แปลกอะไรเลย"
ซึบาสะ กัดฟันแน่น "การที่คุณพ่อเย็นชากับพี่ มันคือความรักของท่าน ก็เพราะต้องการให้พี่เป็นคนเข้มแข็ง แต่ไม่ใช่คนที่ไร้หัวใจแบบนี้" "ถึงแม้พี่จะคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนอ่อนแอ....มันก็ไม่ได้บอกว่าในใจของพี่เองจะไม่มีความรักนี่คะ!!" คำพูดของ ซึบาสะ ทำให้ มิเกล อึ้งไป มิเกล หลับตาลงช้าๆ เขาเริ่มก้าวขาแล้วเดินจากไป "วิมีน่า...ความรักของเธอก็คือชั้น...แล้วความรักของชั้นคืออะไรกันแน่อย่างนั้นหรอ..."
...............................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:40:11 GMT
ฐาน Aiacos ห่างจาก Radamanthys ไปทางตะวันออก
ประตูของสะพานเดินเรือได้เปิดออกจากด้านบน เครื่องบินขนส่งขนาดกลางลำหนึ่งของ Radamanthys กำลังลงจอด มันใช้ระบบ VTOL ด้านล่างพยุงตัวให้ลอยนิ่ง เพื่อทำการลงจอดในแนวดิ่ง มันเป็นเครื่องส่วนตัวของ โนเอมี เฮ็นดริกส์ เธอนั่งอยู่ภายในห้องโดยสารที่ตกแต่งอย่างหรูหราและสวยงาม ในมือของเธอเป็นกล่องนิรภัยโลหะที่ยังไม่ได้ถูกปิด โนเอมี เฮ็นดริกส์ มองผ่านหน้าต่างของเครื่องขณะที่เครื่องกำลังลดระดับจากความสูง 500 เมตรเหนือพื้นดินลงมา มันเป็นภาพด้านบนของโดมฐาน Aiacos ที่เป็นโดมเดี่ยวขนาดมหึมา สภาวะแวดล้อมภายนอกเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี จากนั้นเธอก็ละสายตาที่ดูเศร้าหมองลงมาอยู่ที่วัตถุภายในกล่องโลหะนิรภัยที่เธอถือเอาไว้ในมือ วางอยู่บนตักของตัวเอง
"สิ่งนี้น่ะหรอ ที่เรียกว่า The Omnipotent...มันจะมีเอาไว้ทำอะไรตอนนี้ก็คงไม่สำคัญ...แต่สิ่งนี้ทำให้ ชิเอล ต้องตาย..." ระหว่างที่เธอบ่นพึมพำ เครื่องของเธอก็ลงจอดเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ติดตามได้ทะยอยกันออกไปรอนอกตัวเครื่อง "ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด...เชิญครับ...Aiacos แจ้งว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดวอลเบิร์ต ไฮเซ็นไทน์ ของพวกเขารอท่านอยู่" โนเอมี เฮ็นดริกส์ พยักหน้าตอบรับ เธอปิดฝากล่องนิรภัยลง ถอดเข็มขัดนิรภัยของตัวเก้าอี้ และลุกขึ้นเดินออกจากตัวเครื่อง เธอเดินตามเจ้าหน้าที่ผู้ติดตามของเธอทั้งคณะรวมทั้งหมด 10 คน ไปตามทาง เพื่อไปพบชายที่ชื่อว่า วอลเบิร์ต ไฮเซ็นไทน์ โนเอมี เฮ็นดริกส์ ก็เหลือบมามองกล่องนิรภัยในมือด้วยแววตาเศร้าๆ อีกครั้ง "ชิเอล...ของต่างหน้าของเธอจะถึงมือพ่อแล้วนะ..."
...............................................................
วันต่อมาที่ฐาน Radamanthys
เจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้บังคับการฝูงบินทั้ง 6 คนถูกเรียกตัวเข้ามาที่ห้องบัญชาการแต่ช่วงเช้าตรู่ ทั้งที่ท้องฟ้าจำลองยังไม่สว่างดี เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในชั้นปฏิบัติการ หรือชั้นบริหารงานต่างวิ่งกันไปมาขวักไขว่จนดูวุ่นวายไปทั่วตัวอาคารบัญชาการ นั่นก็เพราะการแจ้งข่าวด่วนจากฐาน Aiacos สิ่งที่ทุกคนรับรู้ตอนนี้คือ ฐาน Aiacos กำลังตกที่นั่งลำบากเพราะถูกโจมตี มันเป็นการโจมตีของ Arachna ขนาดยักษ์ทั้งหมด 4 ตัว และ Arachna นางพญาที่แสนจะน่าสะพรึงอีก 1 ตัวด้วยกัน Valkyria Unit และเครื่องบินรบของ Aiacos ได้เข้าทำการสะกัดกั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถรับมือกับมันได้ดีเท่าที่ควร ทำให้แนวปะทะเข้าใกล้ตัวโดม ประชาชนที่อาศัยอยู่ในฐาน Aiacos ได้รับคำสั่งให้อพยพ พวกเขาทะยอยกันขึ้นยานอพยพ มันเป็นเหมือนยานบินแท่งสีเหลี่ยมผืนผ้าแนวนอน มีท่อขับดันติดอยู่ด้านล่าง ด้านหลัง และตามข้างลำของตัวยาน
มิเกล วัลดัส เดินเข้ามาในห้องบัญชาการหลัก ในขณะที่ คามิโจ ฟุบูกิ พร้อมหัวหน้าฝูงบินอีก 4 ฝูงมากันพร้อมแล้ว เขาจึงเริ่มพูดด้วยสีหน้าที่วิตก "ผมมีเรื่องน่าเศร้าจะแจ้งทุกคนให้ทราบ...เมื่อเวลา 5.44 น. ของวันนี้ Aiacos ได้แจ้งมาว่า" "พวกเขายืนยันการเสียชีวิตของผู้บัญชาการทหารสูงสุด Radamanthys โนเอมี เฮ็นดริกส์ ในขณะที่ท่านกำลังขึ้นเครื่องกลับ" ทันทีที่ได้ยิน ทั้งห้องประชุมก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที ฟุบูกิ เองก็อึ้งแต่เห็นดังนั้น ฟุบูกิ จึงต้องพูดเพื่อควบคุมสถานการณ์ไว้ "ผมทราบดีว่าทุกท่านวิตก แต่ผมขอร้องให้ทุกท่านช่วยตั้งสติให้ดี เพราะพวกเราอยู่ในฐานะที่ไม่อาจแสดงความสั่นคลอนได้" "หากพวกเราสั่นคลอน ประชาชนที่หวังพึ่งพวกเราก็จะยิ่งเสียขวัญและกำลังใจขึ้นไปอีก...เราต้องมั่นคงและเชื่อมั่นเข้าไว้" "ตามหลักสายบัญชาการและการรักษาการ ผู้บังคับการฝูงบิน Galahad จะควบตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่แล้ว" เมื่อ ฟุบูกิ พูดจบประโยคเมื่อครู่ มิเกล ก็หันไปโค้งศีรษะให้ ฟุบูกิ เล็กน้อยแทนคำขอบคุณที่พูดสนับสนุนเอาไว้
แต่เหมือนความวุ่นวายยังคงไม่สงบง่ายๆ มิเกล จึงให้มือทุบโต๊ะประธานเสียงดังสนั่น "มีสติกันได้แล้ว!! มันใช่เวลาโวยวายงั้นหรอครับ!!" "ผมในฐานะรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่ง Radamanthys และรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขอสั่งให้ทุกคนตั้งสติกันได้แล้ว" ด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน จริงจัง พร้อมสายตาที่มองกวาดไปรอบห้องใส่เจ้าหน้าที่ทีละคน ทำให้พวกเขายอมหยุดการกะโตกกะตากลง จากนั้น มิเกล ก็สั่งให้เจ้าหน้าที่จัดการประชุมเปิดภาพ ฐาน Aiacos ที่กำลังถูกโจมตีขึ้นมา Arachna ได้เข้าทำลายฐานบางส่วนแล้ว "อย่างที่เห็น... Arachna ขนาดยักษ์บุกเข้าโจมตีอย่างไร้คำเตือน ตอนนี้ Aiacos ใกล้จะล่มสลายแล้ว เราเองก็จำเป็นต้องเตรียมตัวด้วย" "ผมขอให้เกณฑ์นายทหารที่กำลังฝึกอยู่ทุกคนเข้าบรรจุ และเบิกอาวุธทุกประเภทที่เรามี รวมถึงอาวุธปลดประจำการทั้งหมดเข้ากองทัพ" "ตอนนี้ไม่ว่าอะไร ถ้ามันใช้เป็นอาวุธได้ เราก็ต้องเอามาใช้ให้หมด ถ้าเรายังงอมืองอเท้ารอพวกมันมา ก็เท่ากับก้มหน้ายอมรับชะตากรรม" "ภยันตรายในครั้งนี้มีโอกาสและความเสี่ยงสูงมากสำหรับมนุษยชาติ...พวกเราอาจสูญพันธุ์และหายไปจากเอกภพตลอดกาลก็เป็นได้"
ฟุบูกิ ขมวดคิ้ว ก่อนจะถามขึ้นว่า "แล้วเราจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ Aiacos เลยอย่างนั้นหรอครับ ทั้งๆ ที่ทางนั้นเริ่มจะแย่แล้วนะครับ" มิเกล ส่ายหน้า "ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าจะถูกโจมตีเองเมื่อไร ถ้าเราส่งกองกำลังทั้งหมดไปช่วย ทางเราก็จะปกป้องตัวเองไม่ได้" "อีกทั้งระยะทางจากที่นี่ถึงที่นั่นก็ห่างไปถึง 8,000 กว่ากิโลเมตร เราอาจจะไปถึงในตอนที่ Aiacos ล่มสลายไปแล้วก็ได้ มันเปล่าประโยชน์" ฟุบูกิ กัดฟันแน่น "แต่เราจะปล่อยพวกเขาตายโดยนั่งดูเฉยๆ ไม่ได้นะครับท่านรักษาการผู้บัญชาการ!! The Cavalry ไปถึงทันแน่ครับ" มิเกล แสดงสีหน้าไม่พอใจ "แต่ถ้าระหว่างที่คุณนำ The Cavalry ไป แล้ว Radamanthys ถูกโจมตีจนย่อยยับล่ะ คุณจะว่ายังไง" ประโยคทีเด็ดที่สวนมาทำให้ ฟุบูกิ พูดไม่ออก มิเกล จึงอธิบายต่อไป "อย่างที่รู้ว่าอุกกาบาตที่พุ่งชน Gliese มีทั้งหมด 4 ลูกด้วยกัน" "ลูกแรกคือกลุ่มทีเราเข้าไปตรวจสอบทางทิศตะวันออกของเรา ลูกที่สองคือทางตอนเหนือตามคำร้องขอของฐาน Minos คราวก่อน" "ลูกที่สามคือกลุ่มที่กำลังโจมตีฐาน Aiacos อยู่ ณ ขณะนี้ ดังนั้น ลูกที่สี่มันอาจจะกำลังมาถึงก็ได้ และผมไม่ต้องการให้เราย่อยยับ"
มิเกล หรี่ตาลงเล็กน้อย เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน
...............................................................
สามวันก่อนหน้า
ณ ห้องทำงานผู้บัญชาการทหารสูงสุด มิเกล วัลดัส อยู่ในห้องนั้นกับ โนเอมี เฮ็นดริกส์ สองต่อสอง พวกเขากำลังคุยเรื่องลับกันอยู่ เนื่องจาก โนเอมี เฮ็นดริกส์ ได้ข้อมูลลับของความน่าจะเป็นจากนักชีววิทยาของ Minos เกี่ยวกับ Arachna จึงต้องการคำปรึกษา อีกทั้งเธอไม่มี ชิเอล และ เบนจามิน ฮันเตอร์ ที่คอยให้คำปรึกษาอีกต่อไป เธอจึงเลือกที่จะให้ มิเกล วัลดัส มาเสนอความคิดเห็น มิเกล วัลดัส จึงได้รับรู้ว่า แท้จริงแล้ว ชิเอล คือลูกชายแท้ๆ ของ โนเอมี เฮ็นดริกส์ และตอนนี้เธอก็ดูจะไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรเลย
มิเกล วัลดัส นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับ โนเอมี เฮ็นดริกส์ เขาเปิดแฟ้มข้อมูลลับนั้นขึ้นเพื่ออ่านทุกตัวอักษรอย่างตั้งใจจนจบ "Minos เห็นว่าเป็นอย่างนี้สินะ...จากโครงสร้างของพวกมันไม่มีการสร้างโปรตีนและแคลเซียมแพร่พันธ์จึงต้องอาศัยที่วางไข่" "พวกมันวางไข่ในร่างของสิ่งมีชีวิตที่มีธาตุต่างๆ ซึ่งตัวอ่อนของพวกมันต้องการ และแน่นอนว่ามนุษย์มีธาตุเหล่านั้นเพียงพอ" "ในบรรดาอุกกาบาตทั้ง 5 จึงน่าจะมีตัวนางพญาอย่างน้อย 3 ตัว โดยหมายจะใช้ทั้ง 3 ตัวยึดทั้ง 3 ฐานของมนุษย์ไว้แพร่พันธุ์" "อุกกาบาตลูกที่ 4 ที่เราพบก็เป็นทหารเลว ซึ่งใช้เป็นด่านหน้าในการบุก ส่วนอีกลูกมันบรรทุกถุงโลหะลึกลับมาพร้อมกับเครื่องกล" "ถึง Minos จะไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเราเจอคืออะไร แต่ผมมั่นใจมากว่ามันเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิส่งลงมาเพื่อควบคุมสั่งการกลุ่มอื่นๆ" "แต่เราก็โชคดีอยู่ ที่สามารถแยกเครื่องกลที่เรียกว่า The Omnipotent พร้อมกับโลหะเหลวประหลาดออกจากพวกมันได้ทัน" "แล้วไม่ทราบว่าเครื่องกล The Omnipotent อยู่ที่ไหนงั้นหรอครับ..." มิเกล วิเคราะห์สิ่งที่เขาคิด และถาม โนเอมี เฮ็นดริกส์ ขึ้น ทำให้เธอหยิบวัตถุทรงกลมซึ่ง เบนจามิน ฮันเตอร์ ที่ถูกยึดร่างเรียกว่า The Omnipotent ขึ้นมาให้ มิเกล วัลดัส ได้เห็น
มิเกล พยักหน้า "ผมอยากให้เราศึกษาสิ่งนี้ให้ละเอียด และพอทราบมาว่าทาง Aiacos มีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจคนหนึ่ง" "ผมว่าเขาน่าจะพอหาคำตอบให้เราได้ มันจะเป็นการดีกว่า ถ้าเราส่ง The Omnipotent ไปให้เขาเพื่อทำการวิจัยและทดสอบ" โนเอมี เฮ็นดริกส์ มีท่าทีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง "ถ้าคุณวัลดัส เห็นว่าเราควรทำเช่นนั้น ดิชั้นก็จะส่งให้ Aiacos เป็นการด่วนที่สุด" มิเกล จึงพูดต่อไปว่า "แต่มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าให้เจ้าหน้าที่เอาไปส่ง ผมว่ามันอาจจะไม่ปลอดภัย ผมจะไปส่งเองครับ" ทว่า โนเอมี เฮ็นดริกส์ กลับไม่เห็นด้วย เธอจึงค้านขึ้นทันที "อย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ คุณเป็นคนที่มีความสำคัญต่อพวกเรามาก" "เอาเป็นว่าดิชั้นจะไปส่งด้วยตนเอง ดิชั้นมีเจ้าหน้าที่คุ้มกันมากมาย และมีเครื่องบินความเร็วสูงที่ปลอดภัยอยู่แล้ว วางใจได้เลยค่ะ
มิเกล ลุกขึ้นทำความเคารพ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เมื่อเขาก้าวพ้นประตู รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏบนใบหน้า เขาคิดในใจขึ้นว่า "มันเป็นไปไม่ได้ที่ Arachna กำลังหา The Omnipotent ...เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น มันคงโจมตีเราไปแล้ว" "แต่จุดที่อุกกาบาตตกลงทางตะวันออกของ Aiacos มันยังไม่มีการเคลื่อนไหว...ไม่แน่มันอาจจะเคลื่อนไหวในเร็วๆ นี้ก็ได้" "ถ้ามันเข้าโจมตี Aiacos ในช่วงเวลาที่ เฮ็นดริกส์ ไปถึงจริง...นอกจากเราจะได้พิสูจน์แนวคิดแผนการยึดครองที่ Minos ว่าไว้" "การตายของ โนเอมี เฮ็นดริกส์ จะทำให้ชั้นอยู่ในฐานะรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยอัตโนมัติอีกด้วย...หึหึหึ" "ต่อไปก็จะไม่มีพวกงี่เง่าหน้าไหนมาโต้แย้งแผนการของชั้นได้อีก...ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่มันต้องเป็น ไม่ออกนอกลู่นอกทาง"
"ถือว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว....โอกาสช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้นะ....เส้นทางที่ถูกต้องกำลังจะบังเกิดขึ้นแล้ว...."
...............................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:41:34 GMT
ระหว่างที่ มิเกล วัลดัส นึกถึงเรื่อง 3 วันก่อนอยู่นั้น
สัญญาบางอย่างก็ดังขึ้น เจ้าหน้าที่ควบคุมยานตรวจการซึ่งนั่งอยู่ในห้องประชุมก็แจ้งว่ายานตรวจการพบสิ่งผิดปกติ มิเกล จึงสั่งให้นำภาพที่จับได้ขึ้นจอ ทันทีที่เห็น ทุกคนต่างตกตะลึง เพราะมันเป็นภาพของ Arachna แมลงมุมขนาด 20 เมตร จำนวนพวกมันมีนับร้อยตัว แถมยังมี Arachna งู ประเภททหารเลว ที่ขนาดใหญ่ถึง 940 เมตร อีกจำนวน 2 ตัวด้วยกัน
ฟุบูกิ จึงรีบเสนอขึ้นว่า "แย่ล่ะสิ ระยะห่างของมันถึงจะอยู่ที่ 3,000 กิโลเมตร แต่ทิศทางของมันตรงมาหาเราเลย" "ถ้าปล่อยให้มันเข้าใกล้ฐาน Radamanthys ได้เหมือนที่มันทำกับ Aiacos เราจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากแน่" "เรียนท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผมขอเสนอว่าเราควรนำกองกำลังทั้งหมดของเราที่มีตอนนี้ออกสะกัดกั้นทันทีครับ" สิ่งที่ ฟุบูกิ เสนอมาได้รับการสนับสนุนจากผู้บัญชาการอีก 4 คนและเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่แต่ มิเกล กลับส่ายหน้าปฏิเสธ "ไม่...เราจะไม่รีบไปสะกัดกั้น แต่เราจะปล่อยให้มันเข้ามาในระยะ 1,200 กิโลเมตร เพราะอาวุธธรรมดาทำอะไรไม่ได้แน่" "เราจะยิงมันด้วยปืนใหญ่สลายมวลสารพิสัยไกลจากฐาน Radamanthys .... มันเป็นหนทางที่มีโอกาสสำเร็จมากที่สุด" "เพราะเราจะใช้ The Cavalry ช่วยสนับสนุนการยิงทำลายร่วมกับการยิงปืนใหญ่สลายมวลสารพิสัยไกลด้วยอีกแรง" "และจากประเภทของ Arachna ที่เข้าโจมตีนั้น เราก็เคยรับมือและเอาชนะพวกมันมาแล้ว....คราวนี้ก็จะชนะอีกเช่นกัน"
ฟุบูกิ กัดฟันเพราะเขาไม่มั่นใจอย่างที่ มิเกล พูด "ถ้าเช่นนั้น ผมขอเสนอให้เราแบ่งฝูงบินปฏิบัติการออกเป็นสามกลุ่มด้วยกัน" "สองกลุ่มแรกจะทำหน้าที่หลอกล่อเจ้าตัวใหญ่ทั้งสองตัวให้เป็นเป้านึ่ง เพื่อให้ปืนใหญ่สลายมวลสารพิสัยไกลยิงทำลาย" "ส่วนอีกกลุ่มจะทำหน้าที่เก็บกวาดพวกแมลงมุมจำนวนมากไม่ให้มันเข้ามาถึงฐานของเราได้ และเราต้องออกคำสั่งอพยพ..." คราวนี้ มิเกล เห็นด้วยกับแผนของ ฟุบูกิ เขาจึงสั่งการให้ Lancelot ใช้ VF-1 จำนวน 6 ลำ เข้าหลอกล่อเจ้าตัวใหญ่ตัวแรก และใช้ The Cavalry ที่ซ่อมแซมเสร็จแล้วออกปฏิบัติการร่วมกับ Lancelot ทำการยิงทำลาย Arachna ตัวใหญ่ตัวแรกนี้ ส่วน Galahad ใช้ VF-1 จำนวนอีก 6 ลำเข้าหลอกล่อเจ้าตัวใหญ่ตัวที่สอง เมื่อมันเข้าถึงพิสัยการยิงของปืนใหญ่สลายมวลสาร ส่วนอีก 4 ฝูงบินสั่งการร่วมกันให้นำเครื่องบินขับไล่รุ่น F-19 Vacuum ที่ปลดประจำการไปแล้ว 40 ลำ เข้าปฏิบัติภารกิจ พร้อมกับ รถถัง ปืนใหญ่ และยานหุ้มเกราะ อีกกว่า 200 คัน เพื่อทำการกวาดล้าง Arachna แมลงมุมจำนวนมากให้หมดสิ้น เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของ มิเกล วัลดัส เจ้าหน้าที่ระดับบังคับการก็รีบกระจายคำสั่งให้เตรียมพร้อมรับมือตามแผนเป็นการด่วน
ฟุบูกิ ถามขึ้นว่า "การติดตั้ง Gravitational Pulse Canon ของ The Javelin ไปถึงไหนแล้วครับ ท่านรักษาการผู้บัญชาการ" มิเกล ก็ตอบคำถาม "ยังไม่เสร็จดีครับ คงต้องใช้เวลาอีกหน่อย แต่คราวนี้ผมคิดว่ามันยังไม่จำเป็นต้องรีบใช้งานเท่าใดนัก" ฟุบูกิ ก้มหน้าลงเล็กน้อย "ยังไงก็เร่งฝ่ายพัฒนาอาวุธด้วยนะครับ ถึงคุณจะบอกว่าเราเคยเอาชนะพวกมันมาได้ก็ตามที" "แต่ศึกในคราวนี้ถ้าเราพ่ายแพ้ มันจะเป็นศึกครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ และเป็นวาระสุดท้ายของพวกเราด้วย"
...............................................................
หลังจากนั้นไม่นาน ณ พื้นที่ห่างออกไปจาก Radamanthys 1,200 กิโลเมตร
เป็นบริเวณนี้เป็นป่าไม้ยืนต้นหนาทึบบนที่ราบขนาดกว้างหลายล้านเอเคอร์ แต่ก็มีภูเขาขึ้นอยู่บ้างเป็นบางจุด The Cavalry พร้อมด้วย VF-1 จำนวน 12 ลำ ปืนใหญ่ และยานหุ้มเกราะกว่า 200 คัน และ F-19 Vacuum อีก 40 ลำ ได้มาถึงบริเวณดังกล่าวแล้ว ในขณะที่กองทัพ Arachna แมลงมุมนับร้อยและ Arachna ยักษ์อีก 2 ตัวเริ่มใกล้เข้ามา
ทีมปฏิบัติการทั้ง 6 ฝูงบินเริ่มเข้าประจำที่ตามแผนการที่ ฟุบูกิ เสนอ คือแบ่งกองรบเป็น 3 กอง ในการตั้งแนวยิงสะกัดกั้น รถถังและปืนใหญ่กระจายตัวอยู่รอบๆ พวกเขาตั้งวงล้อมแนวปะทะเพื่อสร้างเขตพื้นที่สังหารขึ้นจากรอบทิศทางที่พวกมันจะมา F-19 Vacuum เครื่องบินขับไล่รุ่นเก่าที่หน้าตาไม่แตกต่างไปจาก F-15 Eagle เมื่อสมัยอยู่บนโลกเดิมมากนัก เริ่มคุ้มกันรอบนอก The Cavalry เองก็ลอยตัวอยู่หลังเขตพื้นที่ทั้งสาร ในขณะกำลังที่เริ่มปล่อยตัว VF-1 ออกจากตัวยานทีละลำสองลำ
มาร์คัส เป็นผู้นำฝูงบิน Galahad ออกมาจาก The Cavalry เป็นคนแรกด้วยเครื่อง VF-1 ฝูงบินของเขามีทั้งหมด 6 ลำ ซึบาสะ เป็นผู้นำฝูงบิน Lancelot เธอกำลังตรวจสอบสภาพเครื่องในขณะที่ อากาศ แจ่มใส พาลูกทีมอีก 4 คนเข้าประจำที่ด้านนอก ระหว่างที่ ซึบาสะ กำลังเช็คระบบอยู่นั้น ฟุบูกิ ก็ติดต่อเข้ามา "เรียบร้อยดีรึเปล่า Lancelot 01 ชั้นยังไม่เห็นเธอออกไปเลย"
ซึบาสะ ยิ้มให้จอภาพกลับมา "ก็ค่อนข้างเรียบร้อยดีค่ะ แต่ดูเหมือนระบบไฟฟ้าของไอพ่นหลักทางขวาจะมีไฟรั่วอยู่เล็กน้อย" "ถ้าอย่างนั้นอย่าเพิ่งออกไปเลยจะดีกว่า ปล่อยให้ช่างตรวจสอบสภาพของมันอีกครั้งก่อน" ฟุบูกิ พูดกลับมาด้วยความเป็นห่วง แต่ ซึบาสะ ปฏิเสธคำพูดนั้นไปว่า "ไม่ได้หรอกค่ะ มันยังใช้งานได้อยู่ ชั้นว่ามันคงไม่เป็นอะไรมาก ขอแค่มันบินได้ก็พอแล้ว" ฟุบูกิ พยักหน้า "ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ให้เธอไปสนับสนุนฝูงบิน F-19 ของผู้บังคับการทั้งสี่ก็แล้วกัน ชั้นไม่เชื่อมือพวกเขานัก"
...............................................................
|
|
|
Post by ❀ Senjumaru ❀ on Dec 4, 2016 6:43:39 GMT
และแล้วการปะทะก็เริ่มต้นขึ้น
เมื่อนักบิน F19 Vacuum ตรวจพอการเคลื่อนไหวในแนวป่าลึก มิเกล จึงสั่งการให้เริ่มปฏิบัติการทันที รถถังภาคพื้นดินรับตำแหน่งการเคลื่อนไหว ประกอบกับใช้กล้องตรวจจับความร้อนในการระบุตำแหน่ง พวกเขาก็เริ่มยิงเปิดฉาก
F-19 Vacuum ทั้ง 40 ลำ แยกกันเป็น 3 กระบวนทัพ 2 ฝูงแรกบินโฉบลงมาทิ้งระเบิดเข้าใส่พื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวปรากฏ ซึบาสะ ใช้ VF-1 เป็นผู้นำฝูงบิน F-19 Vacuum ฝูงที่ 3 บินโฉบตามมายิงซ้ำด้วยปืนกลใส่ Arachna ที่ยังไม่ตายจนมันตายสนิท Arachna รูปร่างแมลงมุมที่มีขนาดลำตัวยาวราวๆ 20 เมตร ถูกการโจมตีอย่างต่อเนื่องโถมเข้าใส่ จนตายไปทีละตัวทีละตัว ตำแหน่งที่ Arachna ตัวนั้นถูกทำลาย หากร่างของมันระเบิดกระจาย กรดในตัวมันจะละลายต้นไม้ที่ขึ้นติดกันหายไปเป็นหย่อมๆ และแล้ว The Cavalry ก็พบการสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหวเบาๆ ฟุบูกิ จึงรีบตะโกนออกไปทันที "ระวังนะครับ ตัวใหญ่มาแล้ว"
มาร์คัส ยิ้มมุมปากด้วยความพอใจราวกับรอสิ่งนี้มานานแล้ว "เอาล่ะ Galahad Commander เตรียมกระสุนสลายมวลสารได้เลย" VF-1 ของ มาร์คัส บินนำไปยังพื้นที่ที่เป็นใจกลางของแผ่นดินไหว เขากราดยิงด้วย Missile พร้อมๆ กับลูกทีมอีก 5 ลำที่บินตามมา จนในที่สุด Arachna ยักษ์ก็ปรากฏกายขึ้นจากพื้นดิน มันใช้ระยางค์จากปากโจมตีฝูงบิน Galahad โดยพวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัว VF-1 ของ Galahad 02 ถูกระยางค์ฟาดเข้าใส่กระจก Cockpit จนแตก ระหว่างที่เครื่องเสียการทรงตัวไถลไปกับพื้นที่เป็นหญ้านั้นเอง ระยางค์ก็ได้กระชากร่างของนักบิน Galahad 02 ออกไป แม้จะเสียลูกทีมไป แต่ มาร์คัส ในฐานะ Galahad 01 ก็ไม่หวั่นไหว เขาใช้ Missile ยิงใส่หัวของเจ้าตัวยักษ์จนมันหันมาหา จากนั้น Galahad ที่เหลือก็บินหลอกล่อและหลบจากโจมตีของมันไปด้วย
พวกเขาพยายามลากมันให้ใกล้เข้ามาอีกนิด จนในที่สุดก็เข้ามายังระยะยิงของปืนใหญ่สลายมวลสารพิสัยไกล ที่ มิเกล เตรียมรอไว้ Galahad 01 เชิดหัวขึ้น ทำให้ Arachna ยักษ์สับสน เขาเพิ่มความสูงไปที่ระยะ 4,000 เมตร และปล่อยจรวด DDT ออกมา มาร์คัส บังคับจรวดนั้นด้วยมือ จรวด DDT ลูกนั้นบินลงมาจากฟากฟ้า ...จังหวะ Arachna ยักษ์พ่นกรดทำลาย Galahad ไปได้ 2 ลำ Missile ของ มาร์คัส ก็ลอดผ่านช่องปากเข้าไปอย่างน่าเหลือเชื่อ มันระเบิดขึ้นอย่างแรง ทำให้หัวของ Arachna ยักษ์ขาดกระเด็น มาร์คัส นำเครื่องลดระดับลงมา เขาเห็นว่ามันอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ "Galahad Commander ตอนนี้แหละ!!" สิ้นเสียงของ มาร์คัส ไปไม่ถึง 25 วินาที กระสุนสลายมวลสารถูกยิงจากปืนบนโดมของฐาน Radamanthys ก็เข้าปะทะ ร่างของ Arachna ยักษ์ถูกกระสุนมวลหนักบิดจนร่างของมันถูกฉีกจนระเบิดกระจาย และแหลกสลายหายไปภายในชั่วพริบตา
ในขณะนั้นเองก็เป็นจังหวะที่ The Cavalry ยิงกระสุนมวลสารเข้าใส่ Arachna ยักษ์ตัวที่สองจนมันระเบิดกระจายไปเช่นกัน Lancelot เหลือเครื่อง VF-1 เหลืออยู่ทั้งหมด 3 ลำเท่านั้น แต่ ซึบาสะ และ อากาศ ก็ยังอยู่ในกลุ่มผู้โชคดีที่ยังรอดอยู่ด้วย ผู้เสียสละของฝูงบิน Lancelot ใช้จรวด DDT รุมยิงใส่ Arachna ยักษ์ก่อนที่พวกเขาจะตาย จนกระทั่งมันอยู่ในภาวะมึนงง และเป็นเป้านิ่งให้ ฟุบูกิ สั่งการ The Cavalry ให้ยิงปิดบัญชีมันลงอย่างง่ายดาย บัดนี้เหลือเพียงพวกแมลงมุมตัวเล็กเท่านั้น
มิเกล วัลดัส ยิ้มอย่างพอใจพลางคิดในใจว่า "มันก็ไม่เท่าไร ตราบใดที่พวกเบี้ยหมากเดินตามแผนที่สมบูรณ์แบบของชั้น" ในขณะที่ คามิโจ ฟุบูกิ มองดูสนามรบจาก The Cavalry เขารู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ "ไม่สิ.... มันไม่น่าจะง่ายแบบนี้สิ...." "ถ้าพวกมันไร้สมองก็คงจะโจมตีพร้อมกันไม่ได้ แต่ถ้าพวกมันมีสมอง ทำไมมันไม่หนีไปซะถ้าเห็นสถานการณ์ที่สู้ไม่ไหว" ทันใดนั้นเอง ซึบาสะ ก็ตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ "ทุกคนระวัง!! ชั้น....ชั้นเห็นมัน.....เจ้าตัวนั้นมันมาแล้วล่ะค่ะ!!" คำพูดของ ซึบาสะ ทำให้ ฟุบูกิ จ้องไปที่หน้าจบภาพอย่างละเอียด และในที่สุดเขาก็เห็นคลื่นความร้อนมาจากกลางป่า ฟุบูกิ ขมวดคิ้วเขามองจอเรด้าห์สลับกับจอภาพ "ไม่จริงน่า มันต้องอยู่ตรงนั้นนี่นา ทำไมมันไม่ปรากฏในจอภาพ...รึว่า...."
สิ้นเสียง ฟุบูกิ สิ่งที่ ซึบาสะ เห็นก็ปรากฎตัว มันคือ Arahna ขนาด 80 เมตร ที่หายตัวได้ ซึ่งพวกเขาคิดว่าได้ฆ่ามันตายไปแล้ว และมันเป็นประเภทที่ Minos ระบุว่ามีโครงสร้างที่ร้ายกาจมากที่สุด กล่าวคือ มันเป็น Aracha องค์รักษ์ของตัวราชินีนั่นเอง มันบินเข้ามาฟาดฟันฝูงบิน F-19 Vacuum ราวกับกำลังตบยุงเล่น กองกำลังภาคพื้นดินไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ เพราะรถถัง ปืนใหญ่ และยานยนต์หุ้มเกราะกำลังรับหน้าที่ยิงทำลาย Arachna แมลงมุมจำนวนมากอย่างไม่อาจลดละได้ ฟุบูกิ เห็นดังนั้น เขาจึงสั่งให้ Lancelot ช่วยเหลือฝูงบิน F-19 ของผู้บังคับการฝูงบินอีก 4 คน ซึ่งดูจะคิดอะไรไม่ออกแล้ว แต่กระสุนปืนใหญ่ และ Missile ธรรมดาไม่สามารถทำให้ผิวของมันระแคะระคายได้เลย ซึบาสะ จึงตัดสินใจบินโฉบเข้าไป
เธอ Shift VF-1 เป็นหุ่นรบ ปล่อยจรวด DDT ทั้งหมดที่เธอมีเข้าใส่ Arachna องค์รักษ์ ในมุมที่มันไม่ทันได้ป้องกันตัว แรงระเบิดทำให้สารพิษฟุ้งรอบตัวมัน ดูเหมือน DDT จะได้ผลดีมาก ปีกทั้ง 4 ของมันเริ่มหลุดและร่วงไปทีละข้างทีละข้าง ทว่าขณะที่ ซึบาสะ กำลังหาจังหวะยิง Missile ซ้ำนั้น ไอพ่นขับดันหลักข้างขวาของเธอก็เกิดปัญหา ทำให้ระบบทรงตัวล่ม VF-1 ของ ซึบาสะ เสียการทรงตัว ฟุบูกิ จึงรีบบอกทันที "ซึบาสะ!! รักษาความเร็วในการลดระดับไว้ อย่ากระแทกแรงเด็ดขาด" ซึบาสะ ขมวดคิ้วพร้อมพยายามควบคุมไม่ให้เครื่องตกไวเกินไป จนในที่สุด Lancelot 01 ก็ร่วงหายไปในป่าทึบไร้ซึ่งการระเบิด
ฟุบูกิ ไม่รอช้า เขายิง Missile ทั้งหมดจาก The Cavalry เข้าใส่ Arachna องค์รักษ์ มันถูกโจมตีอย่างหนักจนเริ่มจนมุม เมื่อมันออกอาการเซ อากาศ เห็นเช่นนั้นก็รีบนำ VF-1 ของเขา และพานักบินอีกคนที่เหลือของ Lancelot ตามเข้าซ้ำโจมตีทันที "เอาล่ะ ไหนแกลองมาแดร๊กสุดยอดจรวดฉีดปลวดของโคตรพระเอกสุดเมพขิง อากาศ แจ่มใส คนนี้หน่อยสิวะครับ!!!" มาร์คัส ได้ยินคำพูดของ อากาศ จนต้องเบะปาก "คำพูดมากมาย ความหมายเหมือนเดิม ลุยมันให้จบๆ ไปเลย ตามชั้นมา!!!" สิ้นเสียงของ มาร์คัส VF-1 ของ Galahad ทั้งหมด 4 ลำ ก็บินตาม VF-1 ทั้งสองลำของ Lancelot ไปด้วยความเร็วสูง
ทว่าเมื่อเข้าระยะยิง สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เกราะรอบตัวของมันระเบิดกระจายออกอย่างรุนแรง น้ำกรดกระเด็นกระจายไปทั่ว จากมุมมองของคนที่อยู่รอบนอก มันเหมือนการระเบิดของระเบิดมือก็ไม่เชิง แต่สิ่งที่ระเบิดเป็นร่างกายสีเขียวของตัวองค์รักษ์ มันเป็นการระเบิดครั้งใหญ่ที่รุนแรงเกินความคาดหมาย แรงอัดอากาศจากแรงระเบิด ทำให้ป่าไม้ยืนต้นใกล้ๆ ราบเป็นหน้ากลอง VF-1 ทั้งหมด ...ทั้งของ อากาศ แจ่มใส และ มาร์คัส รวมไปถึงเครื่อง F-19 ที่บินเข้าไปร่วม 20 ลำ ถูกแรงระเบิดเข้าเต็มๆ จากที่พวกเขาคิดจะปิดบัญชีให้มันจบๆ ลงไป แต่กลับเจอสิ่งที่ไม่คาดฝัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถหลบแรงระเบิดนั้นได้ ฝุ่นละอองของน้ำกรดฟุ้งกระจายไปทั่ว...ไร้ซึ่งเครื่องบินรบลำใดที่บินเข้าไปแล้วรอดกลับออกมา ฟุบูกิ มองดูอย่างตกตะลึง สัญญาณการติดต่อของนักบินทั้งหมดที่เข้าไปอยู่ในรัศมีของแรงระเบิดขาดหายไปจากหน้าจอของห้องบัญชาการรบ....
ซ้ำร้าย...เงาของ Arachna องค์รักษ์ ยังอยู่และกำลังจะก้าวออกจากกลุ่มควัน ขนาดของมันเพิ่มไปถึง 500 เมตร นัยน์ตาของ มิเกล วัลดัล ที่มองจอภาพก็หดเล็กลง "ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้....นี่ชั้น....ล้มเหลวอีกแล้วงั้นหรอ....." ฟุบูกิ กำหมัดแน่น "นี่ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย ทั้งที่โดนเข้าไปขนาดนั้นแล้วแท้ๆ....มันเป็นอมตะรึไงกันนะ....บ้าชิบ...."
つづく.
|
|